Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทย ม.3

ภาษาไทย ม.3

Published by nongjoy100, 2020-08-24 23:22:35

Description: การอ่าน
การเขียน
การฟัง การดู การพูด
หลักภาษาไทย
วรรณคดีและวรรณกรรม
โดย ครูธิดาทิพย์ พวงศรี

Keywords: ภาษาไทยม

Search

Read the Text Version

๔) พิจารณาความหมายจากนํ้าเสียงและสีหน้าประกอบ พิจารณาความหมายจาก น้าํ เสียงและสีหน้าประกอบ เช่น วนั น้ีแต่งหน้าจดั เชียว จะไปเท่ียวท่ีไหนหรือ(แต่งหน้าจดั หมายถึง แต่งหนา้ เขม้ จนเกินไป)การอ่านวิเคราะห์ความหมายของคาํ ผอู้ ่านจะมีพ้ืนฐานความรู้ ในเร่ืองที่อ่านเป็นอยา่ งดีซ่ึงการอ่านหนงั สือ บทความ นวนิยาย เรื่องส้นั บทร้อยกรอง ผอู้ ่านจะ เขา้ ใจในเน้ือหาสาระไดท้ ้งั หมดจะตอ้ งสามารถวิเคราะห์ความหมายของคาํ เป็ นลาํ ดบั แรก ซ่ึง แนวทางการอ่านเพ่ือวิเคราะห์ความหมายของคาํ สามารถใชห้ ลกั การดงั กล่าวที่นาํ เสนอขา้ งตน้ เพื่อเป็นแนวทางได้ ซ่ึงในบทเรียนน้ีจะขอยกตวั อยา่ ง บทร้อยกรอง “เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรี อยธุ ยา” เพอ่ื ใหเ้ ห็นแนวทางการอ่านวเิ คราะห์ความหมายของคาํ

๔ พจิ ารณาความหมายจากนํา้ เสียงและสีหน้าประกอบ พิจารณาความหมายจากน้าํ เสียงและสีหนา้ ประกอบ เช่น วนั น้ีแต่งหนา้ จดั เชียว จะ ไปเท่ียวที่ไหนหรือ(แต่งหน้าจัด หมายถึง แต่งหน้าเขม้ จนเกินไป)การอ่านวิเคราะห์ ความหมายของคาํ ผอู้ ่านจะมีพ้ืนฐานความรู้ในเร่ืองท่ีอ่านเป็ นอยา่ งดีซ่ึงการอ่านหนงั สือ บทความ นวนิยาย เร่ืองส้นั บทร้อยกรอง ผอู้ ่านจะเขา้ ใจในเน้ือหาสาระไดท้ ้งั หมดจะตอ้ ง สามารถวิเคราะห์ความหมายของคาํ เป็ นลาํ ดบั แรก ซ่ึงแนวทางการอ่านเพ่ือวิเคราะห์ ความหมายของคาํ สามารถใชห้ ลกั การดงั กล่าวท่ีนาํ เสนอขา้ งตน้ เพื่อเป็นแนวทางได้ ซ่ึงใน บทเรียนน้ีจะขอยกตวั อยา่ ง บทร้อยกรอง “เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยธุ ยา” เพ่ือใหเ้ ห็น แนวทางการอ่านวเิ คราะห์ความหมายของคาํ

๓ การอ่านเพอื่ เขยี นกรอบความคดิ การเขียนกรอบความคิด (Mind Map) คือ การเรียบเรียงขอ้ มูล ความคิด องคค์ วามรู้ ต่างๆแล้วถ่ายทอดออกมาเป็ นกรอบความคิดด้วยภาพ สัญลกั ษณ์ เส้นโยงนําความคิด ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเด็นหลกั ประเด็นรองและประเดน็ ยอ่ ยอื่นๆ ดว้ ยการวางประเด็น หลกั ไวก้ ลางหนา้ กระดาษลากเสน้ เชื่อม ๓.๑ แนวทางการเขยี นกรอบความคดิ ๑. ศึกษาเน้ือหาเรื่องที่ตอ้ งการนาํ เสนอ ๒. ศึกษาเอกสารขอ้ มลู ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ๓. ศึกษาวเิ คราะห์เน้ือหา พร้อมท้งั พจิ ารณาแตกประเดน็ ความคิดหรือขอ้ มลู ที่คิดวา่ จะเสนอ ๔. เรียบเรียงและจดั หมวดหม่คู วามคิด รวมถึงตดั ทอนประเดน็ ที่ ไม่จาํ เป็นออก

๓.๑ แนวทางการเขยี นกรอบความคดิ (ต่อ) ๕. นาํ เสนอในรูปกรอบความคิด ดงั น้ี • วางประเดน็ หลกั หรือประเดน็ สาํ คญั ไวต้ รงกลางหนา้ กระดาษ • เขียนประเดน็ รองไวร้ อบประเดน็ หลกั แลว้ ลากเสน้ โยงนาํ ความคิด • เขียนประเดน็ ยอ่ ยของประเดน็ รองแต่ละประเดน็ ไวต้ ามหวั ขอ้ • พิจารณานาํ เสนอประเดน็ ต่างๆ ดว้ ยภาพหรือสญั ลกั ษณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ประเดน็ ที่นาํ เสนอ

๓.๒ การเขยี นกรอบความคดิ เร่ืองฉนั ทพ์ าลีสอนนอ้ ง ๑) ข้อมูลเบือ้ งต้น ฉันทพ์ าลีสอนนอ้ งเป็ นวรรณกรรมคาํ สอนที่อาศยั เคา้ เร่ือง เหตุการณ์จากเร่ืองรามเกียรต์ิตอนท่ีพาลีสัง่ เสียสุครีพและองคต โดยแทรกความเช่ือเก่ียวกบั จริยธรรม หน้าที่ และขอ้ ควรปฏิบตั ิสําหรับขา้ ราชการสําหรับขอ้ สันนิษฐานเก่ียวกับผูแ้ ต่ง และสมยั ท่ีแต่ง วรรณกรรมเรื่องน้ีไม่มีการบนั ทึกไวว้ า่ ใครเป็นผแู้ ต่งและแต่งข้ึนเมื่อใด แต่เมื่อพิจารณาจากจารึกท่ีวดั พระเชตุพนฯ เม่ือคราวบูรณะวดั ในปี พุทธศกั ราช ๒๓๗๔ โดยพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพิจารณารวบรวมวรรณคดี และสรรพ วิชาการต่างๆ เพ่ือจารึกไว้ ณ วดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม อาจต้งั ขอ้ สันนิษฐานไดว้ ่า วรรณกรรม เร่ืองฉนั ทพ์ าลีสอนนอ้ งน่าจะแต่งข้ึนภายใน หรือก่อนหนา้ ปี พ.ศ. ๒๓๗๔ แต่ไม่ปรากฏช่ือผแู้ ต่ง

๓.๒ การเขยี นกรอบความคดิ เรื่องฉนั ทพ์ าลีสอนนอ้ ง (ต่อ) ๒) เนือ้ เรื่องย่อโดยสังเขป กล่าวถึง พาลีเม่ือตอ้ งศรพรหมาสตร์ของพระราม แมศ้ รจะจะทาํ อนั ตรายพาลีไม่ได้ แต่ดว้ ยระลึกไดถ้ ึงการผิดคาํ สัตยจ์ ึงยอมเสียสละชีวิตไวเ้ พื่อคง ความสัตย์ แต่ก่อนตายน้ัน พาลีไดเ้ รียกสุครีพและองคต เขา้ มาส่ังสอนวตั รปฏิบตั ิในการเป็ น ขา้ ราชการใตเ้ บ้ืองพระยคุ ลบาท เช่น “ใหเ้ ฝ้ าแหนพระมหากษตั ริยอ์ ยา่ งสม่าํ เสมอ” “อยา่ ทะนงตน วา่ คุน้ เคยกบั พระมหากษตั ริย”์ “ไม่ทาํ เกินพระราชโองการ พึงเกรงกลวั พระราชอาชญา” “ให้ พิจารณาคดีท่ีทรงมอบหมายให้ ใหถ้ ูกตอ้ งเป็นธรรมตามระบอบ” ตอนทา้ ยเรื่องเป็นการย้าํ ใหท้ ้งั สุครีพและองคต จดจาํ และประพฤติตามคาํ สอนน้ีเพอ่ื ความเป็นสวสั ดิมงคล

