ระดับคุณภาพน้ำ สัตวห์ น้าดิน 89 ตวั อ่อนชปี ะขาวตัวแบน ภาพประกอบ ตวั ออ่ นชปี ะขาวเหงือกบนหลัง ตวั อ่อนชปี ะขาวเหงือกแฉก ตวั ออ่ นแมลงเกาะหนิ จ๊ักกะแร้ฟู ตัวออ่ นแมลงเกาะหนิ ตัวป้อม ดีมาก ตวั ออ่ นแมลงหนอนปลอกน้ำปลอกแตร ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกนำ้ กรวดข้าง
ระดบั คณุ ภาพน้ำ สตั วห์ นา้ ดิน 90 ตัวอ่อนแมลงหนอนปลอกน้ำซองใบไม้ ภาพประกอบ ตวั ออ่ นแมลงหนอนปลอกนำ้ หวั หลิม ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกนำ้ ทอปลอกนว้ิ ตวั ออ่ นแมลงช้างกรามโต กงุ้ น้ำตก ตัวอ่อนแมลงปอธรรมดา ดี ตัวอ่อนแมลงปอตัวสั้น ตวั อ่อนแมลงปอเสือหางเดียว
ระดับคุณภาพน้ำ สัตว์หน้าดนิ 91 ตวั ออ่ นแมลงปอเข็มธรรมดา ภาพประกอบ ตวั อ่อนแมลงปอเขม็ หางโป่ง ตัวออ่ นแมลงปอนำ้ ตกธรรมดา ตัวอ่อนแมลงปอนำ้ ตกเขยี ว หอยกาบน้ำจดื ดี หอยหมวกเจ๊ก หอยเจดีย์ พอใช้ ตัวออ่ นชีปะขาวเหงือกกระโปรง
ระดับคณุ ภาพน้ำ สตั วห์ น้าดนิ 92 ตัวออ่ นชปี ะขาวว่ายน้ำ ภาพประกอบ ตัวออ่ นแมลงหนอนปลอกนำ้ ซโิ ก้ กุง้ ฝอย หอยกาบเมล็ดถ่วั หอยฝาเดียวอื่น ๆ หอยฝาเดยี วอ่นื ๆ หนอนร้นิ น้ำจืดแดง แย่ ไสเ้ ดอื นน้ำเสยี
ระดบั คุณภาพน้ำ สัตว์หน้าดิน 93 ไส้เดอื นปลอกแดง ภาพประกอบ การใชป้ ระโยชนข์ อ้ มูลคุณภาพนำ้ ข้อมูลคุณภาพน้ำที่วัดได้โดยเฉพาะปริมาณออกซิเจน ละลายน้ำสามารถนำมาใช้แบ่งประเภท ของแหลง่ นำ้ อย่างครา่ ว ๆ ได้ดังน้ี 1. ดีมาก ถ้าวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 7 มิลลิกรัมต่อลิตร จัดว่า แหล่งน้ำ นน้ั มคี ณุ ภาพน้ำประเภทท่ี 1 เปน็ น้ำที่มีคณุ ภาพน้ำดมี าก 2. ดี ถ้าวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 6 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ไม่เกิน 7 มิลลิกรัม ต่อลติ ร จดั ว่าแหลง่ นำ้ นน้ั มีคณุ ภาพนำ้ ประเภทที่ 2 คือ เปน็ น้ำที่มคี ุณภาพน้ำดี 3. พอใช้ ถ้าวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 4 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ ไม่เกิน 6 มิลลกิ รัมตอ่ ลิตร จัดวา่ แหล่งนำ้ นั้น มคี ณุ ภาพนำ้ ประเภทท่ี 3 คือ เป็น นำ้ ทม่ี ีคุณภาพน้ำพอใช้ 4. เส่ือมโทรม ถา้ วัดปรมิ าณออกซิเจนละลายน้ำไมต่ ่ำกวา่ 2 มิลลิกรมั ต่อลิตร เกิน 4 มิลลิกรัม ต่อลิตร จัดว่าแหล่งน้ำนั้นมีคุณภาพน้ำประเภทที่ 4 คือ น้ำที่มีคุณภาพเสื่อมโทรม เป็นน้ำที่ไม่ควรนำมาใช้ ในครัวเรือน หรือแม้แต่ประปา ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ต้องมีการตรวจสอบให้แน่ใจก่อน และต้องมีการปรับปรุง คณุ ภาพน้ำเป็นพิเศษกอ่ น 5. เสื่อมโทรมมาก ถ้าวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำได้ต่ำกว่า 2 มิลลิกรัม ต่อลิตร จัดว่าแหล่งน้ำนั้นมีคุณภาพน้ำประเภทที่ 5 คือ เป็นน้ำที่มีคุณภาพเสื่อมโทรมมาก ห้ามใช้ ไม่ควรนำไปอาบ ว่าย หรือนำมาใช้ในครวั เรือน เพราะ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ตารางท่ี 7 ประเภทแหล่งนำ้ ตามการใช้ประโยชน์ ประเภทแหลง่ นำ้ การใชป้ ระโยชน์ ประเภทที่ 1 ได้แก่ แหล่งนำ้ ที่คณุ ภาพนำ้ มสี ภาพตามธรรมชาตโิ ดยปราศจากน้ำทงิ้ จากกจิ กรรม ทกุ ประเภทและสามารถเปน็ ประโยชนเ์ พือ่ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยตอ้ งผ่านการฆา่ เชอ้ื โรคตามปกติกอ่ น (2) การขยายพันธตุ์ ามธรรมชาติของส่งิ มีชีวิตระดับพนื้ ฐาน (3) การอนรุ ักษ์ระบบนิเวศน์ของแหล่งนำ้ ประเภทที่ 2 ไดแ้ ก่ แหลง่ น้ำทไ่ี ด้รบั นำ้ ทิ้งจากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพือ่ (1) การอปุ โภคและบรโิ ภคโดยต้องผา่ นการฆ่าเชอ้ื โรคตามปกติและผ่านกระบวนการ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพน้ำทัว่ ไปก่อน (2) การอนุรกั ษ์สัตวน์ ำ้ (3) การประมง (4) การวา่ ยนำ้ และกฬี าทางน้ำ ประเภทที่ 3 ไดแ้ ก่ แหล่งนำ้ ทไี่ ดร้ บั น้ำทง้ิ จากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเปน็ ประโยชน์เพ่ือ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยต้องผ่านการฆา่ เชอื้ โรคตามปกตแิ ละผ่านกระบวนการ
94 ประเภทแหล่งนำ้ การใช้ประโยชน์ ประเภทที่ 4 ประเภทท่ี 5 ปรับปรงุ คณุ ภาพนำ้ ทั่วไปก่อน (2) การเกษตร ไดแ้ ก่ แหลง่ น้ำทไ่ี ดร้ บั น้ำทงิ้ จากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อ (1) การอุปโภคและบรโิ ภคโดยต้องผา่ นการฆ่าเชือ้ โรคตามปกติและผ่านกระบวนการ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพน้ำเปน็ พเิ ศษกอ่ น (2) การอตุ สาหกรรม ไดแ้ ก่ แหล่งน้ำทไี่ ด้รบั น้ำทง้ิ จากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน็ ประโยชน์เพ่ือ การคมนาคม ทมี่ า: กรมควบคมุ มลพิษ (2563) ตารางท่ี 8 มาตรฐานคณุ ภาพนำ้ ในแหล่งน้ำผวิ ดิน เกณฑก์ ำหนดสงู สดุ 2/ตามการแบ่ง ดัชนีคณุ ภาพน้ำ หนว่ ย คา่ ทาง ประเภทคณุ ภาพน้ำตามการใชป้ ระโยชน์ วธิ ีการตรวจสอบ สถติ ิ ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท - 12 34 5 เคร่อื งวดั อุณหภูมิ 1.สี กล่ินและรส - - ธ ธ’ ธ’ ธ’ - (Thermometer) วัดขณะทำการเก็บ (Colour,Odour and ตวั อยา่ ง Taste) เคร่อื งวัดความเป็น กรดและดา่ งของน้ำ 2.อุณหภูมิ ซํ - ธ ธ’ ธ’ ธ’ - (pH meter)ตามวิธี (Temperature) หาคา่ แบบ Electrometric 3.ความเป็นกรดและ - - ธ 5-9 5-9 5-9 - ด่าง (pH) Azide Modification 4.ออกซิเจนละลาย มก./ล. P20 ธ 6.0 4.0 2.0 - - Azide (DO)2/ Modificationท่ี อุณหภูมิ 20 องศา 5.บโี อดี (BOD) มก./ล. P80 ธ 1.5 2.0 4.0 เซลเซยี สเป็นเวลา 5 6.แบคทีเรยี กลมุ่ โคลิ เอม็ .พี. P80 ธ 5,000 20,000 - - วันติดต่อกนั Multiple Tube ฟอรม์ ทั้งหมด (Total เอน็ / Fermentation Coliform Bacteria) 100 Technique มล. Multiple Tube Fermentation 7.แบคทเี รียกลมุ่ ฟีคอล เอ็ม.พี. P80 ธ 1,000 4,000 - Technique โคลฟิ อรม์ (Fecal เอ็น/ Coliform Bateria)
95 เกณฑก์ ำหนดสูงสุด2/ตามการแบ่ง ดชั นีคณุ ภาพน้ำ หนว่ ย คา่ ทาง ประเภทคุณภาพน้ำตามการใชป้ ระโยชน์ วิธกี ารตรวจสอบ สถิติ ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท 12 34 5 100 มล. 8.ไนเตรต (NO3) ใน มก./ล. - ธ 5.0 - Cadmium หน่วยไนโตรเจน Reduction 9.แอมโมเนยี (NH3) ใน มก./ล. - ธ 0.5 Distillation หนว่ ยไนโตรเจน Nesslerization 10.ฟีนอล (Phenols) มก./ล. - ธ 0.005 Distillation,4- Amino antipyrene 11.ทองแดง (Cu) มก./ล. - ธ 0.1 Atomic Absorption - Direct Aspiration 12.นิคเกลิ (Ni ) มก./ล. - ธ 0.1 Atomic Absorption - Direct Aspiration 13.แมงกานีส (Mn) มก./ล. - ธ 1.0 Atomic Absorption - Direct Aspiration 14.สังกะสี (Zn) มก./ล. - ธ 1.0 Atomic Absorption - Direct Aspiration 15.แคดเมยี ม (Cd) มก./ล. - ธ 0.005* Atomic 0.05** Absorption - Direct Aspiration 16.โครเมียมชนดิ เฮ๊ก มก./ล. - ธ 0.05 - Atomic ซาวาเล้นท์ (Cr Absorption - Hexavalent) Direct Aspiration 17.ตะกว่ั (Pb) มก./ล. - ธ 0.05 - Atomic Absorption - Direct Aspiration 18.ปรอทท้ังหมด มก./ล. - ธ 0.002 - Atomic (Total Hg) Absorption-Cold Vapour Technique 19.สารหนู (As) มก./ล. - ธ 0.01 - Atomic Absorption - Direct Aspiration 20.ไซยาไนด์ มก./ล. - ธ 0.005 - Pyridine- (Cyanide) Barbituric Acid
96 เกณฑ์กำหนดสงู สดุ 2/ตามการแบ่ง ดชั นคี ณุ ภาพน้ำ หน่วย คา่ ทาง ประเภทคุณภาพน้ำตามการใช้ประโยชน์ วิธกี ารตรวจสอบ สถิติ ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท ประเภท 12 34 5 21.กมั มันตภาพรังสี เบค - ธ 0.1 - Low Background (Radioactivity) เคอ 1.0 Proportional - ค่ารังสแี อลฟา เรล/ล. Counter (Alpha) - ค่ารงั สีเบตา (Beta) 22.สารฆา่ ศัตรูพืชและ มก./ล. - ธ 0.05 - Gas- สัตว์ชนดิ ทม่ี ีคลอรนี Chromatography ท้งั หมด (Total Organochlorine Pesticides) 23.ดีดีที (DDT) ไมโคร - ธ 1.0 - Gas- กรัม/ Chromatography ล. 24.บเี อชซชี นดิ แอลฟา่ ไมโคร - ธ 0.02 - Gas- (Alpha-BHC) กรมั / Chromatography ล. 25.ดิลดรนิ (Dieldrin) ไมโคร - ธ 0.1 - Gas- กรมั / Chromatography ล. 26.อลั ดรนิ (Aldrin) ไมโคร - ธ 0.1 - Gas- กรมั / Chromatography ล. 27.เฮปตาคลอรแ์ ละ ไมโคร - ธ 0.2 - Gas- เฮปตาคลออปี อกไซด์ กรัม/ Chromatography (Heptachor & ล. Heptachlorepoxide) 28.เอนดริน (Endrin) ไมโคร - ธ ไมส่ ามารถตรวจพบไดต้ าม - Gas- กรมั / วิธีการตรวจสอบทก่ี ำหนด Chromatography ล. ตารางที่ 9 มาตรฐานคุณภาพนำ้ บาดาลที่ใชบ้ รโิ ภค คา่ มาตรฐาน คณุ ลักษณะ ดัชนคี ุณภาพนำ้ หน่วย เกณฑ์กำหนดท่ี เกณฑอ์ นุโลมสูงสดุ เหมาะสม ทางกายภาพ 1.สี (Colour) แพลทนิ ัม-โคบอลต์ 5 15 ทางเคมี 2.ความขนุ่ (Turbidity) หน่วยความขุ่น 3.ความเปน็ กรด-ด่าง (pH) - 5 20 4.เหลก็ (Fe) มก./ล. 5.แมงกานีส (Mn) มก./ล. 7.0-8.5 6.5-9.2 6.ทองแดง (cu) มก./ล. ไม่เกินกวา่ 0.5 1.0 ไม่เกนิ กว่า 0.3 0.5 ไม่เกินกว่า 1.0 1.5
97 7.สังกะสี (Zn) มก./ล. ไม่เกนิ กว่า 5.0 15.0 8.ซลั เฟต (SO4) มก./ล. ไมเ่ กนิ กวา่ 200 250 9.คลอไรด์ (Cl) มก./ล. ไมเ่ กินกวา่ 250 600 10.ฟลอู อไรด์ (F) มก./ล. ไมเ่ กนิ กวา่ 0.7 1.0 11.ไนเตรต (NO3) มก./ล. ไม่เกินกว่า 45 45 12.ความกระด้างท้งั หมด มก./ล. ไม่เกนิ กว่า 300 500 (Total Hardness as CaCO3) 13.ความกระดา้ งถาวร มก./ล. ไม่เกินกวา่ 200 250 (Non Carbonate Hardness as CaCO3) 14.ปรมิ าณสารทง้ั หมดทล่ี ะลาย มก./ล. ไม่เกนิ กว่า 600 1,200 ได้ (Total Disslved Solids) สารพิษ 15.สารหนู (As) มก./ล. ตอ้ งไมม่ เี ลย 0.05 16.ไซยาไนด์ (CN) มก./ล. ตอ้ งไมม่ เี ลย 0.1 17.ตะกัว่ (Pb) มก./ล. ตอ้ งไมม่ เี ลย 0.05 18.ปรอท (Hg) มก./ล. ต้องไมม่ เี ลย 0.001 19.แคดเมียม (Cd) มก./ล. ตอ้ งไมม่ เี ลย 0.01 20.ซลิ เิ นยี ม (Se) มก./ล. ต้องไมม่ ีเลย 0.01 ทางบกั เตรี 21.บกั เตรีท่ตี รวจพบโดยวธิ ี โคโลนตี ่อ ลบ.ซม. ไมเ่ กนิ กวา่ 500 - Standard Plate Count 22.บกั เตรที ่ีตรวจพบโดยวิธี เอม็ .พ.ี เอน็ น้อยกว่า 2.2 - Most Probable Number ต่อ 100 ลบ.ซม. (MPN) 23.อ.ี โคไล (E.coli) - ตอ้ งไมม่ เี ลย - ท่มี า: ประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑแ์ ละมาตรการในทางวชิ าการสำหรับการ ป้องกัน ด้านสาธารณสขุ และการป้องกนั ในเรอื่ งสง่ิ แวดล้อมเป็นพิษ พ.ศ. 2551 ตพี มิ พ์ในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ 125 ตอน พเิ ศษ 85 ง ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 ไมโครพลาสตกิ (Microplastics) ไมโครพลาสติก (Microplastics) คือ อนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร มักเกิดจากการย่อยสลายหรือแตกหักของขยะพลาสติกขนาดใหญ่ หรือเกิดจากพลาสติก ที่มีการสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ส่วนใหญ่มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี หรือบางครงั้ มรี ูปร่างไม่แน่นอน โดยไมโครพลาสตกิ สามารถแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1. ไมโครพลาสติกปฐมภูมิ (Primary Microplastics) เป็นพลาสติกที่ถูกผลิตให้มีขนาดเล็ก มาตั้งแต่ต้น เพื่อการใช้ประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น เม็ดพลาสติกที่นำมาใช้เป็นวัสดุตั้งต้นของการผลิตผลิตภัณฑ์ พลาสติก (Plastic Pellet) เม็ดพลาสติกที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เครื่องสำอาง หรือยาสีฟัน (Plastic Scrub) ซ่ึงมักเรียกกนั ว่า ไมโครบีดส์ (Microbeads) หรอื เม็ดสครบั ไมโครพลาสตกิ ประเภทนส้ี ามารถ แพรก่ ระจายสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลจากการทง้ิ ของเสยี โดยตรงจากบ้านเรือนสู่แหล่งน้ำและไหลลงสู่ทะเล 2. ไมโครพลาสติกทุติยภูมิ (Secondary Microplastics) เป็นพลาสติกที่เกิดจากพลาสติก ท่ีมขี นาดใหญ่ หรือมาโครพลาสติก (Macroplastic) ซง่ึ สะสมอยู่ในส่ิงแวดล้อมเป็นเวลานานเกิดการย่อยสลาย หรือแตกหัก โดยกระบวนการย่อยสลายพลาสติกขนาดใหญ่ให้กลายเป็นพลาสติกขนาดเล็กนี้สามารถเกิดได้ ทั้งกระบวนการย่อยสลายทางกล (Mechanical Degradation) กระบวนการย่อยสลายทางเคมี (Chemical Degradation) กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ (Biological Degradation) และกระบวนการย่อยสลาย
