Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความสุข ทุกแง่ทุกมุม

ความสุข ทุกแง่ทุกมุม

Published by jariya5828.jp, 2022-07-03 04:04:55

Description: ความสุข ทุกแง่ทุกมุม

Search

Read the Text Version

ความสุข ทุกแงทุกมุม พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ (ป. อ. ปยุตฺ โต)



ความสุข ทกุ แงท กุ มมุ © พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ISBN 978-974-11-1406-1 พิมพคร้งั ที่ ๑ — ธนั วาคม ๒๕๕๓ (โครงการศึกษาเพือ่ พฒั นาสุขภาวะฯ) พมิ พครง้ั ที่ ๒ — กุมภาพันธ ๒๕๕๔ (ทุนพิมพหนงั สอื วัดญาณเวศกวัน) พิมพคร้ังที่ ๓ (เพม่ิ เติม) — กุมภาพันธ ๒๕๕๔ (โครงการศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาสุขภาวะฯ) พมิ พค รัง้ ท่ี ๔ — วิสาขบูชา ๒๕๕๔ ๑๐,๐๐๐ เลม - คณะกรรมการอาํ นวยการจัดงาน “วิสาขบูชา พทุ ธบารม”ี ประจําป ๒๕๕๔ ปก: ท่พี มิ พ:



บันทกึ นาํ ในการพิมพคร้งั ท่ี ๓ หนังสือ ความสขุ ทุกแงท ุกมุม น้ี เมือ่ พิมพค ร้ังแรก เกิดขน้ึ โดยเปนงานเรง ในการพิมพครั้งที่ ๓ แมจ ะไมมีโอกาสตรวจ ทานตลอดอีก กไ็ ดป รับแกเ ล็กๆ นอยๆ ในบางแหง ที่นึกไดบ า ง พอดพี บบา ง มสี วนท่เี ขยี นเพิ่มเตมิ คอ นขา งยาว ๒ หวั ขอ คือ เรือ่ ง ความแตกตางระหวางปติกับความสุข และเร่ืองความสุขเปน จุดหมายของการศึกษา นอกจากน้ี มีเพิ่มเติมเพียงเล็กนอย รวมแลวทําใหหนังสอื หนาข้ึน ๑๑ หนา พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔

สารบัญ (๑) โมทนพจน ก บันทกึ นาํ ในการพมิ พค ร้ังที่ ๓ ๑ ความสุข ทุกแงทุกมุม ๓ ภาค ๑ บทนําแหงความสขุ ๓ ๖ ที่พูดถึงสุขสงู สุดนัน้ คอื บอกใหรูวา ๑๒ สขุ มมี ากมายหลายข้ัน และความสขุ น้ันพัฒนาได ๑๗ ๒๐ ถาการศกึ ษาพัฒนาคนใหม ีความสขุ ได ๒๗ จริยธรรมก็ไมหนไี ปไหน ๓๓ ๓๘ ทุกขม ีอยู ตอ งรูเ ทา ทนั สขุ คอื จดุ หมาย ตอ งไปถงึ ใหไ ดท ุกวัน ความสุขคอื อะไร ถา เขา ใจ ก็พัฒนาความสขุ ไดท ันที จดั การความอยากใหด ี ก็จะมีความสขุ ไดจ ริง มองเหน็ สง่ิ ตอ งการมาใกล ใจพองฟขู ึ้นไป ไดป ต ิ พอไดส มใจ คลายสงบลงมา ใจเขา ท่ี ก็มีความสขุ สองทางสายใหญ ท่ีจะเลอื กไปสคู วามสขุ กฎมนุษยสรา งระบบเงื่อนไข ตอเม่อื หนุนกฎธรรมชาติได จึงจะมีผลดจี รงิ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ค ๔๘ ความตองการตอ เพอื่ นมนุษย ตองรูไว ๕๓ กอนจะพฒั นาความสุขกันตอ ไป ๖๐ ๖๖ เรยี นใหส นุก ๗๐ มคี วามสุขในการเรยี น ๗๔ มคี วามสุขในการเรยี น เปน แควธิ ี ยังไมพ อ ๗๙ ขอจุดหมาย ใหเรียนแลว กลายเปน คนมีความสุข ๗๙ คนทว่ั ไปสุข เมือ่ ไดสนองความตองการ ๘๕ แตบางคนสขุ เสมอ แมไมส นอง ๙๐ ๙๕ สขุ เพราะไดเกาท่ีคนั ๙๙ กบั สขุ เพราะไมม ที ี่คันจะตอ งเกา ๑๐๕ ความสุขมีมากมาย แยกซอยไปไดเ ยอะแยะ ภาค ๒ การพฒั นาความสขุ ความสขุ ที่ขอเนน ไว สําหรบั คนทัว่ ไป ควรเอาใจใสใหดี จดั การกามสขุ ใหด ี แลวกม็ สี ขุ จากไมตรไี วดวย พัฒนาชีวิตไป ถาพฒั นาถูก ก็ไดส ขุ ดว ย พดู กันมานานแลว บอกเสยี ที พุทธศาสนานี้ คือศาสนาแหง ความสุข ความสุขทางสังคม ออกสูป ฏบิ ัตกิ าร ไมว า สังฆะ หรอื วา สงั คม กพ็ ึงนยิ มหลกั แหง ทาน

ง ความสุข ทุกแงท กุ มุม คณุ ธรรมในขั้นจิตปญญา ๑๐๘ ๑๑๔ ข้นึ มาเปนปฏิบตั ิการในสงั คม ๑๒๐ สามัคคี และสงั คหะ ๑๒๕ ๑๒๙ ดีทัง้ สงั ฆะ และสังคม ๑๓๕ ความสุขมีคณุ มาก ๑๓๘ ๑๔๖ โทษกห็ นกั ตอ งรจู ักใช ๑๕๐ ของเสพเตม็ ไปหมด ๑๕๖ สุขกลบั ลด ทุกขก ็งา ย สขุ งา ย ทุกขไดย าก เตรยี มฝก ไว ทุกขมีคณุ ได ใชเ ปน ก็มปี ระโยชน ปฏิบตั ถิ ูก มแี ตสุข ทุกขไ มมี ความสุขทสี่ มบูรณ ดูอยา งไร เมอ่ื สุขของบุคคล คือสขุ เพื่อมวลชนท้งั โลก ตอบคําถาม

ความสขุ ทุกแงท กุ มมุ ๑ ขอเจริญพร โยมญาติมติ ร ทา นผสู นใจใฝธรรม ทุกทาน ขออนุโมทนา “โครงการศึกษาเพื่อพัฒนาสุขภาวะและชุมชน เรยี นรูจติ ปญญาอยา งมีสว นรว ม” ท่ไี ดมีความดําริเปน กุศล ปรารภวนั มงคลที่โยมคณุ หมอสาคร ธนมติ ต จะมีอายคุ รบ ๘๐ ป แลว จดั ราย การท่ีเปนกุศลนี้ขึ้น ทั้งเปนการแสดงมุทิตาจิตแดทานเจาของวันเกิด และเปนการแสดงมุทิตาจิตนั้นดวยกุศลวิธี คือวิธีการท่ีจะทําใหเกิด ประโยชนแผกวางออกไปดวย คือการจัดรายการท่ีจะทําใหเกิดความ เจรญิ งอกงามทางธรรมทางปญญาแกประชาชน สําหรับเรื่องที่จะบรรยาย ทานก็เขียนไวกวางๆ เปนเร่ืองการ บรรยายธรรมเพอื่ เปนแนวทางการพัฒนาสุขภาวะ ก็สดุ แตจะพูด อาตมภาพจําไดว า เมื่อ ๔ ปก อนโนน โยมคุณหมอกไ็ ดน ิมนตไ ว แลว ก็ผดั ทา นมา นี่ก็ ๔ ป แลว จาํ ไดวา จะใหพดู เรอื่ งความสขุ ซ่งึ เปน ช่ือเร่ืองงายๆ แมจะทําไดยาก กเ็ ลยจาํ ติดมา เอาเปนวา ใชช ่ือเรื่องน้ี เลย ไมต อ งไปตั้งใหมอะไรแลว ๑ ถอดความจากธรรมบรรยาย เรอ่ื ง “ความสขุ ทุกแงทกุ มุม” โดย พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ในวาระท่ี ศาสตราจารยเกยี รติคุณ แพทยห ญงิ คุณสาคร ธนมิตต ที่ปรึกษาของโครงการศึกษาเพ่ือพัฒนาสุขภาวะและชุมชนเรียนรูจิตตปญญาอยางมีสว น รวม มอี ายคุ รบ ๘๐ ป จัดที่อุโบสถ วดั ญาณเวศกวัน เมื่อวนั ที่ ๒๔ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๓

๒ ความสุข ทกุ แงทุกมุม ทนี ้ี เรือ่ งความสุขนัน้ ฟงก็งาย พดู กง็ า ย เราบอกวาเอาเรอ่ื งท่ี งา ยทส่ี ุด แตค วามจริงน้นั เปนเรือ่ งใหญมาก อยางท่บี อกเมอ่ื ก้วี า เปน เรือ่ งทพี่ ูดงาย แตท าํ ไดยาก และทีว่ าเปนเรื่องใหญน ้นั ในแงห น่งึ จะ พูดวาเปนทง้ั หมดของพระพทุ ธศาสนาก็ได เมื่อเปน อยา งนี้ จงึ ตองขอทําความเขา ใจเปนการออกตวั ไวก อ น แตตน คือในฐานะท่ีเปนเร่ืองใหญ คดิ วาถา พูดกันจรงิ ๆ จะตองใชเ วลา ๕ - ๑๐ ชัว่ โมง ไมนอยกวา นัน้ ซง่ึ เปน ไปไมไ ด ดังนน้ั จงึ ตอ งพดู เฉพาะ สว นท่ีเปน หลกั ๆ คงไมสามารถอธิบายในรายละเอยี ดใหชดั เจนไดม าก นัก เอาแคพอใหเ ห็นรูปรางเคา โครง จึงไดเอาใบแสดงหวั ขอ ส้ันๆ มอบ ใหทานทีร่ วมในการจดั รายการไป เผ่อื จะแจกใหญ าตโิ ยมดู ก็คดิ วา จะ พูดตามน้ัน และถา พูดไมครบ ก็จะไดท วงวาหัวขอไหนยงั ไมไดพ ดู ประการตอไปคือ ในเมื่อเปน เรื่องใหญท สี่ ําคญั และเปน การพูด ตามหลกั พระพุทธศาสนา กค็ วรจะมีหลักฐาน เชน พุทธพจนม าแสดง ใหช ัด แตวนั นท้ี าํ ไดแคน าํ เอาหลกั หรือเนื้อหามาประมวลสรุปใหเ ทาน้ัน จึงตองแยกสวนท่ีเปนหลักฐานขอมูลเดิมอยางพุทธพจนออกไปกอน ไมน าํ มารวมไวใ นทน่ี ้ี คือแยกไวตา งหากเลย เปน อกี สว นหนง่ึ ทีม่ ากที เดียว ซ่ึงเปนฐานใหแ กสง่ิ ที่พูดนี้ แลว อีกอยา งหนงึ่ ก็คอื ขอบอกตรงๆ วา เปน การเอาพระอาพาธ มาพดู ก็เกรงอยูว าผดั ทา นมา ๔ ปแ ลว ถา คราวน้ไี มร บั เดี๋ยวตอ ไปผู พูดเองจะไมม ีตวั เหลือทีจ่ ะมาพูด แลว ที่สําคญั ขัน้ ตดั สนิ กค็ ือวา เปน มงคลวารครัง้ ใหญของทานดว ย จงึ คิดวา ถึงเวลาจาํ เปนตองมาพูดแลว ก็เปนอนั วา มาพดู กนั ในเรอื่ งทเ่ี รยี กงายๆ วา ความสุขนนั้

ภาค ๑ บทนําแหงความสขุ ทีพ่ ดู ถึงสขุ สูงสุดนัน้ คอื บอกใหร ูว า สขุ มีมากมายหลายขัน้ และความสุขน้นั พฒั นาได สําหรบั ชาวพทุ ธ เวลาพดู ถึงความสขุ หลายทานคงจาํ พุทธ พจนอ นั หนงึ่ ได ซึง่ เปนพุทธพจนง า ยๆ แลวถาเขาใจพทุ ธพจนน ี้ ซึ่ง เปนการพูดถึงความสขุ โดยตรง ถามีความเขาใจในพุทธพจนน้พี อ กค็ ดิ วา จบเลยเรอื่ งความสขุ หมายความวา เรื่องความสุขน้นั พดู เทา นี้กพ็ อ จบแลว คือ พทุ ธพจนวา “นิพพฺ านํ ปรมํ สขุ ”ํ แปลวา นพิ พานเปนบรมสุข หรือ เปนสขุ อยา งสงู สุด ใครเขาใจความหมายของพุทธพจนน ้ี กแ็ ปลวา เขา ใจเร่ืองความสขุ ครบจบสิน้ สมบูรณแ ลว จึงไดบ อกวา พอ แตเ อาละ ถงึ จะยงั ไมเ ขาใจพทุ ธพจนน้ี กไ็ มเ ปน ไร เรายงั ไม ตองเขาถึงหรือแมแตมองเขาไปในความหมายของพุทธพจนน้ีโดย ตรงก็ได แตเรามาดกู นั วา พทุ ธพจนน้บี อกแงมมุ อะไรอนื่ อีก บอก อะไร? ชวยใหเ รามองเห็นอะไร?

๔ ความสขุ ทกุ แงท กุ มุม นกี่ ็ชัดอยูแ ลว พุทธพจนบอกวา นพิ พานเปนสขุ อยางสงู สุด ก็คือบอกใหเรารูวา นอกจากนิพพานท่ีเปนความสุขอยางสูงสุด แลว ยังมีความสุขอยางอ่ืนอีกเยอะแยะ เทากับทานยอมรบั วา มี ความสุขหลากหลายมากมายแตกตา งกนั ไป ท้ังโดยขนั้ และโดย ประเภท น่ีก็คอื วา เพราะความสขุ มเี ยอะแยะมากมาย พระพทุ ธเจา จึงตรัสบอกใหเรารูวาความสุขอยางไหนสูงสุด ความสุขอื่นนะมี มากมาย แตยงั ไมใ ชสูงสุด ทนี ้ี เธอรจู กั ไวนะวา ความสุขท่สี ูงสุดคือ อะไร แลวก็ศกึ ษาใหร ูดว ยวา ความสขุ อยา งอน่ื ท่ีมีมากมายนัน้ เปน อยา งไร อยา งไหนดีหรอื ไมด ีอยา งไร ทําไมจงึ วาอนั น้ีเปน สูงสุด แตไมใชเทาน้ี เมื่อยอมรับแลวถึงการที่ความสุขมีมากมาย แลวก็มคี วามสขุ ทด่ี ีกวากัน สงู กวากนั ขนึ้ ไป กเ็ ปนการบอกใหร วู า เราจะตองมีการกาวหนาหรือพัฒนาข้ึนไปในความสุข หรือใหถึง ความสุขท่ีสงู ขึ้นไปๆ เหลานัน้ ดวย เปนอันวา ความสุขมีมากมาย มีหลายขั้น หลายระดับ หลายประเภท และความสุขน้ันพัฒนาได ทีน้ี ความสุขทุกขัน้ น้ัน ทานกย็ อมรบั วาเปนความสขุ ไมได ปฏิเสธ แตมนั ยังมขี อ ท่ีไมส มบรู ณ เรียกอยา งภาษาพระวา มขี อ ดี และขอ ดอย พระพุทธศาสนาเวลาพูดถึงอะไร มักจะบอกวาใหดูท้ังขอดี และขอดอย หรอื ขอดแี ละขอ เสีย ขอดเี รยี กวา อสั สาทะ ขอ ดอ ย เรยี กวา อาทนี วะ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕ แลวยังมีดานที่ ๓ บอกตอ ไปอีกวา จะตอ งมี นิสสรณะ คือทางออก หรือจุดท่ีพนออกไปจากขอดีและขอดอยน้ัน หมาย ความวาไปสคู วามสมบรู ณห รือทดี่ ีกวานั้น ทีน้ี เมือ่ พูดถึงความสขุ แตละอยางๆ กใ็ หใชห ลกั แงด าน ๓ ประการนี้ มาตรวจดดู วยวา เออ ความสุขอยางนี้ ขั้นนี้ กด็ ีนะ มัน มอี สั สาทะ คอื ขอดีอยางน้ๆี แตมนั กม็ ีอาทีนวะ คอื มขี อ ดอ ยขอ เสีย อยางนี้ๆ ดวย แลวในเมื่อมันยังไมสมบูรณอยางน้ี เราจะมีทางออกหรือ ทางพน ไปจากสภาพที่ไมสมบูรณนั้นอยา งไร จะไดหมดปญ หาโลง ไปเสยี ที นี่แหละนิสสรณะ พอถึงจุดนี้ ก็เดนิ หนา ตอไปได เทา ทพี่ ูดมาน้ี เปน การบอกใหร วู า ทางพระพุทธศาสนาถือวา มีความสุขมากมายแตกตางหลากหลาย และความสุขน้ันเปน ภาวะทตี่ อ งพฒั นา พอมาถงึ จดุ นี้ การพฒั นาความสขุ กเ็ ลยเปน เรื่องใหญ จะพดู วา พระพุทธศาสนา คือระบบการพัฒนาความสขุ กไ็ ด

๖ ความสขุ ทุกแงทุกมมุ ถา การศกึ ษาพัฒนาคนใหม ีความสุขได จริยธรรมก็ไมห นีไปไหน ถึงตรงนี้ก็จะตองเนนดวยวา การพัฒนาความสุขน้ัน เปน การพัฒนาชีวิต เปนการพัฒนาสังคม และเปนการพัฒนาธรรม อยา งอ่ืนๆ ไปดว ยพรอมทง้ั หมด โดยเฉพาะท่เี รามักพูดกันบอ ยๆ เวลาพูดถึงเร่อื งศาสนา คอื เร่ืองจริยธรรม บางทกี ็พดู คูก นั วา “ศาสนากบั จรยิ ธรรม” โดยโยง เร่ืองจรยิ ธรรมไปเปน เร่อื งของศาสนา เม่ือโยงอยางนี้ ก็ตองบอกดวยวา การพัฒนาความสุขนั่น แหละ เปน การพฒั นาจรยิ ธรรม และในทางกลบั กนั การพฒั นา จริยธรรม กต็ อ งเปนการพัฒนาความสขุ ท้ังน้ี ถา ทาํ ถกู ตอ ง กจ็ ะรูความหมายทแี่ ท ท้ังของจริยธรรม และของความสขุ ดว ย ในเมื่อพูดถึงจริยธรรม ก็เลยขอต้ังขอสังเกตแทรกไวเปน พิเศษ วา จริยธรรมในความหมายทเ่ี ราใชก นั น้ี มักจะเปน ไปในเชงิ ท่ใี หเ กิดความรสู ึกคอ นขา งจะฝน ใจทํา อยางเชนจะใหคนประพฤติดี ก็คิดกันพูดกันวา ตองไมท าํ โนน ตอ งไมทํานี่ ที่เปน การเสียหาย ไมทําบาป ไมท ําช่วั มักใหเ กิด ความรูสึกเหมือนกับวา ฝน ใจ หรอื จาํ ใจตอ งทํา

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗ ทีนี้ ถามองตามหลักธรรมท่ีแท การพฒั นาจรยิ ธรรมก็เปน ดานหน่ึงของการพัฒนาความสุข ถาเปนจริยธรรมท่ีแท ก็ตอง เปนจริยธรรมแหงความสุข ถา เปน จรยิ ธรรมที่ “ฝน ใจ” หรือเปนไป ดว ยทกุ ข กย็ งั เปน จรยิ ธรรมจริงไมไ ด เอาดีไมไ ด และจะไปไดไม ไกล กา วไมถึงไหน ท่ีวานี้ มิใชห มายความวา จรยิ ธรรมจะไมม ีการฝนใจเสยี เลย กม็ บี า ง และท่จี ะมกี ารฝน ใจนนั้ กม็ ี ๒ อยาง คอื ก) ในขน้ั ตนๆ อาจมีการฝน บา ง เหมือนในการบวก อาจมี ลบบา ง แตพอเขา ทางดแี ลว เปนจริยธรรมแท เปนนัก ฝก ทก่ี าวหนา กบ็ วกไปๆ ของทรี่ าย กห็ ลุดหาย ไมตอ ง มัวลบ เพม่ิ ข้ึนมาๆ ก็แจกกันไปๆ จนเต็มแลว กแ็ จกออก ไป ใหอ ยางเดียว ข) เปนเรื่องเก่ียวกับความแตกตางกันของมนุษย สําหรับ คนพวกหนงึ่ ที่พระเรียกวา พวก “ทกุ ขา ปฏิปทา” กจ็ ะ ฝนใจมากสกั หนอ ย แตพอเต็มใจฝน อยากฝน ตัวเอง ก็ กลายเปนฝก ทนี ี้ก็เดนิ หนา ได และอาจจะไปถงึ ขนั้ ดี อนั นกี้ ็ขอตงั้ เปน ขอสังเกตสําคัญไว ถา มโี อกาสก็จะพูดกนั อกี เม่ือพูดถึงจรยิ ธรรมแลว ก็โยงไปถงึ การศกึ ษา ก็เลยซอนเขา มาดวย คอื คนเราน้ี ทางพระทานเรยี กวา เปน สัตวทต่ี อ งฝก จะดี เลิศประเสรฐิ ไดกด็ วยการฝก

๘ ความสุข ทุกแงท กุ มุม การฝก ก็คือศกึ ษา ศึกษาก็คือพัฒนา พฒั นาชีวติ ดวยการ ศกึ ษา โดยคนตองฝกตนใหดยี งิ่ ขน้ึ เอาดไี ดด ว ยการฝก จะอยแู ค สญั ชาตญาณไมไ ด จึงเรยี กวาเปนธรรมชาติของมนุษย ในเมือ่ ธรรมชาติของมนุษยเปนสัตวท ีต่ อ งฝก จะดจี ะเลศิ จะ ประเสริฐไดดวยการฝก กแ็ สดงวา การศึกษาเปนเรือ่ งที่สอดคลอ ง กบั ธรรมชาติของมนษุ ย เปนธรรมชาตขิ องมนษุ ยอ ยา งน้นั เอง ที่จะ ตองเจริญงอกงามขึ้นไปดวยการศึกษา จึงยํ้าไวใหชัดอีกทีวา “มนุษยค อื สตั วท่ีตอ งศึกษา” ทีนี้ ถา การศึกษาเดนิ ไปถกู ทาง เปน ไปดวยดี ก็จะตอ งเปน การศกึ ษาที่มีความสขุ คอื ศึกษาดว ยความสขุ หรอื เปนการศกึ ษา แหงความสขุ ถายงั ไมม คี วามสขุ ก็ตอ งสงสัยวายงั ไมใชก ารศึกษา ทแี่ ท ยงั ไมใชการศกึ ษาทีถ่ กู ตอ ง การศึกษานั้นพัฒนาชีวิตคน เม่ือคนมีการพัฒนาดวยการ ศึกษา ชวี ติ ของเขาก็พฒั นาข้ึนไปๆ เขาก็ดาํ เนินชีวติ ไดถ กู ไดดียิง่ ขน้ึ ๆ การดําเนินชีวติ ทด่ี ที ถ่ี ูกตอ งนั้นนั่นแหละ เรยี กวา “จรยิ ธรรม” เพราะฉะนั้น จรยิ ธรรมกบั การศึกษาจงึ ตอ งมาดว ยกัน แตท่ี จรงิ ไมต อ งบอกวา “ตอง” หรอก เพราะเมอื่ มนั เปน ธรรมชาติ พอ ถูกตองแลว มนั ก็เปนอยางน้ันของมันเอง ควรพูดใหมว า จริยธรรม กับการศึกษาจึงมาดวยกนั น่ีก็หมายความวา ตวั มนุษยน ี้ เปน สัตวซ ึง่ มธี รรมชาติท่ีจะ ตองฝก ตองหัด ตอ งพัฒนา ตอ งมกี ารศกึ ษา และเมอื่ ศกึ ษาถูก ตอ ง เปนไปตามธรรมชาตขิ องเขาน้นั สอดคลอ งกนั แลว เขากจ็ ะ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙ ยิ่งเจริญงอกงามมีความสุขยิ่งขึ้น การศึกษาก็จึงเปนการพัฒนา ความสุขไปดวย และพรอมกันนั้น รวมอยูดวยกัน ก็พัฒนาทุก อยางทอี่ ยใู นตวั คนนนั้ แหละ ก็คอื พัฒนาคนหมดทั้งตวั พฒั นาทง้ั คน พฒั นาท้ังชีวติ ของเขานั่นเอง นี่แหละมนั จึงไปดว ยกนั ท่ีวา การศกึ ษาคือการพัฒนาความ สุข การศึกษาเปน การพฒั นาจรยิ ธรรม การพฒั นาจรยิ ธรรมเปน การพัฒนาความสุข ฯลฯ อะไรตออะไรทัง้ หมดนนั้ ก็คอื อยใู นนี้ ก็อยางท่ีพระพุทธเจาตรัสน่ันแหละวา ถาทําเหตุปจจัยถูก ตอ ง กไ็ มต องไปเรยี กไปรอ ง ธรรมชาติกเ็ ปน ไปของมนั เอง ทานวา เมื่อเกดิ ปต ิแลว กายใจกเ็ รยี บรืน่ ผอ นคลาย ไมตอ งไปเรียกรอง ไม ตองแมแตตั้งใจ ปส สัทธิก็ตามมา ตามธรรมดาของธรรมชาติ ทมี่ นั เปน เชนน้ันเอง เหมอื นแมไ กอ ยากเห็นลูกไก กข็ ึ้นไปกกไขต ามเวลา พอถงึ วาระ ลูกไกก ก็ ะเทาะเปลือกไขออกมา แตถ าแมไ กไมข น้ึ ไปกกไข ถึงจะไปยืนตะโกนรองทง้ั วนั ทหี่ นาเลา ทั้งเหนื่อยเปลา และไขก ็เนา ไมว า ลูกเตาหรอื ลกู ไก ก็ไมอ อกมา สมัยกอน เลิกสงครามโลกใหมๆ รถยนตยังไมทันสมัย เทคโนโลยยี ังไมก า วหนาอยางเดี๋ยวน้ี เวลาจะออกรถ ตองเอาคนท่ี ล่าํ สนั แขง็ แรงมายนื หนารถ ออกแรงเต็มที่ หมุนเหลก็ สตารต บาง ทีกวาเครื่องจะติดสตารตรถได เหน่ือยแทบแย แตเด๋ียวนี้เอาน้ิว ขยับนิดเดียว เครอื่ งกต็ ิด สตารตรถไดทนั ที