๓หน่วยการเรียนรู้ที่ การอ่านวนิ ิจสาร ๑ การอ่านตคี วาม การอ่านเป็ นทกั ษะทางภาษาท่ีมีความหมายสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ในวิถีชีวิต ปัจจุบนั ไม่วา่ สิ่ง ท่ีอ่านน้นั จะเป็ นหนงั สือหรือส่ืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การอ่านไม่เพียงแต่เป็ นการอ่านออกเสียง ตามตวั อกั ษรเท่าน้นั หากแต่ตอ้ งสามารถเขา้ ใจเน้ือหาของสิ่งที่อ่าน รวมท้งั ควรพฒั นาการอ่านให้ สามารถอ่านตีความสารที่อ่านไดอ้ ย่างถูกตอ้ งการอ่านตีความเป็ นการอ่านในใจอย่างละเอียด พยายามทาํ ความเขา้ ใจความหมายจากส่ิงท่ีอ่านเพ่ือจะไดท้ ราบความหมาย จุดประสงคแ์ ละน้าํ เสียง ที่ผเู้ ขียนส่ือมายงั ผอู้ ่านไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและชดั เจน

๑.๑ แนวทางการอ่านตคี วาม แนวทางการอ่านตีความ สามารถจดั แบ่งเป็นข้นั ตอนต่างๆ ดงั น้ี ๑) อ่านอย่างคร่าวๆ เพ่ือสาํ รวจงานเขียนน้นั ๆ วา่ เกี่ยวกบั เร่ืองใด เป็นร้อยแกว้ หรือร้อยกรอง หรือเป็นงานเขียนประเภทใด เช่น สารคดี นวนิยาย เรื่องส้นั บทความหรือกวีนิพนธ์ ๒) อ่านอย่างละเอยี ด เพื่อพิจารณาว่าเน้ือหาใจความสาํ คญั กล่าวถึงเร่ืองใด ขอ้ ความใดเป็ น ขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ ความใดเป็นความคิดเห็นของผเู้ ขียนหรือเป็นขอ้ ความท่ีแสดงอารมณ์ความรู้สึก ๓) วเิ คราะห์ถ้อยคาํ ทอ่ี าจมีความหมายเฉพาะ หรือมีการเปรียบเทียบดว้ ยการใชโ้ วหารหรือ ภาพพจน์หรือเป็ นคาํ มีความหมายหลายนัย เพ่ือให้ผูอ้ ่านนําความหมายของถ้อยคาํ มาพิจารณา ประกอบใหเ้ ขา้ ใจความหมายของสารไดช้ ดั เจน ๔) พิจารณานํ้าเสียงของผู้เขียน ว่าเป็ นน้าํ เสียงเชิงสั่งสอน ประชดประชนั หรือแสดง ความรู้สึกยนิ ดี เสียใจ เป็นตน้ เนื่องจากน้าํ เสียงจะสมั พนั ธ์กบั จุดมุ่งหมายของผเู้ ขียนท่ีส่ือมายงั ผอู้ ่าน ๕) สรุปสารที่ได้จากการอ่านตีความ เม่ือตีความขอ้ ความท้งั หมดแลว้ จะสามารถเขา้ ใจ ความหมายของสารท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการสื่อสารมายงั ผอู้ ่านไดช้ ดั เจน

๑.๒ ประเภทของการอ่านตคี วาม ๑) การอ่านตีความบทร้อยแก้ว สามารถทาํ ไดโ้ ดยพิจารณาความหมายหรือขอ้ ความที่ส่ือ ความหมายโดยนยั อาจทาํ ไดโ้ ดยการอ่านขอ้ ความน้นั หลายคร้ังและพิจารณาถอ้ ยคาํ ที่ใชซ้ ่ึงสมั พนั ธ์ กบั ขอ้ ความในบริบท ๒) การอ่านตีความบทร้อยกรอง มีขอ้ จาํ กดั เน่ืองจากบทร้อยกรองเป็ นคาํ ประพนั ธ์ที่ถูก กาํ หนดดว้ ยรูปแบบคาํ ประพนั ธ์หรือฉนั ทลกั ษณ์ ดงั น้นั ในการอ่านผอู้ ่านตอ้ งสรุปสาระสาํ คญั ซ่ึงได้ จากการตีความหมายโดยนยั และตอ้ งมีความเขา้ ใจเรื่องภาพพจน์ เช่น การเปรียบเทียบแบบอุปมาอุป ลกั ษณ์ ฯลฯ เพอ่ื ช่วยในการตีความของบทร้อยกรองไดช้ ดั เจนมากข้ึน

๒ การอ่านวเิ คราะห์ การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นการอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์และ แสดงความคิดเห็นเป็ นกระบวนการที่เกิดข้ึนภายหลงั จากการอ่านอยา่ งละเอียด การอ่าน วิจารณ์ท่ีดีควรมีแนวทางในการวิจารณ์วา่ ดีหรือไม่ดี ไม่ควรวิจารณ์ดว้ ยอารมณ์ความรู้สึก ส่วนตวั แต่ควรใชเ้ หตุผลและการตรวจสอบไตร่ตรองอยา่ งถ่ีถว้ นการอ่านวจิ ารณ์ไม่ใช่การ อ่านเพ่ือจบั ผิดหรือหาขอ้ บกพร่องของส่ิงท่ีอ่าน แต่เป็ นการพิจารณาใหเ้ ห็นว่าส่ิงท่ีอ่านมี ลกั ษณะอยา่ งไร แลว้ จึงแสดงความคิดเห็น ซ่ึงการแสดงความคิดเห็นสามารถกระทาํ ไดท้ ้งั ในเชิงเห็นดว้ ยและการโตแ้ ยง้

๒.๑ แนวทางการอ่านวเิ คราะห์ วจิ ารณ์และแสดงความเห็น ๑) อ่านสารหรือเร่ืองท่ีวิจารณ์อย่างละเอียด เพ่ือให้รู้เก่ียวกบั เรื่องท่ีอ่านและมี ความรู้วา่ โครงเร่ือง ความคิดของเรื่องเป็นอยา่ งไร รวมท้งั สามารถสรุปเร่ืองท่ีอ่านได้ ๒) วเิ คราะห์สาร ดว้ ยการแยกแยะส่วนประกอบต่างๆ ของเรื่องท่ีอ่านตามประเภท ของงาน เช่น ร้อยแกว้ ร้อยกรอง ในการอ่านวิเคราะห์หากเป็ นงานเขียนประเภทสารคดี ตอ้ งแยกแยะวา่ ส่วนใดเป็นขอ้ เทจ็ จริง ส่วนใดเป็นความคิดเห็น หากเป็นงานเขียนประเภท บนั เทิงคดี เช่น นวนิยายเรื่องส้นั สามารถแบ่งออกเป็น แก่นเรื่อง โครงเรื่อง ตวั ละคร ฉาก เป็ นตน้ ๓) วิจารณ์ เป็ นการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องท่ีอ่านท้งั ในดา้ นดีและดา้ นท่ี บกพร่อง โดยทวั่ ไปการวิจารณ์แบ่งออกเป็ น ๒ ข้นั ตอน คือ การอธิบายลกั ษณะของงาน เขียน ข้นั ต่อมาจึงเป็นการวนิ ิจฉยั และประเมินคุณค่า

๒.๒ ข้นั ตอนในการฝึ กฝนการวเิ คราะห์ วจิ ารณ์และแสดงความคดิ เห็น ๑) เล่าเร่ือง วา่ เร่ืองท่ีอ่านกล่าวถึงเร่ืองใด เน้ือเรื่องเป็นอยา่ งไร ๒) บอกประเภทและจุดมุ่งหมายของเร่ือง วา่ เป็นงานเขียนประเภทใด มีจุดมุ่งหมายในการ เขียนอยา่ งไร ๓) กล่าวถงึ บริบททเี่ กยี่ วข้องกบั เร่ืองราวทอ่ี ่าน เช่น ประวตั ิผแู้ ต่ง ประวตั ิในการแต่งหาก ไม่รู้บริบทหรือภมู ิหลงั ของผแู้ ต่งอาจทาํ ใหก้ ารพจิ ารณาเน้ือเรื่องมีความคลาดเคลื่อนได้ ๔) วเิ คราะห์เนือ้ เร่ืองในด้านต่างๆ คือโครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตวั ละคร บทสนทนาฉากและ มุมมอง เป็นตน้ ๕) ประเมินคุณค่า หรือแสดงขอ้ คิดเห็นของผวู้ จิ ารณ์ โดยอาจเป็นการเห็นดว้ ยหรือโตแ้ ยง้ ถา้ เป็นการโตแ้ ยง้ ตอ้ งมีการแสดงเหตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน โดยไม่มีอคติและเป็นไปตาม หลกั เกณฑข์ องการวจิ ารณ์

๓ การอ่านประเมนิ คุณค่า การอ่านประเมินคุณค่า เป็ นข้นั ตอนการอ่านที่ต่อเน่ืองจากการอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์ เนื่องจากเป็นการอ่านเพื่ออธิบายลกั ษณะของงานเขียนหรือสารท่ีอ่านวา่ ดีหรือไม่ดี อย่างไร มีคุณค่าหรือมีขอ้ บกพร่องอย่างไรดว้ ยเหตุน้ีก่อนที่จะมีการประเมินคุณค่างาน เขียน ผปู้ ระเมินค่าจะตอ้ งวิจารณ์งานเขียนอยา่ งละเอียด เพื่อทาํ ความเขา้ ใจ ตีความหมายท่ี แฝงเร้น วเิ คราะห์เน้ือหาของงานและพิจารณาคุณค่าของงานเขียนท้งั ในดา้ นของสงั คมและ ความงามทางวรรณศิลป์

๓.๑ แนวทางการอ่านประเมนิ คุณค่า ๑) พจิ ารณาเนือ้ หาและองค์ประกอบของเนือ้ หา วา่ เน้ือหาของสิ่งท่ีอ่านมีองคป์ ระกอบ ใดบา้ ง เพอ่ื แยกแยะวา่ แต่ละส่วนมีลกั ษณะอยา่ งไร มีความสมั พนั ธก์ นั หรือไม่อยา่ งไร ๒) พจิ ารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เป็นการพิจารณาถึงการใชภ้ าษาและความงามทาง ภาษาในงานเขียน วา่ งานเขียนน้นั มีการใชภ้ าษาท่ีเหมาะสมกบั เน้ือหา มีความไพเราะงดงาม และมีการใชเ้ สียงและความหมายที่ช่วยใหเ้ กิดจินตนาการในการอ่านไดม้ ากเพียงใด ๓) พจิ ารณาแนวคดิ เป็นการพิจารณาวา่ ผเู้ ขียนนาํ เสนอเร่ืองราวใด มีแง่คิดใดบา้ งที่มี คุณค่า มีการเสนอแนวทางในการนาํ ขอ้ มลู แนวคิดท่ีดีมีคุณคา่ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ อยา่ งไร ผลทางดา้ นความเพลิดเพลินและผลทางดา้ นสติปัญญาการอ่านวนิ ิจสารเป็นการอ่าน ท่ีมีความลึกซ้ึงมากกวา่ การอ่านเพ่ือจบั ใจความสาํ คญั เพราะการอ่านวนิ ิจสารผอู้ ่านจะตอ้ ง สามารถประเมินค่าเร่ืองท่ีอ่านไดว้ า่ มีประโยชนแ์ ละจะนาํ ไปปรับใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ อยา่ งไร

ตอนที่ ๒ การพฒั นาทกั ษะการเขยี น ๑. การคดั ลายมอื

๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี การคดั ลายมอื ๑ ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั การคดั ลายมือ ในอดีตมีการอบรมสั่งสอนและให้ความสําคญั ต่อการเขียนดว้ ยลายมือ ดงั ที่ปรากฏในเสภา เรื่องขนุ ชา้ งขนุ แผน วนั ทองสอนพลายงามวา่ “ลูกผชู้ ายลายมือน้นั คือยศ” แต่ในปัจจุบนั การใหค้ วามสาํ คญั กบั ลายมือลดลง มีการเขียนผิดรูปแบบอกั ษรไทย ตวั อกั ษรไม่มีหวั ไม่มีหาง ไม่มีความแตกต่าง ทาํ ใหอ้ ่าน ยาก ถา้ ลายมืออ่านยากเพราะผเู้ ขียนเขียนไม่ถกู วิธี ผอู้ ่านกอ็ ่านไม่ออกทาํ ใหไ้ ม่เขา้ ใจและไม่ทราบคุณค่าของ ขอ้ เขียนน้ันว่าดีอย่างไร ไม่สามารถส่ือสารทาํ ความเขา้ ใจระหว่างกันได้ ดังน้ัน การคดั ลายมือจึงเป็ น กิจกรรมการเขียนท่ีมีความสาํ คญั มาก เพราะการคดั ลายมือใหถ้ ูกตอ้ งตามแบบอกั ษรไทยเป็ นพ้ืนฐานที่จะ นาํ ไปสู่การเขียนท่ีสวยงาม ทาํ งานเป็ นระเบียบ สามารถปลูกฝังความมีระเบียบวินยั ในตนเองและมีความ ภมู ิใจในความเป็นชาติไทยที่มีตวั อกั ษรใชเ้ ป็นของตนเอง

๑.๑ ความสําคญั ของการคดั ลายมอื ลายมือเป็ นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ ความคิด การบนั ทึกเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรเพ่ือให้ ผูอ้ ่านเขา้ ใจเรื่องราวต่างๆ ท่ีผูเ้ ขียนตอ้ งการถ่ายทอด ลายมือท่ีเขียนไม่ชดั เจนอาจทาํ ให้ผูอ้ ่าน เข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามวตั ถุประสงค์ของผูเ้ ขียน หรือนักเรียนเขียนตอบขอ้ สอบแต่ กรรมการอ่านไม่ออกท้งั ๆ ที่นกั เรียนมีความรู้และความคิดดีกไ็ ม่เกิดประโยชน์ เมื่ออ่านไม่ออก ทาํ ใหส้ ่ือความไม่เขา้ ใจกย็ อ่ มไม่ไดร้ ับคะแนน

๑.๒ แนวทางปฏบิ ัตกิ ารคดั ลายมอื ทกั ษะการคดั ลายมือสามารถฝึกฝนและพฒั นาได้ ถา้ ผคู้ ดั ลายมือไดร้ ับการแกไ้ ขและฝึกฝนอยา่ งถูก วธิ ีเป็นประจาํ สม่าํ เสมอ การคดั ลายมือที่ถูกวธิ ีน้นั มีแนวทางปฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. การนงั่ ผเู้ ขียนตอ้ งนงั่ หนั หนา้ เขา้ หาโตะ๊ วางกระดาษตรงหนา้ ผเู้ ขียน ๒. จบั ปากกาหรือดินสอใหถ้ ูกวธิ ี ในขณะที่เขียนอวยั วะท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเขียน คือแขน มือและนิ้ว มือจะตอ้ งเคล่ือนไหวใหส้ มั พนั ธ์กนั ๓. การเขียนตวั อกั ษรจะเริ่มตน้ ที่หวั ตวั อกั ษร ซ่ึงตอ้ งไม่บอด มีขนาดเดียวกนั ใหส้ ัมผสั เส้นบรรทดั บนและล่าง เสน้ แนวต้งั ควรขนานกนั และหางมีความยาวพองาม ไม่เล่นหาง ๔. รูปแบบของตวั อกั ษรควรเป็นรูปแบบเดียวกนั ในแต่ละคร้ังที่เขียน คือแบบกลมหรือแบบเหล่ียม ๕. ระยะห่างของตวั อกั ษร (ช่องไฟ) เท่ากนั ตอ้ งเวน้ ช่องไฟใหเ้ ท่ากนั อยา่ งสม่าํ เสมอจะทาํ ใหล้ ายมือ สวยงามและเป็ นระเบียบ ๖. การเวน้ วรรคตอ้ งไดข้ นาดแน่นอน เช่น วรรคขนาด ๒ ช่องตวั อกั ษร หรือ ๔ ช่องตวั อกั ษร ปฏิบตั ิเหมือนกนั ทุกตอน

๒ รูปแบบตวั อกั ษร ๑) ตัวอักษรประเภทหัวกลม คืออกั ษรท่ีมีลกั ษณะกลมมน เรียกตามโครงสร้างของ ตวั อกั ษรวา่ หัวกลมมน ไดแ้ ก่ รูปแบบตวั อกั ษรของกระทรวงศึกษาธิการ บางแบบตวั อกั ษร เป็ นเหลี่ยมแต่หัวกลม ไดแ้ ก่ รูปแบบตวั อกั ษรของภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั คดั ลายมือ ๒) ตัวอักษรประเภทหัวเหลี่ยม หวั ของตวั อกั ษรจะมีลกั ษณะเหล่ียม เรียกวา่ อกั ษร แบบหัวบวั หรือตวั อาลกั ษณ์ ส่วนตวั อกั ษรก็จะเป็ นตวั เหลี่ยมเช่นกนั ตวั อาลกั ษณ์เป็ นแบบ อักษรของแผนกอาลักษณ์ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนมากจะใช้ในเอกสารท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั พระมหากษตั ริยเ์ กี่ยวกบั ราชการหรือในเอกสารพิเศษอื่นๆ เช่น ใบประกาศ เกียรติคุณ ใบปริญญา ใบประกาศนียบตั ร เป็นตน้

ตอนท่ี ๒ การพฒั นาทกั ษะการเขยี น ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกบั การเขยี นในโอกาสต่างๆ

๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี การเขยี นเพอ่ื การส่ือสาร ๑ ๑ ความรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกบั การเขยี นในโอกาสต่างๆ ๑) ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกบั การเขยี น การเขียนเป็ นทักษะสําคัญที่ใช้สําหรับบันทึก รวบรวมและถ่ายทอดข้อมูลเพื่อการ ติดต่อส่ือสารระหว่างกนั ของบุคคลในสังคม ดงั น้ันผูเ้ ขียนจึงตอ้ งระมดั ระวงั ในการเลือกใช้คาํ ให้ เหมาะสมและถกู ตอ้ งท้งั น้ีตอ้ งอาศยั ความรู้และประสบการณ์ เพ่ือใหก้ ารเขียนส่ือสารสามารถบรรลุผล ตามท่ีตอ้ งการทกั ษะการเขียนสามารถฝึ กฝนและพฒั นาไดด้ ว้ ยวิธีการอ่าน การฟัง การรู้จกั สะสมคาํ ฝึ กฝนการเขียนถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์และ โอกาส

๑.๑ หลกั การใช้ภาษาในการเขยี น ๑) ระดับภาษา ภาษาท่ีใช้สําหรับการเขียนเป็ นภาษาท่ีแตกต่างไปจากภาษาพูดใน ชีวิตประจาํ วนั โดยข้ึนอยกู่ บั รูปแบบและประเภทของงานเขียน เช่น งานเชิงวิชาการควรใชภ้ าษาท่ี เป็ นแบบแผน หากเป็ นบทความแสดงความคิดเห็นควรใช้ภาษาระดบั ก่ึงทางการ ส่วนงานเขียน บนั เทิงคดี เช่น เร่ืองส้นั นวนิยาย ผเู้ ขียนอาจเลือกใชภ้ าษาท้งั สามระดบั คือ ระดบั ทางการ ก่ึงทางการ และภาษาปากเพื่อสร้างความสมจริงและสีสันภายในเร่ืองนอกจากน้ีแลว้ ผเู้ ขียนควรคาํ นึงถึงระดบั ของคาํ กล่าวคือ การเขียนประโยคหรือขอ้ ความเดียวกนั ในแต่ละคร้ังควรใชภ้ าษาในระดบั เดียวกนั เพือ่ ใหเ้ กิดความสอดคลอ้ ง สละสลวยสื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกนั เช่น พ่อแม่เป็นห่วงบุตร ประโยคน้ีมีการใชภ้ าษาท่ีไม่ไดอ้ ยใู่ นระดบั เดียวกนั “บุตร” เป็นคาํ ทางการ เมื่อนาํ มาใชใ้ น ประโยคน้ีจึงไม่เหมาะสม ควรเปล่ียนเป็น “พ่อแม่เป็ นห่วงลูก” เพ่ือใหเ้ ป็นประโยคที่ใชภ้ าษาระดบั เดียวกนั

๑.๒ แนวทางปฏบิ ัตกิ ารคดั ลายมอื ทกั ษะการคดั ลายมือสามารถฝึกฝนและพฒั นาได้ ถา้ ผคู้ ดั ลายมือไดร้ ับการแกไ้ ขและฝึกฝนอยา่ งถูก วธิ ีเป็นประจาํ สม่าํ เสมอ การคดั ลายมือที่ถูกวธิ ีน้นั มีแนวทางปฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. การนงั่ ผเู้ ขียนตอ้ งนงั่ หนั หนา้ เขา้ หาโตะ๊ วางกระดาษตรงหนา้ ผเู้ ขียน ๒. จบั ปากกาหรือดินสอใหถ้ ูกวธิ ี ในขณะที่เขียนอวยั วะท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเขียน คือแขน มือและนิ้ว มือจะตอ้ งเคล่ือนไหวใหส้ มั พนั ธ์กนั ๓. การเขียนตวั อกั ษรจะเริ่มตน้ ที่หวั ตวั อกั ษร ซ่ึงตอ้ งไม่บอด มีขนาดเดียวกนั ใหส้ ัมผสั เส้นบรรทดั บนและล่าง เสน้ แนวต้งั ควรขนานกนั และหางมีความยาวพองาม ไม่เล่นหาง ๔. รูปแบบของตวั อกั ษรควรเป็นรูปแบบเดียวกนั ในแต่ละคร้ังที่เขียน คือแบบกลมหรือแบบเหล่ียม ๕. ระยะห่างของตวั อกั ษร (ช่องไฟ) เท่ากนั ตอ้ งเวน้ ช่องไฟใหเ้ ท่ากนั อยา่ งสม่าํ เสมอจะทาํ ใหล้ ายมือ สวยงามและเป็ นระเบียบ ๖. การเวน้ วรรคตอ้ งไดข้ นาดแน่นอน เช่น วรรคขนาด ๒ ช่องตวั อกั ษร หรือ ๔ ช่องตวั อกั ษร ปฏิบตั ิเหมือนกนั ทุกตอน

๒) การใช้คาํ การใชค้ าํ งานเขียนท่ีดีผูเ้ ขียนจะตอ้ งรู้จกั ใชค้ าํ ไดอ้ ย่างสละสลวย เหมาะสม ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ คาํ ท่ีมีความหมายคลา้ ยกนั ผเู้ ขียนตอ้ งรู้จกั เลือกใชใ้ หเ้ หมาะสม ไพเราะ ซ่ึงหลกั เกณฑก์ ารใชค้ าํ ควรคาํ นึงในเร่ืองต่อไปน้ี ๒.๑) การเขยี นสะกดคาํ และการใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน การเขียนสะกดคาํ มีความสาํ คญั ต่อการเขียน เพราะหากเขียนสะกดผิดยอ่ มส่ือสารไม่ตรงกนั รวมถึงการเวน้ วรรคตอนให้ถูกตอ้ ง ตามมาตรฐานในการเขียน ๒.๒) การใช้คําและสํานวนให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นส่วนสาํ คญั ของการเขียนเพ่ือส่ือสาร เพราะถอ้ ยคาํ และสาํ นวนเป็ นสิ่งท่ีสื่อความหมาย งานเขียนท่ีมีประสิทธิภาพตอ้ งใชค้ าํ ถูกตอ้ งตรง ตามหนา้ ที่และความหมายเรียงลาํ ดบั คาํ หรือพยางคไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง ไม่ใชค้ าํ ในภาษาต่างประเทศโดยไม่ จาํ เป็น รวมถึงไม่ใชค้ าํ ฟ่ ุมเฟื อย

๓) การใช้ประโยค การใช้ประโยค การเขียนส่ือสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากผเู้ ขียนจะใชถ้ อ้ ยคาํ ถกู ตอ้ ง เหมาะสมแลว้ การผูกและเรียบเรียงประโยคให้ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ก็นับเป็ นเร่ือง สําคัญ ซ่ึงการผูกประโยคสําหรับการเขียนสื่อสาร ควรผูกประโยคให้มีความกระชับ กะทดั รัด ในประโยคเดียวกนั ไม่ควรใชก้ ริยาหลายตวั หลีกเลี่ยงการใชส้ าํ นวนต่างประเทศ ๔) รูปแบบและเนือ้ หาของงานเขยี น รูปแบบและเนือ้ หาของงานเขียน ผเู้ ขียนจะตอ้ งใชภ้ าษาในการเขียนสื่อสารโดยคาํ นึงถึง รูปแบบและเน้ือหาของงานเขียน เช่น การเขียนจดหมายราชการควรใชร้ ูปแบบตามที่กาํ หนดและ ใชภ้ าษาทางการ การแบ่งวรรคตอนที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม ถอ้ ยคาํ กระชบั สื่อความชดั เจน เป็นตน้

มารยาทในการเขยี น ๑. ควรเลือกใชส้ ีของกระดาษและสีของหมึกใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล ๒. ควรเขียนดว้ ยลายมือตวั บรรจง อ่านง่าย มีความเป็นระเบียบ เวน้ ช่องไฟและวรรค อยา่ งเหมาะสม ๓. ควรเขียนใหเ้ ป็นระเบียบ คือเวน้ ส่วนหนา้ และส่วนหลงั ของกระดาษใหเ้ สมอ เป็นแนวเดียวกนั เวน้ บรรทดั ใหเ้ ท่ากนั ยอ่ หนา้ อยใู่ นระดบั เดียวกนั ๔. การเขียนท่ีมีรูปแบบท่ีเคร่งครัด ผเู้ ขียนตอ้ งยดึ รูปแบบตามที่กาํ หนด ๕. ควรเขียนโดยใชภ้ าษาท่ีสุภาพ ถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาไทย ใชภ้ าษาเขียนไม่ใชภ้ าษา พดู ใชร้ ะดบั ภาษาใหเ้ หมาะสมกบั สถานะของบุคคล

มารยาทในการเขยี น (ต่อ) ๖. เมื่อเขียนผดิ ควรใชย้ างลบหรือน้าํ ยาลบคาํ ผดิ ลบใหส้ ะอาด ๗. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกบั เร่ืองที่จะเขียน หากจาํ เป็นตอ้ งเขียนควร ศึกษาคน้ ควา้ ใหล้ ะเอียดจากแหล่งขอ้ มูลต่างๆ ๘. ไม่ควรเขียนเรื่องท่ีกระทบต่อความมนั่ คงของประเทศชาติ รวมท้งั ไม่เขียนเพือ่ มุ่งทาํ ลายผอู้ ื่น ทาํ ใหไ้ ดร้ ับความเสียหาย หรือเพือ่ สร้างประโยชนใ์ หแ้ ก่ตนเอง ๙. ไม่ควรใชอ้ ารมณ์ส่วนตวั ในการเขียน รวมท้งั ไม่เขียนเพอื่ มุ่งทาํ ลายผอู้ ื่น ๑๐. ไม่ควรคดั ลอกบทความหรือเน้ือหาตอนใดตอนหน่ึงของผอู้ ื่นมาใส่ในงานเขียนของ ตนเอง หากจาํ เป็ นจะตอ้ งอา้ งอิงแหล่งท่ีมาของขอ้ มูลเดิมเสมอ เพ่ือให้เกียรติผูเ้ ขียน มารยาทในการเขียนเป็ นส่ิงท่ีผเู้ ขียนทุกคนควรยดึ ถือและนาํ ไปปฏิบตั ิในชีวิตประจาํ วนั เพอ่ื ใหส้ ามารถเขียนสื่อสารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและไดร้ ับการยอมรับจากบุคคลอ่ืน

๑) แนวทางการเขยี นอวยพร ๑.๑) เลอื กใช้ถ้อยคาํ ให้เหมาะสมกบั บุคคล โดยคาํ นึงวา่ ผรู้ ับอยใู่ นสถานภาพหรือมีความ เก่ียวขอ้ งกบั ผเู้ ขียนอยา่ งไร ผรู้ ับอาจเป็นบิดา มารดา ญาติผใู้ หญ่ เพ่ือนร่วมงานหรือเพื่อนท่ีสนิท คุน้ เคย การเขียนอวยพรใหผ้ ทู้ ่ีอยใู่ นสถานภาพต่างๆ ยอ่ มใชค้ าํ ข้ึนตน้ และลงทา้ ยท่ีแตกต่างกนั ๑.๒) เลือกใช้ถ้อยคําให้ถูกต้องกับโอกาส การเขียนอวยพรที่มีประสิทธิภาพจะตอ้ ง คาํ นึงถึงโอกาสว่าจะเขียนในโอกาสใด เช่น อวยพรวนั ข้ึนปี ใหม่ งานมงคลสมรส งานรับ ตาํ แหน่งใหม่งานวนั เกิด แต่ละโอกาสจะมีลกั ษณะการใชถ้ อ้ ยคาํ ที่แตกต่างกนั เช่น งานวนั เกิด ควรอวยพรใหม้ ีอายยุ นื ยาว มีความสุขและปราศจากโรคภยั เป็นตน้ ๑.๓) เลอื กใช้ถ้อยคาํ ให้ผู้รับเกดิ ความประทับใจ การเขียนอวยพรผเู้ ขียนควรสร้างความ ประทับใจหรือความสุขให้แก่ผูร้ ับด้วยการเลือกใช้ถ้อยคาํ ที่สุภาพ นุ่มนวล น่าฟัง ไพเราะ เหมาะสมดว้ ยเสียงและความหมาย เช่น เลือกใชค้ าํ ที่ทาํ ใหเ้ กิดเสียงคลอ้ งจอง มีความหมายลึกซ้ึง ไปในทางท่ีดีงาม เป็นตน้

๒) ประเภทของคาํ อวยพร ๒.๑) คาํ อวยพรในโอกาสทว่ั ๆ ไป เช่น ผใู้ หญ่ใหพ้ รแก่เดก็ ที่มาช่วยเหลือ ดูแล เยย่ี มเยยี นหรือผใู้ หญ่ใหพ้ รดว้ ยความเอน็ ดู รักใคร่หรือหวงั ดี เป็นตน้ • ขอใหเ้ จริญสุข • ขอใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสุข • ขอใหอ้ ยดู่ ีกินดี • ขอใหอ้ ายมุ นั่ ขวญั ยนื ๒.๒) คาํ อวยพรเฉพาะโอกาส เช่น วนั เกิด วนั ข้ึนปี ใหม่ วนั ข้ึนบา้ นใหม่ วนั แต่งงาน วนั สาํ เร็จการศึกษา วนั รับตาํ แหน่งใหม่ เช่น • ขอใหอ้ ยดู่ ีกินดี • ขอใหม้ งั่ มีศรีสุข • ขอใหม้ ีสุขภาพแขง็ แรงสมบรู ณ์ • ขอใหม้ ีความสุขตลอดปี ๒๕๕๕

๒.๒ การเขยี นคาํ ขวญั คาํ ขวญั คือถอ้ ยคาํ ท่ีเขียนข้ึนเพื่อจูงใจผรู้ ับสาร เพอ่ื ทาํ ใหเ้ กิดความประทบั ใจ ใหข้ อ้ คิดหรือเป็น เครื่องเตือนใจใหป้ ฏิบตั ิตามในเร่ืองต่างๆ ๑) แนวทางการเขียนคาํ ขวัญ คาํ ขวญั ที่ดีตอ้ งเป็นขอ้ ความท่ีมีขนาดไม่ยาวมาก มีความไพเราะและมี พลงั ในการโนม้ นา้ วใจผฟู้ ัง ครอบคลุมเป้ าหมายท่ีกาํ หนดไวอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั น้ี ๑. กาํ หนดจุดมุ่งหมายให้ชดั เจนวา่ จะสื่อสารในเรื่องใด ตอ้ งการให้ผรู้ ับฟังคลอ้ ยตามเห็น ดว้ ยหรือปฏิบตั ิตามในเรื่องใด ๒. กาํ หนดกลุ่มเป้ าหมายหรือผรู้ ับสารใหช้ ดั เจน เพราะการกาํ หนดกลุ่มเป้ าหมายจะส่งผลถึง ลกั ษณะภาษาที่ใชใ้ นการเขียน ๓. เรียบเรียงขอ้ ความที่จะเขียนในลกั ษณะร้อยแกว้ เพ่ือให้มีเน้ือหาครอบคลุมเป้ าหมายที่ กาํ หนดไวก้ ่อน ๔. เรียบเรียงขอ้ ความร้อยแกว้ ท่ีร่างไว้ ใหเ้ ป็นขอ้ ความท่ีมีสัมผสั และใชถ้ อ้ ยคาํ ท่ีมีพลงั โนม้ น้าวใจ โดยเขียนหลายๆ ขอ้ ความเพ่ือพิจารณาตดั ขอ้ ความท่ีไม่เหมาะสมออก จนเหลือขอ้ ความท่ี เหมาะสมที่สุด ๕. ตรวจทาน นาํ คาํ ขวญั ที่ไดม้ าพิจารณาตรวจทานการใชค้ าํ ตอ้ งมีความถูกตอ้ งท้งั ดา้ น ความหมายระดบั ภาษาและการเขียนสะกด

๒) ลกั ษณะของคาํ ขวญั ทดี่ ี คาํ ขวญั ท่ีดี คือคาํ ขวญั ที่กระทบใจผรู้ ับสาร ทาํ ใหผ้ รู้ ับสารสนใจและจดจาํ คาํ ขวญั ไดท้ นั ทีที่ไดฟ้ ังซ่ึงคาํ ขวญั ที่ดีควรมีลกั ษณะ ดงั น้ี ๒.๑) เป็ นถ้อยคาํ ทส่ี ้ัน กะทดั รัด มคี วามหมายลกึ ซึง้ โดยใชค้ าํ ต้งั แต่ ๒ คาํ ข้ึนไป แต่ไม่เกิน ๑๖ คาํ แบ่งเป็นวรรคไดต้ ้งั แต่ ๑ - ๔ วรรค เช่น • หนังสือคือมิตร ส่ือความคิดให้ก้าวไกล • ยาเสพติด เป็นภยั ต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม ๒.๒) เขยี นให้ตรงจุดมุ่งหมาย คือแสดงความคิดในเรื่องใดเรื่องหน่ึงอยา่ งเด่นชดั หรือมีใจความสาํ คญั เพยี งประการเดียว เพอื่ ใหจ้ าํ ง่าย เช่น • แสดงพลงั ประชาธิปไตย ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตงั้ • ครูคือพลงั สร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบชู าพระคุณครู

๒.๓) จดั แบ่งจงั หวะคาํ สมาํ่ เสมอ เช่น • สามคั คี มีวินัย ใฝ่ คุณธรรม • ขยนั ประหยดั ซ่ือสัตย์ มีวินัย ๒.๔) เล่นคาํ ท้งั ด้านเสียง สัมผสั และการซํ้าคาํ ช่วยให้จดจาํ ง่าย เช่น • เดก็ ดีเป็นศรีแก่ชาติ เดก็ ฉลาดชาติเจริญ • สะอาดกายเจริญวยั สะอาดใจเจริญสุข ๒.๕) เป็ นคาํ ตกั เตอื นให้ปฏบิ ัตใิ นทางทด่ี ี เช่น • เมืองไทยจะรุ่งเรือง พลเมืองต้องมีวินัย • จงขยนั หมน่ั อ่านเขียน จงพากเพียรเถิดพวกเรา

๒.๓ การเขยี นคาํ คม คาํ คม ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ถอ้ ยคาํ ท่ีชวน ใหค้ ิดแหลมคมและมีความจริง คาํ คมท่ีดีตอ้ งแสดงถึงการใชค้ วามคิดหรือแสดงใหเ้ กิดความรู้สึก อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงอยา่ งชดั เจนเพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านมีความเขา้ ใจลึกซ้ึง ๑) แนวทางการเขยี นคาํ คม ๑. เลือกใชถ้ อ้ ยคาํ สมั ผสั คลอ้ งจองไพเราะสละสลวย ๒. ใชถ้ อ้ ยคาํ ที่มีความหมายคมคาย ๓. มุ่งใหเ้ กิดความคิดที่ดีและชวนใหป้ ฏิบตั ิตาม ๔. มีความหมายลึกซ้ึงกินใจ สะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของผอู้ ่านหรือผฟู้ ัง

๒) ประเภทของคาํ คม ๒.๑) คาํ คมทเี่ ป็ นคาํ พูดธรรมดา ไม่มีสมั ผสั ใชค้ าํ ง่ายๆ ไม่ตอ้ งแปลความหมาย อา่ นแลว้ เขา้ ใจไดท้ นั ที เช่น • จงเชื่อมนั่ วา่ “เรายงั ทาํ ดีกวา่ น้ีไดอ้ ีก” • การศึกษา คือ การต่ืนข้ึนมามองเห็นตวั เอง • เดก็ เกิดมาเพอื่ ใหโ้ ลกงดงามเหมือนดอกไมบ้ านในแผน่ ดิน ๒.๒) คาํ คมทมี่ สี ัมผสั คล้องจอง ส่วนมากจะมี ๒ วรรคเพ่อื ใหจ้ ดจาํ ไดง้ ่าย เช่น • ใหเ้ กียรติคนท่ีอยตู่ รงหนา้ มีค่าเท่ากบั ใหเ้ กียรติตนเอง • อยอู่ ยา่ งคนธรรมดา แต่จงใชป้ ัญญาอยา่ งนกั ปราชญ์ • จงเติบโตจากความผดิ พลาด จงเฉลียวฉลาดจากความผดิ หวงั ๒.๓) คาํ คมทแี่ ต่งด้วยคาํ ประพนั ธ์ เช่น • ใครลืมลืมใครใจรู้ ใครอยใู่ ครไปใจเห็น ใครสุขใครเศร้าเชา้ เยน็ ใจเป็นที่แจง้ แห่งเรา ใครชอบใครชงั ช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเยน็ เป็นพอ • มีสลึงพงึ บรรจบใหค้ รบบาท อยา่ ใหข้ าดสิ่งของตอ้ งประสงค์ มีนอ้ ยใชน้ อ้ ยค่อยบรรจง อยา่ จ่ายลงใหม้ ากจะยากนาน

๒.๔ การเขยี นโฆษณา โฆษณา ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง การเผยแพร่ หนงั สือสู่สาธารณชน การป่ าวร้อง การป่ าวประกาศ โฆษณาเป็นการส่ือสารเพื่อโนม้ นา้ วใจประเภท หน่ึงมีลกั ษณะจูงใจเพ่ือประโยชน์ในการขายสินคา้ และบริการต่างๆ มีจุดมุ่งหมายสร้างความสนใจ ใหผ้ รู้ ับสารสะดุดตา สะดุดใจ และจดจาํ สินคา้ หรือบริการท่ีโฆษณาน้นั ผสู้ ร้างโฆษณาอาจใชว้ ิธีการ ต่างๆในการส่งสาร ใช้คาํ คล้องจองเพอื่ กระตุ้นความประทบั ใจ • สุขกาย สบายใจ เม่ือใชอ้ พอลโล • ประทบั คุณค่า ประทบั ตราแสงตะวนั ใช้การบอกตรงๆ เช่น • พเี อก็ ซ์ ดีท่ีสุด

๑) แนวทางการเขยี นข้อความโฆษณา ๑. ตอ้ งเขียนใหม้ ีความชดั เจนเขา้ ใจง่าย ไม่คลุมเครือ สามารถสร้างการรับรู้ไดท้ นั ที ๒. ตอ้ งเขียนใหม้ ีความเหมาะสม ตรงกบั กลุ่มเป้ าหมายของสินคา้ หรือบริการ เช่น เดก็ วยั รุ่น วยั ทาํ งาน ฯลฯ ๓. ตอ้ งเขียนใหม้ ีความกะทดั รัดไดใ้ จความไม่เยน่ิ เยอ่ ๔. ตอ้ งเขียนใหผ้ อู้ ่านหรือผฟู้ ังบทโฆษณารู้สึกวา่ ผเู้ ขียนกาํ ลงั ส่ือสารกบั เขา ๕. ตอ้ งเขียนใหผ้ อู้ ่านเกิดความตอ้ งการที่จะซ้ือสินคา้ หรือใชบ้ ริการ

๒) ส่วนประกอบของโฆษณา ๒.๑) เนือ้ หา เน้ือหาของโฆษณาจะนาํ เสนอใหเ้ ห็นความดีพเิ ศษของสินคา้ และบริการ หรือกิจกรรมที่โฆษณา เช่น นาํ เสนอความดีพิเศษของสินคา้ • ยาหม่องทาดี ท้งั ทาท้งั ถใู นตลบั เดียวกนั • ผงซกั ฟอกคลีน กาํ จดั คราบเพยี งแค่ป้ ายคร้ังเดียว นาํ เสนอความดีพเิ ศษของการบริการ • โอลิมปิ ก...ทางสบายสู่ชยั ชนะ • ธนาคารไทยธาํ รง มนั่ คงดว้ ยรากฐาน บริการดุจญาติมิตร

๒.๒) รูปแบบการนําเสนอ โฆษณามีรูปแบบการนาํ เสนอ ดงั น้ี ๑. แบบเจาะจงกลุ่ม เช่น • บนขอ้ มือบุคคลช้นั นาํ ท่านจะพบแต่โซนาร์เท่าน้นั ๒. เป็นการนาํ เสนอสินคา้ หรือประโยชนข์ องสินคา้ วา่ มีขอ้ ดีอยา่ งไร • ปัญหาแบบน้ีจะไม่เกิด ถา้ ใชป้ ูนตรานกพิราบแต่แรก ๓. ใชถ้ อ้ ยคาํ ท่ีส้นั กระชบั รัดกมุ เพื่อสะดวกในการจาํ • รายไดไ้ ร้ขีดจาํ กดั ๔. ใชร้ ูปภาพหรือภาพที่เคล่ือนไหว

๒.๓) ภาษา โฆษณามีลกั ษณะการใชภ้ าษาที่สาํ คญั คือการสรรคาํ มาใชไ้ ดก้ ระชบั ใชค้ าํ นอ้ ยกินความมาก สื่อความหมายกวา้ งขวางลึกซ้ึง จะใชท้ ้งั วจั นภาษาและอวจั นภาษา ในการสื่อสาร ภาษาเพ่ือการโฆษณามกั ใชถ้ อ้ ยคาํ แปลกใหม่เพ่ือดึงดูดความสนใจ ใชภ้ าษา ท่ีมีสมั ผสั เพอ่ื ใหจ้ าํ ง่ายใชข้ อ้ ความวลีประโยคส้นั ๆ จุดมุ่งหมายเพ่ือใหผ้ รู้ ับสารรับรู้ไดอ้ ยา่ ง รวดเร็ว ๒.๔) การโน้มน้าวใจ การโนม้ นา้ วใจในโฆษณามีหลายวิธี เช่น การอา้ งอิงบุคคลท่ี สามารถอา้ งอิงไดท้ ้งั บุคคลธรรมดาท่ีใชส้ ินคา้ หรือบริการ แต่ถา้ เป็ นดาราหรือบุคคลที่มี ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและรู้จกั กนั ดีในสงั คมจะไดร้ ับความสนใจและความเช่ือถือเป็นพิเศษ การอา้ งถึงสถาบนั หรือหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งรับรอง เช่น อย. (คณะกรรมการอาหารและยา) หรือเคร่ืองหมายรับรองของ มอก.(สาํ นกั งานมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม)

ตอนที่ ๓ การพฒั นาทกั ษะการเขยี น การพดู ในโอกาสต่างๆ

๑หน่วยการเรียนรู้ที่ การพดู ในโอกาสต่างๆ ๑ การพูดโต้วาที “ถงึ บางพูดพูดดเี ป็ นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจติ แม้นพูดช่ัวตัวตายทาํ ลายมติ ร จะชอบผดิ ในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ” บทประพนั ธ์น้ี สุนทรภ่เู ขียนไว้ในนิราศภเู ขาทอง

๑.การพดู โต้วาที บทประพนั ธ์นี้ สุนทรภู่เขียนไวใ้ นนิราศภูเขาทองเพื่อบอกถึงความสําคญั ของการพูด ซ่ึงเป็ นทกั ษะทางภาษาท่ีใชใ้ น ชีวิตประจาํ วนั หลายคนประสบความสาํ เร็จในชีวิตดว้ ยการพดู และผทู้ ่ีจะตดั สินการพดู ไดด้ ีที่สุดคือผฟู้ ัง การพูดเป็ น การใชภ้ าษาเพ่ือการส่ือสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกความตอ้ งการของผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร ดงั น้นั ผพู้ ูด จึงตอ้ งมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด โดยเลือกใชภ้ าษา น้าํ เสียง กิริยาท่าทางใหเ้ หมาะสม เตรียมเน้ือ เร่ืองใหถ้ ูกตอ้ งชดั เจน เป็นไปในทางสร้างสรรคร์ วมถึงมีกิริยาวาจาท่ีสุภาพ ถูกตอ้ งตามแบบแผนของสังคม ทาํ ใหผ้ ฟู้ ัง เกิดความเช่ือถือการอยรู่ ่วมกนั ของคนในสังคม มกั จะมีขอ้ ขดั แยง้ เกิดข้ึนซ่ึงมีท้งั ผทู้ ่ีเห็นดว้ ยและไม่เห็นดว้ ยในสังคม มกั จะโตแ้ ยง้ กนั ดว้ ยคาํ พูดที่ประกอบดว้ ยเหตุผลเพ่ือให้อีกฝ่ ายเห็นดว้ ยกบั เหตุผลของตนการโตแ้ ยง้ ดว้ ยคาํ พูดเป็ น ลกั ษณะหน่ึงของการพูดชกั จูง ซ่ึงใชใ้ นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั ในชีวิตประจาํ วนั แต่ถา้ เป็ นการโตแ้ ยง้ อย่าง เป็ นพิธีการ มีกฎเกณฑ์ มีผตู้ ดั สินให้แพห้ รือชนะ เรียกลกั ษณะการโตแ้ ยง้ น้นั วา่ การโตว้ าทีการโตว้ าที คือการพูดท่ีมี ฝ่ ายเสนอความคิดเห็นฝ่ ายหน่ึงกบั อีกฝ่ ายหน่ึงกล่าวคา้ นความคิดเห็นท้งั สองฝ่ ายจะใชว้ าทศิลป์ กล่าวคา้ นความคิดเห็น ของกนั และกนั อยา่ งมีระเบียบ โดยใชเ้ หตุผล ขอ้ เทจ็ จริงและหลกั วชิ า เพื่อใหเ้ ห็นวา่ ความคิดเห็นของฝ่ ายตนน้นั ถูกตอ้ ง ท้งั สองฝ่ ายต่างกล่าวคา้ นเหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึงเพ่ือให้คาํ พูดของตนเป็ นที่น่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจให้ผูฟ้ ังเกิด ความคิดคลอ้ ยตาม

๑.๑ องค์ประกอบของการโต้วาที ๑) ญตั ติ คือการเสนอความเห็นท่ีขดั แยง้ กนั ในเร่ืองเดียวกนั ญตั ติในการโตว้ าทีมี ความสาํ คญั มาก หวั ขอ้ หรือเรื่องท่ีนาํ มาต้งั เพ่ือใชใ้ นการโตว้ าทีจะตอ้ งมีลกั ษณะท่ีขดั แยง้ กนั ใน ตวั ยวั่ ยใุ หค้ ิดไปไดห้ ลายแง่มุม ญตั ติที่ดีตอ้ งทาํ ใหผ้ คู้ า้ นสามารถคา้ นไดห้ รือนาํ มาโตแ้ ยง้ ได้ นาํ เหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึงมาหกั ลา้ งเหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึง เพือ่ เป็นการโนม้ นา้ วจิตใจผฟู้ ังใหม้ ี ความเห็นคลอ้ ยตาม

ผู้พดู ญัตตทิ ดี่ คี วรมลี กั ษณะดงั นี้ ๑. เป็นขอ้ ความส้นั กะทดั รัด เขา้ ใจง่าย มีความหมายชดั เจนสมบรู ณ์ในตวั มีสมั ผสั คลอ้ งจอง เช่น “การเมือง ไม่ใช่เร่ืองของผ้หู ญิง” “มีปัญญาดีกว่ามีทรัพย์” “ประกอบอาชีพส่วนตวั ดีกว่ามวั รับราชการ” ๒. เป็นเรื่องท่ีอยใู่ นความสนใจของคนทวั่ ไป ไม่ควรเป็นเร่ืองที่ลา้ สมยั ๓. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญาใหผ้ ฟู้ ัง ๔. เป็นเร่ืองท่ีคา้ นได้ เช่น “อย่บู ้านนอกสดใสสบายใจกว่าเมืองหลวง” จะทาํ ใหฝ้ ่ ายตรงขา้ มคา้ นได้ เร่ืองท่ีคา้ น ไม่ไดไ้ ม่ควรนาํ มาเป็นญตั ติ เช่น “ผ้หู ญิงผ้ชู ายกต็ ายเหมือนกนั ” เป็นเรื่องที่คา้ นไม่ได้ ๕. เป็นเรื่องท่ีไม่สร้างความแตกแยกหรือมีเน้ือหาเกี่ยวกบั ศาสนาหรือการปกครอง เช่น “ไทยเหนือดีกว่าไทยใต้” ลกั ษณะเช่นน้ีไม่ควรนาํ มาเป็นญตั ติ ๖. ไม่เป็นคาํ หยาบคายหรือเป็นคาํ ไม่สุภาพ คาํ ผวน ไม่ควรนาํ มาใชเ้ ป็นญตั ติ ๗. ไม่เป็นปัญหาที่หาขอ้ ยตุ ิไม่ได้ เช่น “ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่” หรือ “ทาํ ไมโลกจึงกลม” ๘. ไม่เป็นเรื่องท่ีไดพ้ ิสูจนแ์ ลว้ วา่ เป็นจริง ไม่มีทางที่จะคา้ นไดอ้ ีกแลว้ เช่น “แสงเร็วกว่าเสียง” ๙. เป็นญตั ติที่ท้งั สองฝ่ ายไม่ไดเ้ ปรียบหรือเสียเปรียบกนั มากเกินไป

๒) คณะผโู้ ตว้ าที ประกอบดว้ ย ๑. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที จาํ นวน ๑ คน ๒. ผพู้ ดู ฝ่ ายเสนอ ๑ ฝ่ าย จาํ นวน ๓ - ๕ คน (แต่ไม่ควรเกิน ๕ คน) ๓. ผพู้ ดู ฝ่ ายคา้ น ๑ ฝ่ าย จาํ นวน ๓ - ๕ คน เท่ากบั ฝ่ ายเสนอ ๔. กรรมการจบั เวลา จาํ นวน ๒ คน ๕. กรรมการใหค้ ะแนน จาํ นวน ๓ คน ๓) การเรียกช่ือผโู้ ตว้ าทีและการเชิญผโู้ ตว้ าที การเรียกชื่อผโู้ ตว้ าที ควรเรียกตาํ แหน่งของผู้ โตว้ าที เช่น หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนท่ี ๑ เป็นตน้ ไม่ควรเรียกชื่อจริง

ยกเวน้ ผดู้ าํ เนินรายการแนะนาํ ผโู้ ตว้ าทีคร้ังแรกเรียกช่ือและนามสกลุ จริงได้ หากสมมติวา่ การ โตว้ าทีคร้ังน้ี มีผโู้ ตว้ าทีฝ่ ายละ ๓ คน จะเรียกช่ือได้ ดงั น้ี ๑. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที ๒. หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ ๓. หวั หนา้ ฝ่ ายคา้ น ๔. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่ ๑ ๕. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายคา้ นคนที่ ๑ ๖. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่ ๒ ๗. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายคา้ นคนท่ี ๒

๔) การกาํ หนดเวลา ในการโตว้ าทีคร้ังหน่ึง อาจจดั เป็น ๓ รอบ หรือ ๒ รอบกไ็ ดแ้ ลว้ แต่เวลาจะ อาํ นวยให้ ถา้ มีเวลา ๖๐ นาที จดั โตว้ าทีเพยี งรอบเดียว หากมีผโู้ ตว้ าทีฝ่ ายละ ๓ คนกจ็ ะ กาํ หนดเวลาได้ ดงั น้ี ๑. หวั หนา้ ของแต่ละฝ่ าย คนละ ๗ นาที รวม ๑๔ นาที ๒. ผสู้ นบั สนุนท้งั ๒ ฝ่ าย คนละ ๕ นาที รวม ๒๐ นาที ๓. หวั หนา้ แต่ละฝ่ ายสรุป คนละ ๕ นาที รวม ๑๐ นาที ๔. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที เชิญผโู้ ตพ้ ดู พดู สรุปหลงั ผโู้ ตพ้ ดู แลว้ ประกาศผลการตดั สินกล่าวขอบคุณ รวม ๑๖ นาที ถา้ จดั เป็น ๒ รอบ จดั เหมือนรอบแรก แต่เมื่อพดู จบทุกคนแลว้ ยงั ไม่ตอ้ งเชิญหวั หนา้ สรุป ใหเ้ ริ่มรอบใหม่ เมื่อจบรอบสองแลว้ จึงใหห้ วั หนา้ แต่ละคนสรุป ๔. เม่ือผโู้ ตว้ าทีแต่ละคนพดู จบแต่ละคร้ัง ผดู้ าํ เนินการตอ้ งกล่าวสรุปส้นั ๆ และพดู ยว่ั ยฝุ ่ ายตรงกนั ขา้ ม แลว้ จึงเชิญฝ่ ายตรงขา้ มพดู กระทาํ อยา่ งน้ีเรื่อยไปจนจบรอบ ถา้ มีรอบสองกป็ ฏิบตั ิเหมือนรอบแรก ๕. เม่ือทุกคนพดู จบ หวั หนา้ แต่ละฝ่ ายพดู สรุป แลว้ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งนาํ ผลการตดั สินมาประกาศใหผ้ ฟู้ ัง ไดท้ ราบ ๖. ก่อนปิ ดรายการ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งกล่าวขอบคุณผฟู้ ัง ผโู้ ตว้ าที และกรรมการทุกฝ่ าย

๒) ผู้โต้วาที ๒.๑) หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ มีหนา้ ที่ในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. ช้ีใหผ้ ฟู้ ังเห็นขอ้ เทจ็ จริงของเน้ือหาตามที่ปรากฏในญตั ติ โดยมีการใหเ้ หตุผล ประกอบ ๒. เสนอประเดน็ สาํ คญั ท่ีช่วยใหญ้ ตั ติที่เสนอมีความชดั เจนยงิ่ ข้ึน ๓. สรุปประเดน็ ของฝ่ ายตนและหกั ลา้ งแนวคิดของฝ่ ายตรงขา้ มในตอนทา้ ย ๒.๒) หวั หนา้ ฝ่ ายคา้ น มีหนา้ ท่ีในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. กล่าวคดั คา้ นประเดน็ สาํ คญั ที่หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอพดู โดยยกเหตุผลมาประกอบ ๒. สงั เกตขอ้ บกพร่องต่างๆ ของฝ่ ายเสนอ เพ่อื หาเหตุผลหรือถอ้ ยคาํ มาหกั ลา้ งเหตุผล ของฝ่ ายเสนอ ๓. สรุปประเดน็ ของฝ่ ายตนและหกั ลา้ งแนวคิดของฝ่ ายตรงขา้ มในตอนทา้ ย

๒.๓) ผสู้ นบั สนุน มีจาํ นวนฝ่ ายละเท่าๆ กนั ทาํ หนา้ ท่ีในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. เสนอประเดน็ ความคิดเพ่อื สนบั สนุนฝ่ ายของตนตามลาํ ดบั ดว้ ยเหตุผลขอ้ เทจ็ จริงและวาทศิลป์ ๒. โตแ้ ยง้ หกั ลา้ งผโู้ ตฝ้ ่ ายตรงขา้ มเป็นประเดน็ ๆ ๒.๔) กรรมการจบั เวลา เวลาในการพดู ของผโู้ ตว้ าทีเป็นเงื่อนไขสาํ คญั ประการหน่ึงซ่ึงตอ้ งมีผทู้ าํ หนา้ ท่ี ควบคุมเวลาอยา่ งเคร่งครัด จะใชเ้ วลาเท่าใดไม่มีการกาํ หนดตายตวั แลว้ แต่จะสร้างขอ้ ตกลงกนั ๒.๕) กรรมการใหค้ ะแนน มีหนา้ ที่ในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. ควบคุมรักษาระเบียบของการโตว้ าทีและมารยาทของผโู้ ตว้ าที ๒. ใหค้ ะแนนผโู้ ตว้ าทีท้งั สองฝ่ ายตามหลกั เกณฑท์ ี่ไดต้ กลงกนั ไว้ ๓. วจิ ารณ์การโตว้ าที อยา่ งไรกต็ าม กรรมการใหค้ ะแนนจะปฏิบตั ิหนา้ ที่ไดด้ ีจะตอ้ งเป็นผทู้ ่ีทราบหลกั เกณฑข์ อง การโตว้ าทีและการใชเ้ หตุผลเป็นอยา่ งดี มีความรู้ในญตั ติน้นั ๆ เป็นอยา่ งดี มีความสุจริต เที่ยงธรรม

มารยาทในการโต้วาที ๑. เม่ือประธานแนะนาํ ถึงผใู้ ดใหผ้ นู้ ้นั ทาํ ความเคารพผฟู้ ัง เช่น อาจลุกข้ึนไหวห้ รือโคง้ คาํ นบั เป็นตน้ ๒. เม่ือประธานเชิญใหอ้ อกไปพดู จึงออกไป ไม่ควรออกไปพดู โดยไม่ไดร้ ับเชิญเป็นอนั ขาด ไม่ เรียกชื่อจริงของฝ่ ายตรงขา้ ม แต่เรียกตาํ แหน่งของผโู้ ตว้ าที เช่น ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่หน่ึง ผสู้ นบั สนุนฝ่ าย คา้ นคนที่สอง รวมท้งั ไม่จอ้ งหนา้ หรือช้ีหนา้ แต่ขณะพดู ควรสบตากบั ผฟู้ ังเป็นระยะๆ ๓. รักษามารยาทในการพดู ไม่ใชค้ าํ หยาบ คาํ ด่า คาํ สบถ สาบานและไม่ควรนาํ เร่ืองส่วนตวั ของฝ่ าย ตรงขา้ มมาพดู ๔. ระมดั ระวงั เร่ืองบุคลิกภาพ เช่น การแต่งกายใหเ้ หมาะสม การแสดงความรู้สึกและท่าทางประกอบ ในการพดู แต่ละคร้ัง ยมิ้ แยม้ แจ่มใส ไม่แสดงความโกรธ ไม่ถือเป็นเร่ืองบาดหมางกนั เมื่อการโตว้ าทีจบลง ๕. ไม่มุ่งแต่จะเอาชนะจนละเลยและทาํ ลายความจริงอนั เป็นธรรม ผทู้ ี่มีศิลปะในการพดู อาจพดู ให้ ผฟู้ ังเห็นผดิ เป็นชอบไดโ้ ดยใชโ้ วหารท่ีเหนือกวา่ การโตว้ าทีท่ีดีควรยดึ หลกั ความจริงและยกเหตุผลท่ีถูกตอ้ งมา หกั ลา้ งกนั โดยใชว้ าทศิลป์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook