เรอื่ งที่ ๒๗ วญิ ญาณนายอาํ เภอเมอื งอบุ ล โดย ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี (คําชแี้ จงเกี่ยวกบั ผเู ขียนเรื่องน้ี ปรากฏอยูในเร่อื งท่ี ๑๘) ตอนทเี่ สรมิ ศรสี รา งเรอื นไทยเสรจ็ ใหม ๆ และออกไปอยทู น่ี น้ั แทนที่จะอยูในท่ีพักสําหรับ อาจารย ศ.อ.ศ.อ. ตอ ไปนนั้ คณะกรรมการยุวพทุ ธกิ สมาคมอบุ ล ซ่ึงตอไปจะเรียกวา “ยพส.อบ.” ไดร วมมอื กบั สถานีวทิ ยุ วปถ.๖ ของกรมผสมท่ี ๖ ทอ่ี าํ เภอวารนิ ชําราบ จดั คณะอภปิ รายธรรมทาง วิทยุ เปนเรอื่ งตอ เนอื่ งกนั จนกวาจะจบธรรมบทหน่ึง ๆ คณะผูอภปิ รายทางวทิ ยุ วปถ.๖ นี้ ประกอบดว ย :- ๑) ผูจดั การธนาคารกรุงเทพ ฯ จาํ กัดในยุคนั้น ๒) นายอําเภอเมอื งอุบลราชธานี ๓) อนุสาสนาจารยกรมผสมที่ ๖ ๔) หวั หนาสถานวี ทิ ยุและโทรเลขจงั หวัดอบุ ล ๕) ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี ขณะนไ้ี ดไปพบกันปรกึ ษาวา วนั อาทิตยต อ ไปจะอภปิ รายกนั ในเรื่องธรรมใด ปรึกษากนั ยังไมเ ขาใจ ตรงไหน ก็กราบเรยี นปรกึ ษาทานเจา คณุ เจา อาวาสวดั สปุ ฏ นารามวรวหิ ารได ตกลงอยางใดแลว วัน อาทติ ยต อ ไปเปน วนั พดู ทางวทิ ยุ วปถ.๖ ดงั นั้นในยุคน้ันเสรมิ ศรีจึงรจู กั นายอาํ เภอเมอื งอบุ ล ฯ ทาน นนั้ อยา งดี ทานเปนผทู ี่นา เคารพนบั ถอื ทานสนใจตดิ ตอกบั ประชาชน เยย่ี มเยียนราษฎรดว ยความ เอาใจใส ชว งหนง่ึ ของระยะเวลาที่ไดร ูจ ักคนุ เคยกบั ทานนายอําเภอเมอื ง ฯ ผนู ผ้ี านไป มเี อกอคั รราชทูต เวียดนามบนิ มาเยย่ี มพวกญวนอพยพทอี่ บุ ลราชธานี ทางบานเมอื งขอใหข าราชการระดบั หัวหนา งานตา ง ๆ ในอบุ ลไปตอ นรบั ณ สนามบนิ อบุ ล ฯ วนั นนั้ เสรมิ ศรีจึงไดไปทสี่ นามบนิ นนั้ ดวย ในขณะทพ่ี วกที่สนามบินรอทานทตู อยูนนั้ เรากต็ องสลดใจเปน อยา งยิ่ง แลวตอ งกดอดั เก็บไวกอน จนกวา จะตอ นรับทานทตู เสรจ็ ไป เร่อื งมดี งั ตอไปนี้ ทานนายอําเภอเมืองอุบลขบั รถจปี๊ ประจําตาํ แหนง ของทา น กาํ ลังจะไปตอ นรบั ทานทตู ดว ย แตเกิด อุบตั ิเหตุ คือ ถูกรถเมลข องบรษิ ทั หนงึ่ ในจงั หวัดอบุ ลชน จนถงั น้ํามนั รถจปี๊ ของทานระเบดิ และไฟ ไหม ทา นขบั รถไปแตผูเดยี วจงึ ถึงแกก รรมไปในซากรถจปี๊ นน้ั ดว ย 151
เร่อื งนเี้ ซง็ แชกนั ทว่ั ทั้งเมอื งอบุ ล ฯ เพราะทา นเปน นายอําเภอทสี่ นใจในประชาชนมาก จงึ ไดรบั ความ รักความนบั ถอื จากประชาชนทว่ั ไป ยงิ่ กวา นน้ั ผทู ร่ี ูจ กั หรอื เพื่อนฝงู ของทานยังทราบวา ตวั นายอาํ เภอเมอื งเองกาํ ลงั มีเร่อื งเศรามากอยู คือ ภริยาทานเพงิ่ ถงึ แกก รรมและไดป ระชุมเพลงิ ไป แลว ลกู สาวทา นทล่ี าโรงเรยี นในกรุงเทพ ฯ มาทํางานศพคณุ แมกเ็ พ่งิ กลบั ไป ทบ่ี านทานเหลอื แต เดก็ ผูชายรนุ หนมุ คนหนึ่ง ซ่งึ ทานรบั มาจากทองท่ใี หม าอยกู ับทาน เพอื่ จะไดเ รยี นหนงั สอื ชนั้ มธั ยม สูงขน้ึ ตอ ไปเทา นนั้ พอเสรจ็ พธิ ตี อ นรบั ทานทูตเวียดนามแลว หวั หนา หนวยราชการของจงั หวัด ตลอดจนผทู ่คี นุ เคย เคารพนบั ถอื ทา นนายอาํ เภอ ไดปรกึ ษาชวยกันจดั งานศพทา น ตัง้ ไว ณ วดั สปุ ฏนารามวรวหิ าร สวด มนตและทําพธิ ีศพตามธรรมเนียมตาง ๆ ดว ยความรวมมอื กันอยา งจรงิ จังและจรงิ ใจ ไดส ง วทิ ยุโทร เลขไปตามธดิ าของทา นท่โี รงเรียนในกรุงเทพ ฯ ใหไ ปงานศพคณุ พอท่ีวดั สุปฏ นาราม ฯ รมิ แมน ้ํามูล กําหนดงานพระราชทานเพลิงจะจดั เมอ่ื ธดิ าและมารดาของทา นนายอาํ เภอไปถึงแลว รงุ ขนึ้ จากวันทีส่ งวทิ ยุโทรเลขไป ธิดากบั มารดาของทานนายอาํ เภอเมอื งฯ ก็มาถงึ อุบลราชธานี โดย มอี าจารยผชู ว ยอาจารยใ หญข องโรงเรยี นซ่ึงธิดาของทานกาํ ลงั ศึกษาอยูนนั้ เปน เพื่อนมาดว ย เสรมิ ศรีคุนเคยนบั ถอื อาจารยผ ูนน้ั อยู จงึ ไดข อเชญิ ทานผนู นั้ ไปรบั ประทานอาหารกลางวนั ณ รา นอาหาร ในเมืองอุบล ฯ ในวันทีส่ องของวนั ทที่ านมาถึง จงึ ไดท ราบเร่ืองตอ ไปนี้ :- ขอสมมตุ ิชื่ออาจารยผนู ัน้ วา “อาจารย ท.” อาจารย ท. “วันแรกท่ีมาถึงอบุ ลเพราะเรอ่ื งน้ี ไดพากนั ไปเคารพศพทา นนายอาํ เภอทีศ่ าลา แลวก็ ชวนลกู สาวของทา นไปเดนิ ท่รี มิ แมน ้าํ มลู หนา วัดสปุ ฏ ฯ ดฉิ ันเกดิ รสู ึกใจหวิว ๆ ขนึ้ มา นกึ วาเพราะ เม่ือคนื น้ไี มไ ดนอน คือนอนไมห ลบั ในรถไฟ คงจะเปน ลม รบี ชวนลกู สาวทา นกลบั ไปบานพัก นายอําเภอเมอื งดว ยคิดวา ไดอาบนาํ้ แลวคงจะหาย (ตอนนน้ั บานพกั นายอําเภอเมอื งอบุ ลอยรู มิ ถนนใหญซงึ่ ไมไ กลจากวัดสปุ ฏ ฯ นกั ศพของทานกป็ ระดษิ ฐานไว ณ วดั น้ันดวย) ดิฉนั คิดวาจะไป อาบน้ําทีบ่ านพกั พอไปถึงจงึ ถอดสายสรอ ยหอ ยพระทม่ี ปี ระจําตวั น้นั ออกเก็บ แตยังไมท นั เตรียม ตัวเขาหอ งนํ้าดิฉนั หมดความรสู กึ ตวั ตอ มาจึงรูวา ดิฉันนงั่ อยูก ลางวงญาตมิ ิตร ธิดาและมารดาของ ทานนายอําเภอ ปรากฏวาไดเ อาพินยั กรรมมาจากไหนไมท ราบ เอามาอานใหผทู ่ีน่งั อยูฟ งอธิบายวา อะไรจะยกใหลกู สาว อะไรจะยกใหค ุณแมและคนอื่น ๆ” (เสริมศรีทราบวาอาจารย ท. นาน ๆ จงึ จะไดพ บทา นนายอาํ เภอสกั ที ทําไมจงึ รไู ดว า มพี นิ ัยกรรม เอาไวท ่ีไหน เมอ่ื เสรจ็ งานพระราชทานเพลงิ ทานนายอาํ เภอแลว ทานกพ็ าธิดาและทา นมารดากลบั กรงุ เทพฯ ) หลงั จากเหตใุ หญน ีไ้ มถึงเดอื น บังเกดิ เหดอุ ศั จรรยอีกเรอ่ื งหนง่ึ คือ :- 152
เด็กชายรนุ หนมุ ทนี่ ายอาํ เภอเมืองรบั ใหมาเรียนชนั้ สงู ขนึ้ ทใ่ี นเมืองอุบล และใหอ ยกู ินที่บานของทาน นน้ั เมอ่ื นายอาํ เภอส้ินชีวิตและพระราชทานเพลิงแลว กค็ ดิ กลับบา นของตน ไดนาํ กระถางกุหลาบ ซึ่งกําลังออกดอกหนึง่ กระถางไปดว ย เขาไปขนึ้ รถเมลท จี่ ะไปถงึ ทอ งทนี่ อกเมอื ง คอื ที่หมูบานของตน เขาขน้ึ ไปนงั่ มานง่ั ทอี่ ยูท า ยรถ มีกระถางกหุ ลาบวางทพ่ี นื้ รถ กอ นทรี่ ถจะออกจากสถานมี ชี ายคน หนง่ึ ซึง่ คนทอี่ ยใู กล ๆ บอกวามีกลนิ่ เหลา เมาเหลา ขน้ึ มาบนรถเมลคนั เดียวกบั ทเี่ ดก็ ของ นายอาํ เภอขน้ึ พอรถคนั นัน้ แลน ออกถนนใหญ ชายข้ีเมาผนู นั้ คงจะเหลอื อดเหลือทน ราํ คาญกระถาง กุหลาบของเดก็ จงึ ยกกระถางน้ันขึ้นยนื่ ออกไปจะทิง้ บนถนน หรือจะเพยี งตองการกาํ จัดออกจากรถ กไ็ มท ราบ แตบ งั เกิดผลเปน อศั จรรย จนโจษจนั เซง็ แซกันทงั้ เมืองอยรู ะยะหนึ่งวา “ทานเฮ้ยี นมาก” ผลจริง ๆ ปรากฏวา กระถางกหุ ลาบของนายอําเภอเมอื ง ปลิวออกจากทายรถบสั คนั ทเ่ี ดก็ ของ นายอําเภอนงั่ จะกลบั บา น ไปเขา หนา ตา งรถบัสของบรษิ ทั เดียวกบั คนั ทช่ี นรถนายอาํ เภอจนไฟไหม คนในรถคนั นนั้ เลาใหฟ งวา คนขบั รถถกู กระถางที่ลอดหนาตา งเขา มา ทตี่ น คอ เขามสี ติดีพอจะ เบรกรถใหห ยดุ อยรู มิ ทาง แลว เขากข็ าดใจตายคาพวงมาลยั ภายหลังงานศพทา นนายอําเภอราว ๒ ป เสรมิ ศรีไปประชมุ ในตางประเทศหลายวัน พอกลบั ถึง เมอื งไทยกข็ นึ้ รถไฟไปอบุ ลเพอื่ ทํางานตอไป ในรถไฟคนื นนั้ ไดฝ น เหน็ ทา นนายอําเภอมาคาํ นบั บอก วา “มาขอบคุณท่เี พอื่ นขาราชการรวมทงั้ คณุ หญงิ ไดแ สดงเมตตาผม บดั นผ้ี มมาลาไป ผมจะไปอยู กับเจาคณุ สีหพงศเ พญ็ ภาค” พอเสรมิ ศรีถงึ อบุ ลกไ็ ดเ ลา ใหเพือ่ นในคณะอภปิ รายทางวทิ ยแุ ละเพือ่ น ท่ี ศ.อ.ศ.อ. ฟง นอกจากนีย้ ังมเี รือ่ ง “ปดกนั แซด” วา บา นพักนายอาํ เภอหลังนน้ั มีผสี งิ มเี สาตะเคียนตกนํา้ มนั และ อะไรตา ง ๆ ขอ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา ตอมาทางราชการไดใ หน ายอาํ เภอเมอื งคนตอ ไปพกั บา นหลังใหม ไมมีหรือมอี ะไรเสริมศรีก็จบเกมที่จงั หวัดอบุ ลราชธานีแลว . หมายเหตขุ องผรู วบรวม เร่อื งน้ีมีจุดเดน ๓ จดุ คอื (๑) การทอ่ี าจารย ท. สามารถคน เอาพนิ ยั กรรมของทา นนายอําเภอ ออกมาอา นใหคนท้ังหลายฟง หลงั จากทเ่ี ตรียมตัวอาบนาํ้ โดยถอดพระเคร่อื งออกจากคอ แลวหมด ความรูส กึ ตอ ไป (๒) การท่ีกระถางกุหลาบของชายหนมุ ในอุปการะของทา นนายอาํ เภอ ลอยไปฆา คนของบริษทั รถเมลท เ่ี ปน เหตุใหท านถึงแกก รรม และ (๓) การที่ทา นนายอาํ เภอไปอาํ ลาคุณหญิง เสริมศรีในรถไฟ ท่ีเดน ทส่ี ุดนา จะเปน การทอี่ าจารย ท. “สิน้ สติแลว คน เอาพนิ ยั กรรมมาอา น” ในทนั ทที ่ีเอาพวงพระเครอ่ื งออกจากคอ ซ่งึ หมายความวาหมดเครอื่ งปอ งกนั จากการแทรกแซงทาง จิต .......................................... 153
เรอื่ งท่ี ๒๘ สวดหนา ศพ โดย ไขศรี สมบรู ณส นิ (คณุ ไขศรี สมบรู ณส ิน เปน คหปตานี ภริยาของนายวรณุ สมบรู ณส นิ ซ่ึงเปน เพื่อนรักและเกาแกของ ผูรวบรวมหนังสอื น้ี เธอเหน็ ผมู กี ารศกึ ษาดแี ละมีลักษณะทกุ ประการทีแ่ สดงวา เปน ผเู ชื่อถอื ได ตาํ บลบาน ๑๒๓/๑ ซอย ๙ อนิ ทามระ ถนนสทุ ธิสาร กทม.) ขา พเจา มพี ส่ี าวคนหนง่ึ เธอเปน บตุ รคนโตของลงุ ขา พเจา ตงั้ แตขาพเจาเปนเด็ก เคยเหน็ เธอ เปนอยางไรกเ็ ปนอยา งนน้ั รปู รางเธอเลก็ ๆ ผิวขาวสวย เธอครองตวั เปน โสดจนอายยุ า งเขา วัยชรา เธอกเ็ ร่มิ เจบ็ ออดแอด จนกระท่งั ตองเขารบั การรักษาอยใู นโรงพยาบาล เธอเขา ออกโรงพยาบาลมา เปน เวลาแรมเดือน เขา ออกอยปู ระมาณสองสามปกส็ ิ้นชีวิตลง ญาตพิ นี่ องของเธอไดต ้งั ศพเธอสวด ทีว่ ดั ธาตุทอง ขาพเจา ก็ไปในวันสวดนน้ั ดวย ในขณะทแ่ี ขกเหรอ่ื กาํ ลังทยอยกันมา ญาติพนี่ อ งทีม่ ากอ นก็นง่ั สนทนา กนั พระทานก็เดนิ มานงั่ บนอาสนสงฆแ ละกาํ ลังจะใหศีล ขณะท่ขี าพเจากําลงั นั่งเหมอมองไปทางทศิ หบี ศพที่ต้ังประดบั ดอกไมส วยงามนนั้ ก็มีความรูสกึ แปลกอยา งทไี่ มเคยมากอ นเลย คอ ยมี ความรูส ึกวาเธอซ่งึ เปน ศพนนั้ ออกจากหบี และมานง่ั พบั เพยี บฟงพระสวดทห่ี นาหบี ศพของเธอเอง ในระหวา งทมี่ ีความรสู กึ อยูนน้ั ก็นกึ วาตัวเองในใจวาเรานอ่ี อกจะเลอะเลอื นใหญแ ลว ก็พอดนี องสาว คนสดุ ทองของเธอซ่ึงตัง้ อยขู า งขาพเจาไดช ะโงกหนา ขามมาถามพีส่ าวซงึ่ น่ังขนาบขา งขา พเจา อีกขา ง หน่งึ วา “เจ เห็นเจเ น่อื ง ออกมาน่ังทห่ี นาหบี ไหม” เลยทาํ ใหค อยสบายใจวาเราคงไมเลอะเลือนแน แตท ําไมจงึ รูสึกเหมอื นอยางกบั เหน็ ดวยตาก็ไมส ามารถจะอธบิ ายได เรอื่ งของวิญญาณนบั วาเปน สิง่ ทล่ี กึ ลับและแปลกประหลาดมาก ไมสามารถจะพสิ ูจนก นั ใหเ หน็ ได นอกเสยี จากบคุ คลใดจะไดป ระสบเหตกุ ารณดว ยตวั เอง อยา งขาพเจา . หมายเหตเุ พม่ิ เตมิ เม่อื วันที่ ๓๐ มนี าคม ๒๕๒๔ ผูรวบรวมไดตดิ ตอกบั คณุ ไขศรที างโทรศัพทเพ่อื เรยี นถามวาเมอื่ “คุณ นอ ง” ถาม “เจ” วาไดเหน็ ผตู ายออกมานง่ั อยหู นา หบี ศพหรอื เปลานน้ั “เจ” ไดต อบวา อยางไร คณุ ไขศรตี อบมาวา “เขาบอกวา เหน็ เหน็ นานแลว แตไมไ ดพ ดู เพราะเกรงวาจะกลวั กนั ” จากคําตอบน้ี เราควรยดึ ถอื ไดว า อยางนอ ยมีคนสามคนไดเหน็ ผูตาย ออกมาน่งั ฟงพระสวดอยหู นาหีบศพของ ตนเอง .......................................... 154
เรอ่ื งท่ี ๒๙ บา นหลงั นน้ั โดย ขวญั ใจ สมคั รกาญจน (ผเู ลา เรือ่ งนีเ้ ปนคนเดยี วกับผเู ลาเรอ่ื งท่ี ๒๓ “พลับพลา”) สถานลี าํ ปลายมาศเปน สถานรี ถไฟสถานหี นงึ่ ทขี่ ้ึนอยูก บั จงั หวัดบรุ รี มั ย ความจริงสถานนี ้ี ไมไ ดมีอะไรพิสดารอยางอืน่ นอกจากวาเผอญิ ครัง้ หนึง่ ซ่ึงเปนเวลาทผี่ านไปหลายปล วงมาแลว ได เคยสรา งความอศั จรรยและแปลกประหลาดใหกบั ครอบครัวของเพอ่ื นขาพเจาคนหนงึ่ เปน อยา ง มาก ดงั ทข่ี า พเจาไดร ับฟงมาจากเธอดังนี้ หลังจากภาวะสงครามคร้งั ทส่ี องเสร็จสิ้นไปไดประมาณสักส่หี าป สามขี องเธอไดร บั คําสงั่ ใหย า ยไป เปนผชู ว ยนายสถานลี าํ ปลายมาศ เวลาท่เี ขาเดนิ ทาง เขาไดพ าครอบครวั ไปดวย คอื เพื่อนขา พเจา พรอ มกับบตุ รเลก็ ๆ อกี สองคนบานพักของผชู ว ยนายสถานีอยบู รเิ วณหลังสถานนี ่นั เอง หางจาก บา นนายสถานไี มม ากเทาไรนัก เธอเลาวาพอมองเห็นบานคร้ังแรกก็รสู กึ วา ดนู า อยเู หลอื เกนิ เพราะ บานยังอยูใ นสภาพใหมและแลดสู ะอาดเรยี บรอ ย แสดงใหท ราบวา ยังไมม ใี ครเขา มาอยอู าศัยมาก นกั อยางนอย ๆ ครอบครัวของเธอกค็ งจะเปน ครอบครวั ทสี่ องทเี่ ขามาอยูเหน็ จะได บา นหลังนเ้ี ปน เรอื นใตถ นุ สูง มหี อ งนอนอยหู นึง่ หอ งถดั ไปเปน หอ งรบั แขกซ่ึงติดตอ กบั ระเบียงเลก็ ๆ ท่จี ะลงบนั ไดทางหนา บา น ขางหลงั หองนี้ออกไปเปน เฉลยี งยื่นอยดู า นหลงั แลว ก็มหี อ งครัวและ หอ งน้ําตามลําดบั ตรงทตี่ ดิ กบั หอ งรบั แขกนน้ั มหี อ งเล็ก ๆ ตอ ขาง ๆ อกี หอ งหน่งึ เพอื่ นขา พเจา เธอทราบจากทมี่ คี นบอกใหว า หองเล็กนน้ั เปนหอ งพกั ของเสมยี นหนมุ ท่ที ําการใน สถาน เขายังเปน โสดจงึ ปรากฏวาไมคอยจะมตี วั เขาอยใู นหอ งนน้ั ประตหู นาหองถูกคลอ งดว ย กุญแจแทบตลอดเวลา แมแ ตใ นเวลากลางคนื เสมียนนนั้ กม็ ักจะไมกลบั มาหลับนอน ไดค วามวาแก มกั จะไปอาศัยเพ่อื นนอนทใี่ นตลาด วันหนงึ่ เพ่ือนขาพเจาเธอมโี อกาสไปสนทนากบั คณุ นายนาย สถานี คุณนายจึงเลา ใหฟ งวา การทีเ่ สมยี นหนมุ คนนนั้ แกไมคอยกลบั มานอน ก็เพราะวา แกมกั จะ หวาดเกรงสง่ิ อะไรไมร ภู ายในหองนนั้ จนทุกคนลงความเหน็ วาหองนั้นมผี ดี ุ เย็นวนั นนั้ เพื่อนขาพเจา จึงนาํ เรื่องท่ีคุณนายเลา มาเลาใหส ามีเธอฟง สามเี ขาไมเชื่อ หาวา เธอตาขาว ขี้ขลาดไมเ ปน เร่อื ง แลว ไมใ ชจ ะเพยี งวา เธอเทาน้นั ยงั บงั อาจวาอะไรตอมิอะไรเรอื่ ยเปอ ย เปน ทาํ นองไมเ ชอ่ื ถือและทาทายไปในตัว เธอบอกวา เธอโกรธสามมี ากทท่ี าํ ปากพลอย ๆ และคิดวาเธอ ควรจะกนั ไวด ีกวาแก ดังนน้ั เธอจรจดุ ธปู เทียนสกั การบชู าทุกคืน และบอกกลาววิงวอนวาเธอเคารพ นับถอื อยาทําอันตรายตอครอบครวั เธอเลย หากวาจะมอี ะไรจรงิ 155
แตอ ยูมาวันหนงึ่ สงิ่ ทนี่ าแปลกประหลาดก็เกดิ ข้ึนเปน ครั้งแรก ในเมอื่ ครอบครัวไดพ ักอาศัยประมาณ สักสามเดือนลวงมาแลว คือ ลูกชายคนเล็กของเธอเกดิ ตวั รอ นจดั เวลานนั้ เปนเวลาจวน ๖ โมงเยน็ แลว เธอจงึ ใหล ูกชายนอนพักอยบู นเตียงคนเดยี วหลงั จากกนิ ยาแลว แลวกร็ บี ไปทาํ กบั ขา วตอ ใน ครวั ฝา ยสามเี ธอก็เพิ่งมเี วลาพักกลบั มาจากสถานี มาน่งั อานหนงั สืออยทู หี่ อ งรบั แขก ทนั ใดน้นั เธอ ไดยนิ เสยี งลูกชายทน่ี อนเจบ็ อยรู องกร๊ดี เตม็ เสยี ง สาํ เนยี งของแกบง วาแกกําลังตกใจมากเหลือเกนิ ทาํ ใหค ณุ พอขอลูกชายรบี วิง่ เขา ไปในหอ งเร็วไปกวา เธอเสยี อกี พบลูกชายกาํ ลงั นอนตาลกุ โพลง ชโ้ี บ ชีเ้ บใ หดบู นเพดาน เธอและสามกี พ็ ากันแหงนดูไปตามมอื ลูก เธอบอกวาหวั ใจของเธอเวลานนั้ แทบ จะหยดุ เตนเพราะสายตาของเธอประสานเขากับตกุ แกตวั หนง่ึ เธอบอกวาเธอไมไ ดโ ปป ดมดเท็จเลย จริง ๆ ตุกแกตัวนนั้ มีสสี นั ผดิ แผกแตกตา งไปจากตุก แกที่มอี ยูท่ัวไปในโลกกว็ า ได เนอื้ ตวั ของมันเตม็ ไปดว ยตะปมุ ตะปา แลว เจาตะปมุ ตะปา นนั้ ยังเต็มไปดว ยสแี ดงสดไปทั่ว ยังกับมีใครเอาหมกึ แดงไป วาดระบายเอาไว มีหนําซาํ้ ลูกตาโปน ๆ ของมนั กจ็ อ งจบั มองลงมาทห่ี นาของทกุ คนท่ีอยขู างลา ง ยัง กับมีความอาฆาตมาดรายโกรธเคอื งเสยี จรงิ ๆ ระหวางทต่ี วั เธอเองมวั ตกตะลงึ อยูนน้ั สามขี องเธอไมฟง อรี า อีรมควา ไมต ะพดที่พงิ อยูใ กลเ ตยี งนอน ตรงรข่ี น้ึ ฟาดตุกแกตวั นนั้ ทาทขี องมนั กห็ าไดก ลัวเกรงเขาไม กลบั ยน่ื ลําตัวข้ึนสูกบั ไมตะพดอยา ง ทรหด ทอนหวั ของมันไขวควา ไมต ะพดเปน พลั วนั เธอบอกวา เธอสงเสยี งหา มสามีเทา ไร เขากไ็ มเชอื่ เธอ เมอ่ื ตีมันไมไ ด นานเขาเขากเ็ หน่ือยและยอม พกั รบกับตกุ แกตวั นนั้ เปน การชว่ั คราว บอกวาขอพักสกั ครู เด๋ียวเถอะจะใชเชอื กคลอ งจบั ใหไ ด ขณะท่ีเขาเดนิ งุนงา นหาเชอื กอยนู นั้ ลกู ชายกร็ องขน้ึ วามนั หายไปแลว จรงิ ๆ เสยี ดว ย เธอบอกวา เผลอเดี๋ยวเดยี วไมร ูมนั ไปไหน หายไปอยางปราศจากรอ งรอยเสียดว ย สามเี ธอพยายามหาอยสู ัก พัก ก็ลงความเหน็ วามนั หนหี ลบเขาไปในหองเสมียนนน้ั เสยี แลว จึงเลกิ ติดใจท่จี ะจบั มนั ตอ ไป คืนนนั้ ทั้งคนื เรียกไดว าแทบตลอดคนื จรงิ ๆ ทุกคนในบา นนอนกันไมหลบั ตา งก็ไดยนิ เสยี งเหมือน คนมาหักไมอยใู กล ๆ ฟงอยนู าน ก็จบั ไดว า คลายมคี นอยใู นหอ งเสมียน สามีเธออตุ สาหเปดประตู ไปดูทห่ี นาบา น ก็มองเหน็ ประตหู องปดมีลกู กญุ แจคลอ งไว แสดงวา แกยงั ไมกลบั มา เมอ่ื เหตุการณเ ปน เชน นนั้ เธอกร็ บี ไปจดุ ธปู แสดงการเคารพบูชาตอเจาทีเ่ จา ทางเจาของบานเจาของ เรอื น เธอบอกวา เธอขอใหท านเหลานน้ั ปกปก รักษาครอบครัวของเธอใหไ ดอาศยั รม ไมช ายคาของ ทานดว ยความอยเู ยน็ เปน สขุ ดว ย เธอบอกวา เหตกุ ารณดสู งบไปหลายวนั ไมม ีอะไรมา กระโตกกระตากอีก ลกู ชายก็คอ ยยงั ช่วั เธอและสามจี ึงมาปรึกษากนั วา นาทเี่ ธอและสามีควรจะ ทาํ บญุ ทําทานกันเสยี บา ง จะไดอ ุทิศสวนกุศลไปใหส่งิ เหลานนั้ เพอื่ ความรม เยน็ เปน สขุ ของ ครอบครวั ของเธอเอง ในระยะนนั้ เสมียนหนมุ หองใกลเ คียงรขู าวของบานเธอกห็ าโอกาสไปคยุ กับเธอ บอกวาเขากลวั เสีย จนไมก ลา นอน เพราะเขาโดนยิง่ ไปกวาเธอเสยี อีก เขาเลา วาเวลานอนพอเคลมิ้ ๆ เขารูสึกคลา ยกับ 156