๑๐ ความสุข ทุกแงท กุ มุม ตรงนค้ี ือใหแ ยกและตอกระบวนการของมนุษย กบั กระบวน การของธรรมชาติ เราจะใชประโยชนจากกระบวนการของธรรม ชาติ เราก็จัดทํากระบวนการของมนุษยขึ้นมาเรียกกระบวนการ ของธรรมชาตใิ หทํางาน จะเหน่อื ยจะยากลาํ บากนกั หนาหรือไม ก็ ในตอนกระบวนการของมนุษยที่วาทําอยางไรจะเช่ือมใหกระบวน การของธรรมชาตมิ ารบั ชว งตอ ไปได ถาจดั กระบวนการของมนุษย โดยเฉพาะในข้ันสมมตุ ิ ใหด ี ใหมีประสิทธิภาพได พอเช่ือมใหกระบวนการของธรรมชาตมิ ารบั ชวงไป มนุษยกส็ บาย ลงไปนัง่ หัวเราะไดเ ปรมปรีดิ์ ถาทําไดถูกตองตรงอยา งนี้ ตัวคนนนั้ กไ็ มต อ งฝน ใจ คนอ่นื จนถึงรฐั กไ็ มตอ งมาใชอํานาจบังคับซอ นขึ้นไปอีกที หนา ทีข่ องมนุษยก ค็ ือแค รูเ หตปุ จ จยั แลว ทําใหถกู ตอ ง ไม ตองไปรอ ง ไมตองไปฝน แตส าํ หรับบางคน บางทถี าจะไมฝน ธรรมชาติ กลายเปนฝน ใจตัวเอง ก็ตองหดั เต็มใจฝน และพอเตม็ ใจฝน อยากฝน ตวั เองได แลว การฝนน้ันกลายเปนการฝก ไป ธรรมชาตกิ จ็ ะเดนิ หนา พากา ว ไปเอง ทีน้ี ดงั ทว่ี า แลว การศกึ ษาเปนการพัฒนาคน ใหม คี วามสุข และมีคุณสมบตั ิอ่นื ๆ ท่ีดียิง่ ขึน้ ๆ แลว ชวี ิตของเขากย็ งิ่ ดขี ึ้นๆ และ เมอื่ เขาดาํ เนนิ ชีวิตทดี่ ีงามได การดาํ เนินชวี ิตทดี่ งี ามน้ัน เราเรยี ก วา “จริยธรรม” น้ีคือความหมายของการศึกษา ของจริยธรรม เปนตน ตามหลักพระพทุ ธศาสนา

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑ แลว ทนี ี้ คําวา “พทุ ธศาสนา” ท่ีเราพูดในท่ีน้ี กเ็ ปน การพดู โดยเอาภาษามาเปนเครื่องส่ือสาร คือ ถา พุทธศาสนาเปน ความ จรงิ สอนหรอื บอกความจริง คําท่บี อกท่สี อนนนั้ กค็ อื ธรรมชาติน่ัน เอง วา ไปตามธรรมดาอยางนั้นเอง เราก็พดู เปนคําซอนเชงิ ภาษา วา พุทธศาสนาแสดงธรรมไปตามท่ีส่งิ น้ันๆ มันเปนของมนั อยา ง น้ันๆ นค่ี อื เราใชค าํ วาพระพทุ ธศาสนาเปน เครอื่ งสอ่ื สารเพอ่ื ใหเขา ใจกนั ไดงา ย หมายถึง คาํ บอกความจรงิ ของธรรมชาติ เร่ืองที่พูดมาในชวงน้ี เปนการขอแทรกเขามาใหสังเกตไว กอน คือใหด เู ร่ืองการศกึ ษา หรือการพฒั นาจริยธรรม วาจะตอง เปน การศึกษาแหง ความสขุ เปน จรยิ ธรรมแหงความสขุ จึงจะ เปนของแทจริง เพราะฉะนั้น มันจึงเปนเร่ืองเดียวกับการพัฒนา ความสุข ถาการศกึ ษายงั เปนไปดวยความฝนใจ ขาดความใฝฝก คือ ไมมคี วามตองการทจ่ี ะฝกตน คนก็ไมส ามารถจะมคี วามสขุ ได ก็ ไมสามารถเปนการศึกษาที่แท แลวจริยธรรมก็เปนจริยธรรมแบบ จาํ ใจ เมือ่ เปนจริยธรรมแบบจาํ ใจ กไ็ มส ามารถเปนจริยธรรมที่ จริงแทไ ด ก็ขอผานตรงนีไ้ ปกอน

๑๒ ความสุข ทกุ แงท ุกมุม ทกุ ขมอี ยู ตองรเู ทาทัน สุขคอื จุดหมาย ตอ งไปถึงใหไดทุกวนั ทีน้กี ม็ าดกู นั ตอ ไป เม่อื พูดถงึ การพัฒนาความสขุ ก็ไมค วร มองขา มคาํ วา “ทุกข” คือมองอะไร ก็ตอ งมองใหครบ มองใหเตม็ ตา มองตามความเปน จรงิ ถา บอกวา มีความสุข แตยงั มที ุกขอยู มนั กเ็ ปน สขุ แทส ขุ จริง ไมไ ด เพราะฉะนั้น ท่วี าพฒั นาความสุข กห็ มายถงึ ลดทกุ ข หมด ทุกข บําราศทกุ ข ปลอดทุกข ดบั ทุกขไดไ ปดว ย ดังนน้ั เมื่อพูดถึงกระบวนการพัฒนาความสขุ น้ี ก็อาจจะพูด อีกแนวหน่ึง โดยเอาคาํ วา “ทุกข” มาแทนคาํ วา “สุข” กก็ ลายเปน กระบวนการดบั ทุกข กอ็ ันเดียวกนั นัน่ เอง แตอนั น้ีเดด็ ขาดกวา ทําไมจงึ วา เดด็ ขาดกวา กเ็ พราะวา ในกระบวนการดับทุกข นั้น จะตองพูดกันถึงข้ันทวี่ า ไมวาคุณจะสุขแคไหน คณุ ตองไปให ถงึ ข้นั ไมม ีทกุ ขเหลือเลย จึงจะจบ จงึ จะครบเตม็ ตามความหมาย ถาบอกวากระบวนการพฒั นาความสขุ ก็เปนปลายเปดเรือ่ ย ไป ไมร ูวาเมอ่ื ไรจะถงึ จุดหมาย นแ่ี หละ เม่ือวา ตามหลกั วชิ า ทา นจงึ ใชสาํ นวนนี้ หรือในแนว นวี้ า เปนการ “ดับทุกข” อยางไรก็ตาม มแี งมมุ ที่ตอ งพูดเพิ่มเติมใหเขาใจชดั ขน้ึ อกี วา คาํ วา “ดับทกุ ข” ทเี่ ราบอกวาแปลจากคําของพระวา “นโิ รธ” นน้ั ไดแ ฝงปมปญหาในทางภาษาเอาไวด วย

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓ ปมอะไร ก็คือปมความไมชดั ทอี่ าจจะทาํ ใหเ ขาใจเขว กลา ว คอื เวลาเราพูดวา ดบั ทกุ ข จะทาํ ใหรสู ึกเหมอื นวา เออ ทุกขม ีอยๆู เราก็คอยดับๆ เราก็เลยจะตอ งคอยดบั ทุกขก ันอยูเรือ่ ยไป ความจริงนนั้ “นโิ รธ” ในภาวะท่ีแท หมายถงึ การไมม ที ุกข เกดิ ข้ึน หรอื ภาวะทที่ กุ ขป ราศไรหายหมดไปเลย นีค่ ือความหมายที่ ตอ งการ นิโรธ ในข้ันสดุ ทา ย ก็คอื นพิ พาน จงึ เปน ภาวะท่ีไมมที กุ ข เกดิ ข้นึ อีก บางครงั้ ทา นอธบิ ายดว ยคาํ วา “อนปุ ฺปาทนิโรธ” ก็แปลวา ความ ดับไปโดยไมมีการไมเกิดข้ึน คือดับเด็ดขาด ดังน้ัน เพื่อใหสะดวก นโิ รธแหง ทกุ ข เรากแ็ ปลวา ความไมม ที ุกขเกิดขน้ึ อกี หรือภาวะไร ทกุ ขน ่นั เอง สาํ หรับในที่น้ี เราไมใชคําวากระบวนการดบั ทกุ ข คอื หลบ ภาษาทใ่ี ชค าํ วา ทกุ ข และคงจะเพอ่ื ใหสะดวกปากคนไทย หรอื ให ถนัดใจคนฟง เราก็ใชคําวา “สุข” จึงบอกวาเปนกระบวนการ พฒั นาความสุข แตท้ังน้ี ก็ใหร กู ันวา เราไมไดม องขามเรื่องความทุกขน ะ จะ วาไปดว ยกันนนั่ แหละ เพราะฉะนนั้ ในคาํ วา กระบวนการพฒั นา ความสุข ก็มีความหมายรวมไปถึงการจัดการในเรื่องความทุกข ดว ย ในเรื่องทกุ ขน ้ี ทพ่ี ดู มาน้นั ยังไมใชจ ดุ สําคัญท่แี ท ขอทมี่ อง ขามไมได จะตอ งไมพ ลาด จึงตอ งบอกตอ งย้ําไวกอน ก็คือทาทตี อ ความทุกข อนั นต้ี อ งชดั ถาพลาดไปกจ็ ะไมไดพัฒนาความสุข

๑๔ ความสุข ทกุ แงท กุ มุม น่กี ็คอื เรือ่ งท่พี ระเรยี กวา กิจในอริยสัจขอทกุ ข พูดใหส ัน้ วา กิจตอทุกข หรือหนาท่ีตอทุกข อันนี้ถาทําผิด ก็หมดเลย เสีย กระบวนต้ังแตตน และคนกม็ ักจะมองขา มอันนี้ไป ทาที หรอื วิธีปฏบิ ัติตอทกุ ข คอื อยา งไร ทุกขเปน ขอท่ี ๑ ใน อรยิ สัจ ๔ เมือ่ พดู ถงึ วิธีปฏิบัติตออรยิ สัจขอทกุ ข ก็ควรวาใหครบ อริยสัจทั้ง ๔ เพือ่ จบั ใหถ กู วา เราจะตอ งทําอยางไรตออรยิ สจั แตล ะ ขอ นัน้ ขอใหดตู ามลาํ ดบั ตอ ไปนี้ ๑. ทุกข สภาพกดดันบีบค้ันเปนที่ต้ังแหงปญหา หรือสิ่ง สรรพอันมวี สิ ัยใหเกิดปญหา, กิจคอื ปริญญา แปลวา รูรอบ หรือรู เทาทัน ๒. สมุทยั เหตใุ หเกิดทกุ ข, กิจคอื ปหานะ แปลวา ละ กําจัด ทําใหหมดส้ินไป ๓. นโิ รธ ภาวะไรท ุกข, กิจคือ สจั ฉกิ ริ ิยา แปลวา ทาํ ใหแ จง ทาํ ใหป ระจกั ษ ทําใหเ ปน จริงขน้ึ มา หรือใหไ ดใ หถงึ ๔. มรรค วิธีปฏิบัตใิ หถึงภาวะไรทกุ ข, กจิ คือ ภาวนา แปลวา ทาํ ใหเปน ใหเ กิดใหม ี เจริญ ปฏบิ ตั ิ หรือลงมือทาํ กิจตออรยิ สจั ๔ น้ัน วาระน้ีมิใชโ อกาสท่ีจะอธิบาย เพยี งแต ใหร ูตระหนักไว ตองถือวา สาํ คญั อยางยิ่ง คกู ับตวั อริยสัจ ๔ เองนัน่ แหละ เพราะถา ปฏบิ ัตติ อ อรยิ สัจไมว า ขอ ใดผิดหนา ท่ี การทจ่ี ะกาว หนา ไปในธรรมก็ลมเหลวหมดดี เปน อนั ไมมที างไดต รสั รหู รอื เขาถึง ธรรม