98 ด้วยแสงอาทิตย์ (UV Degradation) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้สารแต่งเติมในพลาสติกหลุดออก ส่งผลให้โครงสร้างของพลาสติกเกิดการแตกตัวจนมีขนาดเล็ก กลายเป็นสารแขวนลอยปะปนอยู่ในแม่น้ำ และทะเล ปัจจุบัน ไมโครพลาสติก กลายเป็นปัญหามลพิษทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และชายฝั่งทั่วโลก เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ทำให้ยากต่อการเก็บและการกำจัด รวมถึงมีคุณสมบัติทีค่ งสภาพ ย่อยสลายได้ยาก เมื่อมีการระบายน้ำที่ผ่านการบำบัดน้ำเสียลงสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ไมโครพลาสติกสามารถ ปนเปื้อน แพร่กระจาย สะสม และตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ง่าย โดยการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกใน สิ่งแวดล้อมทางทะเลพบได้ทั้งในน้ำ และตะกอนดิน หากสิ่งมีชีวิตในทะเลกินเอาไมโครพลาสติกเข้าไป ทำให้ เกิดการสะสมในห่วงโซ่อาหาร (Food chain) และสามารถถ่ายทอดไปตามลำดับขั้นของการบริโภคอาหารใน ระบบนิเวศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีรายงานเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อร่างกายในสัตว์ที่กินเม็ดไมโครพลาสติกเข้าไป เช่น การทำลายเนื้อเยื่อหลอดเลือด และมี ผลกระทบต่อระบบหวั ใจ อกี ทั้ง ยังมีรายงานเก่ียวกับสารท่เี ปน็ องคป์ ระกอบและพบการปนเปื้อนอยู่ในไมโครพ ลาสติกมกั เปน็ สารพวกโพลไี ซคลกิ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) โพลีคลอริเนตไบฟนี ิล (PCBs) ดีดที ี (DDT) และไดออกซิน ซ่ึงเปน็ สารพษิ ทส่ี ามารถกอ่ ให้เกดิ มะเรง็ ได้ ภาพท่ี 40 ไมโครพลาสติกในส่งิ แวดล้อม ที่มา: กรมวทิ ยาศาสตร์บริการ (2563)
99 ภาพท่ี 41 การปนเปอ้ื นไมโครพลาสติกในส่งิ แวดลอ้ ม มลพษิ ทางอากาศ (Air Pollution) ฝุ่นละออง หมายถึง อนุภาคของแข็งและหยดละอองของเหลวที่แขวนลอยกระจายในอากาศ อนุภาคท่ีแขวนลอยอยู่ในอากาศ บางชนิดมีขนาดใหญ่และสีดำจนมองเห็นเป็นเขม่าและควัน แต่บางชนิด มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ฝุ่นละอองที่แขวนลอยในบรรยากาศ โดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอนลงมา และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคน สัตว์ พืช เกิดความเสียหายต่ออาคาร บ้านเรือน ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญต่อประชาชน บดบังทัศนวิสัย ทำให้เกิดอุปสรรคในการคมนาคม ขนส่ง นานาประเทศจึงได้มีการกำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองในบรรยากาศขึ้น สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยองค์การพิทกั ษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมรกิ า (United State Environmental Protection Agency; US EPA) ไดม้ ีการกำหนดคา่ มาตรฐานของฝนุ่ รวม (Total Suspended Particulate) และฝุน่ ละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) แตเ่ นอื่ งจากมีการศึกษาวจิ ยั พบวา่ ฝนุ่ ขนาดเล็กน้ัน จะเปน็ อนั ตรายตอ่ สุขภาพมากกว่าฝุ่น รวม เนื่องจากสามารถผ่านเข้าไปในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างและมีผลต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นรวม ดังนั้น US.EPA จึงได้มีการยกเลิกค่ามาตรฐานฝุ่นรวมและกำหนดค่าฝุ่นขนาดเล็กเป็น 2 ชนิด คือ ฝุ่นละออง ขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) และฝุน่ ละอองทีม่ ีขนาดเลก็ กวา่ 2.5 ไมครอน (PM2.5) PM10 ตามคำจัดกัดความของ US. EPA หมายถึง ฝุ่นหยาบ (Course Particle) เป็นอนุภาค ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-10 ไมครอน มีแหล่งกำเนิดจากการจราจรบนถนนที่ไม่ได้ลาดยางจากการขนส่งวัสดุ ฝนุ่ จากกิจกรรมบด ย่อย หนิ PM2.5 ตามคำจัดกัดความของ US. EPA หมายถึง ฝุ่นละเอียด (Fine Particle) เป็นอนุภาค ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ฝุ่นละเอียดมีแหล่งกำเนิดจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ควันที่เกิดจากหุงต้มอาหารโดยใช้ฟืน นอกจากนี้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ออกไซต์ ของไนโตรเจน (NOX) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs)จะทำปฏิกิริยากับสารอื่นในอากาศทำให้เกิดเป็นฝุ่น ละเอียดได้ ฝุ่นละอองขนาดเล็กจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เมื่อหายใจเข้าไปในปอดจะเข้าไป อยู่ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ที่ได้รับฝุ่น PM10 ในระดับหนึ่งจะทำให้เกิด โรคหอบหืด (Asthma) และฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเพิ่มของผู้ป่วย ที่เป็นโรคหัวใจและโรคปอดที่เข้ามารักษาตัวในห้องฉกุ เฉนิ เพิ่มอาการของโรคทางเดินหายใจ ลดประสิทธิภาพ การทำงานของปอด และเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหอบหดื และเด็กจะมอี ัตราเส่ียงสูงกว่าคนปกติ
100 ประเภทของฝนุ่ ละออง การจำแนกประเภทของฝุ่นละอองในอากาศสามารถจำแนกได้อีกลักษณะหนึ่ง คือ ลักษณะ การเกิดของฝุน่ ละออง ดังนี้ 1. ฝนุ่ ปฐมภมู ิ (Primary Emission Particulate Matter) เกดิ จากการปลอ่ ยของแหล่งกำเนิด โดยตรง เชน่ ฝุ่นจากถนน ฝนุ่ เกลอื จากทะเล ฝุ่นจากกระแสลมทพ่ี ดั ผา่ น ขีเ้ ถ้า และเขมา่ ควนั ไฟ 2. ฝุ่นทุติยภูมิ (Secondary Emission Particulate Matter) เกิดจากปฏิกิริยาต่าง ๆ ในบรรยากาศหลังจากที่ฝุ่นถูกปล่อยออกจากแหล่งกำเนิดได้ระยะหนึ่ง ฝุ่นประเภทนี้อาจเป็นอนุภาคใหม่ หรือเป็นอนุภาคเดิมที่มีองค์ประกอบเพิ่มขึ้น สารที่เป็นองค์ประกอบหลักคือ ซัลเฟต ไนเตรต และคาร์บอน อินทรีย์ โดยซัลเฟตและไนเตรตในบรรยากาศเกือบทั้งหมด เป็น Secondary Emission โดยมีก๊าซซัลเฟอร์ได ออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์เป็นสารเริ่มต้นปฏิกิริยาของฝุ่นทุติยภูมิกล่าวคือ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อถูกปล่อยสู่บรรยากาศจะถูกออกซิไดซ์เป็นกรดซัลฟูริก ทำให้เริ่มจับตัวเป็นฝุ่นขนาดเล็กจากกระบวนการ Nucleation และเพิ่มขนาดเม็ดฝุ่นจากกระบวนการ Coagulation และ Condensation ปฏิกิริยาต่าง ๆ ทั้งในวัฏภาคก๊าซและในกลุ่มเมฆล้วนเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ซัลเฟตจับตัวเป็นเม็ดฝุ่นใหม่ และยังมีส่วน ทำให้สารอินทรีย์จับกันเป็นเม็ดฝุ่นใหม่เช่นกัน (Organic Aerosol) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับของการจับกัน เป็นเม็ดฝุ่นใหม่ ได้แก่ ปริมาณของสารตั้งตัน (Precursor) สภาพบรรยากาศและปฏิกิริยาของสารตั้งต้นกับ อนภุ าคฝ่นุ ท่ีมอี ย่ใู นกลุ่มเมฆหรือละอองหมอก แหลง่ กำเนดิ ตามธรรมชาติ 1. ภูเขาไฟระเบิด การที่เกิดภูเขาไฟระเบิดจะมีเขม่าพ้นออกมาในบรรยากาศจำนวนมาก ซ่ึงเขม่าเหล่านั้น ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศและเขม่าที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดจะสามารถ อยู่ในอากาศไดน้ านนับปี 2. ไฟป่า จากสภาพอากาศร้อนและแห้ง โดยการเกิดไฟป่าแต่ละครั้งจะเกิดควันขึ้นมาจำนวน มหาศาล 3. จุลินทรีย์ โดยการย่อยสลายสิ่งต่าง ๆ ของจุลินทรีย์ ไม่ว่าจ ะเป็นซากพืชซากสัตว์ ซ่งึ ในการย่อยสลายจะทำใหเ้ กิดก๊าซแอมโมเนยี (NH3) เปน็ ก๊าซทีท่ ำในเกดิ กลนิ่ เหม็น 4. อนุภาคมวลสาร อนุภาคสารจะเป็นอนุภาคขนาดเล็กซึ่งสามารถลอยไปตามอากาศ ซึ่งเปน็ สาเหตุในเกดิ โลกต่าง ๆ มากมาย แหล่งกำเนดิ ท่ีเกดิ จากกจิ กรรมของมนษุ ย์ 1. การคมนาคม ปัจจุบันมีการขนส่งสินค้า การเดินทางเป็นจำนวนมากโดยการใช้ยานพาหนะ โดยเฉพาะรถยนต์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุด โดยที่รถยนต์จะปล่อยก๊าซพวกคาร์บอน ไดออกไชด์ ก๊าซไนตริก ออกไซด์และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์รวมทั้งก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ซึ่งก๊า ซเหล่านี้เป็นต้น เหตุที่ทำให้ เกดิ มลพิษทางอากาศ 2. โรงไฟฟ้า ในการที่จะผลิตการแสไฟฟ้าจะมีการเผาไหม้พลังงานจำนวนมหาศาลและการเผา ไหม้นั้นจะมีการปล่อยสารพวก ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซดแ์ ละอนุภาคของมวลสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตทุ ำในเกิดมลพิษทางอากาศ
101 3. การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันที่เราใช้ในการดำเนินชีวิต แต่ในการเผาไหมเหล่านั้นก็จะทำให้มีการปล่อยสารพวก ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ไฮโดคาร์บอนและอนุภาคของมวลสารตา่ ง ๆ ซ่ึงเปน็ มลพษิ ทางอากาศ 4. การเผาขยะสิ่งปฏิกูล ซ่ึงในพื้นที่ ที่ยังไม่มีพื้นการจัดการขยะที่ดี ครัวเรือน มักใช้วิธีการเผา ในการทำลายโดยการเผา ซึ่งปล่อยสารพวกสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน ออกไซด์ ของกำมะถนั ฝุ่นขนาดเลก็ คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ซง่ึ เป็นมลพิษทางอากาศ 5. การใช้ชีวติ ประจำวัน เชน่ การสบู บุหรี่ ควนั ธปู และการปิง้ ย่าง ลว้ นเป็นสาเหตุการปลดปล่อย ฝนุ่ ละอองขนาดเล็ก 6. โรงงานอุตสาหกรรม ปัจจุบันโลกมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและที่ตามมาพร้อมกัน กค็ อื การเกิดโรงงานอุตสาหกรรมขนึ้ มาด้วยซึ่งโรงงานอตุ สาหกรรมเหลา่ นี้จะมีการใช้พลังงานและการเผาผลาญ เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมากซึ่งจะทำในเกิดการปล่อยสารจำพวก ฝุ่นละออง เขม่า ควัน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กา๊ ซคาร์บอนมอนออกไซด์ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจนไดออกไซด์ และก๊าซพษิ อ่ืน ๆ อีกหลายชนิด กา๊ ซเหลา่ นีล้ ว้ นเปน็ สาเหตุท่ีสำคัญในการก่อให้เกิดมลพษิ ทางอากาศ ภาพท่ี 42 มลพษิ ทางอากาศจากกจิ กรรมเผา ตารางท่ี 10 มาตรฐานคณุ ภาพอากาศในบรรยากาศ (Ambient Air Quality Standards) สำหรบั บางสารมลพษิ สารมลพษิ ค่าเฉล่ยี 24 คา่ เฉล่ยี 1 ปี วธิ ีการตรวจวดั ชั่วโมง g/m3 mg/m3 g/m3 mg/m3 ฝนุ่ ขนาดเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร (ไมครอน) 120 0.12 50 0.05 Gravimetric-High หรือ PM10 Volume ฝุ่นขนาดเล็กกวา่ 2.5 ไมครอน หรอื PM2.5 37.5 0.0375 15 0.015 Gravimetric-High Volume หมายเหต:ุ 1.มาตรฐานคา่ เฉลยี่ ระยะส้นั (1, 8 และ 24 ชม.) กำหนดขึน้ เพอ่ื ป้องกันผลกระทบตอ่ สขุ ภาพอนามยั อยา่ งเฉียบพลัน (Acute Effect)
102 2.มาตรฐานคา่ เฉลยี่ ระยะยาว (1 เดือน และ 1 ป)ี กำหนดขนึ้ เพ่อื ป้องกันผลกระทบยาวหรอื ผลกระทบเรือ้ รัง ที่อาจเกดิ ขึ้น ต่อสุขภาพอนามยั (Chronic Effect) 3. ค่าเฉล่ีย 24 ชวั่ โมงของ PM2.5 มผี ลบังคับใช้ 1 มถิ ุนายน 2566 ▪ ประกาศคณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 10 (พ.ศ.2538) เรอ่ื ง กำหนดมาตรฐานคณุ ภาพอากาศในบรรยากาศโดยท่วั ไป ออก ตามความในพระราชบญั ญตั ิสง่ เสริมและรกั ษาคุณภาพสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในกิจจานเุ บกษา เลม่ 112 ตอนที่ 52ง. วนั ท่ี 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ▪ ประกาศคณะกรรมการสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 24 (พ.ศ. 2547) เรื่อง กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทว่ั ไป ออก ตามความในพระราชบญั ญตั ิส่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 121 ตอน พิเศษ 104 ง. วนั ท่ี 22 กันยายน พ.ศ. 2547 ▪ ประกาศคณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 28 (พ.ศ. 2550) เร่ือง กำหนดมาตรฐานคณุ ภาพอากาศในบรรยากาศโดยทว่ั ไป ออก ตามความในพระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ และรกั ษาคุณภาพสงิ่ แวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ 124 ตอน พิเศษ 58ง วันท่ี 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ▪ ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ ฉบบั ที่ 33 (พ.ศ. 2552) เร่อื ง กำหนดมาตรฐานค่าก๊าซไนโตรเจนไดออกไซดใ์ นบรรยากาศ โดยทวั่ ไป ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสรมิ และรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 126 ตอนพเิ ศษ 114ง วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ▪ ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ ฉบับที่ 36 (พ.ศ. 2553) เร่ือง กำหนดมาตรฐานฝ่นุ ละอองขนาดไม่เกนิ 2.5 ไมครอน ใ์ น บรรยากาศโดยทว่ั ไป ออกตามความในพระราชบญั ญัติส่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพส่งิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจา นุเบกษา เล่ม 127 ตอนพเิ ศษ 37ง วันท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2553 การพัฒนาตรรกะดา้ นการเรียนรู้ ตามแนวทาง STEM การบูรณาการพหุศาสตร์ กิจกรรม วิทยาศาสตร์ (Science) ความหลากหลายของพืชที่ปลูก/การตรวจวดั คณุ ภาพน้ำ เทคโนโลยี (Technology) สบื คน้ ขอ้ มลู ออนไลน์ การระบพุ ิกดั ทางภูมศิ าสตร/์ การใช้ Mobile Application วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) การออกแบบการนำนำ้ มาใชป้ ระโยชน์ คณิตศาสตร์ (Mathematic) คำนวณขนาดพน้ื ท่ีการเพาะปลกู