วามผี หู ญงิ มานอนอยขู า ง ๆ จนเขารสู ึกวาทนความหวาดกลัวไมไหว จงึ พาเพอ่ื นมานอนดว ย โดย ไมไดเ ลาเรอ่ื งราวใหเพ่ือนรเู รอื่ งเลย แตแ ลว เพือ่ นเขาเองกลบั มาเลาใหเ ขาฟง วา โดนผูหญิงมาปลกุ และมีลกั ษณะเหมือนอยางทเ่ี ขาเคยเหน็ พอเขารวู า เธอจะทําบญุ บาน ใจเขาก็ดชู ้นื ข้นึ และมาปรึกษาวา เขาควรจะอยูอกี หรอื ไปหาเชาบา นใน ตลาด เพอื่ นขาพเจาเธอก็ปลอบวาอยาไปเลยอยเู ปนเพอ่ื นกันเถอะ เม่ือไดพ ระทา นมาปด เปา และ พรมน้ํามนตใหเ กดิ ความสิริมงคลแลว ก็คงดขี น้ึ เอง เมอื่ คิดดแู ลว จงึ เหน็ วาทีเ่ พ่อื นของขา พเจา เธอเลาและไดก ระทาํ ไปนัน้ ถูกตอ งเพราะเธอเปนผูทใ่ี ห ความเคารพสกั การะตอสถานที่และสงิ่ ที่เธอคดิ วาเธอควรเคารพจงึ ทาํ ใหม ไิ ดรบั อนั ตรายจากสิ่งล้ี ลบั นน้ั เธอรอดพนจากอันตรายพรอมท้ังมคี วามสวสั ดมิ งคล หากถาเธอทาํ ใจใหเ ปน หัวสมยั ใหม คลอ ยตามสามีและกระทาํ อะไรรุนแรงใครจะรูวา เธอและครอบครวั ของเธอจะเกดิ อันตรายมาก นอ ยประการใด จากส่งิ ลึกลับทีม่ ีอยใู นบานนน้ั (คุณขวญั ใจไดจ ดชอื่ เพอ่ื นผูเลาเรอ่ื งและชอ่ื สามีของเพ่อื นผนู าํ ใหด ว ย แตเ น่ืองจากผรู วบรวมยังไมได รับอนญุ าตจากทา นทั้งสองใหเ ผยแพรช อื่ ของทา น จึงตดั ชอ่ื ทั้งสองทา นออกเสยี ผทู สี่ นใจอาจตดิ ตอ ถามไดจากคณุ ขวญั ใจเปน สว นตวั ). หมายเหตขุ องผรู วบรวม เรือ่ งทเี่ พอื่ นหญงิ ของคณุ ขวัญใจเลาน้นั มลี กั ษณะนากลวั ตอนทต่ี อ สกู ับตุก แก ทจ่ี ะบง ถงึ “วญิ ญาณ” ดูไมคอยมีอะไรและอาจจะมีความหมายนอ ยมากถา ไมไดร บั การสนบั สนนุ จากเร่ืองของ “เสมียน หนุม” ของสถานี .......................................... 157
เรอื่ งท่ี ๓๐ วญิ ญาณตอ นรบั โดย ทมนี มหานนท (มหาเปารยะ) เมอื่ คณุ พอ ของดฉิ นั จะตอ งออกไปรบั ราชการจังหวัดเพชรบรุ ีในสมยั ร.ศ.๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๒) ทา นไดไปกราบลาทา นเจา อาวาสวัดสระเกศ อาจารยของทา น ถาจําไมผิดทา นคือสมเด็จ พระวันรัตน (แดง) ทา นไดต รวจดวงชะตาใหคณุ พอ แลว วา “เจาจะตองไปผจญกับผรู ายมากนัก จะ ทาํ ของศกั ด์ิสทิ ธ์ใิ หไ ปคมุ ตัว” แลวทานก็ไดท าํ พธิ เี สกตะกรุดและผาประเจียดใหคณุ พอ คณุ พอ เลา วาเคยถกู คนรา ยลอบยงิ หลายหน แตบ งั เอญิ ใหแ คลวคลาดไดทกุ ที ตอนทีค่ ุณพอ ออกไปเปน ปลดั จงั หวัดเพชรบรุ นี น้ั ทานมบี รรดาศักดเิ์ ปน ทีพ่ ระเพชรพสิ ยั เพื่อนรัก ของคณุ พอ สามคนตามไปสง ดวย ทา นผูหน่งึ เปนเพือ่ นสนทิ มาก ซงึ่ ภายหลังไดเปนเจาเมอื งหลาย จงั หวัด ครัง้ สุดทายทา นมีบรรดาศกั ดว์ิ า พระยาแกวโกรภ (ทองสกุ ผลพนั ธิน) อกี คนชอ่ื คุณหลวง มณี ฯ อกี ทา นจําช่ือไมไ ด คุณพอจดในสมุดบนั ทึกวา - “ยายไปอยูบา นหลงจกู ั่ว วนั ท่ี ๓ พฤศจกิ ายน ร.ศ. ๑๑๗” เร่อื งตอไปนเ้ี ปน เรือ่ งทคี่ ณุ พอเลาใหล ูกฟง บอ ย ๆ จนพวกลกู ๆ จํากนั ไดท ุกคน เพราะเปน เรือ่ ง แปลกประหลาดมหศั จรรย คุณพอเลา วา คนื นน้ั คณุ พอ เขา นอนแตห วั คํา่ หลงั จากเขา หองปด ประตใู สก ลอนแลว ไมช า คณุ พอก็ หลับ เพียงชว่ั ครูเดยี วคณุ พอก็รูสกึ วา ทองของทา นถกู กดจนรอ นวาบ เมื่อลมื ตาขน้ึ ก็เหน็ ผหู ญิงคน หนง่ึ หนาตาสวยงาม นงุ ผา ลายหม ผาจบี กาํ ลงั เอามอื กดทอ งของทา นอยู ทานจงึ รองเอะอะขนึ้ แลว ออกมาเลา ใหพ วกเพ่อื น ๆทน่ี อนอีกหองหนงึ่ ฟง เพ่อื นทง้ั สามจึงชวนกนั ไปนอนเปน เพ่ือนในหองทา น หลังจากปด ประตใู สก ลอนแลวคณุ พอ กห็ ลับไป กอ นเพื่อน เพราะทานเปนคนหลับงาย เพียงประเดี๋ยวเดยี วเรอ่ื งแบบเดมิ ก็เกดิ ขนึ้ อีก คุณพอ รูสกึ รอ นวาบทที่ อง เมอื่ ลมื ตาขึ้นกเ็ หน็ ผหู ญงิ คนเดิมกําลงั ผละไป พวกเพ่อื นทง้ั สามยงั ไมไ ดหลบั จงึ เหน็ ดวยอยา งเตม็ ตา พากันรอ งวา “หายออกไปทางประตเู ด๋ยี วนี้เองครบั ” พอถงึ ตอนเชามืด เพอื่ นของคณุ พอ ออกมาจากหอง ก็เหน็ เจก หางเปย ยาวกาํ ลงั นงั่ ยอง ๆ พัดไฟอยู พอคนออกมากห็ ายไป ตอนสาย ๆ พวกขาราชการทมี่ าหาคณุ พอเมอื่ ตอนกลางคนื พากนั มารับ คณุ พอ ไปทาํ งาน ถามวา “ลกู ทา นไปไหนละครับ” คุณพอ บอกวา “ลูกผมยงั ไมมี ผมยังไมม ีเมีย” ทุกคนพดู เปน เสียงเดียวกนั วา “เม่ือคนื น้เี หน็ นง่ั อยขู า งทานตลอดเวลา หางเปย ยาวเชียวครบั ” 158
เมอ่ื เกิดเรอ่ื งสามเร่ืองในเวลาติด ๆ กนั เชนนนั้ คุณพอกป็ ระหลาดใจมาก นกึ ในใจวา จะตองไปหา ความรูจากผูหลักผใู หญในเมอื งนี้ คณุ พอเปน ลูกศิษยข องสมเดจ็ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ซ่ึง ตอนนน้ั ทานเปนเสนาบดมี หาดไทย ทานรบั ส่ังวา ถา มเี รอ่ื งอะไรสงสัย กใ็ หไปถามพระสัตยาภรณ พมิ ล (พร้ิม มหานนท) เพราะเปน คนเกาคนแกใ นจังหวดั เพชรบรุ ี เม่อื คณุ พอ ไดไปเลาเรอื่ งใหค ุณพระ (ซ่งึ ตอ มาทา นไดเ ปน คณุ ตาของดฉิ ัน) ฟง ทา นกบ็ อกไดทนั ทวี า คนหางเปยยาวนน้ั ชอ่ื “หลงจกู วั่ ” คนสาวนน้ั เปน เมียชอื่ “ยายจาํ ปา” เปนหมอนวด และมลี กู ชาย คนหนง่ึ ทั้งสามคนเปนโรคปจ จุบนั ตาย ถา ดูลักษณะการมาปรากฏตวั ของวญิ ญาณทั้งสามแลว เหน็ วา เขาไมไดต ัง้ ใจมาหลอกหลอนใหต กใจ หากเปน การมาตอ นรบั มานวดให มาตม นํา้ ให คณุ พอ ยงั เพง่ิ มาถงึ ใหม ๆ พวกชาวเมอื งเพชร ตลอดจนพวกขา ราชการยงั ไมป ระจักษในความสามารถ แตว ิญญาณทง้ั สามรแู ลว วา ทา นผนู จ้ี ะมา ชว ยปราบปรามผรู า ยเมอื งเพชร ซงึ่ มมี ากมายเทา ๆ หรือมากกวาสมัยนี้ เพียงหา หกปคณุ พอก็ ปราบปรามไดร าบคาบ บางครัง้ ดวยพระเดช บางคร้ังดว ยพระคณุ ความเหลา น้ไี ดท ราบถงึ พระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู ัวรชั กาลทหี่ า เมอื ง เพชรเปนเมอื งท่ที า นเสด็จประพาสอยบู อ ย ๆ คร้งั หนึง่ เมอื่ ไมเหน็ คณุ พอไปเฝา จงึ มพี ระราชดาํ รัส ถามวา ปลัดจังหวดั ไปไหน มผี ทู ลู วาไปจบั ผรู า ยแลวปว ยอยูทคี่ ลองแหงหนงึ่ มรี ับสงั่ โปรดเกลา ฯ ใหน าํ เรือหลวงไปรบั มาทนั ที เมื่อคณุ พอ ออกจากราชการโดยเกษียณอายนุ นั้ ทานมบี รรดาศักด์ิเปน พระยาศริ ิธรรมบรริ ักษ (ทับ มหาเปารยะ) เรือ่ งเหลา นท้ี านเลา ใหลูกฟง เสมอเพราะเปน ประสบการณท ีแ่ ปลกประหลาดมาก เจา คุณแกวโกรภ เพอ่ื นรักของคณุ พอ ซ่งึ ไปมาหาสกู ับคุณพอ ทกุ วันเมอื่ ทานทง้ั สองยังมชี วี ิตอยู กไ็ ดเลา เรอ่ื งนใ้ี หพ วกเราฟงตอ มาเสมอ ๆ. หมายเหตขุ องผรู วบรวม นาํ้ หนักของเร่ืองนอ้ี ยทู เี่ หน็ พรอมกันหลายคน ท้ังกรณี “แมจําปา” “หลงจูก่วั ” และลกู ชาย ประกอบกบั คณุ พระสตั ยาภรณพมิ ลทราบเร่ืองเบือ้ งหลังและใหค าํ อธบิ ายไดอ ยา งนา เช่ือถือ เรอื่ ง ทํานองนค้ี งจะเปน “เรือ่ งธรรมดา ๆ” สําหรบั สมัยโนน จงึ ดูทกุ ๆ คนยอมรบั โดยไมมีความตน่ื เตน หรอื รูสกึ ประหลาดใจอะไรมากนัก เร่อื งท่ีเหน็ ควรแทรกคอื การท่ีสมเดจ็ กรมพระยาดาํ รง ฯทานสงั่ เสียลูกศษิ ยห รือลูกนองของทานใหไ ปหาผใู ดเมอื่ มบี ญั ชา แลวก็ไดผลในเชงิ แกปญ หาจริง ๆ เรอื่ งนี้ แสดงวาสมเดจ็ ฯ ทา นรจู ักคนของทา นและสภาพของบา นเมอื งท่ีทา นดูแลอยู ไมไดห ลบั ตาสง คน ออกไปตามเร่อื ง .......................................... 159
เรอ่ื งท่ี ๓๑ ผกี บั พระของนายอาํ เภอ โดย มร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี ในยคุ ทกี่ ระทรวงมหาดไทย เรม่ิ สนใจในการพัฒนาชนบท จนกระท่งั มแี ผนแหง ชาติทจ่ี ะ พฒั นาชนบทโดยรวมมอื กันระหวา งกระทรวงศกึ ษาธิการและกระทรวงมหาดไทย คอื ศ.อ.ศ.อ. ของกระทรวงศกึ ษาธิการ รบั ทําหนา ท่ีฝกพัฒนากรและพฒั นานิเทศก สําหรบั ไปทาํ งานรวมกบั ชาว ชนบท กระทรวงมหาดไทยสรา งแผนพัฒนาการแหง ชาตริ ับ งานมาถึงตอนทีก่ ระทรวงมหาดไทย เชิญประชมุ ผูวา ราชการจงั หวัดและนายอาํ เภอ รวมตลอดท้งั พฒั นากรและพัฒนานเิ ทศกเ ปน ภาค ๆ ไป ทจี่ ะมเี รือ่ งนก้ี ็คือ ครง้ั นน้ั มกี ารประชมุ ใหญห ลายจงั หวดั ในภาคอสี าน ท่ีจงั หวัดอดุ รธานี นายอาํ เภอ มาหมด ผวู าราชการจงั หวดั ตา ง ๆ พัฒนากร พฒั นานเิ ทศกของแตละจังหวดั ในภาคนมี้ าประชมุ รว มกนั นบั เปน ประวตั ิการณทมี่ กี ารประชนุ ตั้งแตช น้ั พิเศษจนถึงชัน้ ตรพี รอ มกนั ผเู ปน เจา ของงาน คือกระทรวงมหาดไทยรว มกบั กระทรวงศกึ ษาธกิ ารก็จริง แตขาราชการกระทรวงศึกษาธกิ ารทไี่ ดร ับ เชญิ ไปจากกรุงเทพ ฯ มี - ๑) คณุ อภยั จนั ทวิมล อธบิ ดีกรมสามญั ศกึ ษาและผอู าํ นวยการ ศ.อ.ศ.อ. กบั ๒) ม.ร.ว. หญิง เสริมศรี เกษมศรี เลขานุการ ศ.อ.ศ.อ. และอาจารยประจําคงู านของผเู ช่ียวชาญที่ องคก ารชํานัญพิเศษแหงสหประชาชาตสิ ง มาทาํ หนา ทเี่ ปน ผูฝกงานใหแกน กั ศึกษา เร่อื งทีก่ ลา วมานที้ าํ ใหเสรมิ ศรจี าํ การประชุมนน้ั ไดด ี เพราะวา ตามโปรแกรมเสรมิ ศรีตอ งบรรยาย เร่อื งการพัฒนาชนบทและเทคนคิ ทนี่ าสนใจบางประการ จาํ ไดวา ไดเ ลาอะไรหลายอยาง มอี ยูตอนหนงึ่ ไดเลาถึงวิธีการทชี่ าวอเมริกนั คอย ๆ อบรมใหค วามรแู กช าวอินเดียนแดง ซ่งึ ในยุคนนั้ ยงั ไมรจู ักรักษาโรคดวยยา ถา ชาวอินเดยี นแดงเจ็บไข จะเชิญหมอผมี ารกั ษาดว ยวิธีวาคาถา รอง ดวย เตน ไปดว ย ฝา ยอเมริกนั จึงสง คนไปแทรกทําความรูจกั คนุ เคยกับหวั หนาพวกอินเดียนแดง อาสาจะชวยรกั ษาโรคให ขอใหทางฝายอินเดยี นแดงตกลงวาถา มคี นเจ็บที่จะใหห มอผไี ปรักษาทไี่ หน เมื่อไร ขอใหเอาหมอฝร่งั ไปดวย ในทํานองเดียวกัน ถา หมอฝรง่ั ถกู ตามไปรักษาท่ไี หน กจ็ ะขอหมอผี ของอนิ เดียนแดงไปดวยเหมือนกนั ขอ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา “หมอผีของอินเดียนแดงมจี ํากดั ” แตห มออเมรกิ นั มจี าํ นวนไมจ าํ กัด ในยคุ นนั้ พอเรม่ิ ทาํ ตามขอ ตกลงนเี้ ขา จรงิ เม่ือคนอนิ เดียนแดงเจบ็ หมอผไี ปเปาเสก รอ ง เตน ตามวิถีของเขา หมออเมรกิ นั ก็ไปตรวจอาการ แลว กใ็ หย ากนิ แกโรคนน้ั ๆ ทาํ ดังนี้สักระยะหนึ่ง หมอผีกห็ มด 160
ความสําคญั ไปในสายตาของชาวประชาอนิ เดียนแดงนนั้ เอง เพราะ (๑) หมอผนี นั้ มีตวั จํากดั (๒) ตามตวั ยาก๓) รกั ษาไมห ายเสมอไป (๔) ยาทหี่ มอฝรงั่ ใหกนิ แลว หายเร็วดี ทบ่ี รรยายนี้เพียงเพอ่ื เปนจดุ เรมิ่ ตน ของการทไี่ ดท ราบเรือ่ ง “ผีและพระของนายอาํ เภอทานหน่งึ ” ในคา่ํ วันทป่ี ด ประชุมภาคคราวนนั้ ทางจังหวัดอุดรธานีไดจ ดั เลีย้ งผเู ขาประชมุ ท้ังหมด เสริมศรไี ดรบั เชิญใหน ง่ั โตะ ซงึ่ มนี ายอําเภอตาง ๆ ทัง้ โตะ ทา นเหลานนั้ เชอื่ วา ในปจ จบุ นั นที้ านยอมเปน ผวู าราชการ จงั หวัด หรือตําแหนัง่ สงู อ่นื ๆ ไปแลว อยา งไรกด็ ี เสริมศรกี ็ยงั ภมู ใิ จวา อยางนอ ย ๆ เรอื่ งหมอผชี าวอินเดยี นแดงนนั้ ก็พอประทบั ใจทา น นายอาํ เภอดี เพราะวา เมอื่ รบั ประทานอาหารเสรจ็ แลวนายอําเภอทานหนึง่ กลาวชมเชยเรื่องหมอผี ของอนิ เดียนแดง แลว กเ็ ลยถามเสริมศรีวา เคยเหน็ ผไี หม ? เมือ่ ไดร ับคําตอบวา ไมเ คยเห็น ทา น นายอาํ เภอผูถ ามก็เลา เรือ่ งของทา นใหเสริมศรีกับนายอําเภอท่โี ตะ นน้ั ฟง ดังตอ ไปน้ี ขอสมมุตินามทา นนายอาํ เภอวา “คุณ ก.” ทานไดถกู แตง ตั้งเปน นายอําเภออําเภอหน่ึงในภาค อสี าน ทา นไดเทีย่ วเยีย่ มเยียนหมบู านตาง ๆ จนมาถึงหมบู านหน่ึงมหี นองนํา้ ทต่ี น้ื เขนิ แลว ทา นได ถามชาวบานวา “ทาํ ไมไมช ว ยกนั ขดุ ลอกหนองนาํ้ นีจ้ ะไดม นี ํ้าดี ๆ อดุ มขน้ึ ?” ชาวบา นตอบวา “พวกเราเคยชว ยกันลอกหนองนี้ แตพ อตกกลางคนเขาผทู ล่ี งขดุ หนองตอนกลางวัน รอ งเอะอะ เชาขึ้นปรากฏวา ผนู ั้นอาเจียนเปนโลหิตตาย” นายอาํ เภอผนู ั้นกเ็ ดนิ ไปทั่วหมูบาน แวะสนทนากบั ผูเฒาผแู ก ไดพ บชายชราคนหนง่ึ อายุเกอื บ ๙๐ ปใ นหมบู าน เม่อื สนทนาดว ยก็รสู กึ กวา ผเู ฒา ยงั ไมห ลง นายอาํ เภอกล็ ากลับไป อกี ๔ - ๕ วนั ตอ มา นายอาํ เภอ ก. กม็ ายังหมบู า นทมี่ หี นองนา้ํ ตน้ื เขินนี้อกี ไดไ ปสนทนากบั ผูเฒา คนนน้ั และไดช กั ชวนชาวบา นชายที่ยังกาํ ลงั แข็งแรงใหช วยกันขดุ ลอกหนองน้ํานัน้ อกี ชาวบา นก็เรยี น ตามตรงวา “กลวั จะตายอยางสามคนท่ีกระอกั เลอื ดตายมาแลว” มคี นหนุมอกี กลุม หน่งึ เรียนทาน วา “ถานายอําเภอยอมสัญญาวาจะมารวมขุดลอกหนองนา้ํ ดว ยก็จะยอมชวยขดุ ” ในระหวา งนน้ั ชายชราอายุเกอื บ ๙๐ ผนู ้นั ก็เขามารวมกลมุ ดว ย และใหค วามเหน็ แนะนํานายอําเภอ ใหต ัง้ พธิ บี วงสรวงผปี ตู าและเจาที่เจาทาง ทําบุญเลย้ี งพระดวย จะชวยไมใหม คี นตายละคราวนี้ คน หนุม ๆ ในหมบู านนัน้ และนายอาํ เภอกเ็ หน็ ดว ยกับทา นผเู ฒาของหมูบ านนนั้ นดั วนั ทาํ พิธีเล้ียงพระ ต้ังศาลเพยี งตาสงั เวยผปี ตู าและเจาทเ่ี จา ทาง นายอําเภอเองเชญิ พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระ เจา อยหู ัวในรชั กาลปจ จบุ ันมาประดษิ ฐานในปะราํ พิธดี ว ย 161
ครน้ั ถึงวนั นดั ชาวบานกช็ ว ยในการเลี้ยงพระและพิธีบวงสรวงเต็มที่ นายอําเภอก็มีสนุ ทรพจนป ลุก ใจประชาชนใหน กึ ถึงการเสียสละแรงงานของตนเพ่ือคุณประโยชนสว นรวมของหมบู า น และนึกวา นอมเกลา ฯ ถวายแดพระบาทสมเดจ็ พระเจา อยหู ัว ครั้นพิธดี งั กลาวเสรจ็ ไปแลว ถงึ ตอนจะระดมกาํ ลงั กนั ลงขดุ ดนิ ในหนองน้นั ชาวบา นทง้ั หลายกย็ งั ไม มีใครเตรียมตัวลงขุด นายอําเภอไปเปลีย่ นเสอื้ ผา มาเตรยี มจะลงขุดหนองแลว ชาวบานก็เชยี รให นายอาํ เภอลงมือขุดดนิ ในหนองกอนเปน ปฐมฤกษ แตเ มอื่ นายอาํ เภอขดุ ดนิ แลว คนอน่ื ก็ยงั ไม เตรียมตวั ลงไปชว ยนายอาํ เภอจึงมมุ านะขดุ ไปตามกําลังของตนในชวงระยะเวลาหน่งึ และตกลงกบั เจาของบา น ขอคา งทบี่ านกํานนั ตําบลนั้นเอง เพอื่ วาพรงุ นจ้ี ะไดช วยลงมอื ขุดหนองอีก คนื วนั น้ันนายอาํ เภอขอกางมุง นอนทนี่ อกชานหนา บา นของกํานัน ซงึ่ เปน เรอื นแบบโบราณทม่ี ชี าน หนา หอนั่งหอนอนกวา งยาว มรี ว้ั รอบชานนนั้ มปี ระตูและบนั ไดท่ีจะขน้ึ มาตรงกลางของรวั้ ดา นหนา ของเรอื นนน้ั กอนนอนกส็ วดมนตตอนหวั คํา่ หลับไดเรว็ เพราะเหน่อื ยมาแตตอนกลางวนั ตกดกึ ต่ืนขน้ึ มาเพราะมเี สียงประตูทีม่ บี นั ไดขน้ึ เรือนนนั้ เปด จงึ พลกิ ตนมาดู คนื นัน้ บงั เอญิ พระจนั ทร สองพอเหน็ ได ตาจอ งจบั อยทู ี่ประตเู หนือบนั ไดขึน้ นน้ั ไดเ ห็นชายแกค นหนึง่ โผลข นึ้ มาจากบนั ได พอ ยืนเต็มตวั บนชานเรือนแลว ก็กลายเปน ตมุ ใบใหญก ล้งิ มาหามงุ ทีน่ ายอําเภอนอนอยนู นั้ ทา น นายอําเภอรบั วา ทานกก็ ลัวอยางสดุ ขีดเหมือนกนั ไดแตน กึ ถงึ พระพุทธรปู ทที่ านนาํ มาดว ย มอื ทา น กก็ ุมพระเคร่อื งในสายสรอ ยนนั้ พรอมกับสวดขอความพทิ ักษรกั ษา สวนใจนน้ั เตน ระทกึ ตามองดู ตุมกล้งิ มาหามงุ ทท่ี า นนอนอยู แตพ อมาถงึ ขา งมงุ ตุม กก็ ลิ้งกลบั ไปทางทมี่ า แลวกก็ ล้ิงมาขางมงุ ใหม เปน ครง้ั ท่ี ๒ และที่ ๓ ทุกครั้งมาถงึ แคช ายมงุ เทา นนั้ ทาํ อยา งนค้ี รบ ๓ ครง้ั แลว ตุมนนั้ ก็หายไป เชาวันรงุ ขน้ึ มชี าวบานท้ังหนมุ สาวเฒาแกช ายหญิงมารอพบนายอําเภอทห่ี นาเรอื นทานกํานันเตม็ ไป หมด นายอําเภอกต็ ื่นขนึ้ แตง ตวั ทํางานออกมาตอนรับชาวบา นท้งั หมบู านนัน้ เมอ่ื ชาวบา นเหน็ นายอาํ เภอไมต ายแลว จงึ ลงมอื ชวยขุดลอกหนองนํ้านั้นจนสาํ เรจ็ โดยไมม ีใครตาย เสริมศรีเรียนถามทานผเู ลา นน้ั วา “คณุ มวี ิธที าํ คนแกใหกลายเปน โองใบใหญไ ปไดอยางไรคะ ?” นายอําเภอย้มิ พลางตอบวา “ผมไมไดท ํา ตาแกหายไป มโี องกลิ้งมาแทน โอง จะมาทบั ผม ผมจงึ ได เขาใจวา ทําไมชาย ๓ คนท่ีอาสาขดุ ลอกหนองน้ําจึงตอ งรอ งเอะอะแลว อาเจียนเปน โลหติ ตาย คืนนัน้ ผมเองกลัวแทบจะเปน ไขต าย บญุ ของผมทห่ี ลวงพอ องคนที้ านเมตตาชวยคมุ เกรงรกั ษาผมไว” แลว ทานก็เชิญพระเครอื่ งทหี่ อ ยคอทา นออกมาใหไดนมัสการกัน เสรมิ ศรไี ดส ารภาพผดิ วา “เพราะ ฟง คุณเลาวาในหมบู านมีคนแกอายุราว ๙๐ คณุ ไปหาคนแกน ้ัน แลว ตอนทปี่ ระตหู นา เรอื นเปด คณุ ก็เหน็ คนแกขน้ึ มา” ก 162
เสริมศรีเลยไดส าํ นกึ ในนิสยั ไมส ดู ขี องตน คอื ฝกตนใหค ดิ ตามเรอ่ื งทไ่ี ดร ไู ดย นิ ไดฟ ง แลวพยายาม คิดสาวไปวาเหตุการณอยา งนน้ั อาจเกิดข้ึนไดเพราะใครทําอยางไร รสู กึ ละอายใจทตี่ ง้ั คาํ ถามเชน นนั้ ออกไป พอดที า นนายอําเภอบอกขึ้นมาวา “ในคืนวนั นน้ั ผมเองก็เพ่งิ เชื่อวา ผมี ีจรงิ ” คราวนน้ั เสรมิ ศรจี ึงไดศิลปศาสตร ในการรูจ ักอานภุ าพของพระเครอ่ิ งเพิ่มข้นึ อีก โดยขอให นายอําเภอทา นนนั้ ถอดสายสรอ ยทม่ี พี ระพุทธรปู ของทานมาใหเสรมิ ศรีจบั หนอย ทา นก็กรณุ าปลด สายสรอยใหเ สรมิ ศรมี าพรอ มทง้ั พระเครื่ององคน ้ันดว ย ปรากฏวา พระของทา นมีกระแส “ไฟฟา” แรงมาก และมใิ ชขน้ึ ท่มี อื จับเทานน้ั แตกระแส “ไฟฟา ” ไปขน้ึ ทีส่ ว นอนื่ เชน ทีห่ นา ผากและสันหลงั ดว ย ทําใหไดค วามรเู พมิ่ เตมิ เรอื่ งสรรพานภุ าพของพระเคร่ืองขน้ึ อกี . หมายเหตขุ องผรู วบรวม จุดสําคญั ขอ หน่งึ ในเรอื่ งนี้ คือ เมอื่ ตอนทา นนายอาํ เภอเหน็ คนแกกลายเปน ตมุ จะมาทับนนั้ ทาน หลับหรอื ตื่น ถา ทานหลับเรอื่ งทัง้ หมดกเ็ ปน แตเพียง “การฝน รา ย” ถา ทานต่ืน ตามทท่ี า นเลา วา ตกใจต่ืนจากเสียงประตูเปด เร่อื งกอ็ าจเปน ไดว าทานไดเห็นภาพแปลกประหลาดนน้ั จริง ๆ จดุ สําคัญอกี ขอหนึ่งคือความคมุ ครองที่เกดิ จากพระเครื่องทที่ า นนายอาํ เภอหอ ยคออยู ซงึ่ ทา นเชื่อ วา เปนปจ จยั สําคญั ทช่ี ว ยใหท านรอดชีวิตอยูและไดตอ สูก ับ “ตุมผ”ี จนตุม พา ยแพแ ละหนีไปในทส่ี ดุ ถาจะแปลเร่อื งนีต้ ามหลักธรรมะก็ตองวา ทานนายอาํ เภอเปนคนดมี ศี ีลธรรม ปฏบิ ัตหิ นา ท่ีดวย ความเขมแขง็ และซ่อื สตั ยส จุ รติ ธรรมะจงึ คมุ ครองในยามทีภ่ ัยอันตรายมาคุกคาม .......................................... 163