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕ ในที่น้ี ก็ย้ําเฉพาะหนาที่ตอทุกข ซ่ึงพูดใหเห็นหลักเปนคํา บาลีวา “ทกุ ขฺ ํ ปริ ฺเยยฺ ”ํ (ทกุ ข พงึ ปรญิ ญา) หมายความวา ทุกข เปน ส่งิ ที่จะตอ งรูเ ขาใจดวยปญญา หรือพดู ใหส้นั อีกหนอ ยวา ทกุ ข นน้ั สาํ หรับรูเขาใจ เอางายๆ เหมือนเราจะแกปญหา กต็ อ งรูปญ หา จงึ จะแกส าํ เร็จได ทจี่ รงิ ความหมายของทกุ ข ไมใชแ คท่ีคนท่วั ไปพูดกัน ไมใช แคความรูสึกเจ็บปวดกายใจไมสบายเทานั้น แตคือสิ่งท้ังหลายท่ี อยูในวิสัยจะทําใหเกิดความบีบคั้นไดในเมื่อปฏิบัติไมถูกตองตอ มัน จงึ เปนเร่อื งใหญทถ่ี ึงกบั ตอ งปริญญาใหรเู ทา ทัน แตร วมแลวกค็ ือวา ทุกขเปนเรอ่ื งสําหรบั ปญ ญารู ทุกขเ ปน เรอ่ื งของปญ ญา สาํ หรับปญญาจัดการใหจ บไป ไมใ ชสาํ หรับเอา มาใสเก็บดองไวใหปูดหรือบูดเนาอยูในหัวใจใหหมดความสดใส เบิกบาน พูดใหม ัน่ ใจอีกทวี า ถา ทุกขม า กเ็ อาปญ ญาออกไปรบั หนา มนั จงเจอกับทุกขด ว ยปญ ญา อยา เอาจิตใจไปยงุ กบั มัน ดา นท่คี น ไทยเรียกวาอารมณน่ันแหละไมตองวุนวาย อยาไปรบั มนั มาไวให ใจเราถกู บีบคนั้ ถาใจรบั เอามนั มาแลว กอ็ ยา เกบ็ เอาไวใ หอ ัดอนั้ ใน ใจ รบี สง ตอใหป ญ ญาเอาไปหาทางจัดการ (ถาเอาทุกขเก็บอัดไวในใจ นอกจากไมไดแกไข มีแตทุกข เปลา ๆ แลว ตัวเราก็ไมพฒั นา แตถา สงตอ ใหปญญา นอกจากมี ทางแกไ ข ชีวิตของเราก็จะไดพ ฒั นา)

๑๖ ความสขุ ทกุ แงท กุ มมุ เปน อันวา ตองทาํ ใหถ ูก ตองปฏบิ ตั ใิ หต รงตามกิจตอ อริยสัจ ถาเจอทุกข ใครเอามาเก็บอัดกดดันบีบคั้นทําจิตใจใหคับแคน หมกมุน ขุน มวั เศรา หมอง น่ันคือทาํ หนาทตี่ อ ทุกขไมถ กู ปฏิบัตผิ ดิ หนาท่ีแลว ตองหยุด แลวหันไปทําใหถูก เอาปญญามาจัดการ อยางท่ีวา ไปแลว นั้น สวนความสุขน้นั โนน ไปเขา ในขอ ๓ คอื อยใู นขั้นสัมพทั ธ ท่ี จะตองเดินหนาตอๆ ไป เปน ข้ันๆ จนกวา จะถงึ ข้ันสดุ ทา ยท่สี ูงสดุ นีก่ ็คอื ขอ นิโรธ และหนาทข่ี องเราตอขอ น้ี กค็ อื สัจฉกิ ิริยา ท่ี แปลวา ทาํ ใหประจกั ษแ จงเปน จริง หรอื สาํ เรจ็ บรรลถุ งึ ควรทาํ ให ได ไมว าเล็ก ไมวานอย ใหเ ปนประจําทุกวัน ดงั ไดก ลา วแลว สุขนั้นมมี ากมาย หลายขน้ั หลายประเภท และนีแ่ หละก็คือเร่ืองท่บี อกวา จะไดพัฒนากันตอไป เอาละ ตรงน้ี ถือวา เปนตนทาง เพราะฉะน้ัน อยา ใหพลาด ตองเรม่ิ ใหด ี เพื่อจะเขา ทางได แลวก็เดินหนาไปอยา งมน่ั ใจดว ยกนั

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗ ความสขุ คอื อะไร ถาเขา ใจ ก็พฒั นาความสขุ ไดทันที ทีน้ี เมื่อเราจะพัฒนาความสุข เราก็มาดูความหมายของ ความสขุ กนั หนอ ย วาความสุขมคี วามหมายวาอยางไร เรมิ่ แรกจะใหค วามหมายไวอ ยา งหนึง่ แตข อทาํ ความเขาใจ กันไวกอนวา น่ีไมใชความหมายท่ีครอบคลุมทั้งหมด แตครอบ คลุมในระดับหน่ึงท่ีมีขอบเขตกวางมาก และเปนความหมายท่ี สาํ คัญอยา งย่งิ ความหมายในขั้นน้ีบอกวา ความสุข คือการไดส นองความ ตองการ หรือจะใชภาษางายๆ ก็ไดวา คือ ความสมอยากสม ปรารถนา เราอยากอาบน้ําแลว ไดอาบน้ํา ก็มีความสุข อยากรับ ประทานอะไรแลว ไดรบั ประทาน ก็มีความสขุ เดก็ อยากเลนแลว ไดเ ลน กม็ คี วามสขุ น่กี ค็ อื ไดส นองความตองการ หรอื สนองความ อยากความปรารถนานัน่ เอง แตตรงน้กี ็ขอแทรกอีกเกยี่ วกบั ปญหาทางภาษา เวลานี้ คาํ วา “ตองการ” กบั “ปรารถนา” กับ “อยาก” บางทีก็ตอ งระวังการใช เนื่องจากในทางวชิ าการสมยั ใหมบ างสาขา มกี ารใชโ ดยแยกความ หมายใหแตกตางกัน โดยเฉพาะระหวางความตองการกับความ อยาก ใหมคี วามหมายเปน คนละอยา ง

๑๘ ความสขุ ทกุ แงทุกมมุ ขอใชภ าษาองั กฤษนดิ หน่งึ บางทีกใ็ ชคําวาความตองการให ตรงกบั คําวา need อยา งในเศรษฐศาสตร คลายจะบญั ญตั ใิ หใ ช รูปคํานามพหูพจนของคําน้ี คือ needs ใหหมายถึง “ความ ตองการจาํ เปน ” อะไรทํานองน้ี สวนความอยากความปรารถนา ก็ หมายถึง desire หรือคาํ ไวพจนอ่นื ซง่ึ มไี ดหลายศพั ท แตอยา งไรก็ ตาม สาํ หรับคนท่วั ไป ศพั ทเ หลา นก้ี ย็ งั ไมเปนทช่ี ัดเจนแจมแจง ตามทวี่ ามานี้ เหมอื นกับวา ภาษาไทยไมมีคาํ ทม่ี คี วามหมาย ตรงกบั need ของฝรัง่ จงึ ตองมาคดิ กันใหม และหาคาํ ตรงแทไมไ ด ก็เลยตองใชเปน ขอ ความหรอื วลไี ปเลย ขอเลา สูก นั ฟง วา need ที่เรามาแปลวาตอ งการเชงิ จาํ เปนน้ี นา จะตรงกบั คาํ เกาท่เี คยใชม ากอนวา “จําปรารถนา” คําที่วา น้ี ไมทราบวาเคยไดยินไหม ในวงการแปลบาลยี งั พอ คนุ กันอยู เชน ภาษติ วา สติ สพพฺ ตฺถ ปตฺถิยา (ไมตองดคู าํ บาลี ตอ งการใหด ูคาํ แปล) เราแปลเปนไทยวา “สตจิ าํ ปรารถนาในทท่ี ั้ง ปวง” หมายความวา สติเปนธรรมท่ตี อ งใชห รือจาํ เปนในทกุ กรณี คือ ไมว าจะทาํ อะไรก็ตาม ตอ งมสี ติ ตองใชสติ “จาํ ปรารถนา” กใ็ กลๆ กับคําวา จําเปน แตไมต รงกันแท ขอ ใหดู ตัวอยา ง เชน วา มีกระทอมหลงั หนึ่ง เราจะเขาไปนอน แตใน กระทอ มหลงั นั้น ไมม ีอะไรเลย มแี ตพ นื้ ดิน แลวกอ็ าจจะเฉอะแฉะ และแถมจะขรุขระดวย ก็บอกวา ผูท่ีจะนอนในกระทอมนี้จํา ปรารถนาเตียง อยางนเ้ี รียกวาจาํ ปรารถนา คอื เขาปรารถนาหรือ ไม เขาอยากไดหรือเปลากไ็ มร ู แตก็จาํ ปรารถนา

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙ ในภาษาเกา คาํ วา จาํ ปรารถนานีม้ ีเยอะแยะ อยางคนเจ็บ ปวยก็จาํ ปรารถนายา อะไรอยางน้ี โบราณมแี ลวคํานี้ จึงไมสับสน ระหวา งคําวา ตอ งการ กับปรารถนา สําหรับในท่นี ้ี จะใชค ําวา ตองการกับปรารถนาแบบปนกันไป เลย ไมแ ยก ใหเหมือนกบั วามีความหมายอยา งเดียวกัน ถอื วาเทา กับ desire ทั้งนนั้ เมือ่ บอกวา ความสขุ คือการไดสนองความตอ งการ หรอื การ ไดสมอยากสมปรารถนา เรื่องก็เลยโยงไปหาคําวาตองการหรือ ปรารถนา ซง่ึ ตอ งมาทาํ ความเขา ใจกัน เลยกลายเปน เรอื่ งใหญ

๒๐ ความสขุ ทุกแงท กุ มมุ จัดการความอยากใหดี ก็จะมคี วามสุขไดจ รงิ ความตอ งการ หรอื ความปรารถนานี้ เปน เรื่องใหญมาก ขอ ยกพุทธพจนมาตงั้ เปนหลกั อกี พระองคตรัสวา “ฉนทฺ มลู กา สพฺเพ ธมฺมา” แปลวา ธรรมทัง้ ปวงมีฉนั ทะเปนมลู หมายความวา เรื่อง ของมนุษยทุกส่ิงทุกอยาง มีความตองการเปนมูล มีความอยาก เปน ตน ทาง เพราะฉะนั้น ๑. เราจะตองทําความเขาใจเรื่องความอยาก ความ ปรารถนา ความตอ งการน้ี ใหชดั เจน ๒. แลว ในเมอื่ ความสขุ เปน การไดส นองความตอ งการ หรอื ไดสนองความปรารถนา มันกบ็ ง ชวี้ า การที่จะพัฒนาความสุขได นัน้ ก็ตอ งพัฒนาความอยาก พัฒนาความปรารถนา หรอื พัฒนา ความตองการดวย มฉิ ะนน้ั การพัฒนาความสุขกจ็ ะไมส ําเร็จ เปนอนั วา ความตอ งการนี้ เปน ส่ิงทเี่ ราจะตองพัฒนา ก็จึงมาทําความเขาใจเร่ืองความตองการ หรือความอยาก กนั ตอ ไป ขอใหถอื หลกั ความตองการนีว้ า เปน เรื่องใหญ ไมควรไป หลบไปเลยี่ งท่จี ะศึกษามนั ความคลุมเครือพรามัวในหลักความอยากความตองการน้ี ทําใหม องอะไรไมช ัด พฒั นาไมเดนิ หนา แกปญ หาไมสําเร็จ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๑ การศกึ ษา จรยิ ธรรมและอะไรตอ อะไร ถา จับจดุ นีไ้ มได ก็ เปนอันวา ไปไมถ งึ ไหน ไมถ งึ ตัวมนั ถอ ยคาํ ที่ใชสําหรับความอยากหรอื ความตอ งการน้ี มีความ ซบั ซอนนิดหนอย จงึ ตองขอเวลาทาํ ความเขาใจเลก็ นอ ย ขอยกพุทธพจนมาดูกันอีกทีหน่งึ คอื ที่ตรสั วา “ฉนทฺ มูลกา สพฺเพ ธมฺมา” (ธรรมทัง้ ปวงมีฉันทะเปนมลู หรอื เปน ราก เปนฐาน เปนตน ตอ) คําสาํ คัญคือ “ฉนั ทะ” แปลวา ความตอ งการ หรอื ความ อยาก จะแปลวาความปรารถนา ที่เปน คําบาลวี า “ปตถฺ นา” กไ็ ด ทีนี้ ท่ีวาซับซอนหนอยก็คือวา เริ่มแรก “ฉันทะ” ความ ตอ งการ หรอื ความอยากนี้ ในขั้นพ้ืนฐาน เปน คาํ กลางๆ ใชในทาง ดกี ไ็ ด ในทางรายก็ได เปนกศุ ลกไ็ ด เปน อกุศลกไ็ ด มีทัง้ กามฉนั ท เนกขัมมฉันท บริโภคฉันท ธรรมฉนั ท ฯลฯ ในขน้ั นี้ ทา นกแ็ ยก “ฉนั ทะ” คอื ความตอ งการน้ี วา มี ๒ อยา ง คอื ๑. ตณั หาฉันทะ แปลวา ฉนั ทะคือตณั หา หรอื ฉันทะท่เี ปน ตณั หา (ฉันทะ คอื ความอยากได อยากเอา อยากเปน อยากมี อยากมลาย) ๒. กตั ตุกมั ยตาฉันทะ แปลวา ฉันทะคอื กตั ตุกัมยตา หรอื ฉนั ทะท่ีเปนกตั ตกุ ัมยตา (ฉันทะ คอื ความอยากทาํ ใฝจะทํา ใฝ สรางสรรค)

