๒.๓) ประโยคซอ้ นที่มีวเิ ศษณานุประโยค คืออนุประโยคที่ทาํ หนา้ ที่อยา่ งวเิ ศษณ์วลีคือขยายกริยาวลี ดงั ตวั อยา่ งประโยค • คุณพอ่ ทาํ งานหามรุ่งหามค่าํ เพ่อื อนาคตของครอบครัว • ดินโคลนเกิดการเล่ือนถล่มลงมาปิ ดเส้นทางสญั จรหลกั ของหมู่บา้ นเพราะฝนตกหนกั ติดต่อกนั มาหลาย วนั แลว้
๓) ประโยครวม คือประโยคยอ่ ยต้งั แต่ ๒ ประโยคข้ึนไปมารวมเป็นประโยคเดียวกนั โดย มีสันธานเป็ นตวั เช่ือม เมื่อนาํ ประโยคมาแยกจะไดป้ ระโยคสามญั ท่ีมีใจความสมบูรณ์ ๒ ประโยคข้ึนไป ใชส้ ่ือความไดอ้ ยา่ งอิสระ ดงั ตวั อยา่ งประโยค ดรุณจะไปเที่ยวอเมริกาหรือยโุ รป สามารถแยกประโยคไดด้ งั น้ี ดรุณจะไปเที่ยวอเมริกา ดรุณจะไปเที่ยวยโุ รป
๓หน่วยการเรียนรู้ที่ การเขยี นเพอื่ การสื่อสาร ๑ ๑ การแต่งบทร้อยกรองประเภทโคลงส่ีสุภาพ ๑) ลกั ษณะโคลง โคลงเป็ นรูปแบบของบทร้อยกรองประเภทหน่ึงที่บงั คบั คณะ สัมผสั คาํ เอก คาํ โท เป็นบทร้อยกรองเก่าแก่ของไทย ปรากฏคร้ังแรกในรัชสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) ในลิลิตโองการแช่งน้าํ วรรณคดีเล่มแรกของไทยในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาโคลง ตาม พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง คาํ ประพนั ธ์ประเภทหน่ึงที่มี จาํ นวนคาํ ในวรรค สมั ผสั และบงั คบั เอก โท ตามตาํ ราฉนั ทลกั ษณ์
๒) ประเภทของโคลง โคลงจาํ แนกตามลกั ษณะทางรูปแบบมี ๒ ประเภท คือ โคลงสุภาพและ โคลงด้นั เป็ นโคลงท่ีแต่งกนั มาแต่เดิม ต่อมาไดม้ ีการแต่งเพ่ิมลกั ษณะบงั คบั พิเศษ เปล่ียนแปลงลกั ษณะบางอย่าง ทาํ ให้มีโคลงตามลกั ษณะพิเศษ ๒ ประเภท คือ โคลงกระทูแ้ ละโคลงกลบท โคลงสุภาพ แบ่งออกเป็น ๑. โคลงสองสุภาพ ๒. โคลงสามสุภาพ ๓. โคลงส่ีสุภาพ ๔. โคลงจตั วาทณั ฑี ๕. โคลงตรีพิธพรรณ โคลงด้นั แบ่งออกเป็น ๑. โคลงสองด้นั ๒. โคลงสามด้นั
๓) โคลงส่ีด้นั แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด • โคลงด้นั บาทกญุ ชร • โคลงด้นั วิวธิ มาลี • โคลงด้นั สินธุมาลี โคลงกระทู้ คือโคลงสี่สุภาพท่ีแต่งให้มีเน้ือความตามหัวขอ้ หรือกระทูท้ ี่ต้งั ไว้ โดยใช้ กระทูน้ ้นั เป็ นส่วนนาํ เน้ือความแต่ละบาท โคลงกระทูแ้ บ่งตามเน้ือความของกระทูไ้ ดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ โคลงกระทูค้ วามและโคลงกระทูแ้ ผลง - แบ่งตามการวางกระทูไ้ ดเ้ ป็ น ๒ ประเภท คือโคลงกระทูค้ วามเนื่องและ โคลงกระทูย้ นื - แบ่งตามจาํ นวนคาํ หรือพยางคข์ องกระทูไ้ ดเ้ ป็น ๔ ประเภท คือ โคลงกระทู้ ๑ คาํ โคลงกระทู้ ๒ คาํ โคลงกระทู้ ๓ คาํ และโคลงกระทู้ ๔ คาํ โคลงกลหรือโคลงกลบท คือโคลงที่เพิ่มบงั คบั คาํ พิเศษต่างๆ ลงในแบบรูป แบ่งออกเป็ น ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ โคลงกลบทและโคลงกลอกั ษร
๒ การแต่งโคลงส่ีสุภาพ ลกั ษณะบงั คบั ของโคลงสี่สุภาพ ๑) หลกั การใช้ภาษาในการเขยี น ๑) คณะ คือกลุ่มคาํ ที่จดั ใหม้ ีลกั ษณะตรงตามรูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ของร้อยกรอง แต่ละประเภท โคลงสี่สุภาพหน่ึงบทมี ๔ บาท บาทหน่ึงมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คาํ วรรคหลงั มี ๒ คาํ ยกเวน้ บาทท่ี ๔ วรรคหลงั มี ๔ คาํ ซ่ึงวรรคหลงั ของบาทท่ี ๑ และ ๓ อาจเพ่มิ คาํ สร้อยไดอ้ ีกบาทละ ๒ คาํ ๒) สมั ผสั คือคาํ คลอ้ งจอง ซ่ึงช่วยทาํ ใหร้ ้อยกรองมีท่วงทาํ นองเสียงที่ร้อยเรียง เกี่ยวเนื่องกนั โดยแบ่งออกเป็ นสัมผสั ใน เป็ นสัมผสั ที่อยู่ภายในวรรคทาํ ให้ร้อยกรองมี ความไพเราะ แต่ไม่ถือเป็ นขอ้ บงั คบั และเป็นไดท้ ้งั สมั ผสั สระและสัมผสั อกั ษรสมั ผสั นอก เป็ นสมั ผสั ระหวา่ งวรรคและระหวา่ งบท บงั คบั ใหเ้ ป็นสมั ผสั สระสมั ผสั บงั คบั ของโคลงสี่ สุภาพเป็นสมั ผสั สระ กาํ หนดไวด้ งั น้ี คาํ ท่ี ๗ ของบาทท่ี ๑ ส่งสมั ผสั ไปยงั คาํ ท่ี ๕ ของบาทท่ี ๒ และบาทท่ี ๓ คาํ ที่ ๗ ของบาทท่ี ๒ ส่งสมั ผสั ไปยงั คาํ ที่ ๕ ของบาทท่ี ๔
หลกั การใช้ภาษาในการเขยี น (ต่อ) ๓) คาํ เอก คาํ โท ในคาํ ประพนั ธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพจะมีการบงั คบั คาํ เอก และคาํ โท ดงั น้ีคาํ เอก คือ คาํ ท่ีมีเคร่ืองหมาย วรรณยกุ ตเ์ อกกาํ กบั อยู่ ไม่กาํ หนดบงั คบั ว่า คาํ น้นั จะเป็นเสียงวรรณยกุ ตใ์ ด เช่น ก่า ก่อน คา่ น่ึง อ่ืน ฯลฯ คาํ โท คือ คาํ ที่มีเครื่องหมายวรรณยกุ ตโ์ ทกาํ กบั อยู่ ไม่กาํ หนดบงั คบั วา่ คาํ น้นั จะเป็นเสียงวรรณยกุ ตใ์ ด เช่น กลา้ ขา้ ว คา้ น้นั หน่ั ฟ้ า ฯลฯ
คาํ ประพนั ธ์ประเภทโคลงส่ีสุภาพกาํ หนดบงั คบั คาํ ท่ีตอ้ งเป็นคาํ เอก ๗ แห่ง คาํ โท ๔ แห่ง ดงั น้ี
ตาํ แหน่งคาํ เอกท่ีบงั คบั ใชใ้ นโคลงอาจใชค้ าํ ชนิดอ่ืนแทนได้ ดงั น้ี คาํ ตาย มี ๒ ชนิด ลกั ษณะแรก คือคาํ ที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้ัน ไม่มีตวั สะกด เช่น นะ คะ นิ รึ สุ เกาะ ฯลฯ และอีกลกั ษณะหน่ึง คือคาํ ที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้นั หรือยาว สะกดดว้ ย พยญั ชนะ ในมาตรา |ก| |ด| |บ|
คาํ ท่ีประสมดว้ ยสระเสียงส้ันและไม่มีตวั สะกด และคาํ ท่ีประสมดว้ ยสระอาํ อนุโลม ให้ใชแ้ ทนตาํ แหน่งคาํ เอกไดใ้ นกรณีมีคาํ ที่ประสมดว้ ยสระอาํ เป็ นไดท้ ้งั คาํ เป็ นและคาํ ตาย ส่วนจะเป็นคาํ ชนิดใดน้นั ใหพ้ ิจารณาจากตาํ แหน่งบงั คบั เอก - โท (ถา้ อยใู่ นตาํ แหน่งบงั คบั คาํ เอกนบั เป็นคาํ ตาย) นอกจากน้ี ตาํ แหน่งคาํ เอกในโคลง หากคาํ ท่ีใชน้ ้นั เป็นคาํ โท อาจเปลี่ยนรูปวรรณยกุ ต์ โทเป็นวรรณยกุ ตเ์ อก โดยใหม้ ีระดบั เสียงเท่าเดิม เรียกคาํ น้นั วา่ เอกโทษ หากคาํ ท่ีอยใู่ นตาํ แหน่งคาํ โทเป็ นคาํ เอก ก็เปล่ียนรูปวรรณยกุ ตเ์ อกเป็ นรูปวรรณยกุ ต์ โท โดยใหม้ ีระดบั เสียงเท่าเดิมและเรียกคาํ น้นั วา่ โทโทษคาํ เอกโทษ คาํ โทโทษ ในปัจจุบนั ไม่ นิยมใชเ้ พราะถือว่าไม่เหมาะสม นอกจากจะหาคาํ ที่ตรงรูปวรรณยุกตไ์ ม่ไดเ้ ท่าน้นั บทร้อย กรองถือเป็ นวฒั นธรรมทางภาษาที่เป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติไทยอยา่ งหน่ึงเพราะแสดงใหเ้ ห็น ถึงสุนทรียะดา้ นการใชภ้ าษาใหค้ ลอ้ งจองเป็นท่วงทาํ นองเดียวกนั โดยผแู้ ต่งบทร้อยกรองตอ้ งเรียนรู้ฉนั ทลกั ษณ์และลกั ษณะนิยมในการประพนั ธ์ จึงจะ สามารถแต่งบทร้อยกรองท่ีมีองคป์ ระกอบครบถว้ นสมบูรณ์ มีภาษาท่ีสละสลวย ผอู้ ่าน ผฟู้ ัง ไดร้ ับประโยชน์และความประทบั ใจจากการอ่านบทร้อยกรอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160