เรอื่ งท่ี ๓๒ คณุ ผหู ญงิ มเี มตตา โดย ขวญั ใจ สมรรคกาญจน เมอื่ ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๑ ลกู ชายของดิฉนั ไดยา ยบานมาอยทู ซี่ อยมสี ุวรรณ ๓ สขุ มุ วทิ ๗๑ บานหลังนมี้ องดนู าอยมู าก แลว ครอบครวั ของเราก็อยูมาอยางเปน สขุ จริง ๆ สาํ หรบั ดิฉนั นน้ั นอกจากวนั หน่งึ ๆ จะชว ยลูกสะใภด ูแลหลานสองคนแลว ส่ิงทดี่ ิฉนั ชอบทําเปน ประจาํ กค็ ือลุกขนึ้ หุง ขา วใสบาตร แตใ นซอยมีสุวรรณ ๓ นน้ั ไมมีพระเขา ไปรบั บาตรเลย ดฉิ ันจึงมกั จะน่งั รถออกไปถึง ตลาดพระโขนงหรือไมก ็เลยไปใสบ าตรถงึ วดั ธาตทุ อง เพราะทวี่ ดั ธาตทุ องนน้ั มีพระทานออกมา บิณฑบาตจํานวนมาก หลังจากดิฉนั ทาํ บญุ ตกั บาตรแลว ดิฉันกจ็ ะกรวดน้ําตอนกลางคนื อทุ ศิ สว น กุศลใหก ับบรรพบุรษุ ตลอดจนสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธิท์ ัง้ หลาย เจากรรมนายเวรและทานเจาที่เจา ทางทท่ี านให ความรม เยน็ เปน สขุ ทุกคนื หลังจากลกู หลานเขาหอ งนอนกนั แลว กจ็ ะเปน เวลาทด่ี ิฉนั สวดมนตแ ละปฏบิ ตั ิธรรมเขา กรรมฐาน เพราะตอนหัวคาํ่ คนยงั จอแจ ไมสะดวก ดฉิ ันจะปฏบิ ตั เิ ชน น้ที กุ วนั ในเวลากลางคืน คิดวา การท่เี ราปฏบิ ตั กิ รรมฐานคนื ละ ๒๐-๓๐ นาทเี พ่ือทําจติ ใจของตนเองใหวา งเปลาเพียงวันละแคน ี้ ก็ ยังดกี วา ทีจ่ ะไมป ฏบิ ัติเสยี เลย คนื หน่ึง หลงั จากท่ดี ฉิ นั กระทาํ กิจวตั รประจาํ วนั เสร็จเรยี บรอยแลว ก็ลมตวั ลงนอน ในคนื นนั้ เอง ดฉิ นั ไดฝน ไปวา บริเวณหลงั บา นที่ดฉิ นั อยูนน้ั เคยมสี นามหญาและขา ง ๆ ร้ัวมรี าวตากผา แตเ มอื่ ดิฉนั เดินไปเพือ่ จะเอาผาไปตาก กลบั มองเหน็ วามีเรือนใตถ ุนสงู หลงั เล็ก ๆ แอบอยตู รงบรเิ วณนัน้ ในฝน นน้ั ดฉิ ันกไ็ มไ ดตกใจอะไรคงยนื ดูคนสองคน แกค นหนึ่งหนมุ คนหนึง่ แตงกายอยา งพวก อิสลาม คอื นงุ โสรงใสห มวกหนบี กําลังยกแครค ลายคานหามลงมา พอเขาสองคนลงมาถงึ พน้ื ดิน ดิฉนั จงึ มองเหน็ วาภายในแครน ั้นมหี ญิงนอนอยู นอนแบบคนเจบ็ เนอื้ ตวั ผอมลบี แทบจะวาเหลือแต โครงกระดกู คะเนอายุวา อยรู าว ๆ ๔๐-๕๐ คลายหลอ นจะรวู า มดี ฉิ นั ยนื อยู หลอนคอ ย ๆ หนั ศรี ษะเอยี งมาดูดิฉัน นัยนต าของหลอนชางมีแวว เมตตาปรานีเสียจนดฉิ นั ซงึ่ เปน คนแก และแกกวาหลอ นมาก ยังตองยกมือขนึ้ ไหว เหน็ หนาชดั ๆ ดฉิ ันรวู าหนา ของหลอ นผดั ดวยแปง เสยี ขาวเปนนวล ดผู ดิ กับสังขารทผ่ี า ยผอมมาก กอ นท่ดี ิฉนั จะทนั นึกอะไร หลอ นกห็ ยบิ ไมข ดี โยนมาใหดิฉนั ๔ กลักแลวย้มิ ใหอีก พอดีดฉิ ันตกใจตื่นมาดนู าฬกิ า จึงทราบวาเปนเวลาตี ๔ พอดี ดิฉันลกุ ขนึ้ ลางหนา และมาสวดมนต แผส ว นกศุ ลตอ อกี ยงั จาํ หนาของหลอ นไดชดั เจนจนบัดนี้ 164
รงุ ขนึ้ ตอนเชา ดฉิ นั นัง่ รถออกไปสง หลานคนโตไปโรงเรียนพรวิทยา ทตี่ รงขา มโรงหนังเอเซยี รามาท่ี พระโขนง สง หลานเสรจ็ ก็ใหร ถมาสง ท่หี นา โรงหนงั เพือ่ ซ้ือของเขาบา น ขณะน้นั แมค าลอ็ ตเตอรท่ี กั ดิฉันวา วนั นห้ี วยออก ไมซื้อหรือคะ ดฉิ นั เลยแวะซื้อ ๑ ใบ บอกเขาวาใหเลอื กขา งหลังใหม เี ลข ๔ ก็ แลวกนั เขากเ็ ลือกให หยบิ มาเปน เลข ๖๐๔ อยขู า งหลัง แปลกแท ๆ ท่ีวนั นัน้ ดฉิ นั ถกู ล็อตเตอร่เี ลข ทาย ๓ ตวั คอื ๖๐๔ และเปนเลข ๓ ตวั แรกเสยี ดวย ไดร บั เงินหา รอ ยบาท ดฉิ นั คิดวาทห่ี ลอ นในทน่ี ้ี ไดเ มตตาใหไ มข ีด ๔ กลักกค็ งหมายวา เลข ๔ น้นั เองดฉิ นั ไดท าํ สังฆทานอทุ ศิ สว นกศุ ลใหห ลอน ลกู ของดิฉนั เขาพากันแปลกใจมาก อกี ๒-๓ วันตอมา เขามาบอกวาเขาทราบจากเพอ่ื นบา นใกลเ คยี ง มาวา ทด่ี นิ ท่ีเราอาศยั อยนู น้ั เปน ของชาวไทยอิสลามและลกู หลานไดขายใหค นอน่ื มาหลายปแลว ถาจะมีใครมาถามดิฉันวา ในโลกนมี้ ผี ีจรงิ หรือไม ดฉิ นั คงจะตอบไมถ ูก แตถา ถามวา วิญญาณนน้ั มี จริงหรือเปลา ถงึ ดฉิ นั จะไมร ูความอะไรนัก ก็ยังอยากจะยนื ยันวา เรอ่ื งวญิ ญาณน้ีเหน็ จะมจี ริงแท แนนอน คดิ วา ท่กี ลา วมานเี้ หน็ จะไมผิด ดังเรอ่ื งทด่ี ิฉันไดป ระสบมากบั ตนเอง. หมายเหตขุ องผรู วบรวม โดยลาํ พัง เรอ่ื งน้ีก็เปน เรื่องความฝน ซง่ึ มคี วามสําคญั นอ ย แตบ งั เอญิ คณุ ขวญั ใจเอา “ไมข ดี ๔ กลกั ” ไปแปลเปนเลขทายล็อตเตอรแี่ ละถูก ไดร างวัลถงึ ๕๐๐ บาท ซ้าํ ยงั เพมิ่ เตมิ คาํ บอกเลา ของ เพอ่ื นบา นเกย่ี วกับ “เจาของท”ี่ อีก ก็นา จะทําใหคณุ ขวญั ใจลงความเหน็ ดังท่เี ธอเขยี นไวน ัน้ .......................................... ก 165
เรอื่ งที่ ๓๓ คณุ พอ ชว ยชวี ติ โดย ทมนี มหานนท (มหาเปารยะ) ตงั้ แตค ณุ พอ ของดฉิ นั ถงึ แกก รรมไปนานป ดฉิ นั ก็ไมเคยฝน เหน็ ทา นเลย แมจ ะคิดถงึ และแผ สว นกุศลไปใหท านทกุ คนื เวลาสวดมนต คนื วนั หน่งึ เวลาประมาณ ๔ ทมุ ดิฉันยังไมไ ดน อนหลับ กําลงั อา นหนังสือออยอู ยา งเพลดิ เพลนิ ขณะนน้ั ไดกลน่ิ ยาเสนซ่ึงคณุ พอ สบู อยเู ปน ประจาํ และลกู ๆ ทกุ คนจํากลน่ิ นน้ั ไดด ี กลนิ่ นนั้ ฟุง ตลบไปหมดทงั้ หองทั้ง ๆ ทปี่ ดประตูหนา ตางหมดเพราะเปน หนา หนาว ดฉิ นั ท้งั ตกใจทงั้ ดใี จ จงึ ลกุ ขน้ึ กราบลงไปบนหมอนแลวพูดดงั ๆ วา “คณุ พอมาทําไมคะ ลกู ดี ใจมาก” กลน่ิ นน้ั อบอวลอยพู ักหน่ึง เมอื่ จางหายไปดฉิ นั กล็ ุกขึ้นไปบอกสามที ี่เปน หมอและนอนอยหู อ งถดั ไป วา “คณุ พอ มาทาํ ไมไมรู ไดกลนิ่ ยา จาํ ไดด”ี สามดี ฉิ นั ถามวา “แลว เราเปน อะไรไปหรอื เปลา เลา ” ดิฉนั ตอบวา “ก็ไมเ หน็ เปน อะไร นอกจากมีประจาํ เดือนแลว มนั ยงั ไมค อ ยหยุด มีออกมาวนั ละนดิ วนั ละหนอย” คืนนั้นคณุ หมอของดิฉนั กฝ็ น วา คณุ ยายของเธอมาหาและทําทา อาเจยี นใหดู เมอ่ื ต่ืนข้นึ คุณหมอก็บอกดิฉนั ใหเตรยี มตัวไปโรงพยาบาลทันที ดฉิ นั ยงั อดิ ออดไมย อมไป เธอจงึ บอกวาสงสัย วาจะเปน ทองนอกมดลูกซงึ่ เปน อนั ตรายมาก ถา ทอ รงั ไขท เี่ ด็กเขาไปอยูแตกแลวจะชวยไมท ัน เมอื่ เราไปถงึ โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ซงึ่ คณุ หมอผอง (หรอื พันเอกผอ ง มคี ณุ เอย่ี ม ในขณะนนั้ ) เปน หัวหนา ตกึ สูตกิ รรมอยู และเปน ผเู ช่ยี วชาญทางสตู ิกรรมมากทา นตรวจภายในเสรจ็ ก็มที าตกใจ รบี เอาปส สาวะไปหองทดลอง เม่ือไดผ ลวาตง้ั ครรภนอกมดลกู จริง ๆ จงึ รบี จดั การผาตัดใหดิฉนั ในวนั น้นั เลย คุณหมอพูดใหแพทยอนิ เทอรน ฟง วาเปนรายทร่ี ตู วั เร็วที่สดุ เรอ่ื งนีถ้ าบรรพบรุ ษุ ทัง้ สองทานไมม าเตือน เราจะไมม วี นั รูเลย เพราะดฉิ ันกค็ งไมไดบ อกอาการท่ี เกดิ ขน้ึ เพยี งเลก็ นอยใหสามฟี ง ทั้ง ๆ ท่ีเราเปน หมอ เพราะเหน็ วา เปน เรอ่ื งเลก็ นอ ย ถา สามไี มไดฟง เร่อื งจากดิฉนั กอน ถึงเขาจะฝน เหน็ คณุ ยายมาทาํ ทา อาเจยี นใหด เู ขากค็ งไมเ ขา ใจความหมาย ตคี วามไมอ อก เพราะไมร เู รือ่ งอะไรเปนพน้ื ฐานอยูกอ น. หมายเหตขุ องผรู วบรวม ถา จะแปลความตามท่ี “คนแตกอ น” เช่อื กัน คณุ ทมนี ตอ งเปน ลูกหลานที่ดมี าก จงึ เปน ทรี่ ักมากทง้ั ของคณุ พอ และคณุ ยาย ทาํ ใหท ัง้ สองทา นมีความหว งใย มาแสดงลางบอกเหตุใหท ราบ ความดีอีก ประการหนง่ึ ของคณุ ทมนีคอื ความทม่ี ีสามเี ปน หมอดีและสามที ่ีดี เปน หวงใยภรรยาและรูจ กั ปะตดิ ปะตอ “นมิ ติ ” ท้งั สองตอนมารวมกันและตคี วามหมายไดถกู ตอ ง .......................................... 166
เรอื่ งที่ ๓๔ พระในพระ โดย ปรดี า ลว นปรดี า (คุณหมอปรีดา ลวนปรีดา เปน นักเรียนสวนกหุ ลาบ ฯ และนกั ศึกษาแพทยรนุ เดยี วกับผรู วบรวม หนงั สอื น้ี เม่ือจบการศึกษาแลวไดเขารบั ราชการในกองทพั เรือและไดผ าภัยสงครามถึงสองครั้ง คือ กรณีพิพาทอินโดจนี กับสงครามมหาเอเชียบูรพา คณุ หมอเปน คนเปด เผย คยุ สนกุ มีอารมณข นั เปน ทีช่ อบพอของเพื่อนทกุ คน ในปจจบุ ันประกอบอาชีพสว นตวั เร่ืองที่เสนอนีไ้ ดจ ากการสมั ภาษณท าง โทรศัพท) ผมเปน ชาวปากนาํ้ เม่ือเด็ก ๆ คอ นขา งซกุ ซนและไมคอ ยรเู ร่อื งอะไรๆ ตอนอายปุ ระมาณ สิบขวบ วนั หน่งึ เวลาจดุ ไต ไดออกไปเทีย่ วหลงั บานคนเดยี ว ไปพบคน ๆ หนึง่ เปน ชายแปลกหนา มา เลนอยู มไี หกระเทยี มหาใบซอ นกันข้ึนไปสูงแลวคน ๆ นน้ั กไ็ ตข ึน้ ไตล งอยูกับไหทง้ั หาน้ัน ขน้ึ ๆ ลง ๆ ไมรวู าขน้ึ ไปไดย ังไง ตอนนน้ั เราไมไดค ิดวาเปน อะไร ก็กลบั เขาบาน คืนนน้ั ก็ฝน เหน็ คนนน้ั มาแสดงใหด อู ีก แตไ มไ ดท ํา อะไรเรา เราตกใจตื่นขึน้ จงึ เรม่ิ สงสยั วาคนน้นั เปน ใครหรืออะไรแน เราไมรจู ะตอบตัวเองวาอยา งไร แตค วามคดิ น้นั ยงั ตดิ อยใู นใจจนกระท่งั บัดน้ี ตอ มาก็ไดเ ขา มาเรียนหนงั สือท่โี รงเรียนสวนกหุ ลาบ ฯ แตเ ราไมต ้งั ใจเรียนเลย หนโี รงเรียนไปเทยี่ ว แทบทุกวัน วนั หนงึ่ หนีเขาไปในวัดเลียบแลวกเ็ ลยนอนหลบั อยูหนา โบสถ ไมร วู า นานสักเทา ใด ตนื่ ขึน้ มาตกบา ยแลว ลมื ตาขน้ึ กเ็ หน็ พระองคใ หญน ่งั อยูห วั นอน หายตกใจแลว จึงเหน็ วา เปน พระสังข จายนเขาตง้ั ไวท ่หี นาโบสถ ลกุ ขนึ้ เดนิ ดรู อบ ๆ แลว ลงทายกเ็ อามอื ไปลบู ทท่ี อ งของทา น ทนั ใดนั้นก็ เกิดความคดิ แวบขน้ึ มาวา เอะ นีเ่ รามาจากบา นนอกเพอ่ื มาเรยี นหนงั สอื นนี่ า ทําไมหนมี าเทีย่ วเสยี ละมาเท่ียวทําไม ต้ังแตนนั้ ก็สตดิ ีและตงั้ ใจเลาเรียนเลกิ หนเี ที่ยว จนกระทงั่ เรียนจบ แตเ รือ่ งทเ่ี กดิ ข้นึ น้นั ผมไมสามารถจะลืมไดเลย เพราะเทา กบั หลวงพอ สังขจายนไดใหส ตแิ กผมจนกลบั ตวั ได หลังจากนนั้ ก็ไดเ ขาเรยี นแพทย พอกลบั ไปบา นพวกนอ ง ๆ ก็มารุมถามวา เรยี นแพทยน ากลวั ผไี หม เรากโ็ มวา ไมกลวั หรอก จะตอ งกลวั ทําไม ผีไมม ี แลวก็พดู อยา งคุณพระมนตรี ฯ (พระมนตรพี จนกิจ ม.ร.ว.ชาย ชมุ แสง อาจารยส อนพฤกษศาสตร) ทานเคยสอนวา ถา พบผีกไ็ มต องกลัว ใหถ ามวามา จากไหน มาอยางไรมาทําไม มีอะไรดี ถา เขาชอบใจเขาอาจจะบอกขมุ ทรัพยใ หกไ็ ด พอตกดึกคืนน้ันเองก็มาทีเดียว ตวั เบอเรอ มาน่งั ทบั เลน เอาเหงอ่ื แตก ตอ งวง่ิ ไปนอนแอบปลายเทา แม 167
แมถามวา กลวั อะไร บอกวา กลัวผี พอรุงเชามานง่ั นกึ ดูวาเม่อื คนื นีต้ อนทนี่ อนอยูนน้ั ลมมันพัดโกรก อยขู างเดียว อีกขา งหนงึ่ ไมถ กู ลมเลย คงจะเรือ่ งน้ีเองทที่ ําใหมคี วามรูสึกวา ผอี ํา คงจะไมใ ชผ สี าง อะไรดอก พอคนื ทส่ี องกล็ องไปนอนอกี ตสี องมาอีกแลว ตวั ใหญเ บอ เรอ จะมานั่งทบั ผมเหน็ ทา จะ ไมไดเ รอ่ื งเสียแลว และเร่ิมคิดวา เหน็ จะอา ยนี่เองที่เขาเรียกวา ผี ๆ ชักจะเชอ่ื นิดหนอ ยแลว แตย ังไม เช่อื มากหรอก ตอ จากนน้ั ก็เรยี นแพทยไ ปอีกนาน แลว ก็ไปเปนทหารเรอื พอเกิดสงครามอินโดจนี กต็ อ งไปอยู ประจําเรอื แมกลอง ออกไปอยูด านเมอื งตราด เฝาคอยทอี ยู กลางวนั ๆ หนง่ึ วา งงานกเ็ ลยลงนอน คดิ วาวันนน้ี อนใหเตม็ ที่ คืนน้คี งจะไมไ ดน อนแลวพรุง นี้กค็ ง จะตองรบกนั เราอาจจะไมไ ดน อนอีกเลยก็ได ตอนนกี้ น็ ึกไดถ ึงท่พี อเคยสอนไวว า “อา ยหนเู อย เอง็ จะตายละกอ ไหวพระเสียหนอ ยนะ เราถามวาพระองคไ หน? พอบอกวา “อาว กห็ ลวงพอ บา นแหลมไงเลา ทสี่ มทุ รสงครามนะ” ทั้งนเ้ี มอื่ พอเปน เดก็ นนั้ แกเปน ลูกศษิ ยวดั อยทู น่ี น้ั เขาเปน ฝด าษกนั หมดท้ังเมอื ง พอ แกไปขอยา หลวงพอ เอาน้วิ จิ้มลงไปทขี่ ้ีธปู แลวกก็ ินเขาไป ตวั แกไมเปน ฝด าษ แตใ คร ๆ เขาเปน กันทง้ั นั้น ตอมา แกกม็ าไดแมท ่ีปากนํ้า แลวก็เกิดผมน่ีแหละ สมยั นน้ั ผมมนั ไมค อ ยไหวพ ระ เชือ่ บา งไมเ ชอ่ื บาง ทนี่ ี้พอจะออกสงครามแกกบ็ อกวา “อา ยหนูมึง ไหวพระเสียบางซีวะ” ผมถามวา พระที่ไหนละ ? แกบอกวา “กห็ ลวงพอบานแหลมท่ีสมทุ รสงครามไงละ ” วันนัน้ พอผมกนิ ขา วเสรจ็ เขานอนพกั กลางวนั พอเอนตวั ลงนอนเหลอื บเหน็ พระองคห น่งึ มาตั้งอยทู ี่ หัวนอน ผมกไ็ มร วู า องคไ หน จะหลวงพอบานแหลมหรือเปลา กไ็ มรู เพราะยังไมเคยเขา ไปดขู า งใน โบสถเ ลย ผมยกมือขน้ึ ไหวบ อกวา “หลวงพอ ผมถวายชวี ติ ละ ถา ผมถงึ ที่ตายกข็ อใหไ ปเถอะ ไมต อ ง กระดุกกระดิกละ ถาจะมชี ีวิตอยูกข็ อใหร า งกายผมสมบรู ณ เพราะผมมนั คนจน จะตองไปทํามาหา กนิ ” แลวกน็ อนหลบั ไป พอหลบั กม็ าบอกท่หี เู ลย “มึงไมตองกลัว เขาเลกิ รบกนั แลว ” 168
เอ! ผมกม็ องดู ใครจะมาพูดทห่ี ูเรานะ ประเดี๋ยวเดยี ว ทหารก็เอาโทรเลขมา ใหยกกองกลับได เพราะญป่ี นุ เขามาหามทพั อยูท่แี หลมญวนแลว ตอนน้นั ใจเรามันคดิ อะไรไมถูก มนั งง ๆ แมก ลับถึง กรงุ เทพ ฯ แลว กย็ งั งง ๆ อยู มนั อะไรกนั แน ตอมาถึงสมัยเลน พระกนั ผมอยแู ถวเทเวศร ก็ไปเท่ียวนง่ั ดู ๆ เขา แลว กม็ าสงสยั วา เอ! เขาเลน กนั ทาํ ไม มนั สนกุ อยางไรก็เลยลองเลน บาง ตอนแรกๆ ก็ถกู ตมเสยี เรื่อย อยา งทีช่ าวบา นเขาวาถูกแหก ตานะ แหละ เปนอยา งนัน้ อยูลกั สามปกม็ านึกดวู า ทาํ ไมคนอน่ื เขาไมถกู ตม ทําไมถูกแตเ รา วนั หนึง่ ไปเหน็ ทรี่ าน เจก แหง หนึ่งมีพระสมเดจ็ อยู กเ็ ขาไปถาม เจก บอกวา คนเลนพระสมเดจ็ เขาตอ งอยตู ึกใหญ ๆ น่ังรถ เกงคันโต ๆ อยา งลอ้ื เดนิ มานอ่ี ยา เลนเลย ผมก็เสยี ใจ นอ ยใจ กลบั ไปถงึ บา นกจ็ ุดธปู ไหวหลวงพอโต บอกวาหลวงพอ เขาวา ผมอยางนี้แหละ ผมอยากไดห ลวงพอ จริง ๆ สักองคห นงึ่ แลว ผมก็ไปสนามหลวง บังเอญิ วนั นน้ั เขามขี ายอยูองคห นงึ่ ราคา ๑๕ บาทเทานนั้ คนขายเขาวา ที่ ขาย ๑๕ บาทกเ็ พราะ อายคนมันขโมยเขามา ทจ่ี รงิ เขาใสก รอบทอง แตก รอบมนั ขายไปแลว ก็เลย ตอ เขาวา ๑๐ บาทไดไ หม เขาวาได กเ็ ลยเอามา มาถงึ บานก็บอกวาหลวงพอ พรงุ น้ีผมจะเอาไปให พวกเซยี นเขาดูวา หลวงพอ ใชแนหรือไมแ น พอตกคนื นน้ั หลวงพอ ก็ทําฉายหนังใหด เู ลย เหน็ หมดวธิ ี ทําตั้งแตตน จนจบ เรากไ็ ดร ูว า ออ! วิธที ําพระนน้ั เขาทาํ อยา งน้ัน ๆ ฝน นะ แหละเหมือนกับดทู วี เี ลย ทีเดยี ว หลงั จากนน้ั ก็ชักจะเชอื่ แตยงั ไมเ ตม็ ทีท่ เี ดยี ว หลังจากนน้ั มีคนเขามาจา งใหไ ปนง่ั เฝา รา น แตเ ขาใหเ ดือนละ ๕๐ บาทเทา นน้ั เรากม็ าน่ังนอ ยใจวา น่ังเฝาวันละตั้งสองชั่วโมง ไดเพียง ๕๐ บาทเทา นนั้ ก็เทีย่ วสบื ถามวาที่ไหนเขาสรา งพระบาง จะเอา เงินนนั้ ไปรวมสราง กพ็ อดที ราบวาคุณแมบ ญุ เรอื งทา นสรา งพระ จงึ เอาเงินไปเขา รวมทนุ ดว ย หลงั จากนน้ั ไมเ ทาไรก็ไปพบพระสมเดจ็ อกี องคห นงึ่ เขาวา ราคา ๑๐ บาท กบ็ อกเขาวาเรามีอยู ๑๐ บาทพอดี ขอตอ ๗ บาท จะไดเ หลือเงินไวกลบั บา น ๓ บาท เขากใ็ ห พอไปถงึ บานก็ถามอกี วา นห่ี ลวง พอใชห รอื ไมใ ช คนื นนั้ ทานกม็ าบอกวาใชซิ นแี่ หละพอ โตนะ โต โตที่นกี้ เ็ ชอ่ื แน หลังจากนั้นกเ็ ริม่ เกบ็ พระ ไมว า อะไร ชอ่ื “โต” ละเปนเอาทงั่ นัน้ ออกเกบ็ ใหญเ ลย ทนี อ้ี ะไร ๆ มนั ก็คอ ย ๆ เล็กลงเร่อื ย สถานการณข องเราเองนะ มันเลก็ ลงไป ๆ หลกั ทรพั ยก ็เล็กลง ทนี ้กี ็มาถงึ ตอนหนง่ึ ลกู ก็ไมสบายตวั ก็ไมมงี านทาํ เงนิ ก็ไมม ีใช กบ็ งั เอญิ ทีเ่ มืองเพชรเขาโทรศพั ทมา ใหไ ปเฝาบา นเขาตัวเขาจะไปเมอื งนอก เขาใหเ ดือนละ ๘,๐๐๐ บาท เรากไ็ ปอยเู มอื งเพชร กม็ าคิดดู วาเมอื งนีเ้ ปนเมอื งเกา แก เมืองหนา ดาน คงจะตองมอี ะไรดอี ยู 169
วันหนง่ึ หมดเวลาแลวกอ็ อกทอ งเที่ยวดเู พ่ือหาครบู าอาจารยที่ดี ๆ กไ็ ปถงึ วัดใหญสุวรรณาราม มี พระเจา เจด็ แสนมหาราชเปน พระพทุ ธรูปใหญอ ยทู นี่ นั้ ก็เขาไปกราบแลว กถ็ ามวาทําไมผมเลนพระ ถงึ ไดตกต่ําอยางน้ี ตวั เองก็ยากจน ลกู ก็ตาย ตอ งจากบา น ไมมีเงนิ ใช ผมอยากอยากพบพระที่ดจี รงิ ๆ สักที พอตกกลางคืนกฝ็ น วา ไปอยใู นโบสถว ัดนนั้ อกี แลว ก็เหน็ วาภายในพระพทุ ธรปู ใหญน นั้ ยังมีพระอยู อกี องคหนึง่ แตเ ปน พระคน ในพระพุทธรปู องคอน่ื ๆ ทตี่ ้งั เรยี งรายอยนู ้ันกเ็ หมอื นกนั พอราว ๆ ตี หา พระขางในแตล ะองคกอ็ อกมาและจัดเตรียมตวั ไปบณิ ฑบาต ในจาํ นวนนนั้ มพี ระองคหนึ่งที่เขา เอามาถวายวดั เอาไวท่บี านเจา ของไมไ ด ตอ งยา ยมาหลายบานแลว ลงทา ยตองเอามาไววดั องคน ้ี แหละกวกั มือมาทผี่ มใหเขา ไปทาํ บุญ ตั้งแตน นั้ มาผมก็ไปที่วัดนน้ั เสมอ ๆ แลวก็มีพระสงฆอ งคห นง่ึ ช่ือพระวิเชยี ร ทา นมาจากเขมร เปน ชาวเขมร ผมก็ไปฝากตวั เปน ศษิ ย แลว ก็ถามวา เร่อื งของพระนี่นะ เปน อยางไรกัน ทานก็บอกวาพวก เรายังเขา ใจไมถ กู เปน สวนมาก หัศเดมิ เร่มิ แรกนนั้ โลกของเรานพี้ ระศรีอารยท านจองไวใ หเ ราได อาศัยอยกู นั นับวาทา นมบี ุญคณุ แกพ วกเรามาก อกี ทา นหน่ึงที่เราเปน หนบี้ ุญคณุ มากคอื พระพุทธเจาสมณโคดมน่ีแหละ ซ่งึ สง่ั สอนเราใหรจู ักศีลและธรรม มิฉะนนั้ โลกจะแยย ่งิ กวานี้ แม กระนนั้ กวาจะถึงสมยั พระศรอี ารยนน้ั โลกก็จะตองปนปว นจนแทบ ๆ จะแตกทเี ดียว แลวทา นวิเชียร ทานกส็ ง่ั สอนในเรอื่ งการการปฏบิ ตั ิเกย่ี วกับการอบรมจติ ใจและอนื่ ๆ นับตั้งแตไดไปศกึ ษาท่ีวดั ใหญส ุวรรณารามนน้ั ภาวการณข องผมก็คอ ยๆ ดขี น้ึ เปน ลาํ ดบั ในปจจบุ นั นีก้ ็นับวาอยใู นขน้ั ปานกลาง ไมถงึ กบั เลิศลอยแตไมล าํ บากอะไร แตเ วลานนั้ ใจแลววา ในชีวิตตน เทา ท่ไี ดพ บพระมากเ็ ปน ท่ีพอใจแลว ผมพอใจทีส่ ุด และขอบใจเพ่ือนมากทส่ี ดุ ท่สี นใจ ถาหากเหน็ วา เรอ่ื งของผมจะเปน ประโยชนแ กค นอนื่ ๆ ก็ยนิ ดีใหเ อาไปเผยแพรได และบญุ กุศลใด ๆ ทอ่ี าจเกิดขนึ้ ก็ขอแบง ใหแ กเ พอื่ นทัว่ ๆ กนั . หมายเหตขุ องผรู วบรวม เร่อื งของคณุ หมอปรีดาสวนมากเปน เรอ่ื งของความฝน อาศัยเหตุสนับสนนุ ทําใหม คี วามหมายไป ตามแนวของหนงั สอื น้ี เชน เรื่องหลวงพอบานแหลมเปน ตน นา สงั เกตวา คณุ หมอปรดี าคงจะมี บารมี อยมู ากในการตดิ ตอกบั “หลวงพอ” ตาง ๆ ทา นจึงยินดีตอบสนองความตอ งการหรอื คาํ ถามของ คุณหมอปรีดาอยเู สมอ ๆ เรื่องที่คณุ หมอเห็นมี “พระคน” อยูภายในพระพทุ ธรปู อกี ชนั้ หนง่ึ คงจะ ตรงกบั ที่เช่อื กนั อยวู า อภนิ ิหารของพระพุทธรปู ตา ง ๆ นน้ั ไมไดอ ยทู ร่ี ปู หลอ แตอาศยั อภนิ หิ ารของ เทพยดาหรือผทู รงอิทธิฤทธ์ิอนื่ ๆ ทส่ี งิ หรอื รกั ษารปู น้นั ๆ อยู .......................................... 170
บทสง ทา ย ผูรวบรวมหวังวาเร่ืองท้งั หลายในหนงั สอื น้จี ะชวนใหทา นผูอ า นคิดคํานงึ ในปญหาเร่อื งสภาพ ภายหลังตาย มากพอสมควร สวนทา นผใู ดจะลงความเหน็ อยา งใดนนั้ ขอใหเ ปน เรอ่ื งของแตละทา น ความเชอื่ หรอื ไมเชอ่ื ในเรอื่ งที่พิสจู นไ มไดดวยวิธธี รรมดา และไมอ าจทําใหเกดิ ซ้าํ ไดตามวถิ ีของ วิทยาศาสตร ยอ มเปน เร่ืองของแตล ะบุคคล ใครคนหน่งึ ไมอาจบบี บังคับผอู ื่นใหเชอ่ื ตามไปได หรอื อยางมากกไ็ ดเ พียงชั่วคราว เมอ่ื เขาไดค ดิ ขึ้นกอ็ าจเหน็ เปน อยา งอ่ืนไป ทางทด่ี ีทส่ี ุด คือปลอ ยใหคดิ จนเหน็ เองและเชอ่ื เอง ตามวิธที พ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแนะนาํ ผรู วบรวมเช่ือวา ยงั มีเรอ่ื งทาํ นองที่ตพี ิมพใ นหนังสือนอี้ ีกเปน จาํ นวนมากและจะขอบคณุ มากถาผูใ ด แนะใหท ราบถงึ เรื่องทเี่ หมาะ โดยเฉพาะทม่ี หี ลกั ฐานยนื ยนั หรอื อา งอิงอยางมีนา้ํ หนกั เพอื่ รวบรวม ไวต พี ิมพเ ปน ชดุ ตอไป ขอย้าํ อกี ครั้งวา ความเชอื่ วา ตายแลวตอ งเกดิ อกี จนกวา จะไดบรรลุพระอรหตั ตผลเปน หลักสาํ คญั ใน พระพุทธศาสนาคไู ปกบั หลกั เรือ่ งกรรม ถา ไมเช่ือวา จะตองเกิดอีกก็แปลวาไมเ ชอื่ กฎแหง กรรม เพราะวาถา ตายแลวสญู สน้ิ ก็ไมต อ งใชก รรมทย่ี งั ไมไ ดสง ผลในชาตนิ ี้ คอื ถา ใครหนีกรรมทที่ าํ ไวใน ระหวางทม่ี ชี ีวติ ได พอตายลงกรรมทยี่ งั คางอยูก็เปนอนั ตกไป ซึง่ ไมต รงกบั ที่พระพทุ ธองคท รงสอน ไววา ใครทาํ กรรมใด ๆ ไวจ ะตอ งรบั ผลของกรรมนน้ั ๆ จนกวาจะไดส ําเร็จเหน็ พระอรหนั ตจ ึงจะหนี กรรมพน ความเชอ่ื วา ตายแลว ตอ งเกดิ อีกเปน การสงเสริมความเช่อื เรื่องกฎแหงกรรมและเพมิ่ ความเชอื่ มัน่ ในการละบาปบาํ เพญ็ บญุ อนั จะใหผลดที ง้ั ในปจ จบุ ันและอนาคตทา นผหู วงั ดีตอ ตนเองพงึ หาทาง สรางและเสริมความเชือ่ ในเรอื่ งปรภพ - คือโลกอ่ืนนอกจากโลกมนุษยเพอ่ื เปน กําลงั สงใหปฏบิ ตั ิ โดยทางกศุ ลดว ยความหนักแนนย่งิ ข้ึน คดั จาก “ภพอื่น - เรอ่ื งควรคํานงึ ” (ชดุ ท่ี ๑ ) พ.ศ.๒๕๑๒ โรงพมิ พม หามกุฎราชวทิ ยาลยั กทม. กศุ ลใด ๆ ที่เกดิ จากการรวบรวมและจัดพมิ พเร่ืองเหลา น้ี ขออุทศิ ใหแ กส รรพสตั วทรี่ ว มวฏั ฏะทงั้ มวล โดยเฉพาะทานผูใหเรอ่ื ง และผมู ีบทบาทอยูในเรอ่ื ง ซ่ึงไดผ า นไปสปู รภพแลว พงึ งดเวน การทาํ บาปทงั้ ปวง พงึ ยงั กศุ ลใหถ งึ พรอ ม พงึ ชาํ ระจติ ใจใหบ รสิ ทุ ธ์ิ นค่ี อื คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย .......................................... 171
อนจิ จงั ตามความรทู างวทิ ยาศาสตร โดย ศจ.นพ.อวย เกตสุ งิ ห เมอื่ หลายปม าแลว ขาพเจา ไดม โี อกาสสนทนากับนกั ปราชญช าวเยอรมนั ผหู นง่ึ ซ่ึงเปน ศาสตราจารยใ นวชิ าชีวเคมี เมื่อทา นทราบวา ขา พเจา เปนพุทธศาสนิก ทานกไ็ ดก ลา ววาทานมคี วาม สนใจในพระพทุ ธศาสนามาก เพราะเหน็ วา พระพทุ ธศาสนามีหลกั การใกลเ คียงกับทางวทิ ยาศาสตร ในตอนนน้ั แมข า พเจาจะเปน พุทธศาสนกิ แตก ย็ งั ไมอ าจเขา ใจไดว า ทที่ า นศาสตราจารยกลาววา พระพุทธศาสนาใกลเคยี งกบั วทิ ยาศาสตรมากนน้ั เพราะเหตุผลขอใด ตอ มาขา พเจา ไดบ วชเปน พระภิกษแุ ละไดเ ลา เรยี นตามการสงั่ สอนอบรมของสมเด็จพระอปุ ช ฌายและทา นอาจารยท ี่ทรง วทิ ยาคุณตาง ๆ แหง สํานักวัดบวรนเิ วศ ฯ หลายทาน พอมคี วามรใู นทางพระพทุ ธศาสนาขน้ึ บา ง เมื่อไดน าํ เอาความรเู ล็ก ๆ นอ ย ๆ นน้ั มาเปรยี บเทยี บกับความรูท างวทิ ยาศาสตร โดยเฉพาะอยา ง ย่ิงในสาขาที่เกี่ยวกับรางกาย ซึ่งเปน วิชาการทขี่ าพเจา ไดศกึ ษาและอบรมสัง่ สมมาพอสมควรแลว ก็ บังเกดิ ความรูส กึ วา ทที่ า นศาสตราจารยเ คยกลาวไวน น้ั เปน ความจรงิ วทิ ยาศาสตรน ้นั ทาํ การศึกษาธรรมชาติ พยายามคน ควาหาความจรงิ และหาเหตผุ ลที่จะอธบิ าย ปรากฏการณตา ง ๆ ในธรรมชาติ วา เปน มาอยางไร ทางวิทยาศาสตรจ ะเชื่อหรือรบั รองขอเทจ็ จรงิ ใด ๆ ก็ตอ เมอื่ ไดมกี ารพสิ จู นท ดลองใหเหน็ จรงิ ดว ยประการตา ง ๆ เทาที่กลา วมานี้เปน หลักการ อยา งเดยี วกับพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธองคท รงศกึ ษาคน ควา อยูถ งึ ๖ ป ก็เพ่อื จะใหไ ดค วามรู เกี่ยวกบั ธรรมชาตขิ องมนษุ ย ทรงพยายามท่จี ะคน ใหพ บตน เหตแุ หง ความทุกขข องสัตวโ ลกทงั้ หลาย เม่ือทรงพบแลวกไ็ ดทรงคน ควา หาทางทจ่ี ะทําใหพน จากทุกขน น้ั ๆ ในปท ี่ ๗ จึงไดท รงตรสั รู จตุราริยสจั จอ นั นบั วาเปน แกน แหง อนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณ เมอ่ื พระบรมศาสดาทรงแสดงสจั ธรรมดังกลาวน้แี กสตั บรุ ษุ ทัง้ หลายก็ทรงยนื ยนั วา เปน ความจริงซ่ึง ทกุ ๆ คนอาจพสิ จู นไดด วยตนเองโดยปฏบิ ตั ติ ามหลักคําสอนของพระองค พระองคทรงแนะนําวา อยา เชอื่ จนกวา จะไดเห็นความจรงิ แลว ทง้ั นีเ้ ปน การทรงใชห ลักอยางเดียวกับนักวทิ ยาศาสตรท ัว่ ไป ถา หากจะสมมติวา พระบรมศาสดาทรงเปน นกั วทิ ยาศาสตรดวย ก็คงไมผ ดิ ความจรงิ นัก แตท วา พระองคทรงเปนนักวิทยาศาสตรชนั้ สงู เหนือนกั วทิ ยาศาสตรอ่ืน ๆ ทงั้ หลาย นักวิทยาศาสตรท ่วั ไปศึกษาคน ควา อยูแตใ นเรื่องซ่งึ เม่อื เปรยี บเทยี บกบั พระพุทธศาสนาแลว กเ็ ปน เพยี งของตน้ื ๆ เชน การท่ีจะทาํ ใหมนษุ ยม ชี วี ติ ยนื ยาว ซึง่ ความจรงิ มนั ก็เปน การอยูเพอื่ ทนทุกข เทานนั้ แตพ ระพทุ ธองคท รงคนควาถงึ การทจี่ ะมชี ีวติ อยเู พ่ือทําใหสนิ้ ทกุ ข ซึ่งเปน การศึกษาถึงแกน ของธรรมชาตโิ ดยแทจรงิ คนทไ่ี มไดศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาพอสมควรมักจะหลงผิด เหน็ ไปวา พระพุทธศาสนาเปน ของเกาแกบรุ มบรุ าณ มคี าํ สงั่ สอนท่ีไมทนั สมัยใชการไมไ ด สมยั นี้ตอ ง วิทยาศาสตรจงึ จะใหค วามรูท่ีถกู ตองและเปน ประโยชน การทห่ี ลงเขา ใจผิดไปเชนนัน้ กเ็ พราะไมร วู า พระพุทธศาสนาแทจ รงิ เปนอยางไรน่ันเอง 172
ขา พเจาเปน เพยี งผูเริม่ ศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา มคี วามรูเพยี งขน้ั ตาํ่ ๆ แตก็ยงั พอมองเหน็ ไดว า คํา สอนของพระบรมศาสดานนั้ เปน สัจจะอยางแทจ รงิ คําสอนเหลา นพี้ ระองคไ ดป ระทานไวกวาสองพนั ปมาแลว ในสมัยซ่งึ กลา วไดว า วิทยาศาสตรย งั หายาก พระพทุ ธองคม ไิ ดม ีอปุ กรณว ิทยาศาสตรแ ต อยา งหนึ่งอยา งใด ทรงใชแ ตพระปญ ญาคุณอันลึกซงึ้ และแหลมคมเทา นนั้ กท็ รงสามารถแสดง ธรรมไวมากมาย ซ่ึงเปน ขอ ความทไี่ มอ าจปฏิเสธหรอื คัดคา นได ในโอกาสนขี้ า พเจา ใครจ ะนําความรู ทางวทิ ยาศาสตรแหง รา งกายมาเปรยี บเทยี บกับคําสอนของพระพทุ ธเจา เพ่อื ใหเ ห็นวา ทไ่ี ดท รง กลาวไวนั้นถกู ตอ งตรงกับวทิ ยาศาสตรเพียงใด โดยทขี่ า พเจา เปนผมู คี วามรนู อ ย จึงขอยกขน้ึ เปรยี บเทยี บเฉพาะธรรมะที่งา ย ๆ และทคี่ นท่ัวไปรจู กั และเขาใจไดดอี ยูแ ลว คอื ในหัวขอ วา ดวยไตร ลกั ษณ อนิจจัง เปน ลกั ษณะหนง่ึ ในไตรลักษณะ ผทู ่ไี มม วั เมาจนเผลอสติยอมมองเหน็ ไดจ ากการสงั เกต โดยรอบ ๆ ตัว หรือแมในตนของตนเองการเปล่ยี นแปลงของรา งกายไปตามวยั เปนขอหนงึ่ ทเี่ หน็ ได โดยงา ย ผมทห่ี งอกและลวงหลดุ ไป ผวิ หนงั ท่ตี กกระและเหย่ี วยน นยั นต าที่มัวและฝาฟาง ฟน ทโ่ี ยก คลอนและรว งหลดุ เหลา นีเ้ ปน ประจกั ษพ ยานของอนิจจัง ถา ผูใดมีโอกาสไดส งั เกตรางกายของคนท่ี ตายแลวเปนระยะ ๆ ความไมเ ทย่ี งแทก็ยิ่งปรากฏชดั เจนข้ึนอีกจนไมน าจะมขี อ สงสัยตอไป เมอ่ื ลม หายใจหยดุ ลงไมถ งึ ช่วั โมง รา งกายทเี่ คยออ นไหวกเ็ ริ่มแขง็ กระดางเปนลกั ษณะท่ีทกุ ๆ คนรดู ีวานนั่ หมายถึงการทชี่ ีวติ ไดส ดุ สน้ิ ลงไปแลว เหตหุ นง่ึ แหง ความแขง็ ของรางกายคือการทม่ี ีกรดเกดิ ขน้ึ ภายใน เมอื่ ขาดอากาศหายใจ กรดน้ีทําให เนอื้ แข็งกระดางเชน เดียวกบั น้าํ สม ทําใหเ นอื้ ดิบทจี่ ุมลงไปกลายเปนเน้อื สุก อาการแขง็ นี้เร่มิ ตนที่ หนาและขากรรไกรกอน แลว จึงผานไปถึงคอ แขน ลาํ ตัว และถึงขาในทสี่ ดุ ลกั ษณะแข็งของรางกายนี้จะคงอยูจนถงึ ประมาณ ๑๘ ช่วั โมงหลังจากตาย เมอ่ื พน ระยะนน้ั ไปแลว รางจะกลบั ออนลงอีก โดยเรม่ิ จากเบอื้ งบนไปสูเบอื้ งลางตามลําดับเดียวกับท่เี กดิ อาการแขง็ การที่ เนอ้ื กลบั ออ นในตอนน้ี กเ็ น่ืองจากการกระทําของนาํ้ ยอ ย ซ่งึ มีอยูในกลามเนือ้ เอง และยอ ย กลามเน้ือจากแขง็ ใหเ ปน ออนแลวก็เปลยี่ นเปนยุย จนในทสี่ ดุ เหลว นอกจากนนั้ พวกเชื้อโรคท่อี ยภู ายในและภายนอกรา งกายก็มสี วนรว มในการทําใหเ ปอ ยยุยนดี้ วย ดงั นัน้ รา งกายของคนท่ตี ายจึงแสดงอาการเนา เกดิ ขน้ึ ภายหลังเวลาประมาณ ๒๔ ชวั่ โมง และคอ ย ๆ เปอยหลุดลยุ ไปเปน ลาํ ดบั สว นเน้ือละลายกลายเปน น้ําเหลอื ง ในท่ีสดุ กเ็ หลอื แตก ระดูกซง่ึ เนาและ ยอ ยชา กวา สวนอื่น ๆ เพราะมีธาตปุ นู ประกอบอยูด วยเปน สว นมาก แตแมกระดูกก็เปอ ยพงั ไปใน ทีส่ ดุ ลงทา ยธาตุใหญท ง้ั สก่ี ็กลบั ไปสูธ รรมชาติเดมิ คือความไมมรี ูป ที่กลาวมานี้เปนความเปลย่ี นแปลงทเี่ หน็ ไดด วยตาเปลา ทกุ คนมองเหน็ วา คนแก ผมหงอก ฟนหกั ตาฟาง หรือหตู ึง ทุกคนรวู า คนตายแลวตอ งเนาเปอ ย การเปลีย่ นแปลงเหลา น้ีเปน พยานของอนิจจงั 173
ซ่งึ แสดงใหเ หน็ เสมอ ๆ ตามความเปนจริงนั้น การเปล่ียนแปลงตามลกั ษณะอนจิ จงั มไิ ดเกดิ ขน้ึ แต เฉพาะเมอ่ื คนแกหรอื ตาย หากเกิดและดําเนนิ อยทู กุ ขณะจิต แตค วามเปลย่ี นแปลงเหลา นน้ั สงั เกต ไมไ ดดว ยตาเปลา ตอ งอาศัยวิธีวิทยาศาสตรเ ขาชวย เชน การดูดวยกลองจลุ ทรรศนและการ ทดลองวิเคราะหตามหลกั วชิ าเคมีเปนตน โดยอาศัยวธิ เี หลานนี้ กั วทิ ยาศาสตรส ามารถแสดงไดวา รา งกายของเรามิใชส ิง่ คงทนถาวรแตอยา งใด หากแตท ุก ๆ สวนมีการเปลีย่ นแปลงดําเนนิ อยูเรอ่ื ย ๆ กลา วไดว าไมม สี วนใดท่ีตงั้ ตวั นงิ่ อยูไ ด นก่ี เ็ ปน อกี ลักษณะหน่งึ ที่ทา นเรียกวาทุกขงั พระพทุ ธองคท รงทราบการเปลย่ี นแปลงเหลา นไี้ ดด ว ยญาณวิเศษของพระองค จึงไดท รงกลา วยืนยัน ไวว า สงั ขารท้ังหลายไมเ ท่ียงไมค งทน เพอื่ ใหเ หน็ วา พระองคมิไดทรงกลา วไปโดยลอย ๆ ขาพเจา ขอ ยกขอ เทจ็ จรงิ บางประการเก่ยี วกับรา งกายในสว นละเอียดขน้ึ เปน ขอ อางดังตอ ไปน้ี กอ นอ่นื ควรทราบวา รา งกายของเราประกอบดว ยหนว ยเลก็ ๆ รวมกนั อยูเปน กลมุ ๆ หรือเปน สว น ๆ เปรียบไดก บั กอ นอฐิ ซ่ึงประกอบเปน กาํ แพงหรือเปน บา นเปน ตึก หนว ยเหลานเี้ รยี กตามภาษา วทิ ยาศาสตรว า เซลล (cell) นบั วาเปน สวนเล็กทีส่ ดุ ทแ่ี สดงลกั ษณะของสง่ิ ทมี่ ชี ีวิต เซลลเหลานม้ี ี ชวี ติ ตอ งการอาหารและส่ิงหลอเลยี้ งอน่ื ๆ อยูต ลอดเวลา ถา หากขาดอาหารหรอื ส่งิ หลอเลีย้ ง เซลลก ็ไมส บาย ทาํ การงานไมไดต ามปกติ หรอื ในท่ีสดุ อาจจะถงึ ตาย ถา เซลลต ายหมดหรอื ตาย มาก ๆ รางกายกอ็ ยไู มไ ด แตม กี ายสวนหน่ึงซ่ึงอาศยั เซลลท หี่ ายแลว เปนสว นประกอบสาํ คญั คือ ผวิ หนงั ผวิ หนงั ประกอบขน้ึ ดวยชัน้ หลายชนั้ แตละชน้ั มเี ซลลเรยี งกนั อยเู ปน พดื เซลลซงึ่ อยชู นั้ บนทสี่ ดุ คอื เซลลท ปี่ ระกอบขึน้ เปน สว นทเ่ี ราเรียกกันวาหนงั กําพรา เซลลเ หลานีเ้ ปน เซลลท ีต่ ายแลวและหลุดออกไปเรอ่ื ย ๆ หลุด ออกไปเองบาง โดยการเชด็ ถบู างและประกอบเปน สว นของขไี้ คล เมอื่ เซลลช ้นั บนนห้ี ลุดออกไปชนั้ ลางตอ ไปกเ็ ล่อื นขน้ึ มาแทนทอี่ กี เปน ตัวตายตัวแทนกนั เรอื่ ย ๆ ดวยเหตุนี้ ผวิ หนังทหี่ มุ รางกายเราอยูจ งึ มใิ ชข องถาวรหรอื คงที่ตลอดไป หากแตม กี ารเปล่ียนแปลง อยเู ร่ือย ๆ ของเกา รว งหลดุ ไป ของใหมขนึ้ มาแทนแลว ก็เล่ือนหลุดไปตามลําดบั เปนเชน น้ีอยู ตลอดเวลา ยงั ไมมใี ครพิสจู นไ ดแ นน อนวา กนิ เวลากวี่ นั ผิวหนังจงึ จะลอกหลดุ ไปหมดตวั แตเ คยมีผู สังเกตไวว า กวา เซลลทีอ่ ยชู น้ั ลา งทีส่ ดุ ของผิวหนงั จะเลอื่ นข้ึนไปถึงชนั้ บนทสี่ ุดนนั้ กนิ เวลาประมาณ ๑๗ วนั เพราะฉะนน้ั ถา จะกลาวครา ว ๆ วาผวิ หนงั ของเราเปลี่ยนใหมท กุ ๆ ๑๗ วัน กค็ งจะไมเกนิ ความจรงิ มากนัก ขนและผมมีกาํ เนิดมาจากผวิ หนงั โดยงอกขนึ้ มาจากขมุ ขนหรอื ขมุ ผม ขนและผมก็มีการแกแ ลวเนา หลุดไปอยตู ลอดเวลา เมอื่ เสน หนงึ่ หลดุ ไปแลว เสน ใหมก ง็ อกขึ้นมาแทนทจี่ ากขมุ ขนอนั เดยี วกัน เปนตัวตายตัวแทนเชน เดยี วกับเซลลของผิวหนัง แตผมและขนมีการเปลยี่ นแปลงชา กวาเซลลของ ผิวหนัง มผี ตู รวจพบวา เสน ผมมีอายุยนื ยาวทสี่ ดุ ในจาํ นวนผมและขน คืออาจอยไู ด ๒ ป ถึง ๕ ป ขน คิ้วอยไู ดน านเปน ท่ีสอง คือประมาณสามถงึ หา เดือน นอกจากน้มี ีอายุสน้ั กวาทง้ั นนั้ 174
เลอื ดเปน ของสําคญั เพยี งใดยอ มทราบกนั ดอี ยู ทุกคนทราบวา ถาคนเสยี เลอื ดมาก ๆ จะตอ งตาย เพราะเลอื ดทาํ หนาทสี่ ําคญั ในการหลอ เลย้ี งสว นตา ง ๆ ของรา งกาย มนั ไหลเวียนไปตามหลอด เลอื ดทั่วทุก ๆ สวน นําอาหารและเครอ่ื งหลอเลย้ี งอ่ืน ๆ ไปใหอ วัยวะทุก ๆ ชิน้ แลวขนเอาสิ่งปฏิกูล ตาง ๆ ทเ่ี กิดขนึ้ ในอวยั วะเหลานนั้ ไปถายทง้ิ ทไี่ ต ตบั ปอด ลําไสแ ละตอ มเหงื่อ เมือ่ ขาดเลอื ด อวยั วะตา ง ๆ ก็ไมมอี าหารและไมม ีเครื่องหลอ เลย้ี ง ส่งิ ปฏกิ ลู ทเี่ กิดข้ึนเสมอ ๆ นน้ั จะเขา สะสมอยู ภายใน เกดิ เปน พษิ ขนึ้ ทําใหเ กิดความพิการและอาจถงึ ตายไดในทส่ี ุด เลือดน้ี ประกอบข้ึนดวยสองสวน คอื สวนนา้ํ และสว นเนอื้ หรอื เมด็ สวนเม็ดยังแยกออกเปนสวน ใหญ ๆ สามพวก คือ เม็ดเลือดแดง เมด็ เลือดขาวและเกลด็ เลือด เมด็ เลือดแดงมีหนา ทขี่ นสงแกส ออกซิเจน ซึ่งเปน เคร่อื งหลอเลี้ยงที่จําเปนของรางกาย เมด็ เลอื ดขาวมีหนาทเ่ี ปน ประหนึ่งทหารยาม ทําการปองกนั และตอสกู บั เชอื้ โรคตา ง ๆ สว นเกลด็ เลอื ดมีหนา ท่สี ําคญั ในการชวยใหเ ลือดแขง็ เปน ลม่ิ เวลาเลือดออก ปองกนั มิใหเ สยี เลอื ดมาก เมด็ เลอื ดทง้ั สามชนดิ นม้ี จี ํานวนแตกตา งกัน ในคนขนาดปานกลางมีเมด็ เลือดแดงอยูท งั้ หมดมากกวา หา ลา นเมด็ มีเม็ดเลือดขาวประมาณสี่ หมืน่ ลา นเมด็ และมเี กลด็ เลอื ดประมาณแปดแสนลา นเกลด็ จาํ นวนดงั กลา วเปน เพียงจาํ นวนครา ว ๆ เพราะการเปลีย่ นแปลงเกดิ ขน้ึ อยเู สมอ มีการยา ยทข่ี องเลือดจากสวนหนง่ึ ไปอยใู นสวนหน่ึง กลบั ไปกลบั มา ตามความตอ งการของรางกาย นอกจากนนั้ เมด็ เลือดแตละเม็ดมอี ายุขยั จาํ กัด เมอื่ ไหลเวียนอยใู นหลอดเลอื ด มนั คอย ๆ เส่ือมสภาพลง จนถงึ ขดี หมดอายุ มนั กส็ ลายหรือถูกทําลายไป แลว รา งกายก็สรางเมด็ เลือดใหม ขน้ึ มาแทนที่ การสรา งและการทาํ ลายดําเนนิ ไปอยตู ลอดเวลา เมด็ เลอื ดแดงมีอายขุ ยั เฉล่ีย ประมาณหนง่ึ รอยย่สี บิ วัน เม่อื ครบกาํ หนดน้ี มันหมดฤทธิ์ แลวก็ถกู ทําลายไปโดยอวัยวะทมี่ หี นา ท่ี พเิ ศษ เชน มา ม เปน ตน ทงั้ นหี้ มายความวาเม็ดเลอื ดแดงของเรามีการเปลย่ี นใหมท กุ ๆ ๑๒๐ วนั เพราะฉะนัน้ ตั้งแตคนปฏสิ นธขิ นึ้ ในครรภแ ละเจรญิ ถงึ ขีดท่ีมีเลอื ดแลว จนกระทงั ถึงอายขุ ัย เม็ด เลือดทท่ี าํ หนา ท่อี ยใู นรางของเราน้ันเปลยี่ นใหมห ลายสบิ ครง้ั เมด็ เลอื ดขาว ยิง่ มอี ายสุ นั้ กวา เมด็ เลือดแดงหลายเทา เมด็ เลอื ดขาวบางชนดิ มีอายอุ ยไู ด ๘ ถึง ๑๒ วนั บางชนดิ อยไู ดสองหรือสามวนั และบางชนิดอยูไดเ พียงวนั เดียวเทา นนั้ เพราะฉะนั้นเมด็ เลอื ดขาวจงึ มกี ารเปลย่ี นบอ ยกวา เมด็ เลอื ด แดงขน้ึ ไปอีก พากเกลด็ เลือดกม็ ีอายสุ นั้ อยางมากอยไู ดเพยี งหา วนั รางกายคนขนาดปานกลาง มีเลอื ดทั้งสนิ้ ประมาณหาลติ รเศษ เปนสวนเมด็ เสียประมาณสองลิตร เศษ ทเ่ี หลือประมาณสามลิตรเปน สว นนํ้า นาํ้ นมี้ ไิ ดใ สเหมอื นน้ําฝน แตม ขี องหลายอยางละลายอยู บางสว นกเ็ ปน อาหารหรอื เครอ่ื งหลอเล้ยี งรางกายหรอื เปน ส่งิ ปฏิกลู บางสวนกเ็ ปน องคป ระกอบซ่งึ มี หนา ท่จี าํ เพาะ สว นนาํ้ นไี้ หลไปตามหลอดเลือดพรอมกบั สว นเมด็ เลอื ด แตม นั กม็ ใิ ชอ ยคู งท่ี เหมือนกัน มนั เขา ๆ ออก ๆ อยูเสมอ ในบางแหง นํ้าในหลอดเลือดซึมออกไปสูภายนอกหลอดเลอื ด ในท่ีอน่ื น้ํานอกหลอดเลือดกลบั ซมึ เขามาสหู ลอดเลอื ด ทีเ่ ปน ไดเชน นี้กเ็ พราะผนงั หลอดเลอื ดมิได ทึบตนั ไปหมดเหมอื นผนงั ของทอ นา้ํ แตค วามจรงิ มชี องปรเุ ปน รลู ะเอยี ด ดดู ว ยตาเปลา ไมเ ห็น ตอง 175