103 การบรู ณาการกับมาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ▪ อธบิ ายปฏสิ มั พันธ์ขององค์ประกอบของระบบ ▪ อ่างเกบ็ น้ำหว้ ยคะ ว 1.1 นเิ วศท่ไี ด้จากการ สำรวจ คาง เขา้ ใจความหลากหลายของระบบ นเิ วศ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง ▪ อธิบายรูปแบบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี ีวิตกับ ▪ ระบบนเิ วศรอบอา่ ง สิ่งไมม่ ีชีวติ กบั สงิ่ มีชวี ติ และ สิ่งมชี ีวิตรูปแบบตา่ ง ๆ ในแหลง่ ท่อี ย่เู ดียวกนั ทไ่ี ด้ (ศกึ ษาพน้ื ทจ่ี รงิ ) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่งิ มชี ีวติ กับ จากการสำรวจ ส่งิ มีชวี ิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การ ▪ พืชทางการเกษตร/ ถา่ ยทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลง ▪ อธิบายความสมั พนั ธข์ องผ้ผู ลติ ผบู้ รโิ ภคและผู้ วิถชี วี ติ การทำ แทนทใ่ี นระบบนเิ วศ ความหมายของ ยอ่ ยสลายสำรวจอนิ ทรยี ใ์ นระบบนเิ วศ การเกษตร ประชากร ปญั หาและผลกระทบทมี่ ี (ศกึ ษาพื้นท่ีจรงิ ) ตอ่ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ▪ อธบิ ายการสะสมสารพิษในสิ่งมชี วี ิตในโซ่อาหาร สง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ กั ษ์ ▪ ตระหนกั ถงึ ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี วี ติ และ ▪ นำ้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไข ▪ ไมโครพลาสติก ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทงั้ นำความรู้ สิ่งแวดลอ้ มในระบบนเิ วศ โดยไมท่ ำลายสมดลุ ของ ▪ มลพษิ ทางอากาศ ไปใชป้ ระโยชน์ ระบบนเิ วศ ▪ กลอน (บรู ณาการ ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและ ▪ อธิบายความสำคัญของความหลากหลายทาง ความสำคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะ ชีวภาพทมี่ ตี ่อการรักษาสมดลุ ของระบบนเิ วศ กบั สาระทสี่ อนเดมิ ) ทางพนั ธกุ รรมสารพันธกุ รรม การ และต่อมนษุ ย์ เปล่ยี นแปลงทางพันธุกรรมท่มี ผี ลต่อ ▪ แสดงความตระหนกั ในคณุ คา่ และความสำคญั ของ ▪ อา่ งเกบ็ น้ำ ส่ิงมีชีวติ ความหลากหลายทาง ความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมีสว่ นร่วมใน หว้ ยคะคาง ชวี ภาพและววิ ฒั นาการของสิง่ มชี วี ิต การดแู ลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ▪ ระบบนเิ วศรอบอ่าง ส 5.2 (ม.5) ▪ วิเคราะหป์ ฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งส่ิงแวดล้อมทาง (ศึกษาพืน้ ท่จี ริง) เข้าใจปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์กบั กายภาพกบั กิจกรรมของมนุษย์ ในการสรา้ งสรรคว์ ถิ ี สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ การดำเนินชวี ติ ของทอ้ งถน่ิ ทัง้ ในประเทศไทยและ การ สรา้ งสรรคว์ ถิ ีการดำเนินชวี ิต มี ภมู ิภาคตา่ ง ๆ ของโลก และเห็นความสำคญั ของ จติ สำนกึ และมสี ่วนรว่ มในการจัดการ ส่งิ แวดล้อมท่ี ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมเพอ่ื การ มผี ลต่อการดำรงชีวิตของมนษุ ย์ พัฒนาที่ยง่ั ยืน ▪ วิเคราะหส์ ถานการณ์ สาเหตุ และผลกระทบของ ส 5.2 (ม.5) เขา้ ใจปฏิสมั พันธร์ ะหว่าง การเปลยี่ นแปลง ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติและ มนษุ ย์กบั ส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพท่ี สิง่ แวดลอ้ มของประเทศไทยและภมู ภิ าคาตา่ ง ๆ กอ่ ให้เกิดการ สร้างสรรค์วิถกี าร ของโลก ดำเนนิ ชีวติ มีจติ สำนึกและมสี ่วนรว่ ม ในการจัดการทรพั ยากรและ ระบุมาตรการปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หา กฎหมายและ สงิ่ แวดลอ้ มเพ่อื การพฒั นาท่ยี ั่งยืน นโยบายทางด้านทรัพยากร ธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม บทบาทขององค์การทีเ่ กี่ยวข้อง และการประสานความ ร่วมมอื ท้งั ในประเทศและระหว่างประเทศ
104 มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขยี น เขยี นอธบิ าย ชแ้ี จง แสดงความคิดเหน็ และโตแ้ ย้งอย่างมี ▪ พืชทางการเกษตร/ เขียนสื่อสาร เขยี นเรียงความ ยอ่ เหตผุ ล วถิ ีชวี ิตการทำ ความ และเขยี นเร่อื งราวในรูปแบบ การเกษตร (ศึกษา ต่างๆ เขยี นรายงานขอ้ มูล พน้ื ทีจ่ รงิ ) สารสนเทศและรายงานการศกึ ษา คน้ ควา้ อย่างมีประสิทธภิ าพ ▪ น้ำ ▪ ไมโครพลาสตกิ ▪ มลพิษทางอากาศ ▪ กลอน (บูรณาการ กบั สาระทส่ี อนเดมิ ) กิจกรรมการเรียนรู้ รายละเอียด กลุม่ สาระทจ่ี ัดการสอน 4.1สำรวจพน้ื ท่รี อบอ่างเกบ็ น้ำห้วยคะคางและสัมภาษณช์ าวบา้ น ตาม วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แบบบันทกึ ก2.1: ข้อมูลปฏทิ ินการเพาะปลูกพชื รอบอ่างห้วยคะคาง และสงั คมศึกษา ศาสนา และ วฒั นธรรม 4.2 เก็บตวั อย่างนำ้ และตะกอนดิน ตรวจวัดคณุ ภาพน้ำท้ังสมบตั ทิ าง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กายภาพ เคมี และชวี ภาพ ตามแบบบันทึก ก2.2: ข้อมูลภาคสนาม สำหรับคุณภาพน้ำอา่ งห้วยคะคาง โดยใช้เคร่อื งมอื ดังภาพท่ี 4.10 และ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสอ่ งผา่ นกลอ้ งจุลทรรศน์ ควบคกู่ ารการใช้นาฬิกาสตั วห์ นา้ ดิน และสังคมศกึ ษา ศาสนา และ 4.3 แลกเปล่ียน เรียนรู้ ตีความผลการตรวจวดั โดยนำเสนอบทเรียน วัฒนธรรม ปากเปลา่ รายเดียวหรอื กลมุ่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสงั คมศึกษา ศาสนา และ 4.4 ระดมสมองและจัดทำผังความคดิ พร้อมนำเสนอปากเปลา่ วฒั นธรรมและภาษาไทย ภาษาไทย 4.5 แต่งกลอนสะท้อนบทเรียนการเรียนรู้และเขียนเรียงความ หวั ข้อ “แนวทางอนรุ ักษน์ ้ำอา่ งเกบ็ น้ำหว้ ยคะคางโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน”
105 ภาพท่ี 43 เครื่องมือตรวจวดั คณุ ภาพน้ำ ภาพที่ 44 การเก็บตัวอย่างตะกอนดนิ ที่มา: http://www.mnre.go.th/reo12/th/news/detail/62230
แบบบนั ทกึ ก2.1: ขอ้ มูลปฏทิ ินการ ผบู้ ันทึกข้อมูล :…………………………………………………………………… วนั ท:ี่ ………… บรเิ วณ พกิ ดั ทาง พชื ทป่ี ลูก การใช้ เผาเศษ ฤดูกาล ภูมิศาสตร์ และขนาด สารเคมี/ วัสดุ (ปลูก/ ตา่ งๆ เก็บเก่ียว) 1 XY พน้ื ที่ ปยุ๋ (Y/N) (Y/N) หมายเหตุ: Y = ใช้ N = ไมใ่ ช้
รเพาะปลกู พืชรอบอ่างห้วยคะคาง …………………………………. ช่วงเวลา: ……………………………………………… เดอื น สภาพแวดล้อมโดยรอบ 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 (เชน่ เศษขยะ)
แบบบนั ทึก ก2.2: ข้อมลู ภาคสนาม ผ้บู นั ทึกข้อมลู : …………………………………………………………………… วนั ท:ี่ ………… พกิ ัดทางภูมศิ าสตร์ สี Ta Tw pH DO พืน้ ที่ (mg/L) (OC) (OC) XY หมายเหตุ Ta = อุณหภูมิอากาศ (องศาเซลเซยี ส); Tw = อณุ หภมู อิ ากาศ (องศาเซลเซยี ส); pH ค่าการนำไฟฟา้ ; TDS = ของแข็งละลายนำ้ ; S (Salinty) = คา่ ความเค็ม
ม สำหรับคณุ ภาพน้ำอา่ งห้วยคะคาง …………………………………. ช่วงเวลา: ……………………………………………… สภาพส่ิงแวดลอ้ ม โดยรอบ EC TDS S ลกั ษณะทางชวี ภาพ (ขยะในน้ำ/นำ้ เสีย จากครวั เรอื น/ (µS/cm) (ppm) (ppm) การเกษตร) สิ่งมชี ีวิตที่ ระดบั คุณภาพ พบ น้ำ H = คา่ ความเป็นกรดด่าง; DO = คา่ ออกซิเจนละลายในน้ำ; EC (Electrical Conductivity) =
ความเชื่อ/ประเพณที เี่ กีย่ วข้อง ผังความคดิ ของอ่าง ........................................................... ……………………………………………………… ........................................................... ........................................................... ........................................................... แนวทางการอนรุ ักษ์นำ้ ........................................................... ........................................................... ........................................................... ...........................................................
งเกบ็ น้ำห้วยคะคาง .......ก..จิ ..ก..ร..ร..ม..ท..่ีส...ง่ .ผ...ล..ต..อ่..ค..ณุ....ภ..า..พ..น...ำ้ .......... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ …………….. ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... การใช้ประโยชนจ์ ากอ่างเกบ็ น้ำหว้ ยคะคาง ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................
109 กิจกรรมที่ 3 เส้นทางธรรมชาติ - ระยะเวลา 6 ชว่ั โมง – สาระการเรียนรู้ ดอนปตู่ า ดอนปู่ตา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้าน พื้นที่ 30 ไร่ สร้างขึ้นมาพร้อมกับการตั้งบ้าน เพื่อเป็นหลักบ้านและความเป็นสิริมงคล ปัจจุบัน เป็นป่าสาธารณะประโยชน์ ชาวบ้าน สามารถเก็บเห็ดได้ แตห่ า้ มตัดต้นไม้ เช่นน้นั จะถูกปู่ตาลงโทษ ชาวบ้านใหค้ วามเคารพนบั ถอื มาก ภาพที่ 45 ดอนปู่ตา การเปลยี่ นแปลงจากทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ มในการสรา้ งสรรค์วฒั นธรรมและภมู ิปัญญาไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของคนไทย โดยมีพื้นฐาน จากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ และอิทธิพลจากภายนอก วัฒนธรรมนอกบางอย่างที่ไทยรับมานั้นได้ถูกนำมา ดัดแปลงให้เข้ากับสภาพสังคมไทย จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย อย่างไรก็ดี แม้ว่าวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทยจะช่วยให้เรา เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยและช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอด ต่อไปในภายหนา้ 1. ความหมายของวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทยและปัจจัยที่เก่ียวขอ้ ง วัฒนธรรมไทย หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่เป็นแบบแผนของสังคม ซึ่งเกิดจาก การสร้างสรรค์ของคนไทยที่คิดขึ้นเพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม โดยมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม และมีรูปแบบเป็นที่ยอมรับกันภายในสังคม วัฒนธรรมไทยมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองในสังคมไทยภูมิปัญญาไทย
110 หมายถึง ความรู้ความสามารถ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรมของคนไทยที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคน กับคน คนกับสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ภูมิปัญญาไทยถือเป็นวิธีการและผลงานที่คนไทย ได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาในสังคมไทย เป็นความรู้ที่ผ่านการรวบรวม ปรับปรุง และได้ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ภูมิปัญญาไทยจึงเป็นสิงที่มีประโยชน์ มีคุณค่า มีเอกลักษณ์ของตนเอง สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนไทยและนำมาใช้ในการพัฒนาชีวิต และแก้ไขปัญหาได้ เช่น ความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร สมุนไพร ผักพื้นบ้าน รู้จักประดิษฐ์ เครื่องมือ ทำมาหากิน และการสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เป็นต้น ภูมิปัญญาไทย ด้านการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ความสามารถ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทั้งการอนุรักษ์พัฒนา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น การบวชป่า การสืบชะตาแม่น้ำ การทำแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ป่าชายเลน การจดั การป่าต้นน้ำและปา่ ชมุ ชน เปน็ ต้น 2. ปัจจัยที่สง่ เสรมิ การสรา้ งสรรค์วฒั นธรรมและภูมิปญั ญาไทยที่มผี ลตอ่ สังคมไทยปจั จุบนั 2.1 ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ประเทศไทยมีสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค และคนในแต่ละพ้ืนท่กี ็ได้สร้างสรรคว์ ัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาใหส้ อดคล้องกับท้องถ่ินท่ตี นอยู่ 2.2 ปัจจยั ทางสงั คม สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ดา้ น ดังน้ี 2.2.1 ลักษณะร่วมทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ การที่สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ทำให้คนในสังคมมีวิถีชีวิตความเชื่อบางอย่างเหมือนกัน เช่น ความเชื่อเรื่องการนับถือผู้อาวุโส จึงทำให้เกิดพิธี