๓อCJI บน?ท!ถ (ดงั่ เช่นพระพุทธเจา้ ) อบุ าสิกาถวิล (บุญทรง) วัตริ างกูล kalyanamitra.org
ดอั อเปน็ ใหเดั (ด่0เช่นทระททุ รเจา) อุบาสกิ าถวลิ (บุญทรง) วตั ิรางกูล kalyanamitra.org
คำปรารก ในการเรยUISยอหนอเสือขออผนั บขบ 1รออ ดัอ(วเปน็ ใหเดั (ด่ังเชน่ ทระทุทธเจา) รกไปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ พระเดชพระคณุ เจ้าคุณหลวงพ่อ พระภาวนาวริ ิยคณุ (หลวงพอ่ ทตั ตชีโวภกิ ข)ุ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ มอบหมายให้ข้าพเจา้ เขยี นหนงั สอื เก่ยี วกบั พระพทุ ธประวัตขิ ึ้นลกั เลม่ หน่งึ สำหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาอ่านโดยมอบต้นฉบับที่ฝ่ายวิชาการของวัด คน้ คว้า เรียบเรยี ง รวบรวมบางส่วนไวิให้ด้วย พระเดชพระคณุ ท่านเจา้ คณุ หลวงพอ่ ฯ วางวัตถุประสงค์เป็นหลักสำคัญไวว้ ่า เมื่อผูใ้ ดอา่ นแล้ว ใหม้ กี ำลงั ใจต้องการเปน็ พระโพธิสตั ว์ สร้างบารมเี ปน็ พระพทุ ธเจ้า พระองคห์ นึง่ ในอนาคตบา้ ง ขา้ พเจา้ จึงไดใ้ หช้ อ่ื หนังสอื เลม่ นี้ ตามวัตถปุ ระสงคน์ ้ัน โดยใช้ชื่อหนังสอื ว่า “ตอ้ งเปน็ ให้ใต้” แทนคำวา่ พุทธประวัติ แตเ่ น่อื งจากเน้ีอความในเรื่องทง้ั หมด ตอ้ งพ่งึ พาตำรับตำราทง้ั หลายตาม ความเป็นจริง จึงเปน็ เร่อื งยากมากท่จี ะเขยี นให้อ่านสนกุ ทำได้อยา่ งดีทส่ี ุดเพียงเขยี น ด้วยถอ้ ยคำทีอ่ า่ นเข้าใจงา่ ยขึน้ และมภี าพวาดลายเสน้ ซึ่งวาดโดยคุณโอม รัชเวช ประกอบเท่านั้น อนง่ึ ทต่ี ้องแทรกหวั ขอ้ ธรรมะไว์ในบางตอน กเ็ พ่ือให้ไดป้ ระโยชน์ตอ่ ผอู้ ่านที่ T Iดัอ0เปน็ m ดั (ด0๋ั 18นทระททฺ รเจา) ๓ kalyanamitra.org
เป็นเยาวชนเต็มทีย่ ิ่งขึน้ ผใู้ ดมวี าสนาบารมเี คยอบรมไวในชาตปิ างกอ่ น เม่ือไดร้ ับ การกระตนุ้ เตอื นอีกคร้งั จากขอ้ ความเหล่าน้ี บญุ บารมที ่ีเคยสัง่ สมไวน้ นั้ คงเตอื นใจ ใหไ้ ดค้ ดิ ทจ่ี ะบำเพญ็ เพิม่ เดมิ ใหม่ในชาตนิ อ้ี ีก สว่ นภาพประกอบเนอ้ื เร่อื ง ถา้ มีแทรกไว้ ย่อมทำให้เปน็ ท่ีนา่ สนใจ และ จดจำเนือ้ ความในท้องเรอ่ื งตามลำดบั ไดง้ ่ายเขา้ บุญกุศลใดๆ ที่พงึ บังเกิดขน้ึ จากการอา่ นหนงั สอื เล่มน้ี ย่อมมีพระเดช- พระคุณเจา้ คุณหลวงพอ่ พระภาวนาวริ ยิ คุณ และฝา่ ยวชิ าการของวดั พระธรรมกาย เปน็ ต้นเหตุ ไดร้ บั ผลานสิ งส์นัน้ สมบรู ณ์เต็มท่ี สำหรับขอ้ บกพร่องตา่ งๆ หากมอี ยู่ ยอ่ มเกิดจากการท่ขี ้าพเจ้ามิใช่พหูสูต ทแ่ี ท้จรงิ จึงขอประทานอภยั ไวิในโอกาสนี้ อุบาสิกาถวลิ (บญุ ทรง) วตั ริ างกูล ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ดัอปเื ปน็ ใหเดั (ส่ปั เ๋ ซน่ กระเๅทธเย้า) kalyanamitra.org
คำนำ เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๗ พระเดชพระคุณพระภาวนาวริ ิยคุณมดี ำรวิ า่ ใน การเผยแพร่พระพุทธศาสนาแกเ่ ยาวชน ควรมีหนังลือเก่ยี วกับพทุ ธประวัตท่ ี่นักเรยี น นกั ศกึ ษา จะอ่านเขา้ ใจไดง้ ่าย จึงไดม้ อบหมายใหค้ ณุ ป้าอบุ าสิกาถวิล (บุญทรง) วัตริ างกลู รับมาดำเนินการ คณุ ปา้ อุบาสกิ าถวิล รบั นโยบายของหลวงพอ่ มาดว้ ยความปตี ิยินดี ได้ พากเพยี รรวบรวมความรเู้ กย่ี วกับพุทธประวตั ิ แล้วเรียบเรยี งเขยี นเพื่อใหเ้ หมาะ สำหรบั นักเรยี น นักศึกษาทจ่ี ะเข้าใจไดง้ า่ ย จนเสร็จสมบูรณ์ หนังสีอ “ต้องเป็นใหไ้ ด้ (ด่งั เช่นพระพทุ ธเจา้ )” ได้บรรยายเรมิ่ ตน้ เกยี่ วกบั การก่อกำเนดิ ของจักรวาล แล้วเรียบเรยี งพุทธประวัตติ ้งั แตย่ งั เปน็ มนุษย์ปถุ ชุ น ได้ พากเพยี รสร้างบารมีจนบรรลุพระสมั มาสมั โพธญิ าณ และยงั ได้สอดแทรกพระธรรม เทศนาทเี่ ป็นหลักธรรมทสี่ ำคัญทสี่ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงประทานแก่พทุ ธสาวก ท้ังหลาย นอกจากผู้อ่านจะไดร้ บั ความรเู้ ก่ียวกบั พุทธประวตั ิแล้ว ยังไดข้ อ้ คิดอีกว่า ... - ภาวะความเปน็ มนุษย์ เปน็ ภาวะทีว่ เิ ศษสดุ - ภาวะความเป็นมนษุ ย์ เปน็ ภาวะที่ทรงพลงั สามารถสร้างสรรคค์ วามดงี าม อย่างไมม่ ีขดี จำกัด - การทำความดี การสะสมความดี มิใชส่ ิงเหลอื วสิ ยั ทม่ี นุษยจ์ ะทำได้ - มนุษย์สามารถทำความดี สะสมบุญบารมีขา้ มภพข้ามชาตอิ นั ยาวนาน จน ดอ้ อเปนี ใหเั๋ ดั (สเ๋ั )เชน่ ทระทฺท6เยา้ )( ๕ kalyanamitra.org
บรรลปุ ณธิ านอนั สงู สดุ ได้ คุณป้าอบุ าสกิ าถวิล มีความปรารถนาอยา่ งยง่ิ ท่จี ะใหห้ นงั สีอเลม่ นไี๋ ด้ เผยแพร่ออกไป เพื่อเปน็ กำลงั ใจแก่ผ้ทู ่เี รมิ่ สง่ั สมบุญบารมี และผทู้ ่ีกำลังทอ้ แทใ้ ห้มสี ติ มีความเข้มแขง็ ที่จะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เจริญรอยตามสมเด็จพระสมั มาลัมพุทธเจา้ ไม่ พลั้งพลาดเป็นเหย่อื ของกเิ ลสมารท่ีกำลงั รุมลอ้ มรอบตัว ดังในภาวะปัจจุบนั นี้ บัดนี้ เม่อื คณุ ป้าอบุ าสกิ าถวลิ (บญุ ทรง) วัตริ างกูล ไดล้ ะสังขารไปแล้ว “กลมุ่ บญุ สหวาระ” คณะญาติมติ ร และเหล่ากลั ยาณมติ ร ท่ีเคยไดร้ ับความกรุณา อบรมส่ังสอนจากทา่ น และซาบซ้ึงในธรรมทานทท่ี า่ นเคยเมตตามอบให้แก่หมคู่ ณะ ไดร้ ำลึกถงึ ความต้ังใจของท่านในการเรยี บเรียงหนงั ลึอเล่มนี้ จึงไดร้ วบรวมปจั จัยจัด พมิ พ์หนงั สอี “ต้องเป็นให้[ด้ (ดงั่ เช่นพระพุทธเจ้า)” เปน็ การแสดงกตัญฌูกตเวทิตา สานตอ่ เจตนารมณข์ องท่าน และเพอื่ เป็นธรรมทานแก่สาธุชนทวั่ ไป ขออานิสงส์ผลบญุ อนั เกิดจากการเผยแพร่หนังลอึ “ต้องเป็นให้1ด้ (ดง่ั เช่น พระพทุ ธเจา้ )” เพื่อการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนา จงบังเกิดเป็นพลวะปจั จยั ส่งเสรมิ ดลบนั ดาลให้คุณปา้ อบุ าสิกาถวิล (บญุ ทรง) วตั ริ างกลู เจรญิ รุ่งเรืองในธรรมของ องคส์ มเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ไปทุกภพทกุ ชาตติ ราบกระท่ังถึงท่ีสดุ แห่งธรรม ๖ ตอ้ งเป็นให’่ เต้ (สอ่ ฟนทระททฺ ธเข้า) kalyanamitra.org
สารบญ คำปรารภ ๓ ๕ คำนำ ๗ ๘ บทท่ี ร)ุ สารบัญ ๑๓ ความรทู้ แี่ ท้จริง ๒๒ ๓๓ บทที่ ๒ จกั รวาล ๔๐ ๕๓ บทที่ ๓ การเกิดข้ึน ตง้ั อยู่ และดบั ไป ของจกั รวาล ๖๗ บทท่ี ๔ จกั รวาล คอื กรงขงั สตั ว์ ๘ร)ุ บทที่ ๕ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ คอื ผหู้ าทางออกจากกรงขงั สำเรจ็ และพาผูอ้ ืน่ ออกได้ด้วย ๘๗ ๙๕ บทที่ 'จ พระชนมช์ พี ของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าพระองคป์ จั จุบัน รุ)๐๕ ๑๑๕ บทท่ี ๗ ชวี ติ หลังเสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณ์ ๑๒๒ ๑๓๔ บทที่ ๘ เร่มิ ประกาศพระศาสนา ๑๔๗ ๑๕๓ บทที่ ๙ ทรงเปลอ้ื งคำปฏญิ ญา และได้อคั รสาวก ๑๖๑ ๑๗๑ บทท่ี รุ)O มหาสาวกสนั นบิ าต การประชุมใหญข่ องพระสาวก (มหาสนั นบิ าต) ๒๐๒ ๒๐๗ บทที่ รุ)รุ) เสด็จนครกบิลพัสดุ โปรดพระพทุ ธบดิ าและชาวเมอื ง ๒๑๒ ๒๑๓ บทที่ ๑๒ เหตุการณส์ ำคญั บางตอนในพระพุทธกิจเกยี่ วกบั พระญาติ ๒๑๕ ๒๑๕ บทท่ี ๑๓ เหตกุ ารณส์ ำคญั บางตอนในพระพทุ ธกจิ ทว่ั ไป ๒๑๘ บทที่ ๑๔ ใกลเ้ วลาเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน บทที่ ๑๕ หลังเสด็จดับขันธปรนิ ิพพานแลว้ บทที่ ๑๖ ระหว่างหนทางสร้างพระบารมี บทที่ ๑๗ บางพระชาตกิ อ่ นตรัสรูเ้ ปน็ พระโคดมสมั มาสมั พุทธเจา้ บทท่ี ๑๘ ทรงเปลง่ พระวาจาปรารถนาพทุ ธภูมิ และไดร้ บั พุทธพยากรณ์ บทที่ ๑๙ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ในกปั ปจั จุบัน (ภัทรกัป) บทท่ี ๒๐ พระสมณโคดมสมั มาสัมพทุ ธเจา้ หนังสอี อา้ งอิง ประวตั ิผู้เขียน สารบัญหมวดธรรม สารบญั ดน้ คำ รายช่ือผู้รว่ มอนุโมทนาการจดั พิมพห์ นงั สีอ ส่ออเปนี ใฝค้ (สอ่ เช่นทระททฺ ธเย้า) ๗ kalyanamitra.org
บททหน’ง บทท O ความรทู แทัจso เวลานน้ั ราวๆ กลางเดอื นกรกฎาคมพ.ศ.๒๕๓๗มรี ายการโทรทศั นน์ ่าสนใจ มากอยู่ ๒ เร่ือง เร่อื งแรก เป็นการถา่ ยทอดจากกลอ้ งดูดาวท้ังในประเทศและตา่ งประเทศใหเ้ หน็ สะเก็ดดาวหางหลายชิ้นทยอยหลุดจากทางโคจรมาพุง่ ชนผวิ ดาวพฤหัสฯ แต่ละช้ินโตเท่า ภเู ขาขนาดต่างๆ เวลาพงุ่ ชนแต่ละครั้งเหน็ เปน็ แสงสวา่ งลกุ จ้าข้ึนแล้วจึงดับไป ตรง บรเิ วณพ้นื ผวิ ท่ีลกู ชนมรี อยสีดำเลก็ บ้างใหญบ่ ้าง นกั ดาราศาสตรค์ ำนวณว่า รอยแต่ละ รอยท่ถี ูกชนน้นั เกดิ เป็นหลุมลกึ นับเปน็ รอ้ ยกโิ ลเมตร และกว้างยาวเป็นพนั ๆ กิโลเมตร เร่อื งที่สอง มอี าจารย์ความรูป้ รญิ ญาเอกผู้หน่ึงพาเด็กเลก็ ๆ มาออกรายการ คนหน่ึงอายุเพียง ๔ ขวบ อา่ นหนงั สอี ออกได้เองโดยไม่มีใครสอน เด็กชแี้ จงวา่ พอเหน็ ตัวหนังสอี กท็ ราบทนั ทีวา่ อ่านว่าอย่างไรบ้าง แต่ไม่สามารถบอกไดว้ า่ คำเหลา่ นัน้ ประกอบ ด้วยตวั อักษรอะไร อกี คนหน่ึง อายุ ๖ ขวบ เลน่ เปยี โนได้เก่งคลอ่ งแคลว่ ไม่แพผ้ ใู้ หญ่ อาจารยท์ ่านนัน้ ช้ิแจงว่ามเี ด็กทม่ี ีความสามารถเป็นพเิ ศษดา้ นตา่ งๆ ทำนองเดยี วกนั น้ี อยใู่ นความดูแลของท่านหลายคน สองเรื่องท่กี ล่าวนี้ ให้ข้อคดิ ทง้ั ด้านวตั ถุและดา้ นจิตใจ เรอ่ื งการพุง่ ชนของ สะเกด็ ดาวทำใหเ้ หน็ ความไมแ่ น่นอนของห้วงอวกาศ ที่เปน็ มวลของวตั ถุธาตุ เพยี งเศษ สะเกด็ ดาวพุ่งชนยงั มกี ารระเบดิ ทำลายรนุ แรงดังทีเ่ ปน็ ปรากฏการณใ์ หเ้ หน็ ถ้าดวงดาว ชนกนั เองบา้ ง คงมกี ารระเบดิ ทำลายลา้ งมากมายกวา่ นบี้ ับเทา่ ไมถ่ ว้ น แม้เหตุการณต์ งั ทว่ี า่ นี้ นกั ดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถคำนวณ ไดว้ ่าจะเกิดขนึ้ เม่อื ใด ผลท่เี กดิ ตามมาเป็นอย่างไร แตท่ างด้านพุทธศาสตรไ์ ดเ้ ลา่ เหตกุ ารณเ์ หล่านี้ไวไ้ ดห้ มดสนิ พร้อมท้ังบอกวิธีพสิ ูจน์ใหท้ ำตาม จนรเู้ หน็ ตามได้ดว้ ย เพยี งแตไ่ ม่ใช้เคร่ืองมือเครอ่ื งใช้ภายนอก เช่น กล้องขยายชนดิ ต่างๆ ยานอวกาศ หรือ จรวด ฯลฯ แต่ใชก้ ารทำงานทางจติ แทน ๘ , ต้องเปนใ่ ห’่ เต้ (๙0เชน่ ทระทุทธเยา้ ) kalyanamitra.org
ความรทแ่ี ทัจรเว สว่ นเรอ่ื งความสามารถพิเศษตา่ งๆ ท่เี กิดขึ้นแก่เดก็ หรอื คนบางคน เป็นหลักฐาน ยนี ยันไดว้ า่ คนเราตายแลว้ ตอ้ งเกดิ อกี ตราบใดท่ยี ังไม่สร้างเหตใุ หเ้ ลกิ เกดิ สำเรจ็ ตราบ นัน้ ตอ้ งตายแลว้ เกิด เกดิ แล้วตาย วนเวียนซ้าํ ๆ อย่ไู มร่ ูจ้ บ ความสามารถพเิ ศษทุกอยา่ ง ทเ่ี คยทำได้จะถกู เกบ็ ไวิในกลุ่มพลงั งานของจิต เหมือนเมลด็ พืชเก็บลักษณะสายพนั ธุ ของตนเองไว้ เม่อื ใดพบภาวะท่ีเหมาะสมจงึ งอกเป็นต้นข้นึ มา เมอ่ื มีการตายแลว้ เกิด รา่ งกายทเี่ กดิ ขึ้นใหมไ่ มว่ า่ จะเกดิ เปน็ อะไร ประกอบดว้ ย โครงร่างและเลอื ดเนือ้ ทีไ่ ม่แตกต่างกันกับชวี ิตประเภทเดียวกนั แตพ่ ลงั งานของจติ ต่างกนั ตามคณุ ภาพท่ีเคยสะสมไวิในอดีตชาติกอ่ นๆ เราจึงพบว่า ไมว่ ่าจะเกิดเป็นอะไร แม้เปน็ สตั วห์ รือมนุษย์หรืออะไรๆ ประเภทเดยี วกันกจ็ รงิ แต่จิตใจแตกต่างไมม่ ีเหมือน กันเลยแม้แต่ชวี ิตเดยี ว เรอ่ื งการทำงานของจิตใจสะสมข้ามชาตไิ ดด้ ังท่ีกล่าวนี้ กเ็ ปน็ ทำนองเดยี วกับ เรื่องของวตั ถุ คอื นักจิตศาสตร์ ปรัชญา มนษุ ยศาสตร์ ชีววิทยา ฯลฯ บรรดาวิชาการท่ี มใี นโลกไมส่ ามารถให้ความกระจา่ งได้ชัดแจ้งเตม็ ที่ ไดแ้ ตเ่ พียงสันนษิ ฐานเอาเหมอื น วิชาการทางวัตถุ มเี พียงพทุ ธศาสตรเ์ ทา่ นัน้ ท่สี ามารถพสิ ูจน่ได้แจ่มแจ้ง ดว้ ยวธิ ใี ช้จติ พสิ ูจนจ์ ิต พุทธศาสตร์ เปน็ ศาสตรข์ องผรู้ ้จู รงิ รูแ้ จ้ง ชนดิ ทไี่ ม่มีลงิ่ ใดมาหกั ล้างได้ เปน็ ความรู้รอบ ไม่จำกดั สาขาวิชา เป็นสุดยอดของวิชาการทง้ั ปวงในโลก การศกึ ษาเล่าเรยี นวิชาตา่ งๆ ในโลก เรยี นดว้ ยการใชว้ ัตถนุ อกตัวเป็นอุปกรณ์ เพ่ือทดลอง ค้นควา้ พสิ ูจน์ วจิ ัย ความรู้ทีไ่ ด้มีท้ังผดิ ทั้งถูก ถา้ ถกู ก็เป็นเพียงบางแง่ บาง มุมทีไมล่ กึ ข้งึ และไม่รู้ตลอดในความจริงทั้งหมด สรุปแลว้ การศึกษาทุกสง่ิ ทุกประการไม่ว่าเรื่องวตั ถุ เรือ่ งจิตใจ หรือเร่อื งวชิ าการ ทุกแขนงก็ตาม การศกึ ษาดว้ ยวิธีการทางจติ เป็นการศกึ ษาทีท่ ำใหเ้ กิดความรูแ้ จ้ง เห็น จริงทถี่ กู ตอ้ งเพยี งวธิ ีเดยี ว การศึกษาใหร้ รู้ อบดว้ ยวิธีการทางจติ นัน้ ไมต่ ้องอาศัยเครอื่ งมอื หรอื อปุ กรณใ์ ดๆ ขอเพียงมจี ิตทม่ี ีสภาพปกติ มคี วามต้งั ใจแน่วแนม่ น่ั คง มีสดิทม่ี ีกำลงั มีความพากเพยี ร ไมท่ ้อถอย เริ่มต้นเทา่ นก้ื เ็ กนิ พอ เมอ่ื การศึกษาประสบผลสำเร็จ ความรู้ท่เี กดิ ขนึ้ เห็นได้ดว้ ยภาพท่ีเกดิ ข้ึนในใจ เรียกภาษาทางธรรมวา่ ญาณทัสสนะ การร้เู หน็ ด้วยอำนาจจิต การเหน็ ด้วยดวงตาธรรมดาของสตั วท์ ัง้ หลาย เมือ่ จะมองดูสิง่ ใด สว่ นประกอบ ที่สำคญั ในการเหน็ มหี ลายอยา่ ง ทส่ี ำคัญมากอย่างหน่ึงคือแสงสวา่ ง ท่ีใดไม่มแี สงสว่างเลย ตอั ป้เปน็ ให้เด้ (สปํ ืเชบ่ ทระทฺทธเจ้า) ๙ kalyanamitra.org
บทท่หี น่งึ ทน่ี ั่นมองอะไรไม่เห็นแนน่ อน การเห็นทางใจก็ในทำนองเดยี วกนั ต้องมีแสงสวา่ งเกดิ ขน้ึ ในจติ ใจ หลบั ตา ธรรมดาที่ใชป้ ระจำนีล้ งเสยี ทำความรูส้ กี เหมอื นไม่เคยมี ไมเ่ คยใช้ นึกลงไปในท่ตี ้งั ของ จติ ซง่ึ อยู่ศนู ย์กลางของกาย (เหนือสะดอื ๒ นี้วมึอกลางท้อง) ที่นน่ั เป็นที่เกิดของภาพภายใน หรอี เรียกตามทรี่ จู้ ักกันว่า ตาในหรือทางใน การเหน็ ภาพภายใน ณ ท่นี ั้น ตอ้ งอาศยั แสงสว่างเป็นอุปกรณ์สำคัญร่วมอยดู่ ว้ ย กจ็ รงิ แตไ่ มไ่ ดห้ มายความว่า จะนำแสงสว่างใดๆ ในโลกนี้ เชน่ ไฟฟ้า ไฟฉาย ไฟจริงๆ ใสเ่ ข้าไปภายในตวั เพียงแต่ใช้ใจนึกถงึ ความสว่างทีม่ ีในโลก หรอื แสงสว่างจากดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ เช่น เปลวไฟ ไฟฟา้ ฯลฯ บรรดามีอย่างใดอยา่ งหนงึ่ นึกถงึ ให้ภาพความสวา่ ง นัน้ มองเห็นไดท้ ่ีศนู ย์กลางกาย ขณะใดทีเ่ หน็ ภาพความสวา่ งเกดิ ขึ้นภายในดงั กลา่ วแล้ว ชัดเจนเหมือนท่ตี า ธรรมดาภายนอกมองเหน็ เม่ือนัน้ ใจจะเริ่มมีพลัง และสามารถเรียนร้คู วามจริงในเรอื่ งราว ต่างๆ ไปได้ ไม่มีท่ีสนิ สุด วธิ ีเรียนรสู้ ิงตา่ งๆ ด้วยการ‘ฝกิ จิตดังกล่าวน้ี มใิ ช่เพ่งิ มี หรอื มีคร้ังแรกเมื่อพระ- สัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงอบุ ้ตข้ึน แตม่ มี านานแสนนานนบั เวลาจำนวนปไี ม่ได้ เจ้าลัทธิตา่ งๆ มักเปน็ ผดู้ น้ พบวธิ ที ีก่ ล่าวแล้วน้ี บังเอิญภาพที่เหน็ ในใจของเจ้าลัทธิเหล่านนั้ เกิดภายใน ตัวก็จริง แตค่ ลาดเคลอื่ นจากศนู ย์กลางกายอันเป็นที่ตงั้ ของจิต ไปเห็นทข่ี ้างหน้านอกตัว บ้าง ทบ่ี ริเวณเหนอื คีรษะบ้าง หน้าผากบา้ ง บรเิ วณหน้าอก หนา้ ท้อง ท่สี ะดือ หรอื อื่นๆ ความรูท้ ่ีไดจ้ ากการเห็นจึงไม่กวา้ งขวางรูร้ อบ เหมือนการเหน็ ในทส่ี ำคัญอนั เปน็ ท่ีอย่ขู องใจ ณ ศูนย์กลางกาย เปรยี บเหมอื นตอ้ งการพบใครตอ้ งไปหาทผ่ี ู้น้ันอย่อู าศยั มใิ ช่หาตาม ถนนหนทาง หรอื เปรียบวธิ ีฝกิ จติ ใหเ้ หน็ ความสว่างภายในเปน็ การอ่านหนังสือออก อ่านออก แล้วกไ็ ม่คนั ควา้ หาอา่ นจากห้องสมุดอันเปน็ แหลง่ เก็บรวบรวมหนงั สอื แต่เกบ็ อา่ นเลก็ อ่านน้อยตามเศษกระดาษบา้ ง หนังสอื ตามแตจ่ ะหาไดบ้ า้ ง ย่อมไม่มหี นทางได้ความรู้ แตกฉาน ดังน้นั จึงเป็นท่ีทราบกันว่า ศาสดาเจ้าลทั ธิหรือหัวหนา้ ศาสนาตา่ งๆ จึงร้แู ละ เหน็ เพยี งสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง และถอื เอาพระพรหมเปน็ ผ้สู ร้างทุกอย่าง ไมร่ ู้เหน็ ถงึ พระนิพพานอันเป็นที่เลิกเวยี นวา่ ยตายเกดิ ไม่รู้เห็นถงึ มารโลกอันเป็นท่ีสรา้ งกิเลส ทำลายคุณภาพจิตใจของสรรพสัตว์ เหมือนพระศาสดาสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ซงึ่ ทรงส่งจิต เชา้ ส่ศนู ย์กลางกาย เรียกว่า ทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา น้คี อื การเดินทางสายกลาง ของใจ จ๐ ต้อ(วเปน็ ให1ด้ (ส๖์ เช่นทระฤท6เชา้ ) kalyanamitra.org
ความsiทแทจั ร!ว ส่วนท่เี ข้าใจกันวา่ การปฏบิ ต้ ติ นไม่หยอ่ นนกั ไม่ตงึ นักในความประพฤติท่เี กี่ยวกับ ความเป็นอยูข่ องชีวิต คอื ไมม่ ัวเมาในกามคณุ และไมเ่ คร่งครดั จนเปน็ การทรมานน้นั เปน็ ทางสายกลางของการดำเนนิ ชวี ิตไมใ่ ชท่ างสายกลางของจิต แต่ทางสายกลางทั้งสองเปน็ ปจั จยั เก้อื หนนุ กนั ถา้ ชวี ติ ความเป็นอยู่มีความพอดี ไม่ฟม่ เฟิอยสขุ สบายเกินไปไมอ่ ตั คัดขาดแคลนเกินไป การทำจิตให้เดินเขา้ ศูนย์กลางกาย ทำได้ง่ายและประสบผลสำเร็จ ถ้าความเปน็ อย่ขู าดความพอดหี รือเกนิ พอดี การนำจติ เดิน เขา้ สูท่ างสายกลางย่อมเป็นไปไมไ่ ด้ หรอื จะเรียกว่าเป็นทางสายกลางของกายกบั ทางสายกลางของใจ ตอ้ งทำพร้อม กันไปจงึ จะพบความสำเร็จดังนี้ก็ได้ การนำจติ เข้าส่ทู างสายกลางภายในตวั ยง่ิ ทำไดม้ ากเพียงใด ปัญญา ความ รอบรถู้ งึ ความจรงิ ทแ่ี ท้ของทกุ ล่ีงทกุ อย่างก็ยิ่งเพิ่มข้ึนตาม ทำให้จิตมีคุณภาพ พิเศษ เหนือสภาพปกตทิ ว้ั ไป จิตสามารถมคี วามร้เู หนอื ความร้ทู ีไดร้ บั จากการใช้ประสาทสมั ผัส ทั้งหา้ คอื ตา หู จมกู ล้นิ และกาย ทั้งยงั เหนอื ความรูท้ ่ีไดจ้ ากการคิดใครค่ รวญตา่ งๆ ดว้ ย การคน้ พบทางสายกลางดังทีก่ ล่าวถงึ อย่นู เ้ี อง เปน็ ความยิ่งใหญข่ องพระสัมมา- สมั พทุ ธเจ้า เมื่อทรงพบและปฏบิ ตั ิได้รบั ผลสำเร็จเรยี บรอ้ ยแล้ว จงึ ทรงส่ังสอนผู้อ่ืนให้ รเู้ หน็ ตามดว้ ย ในเวลานี้ ผลการค้นพบที่กลา่ วถึงนนั้ ยังมอี ยู่ ผสู้ นใจใครร่ ู้ใครป่ ฏบิ ตั ติ ามสามารถ ปฏิบัตไิ ดท้ นั ที เมื่อปฏบิ ัติด้วยดี ถูกตอ้ งตามวิธี ยอ่ มบรรลุความสามารถของจติ ทม่ี คี ุณภาพ สงู สดุ เหมือนดงั พระอรหนั ตสาวกทงั้ หลาย หรือถา้ ยงั ไม่สามารถบรรลุไดใ้ นปัจจบุ ันชาตนิ ี้ ผลการปฏิบตั ินั้นสามารถเก็บ สะสมเป็นพลงั เพิม่ พนู ในแตล่ ะชาตภิ ายภาคหน้าเร่ือยไปได้ถ้ายงั มีความต้ังใจมงุ่ มนั่ แน่วแน่ มัน่ คง ในชาติใดทีป่ ัญญาไดร้ ับการสะสมเต็มท่ีย่อมประสบผลสำเร็จเฉพาะตนทันที ทีนี้สำหรบั ผูม้ ใี จเตม็ ไปดว้ ยความกรณุ าในสรรพสตั ว์ซงึ่ เป็นผ้รู ว่ มทกุ ขใ์ นการ เวยี นวา่ ยตายเกดิ พบความทุกข์จากการ เกดิ แก่ เจ็บ ตาย อยา่ งไม่ร้จู บอย่ดู ้วยกัน ยอ่ มต้งั ใจปฏบิ ตั บิ ำเพญ็ เพยี รในการสง่ั สมคณุ ภาพของจติ ใหว้ เิ ศษเพมิ่ ข้ึนทุกภพทุกชาติ เรื่อยไปมากกว่าผไู้ ด้ผลเฉพาะตน กระท้งั รันหนงึ่ ภายภาคหน้า ความวิเศษของจิตมีคุณภาพสงู สุดเตม็ ท่ีแล้ว เวลา นน้ั ผมู้ ใี จเต็มเปยี มด้วยมหากรณุ าดงั กลา่ วก็จะกลายเปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าอีกพระองค์ หน่งึ แน่นอน เมอ่ื นัน้ พระองค์ยอ่ มทรงชว่ ยสรรพชวี ติ อื่นตามน้ําพระทัยอนั เปยี มด้วย ดอ้ อเปน็ ?หั๋เต้ (ส่งเช่นทระทฺทธเย้า) ๑๑ kalyanamitra.org
บทที่หน่งึ พระเมตตากรุณาน้นั พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงมิใช่ผู้สร้างสรรพสิงและสรรพชีวติ ทัง้ หลาย พระองค์ ทรงเปน็ เพียงผู้ค้นพบความจริงของสรรพสิงและสรรพชวี ติ ว่ามคิ วามเปน็ มาอยา่ งไร เปน็ อยูอ่ ยา่ งไร และแตกสลายสนิ ลงอยา่ งไร การรูค้ วามจรงิ ในสิงต่างๆ ทำให้สามารถ ปฏิบ้ติต่อสงิ เหลา่ นน้ั ไดถ้ ูกต้อง ทำให้เกิดประโยชนอ์ ย่างใหญ่หลวงตอ่ ทกุ สงิ ทุกอย่าง ผคู้ น้ พบความจรงิ เมอ่ื พบแลว้ ปฏบิ ้ติเองด้วย ซกั ชวนแนะนำชีทางให้ผ้อู ่ืนปฏิบตั ิ ตามด้วย การกระทำเหลา่ น้ี ก็ทำไต้ในช่ัวระยะเวลาหน่งึ ในท่ีสดุ ผคู้ นกจ็ ะละเลยไม่ปฏึบ้ติ ตามคำบอกเลา่ สงั สอนเสอื มสญู ไปในที่สดุ จนกระท้ังมีผูส้ ะสมความสามารถทางจติ ชาติแล้ว ชาตเิ ลา่ มีการรู้เห็นสิงสงู สดุ ในสรรพสิงต่างๆ ขึ้นมาอีก เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าพระองค์ ใหม่ สังสอนผู้คนใหร้ ้ตู ามต่อไป ฐานะของความเป็นพระอรหนั ต์ คือทำตามคำสงั สอนไดบ้ รรลผุ ลสำเรจ็ และฐานะของความเป็นพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงค้นพบความสำเรจ็ และสอน ผู้อื่นใหท้ ำตามไดจ้ งึ เป็นเรอ่ื งท่ไี มเ่ กินวิสยั ของมนุษย์ผูม้ ีความต้งั ใจจริงจะปฏบิ ัติตามอยา่ ง เพียงแตจ่ ะคดิ สะสมคณุ สมบตั เิ หล่านั้นหรอื ไม่เทา่ นน้ั ผู้ใดเหน็ ทกุ ข์ในการเวียนวา่ ยตายเกดิ ต้องการเป็นอิสระ หลดุ พน้ ให้ได้ จึงเพียร พยายามสะสมคณุ สมบัตเิ พอื่ การบรรลนุ ัน้ ชาตแิ ลว้ ชาติเลา่ ผนู้ ั้นเรยี กวา่ มีธาตุของโพธิ เกิดขึน้ ในตวั จึงได้รับช่ือว่าเปน็ “พระโพธิสัตว์” (โพธิ แปลว่า ปัญญา) การเปน็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า หรอื เป็นพระอรหันตสาวก แมม้ ิใชจ่ ะเปน็ ได้ใน ชาตนิ ี้ก็ไมค่ วรทอ้ ถอย แตท่ ่ีสามารถเป็นไต้ในทันทแี นน่ อนในปัจจุบันนีเ้ ดย๋ี วนี้คอี การ เป็นพระโพธสิ ตั ว์ อย่ทู ว่ี ่าต้องการเป็นหรือไม่เทา่ นั้น ถ้าต้องการเปน็ กส็ ามารถลงมอื ปฏบิ ัตไิ ดท้ นั ที 6)๒ ตอั ปเื ปน็ ให๋ัเด้ (๙01ฒ่ทระททฺ ธเยา้ ) kalyanamitra.org
บทท่สี อง จกั รวาล บทท ๒ จักรวาล ดงไดก้ ล่าวแล้วว่า ผูฝ้ ิกฝนจิตจนมคี ุณภาพยอดเย่ยี ม ย่อมสามารถพบความรู้ ทแี่ ทจ้ รงิ ทุกชนดิ ได้ทศี่ นู ยก์ ลางกาย ซึง่ ความร้เู หล่านีเ้ ปน็ ความรเู้ ฉพาะตน เม่อื ใด ต้องการให้เปน็ ประโยชน์ต่อผ้อู ่ืน ไมจ่ ำเปน็ ต้องถา่ ยทอดความรู้เหลา่ นัน้ ให้ทงั้ หมด คงให้ เฉพาะทจ่ี ำเป็น เฉพาะที่เปน็ ประโยชนโ์ ดยแท้เทา่ น้ัน เช่นพระสัมมาล้มพุทธเจ้าในยุค ของเราคือพระสมณโคดม พระองค์ตรสั รู้ คือมีความรู้ถงึ ท่สี ดุ ในทุกสงิ ทุกอยา่ ง แตเ่ มอ่ื ทรงสังสอนมนุษย์ ก็ทรงใช้เพยี งเร่อื ง อริยสจั ๔ เปน็ หลัก ผู่ใดปฏิป็ตตามคำสอนเพียงเทา่ นีก้ ็ถอี ว่าได้ประโยชน์สงู สุด เลกิ เวยี นวา่ ยตายเกิด โดยสนิ เชงิ แลว้ ความรู้อ่นื ๆ ท่ีนอกเหนอื มากมาย ไมใ่ ช่สงิ จำเปน็ ไม่ต้องร้ใู หเ้ สยี เวลา เหมอื นเดก็ เลก็ ๆ ท่หี วิ อาหาร มารดาบอกให้ทราบแตเ่ พยี งว่า อาหารของเดก็ อยู่ ในจานทว่ี างให้น้ีพอแลว้ เด็กตักอาหารใส่ปากเคี้ยว กนิ แลว้ กอ็ ่มื หายหวิ เป็นทพี่ อใจของ ตนเองและคนเล้ียง เด็กไมจ่ ำเป็นต้องร้วู า่ มารดาซ้อื ของนั้นมาจากทีไหน คนขายไปนำของ เหลา่ นัน้ มาขายได้อยา่ งไร รไู้ ปจนกระทง้ั ของเหล่านัน้ เกิดขน้ึ จากอะไร ซึ่งเปน็ เร่ือง ไมเ่ ป็นประโยชน์โดยตรงต่อท้ังแม่และเดก็ เชน่ เดียวกับคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาล้มพทุ ธเจา้ ของเรา เมื่อดจู าก คำสอนของพระองคเ์ ท่าทีม่ เี หลืออยู่ในปัจจุบนั คัมภรี ส์ ำคญั ๆ เช่นพระไตรปฎิ ก เมือ่ ศกึ ษา ใหถ้ ล่ี ้วนจะพบวา่ เป็นคำสอนสำหรับใช้ในชีวิตของทุกคน เพ่ือให้ได้บรรลเุ ป้าหมาย เทา่ นัน้ ไม่มคี ำสอนเหลือเฟิอหรอื ท่เี ปน็ ส่วนเกนิ ความจำเป็นแต่ประการใด ตวั อย่างเชน่ มนุษยเ์ ราอยใู่ นโลก พระบรมศาสดาจะทรงสอนแต่ว่า โลกเป็น สว่ นหน่ึงของจักรวาล จกั รวาลเกดิ ข้ึน ตง้ั อยู่ และพินาศอยา่ งไร เราสามารถหลดุ พน้ จาก การเวยี นว่ายตายเกิดในจกั รวาลดว้ ยวธิ ใี ด ไม่ทรงสอนถึงขนาดว่า จักรวาลแรกใครสร้าง มนุษย์คนแรกคอื ใคร มาจากไหน ทง้ั ท่พี ระองค์ทรงทราบถ่ีลว้ นทุกประการ ในปัจจุบนั น้ี เมือ่ Tเกจติ ตามวธิ ีทกี่ ล่าวแลว้ คอื หยดุ ลงไปในศนู ย์กลางกาย เมอ่ื สอั อ|0นให1ต้ (ด๖เชน่ ทระทฺทรเจาั ) ๑๓ kalyanamitra.org
บททสอง หยุดได้สนิทเตม็ ที่ ความร้ทู ่ีเกินความจำเป็นเหล่านั้นก็เกิดให้ร้เู ห็นได้หมดทกุ สิงทกุ อยา่ ง ตามทีต่ ้องการรู้ ดงั น้ันใครกต็ ามตอ้ งการความร้อู น่ื ๆ เกินกวา่ ทพี่ ระบรมศาสดาประทาน ไว้ กส็ ามารถคน้ ควา้ ตอ่ เอาเองได้ โดยปฏิบตั ใิ ห้กายและจติ เดนิ อยู่ทางสายกลาง มชั ฌมิ าปฏิปทาเรื่อยไป เม่อื ญาณทัสสนะเกดิ ก็จะล้ินความสงสยั ในทุกเร่อื งที่ต้องการทราบ ตอ่ จากน้ี จะเล่าไวเ้ ฉพาะเรือ่ งทีพ่ ระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรัสสอนไว้เทา่ ที่พระองค์ ทรง เห็นวา่ เพยี งพอต่อความจำ เป็น ทีม่ นุษยค์ วรทราบคอื ร). เรอ่ื งของจกั รวาล อันเปน็ กรงขงั ใหญข่ องบรรดาสรรพสตั ว์ทง้ั หลาย ๒. คำสอนของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ท่ปี ฏิบตั ติ ามแล้ว สามารถหลุดออกจาก กรงขงั ได้ ๓. พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าคือใครพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบนั มคี วามเปน็ มา อย่างไร และ ๔. อดตี ชาติบางชาติท่ีควรทราบของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า สมณโคดม IS9ป๋ปอ๋ ป๋จักร‘วาล อันเปน็ กรอปอ๋ ใหญ่ขอ(วบรรดาสรรทสตั ว์ เม่อื ยานอวกาศของมนุษย์เดนิ ทางออกไปนอกโลก ถา่ ยภาพโลกของเรากลบั ลงมา ให้เห็น ภาพของโลกกค็ อี ดาวดวงหน่ึงในจกั รวาลอันกว้างใหญ่ มีลักษณะกลมรอบตวั เหมอื นดวงดาวอ่ืนๆ รวมทั้งดวงอาทติ ย์ ดวงจันทรท์ ่ีรู้จกั กันดี ในห้วงอวกาศน้ัน มจี กั รวาลหรอื จะเรยี กอีกชือ่ ว่าโลกธาตอุ ยู่มากมายจำนวนนบั ไม่ถว้ น เท่าทีน่ กั วทิ ยาศาสตร์ นกั ดาราศาสตรค์ น้ คว้าไดข้ ณะนี้ ยงั ไมพ่ บดาวดวงอน่ื นอกจาก โลกของเราทีม่ ีสงิ มชี วี ติ อยู่ แต่ในความรอู้ ันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทุก พระองค์ และด้วยญาณทสั สนะอันบรสิ ุทธี๋ ทรงพบวา่ ในแต่ละจกั รวาล มโี ลกมนุษยอ์ ยู่ อย่างเราๆ น้ี ๔ โลก มีโลกที่มคี วามสุขในเรือ่ งกามคณุ ๕ คือ มีรปู ดๆี ใหด้ ู มเี สียงเพราะๆ ใหฟ้ งิ มี กล่นิ หอมๆ ใหด้ ม มีอาหารรสเลิศใหล้ ้ิม มสี ัมผสั ท่นี ุม่ นวลไม่เย็นไมร่ อ้ นใหใ้ ช้ อยู่ ๖ โลก เรียกวา่ เทวโลก มโี ลกที่มคี วามเป็นอย่ปู ระณีตไม่ยุง่ เก่ียวกับกามคุณมอี ารมณท์ างจติ อยู่อยา่ งเดยี ว ตลอดเวลาอีก ๒๐ โลก เรียกวา่ พรหมโลก สว่ นโลกที่มคี วามเปน็ อยเู่ ดือดรอ้ น มีอยู่ ๔ แหง่ คอื โลกนรก โลกเปรต อสรุ กาย และ ดริ จั ฉาน ตัองเป็นใหเดั (ตงั๋ เฒ่ทระททฺ 81ยา้ ) kalyanamitra.org
แบบแปลน แผนภมู ิจักรวาล คูเขาสืเนรุ (คเู ขาพระสเุ มร)ุ O kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
แผนภาพแสดงจักรวาลโดยสงั เขป (ภาคปริย้ต)ิ kalyanamitra.org
/// / I แแแแแแแแแแ**** เนวสญั ญานาสัญญายตนฌาน ภูเขาสิเนรุ ภูเขายคุ นธร อากิญจญั ญายตนฌาน ภเู ขาอสิ นิ ธร ภูเขากรวิกะ วิญญาณญจายตนฌาน ภูเขาสทุ ัสสนะ ภูเขาเนมนิ ธร อากาสานัญจายตนฌาน ภเู ขาวินตกะ ภเู ขาอสั สกัณณะ อกนฎิ ฐาภูมิ ภูเขาจกั รวาล สุทัสสีภูมิ นทสี ึทนั ดร/พหิทนที สุทสั สาภมู ิ อตัปปาภมู ิ ภูเขา ๓ ลูก อวหิ าภมู ิ อสญั ญสัตตาภมู ิ ชมพูทวีป เวหปั ผลาภมู ิ สภุ กญิ หาภมู ิ อปรโคยานทวีป อัปปมาณสภุ าภูมิ ปริตตสภุ าภมู ิ อุดดรกุรทุ วีป อาภสั สราภูมิ อัปปมาณาภาภูมิ ปพุ พวเิ ทหทวีป ปรติ ตาภาภูมิ มหาพรหมาภมู ิ ปงั สุปถวี - สิลาปถวี พรหมปโุ รหติ าภูมิ นาํ้ แข็ง พรหมปารสิ ชั ชาภมู ิ ลม ปรินมิ มิตวสวตั ตีภมู ิ อากาศ นมิ มานรดีภมู ิ สัญชวี ะนรก ดสุ ติ ภมู ิ กาฬสุดดะนรก ยามาภูมิ สงั ฆาตะนรก ดาวดงึ ส์ภูมิ โรรวุ ะนรก ภูเขาสเิ นรุ มหาโรรุวะนรก ตาปนะนรก จาตมุ หาราช มหาตาปนะนรก ยักขเทวดา อวจี ินรก กมุ ภัณฑ์เทวดา ครฑุ เทวดา ดวงอาทติ ย์ นาคเทวดา เทวอสรู ภมู ิ ดวงจนั ทร์ สญั ลกั ษณส์ ีในแผนภมู ิจักรวาล kalyanamitra.org
ยก้ รวาล รวมทง้ั หมดเปน็ ๓ซิ โลก ท่เี รียกกนั ว่า ๓ซิ ภมู ิ หรอื เรียกย่อวา่ ไตรภูมิ สรรพสตั ว์ทเ่ี กดิ ในภูมติ า่ งๆ ท้งั ๓ซิ ภมู ินี้ สายตาของมนุษยม์ องเหน็ ไดเ้ พยี ง ๒ ภมู ิ คือ สตั วท์ ่เี ป็นมนุษย์ด้วยกนั และสัตวด์ ิรัจฉานบางจำพวก ส่วนสรรพชีวติ ในภมู อิ ืน่ ๆ สายตาของมนุษยม์ องไมเ่ หน็ จะเหน็ ได้เฉพาะผูฝ้ กิ จติ ไวด้ ีดงั ที่กลา่ วมาขา้ งต้นเทา่ นั้น มี . อยบู่ า้ งนานๆ ครง้ั ทเี่ ครอ่ื งมือของมนษุ ย์ เชน่ กลอ้ งถ่ายรูป ถา่ ยภาพสตั ว์ที่เปน็ เปรต หรอื อสุรกายได้บา้ ง แต่ไม่ชัดเจนนัก ความจรงิ ในบรรดาดวงดาวท้ังหลายที่นักดาราศาสตรด์ น้ พบวา่ ไม่มลี ื่งมีชวี ติ อยู่ เพราะเขา้ ใจเอาว่าสงิ มชี ีวติ มีเพยี งมนษุ ย์และสตั ว์ ถา้ นกั ดาราศาสตรห์ รอื นักวิทยาศาสตร์ เหล่านั้นสามารถ'ฝิกจติ ใหม้ ีคณุ ภาพพิเศษดังกลา่ วไวไ้ ด้ กย็ ่อมจะเหน็ สงิ มีชีวิตมากมาย อยู่ในดวงดาวเหลา่ นน้ั เพยี งแตร่ า่ งกายของสตั ว์เหลา่ น้ันโปร่งใสจนสายตาของมนุษย์ มองไมเ่ ห็น เราเรียกกนั ว่ากายทิพย์ ซ่งึ จดั อย่ใู นเทวภูมิชั้นที่หนงึ่ สัตวท์ ม่ี ีกายทิพยเ์ หลา่ นี้ มที อี่ ย่บู นดวงดาวต่างออกไปอีกมติ หิ นึง่ ท่อี ยูเ่ หลา่ น้นั สขุ สบายจนเรยี กกันว่าเปน็ สมบตั ทิ พิ ย์ โดยไมเ่ กยี่ วกบั เนือ้ ดินหรอื หินทเ่ี ห็นไดด้ ้วยตา มนุษยใ์ นดวงดาวนนั้ ๆ เป็นมติ ิละเอยี ดทีช่ ่อนอยู่ในของหยาบ ในจักรวาลหนึง่ ๆ มีดวงดาวชนิดต่างๆ นบั ไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี๋ไม่มีดวงใด วา่ งเปล่าไรส้ ิ่งมชี วี ิตเลยแม้แตด่ วงเดียวไม่วา่ ดาวดวงน้ันจะลกุ โพลงเป็นเปลวไฟอยู่ หรือเตม็ ไปด้วยนํา้ แขง็ เย็นเฉียบ มติ หิ ยาบกับมติ ิละเอยี ดไม่มีสิ่งใดสมั พันธ์กนั จะ เกีย่ วข้องกเ็ พยี งมสี ถานทีต่ ้ังเปน็ ทแี่ หง่ เดยี วกนั เท่าน้ันเอง ความร้อนเย็นมอี ากาศ หรอื ไมม่ ีของมติ ิหยาบไมก่ ระทบกระเทือนมิติละเอยี ด นักดาราศาสตรอ์ าจจะแบง่ ดวงดาวออกเปน็ กาแล็กชี เปน็ หมวดหมตู่ ามทเ่ี หน็ ว่า เหมาะสม เทา่ ท่ีค้นพบขึ้นมาจากเคร่อื งมือทางวทิ ยาศาสตร์ แตท่ างญาณทสั สนะของจติ แบ่งขอบเขตของห้วงอวกาศเป็นจกั รวาล แตล่ ะจกั รวาลมีส่วนประกอบอยา่ งเดยี วกันหมด คือประกอบด้วย ๓ซิ ภมู ิ ท่ตี ้งั ของภมู ิเรียกว่า ภพ มีลกั ษณะเดยี วกนั ทกุ ประการ กลา่ ว โดยยอ่ คอื ซ.ิ ขอบเขตของจกั รวาล มีรูปรา่ งเหมอื นทรงกระบอก มีภเู ขาลอ้ มรอบ ๒. ตรงกลางมภี เู ขาเป็นแกน รปู รา่ งเหมอื นกลอง ตรงฐานภเู ขามภี ูเขา ๓ ลกู เปน็ เล้ารองรับ ภเู ขาทีเ่ ปน็ แกนจักรวาลนีม้ ีชื่อเรียกว่า “เขาสเิ นร”ุ หรือ “เขาพระสุเมร”ุ ๓. มีภูเขารอบเขาสิเนรุอีก ๗ รอบ ระหวา่ งรอบมนี ้ําทะเลคนั่ อยู่ทกุ รอบ ๔. พ้นจากภเู ขาท้ัง ๗ รอบ เป็นทะเลใหญ่ เป็นทต่ี งั้ ของโลกมนุษย์ ทิศละ ซิ แหง่ รอบเขาสิเนรุ ตอ้ อเป็นใหเั๋ ต้ (ส0่ เชน่ ทระคทุ ธเย้า) ซ๙ิ kalyanamitra.org
บททสอง ๕. มีดวงอาทติ ย์ ซิ ดวง และดวงจนั ทร์ ซิ ดวง ลอยอยู่ระดับก่งึ กลางระหว่าง ระดับพ้ืนทะเลกับยอดเขาสิเนรุ ๖. ฐานลา่ งทร่ี องรับจักรวาลไว้ ชั้นแรกเปน็ พ้ืนดิน ถดั จากดนิ เปน็ นํา้ ถดั จาก นา้ํ จงึ เปน็ ลม ตอ่ จากลมเปน็ ความวา่ งเปลา่ มแี ตค่ วามมดี ภูมิต่างๆ ต้ังอยูด่ ังนี้ ซิ. มนุสสภูมิ อยู่ตรงกับไหลเ่ ขาสเิ นรุ ทิศละ ซิ แหง่ เรียกวา่ ทวีป ไหล่เขาซีกตะวนั ออกเปน็ เงิน แสงสิเงินสะทอ้ นไปยงั ทวปี ซีกน้นั ชื่อ ปุพพวเิ ทหทวปี ไหลเ่ ขาซกี ทิศใตเ้ ป็นมรกต แสงสีเขยี วสะท้อนไปยังทวีปซีกนน้ั ช่อื ชมพทู วีป คือ โลกทีเ่ รากำลงั อาศัยอยู่ขณะนี้ ไหล่เขาซกี ทศิ ตะวันตกเปน็ แก้วผลกึ สีใสๆ สะท้อนไปยงั ทวปี ซกี นัน้ ช่อื อปรโด- ยานทวีป สว่ นไหล่เขาซีกทิศเหนอื เป็นทองคำ แสงสที องสะท้อนไปยังทวปี ซีกนนั้ ช่ือ อตุ ตรกรุ ทุ วปี ๒. ใตภ้ เู ขาสามเส้าที่รองรับเขาสิเนรุ เป็นอโุ มงค์ใหญ่ มที ีอ่ ยู่สุขสบายเปน็ อสูร พิภพ ใต้อสูรพิภพลงไปเปน็ ท่ตี ัง้ ของนรกใหญ่ทงั้ ๘ ขมุ (ภาคปฏิบต้ : ภาคปรยิ ตั กิ ล่าววา่ มหานรกอยใู่ ต้แผน่ ดิน ตรงกบั ชมพูทวีป) ๓. ท่อี ยขู่ องพวกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉานสว่ นใหญ่ อยทู่ ีช่ มพทู วีป ดิรัจฉาน ชนั้ ดอี ยู่ทป่ี ่าทิมพานต์ (แถบภเู ขาหมิ าลัย ในประเทศอินเดีย) เป็นพวกกายละเอียด ไมเ่ หน็ ดว้ ยตามนุษย์ ๔. รอบเขาสเิ นรุ เป็นทีอ่ ยขู่ องเทวดาช้ันที่ ซิ ชือ่ จาตมุ หาราชกิ า มีหลายประเภท มที ัง้ ท่อี ย่บู นพ้นื ดนิ อยบู่ นต้นไม้ และอยใู่ นอากาศ บางพวกก็อยปู่ นถบั ทอ่ี ยูข่ องมนษุ ยใ์ น ชมพทู วีป พวกที่อย่ตู ามดวงดาวทง้ั หลายเป็นอากาศเทวดา จดั อยู่ในชนั้ ท่ี ซิ เหมอื นถัน ๕. บนหนา้ ตดั ของเขาสเิ นรุ เปน็ ทีต่ ้งั ของเทวดาชัน้ ที่ ๒ ดาวดึงส์ (พวกอสรู ที่ ใตเ้ ขาสเิ นรุ จัดอย่ใู นเทวดาประเภทน้)ี ๖. เทวดาชนั้ ท่ี ๓ ขน้ึ ไปจนถงึ ช้นั ท่ี ๖ อย่เู หนือดาวดึงสข์ น้ึ ไปทงั้ หมดตามลำดับ ล้วนแต่มวี ีมานลอยอย่ใู นอากาศไม่ตั้งอย่ตู ามดวงดาว เพราะเปน็ ทส่ี ูงกว่าท่ีอยูข่ องดวงดาว ตา่ งๆ มาก ๗. พรหมโลก อยเู่ ลยเทวดาช้นั ที่ ๖ ข้ึนไป ๒๐ ต้อดเปน็ ใหเั๋ ต้ (ด๋ัอเชน่ ทระททุ 8เย้า) kalyanamitra.org
จกั รวาล ภพต่างๆ อนั เปน็ ทตี่ ัง้ ของภมู เิ หล่าน้ี เกิดขน้ึ เองตามความจำเป็น เปรยี บเหมือน การสร้างบ้านเรอื น เม่ือตอ้ งการรบั ประทานอาหาร เรากต็ อ้ งมหี อ้ งครวั หอ้ งรบั ประทาน อาหาร เม่อื ต้องขบั ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เราก็ตอ้ งมหี ้องสว้ ม ต้องรักษารา่ งกายใหส้ ะอาด กต็ อ้ งมีหอ้ งอาบนี้า ตอ้ งการพักผ่อนก็ต้องมหี ้องนง่ั เล่น ห้องนอน หรือแม้กระทัง่ หอ้ ง รับแขกตามฐานะของเจา้ ของบ้าน ฉันใด ภพกเ็ กดิ ข้นึ ตามความจำเป็นของสรรพสัตว์ เพราะเม่อื สตั ว์ลกู กิเลสบบี ค้นั ใจ สัตว์ กจ็ ะลงมอื กระทำกรรมชนดิ ตา่ งๆ ตามความบบี คัน้ น้ัน (กรรม แปลว่า การกระทำทางกาย วาจา และใจ) เม่อื ทำกรรมสำเรจ็ ลง จะเปน็ กรรมดกี ต็ าม กรรมชวั่ กต็ าม หรอื ไมด่ ีไม่ช่วั กต็ าม ผลของกรรมจะเกิดตามมา ภพเปน็ ทร่ี องรบั สรรพชวี ิตตามภูมิ (หมายถึงสภาวะทาง วิญญาณ) ตามผลกรรมเหลา่ น้ัน ทำกรรมชว่ั ย่อมมีอบายภมู ิ (สตั วน์ รก เปรต อสรุ กาย เดรจั ฉาน) เป็นทีร่ องรับ ใหเ้ กิดท่ีนัน่ ทำกรรมดี มเี ทวภูมิ พรหมภูมิ เปน็ ทรี่ องรบั ตามลำดับความประณีตของกรรมดี มนุสสภมู ิเปน็ สถานท่กี ลางๆ ตอ้ งการทำดกี ไ็ ด้ ทำชวั่ กไ็ ด้ ภมู แิ ละภพเกดิ ตามผล ของกรรมดังน้ี ฉันนน้ั ล้าจะเปรยี บใหง้ า่ ยเข้า โลกมนษุ ย์เหมอื นสถานทีแ่ สวงหา ใครแสวงหาและ กระทำแต่ความดี จะได้กำไรเป็นบุญ ตายแล้วไปสส่ คุ ติ ลา้ ความดนี น้ั ถึงทีส่ ดุ ดังทเี่ ลา่ ไว้ ก็จะพ้นจากภูมทิ ง้ั ๓9 เลิกเวียนวา่ ยตายเกดิ เข้าพระนพิ พาน ใครพอใจอยู่ใตอ้ ำนาจ ของกเิ ลส สร้างสมแตก่ รรมช่วั จะได้รบั แต่ความขาดทนุ คือได้แตบ่ าปอกุศลติดตวั ไป เมอ่ื จิตใจสังสมบาปไว้ ตายไปเกดิ ในภพภมู ิใหม่ ผลบาปนั้นเองชว่ ยสร้างรปู กาย และความเปน็ อยู่ ดงั นนั้ สตั วป์ ระเภทนจี้ งึ มรี ่างกายเลวทรามไม่น่าดูนา่ ชม มคี วามเป็นอยู่ ทุกข์ยาก ตรงข้ามกับสตั วท์ ี่สรา้ งความดีงามเป็นกุศลกรรมเสมอๆ ย่อมได้รับสง่ิ ตรงกนั ข้าม แตม่ ีขอ้ น่าสังเกตอย่างยิ่ง ตรงทใ่ี นอบายภูมแิ ละสุคตภิ มู ิตงั้ แตเ่ ทวดาชันต้นขึน้ ไป จนพรหมโลก ไม่มีโอกาสสร้างบญุ บาปใหมเ่ พมิ่ ได้มากนกั เปน็ เพียงสถานท่ีรับผลเท่านน้ั ภพทีด่ ีที่สุดจึงเปน็ ภพมนุษย์ เราสามารถเสอื กทำกรรมใดกไ็ ด้ตลอดเวลา ด^้ ’* ต้อ(วเป็นให้เส (ส๖1ชน่ ทระททฺ ธ1ยา้ ) ๒๑ kalyanamitra.org
บทที่สาม บทท ๓ การเกิดสืบ ลอ้ อยู่ และ:ดบาป อออจกรวาล ซิ. ในอากาศทวี่ า่ งเปลา่ น้นั เมอื่ เวลาล่วงไปนานนบั ประมาณไม่ได้ มีการ เปล่ยี นแปลงเกดิ ข้ึน คอื มเี มด็ ฝนตกลงมา (เรอื่ งเชน่ นต้ี ามหลักการทางวิทยาศาสตร์ สามารถเกิดข้ึนได้ เพราะนํา้ เกิดจากการรวมตัวของกา๊ ซไอโดรเจนและกา๊ ซออกซิเจน ใน ความวา่ งเปล่าทม่ี อี ยู่ อาจมีกา๊ ชทง้ั สองเป็นจำนวนมาก เวลาผา่ นไปนานเข้าทำปฏิกิริยา กนั เกิดรวมตวั เปน็ หยดนํ้าพรอ้ มกันขนึ้ มา จึงกลายเป็นฝนตก) แรกๆ เม็ดฝนมีขนาดเล็กมาก แล้วค่อยโตขึน้ ๆ จนสายฝนโตเทา่ ลำตน้ ตาล (ฝน ตกทำใหอ้ ากาศเย็น ก๊าชทง้ั สองชนดิ รวมตัวกันได้มากย่งิ ข้ึน) นํ้าฝนที่เกิดขนึ้ ไมร่ ่ืว่ทิ้งหาย ไปไหน เพราะมีลมแรงพัดรองรับไว้ เป็นเวลานานเข้าลมนน้ั ก็พัดแทรกนา้ํ ขึน้ มาทำให้นํ้า งวดเขา้ งวดจากขา้ งบนลงมาตำตามลำดับ (น้าํ ฝนคงละลายธาตตุ า่ งๆ ในอากาศรวมไว)้ งวดถงึ พรหมโลก พรหมโลกกบ็ งั เกดิ ข้นึ เป็นการรวมตวั ของธาตลุ ะเอยี ด มอง ดว้ ยตามนุษยไมเ่ ห็น งวดถึงเทวโลกชนั้ ๖- ๕- ๔- ๓ เทวโลกทั้ง ๔ ชนั้ กต็ ง้ั ขึน้ เป็นธาตุละเอยี ด เชน่ เดยี วกนั ๒. นีา้ ฝนงวดตอ่ เร่ือยลงมาจนถึงระดบั ทีพ่ ้นื ดินจะเกดิ จงึ เกิดลมพัดให้นํ้านงิ่ อยู่ กบั ที่ไมไ่ หลแห้งต่อไป ต่อจากนั้นนา้ํ กจ็ บั เป็นตะกอนลอยอยู่เหนอื นา้ี มสี เี หลอื งเหมอื น ใบบวั ลอยอยู่ทว้ั มีกลน่ิ หอมมีรสหวาน ตอนน้เี ป็นการรวมตวั ของธาตหุ ยาบ สายตาของ มนษุ ย์มองเหน็ ตะกอนแผน่ ดนิ ทเ่ี กิดข้ึนก่อนเปน็ ครง้ั แรก เรยี กกันว่า คีรษะแผน่ ดิน (งวั นดิน) เป็นประธานของโลกมนุษย์ชมพทู วปี ต่อจากน้ันทน่ี ั่นจะมกี อบวั บังเกดิ ขึ้นเปน็ บุพนิมิต ล้ากอบัวนนั้ มีแต่ใบไมม่ ดี อก หมายความว่า จักรวาลที่เกดิ ข้นึ ใหมน่ ้ี ไม่มีพระสัมมาสมั - พุทธเจา้ บงั เกดิ ขนึ้ ล้ากอบัวมดี อก จำนวนดอกหมายถึงจำนวนพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าท่จี ะ อบุ ัติขึ้น ก่อนท่จี กั รวาลจะถกู ทำลายหายสญู ไปอีกครงั้ หนึ่ง ๒๒ ตองเป็นใทเดั (ลอ้ ฒท่ ระฦทธเนา้ ) kalyanamitra.org
การเกดิ สืบ ต้ออยู่ และตบ้ ไป ฃออจกั รวาล อย่างไรกด็ ี กอบวั ดังกล่าวน้ีจะมีดอกไม่เกนิ ๕ ดอก ผูแ้ ลเห็นดอกบัวมีแต่ มหาพรหมผเู้ ปน็ ใหญ่ ถา้ กอบัวไมม่ ดี อก ท้าวมหาพรหมก็สังเวชสลดใจ ท่ีเห็นเหลา่ มนุษย์ ไม่มีท่พี ่งึ ถ้าเห็นมีดอกบัวหลายดอก ก็พากนั ร่นื เรงิ บันเทิงใจ ๓. เมอื่ มีแผน่ ดนิ เกดิ ขนึ้ แลว้ พรหมในชั้นอาภัสสราชัน้ ที่ ๔ สินบุญบ้าง สนิ อายุ บ้าง ก็จดุ ลิ งมาเป็นตวั โตเต็มทเี่ กิดข้นึ เอง (โอปปาติกะ)ไมม่ บี ดิ ามารดา มรี ปู รา่ งอยา่ งพรหม ไม่มีเพศ รา่ งกายมีแสงรุ่งเรอื ง มีรัศมีสว่างไสว เหาะไปมาในอากาศ มีปตี ิ(ความอิม่ ใจ) เป็นอาหาร ไมต่ อ้ งกนิ สงิ อน่ื สตั วเ์ หล่าน้มี ซี วี ดิ อย่ชู ้านาน จนกระทง่ั มีอยคู่ นหนึ่งมีกิเลส คอี โลภะเกิดข้ึน เห็นแผน่ ดนิ มสี ีสันงดงาม(งัวนดนิ ) มกี ลิ่นหอมนา่ กิน จึงหยิบใสป่ ากลมิ้ รส แค่วางท่ีปลายล้ิน รสดนิ นั้นก็แผ่ซาบซา่ นไปทวั่ ร่างกาย มีรสอร่อยเปน็ ที่ชอบใจยิง่ นกั อดใจไว์ไมไ่ ดก้ ็บริโภคอยเู่ รอ่ื ยไป คนอน่ื ๆ เห็นเขา้ ตา่ งกพ็ ากันเอาอยา่ ง เมอ่ื บรโิ ภค อาหารหยาบ รัศมกี ายซึ่งเคยใหค้ วามสวา่ งกอ็ นั ตรธาน มีแต่ความมดื ปกคลุมไปท่ัว เหล่ามนษุ ย์ทง้ั ลน้ิ ตกใจกลัวเปน็ กำลงั ๔. ในเวลานน้ั เอง สุรยิ เทพบุตรพร้อมดว้ ยทีอ่ ยู่คอื ดวงอาทติ ย์ก็บงั เกดิ ขึ้นให้ ความสวา่ งทนั ที ถ้าคิดในทางความเปน็ ไปได้ บุญของมนุษย์ยุคน้ันคงพอมเี หลอื อยู่ เมอื่ ประสบทุกขจ์ ากความมีด ดวงดาวทีย่ ังร้อนเป็นไฟ คอื ดวงอาทิตย์จงึ บังเอิญโคจรผา่ นมา ให้ความสวา่ งแทนรัศมกี าย ดวงอาทิตยไม่ได้ส่องสวา่ งอย่ตู ลอดเวลา เมื่อโคจรผ่านไปแล้ว ดวงจนั ทรจ์ ึงเกิด ข้นึ ครัน้ แล้วจึงปรากฏมีดวงดาวตา่ งๆ มเี วลา มีกลางวนั กลางคืน มีฤดกู าล มีเขาพระสเุ มรุ เขาจักรวาล เขาหิมพานต์ ท้องมหาสมุทร ดวงดาวตา่ งๆ และตัวเขาพระสุเมรุ ซึง่ เป็น ทอ่ี ยขู่ องเทวดาชนั้ ที่ ซิ จาตุมหาราชิกา ส่วนหน้าตัดของเขาเปน็ ที่อยู่ของเทวดาชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ เร่ืองการเกดิ ของดวงดาวตา่ งๆ ภูเขาและทะเล อะไรตา่ งๆ เหลา่ นเี้ ปน็ ของท่ีเกิดข้ึน เอง เพราะเมื่อน้าํ งวดแห้งเข้า ธาตนุ ้าํ หมดลง ธาตุดนิ กแ็ ข็งข้นึ ธาตุดินตรงทีใ่ ดสงู ขึน้ ถกู เรยี กวา่ ภูเขา สว่ นทน่ี าํ้ ตรงไหนไมแ่ ห้งก็กลายเป็นท้องทะเล มหาสมุทร น้ําตรงท่ีใด หลดุ ออกไปเป็นกอ้ นต่างหาก เมอื่ เหือดแห้งไปเหลือแต่ธาตขุ องแข็ง จงึ กลายเป็นดวงดาว ตา่ งๆ การเปลี่ยนแปลงเหลา่ นี้ ไมใ่ ชเ่ กิดขึ้นในทันที ใช้เวลานานมาก จนไม่มคี ำพูดจะ นบั จึงเรยี กกันวา่ “อสงไขยกปั ” ๕. เมื่อเหลา่ มนุษยม์ ตี ณั หาในรสครอบงำ ทำใหก้ ินแผ่นดินทเ่ี พงิ่ เกดิ ใหมอ่ ย่นู น้ั รา่ งกายซงึ่ เคยโปร่งใสสวยงามกเ็ ปล่ยี นแปลงไป บางพวกมผี ิวพรรณเศร้าหมองมาก พวกท่ผี ่องใสกว่ากด็ หู ม่นื ดูแคลน บาปธรรม ๒ ประการ จึงเกิดขนึ้ ในจิตใจ คือ สกั กาย- ทิฏฐิ(ความยดึ มั่นในตวั ตน) และมานะ(ความถอื ตัว) รา่ งกายมนี ้าํ หนัก เหาะไม่ไดอ้ กี ต่อไป ตอ้ งเป็นไกา่ ต้ (สัง๋ เ8นทระเๅทรเย้า) ๒๓ kalyanamitra.org
บทท&าม เม่ือบาปธรรมท้งั สองเกิดข้นึ โลกกแ็ ปรปรวน แผ่นดนิ ทเ่ี ป็นอาหารรสหวานอรอ่ ย ก็หายสูญไปหมด กลับแห้งกลายเปน็ สะเก็ดดิน แตย่ ังมรี สอร่อย มีกลน่ิ หอม เปน็ อาหาร ของมนุษยได้อยู่ ต่อมาจิตใจของมนษุ ย์ลูกกเิ ลสครอบงำเพิม่ ข้นึ เรอ่ื ยๆ สะเกด็ ดนิ หายไป กลายเปน็ เครอื ดิน เครอื ดนิ หาย กลายเป็นข้าวสาลี ชา้ วสาสที แี รกงอกขน้ึ เอง เปน็ ข้าวขาว ไม่มเี ปสีอก ไมม่ รี ำ ไม่ลบี มกี ล่นิ หอม เป็นรวงหุงได้ทนั ที พอเกบ็ มาหุงตอนเช้า ตอนเยน็ กเ็ กิดรวงขึ้นมาใหเ้ กบ็ ไต่ใหม่ เวลาหุง ไมย่ ่งุ ยาก รูดข้าวจากรวงใส่ภาชนะแล้ววางไว้บนแผ่นหนิ ชนดิ หนง่ึ ข้าวกเ็ ดีอดสุกได้เอง (คงจะเปน็ ก้อนหินท่มี คี วามรอ้ นจากใตผ้ ิวโลก) ข้าวในยคุ นน้ั เปน็ ขา้ วทม่ี ีรสชาตติ ามใจ ผูบ้ รโิ ภค ไมต่ อ้ งใชก้ บั แกล้ม มีคณุ คำทางอาหารครบ ในเวลาท่ีหมู่มนษุ ย์บรโิ ภคขา้ วขง้ึ เป็นอาหารหยาบ ทำให้มกี ากอาหาร รา่ งกาย ตอ้ งขบั ถา่ ยทิง้ จงึ มที วารหนักทวารเบาเกิดข้นึ อวยั วะเพศกเ็ กดิ ตามขน้ึ มา 'จ. เม่อื มีอวัยวะเพศเกิดขึ้น จติ ท่ีเคยมคี ณุ ภาพขม่ กามราคะได้ก็เสือ่ มลง กามคุณ เกิดขึน้ ในสันดาน ทำใหส้ นใจเพศตรงข้าม และเสพเมถนุ ธรรม เม่ือสมสก่ นั ทางเพศ อนั เป็นอสทั ธรรม กต็ ้องทำอย่างปกปิด ต้องสรา้ งบ้านเรอื น ปดิ บัง เมือ่ มบี ัานเรอื น กค็ ดิ เกียจคร้าน กระทำการสะสมขา้ วสาร ไม่ตอ้ งไปเกบ็ บอ่ ยๆ เมอ่ื มีความโลภสะสม ขา้ วสาลกี ็เส่อื มคณุ ภาพ มีเปลอื กมีรำเกดิ ขน้ึ ขา้ วทเี่ กบ็ ไปแล้วไม่งอกขึ้นใหม่ เม่อื ข้าวไม่งอก จงึ ต้องมกี ารปนั เขตกนั ข้ึน ๗. แบง่ เขตข้าวสาลี ทำใหเ้ กิดการมเี จ้าของ ผทู้ ่อี ยากไดข้ า้ วสาลีของผ้อู นี่ ก็ ทำการลักขโมย เจา้ ของจับได้ จึงเกดิ การตัดพ้อต่อว่า เม่อื ยังไม่เลิกทำ ต่อมากม็ กี าร กลุม้ รมุ ทุบตี ๘. การลักขโมย ทำใหเ้ กดิ การทำรา้ ยร่างกาย การครหาตเิ ตียน การพูดมุสา การถูกปรบั การลงอาญา หมูม่ นุษยม์ คี วามทุกข์เดือดร้อนคับแคน้ ใจเกิดขึน้ จึงพากนั ตง้ั หัวหนา้ เพอ่ื ให้ปกครองพวกตน ผูไ้ ดร้ บั เลอื กตงั้ ให้ดำรงตำแหนง่ หัวหนา้ ปกครองผู้อ่นื ต้องเปน็ ผมู้ สี ตปิ ัญญา รูปรา่ ง บคุ ลิกหว่ งทีกริ ิยาสงา่ นา่ เกรงขาม สามารถวา่ กลา่ วปกครองคนท้ังปวงได้ ขึ้งได้แก่ ๒๔ ตัอปเ้ 0นใหเด้ (ส่งเชบ์ ทระฤทธเจา) kalyanamitra.org
การเกดิ ฮน ด0์ อยู่ และะดบั ไป บองจักรวาล พระโพธิสตั ว์ผ้มู ีคุณสมบตั ิดังกลา่ วจะดำรงตำแหนง่ เป็นพระเจ้าแผ่นดนิ ผู้ปกครองประเทศ พ ^ ๖^ ตอ่ จากน้ันพระราชากท็ รงวางระเบียบแบบแผน และกฎขอ้ บงั คบั ในทางทเ่ี ปน็ ธรรม เพ่ือ ใหป้ ระชาชนทัง้ หลายปฏิบัติ ในสมัยต้นกปั ประชาชนไดพ้ ากันประชมุ เลอื กพระโพธิสตั ว์ข้นึ เปน็ พระเจ้าแผน่ ดนิ ปกครองประเทศ แล้วถวายพระนามวา่ พระเจา้ มหาสมมตุ ิ ซ่ึงแตเ่ ดิมท่านชือ่ ว่า “มน”ุ เมื่อ พระองคได้ทรงปกครองประเทศแล้ว กท็ รงจดั วางระเบียบแบบแผน และกฎขอ้ บงั คับ ให้ เป็นธรรม เพ่ือใหป้ ระชาชนปฏิบัติตาม ประชาชนจึงทำตวั ให้อยูใ่ นโอวาทของทา่ น ดุจ ลกู ชายหญงิ อยใู่ นโอวาทของพ่อแม่ ตงั นน้ั ประชาชนตงั้ แตบ่ ัดนนั้ จนถงึ ปจั จบุ นั นี้จึงได้นามวา่ “มนุษย์” แปลวา่ ลูกหลานหรือเหลา่ กอของพระมนุ ระยะตน้ กปั มนุษยม์ อี ายุยีนยาวมาก ราวอสงไขยปี คอื มีเลขหน่ึงอยนู่ ำหน้า เลขศูนย์ตามหลัง ๑๔๐ ตวั แตเ่ มื่อมนุษย์เกิดกเิ ลสเพิม่ มากขึ้น อายขุ องมนษุ ยก์ ็ลดลงเร่ือยๆ สำหรับโลกมนษุ ยท์ ่ีชื่อ อุตตรกรุ ทุ วีป อายมุ นษุ ย์ลดลงถงึ ๑,๐๐๐ ปี แล้วไมล่ ด ต่อไปอีก ปพุ พวีเทหทวีป ลดลงถงึ ๗๐๐ ปี อปรโคยานทวปี ลดลงถงึ ๔๐๐ ปี สว่ นชมพูทวีป จะลดเรอื่ ยไปจนถงึ ๑๐ ปี ในระหวา่ งที่โลกมนุษยเ์ ปลย่ี นแปลง และอายขุ ยั ของมนษุ ย์ลดลงอยเู่ รือ่ ยๆ นั้น บางช่วงเวลาเฉพาะในชมพูทวปี มพี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าบังเกดิ ข้นึ เพ่ือลงั สอนเวไนยสตั ว์ ใหป้ ฏิบตี ิตามคำสอน บรรลุมรรคผลนิพพาน เลิกเวียนว่ายตายเกิดในภพสามเป็นครง้ั คราว จกั รวาลเกิดขนึ้ ตั้งอยู่ ก่อนแตกทำลายอาจมพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรัสรู้ ต้ังแต่ ๑- ๒-๓- ๔-๕ พระองค์ ไมเ่ กินน้ัน (ครง้ั ละ ๑ พระองค์ ไมใ่ ชพ่ ร้อมกัน) แต่จกั รวาลที่เกิดขน้ึ บางแหง่ ในชมพทู วีปของทีน่ นั้ ไมม่ ีพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า เกิดขน้ึ เลย กระท้ังจักรวาลแตกสลาย อย่างนเี้ รยี กวา่ “สญุ ญกปั ” พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรสั รเู้ ฉพาะในชมพทู วปี ของทุกจกั รวาล เพราะในทวีป ท่เี หลืออ่นื ๆ อีกสามทวปี ประชาชนของท่นี ้นั ไม่มีใครผดิ ศลึ หา้ ความทกุ ขย์ ากตา่ งๆ มีนอ้ ยมาก การสอนใหเ้ ห็นความทกุ ข์ทำได้ยาก ส่วนในชมพทู วปี มนษุ ยม์ ีท้ังดีทงั้ ช่ัวปะปนกนั มีตวั อยา่ งความทกุ ขย์ ากต่างๆ มากมาย พระสมั มาสัมพุทธเจา้ จึงทรงอบุ ตั ขิ ึน้ ในโลกน้ี เวลาทพี่ ระสัมมาสัมพุทธเจา้ บงั เกิดข้ึนแต่ละพระองค์ อายขุ ัยของมนุษย์ในเวลา นนั้ ไม่แนน่ อน บางพระองคต์ รสั รใู้ นยคุ (หรือชว่ ง)ท่ีมนุษยม์ ีอายขุ ัยหลายหมืน่ ปี บาง พระองค์เป็นแคพ่ นั ปรี ้อยปี แต่จะไม่มพี ระองค์ใดตรสั รใู้ นยุคที่หมู่มนุษย์มอี ายุเกนิ แสนปี และตากวา่ รอ้ ยปี ตอั งเปน็ ใหั๋เด้ (ส่ง!dunระททฺ ธเยา้ ) ๒๔ kalyanamitra.org
บทท์สาม เพราะมนษุ ยม์ อี ายุขัยเกินแสนปี เวลานนั้ มนุษย์มีความทุกข์นอ้ ย การสั่งสอนไม่ ไดผ้ ล สว่ นเวลาที่มีอายุตากว่าร้อยปี ก็เป็นเวลาทีม่ นษุ ย์มกี ิเลสหนาแน่นในสันดาน สง่ั สอ.นให้เชอี ฟังยากนกั เม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรูแ้ ละประกาศพระศาสนา วางรากฐานไว้เรียบร้อย แลว้ จงึ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน พระพุทธศาสนากต็ งั้ อย่รู ะยะหนงึ่ แล้วค่อยๆ เสือ่ มสูญ อันตรธาน เม่อื คำสอนของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าอนั ตรธานลง หมมู่ นุษย์กส็ ่นิ คุณธรรม ประพฤตแิ ตอ่ สัทธรรม อนั เปน็ บาปอกศุ ล อายขุ องมนุษยจ์ ะลดลงตลอดเวลา โดยอตั รา หนงึ่ รอ้ ยปี อายขุ ยั ของมนษุ ย์ลดลง ๑ ปี เมอื่ เหลา่ มนษุ ยม์ ีอายุขยั ๑๐ ปี อาหารทด่ี ีที่สดุ สมยั นัน้ คือขา้ วนกในสมัยน้ี พวก เด็กหญงิ อายุเพยี ง ๕ ขวบ จะมีสามี มลี กู ไดแ้ ล้ว ในสนั ดานของผคู้ นมแี ตบ่ าปอกศุ ลกรรม ๑๐ ปราศจากความละอายในบาป ไมเ่ กรงกลัวบาป มคี วามเป็นอยู่เหมีอนสตั ว์ดริ ัจฉาน ทง้ั หลาย คำพูดท่ีดๆี คำทเ่ี กยี่ วกบความดงี าม คุณธรรม บุญกศุ ล สูญหายไปหมด ไม่มี ผใู้ ดจำไดห้ รือรจู้ กั แต่ละชีวิตไม่ยึดถอื ความสัมพนั ธ์ใดๆ ไม่รู้จักแม้ความเปน็ พ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้อง ชอบใจกป็ ระพฤตผิ ิดกาเมสมุ ิจฉาจาร สมส่ก้น่ได้ไม่เลอื ก ไม่ชอบใจก็เบียดเบียนเฆ่ยี นตี ฆ่าแกงก้นโดยทั่วไป มคี วามอาฆาตพยาบาทแรงกล้า จิตใจเดมิ เปยี มด้วย ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ มหาภยั ตา่ งๆ กบ็ ังเกดิ ข้นึ เช่น ความอดอยากไมม่ อี าหาร การรบราฆา่ ฟิน และ โรคภยั รา้ ยแรงตา่ งๆ โดยเฉพาะเมื่อตอ้ งแยง่ อาหารกนั กนิ โทสะ จะเกิดข้นึ มากทีส่ ุด ตอ้ งรบราฆา่ ฟินกนั เอง ในเวลาอายุมนุษย์มกี ำหนด ๑๐ ปี จะมอี ยคู่ ราวหน่งึ เรียกว่า สัตถันตรกปั เกดิ ข้นึ อยู่ ๗ วัน คอื มนษุ ย์ท้ังหลายจะเกดิ วุ่นวายเป็นโกลาหลโกรธแคน้ กันท่วั ไป จึงฆ่าฟันกนั เป็นการ ใหญ่ ใครจบั สิง่ ใดขึน้ มาได้ แม้กระทงั่ ต้นไม้ใบหญา้ กจ็ ะใชเ้ ป็นอาวธุ ประหารกันไดห้ มด จงึ พากันล้มตายมากมายนบั จำนวนประมาณไมไ่ ดต้ ลอดเวลา๗ วนั เป็นดงั นที้ ั่วชมพูทวปี ในจำนวนผ้คู นเหล่าน้ี จะมอี ย่สู ว่ นนอ้ ยมาก บางคนมบี ีญญา ไม่เข้าร่วมใน สงครามล้างเผา่ พันธจุ งึ จัดหาสะสมเสบยี งพอเล้ยี งตัวได้ราว ๗วนั หลบหลกี กลมุ่ คนไป1 แอบชอ่ นตวั อยตู่ ามชอกเขา หบุ เขา ในท่ีหา่ งไกล เพอ่ี รกั ษาชวี ิตใหอ้ ยรู่ อด เม่ือครบ๗ วัน ผ้คู นล้มตายหมดล้นี เลือดนองแผ่นดนิ มแี ตช่ ากศพเกลื่อนกลาด พวกทีช่ อ่ นตวั อยูเ่ หน็ เงยี บเสยี งวิวาทสรั บกนั แล้ว ก็พากันออกมาจากที่ช่อน พอเห็นหน้ากน้ ่ ก็ดีใจสงสารรกั ใครซ่ งึ่ กนั และกนั ย่ิงนกั ที่ยังรอดตายอยู่เปน็ เพือ่ น พากนั รอ้ งไห้สวมกอดกนั ๒๖ ดอั งเป็นใหเั๋ ดั (สป่ เ๋ ชน่ ทระเๅทธเยา้ ) kalyanamitra.org
การเกดิ ขน ตั้ปือยู่ และดบั !ป ขอ(วจกั รวาล ต่างคนต่างเหน็ โทษของการทำปาณาติบาตฆา่ ฟันกนั เอง จงึ ปรึกษากนั ทำความดี ขอ้ นี้ คือใหท้ ุกคนเว้นจากปาณาตบิ าต เม่อื ทกุ คนเว้นจากการฆา่ ฟนั การเบียดเบยี น ลูกหลานของพวกเขาก็มีอายยุ นื ขึ้นอีกเท่าตัว เปน็ ๒๐ ปี ต่อจากนัน้ คนรุ่นต่อๆ มา กท็ ำความดีตา่ งๆ เพม่ิ ข้นึ เร่ือยมา ทํก็ให้อายขุ ยั ของมนุษย์เพิ่มขึน้ ทีละเท่าตัวตลอด จนถงึ อสงไขยปี แลว้ เกดิ ความประมาท ทำช่วั ใหม่ อายุก็ลดลงเปน็ ลำดบั จนเหลอื ๑๐ ปอี ีก ดงั เชน่ ตวั อยา่ งโลกมนุษย์เราทกุ วนั นี้ อายุของพวกเราจะลดลงเรอื่ ยจนไปถงึ ๑๐ ปี แล้วสูงขึน้ เรือ่ ยๆ ใหม่ จนกระทั่งอายมุ นษุ ยม์ ีกำหนด ๘ หมน่ื ปี สตรีมีอายุ ๕๐๐ ปี จงึ มคี รอบครวั เวลานน้ั มีความทกุ ข์เรื่องโรคภยั ไขเ้ จ็บอยเู่ พยี ง ๓ อยา่ ง คอื ความหวิ ความงว่ ง และความแก' ผูค้ นยงั ทำความดีเพ่ิมขนึ้ อายุยงิ่ ทวีตาม จนกระทง่ั อายุอสงไขยปี * ในสมยั มนษุ ย์มีอายุอสงไขยปี มองเห็นความแกค่ วามตายได้ยาก ความเจ็บไม่มี เลยทำใหเ้ กิดความประมาท ทฏิ ฐิมานะกเ็ กดิ อกี เวียนเปน็ วัฏฏจกั รของมนุษยใ์ น ยุคตน้ กปั ใหม่ มกี ิเลสเกดิ อายุมนุษยก์ เ็ ร่มิ ลดลงกระทัง่ เหลอื ๘ หมื่นปี เม่อื น้นั พระศรีอรยิ เมตไตรยสมั มาลม้ พุทธเจา้ จะเสด็จมาอบุ ัติข้ึนในโลก อันเป็นพระสัมมา- ลม้ พุทธเจ้าพระองคท์ ี่ ๕ องคส์ ุดท้ายในภัทรกัปน้ี เมอื่ พระศรีอริยเมตไตรยสมั มาล้มพุทธเจ้าทรงตัง้ พระศาสนาเรยี บร้อยและเสด็จ ดบั ขนั ธปรินิพพานไป พระพทุ ธศาสนาจะต้งั อยชู่ ว่ั เวลาหนึ่ง แลว้ จึงเสอ่ื มสูญ อายขุ อง มนษุ ยจ์ ะลดลงเร่ือยไปและไมม่ พี ระสมั มาลม้ พทุ ธเจ้าเสดจ็ มาตรสั รู้ทโ่ี ลกของเราอีก เม่อื ขาดหลักธรรมจากพระสัมมาลม้ พทุ ธเจ้าเสียแล้ว ผคู้ นยอ่ มมแี ต่กเิ ลสพอกพูน ธรรมชาติในโลกก็แปรปรวนไปตา่ งๆ กิเลสของมนุษยท์ ำลายสงื่ แวดลอ้ มในโลกใหเ้ ลวลง เร่อื ยๆ เตม็ ไปด้วยมลพษิ ทกุ หนทกุ แห่ง จนโลกตัง้ อยูไ่ ม่ได้ ตอ้ งพนิ าศลง ล้าหม่มู นุษยม์ ีกเิ ลสราคะแรงกล้า จกั รวาลถกู ทำลายด้วยไฟ ล้ามีโทสะ ถกู ทำลายดว้ ยนั้า (นํ้ากรด) ลา้ มโี มหะ ลกู ทำลายดว้ ยลม ลา้ จะคิดเป็นอตั ราสว่ นแล้ว มเี กณฑด์ งั น้ี ถูกทำลายดว้ ยไฟ ๗ คร้งั คร้ังท่ี ๘ จะถูกทำลายด้วยนัา้ เป็นดงั น้ีจนกระทงั่ ลูก ทำลายดว้ ยนํ้า ๗ คร้งั จงึ จะเป็นการลูกทำลายดว้ ยลมเสยี หนึง่ ครั้ง ‘ในจกั รวรรดิสูตร ที.ปาฎิ. กล่าวถงึ ตอนกัปเจรญิ ขน้ึ อายมุ นษุ ยจ์ าก ๑0ปี เจรญิ ขน้ึ ทีละหน่งึ เทา่ ตัว จนอายุได้ ๘ หมน่ื ปี พระศรอรยิ เมตไตรยจึงเสด็จอุบตั ิ แตใ่ นอรรถกถา กล่าวอธบิ ายไวว้ า่ เปน็ ชว่ ง อายไุ ขลง จากอสงไขยปี ลดลงเหลอี ๘ หมนื่ ปี พระศรอี ริยเมตไตรยสัมมาสัมพทุ ธเจ้าจึงเสดจ็ อุบตั ิ ตอ้ งเป็นใหั๋เต้ (ดงั เช่นทระททฺ รเย้ๆ) ๒๗ kalyanamitra.org
บททีสาม รวมแลว้ ในการที่จักรวาลเกดิ ขึน้ และแตกทำลายลงถงึ ๖๔ ครง้ั นน้ั จะถูกทำลาย ด้วยไฟ ๕๖ คร้ัง ดว้ ยนํ้า ๗ คร้งั และด้วยลม ๑ คร้ัง กำหนดเวลาทีโ่ ลกจะถกู ทำลาย ให้ดทู ีอ่ ายขุ ยั ของมนษุ ย์ คอื เม่ืออายุครง้ั แรก อสงไขยปแี ล้วลดลงเรื่อยๆ เรียกวา่ ไขลงจนถงึ ๑0 ปี แล้วเพิม่ ข้นึ เรียกวา่ ไขข้ึน จนถงึ อสงไขยปีอีกคร้ัง ไขลง ไขขนึ้ ดงั น้เี รยี กว่า ๑ อนั ตรกปั เม่ืออายุของโลกชมพูทวปี ครบ ๖๔ อนั ตรกปั และเวลานน้ั อายขุ ัยของมนษุ ย์กำหนดหนง่ึ พนั ปี สองอย่างนี้ประจวบ กนั เมอ่ื ใด เวลาน้ันจะเปน็ เวลาโลกพนิ าศ รายละเอยี ดเมอโลกถกู ทำลายดวั ยไทเ ก่อนโลกลูกทำลายแสนปี จะมีเทวดาประเภทหนึง่ เรียกว่า โลกพยุหเทวดา บุง่ หม่ ดว้ ยผ้าสแี ดง พากนั สญั จรเท่ยี วไปในมนุษยโลกประกาศป่าวร้องว่า อกี แสนปีขา้ งหนา้ โลกจะพนิ าศ รวมท้งั จักรวาลท้งั สนิ มแี ผน่ ดิน มหาสมุทร ภเู ขาจักรวาล (กั้นเขตแต่ละ จักรวาล) เขาสิเนรุ ตลอดจนเทวภมู ทิ ้ังหมด ไปจนถึงพรหมโลกชนั ปฐมฌานภมู ิ ขอให้ เรง่ บำเพ็ญคณุ งามความดอี ยา่ ประมาท เพ่อื ใหโ้ ปบังเกดิ ในสถานท่ๆี พ้นภัย เทวดาผูม้ หี นา้ ท่ปี ่าวประกาศเหล่านี้ มกี ำหนดเวลารอ้ ยปี ลงมาบอกยังโลกมนุษย์ หนึ่งครง้ั เมอ่ื เหลา่ มนุษย์และเทพยดาไดย้ นิ ข่าวกบ็ งั เกิดความสงั เวชสลดใจ เห็นอกเหน็ ใจ ซงึ่ กันและกนั รบี ป่าเพญ็ บญุ กุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะปา่ เพ็ญภาวนาเจริญพรหมวหิ าร เมตตา กรณุ า มุทติ า อุเบกขา ให้โด้ฌานสมาบตั ิ แล้วพากนั ไปเกดิ ในพรหมโลกชั้นที่ สูงกว่าทจ่ี ะถูกทำลาย แมแ้ ต่สตั วใ่ นอบายภมู ิทง้ั ปวง เม่อื มอี กศุ ลเบาบางลง ก็ไดม้ าเกิดเปน็ มนุษย์ ทราบขา่ วเร่อื งโลกพินาศ ก็รบี บำเพ็ญบุญกุศลดังกลา่ วแล้ว พากันไปเกดิ ในพรหมโลก ทำนองเดยี วกนั (ยกเว้นพวกทม่ี ีความเห็นผิด แนน่ แฟ้นแกไขตนเองไมไ่ ด้ จะต้องอยใู่ น อบายภูมิ พวกนจ้ี ะตายแล้วไปเกิดในอบายภูมิของจกั รวาลอนื่ ทยี่ ังไมพ่ นิ าศ) แตต่ ามความเปน็ จริงแล้ว คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐมคี วามเหน็ ผิด มักจะเปน็ เฉพาะ เวลามีชวี ิตเป็นมนุษยอ์ ยู่ เมือ่ ตายไปอยู่ในนรก ถูกลงโทษทกุ ข์ทรมาน ย่อมทราบ แจ่มแจง้ ถงึ ความเหน็ ผดิ ของตน รสู้ ำนกึ ละทิฏฐิเลวทรามเหลา่ นั้นได้ เม่ือพ้นโทษได้เกดิ เปน็ มนุษย์ ทราบขา่ วเรื่องโลกพนิ าศ ก็รีบเร่งบำเพ็ญฌาน เพอ่ื ไปเกิดในพรหมโลก เมือ่ โลกเรมิ่ พินาศ จะไมม่ ฝี นตกเลยเป็นเวลาข้านาน ด้นไมน้ ้อยใหญ่พากนั เห่ยี วแหง้ ลม้ ตาย ลว่ งเวลาตอ่ มา เมอื่ ดวงอาทิตยโ์ คจรลบั ฟา้ ไปแลว้ ควรจะเป็นเวลา ๒๘ ดอั 0IIIนใหเดั (ลังเชน่ ทระrเทธเชา้ ) kalyanamitra.org
ภูม ๓0 เนวสญั ญานาสัญญายตนะ (๘๔^00 ม.ก อากญิ จัญญายตนะ (๖0,0)00 ม.ก วญิ ญาณัญจายตนะ ๔0,๘00 ม.ก อรูปพรหม ๔ ชน้ั อากาสานัญจายตนะ (๒0^00 ม.ก อกนิฏฐา ๑๖,000 ม.ก. สทุ ัสสิ ๘,000 ม.ก. - อนาคามผี ลบคุ คลเกิดได้ สุทัสสา ๔,000 ม.ก. อตัปปา ๒,000 ม.ก. อวิหา ๑,000 ม.ก. รปู พรหม ซ๖ิ ชั้น เวหปั ผลา ๕00 ม.ก. อสญั ญตา ๕00 ม.ก. ปรติ ตสุภา ๑๖ ม.ก. อปั ปมาณสภุ า ๓๒ ม.ก. สุภกิณหา ๖๔ ม.ก. ตตยิ ๓ ปรติ ตาภา ๒ ม.ก. อัปปมาณาภา ๔ ม.ก. อาภสั สรา ๘ ม.ก. ทุติย ๓ ปารสิ ชั ชา ซิ/๓ อ.ก. ปุโรหติ า ซ/ิ ๒ อ.ก มหาพรหมา รุ) อ.ก. ปฐม ๓ ปรนิมมติ วสวตั ตี ๑๖,000 ป.ท. นมิ มานรดี ๘,000 ป.ท. ดุสิตา ๔,000 ป.ท. ยามา ๒,000 ป.ท. - เทวภูมิ ๖ ชน ดาวดึงสา ๑,000 ป.ท. จาตุมหาราชกิ า ๕00 ป.ท. มนุสส ๗๕ - ๑00 ป.ม. มนสุ สภูมิ ซิ นรก เปรต อสรุ กาย ดริ ัจนาิ น อบายภูมิ หมายเหตุ ม.ก. : มหากัป อ.ก. : อันตรกัป ป.ท. : ปที พิ ย์ ป.ม. : ปีมนุษย์ ชนั้ จาตุม. ๑ ป.ท. = ๑๘,000 ป.ม. ซิ วนั ในสวรรค์ ประมาณ ๕0 ปมี นษุ ย์ ดัอปืเปีนใกเั ดั (ดอั่ !ชน่ ทระทฺทรเย้า) ๒๙ kalyanamitra.org
บทท่สี าม กลางคนื แต่กลับไม่มี เพราะจะบังเกิดดวงอาทติ ย์ใหมข่ ึน้ มาอกี ดวงหนึ่ง ในจักรวาลเวลา นน้ั จึงไม่มีกลางคืนอีกต่อไป และดวงอาทติ ยด์ วงใหม่น้ี ไมม่ สี ุริยเทพบตุ รอยปู่ ระจำ เหมือนดวงอาทติ ยด์ วงเดิม จิงมคี วามรอ้ นรุนแรงกว่า (ในหลักวิทยาศาสตร์ ดวงอาทติ ย์ ดวงใหมอ่ าจเปน็ ดาวดวงอ่ืนทีย่ งั มีความร้อนลกุ เปน็ ไฟอยู่ โคจรเขา้ มาในจกั รวาลที่กำลงั เร่มิ พินาศ) ส่วนเหลา่ สรุ ยิ เทพบุตรในดวงอาทิตย์ดวงเดมิ กเ็ รง่ รีบทำความเพียร เจริญ ภาวนาใหไ้ ดฌ้ าน หนีไปบงั เกิดในพรหมโลกชนั้ สงู กันทั้งหมด เมื่อมีดวงอาทติ ย์เป็นสองดวงดังน้แี ลว้ ความรอ้ นเพมิ่ ข้นึ เปน็ เทา่ ตวั ท้องฟ้าจงึ ไมม่ เี มฆหมอกใดๆ เหลืออยเู่ ลย ในชมพทู วิปยงั เหลือแม่นาํ้ ใหญ่ทพี่ อมีนํ้าอยู่ ๕ สาย คอื แม่นาํ้ คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิ และสรภู นอกนน้ั เหือดแห้งหมด คนทัง้ หลายไมม่ ชี วี ติ เหลืออยู่อีก ต่างไปบงั เกดิ ในพรหมโลกกันหมด ลว่ งเวลาตอ่ มาอกี ขา้ นาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จงึ บังเกิดขึ้น แมน่ ํ้าทง้ั ๕ แห้งหมด เม่ือดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บงั เกดิ สระใหญ่บรเิ วณปา่ หมิ พานต์ (แถบภเู ขาหมิ าลัย) ซงึ่ มีนาํ้ ละลายจากหิมะขังอยแู่ ห้งทงั้ หมด น้าํ ในมหาสมทุ รของจักรวาลเร่มิ แห้งงวดลง เปน็ ลำดบั พอดวงอาทิตย์ดวงท่ี ๕บงั เกดิ นาํ้ ในมหาสมุทรแห้งหมดไมเ่ หลอื แม้องคุลี พอดวงอาทติ ย์ดวงที่ ๖ บงั เกิด แผน่ ดินภูเขาทงั้ หลายก็สนิ ธาตนุ ํา้ อันเป็นยาง เหนยี วเกาะกมุ กห็ ลดุ กระจาย กลายเปน็ ผ่นเป็นควนั คลงุ้ ตลบ ดังท่พี ระสมั มาสัมพุทธเจา้ ตรัส เปรียบไว้ว่า เหมือนช่างข้นหม้อเรียงภาชนะดนิ ดิบใส่ เข้า เตาเผา พอจุดไฟเผากเ็ กิด ควันฟง้ ตลบไปทวั้ เตา ถา้ จกั รวาลจะพนิ าศพรอ้ มกันทั้งแสนโกฏิจกั รวาลฝน่ ควันกจ็ ะฟ้งไปทวั้ ทง้ั แสนโกฏิ จกั รวาล เป็นอยู่ดังนีย้ าวนานนับเวลาไมไ่ ด้ ครน้ั แล้วเม่ือดวงอาทติ ยด์ วงที่ ๗ บงั เกิด โลกธาตุท้ังแสนโกฏิจักรวาลก็รุ่งโรจน์ โชตนิ าการลุกเป็นไฟขึน้ พรอ้ มกนั มเี ลยื งดังสน่ันด้วยการระเบดิ กกึ ถ้องกัมปนาทนา่ สะพรึงกลัว ยอดเขาพระสเุ มรุก็ถอดถอนหลดุ ลยุ่ กระจัดกระจายสูญหายไปในอากาศ เปลวไฟประลยั กัลป้เกดิ ท่ีมนษุ ยโลกกอ่ น แลว้ ลุกลามไปยงั เทวโลกชั้น จาตมุ หา ราชกา ดาวดงึ ส์ ยามา ดสุ ติ นมิ มานรดี ปรนมิ มิตวสวตั ตี หมดทง้ั ๖ ช้นั แล้วต่อขึน้ ไป ยังพรหมโลกชน้ั ตน้ ปฐมฌานภูมิ ๓ คอื พรหมปารสิ ัชชา พรหมปุโรหติ า มหาพรหมา แลว้ หยดุ อยูเ่ พยี งนนั้ ถา้ ครง้ั ใดจักรวาลถูกทำลายด้วยนํา้ จะพินาศไปถึงพรหมโลกทุตยิ ฌานภูมิ ๓๐ ต้ออเป็นไหไ่ ต้ (ดอ่ เช่นทร:ะเๅทธเยา้ ) kalyanamitra.org
การเกิด ดอั้ อยู่ และสบไป ขอเวจกั ิร'วาล ถ้าถูกทำลายด้วยลม กพ็ นิ าศเพ่ิมไปจนถงึ พรหมโลกตตยิ ฌานภูมิ พรหมภมู ิทเ่ี หนือจากตติยฌานภมู ิ ไม่มีสิง่ ใดทำลายได้ ไมว่ า่ อย่ใู นจกั รวาลใด เว้นแตต่ อ้ งจุตติ ามอายขุ ยั คือ ๕๐๐, ซิ,๐๐๐, ๒,๐๐๐ ไปจนถงึ ๘๔,๐๐๐ มหากปั (เป็น อายุของพรหมตัง้ แต่ช้นั เวหัปผลา จนถึงอรปู พรหมชัน้ สุดทา้ ย คอื เนวสัญญานาสญั ญา- ยตนะ) ไฟประลยั กลั ปท้ ่ีกลา่ วถึงน๋ไี หมอ้ ยู่เปน็ เวลาช้านาน ไม่มีส่ิงใดเหลอื อยู่เลยแม้ เพียงอณูเดียว เม่ือหมดสินเชอื้ เพลงิ แลว้ ไฟก็ดับลง เหลือแตอ่ ากาศว่างเปลา่ โลง่ ตลอด ถึงกันหมด มีสภาพดงั นไ๋ี ปนานแสนนาน ถา้ จกั รวาลลกู ทำลายด้วยน้ํา ไมม่ ีดวงอาทิตย์ดวงอ่ืนๆ เกดิ ชืน้ แตม่ ฝี นตกแทน ฝนมาจากเมฆนํ้ากรด (เมฆคงรวมสารเคมอี นั ตรายไว)้ ตกทลิ ะน้อยแล้วมากขึ้นๆ จนเตม็ ไปทง้ั จักรวาล และแสนโกฏจิ ักรวาล นํา้ กรดจะละลายทุกสงิ ทุกอย่างไม่มเี หลอื โดยมีลม พดั หอ่ ห้มุ ไมใหไหลไปทางอนื่ ให้ไหลสงู ข้นึ ไปเรือ่ ยๆ จนทว่ มถึงพรหมโลกทตุ ิยฌานภูมิข้นึ ไปจรดชัน้ สุภกณิ หาจึงหยดุ เม่อื ทำลายทกุ สงิ ทุกอยา่ งไมม่ เี หลือแมแ้ ตอ่ ณเู ดียวแล้ว นากรดนั้นจึงยุบแห้งอันตรธานไป อากาศเบ้ืองบนกับเบ้ืองลา่ งกต็ ่อเน่ืองเป็นอนั เดยี วกัน โลง่ ตลอด ถ้าจกั รวาลถกู ทำลายด้วยลม กไ็ ม่มีดวงอาทติ ยด์ วงอน่ื เกิดขนึ้ ทำนองเดียวกนั แตจ่ ะมลี มพดั มาแทน แรกๆ กเ็ ป็นลมพัดอ่อนๆ แล้วจงึ แรงข้นึ ๆ พดั เอาทุกส่ิงทุกอยา่ ง แม้แต่ตน้ ไม้ ก้อนหนิ ใหเ้ ลอ่ื นลอยไปในอากาศ แลว้ หมนุ ใหก้ ระทบกระท้งั กันจนแหลก ละเอียดสูญหายไปไม่มีเศษเหลอื สว่ นท่ใี ตพ้ นื้ ดินก็มีลมพดั หวนพลกิ แผน่ ดนิ ให้กระจุย กระจายไปกระทบระเบิดกนั เองกลางอากาศ จนละเอยี ดไม่มเี ศษแม้กระท้งั ภเู ขา แมน่ า้ํ ก็เป็นทำนองเดียวกันหมด ย่อยยับไมเ่ หลือแมแ้ ต่อณูเดยี ว จนเป็นอากาศโลง่ ไปจนถงึ ตติยฌานภูมใิ นพรหมโลก เวลาโลกเร่มื พินาศ จนกระทั้งไม,มอี ะไรเหลือ มแี ตค่ วามว่างเปล่า เวลาทม่ี ีแตค่ วามวา่ งจนกระทั้งมฝี นตกใหมเ่ พือ่ ท่จี ะเกิดจักรวาลใหม่ เวลาฝนเร่มิ ตก จนถงึ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทรเ์ กดิ ขึ้น เวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์เกิดขนึ้ จนกระทั้งมีการพนิ าศอกี ท้ัง ๔ ระยะเวลาเหล่าน้ี มคี วามช้านานเท่าๆ กนั เรียกวา่ อสงไขยกัป นานเท่ากบั ๖๔ อันตรกปั (อายขุ ยั ของมนษุ ยไ์ ขลงไขขนึ้ ซิ ครั้ง เรยี กว่า อันตรกัป) ดัองเปน็ ให!ดั (๙0เช่นทระทฺเารเยา้ ) ๓ซิ kalyanamitra.org
บทท่สี าม นับต้ังแตจ่ กั รวาลถูกทำลาย จนกระทงั่ เกดิ ใหม่ และพินาศอกี ครง้ั จงึ เปน็ เวลา ๔ อสงไขยกปั หรือ ๒๕๖ อนั ตรกัป นับเปน็ ซิ มหากัป ส่วนคำวา่ “กปั ” หมายถึงเวลาท่ยี าวนานนับประมาณไม่ได้ เปรยี บเหมือนมีภเู ขา แท่งคิลาทึบ กว้าง ยาว สงู อยา่ งละ ซิ โยชน์ (ประมาณ ซ๖ิ กโิ ลเมตร) ครบรอ้ ยปี มี เทวดาเอาผา้ ทิพย์ทบี่ างเบาราวกับควนั ไฟมาลบู ภูเขาน้ี ซิ ครัง้ เมื่อใดภูเขาสกี กร่อนจน เรียบเสมอพ้ืนดิน เรยี กวา่ ซิ กัป หรอื จะเปรียบเหมอื นบ่อใหญ่ กว้าง ยาว ลกึ อย่างละ ซิ โยชน์ ใสเ่ มลด็ พนั ธ ผกั กาดให้เตม็ ทกุ ๆ ๑00 ปี จะนำออกทง้ิ เสยี ซิ เมล็ด ต่อเมอ่ื ใดหมดบ่อจงึ เรยี กว่า ซิ กัป ก็ได้ คำว่า “กปั ” กับ “มหากปั ” ต่างกันดังทกี่ ล่าว ท้ังหมดนี้ คอื ความเป็นไปของจกั รวาล ตั้งแตเ่ รม่ิ กอ่ ตวั เกดิ ขนึ้ จนกระท่งั พินาศ ลง เป็นเหมือนกันเชน่ เดยี วกันทุกแหง่ ไป และเม่อื จักรวาลเหลา่ นีม้ ีจำนวนมาก ไม่มที ี่ สนิ สดุ นับไม่ถ้วน ชนิดทตี่ ้องเรียกวา่ อนนั ตจักรวาล ดงั นเ้ี มอ่ื ใดเราฝกื จิตมีคุณภาพดเี ตม็ ที่ ยอ่ มสามารถเหน็ ไดว้ า่ ขณะนี้จักรวาลบางแห่งกำลงั เกดิ อย่กู ็มีบางแหง่ กำลังถูกทำลายก็มี บางแห่งมพี ระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลงั แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ก็มี เป็นเรื่องปกดิ ธรรมดาของความเป็นไปของจักรวาล ๓๒ ต้อ0เป็นใหเต้ (ลงั เช่นทระเๆทรเย้า) kalyanamitra.org
บทที่^ จกั รวาล คือ กรงขงั สัตว์ บทค่ ๔ จกรวาล คอื กรอd0สดั ว จกรวาล เปน็ ทตี่ ั้งของภพภูมิทง้ั ๓๑ เราสามารถรเู้ หน็ ได้ด้วยการทำจิตให้ มีคณุ ภาพตามทีก่ ล่าวไวข้ ้างต้น หรอื ถา้ แม้ยังไม่มศี รทั ธาความเชอื่ ท่ีจะทำ กส็ ามารถ ประมวลจากเหตกุ ารณ์ต่างๆ ท่ีร้เู หน็ กนั อยู่ เชน่ เราเห็นสตั ว์ดริ ัจฉานมากมายหลายชนิด อยู่ทวั่ ไปในโลกของเรา เราไดย้ นิ ได้ฟิงเร่ืองของสตั วบ์ างภมู ทิ ีไ่ ม่ใชม่ นษุ ยเ์ หมือนเรา เช่น เรอื่ งผี เรอ่ื งเปรต อสุรกาย พระภมู เิ จ้าท่ี ชาวเมอื งลับแล ซงึ่ บางทีไม่ใช่เพยี งคำบอกเล่า แต่ตวั เราเองกลับมปี ระสบการณน์ น้ั เสียเองกม็ ี เช่นไดพ้ บเหน็ ด้วยตนเองหรือถา่ ยภาพ สถานทบ่ี างแห่ง เม่อื อดั ภาพออกมากลบั มภี าพคนที่ตายแลว้ ติดอยูบ่ า้ ง หรอื เปน็ รูปรา่ ง ของผ้อู ื่นที่ไม่รู้จกั และไมไ่ ดอ้ ย่ใู นสถานที่นั้นบ้าง ส่งิ ตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี ปน็ เครอื่ งยืนยันอยา่ งดีว่า นอกจากสัตวท์ เ่ี ปน็ มนษุ ย์อย่างเราแลว้ สตั วป์ ระเภทอื่นๆ มีอยู่ และถ้าเราได้พสิ จู นท์ างจิต เราจะสามารถรู้เหน็ ถงึ สัตว์ในภมู ิอน่ื ๆ ตรงตามคำตรสั สอนของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ทม่ี อี ยใู่ นตำรับตำราต่างๆ ทกุ ประการ ไมว่ ่าจะประมวลจากความรู้ทางตำราหรือจากการรูเ้ ห็นทางจิต ก็จะพบความ จรงิ อย่ขู อ้ หน่ึงวา่ มนุษยเ์ ปน็ สตั วท์ ม่ี อี ยู,เดมิ เหมอื นเป็นชีวิตพ้ืนฐานของจกั รวาล สัตว์ภูมอิ ่ืนๆ ลว้ นไปจากมนษุ ย์ทั้งสัน การจะกลายจากมนุษย์เปน็ สัตว์ภมู ติ า่ งๆ เหล่าน้ัน เพราะมีสาเหตุจาก กิเลสประเภทต่างๆ บบี ใจมนษุ ย์ ใจเมื่อถูกบีบ กจ็ ะทำกรรม กรรมเมอื่ กระทำไปแล้ว ก็จะเกดิ วิบากตามมา วบิ ากมอี ำนาจนำมนษุ ย์ เมอ่ื ตายไปแล้วให้ไปเกดิ ตามภพภูมิต่างๆ เช่น ทำความชั่วด้วยอำนาจ โลภะ มักไปเกดิ เป็น เปรต ทำความชั่วดว้ ยอำนาจ โทสะ มักไปเกดิ เปน็ สัตวน์ รก ดองเปน็ ใฯ!ด (ต้อเมน่ ทระกุทรเจาั ) ๓๓ kalyanamitra.org
tmท่ฟี ทำความชวั่ ดว้ ยอำนาจ โมหะ มกั ไปเกิดเป็น สตั วด์ ริ ัจฉาน ถา้ ทำความดพี อสมควร เชน่ รักษาศึล ๕ เป็นปกติ มักเกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ ยา่ งเดิม ถา้ ทำความดี ให้ทาน รักษาคีล และละอายเกรงกลวั บาป ตายแลว้ ไปเกดิ ใน เทวโลก ถา้ ทำความดี ใหท้ าน รักษาคลี ละอายเกรงกลัวบาปแล้ว ยงั เพม่ิ การทำจิต ภาวนา กระทง่ั มอี ารมณ์แนว่ แน่ เรียกว่าได้ ฌาน ยอ่ มสามารถไปเกิดเป็นพรหมชน้ั ต้า หรือสูงตามระดับของฌานจติ หลกั ฐานจากเรอ่ื งการกำเนิดของจักรวาลหรอื โลกธาตุ กย็ นื ยันไว้แน่นอนวา่ เมื่อ จกั รวาลอุบัตมิ แี ผ่นดนิ ในชมพทู วปี เกดิ ขนึ้ พรหมในชั้นอาภัสสราภูมิทีห่ มดบญุ หรือหมด อายุขยั ไดล้ งมาเกดิ เป็นมนษุ ยใ์ นยคุ ต้นกัป และถา้ จะยอ้ นถามว่า เหล่าอาภัสสราพรหมเหล่านน้ั แต่เดมิ มาจากไหน กต็ อบได้ ว่ามาจากมนุษย์ท่ีบำเพญ็ เพยี รทางจิตจนไดฌ้ าน มนษุ ย์จึงนับเปน็ สัตว์พืน้ ฐานของจกั รวาลจรงิ ๆ แต่มนุษยม์ ปี ญั ญาความรอบรอู้ ยู่ในเขตจำกัดมกั รเู้ ฉพาะในประสบการณ์ชีวติ ของ ตนท่ีผ่านมาในปัจจุบนั ชาติน้เี ทา่ นน้ั ไมร่ ู[้ ปถึงชาตใิ นอดีตและชาติต่อไปในอนาคต มีบ้าง บางรายเชน่ ฤๅษชี ีไพร บำเพญ็ เพยี รทางจิตพอรู้ใดบ้ า้ ง ก็ไม่ถึงสภาวะที่เรยี กว่ารอบรู้ เพราะระลึกชาติยอ้ นหลังหรอื ไปขา้ งหนา้ ได้มีจำนวนชาติจำกัด ความรทู้ ่ีไดไ้ ม่กว้างขวาง ถ่องแท้ไม่ถูกตอ้ งเต็มที่ หรือสตั วบ์ างภมู ิ เช่น สตั ว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม เหล่าน้ี เวลาเกิด ขนึ้ ไม่ไดเ้ กดิ ในครรภ์มารดาเหมือนเหลา่ มนษุ ย์ แต่เกิดผดุ เปน็ ตวั โตเตม็ ท่ีทนั ที สตั วเ์ หลา่ นี้ สามารถจำเหตุการณใ์ นชาตเิ ก่าของตนได้ กจ็ ะจำไดเ้ พียงชาตเิ ดียว ทเ่ี พิ่งตายมาหรือ ไมก่ ช่ี าตยิ ้อนหลงั ไม่รู้ถึงอนาคต เม่อื เป็นเช่นนี้ เหลา่ มนษุ ย์หรือแมส้ ัตวใ์ นสคุ ตภิ มู อิ ่นื เชน่ เทวดาหรือพรหม ย่อม ไม่สามารถร้ไู ด้ว่าภพสามเป็นทค่ี ุมขังพวกตน ใหว้ นเวียนตายแลว้ เกดิ เกดิ แลว้ ตายไม่มี วนั จบสนิ เกดิ คร้งั ใดไมม่ ที างรอดพ้นจากความทุกข์เลยแม้แตค่ รัง้ เดยี ว ความทกุ ขเ์ ป็น สภาพท่ีทนไดย้ าก รูจ้ กั กนั ดกี จ็ รงิ แตไ่ มร่ วู้ ิธดี ับทุกข์ กระทั่งถึงยุคสมัยทม่ี พี ระสมั มาสัมพุทธเจา้ เสดจ็ อปุ ต้ ตรัสรู้ขึ้นในโลกมนษุ ย์ชมพทู วปี พระปัญญาคุณของพระองค์กว้างขวาง ไม่มขี อบเขตจำกดั ไมม่ ีประมาณ ทรงทราบความ เปน็ ไปของสรรพสิงและสรรพชีวิตทง้ั ปวงทรงรแู้ จง้ เหน็ แจง้ พระนพิ พาน ซึ่งอยูน่ อกสามภพ เปน็ ทไี มม่ ีเกิดไม่มีตาย ตลอดถงึ ทรงทราบวธิ ปี ฏบิ ัตเิ พื่อการเลิกเวียนว่ายตายเกิด ๓๔ ตอง11เนให1ด (ลงั เชน่ ทระทุทธเอา) kalyanamitra.org
จักรวาล ศอ กรอป๋อสัตว์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยงิ่ ใหญน่ นั้ เหล่าเวไนยสัตว์ สัตว์ทีพ่ อรบั คำสอนไดจ้ ึงได้ มโี อกาสปฏบิ ัติตาม และได้พบความหลดุ พน้ จากท่คี ุมขังอนั กวา้ งใหญ่นี้ ถึงความสินทุกข์ ทกุ ข์ใหญๆ่ ของสรรพสตั วใ์ นภูมติ ่างๆ คอื สัตวน์ รก ทกุ ขเ์ พราะถกู ลงโทษ ทรมานด้วยประการต่างๆ เช่น ศาสตราวุธ ไฟกรด นาั้ กรด นายนิรยบาลประหาร สุนขั นรก กานรก(นกชนิดหนง่ึ ) ฯลฯ เปรต ทุกขเ์ พราะความหิวโหย ความห่วงใยในคนทยี่ งั อยู่ อสุรกาย ทุกขเ์ พราะความหวาดกลวั ไม่มีทีอ่ ยู่ ท่กี นิ ดริ ัจฉาน ทุกขเ์ พราะเร่อื งหาอาหารใสท่ ้องเป็นสำคญั มนุษย์ ทกุ ข์เพราะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศรา้ โศกเสยี ใจด้วยเรอ่ื งราวต่างๆ เทวดา ทุกข์เพราะมีสมบัตทิ พิ ยไม่เท่าเทยี มผอู้ นื่ (ตดิ อยู่ในกามคณุ อารมณ์) พรหมทุกขเ์ พราะตอ้ งแขง่ ว่าใครจะมีรศั มีสวา่ งไสวกว่ากัน(มสี ักกายทิฏฐแิ ละมานะ) อย่างไรกด็ ี สรรพสัตว์ทกุ ชวี ติ ไม่ว่าจะเกิดในภพภมู ใิ ดๆ มกั จมอยกู่ ับทุกข์ในภพ ที่ตนอยูจ่ นเปน็ ความเคยชิน มองทุกขไมพ่ บ เมื่อไมพ่ บกไ็ ม่คิดจะหลกี หนี ทงั้ ยังแกไขไป ผิดวธิ ีย่งิ ขึ้น เหมือนปว่ ยเป็นไขไ์ ม่รู้ว่าป่วย ก็ยิ่งหาแต่ของแสลงโรคใหต้ นเอง อาการของ โรคจึงเพียบหนกั เมื่อใดมนษุ ย์มีปัญญาเห็นทุกข์ รจู้ กั ทกุ ข์ เม่ือน้ันกจ็ ะร้จู กั พยายามหาต้นเหตุ ของทุกขใ์ หพ้ บแลว้ กำจัดเสีย ปญั ญาชนิดนีเ้ กิดเองไดย้ าก ถา้ มีผทู้ ม่ี ปี ญั ญาเหนือกว่า ชแี้ จงแนะนำ บอกหนทางให้ก็จะทำตามไดง้ า่ ยและสะดวก เหลา่ พระอรยิ เจา้ ทง้ั ปวงเปน็ ผ้มู ปี ัญญาพิเศษดงั น้ี จงึ มีพระคณุ อนั ยงิ่ ใหญ่ สามารถชี้นำสรรพสตั ว์ใหพ้ นั ทกุ ขได้ คำสังสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั แสดงไวเ้ พอื่ ให้ผู้ปฏบิ ตั ติ ามบรรลุมรรคผล นพิ พานเลกิ เวยี นวา่ ยตายเกดิ นนั้ ไม่วา่ จะเป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองค์ใดกต็ าม ก็ ทรงสอนเหมอื นกนั ท้ังสนิ โดยมิได้ทรงสอนความรู้ทง้ั หมดท่ีพระองค์ทรงรู้แจง้ หรอื รอบรู้ แตส่ อนเฉพาะข้อทจ่ี ำเป็นจรงิ ๆ ทใี่ หเ้ ปน็ ประโยชนเ์ ทา่ นนั้ พระองค์ทรงเปรียบเทียบวา่ ความรทู้ ี่ทรงมีอยู่มากเหมือนใบประดู่ลายทง้ั ป่า แต่นำมาสอนเพียงเท่าใบประด่ลู ายเพยี ง กำมือเดยี ว หลักคำสอนของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์ มใี จความสำคัญวา่ ๑. ไมท่ ำความช่ัวทงั้ ปวง ๒. ทำแต่ความดีใหเ้ ตม็ ที่ และ ๓. ทำจิตของตนให้ ผอ่ งใสบริสทุ ธ๋ึ ตอั อเปน็ ใหเั๋ ดั (ดั่ปเื ชน่ ทระททรเจา) ๓๕ kalyanamitra.org
บทที่ท่ี และขันติ(ความอดทน อดกลัน้ ) เป็นตบะ(ความเพียรเผากเิ ลส) อย่างยงิ่ พระนิพพาน(การเลกิ เวียนวา่ ยตายเกิด) เปน็ บรมธรรม(ธรรมท่ียิ่งใหญ่) ผู้ทำรา้ ยคนอนื่ ไม่ช่ือวา่ เปน็ บรรพชติ (นักบวช) ผเู้ บียดเบียนคนอ่ืนไมช่ อื่ วา่ สมณะ (ผสู้ งบปฏิบีตเพ่ือเปน็ พระอริยบคุ คล สนิ กิเลส) การไม่กลา่ วรา้ ย การไมท่ ำรา้ ย ความสำรวมในปาติโมกข(์ ข้อห้ามทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงบัญญตั ิ) การรจู้ ักประมาณในการบรโิ ภค การรจู้ ักนอน นั่งสมาธิในทีส่ งัด นเี้ ปน็ คำสอนของพระพทุ ธเจ้าท้งั หลาย ส่วนใหญแ่ ลว้ เราถือ ๓ ขอ้ ต้น เปน็ ใจความสำคญั ของคำสอน คำสอนต่างๆ ท่ี พบวา่ มมี ากมายนอกจากนน้ั เป็นการสอนขยายความใหช้ ัดเจนยงิ่ ขนึ้ เชน่ ความชว่ั ท้ังปวงมีอะไร ขยายความเป็น ช่ัวทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรยี ก ว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ความดีเตม็ ที่ ขยายความเป็นบญุ กริ ิยาวตั ถุ ๑๐ ทำจติ ให้บรสิ ุทธ๋ผึ อ่ งใส ขยายความเป็นเร่อื งการทำความเพียรทางจิต ด้วยการ ทำสมาธิและวิปสั สนา หลกั คำสอนของพระสมั มาลม้ พทุ ธเจ้าทีเ่ ปน็ หวั ใจดังทก่ี ล่าวน้ีก็จริง แตว่ ธิ กี ารสอน พระองค์ทรงมหี ลายวิธตี ามความเหมาะสม เช่น สำหรับผูท้ มี่ คี ณุ งามความดีเป็นพน้ื ฐานของใจอยูแ่ ล้ว ทรงสอนเรอื่ งการปฏบิ ตั ิ ทำความเพยี รทางจิตเลย และการสอนเรอื่ งภาวนา ทรงสอนให้พอเหมาะพอดีกบั อุปนิสยั และวาสนาบารมีทง้ั ชาตนิ แ้ี ละชาตกิ ่อนของผู้นั้น สำหรบั ผู้ท่ียงั มีข้อขอ้ งใจสงสัย ทรงมีพทุ ธานุญาตใหไ้ ต่ถามจนสนิ สงสัยแลว้ จงึ ตรสั สอน สำหรบั ผมู้ ีทุกข์รอ้ นเศรา้ โศกไม่ว่าเรื่องอะไร ทรงสอนหรือมอี บุ ายวธิ ีใหผ้ ้นู นั้ ปลง ได้เสิยกอ่ นจึงตรสั สอน สำหรับผ้มู อื นิ ทรียย์ งั ไมแ่ ก่กลา้ คอื ยังมบี ญุ นอ้ ยอยู่ ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ในชาตินี้ ทรงสอนให้สะสมศวามดี สรา้ งบารมดี า้ นต่างๆ เพ่ือประสบความสำเร็จในชวี ติ และพ้นทุกขใ์ นอนาคตเบื้องหน้า ถา้ สอนรวมกนั ในทผ่ี คู้ นมหี ลายชนิด มักตรัสสอนเรยี งลำดบั จากงา่ ยไปหายาก ที่เรียกว่า อนุปุพพีกถา ฟอกหรอื ขัดเกลาอธั ยาศยั ให้หมดจดเปน็ ข้ันๆ เพ่อื เตรียมจติ ของผู้พีงใหพ้ รอ้ มทจี่ ะรับพีง ข้นั แรกทเี ดยี ว สอนเรอื่ งทาน ข้ันทส่ี อง สอนเรอ่ื งคลี ๓๖ ดอั ฮเซนใหึเด้ «ร0่ เชน่ กระทฺทธเย้า) kalyanamitra.org
จกั รวาล คอิ กร(วยงั สัตว์ ขัน้ ทส่ี าม อธบิ ายเรอ่ื งสวรรค์ คอื ผลของการทำความดจี ะมีความสขุ ที่พร่งั พรอ้ มดว้ ยกาม ขน้ั ทสี่ ี่ พรรณนาโทษของกามคณุ ข้ันทห่ี า้ พรรณนาอานสิ งสข์ องการออกจากกาม คำตรสั สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่วา่ จะขนึ้ ตน้ ด้วยเรือ่ งใดๆ กต็ าม จะทรงสรุปท้ายด้วยเร่อื งอริยสจั ๔ เสมอไป เพราะเรอื่ งนีเ้ ปน็ ความจำเปน็ อันยงิ่ ยวด ท่ีมนษุ ยค์ วรทราบและปฏิบตั ติ าม เพ่ือความสินทุกข' เลกิ เวยี นว่ายตายเกดิ อริยสจั ๔ คอื ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการน้นั พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ ดังน้ี ซิ. ความทกุ ข์ ซ่งึ เป็นสภาพท่ีทนไดย้ าก มที ุกข์กาย ทกุ ขใ์ จ เป็นตน้ ๒. เหตุใหท้ กุ ข์เกิด คือ ตณั หา ความทะยานอยาก ความด้นิ รนเป็นอำนาจของ โลภะบบี คน้ั ๓. สภาพความปลอดทุกข์ คอื พระนิพพาน ดับตัณหาดน้ิ เชงิ เรยี กวา่ นโิ รธ ๔. ขอ้ ปฏบิ ัตใิ หถ้ งึ ความดับทุกข์ ต้องทำพร้อมกันทั้ง ๘ ประการ เรยี กว่า อรยิ มรรคมี องค์ ๘ คอื ทำลกู ตอ้ งเรอื่ งความคิดเห็น ความดำริ วาจา การงานทางกาย การเลีย้ งชีพ ความเพยี ร มีสตริ ะลึกได้ มสี มาธจิ ิตต้ังมนั่ นคี่ อิ คำตรัสสอนของพระสัมมาสมั พุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่วา่ จกั รวาลใด กัปใด ทรงสอนเหมอื นกันหมดทั้งด้นิ ความคดิ เห็นถูกตอ้ ง คือ เห็นถูกตอ้ งในอรยิ สัจ ๔ เห็นตามหลักกฎของกรรม ทำ ดีไดด้ ี ทำช่วั ได้ชั่ว มารดาบิดามีคุณ การทำบญุ มผี ลดี ชาตินช้ี าตหิ น้ามี ตายแลว้ ต้องเกดิ ลา้ ยังไม่หมดกิเลส สตั ว์ที่เกิดโดยโตเป็นตัวเต็มท่ี เชน่ สตั ว์นรก เปรต เทวดา พรหม มีจริง สมณพราหมณ์ที่ร้แู จ้งโลกหนา้ มอี ยู่ ขนั ธ์ ๕ คือ ร่างกายและจิตใจไม่เทยี่ งแท้ แน่นอนเปน็ ตน้ ความดำริถกู ตอ้ ง คอื ดำรอิ อกจากกาม ออกจากความโลภ ดำรอิ อกจากความ พยาบาท ดำริไม่เบยี ดเบยี นใคร วาจาถกู ตอ้ ง คือ เว้นจากการพดู ปด พดู สอ่ เสียด พดู เพ้อเจอ้ พูดคำหยาบ การงานถกู ต้อง คอื เวน้ จากการฆ่าหรือเบียดเบียน การลกั ขโมยคดโกง การ ประพฤติผิดในกาม อาชีพถกู ตอ้ ง คอื ประกอบอาชีพทเ่ี วน้ จากวจีทจุ รติ และการงานทจุ รติ ความเพยี รลูกตอ้ ง คอื เพยี รกำจดั ความช่วั ทมี่ ี ไม่ให้ความชว่ั ใหมเ่ กดิ รักษา ความดีทีม่ ี ทำความดีเพิม่ ขนึ้ คอั งเปน็ ใหเด้ (สปั๋ ่เช่นทระทฺทธเย้า) ๓๗ kalyanamitra.org
บทท่^ี มสี ดลิ กู ตอ้ ง คือ ระลกึ ในการปฏิบัตภิ าวนา เหน็ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิต ในจติ และธรรมในธรรม สมาธิถูกตอ้ ง คือ ตัง้ ใจม่นั ในการใหอ้ ารมณเ์ ป็นหนึ่ง จนเกดิ ฌานจติ ต้ังแต่ข้ัน ท่ี ร)ุ -๕ ความดตี า่ งๆ เหล่านี้ แม้จะลงมอื กระทำจนเต็มความสามารถในชาติน้แี ลว้ กย็ ัง ไมส่ ามารถบรรลคุ ุณวเิ ศษเปน็ พระอริยบุคคล แตจ่ ะเป็นการสัง่ สมบญุ เม่อื บุญมากเขา้ บญุ ก็จะกลนั่ เปน็ บารมีท้ังสิบ บารมสี บิ มเึ ตม็ เปียมบริบรู ณ์ในภพชาติใด เม่ือนัน้ ฟงั คำ ตรัสสอนหรือคำสอนของพระพทุ ธศาสนา กส็ ามารถปฏบิ ัติตามบรรลเุ ป็นพระอริยบคุ คล ทันที บารมที ง้ั สิบไดแ้ ก่ ทาน คีล เนกขมั มะ(ออกจากกาม) ปญั ญา วริ ิยะ ขันติ สจั จะ อธษิ ราู น เมตตา อุเบกขา บารมี มี ๓ ระดับ ขน้ั ตน้ ข้ันกลาง ขนั้ สูงสุด ถ้ามนษุ ย์ธรรมดา สะสมบารมขี นั้ ธรรมดาครบสบิ เพียงพอต่อการบรรลธุ รรม แตถ่ ้าเปน็ การสรา้ งสมบารมขี องพระสมั มาลม้ พุทธเจ้า ตอ้ งสร้าง ท้ัง ๓ ระดับ เรียกวา่ บารมสี ามสิบทศั และมหาบริจาค ๕ อยา่ ง ๓๘ ต้อ(วเปน็ ใฟัด้ (ตอ้ เชนํ ทระ:Hทธเจา) kalyanamitra.org
การเวียนว่ายตายเกดิ ของพระโพธิสตั วเ์ พ่ือสรา้ งบารมี ดัออเปน็ ไห่’เดั (ดOlrfuทระททฺ 8เจา้ ) ๓๙ kalyanamitra.org
บทท่หี า้ บทท ๕ ทระสัมมาสบั ทุท8เจัาคอศหู าทา09อกจาก กร000สำเรจ็ และทาศูอนออกไดดั วั ย พระสัมมาล้มพุทธเจา้ ทกุ พระองค์ทที่ รงอบุ ตั บิ ังเกดิ ขึน้ ในโลกแตเ่ ดมิ กเ็ ป็นมนุษย์ ท่ัวไปอยา่ งเราๆ ทำดบี ้างทำช่วั บา้ งคละเคล้ากันไป แลว้ ก็เวียนว่ายตายเกดิ อยู่ ภพโน้น บ้างภพน้บี า้ ง เวยี นอยทู่ งั้ ๓๑ ภูมิ นบั เวลายาวนานประมาณไม่ไดว้ ่ากล่ี า้ นชาติ ไมท่ ราบ ชาติแรกและชาดสิ ดุ ทา้ ย ถกู ความทุกขใ์ นการเกดิ ๆ ตายๆ ครอบงำอยูต่ ลอดมา จนกระท่งั มอี ยู่ชาติหนึง่ เกิดความรู้สีกเบ่ือหนา่ ย มองเหน็ ความทกุ ขข์ องชวี ติ ใคร่อยาก หาทางหลดุ พน้ จากความทุกข์ และล้าพบทางหลุดพัน เมอื่ ใดตนเองปฏบิ ัตสิ ำเร็จแล้ว จะตอ้ งชว่ ยเพอื่ นมนุษยด์ ้วยกันให้รอดพน้ ด้วย ต้งั แต่น้นั มา ก็ลองผดิ ลองถูก คน้ หาหนทาง พน้ ทุกข์ ชาตแิ ลว้ ชาติเลา่ ที่เกิดข้ึน เวลาใดที่ตัง้ ใจดังกลา่ วแล้วน้ี เรียกวา่ ผ้นู นั้ เปน็ พระโพธสิ ัตว์แล้ว เพียงแตย่ ังมี สภาพไม่แนน่ อน บางชาตอิ าจหลงลมื พลาดพล้ังไปทำบาปกรรมขน้ึ มาใหม่ ต้องกลบั ไป รับผลกรรมในอบายภมู ิ เสียเวลาคน้ ควา้ หาทางพน้ ทกุ ข์ บางคร้ังเป็นเวลาหลายๆ หมนื่ ปี เมื่อมีสติปัญญานึกได้เร่ิมกระทำใหม่ กลับไปกลับมาลองผิดลองถูกอยเู่ ป็นเวลายาวนาน คำนวณนบั กันไมไ่ ด้ จึงเรียกกันวา่ เป็นกัป จนกระทงั่ สะสมความตงั้ ใจและบำเพ็ญ คณุ งามความดีได้เตม็ ท่ี พอได้มโี อกาสเกิดมาพบพระสมั มาสมั พุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่งเข้า ในชาตนิ ้เี อง ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลใหญใ่ นสำนกั พระทีปังกรสัมมาสัมพทุ ธเจ้า และพระองค์ทรงพยากรณ์ใหว้ า่ จะไดเ้ ป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระองคใ์ ดพระองค์หน่งึ ในอนาคตกาล นับจากน้ันจะกลายเปน็ พระโพธสิ ัตว์ชนิดถาวร เรยี กว่า “นยิ ตโพธสิ ัตว”์ ใจแน่วแนม่ ั่นคงไม่กลบั ไปกลบั มาอีก เทีย่ งแท้แนน่ อนท่ีจะไดเ้ ปน็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เมือ่ ได้รบั พุทธพยากรณด์ ังน้ีแลว้ พระโพธสิ ตั วน์ น้ั จะไมบ่ งั เกิดในภพภมู ิท่ีอาภพั อกี เลย ไมเ่ กดิ เป็นชีวีตทม่ี อี ปุ สรรค หรอื เสียเวลาสรา้ งบารมี คอื จะไม่เปน็ ๔๐ ตัออเป็นใหเ๋ั ดั (ด๖เชน่ nระเๅทรเย้า) kalyanamitra.org
กระสัมมาสบั ททุ ธเจัาคือผัหาทา09อกจากกรงฮ0ั สำเรจ็ และทาผอั นออกาดดั วั ย ๑. คนปา่ เพราะไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ไม่พบกัลยาณมติ รให้คำแนะนำช้ีทาง ตักเตือน ๒. เทวบุตรมาร ซ่งึ เป็นเทวดามจิ ฉาทิฏฐิ เชน่ เชือ่ วา่ ชีวิตเวยี นวา่ ยตายเกิด เป็นของดี ไม่เหน็ ความจรงิ ๓. อสัญญีสัตตาพรหม พรหมทม่ี ีแต่รูปร่าง ไมม่ คิ วามร้สู ึกนึกคิด ทำใหป้ ัญญา ไมเ่ จริญงอกงาม ๔. สทุ ธาวาสพรหม พรหมทีเ่ ป็นพระอนาคามีบุคคลแลว้ จะต้องบรรลุเปน็ พระอรหนั ต์ในไม่ช้า ๕. มนุษย์ทวปี อนื่ ทไี่ ม่ใชช่ มพทู วีป เพราะทีน่ ั่นไม่มพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั รู้ ไม่มีพระพุทธศาสนาเกิด 'ร. อรปู พรหม เปน็ พรหมท่ที ำฌานจติ ดว้ ยเอาสิงทไ่ี ม่มรี ปู มากำหนดเป็นอารมณ์ มีอายุยืนมาก เสียเวลา ไมม่ ีประสาทหปู ระสาทตาพิงธรรม ๗. ผู้หญงิ เปน็ เพศทีม่ ีจติ ใจไมใ่ ครเ่ ข้มแขง็ สรา้ งบารมีไต่ไม่มาก ร่างกายเป็น อปุ สรรค ๘. คนบอด หนวก ใบ้ ความพกิ ารทำใหแ้ สวงหาความรู้[ดย้ าก ไมม่ ีอวัยวะใช้งาน ๙. ลูกทาส ไม่มีอิสระแก่ชีวติ ไม่เป็นไทแกต่ น ทำสิงใดไดย้ าก เพราะอยู่ใน ความควบคุมของผู้อ่ืน ๑๐. คนโรคเร้อื นกฏุ ฐงั มที ุกขเ์ พราะโรคภยั ไขเ้ จ็บ ใจไม่ผ่องใส ไม่มีกำลังใจ สร้างบารมเี ต็มท่ี ๑๑. เป็นกะเทย ใจไม่เข้มแขง็ ออ่ นแอโลเล ขาดฉนั ทะความพอใจ ศรัทธาเกิด ได้ยาก ๑๒. เปน็ คนทำปัญจานันตรยิ กรรม กรรมหนัก ๕ อย่าง คือ ฆ่าพ่อ ฆา่ แม่ ฆา่ พระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าให้หอ้ พระโลหิต ทำสงฆ์ใหแ้ ตกแยก ตายแลว้ ตอ้ งไปเกดิ ใน อเวจมี หานรก ช้านานมาก ๑๓. สัตว์ในโลกนั ตรยิ นรก นรกขุมน๋ึไม่มกี ำหนดอายุ ทกุ ขท์ รมานมาก อยขู่ อบ เขาจักรวาล มดี สนิท เสยี เวลาสร้างบารมี ๑๔. สตั ว์ในอเวจมี หานรก เพราะมอี ายุถงึ ๑ อันตรกปั เสียเวลาสรา้ งบารมี ๑๕. เปรต ๓ ประเภท ทีม่ คี วามทกุ ขม์ าก อายุยินมาก ถา้ จะเกดิ กเ็ กดิ เป็นเปรต ตอ้ งเป็นใหเด้ (สปิ่ ๋เฒท่ ระทฺทรเจา้ ) ๔๑ kalyanamitra.org
ทมี่ ีชวี ิตดว้ ยการขอสว่ นบุญของญาติเพยี งประเภทเดียว (ปรทัตตุปชวี กิ เปรต) ซ๖ิ . สตั วท์ เ่ี ลก็ กว่านกกระจาบ และโตกว่าชา้ ง สัตว์เล็กเกนิ ไป มันสมองนอ้ ย ปัญญาพลอยน้อยไปดว้ ย สัตวท์ ่ีตวั โตมาก เวลาส่วนใหญ่หมดไปดว้ ยการหาอาหารกนิ ก็ หาได็ไม่พออิ่มในแตล่ ะวนั ไมม่ เี วลาสรา้ งปัญญาหรือพฒั นาสมองแตอ่ ย่างใด ซ๗ิ . พระอริยบคุ คล ในระหว่างเวลา ๔ อสงไขยแสนมหากัป อนั เป็นเวลาทีน่ อ้ ย ทสี่ ุดในการสรา้ งบารมฺ ีเป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถ้าเป็นพระอริยบุคคลแลว้ แมแ้ ต่ข้ัน ตาสดุ พระโสดาบนั บุคคล ก็จะใชเ้ วลาเกดิ อีกอยา่ งมากไมเ่ กิน ๗ ชาติ จะตอ้ งบรรลเุ ปน็ พระอรหันต์แล้ว จงึ หมดโอกาสตรัสร้เู ปน็ พระพุทธเจา้ การเวยี นวา่ ยตายเกิดของพระโพธสิ ัตว์เพือ่ สร้างบารมีนัน้ แตล่ ะคนใชเ้ วลามาก น้อยไมเ่ ทา่ กัน แล้วแตป่ ระเภทของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ บางพระองค์ตรสั ร้ดู ว้ ยทรงมพี ระวิริยะอนั ยงิ่ ยวด เรียกวา่ วรี ิยารกิ สัมมาสัมพุทธเจา้ ใชเ้ วลานานมากทส่ี ุดถึง ซ๖ิ อสงไขยแสนมหากปั บางพระองค์ตรสั รูด้ ้วยทรงมีพระศรัทธายิ่งยวด เรยี กวา่ ศรทั ธารกิ สมั มาสมพุทธเจา้ ใชเ้ วลานานรองลงมาคร่ึงหน่ึงคือ ๘ อสงไขยแสนมหากปั บางพระองค์ตรสั รูด้ ้วยทรงมีพระปญั ญาเปน็ เลิศ เรยี กว่า ปัญญารกิ สมั มาสมั - พุทธเจา้ ใช้เวลาน้อยทส่ี ุด เพยี ง ๔ อสงไขยแสนมหากปั เท่าน้ัน พระสมณโคดมสมั มา- สัมพทุ ธเจ้าในกปั ท่ีเรามีชีวติ อยู่นี้ ทรงเป็นแบบพระปญั ญาธิกสมั มาสัมพทุ ธเจ้า การเวยี นวา่ ยตายเกิดเพ่ือสร้างบารมีของพระโพธสิ ตั วท์ ุกพระองคไ์ มใ่ ช่วา่ จะ ได้เกดิ เรนมนษุ ย์เสมอไป บางชาตกิ ็เกดิ เป็นสตั ว์ในสคุ ติภมู ิ เชน่ เทวดา พรหม บางชาติ กเ็ กดิ ในทุคติภูมิ เช่น เปรต อสรุ กาย ดริ ัจฉาน แต่ด้วยธาตธุ รรมของพระโพธิสตั ว์ทม่ี อี ยู่ ในใจ เมือ่ ไดเ้ กิดเปน็ อะไรกต็ ามอยใู่ นวิสัยสรา้ งบญุ บารมีเพิ่มเดิมได้จะกระทำโดยเตม็ กำลงั เหนือสตั วธ์ รรมดาประเภทเดยี วกันทนั ที พระสัมมาสัมพุทธเจา้ สมณโคดมของเราทรงเปรยี บเทียบความยาวนานของการ บำเพ็ญบารมไี ว้ว่า ถา้ เอากระดกู ของตนเองท่ตี ายแล้วทุกๆ ชาติมารวมกนั ไว์ได้ กอง กระดกู จะสูงกวา่ ภูเขาสเิ นรอุ ันเป็นแกนจักรวาล ถ้าเกบ็ นํ้าตาของตนเองท่ีรอ้ งไห้เพราะ ความทกุ ข์ทไี ดร้ ับในแต่ละชาตไิ ว์ได้ นาํ้ ตาจะมจี ำนวนมากกว่านา้ํ ในมหาสมทุ รทง้ั ๔ โลก มนุษยท์ ม่ี อี ยู่ในจกั รวาล ถ้าเอาจำนวนดวงตาของตนเองทค่ี วกั บริจาคเปน็ ทานอุปบารมี ในทุกชาตทิ ่ที ำไว้มารวมกันยงั มากกวา่ ดวงดาวท่ีเหน็ อยู่ในฟากฟา้ น่เี ปน็ ชีวติ ของ พระโพธิสตั ว์ทีต่ ้องเกิดแลว้ ตาย ตายแล้วเกิดเพือ่ สรา้ งบารมี แตก่ ารเกดิ ของพระโพธิสัตวไ์ ม่สญู เปลา่ มจี ุดมงุ่ หมายในการเดินทางของชีวติ ๔๒ ดอ้ งเป็นใหัเ๋ ดั (ด่งเช่นทระฦทรเชา้ ) kalyanamitra.org
ทระสมั มาสมททุ ธเจัาคิอผู้หาทา09อกจากกรดdoสำเร็จ และทาผ้อู บออกเดดั ว้ ย ว่าวันหน่งึ ยงั มโี อกาสบรรลเุ ป็นพระสมั มาสมั พุทธเจ้าในอนาคต สว่ นสรรพสตั วท์ ีไมร่ ้เู ลย วา่ ชีวิตควรทำอะไร ใชช้ ีวติ เกดิ ๆ ตายๆ ไปสญู เปล่า เกิดฟรี ตายฟรีทุกชาติไป จำนวน ชาตใิ นการเวียนว่ายตายเกดิ จงิ มมี ากมายนับประมาณไมไ่ ด้ยง่ิ กวา่ พระโพธสิ ัตว์ เกดิ ตาย อยู่อยา่ งนัน้ จนกระทงั่ มบี ญุ พอไดเ้ กิดมาพบพระพทุ ธศาสนา ไดม้ ีโอกาสทำตามคำสอน รจู้ ักวา่ ชีวิตเกิดมาควรสร้างบารมี แล้วเรม่ิ กระทำตาม จึงจะมหี นทางสรา้ งบารมีได้เต็ม 6)0 ประการ บรรลุเป็นพระอรหนั ต์ เลิกเกดิ เลกิ ตายได้ในชาตหิ นึ่งภายหน้า การสงั สมบารมขี องพระโพธิสตั ว์ ไม่ใชเ่ ป็นเพียงระดบั ธรรมดาเชน่ การลงั สม บารมเี พอื่ บรรลุเปน็ พระอรหนั ต์ ในบารมีทัง้ สบิ อย่างนน้ั พระโพธสิ ัตวต์ อ้ งกระทำท้ัง ระดับธรรมดา ระดบั สูงขนึ้ และระดับสงู สดุ เรยี กวา่ อปุ บารมี และปรมัตถบารมี จึง รวมเป็นบารมี ๓๐ ทัศ ยกตัวอย่างเชน่ การสรา้ งทานบารมี เม่อื เราบริจาคสงิ ของต่างๆ เป็นต้นว่าปจั จยั สี อาหาร เครอื่ งนุ่งห่ม ยารกั ษาโรค ท่อี ย่อู าศยั เป็นครง้ั คราว ถือว่าเราไดท้ ำทาน ผลทีได้ รบั คือเกดิ เปน็ บญุ กุศลขน้ึ แก่ตวั เรา ทีนเี้ ม่ือได้บริจาคอยา่ งเขม้ แข็ง เชน่ ทำเป็นประจำ ชักชวนผูอ้ ื่นทำในโอกาสท่ี สมควรและจำเป็นอน่ื ๆ เชน่ ทำนบุ ำรุงพระศาสนา สงเคราะหผ์ ู้เดือดรอ้ นประสบภยั พบิ ัติ ต่างๆ ขวนขวายยงิ่ ยวดเตม็ สตปิ ญั ญา กำลังกายกำลังทรัพย์ไมใช่ทำตามสะดวก ชอบใจกท็ ำ ไม่มีเวลาก็ไมท่ ำ คงั น้ีแลว้ การทำทานเต็มกำลงั อย่างนีบ้ ุญทไี ด้จะเพม่ิ ข้นึ เรยี กวา่ เป็นบารมี เหมือนเกษตรกรปลกู พืช ผลิตผลทไี ดซ้ ึ่งเรียกว่า ผกั ขา้ ว ผลไม้ ฯลฯ เปรียบได้ วา่ ทาน แตพ่ อเอาไปขายรวบรวมเป็นเงินทองได้ขึ้นมา จะเอาติดตวั ไปใชจ้ า่ ยทใ่ี ดก็นำ ไปได้สะดวก ไม้ใชต่ ้องขนผลผลติ ติดตัวไปใช้แลกสงิ ของอื่นให้รงุ รงั ตงั นีแ้ ล้ว เงนิ ทอง เหล่าน้ันเอง เปรยี บได้ว่าเหมือนเป็นบารมี ครั้นเราบรจิ าคใหย้ ่งิ ขึ้นไปกว่าน้ัน เช่น บรจิ าคของสำคญั ในร่างกายหรือของรกั ตา่ งๆ เช่นบรจิ าคโลหิต อวยั วะ เครือ่ งประดบั มีค่า คนท่ีรกั ใคร่ สงิ เหล่านเี้ ปน็ ของทำได้ ยากยง่ิ ข้นึ จงึ เรียกว่า ไม่ใช่บารมีขั้นธรรมดาแลว้ เปน็ ขัน้ สูงกว่า เรยี กวา่ ทานอุปบารมี เหมือนเกษตรกรเปล่ียนเงนิ เปน็ บัตรเครดติ ต่อจากนน้ั ทำทานดว้ ยจติ ใจกลา้ หาญเสยี สละถงึ ทสี่ ดุ คอื ใหไ้ ด้แมก้ ระทง่ั ชวี ติ การยอมตายแทน การยอมอดอาหารสว่ นทต่ี นเองมีสทิ ธ่ื อดแลว้ ไมม่ อี าหารอย่างอนื่ ทดแทนในวันนน้ั ซึ่งอาจเป็นลมสินชวี ติ ไดเ้ พราะหวิ กย็ อ่ มเปน็ ไปได้ เช่น ตัวอย่างหลวงฟอ วดปากน้ํา ภาษเี จรญิ เมื่อยงั มีชวี ติ อยู่ และทางวดั ขณะนน้ั ยากจนไม่มโี รงครัวทำอาหาร ท่านไปบณิ ฑบาตไดเ้ พยี งข้าวสกุ ทัพพีเดยี วกับกล้วยน้าํ ว้าหนึง่ ผล ขณะทา่ นกำลังเตรยี ม จะฉนั สุนัขแมล่ กู ออ่ นหวิ โซมานงั้ มองหน้า ท่านฉนั ภัตตาหารน้ันไม่ลง ต้งั ใจบริจาค สองเปน็ ให!๙ (ด่งั เช่นทระฦทธเจา) ๔๓ kalyanamitra.org
จกั รวาล กรรม วบิ าก อรูปพรหม ๔ รูปพรหม ๑๖ -เดรัจฉาน -เปรด ภพสาม มี ๓๑ ภูมิ คือ กรงขงั สตั ว์ ๔๔ ด้อ0เป็น?หเ๋ั ดั (ดั๋เ)เช่นหระฦทรเยา้ ) kalyanamitra.org
ทระสัมมาสมั ทฺทธเจัาคอผหั าทางออกจากกรOd๖สำเร็จ และทาพัอนออกไดดั ัวย เปน็ ทานให้สุนัข คดิ ในใจวา่ วนั น้ีแมจ้ ะเปน็ ลมตายดว้ ยความหวิ กย็ อม การกระทำของหลวงพอ่ วัดปากนาํ้ ภาษเี จรญิ ครัง้ นั้น เป็นทานบารมขี ้ันสงู สุด ใหช้ วี ิต เรยี กว่า ปรมัตถบารมี มีอานิสงส์ทนั ตาเห็น นบั แต่น้นั มาทา่ นสามารถมโี รงครวั เลีย้ งพระภิกษุสามเณร และผคู้ นในวัดรว่ มพนั ชวี ติ กระทงั ทกุ วันนี้ แมท้ า่ นจะมรณภาพมา นานแล้วต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๐๒ ปรมัตถบารมีน้นั ใครกระทำไวเ้ ปรยี บเหมือนมขี ุนคลังประจำตวั มีทรัพยใ์ ชจ้ า่ ย ไม่หมดสนิ ตอ้ งการสิงใดก็มีผจู้ ดั การใหใ้ ตด้ ังประสงค์ทกุ ประการ บารมีอีก ๙ กเ็ ปน็ ทำนองเดยี วกนั พอกลา่ วสรปุ ไดว้ า่ ถา้ ทำบา้ งตามโอกาส เป็น เพียงไดบ้ ญุ ธรรมดา ถา้ ทำสม้าเสมอ ต้งั ใจทำเขม้ แขง็ ไม่ยอ่ ทอ้ ต่ออปุ สรรคทั้งปวง จะ กล่ันจากบญุ เป็นบารมขี ึ้นมา ถา้ ทำอยา่ งยิ่งยวดระดับเหมอื นใหข้ องสำคญั เทา่ อวัยวะหรอื ของทีร่ ักใคร่หวงแหนมากเท่ากับเปน็ อปุ บารมี ถ้าทำอยา่ งให้ความสำคัญเท่าชวี ิต เปน็ ปรมตั ถบารมี เชน่ รกั ษาคีล ยอมตายไมใ่ ห้คลี ขาดเปน็ คีลปรมัตถบารมี ออกจากกาม เปน็ เนกขัมมบารมี ถ้าประพฤตพิ รหมจรรยต์ ลอดชวี ติ อย่างนี้เปน็ เนกขมั มปรมัตถบารมี เป็นตน้ เม่อื พระโพธสิ ตั ว์บำเพญ็ บารมีทงั้ ๓๐ ทัศเต็มเปยี มบริบูรณแ์ ล้ว ชาตสิ ดุ ท้าย ก่อนถือกำเนิดเป็นมนษุ ย์ ตรัสรเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าน้ันจะเกิดเปน็ เทพบุตรอย่สู วรรค์ ข้นั ดสุ ติ า ชนั้ ท่ี ๔ เมือ่ โลกมนุษยช์ มพทู วีปมีสภาพเหมาะสมที่จะลงมาเกดิ เช่นอายขุ ัย ของมนุษยไมเ่ กินแสนปี และไม่ตากว่าร้อยปี มีเหล่าเทพยดาและพรหมท้ังหลายเชญิ ให้ จุติลงมาสงั่ สอนประกาศพระศาสนา กจ็ ะลงมาตรัสร้ใู นโลกมนุษย์ การตรัสรขู้ องพระโพธิสตั ว์ในชาติสุดท้ายทกุ พระองค์ ต้องตรสั รหู้ ลงั จากทรง ออกผนวชเป็นนกั บวชแล้ว เวลานบั จากวันออกบวชถึงวันตรัสร้มู ีกำหนดไมแ่ น่นอน บาง พระองคเ์ พยี งไม่กวี่ นั บางพระองคเ์ ปน็ เดือน บางพระองค์เป็นปีหรือหลายปี ตามแต่วิบาก คอื ผลของกรรมทไ่ี ด้กระทำสั่งสมไว้ อาการของการรูแ้ จ้ง รูร้ อบ หรอื ตรัสร้นู น้ั เหมือนกันทุกพระองค์ คือในวนั สุดทา้ ย ของการเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ จะมีผถู้ วายอาหารอันประณตี มาก เพอื่ หล่อเลยี้ งรา่ งกาย ไม่ ใหม้ ที กุ ขเวทนาจากความหิวมารบกวน ทำความสะอาดสรรี ะและจดั ทป่ี ระทบั น่งั ให้ เรียบร้อย ตง้ั พระทยั บำเพ็ญภาวนาอทุ ศิ ชีวิต ไม่สำเร็จไม่ลุกจากท่ี จากนัน้ ทรงสง่ ใจกำหนดเข้าภายใน ณ ศูนยก์ ลางของรา่ งกายอนั เป็นท่ีต้ังของจติ เดินจิตเขา้ สายกลาง ทน่ี ่นั เปน็ ที่ทรงพลังทส่ี ดุ (เหมอื นทกุ สิงทกุ อย่างในโลก ถา้ แหง่ ใด ได้รบั ขนานนามวา่ ศนู ยก์ ลาง จะเป็นทีเ่ ดน่ ทส่ี ุด) ดอั อเป็นไห๋เั ดั (ลอั เช่นทระทฺทรเ0า) ๔๕ kalyanamitra.org
บทท่หี า้ เวลาเย็นกอ่ นพระอาทิตยต์ ก ทรงชนะมารและเสนา (พวกมารเป็นธรรมฝ่ายดำ ตรง'ข้ามกับพระนิพพานซง่ึ เป็นธรรมฝา่ ยขาว มองเหน็ ไดด้ ้วยดวงตาภายใน คอื จิตที่ ‘ฝกิ ฝนจนมีคุณภาพเตม็ ที่) ในปฐมยาม ยามตน้ ตอนหวั คำ บรรลุญาณทท่ี ำใหร้ ะลึกชาติได้ ระลึกถงึ ชาติ ของตนเองยอ้ นหลังไปไดไม่มีท่สี ินสดุ ว่ายคุ ใดสมัยใดเคยเกดิ เปน็ อะไร เก่ียวข้องกบั ผูอ้ ่นื อยา่ งใด เรยี กชือ่ ความรนู้ ้ีว่า ปุพเพนิวาสานสุ ตญิ าณ (ญาณ แปลวา่ ปรีชาหย่งั ร)ู้ ร้แู ต่ อดตี ชาติ เพราะชาตใิ นอนาคตไม่มตี ่อไปอีกแล้ว ในเวลากลางดกึ มชั ณมิ ยาม บรรลญุ าณท่ที ำให้มตี าทิพย์ จุตปู ปาตญาณ ปรชี า หยั่งรกู้ ารตาย การเกดิ ของสัตวท์ ั้งหลายท่ัวไปหมด ไม่ว่าในจกั รวาลใดวา่ ลว้ นแตเ่ ลวและ ประณีตตามกรรมของตน ญาณนรี้ ู้ทงั้ อดตี และอนาคตของสัตวท์ ง้ั หลาย (อนาคตังสญาณ) ในปจั ฉมิ ยาม เวลาใกลร้ งุ่ อรุณขน้ึ บรรลอุ าสวักขยญาณ ความรู้วิธีปราบกเิ ลสให้ หมดสิน ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝ่ายเกิดและฝา่ ยดบั ทรงรแู้ จ้งในอรยิ สัจ ๔ ตรสั รู้อนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ หลังจากตรัสร้แู ลว้ ทรงประกาศพระศาสนา มีพระอคั รสาวกซา้ ย ขวา มี พระพทุ ธอุปัฏฐาก มีทั้งพระอรหนั ตสาวก อรหันตสาวกิ า ที่เป็นเอตทคั คะ (ความสามารถ เปน็ เลศิ ) ดา้ นต่างๆ เรียกว่า อสตี มิ หาสาวก เช่น เลิศในทางเปน็ พระธรรมกถกึ (แสดงธรรมเก่ง) เลิศในทางแสดงฤทธ๋ึ เลศิ ในทางบรรลุธรรมรวดเร็ว เลศิ ในการทำทิพยจกั ษุ เลิศในการทรงจำพระธรรมวนิ ัย เลศิ ในทางมีลาภมาก เลศิ ในทางยินดใี นฌานสมาบตั ิ ฯลฯ พระสัมมาลม้ พทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์ เมือ่ เสด็จดบั ขันธปรินิพพานไปแลว้ ไม่ ทรงตงั้ พระภกิ ษุรูปใดเปน็ ประมุขคณะสงฆส์ บื ต่อจากพระองค์ แตท่ รงมพี ระ- พทุ ธาบญุ าตใหใ้ ช้ พระธรรมและพระวินยั ปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป ท่กี ล่าวแล้วนเ้ี ปน็ แผนผงั ชวี ิตโดยย่อของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทุกพระองค์ ถ้าผ้ใู ดสามารถสัง่ สมบารมีตรัสรู้ธรรมได้เอง แตไ่ ม่ได้ต้งั พระศาสนาไว้ เรียกผนู้ ั้นว่า พระปจั เจกพทุ ธเจา้ (ร้เู ฉพาะตน) พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เมอ่ื ตรสั รพู้ ระสมั มาสัมโพธญิ าณแลว้ นับว่าพระองค์ทรงพ้น จากวฏั ฏสงสาร เลิกเวียนวา่ ยตายเกิด ฝ่ายมาร (ธรรมฝา่ ยดำ) ทำอะไรพระองคอ์ ีกต่อ ไปไมไ่ ด้ ทรงมีอิสระเต็มที่ และดว้ ยพระมหากรุณาอนั ยิง่ ใหญ่ จงึ ทรงส่งั สอนวิธกี าร พน้ ๔๖ ตัอปเ๋ ป็นใหั๋เดั (ดั่ปเ็ ฒท่ ระทฺทธเยา้ ) kalyanamitra.org
ทระ:สมมาสมททุ ธ1จา้ คอผหั าทา(วออกจากกรงยงั สำเร็จ และทาผู้อนี ออกไดัดัวย ทุกขใ์ ห้เหลา่ เวไนยสตั ว์ ทำใหม้ ีผหู้ ลดุ พันเปน็ อสิ ระตามพระองคเ์ ปน็ จำนวนมาก นบั วา่ พระองค์ทรงเป็นเสมือนผูห้ าทางออกจากท่ีคมุ ขังพ้น แล้วเปิดกรงขังให้ สัตวภ์ ายในกรงมีโอกาสพบอสิ รภาพดว้ ย ดอ้ เวเป็นใศเั๋ ดั (ด๋ัชเ่ ชน่ ทระททธเจา) ๔๗ kalyanamitra.org
พระโพธสิ ัตว์ จตุ จิ ากดสุ ติ สวรรค์ ลงบังเกดิ ในตระกูลกษ้ตรยิ ว์ งค์ศากยะ ๔๘ ตอ้ งเป็นใกเ6) (ดปั ืเช่นพระเๆทรเจา้ ) kalyanamitra.org
พระโพธสิ ัตวป์ ระสตู ิจากพระครรภ์พระมารดา ณ ป่าลุมพินวี นั ตออเป็นให!คั (สOิ ldบทระททุ รเจัา) ๔๙ kalyanamitra.org
เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงชว่ ยหงส์ท่ถี กู เจา้ ชายเทวทัตยงิ ๕๐ ตอ้ ปเ๋ ป็นให๋เั ด้ (อปั่ เ็ ฒ่ทระททฺ ธเยา้ ) kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223