สอ งดวยกลอ งจลุ ทรรศน รูเหลา นลี้ ะเอยี ดมาก โดยปกตเิ ม็ดเลอื ดลอดผา นไมไ ด แตน ํ้าเขา ออกได บางขณะนา้ํ ในหลอดเลอื ดก็ไหลกลบั ออกไปจากหลอดเลือด ทําใหเลอื ดทอี่ ยใู นหลอดน้ันมีปรมิ าณ นอ ยลง บางครง้ั กต็ รงกนั ขา ม นํา้ กลบั ไหลเขาสหู ลอดเลอื ดจากเน้ือรอบ ๆ ทาํ ใหปรมิ าณของเลอื ดมี มากข้ึน ดงั นน้ั เหน็ ไดวานอกจากจาํ นวนเมด็ เลอื ดจะเปลยี่ นแปลงและเปลยี่ นใหมอยเู สมอ ๆ แลว แมส ว นน้ําซึ่งประกอบขนึ้ เปน เลอื ดก็เปล่ยี นเชน เดยี วกนั และเปลี่ยนบอ ยกวา เสียอกี เพราะการ เปล่ียนแปลงน้นั ดําเนนิ ไปอยตู ลอดเวลา สวนใหญข องรา งกายประกอบข้ึนดวยกลา มเน้อื ซง่ึ คิดนาํ้ หนกั แลว มมี ากกวาหา สิบเปอรเซน็ ตข อง รางกาย คนโดยมากทราบวา เวลาเราอดอาหารหรือไมส บายมาก ๆ เชน เปนไข รางกายซูบผอมลง เหตุหนึง่ ของการซบู ผอมนกี้ ค็ ือกลา มเนอื้ มนี อ ยลงไป การมนี อ ยไปนกี้ ็เกิดจากการที่กลามเน้อื ถูก ทาํ ลาย เชนเอาไปใชเปนอาหารเมอื่ เวลาอด หรอื ถกู เผาผลาญไปเนอ่ื งจากการเปน โรค แตแมใ นคน ปกติ กลา มเนือ้ กม็ ไิ ดอยูค งท่ี มีการบบุ สลายรอ ยหรอลงไปเรอ่ื ย ๆ ขอน้ีวทิ ยาศาสตรช วยใหทราบ ไดโดยการตรวจพบสารบางอยางในปส สาวะ ซงึ่ รูแนวาเกิดจากการสลายของกลามเนอื้ เมอ่ื คนเปน ไข สารเหลา น้มี มี ากขน้ึ ในปส สาวะ เปน พยานวากลา มเนอ้ื ถกู ทาํ ลายมากข้นึ แมแ ตคนปกติกถ็ าย สารเหลา น้ีออกมาในปส สาวะทกุ ๆ วนั จากการวเิ คราะหป ริมาณสารท่อี อกมาในปส สาวะน้ี นกั วิทยาศาสตรท ราบไดวา คนขนาดธรรมดามกี ารทําลายของกลา มเน้ือของรางกายประมาณ ๕๐ - ๖๐ กรมั ทกุ ๆ วนั เพราะเหตนุ ้ันคนจึงจําตองกนิ โปรเทอีนหรอื อาหารประเภทเนอ้ื หรอื ถ่ัวเขาไป เสมอ ๆ เพื่อทดแทนความสกึ หรอทเี่ กดิ ขน้ึ นนั้ ถา หากวา ไมกิน เน้อื ของรา งกายก็จะลดนอยลงไป รา งกายซบู ผอมไมแ ขง็ แรงและอาจเกิดเปน โรคจนถงึ แกค วามตายได ทง้ั น้ีก็เพราะวา เนื้อของ รา งกายเรามิไดอ ยูคงที่ แตมกี ารเปลยี่ น มกี ารเล่อื มและสลายอยเู สมอ ๆ สวนหนึง่ ของรางกายซงึ่ คนโดยมากเหน็ วาเปน สว นที่แข็งแรงและคงทนที่สดุ คือกระดกู เพราะมี ความแข็งมากกวา อวัยวะอนื่ ๆ แมเ ม่ือคนตายแลว กระดูกก็เปน สว นที่อยคู งทนมากกวา สวนอื่น ของรางกาย แตต ามความจริงซึง่ ทางวิทยาศาสตรพ ิสูจนไ ดนนั้ กระดกู เปน สวนหนง่ึ ซึง่ เปล่ียนได โดยงา ยและเปลี่ยนไปมาอยูเสมอ ภายในกระดกู มีเซลลเ ล็ก ๆ อยสู องชนดิ ชนดิ หนง่ึ ทาํ หนา ท่ีสรางกระดูกขน้ึ ใหม อีกชนดิ หนึง่ ทาํ หนา ท่ีทาํ ลายกระดกู เซลลท ้งั สองพวกนที้ าํ งานกลับกนั ไปกลับกนั มาอยเู สมอ สารสาํ คญั ที่ทําให กระดกู มลี กั ษณะแขง็ กค็ ือธาตุหนิ ปนู ซึ่งแทรกซึมอยูร ะหวางเสนใยเหนียวอนั ประกอบเปน สวนโครง ของกระดูก กระดกู กม็ เี ลอื ดหลอ เล้ยี งเชนเดียวกบั อวัยวะอืน่ ๆ ของรา งกาย การเปลยี่ นแปลง บางอยางในเลือดแมเ พียงเล็กนอ ย เชนความเปน กรดของเลอื ด จะทําใหธ าตหุ นิ ปนู ละลายออกมา จากกระดกู เขา ไปอยูใ นเลอื ดและบางสว นกถ็ กู ขบั ถายออกไปทางปส สาวะ การเปลี่ยนแปลงอยางอน่ื เชน การเปลยี่ นไปในทางดาง ทาํ ใหเ กิดผลตรงกนั ขา ม ธาตหุ ินปนู ในเลอื ดกลายเปน ตะกอนจบั ตาม ชอ งระหวางเสนใยโครงของกระดกู การเปลี่ยนแปลงอยางแรกทําใหเ ลอื ดมธี าตปุ นู มากขึ้น อยาง หลงั ทาํ ใหเ ลอื ดมีธาตปุ ูนนอยลง วทิ ยาศาสตรพบวา ปรมิ าณของธาตปุ นู ในเลือดขนึ้ ๆ ลง ๆ อยู 176
ตลอดเวลา ซงึ่ หมายความวา กระดูกมีการเปลี่ยนแปลงไปตามนน้ั ดว ย กลาวคอื มีการสลายบา ง มี การสรา งขึ้นใหมบ า งกลบั กนั ไปกลบั กนั มา เทาทีไ่ ดอ างตัวอยา งมาเพยี งเลก็ นอยก็เพ่อื ใหเ หน็ วาแมใ นคนปกตสิ ว นตา ง ๆ ของรา งกายก็มิไดอ ยู น่งิ แตมกี ารเปลย่ี นแปลงไปมาและเสมอ สว นตา ง ๆ ของรา งกายเรามีการสลายมกี ารสรางอยู เรอ่ื ย ๆ รางกายเปรียบไดกบั นาฬกิ าทป่ี ระณตี มีตัวจักรประกอบกันจํานวนมากมาย ตวั จกั รแตล ะ ตวั มหี นาท่ีสําคญั จาํ เพาะอยา งในการทาํ งาน ถา ตวั จกั รตัวใดตวั หน่งึ เกดิ การบกพรอ งขน้ึ ก็ยอ มทาํ ใหตัวจกั รอนื่ ๆ พลอยทําหนาทบ่ี กพรอ งตามไปดวย ถาความบกพรองน้ีมมี าก นาฬกิ ากอ็ าจจะหยุด เดนิ รางกายเราก็เชน เดยี วกนั อวยั วะหลายอยา งชว ยกนั ทํางานแตล ะอยา งมหี นา ทจ่ี ําเพาะและมีการ ควบคมุ เกีย่ วโยงกนั ไปมาทัว่ รางกายกลไกท่ีควบคุมการทํางานของอวัยวะเหลานี้ ลวนแตป ระณตี อยา งย่งิ ถา ภาวะแวดลอ มหรอื สง่ิ แปลกที่เขา ไปทําใหเกิดความพกิ ารขึ้นในสว นใดสวนหนึง่ ก็ทาํ ให สวนอื่น ๆ พลอยพกิ ารไปดว ยไมมากก็นอ ย การทีร่ างกายทํางานอยไู ดเปน ปกตแิ ละเรามชี วี ติ อยูได นัน้ จงึ เปน เรือ่ งทน่ี า พศิ วงอยา งยงิ่ เรามกั ไดยนิ คนพดู กนั บอย ๆ วา คนน้ันคนนีช้ างตายงายเสยี เหลอื เกนิ ทจ่ี รงิ นน้ั ควรจะพูดตรงกันขาม ควรจะพดู วา คนเรานี้ชางตายยากเสียเหลอื เกนิ ท้งั น้ี เพราะวา เหตทุ ี่จะทําใหตายนั้นมมี ากมาย แมมีการบกพรอ งอะไรเพยี งเล็กนอยในรางกาย กอ็ าจจะ ทาํ ใหก ารดําเนนิ ชีวิตหยุดชะงกั ได แตก ารที่เรายงั มชี ีวิตอยูทกวนั นี้ กเ็ นือ่ งจากการทร่ี า งกายมกี ลไกคอยแกค วามพิกลพิการเหลานอ้ี ยู อยา งละเอยี ดลออ กลไกเหลาน้ลี ว นแตเ ปน สง่ิ ซึ่งออ นไหว ถาถกู กระทบกระเทอื นรนุ แรงก็จะเสีย การเสยี งานไปได การทรงชวี ิตของเราจงึ เปรยี บเหมอื นกบั การทรงตวั อยบู นยอดใบหญา ไมท ราบวา ใบหญา นน้ั จะพับงอลงไปเม่ือใด เพราะฉะนัน้ ทกุ ๆ คนจึงควรยดึ มนั่ และปฏบิ ตั ติ ามคาํ สงั่ สอนของพระบรมศาสดา ซึง่ ทรงเปน ผรู ู แจง เหน็ จรงิ ในสิง่ ลึกลบั ของชีวติ มนษุ ยแ ละสตั ว และไดท รงแสดงสัจธรรมทีถ่ ูกตองแทจ ริงและเปน จรงิ อยูเสมอ ไมร เู ปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา ไมม เี กาพน สมัย ไมมลี า สมยั เมือ่ เราสํานกึ ในความ ไมเทีย่ งแทของสงั ขาร ดงั ไดพ ยายามทจี่ ะแสดงใหเหน็ โดยการบรรยายนแ้ี ลว กเ็ ปน การสมควรอยาง ยงิ่ ทีจ่ ะยดึ ภาษติ ซึ่งพระพทุ ธองคไ ดท รงประทานไวเปน ปจ ฉมิ วาทะวา “อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ” แปลความวา “จงไมประมาทในการทจ่ี ะยงั กจิ ทัง้ ปวง ทัง้ สวนตนทง้ั สว นทานใหส าํ เร็จลลุ วง” ความ ไมป ระมาทนจ้ี ักสอนเราใหเ ตรยี มตวั ไวดว ยกรรมอนั ดที ง้ั มวล เพื่อจกั สามารถผจญกบั ขณะสดุ ทาย ของชีวติ ไดโดยไมมคี วามประหวนั่ พร่นั พรึงใด ๆ. ........................................ 177
ทกุ ขสจั จใ นแงข องสรรี วทิ ยา โดย ศจ.นพ.อวย เกตสุ งิ ห พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระบรมศาสดาของเราทง้ั หลาย ทรงเปน พระสัพพญั รู ลู ะเอียดใน ทกุ ๆ สงิ่ ทรงสงั่ สอนลว นแตค วามสัจจรงิ ซึ่งเปนอยูชั่วนริ ันดร ไมแปรเปลย่ี นและไมม ผี ใู ดคัดคานได รากฐานแหงคาํ สอนของพระองคค อื อรยิ สจั จ ไดแ กทกุ ข เหตุแหง ทกุ ข ความพน ทุกขแ ละทางนําไปสู ความพนทุกข ทรงมงุ สอนใหคนเหน็ ทกุ ขแ ละใหพยายามปลดเปลื้องคนออกจากทุกข คนสว นมาก ซง่ึ ยงั มัวเมาเพลิดเพลนิ อยูใ นส่งิ ทล่ี อ ลวงใหเหน็ วาสขุ ไมอ าจจะเหน็ ตามไปไดว าชีวติ น้ีเปน ทกุ ข “ทกุ ขนน้ั แล ยอ มเกิดขนึ้ ทุกขย อ มตง้ั อยูดวย ยอมเสอ่ื มส้ินไปดว ย นอกจากทุกข หาอะไรเกิดมไิ ด นอกจากทุกขห าอะไรดบั มไิ ด” แทที่จรงิ นน้ั ไมม ีใครเลยที่จะไมม ที กุ ข ทกุ คนลอมรอบไปดวยเหตุ ทุกขและถกู รมุ อยตู ลอดเวลา เวน แตว า สว นมากหลงผดิ ไปและมวั เมาดวยเครื่องพราง จนไมร ู หรอื ไมอ าจสงั เกตไดวา ภาวะนน้ั ๆ เปน ทุกข ในพระบาลี แยกทกุ ขแ หง สงั ขารออกเปน ๑๐ หมวด คือ (๑ ) สภาวทกุ ข ทกุ ขป ระจําสงั ขาร คอื ความเกิด ความแก ความตาย (๒) ปกณิ ณกทกุ ขห รอื ทกุ ขจ ร คอื ความเศรา โศกเสยี ใจและความคบั แคนใจเนอื่ งดว ยเหตตุ าง ๆ ที่ เกดิ ขนึ้ เปนครง้ั คราว (๓) นพิ ทั ธทกุ ข ทกุ ขเ นืองนติ ย ไดแกทุกขท เี่ กิดจากความหนาว ความรอ น หวิ กระหาย ปวดอจุ าระ ปวดปสสาวะ (๔) พยาธทิ กุ ข คอื ทกุ ขท ี่ เกิดจากโรค (๕) สนั ตาปทกุ ข ทุกขร อน ไดแ กค วามกระวนกระวายใจ เนอ่ื งจากกิเลส มี โลภ โกรธ หลง เปน ตน (๖) วปิ ากทกุ ข ทุกขอ นั เกิดจากผลกรรม ไดแ กความรอนใจและการตอ งรับโทษแหงกรรมของตนเอง เปนตน (๗) สหคตทกุ ข ทุกขท ไี่ ปกนั กบั สขุ ไดแก ทุกขท ่เี กดิ เมื่อไดลาภแลว เสอื่ มลาภ ไดยศแลว เสอ่ื มยศ เปน ตน (๘) อาหารปรเิ ยฏฐทิ กุ ข อาชวี ทุกข ได แกทกุ ขในการทาํ มาหากิน 178
(๙) ววิ าทมลู กทกุ ข ทกุ ขท ม่ี กี ารววิ าทเปนมลู ไดแ กค วามหวนั่ หวาด ความกลวั แพ เปน ตน (๑๐) ทกุ ขขนั ธ ทุกขร วบยอด ไดแ กท ุกขอนั ก่ยี วเนอื่ งดว ยปญ จขนั ธ เหน็ ไดโ ดยงายวา สภาวะทุกข และ นิพทั ธทกุ ข สองหมวดน้เี ปนทกุ ขท ม่ี อี ยูแกท กุ คนในทุกเวลา แมวา คนโดยมากเปนทกุ ขในเรอ่ื งแกแ ละเรอื่ งตาย แตมนี อยคนที่จะสาํ นึกวา ความรอ นและความ หนาว หิวกระหายหรอื การปวดอจุ าระปสสาวะเปน ความทกุ ข ทง้ั นก้ี เ็ พราะเหน็ เปน เรือ่ งธรรมดา และโดยปกตไิ มคอ ยเดอื ดรอ นมาก แตใ นภาวะผดิ ปกติ เหตุเหลาน้ันกอ็ าจกอ ความทกุ ขไ ดอยาง หนกั แมกระทงั่ ทาํ ใหต าย จึงเปนเหตทุ ่ีสําคัญไมน อ ยทวาเหตใุ นหมวดอนื่ ๆ และเหตทุ ี่มนุษยไ มอาจ บงั คบั หรอื แมห ลกี เล่ยี งได เพราะยอมเกดิ ข้ึนโดยธรรมชาติ เปน กฎตายตัว การเกดิ เปน ทุกข คําวา “เกดิ ” ในทนี่ อ้ี าจจะหมายความถงึ “การเขาสภู พ” หรอื การคลอดกไ็ ด เม่อื หมายถึงการเขาสูภพ กต็ องเหน็ วาเปน ทกุ ข เพราะการเริม่ เขาสยู คุ แหงทกุ ขต า ง ๆ และตรงกนั ขาม กบั “การไมเ กดิ ” ซึง่ เปนทางหมดทุกข เมอ่ื หมายถงึ การคลอด กไ็ มม ปี ญหาเลยวา ทําไมจึงเปนทกุ ข ในระหวา งทีเ่ จรญิ อยใู นครรภม ารดานนั้ เดก็ กม็ คี วามสบายพอสมควร เชน ไมตอ งหายใจ ไมต อ ง กลนื กินอาหาร ไมตองถา ยอุจจาระ ปสสาวะ เพราะไดร ับแกสออกซิเจนและอาหารท่ยี อ ยสําเรจ็ แลวผานเขามาทางรก ขบั ถายคารบอนไดออกไซดและปฏกิ ูลบางอยา งกลบั ออกไปทางนน้ั ทงั้ ตัวก็ ลอยอยูอยางสบายในถุงน้าํ คร่าํ ไมไ ดร บั การกระทบกระเทอื นใด ๆ ครั้นถึงวาระท่จี ะคลอด กเ็ รมิ่ มคี วามเดอื ดรอ นตาง ๆ มกี ารเอาหวั ลง และเล่ือนเขาไปสอู งุ เชงิ กราน เปนการเตรียมพรอ ม เมอ่ื มารดาเรม่ิ เจบ็ ทอง มดลกู ก็เรมิ่ หดบีบรดั ลงบนตวั ของเด็กโดยรอบ และ ดันใหศ รี ษะเขา ไปสคู อมดลูก ซ่งึ ตามปกตมิ ีชองแคบกวาศรี ษะเด็กหลายเทา แตใ นขณะคลอดมกี าร เปลยี่ นแปลงเกิดขน้ึ ทําใหเ น้อื ของสว นนย้ี ดื ออกไดม ากมาย พรอ มกับเย่ือพังผดื ท่ยี ดึ โครงของ กระดูกเชงิ กรานกห็ ยอนยานไดเกนิ ธรรมดา การหดตวั อยา งแรงของผนงั มดลกู ท้งั ดนั และคลงึ ใหศ รี ษะของเดก็ (ซึง่ กระดกู ยงั ตดิ กนั ไมสนทิ ) เลก็ ลงโดยยืดยาวออกไป จนกระท่งั ลอดผา นคอมดลูกออกไปได แตแลวก็ตอ งเถลอื กไถลผา นชอ ง คลอดตอไปอีก โดยชอ งคลอดจะตอ งถูกดันใหข ยายตวั ออกไปไมน อยกวาสามสี่เทา การดนั และบบี เคนทเี่ ด็กตอ งไดรบั กอนทจ่ี ะเคลือ่ นลงมาถึงปากทางอาจกินเวลาหลายชว่ั โมงหรอื แมนบั วัน เดก็ บางคนตายเสียแตใ นระยะน้เี อง เพราะสมองถูกกดหรอื เพราะอบุ ัตเิ หตุอนื่ ๆ เมือ่ ศรี ษะลงมาจน สดุ ชอ งคลอดแลว กย็ ังจะตอ งผา นประตูสดุ ทา ยคือปากชองคลอดซ่งึ จะตอ งถกู ดนั ใหข ยายออกไปจน กวางพอท่ีศีรษะจะผา นได ตอนนกี้ ็เปน ตอนท่ีเสยี่ งภยั มากอกี ตอนหนึ่ง 179
เมื่อคลอดพน ครรโภทรออกมาแลว ก็เรมิ่ มที กุ ขอน่ื ตอ ไป คอื ทกุ ขข องการหวิ การกระหาย ความ รอ น ความหนาว และการขบั ถา ย ทบ่ี รรยายมานเ้ี ปน การคลอดโดยปกติ ในรายที่ผดิ ปกติยอมมีท้งั ทกุ ขแ ละภัยมากกวานอี้ ีกหลายเทา เดก็ บางคนตอ งตายเสยี กอ นไดล มื ตาดโู ลก เพราะอบุ ัติเหตใุ นระหวา งคลอด บางคนตองถูกฆา ให ตายเสยี ดว ยการเจาะสมองหรอื แมตัดคอตดั แขนเพอ่ื รกั ษาชวี ติ ของแมเอาไว ดังนนั้ “การเกดิ เปน ทุกข” นีจ้ งึ เปน ความจริงแท ทกุ ขป ระการแรกทีเ่ ดก็ เกิดใหมไ ดรบั ก็คอื ทุกขท ่ีตองหายใจ และทราบกันทกุ คนวา เราตอ งหายใจไป จนตลอดชีวติ ธรรมชาติมีกลไกบังคบั เรอ่ื งนี้ไวอ ยางหลกี เลย่ี งไมได การหายใจเกดิ ขน้ึ โดยการหดตวั ของกลา มเนอ้ื ทเี่ รียกวา “กลามเนื้อของการหายใจ” ท่ีทาํ หนาท่ีเปนประจาํ ไดแกกลามเน้อื กระบงั ลม และกลา มเนอื้ ระหวา งช่โี ครง การหดตวั ทําใหทรวงอกขยายโตข้ึน ความดันภายในปอดลดลง อากาศภายนอกจงึ ดนั เขาไปในปอด เปน การหายใจเขา เมอื่ หยุดหายใจเขา กลา มเนอ้ื ที่กลา วแลว เลิกหดตัว ทรวงอกหดเล็กลงเพราะความยืดหยนุ ของผนงั บบี อากาศออกจากปอด เปน การหายใจ ออก แลวกลา มเนือ้ ของการหายใจกห็ ดตัว ทําใหห ายใจเขาใหม เวียนไปเชนน้ตี ลอดเวลา การที่กลา มเนือ้ ของการหายใจหดตัว กเ็ พราะไดร บั พลงั ประสาท หรอื คาํ สัง่ จากเซลลป ระสาทใน สว นทา ยของสมอง (เมดัลลา โอบลองกาตา) ซึง่ รวมกนั เปน กลมุ เรียกวา “ศนู ยหายใจ” ศูนยน้ี บงั คับกลามเนอ้ื ของการหายใจใหท าํ งานเปนจงั หวะเรอ่ื ยไปตามความตอ งการของรางกาย โดยมี การตดิ ตอ ทง้ั ทางประสาทและทางเคมกี ับสว นอนื่ ๆ ของสมองและรางกาย เราจงึ หายใจมากขึ้นเมอ่ื ทาํ งานหนัก หรอื หายใจนอ ยลงเมอื่ พักผอน ทัง้ นีโ้ ดยอตั โนมตั ิ ไมต อ งไปนงั่ คดิ วาตอนนี้จะตอง หายใจมาก ตอนนจี้ ะตองหายใจนอ ย สงั เกตวา เราอาจจะบงั คบั การหายใจใหช า หรอื ใหเ ร็วหรือแมก ล้นั หายใจก็ได แตไดช ว่ั ระยะ ไมได ตลอดไป เรามอิ าจจะกล้ันใจตายได เพราะเมอื่ กลน้ั ไปถงึ ระยะหนงึ่ ศนู ยห ายใจกจ็ ะหนอี อกจากการ บงั คับของจติ ใจ และทาํ งานตอไปโดยอสิ ระ สงิ่ สําคัญท่ีทาํ ใหศูนยห ายใจทําเชน นี้ และทํางานเปน จงั หวะตามปกตคิ อื แกส คารบอนไดออกไซด ทม่ี อี ยูในเลอื ดและเปน ตวั กระตนุ ใหศ ูนยห ายใจสง่ั กลามเนอ้ื หายใจใหท าํ งาน เวลากลนั้ หายใจ แกสน้ี (ซง่ึ มเี กิดขน้ึ ในรางกายตลอดเวลา) สะสม เพม่ิ ขึ้นเปน ลาํ ดบั ในเลอื ด และกระตนุ ศูนยห ายใจมากขนึ้ เรือ่ ย ๆ จนกระทงั่ ศูนยน นั้ ตองเอาชนะการ หา มของจิตใจไปจนได เด็กที่อยูในครรภม ารดาไมต อ งหายใจดังกลาวแลวในตอนตน แตพ อคลอด รกหลดุ ออกจากผนงั มดลูก ออกซิเจนทเี่ คยไดรบั กห็ ยดุ คารบอนไดออกไซดท ี่เคยผานออกไปทางรกก็ผานไมได จงึ คงอยู ในเลอื ดและทาํ การกระตน ศนู ยห ายใจแรงขนึ้ ๆ จนกระทั่งศูนยนนั้ เรมิ่ ทํางาน เดก็ ก็เร่ิมหายใจ 180
ตามขอเท็จจรงิ วา ศูนยห ายใจทาํ ใหห ายใจเขา การหายใจครั้งแรกของคนเรา (อัสสาสะ) จงึ เปน การ หายใจเขา เมื่อเรมิ่ หายใจแลวกห็ ายใจเรอ่ื ยไป เพราะคารบ อนไดออกไซดเกิดขนึ้ ในรางกาย ตลอดเวลา เราจงึ ถกู บงั คับโดยธรรมชาตใิ หต องหายใจอยตู ลอดเวลาเหมอื นกนั หนีอยางไรกไ็ มพน นับเปนทุกขป ระจําทส่ี าํ คญั อยา งหนงึ่ ทุกขนจ้ี ะเห็นไดช ัดเจนในเวลาทผี่ ิดปกตบิ างอยาง เชน หอบหืด ในเวลาเชน นน้ั จะเขาใจไดดที เี ดียววาเหตไุ รทา นจึงนบั วา “การหายใจเปนทกุ ข” พอคลอดออกมา เดก็ ก็รูจ ักดม่ื นมแลว เปน การยากทจ่ี ะบอกวา เด็กมคี วามหิวหรอื ความกระหาย กอนกนั แตถาคิดตามเหตผุ ล ก็นาจะลงความเหน็ วา ความกระหายคงจะเกิดขนึ้ กอ น ความหวิ เกิด เมื่อตองการอาหาร ระหวา งอยูในครรภเ ดก็ ไดร บั อาหารเพยี งพอ และคงจะมสี าํ รองอยบู าง เมอ่ื คลอดออกมาใหม ๆ จึงไมน าจะหวิ ในอีกทางหนงึ่ เดก็ เกดิ ใหมมคี วามตองการน้าํ มาก เพราะ รางกายจะตอ ง “พอง” ขนึ้ เนือ่ งดวยภายหลังคลอด รา งกายของเดก็ ตองรับความกด (หรอื บบี รัด) นอ ยกวาขณะอยูในครรภ ชาวบา นมกั กลา ววา เดก็ เกิดใหมนัน้ “พองลม” เพราะตวั โตขนึ้ อยา ง รวดเร็วภายหลงั คลอด แตท ีจ่ ริงรา งกายจะ “พอง” ไดน้นั ตอ งอาศยั นาํ้ เพราะฉะนนั้ นาจะลง ความเหน็ วา เด็กเกดิ ใหมค งจะมีความกระหายกอนมคี วามหิว เพราะตองการน้าํ มาก ตามหลกั สรรี วทิ ยาความหิวกบั ความกระหายเปน เรอ่ื งที่สลับซับซอนมาก ความกระหายเกดิ ขึน้ เม่อื รา งกายขาดนาํ้ ไมวาจะดวยเหตุใด อาจเปน เพราะอดนํ้า เพราะกินอาหารรสจดั หรือเพราะเหตุอนื่ ตามธรรมดาปากแหง และคอแหงมักเปน เหตใุ หรูสึกกระหายนาํ้ นักวิทยาศาสตรพ บวา มีศนู ยป ระสาทอยูโ ดยเฉพาะทท่ี าํ ใหเกดิ อาการนี้ อยูในสว นกลางของสมองที่ เรียกวา “ฮยั โปธาลามัส” ถา กระตุน สวนนี้โดยวธิ ที ี่เหมาะ จะทําใหสัตวท ดลองดมื่ นํา้ ในปรมิ าณมาก จึงเขาใจกนั วา ตรงนนั้ เปน ทต่ี ัง้ ของ “ศนู ยก ระหายน้าํ ” ในบริเวณใกลก นั น้นั เอง ยงั มศี นู ยประสาทเกยี่ วกบั ความหวิ อยูอ ีก แตม วี ธิ ที ํางานตางจากศนู ย กระหายน้ํา กลาวคอื ถาถูกกระตนุ ทําใหเ บือ่ อาหาร หรือหยุดกนิ อาหาร แตถ า ถูกทาํ ลาย กลับทํา ใหกนิ อาหารมาก เชือ่ กนั วาศูนยน เ้ี ปน “ศูนยอม่ิ ” เม่ือถูกกระตนุ จึงทําใหห ายหิว เขาใจวามันทาํ หนาที่กดหรอื เหนย่ี วร้ังศนู ยป ระสาทอกี ศูนยห นึ่งอยใู กล ๆ กัน ซง่ึ ทําใหส ตั วก นิ อาหารเมอ่ื ถูกกระตุน เรียกกนั วา “ศูนยก นิ ” ตามธรรมดาเม่อื กระเพาะอาหารเตม็ “ศูนยอม่ิ ” ถูก กระตนุ ก็กด “ศูนยกิน” สัตวจึงหยุดกนิ อาหาร พอกระเพาะอาหารวาง มนั เริม่ ทาํ การบบี ตัว ทาํ ให “ศนู ยอ่มิ ” ถูกกดหรอื เหน่ียวรง้ั “ศูนยกิน” จงึ เร่ิมทาํ งาน ความรูสึกหวิ เปน คนละอยา งกบั “ความอยากกนิ ” บางทไี มห วิ แลว แตย งั อยาก บางทหี ิวแตไม อยาก เขาใจวา ความอยากเปน ผลของเหตหุ ลายอยา งรว มกนั 181
สําหรบั ศนู ยป ระสาทท้ังสามอยางที่กลาวแลว นี้ ทาํ งานโดยเสรี ไมขน้ึ กับความคดิ นกึ ถามีเหตุ ก็เรม่ิ ทํางาน ถาหมดเหตุ กห็ ยุดทํางานความหิวหรอื กระหายเพยี งเล็กนอ ยชวนใหใ จหงดุ หงดิ หรอื ปน ปว น ถาหิวมาก กระหายมาก ก็เปนทุกขห นกั ถึงแมวา ผทู ่ีฝก หดั ดแี ลว อาจขม ความเดอื ดรอ นเชนน้ีได แต ก็เปนการช่ัวคราว ในท่ีสดุ จะตองยอมแพโดยกินหรือดม่ื เพอื่ ใหส น้ิ เหตุ สวนคนทวั่ ไปนน้ั เมื่อหวิ หรอื กระหายกด็ บั เสยี ดวยการกนิ หรือดืม่ ทําใหไมคอยรสู ึกวาเปน ทุกข แต ถา เม่ือใดไมอาจจะสนองความเรียกรอ งได เมอื่ นนั้ จงึ ไดส ํานกึ วาทั้งสองอยา งนก้ี ็เปน ทุกขห นกั หรอื แมห นักที่สดุ ไดเหมอื นกนั ความรอ นและหนาวของอากาศรอบตวั เราทาํ ใหเกดิ ผลแกร างกายสองอยาง คือทเี่ รารสู กึ กบั ทเี่ รา ไมร ูสึก ความรสู กึ เกิดจากการกระตนุ ปลายประสาทรบั ความรอนและความเยน็ ซ่งึ มอี ยูในผวิ หนงั ทัว่ รางกาย ทําใหม ีพลงั ประสาทแลนข้ึนไปตามไขสนั หลงั จนถึงเปลอื กสมองใหญใ นสวนรบั การกระตนุ เกดิ ความรสู กึ รอ นหรอื เย็นขึ้น แลวแตวา ปลายประสาทชนดิ ใดถกู กระตนุ ความรสู ึกน้กี เ็ ปน ไปทาํ นองเดยี วกับความรสู ึกหิวหรอื กระหาย คือบางคนอาจจะระงบั หรือผอน คลายความกระวนกระวายทีเ่ กิดจากการกระตนุ ดังกลาวนไ้ี ด แตกเ็ ชนเดยี วกันกับในเรื่องกอ น คือมี ขอบเขตจํากัด ถา หากรอ นหรือเยน็ จดั มาก ก็ไมอาจระงบั เพราะความรอ นอาจทาํ ใหพ องไหมห รือ ความเยน็ ทําใหห นาวชาจนกระทัง่ ถงึ ตาย ลงทายการกระตนุ ของธรรมชาตยิ อมเอาชนะจนได แตจ ะ เปนผมู ีอํานาจจติ หรอื ไมมกี ็ตาม การกระทบกบั ความรอ นและความเย็นยอมทาํ ใหเกิดการ เปล่ียนแปลงขึ้นในรา งกายชนดิ ทีเ่ ราไมร ูส ึกอกี ดว ย สว นใหญเ ปน การเปลี่ยนแปลงเก่ยี วกับหลอด เลอื ดและการไหลเวยี นของเลือด กลาวโดยสรุป ความรอ นทาํ ใหหลอดเลอื ดของผวิ หนังขยายตวั สวนความเย็นในขน้ั แรกทําใหห ลอด เลอื ดบบี ตวั แลว ในตอนหลังกลบั ขยาย ทงั้ สองอยางทําใหห วั ใจและอวยั วะอืน่ บางอยางทํางานมาก ขนึ้ เปน ปฏิกริ ยิ าของรางกาย ทพ่ี ยายามจะรกั ษาอณุ หภมู ิของรา งกายใหอ ยคู งที่ โดยเฉพาะความ รอน อาจทาํ ใหเ กิดการหลง่ั เหงอื่ ซ่ึงเปน กลไกเพอื่ รักษาอณุ หภมู เิ หมอื นกนั ทัง้ หมดน้เี ปน ไปตามกฎ ธรรมชาตแิ ละคนธรรมดาไมอ าจหลบเล่ยี งได ความรอ นความเย็นจึงทําใหเ กดิ ความไมสะดวกและ ไมส บาย นบั เนอ่ื งเปน ทกุ ขท หี่ ลีกเลย่ี งไมไ ดแ ละมอี ยูเ ปนนติ ย ความปวดอจุ าระและปสสาวะเปน ทุกขอ กี สองอยางทีท่ ุกคนตองประสบอยเู สมอ แมในภาวะปกติ บางครง้ั กอ็ าจจะทนไดยาก ย่ิงในภาวะทผี่ ดิ ปกติ เชน เปน บิดหรือเปน นิ่ว ทกุ ขท งั้ สองนี้กอ็ าจถงึ ขนั้ ปวดรา วแทบจะทาํ ใหข าดใจตายลงไปได ความปวดท้งั สองอยางเกิดข้นึ จากการที่ผนังอวยั วะถูกดัน จากขางใน ความรูส กึ ปวดปสสาวะเกดิ ขนึ้ เมื่อมีปส สาวะไหลจากไตเขาไปรวมอยูในกระเพาะเบา มากพอทจี่ ะทาํ ใหผ นงั ตงึ 182
ผนังจะตอ งตงึ เพยี งใดจึงจะเกดิ ความรูสกึ ปวดขน้ึ นน้ั เปนเรอ่ื งแตกตา งไปตามบคุ คลและความเคย ชิน บางคนพอมปี ส สาวะเพยี งเลก็ นอ ยกป็ วดและตอ งรบี ไปถา ยแลว บางคนอาจกล้ันไวไดม ากกวา หลายเทา คนทเ่ี ปน “โรคเสน ประสาท” มักปวดปส สาวะงายและตอ งถายบอ ย คนท่ีกระเพาะ ปสสาวะอักเสบก็เชน เดียวกนั เพราะการอกั เสบรบกวน ทาํ ใหป ฏิกริ ยิ าไวข้นึ คนทก่ี ล้ันปสสาวะไว นานมาก ๆ ในทส่ี ดุ กจ็ ะกลนั้ ไมอ ยู จนเกิดปส สาวะราด ทง้ั น้ีเน่ืองดว ยการบบี ตวั ของกระเพาะปส สาวะมรี ะบบประสาทเสรคี วบคมุ ไมอ ยใู นอํานาจของจิตใจ เม่อื ผนงั กระเพาะตึง ประสาทเสรีกส็ ั่งใหท ําการบีบ ทําใหเกดิ ความรูสกึ “ปวด” ตอนนี้เปนเรอ่ื ง นอกเหนอื จิตใจ จิตใจควบคุมแตก ารหดตวั ของ “กลามเนอื้ หรู ดู ” ซึง่ ปด เปด กระเพาะปส สาวะ เรา อาจบีบกลา มเนอ้ื หรู ูดใหปดเพอ่ื กลั้นปสสาวะ หรือคลายกลา มเน้อื นนั้ เพือ่ ใหป ส สาวะไหลออกได ตามตอ งการ หมายความวา เราบงั คบั ไดแ ตป ลายเหตุเทา นัน้ เพราะตน เหตคุ ือการบบี คนั้ ของ กระเพาะปสสาวะนน้ั เราบังคบั ไมไ ด นอกจากนน้ั แมก ลามเน้ือหูรดู กอ็ ยใู นบงั คบั ของจติ ใจเพียงบางสว น เพราะฉะนน้ั บางคราวในเวลามี ความต่นื เตน เราอยากถา ยปสสาวะก็ถา ยไมออก หรือในเวลาตกใจมาก ๆ ก็อาจถา ยปสสาวะ ออกมาโดยกล้ันไมอ ยกู ็มี การปวดอจุ จาระและถายอุจจาระกม็ ีกลไกทาํ นองเดียวกันนี้ ในคนธรรมดาความรูส ึกปวดอจุ จาระ เกิดขึ้นเมือ่ มีกากอาหาร (“อาหารเกา”) เคล่อื นเขาไปสูลาํ ไสใหญส ว นคคเคย้ี วซึง่ อยเู หนอื ข้นึ ไปจาก สวงทวารหนัก ทําใหมีการบบี ตัวของสวนนน้ั การบบี ตวั นอ้ี ยใู นความควบคมุ ของระบบประสาทเสรี ถาเรายังไมอ ยากถาย เราก็อาจกลนั้ เอาไวก อนได โดยบบี กลามเนอ้ื หรู ูด (ซึ่งมีสองชนั้ ) ทํานอง เดยี วกับกลั้นปสสาวะ แตก ารกลน้ั นีก้ อ็ ยูใ นบังคับของจิตใจเพียงบางสว นหรอื บางระยะ เม่อื การ กระตนุ จากสวงทวารหนกั มมี ากขน้ึ ๆ ในที่สดุ ระบบประสาทเสรกี จ็ ะเอาชนะการหา มของจิตใจและ สัง่ หูรดู เปด ใหอ จุ จาระออกไปได การปวดปส สาวะและอจุ จาระและการถายปส สาวะและอุจจาระจงึ เปน เรอื่ งทเ่ี ราตอ งทน แตก ็ทนอยู ไมได คอื เปน ทกุ ข ทกุ ขอีกอยา งหน่ึงทีท่ ุกคนหนไี มพน กค็ อื ทุกขแหง ความชรา ในพระคมั ภรี ทานแจงชราทกุ ขไวเ จด็ ประการ คือผิวพรรณไมงาม กาํ ลงั กายทราม รางกายทรดุ โทรม การเคล่ือนไหวงกงนั ฟน หกั นัยนตาฝา ฟาง และหเู ชอื นหรอื หูตึง มสี ภุ าษติ กลา ววา “ความแกเร่มิ ต้ังแตป ฏสิ นธ”ิ ซ่งึ เปน การ ถกู ตอง รา งกายประกอบดว ยหนว ยเล็ก ๆ ท่เี รียกวา “เซลล” (ตรงกับกลละ) รางกายแกก็เพราะเซลล ทัง้ หลายแก การปฏิสนธกิ ค็ อื “เซลลไ ข” ของแมร วมกบั “เซลลเชอ้ื ” ของพอ กลายเปน เซลลล ูก เซลลล กู นีแ้ กข น้ึ แลว ก็แยกออกเปน สองเซลล สองเซลลน แ้ี กข้ึนแลว ก็แยกตอไปอีกเรอ่ื ย ๆ หนึ่ง 183
เซลลก ลายเปนสองเซลลท กุ ครัง้ จากกลุมเซลลกลายเปน กอ นเซลลซ ่ึงโตข้นึ ๆ ขนึ้ กลายเปน รา งกาย ประกอบดว ยเซลลหลายชนดิ ซง่ึ ตา งกม็ ีลกั ษณะจําเพาะ เชน เซลลก ระดกู ทําหนาที่สรา งกระดูก เซลลก ลา มเนอื้ ทาํ หนา ทหี่ ดตัว เซลลค อมทําหนาที่หลงั่ นํา้ หลั่ง ฯลฯ เซลลแ ตล ะประเภทตางก็แกแ ละตายไป แลว กม็ เี ซลลใ หมเ กิดขน้ึ มาแทน (โปรดอานเรื่อง “อนจิ จัง ตามความรทู างวทิ ยาศาสตร” ) เรายังไมมวี ธิ ที จ่ี ะพสิ ูจนวา เซลลทเ่ี กิดขนึ้ มาแทนทเ่ี ซลลเกา น้นั มี ลักษณะเหมอื นกับเซลลเ ดิมทุก ๆ อยา ง หรอื มีอะไรดอ ยลงไป แตเรารวู า เมอื่ อายุกา วไปถึงขีดหนง่ึ เซลลท ่ีเกดิ ขน้ึ มาทหี ลังนน้ั มลี กั ษณะบางอยา งตกตํา่ ลงไปและตกตํา่ ลงไปโดยลาํ ดบั ในที่สดุ รา งกาย โดยสวนรวมจงึ แสดงลกั ษณะและอาการของชราภาพใหเหน็ แทท จ่ี ริงนนั้ ลักษณะและอาการเหลานเี้ รมิ่ แสดงตวั ในระยะตาง ๆ กันและกอ นหนาทจ่ี ะเหน็ วา รา งกายแก แตเราสงั เกตไดช ดั เจนเฉพาะบางอยา ง ยกตวั อยางเชนอตั ราการเติบโตของรางกายเร่ิม ลดนอยลงต้งั แตอายหุ กเจด็ ขวบ ถงึ แมวาการเพ่มิ ความสงู ของรางกายยังดําเนนิ ตอ ไปอกี จนอายุ ยส่ี ิบปห รือกวานนั้ เลก็ นอ ย สมรรถภาพทางกายทอี่ าจเพิ่มพนู ขนึ้ ไดดวยการฝกซอม จะขนึ้ ถงึ ระดบั สูงสดุ ในประมาณอายยุ ี่สบิ หา ป หลงั จากนนั้ ไปความสงู อาจเพิม่ พูนไดก ็ลดนอ ยลงเปน ลําดบั ท้งั สอง อยา งทกี่ ลา วน้อี าจถอื ไดวา เปนอาการแสดงของความแก ในแงของการเตบิ โตและในแงข องการ เพม่ิ สมรรถภาพ ในปจ จบุ นั นย้ี งั ไมสามารถชล่ี งไปอยา งแนชดั วาอะไรเปน เหตุของความแก รแู ตว า เซลลมกี ารเส่ือม เกิดขึ้น และการเสื่อมของเซลลต า ง ๆ นาํ มาซึ่งลักษณาการของความแก ในทนี ้จี ะกลาวโดยสรปุ ถงึ การเปลี่ยนแปลงสําคัญ ๆ ทางกายและทางสรีรวทิ ยาท่เี กดิ ขน้ึ เมือ่ คน เปลย่ี นจากหนมุ เปน แก ขอ แรกคอื เนอ้ื ชนิดตาง ๆ มนี า้ํ เปน องคป ระกอบนอยลงไป ทาํ ใหสว นนนั้ ๆ มีลกั ษณะแหง เหี่ยวและ กระดา ง ขอ นเ้ี หน็ ชดั ท่ผี ิวหนงั ขอทส่ี อง สารประเภทอนิ ทรยี ในอวัยวะบางอยางลดนอยลงไป สารประเภทอนนิ ทรยี เ พมิ่ มากขนึ้ โดยเปรยี บเทียบ ทาํ ใหมคี วามยดื หยุน นอยลงมคี วามเปราะมากขึน้ ตวั อยา งทเ่ี ห็นเสมอ ๆ คอื ความมักงายของกระดูกในคนแก ขอทสี่ าม เนอ้ื ยดื เสรมิ ท่ปี ระกอบดวยเสน ใยเหนยี ว มเี พิม่ มากขนึ้ ในอวัยวะตา ง ๆ ทําใหเนอ้ื แทข อง อวยั วะนน้ั ๆ มนี อ ยลง และการทาํ งานมสี มรรถภาพตา่ํ ลง การเปล่ียนแปลงนเ้ี กิดขนึ้ ในอวยั วะ ภายในโดยทัว่ ไปในผทู ่ีสงู อายมุ าก ๆ 184
ขอทสี่ ่ี อวยั วะสวนมากมธี าตหุ ินปูน (แคลเซียม) ไปเกาะ ทําใหกระดา งและยดื หยนุ นอย การ ทํางานผิดแผกไปจากปกติ ตัวอยางที่ทราบกนั โดยแพรห ลายคือสภาพหลอดเลอื ดแขง็ ซึง่ เปน สาเหตขุ องโรคคนแกห ลายอยา ง เชน ความดนั เลอื ดสงู ไตพกิ าร ความคิดอานเช่อื งชามนึ ซมึ อาการ หตู งึ และหหู นวกในคนแก สว นมากเกิดจากหนิ ปนู ไปจบั ที่กระดกู เยอ่ื หูทาํ ใหตดิ กนั แนน จนถา ยทอด คลืน่ เสยี งไมไดดี อาการขอ ตึงและเจบ็ มกั เกดิ จากหินปูนไปเกาะหรอื จบั เปน กอนทรี่ อบ ๆ หรือ ภายในขอ ขอ ทหี่ า การหลอเลย้ี งอวยั วะตา ง ๆ ลดตํา่ ลงไป เปนเหตุใหสมรรถภาพตกตาํ่ ตามไปดว ย การหลอ เลีย้ งทีส่ ําคญั กวา อ่นื คอื เลือด ในคนแก ปรมิ าณเลอื ดทีไ่ หลผา นอวัยวะมนี อ ยลงและปริมาณ ออกซิเจนย่ิงนอยมากลงไปอีก ปรมิ าณเลอื ดไหลผา นลดลง เพราะเหตุหลายอยาง ที่สําคญั คือ หลอดเลอื ดมรี ูเล็กลง เน่อื งจากการตีบบาง จากการทผี่ นงั แขง็ กระดางบาง จากการหดเกร็งบา ง สว นการทีก่ ารหลอ เล้ียงดว ยออกซิเจนลดลงนน้ั นอกจากเพราะเลือดไหลนอยแลว ยังเก่ียวกบั การที่ เลือดจางลงเพราะการสรา งเลอื ดเช่อื งชา และเพราะขาดอาหาร กลา วไดว า ความบกพรองในระบบไหลเวียนเลอื ดเปน เหตสุ าํ คญั ท่ีสดุ เหตุหนึง่ ของความเส่ือมในคน แก นอกจากนีก้ ม็ ีเหตทุ างความบกพรอ งอ่ืน ๆ เชนการกนิ และการยอยอาหาร การขับถาย การ ทํางานของตอมไรท อ เปนตน การเปลย่ี นแปลงไปในทางไมด ีเหลา น้ี เปน เรอื่ งทีเ่ ราบังคบั ไมได เพราะเปน ไปตามหลกั ไตรลกั ษณ ผลของการเปลยี่ นแปลงคอื ทุกขต าง ๆ ในวยั ชรา ดังท่อี า งในตอนตน และทําใหเกดิ ทุกขท างใจตอ ไป อกี ดังท่ีมีผสู รปุ ไววา ตวั เกลยี ดตนเอง คนอื่นรงั เกยี จ มีความเบ่อื หนายสง่ิ ทง้ั ปวง และมีความ ลําบากใจในเร่ืองทั้งหลาย ยง่ิ แกมาก ทกุ ขเ หลา นีก้ ็ยง่ิ มากขน้ึ เวน เสยี แตจ ะรทู นั และปลงตกวา ทกุ ข เหลานีเ้ ปน เรอ่ื งที่เปนไปตามเหตุ ไมไดเ กีย่ วอะไรกบั ตวั เราโดยตรง ทกุ ขสดุ ทายทท่ี ุกคนตอ งเผชญิ ในภพนคี้ ือความตาย ทุกขใ นตอนนแี้ ยกไดเปน ทกุ ขใจและทกุ ขกาย สาํ หรบั คนสว นมากทกุ ขใจเปน ผลของความหวงหลงั บวกกบั ความกลัว ความหวงหลังไดแ กหวง ทรพั ยสมบตั ิและหว งครอบครวั สวนความกลัวนน้ั เกิดจากการทีไ่ มท ราบวาตายแลวจะเปน อยา งไร ตอไป ถาแนใ จวา ตายแลวจะไปดี ความกลัวกค็ งจะไมมี คงจะเหลือแตค วามหวงใย ถาตดั ใจไดเสีย อีกวา ทรพั ยส มบัติไมใ ชเ ปน ของเรา และวงศาคณาญาติทง้ั หลายยอมเปน ไปตามกรรมของเขา ความหว งกค็ งจะหมดไปได ทนี ีก้ ็เหลอื แตท กุ ขกาย ผทู ่ีตายอยา งปจจุบนั คงจะมที ุกขในตอนนนี้ อ ยกวาผทู เ่ี จ็บเรอื้ รงั เราถือกนั วา ตายอยา งน้ันมบี ญุ กน็ า จะถูกตอง บางคนตายชา แตในตอนทายหมดความรูสกึ ไปกอ น กค็ งจะไมม ี ทกุ ขมากนกั ผทู มี่ ที ุกขม ากไดแกผ ทู ่ีคอ ย ๆ ตาย และตายดวยเหตทุ ที่ าํ ใหเ กดิ ทุกข เขนมคี วาม เจบ็ ปวดมกี ารหอบเหน่ือยเปน ตน ในตอนทา ยกค็ งจะเหมือน ๆ กนั ทกุ คน คอื สมองไดร บั ออกชิเจน เลย้ี งไมพอ ทําใหห นามดื วาบหววิ ตามวั จนมดื หดู ับ รูส ึกเพลยี จนหมดแรง ในทสี่ ดุ หมดความรสู กึ 185
และผานพนไปจากภพน้ี สําหรบั คนทมี่ ีความกลัว ในตอนทา ยนีก้ ็คงจะตกใจและไดร บั ทุกขอยางมาก เพราะรวู ากําลังจะตาย ผูท มี่ สี ติและระงบั ความกลัวไดค งจะเคลอ่ื นทไ่ี ปอยางสงบ และบางคนซึ่ง เปน โรคทท่ี าํ ใหเ ดือดรอน อาจจะกลบั รูสกึ วา ตอนตายน้สี บาย เพราะความเดอื ดรอนทีม่ อี ยนู น้ั หาย หมดไป เนื่องจากสมองหยดุ ทาํ งาน ตองขอเรยี นวา ทเ่ี ขยี นนี้เขยี นตามหลกั วชิ า เพราะผูเขยี นจาํ ไมไ ดว า เม่อื ตายครัง้ กอน ๆ น้นั มคี วาม เปน ไปอยางไรบาง พระอาจารยฝ น อาจาโร วัดอุดมสมพร จังหวดั สกลนคร เวลาสอนกัมมฏั ฐาน ทา นเนน เสมอวา ทุก คนจะตอ งผา นมหายทุ ธสงครามคอื การตาย ทา นใหฝกตายเอาไว คือหดั ทาํ สมาธจิ นสามารถทําจติ แนวแนไ ดใ นยามวิกฤติตา ง ๆ อยางคลองแคลว เมอ่ื ถงึ คราวจะตายจะไดส ามารถกมุ สติ และ สามารถต้งั ความรูไ ดว าความตายเปนเร่อื งธรรมดา เปน เพยี งการเปลีย่ นภพ เหมือนกบั การยา ย บา น ไมมีอะไรนา กลวั ทห่ี นากลัวคอื ภพตอไปจะเปน อยางไร ในขอนท้ี านกใ็ หห ลักไวอีกวา “ไมต อ งไปหว งอนาคต ไมต อ งไปหว งอดตี ทาํ ปจ จบุ นั ใหด ไี ว แลว ทกุ ๆ อยา งกด็ ที งั้ นนั้ ” ถา ทําไดตามทท่ี านสอนน้ี แมความตายซึ่งทุก ๆ คนถอื วา เปนทุกขห นักท่ีสดุ กด็ ไู มค อ ยนา กลัว เทาไรนกั ถงึ ทกุ ขอ ืน่ ๆ กเ็ หมือนกนั ถาเช่ือและปฏบิ ัตติ ามคําสอนของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา ศกึ ษา อบรมตนเองใหเหน็ แจง ถอ งแทว า ทุกขก ็เปน แตท กุ ข มีเกดิ กต็ องมีดบั เกิดขึ้นก็เพราะมเี หตุ หมด เหตกุ ็ดบั ไป ไมไดต ดิ อยทู เ่ี รา ไมไ ดเ ปนสวนหนึง่ สว นใดของเรา เชน น้ีเมอ่ื ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ก็จะสามารถ ระงบั หรือบรรเทาไดด ว ยความรทู นั จติ ใจไมเดอื ดรอ นตามไปดวย พระบรมศาสดาของเราทัง้ หลาย ทรงสอนลวนความจริงแทและทรงชีท้ างปฏิบตั ิลว นไดผ ลแนน อน พงึ ปฏบิ ตั ิตามโดยเต็มใจและเต็มกําลังเพอื่ ความหลุดพนแหงตนเอง. .................................. 186
อนตั ตา - พจิ ารณาทกี่ าย โดย ศจ.นพ.อวย เกตสุ งิ ห พระพทุ ธศาสนามลี กั ษณะพเิ ศษหลายประการ เชนความมีเหตุผล และความทนตอ การ พิจารณาแยกแยะดว ยความรู ในสมยั ทคี่ วามเจรญิ ทางวิทยาศาสตร และการผนั แปรของ แนวความคิดไปในเชงิ วทิ ยาศาสตร ไดท ําใหศาสนาหลายศาสนาเกิดความปนปวนในดาน เสถยี รภาพ ศาสนาพุทธกลบั ไดร บั ความสนใจจากผมู ีความรูสูงมากข้นึ และไดร บั การยกยอ งโดย แพรห ลายวาเขา กันไดอ ยา งดีกบั วิทยาศาสตร ทงั้ นีก้ เ็ พราะพระบรมศาสดาของเรานน้ั ทรงเปน พระ สัพพญั ู และคาํ สอนของพระองคเปน สจั จะความจรงิ แท จะขุดคุยสักเทา ไรกไ็ มพ บความบกพรอง โดยเนื้อแทนนั้ ไมมขี อใดจะขดั ขวางกบั ความเจรญิ ในทางวทิ ยาการทนั สมัย ผูทม่ี คี วามสงลยั ในพทุ ธศาสนานน้ั สว นมากเปน เพราะไมไ ดพจิ ารณา หรอื ไมส ามารถจะพจิ ารณา ขอธรรมตา ง ๆ ใหละเอยี ดลกึ ซ้งึ ลงไปจริง ๆ ยกตัวอยางเชน คําสอนเรอื่ ง “อนตั ตา” ซ่งึ คนสวนมาก ยอ มไมอ าจจะเขา ใจไดถาฟงแตเพยี งเผนิ ๆ เพราะเน้อื ความขัดกับความรสู ึกโดยธรรมดา แตถา พจิ ารณาใหรอบคอบโดยนัยแหงเหตผุ ลทที่ รงแสดงไวกค็ งจะรบั ได และถาหากนําความรทู าง วิทยาศาสตรเ ขามาประกอบดว ย ก็จะยง่ิ เหน็ จรงิ และเขา ใจแจมแจง ยิ่งข้ึน. คําสอนเรอ่ื ง “อนัตตา” ปรากฏในอนัตตลักขณสตู ร ซง่ึ ทรงแสดงโปรดพระปญ จวัคคียท ี่ปา อสิ ปิ ตน มฤคทายวนั ใกลเมืองพาราณสี ในพระสตู รนที้ รงแสดงวาขันธห าเปน อนตั ตา คอื เปน ไปเพอ่ื ความ ลําบาก เราไมสามารถจะเลือกใหไ ดถ ูกใจ และไมส ามารถจะบังคับใหเ ปน ไปงามความตอ งการ ทงั้ ยังไมเ ที่ยงและเปน ทุกขอีกดวย เราจึงไมค วรจะยดึ วาเปน ตัวตนของเราหรอื เปน ของ ๆ เรา ควรจะ เห็นวาเปนของนา เบ่ือหนายและควรตัดความกาํ หนดั ยนิ ดใี นขนั ธห า เสีย จะไดบรรลุถึงความหลดุ พน เมอ่ื พระปญ จวคั คียไ ดสดบั พระธรรมเทศนานแ้ี ลว จิตของทานกเ็ ลิกยดึ ม่ันในขนั ธ หมดความ กําหนดั ยินดี และไดบ รรลุอรหตั ผล นบั วา พระสูตรนม้ี ีอานสิ งสม ากโดยแท. พิจารณาโดยเนอื้ หา เหน็ ไดวา ทรงแสดงเหตุผลสําคญั สามประการ ที่เราไมส มควรจะยดึ ถอื ขนั ธหา เปนตัวตนหรือเปน ของของเรา คือ ประการทห่ี น่ึง เราไมส ามารถจะเลือกเอาตามความพอใจได ประการทส่ี อง เราไมสามารถจะบงั คับใหเ ปน ไปตามทเ่ี ราอยากใหเ ปน และ 187
ประการทส่ี าม “เปนไปเพื่ออาพาธ” ถา หากเปน สิง่ อนื่ ไมใ ชขนั ธห า “ของเราเอง” เรากค็ งจะพอรบั เหตผุ ลนีไ้ ดโดยไมยาก เชน ถา เรามสี ุนขั อยูต วั หนึง่ เขา มาอาศัยอยกู ับเราโดยเราไมไ ดเ สาะหา ซํ้า เมื่อมาอยูกบั เราแลว ยังดอื้ ดานและขีโ้ รค ทําความลําบากตา ง ๆ นานา เชน น้ี เราคงไมย อมรับวา เปนสนุ ขั ของเราและคงจะรีบจดั การเอาไปปลอ ยเสยี ในโอกาสแรกทจ่ี ะทาํ ได แตเมอื่ เปนเรอ่ื งเก่ยี วกบั “ตวั ของเราเอง” กเ็ ปนการยากมากท่จี ะรับเหตุผลทที่ รงแสดงไว โดยเฉพาะอยา งยงิ่ จะตองถอื วา “รูป” กายนีเ้ ปน ของเรามาแตเกิด และเรากใ็ ชใหท ําการงานอะไรๆ ได แลวไฉนจะวาไมใชข องเรา และเราบังคบั ไมไ ด แทจรงิ นนั้ เราบังคบั รางกายของเราได กแ็ ตเฉพาะในบางเร่อื งเทา น้ัน คือเรอื่ งการกระทําหรอื ประกอบ “กรรม” ตา ง ๆ สว นการเปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดขนึ้ ตามกฎเกณฑข องธรรมชาติ เชน การเตบิ โต และการแกไ ปตามวนั เวลา เราไมมที างบงั คับหรอื ขัดขวางไดเลย พูดตามเหตผุ ลธรรมดา รปู กายท่ีเรามีมาตงั้ แตเ กดิ เราก็ไมไ ดเปน ผูเลอื ก เราไดมาจากบดิ ามารดา แตท านท้งั สองก็ไมไดเ ลอื กใหเ รา เพราะทานไมส ามารถจะเลือกได มิฉะน้ันคงจะไมมเี ดก็ เกดิ มาวิกล วกิ าร ทกุ ขณะทีเ่ รามชี วี ติ อยู รา งกายเปลยี่ นไปเรือ่ ย ๆ (โปรดอานเรอ่ื ง “อนจิ จงั ตามความรทู าง วทิ ยาศาสตร ในหนงั สอื ธรรมจกั ษุ พ.ศ.๒๕๐๒) โดยอาศยั วัตถุทเ่ี ราไดม าจากอาหาร ซึง่ มาจากคน อ่ืน จากสัตว และจากพชื วัตถุเหลา นี้ไมไดอ ยูต ลอดกาลในรางกายของเรา แตถกู ทาํ ลายและถายเท ออกไป แลว ก็เวยี นกลบั เขา มาใหม ท่กี ลา วนีก้ ลา วตามความรูซึ่งเปน รากฐานของวิชาแพทยแผน ปจจบุ ัน เพอื่ ความเขาใจโดยแจม แจง ยิง่ ขนึ้ จะไดข ยายความในหัวขอ ตา ง ๆ ตามลําดบั . ในชน้ั ตน ควรทราบวา รปู กายเกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร ทางพระพุทธศาสนากลาววา สตั วบังเกิดไดดวยองคส าม คือบิดามารดาอยูรว มกนั มารดามรี ะดู และ “ปฏิสนธจิ ติ ” เขา มาสมทบ หากมีครบเชนนี้ รปู กายกเ็ จริญไปโดยลาํ ดบั คาํ บรรยายความ คลีค่ ลายของรปู ท่ีเกดิ อยใู นครรภของมารดาตามทป่ี รากฏในพระคัมภรี นน้ั ละเอียดลออ และตรงกบั ความรูท างวทิ ยาศาสตรอ ยา งนาพศิ วง แตในดานวทิ ยาศาสตรไ มม คี วามรเู กย่ี วกบั ปฏสิ นธิจติ มคี วามรแู ตเรอ่ื งกาย คือรูวา ลกู เกิดจากการ ผสมของไขท ่ไี ดมาจากมารดา กบั ตัวเชอ้ื ทไี่ ดจ ากบิดา เซลลหรอื หนว ยชีพทเี่ กิดจากการผสมน้ีโตข้นึ และแยกตวั ออกเปน สองเซลล แตละเซลลโตและแยกออกเปนสองตอ ไปอกี แลว กต็ อไปอกี โดย ลําดบั เซลลร วมกนั เปน กลุม กอ น กลายเปน สวนตา ง ๆ และอวยั วะตา ง ๆ อยา งมรี ะเบยี บและตาม กฎเกณฑแ นน อน 188
ในสปั ดาหท ่ีสี่หลงั จากการผสมเชอื้ มปี มุ งอกออกมาหา ปมุ ซงึ่ ตอมาเจริญขน้ึ เปน ศีรษะและแขนขา ในสว นลําตัวเกิดเปน อวยั วะตาง ๆ ขนึ้ มรี ะบบประสาท หัวใจและหลอดเลอื ด ปอด กระเพาะอาหาร และลาํ ไส ตับ มาม ไต อวยั วะสบื พันธุ นัยนต า หู จมกู ลนิ้ ฯลฯ ในปจจุบนั วิทยาศาสตรย งั ไมท ราบชดั วา พลังอะไรเปนตัวบงั คับการงอกของสว นตา ง ๆ เหลา น้ี แต เขา ใจวา เก่ียวของกบั สวนประกอบของ “เมด็ ใน” (นเู คลยี ส) ของเซลลท ่ีเรยี กวา “โครโมโซม” ซึง่ รู แนว า เปน ตัวกําหนดเพศของลกู และเปนตัวนําลักษณะตา ง ๆ จากพอ แมไปยังลูก โดยการทดลองใน พืชและสัตว เราทราบวาลักษณะทางกายของลกู ขึ้นอยกู บั ลักษณะทางกายของพอและของแม แต เปน ท่ปี รากฏเพียงบางสวน ไมใ ชท ั้งหมด ผลของการผสมโครโมโซมของพอกับของแม ไมใชเปน เร่อื ง ตรงไปตรงมาเสมอไป อาจมที แี่ ตกตา งความคาดคะเนก็ได เชน พอ เต้ยี แมเ ตีย้ แตลกู สงู ขอ นี้ วิทยาศาสตรอ ธบิ ายวา ในโครโมโซมของแตล ะคนมีสวนประกอบทเี่ รียกวา “ยนี ” อยูมากมาย ซ่ึง เปน ตวั ตน เหตขุ องลักษณะตา ง ๆ ยนี อยางหนง่ึ กเ็ ปน ตน เหตขุ องลักษณะอยางหน่งึ บางอยางกเ็ ปน ตนเหตขุ องโรคกรรมพนั ธุ. ยีนท้ังหมดแบงออกไดเปน ลองพวก พวกหน่งึ เห็นพวกทแี่ สดงผลใหป รากฏ เรยี กวา “พวกเดน” อีก พวกหนึง่ ไมแ สดงผลใหป รากฏในปจ จบุ นั แตอ าจแสดงผลในอนาคต คือในชน้ั ลูกหรอื หลานเหลน พวกหลงั น้ีเรยี กวา “พวกดอย” ยนี พวกน้ีกอ็ ยใู นโครโมโซมนน่ั เอง ไมไ ดห ายไปไหน แตไ มแ สดงผลในชน้ั ปจ จบุ นั เมือ่ บุคคลผทู ่ี กลาวถึงนี้ไปแตง งานกบั คนทมี่ ี “ยีนดอย” แบบเดียวทนั ยีนดอ ยจากพอและจากแมรว มกัน อาจ กลายเปน “ยนี เดน ” และแสดงผลใหป รากฏได ดงั นนั้ ในตวั อยางทพ่ี อ เตีย้ แมเ ตยี้ แตล ูกสงู ก็ อธบิ ายไดวาทง้ั พอ และแมมี “ยีนสงู ” อยูในตวั แตเ ปน “พวกดอย” จึงไมแสดงผล คร้นั ยนี ดอยทง้ั สองมารว มกนั เขา ในลกู กลายเปน “เดน” ข้ึนมา ลกู จงึ สูง ลักษณะทางใจอธบิ ายเชน เดียวกัน ถา พอ ฉลาด แมฉลาด ลูกกน็ า จะฉลาด แตก ็อาจจะปานกลางหรือโงก็ได ตรงกนั ขาม พอแมท ่สี มองทบึ อาจมีลกู ทส่ี มองปราดเปรยี วกไ็ ด. มผี เู ชื่อวา ยนี เก่ียวขอ งกบั การเจริญของรา งกายขณะลูกอยูในครรภดวย เพราะมคี วามพิการทาง รปู รา งบางอยางท่เี ปน กรรมพนั ธุ คือถา ยทอดไปไดในทางยนี ถาหากทุก ๆ อยางดําเนนิ ไปโดย เรยี บรอยและถกู ตอ ง ลกู ก็คลอดออกมาดวยรปู รา งปกติ ถามีอะไรผิดแผกไปแมเ พยี งเล็กนอ ยใน ตอนใดตอนหน่ึง ลูกกม็ รี างกายพิกลพิการไปตามเหตุ เชน ปากแหวง เพดานโหว ผนงั กนั้ หอ งหวั ใจมรี ู ทะลุ ไมม ีแขนขาหรอื มือเทา ไมม ตี า ไมม ศี รี ษะ ฯลฯ นอกจากนล้ี กั ษณะจาํ เพาะบางอยา งของบคุ คล เชน ความแขง็ แรง ความอดทน ความออนแอ ความขโ้ี รค ตลอดจนโรคบางอยางท่ีเกิดมาพรอ มกับ ตัว ก็เปนเรือ่ งท่ีเกี่ยวกับยนี สรุปวา ในทางวิทยาศาสตร รปู รางและลักษณะบางประการเก่ียวกบั “สงั ขาร” (หมายความถึง ลักษณะของรา งกายทง้ั ในทางรปู และทางหนาท่)ี เปนเร่อื งที่กําหนดมาตงั้ แตก ารปฏสิ นธิ คือการ 189
ผสมระหวา งเชือ้ ของบดิ า กบั ไขของมารดา เพราะฉะน้ันบคุ คลท่ีเกิดขนึ้ ใหม คอื ลูก นนั้ ยอ มไมมี โอกาสที่แกไขดดั แปลงได ดวยความต้งั ใจ หรือปรารถนา อยางใดทง้ั นนั้ สวนความพิการหรอื โรคท่ี เปน มาแตกําเนิดนน้ั ตามธรรมดา อธบิ ายวาเปนเพราะการบังเอญิ เชน ถาสวนที่จะประกอบเปน ปาก มาประสานกันไมดี ก็มลี ักษณะปากแหวง หรอื ถาเนื้อสวนใดงอกนอยไปก็เกดิ เปน ชอ งโหวข น้ึ วทิ ยาศาสตรก าํ ลงั เสาะหาคาํ อธบิ ายสาํ หรบั เหตุของการบงั เอิญเหลา น้ี ในฝายพระพุทธศาสนาถอื วา กรรมยอ มจําแนกสตั วใหเ ห็นไป ผทู ที่ ํากรรมดีไวม าก ยอ มไปเกดิ ในทด่ี ี ซงึ่ หมายความรวมถงึ การมรี ปู รางดี สวยงามและสมบูรณเ ปน ปกติ ผทู ที่ าํ กรรมไมด ไี วม าก ยอ มไปเกดิ ในท่ไี มด ี ซ่ึง หมายความถึงการมรี ูปรางพกิ ลพิการหรอื ผดิ ปกตดิ วย โดยหลักนี้ อธิบายไดวา ผูทท่ี าํ บาปกรรมไว ซงึ่ จะนําใหปากแหวง กรรมกจ็ ะสง ใหไปจตุ ใิ นครรภ ซึง่ มไี ขแ ละตัวเชอ้ื ซ่ึงผสมกันเขา แลว จะไดลกู ซ่ึง มีปากแหวง หรอื วา กรรมนนั้ ๆ ไปขดั ขวางการเจรญิ ของเนือ้ สว นรมิ ฝป ากบน ทาํ ใหป ากแหวง เพราะฉะน้ันตามความเขา ใจในฝายพระพทุ ธศาสนา ความพิการแตกําเนดิ มไิ ดเกิดจากการบงั เอิญ หรืออุบัติเหตุ แตเ กดิ จากกรรม ใครจะยดึ ถืออยางไหนก็ตาม ยอ มจะเหน็ ไดวาลกู ทเี่ กดิ ขนึ้ มานั้นไมมที างทจ่ี ะเลอื กรปู กายใหได ตามใจ ตามความรทู างวทิ ยาศาสตร. ความพกิ ารหรือไมพ ิการเกิดข้นึ เสยี กอนท่คี วามรูสกึ นกึ คิดจะ เกดิ ในฝายพระพทุ ธศาสนา บุคคลจะไดร ปู อยางใดกแ็ ลวแตกรรม ไมมที างเลอื กเหมือนกัน นอกจากจะทําความดีไวมากพอ จึงจะหวงั ไดว าจะไปเกดิ ในรูปกายท่ดี ี เปน ผลของอดตี ไมใ ชป จ จบุ ัน นค้ี ือ “รูปเลอื กไมได” วิทยาศาสตรเ ชอื่ วา รางกายทคี่ ลอดออกมาแลวน้ัน เตบิ ใหญต อไปดว ยอาํ นาจของน้ําเล้ยี งภายใน เรียกวา “ฮอรโ มน” ซึ่งมตี อ มจําพวกทเี่ รยี กวา “ตอมไรท อ ” เปน สว นทาํ หนา ท่ผี ลติ ฮอรโ มน แตล ะ อยางมหี นา ท่จี ําเพาะ เกย่ี วกบั รูปรา งกม็ ี เก่ยี วกบั งานของอวัยวะก็มี ฮอรโมนอยา งหนงึ่ มหี นาท่ี เก่ยี วกบั ความยาวหรอื ความสูงของรา งกาย ถา มมี ากไปกอ็ าจทําใหร า งใหญเ ปน ยกั ษ ถามีนอ ยไป ก็ ทําใหต วั เตีย้ เล็กเปน คนแคระ ฮอรโมนอีกอยางหนง่ึ มหี นา ท่ีเรงการเผาผลาญและการใชพลังงาน ของรา งกาย ถามมี ากเกินไป กท็ ําใหผ ายผอม ตวั รอ นอยเู สมอ ประสาทต่นื เตน ขี้กลวั ขี้โกรธขต้ี กใจ ถา มีนอ ยไป รางกายอว นฉุ ผวิ หนังหนาแขง็ ตวั เยน็ ทาํ อะไรยดื ยาด ความคดิ อา นเชอื่ งชา ฮอรโ มน อยางอ่นื กท็ าํ หนาท่ีอยางอืน่ เชนควบคุมการหลง่ั นาํ้ ยอยอาหาร การหลง่ั ปส สาวะ การใชน าํ้ ตาลใน รางกาย ความเจรญิ ของรางกายเกีย่ วกบั เพศและการทําหนา ทเ่ี กย่ี วกับเพศ เปน ตน ถาตอมที่ผลติ ฮอรโมนทาํ หนาทผ่ี ิดไป รา งกายก็ผิดปกติตามไปดวย ในทางรูปรางหรอื ในทางการ งานกแ็ ลว แต การทาํ งานของตอ มไรท อนไี้ มอยใู นอํานาจของจติ ใจ หมายความวาบุคคลไมส ามารถ จะบงั คับควบคมุ ได ตอ มทาํ งานไปตามเหตกุ ระตนุ หรือเหตุยบั ยง้ั โดยกฎของธรรมชาติ ถา มีเหตุ กระตนุ กท็ าํ งานมาก ถามเี หตรุ ั้งก็ทํางานนอ ย รางกายก็ผันแปรตามไป จิตใจไมส ามารถจะหกั หาม หรอื เรง เราอยางไรได 190
นอกจากน้ี สว นประกอบของอาหาร ก็มสี วนสําคญั ในการงอกงามของรางกาย โดยเฉพาะอาหาร ประเภท “ธาตเุ นอื้ ” (โปรเทอนี หรือโปรทนี ) เปนตัวท่ีใชสรา งเซลล ถามไี มพอเพยี งก็ยังผลให รา งกายแคระแกรน ไมเตบิ โตอยา งคนปกติ วิตามนิ ซ่ึงมอี ยใู นอาหารตามธรรมชาติ กม็ หี ลายอยาง ที่มีอทิ ธพิ ลถงึ รปู ราง โดยเฉพาะวิตามนิ “เอ” เปน สารกระตุนการเตบิ โตของรางกาย ถา ขาดไป การ เจรญิ ทางรปู กช็ ะงกั .วิตามนิ “ดี” เก่ียวกับการเกาะของหนิ ปนู ทก่ี ระดูก ถาขาดไปก็เกิดโรคกระดูก ออน โครงรา งโคง คด วิตามิน “ซี” มีหนาทเ่ี กยี่ วกบั การเผาผลาญ ถาไดร ับไมพ อ รา งกายกเ็ กิดการ วปิ รติ ในการทาํ งานโดยทั่วไป ท้ังยังเปนเหตุใหเกดิ โรคลักกะปดลกั กะเปด อกี ดว ย ถาพจิ ารณาตามหลักวิชาวทิ ยาศาสตรด งั แสดงมานี้ ยอ มเห็นไดวา รางกายทเ่ี รารบั มาโดยเลอื กเอง ไมไดนน้ั ยอ มเปน ไปตามกฎเกณฑข องธรรมชาติ คอื ตามการทาํ งานของตอมไรท อ ทีผ่ ลิตฮอรโมน รวมกับการหลอ เล้ียงดวยอาหารและวิตามนิ .ทง้ั หมดนี้จติ ใจไมส ามารจะแสดงอทิ ธพิ ลใด ๆ ใหเ ปน ตามท่ตี อ งการ เวน แตใ นการคัดเลอื กอาหาร แทจ รงิ นน้ั จติ เปนเพียงผอู าศยั เทาน้ัน นค้ี ือ “รปู บังคบั ไมไ ด” ความเปนไปของรา งกายของเรานน้ั ตอ งอาศยั การทาํ งานและการรว มงานของอวยั วะใหญนอ ยทม่ี ี อยู อวัยวะแตล ะอยางยอมมีการติดตอ เกี่ยวพนั ไปถงึ อวยั วะอืน่ ๆ ท่ัวรางกาย ไมท างตรงก็ทางออ ม เม่ืออยางใดอยางหนึ่งทาํ งานผิดปกตไิ ป อยางอนื่ ๆ กพ็ ลอยถูกกระทบกระเทือน ถาจะเปรยี บ รา งกายเหมอื นกบั นาฬิกาเรอื นใหญก พ็ อจะได ตัวจกั รแตล ะตัวมหี นาท่ีจาํ เพาะและมบี ทบาทในการ เดินของนาฬิกา ถาตัวหน่งึ หกั ไป ตวั อื่น ๆ ก็พลอยทาํ งานผดิ ปกติไปดวย บางทนี าฬิการางกายมกี ลไกสลบั ซับซอนและพสิ ดารสาํ หรบั ควบคมุ งานไปตามหนา ที่ และรักษาดลุ ตาง ๆ ใหร า งกายสามารถทรงความเปน อยอู ยา งปกตไิ ปไดเ รอ่ื ย ๆ แตดลุ เหลา น้ีกท็ าํ งานไดใ น ขอบเขตจาํ กัด ถา ความผดิ ปกตทิ ่ีเกดิ ขน้ึ นนั้ มากนัก ดลุ ท่กี ลาวนก้ี ็อาจกวดั แกวง มากเกินไปจนไมค นื กลบั การทาํ งานของอวัยวะทเี่ กี่ยวของตอ งหยดุ ชะงกั ชีวติ ก็อาจถงึ ทส่ี ดุ ดลุ เชน นที้ ี่เหน็ ไดง า ยทส่ี ดุ คือ “ดุลความรอ น” ภายในรา งกายมีการเผาผลาญอยูตลอดเวลา เพราะอวยั วะตอ งทํางาน และ การทํางานนีต้ องใชพลงั งาน ซึง่ ไดจากการเผา (ออกซิไดซห รือเตมิ ออกซิเจน) ธาตอุ าหาร ดงั นนั้ ใน รา งกายจงึ มีการกอ ความรอ นอยตู ลอดเวลา คลา ยกบั โรงงานใหญ ๆ ปริมาณความรอนทเ่ี กดิ ขน้ึ นี้ ระหวางท่ีพักอยเู ฉย ๆ คํานวณไดใกลเคียงกบั ความรอนทอ่ี อกมาจากหลอดไฟฟา ๑๐๐ วตั ต ถา มี การทํางาน ความรอ นกม็ ากขนึ้ ไปตามปริมาณงานที่ทาํ รางกายตอ งกาํ จัดความรอนนออกไป มฉิ ะนน้ั ไมช า ตัวก็จะรอ นมากจนกระทัง่ ชีวิตอยไู มไ ด การกาํ จัดความรอนนอ้ี าศยั กระแสเลอื ด นําความรอ นจากภายใน ออกมาที่ผวิ หนงั แลวปลอ ย ออกไปทางนนั้ ดว ยวิธีตาง ๆ การหลัง่ เหง่ือเปน วธิ ีการสาํ คัญทชี่ ว ยระบายความรอน เพราะการ ระเหยของเหงอ่ื ใชความรอ นมาก ดังนน้ั เวลาอากาศรอ นหรอื เวลาเราทําการงาน จึงมกี ารหลั่งเหง่ือ เกดิ ขึ้นและมากนอ ยไปตามปรมิ าณงานทีท่ ําหรอื ความงอนของอากาศ ถาในรางกายมกี ารกอความ รอ นมาก ก็มกี ารกาํ จดั ความรอ นออกไปมาก ถา มกี ารกอ ความรอ นนอย การกําจดั ความรอ นก็ 191
นอยลง นีค้ อื “ดลุ ความรอน” ซ่ึงในเวลาปกตริ า งกายรักษาไวไดอ ยางดี ในเวลาผดิ ปกติเชน มีเชอื้ หนองเขา ไปในรางกาย ทําใหเ ปนผี พษิ ของเชอื้ โรคไปรบกวน “ศูนยความรอน” ในสมองซงึ่ ทําหนาท่ี ควบคุมดลุ น้ี ทาํ ใหการรักษาดลุ เสียไป การกําจัดความรอ นนอ ยลง ไมไ ดส วนกับการกอ ความรอน รา งกายก็รอ นขึน้ ไปเรื่อย ๆ เกดิ เปน “ไข” ถาจัดการเอาเชอื้ โรคออกเสยี เชน โดยผาฝเ อาหนองออก ไขก ล็ ดเพราะ “ศนู ยค วามรอ น” กลับทํางานไดโดยปกติ ในรางกายยังมดี ลุ อ่นื ๆ อกี หลายอยาง เชนดลุ กรด ดาง ดลุ น้ํา ดลุ ไนโตรเจน ซึง่ รา งกายตองรกั ษา ไวเ สมอ ถา ดลุ ใดดุลหนง่ึ กวัดแกวง เกินขีดปกตไิ ป ก็เกดิ อาการของความผิดปกติหรือโรค.ทง้ั น้ี นอกเหนอื ไปจากโรคอน่ื ๆ ทเ่ี กิดจากเหตแุ ตกตา งออกไป เชน มีการติดเชอื้ หรอื มีการสลาย หรือ อนั ตรายเกิดขึน้ แกอวัยวะ ในพระคมั ภรี ท านจงึ กลา วไววา “เรือนกายเปน รงั โรค” นอกจากน้ียังมีการเปลยี่ นแปลงเน่อื งจากการดําเนนิ ของวัย คือความชรา ซึ่งเร่ิมตงั้ แตป ฏิสนธิและ ดําเนนิ เรื่อยไปจนกระทง่ั ทส่ี ดุ แหงชีวติ (ดเู รอ่ื ง “ทุกขสจั จในแงข องสรรี วทิ ยา”) การเปล่ยี นแปลง เหลานที้ ําใหเ กิดอาการแปรปรวนตาง ๆซง่ึ นบั เนอ่ื งเขา เปน อาการของ “โรคชรา” และเปน การ เปลีย่ นแปลงซงึ่ ทกุ ๆ คนจะตองผา น รางกายของเราเปน ของละเอยี ดออ น ขณะเดียวกนั ก็มกี ลไกสลับซบั ชอน เปนนาฬกิ าท่มี ีตวั จักร มากมาย แตละชนิ้ แบบบางและเปราะ ถกู กระทบกระเทือนหนกั เขา ก็คอยแตจ ะหักบน่ิ หรอื บิดเบ้ียว รา งกายของเรากค็ อยแตจ ะเจบ็ ไข มีแตจ ะเสอ่ื มโทรม ตอ งระวังรกั ษากนั อยตู ลอดเวลา พระบรม ศาสดาจึงทรงสอนใหพ ิจารณาเพ่ือเห็นความจรงิ วา “รูปเปน ไปเพอื่ อาพาธ” เมอ่ื รปู เลือกไมไ ด บังคบั ไมได แลวยังเปน ไปเพอื่ อาพาธอกี เชนนจ้ี ะยึดถือวา เปน ของเราไดอ ยา งไร ถายึด เรากจ็ ะตอ งเปล่ียนแปลงแปรปรวนไปกบั รปู เมอื่ รปู เปล่ยี นแปลงแปรปรวน เมือ่ รปู อาพาธ เราก็อาพาธไปดวย เกิดเปน ความเดอื ดรอ น ถา หากถือไดตามทที่ านสอน นกึ เสยี วา รปู กกายเปน เพยี งทพ่ี ึง่ อาศัย เมอ่ื เกิดการเสอ่ื มโทรมหรอื วิการ ความวนุ วายทางจิตก็จะไมม ี หรอื มีแตนอย. ในฐานะผอู าศัย เรามีสว นไดเ สยี กบั รูปกายก็แตใ นการอาศยั ทาํ การงาน คือประกอบกรรมตา ง ๆ ถึงแมว าดูเผนิ ๆ คลา ยกบั วา เราบังคบั รา งกายใหท าํ อะไร ๆ ไดท ั้งนนั้ แตความจรงิ เราสง่ั ไดแ ต เพียงสวนนอย คอื สวนทเ่ี กย่ี วกบั กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมเทานนั้ สวนการดาํ เนนิ กระบวนการตาง ๆ ท่เี กีย่ วกบั การครองชวี ติ ในสวนลึก เชน การยอ ยอาหาร การดดู ซึมอาหารเขาสู รา งกาย การสบู ฉดี เลอื ดของหัวใจ การไหลของเลือด การหายใจ การหลง่ั ปส สาวะ การแปรสารใน รา งกาย การใชพ ลงั งาน การสรางเน้อื การซอมแซมสว นสกึ หรอ ฯลฯ พดู งาย ๆ วาการการทาํ งาน ของอวัยวะภายในทงั้ หมด เราไมสามารถบงั คบั ไดเลย เราจะเปน หรอื จะตาย จะเปนโรคหรือไมเ ปน โรค ขนึ้ อยกู ับการทาํ งานสวนน้ที ้งั ส้นิ . 192
มีหลกั ฐานควรเชือ่ ไดว า บคุ คลบางจําพวก เชน โยคีซึ่งฝก จิตจนมีพลงั กลา แข็ง สามารถบงั คบั การ ทาํ งานของอวัยวะภายในบางอยา งได เชน อาจสงั่ ใหห วั ใจเตน ชา หรือหยุดเตนช่ัวคราว หรอื บงั คบั การเผาผลาญในกายใหล ดลงจนถงึ ขดี ตาํ่ สดุ แตอํานาจของเขานนั้ กเ็ ปน การไมส มบรู ณ เพราะ เปนอยชู ่ัวระยะเวลา ถึงอยา งไรเขาก็หามการแกและการตายไมไ ด ทงั้ ๆ ที่ไดพยายามกันมานบั เปน พนั ๆ ปแ ลว ปจ จบุ ันวิทยาศาสตรกพ็ ยายามในแนวเดยี วกนั แตก ็ยังไมไ ดผล เราอาจทายไดว า เปน การพยายาม ที่เสียเปลา เพราะการแกก ารตายเปนเรื่องของไตรลักษณ เปน การคลีค่ ลายของสังขารไปตาม ธรรมชาติ ดงั พระพทุ ธภาษิตวา “ส่งิ ใดสง่ิ หน่ึงมคี วามเกดิ ขน้ึ เปนธรรมดา สิ่งนนั้ ทั้งหมดมคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา”. ถา จะมบี างทา นเหน็ วา ในปจจบุ นั น้ี เราสามารถปองกันโรคบางอยางได เชน ดว ยการฉีดวคั ชนี เชนนี้ จะเปน การบังคบั รา งกายและเปน ขอคา นเรือ่ งอนัตตาได กอ็ าจตอบไดว า การฉดี วัคซนี เปน เรอื่ งของ กรรม คือการกระทํา ตามหลักพระพุทธศาสนา บคุ คลยอมเปน ผรู บั ผลของกรรมของตน ผทู ีย่ อมรบั การฉดี วัคซนี ตอ ง นับวา ไดท ํากรรมดี จึงไดร บั ผล คอื ไมเปนโรค ถาเพียงแตจ ะนงั่ นกึ บงั คับตวั ไมใหเปน โรค คงจะไม สาํ เร็จเปนแน. รปู กายไมไ ดอ ยใู นบงั คบั ของเรา แตเ หน็ ไปตามเหตุทางธรรมชาต.ิ สว นการกระทําตา ง ๆ ซ่ึงเรากอ ข้ึนโดยอาศัยรางกาย เปน เรื่องทเ่ี ราบงั คบั ได เราจงึ ตอ งรบั ผดิ ชอบสาํ หรบั กรรมท้ังหลาย และตอง เสวยผลของกรรมอยางหลีกเลยี่ งไมไ ด เราไมตองรบั ผดิ ชอบสําหรับรูป นอกเหนือไปจากการ บํารุงรักษา เพอ่ื จะไดอาศยั ไดโดยเนิ่นนานและโดยสะดวก แตเ ราไมไ ดเปน เจา ของ เพราะเราเลือก ไมไ ด บังคบั ไมได แมเลอื ดเนื้อซ่งึ รวมเขา เปน ตวั ของเรากไ็ มใชข องเรา เพราะไมไดอยกู ับท่ี คือไมไ ด อยทู ต่ี ัวเราตลอดไป หากแตว นเวียนไปมาในตวั ของคนอน่ื สัตวอน่ื ตนไม หรอื แมพน้ื ดนิ (ดเู รอ่ื ง “ธาตุวภิ งั คแ ผนใหม. ”) ขนั ธอนื่ ๆ ในขนั ธห า ก็เปน เชนน้ี เราเลอื กไมได บงั คบั ไมไ ด ไมใชเ ปน เร่อื งของเราโดยเฉพาะ เรา อยากใหเปน อยา งหน่ึง ก็อาจเปน ไปอีกอยา งหนง่ึ เราก็แกไ ขอะไรไมไ ด พระพุทธองคท รงพิจารณา เห็นความจริงขอ น้ี ทรงเห็นวาขนั ธเปนตน เหตุแหงทุกข จึงทรงสอนใหเ หน็ วาขนั ธไมใชเรา ไมใชข อง เรา ไมค วรจะยึดถือ. หลักอนตั ตา เปนลกั ษณะท่ีเดน ยิ่งขอ หนง่ึ ของพระพทุ ธศาสนา และแสดงถงึ ความลํ้าเลศิ แหง พระ ปญญาคณุ ของพระบรมศาสดาของเรา ศาสนาพราหมณไ ดส อนมากอนหนา นบั พัน ๆ ปวาคนเรามี อัตตาเปน สวนสําคัญยอดเยี่ยม และสอนใหบ าํ เพญ็ ตบะเพอื่ บรรลอุ มตธรรมคอื ความไมต าย แต พระพุทธเจากลบั ทรงสอนในทางไมเ กดิ เพราะทรงเหน็ ลกึ ซงึ้ กวาและถูกตองวา ตัวตนไมสาํ คญั 193
สาํ คญั ทจี่ ิต แทจ รงิ ตัวตนกลบั เปน เครอ่ื งหนวงเหนยี่ ว เปน เหตุแหงทกุ ข ทรงสอนในทางตรงกนั ขา ม กับศาสนาพราหมณ คือทรงสอนใหส ละรางกาย ใหเ หน็ วาไมใ ชเรา ไมใ ชของเรา ทง้ั ทรงสอนวาการ เกดิ เปน ตน เหตแุ หง ทกุ ข การมชี วี ิตอยเู ปน การทนทกุ ข ถาจะหลกี ใหพ น ทุกขตองปฏบิ ตั ไิ มใ หเกิด โดยการปฏบิ ตั นิ พี้ ระพทุ ธองคไ ดท รงหลุดพนจากทุกขไ ปแลว และผูอ น่ื ทป่ี ฏิบตั ติ าม กไ็ ดห ลดุ พน ตามไปดวยเปน จาํ นวนมาก. พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทรงส่ังสอนดว ยพระเมตตา ทรงสอนลว นความสจั จรงิ ที่เปน อยูตลอดกาล และทรงสอนใหปฏบิ ัตติ ามได ผูป ฏบิ ัตติ ามนนั้ ยอ มไดผ ลโดยควรแกก ารปฏิบตั ิ มคี วามหลดุ พนเปน ยอดแหง ผล จึงสมควรอยางย่งิ ทเ่ี ปนพระบรมศาสดาหาผเู สมอมิไดใ นโลก. .................................... 194
ธาตวุ ภิ งั คแ ผนใหม โดย ศจ.นพ.อวย เกตสุ งิ ห (บรรยายที่พุทธสมาคมแหงประเทศไทย พ.ศ.๒๕๐๙) พระธรรมอนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดท รงตรสั ไวด แี ลว เปน สจั จะความจริงแท และ เปนอกาลกิ ะ ไมเ ปลีย่ นแปรไปตามกาลสมยั แมเวลาจะลว งเลยไปสักเทาใด ๆ แตความคดิ เห็นและ ความเขาใจของมนุษยน ้ันข้ึนอยกู บั กาลเวลา ยอ มผนั แปรไปตามวยั บา ง ตามสมัยบา ง ไมม หี ยดุ นง่ิ แนนอน ดังนนั้ จงึ ปรากฏอยูเ สมอวามีการขัดแยงโตเ ถียงกนั เกย่ี วกบั ความหมายของพระธรรมบาง ขอ ซึ่งตา งคนตา งแปลไปตามความเห็นแหง ตน หรอื แหงอาจารยข องตน บางครงั้ ก็ลงทายดวยการ เกดิ ความสงสัยขนึ้ มาวา พระธรรมน้ัน ๆ อาจจะผดิ เพ้ยี นไป หรอื เกา เกนิ สมยั เสยี แลว ขอ สงสัยเชนนี้ เปนการหลงผิด เกดิ จากความท่ยี งั ไมท ราบถอ งแทถ งึ คณุ แหง พรธรรม และอาจจะแกไขไดด วย การศึกษา โดยเฉพาะอยางย่ิงในดา นปฏบิ ัต.ิ ในกระบวนพระธรรมของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา มขี อหน่งึ ซ่ึงพทุ ธฮาสนิกสมยั ใหมม กั จะต้ังขอสงสัย อยเู นือง ๆ คอื คาํ สอนวา ดว ยธาตุในรา งกาย ท้ังน้ี เพราะไดค วามรูจากวิทยาศาสตรว า ในโลกนมี้ ี ธาตตุ า ง ๆ มากมายหลายสบิ อยา ง ซงึ่ ไดมีการพสิ ูจนแลว แนน อน แตป รากฏวาพระสมั มาลัมพทุ ธ เจาตรสั ไวเพยี ง ธาตดุ ิน ธาตนุ ํ้า ธาตลุ ม และธาตไุ ฟ ส่อี ยา งเทานนั้ บุคคลนอกศาสนาบางพวกก็ถือเอาขอ นเ้ี ปน เหตุโจมตีวา พระบรมศาสดา ไมไ ดทรงมีพระลัพพญั ตุ ญาณอยา งแทจริงจึงรไู มห มดสนิ้ หรอื รไู มถกู ตอง ขอกลาวหานผ้ี ทู ม่ี คี วามรอู ยกู ็สามารถจะตอบโตอยางถูกตอ งและไดผ ล แตผ ทู ีไ่ มม คี วามรอู าจนํามา เปน เหตแุ หง ความสงสยั หรอื แมพ ลอยเชอ่ื ตามไปดวย อนั เปนความผดิ ทอี่ าจสง ผลกระทบกระเทอื น ความศรทั ธาซ่ึงมีอยตู อ ความตรสั รขู องพระตถาคต. ขอนี้เปน เรื่องทร่ี ายแรงมาก จงึ เปน การสมควรอยา งยง่ิ ท่เี ราจะเสาะหาความรูแ ละความเขาใจใน เรือ่ งธาตสุ ่นี ไ้ี วอยางถกู ตอ ง โดยนําความรทู างวทิ ยาศาสตรม าประยกุ ตร วมกับความรใู นพระธรรม. ตน เหตุประการหนงึ่ ของความเขาใจผดิ น้ีคือการนํามาใชโดยไมถ กู ตอ ง คาํ พูดเปน เรอ่ื งสมมุติ คอื การทําความตกลงกนั วา จะใชค าํ นี้ใหม คี วามหมายถึงสง่ิ นี้ ๆ เชนใชค าํ วา “ปาก” สาํ หรบั ชองที่เปด ปด ได สําหรบั ใหอ าหารผานเขา สรู า งกาย หรอื สาํ หรบั พดู ตอ มามีสงิ่ อะไรทม่ี ลี ักษณะคลา ยกัน กน็ าํ คาํ นัน้ ไปใชอ กี เชน ใชว า ปากประตู ปากหบี ปากชอ ง เปนตน การยดึ ความหมายของคําเชนน้ี บางคร้ังกน็ ําใหเ กิดความเขา ใจผิด โดยเฉพาะอยางย่ิงเม่อื กาลสมยั ผานไปนาน ๆ และความเขาใจ ของตนไดเปลย่ี นแปลงไปมากแลว ดวย ดงั ในกรณีของคาํ “ธาต”ุ น.ี้ 195
คาํ วา “ธาต”ุ โดยทวั่ ไปมีความหมายวา “ตน เดิม” หรอื “มูลเดมิ ” ปรากฏในพระบาลใี น ความหมายตา ง ๆ กัน ไมเฉพาะแตป ฐวธี าตุ อาโปธาตุ แตม ีอยา งอนื่ อีก เชน อินทรียธาตุ จกั ขุธาตุ เปนตน . ในภาษาไทยเราใชใ นความหมายอนื่ ก็มี เชน สวนของกระดกู ท่ีเหลอื จากการเผาศพ พระเจดยี ท ี่ บรรจกุ ระดกู เปน ตน ตอ มาเมอ่ื ทางวทิ ยาศาสตรตอ งการคําลําหรบั ใชแ ทนคาํ วา “เอเลเมน็ ต” ใน ภาษาอังกฤษ ซึง่ มคี วามหมายวา “สงิ่ ซงึ่ ประกอบขน้ึ เปน สารตาง ๆ และมลี ักษณะจําเพาะ อันจะ เปล่ยี นแปลงตอ ไปไมได” จึงไดม ผี นู าํ คํา “ธาต”ุ นมี้ าใช แต “เอเลเมน็ ต” ท่รี ูจกั กนั อยูในเวลานม้ี ี มากกวารอ ยอยาง ผทู ่ีใชคาํ ธาตแุ ทน “เอเลเมน็ ต” จงึ เกิดความสงสยั ขน้ึ ดังกลาวแลว ถา หากใชค าํ อน่ื ไมใ ชค ํา “ธาตุ” ความฉงนอาจจะมีนอยกวานี้ แตกค็ งไมหมดสน้ิ ทเี ดียว เพราะในพระบาลมี ี ขอ ความปรากฏอยู ซึ่งชวนใหส งสยั เชนท่ีกลาววา “ฉธาตุโร ปรโิ ส” (บรุ ษุ มธี าตหุ ก) เปน ตน ผูไดฟง ยอมมคี วามรสู กึ โนมเอียงไปในทางท่วี า พระพุทธองคท รงทราบไมครบถว น. ขอ ทน่ี า ทึง่ กค็ อื ในภาษาแหง ชาวตะวนั ตก ท้งั อังกฤษ เยอรมนั ฝรั่งเศส และอ่นื ๆ ซึง่ ใชคาํ วา “เอเล เมน็ ต” ในความหมายดงั กลาวขางตน นน้ั กม็ ีความสบั สนทาํ นองเดยี วกัน คือคาํ วา “เอเลเมนต” นี้มี ตน ตอมาจากนักปราชญชาวกรีกผมู ีชอ่ื วา เอ็มเปโดเคลสซง่ึ เกดิ ภายหลังพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ๑๓๓ ป และเปน คนแรกทแ่ี ถลงความคิดเหน็ เก่ียวกบั เร่อื งธาตุสี่นี้ ในทํานองเดียวกับทป่ี รากฏในพระ คมั ภรี เขากลาววา บรรดาสรรพสิ่งทง้ั หลายท่มี ีอยูในโลกน้ี ประกอบขน้ึ ดวย “เอเลเมน็ ต” สีอ่ ยางคอื เอเล เม็นตแหง ดนิ เอเลเมน็ ตแหง นํ้า เอเลเมน็ ตแ หง ลม และเอเลเมน็ ตแ หงไฟ เอเลเมน็ ต ทง้ั สนี่ เ้ี ปน รากเงา แหง สงิ่ ท้ังหลายทงั้ ปวง และเปน สงิ่ ทคี่ งสภาพอยางถาวรไมมเี ปลยี่ นแปร เห็นไดวาความคดิ นค้ี งไดไปจากทางตะวนั ออก เพราะมีจํานวนสอ่ี ยางเทา กนั ใชช อื่ วา ดนิ น้ํา ลม ไฟ เหมือนกนั และสมยั ของ เอม็ เปโดเคลส นน้ั ตามหลงั สมยั ของพระบรมศาสดา ความคดิ เหน็ เรื่องธาตสุ น่ี ้ีมมี ากอ นสมัยของพระพทุ ธเจา แลว คอื มอี ยูในศาสนาพราหมณ ในสว นตวั ผูบรรยายคดิ วา เอม็ เปโดเคลส นาจะไดความคดิ ไปจากฝา ยพราหมณ เพราะกาํ หนดวาธาตทุ ง้ั สี่ เปนสงิ่ ท่ีคงทนถาวรเหมือนในศาสนาพราหมณ สวนในทางศาสนาพทุ ธนั้นบงไวช ดั เจนวา แมธาตทุ ้ังสี่กเ็ ปน ไปตามไตรลกั ษณ คอื เปน อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา ซึ่งจะไดแ สดงในตอนหลงั . ดังไดกลา วแลว พระสมั มาสมั พทุ ธเจาไดท รงแสดงเกี่ยวกบั ธาตใุ นทต่ี า ง ๆ กนั หลายแหง แตมี ขอ ความละเอียดเกย่ี วกบั เรือ่ งน้ีมากทสี่ ุดในธาตุวิภังคสตู ร ซง่ึ อยูในมชั ฌมิ นิกายแหง พระ สุตตนั ตปฎก 196
เร่อื งนี้พระบรมศาสดาทรงแสดงโปรดพระปุกกสุ าติ ซง่ึ มีศรัทธาบวชอทุ ศิ ถวายพระองคโดยมไิ ดเ คย พบเหน็ เลย เพียงแตท ราบกติ ตศิ ัพทเ ทา น้ัน และเมอื่ พบพระองคใ นระหวา งทอ่ี าศัยแรมคืนรว มกนั อยูใ นโรงของชา งปน หมอ กม็ ไิ ดท ราบวาเปน พระสมณโคดม ตอ เมอ่ื ไดฟง พระธรรมเทศนาจงึ รไู ด โดยทนั ทีวา เปนพระสัมมาลมั พทุ ธเขา และไดท ูลขออปุ สมบท.ระหวา งทอี่ อกไปเสาะหาเครอ่ื ง อฐั บริขารนน้ั เองกไ็ ดถ กู แมโ คชนถึงแกช วี ิต เรอื่ งพระปกุ กสาตนิ เ้ี ปน ตน ความคดิ ของเรื่องกามนติ และวาสิฏฐีซึ่งเปน ทรี่ ูจักกันแพรหลายอยแู ลว . พระธรรมเทศนาซง่ึ ทรงแสดงโปรดพระปุกกสุ าติเฉพาะทเี่ กี่ยวกับเรอื่ งธาตมุ เี นอ้ื ความสําคญั วา คนเรามธี าตุหก คอื ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาศธาตุ และวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก ธาตแุ หง ดนิ ธาตแุ หงนา้ํ ธาตุแหงไฟ ธาตแุ หง ลม ธาตแุ หงทวี่ า ง และธาตุแหงความรู ตามลําดบั ธาตหุ า อยา งทีก่ ลา วกอ น มที งั้ ทอี่ ยภู ายในและภายนอกกาย ธาตุแหงดนิ ทเี่ ปน ภายในไดแกส ิง่ ท่ีแขน แข็ง เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เนอื้ เอน็ กระดูก มา ม หวั ใจ ตบั ปอด เปน ตน ธาตแุ หงนาํ้ ทีเ่ ปนภายในไดแ ก สง่ิ ทเ่ี อบิ อาบชมึ ซาบไปได เชน นํ้าดี เสมหะ นํ้าเหลอื ง เลือด เหงื่อ มัน ขน เปลวมนั นํ้าตา น้าํ ลาย น้าํ มูก มูตร เปน ตน ธาตุแหง ไฟทเ่ี ปน ภายในไดแก สิง่ ท่ีอบอนุ และทําใหเ กิดความรอ น เชน ทําใหร างกายทรดุ โทรม กระวนกระวาย เปนเหตใุ หมีการยอ ยของอาหาร เปน ตน ธาตุแหง ลมทีเ่ ปนภายในไดแ ก ส่ิงท่ีพดั ผนั ไป เชนลมในทอง ลมในลําไส ลมแลนไปตามอวยั วะนอ ย ใหญ ลมหายใจเขาออกเปน ตน ธาตุแหง ท่วี างทเี่ ปนภายในไดแ ก สว นทว่ี า งปรโุ ปรง เชนชอ งหู ชอ งจมกู ชองปาก เปน ตน ธาตุแหง ความรูนนั้ มอี ยเู ฉพาะภายในกาย เปนสง่ิ ซึง่ ทําใหร ูสัมผสั ตาง และมคี วามทุกข ความสขุ หรือความไมท กุ ขไมส ขุ . ถา จะกลาวตามความรใู นสมยั นี้ ก็ตีความหมายของปฐวีธาตหุ รอื ธาตแุ หง ดินไดวาเปน สว นทมี่ ี ลักษณะเปน ของแขง็ หรือมที รวดทรงเปน รปู เปน ราง เชน หนัง กลามเนอื้ กระดูกและอวัยวะภายใน ตาง ๆ สว นอาโปธาตหุ รอื ธาตแุ หงน้ําไดแกส ว นท่ีเปน ของเหลว เชน เลือด น้าํ เหลือง นาํ้ ลาย ปสสาวะ เตโชธาตุหรอื ธาตแุ หงไฟ คอื ความรอ นหรอื พลังงานซ่งึ เกิดขึ้นจากการเผาอาหารภายใน กายซึง่ เปน เหตุใหร างกายเคล่อื นไหว หล่ังนา้ํ หลั่งหรือยอ ยอาหารได และทําใหร างกายมคี วาม อบอนุ เปน ปกติ วาโยธาตหุ รือธาตแุ หง ลม ไดแ กแ กส หรอื กา ซตาง ๆ เชน ทปี่ ระกอบเปน อากาศอยู 197
รอบ ๆ ตวั เรา และเราหายใจเขาไปหรอื หายใจออกมา หรอื แกสท่ีเกิดจากการหมักหรอื สลายของ อาหารในกระเพาะและลําไล ซ่ึงทาํ ใหเรามีอาการทองอืดเฟอ หรือทเ่ี ราเรอหรือผายออกมาและ เรยี กกันวา ลม ขอทช่ี วนใหเ กิดศรัทธาอยางย่ิงในพระปญ ญาคณุ ของพระบรมศาสดา คือที่ทรงกลา วถงึ วาโยธาตุ “ซึ่งแลนไปตามอวยั วะนอ ยใหญ” สวนมากของคนสมัยน้คี งจะไมสามารถเขา ใจขอ นไ้ี ดแ ละอาจจะ เหน็ วาเปนการเหลวไหลที่กลา ววา มี “ลมแลนไปตามอวยั วะนอยใหญ” ภายในรางกาย ลมอะไรจะ เขาไปพัดอยูขา งในนน้ั ขอน้ผี ทู ีม่ คี วามรทู างแพทยห รอื ชีววิทยาจะชแ้ี จงไดวา แทจ รงิ นนั้ เปนการถกู ตอ ง แตจะตองแปลคาํ วา “วาโยธาต”ุ อยา งอืน่ ไมใ ชคําวา ลม (ซ่งึ ใชต ามธรรมดา เปน คําแสดงภาพ หรอื คาํ เปรยี บเทียบ เทา นนั้ ) แตใ ชค าํ วา “แกส ” ดังนี้ ถา กลาววา “แกสซ่งึ ไหลไปตามอวยั วะนอยใหญ ผทู ่ีความรู เก่ียวกบั วิทยาศาสตรแ หงรา งกายยอมจะเขาใจไดวา หมายความถึงแกสสามอยาง (หรอื บางคร้งั มากกวา สามอยาง) ซึง่ กระแสเลอื ดนาํ ไปถงึ ทวั่ ทกุ สว นของรา งกาย คือออกซิเจน คารบ อนไดออกไซด และไนโตรเจน ออกซเิ จนนนั้ เปนสิ่งจาํ เปน สําหรบั ชวี ติ เพราะเปนตวั ทาํ ใหเกิดการเผาไหมข องอาหาร และส่ิงอน่ื ภายในกาย กา ซคารบ อนไดออกไซด เปนปฏิกลู ซ่งึ เกดิ จากการเผาไหมด ังกลา วนี้ และรา งกาย จาํ ตองขบั ออกท้งิ เสีย สวนไนโตรเจนนนั้ เปนแกส ทปี่ ระกอบเปน สว นใหญข องอากาศท่อี ยรู อบ ๆ ตัว เรา และเขา ไปในเลือดระหวา งการหายใจเขาออกโดยไมม หี นา ที่บทบาทจาํ เพาะอยางไรไนรา งกาย. จากทไ่ี ดบ รรยายมาแลว นี้ พงึ สงั เกตไดวา ในพระบาลีนนั้ คาํ วา “ธาตุ” มีความหมายถงึ “ประเภท” หรือสภาพของสง่ิ ของมากกวา “ตวั สิง่ ของ” ถา จะกลาววา ปฐวคี ือส่งิ ของประเภทหนิ หรอื มสี ภาพ เชน ดนิ อาโปธาตุ คือสิง่ ของประเภทนาํ้ หรอื มีสภาพเชนนาํ้ เตโชธาตุ คือสง่ิ ประเภทไฟหรอื มสี ภาพ เชนไฟ วาโยธาตุ คือสิ่งของประเภทลมหรือมสี ภาพเชน ลม คงจะเขา ใจความหมายแทจ ริงไดงา ย กวาทีเ่ ปนอยู อกี ขอหน่ึงทสี่ นบั สนนุ วา คาํ ทั้งสีน่ ้ีความหมายจาํ เพาะ แปลกไปจากความหมายธรรมดา คือในกรณี ที่ตอ งการหมายความถึงสงิ่ ของหรอื สง่ิ ที่มีตวั มตี นจริง ๆ นัน้ ทานใชคาํ อน่ื เชน ใชอ คั คีหรืออาทติ สําหรบั ไฟ และใช ธารา หรอื ชลา ลําหรบั นํา้ เปน ตน. ในโอกาสนีจ้ ะขอบรรยายเก่ยี วกบั เรื่องของธาตสุ เ่ี พื่อใหเ ขาใจถงึ ความหมายและความถูกตองแหง พระธรรม โดยอาศยั เทียบเคยี งกบั ความรูในสมยั ปจ จบุ ัน เพื่อไมใ หเ กิดความฉงนหรือสบั สน ระหวา งความหมายสองอยางของคําวา ธาตุ คือในพระบาลหี มายความวา “ประเภท” หรอื “สภาพ” สวนในทางวิทยาศาสตรห มายถึง “สงิ่ อันจะเปลยี่ นแปลงตอ ไปไมไ ด” จะขอใชค ําวา “มลู สาร” สาํ หรับความหมายอยางหลังนี้ คือความหมายของคาํ วา “ธาต”ุ ในทางวิทยาศาสตร. 198
ตามความรทู างเคมี รา งกายของมนษุ ยเ ราประกอบขน้ึ ดว ยมูลสารประมาณ ๒๑ อยาง ทต่ี อ งใชค าํ วา “ประมาณ” ก็เพราะยังมมี ูลสารบางอยา งซงึ่ พบในรางกายของเราในบางโอกาส ในจํานวนมลู สารท่ีพบอยูเปน ประจํานน้ั มที ี่ปริมาณคอ นขางมากอยูเพยี ง ๖ อยา ง คอื ที่เปน สว นประกอบอยู มากกวา ๑ เปอรเซ็นต ของน้าํ หนกั ตัว ไดแ ก คารบ อน ออกซเิ จน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน แคลเซยี ม ฟอสฟอรัส. คารบ อน หรอื มลู สารของถา นอยูในประเภทปฐวธี าตุ มีอยมู ากกวา เพื่อนคอื ๑๘.๕ เปอรเซน็ ต ของ นํา้ หนักตวั ออกซเิ จน คอื มลู สารซงึ่ เปน ตัวทาํ ใหเ กดิ เผาไหมแ ละทาํ ใหโลหะเกดิ สนมิ และอยใู นวาโย ธาตุ มีมากเปน ทส่ี อง คือ ๖.๕ เปอรเ ซน็ ต ของนา้ํ หนกั ตวั อยางที่มมี ากเปนทสี่ ามคือไฮโดรเจน มลู สารประเภทวาโยธาตุ ซึ่งมลี กั ษณะพิเศษคือเบามาก ซง่ึ เอามาบรรจใุ นลูกสวรรคห รอื ลูกบัลลนู มี อยู ๒.๗ เปอรเ ซน็ ต ของน้าํ หนกั ตัว.ตอไปเปน ไนโตรเจน วาโยธาตุซ่ึงมอี ยูมากท่ีสุดในอากาศรอบ ๆ ตวั เรา มีในรา งกาย ๒.๖ เปอรเซน็ ต ของน้ําหนักตวั แคลเซยี ม หรอื ท่ีเรียกกันวา ธาตปุ ูน เปน ปฐวี ธาตุประกอบเปน สวนสําคัญของกระดกู มอี ยู ๒.๕ เปอรเ ซ็นต ของรา งกาย ฟอสฟอรัส มูลสารท่ีมี ลักษณะ ลุกไหมไ ดเองในอากาศ อยใู นประเภทปฐวีธาตุ เปนสว นประกอบอีกอยา งหนงึ่ ของกระดกู มีอยู ๑.๑ เปอรเ ซน็ ต ของน้าํ หนักตวั มูลสารนอกจากนที้ มี่ ีอยตู ัง้ แต ๐.๐๑ ถึง ๐.๑๖ เปอรเ ซน็ ต ของรางกายไดแ ก คลอรนี (วาโยธาต)ุ กาํ มะถัน (ปฐวธี าต)ุ โปแตสเซียม (ปฐวธี าต)ุ โซเดียม (ปฐวี ธาต)ุ แมกนเี ซียม (ปฐวธี าตุ) เหล็ก (ปฐวธี าต)ุ มลู สารบางอยางมอี ยเู ลก็ ๆ นอย ๆ เพยี งตรวจพบก็ มี แตกม็ คี วามจาํ เปน สาํ หรบั รางกาย เชน ทองแดง สังกะสี อลมู นี มั เปนตน พงึ สังเกตวามลู สารทั้งหมดทีก่ ลาวมานม้ี ไิ ดมีอยเู ฉพาะในรา งกายของคนหรอื สัตวเ ทาน้นั แตม ีอยู ท่วั ไปทกุ แหง ในดนิ ในหนิ ในนา้ํ ในตน ไม และอ่ืน ๆ สมจรงิ ดงั ทท่ี า นแสดงไวว า “ภายในกม็ ี ภายนอกก็ม”ี มลู สารที่อยภู ายในกายกด็ ี ภายนอกกายก็ดี เปน สิ่งของอยางเดียวกัน มีลกั ษณะ เหมือนกันทกุ ประการ ถา จะแยกเอาเหล็กท่อี ยใู นกายของเราออกมาเปรียบเทียบกบั เหล็กทแ่ี ยก ออกมาไดจ ากดนิ เชนทที่ าํ เปน ของใชต าง ๆ อยู กจ็ ะไมพ บขอผิดแปลกอะไรกนั เลย แทจ รงิ นน้ั เหลก็ ทอ่ี ยูภายในกายของเรา ก็ไดไปจากเหลก็ ทีใ่ นพืน้ ดิน คอื ตน ผักดดู เอาเหล็กจากดินเขาไปสะสมไวที่ใบ เมือ่ เรากนิ ผัก ก็ไดเหล็กนนั้ เขาไปและนําไปใชป ระโยชนเปน สวนประกอบของรา งกายตอไป. รางกายของเราเตบิ โตขนึ้ มาไดด ว ยอาหาร เพราะฉะนนั้ เน้อื หนงั และสว นอน่ื ของรางกายทกุ สวน เกิดขน้ึ มาหรือถกู สรา งข้นึ มาจากอาหาร สวนใหญข องอาหารประกอบดว ยวัตถสุ ามประเภท คอื วตั ถุ ประเภทน้าํ ตาล (คารโบไฮเดรท) วัตถปุ ระเภทเนอื้ (โปรเทอีน) และวตั ถปุ ระเภทไข (ไขมัน) วัตถุ ประเภทนาํ้ ตาลไดแ กพวกแปง (ที่มอี ยใู นขา ว ขนมปง ขนมเบียก) และนาํ้ ตาลตา ง ๆ (ทอ่ี ยูในผลไม ออย นํ้าผ้ึง ฯลฯ). วัตถุประเภทเน้ือมีอยมู ากในเน้ือสตั วท กุ ชนดิ ไมวา วัว ควาย หมู เปด ไก ปลา หอย และในพวกถ่วั ตาง ๆ ในผกั หญากม็ ี แตเ ปน สวนนอ ย สว นวัตถปุ ระเภทไขมันไดจากน้ํามนั หมู นํา้ มนั มะพราว นํา้ มนั พชื อ่ืน ๆ ไขววั นาํ้ มนั ในปลา ในผลไมต า ง ๆ ทกุ สว นของรางกายเรามวี ัตถอุ าหารท้ังสาม 199
ประเภทนี้เปนตวั ประกอบ บางสว นก็มีอยา งหนงึ่ มากกวา อยา งอน่ื ๆ เชน กลามเนือ้ กระเพาะ อาหารและตบั ไต มีวัตถุประเภทเนอื้ เปนสว นมาก แตย งั มวี ัตถอุ ื่น ๆ อกี ทีประกอบเปน รา งกายเรา เพิ่มเตมิ จากวัตถุทง้ั สามประเภททกี่ ลาวแลว และมีหนา ท่ี หรอื บทบาทพิเศษในรางกาย เชน แคลเซียม หรือธาตปุ นู เปน สวนประกอบสําคญั ของกระดูก เปน ตน ตวั ประกอบสาํ คัญอกี อยา งหนง่ึ ซึ่งมอี ยทู ุกหนทกุ แหง ไมว า จะเปน อวยั วะใดหรอื สวนใดของรา งกาย ไดแกน ้าํ ซงึ่ ประกอบเปนเศษสองสว นสามของนํา้ หนักตวั ท้ังหมด และกลาวไดวา เปนหลกั ของ อาโปธาตุในรา งกาย ถาไมม นี าํ้ อาโปธาตกุ ็ไมม ี จะแปรสภาพเปน ปฐวีธาตุไป เชน ปส สาวะกจ็ ะ กลายเปน เกลด็ หรือผลึกของเกลอื ตาง ๆ เลอื ดก็จะกลายเปน กอนของวัตถุประเภทเนือ้ และผลกึ ของ เกลอื ทั้งนก้ี เ็ น่อื งดวยปสสาวะก็ดี เลอื ดกด็ ี ไมไดเ ปน ของตายตวั หรือของจําเพาะชนดิ แตเ ปนเพียง นาํ้ ซงึ่ มสี ่ิงตาง ๆ ละลายอยใู นนน้ั นํ้าท่อี ยูในปส สาวะกเ็ ปน ของเชนเดียวกนั กบั นา้ํ ที่อยใู นเลือด ทีจ่ ริง น้ันปสสาวะก็กรองและผลติ ขนึ้ มาจากเลือดและสงิ่ ตา ง ๆ ท่ีละลายอยูในปส สาวะกม็ าจากส่ิงท่ี ละลายอยใู นเลอื ดนน่ั เอง สวนน้ําของเลอื ดก็มาจากนํา้ ท่เี ราดื่มเขาไปหรือท่ีตดิ เขาไปกบั อาหาร ส่ิง อืน่ ๆ ท่อี ยูใ นเลือดกเ็ ชน กนั ดังนน้ั ธาตทุ ั้งสีใ่ นรา งกายเราจงึ มิใชข องตายตวั ไมใชข องจาํ เพาะสาํ หรับตวั เรา แตเ ปน สง่ิ ท่ผี นั แปร อยเู สมอและเปลี่ยนทโ่ี ยกยา ยไปมาได. ความจรงิ ขอน้ี พระสมั มาสมั พทุ ธเขา พระบรมศาสดาของ เราท้ังหลาย ก็ไดท รงทราบประจกั ษแจง ดว ยพระสพั พัญตุ ญาณ จึงไดท รงแสดงไวใ นทห่ี ลายแหง วา “ปฐวีธาตไุ มเทีย่ ง เปนทุกข ไมใชต ัวเรา ของเรา อาโปธาตไุ มเทย่ี ง เปนทุกข ไมใ ชต วั เรา ของเรา” เปนตน ความที่ทรงสอนนีเ้ ปน พยานหลกั ฐานแหง ความเลอเลศิ แหง พระพทุ ธศาสนาซ่ึงแสดงความสจั จริง เหนอื ศาสนาอนื่ ซ่งึ สอนไวว า ดนิ นํา้ ไฟ ลมเปน ของคงทนถาวร นา สังเกตวาในเรอ่ื งธาตุอนั เปน สว นประกอบของสารทัง้ หลายน้ี วิทยาศาสตรกเ็ คยเขาใจผดิ อยวู า สิง่ ท่ีเรียกวาเอเลเม็นต หรือ “ธาตุ” น้ันเปนสงิ่ ที่ มี “ลักษณะจําเพาะอันจะเปลี่ยนแปลงตอ ไปไมไ ด” เพิง่ มารคู วามจรงิ เมอ่ื ไม นานมานี้เองวา เอเลเมน็ ต หรือธาตุยังแยกแยะตอไปไดเ ปน ประจุไฟฟา ท่ีเรียกวา โปรตอน และ อี เล็กตรอน และตอ มาเมอ่ื สมัยสงครามโลกครัง้ ทสี่ อง น้ีเอง จงึ ทราบวา โปรตอน และอีเล็คตรอนนี้ ยังแยกออกไปเปนพลังงานอกี ทอดหนงึ่ พระบรมศาสดาของเราไดแ สดงหลกั ความจริงเร่อื งนี้ไว มากกวาสองพนั หา รอ ยปม าแลว. ความผันแปรแหงธาตปุ รากฏแกน ักวทิ ยาศาสตรเปนของธรรมดา คือการทปี่ ฐวธี าตกุ ็ดี อาโปธาตกุ ็ ดี วาโยธาตุก็ดี หรือเตโชธาตกุ ด็ ี แปรสภาพจากธาตหุ น่ึงไปอีกธาตหุ นง่ึ หรือแปรกลบั มาเปน เชน เดมิ ตวั อยา งเชนวาโยธาตุ ออกซิเจน กบั วาโยธาตุ ไฮโดรเจน รวมกนั เขา กลายเปนอาโปธาตุ คือ นา้ํ ท่ีเราใชดม่ื ใชอ าบน้ี วาโยธาตุ ออกซเิ จน รวมกบั ปฐวธี าตุ คารบ อน กลายเปน คารบอนไดออกไซด ซึ่งเปน วาโยธาตุที่เกิดข้ึนเวลาจุดไฟ หรอื รวมกบั ปฐวธี าตุเหลก็ กลายเปน สนิม เหล็กซึ่งเปน ปฐวีธาตุ ปฐวธี าตุ คารบ อน ผสมกบั ปฐวีธาตุ กาํ มะถนั กลายเปนของเหลวคือ 200
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261