การรดน้ำขอพร ความเชื่อเรื่องเทวดาอารักษ์ เช่น แม่พระคงคา แม่พระธรณีแม่โพสพ รุกขเทวดา ความเชื่อ เรอ่ื งผีสางนางไม้ผีบ้านผีเรือน ทำใหม้ ปี ระเพณีทเี่ กย่ี วเนอื่ งกบั อาชีพและความเชือ่ เชน่ การทำขวญั ขา้ ว การเลน่ เพลงเรือประเพณีลอยกระทง นอกจากนี้ คนไทยส่วนใหญ่ นับถือพระพุทธศาสนาทำให้มีประมีประเพณี ทางศาสนาเหมือนกัน แต่อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น ประเพณีทำบุญในหลายพื้นท่ี ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตน เช่น ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งและประเพณีไหลเรือไฟของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ประเพณชี กั พระของภาคใต้ เป็นตน้ 2.2.2 ลกั ษณะแตกต่างทางสงั คมและวัฒนธรรม สภาพภมู ศิ าสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต่างกัน รวมถึงความเคยชินและการปฏิบัติที่สืบทอดต่อ ๆ กันมา มีผลต่อความแตกต่างในด้านการดำรงชีวติ การสร้างสรรค์วัฒนธรรมและภูมิปัญญา เช่น ภาคกลางและภาคใต้ปลูกข้าวเจ้ามาก ทำให้คนทั้งสองภาคนิยม รับประทานข้าวเจ้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือปลูกข้าวเหนียวมาก คนทั้งสองภาคนี้ จึงนิยม รับประทานข้าวเหนียว และคิดสร้างสรรค์ภาชนะใส่ข้าวเหนียวจากวัสดุธรรมชาติ เรียกว่า “กระติบ” ซึ่งช่วย เก็บกักความร้อนและทำให้ข้าวเหนียวนุม่ อยู่ได้นาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีหนองบึงมาก แต่แหล่งนำ้ มกั แห้งขอดในฤดูแล้ง ชาวบ้านจงึ เรียนรู้ทีจ่ ะเก็บสะสมอาหารไว้กินตลอดทงั้ ปี โดยนำปลานานาชนิดมาทำปลา ร้า ส่วนภาคใต้ มีอาหารทะเลมากจึงถนอมอาหารด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ตากแห้ง ปลาแดดเดียว ปลาเค็ม หรือนาเคยซึ่งเป็นสัตว์ ทะเลชนิดหนึ่งมาทำกะปิ นอกจากนี้ การปลูกบ้านเรือนของผู้คนในแต่ละภาค ก็มีความแตกต่างกันตามทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ภาคเหนือมีไม้มาก บ้านเรือนจึงปลูกสร้างด้วยไม้ หรือภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ใชไ้ ม้ไผ่เปน็ ส่วนสำคัญในการปลูกบ้าน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความแตกตา่ งกันทางภมู ศิ าสตร์ และทรพั ยากรธรรมชาติ ทำให้แต่ละพืน้ ที่มีการดำรงชวี ติ ตา่ งกนั
111 ระบบนเิ วศวิทยา (Ecosystem) ระบบนิเวศ (Ecosystem) เปน็ โครงสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่งิ มชี วี ิตต่าง ๆ กบั บริเวณแวดลอ้ ม ท่ีสงิ่ มชี ีวติ เหลา่ นด้ี ำรงชวี ติ อยู่ ระบบนเิ วศน้นั เปน็ แนวคดิ (Concept) ท่นี ักนเิ วศวทิ ยาได้นำมาใช้ในการมองโลก สว่ นย่อย ๆ ของโลกเพ่ือที่จะไดเ้ ข้าใจความเป็นไปบนโลกนี้ได้ดขี ึ้น ระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น ประกอบด้วยบริเวณที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ และกลุ่มประชากรที่มีชีวิต อยู่ในบริเวณดังกล่าว พืชและโดยเฉพาะสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุด ที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อว่าการมีชีวิตอยู่รอดตลอดไป ยกตัวอย่างเช่น สระน้ำแห่งหนึ่งเราจะพบสัตว์และพืช นานาชนิด ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริเวณน้ำท่ีมนั อาศัยอยู่โดยมีจำนวนแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด สระน้ำ นั้นดูเหมือนว่าจะแยกจากบริเวณแวดล้อมอื่น ๆ ด้วยขอบสระ แต่ตามความเป็นจริงแล้วปริมาณน้ำในสระ สามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยน้ำฝนที่ตกลงมา ในขณะเดียวกันกับที่ระดับผิวน้ำก็จะระเหยไปอยู่ตลอดเวลา น้ำที่ไหลเข้ามาเพิ่มก็จะพัดพาเอาแร่ธาตุและชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพืชที่เน่าเปื่อยเข้ามาในสระตัวอ่อนของยุง และลูกกบตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในสระน้ำ แต่จะไปเติบโตบนบก นกและแมลงซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกสระก็จะมาหา อาหารในสระน้ำ การไหลเข้าของสารและการสูญเสียสารเช่นนีจ้ ึงทำใหส้ ระนำ้ เปน็ ระบบเปดิ ระบบหนงึ่ หากมีแร่ธาตุไหลเขา้ มาเพิ่มข้ึน ก็จะทำให้การเจรญิ เติบโตของพืชเพิ่มมากขึ้น เช่น ไฟโตแพลงตัน หรือพืชน้ำที่อยู่ก้นสระ ปริมาณสัตว์จึงเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อปริมาณสัตว์ เพิ่ม ปริมาณของพืชที่เป็นอาหาร ก็จะค่อย ๆ น้อยลง ทำให้ปริมาณสัตว์ค่อย ๆ ลดตามลงไปด้วยเนื่องจาก อาหารมีไม่พอ ดังนั้นสระน้ำจึงมีความสามารถในการที่จะควบคุมตัวของมัน (Self-Regulation) เองได้ กล่าวคอื จำนวนและชนิดของสง่ิ มชี ีวิตท้ังหลายท่อี ยู่ในสระนำ้ จะมจี ำนวนคงที่ ซง่ึ เราเรยี กวา่ มคี วามสมดุล สระน้ำนี้ จึงเป็นหน่วยหนึ่งของธรรมชาติที่เรียกว่า \"ระบบนิเวศ\" (Ecosystem) ซึ่งกล่าวได้ว่า ระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น เป็นโครงสร้างที่เปิดและมีความสามารถในการควบคุมตัวของมันเอง ประกอบไปด้วย ประชากรต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ไร้ชีวิต ระบบนิเวศเป็นระบบเปิดที่มีความสัมพันธ์กับบริเวณ แวดล้อมโดยมีการแลกเปลีย่ นสาร และพลังงาน ดังน้นั จึงมคี วามสัมพนั ธก์ ับระบบนิเวศอื่น ๆ ทอี่ ย่ใู กล้ตัวชุมชน ท่มี ีชีวติ และส่งิ แวดล้อมท่ีใช้ชวี ติ นนั้ รวมกนั เปน็ ระบบนิเวศ ระบบนิเวศอาจมีขนาดใหญ่ระดับโลก คือ ชีวาลัย (biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณที่ห่อหุ้มโลกอยู่ และสามารถมีขบวนการต่าง ๆ ของชวี ิตเกดิ ขึน้ ไดห้ รอื อาจมีขนาดเล็กเทา่ บ่อนำ้ แหง่ หน่ึง แต่เราสามารถจำแนก ระบบนิเวศออกเปน็ กลมุ่ ๆ ได้ ดงั นี้ 1. ระบบนิเวศทางธรรมชาติและใกล้ธรรมชาติ (Natural and Seminatural Ecosystems) เป็นระบบท่ตี อ้ งพง่ึ พลงั งานจากดวงอาทิตย์ เพ่อื ที่จะทำงานได้ 1.1 ระบบนิเวศแหล่งน้ำ (Aquatic Ecosystems) 1) ระบบนิเวศทางทะเล เช่น มหาสมุทรแนวปะการัง ทะเลภายในทเี่ ปน็ น้ำเค็ม 2) ระบบนเิ วศบนบก (Terrestrial Ecosystems) 3) ระบบนิเวศกึง่ บก เช่น ป่าพรุ 4) ระบบนิเวศบนบกแท้ เชน่ ปา่ ดิบ ทงุ่ หญา้ และทะเลทราย 1.2 ระบบนเิ วศเมอื ง-อุตสาหกรรม (Urban industrial Ecosystems) เปน็ ระบบที่ต้องพ่ึง แหลง่ พลังงานเพิ่มเตมิ เชน่ น้ำมนั เช้ือเพลิง พลังนวิ เคลียร์ เป็นระบบนเิ วศท่มี นษุ ย์สร้างข้นึ มาใหม่ 1.3 ระบบนิเวศเกษตร (Agricultural Ecosystems) เป็นระบบที่มนุษย์ปรับปรุง เปล่ยี นแปลงระบบนิเวศทางธรรมชาติข้ึนมาใหม่
112 1.4 องค์ประกอบของระบบนิเวศ ระบบนิเวศทุก ๆ ระบบจะมีโครงสร้างที่กำหนด โดยชนิดของสิ่งมีชีวิตเฉพาะอย่าง ที่อยู่ในระบบนั้น ๆ โครงสร้างประกอบด้วยจำนวนและชนิดของสิ่งมีชีวิต ต่าง ๆ เหล่านี้ และการกระจายตัวของมันถึงแม้ว่าระบบนิเวศบนโลกจะมีความหลากหลายแต่มีโครงสร้าง ทคี่ ลา้ ยคลงึ กันคือ ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ 1.4.1 ส่วนประกอบท่ไี มม่ ชี ีวิต (Abiotic Component) แบง่ ได้เปน็ 3 ประเภท คอื 1) อนินทรียสาร เช่น คาร์บอนไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและออกซิเจน เปน็ ต้น 2) อนิ ทรียสาร เช่น โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และฮิวมัส เป็นต้น 3) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูมิ ความเป็นกรดเป็นด่าง ความเค็มและความชืน้ เปน็ ต้น 1.4.2 สว่ นประกอบทม่ี ชี วี ติ (Biotic Component) แบง่ ออกไดเ้ ป็น 1) ผู้ผลิต (Producer) คือ พวกที่สามารถนำเอาพลังงานจากแสงอาทิตย์ มาสังเคราะห์ อาหารขึ้นได้เอง จากแร่ธาตุและสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชสีเขียว แพลงก์ตอนพืช และแบคทีเรยี บางชนดิ พวกผ้ผู ลติ น้มี ีความสำคญั มาก เพราะเปน็ สว่ นเรม่ิ ตน้ และเชอื่ มต่อระหวา่ งสว่ นประกอบ ทไี่ ม่มชี วี ิตกบั สว่ นท่มี ชี ีวิตอื่น ๆ ในระบบนเิ วศ 2) ผู้บริโภค (Consumer) คือ พวกที่ได้รับอาหารจากการกินสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ อีก ทอดหนึง่ ได้แก่ พวกสัตวต์ ่าง ๆ แบง่ ได้เป็น ➢ ผู้บริโภคปฐมภูมิ (Primary Consumer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร เชน่ กระตา่ ย ววั ควาย และปลาท่กี นิ พชื เล็ก ๆ ฯลฯ ➢ ผู้บริโภคทุติยภูมิ (Secondary Consumer) เป็นสัตว์ที่ได้รับอาหาร จากการกนิ เน้อื สตั วท์ ่ี กินพืชเปน็ อาหาร เชน่ เสอื สุนขั จิง้ จอก ปลากนิ เน้ือ ฯลฯ ➢ ผู้บริโภคตติยภูมิ (Tertiary Consumer) เป็นพวกที่กินทั้งสัตว์กินพืช และสัตว์กินสัตว์ นอกจากนี้ยังได้แก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับขั้นการกินสูงสุดซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ไม่ถูกกินโดยสัตว์ อ่นื ๆ ต่อไป เป็นสัตว์ที่อยใู่ นอนั ดับสุดท้ายของการถกู กินเปน็ อาหาร เชน่ มนุษย์ 3) ผู้ยอ่ ยสลาย (Decomposer) เป็นพวกไมส่ ามารถปรุงอาหารได้ แตจ่ ะกินอาหาร โดย การผลิตเอนไซน์ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่าง ๆ ในส่วนประกอบของสิ่งที่มีชีวิตให้เป็นสารโมเลกุลเล็ก แล้วจึงดูดซึมไปใช้เป็นสารอาหารบางส่วน ส่วนที่เหลือปลดปล่อยออกไปสู่ระบบนิเวศ ซึ่งผู้ผลิตจะสามารถ เอาไปใช้ตอ่ ไป จงึ นับว่าผยู้ อ่ ยสลายเป็นส่วนสำคญั ทที่ ำให้สารอาหารสามารถหมนุ เวยี นเป็นวัฏจกั รได้ ความสมดุลของระบบนเิ วศ (Ecosystem Balance) คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของระบบนิเวศ คือ มีกลไกในการปรับสภาวะตัวเอง (Self-Regulation) โดยมรี ากฐานมาจากความสามารถของ สง่ิ มชี วี ิตแตล่ ะชนดิ ซ่ึงเปน็ องคป์ ระกอบของระบบ นิเวศนั้น ๆ คือ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายในการทำให้ เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารผ่านสิ่งมีชีวิต ถ้าระบบนิเวศนั้นได้รับพลังงานอย่างพอเพียง และไม่มีอุปสรรคขัดขวางวัฏจักรของธาตุอาหารแล้ว ก็จะทำให้ เกิดภาวะสมดุล equilibrium ขึ้นมาในระบบนิเวศนั้น ๆ โดยมีองค์ประกอบและความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิต แต่ละชนิดทำให้แร่ธาตุ และสสารกับสิ่งแวดล้อมนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มาก ซึ่งทำให้ระบบนิเวศนั้น มีความคงตัว ทั้งนี้เพราะการผลิตอาหารสมดุลกับการบริโภคภาย ในระบบนิเวศนั้นการปรับสภาวะตัวเองนี้
113 ทำให้การผลิตอาหารและการเพิ่มจำนวนของ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนั้นมีความพอดีกัน กล่าวคือจำนวน ประชากรชนิดใด ๆ ในระบบนิเวศจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีขอบเขตได้ ธรรมชาติได้ให้สิ่งที่สวยงาม ร่มรนื่ นอกเหนือจากปัจจยั 4 ทีม่ นุษย์ไดร้ ับ ถ้าในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตบางชนิดถูกทำลายไปจะทำให้ความสมดุลของระบบนิ เวศลดลง เช่น บริเวณทุ่งหิมะและขัว้ โลกเป็นระบบนิเวศที่ง่ายและธรรมดาไม่ซบั ซ้อน เพราะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ก่ชี นิด พืชก็ได้แก่ ตะไครน่ ้ำ ไลเคน หญา้ ชนดิ ตา่ ง ๆ เพยี งไม่กีช่ นิดและต้นหลิว พืชเหล่าน้เี ป็นอาหารของกวาง ซึง่ มีอยู่ 2 ชนิด คอื กวางคาริเบยี นกับกวางเรนเดีย กวางเปน็ อาหารของสุนัขป่าและคน นอกจากนี้ กม็ หี นูนาและไก่ป่า ซง่ึ เปน็ อาหารของสนุ ัขจิ้งจอกและนกเค้าแมว เพราะฉะน้ันในบริเวณหมิ ะนี้ ถ้าเกิดการเปล่ียนแปลงจำนวนของ สิ่งมีชีวิตในระดับหนึ่ง จะมีผลรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิต ในระดับอื่น ๆ ด้วยเพราะมันไม่มีโอกาสเลือกอาหารได้มาก นักสง่ิ มีชีวิตที่อยใู่ นนีจ้ ึงเปล่ียนแปลงเร็ว จนบางชนดิ สูญพันธ์ุ ดงั นั้นระบบนิเวศทไ่ี ม่ซบั ซ้อนจงึ เสียดุลได้ง่ายมาก เหมือนกับการปลูกพืชชนิดเดียว (monocropping) เช่น การเกษตรสมัยปัจจุบันเวลาเกิดโรคระบาดจะทำให้ เสียหายอย่างมากและรวดเร็ว แม่น้ำที่มีวัชพืชน้ำมาก จนมีสัดส่วนไม่เหมาะสมกับการรักษาความสมดุล ของระบบธรรมชาตแิ ละกีดขวางการจราจรทางน้ำ อทิ ธพิ ลของมนุษยต์ ่อความม่ันคงของระบบนเิ วศ ในสมยั ก่อนที่ประชากรของมนุษย์บนโลกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อยน้ัน การดำเนินชีวิตของมนุษย์ ไม่ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างไร แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาวิถีชีวิตด้วยเทคโนโลยีให้มีความเป็นอยู่สุขสบายดี การบุกรุกสภาพสมดุลของธรรมชาติ จงึ เกดิ ขน้ึ อยา่ งรนุ แรง ปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะทำให้ระบบนิเวศในโลกนี้เป็นระบบนิเวศที่ธรรมดา โดยเฉพาะการเกษตร ในปัจจุบันได้พยายามลดระดับต่าง ๆ ในห่วงโซ่อาหารให้เหลือน้อยที่สุด โดยการกำจัดพืชและหญ้าหลายชนิด ไปเพื่อพืชชนิดเดียว เช่น ข้าวสาลี หรือข้าวโพด ซึ่งทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ในขณะเดียวกนั ก็ทำให้ความมั่นคง ระบบนิเวศลดน้อยลง หากมโี รคระบาดเกดิ ขึน้ โอกาสทีร่ ะบบนิเวศจะถกู ทำลายกจ็ ะมีมาก นอกจากนั้น บริเวณการเกษตรทั่วโลกก็นับเป็นบริเวณที่ระบบนิเวศถูกทำลายมาก ทั้งนี้เพราะมกี ารใช้ยากำจดั ศัตรูพืชกันอย่างแพร่หลาย สารพิษที่เกิดจากการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถถ่ายทอด ไปยังสิ่งมีชีวิตระดับสูง ๆ ได้ตามห่วงโซ่อาหาร จึงมักสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตในปริมาณที่เข้มข้นกว่าที่มีใน สง่ิ แวดล้อมเสมอ ดังตัวอยา่ งของการใช้ DDT เมื่อมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชในบริเวณที่หนึ่ง DDT ซึ่งเป็นส่วนผสมของยากำจัดศัตรูพืชนั้น จะตกคา้ งอยู่ในดินถูกชะล้างลงในแมน่ ้ำและสะสมอยใู่ นแพลงก์ตอน เมื่อสัตว์น้ำชนดิ อนื่ เชน่ ปลามากินแพลงก์ ตอน DDT ก็จะเขา้ ไปสะสมในตวั ปลาเป็นปรมิ าณมากกว่าที่อยใู่ นแพลงก์ตอนและเมื่อนกซ่ึงกินปลาและสัตว์น้ำ อื่น ๆ เขา้ ไป ก็จะสะสมไว้ในปรมิ าณสูง เมือ่ สัตวอ์ ่นื มากินนกก็ยง่ิ จะทำให้การสะสม DDT ในตัวมันสูงมากขึ้นไป อกี ถา้ DDT สูงขึ้นถึงขดี อนั ตรายก็จะทำให้สัตวต์ ายได้หรือไม่ก็ผิดปกติ DDT ส่วนใหญ่จะสะสมในเนอ้ื เย่ือไขมัน และขัดขวางการเกาะตัวของ แคลเซียมที่เปลือกไข่ทำให้ไข่บางแตกง่ายและไม่สามารถฟักออกเป็นตัว ได้มีรายงานว่าในประเทศสวีเดน และในประเทศญี่ปุ่นมีนกบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากผลกระทบสะสม ตัวของ DDT
114 การพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดผลเสียหายร้ายแรง ทั้งต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนทำให้เกิดบริเวณน้ำขังจำนวนมหาศาลอาจทำให้เกิดการระบาดของโรคเนื่องจาก พาหะของโรคน้นั สามารถเตบิ โตได้ดใี นบริเวณน้ำนิ่ง ปัจจุบัน ปะการังได้ถูกทำลาย เนื่องจากกิจกรรมการท่องเที่ยว วิธีการที่จะดำเนินการฟื้นฟู วิธีการหนึ่ง โดยการสร้างปะการังเทียม โดยนำยางรถยนต์ไปไว้ใต้ทะเลให้ปะการังอาศัยเกาะอยู่ เพื่อให้มีส่วน ปรบั ระบบนิเวศในท้องทะเล ชีวาลัย (Biosphere) เป็นส่วนหนึ่งของโลก ที่สิ่งมีชีวติ อาศัยอยูไ่ ด้ ได้แก่ บริเวณที่เป็นมหาสมุทร น้ำจืด บรรยากาศและชั้นดินบางส่วนมีผู้เปรียบเทียบว่าถ้าให้โลกของเราสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น ชีวาลัย (Biosphere) จะมีความหนาเพียงครึ่งเท่านั้นซึ่งแสดงว่าบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้นั้นบางมาก ทรัพยากรธรรมชาติจึงมีจำกัดเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ มนุษย์เองเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของชีวาลัยซึ่งยังต้อง พึ่งพาอาศัยสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม ในชีวาลัย เพื่อมีชีวิตรอดมนุษย์อาจจะเปลี่ยนหรือทำลายระบบนิเวศ ระบบใดได้ แตม่ นุษย์จะไม่สามารถทำลายชีวาลยั ได้ เพราะเทา่ กับเปน็ การทำลายตนเอง ดงั น้นั การเรียนรเู้ รอ่ื งนิเวศวิทยา จึงเปน็ การทำให้มนุษย์ได้เขา้ ใจถึงฐานะ และหน้าทขี่ องตวั เองว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น การกระทำใด ๆ ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมมีผลเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์ กับสง่ิ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ มอน่ื ๆ ในระบบดว้ ยเช่นเดยี วกบั ทมี่ ีผลต่อมนุษยเ์ อง ดังนั้น เราจึงควรตระหนักว่าในการพัฒนาใด ๆ ของมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพือ่ เป็นวตั ถดุ บิ น้ันเราจะต้องคำนึงถึงปัญหาการเสียสมดลุ ทางนิเวศวทิ ยาดว้ ย เพอื่ ไมใ่ ห้การพฒั นานั้นย้อนกลับ มาสร้างปัญหาต่อมนุษย์เองไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาวะมลพิษหรือการขาด แคลนทรพั ยากรในอนาคต มนษุ ยก์ บั สง่ิ แวดล้อม (Human and Environment) มนุษย์มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างแนบแน่นในอดีตปัญหาเรื่องความสมดุลของธรรมชาติ ตามระบบนิเวศยังไม่เกิดขึ้นมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากผู้คนในยุคต้น ๆ นั้น มีชีวิตอยู่ใต้อิทธิพลของธรรมชาติ ความเปลีย่ นแปลงทางดา้ นธรรมชาติและสภาวะแวดลอ้ มเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงอยู่ในวิสยั ที่ธรรมชาติ สามารถปรับดลุ ของตัวเองได้ กาลเวลาผ่านมาจนกระทั้งถึงระยะเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ผ่านมา (ระยะสิบปี) ซึ่งเรียกกันว่า \"ทศวรรษแห่งการพัฒนา\" นั้น ปรากฏว่าได้เกิดมีปัญหารุนแรงด้านสิ่งแวดล้อมข้ึน ในบางส่วนของโลกและปัญหาดังกล่าวนี้ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันในทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา เช่น ปัญหาทางด้านภาวะมลพิษที่เกี่ยวกับน้ำ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสลาย และหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ ป่าไม้ พืช สัตว์ ทั้งที่เป็นอาหารและที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ เพอ่ื การศกึ ษา ปัญหาที่เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและชุมชนของมนุษย์ เช่น การวางผังเมืองและชุมชนไม่ ถูกต้อง ทำให้เกิดการแออัดยัดเยียด ใช้ทรัพยากรผิดประเภทและลักษณะ ตลอดจนปัญหาแหล่งเส่ือมโทรมและปัญหา จากของเหลอื ทิง้ อนั ไดแ้ ก่มลู ฝอย
115 การกกั เก็บคารบ์ อนในปา่ ไม้ (Carbon Storage in Forest) “ป่าชุมชนบ้านโคกหินลาด” ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยคะคาง และยังเป็นต้นกำเนิดห้วยคะคาง ซึ่งเป็นสายน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงตัวเมืองจังหวัดมหาสารคาม โดยมีความสำคัญต่อชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง และได้ตอบสนองความต้องการของชุมชน ในหลายด้าน ได้แก่ เป็นแหล่งอาหาร สมุนไพร และที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่ามาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพื้นที่ป่าแห่งนี้ ครอบคลุม ตำบลหนองปลิง โคกก่อ และบัวค้อ คิดเป็น เน้อื ท่ที ั้งหมด 3,750 ไร่ และได้มีการรวมกลมุ่ องคก์ รชาวบา้ น ในชือ่ “คณะกรรมการปา่ ชุมชน ปา่ โคกหินลาด” เพื่อเป็นกลไกในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในชุมชน ในรูปแบบป่าชุมชน ซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมชองชุมชน เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน โดยทำงานเชื่อมประสานกบั หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยส่งเสริมใหช้ มุ ชน ในท้องถ่นิ เกิดความตระหนักในด้านการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซง่ึ สอดคลอ้ งกับแผนยุทธศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2560-2564 ในการอนุรักษ์ พื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาค โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ในการปรับตัวและรับมือกับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการรายงานของกรมป่าไม้ (2557) อ้างถึงในส่วนพัฒนาวนศาสตร์ ชุมชน สำนักจดั การป่าชมุ ชน (2559) รายงานวา่ ในปัจจบุ ัน มีป่าชมุ ชนอย่างเปน็ ทางการ ประมาณ 9,000 แห่ง รวมเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 3,700,000 ไร่ ด้วยเหตุนี้ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม ได้ดำเนินการโครงการบูรณาการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซ่ึงใช้ช่ือ โครงการว่า “ต้นแบบชุมชนรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ: ต้นน้ำห้วยคะคาง” โดยหลักสูตร สาขาวชิ าเทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม คณะสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ไดต้ ระหนักถึงคุณคา่ ของทรัพยากรป่า ไม้การเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน ซึ่งสามารถคำนวณในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปลดปล่อยจากกิจกรรม ของมนุษย์ เพื่อบรรเทาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจากการศึกษาที่ผ่านมาของส่วน พัฒนาวนศาสตร์ชุมชน สำนักจัดการป่าชุมชน (2559) พบว่า ป่าชุมชนบ้านโคกหินลาด (ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.มหาสารคาม) ปกคลุมด้วยปา่ เต็งรัง มีพนื้ ทเ่ี นอ้ื ที่ 787 ไร่ สามารถกกั เกบ็ คาร์บอนเฉล่ีย 4.04 ตัน/ไร่ โดยคิดเป็น 11,695.23 ตนั คารบ์ อนไดออกไซด์ ในขณะท่ปี รมิ าณการกกั เกบ็ คารบ์ อน ในรูปคารบ์ อนไดออกไซด์ จากการบริการวิชาการ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนของหลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ในโครงการบูรณาการหนึ่งหลักสตู รหนึ่งชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซึ่งได้พิจารณาป่าชุมชนบา้ น น้ำจั้น เป็นกรณีศึกษา พบว่า มีค่าเฉลี่ย 9.78 ตัน/ไร่ โดยคิดเป็น 1,086 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกดูดซับไว้ ในพื้นที่ป่าทั้งหมด 111 ไร่ หากเปรียบเทียบระหว่างสองป่าชุมชน อาจกล่าวได้ว่า ป่าบ้ านน้ำจ้ัน มีความสมบูรณ์ของพรรณไม้มากกว่าป่าโคกหินลาด ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากค่าเฉลี่ยของการดูดซับ คาร์บอนไดออกไซดท์ ี่สูงกว่า ด้วยเหตุน้ี การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่ จึงนับเป็นการรักษาคุณค่าของป่า ในดา้ นตา่ ง ๆ ซึ่งชว่ ยเก้อื กลู ตอ่ การใช้ชวี ิตของคนในชุมชนให้เป็นไปอยา่ งยงั่ ยืน
116 “แหล่งเรียนรอู้ อนไลนเ์ พม่ิ เติม” สาระการเรยี นรู้ แหล่งข้อมูล ลงิ ก์ QR Code ระบบนเิ วศปา่ ไม้ https://goo.gl/Gf6RXp วทิ ยาศาสตร์ ม.4-6 (ชวี วิทยา) ปฏกิ ิรยิ าแสง (Light Reaction) https://goo.gl/QvkSJy วิทยาศาสตร์ ม.4-6 (ชวี วิทยา) ภูมิอากาศกบั ภาวะเรือนกระจก https://goo.gl/VcsCag วทิ ยาศาสตร์ ม.4-6 (โลกและดาราศาสตร์) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) https://goo.gl/1bdGbN สงั คมศึกษาฯ ม.1-6 ท่ีมา: DLIT Resources คลงั สือ่ การสอน (https://www.youtube.com/channel/UCGRQr5FfmDCK3tt1JrAx6Yg) 1. การศึกษามวลชีวภาพในปา่ ธรรมชาติ (ชิงชยั , 2546) การศึกษามวลชีวภาพของต้นไม้ในป่าธรรมชาติ เพื่อหาสมการแอลโลเมตริกที่เหมาะสม เพอื่ ใชป้ ระมาณผลผลิตของปา่ แตล่ ะชนิด นบั ว่าเปน็ งานที่ค่อนขา้ งหนัก มคี วามยุ่งยากและสลบั ซบั ซอ้ นมากกว่า การหาสมการแอลโลเมตริกในสวนป่า เพราะต้องใช้ทั้งเวลา กําลังคน อุปกรณ์ และงบประมาณค่อนข้างสูง เนื่องจากในการคัดเลือกไม้ตัวอย่าง จำเป็นต้องใช้ต้นไม้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ครอบคลุมขนาดชั้นความโต และชนิดของต้นไม้ในป่าแต่ละชนิด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าป่าไม้ของประเทศไทยมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มสี งั คมพืชหลักแต่ละชนิดแตกต่างกัน เชน่ สังคมพืชปา่ ดงดบิ ชื้น ปา่ ดิบแล้ง ปา่ ดิบเขา ป่าเต็งรัง
117 เป็นต้น และในกลุ่มของสังคมพืชหลักดังกล่าวยังประกอบด้วยกลุ่มสังคมย่อยที่มีชนิดพันธุ์ไม้เดินแตกต่างกัน ออกไป เช่น สังคมพืชป่าดิบแล้งในประเทศไทยสามารถแบ่งกลุ่มยอ่ ยออกเป็น 3 สังคม คือ สังคมเคี่ยมคะนอง สังคมตะเคยี นหนิ และสังคมยางแดง โดยพจิ ารณาจากชนดิ พนั ธุไ์ ม้เดนิ และองคป์ ระกอบของหมู่ไมเ้ ปน็ ตน้ การท่สี งั คมย่อยแตล่ ะสังคม มีความแตกตา่ งกันมาก ท้ังในเรื่องขององคป์ ระกอบของชนิดพันธ์ุ และองค์ประกอบของหมู่ไม้จึงไม้ควรใช้สมการแอลโลเมตริกแทนซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากการศึกษามวล ชีวภาพของป่าชนิดต่าง ๆ ในอดีตมีอยู่น้อย และในปัจจุบัน การศึกษาทางด้านนี้ ก็ดำเนินการต่อไปไม่ได้ เนื่องจากการศึกษา จำเป็นต้องตัดต้นไม้จำนวนมากและมีขนาดใหญ่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษา พนั ธ์สุ ัตว์ป่า จากข้อจํากัดต่าง ๆ ดังกล่าว จึงทำให้การศึกษาด้านมวลชีวภาพในป่าธรรมชาติของประเทศ ไทย ขาดความต่อเนื่อง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็นต้องอาศัยสมการแอลโลเมตริกที่ได้ดำเนินการศึกษามาแล้ว ไม่น้อยกว่า 30-40 ปี เพื่อใช้ในการประมาณผลผลิตของป่าธรรมชาติในปัจจุบันและการดำเนินการศึกษา ผลผลิตของป่าธรรมชาติชนิดต่าง ๆ ในปัจจุบัน จึงเน้นหนักไปทางด้านการศึกษาความเจริญเติบโตของหมู่ไม้ เช่น ขนาดความโต ความสูง พื้นที่หน้าตัด (Basal Area) และการวางกระบะเพื่อเก็บรวบรวมซากพืช เพื่อคํานวณหา Net Primary Production (NPP) โดยที่นําเอาซากพืชที่เก็บได้ทั้งปีไปรวมกับมวลชีวภาพ ของต้นไม้ที่คํานวณจากสมการแอลโลเมตริกที่เคยศึกษามาก่อน โดยคัดเลือกสมการที่มีชนิดป่าที่ใกล้เคียงกัน เป็นตัวคํานวณ ซึ่งความถูกต้องแม่นยํา ยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน ว่ามีค่าคลาดเคลื่อนประมาณเท่าไร จากการศึกษาในคร้ังนั้น ๆ เพราะตรวจวัดโดยตัดต้นไม้เปรียบเทียบไม่ได้ ส่วนการศึกษาทางด้าน ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ในป่าธรรมชาติ เพื่อจำแนกสังคมพืชนั้น การศึกษา จำเป็นต้องใช้พื้นที่แปลง ตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่กว่าการศึกษาด้านความเจริญเติบโตหลายเท่า แต่จำนวนแปลงตัวอย่างจะน้อยกว่ า (ชิงชยั , 2546) 2. อปุ กรณ์/เครื่องมอื 1. แผนทแ่ี สดงสภาพปา่ ของพนื้ ทีท่ จ่ี ะสำรวจ (ภาพถา่ ยทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทยี ม) 2. แอปพลิเคชันด้านสารสนเทศภูมิศาสตรใ์ นมอื ถอื หรอื เคร่อื งวัดหาพกิ ัดทางภูมิศาสตร์ (Global Positioning System; GPS) 3. เชอื กตีมุมฉาก 4. เชอื กหลกั ความยาว 40 เมตร จำนวน 4 เส้น 5. เชอื กรอง ความยาว 40 เมตร จำนวน 8 เสน้ 6. ไคลโนมิเตอร์ (Clinometer) 7. สายวดั เสน้ รอบวง 8. แบบบันทกึ ขอ้ มูล (กระดาษ/สมุด/ปากกา/ดนิ สอ) 9.หนงั สือพรรณไม้ 10. มีดพรา้
118 3. การเก็บข้อมูลภาคสนาม 3.1 สำรวจป่าไม้ โดยใช้แปลงตัวอย่าง (Quadrant Method) โดยการสุ่มพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ขนาด 40 เมตร × 40 เมตร โดยมักใช้กรณีที่ป่ามีขนาดใหญ่ และต้องการตัวแทนพรรณไม้ สำหรับ การคำนวณการกกั เกบ็ คารบ์ อน 3.2 กำหนดจุดพื้นที่ในการวางแปลงการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าชุมชน โดยกำหนดพิกัด ทางภมู ศิ าสตร์ โดยใช้ GPS หรอื จากแอปพลิเคชนั ในมอื ถอื สำหรบั การวางแปลง 3.3 แบ่งกลมุ่ และเกบ็ ขอ้ มูลตามจุดเกบ็ ตวั อยา่ งที่กำหนดไว้ โดยใช้แปลงตัวอย่างแบบออกฉาก ขนาด 40 × 40 เมตร โดยอาศัยหลักพีทากอรัส (Pythagoras) “ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของ ความยาวของด้านตรงข้ามมุกฉากเท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก” ซงึ่ แบง่ ออกเป็นแปลงตวั อย่างขนาด 10 × 10 เมตร จำนวน 16 แปลง ภาพท่ี 46 หลักพที ากอรัส ที่มา: สว่ นพัฒนาวนศาสตร์ชมุ ชน สำนักจัดการป่าชมุ ชน (2557)
119 ภาพที่ 47 การวางแปลงแบบออกฉาก ท่มี า: สว่ นพฒั นาวนศาสตร์ชุมชน สำนักจัดการป่าชมุ ชน (2557) 3.4 เก็บข้อมูลตัวอย่างไม้ขนาดใหญ่ (Tree) โดยการวัดต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงที่ความสูง ระดับอก (Girth at Breast Height: G.B.H.) มากกว่าหรือเท่ากับ 1.3 เมตร ความสูงของต้นไม้ และระบุ ชอ่ื พรรณไมแ้ ต่ละชนดิ ในแปลงทท่ี ำการสำรวจ 3.5 บันทึกข้อมูลเส้นรอบวง ความสูง และพรรณไม้ ลงในแบบฟอร์ม ที่ทำการเก็บตัวอย่าง เพือ่ ทำการประเมนิ การกกั เกบ็ คาร์บอน 3.6 เลือกสูตรคำนวณให้สอดคล้องกับประเภทของป่าและคำนวณการกักเก็บคาร์บอน ในแต่ละส่วนของแตล่ ะพรรณไม้ 4. วธิ กี ารวัดความเจรญิ เตบิ โตของต้นไม้ ในการวัดความเจริญเติบโตของต้นไม้ มิติที่ใช้วัดส่วนใหญ่ จะวัดขนาด DBH และความสูง ของต้นไม้ ซึ่งการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระดับอก (Diameter at Breast Height; DBH) ในป่าธรรมชาติ ถ้าเป็นพื้นที่ค่อนข้างเรียบหรือมีความลาดชันไม่มาก ต้นไม้มีลักษณะเป็นลำต้นเดี่ยว (Single Stem)
120 และไม้มีพูพอน ก็จะทำการตรวจวัด DBH ได้ง่าย แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากต้นไม้ อาจมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันออกไป และลักษณะพื้นที่ก็มีความลาดชันเป็นส่วนใหญ่ดังนั้น การกำหนด การวัด DBH หรือที่ตำแหน่ง 1.30 เมตร จึงอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ดงั แสดงในภาพ ภาพที่ 48 ตำแหน่งวัดความโตทร่ี ะดับต่าง ๆ ของตน้ ไม้ทีม่ ีลักษณะพเิ ศษ และในพนื้ ท่ีทมี่ คี วามลาด ที่มา: ดดั แปลงจาก Forest Measurement (Avery and Burkhart, 1994) อา้ งถึงในชงิ ชัย (2546) 5. วธิ กี ารวัดขนาด DBH ของตน้ ไม้ท่ีมีลกั ษณะพเิ ศษสามารถจำแนกได้เปน็ 8 ชนิด คอื 5.1 ต้นไม้ที่มีลักษณะลำต้นปกติและขึ้นอยู่ในพื้นที่ราบ ตำแหน่งที่วัดจะตรงกับ 1.30 เมตร หรอื DBH 5.2 ต้นไม้ที่มีลักษณะลำต้นมีปุ่มมีปมตรงกับ 1.30 เมตร การวัดอาจจะเลื่อนขึ้นหรือลง เพื่อหลบปุ่มปมของตน้ ไม้โดยใหใ้ กล้กับตำแหน่ง 1.30 เมตรมากท่สี ุด 5.3 ต้นไม้ที่มีพูพอนมากจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงตำแหน่งวัดขึ้นสูงเป็นพิเศษ จะพบมากในป่า ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ บางกรณีอาจจะตอ้ งวัดตรงตำแหนง่ ทส่ี งู กวา่ 3.00 เมตร เพอ่ื หลบพูพอนดงั กลา่ ว 5.4 ตน้ ไม้ท่มี ีรากอากาศ เชน่ ไม้โกงกางจะวัดเหนือคอราก 0.20 เมตร 5.5 ต้นไม้ท่แี ตกนางตรงตำแหนง่ 1.30 เมตร จะวดั ตำ่ ลงมาประมาณ 1.00-1.20 เมตร เพอ่ื ให้ ได้ค่าลำต้นเพียงคา่ เดียว 5.6 ต้นไม้ท่ีแตกนางตรงระดับต่ำ หรือแตกนางใกล้ 1.30 เมตร และไม่สามารถวัด ตรงตำแหน่งระดับต่ำได้เนื่องจากมีการพอกของเนื้อไม้โตกว่าปกติก็จะวัดค่าเป็น 2 ลำต้น หรืออาจมากกว่า 2 ลำต้นก็ได้ถ้าต้นไม้มีการแตกนางเป็นพุ่มเหมือนต้นไม้ใน ป่าพรุที่มีลักษณะลำต้นเป็น 3-4 นาง ซึ่งเป็น การพัฒนาลำต้นเพ่ือชว่ ยพยุงลำต้นไมใ่ หล้ ม้ เปน็ ตน้ 5.7 ตน้ ไม้ทีข่ น้ึ อยู่บนทล่ี าดชันสูงจะวัดตำแหนง่ 1.30 เมตร ด้านบนของความลาดชัน
121 5.8 ต้นไม้ที่มีลักษณะลำต้นที่เอนให้วัดตำแหน่ง 1.30 เมตร ด้านเอนออกไป การวัดขนาด DBH ปกตจิ ะใชเ้ ทปวัดทที่ ำจากพลาสติกทีเ่ รียกว่า Diameter Tape ซง่ึ คา่ ที่อา่ นได้จะเป็นค่าเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง ถ้าต้นไม้มีขนาดเล็กกจ็ ะใช้ Caliper ในการวัด แต่เนื่องจาก Diameter Tape นี้ไม่มีขายในเมืองไทย จึงอาจใช้ เทปวัดเอวของช่างตัดเสื้อก็ได้แต่ค่าที่วัดนี้จะเป็นขนาดของ เส้นรอบวงที่ระดับอก (Girth at Breast Height, GBH) จึงจำเป็นต้องแปลงค่าเป็น DBH ก่อนที่ จะนำไปคำนวณข้อมูลในด้านอื่นๆ โดยนำ GBH ที่ได้มาหาร ด้วยคา่ π หรอื 3.1416 สว่ นการวดั ความสูงของตน้ ไม้มักจะทำได้ยากกว่าการวัด DBH เพราะต้องใช้เคร่ืองมือ และอาศัยความชำนาญมากกว่า จึงจะได้ค่าที่มีความถูกตอ้ ง เครื่องมือที่ใช้วัดความสูงของตน้ ไม้ มักจะใช้ไม้วัด ความสูง (Measuring Pole) ที่ทำจากพลาสตกิ หรืออลูมิเนียมสามารถชักขึ้นทีละทอ่ นต่อ ๆ กันไป วัดความสูง ได้ไม่เกิน 15 เมตร ถ้าสูงมากกว่านี้ จำเป็นต้องใช้ Haga Hypsometer หรือ Suunto Clinometer การวัด ความสูงต้นไม้ในป่าธรรมชาติมีเรือนยอดซ้อนทับกันมักจะมี ความแม่นยำน้อยเนื่องจากจะไม่เห็นยอด ของต้นไม้ชัดเจน ดังนั้น ในการเก็บข้อมูลจากแปลงตัวอย่างเราจะสุ่มวัดความสูง ประมาณ 25% จากจำนวน ตน้ ไม้ ทีม่ ีอยู่โดยให้ครอบคลุมทุกขนาดความสูง ในขณะที่ DBH วัด 100% จากค่ขู ้อมลู ความสูงกับ DBH ที่ได้ จะนำมาหาความสมั พันธ์ในรปู สมการ D-H Relation เพ่ือใชค้ ำนวณหาความสูงของตน้ ไม้ทุกต้นในแปลงต่อไป (ดดั แปลงจาก Forest Measurement (Avery and Burkhart, 1994 อ้างถงึ ใน ชิงชยั , 2546) 6. วิธกี ารตรวจวดั ความสูง โดยใชไ้ คลโนมิเตอร์ 6.1 เลอื กต้นไม้ ในพ้ืนท่ศี กึ ษาของนกั เรียน ใหน้ กั เรยี นวดั ความสงู ของทง้ั พืชพันธุ์เด่น (พืชพันธุ์ที่มีมากที่สุด ในพื้นทศี่ ึกษา) และพืชพนั ธุเ์ ด่นรอง (พืชพันธทุ์ ม่ี มี ากรองลงมาในพนื้ ท่ีศกึ ษา) ถ้าพืชพันธุ์เด่นในพื้นที่เป็นไม้ยืนต้น (คือ ต้นไม้ท่ีมีความสูงมากกว่า 4-5 เมตร) ให้เลือก ตัวอย่างต้นไม้เพื่อวัดความสูงต้นไม้จำนวน 5 ต้น โดยเลือกต้นที่ใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุดแต่มีเรือนยอด อยู่ในระดบั สูง อยา่ งละ 1 ต้น และต้นขนาดกลางอกี 3 ตน้ และทำเครือ่ งหมายไว้ ถ้าพืชพันธเุ์ ด่นรองเป็นไมย้ ืนต้นให้ใชว้ ธิ ีเดียวกบั ข้อ 1 แต่ถ้ามนี อ้ ยกวา่ 5 ต้น ให้รวมต้นไม้ จากสปชี สี อ์ น่ื ใหค้ รบ 5 ต้น แลว้ ทำเคร่ืองหมายไว้ 6.2 ใชไ้ คลโนมิเตอร์วดั ความสงู เลือกต้นไม้ที่ต้องการตรวจวัดความสูง 1 ต้น ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกต้นไม้ที่ตั้งอยู่บนพื้น ระดับเดียวกับผู้สังเกต เลื่อนระยะทางระหว่างผู้สังเกตให้ห่างจากโคนต้นไม้พอสมควร และบันทึกระยะทาง จากผ้สู ังเกตถงึ โคนต้นไม้ไว้ ระยะทางนีก้ ค็ อื เสน้ AC ดังภาพท่ี 4.9 วดั และบันทึกความสูงระดับสายตาผู้สงั เกตจนถงึ พื้นดิน มองผ่านหลอดพลาสติกบนไคลโนมิเตอร์ไปยังปลาย ยอดสดุ ของต้นไม้ เสน้ เชือกท่ีผูกน็อต โลหะ หรือวงแหวน ไว้จะตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกดงั ภาพที่ 4.9 จะทำให้เกิดมุมเงย BAC จดบันทึกคา่ มมุ เงยไว้
122 ภาพที่ 49 การวัดความสูงของตน้ ไมโ้ ดยการใชไ้ คลโนมิเตอร์ ภาพท่ี 50 การใช้ไคลโนมเิ ตอร์ ทม่ี า: สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561) 6.3 คำนวณความสงู ของตน้ ไม้ ตัวอย่าง สมมติให้นักเรียนยืนห่างจากโคนต้นไม้เป็นระยะทาง 60 เมตร และมองจุดยอด สุดของต้นไม้ผ่านไคลโนมิเตอร์ โดยตาของนักเรียนสูงจากพื้นดิน 1.5 เมตร ซึ่งนักเรียนจะอ่านค่ามุมเงยได้ 24 องศา โดยสามารถคำนวณ ได้โดยสมการการหาค่า TANGENT สามารถคำนวณหาความสูงของต้นไม้ ตั้งแตร่ ะดับเหนือสายตาของนักเรยี นจนถงึ จดุ ยอดสดุ ของต้นไม้ (BC) ได้ Tan A = BC/AC (1) จากสมการข้างบนนักเรียนสามารถแทนค่าได้ดังนี้ มุมเงย (Tan A) = Tan 24 ระยะทางจากนักเรียนถงึ โคนต้นไม้ (AC) = 60 เมตร ความสงู ของตน้ ไมต้ ั้งแตร่ ะดับเหนือสายตาจนถงึ จดุ ยอดสุดของต้นไม้ (BC) คอื สง่ิ ท่ตี ้องการหา Tan 24 = BC/60 BC = 60 (Tan 24) BC = 60 (0.45) = 27 เมตร หาความสูงของตน้ ไมท้ ั้งตน้ โดย ความสูงของตน้ ไม้ท้งั ต้น = ความสงู ของ BC + ความสูงจากพนื้ ดนิ จนถึงระดับสายตา = 27 เมตร + 1.5 เมตร = 28.5 เมตร
123 ตารางท่ี 11 Tangent ท่มี า: สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561)
124 6.4 การคำนวณการกักเก็บคารบ์ อนและคาร์บอนไดออกไซด์ สมการคำนวณมวลชีวภาพของต้นไม้ในป่าธรรมชาติ สมการแอลโลเมตริก สำหรับ การคำนวณหามวลชีวภาพของต้นไมใ้ นป่าธรรมชาตปิ ระเภทต่าง ๆ ภาพที่ 51 Hypsometer-Clinometer ท่มี า: สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561)
125 6.5 สมการคำนวณมวลชวี ภาพของตน้ ไม้ในป่าธรรมชาติ ตารางท่ี 12 สมการแอลโลเมตรกิ ทใี่ ช้ในการคำนวณหามวลชวี ภาพของต้นไม้ในปา่ ธรรมชาติชนดิ ต่าง ๆ มีขนาด DBH มากกว่า 4.5 เซนติเมตร และของไม้ไผ่ ชนดิ ป่า สมการ ที่มา ปา่ ดิบแล้ง Tsutsumi และคณะ (1983) ปา่ ดบิ เขา Ws = 0.0506 (D2H)0.919 อ้างถึงในชิงชัย (2546) Wb = 0.00893 (D2H)0.977 ป่าเบญจพรรณ Wl = 0.0140 (D2H)0.669 Ogawa และคณะ (1965) ปา่ เต็งรัง Wr = 0.0313 (D2H)0.805 อา้ งถึงในชงิ ชยั (2546) ป่าดิบชน้ื Ws = 0.0396 (D2H)0.9326 Ogawa และคณะ (1965) Wb = 0.003487(D2H)1.0270 อ้างถึงในชงิ ชัย (2546) ป่าสนเขา Wl = (28.0/Wtc+0.025)-1 (สนสองใบ) สุนนั ทา (2531) อา้ งถงึ ใน Ws = 0.0396 (D2H)0.9326 ชงิ ชัย (2546) ปา่ สนเขา Wb = 0.006003 (D2H)1.0270 (สนสามใบ) Wl = (28.0/Wtc+0.025)-1 พงษ์ศักด์ิ (2531) อ้างถึงใน Wr = 0.0264 (D2H)0.7750 ชงิ ชัย (2546) ไผร่ วก ไผบ่ งดำ Ws = 0.2141 (D2H)0.9814 Suwannapinunt (1983) ไผ่ขา้ วหลาม Wb = 0.00002 (D2H)1.4561 Kutintara และคณะ (1995) ไผ่ไรแ่ ละไผผ่ าก Wl = 0.00072 (D2H)1.0138 อา้ งถึงในชิงชยั (2546) Ws = 0.02698 (D2H)0.946 Wb = 0.00018 (D2H)1.455 Wl = 0.00072 (D2H)1.094 Wt = 0.22187 (D)2.2749 Wt = 0.49522 (D2)0.8726 Wt = 0.17446 (D2)1.0437 Wt = 0.2425 (D2)1.0751 โดยที่ Ws = มวลชีวภาพแห้งสว่ นของลำต้น (กโิ ลกรัม) Wb = มวลชวี ภาพแหง้ สว่ นของกง่ิ (กโิ ลกรัม) Wl = มวลชวี ภาพแหง้ สว่ นของใบ (กิโลกรมั ) Wtc = มวลชวี ภาพแห้งของลำต้น+กง่ิ (กิโลกรัม) Wt = มวลชวี ภาพแหง้ ส่วนของลำต้น+ก่ิง+ใบ (กโิ ลกรมั ) D = ขนาดเส้นผา่ นศูนย์กลางทรี่ ะดบั อก ทรี่ ะดบั ความสงู 1.30 เมตร จากพ้นื ดิน (เซนตเิ มตร) H = ความสงู ของต้นไมถ้ ึงปลายยอด (เมตร)
126 6.6 การคำนวณการกกั เก็บคาร์บอน ในการประเมินคาร์บอน ในมวลชีวภาพของต้นไม้ เป็นไปตาม IPCC (2006) อ้างถึง ในส่วนพัฒนาวนศาสตร์ชุมชน สำนักจัดการป่าชุมชน (2557) โดยกำหนดให้ ประมาณร้อยละ 47 ของมวล ชวี ภาพของตน้ ไม้เปน็ คาร์บอน และมวลชีวภาพสว่ นทอี่ ยใู่ ตด้ นิ ประมาณร้อยละ 27 ปรมิ าณคารบ์ อนทก่ี ักเก็บ (กิโลกรัมคารบ์ อน) = มวลชวี ภาพของตน้ ไม้ (กิโลกรมั ) x 0.47 หมายเหต:ุ นักเรยี น สามารถแปลงเปน็ ตันคารบ์ อน ไดโ้ ดยนำผลลัพธห์ ารด้วย 1,000 กโิ ลกรัม 6.7 การคำนวณปริมาณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ท่ตี น้ ไมด้ ูดซับ การดดู ซบั คาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) = คา่ กกั เก็บคารบ์ อน (C) ท้ังหมด x 3.66 ของปา่ (ตนั คาร์บอนไดออกไซด์) ในการคำนวณ พิจารณามวลโมเลกุล (Molecular Weight) ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเท่ากับ 44 กรัม/โมล มวลโมเลกุล (Molecular Weight) ของคาร์บอน เท่ากับ 12 กรัม/โมล และสัดส่วน ระหวา่ งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคารบ์ อน เท่ากับ 44/12 เทา่ กบั 3.66 คูณด้วยคา่ การกกั เก็บคาร์บอน ทั้งนี้ สามารถคำนวณค่าการกักเก็บคาร์บอนอย่างง่าย ตามแนวทางที่ระบุในกรมส่งเสริม คณุ ภาพสิ่งแวดล้อม (2563) ได้ โดยเลือกวดั ตน้ ไม้ท่ีมีโอกาสรอด (ตน้ ไม้ที่มขี นาดเส้นรอบวงท่ีความสูงระดับอก ไม่น้อยกว่า 14.14 ซม.) และใช้สตู ร ปริมาณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ทีต่ ้นไมส้ ามารถดูดซับได้ (กโิ ลกรมั /ป)ี = 8 x จำนวนตน้ ไม้ (G.B.H.) มากกว่า 14.14 ซม. การจัดการขยะ (Waste Management) ขยะถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด ที่เราหลงลืมและมองข้ามว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคงต้องเป็นผู้แก้ไข แตจ่ รงิ ๆ แล้วตัวเราเองกส็ ามารถจดั การกบั มนั ได้โดยงา่ ย ขยะหรือมูลฝอย คือ เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุ ถุงพลาสติก ภาชนะ ที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยง หรือที่อื่น และหมายความ รวมถงึ มูลฝอยตดิ เชื้อ มูลฝอยท่ีเปน็ พิษ หรืออนั ตรายจากชุมชน นอกจากนี้ การจัดการขยะที่ถูกต้องน้นั จะชว่ ยลดการปลดปล่อยการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยวิธีการทดี่ ีทีส่ ดุ คือ การลดการเกิดขยะ
127 1. ประเภทของขยะ โดยทว่ั ไป เราสามารถแบ่งขยะ ได้เปน็ 4 ประเภท 1. ขยะอนิ ทรีย์หรอื มลู ฝอยยอ่ ยสลาย คือ ขยะท่ีเน่าเสียและยอ่ ยสลายได้เร็ว สามารถนำมา หมกั ทำปุย๋ ได้ เชน่ เศษผัก เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเน้ือ เปน็ ตน้ 2. ขยะรีไซเคิลหรือมลู ฝอยทีย่ ังใช้ได้ คือ ของเสียบรรจภุ ัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถ นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม เศษพลาสติก เศษโลหะ อลูมิเนียม ยางรถยนต์ กล่องเครือ่ งดืม่ แบบ UHT เปน็ ต้น 3. ขยะทั่วไปหรือมูลฝอยทั่วไป คือ ขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และ ขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลาย และไม่คุ้มค่าสำหรับการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติก ห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงพลาสติก เปื้อนเศษอาหาร โฟมเปือ้ นอาหาร ฟอยล์เปื้อนอาหาร เป็นต้น 4. ขยะอันตราย หรอื มลู ฝอยอนั ตราย คือ ขยะท่ีมีองค์ประกอบหรือปนเปื้อนวัตถุอันตราย ชนิดต่างๆ ซึ่งได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทำให้เกิดโรค วัตถุกัมมันตรังสี วัตถุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง วัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์ หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้เกิดอันตราย แก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟูออเรสเซนต์ แบตเตอรี่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาชนะบรรจุสารกำจัดศัตรูพืช กระป๋อง สเปรยบ์ รรจุสหี รอื สารเคมี เป็นต้น การเปลี่ยนจากขยะไร้ค่ามาเป็นเงิน ปัจจุบัน ได้กลายเป็นอาชีพๆ หนึ่ง คือ อาชีพรับซื้อของเก่า ซงึ่ รบั และขายสง่ ตามโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปกลับมาเป็นผลิตภัณฑใ์ หม่ แตร่ าคาที่ซื้อขายกันนั้นจะแตกต่างกัน ไป ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด ทั้งนี้ วิธีการแยกประเภทวัสดุรีไซเคิล เพื่อขายให้ได้ราคาดี ทำได้ง่าย ๆ ดังน้ี ตารางท่ี 13 การเพ่ิมมลู ค่าของขยะ ประเภท ประเภททขี่ ายได้ วิธเี ก็บ ราคา (บาท) /กก.* กระดาษ - กระดาษหนงั สอื พิมพ์ คดั แยกเปน็ ประเภทและมดั ให้ กระดาษขาว 7.4 บาท เรียบร้อยเวลาจำหนา่ ยจะได้ กล่องกระดาษ 5.3 บาท - กระดาษสมุด ราคาท่ีดีกว่า เน่อื งจากกระดาษ กระดาษหนังสือพมิ พ์ 5 บาท แตล่ ะประเภทมีราคารบั ซอ้ื ท่ี เศษกระดาษ 2.3 บาท - หนังสือ, นิตยสาร แตกตา่ ง - กระดาษกลอ่ ง - กระดาษขาว-ดำ - แผน่ พบั พลาสตกิ - ภาชนะพลาสตกิ บรรจุยา ถอดฝาขวด ริน/เท ของเหลวที่ พลาสติกขวดนำ้ ใส 15 บาท บรรจภุ ายในออกทำความ พลาสติกขวดน้ำขนุ่ 24 บาท สระผม ครมี อาบน้ำ สะอาดจากน้นั ทำให้แบนเพอื่ ถุงพลาสตกิ 4 บาท ประหยดั เนอื้ ที่ และเกบ็ เศษพลาสติกรวม 9.5 บาท - ถุงพลาสตกิ เหนยี ว รวบรวม แยกประเภทเป็นพลาสติกสี - ถังนำ้ กะละมงั ขาวขุ่นและ พลาสตกิ อืน่ ๆ เน่อื งจากพลาสตกิ แตล่ ะ - ขวดนำ้ มนั พชื หรอื ขวด ประเภทมีราคาแตกต่างกัน น้ำดืม่ ชนิดใส - บรรจภุ ณั ฑท์ มี่ ีเคร่อื งหมาย รีไซเคิล -ขวดนำ้ พลาสตกิ สขี าวขนุ่
128 ประเภท ประเภททข่ี ายได้ วิธเี ก็บ ราคา (บาท) /กก.* แกว้ - ขวดหรอื ภาชนะแก้วสำหรับ ถอดฝาริน/เทของเหลวที่บรรจุ บรรจุอาหาร เครื่องดมื่ ทกุ ภายในออกทำความสะอาด แกว้ 1 บาท, ขวดน้ำปลา 0.6 บาท โลหะ/อโลหะ ชนดิ ทง้ั ทมี่ ีสีใส เขียว และ และเกบ็ รวบรวม , ขวดและกล่องเบยี รล์ โี อ7 บาท/ นำ้ ตาล กล่อง, ขวดและกล่อง เบียรช์ า้ ง 8 ริน/เท ของเหลวท่ีบรรจภุ ายใน บาท/กล่อง, และกล่องเบียรส์ ิงห์ 7 - วสั ดุหรือเศษเหล็กทุกชนดิ ออก ทำความสะอาด จากนน้ั กลอ่ ง, ขวดและกล่องเบยี ร์ - กระปอ๋ งบรรจุอาหารทไี่ ม่ ทำใหแ้ บนเพือ่ ประหยดั เนอื้ ที่ Hineken 13 บาท/กล่อง เปน็ สนิม และเก็บรวมรวม - เครือ่ งดืม่ ที่เปน็ อะลูมิเนยี ม กระป๋องอลูมิเนยี ม 50 บาท - ทองแดง ทองเหลอื ง อลูมเิ นียม 55 บาท ตะกัว่ เศษเหล็กหนา 11.35 บาท เศษเหลก็ หนา 10.35 บาท กระปอ๋ งกาแฟ 1 บาท 2. หลกั การจัดการขยะ (Principle of Waste Management) 2.1 ลดการใช้ (Reduce) 1. ลดการขนขยะเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติก ถุงกระดาษกระดาษห่อของ โฟม หรือหนังสอื พิมพ์ เปน็ ตน้ 2. ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเติม เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่เหลว น้ำยารีดผ้า น้ำยา ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ถา่ นชนิดชารต์ ได้ ฯลฯ 3. ลดปริมาณขยะมูลฝอยอันตรายในบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีภายในบ้าน เช่น ยากำจัดแมลงหรือน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ควรจะหันไปใช้วิธีการทางธรรมชาติจะดีกว่า อาทิ ใช้เปลือกส้ม แห้งนำมาเผาไล่ยุง หรอื ใชผ้ ลมะนาวเพื่อดับกล่ินภายในห้องน้ำ 4. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้โฟมและพลาสติกซึ่งกำจัดยาก โดยใช้ถุงผ้าหรือตะกร้า ในการจบั จา่ ยซ้อื ของ 2.2 ใชซ้ ำ้ (Reuse) 1. นำสิ่งของที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เช่น ถุงพลาสติกที่ไม่เปรอะเปื้อนเก็บไว้ใช้ใส่ของ อีกครงั้ หน่ึง หรือใช้เป็นถงุ ใสข่ ยะในบ้าน 2. นำสิ่งของมาดัดแปลงให้ใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น การนำยางรถยนต์มาทำเก้าอี้ การนำ ขวดพลาสติกก็สามารถนำมาดดั แปลงเปน็ ทใี่ ส่ของ แจกนั การนำเศษผา้ มาทำเปลนอน เป็นต้น 3. ใชก้ ระดาษทัง้ สองหนา้ 2.3 การรีไซเคลิ (Recycle) เป็นการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษ แก้ว พลาสติก เหล็ก อะลูมิเนียม มาแปรรูป โดยกรรมวิธีต่างๆ นอกจากจะเป็นการลดปรมิ าณขยะมูลฝอยแล้ว ยังเป็นการลดการใช้ พลงั งานและลดมลพษิ ที่เกิดกบั สิง่ แวดล้อม ซึง่ เราสามารถทำไดโ้ ดย 1. คดั แยกขยะรีไซเคิล แต่ละประเภท ได้แก่ แก้ว กระดาษ พลาสตกิ โลหะ/อโลหะ 2. นำไปขาย/บรจิ าค/ นำเขา้ ธนาคารขยะ/กิจกรรม ขยะแลกไข่ 3. ขยะเหล่าน้กี จ็ ะเขา้ สกู่ ระบวนการรีไซเคิล
129 3. กจิ กรรมการนำขยะกลบั มาใชป้ ระโยชน์ ก่อนที่จะนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ ต้องมีการคัดแยกประเภท ขยะมูลฝอยภายในบ้าน เพื่อเป็นการสะดวกแก่ผู้เก็บขนและสามารถ นำขยะบางชนิดไปขายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและครอบครวั รวมทง้ั งา่ ยตอ่ การนำไปกำจัดอกี ดว้ ย โดยสามารถทำได้ดังน้ี ภาพที่ 52 แนวคิดการจดั การขยะ ที่มา: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ ม (2563)
130 ตารางท่ี 14 การนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ ประเภท แยกวธิ ใี ด นำไปใช้ประโยชน์ ขยะอนิ ทรีย์ ▪ คดั แยกอาหาร กิ่งไม้ ใบไม้ ▪ รวบรวมเศษอาหารไวเ้ ล้ยี งสตั ว์ ออกจากขยะอ่ืน ๆ ▪ นำเศษผกั ผลไมแ้ ละเศษอาหารไปทำขยะหอม ▪ จัดหาภาชนะทม่ี ีฝาปิดเพื่อ หรอื นำ้ หมักจุลนิ ทรยี ์ (EM) แยกเศษอาหาร ผัก ผลไม้ ▪ เศษกิ่งไม้ ใบไม้ ผสมกบั กากท่ีได้จากการทำ ขยะหอมกลายเป็นป๋ยุ หมักอินทรีย์ ขยะรไี ซเคลิ แยกขยะรีไซเคลิ ทข่ี ายได้ แต่ละ ▪ รวบรวมมาเขา้ กิจกรรมของชุมชน ประเภทให้เปน็ ระเบยี บ เพ่ือ เชน่ ธนาคารขยะแลกแต้ม ขยะแลกไข่ สะดวกในการหยบิ ใช้ หรือจำหน่าย ธนาคารขยะ ผา้ ป่ารีไซเคิล เป็นต้น ▪ นำมาใชซ้ ้ำโดยประยุกตเ์ ป็นอุปกรณ์ในบา้ น เช่น ขวดน้ำพลาสติกมาตดั เพ่อื ปลูกตน้ ไม้ กระป๋องน้ำอดั ลม ตดั ฝาใชเ้ ป็นแกว้ นำ้ ขวดแกว้ ขวดพลาสตกิ มาใสก่ าแฟ เครอ่ื งปรุง ตา่ ง ๆ หรอื ผงซกั ฟอกชนิดเตมิ ได้ ฯลฯ ขยะอนั ตราย แยกขยะอนั ตราย ออกจากขยะ ขยะอนั ตรายบางประเภทสามารถนำกลับมา (ขยะพษิ ) อ่นื ๆ โดยในการคดั แยกต้อง แปรรปู ใช้ใหม่ได้ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ระวงั ไม่ให้ขยะอันตรายสารเคมี แบบตรง แบตเตอร่โี ทรศัพท์เคลื่อนที่ ถ่านชาร์จ ทบ่ี รรจอุ ยูส่ ัมผสั รา่ งกายหรือเข้าตา เป็นต้น แตป่ จั จุบนั ยังไม่มมี ูลคา่ พอท่ีจะขายได้ แต่ท่านสามารถช่วยปอ้ งกันปัญหาภาวะมลพิษ จากขยะได้ โดยรวบรวมนำไปกำจัดอย่างถูกวธิ ี 4. ดิน (Soil) ดิน ประกอบดว้ ยสว่ นท่ีเป็น ของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ ในปรมิ าณและสดั สว่ นท่ีแตกต่างกัน ไป ขนึ้ อย่กู บั อิทธิพลของปัจจัยทีส่ ำคญั ต่อการเกิดดิน 5 ปัจจยั ได้แก่ ภูมอิ ากาศ วตั ถตุ น้ กำหนดดนิ สภาพพื้นที่ สิง่ มีชวี ิต และระยะเวลาท่ีควบคมุ กระบวนการต่าง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ ในดนิ 4.1 ส่วนที่เปน็ ของแข็ง ประกอบด้วย อนนิ ทรยี วตั ถุ อินทรียวัตถุ และสิ่งมชี วี ิต 4.1.1 อนินทรียวัตถุ (Inorganic Matter) เป็นสวนที่มีปริมาณมากที่สุดในดินทั่วไป (ยกเว้นดินอินทรีย์) ได้มาจากการผุพังสลายตัวของหินและแร่ มีขนาดแตกต่างกันไปทั้งที่มีขนาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร ที่เป็นอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว และชิ้นส่วนหยาบที่มีขนาด 2 มิลลิเมตร หรือใหญ่กว่า อนินทรียวัตถุ เป็นส่วนที่สำคัญในการควบคุมลักษณะของเนื้อดิน เป็นแหล่งธาตุอาหารของพืช และของจลุ นิ ทรีย์ดนิ ควบคุมกระบวนการตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึน้ ในดนิ 4.1.2 อินทรียวัตถุ (Organic Matter) อินทรียวัตถุในดิน เป็นส่วนของซากพืชซากสัตว์ ทีถ่ กู ย่อยสลาย โดยจุลนิ ทรีย์ดิน จะมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลาย เกิดเป็นสารประกอบอินทรีย์ต่าง ๆ ขึ้นมา มีความสำคัญต่อสมบัติทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร เช่น โครงสร้างดิน
131 ความร่วนซุย การระบายน้ำ การถ่ายเทอากาศ การดูดซับน้ำและธาตุอาหารของดิน แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงซากพืช หรอื เศษรากพืช หรือสัตว์ทย่ี งั ไมม่ กี ารย่อยสลาย 4.1.3 สง่ิ มีชีวิต (Living Organism) หมายรวมถึง พชื และสตั ว์ ทงั้ ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ ที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ไส้เดือน หนอน มด ปลวก รากพืช จุลินทรีย์ดิน สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหล่านี้แทรกตัวอาศัยอยู่ตามช่องว่างในดิน มีบทบาทต่อการผุพังสลายตัวของหินและแร่ การย่อยสลาย อนิ ทรียวตั ถุ การเปลีย่ นแปลงสมบัติต่าง ๆ ของดิน การถ่ายเทอากาศ การเคลอ่ื นย้ายของสารต่าง ๆ ในดนิ 4.2 ส่วนที่เป็นของเหลว (Liquid Phase) หมายรวมถึง ส่วนที่เป็นน้ำและสารละลายในดิน ซ่งึ จะเกดิ ตามช่องว่างในดนิ ปรมิ าณของเหลวจะเป็นสดั ส่วนกลับกับส่วนท่ที ่เี ปน็ กา๊ ซ น้ำและสารละลาย ที่พบอยู่ในช่องว่างระหว่างอนุภาพดินหรือเม็ดดิน มีความสำคัญมาก ต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยช่วยละลายธาตุอาหารต่าง ๆ ในดิน และเป็นส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้าย อาหารพชื จากดนิ ไปสู่ราก และจากรากไปสู่สว่ นตา่ ง ๆ ของพืช 4.3 ส่วนที่เป็นก๊าซ (Gas Phase) หมายถึง ส่วนที่เป็นอากาศ ซึ่งประกอบด้วย ไอน้ำ ก๊าซต่าง ๆ ที่พบโดยทั่วไปในดิน ได้แก่ ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนออกไซต์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือก๊าซ ไขเ่ นา่ ก๊าซมีเทน เปน็ ต้น ซ่งึ เปน็ ประโยชนแ์ ละเปน็ พิษต่อพชื และสง่ิ มีชีวติ ในดนิ ภาพท่ี 53 ความสัมพนั ธ์ของปัจจยั ต่าง ๆ ในดนิ ท่มี า: สำนักสำรวจและวจิ ยั ทรพั ยากรดิน (2553)
132 องค์การสหประชาชาติ (FAO) ได้ตระหนักถึงวิกฤตที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรดิน จึงได้กำหนด หัวข้อการเฉลิมฉลองวันดินโลกและการจัดกิจกรรมวันดินโลก 5 ธันวาคม 2561 ว่า “Be the Solution to Soil Pollution” ซึ่งให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหามลพิษทางดิน เป้าหมาย เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ทุกคน ตระหนกั ถึงปญั หามลพษิ ทางดิน รว่ มกันลดมลพิษออกสู่ชุมชน และกระตนุ้ ใหม้ กี ารเปล่ียนแปลงไปในทางท่ดี ี 3.4 มลพิษทางดิน (Soil Pollution) หมายถึง ภาวการณ์ปนเปื้อนของดินด้วยสารมลพิษของดนิ (Soil Pollutant) มากเกินขีดจำกัด จนมีอันตรายตอ่ สุขภาพ อนามัย ตลอดจนการเจริญเติบโตของมนุษย์และ สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ มลพิษทางดิน ส่งผลถึงอาหารที่เรารับประทาน น้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ และ ความอุดมสมบรู ณ์ของระบบนเิ วศ 4.4 แหล่งกำเนดิ สารมลพษิ 1. สารเคมฆี ่าศัตรูพชื ไดแ้ ก่ สารฆา่ วัชพชื สารฆ่าแมลงสารฆา่ รา และสารอบดนิ เป็นต้น 2. การใช้ปุ๋ยเคมแี ละการไถพรวนทไี่ มเ่ หมาะสม 3. การทำเหมอื งเปิดและของเสียจากการทำเหมือง 4. การใช้ดนิ ท่ีไม่ถูกต้อง เชน่ การใช้ปูนทมี่ ากเกินไป หรอื การใชป้ ุ๋ยเคมีท่ีมีฤทธิ์ตกค้างเป็น ด่างเป็นเวลานาน การทำนาเกลือ อาจทำให้เกิดการสะสมเกลือบริเวณผิวหน้าดิน ทำให้ไม่สามารถปลูกพืช ได้ผล 5. การใชด้ นิ เป็นแหลง่ ทง้ิ วสั ดุเหลือใช้ 6. การตัดไม้ทำลายป่า การเผาป่า ถางป่าทำให้หน้าดินเปิด และถูกชะล้างได้ง่าย โดยนำ้ และลมเมือ่ ฝนตกลงมา น้ำกช็ ะล้างเอาหนา้ ดนิ ท่อี ดุ มสมบรู ณไ์ ปกบั น้ำ ทำให้ดนิ มคี ุณภาพเสอ่ื มลง 4.5 สาเหตุการเกดิ มลพษิ ดิน 1. ดินเสียโดยกำเนิดหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่น ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินพรุ หรือดิน อนิ ทรยี ์ ดินท่ีมีสารกมั มนั ตรังสี และดินท่ีเจือปนดว้ ยโลหะหนัก เปน็ ตน้ 2. ดินเสยี จากกจิ กรรมของมนุษย์ เชน่ ➢ การใช้ปุ๋ยเคมีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตรแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ปุ๋ยเคมีที่ประกอบด้วยธาตุอาหารหลักของพืช ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) เม่อื ใช้ติดตอ่ กนั เป็นเวลานานจะทำใหด้ นิ เปร้ียว มสี ภาพความเป็นกรดสงู ➢การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) ทำให้ดินเป็นแหล่งสะสมสารเคมีที่มีผล ตกค้างนาน เช่น สารประเภทคลอรีนอินทรีย์ (Organochlorine) เป็นต้น และสารประเภทอนินทรีย์ที่ใช้ธาตุ พษิ เปน็ องคป์ ระกอบหลัก เชน่ สารหนู ทองแดง และปรอท ฯลฯ ➢การปล่อยให้น้ำเสียจากกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นน้ำเสียที่เกิดจากการชะล้าง ผา่ นสารเคมีตา่ งๆ ในอตุ สาหกรรม เช่น สารพซี บี ี (PCB) ทใ่ี ชใ้ นการผลิตสแี ละพลาสติก สารเอชซบี ี (HCB) ท่ีใช้ ในการผลิตยางสงั เคราะห์ ➢การใช้ดนิ เปน็ แหลง่ ท้ิงวัสดุเหลือใช้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การท้ิงวัสดุเหลือใช้อันตราย ซง่ึ ยากต่อการย่อยสลาย จะเกดิ การสะสม ในดนิ จน ทำใหเ้ กดิ ภาวะมลพษิ ดิน
133 ➢การรั่วไหลสารกัมมันตรังสี จากการทดลองหรือจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือจาก เตาปฏิกรณ์ปรมาณู สารกัมมันตรังสีจะถูก ดูดซึมไปอยู่ในใบและดอกของพืช แล้วผ่านทางห่วงโซ่อาหารมา จนกระท่ังถงึ ตวั มนุษย์ ➢การทำเหมืองแรแ่ ทบทกุ ชนิด จะสง่ ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม ไม่ว่าจะเปน็ ทรัพยากร ดินหรอื ทรัพยากรน้ำท่จี ะตอ้ งเกดิ การปนเป้ือน และกอ่ ให้เกดิ มลพิษในอากาศดว้ ย 4.6 การควบคมุ และแก้ไขปญั หามลพษิ ดิน ใชม้ าตรการทางกฎหมายควบคุมการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากร ดนิ เพอื่ ควบคมุ การใช้ที่ดิน ให้เหมาะสม และควบคุมปรมิ าณสารมลพษิ ในดินไม่ใหเ้ กนิ มาตรฐาน ใช้มาตรการทางเทคโนโลยีป้องกัน แก้ไขปัญหามลพิษทางดินโดยการควบคุมการกำจัด ของเสียและแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ตลอดจนควบคุมการใช้สารเคมีให้เหมาะสม และควรต้องมีการสำรวจ ตรวจสอบ และเฝ้าระวังคุณภาพดินโดยสม่ำเสมอ ใช้มาตรการทางการศึกษา ให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกยี่ วกับการปอ้ งกนั และแก้ไขมลพิษดิน 4.7 แนวทางการลดการปนเปื้อนมลพิษในดิน การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในดิน การจะทำให้หายไปหมดสนิท ในทุกจุดคงเป็นไป แทบจะไม่ได้ ดงั นนั้ จึงเปน็ การควบคุมใหเ้ กดิ การปนเปือ้ นของสารมลพิษให้น้อยทสี่ ุด เพ่ือลดปญั หา ซึ่งสามารถ ทำได้ดังนี้ 1. สง่ เสริมการทำเกษตรอยา่ งยง่ั ยืน การใชท้ ี่ดินในการเกษตรกรรมควรทำอย่างถูกต้อง โดยคำนึงถึงการ บำรุงรักษาดินด้วย เช่น การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน หรือการปลูกพืชหลาย ชนิดสลับกัน การปลูกพืชในแนวระดับตามไหล่เขา จะชว่ ยรกั ษาสภาวะแวดลอ้ มของดนิ ได้ 2. ไม่ควรตัดไม้ทำลายป่า หรือหักล้างถางป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งมีผลทำให้เกิด ความเสียหายกับดินได้ การปลูกป่าทดแทน การปลูกต้นไม้เปน็ การควบคุมที่สามารถทำได้ง่ายท่ีสุด เพราะราก ของตน้ ไมจ้ ะชว่ ยฟืน้ ฟแู ละปรบั สภาพโครงสร้างของดิน และทำใหพ้ ้นื ทีบ่ ริเวณนนั้ มคี วามอดุ มสมบรู ณเ์ พ่ิมข้ึน 3. การใช้ยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์กับแปลงพืชและฟาร์มปศุสัตว์ ต้องใช้ให้ถูกวิธี ถูกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้อาจทำให้ศัตรูพืชโดยเฉพาะแมลงสร้างความต้านทานจากฤทธิ์ยา ทำให้เกิดการระบาดที่รุนแรง ทำความเสียหายมากขึ้น หากกระทำโดยไม่ระมัดระวัง และขาดความรู้ ความรับผดิ ชอบในการใช้ 4. ขยะมูลฝอยจากชุมชนเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีผลทำให้เกิดมลพิษทางดินควรกำจัด อย่างถูกต้อง โดยแยกประเภทขยะเพื่อง่ายต่อการเก็บ และนำไปกำจัดให้ถูกวิธี ขยะที่เป็นสารอินทรีย์คว รนำ เศษวัสดไุ ปทำปยุ๋ หมัก ส่วนขยะจากโรงงานอตุ สาหกรรมควรกำจัดให้ถกู หลักวิชาการ 5. การควบคุมแหล่งกำเนิดโดยตรง เป็นการแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง เช่น การกำหนด พื้นที่ฝังกลบขยะให้เป็นหลักแหล่ง กำหนดสถานที่ในการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ออกมาตรการ ควบคุมกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การใช้ยาฆ่าแมลง เพื่อควบคุมปริมาณสารปนเปื้อนลงในดิน มีการนำดิน ที่เกิดการปนเปื้อนมาฟื้นฟูเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้ง มีการตรวจสอบสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในบริเวณ ท่ีเส่ยี งตอ่ การปนเป้อื นอยูเ่ สมอ
134 6. การใช้เทคโนโลยีการบำบัดและฟื้นฟูดินปนเป้ือนมีหลายวิธี โดยวิธีที่นิยมใช้ คือ การขุดดินปนเปือ้ นไปบำบดั และกำจัดในพื้นที่อื่นปล่อยดินปนเปื้อนไว้ท่ีเดิมและทำการบำบัดในพื้นที่ปล่อยดนิ ปนเปื้อนไว้ที่เดิมและทำการป้องกันไม่ให้การปนเปื้อนแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้างไปสู่พืช สัตว์ และมนุษย์ ซ่งึ ตอ้ งทำใหถ้ ูกหลักวชิ าการ พร้อมจัดให้มีระบบป้องกันการถกู สัมผัสโดยตรงและมีระบบรวบรวมน้ำฝนป้องกัน การร่ัวซึมสู่ดนิ 7. การปลูกพืชเพื่อดดู ซับสารมลพษิ เชน่ หญา้ แฝก ไมด้ อกไมป้ ระดับ 4.8 การแปลผลวิเคราะหด์ นิ เมื่อได้รับผลวิเคราะห์ตัวอย่างดินแล้วสามารถประเมินระดับธาตุอาหารแต่ละชนิดว่าสูง ปานกลาง หรือต่ำ ค่าความเป็นกรดเป็นต่างของดิน(pH) กับความต้องการปูนในการปรับปรุงดินจาก ค่ามาตรฐานที่สามารถประเมินไดด้ ้วยตนเอง ดงั นี้ 4.8.1 ระดับไนโตรเจน ธาตุไนโตรเจนปกติ จะมีอยู่ในอากาศในรูปของก๊าซไนโตรเจน เปน็ จำนวนมาก แต่ไนโตรเจนในอากาศในรปู ของกา๊ ซนัน้ พืชนำเอาไปใช้ประโยชนอ์ ะไรไม่ได้ (ยกเวน้ พชื ตระกูล ถั่วเท่าน้ัน ที่มีระบบรากพิเศษ สามารถแปรรูปก๊าซไนโตรเจนจากอากาศ เอามาใช้ประโยชน์ได)้ ธาตุไนโตรเจน ที่พืชทั่ว ๆ ไปดึงดูดขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้นั้น จะต้องอยู่ในรูปของอนุมูลของสารประกอบ เช่น แอมโมเนียม ไอออน (NH4+) และไนเตรตไอออน (NO3-) ธาตุไนโตรเจนในดินที่อยู่ในรูปเหล่านี้จะมาจากการสลายตัว ของสารอนิ ทรียวัตถุในดิน โดยจุลนิ ทรยี ใ์ นดิน จะเปน็ ผ้ปู ลดปลอ่ ยให้ นอกจากน้นั ก็ไดม้ าจากการท่ีเราใส่ปุ๋ยเคมี ลงไปในดนิ ด้วย พืชโดยทั่วไป มีความต้องการธาตุไนโตรเจนเป็นจำนวนมาก เป็นธาตุอาหารที่สำคัญ มาก ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของพืช พืชที่ได้รับไนโตรเจนอย่างเพียงพอ ใบจะมีสีเขียวสด มีความแข็งแรง โตเร็ว และทำให้พืชออกดอกและผลที่สมบูรณ์ เมื่อพืชได้รับไนโตรเจนมาก ๆ บางครั้งก็ทำให้ เกิดผลเสียได้เหมือนกัน เช่น จะทำให้พืชอวบน้ำมาก ต้นอ่อน ล้มง่าย โรคและแมลงเข้ารบกวนทำลายได้ง่าย คุณภาพ ผลิตผลของพืชบางชนิดก็จะเสียไปได้ เช่น ทำให้ ต้นมันไม่ลงหัว มีแป้งน้อย อ้อยจืด ส้ม เปรี้ยว และมีกากมาก แต่บางพืชก็อาจทำให้คุณภาพดี ขึ้น โดยเฉพาะพวกผักรับประทานใบ ถ้าได้รับไนโตรเจนมาก จะอ่อน อวบนำ้ และกรอบ ทำใหม้ เี สน้ ใยนอ้ ย และมีน้ำหนักดี แตผ่ กั มักจะเนา่ งา่ ย และแมลงชอบรบกวน ตารางท่ี 15 ระดับไนโตรเจน ระดับ ร้อยละ ต่ำมาก <0.05 0.05-0.09 ตำ่ 0.10-0.14 ปานกลาง ≥ 0.15 สงู ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน (2563ก)
135 4.8.2 ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) พีเอชของดิน มีความสำคัญต่อการปลูกพืชมาก เพราะเป็นตัวควบคุมการละลายธาตุอาหารในดินออกมาอยู่ในสารละลายหรือน้ำในดิน ถ้าดินมีพีเอช ไม่เหมาะสม ธาตุอาหารในดินอาจจะละลายออกมาได้น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช หรือในทาง ตรงกันขา้ ม ธาตุอาหารบางชนิดอาจจะละลายออกมามากเกินไป จนเปน็ พิษตอ่ พืชได้ สำหรับพชื ทั่ว ๆ ไปมักจะ เจริญเติบโตในช่วงพเี อช 6-7 ตารางที่ 16 ระดบั ความเป็นกรดเป็นด่างของดนิ (pH) ระดบั คา่ ความเปน็ กรดเป็นด่าง (pH) กรดรนุ แรงมากท่ีสดุ <3.5 3.5 - 4.5 กรดรนุ แรงมาก 4.6 – 5.0 กรดจัดมาก 5.1 – 5.5 5.6 – 6.0 กรดจดั 6.1 – 6.5 กรดปานกลาง 6.6 – 7.3 กรดเลก็ นอ้ ย 7.4 – 7.8 7.9 – 8.4 กลาง 8.5 – 9.0 ดา่ งเลก็ นอ้ ย >9.0 ดา่ งปานกลาง ด่างจัด ด่างจดั มาก 4.8.3 ความเค็มของดนิ หมายถึง ความเข้มขน้ ของสารละลายเกลือในดนิ ท่ีมคี วามเค็มมาก จะทำให้รากพืชไม่สามารถดูดน้ำและอาหาร หรือดูดไปใช้ได้น้อย ความเค็มของดินสามารถตรวจสอบได้ โดยการวัดความสามารถในการนำไฟฟ้าของดิน ตารางตอ่ ไปน้ีจะช่วยให้ทราบว่าทดี่ ินของเกษตรกรเป็นดินเค็ม หรือไม่ เหมาะสมหรือไมส่ ำหรบั การปลูกพชื ตารางที่ 17 ค่าการนำไฟฟา้ ของดิน ระดบั ความเค็มและผลกระทบต่อกลุ่มพชื ค่าการนำไฟฟา้ ของดนิ ระดับความเค็ม ผลกระทบต่อกลุ่มพืช (เดซีซเี มน/เมตร) 0 – 2 ไม่เค็ม ไมก่ ระทบต่อการปลกู พืชทุกชนิด 2–4 เค็มน้อย พืชท่ีไวต่อความเคม็ มีการเจรญิ เตบิ โตลดลงบา้ ง 4–8 เค็มปานกลาง พชื ทนเค็มเท่านั้นท่ีเจริญเติบโตได้ดี 8 – 16 เคม็ มาก พชื ทนเค็มบางชนดิ เท่านั้นทีเ่ จรญิ เติบโตไดด้ ี >16 เคม็ มากทส่ี ุด พืชทุกชนดิ ไมส่ ามารถเจริญเติบโตได้เลย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221