๒๒ ความสุข ทกุ แงท กุ มุม อยางแรกเปน ฝายราย เปน อกศุ ลฉนั ทะ อยางหลงั เปน ฝา ยดี เปนกุศลฉันทะ ก็ดูงาย แลวก็ชัดดีอยู แตถอยคํายาวไปหนอย เรียกยาก ตรงน้แี หละกม็ าถงึ ทซี่ บั ซอ น เวลาแสดงธรรม อธบิ ายธรรม หรอื พดู จาสอ่ื สารกนั ทวั่ ไป กอ็ ยากใชคําที่สนั้ ๆ งา ยๆ สกั หนอ ย ในท่ีสุดก็ปรากฏผลออกมาวา เวลาพูดถึงฉันทะท่ีอยากใน ทางไมดี เปนอกุศล ก็ใชคําเดยี วไปเลยวา “ตณั หา” (ไมตอ งพดู วา ตณั หาฉนั ทะ) แลวถาจะพูดถึงฉันทะท่ีอยากในทางดี เปนกุศล ก็ใชคํา เดยี วไปเลยวา “ฉันทะ” (ไมต องไปพูดใหยาววา กตั ตกุ ัมยตาฉนั ทะ หรอื กศุ ลฉนั ทะ หรอื ธรรมฉนั ทะ หรือสภาวฉันทะ อะไรๆ ทย่ี าว ไม ตอ งทงั้ น้ัน) ตอนนกี้ ็เลยพดู ไดงา ย สนั้ นิดเดียว รเู รื่องกนั เลย ไมตอ งยดื ยาดเยนิ่ เยอ บอกวา “ตณั หา” ออ กค็ อื ความอยากที่ไมดี (ก็คือ ฉันทะฝา ยอกศุ ลนน่ั เอง) พอพดู วา “ฉันทะ” ก็ออ คือความอยากท่ีดี (ก็คอื ฉนั ทะฝา ย กศุ ล หรอื กตั ตุกมั ยตาฉันทะนั่นเอง) แตถ าไมร ทู ไี่ ปท่ีมา กก็ ลายเปน งง วา คาํ ไหนหมายถึงอะไร คําไหนดี คําไหนราย ยงุ ไปหมด เดี๋ยวเจอกามฉนั ทะ ก็งง ไหนวา ฉนั ทะเปนฝายดี ทําไมนไี่ มด ีละ ดงั นี้เปน ตน ก็จึงไดพ ูดกนั เสียให ชัด

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๓ ถงึ ตอนน้ี กเ็ ทา กบั สรปุ ได คือบอกวา ความอยาก หรอื ความ ตอ งการนัน้ มี ๒ อยาง คือ ๑. ตณั หา คือ ความอยากความตองการทเี่ ปน อกุศล ไดแก อยากได อยากเอา อยากมี อยากเปน อยากทําลาย ๒. ฉนั ทะ คือ ความอยากความตองการที่เปนกศุ ล ไดแก อยากทํา (ใหม นั ดี) ใฝฝ ก ใฝศกึ ษา ใฝปฏิบัติ ใฝจ ัดทํา ใฝส รา ง สรรค ในคัมภรี ภ าษาบาลชี ้นั อรรถกถา เมอ่ื ทานจะแยก ๒ อยางน้ี ทานก็หาคาํ กลางมาต้ังกอ น ไดพ บวา ทา นใชค าํ วา ปตฺถนา คอื ความปรารถนามาวางเปนคํากลาง แลวทานก็แยกใหดู บอกวา ปตถฺ นา (คอื ความปรารถนา) มี ๒ อยาง (กค็ ือทแี่ ยกใหดูแลวขาง บนนน่ั เอง) ไดแ ก ๑. ตณฺหาปตฺถนา คือ ความปรารถนาท่ีเปนตัณหา (ปรารถนาเอา, ตอ งการเสพ) ๒. ฉนฺทปตถฺ นา คอื ความปรารถนาที่เปนฉันทะ (ปรารถนา ดี, ตอ งการทาํ ใหด )ี มีขอสังเกตวา คนไทยทว่ั ไป โดยเฉพาะก็คือคนพุทธไทยนี้ พอพูดถงึ ความอยากละกไ็ มได มกั จะบอกวา ไมด ี ไมถ ูก ใชไ มได แลว ก็ชอบบอกกัน สอนกัน ไมใ หอ ยาก อนั นี้คืออนั ตราย ดีไมดกี ็ กลายเปนการทาํ รายไปเลย ทงั้ ตดั รอนการพฒั นาคน และขดั ขวาง การพัฒนาสังคมประเทศชาติ

๒๔ ความสุข ทกุ แงทกุ มมุ ทีน้ี อีกพวกหนึ่งกต็ รงขามไปเลย บอกวาใหอ ยากไดอ ยาก เอา อยากมง่ั อยากมี บางทถี งึ กบั สอนใหโ ลภ ใหอยากเดน อยากดัง อยากเปนใหญเปน โต บอกวา ตอ งอยา งน้ปี ระเทศชาตสิ งั คมจึงจะ พัฒนา แตไมไดพัฒนาจริงหรอก มีแตพัฒนาไปสูความพินาศ อยางนอยก็ทําใหเกิดการพัฒนาท่ีไมยั่งยืน ท้ังการเมืองและ เศรษฐกจิ พาคนพาโลกออกไปจากสันตภิ าพ ทง้ั สองพวกนี้ กค็ อื สดุ โตง สดุ ขว้ั ไปคนละดาน แตเ หมือนกนั รว มกันตรงที่มคี วามไมรู คอื ไมรจู ักความอยาก ไมร ูไมเ ขา ใจธรรม ชาตขิ องความตองการ แลว กจ็ ดั การกับความอยากนน้ั ไมถ ูกตอ ง ความอยากนนั้ ตองรูจกั และกแ็ ยกใหไ ด อยา งทน่ี ํามาใหดู กันนั้น เมื่อแยกไดแลว อะไรตอ อะไรก็จะชดั ข้ึน ตอนที่แยกน้ัน ก็ไดแสดงใหเห็นความหมายที่แตกตางกัน ระหวางความอยาก ๒ แบบน้ันไปแลว แตต อนน้ยี ังอยากจะใหจ ับ สาระ หรือลักษณะสําคญั ของความแตกตา งนั้นใหจ ะแจง ดว ย จงึ ขออธิบายในแงนี้อีกหนอย ลองจับสาระทีว่ านนั้ มาวางไวใ หดขู นั้ หน่ึงกอ น ๑. ตัณหา เปน ความอยากเพอื่ ตัวตนของเรา หรอื เพือ่ ตัวเรา เอง เชน อยากเอาเขามาใหแ กตัว เอามาบําเรอตัว ใหต วั เสพ ใหตวั ได ใหตัวเปนหรือไมเปนอยางนน้ั อยางน้ี ๒. ฉนั ทะ เปนความอยากเพือ่ สภาวะของสิง่ นั้นๆ เอง เพอ่ื ความดี เพอ่ื ความงาม เพ่ือความสมบูรณข องสิ่งนั้นๆ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ เคยยกตวั อยา งเชน วา คนมาในวัดแลว เขา ไปในบรเิ วณทมี่ ี ตน ไมมากๆ เห็นกระรอกกระแตว่งิ โลดเตนกระโดดกระโจนไปมา คนหน่งึ ก็ชืน่ ชม มองวา เจา กระรอกนนี้ า ดู คลอ งแคลว มนั กระโดดไปกระโดดมา ดนี ะ เปน ภาพทีง่ ามตา ขอใหก ระรอกเหลา นี้มีรางกายแข็งแรงสมบูรณ ทาํ หมไู มท รี่ ม รืน่ ใหง ดงามนา เพลนิ ใจ ชว ยใหวดั เปน รมณียสถานนานเทา นานตอไปเถิด อยา งน้คี อื อยาก เพ่ือสภาวะท่ีเต็มสมบูรณของสิ่งน้ันเอง เรียกวามีความอยากหรือ ความตองการที่เปนกศุ ล เปน ฉันทะ สวนอีกคนหน่ึงก็เห็นกระรอกตัวเดียวกันน้ันแหละ แตเขา มองไปกค็ ดิ ไปวา ไอเ จากระรอกตวั นี้มันอว นดนี ะ เน้อื มาก ถา เรา จับได เอาไปลงหมอ แกงเยน็ นี้ คงอรอยทเี ดยี วละ นี้คอื อยากเพื่อ ตัวตนของตนเอง เรยี กวา มคี วามอยากที่เปน อกศุ ล เปน ตัณหา อกี ตวั อยา งหนง่ึ นกั เรยี นจบมธั ยมแลว คดิ เลอื กจะเรยี นแพทย คนหนงึ่ อยากเปน แพทย เพราะอยากมีรายไดม าก อยากหา เงินงา ย จะมั่งคง่ั ราํ่ รวย และมหี นามีตา มีเกยี รติสูง นี้คอื อยากเพอ่ื ตัวตนของตนเอง เรียกวามีความอยากหรือความตองการท่ีเปน อกุศล กเ็ ปน พวกตณั หา สวนอีกคนหน่ึงอยากเปนแพทย เพราะอยากทําใหคนหาย จากโรค อยากเหน็ ประชาชนแข็งแรงมีสุขภาพดี อยากใหช าวบาน พน ความเดือดรอ น อยากใหบ านเมืองมีพลเมอื งท่ีมีคุณภาพอยกู นั รมเย็นเปนสุข อยางนี้คืออยากเพื่อสภาวะท่ีเต็มสมบูรณของสิ่ง นั้นๆ ทเี่ ปน วัตถุประสงคอยา งตรงไปตรงมาของอาชีพแพทยน ้นั เอง เรยี กวามีความอยากหรือความตองการท่เี ปน กศุ ล เปน ฉันทะ

๒๖ ความสขุ ทุกแงทุกมมุ คนมีความอยากตองการอยางไหน เมื่อเขาไดสนองความ ตอ งการอยางน้ัน เขากม็ ีความสุข ดงั น้นั ความสุขของคนจึงตาง กนั ไปตามความตองการ คนหน่ึงอยากใหกระรอกแข็งแรงสมบูรณเปนอยูสุขสบาย ของมัน พอเหน็ กระรอกนั้นกระโดดโลดเตน รา เริงดี ความตองการ ของเขากไ็ ดร ับการสนอง เขาก็มคี วามสุขทันที อีกคนหนึ่งอยากเอากระรอกมาตมกินใหล้ินของตัวไดอรอย ตอ งไลจ บั ไลย งิ เอากระรอกนน้ั มาตม มาแกงใหม นั ตาย จนกวา ตวั เอง จะไดก นิ ความตอ งการของเขาจึงจะไดร ับการสนอง แลวเขาจึงจะ มคี วามสุข มองกวางไกลออกไป คนมีฉันทะรักท่ีจะทําเหตุของความ เจริญ คนมากดว ยตณั หาไดแตร อเสพผลของความเจริญนนั้ พดู สน้ั ๆ วา พวกฉนั ทะเปนนักสราง พวกตัณหาเปนนกั เสพ พวกฉนั ทะ มีสุขในการสรา ง พวกตณั หามีสขุ ตอเมือ่ ไดเ สพ ในสังคมท่ีเปนอยูน้ี ไมอาจหวังวาจะทําการใดใหกระแส ตัณหาเหือดหายไปได หรอื จะใหวถิ ขี องฉันทะขยายข้นึ มาเปน ใหญ สง่ิ ท่ีพึงทาํ คอื เพียงดลุ ไว ไมป ลอยใหก ระแสตณั หาทว มทนไหลพา ลงเหวไป และคอยสง เสริมวิถีแหงการสนองฉนั ทะใหด าํ เนนิ ไปได ตราบใด คนผูมีความสุขในแนวทางของการสนองฉันทะยงั มี เปน หลักเปนแกนอยู สงั คมมนุษยกจ็ ะยงั พอดําเนนิ ไปได ส่ิงที่จะตองทําตลอดเวลาก็คือ ความไมประมาทในการ พฒั นามนษุ ยใ หกาวหนาไปในการพัฒนาความสขุ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๗ มองเห็นส่งิ ตอ งการมาใกล ใจพองฟขู ึ้นไป ไดปต ิ พอไดสมใจ คลายสงบลงมา ใจเขาที่ กม็ คี วามสขุ กอนจะพูดตอไปถึงหลักในการปฏิบัติจัดการกับความ ตองการ ขอแทรกเรือ่ งนารูส ักหนอย เปน เรื่องสาํ คัญเหมือนกนั ที่ จะชวยใหเขาใจหรอื รจู ักความสุขไดชัดเจนมากขน้ึ ไดบ อกแลววา ความสุข คอื การไดสนองความตองการ หรอื ความสมอยากสมปรารถนา ทนี ี้ ความสมอยาก หรอื การไดสนองความตองการนน้ั พูด อีกสาํ นวนหนง่ึ ก็คอื การทาํ ใหความตองการนัน้ สงบระงบั ไปนน่ั เอง เหมอื นอยางระงับความกระหาย ดวยการด่มื นา้ํ หรือระงบั ความหิว ดวยการกินอาหาร เมือ่ ความหวิ คอื ความตองการอาหาร สงบไป หรือเมอ่ื ความกระหายคือความตอ งการนํา้ สงบไป ก็เปน ความสขุ ดังน้ัน เม่ือพูดตามความหมายน้ี ความสงบระงับไปของ ความตอ งการนนั่ เอง เปน ความสขุ หรอื พูดใหสัน้ วา ความสขุ คอื ความสงบ ทีนี้ ในการสนองความตองการ หรอื สมอยากสมปรารถนา นัน้ จติ ใจกวา จะมาถึงความสงบทเี่ ปน ภาวะแหง ความสขุ บางทีก็ ไดประสบหรือไดเสวยภาวะท่ีนาชื่นชมยินดีมาเปนลําดับหลายข้ัน หลายอยาง โดยเฉพาะทเี่ ดนก็คอื “ปต ”ิ ซ่ึงมักพูดเขา คเู ขาชุดกันวา “ปตสิ ขุ ”

๒๘ ความสุข ทกุ แงทกุ มมุ ถาเรามองเห็นและเขาใจภาวะจิตที่เปนขั้นตอนตางๆ ใน กระบวนการสนองความตองการน้ีแลว ก็จะเขาใจชัดเจนยิ่งข้นึ วา ความสุขเปนความสงบอยางไร และความสงบน้ันมีความหมาย สําคญั แคไหนและดอี ยา งไร เร่ิมท่ีปติ กับสุขนแ่ี หละ วา ไปตามหลักกอ น ทา นพูดใหง าย วา ความปลม้ื ใจในการไดอารมณท ่ปี รารถนา เปน ปติ การเสวยรส อารมณที่ไดแลว เปนสุข เชน คนเดินทางกันดารมาแสนเหน็ด เหนอ่ื ย เม่ือเห็นนาํ้ หรือไดยินวามีน้าํ ที่จะไดกินไดด ่มื ก็เกิดปติ พอ เขา ไปสรู ม เงาหมไู มและไดล งดื่มกนิ อาบนาํ้ นนั้ กม็ คี วามสขุ เพ่ือใหเขา ใจชัดยิง่ ขึ้น ทา นแสดงตวั อยา งใหเ หน็ เปน ข้นั เปน ตอนไว เหมือนดงั วา คนผหู นึ่งเดินทางกนั ดารมาแสนไกล แดดก็ รอนจนเหง่อื โซมตัว ท้ังหวิ ทั้งกระหายเหลือเกิน ถึงจดุ หน่ึงเหน็ คนเดินทางสวนมา กถ็ ามวา ในทางที่ผานมา มีน้าํ ดมื่ ทีไ่ หนบางไหม นายคนนั้นตอบวา โนน ดสู ิ ขางหนา โนน ทา นผานดงนน้ั ไป จะมีทั้งสระน้าํ ใหญแ ละไพรสณฑ พอไดฟง คาํ บอกแคนน้ั เขากด็ ใี จเหลือเกนิ ราเริงขนึ้ มาเลย เมอื่ เดนิ ตอ จากท่นี นั้ ไป ไดเหน็ กลีบ กาน ใบ และดอกบวั เปนตน ทต่ี กเกลอ่ื นบนพนื้ ดิน กย็ ิง่ ดีใจรา เรงิ มากข้นึ ๆ เมอ่ื เดนิ ตอ ไปอีก ก็ไดเห็นคนมีผาเปย กผมเปย ก ไดย ินเสียงไกปา และนกยงู เปนตน แลวใกลเ ขา ไปๆ กเ็ หน็ ไพรสณฑเ ขยี วในบริเวณเขตสระนํ้า เหน็ ดอกบัวท่เี กิดในสระ เห็นนํา้ ใสสะอาด เขาก็ย่ิงดีใจรา เริงปลาบ ปล้มื ยงิ่ ขึ้นไปๆ ทกุ ทีๆ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๙ แลวในทส่ี ดุ มาถงึ สระ ก็กระโจนหรอื กา วลงไป พอถงึ น้ําได สัมผสั กฉ็ า่ํ ชื่น ใจท่ีฟูขึ้นพองออกไป กส็ งบเขาท่ี เขาอาบดม่ื ตาม ชอบใจ ระงบั ความกระวนกระวายหมดไป เคยี้ วกินเหงา รากใบบัว เปนตน จนอิ่มหนาํ แลว ข้นึ จากสระ มาลงนอนใตร มไมเย็นสบาย มลี มออนๆ โชยมา พูดกบั ตัวเองวา สขุ หนอๆ ตามตัวอยางทีท่ า นยกมาเปรียบเทยี บน้ี จะเหน็ วา ความดใี จปลาบปลม้ื ราเริง นับต้งั แตชายผูนน้ั ไดยินวา มีสระ นํ้าและหมไู มจ นกระท่งั ไดเห็นน้ํา น้ันคอื ปต ิ ซ่ึงเปนอาการราเริงยิน ดใี นอารมณท ี่เปน ขน้ั กอนหนา สวนการท่เี ขาไดล งไปอาบนาํ้ กิน ดื่ม แลวนอนราํ พึงวา สุข หนอๆ ทีใ่ ตร มไมเ ยน็ สบาย มสี ายลมออ นๆ โชยมา น้ีคือ สขุ ซึง่ อยู ในตอนทไ่ี ดเ สวยรสอารมณ ปตินัน้ มีลกั ษณะฟู พอง พลงุ ขนึ้ ซูซา ซาบซาน ปลาบปลืม้ ซง่ึ กแ็ สนจะดอี ยา งยงิ่ แตถ งึ จะดอี ยางไร ปต จิ ะคางอยไู มได เพราะ ยงั ไมส ม ยงั ไมลจุ ุดหมาย สุดทายก็ตองมาจบลงท่ีความสุข ตอ งดี สุดตรงทสี่ ขุ ซึง่ กค็ อื สงบเขา ท่ีน่นั เอง ถายงั ไมส งบ กย็ ังไมส ม ยงั จบยังสมบรู ณไมไ ด จงึ มาดที ีส่ ดุ ตรงท่สี มและสงบลงได เรยี กวาเปนสุข ท่ีจริง ถา ดูใหละเอยี ด แยกใหครบ ยังมภี าวะจิตอีกชวงหน่ึง อยูระหวา งปตกิ บั สขุ อันน้ีกส็ ําคัญ เมอื่ กี้ เรามองแตด านท่ีจะได สนองระงับดับความตองการไดสมอยากสมปรารถนา คือดานได แตเม่อื ดใู หละเอียด กด็ ูดานของตวั ความตอ งการเองดว ย

๓๐ ความสขุ ทุกแงทกุ มมุ ความตองการนั้นก็มีอาการของมันเอง คือ ความรุนเรา ความเรา รอน ความกดดัน ยิ่งถารุนแรง กก็ ลายเปนความกระวน กระวาย ความเครยี ด ความกระสับกระสาย จนถงึ ขนั้ ทุรนทรุ าย ทนี ี้ ในกระบวนการสนองความตอ งการนน้ั เมอ่ื เขา มาในขัน้ ตอนของการสนองที่จะไดสมปรารถนา ขณะท่ีปติฟูฟาแรงข้ึนน้ัน เอง อีกดา นหนงึ่ มนั กท็ ําใหความกระวนกระวาย เครียด เขม็ง กระสับกระสายท่ีเปนอาการของความตองการ ซ่ึงมีผลท้ังตอจิต และกาย ไดผอนคลาย ระงับไป หายเรา รอน เยน็ ลง ราบลง กลาย เปน ความเรยี บรน่ื ภาวะนี้เรียกวา “ปส สทั ธ”ิ ปสสัทธินี่แหละ เปนตัวนําโดยตรงเขาสูความสุข เพราะ ฉะนั้น เม่อื ซอยละเอยี ดใหชัด ทานจึงพูดตามลําดบั ดังน้ีวา “ปติ ปสสทั ธิ และสขุ ” (ความตองการฝายตัณหา จะมีอาการเรารอน กระวน กระวาย เครียด เปนตน น้ไี ดเตม็ ที่ เพราะอยูบ นฐานของโมหะ และ องิ กับความยึดถอื ตวั ตน แตค วามตอ งการฝา ยฉันทะมากบั ปญญา เปนปกติอยูแลว ปญญาจึงทําหนาท่ีจัดปรับแกและกันปญหา เหลา นีไ้ ปพรอ มในตวั ) พอพูดถึงอาการของความตองการ ก็เลยมีแงซับซอนเล็ก นอยท่ีควรจะพูดไวประกอบความรูดวย คือ นอกจากการระงับ ความตองการดวยการสนองท่ีพูดมาน้ัน ก็มีการระงับความ ตอ งการดว ยการไมส นอง ซ่ึงเปน การกระทาํ ในทางตรงขา ม

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๑ ทีน้ี เมอ่ื ความตองการเกิดขึ้น ถาพยายามระงบั ดวยการไม สนองมัน ไมยอมตามมนั โดยขัดขวางหรือขดั ขนื ฝนใจ กดขม หรอื บังคับ ก็จะยิ่งทําใหมีอาการรุนแรง เกิดความเรารอนกระวน กระวายทรุ นทรุ ายมากขน้ึ และอาจจะระบายหรอื ระเบดิ ออกมา ทาํ ใหเ กดิ ทกุ ขแ กต น และเปน ภยั แกคนอ่นื มากมาย แลว ในโลกน้ี กแ็ ก ไขกันดวยวิธีสรางโทษภัยแบบตอบโตหรือตอบแทนยอนกลับไป และเปนการขูไ ว ไมใชส งบจริง เมอื่ มาเขา สูก ระบวนการฝก ศึกษาพฒั นาคน การมีจติ สํานกึ ทีจ่ ะฝกตนกช็ ว ยไดระดบั หน่งึ แมจ ะฝน ใจ แตขา งดีกม็ ผี ลที่รสู ึกวา ไดฝกตนข้ึนมา แลวก็อาจจะดีใจท่ีไดทดสอบกาํ ลังความสามารถ ในการฝก ตนน้ัน แตการฝกฝนพัฒนายังมีวธิ ีมากกวา นี้ ท้งั วิธีการทางจิต และ ทางปญ ญา วิธีทางจิต ก็เชน การใหฝายกุศลมีกาํ ลังเหนือกวา อยาง งายๆ ก็เชน ใหฉ นั ทะ ทใ่ี ฝร ูใฝด ี ท่อี ยากคน ควา หาความรู แรงเขม กวา ตัณหา ทีใ่ ฝม ว่ั ใฝเ สพ ท่ีอยากหนีโรงเรียนไปกินเหลากบั เพือ่ น สุราบาน อีกอยางหน่งึ คอื ใชวิธแี ทนที่ เชน มองไปทเ่ี งนิ ของคณุ จ. อยากจะขโมยเอาเสีย แตนึกถึงวาคุณ จ. หาเงินมาดวยความยาก ลาํ บาก มที กุ ขมากอยแู ลว ไมควรไปเพมิ่ ทุกขใ หเขา เกดิ กรุณาหรือ การณุ ยข ึน้ มา ตัณหากแ็ หง หายสงบไป

๓๒ ความสขุ ทุกแงทุกมุม สวนวิธีทางปญญา ก็เชนวา เขาเอาทองคํามาขายใหใน ราคาแสนจะถูก กต็ าลุกอยากไดเ หลอื เกิน แตพอรทู ันวา เปนทองเก ความอยากไดก็หายวับไปหมดส้ิน สงบลงได แตปญญาอยางนี้ ควรเรียกลอวาเปนปญญาเทียม แครูทันทองเก พอแกปญหา เฉพาะหนา ไปที จะเปนปญญาแท กต็ อ งอยางพระสาวกทม่ี องเห็นความจริง วา เงินทองเพชรนลิ จนิ ดาประดาทรพั ย ไมใ ชแ กนสารของชวี ติ ไม เปนของเราของเขาของใครจริง ทาํ ชวี ติ ใหด งี ามประเสรฐิ เปนสุขแท จริงไมได ทั้งเราท้ังมันก็เปนไปตามธรรมชาติ คืออนิจจังทุกขัง อนัตตาท้ังนั้น ถาจะอยกู ับมัน กต็ องใชประโยชนอยา งรเู ทาทัน ไม ใหเ ปนเหตกุ อโทษทุกขภ ยั เม่ือจะเปด โลงสคู วามเปน อิสระเสรีมสี ุข ท่ีแท กส็ ละละไดท ้ังหมดในทนั ที อยางนีค้ อื ปญญาที่ทาํ ใหต ัณหา ไมม ีทตี่ ัง้ ตัว จึงสงบจริง รวมแลว ไมวาจะสงบระงับดวยการสนองความตองการก็ ตาม หรือสงบระงับดวยวิธีทางจิตทางปญญาใหไมตองสนอง ความตอ งการท่ีไมถ กู ไมด กี ต็ าม ความสงบนัน้ กเ็ ปน ความสขุ และ ความสขุ กค็ ือความสงบ สนั ติเปน สุข สขุ เปนสนั ติ คอื สนั ติสขุ ดัง ความหมายที่ไดวา มา

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๓ สองทางสายใหญ ทจ่ี ะเลือกไปสคู วามสขุ เร่ืองความตองการน้ีสําคัญมาก ถึงแมต้ังหลักไวใหเห็นกัน แลว กย็ งั ขอพดู แงมุมปลกี ยอยตอไปใหเ กิดความคนุ เคยไว อยางงายๆ ตามปกติ คนท่ัวไป ก็มีท้ังฉันทะ และตัณหา เปนตนทุนอยดู วยกนั ขอ สําคัญอยทู ีว่ า คนที่มหี นาทีร่ ับผดิ ชอบสงั คม หรือผูอยใู น ฐานะที่ควรเปนกัลยาณมิตร จะตองเขาใจหลักความตองการนี้ และรูจักสงเสริมความตองการฝายฉันทะข้ึนไป พรอมกับรูจักคุม และขัดเกลาความตองการฝา ยตณั หา อยางนอ ยใหเ ปนกระแสรอง อยูเรอ่ื ยไป ดา นฉนั ทะทเ่ี ปน ทนุ กเ็ ชนวา คนทว่ั ไปอยไู หนไปไหน กอ็ ยาก เห็นสภาพแวดลอมที่เปนระเบียบเรียบรอย สะอาดตา ไดสัมผัส ธรรมชาตทิ ี่งดงามรนื่ รมย กช็ นื่ ชมสบายใจมีความสขุ และอยากให ส่ิงทั้งหลายโดยรอบอยูในสภาวะที่ดีงามสมบูรณอยางน้ัน อยาก ใหผ คู น สตั ว ตน ไม แมกระท่งั หญา ข้ึนไปถงึ ทอ งฟา สดชื่น งาม นาอมิ่ ตาอม่ิ ใจ แมแตรางกายแขนขาหนาตาของตน ก็อยากใหแข็งแรง สะอาดหมดจดสดใส อยูในภาวะที่ดีงามสมบูรณของมัน (ตรงนี้ เปนจดุ ที่ใชไ ดดี ในการฝก แยกฉนั ทะกบั ตณั หา)

๓๔ ความสุข ทุกแงทกุ มุม พรอมกันน้ัน อีกดานหน่ึง คนทั่วไปก็ตองการสนองความ ตอ งการทางผัสสะของตน ตองการเสพรปู รส กลิ่น เสียง สัมผัส กาย ท่เี ปน อารมณอนั นาพอใจ ทช่ี อบใจ ทีท่ า นใชคํารวมๆ เรยี กวา อามสิ บาง วา กาม บา ง เนือ่ งจากพวกกามอามสิ นี้ มีสัมผสั ทีห่ ยาบ มีการกระตุนเรา ท่แี รง จึงมกี าํ ลังลอ เรา ชกั พาไปไดม าก ความรเู ทา ทันทจี่ ะไมห ลง ตามเหยือ่ ลอ จึงตองไดร บั การยํ้าเนน ทีนี้ มาดูความอยาก ๒ อยางน้ันเทยี บกนั ใหเ หน็ ความ หมายชดั ขึน้ ไปอกี บอกแลว วา ความอยากอยางที่ ๒ ที่เปน กศุ ล คือฉันทะน้ัน เร่ิมอยางงายๆ ดวยความรูสึกชื่นชมยินดีพอใจ ในความดีความ งามความสมบรู ณข องสิง่ นั้นๆ ทนี ้ี เม่อื มคี วามพอใจ มคี วามตองการทจ่ี ะไดร ับความพอใจ อยางน้ัน แตถาสิ่งนั้นๆ ตลอดจนคนน้ันๆ ยังไมมีความดีงาม สมบูรณ หรือมี แตยงั ไมเต็มท่กี แ็ ลว แต ก็อยากใหม นั ดีอยากใหมัน งามอยากใหมนั สมบูรณ เมื่ออยากใหมันดีงามสมบูรณ แตมันยงั ไมเ ปน เชน นัน้ จะตอ ไปอยา งไร นกี่ ค็ ือมาถึงข้นั ที่อยากทําสิง่ นน้ั ๆ ใหมันดีงามสมบูรณ ตรงนีแ้ หละที่จะไดเ จอตวั ฉันทะจริงๆ ท่ที า นเรยี กวา “กตั ตุกมั ยตา- ฉนั ทะ” (ฉนั ทะคือความอยากทาํ ) พอพูดมาถึงตรงน้ี ก็คงมองเหน็ แนวทางของการท่ีจะพัฒนา ความตองการทีเ่ ปน ฉนั ทะน้นั ตอ ไป

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๕ ทนี ้ี เพ่ือเทยี บกนั ตอไป ก็หนั มาดูความอยากประเภทตัณหา ทีเ่ ปนอกศุ ล คือความพอใจใครอยากในรูป เสยี ง กลิน่ รส และ สมั ผสั กาย ท่ีมาสนองความตอ งการในการเสพ อันนี้เรยี กงา ยๆ วา ความอยากเสพ พออยากเสพข้ึนมา มนั กค็ อื การอยากไดอ ยากเอา เพ่ือตวั เรา ตรงน้ีขอ แตกตางอยางพิเศษกโ็ ผลอ อกมา อะไรที่โผลขนึ้ มาตอนนี้ น่นั กค็ อื พอความอยากแบบนเี้ กดิ ขึ้น ก็ตอ งมตี ัวเจา ของเร่อื งขน้ึ มา คอื มตี ัวท่จี ะเปนผูไ ดผเู อาผเู สพ แมแ ตเปน ผูอยาก มีตวั ผอู ยาก ตัวผไู ด ตัวผเู สพ ชดั ขนึ้ มาเลย คือ อยากไดอยากเอามาใหแ กต วั เพ่อื ตวั จะไดเสพ นค่ี ือจดุ กาํ เนดิ ของ “ตัวตน” แตถา เปนความอยากประเภทท่ี ๒ คือฉันทะ กม็ ีลาํ ดบั การ ทํางานตางไปอีกแบบหนึ่งเลย อยางที่วาแลว คือ พออยากใน ความดีความงาม พอใจ ชน่ื ชมในความดีความงามความสมบูรณ ของสิ่งน้ันๆ พอเห็นมันเปนอยางนั้น ก็มีความสุขอยูขั้นหน่ึงแลว โดยยังไมตองทําอะไร พรอมกนั นน้ั ก็อยากใหสงิ่ น้ันมันดขี องมนั ใหมนั งามของมัน ใหม นั สมบรู ณข องมันตอ ไป ทนี ้ี ถา มนั ยังไมดี ยังไมง าม ยังไมส มบูรณ กอ็ ยากใหมนั ดี มนั งามมันสมบูรณ ทีนี้ทาํ อยา งไร เม่อื อยากใหม นั ดมี ันงาม แตม ัน ยังไมด ีไมงาม ไมส มบูรณ ก็อยากทําใหม ันดีมันงามมันสมบูรณ เม่ือจะทําใหมันดีใหมันงามใหมันสมบูรณ แตไมรูวาจะทํา อยางไรมนั จงึ จะดจี งึ จะงามจงึ จะสมบูรณ ถงึ ตอนนี้ ระบบเหตปุ จจยั กม็ าเรียกรองเอง คือก็เลยอยากรู

๓๖ ความสุข ทกุ แงทุกมุม วาจะตอ งทาํ อะไรอยา งไร เพื่อใหม นั ดีงามสมบรู ณ ถึงตรงนีก้ ็คือ เกดิ ความอยากรู หรือความใฝทจ่ี ะรู ตามลาํ ดับนี้ เห็นไดว า ความหมายของ “ฉันทะ” นัน้ กวาง มาก ตั้งแตช่ืนชม (มีความสุข) ดวยความยินดีพอใจในความดีความ งามความสมบรู ณข องสิ่งน้นั ๆ คนน้นั ๆ แลว ก็อยากใหสง่ิ นนั้ ๆ คน นน้ั ๆ ดีงามสมบูรณส ดใสมคี วามสุขตอไป หรือไมก็อยากทาํ ใหส งิ่ น้นั ๆ คนนัน้ ๆ มคี วามดีงามสมบรู ณสดใสมคี วามสุข แลว กอ็ ยากรู วาจะทาํ อยางไร สง่ิ นัน้ ๆ คนนัน้ ๆ จงึ จะดีงามสมบูรณมคี วามสุขได อยางน้นั จุดตางอยางแรกที่ควรสังเกตไว คอื ฉนั ทะตองการใหคนให ของนั้นๆ ดงี ามสมบรู ณเ ต็มตามสภาวะของเขาของมนั เมอ่ื เราพบ คนหรอื ของทด่ี งี ามสมบรู ณต ามสภาวะ ความตองการของเราก็ได รับการสนองเดย๋ี วนั้นเลย เราจึงมคี วามสุขไดท นั ที เชนท่มี คี วามสุข กับธรรมชาติ ตางกับตัณหาซ่ึงตองรอสนองดวยการไดเสพจึงมี ความสขุ จุดตางอยางสําคัญยิ่งก็คือ ตลอดกระบวนการของความ อยากแบบฉันทะนี้ มแี ตค วามอยาก แตไ มเกดิ ตัวผูอยาก หรือตัว ตนที่จะทาํ อะไรๆ (ตรงขามกับกระบวนการของตัณหา ที่จะตอง เกดิ มีอตั ตาตวั ตนข้นึ มาเปน ผเู สพ เปนเจาของ เปน ผคู รอบครอง) ถา ระหวางมฉี ันทะ หรือทาํ อะไรอยูด วยฉันทะ เกดิ มคี วามรู สึกตวั ตนขึน้ มา ก็แสดงวากเิ ลสสังกดั อตั ตาไดโ อกาสแฝงตวั เขา มา แลว และตวั ที่มักเขามาแบบออ นๆ ก็คือมานะ (ความถือตัว, ความ รสู กึ อยากใหตวั สาํ คญั )

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๗ ตัวแทของฉันทะที่อยากโดยไมตองเกิดมีตัวผูอยากนี้ ก็คือ อยากทํา เพราะฉะน้ัน คําวาฉันทะหรือความอยากที่เปนกุศลน้ี ทา นจึงใหค วามหมายวา ไดแ ก กตั ตกุ มั ยตาฉันทะ ไมวาทไี่ หน พอแสดงความหมาย หรือจํากัดความ กบ็ อก วา “ฉนฺโทติ กตตฺ กุ มฺยตาฉนฺโท” ฉันทะ คอื ความตอ งการทเ่ี ปน ความอยากจะทํา (ใหม ันดีใหมันงามใหม นั สมบูรณ) ท่พี ูดซ้าํ บอ ยน้ี กเ็ พราะเปนเรื่องสาํ คญั มาก มนั เปนตนทาง ของการที่จะพฒั นามนุษย พอเรามีฉันทะ อยากใหอะไรๆ มนั ดีมนั งามมนั สมบูรณ ถา เห็นแมแตพื้นบานพ้ืนบริเวณวัดวามันสะอาดดีงาม เราก็ชื่นชม สบายใจ แตถาเห็นมันสกปรก ยังไมสะอาด เราก็อยากใหมัน สะอาดใหมันเรียบรอ ยดี แลว เรากอ็ ยากจะทําใหม ันสะอาด เราก็ ไปฉวยไมกวาดมา แลวก็ทํางานกวาดไป ถาเราไมรูวาจะกวาด อยา งไร เราก็อยากรูวิธีท่จี ะกวาด แลวเราก็ไปหาเรยี นวิธีกวาดเอา มา เม่ือเรารูวธิ ีแลว เรากม็ าทาํ การกวาด แลว เราก็พัฒนาความ เปน นกั กวาดขน้ึ มา กเ็ ช่ยี วชาญชาํ นาญ กวาดไดเกง ขน้ึ ๆ น่กี ็คือกระบวนการที่เรียกวา การศกึ ษา เพราะฉะน้ัน ฉันทะนี้จึงเปนตนรากของกระบวนการศึกษา หรือการพฒั นามนุษย

๓๘ ความสขุ ทุกแงท ุกมุม กฎมนษุ ยสรา งระบบเงื่อนไข ตอ เม่อื หนนุ กฎธรรมชาติได จงึ จะมีผลดีจรงิ แตถ า ตัณหามา จะไมเ กดิ กระบวนการของการศกึ ษาอยา งนี้ พอตณั หามา อยากจะได เอามาใหตัวเสพ ก็จบ ยงั มกี ารเขา ใจผดิ กนั มาก หลายคนคดิ วา ถา กระตนุ ตณั หา ทาํ ใหค นโลภมากๆ จะไดข ยนั ทาํ งานกนั ยกใหญ เพอื่ จะไดม ใี ชม เี สพ วา กนั ใหฟ ุงเฟอเหลอื ลนไปเลย แลวทีน้ี เศรษฐกจิ จะดี จะขยายตวั มากมาย ดเู ผนิ ๆ ทว่ี ามา คลา ยวา จะเปนอยางนั้นจริง แตไ มใช ยังดูไม เปน ถึงไดพลาดกนั มา ศึกษาเสยี ใหด ี อนั น้ัน พดู ส้นั ๆ วา เปนความฉลาดในการจัดการกบั ตัณหา ในระบบเงอื่ นไข แตถ ึงจะฉลาดจัดการเกง อยา งไร วธิ ีนี้ก็แทบไมมี ทางจะสรา งคนอยา งไอนส ไตนข ้นึ มาได จะไดก็แคน ักวทิ ยาศาสตร ท่ีทํางานในระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ซ่ึงบางทีก็ทําใหประชาชน ตื่นและเตนกันไปเตนกันมาตามผลการวจิ ัยผา นไอที ชนิดท่ไี มไ ดแกน สาร จรงิ จงั ถา จะผอ นเบาปญหา ก็ตอ งเอาฉนั ทะมาชวยอีกนนั่ แหละ) ทนี กี้ ม็ าดูระบบเง่ือนไขในการจดั การกับตณั หา เมอ่ื ก้ไี ดบอก ใหเห็นความแตกตางระหวางกระบวนการของฉนั ทะ กบั กระบวน การของตัณหามาอยา งหนงึ่ แลว คือ ในกระบวนการของตณั หา จะ เกิดมีอตั ตา หรือตัวตนข้ึนมา ทีนี้ กถ็ ึงความแตกตางอยางท่ี ๒ คอื กระบวนการของตัณหา ทีใ่ ชต ณั หาเปน แรงจงู ใจ เปน ตวั ขบั เคลอ่ื น

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๙ อารยธรรมดว ยระบบเงือ่ นไข (พรอ มกับเปน กลไกของการพฒั นาที่ เรียกกนั วาไมย ่ังยนื ) พอตณั หาเกิดขน้ึ กอ็ ยากจะเสพ แตย ังไมม ขี องท่จี ะเสพ ก็ หาทางจะไดจะเอามา ตอนน้มี ันจะไมเดินหนา ไปตามกระบวนการ ของเหตุปจ จัย แตจ ะมาเช่อื มตอเขา กบั กระบวนการแบบเงื่อนไข ตรงน้ี ใหส งั เกตนะ เด๋ยี วจะเถียงวา เออ ตัณหากท็ าํ ใหอ ยาก ทําเหมอื นกันนี่ เปลา ไมใ ชอ ยากทาํ หรอก ตณั หามันอยากจะเสพ อยากจะได อยากจะเอา แตมันยงั ไมม ีจะเสพ มันยงั ไมไ ด แลวทาํ อยางไรจะไดม าเสพละ กเ็ ลยมาเขา กบั ระบบเง่ือนไขวา คุณตอง ทาํ น่ี แลวคุณจะไดน ่ัน ถาคณุ ไมทําอนั นี้ คณุ ก็ไมไ ดอ ันนั้น นีแ่ หละ ตณั หาจึงทําใหเกิดการกระทําในระบบเง่ือนไข เม่ือทําตามเงื่อนไข หรอื ทําเพราะเปนเงอ่ื นไข มันกไ็ มใ ชท ํา เพราะอยากจะทาํ มนั กไ็ มม ีฉันทะ เมอ่ื การกระทําไมเ ปน การสนอง ความอยากทาํ คนนัน้ ก็ไมม ีความสขุ เขาไมอยากทํา เขากไ็ มเต็ม ใจทํา การกระทําน้นั ก็กลายเปนความทุกข พวกตณั หานะ ทาํ ตามเงอ่ื นไขเทา นน้ั เพราะถา ตวั ไมท าํ กจ็ ะ ไมไ ดข องมาเสพ และเขาจะสขุ ตอ เมอ่ื ไดเ สพ แตต อนทาํ นจี่ าํ ใจ กจ็ งึ ตองทําไปดว ยความทุกข ตองรอเวลาทจ่ี ะไดเ สพ อกี ตัง้ เมือ่ ไรกวาจะ ไดค วามสขุ ตอนทํานย่ี าว กวา จะไดสขุ สักที ตองทุกขไ ปต้งั นาน แถมรอวาเวลาท่ีจะไดเ สพยงั ไมม า รอนานนักหนา ก็พาให เครียด ไปๆ มาๆ กระบวนการพัฒนากไ็ มย ั่งยืน และคนทีท่ าํ การ พัฒนา กไ็ ดพฒั นาความเครียด ถา อยูไ ปกับการพัฒนาท่ไี มย่ังยืน แบบน้ี กจ็ ะมผี ลกาํ ไร คอื ไดค วามเครยี ดอยา งยั่งยืน

๔๐ ความสขุ ทกุ แงท กุ มุม แตท างฝา ยฉันทะนนั้ มคี วามอยากจะทาํ ใหม นั ดีอยแู ลว ก็ ทาํ งานดว ยความอยากทําอยูต ลอดเวลา กเ็ ลยสขุ ทกุ เม่อื ไมร จู กั เบื่อ ไมร จู กั เครยี ด สุขไดเ รื่อยไปตลอดเวลาท่ีทาํ นนั้ อนั นี้เปนความ สขุ ทีเ่ กดิ โดยตรงตามเหตุปจจัย เปนไปตามกระบวนการของมนั ไมว า จะเลา เรยี น จะทาํ งาน หรอื จะทาํ การอะไร กเ็ ปน ไปตาม หลักเดยี วกนั ถาทําดว ยฉันทะนี้ กท็ ัง้ ไดผลดี และมแี ตสขุ ทุกวัน คงยอมรบั กันไดว า หลกั ท่ีพดู มาน้นั สาํ คญั มาก ทานถอื วา ฉันทะเปนจุดเริ่ม พระพุทธเจาตรัสวา การเกิดขึ้นของฉันทะเปน เหมือนแสงอรณุ เปรียบเหมอื นวา กอนที่ดวงอาทิตยจะอุทัย ยอม มแี สงเงนิ แสงทองขนึ้ มากอ น ฉนั ใด ถาฉันทะเกดิ ข้ึนแลว ก็หวังได แนใจวาจะเจรญิ งอกงามในอริยมรรคาอันมีองค ๘ หรือในสิกขา คือการศกึ ษา ฉันนนั้ เร่ืองของฉันทะนน้ั ก็เปน อยางน้ี ไมต อ งช้ีแจงมาก เพราะ เปนเรื่องธรรมดาของกระบวนการธรรมชาติ ท่ีเปนไปของมันเอง ตามแตเหตุปจจัย ตอนนี้เรามีเร่ืองซับซอน เพราะมาเจอกับ กระบวนการของมนษุ ย ทใี่ ชร ะบบเงอ่ื นไข เคยยกตัวอยางบอยๆ ใหเห็นวา โลกมนุษยเวลานี้อยูใน ระบบเงื่อนไขแทบท้ังนั้น มนุษยมีความฉลาด ก็จัดตั้งกฎสมมุติ ซอนขน้ึ มา บนกฎธรรมชาติ เพอื่ ใหไ ดผลตามเงอื่ นไข กฎธรรมชาติ คือกฎแหงความเปนไปตามเหตปุ จ จยั ทม่ี อี ยู เปน ธรรมดา สว นกฎสมมตุ นิ ัน้ มนษุ ยท ี่ฉลาดจัดตัง้ ขนึ้ โดยมาตก ลงกันวางเปนเง่ือนไข ใหเปนไปตามเหตุปจจัยชนิดท่ีสมมุติขึ้น มาตามตกลง

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๑ จะเห็นวา ในโลกมนษุ ย มีกฎ ๒ กฎนซี้ อ นกนั อยทู ว่ั ไป เปน องคป ระกอบสาํ คญั ของอารยธรรมปจจุบนั ตัวอยา งซึ่งเห็นไดง า ย ก็คอื ในเรื่องการทาํ งาน ขอยกมาพดู ประกอบไว เรามีสถานที่ราชการ หรืออะไรก็แลวแต อาจจะเปนมหา- วทิ ยาลัยกไ็ ด ท่ีมบี ริเวณกวา งขวาง มีอาคารมากมายสวยงาม เรา กอ็ ยากใหส ถานท่ีรมรื่น มีสนามหญาเขียวขจี มตี น ไมนานาพรรณ มีใบดกและดอกหลากสีสวยงามบานสะพรัง่ เปน ท่สี ดชน่ื รื่นรมย เมอ่ื ตองการอยา งน้ี เราจะทําอยา งไร ตอนนแ้ี หละ มนษุ ยมี ปญญาฉลาด รจู กั แบงงานกนั ทํา กเ็ ลยจดั ตงั้ เปนระบบสมมุติข้นึ มา เรารูอยูถึงกฎธรรมชาติท่ีวา ตนไมแมแตหญาจะงอกงาม เขยี วขจสี ดชื่นได ก็ดวยอาศยั อาหารหลอเลย้ี ง มีเครือ่ งบาํ รงุ ดี มี นา้ํ มปี ยุ เปนตน อนั นเ้ี ปน เร่ืองของเหตปุ จ จัยในธรรมชาติ เปน กฎ ทแี่ นน อน เมือ่ เรารอู ยอู ยา งนี้ เราก็มาคิดวา เราจะทาํ อยางไรใหเ หมือน กับวาไปขับเคล่ือนผลักดัน ใหเหตุปจจัยท้ังหลายดําเนินไปตาม กระบวนการของธรรมชาตนิ นั้ ถงึ ตรงนี้ เรากต็ ง้ั กฎมนษุ ยซ อ นขนึ้ มา อยา งท่วี าแลว กฎมนุษยเปนสมมุติ คอื เปน ขอตกลง โดยรู และยอมรับรว มกนั “สมมุติ” แปลวา รูร วมกัน แลวก็ยอมรับกนั ตามนั้น กค็ ือตกลง กฎสมมตุ ิของมนษุ ยน น้ั เรียกกันวา “กฎหมาย” ก็เปนกฎ โดยหมายรู คือตามสัญญา วาไปตามสมมุติ ที่ตกลงกันวาเอา อยา งนี้นะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook