Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โคกก่อ_v2

โคกก่อ_v2

Published by thanakit ritsri, 2023-07-21 12:37:29

Description: โคกก่อ_v2

Search

Read the Text Version

41 ◼ ก๊าซเรือนกระจกท่ที ั่วโลกให้ความสำคญั  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide: CO2) เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซลิ จำพวกน้ำมัน ถา่ นหนิ กา๊ ซธรรมชาติ ในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม คมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า รวมถึงเกิดจากการเผาป่า เป็นต้น เชื้อเพลิงเหล่านี้มีสารคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก เมื่อถูกเผาไหม้ จะเกดิ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดล์ อยขึ้นสบู่ รรยากาศ  ก๊าซมีเทน (Methane: CH4) เกิดจากการย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เราสามารถ พบก๊าซมีเทนตามธรรมชาติได้บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ (Swamp/ Wetland) นอกจากนี้ก๊าซมีเทนยังเกิดจาก กจิ กรรมต่างๆของมนุษย์ดว้ ย เชน่ กจิ กรรมทางการเกษตร (การปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว)์ การฝังกลบขยะมูลฝอย ในบอ่ ขยะ การทำเหมืองแร่ และการผลิตถ่านหิน ฯลฯ แม้ในชั้นบรรยากาศจะมีก๊าซมเี ทนอยู่น้อยแต่ก๊าซชนิดนี้ สามารถดูดซับความรอ้ นได้มากกว่า CO2 ถงึ 25 เทา่  ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide: N2O) เกิดจากการทำการเกษตร ปศุสัตว์ การย่อย สลายของซากพืชและซากสัตว์ และการใช้ปุ๋ยที่มีองค์ประกอบของไนโตรเจน การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาค พลงั งาน ฯลฯ  กา๊ ซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrofluorocarbons: HFCs) ใช้เปน็ สารทำความเย็นในเครื่อง ปรบั อากาศ และใชใ้ นอตุ สาหกรรมโฟมและสารดบั เพลิง  ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (Perfluorocarbons: PFCs) พบในการหลอมอะลูมิเนียม และผลิตสารกึง่ ตวั นำไฟฟา้  ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (Sulfur Hexafluoride: SF6) นำมาใช้เป็นฉนวนไฟฟ้าป้องกัน การเกิดประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง หรือนำมาใช้เพื่อช่วยระบายความร้อนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง และนิยมนำไปใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ก๊าซชนิดนี้ถูกระบุว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพ ในการทำใหเ้ กิดโลกรอ้ นมากทสี่ ดุ มากกว่าคาร์บอนไดออกไซดถ์ ึง 22,800 เท่า  ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลอู อไรด์ (Nitrogen Trifluoride : NF3) เป็นกา๊ ซที่พบมากในอตุ สาหกรรม ผลิตวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือแผงวงจรขนาดเล็กสำหรับคอมพิวเตอรเ์ ช่น โซลาร์เซลล์จอแอลซีดี ทใี่ ช้ในโทรทัศน์ และโทรศพั ท์มือถอื ฯลฯ ในบรรดาก๊าซเรอื นกระจกทง้ั หมดที่ปลอ่ ยออกสชู่ ั้นบรรยากาศโลก กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์มปี รมิ าณ มากที่สุด ประมาณ 76 เปอร์เซ็นต์ โดยแบ่งเปน็ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ท่ีเกิดจากการเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ ฟอสซลิ เชน่ นำ้ มนั ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน คิดเปน็ 65 เปอร์เซน็ ต์ และเปน็ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซดท์ เ่ี กิดจากการใช้ ประโยชน์ที่ดินและป่าไม้ คิดเป็น 11 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ก๊าซมีเทน 16 เปอร์เซ็นต์ ก๊าซไนตรัสออกไซด์

42 6 เปอรเ์ ซน็ ต์ และอกี 2 เปอร์เซ็นต์ คอื กล่มุ ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคารบ์ อน เปอร์ฟลอู อโรคารบ์ อน ซัลเฟอรเ์ ฮกซะ ฟลอู อไรด์ และไนโตรเจนไตรฟลอู อไรด์ ภาพที่ 19 ประมาณก๊าซเรอื กระจกแต่ละชนดิ ท่ีมา: IPCC (2014). Climate Change 2014: Mitigation of Climate Change. Contribution of Working Group III to the Fifth Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change อ้างถึงในกรมสง่ เสรมิ คุณภาพสง่ิ แวดลอ้ ม (2563)

43 ตารางที่ 5 ศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนของแต่ละกา๊ ซเรอื นกระจก กา๊ ซเรือนกระจก อายุในช้นั บรรยากาศ ศกั ยภาพในการทำใหเ้ กดิ ภาวะโลกร้อน (ป)ี (เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์) คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) 5 - 200 1 มีเทน (CH4) 12 25 ไนตรสั ออกไซด์ (N2O) 114 298 ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) 1.4 = 270 124 – 14,800 เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) 1,000 – 50,000 7,390 – 12,200 ซัลเฟอร์เฮกซะฟลอู อไรด์ (SF6) 3,200 22,800 ไนโตรเจนไตรฟลอู อไรด์ (NF3) 740 17,200 ที่มา: IPCC Forth Assessment Report – Climate Change 2007 อา้ งถึงในกรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ ม (2563) “...จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกน้ัน มีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ กล่าวคือ ถ้าความเข้มข้นของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้น จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง อุณหภูมิ ก็จะลดลงเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันความสัมพันธ์ดังกลา่ ว ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เพราะว่า ความเข้มข้น ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติ อตุ สาหกรรม ไดท้ ำให้เกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก และการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศไปทวั่ โลก ที่น่าตกใจ ก็คือ ก๊าซเรือนกระจกบางชนิดสามารถสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานนับร้อย ๆ ปี ลองคิดดูว่า ถา้ เรายงั ไม่หยุด ปล่อยก๊าซเรอื นกระจกต้งั แต่ตอนน้ี เราคงหนีไมพ่ น้ หายนะทก่ี ำาลงั รอเราอยเู่ บื้องหนา้ ...”

44 ภาพที่ 20 กราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างปริมาณก๊าซเรอื นกระจกในชัน้ บรรยากาศ และอณุ หภมู เิ ฉลี่ยของโลก ที่มา: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม (2563)

45 ภาพที่ 21 สาเหตขุ องโลกรอ้ นจากการทำลายโอโซน ท่ีมา: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ ม (2563)

46 ภาพที่ 22 ช้นั บรรยากาศ ท่มี า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม (2563) อย่างไรก็ตาม แม้การเกิดภาวะโลกร้อน มิได้มีสาเหตุโดยตรงจากการเกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน แตก่ ารเพม่ิ ขึ้น ของสารทำลายช้ันโอโซน จำพวกสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ CFC (ถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ ทำความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น แต่ปัจจุบันหลายประเทศได้ห้ามไม่ให้มีการใช้สาร CFC แล้ว) นอกจากจะ ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศให้เป็นรูโหว่จนรังสีต่าง ๆ จากดวงอาทิตย์เล็ดลอดมายังผิวโลก ได้มากขึ้นแล้ว CFC ยังไปเพิ่มความหนาของบรรยากาศในชั้นโทรโพสเฟียร์ ส่งผลให้รังสีความร้อนที่ส่องมา สะท้อนกลับออกไป นอกโลกได้ยากลำบากขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้โลกร้อนขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อสาร CFC ที่สามารถลอดผ่าน ชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปได้ ก็จะไปทำลายโอโซน ทำให้โอโซนเกิดรูรั่วเพิ่มขึ้นอีก จนรังสี UV สามารถส่องตรง มายังโลกได้มากขึ้น ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า รังสี UV ที่ทะลุผ่านชั้นโอโซนมายังโลก เป็นหนึ่งในสาเหตุของ โลกร้อน จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะรังสี UV ไม่ใช่รังสีความร้อน แต่สารเคมีในกลุ่ม คลอโรฟลอู อโรคาร์บอน ตา่ งหากทเ่ี ปน็ หน่งึ ในตัวการสำคญั ในการทำให้เกดิ ภาวะโลกร้อน

47 ◼ สาเหตขุ องการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากกิจกรรม ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการนำเชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้ในภาคพลังงาน ขนส่ง และอุตสาหกรรม กิจกรรมตา่ ง ๆ ในภาคการเกษตร และอุตสาหกรรม รวมถึงการตัดไมท้ ำลายป่า ซ่ึงเปน็ แหล่ง ดดู ซับคาร์บอนทสี่ ำคัญของโลก ท้งั หมดนม้ี สี ว่ นในการเพม่ิ ปรมิ าณก๊าซเรอื นกระจกทั้งทางตรงและทางออ้ ม  การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง คือ กิจกรรมที่เราเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง ณ เวลาทเ่ี รา ทำกจิ กรรมน้ัน เช่น กจิ กรรมจากการเดนิ ทาง และการขนสง่ เพราะกิจกรรมเหล่านัน้ ต้องใช้น้ำมัน ซ่งึ กระบวนการเผาไหมข้ องเครือ่ งยนต์ ทำให้เกิดก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ หนง่ึ ในก๊าซเรือนกระจก ทเี่ ป็นสาเหตุ ของภาวะโลกร้อน ภาพที่ 23 การปลดปล่อยก๊าซเรอื นกระจกทางตรง ทีม่ า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดล้อม (2563)  การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม คือ กิจกรรมที่เราไม่ได้เป็นคนปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตรงในขณะนั้น แต่การกระทำหรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือน กระจก เช่น การใช้ไฟฟ้า เพราะโรงงานผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจำพวก น้ำมัน ถ่านหิน และ ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงหลัก หรือ การบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ ที่ใช้ครั้งเดียว แล้วทิ้ง จำพวกถุงพลาสติก หรือหลอดเครื่องดื่ม รวมถึงการรับประทานอาหารเหลือท้ิง เพราะสินค้าและพฤติกรรมในการบริโภคในลักษณะนี้ ล้วนต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การผลิต การขนส่ง การจัดจำหน่าย และการนำไปกำจัดหลังการใช้งาน ดังนั้นหากเราใช้ไฟฟ้า อย่างไม่ประหยัด หรือ บรโิ ภคจนเกนิ ความจำเป็น กจ็ ะมีส่วนทำให้โลกร้อนข้นึ

48 จากการสำรวจของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปล งสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change) ระบุว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ทั่วโลกปล่อย สูช่ น้ั บรรยากาศ มาจากกจิ กรรมประเภทตา่ งๆ ดงั นี้ ภาพท่ี 24 ปรมิ าณการปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกของโลก แยกตามประเภทของกจิ กรรม ทมี่ า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม (2563)

49 ภาพที่ 25 ก๊าซเรอื นกระจก ท่มี า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม (2563)

50  พฤตกิ รรมทป่ี ลอ่ ย CO2 กิจกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน ตั้งแต่ตื่นนอน รับประทานอาหาร เดินทาง ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ ทำงาน การจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ล้วนมีผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยกันทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า รอยเท้าคาร์บอน หรือ Carbon Footprint เพื่อ นำมาใช้ในการวัดปริมาณ CO2 ที่ถูกปล่อยมาจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งจะประเมินกันตั้งแต่การไดม้ าซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการซากผลิตภณั ฑ์หลังการใช้ งาน (หรือที่เราเรียกกันว่า ประเมินวัฏจักร ชีวิตผลิตภัณฑ์-Life Cycle Assessment: LCA) นอกจากน้ี Carbon Footprint ยังใช้วัดการปล่อย CO2 จากกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน โดยจะทำการคำนวณ ออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซตเ์ ทียบเทา่ หรือ CO2eq ภาพที่ 26 ตวั อย่างกิจกรรมในชีวติ ประจำวนั ทีป่ ล่อย CO2 ทมี่ า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ ม (2563)

51 “การเรียนรู้ Carbon Footprint” คารบ์ อนฟตุ พรน้ิ ท์คืออะไร (Thailand Carbon Footprint) https://www.youtube.com/watch?v=0HytdZDvqgY คลิปสารคดีคารบ์ อนฟุตพริ้นทผ์ ลติ ภณั ฑ์ https://www.youtube.com/watch?v=4ZD53taU484

52 คลปิ Carbon Footprint – รอยเท้าคาร์บอน https://www.youtube.com/watch?v=pAGb7mF3784 คลปิ Carbon footprint ร้จู ักรอยเท้าทางนิเวศ https://www.youtube.com/watch?v=iAa24fpeTJE

53  ปริมาณการปลดปลอ่ ย CO2 ในแตล่ ะประเทศ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศจีนปล่อย CO2 เป็นอันดับหนึ่งแซงหน้าสหรัฐอเมริกาที่เคยครองแชมป์ มายาวนาน แต่ถ้าบวกรวมปริมาณ CO2 ที่แต่ละประเทศปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ นับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรม จนถึงปัจจุบนั สหรฐั อเมรกิ าและสหภาพยโุ รป กย็ งั คงเป็นผูป้ ลอ่ ย CO2 มากทสี่ ุด ภาพที่ 27 ปรมิ าณการปล่อย CO2 6 อันดับของโลก ทมี่ า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดล้อม (2563)

54 ภาพที่ 28 ปริมาณการปลอ่ ย CO2 ที่มา: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม (2563) สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่ใช่ประเทศที่ปล่อย CO2 ติดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ปริมาณ CO2 ก็เพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อนำข้อมูลการปล่อย CO2 ในปี พ.ศ. 2543 มาเปรียบเทียบกับ ปี พ.ศ.2564 จะพบว่า มีการปลอ่ ย CO2 เพมิ่ ขึ้น 8.63 เปอร์เซ็นต์ โดยกจิ กรรมท่ีมีปริมาณการปล่อย CO2 มากท่ีสดุ คือ ภาคพลังงาน คมนาคมและ ขนส่ง ซึ่งตั้งแต่ปี 2543–2556 ภาคพลังงานปล่อย CO2 เพิ่มขึ้นถึง 47.16%. แต่ก็ยังดีท่ีปรมิ าณ CO2 บางส่วนถกู ดูดซบั โดยพนื้ ท่ปี ่า และพืน้ ทเ่ี กษตรกรรม ขอ้ มูลปี 2558 พบวา่ ปา่ ไม้ และพนื้ ที่เกษตรในบ้าน เรา ช่วยดูดซับ CO2 เพิ่มขึ้น 6 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 2543 นั่นแสดงให้เห็นว่า ทรัพยากรป่าไม้มี ความสำคญั อย่างมากตอ่ การลดก๊าซเรือนกระจก

55 ภาพที่ 29 อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ของประเทศไทย ทีม่ า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม (2563)

56 ◼ ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อระบบนเิ วศและส่ิงแวดล้อม  อากาศแปรปรวน น้ำทะเลสูงข้ึน ปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 0.85 องศาเซลเซียส แม้ดูเหมือนจะน้อยนิด (เพราะยังไม่ถึง 1 องศาเซลเซียส) แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง พายุฝน น้ำท่วม คลื่นความร้อน ฯลฯ ที่รุนแรงและถี่มากขึ้น นอกจากนี้ระยะเวลา และจำนวนวันที่มีอากาศร้อน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อปี 2560 เป็นปีที่ร้อนที่สุด ในประวัติศาสตร์โลกและถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันท่ีอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และล่าสดุ ปี 2561 หลายประเทศ ในทวปี ยโุ รป ต้องเผชญิ หน้ากบั คล่นื ความร้อน จนมีผ้เู สียชีวิต หลายประเทศ ต้องประสบกับภัยพิบัติและ น้ำท่วมฉับพลัน ทำลายสิ่งปลูกสร้าง และโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความเสียหาย ต่อชีวิต ทรัพย์สิน และ เศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ น้ำท่วมขัง ยังทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค หรอื กรณขี องพายหุ มิ ะพัดถล่ม ประเทศสหรฐั อเมริกา ทท่ี ำใหม้ ีหมิ ะสูงกว่า 50 เมตร ภาพที่ 30 อากาศแปรปรวน น้ำทะเลสงู ท่ีมา: มติชน (2564) นอกจากนี้ภาวะโลกร้อน ยังทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงข้ึนเฉลี่ย 0.19 เมตร ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ประชากร 100 ล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณ ชายฝั่งทะเล จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเลจะถูกกัดเซาะ จากคลื่นลมที่รุนแรง โดยจะเกดิ ขึน้ มากบริเวณเอเชียตะวันออก เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เอเชยี ใต้ และกรุงเทพ ก็จะได้รับ ผลกระทบด้วยเช่นกัน ปัจจุบันมีเมืองท่ากว่า 130 แห่งทั่วโลก 5 กำลังแบกรับความเสี่ยงเพิ่มข้ึน และคาดว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มข้ึน มีมูลค่ารวม ๆ กันแล้ว ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสถานการณ์ ภัยธรรมชาติ ทแี่ ปรปรวนเกินคาดเดา

57  โลกรอ้ น โลกแล้ง วัฏจักรของนำ้ จะไดร้ ับผลกระทบโดยตรงจากโลกร้อน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณและคณุ ภาพ ของทรัพยากรนำ้ ภาพที่ 31 เปรยี บเทียบจำนวนประชากรท่ขี าดแคลนนำ้ กับอุณหภูมทิ ่เี พิ่มขึน้ ทมี่ า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ ม (2563) ถ้าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส น้ำ จืดทั่วโลกจะลดลง 20 เปอร์เซ็นต์และลดลง ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออุณหภูมิเพิ่งสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส ในบางพื้นที่จะประสบกับความแห้งแล้ง และเกิดภาวะขาดแคลน น้ำสำหรับอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะทางตอนเหนือและทางตะวันออกของ ทวีป แอฟริกา เอเชยี กลาง และเอเชยี ใต้

58  ระบบนเิ วศเปล่ียนแปลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศบนพื้นโลก ไม่ว่า จะเป็น ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศน้ำจืด หรือแม้กระทั่งระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ทำให้ระบบนิเวศ เสอื่ มโทรมและทำลาย ถ่ินทีอ่ ยูอ่ าศัยของชนดิ พันธพ์ุ ืชและพันธ์สุ ตั ว์ สาเหตุหลักที่ทำให้พืชและสัตว์สูญพันธุ์ คือ ถิ่นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ถกู ทำลาย อันมีสาเหตุ มาจากการขยายตัวของเมืองและชุมชน แต่จากการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศกำลังจะกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกในอนาคต โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่ง สตั วส์ ะเทินนำ้ สะเทินบก ➢ ถ้าอุณหภูมิเพิม่ ขึ้น 1.5-2 องศาเซลเซียส จะทำ ให้ป่าอเมซอนมีโอกาสเกิดไฟป่าเพิ่มข้ึน 2 เท่า ภายใน ปี 2050 ➢ ความหลากหลายทางชีวภาพจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น เมื่อโลกมีอุณหภูมิ สูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ระบบนิเวศของโลกเปลี่ยนแปลงมหาศาล อย่างทไ่ี มค่ าดคดิ ➢ ความเส่ือมโทรมของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติจะสง่ ผลกระทบโดยตรงกับมนุษย์ เพราะมนษุ ย์ ต้องพ่ึงพาทรพั ยากรธรรมชาตใิ นการดำรงชวี ิตไมท่ างใดก็ทางหน่ึง ➢ อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น และฤดูกาลที่แปรปรวน ทำให้การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์ของสัตว์ บางชนิดได้รับ ผลกระทบ และยังทำให้สัตว์หลายชนิดต้องสูญเสียแหล่งอาหาร และต้องใช้พลังงาน ในการหาอาหาร เพิ่มมากขึ้นด้วย มีการประเมินว่า แม้เราจะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศา เซลเซยี สได้ แตก่ ็จะยงั มีพชื และสัตว์สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 5 เปอร์เซน็ ตข์ องชนิดพันธ์ุทงั้ หมดบนโลก ภาพท่ี 32 ผลกระทบตอ่ การสญู พนั ธข์ องสิง่ มีชีวิตในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ท่มี า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดล้อม (2563)

59  ระบบนเิ วศทะเลเปล่ียน เมอ่ื มหาสมุทรร้อนข้ึน เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น ก็ทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นด้วย จนทำให้มหาสมุทร มีสภาพเป็นกรด เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลงไปละลาย อยู่ในนำ้ ทะเล ทำใหน้ ้ำมสี ภาพเปน็ กรดมากข้นึ ➢ ความเป็นกรดและอุณหภูมิทเ่ี พิ่มสูงข้ึนของมหาสมุทร สง่ ผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ ชายฝั่งทะเล เช่น เมื่อทะเลมีสภาพเป็นกรด จะทำให้สัตว์มีเปลือกที่มีเเคลเซียมเป็นส่วนประกอบอย่างกุ้ง และหอย ไม่สามารถรอดชีวติ จากสภาพเช่นนไ้ี ด้ เพราะกรดจะกัดกร่อนเปลือกท่ีเป็นแคลเซยี มของพวกมนั ➢ ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นยังทำ ให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ปะการังตาย และทำให้การเกิดขึ้นของปะการังยากขึ้น - อุณหภูมทิ ี่เพม่ิ ขึ้น 2 องศาเซลเซยี ส จะทำใหป้ ะการังทวั่ โลกเสื่อมโทรมถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ภายในไมก่ ีส่ ิบปี - อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ปะการังจะเสื่อมโทรมถึง 59 เปอร์เซ็นต์ ภายใน ไม่กีส่ ิบปี - อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส ปะการังส่วนใหญ่จะสูญพันธุ์และเมื่อปะการัง ซึ่งเป็นทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย และที่หลบภัยของสัตว์ทะเลนานบั ชนิดถูกทำลาย ก็ย่อมส่งผลถึงสมดลุ ของระบบ นเิ วศใตท้ ้องทะเล และมนุษยก์ ็จะได้ผลกระทบด้วย เพราะทรัพยากรประมงลดลง ➢ หญ้าทะเลและสาหร่ายทะเลจะลดลง จากอุณหภูมิน้ำ ทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะคุกคาม ตอ่ การดำ รงชีวิต ของสัตวน์ ำ้ ทอี่ าศัยอยูใ่ นเขตภูมิภาคก่ึงเขตร้อน (Subtropical Region) ➢ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริเวณชายฝั่งทะเล และปากแม่น้ำ จะได้รับผลกระทบโดยตรง จากคา่ ความเค็ม และระดบั นำ้ ทะเลท่ีเพมิ่ ขนึ้ ซ่ึงจะส่งผลกระทบต่อปรมิ าณผลผลิต  อาหารลดลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สภาพอากาศแปรปรวน บางปีแห้งแล้ง บางปีน้ำท่วม ซึ่งไม่เพียงแต่ จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ยังสั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารของคนทั่วโลก ซงึ่ ไม่ใชแ่ ค่ เกษตรกรเทา่ น้ันที่จะได้รบั ผลกระทบ แตผ่ ู้บริโภคกห็ นีไมพ่ น้ เชน่ กนั ในปีพ.ศ. 2593 ประชากร 200 ล้านคนจะขาดแคลนอาหาร และจะมีเด็กที่ขาดสารอาหาร มากถงึ 24 ล้านคน ซ่ึงเป็นผลมาจากการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ ผลผลิตทางการเกษตรบางชนิดจะลดลง เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เช่น ข้าว งานวิจัยระบุว่า อุณหภมู ิเฉลย่ี ของไทยในชว่ ง 50 ปที ่ีผา่ นมา เพมิ่ ข้นึ 1 องศาเซลเซียส และหากอุณหภูมยิ ังเพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ือง คาดกันว่าทุก ๆ 1 องศาเซลเซียสจะทำให้ผลผลิตข้าวลดลงร้อยละ 10 และในช่วงที่ข้าวเริ่มผสมเกสร ถ้าอุณหภูมิ สูงเกิน 35 องศาเซลเซียส จะทำให้เกสรของข้าวมีอายุสั้น ส่งผลให้อัตราการผสมเกสรลดลง เม็ดข้าวจะลบี และผลผลิตจะลดลง รวมถงึ แมลงศตั รพู ืช และโรคระบาดก็จะเพ่ิมขน้ึ ดว้ ย เมื่อพื้นที่ทางการเกษตรได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำ ท่วม น้ำ แล้ง อันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ย่อมทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรผันผวน แรงงานภาคการเกษตร ตกอยู่ในภาวะเสีย่ ง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ แรงงานในประเทศเขตร้อน มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในการทำ เกษตรกรรม เนื่องจากสภาพภูมอิ ากาศที่แปรปรวนทำให้พื้นที่ เคยเหมาะสมสำหรบั การเพาะปลูกอาจไม่เหมาะสมอีกตอ่ ไป

60  ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม การเมือง ภาพท่ี 33 ผลกระทบของการเปลย่ี นแปลงสภาพอากาศต่อเศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม การเมือง ทีม่ า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดล้อม (2563) ความรุนแรงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติทางสังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่กับความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และความสามารถในการรับมือ และปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยิ่งซ้ำเติมปัญหาความยากจน ให้ รุนแรงขึ้น เพราะภัยแล้ง น้ำท่วม ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสยี หาย เกษตรกรบางรายอาจถึงขั้นขาดทนุ เป็นหนี้เป็นสิน บางรายต้องสูญเสียที่ดินเพราะหนี้สินรุมเร้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต

61 คนจนยิ่งยากจนขึ้น และอาจนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่า หรือ การอพยพย้ายถิ่นฐานไปหางานทำในเมืองใหญ่ ติดตามมาดว้ ยปัญหาสงั คมมากมาย นอกจากนี้อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ยังทำให้โรคที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้ว กลับมาระบาดอีกครั้ง รวมถึงอากาศร้อน ยังทำให้พาหะนำโรคเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ยุงลาย แมลงวัน และหนู ทำให้เกิดการแพร่ กระจายของโรคบางชนิดได้ง่ายขึ้น เช่น ไข้เลือดออก ท้องร่วง โรคฉี่หนู ฯลฯ และยังทำให้ อตั ราการปว่ ยและ ตายจากโรคเหล่านี้เพิ่มสงู ขึ้น โดยเฉพาะในผ้สู งู อายแุ ละเด็ก ภาพที่ 34 โลกรอ้ นมีผลกระทบอยา่ งไรในประเทศไทย ทีม่ า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ ม (2563) ◼ การตอบสนองตอ่ การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ความรว่ มมือของประชาคมโลกในการลดปริมาณ กา๊ ซเรือนกระจก กว่า 60 ปีแล้ว ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น จากน้ัน มาประชาคมโลก ก็เริ่มเปิดประเด็นหารือเรื่องโลกร้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2521 จนเกิดเป็นข้อตกลง มากมายที่นานาประเทศให้สัตยาบันว่าจะช่วยกันลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ลองมายอ้ นดูลำดบั ความเคลอ่ื นไหวทีส่ ำคญั ของโลกต่อสถานการณ์ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ”

62 ➢ พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ประเด็นโลกร้อนเริ่มต้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ Charles David Keeling ค้นพบว่า ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลกเพิ่มข้ึน อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จากการเก็บข้อมูลบรรยากาศเหนือภูเขา Moana Loa ในรัฐฮาวาย หลังจากน้นั จึงเร่มิ มกี ารศึกษาวจิ ยั เรื่อยมา ➢ พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกประชุมหารือเรื่องโลกร้อน และผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น และนำเสนอผลการประชุมต่อ World Climate Program ภายใต้สังกัด องค์การอตุ นุ ิยมวิทยาโลก และโครงการสิ่งแวดลอ้ มแห่งสหประชาชาติ เพ่ือหาทางแกไ้ ข ➢ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกร่วมกับโครงการสิ่งแวดล้อม แห่งสหประชาชาติก่อตั้ง “คณะกรรมการระหว่างรัฐว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ผลกระทบและมาตรการในการรับมือ ➢ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) IPCC เผยแพรร่ ายงานฉบบั ท่ี 1 (The First Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC AR1) ยืนยันถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศและเรยี กร้องนานาชาตใิ ห้มีข้อตกลงรว่ มกันในการแก้ไขปัญหา ➢ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) วันที่ 9 พฤษภาคม 2553 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ได้รับ การรับรอง และเปิดให้แต่ละประเทศให้สัตยาบันระหว่างการประชุม Earth Summit ในเดอื นมิถุนายน 2535 ณ กรงุ ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในการประชมุ ครงั้ นัน้ มี 154 ประเทศท่ีลงนาม ➢ พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2537 ปัจจุบัน มีประเทศที่เข้าร่วม เป็นภาคีทั้งสิ้น 196 ประเทศ (ข้อมูลวันที่ 2 ตุลาคม 2558) ประเทศไทยให้สัตยาบัน เข้าร่วมเป็นภาคอี นุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ คือ ประเทศพัฒนาแล้วจะต้อง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้อยู่ในระดับที่ปล่อยในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ.1990) ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) แต่ไมไ่ ดม้ ีการบังคบั เปน็ การดำเนินการโดยสมคั รใจ ➢ พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) การประชุมสมัชชาประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 1 (Conference of Parties : COP1) เสนอใหม้ กี ารทบทวนพันธกรณีตามอนสุ ัญญาฯ ในขณะที่รายงานฉบับที่ 2 ของ IPPC ชี้ให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกมีประมาณเพิ่มขึ้นและเช่ือว่ามนษุ ย์มีส่วนทำให้สภาพภูมิอากาศของโลก เปล่ยี นแปลง ➢ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ที่ประชุม COP3 ให้การรับรองพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม สาเหตุสำคัญ ที่ต้องจัดทำพิธีสารฉบับดังกล่าว เพราะการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภาคสี มาชกิ ไม่เปน็ ตาม เป้าท่วี างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนพนั ธกรณีและกำหนดมาตรการที่ละเอียดรัดกุม

63 มากขนึ้ สาระสำคัญ ของพธิ สี ารเกียวโต คือ ภายในปี พ.ศ. 2551–2553 ประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ ต้องลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เฉลี่ยร้อยละ 5 ของปริมาณการปล่อยเมื่อปี พ.ศ. 2533 ส่วนประเทศกำลังพัฒนา ไมม่ ีพันธกรณีตอ้ งลด กา๊ ซเรอื นกระจก สามารถดำเนนิ การลดโดยสมคั รใจ ➢ พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) IPCC เผยแพร่รายงานฉบับที่ 3 ยืนยันว่า ร้อยละ 66 ของสาเหตุ ที่ทำให้เกิด ภาวะโลกร้อนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ และในการประชุม COP7 มีการจัดตั้ง กองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนสภาพ ภมู อิ ากาศ ในปเี ดียวกันนี้ สหรัฐอเมริกาถอนตวั ไม่ใหส้ ัตยาบันในพิธีสารเกียวโต เนื่องจากขัดแย้งกับหลักเกณฑ์ ที่ทาง วุฒิสภาของสหรัฐกำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ว่าห้ามมิให้ประธานาธิบดีสหรัฐไปลงนามเป็นภาคี ในความตกลง ที่มไิ ดม้ พี ันธกรณีใหท้ กุ ประเทศต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➢ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ประเทศไทยให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ในฐานะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจก แต่สามารถดำเนินการลดก๊าซ เรือนกระจก ตามความสมัครใจ จีนให้สัตยาบันในปีเดียวกันในฐานะประเทศที่ไม่ต้องลดก๊าซเรือนกระจก เพราะ ในเวลานน้ั จีนเปน็ ประเทศกำลงั พัฒนา ➢ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ และจะส้นิ สุดในปี พ.ศ. 2555 มีประเทศท่ีลงนามและให้สตั ยาบนั จำนวน 192 ประเทศ ➢ พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) IPCC เผยแพร่รายงานฉบับที่ 4 (IPCC AR4) ระบุว่าประเทศ พัฒนาแล้ว ต้องลด การปล่อยก๊าซให้ได้ 25 – 40% จากระดับที่ปล่อยในปีพ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) และประเทศกำลังพัฒนา ต้องลดการปล่อยก๊าซให้ได้15–30 % จากระดับท่ปี ลอ่ ยอยู่ปกติ (Business-as-usual) ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ➢ พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) การประชุม COP15 เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค มีเป้าหมายเพื่อต่ออายุ พิธีสารเกียวโตหรือสร้างข้อตกลงใหม่ที่จะมาแทนที่พิธีสารเกียวโตซึ่งจะหมดอายุ ในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่การเจรจา ล้มเหลว โดยมติที่ประชุมขอให้ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศ กำลังพัฒนาเสนอเป้าหมายในการลด ก๊าซเรือนกระจกตามความสมัครใจโดยมีการบันทึกไว้ใน Copenhagen Accord ซึ่งถือเป็นความถดถอยจาก พิธีสารเกียวโตซึ่งกำหนดตัวเลขเป้าหมายการลดก๊าซฯ สำหรับประเทศ พัฒนาแล้วแบบมีผลบังคับ และมีการ สัญญาว่าประเทศพัฒนาแล้วจะให้เงินช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในช่วง ปี พ.ศ. 2553-2555 (แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ และยังไม่มีรายละเอียดว่า เงนิ จะมาจากไหน) รวมถึงเป็นคร้งั แรก ทีม่ ีการกำหนดเปา้ หมายที่จะควบคมุ อุณหภูมิของโลกไม่ให้เกนิ 2 องศา เซลเซียส ➢ พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) การประชุม COP16 เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก ตกลงให้มี การบันทึกเป้าหมาย การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี พ.ศ. 2563 ของประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา (สำหรับประเทศกำลังพัฒนาเรียกว่า เป้าหมายการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก

64 ที่เหมาะสมของประเทศ หรือ Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs) อย่างเป็นทางการ ภายใต้อนุสัญญา UNFCCC รวมทั้งให้ตั้งกระบวนการรายงานและทบทวนการดำเนินการตามเป้าหมาย ที่แต่ละประเทศตั้งไว้ ซึ่งกระบวนการ จะแตกต่างกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ในส่วนประเด็นการเงิน ได้ก่อตั้งกองทุน Green Climate Fund เพื่อจัดการเงินช่วยเหลือจากประเทศพัฒนา แล้วไปยงั ประเทศกำลงั พฒั นา โดยออกแบบรายละเอยี ดของกองทุนให้ได้ภายในการประชมุ COP ครง้ั ต่อไป ➢ พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) การประชุม COP17 จัดตั้งคณะทำ งานเฉพาะกิจ Durban Platform เพื่อจัดทำ ข้อตกลงฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสำหรับการดำเนินงานภายหลัง ปี พ.ศ. 2563 โดยกำหนด ใหก้ ารเจรจา ตอ้ งแล้วเสรจ็ ภายในการประชุม COP21 ณ กรุงปารสี ประเทศฝรง่ั เศส ➢ พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2512) การประชมุ COP18 กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ทปี่ ระชุมพิจารณา ต่ออายุพิธี สารเกียวโต ที่กำ ลังจะหมดอายุลงภายในสิ้นปี พ.ศ. 2555 ไปอีก 7 ปี (มีผลบังคับใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2563) เรียกว่าพันธกรณีระยะที่ 2 อย่างไรก็ตาม มีเพียง 35 ประเทศที่ตกลงเข้าร่วมในพันธกรณี ระยะที่ 2 นี้ โดยประเทศรัสเซีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปริมาณมากไม่ได้เข้าร่วมด้วย โดยที่สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ไม่เข้าร่วมอยู่แล้ว (สหรัฐไม่ได้ให้สัตยาบันในพิธีสาร และจีนแม้ว่าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากในปัจจุบัน แต่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจึงไม่มีพันธะผูกพันในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเงื่อนไขของ พิธีสาร เกียวโต) ทำให้พันธกรณีระยะที่ 2 ของพิธีสารเกียวโตครอบคลุมประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมแล้ว เพียงร้อยละ 11 ของที่ปล่อยทั่วโลก ถือได้ว่าเป็นปีที่พิธีสารเกียวโตหมดความสำคัญในฐานะกลไกการลด การปล่อยก๊าซฯ ของโลกอย่างเป็นทางการ ที่ประชุม COP18 ยืนยันที่จะจัดทำความตกลงฉบับใหม่ (เพื่อใช้แทนพธิ สี ารเกียวโต) ภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) และต้องมผี ลบงั คับทางกฎหมายกับ ทกุ ประเทศ ภาคใี นปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ➢ พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) IPCC เผยแพร่รายงานฉบับที่ 5 (IPCC AR5) ยืนยันว่ามนุษย์ เป็นสาเหตุหลัก ของปัญหาโลกร้อน และหากไม่ต้องการให้โลกร้อนเกิน 2 องศาเซลเซียสในปลายศตวรรษน้ี ปริมาณโควตาของ ก๊าซเรือนกระจกที่ทั่วโลกสามารถปล่อยได้จนถึงปลายศตวรรษเหลืออีกแค่ประมาณ 500 กิกกะตนั คาร์บอน ➢ พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) การประชุม COP21 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีจุดมุ่งหมาย สำคัญที่จะสร้าง ข้อตกลงเพื่อเป็นกลไกระหว่างประเทศในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศา ภายในศตวรรษที่ 21 (ค.ศ. 2100) ผลของการประชุมได้สร้างข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งระบุให้ แต่ละประเทศกำหนด เป้าหมายโดยสมัครใจในการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมกับประเทศของตนเอง โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม และเท่าเทียมภายใต้บริบทการพัฒนาที่ยังยืน และระบุว่าประเทศพัฒนาแล้ว จะช่วยกันระดมทุนจำนวน 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2563 ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา ดำเนนิ การในการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกและการปรับตัว

65 ➢ พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) ในการประชุม COP24 มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติหลักเกณฑ์ ใหม่ตามข้อตกลงปารีส ที่ได้ลงนามกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 โดยประเทศภาคีสมาชิกจะใช้แนวทางเดียวกัน ในการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำรายงาน และการยืนยันความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซ เรอื นกระจก สำหรับที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินการลด CO2 มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะแรกตามแผน การลดก๊าซ เรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Action – NAMAs) ตั้งเป้า ลด CO2 ให้ได้ร้อยละ 7-20 ภายในปี พ.ศ. 2563 (จากระดับการปล่อยปกติในปี 2548) โดยอาศัย 4 มาตรการ สำคญั คือ 1) การพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทน หรอื พลังงานทางเลือก 2) ปรับปรุงประสิทธิภาพ พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง และภาคการผลิตไฟฟ้า 3) การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ในภาคขนส่ง และ 4) ระบบขนส่งที่ยั่งยืน จนถึงปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจก ได้เพิ่มขึ้นเป็น 45.68 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า (MtCO2eq) คิดเป็นร้อยละ 1210 เกินกว่า เปา้ หมายท่ตี ัง้ ไว้แล้ว อีกหนึ่งความท้าทายครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่กำหนดให้แต่ละ ประเทศเสนอเป้าหมายและแนวทางในการลด CO2 ภายหลังปี 2563 เพื่อช่วยกันลด อุณหภูมิเฉลีย่ ของโลก ไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส ซึ่งประเทศไทยก็ได้ขานรบั และแสดงเจตจำนงในการลดกา๊ ซ เรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าลด CO2 ให้ได้ 20-25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี พ.ศ. 2573 ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายเช่นครั้งแรกที่ผ่านมา รัฐบาลได้กำหนดให้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นนโยบาย สำคัญของประเทศ ที่ถูกระบุไว้ ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีการจัดทำแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ และแผนทน่ี ำทางการลดกา๊ ซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564-2573 ซึ่งกรอบคดิ สำคัญ ที่ถูกนำ มาใช้เพื่อกำหนด มาตรการต่างๆในแผนลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของเศรษฐกิจ พอเพียง ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่ถูกหยิบยกมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย น่ั นก็คือ การใช้พลงั งานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและสง่ เสริมใหม้ กี ารใช้พลงั งานทดแทนเพม่ิ ข้ึน

บทท่ี 4 “กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่อื การปรบั ตัวกับการเปล่ียนแปลง สภาพภมู อิ ากาศเชงิ บูรณาการ”

67 บทท่ี 4 กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ พ่อื การปรบั ตัว กบั การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศเชงิ บูรณาการ กจิ กรรมท่ี 1 กิจกรรมท่ี 2 สบื สานตำนานกอ่ วถิ ีชวี ติ รอบอา่ งโคกก่อ การพฒั นาความรู้และทกั ษะ เพื่อการปรบั ตัว กบั การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศเชิงบูรณาการ กิจกรรมที่ 3 กจิ กรรมที่ 4 เส้นทางธรรมชาติ ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน

68 การประยุกตใ์ ชแ้ อปพลเิ คชนั เพ่อื การพฒั นาการเรียนรู้ Mobile Application การใช้ประโยชน์ ข้อมูลแผนที่เพ่ือการเกษตรแบบแม่นยำ ข้อมูลแผนที่ GIS ที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ การตัดสินใจเกยี่ วกับงาน การเกษตร รวมถึงการระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ Thai Weather เป็นแอปฯ ที่แจ้งว่าในวันรุ่งขึน้ ฝนจะตก ทไี่ หน สามารถดขู ้อมลู สภาพอากาศปัจจบุ ันและล่วงหน้า ได้ไกลถงึ 7 วัน พร้อมแจ้งขา่ วสารเตือนภยั เสน้ ทางพายุ รายงานแผ่นดินไหว จากเรดาร์สภาพอากาศ และภาพถ่ายจากดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีช่องทางเปิด ให้ผู้ใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถรายงานสภาพอากาศ ในพื้นที่นั้นได้ด้วยตนเองให้ผู้อื่นได้รับทราบ โดยมีการ เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกบั การบรหิ ารจัดการทรัพยากรนำ้ จำนวน 12 หน่วยงาน พร้อมสำหรับการใช้งานในเชิงปฏิบัติได้แล้ว อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ หน่วยงานราชการและเริ่มเปิดให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงขอ้ มลู ผ่านทางอุปกรณเ์ คลื่อนท่ีบนระบบ iOS และ Android เป็นแอปพลิเคชัน แสดงข้อมลู แผนที่เกษตร เพื่อการ บริหารจดั การเชิงรกุ โดยแสดงข้อมลู ทรัพยากรดิน เช่น ชดุ ดนิ ความเหมาะสมของพ้ืนท่ีในการปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลตอบแทนสทุ ธิ และการคาดการณส์ ภาพอากาศ 7 วัน เพอื่ การวางแผนการทำการเกษตร เปน็ แอปพลเิ คชัน ท่แี สดงข้อมลู สภาพอากาศ ได้แก่ ทิศทางของฝน หิมะ ฟา้ คะนอง อุณหภูมิ เมฆ คลื่น และเส้นทางพายแุ บบทนั เหตุการณ์ รวมถงึ การ คาดการณท์ ิศทางการเคลื่อนทท่ี จ่ี ะเกดิ ขนึ้ รวมถึงสภาพ คุณภาพอากาศ เช่น ความเข้มขน้ ของฝนุ่ ละอองขนาด เล็ก PM2.5 สำหรับการเตรียมพรอ้ มรับมอื กับเหตุการณ์ ภัยพบิ ตั ิ เปน็ แอปพลิเคชันของกรมควบคมุ มลพษิ ท่แี สดงข้อมลู คุณภาพอากาศ ได้แก่ ฝุน่ ละอองขนาดเล็ก

69 การประยุกต์ใช้แอปพลเิ คชนั เพอื่ การพัฒนาการเรยี นรู้ Mobile Application การใชป้ ระโยชน์ เป็นแอปพลเิ คชนั ขององค์การบริหารจัดการกา๊ ซเรือน กระจก (องค์การมหาชน) เพื่อคำนวณการปลดปลอ่ ย คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากกจิ กรรมในชีวิตประจำวนั ก. การเกิดพายุ ข. ระดบั ความเขม้ ข้นของฝุ่นละออง ภาพท่ี 35 ตัวอยา่ งข้อมลู จาก Windy App

70 กิจกรรมที่ 1 สืบสานตำนานก่อ - ระยะเวลา 6 ช่วั โมง – สาระการเรียนรู้  ขอ้ มลู ท่ัวไปเกยี่ วกับก่อ ช่ือทัว่ ไป (Name): กอ่ หนิ ชื่อท้องถน่ิ (Local Name): ก่อหนิ (จนั ทบุร)ี กอ่ กินลูก (ตรงั ) กอ่ เหิบ (นครพนม) ก่อใหญ่ ก่อใบ เลอ่ื ม ก่อตาหมู กอ่ หมาก ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Castanopsis piriformis Hickel & A. Camus ช่อื วงศ์: Fagaceae นิเวศวทิ ยาและการกระจายพันธ์ุ (Ecology and Distribution): พบท่ีลาว และเวียดนาม ในไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉยี งใต้ ขึ้นตามป่าดบิ แล้ง ป่าสน เขา และป่าดิบชื้น ความสูง 200–950 เมตร  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นสะเก็ด เปลือกในสีน้ำตาลหรือชมพอู ่อน ใบ (Leaf): เป็นใบเดี่ยวเรยี งแบบสลับ รปู รีหรอื รปู ใบหอก กวา้ ง 7-10 เซนติเมตร ยาว 9-15 เซนตเิ มตร ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบสอบถงึ แหลมทู่ ขอบใบเรยี บ แผ่นใบค่อนขา้ งหนา ผวิ ใบเกลีย้ ง ด้านบนสี เขียวเขม้ เปน็ มัน ดา้ นล่างสีอ่อนกวา่ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 8-11 เส้น กา้ นใบยาว 1-1.5 เซนตเิ มตร ผวิ เกลี้ยง ก้าน งอเล็กนอ้ ยและบวมบริเวณโคนกา้ น ดอก (Flower): ออกเป็นกระจุกแน่นที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยไม่มีก้านดอก สีขาวปนเหลือง เป็นกระจุกละ 3-5 ดอก มีกลิ่นฉุน ร่วงง่าย ช่อดอกเพศผู้และเพศเมียแยกต่างช่อหรือร่วมช่อ หากร่วมช่อ ช่อดอกเพศเมียอยู่โคนช่อ ช่อดอกเพศผู้มักแยกแขนงมาก กลีบเลี้ยง แยกกันอิสระ 6 กลีบ แต่ละกลีบมีขน ด้านนอก เกสรเพศผู้ 12 อัน ผิวเกลี้ยง รังไข่รูปลูกข่าง มีขนปกคลุมหนาแน่น มี 3 ช่อง มีออวุล 2 เมล็ด ยอดเกสรเพศเมียมี 3 อัน ผลเช่ือมต่อกันเป็นกลุ่มเบียดอัดกันแน่นบนก้านที่อ้วนสั้น โดยออกดอกราวเดือน กนั ยายนถงึ ธนั วาคม ตดิ ผลราวเดือนมิถุนายนถงึ กนั ยายน ผล (Fruit): เปน็ ช่อยาว 10-15 เซนตเิ มตร ผลแกแ่ ข็งมาก ผวิ เกล้ียง รปู กลมหรอื รี คล้ายรูปลูกข่าง เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 2-3 เซนตเิ มตร ก้านผลยาว 0.5-1 เซนตเิ มตร กาบหุ้มผลสเี ขียวออ่ นหุ้มมิดตวั ผล ผวิ กาบผล มีแนวเสน้ คดโค้งไปมา กาบหุ้มจะแยกจากปลายสู่โคนเมอื่ ผลแก่จัด แต่ละกาบหมุ้ มีผล 1 ผล ประโยชน์ (Benefits): ตำรายาไทย ราก ต้มน้ำด่มื แกป้ สั สาวะขดั ผลแก่ รบั ประทานได้ โดยนำเมล็ด มาต้ม หรือคั่วให้สุก มีแป้งอยู่มาก และนำมาทำเครื่องประดับ เปลือก มีน้ำฝาด ใช้ในการฟอกหนัง หรือย้อม แหอวน

71 ก.ลำตน้ (Stem) ข.ใบ (Leaf) ค.ชอ่ ดอก (Flower) ง.ช่อดอก (Flower) จ. ผล (Fruit) ฉ. ผลและเมลด็ (Seed) ภาพท่ี 36 ก่อหิน  การแบ่งพ้ืนท่คี ุม้ ครอง ➢ พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 อุทยานแห่งชาติ (National Park) หมายความว่า พื้นที่ที่มีความโดดเด่นสวยงาม ทางธรรมชาติเป็นพิเศษหรือมีความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่าหรือพืชป่าประจำถิ่นที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ หรือโดดเด่นด้านธรณีวิทยา หรือมรดก ทางวัฒนธรรมที่สมควรสงวนหรืออนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติหรือเพื่อเป็นแหล่ งศึกษาเรียนรู้ ทางธรรมชาตหิ รือนนั ทนาการของประชาชนอยา่ งย่ังยืน วนอุทยาน (Forest Park) หมายความว่า พื้นที่ที่มีสภาพธรรมชาติสวยงามเหมาะ แก่การสงวนรักษาไว้ให้เป็นแหล่งคุ้มครองทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ทางธรรมชาติหรอื นนั ทนาการของประชาชนโดยส่วนรวม สวนพฤกษศาสตร์ (Botanical Garden) หมายความวา่ พื้นที่ที่มีการจัดรวบรวมพรรณไม้ โดยมีการจัดแยกพรรณไม้ออกเป็นหมวดหมู่ตามหลักพฤกษศาสตร์หรือตามหลักอนุกรมวิธานพืช เพื่อให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้ าวิจัยทางวิชาการ และใชเ้ ปน็ สถานทีพ่ ักผ่อนหยอ่ นใจของประชาชน สวนรุกขชาติ (Arboretum) หมายความว่า พื้นที่ที่มีการรวบรวมและอนุรักษ์พรรณไม้ ท่มี ีค่า หายาก หรอื ใกลส้ ูญพนั ธ์ุซง่ึ มีอยู่ในท้องถ่ิน เพอื่ ใหไ้ ดร้ ับความรเู้ กี่ยวกับพันธ์ุไม้ และการพักผ่อนหย่อนใจ ของประชาชน ➢ พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ปา่ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ. ปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 ป่าสงวนแห่งชาติ หมายถึง ป่าที่ได้กำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ทั้งนี้กำหนดว่า ป่าสงวนแห่งชาติ คือป่าที่พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองป่า พ.ศ.2481 ประกาศว่าเป็นป่าสงวนและป่าคุ้มครอง และยังมีป่าสงวนอีกกรณีหนึ่งเป็นป่าซึ่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกกฎกระทรวงใหเ้ ปน็ ป่าสงวนแห่งชาติ แนวคิดในการอนุรักษ์ป่าสงวนแห่งชาติ คือ การสงวนและรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรป่าไม้ เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เป็นป่าสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์จากป่าในเชิงเศรษฐกิจ และนำผลประโยชน์จากป่าไม้มาเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ และให้มีการใช้ประโยชน์นานที่สุดจนถึง

72 ลูกหลาน ดังนั้น กฎหมายจึงมีทั้งการห้ามมิให้บุกรุก หรือหาของป่า หรือเข้าไปก่อสร้างในเขตป่าสงวน แต่ถ้าเป็นพื้นท่ีป่าดังกล่าวในเขตที่เรยี กว่าปา่ เสื่อมโทรม กรมป่าไม้ก็อาจอนุญาตใหร้ าษฎรที่ไม่มีทีด่ ินทำกินเขา้ ทำกินได้โดยไม่สามารถถือเอากรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองได้ หรืออาจให้เอกชนเข้ามาปลูกป่าทดแทนได้ เพื่อพัฒนา ฟื้นฟูสภาพป่าไม้ให้ดขี ึ้น นอกจากนี้ การศึกษาทางวิชาการอันจะนำไปสู่การพัฒนาทางระบบนเิ วศ หรือการพัฒนาพนั ธ์ุพืช เจ้าพนักงานป่าไม้มสี ิทธอิ นญุ าตให้บุคคลเข้าไปในป่าเพื่อศึกษาได้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (Non-Hunting Area) หมายถึง อาณาบริเวณพื้นที่ที่ทางราชการ ได้กำหนดไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า หรือเป็นที่ที่สัตว์ป่า ต้องการใช้สำหรับกิจกรรมบางอย่าง ในการดำรงชวี ติ เชน่ เปน็ ทผ่ี สมพนั ธ์ุ วางไข่ เล้ียงตวั อ่อน เปน็ แหล่งอาหาร เป็นท่ลี งพักระหว่างเดินทางย้ายถิ่น ฐาน เป็นต้น โดยเฉพาะสัตว์ป่าที่หายากหรือถูกคุกคามให้อยู่อาศัยในพื้นที่นั้นได้อย่างปลอดภัย สามารถ ดำรงพนั ธุต์ อ่ ไปไดต้ ามธรรมชาติ เขตรักษาพนั ธ์สัตว์ปา่ (Wildlife Sanctuary) หมายถึง พื้นที่ท่ีกำหนดขึน้ เพื่อใหเ้ ป็นท่อี ยู่ อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย เพื่อว่าสัตว์ป่าในพ้ืนที่ดังกล่าวจะได้มีโอกาสสืบพันธุ์และขยายพันธ์ุ ตาม ธรรมชาติได้มากขึ้น ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนได้มีโอกาสกระจายจำนวนออกไปในท้องที่แหล่งอื่น ๆ ทีอ่ ยู่ใกลเ้ คยี งกับเขตรกั ษาพนั ธุ์-สัตวป์ ่า ป่าชุมชน (Community Forest) หมายถึง ที่ดิน และ/หรือ ที่ดินป่าไม้ ที่ชุมชนได้ ดำเนนิ การหรอื ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้ดำเนินการรว่ มกบั พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี จัดการกิจการงานด้านป่าไม้ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติและแผนงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจสอดคล้อง กับความเชื่อและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นนั้นด้วย การจัดการ หรือดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อการอนุรักษ์ และใหช้ มุ ชนไดใ้ ช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ป่าสงวนแห่งชาติ (National Forest) หมายถึง พื้นที่ป่าที่ได้รับการสงวนและคุ้มครองไว้ ภายใต้พระราชบญั ญัติป่าสงวนแห่งชาตปิ ี พ.ศ.2507 การพฒั นาตรรกะด้านการเรยี นรู้ ตามแนวทาง STEM การบูรณาการพหุศาสตร์ กิจกรรม วิทยาศาสตร์ (Science) ระบบนิเวศของกอ่ เทคโนโลยี (Technology) สืบคน้ ข้อมูล/การระบุพิกัดทางภมู ศิ าสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) การออกแบบภาชนะในการปลูก คณติ ศาสตร์ (Mathematic) การคำนวณหาความสูง

73 การบูรณาการกับมาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ▪ อธิบายปฏิสมั พนั ธ์ขององคป์ ระกอบ ▪ ขอ้ มลู ท่วั ไปเกีย่ วกับกอ่ ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบ ของระบบนิเวศท่ีไดจ้ ากการสำรวจ ▪ การแบง่ พื้นทคี่ ุ้มครอง นิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ กับ สิ่งมชี วี ิต และความสมั พันธ์ระหว่าง ▪ อธิบายรูปแบบความสมั พันธ์ระหวา่ ง ระบบนิเวศของกอ่ สง่ิ มีชีวติ กบั ส่ิงมีชวี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ ส่ิงมชี วี ิตกบั ส่งิ มชี วี ิตรปู แบบตา่ ง ๆ ใน ▪ ดนิ (กิจกรรมท่ี 3 การถ่ายทอดพลงั งาน การเปลยี่ นแปลง แหลง่ ทีอ่ ยเู่ ดียวกัน ที่ได้จากการสำรวจ แทนทใี่ นระบบนเิ วศ ความหมายของ เสน้ ทางธรรมชาติ) ประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ีต่อ ▪ อธบิ ายความสมั พนั ธข์ องผูผ้ ลติ ▪ กลอน (บรู ณาการกบั ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม ผบู้ ริโภคและผยู้ ่อยสลายสำรวจอนิ ทรีย์ แนวทางในการอนรุ ักษ์ ในระบบนเิ วศ สาระทส่ี อนเดมิ ) ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปัญหา ส่งิ แวดลอ้ ม รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ▪ อธิบายการสะสมสารพษิ ในส่ิงมีชีวิตใน ประโยชน์ โซอ่ าหาร ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ▪ ตระหนักถงึ ความสัมพันธ์ของสง่ิ มชี วี ิต สารพนั ธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทาง และส่งิ แวดล้อมในระบบนเิ วศ โดยไม่ พนั ธุกรรมท่มี ผี ลต่อสงิ่ มีชีวติ ความ ทำลายสมดลุ ของระบบนิเวศ หลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสิง่ มีชวี ติ รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ ▪ อธบิ ายความสำคัญของความ ประโยชน์ หลากหลายทางชีวภาพทีม่ ตี อ่ การรักษา สมดลุ ของระบบนิเวศ และต่อมนษุ ย์ ▪ แสดงความตระหนกั ในคุณค่าและ ความสำคญั ของความหลากหลายทาง ชวี ภาพ โดยมสี ว่ นรว่ มในการดูแลรกั ษา ความหลากหลายทางชวี ภาพ

74 มาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้ ส 5.1 (ม.5) ▪ วิเคราะห์การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ ▪ ขอ้ มูลท่วั ไปเกี่ยวกบั ก่อ เข้าใจลกั ษณะทางกายภาพของโลกและ ของพ้ืนทีใ่ นประเทศไทยและภูมภิ าค ▪ การแบ่งพนื้ ท่ีคุ้มครอง ความสมั พันธข์ องสรรพสิ่งซึ่งมผี ลตอ่ กัน ต่าง ๆ ของโลก ซึ่งไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก ใช้แผนทแ่ี ละเครอ่ื ง มอื ทางภมู ิศาสตร์ใน ปจั จัยทางภูมศิ าสตร์ ระบบนิเวศของก่อ การค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมลู ตาม ▪ ดิน (กิจกรรมที่ 3 กระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ ตลอดจนใช้ ▪ วิเคราะหล์ กั ษณะทางกายภาพซึง่ ทำให้ ภูมิสารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เกิดปญั หาหรอื ภยั พิบตั ทิ างธรรมชาตใิ น ▪ เสน้ ทางธรรมชาติ) ส 5.2 (ม.5) ประเทศไทยและภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของ กลอน (บูรณาการกบั เขา้ ใจปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ย์กบั โลก สาระทสี่ อนเดมิ ) สงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพท่กี ่อให้เกดิ การ สรา้ งสรรคว์ ิถกี ารดำเนนิ ชีวิต มจี ิตสำนกึ ▪ ใชแ้ ผนท่แี ละเครือ่ งมอื ทางภูมิศาสตร์ และมสี ว่ นร่วมในการจดั การทรพั ยากร ในการคน้ หา วิเคราะห์ และสรปุ ขอ้ มูล และสง่ิ แวดล้อมเพื่อการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื ตามกระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ และ นำภมู ิสารสนเทศมาใชป้ ระโยชน์ใน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน ชีวติ ประจำวนั ส่อื สาร เขียนเรียงความ ย่อความ และ เขียนเร่ืองราวในรปู แบบตา่ งๆ เขียน ▪ วเิ คราะหป์ ฏิสมั พนั ธร์ ะหว่าง รายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงาน สงิ่ แวดล้อมทางกายภาพกับกิจกรรม การศกึ ษาคน้ คว้าอย่างมปี ระสิทธิภาพ ของมนุษย์ ในการสร้างสรรคว์ ถิ ีการ ดำเนินชวี ติ ของทอ้ งถิน่ ทง้ั ในประเทศ ไทยและภมู ภิ าคตา่ งๆ ของโลก และ เหน็ ความสำคัญของสิง่ แวดล้อมทม่ี ผี ล ตอ่ การดำรงชีวติ ของมนุษย์ ▪ วเิ คราะหส์ ถานการณ์ สาเหตุ และ ผลกระทบของการเปลีย่ นแปลง ดา้ น ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม ของประเทศไทยและภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ▪ ระบมุ าตรการป้องกันและแกไ้ ขปญั หา กฎหมายและนโยบายทางดา้ น ทรพั ยากร ธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม บทบาทขององค์การทเี่ ก่ยี วข้อง และ การ ประสานความร่วมมอื ทง้ั ในประเทศและ ระหวา่ งประเทศ ▪ วเิ คราะหแ์ นวทางและมสี ว่ นรว่ มในการ จดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมเพ่ือการพัฒนาท่ีย่ังยืน เขยี นอธบิ าย ชี้แจง แสดงความคดิ เห็นและ โตแ้ ยง้ อย่างมเี หตุผล

75 กจิ กรรมการเรยี นรู้ รายละเอียด กลมุ่ สาระท่จี ดั การสอน 4.1 ศึกษาจากสาระในกจิ กรรมและสืบคน้ ขอ้ มูลทางวิชาการเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมศกึ ษา ศาสนา และ 4.2 สัมภาษณ์ข้อมูลท่ีมาของพ้นื ทโ่ี คกกอ่ จากปราชญท์ ้องถิ่น/ชาวบา้ น วฒั นธรรม 4.3 ตรวจวัดคุณภาพดินในพ้ืนที่ทป่ี ลูกก่อหรือวางแผนจะปลูก ได้แก่ เน้ือ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ดนิ โดยการสัมผัส และตวั แปรอื่น ๆ ได้แก่ คา่ ความเขม้ แสง คา่ ความ และสงั คมศึกษา ศาสนา และ เปน็ กรดดา่ ง (pH) อุณหภมู ิ และ ความช้ืน โดยเครอ่ื งดังภาพในบริเวณท่ี พบพชื สมุนไพร ตามแบบบันทึก ก1.1: ขอ้ มลู ภาคสนาม สำหรบั สมบัติ วัฒนธรรม ทางกายภาพและเคมีของดินในพนื้ ท่ีหรือวางแผนจะปลกู กอ่ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4.4 แลกเปล่ยี น เรียนรู้ ตคี วามผลการตรวจวดั โดยนำเสนอบทเรียน ปากเปล่ารายเดียวหรือกลุ่ม วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมศกึ ษา ศาสนา และ 4.5 ระดมสมองและจดั ทำผังความคิด พร้อมนำเสนอปากเปล่า วฒั นธรรม 4.6 สะท้อนบทเรียนผา่ นการแต่งกลอนและเขียนเรยี งความ ในหวั ขอ้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี “การอนรุ ักษ์ก่อ เพ่ืออัตลกั ษณ์ของตำบลโคกกอ่ ” และสงั คมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม และภาษาไทย ภาษาไทย

76 วธิ ีการตรวจวดั เน้ือดิน (Soil Texture) หมายถึง สัดส่วนโดยน้ำหนักของกลุ่มอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบด้วย อนุภาคของทราย (Sand) อนุภาคของทรายแป้ง (Silt) และขนาดดินเหนียว (Clay) อนุภาคทั้งสามขนาด เมื่อรวมเข้าในสัดส่วนสัมพัทธ์ต่าง ๆ ก็จะได้ลักษณะเนื้อดินชนิดต่าง ๆ การบอกเนื้อดินใน ภาคสนาม บอกโดยวธิ ีการใช้นว้ิ สมั ผัส ซงึ่ สามารถดำเนินการทบสอบเนอื้ ดนิ ไดด้ ังนี้ เตรยี มก้อนดนิ ในสภาวะดิน เปียกขนาดเท่าผลมะนาว ดินจบั กนั เปน็ กอ้ น ไมใ่ ช่ ดนิ ทราย (Sand: S) • สากมอื ใช่ ดนิ ทรายปนดินรว่ น • สากมอื และติดมอื เปน็ กอ้ นแต่แตกง่าย ใช่ (Loamy Sand: LS) เล็กนอ้ ย ไมใ่ ช่ ดนิ ทรายปนทราย • สากมอื /ตดิ มือง่าย (Sandy Loam: SL) ไมล่ นื่ หรือเหนยี ว ปนั้ เป็นแทง่ สัน้ ๆ ทรงกระบอก ไมใ่ ช่ ยาว 5 ซม. และ 1.5 ซม. ปั้นเปน็ เสน้ ขนาดเส้นผ่าศนู ย์ ไมใ่ ช่ ใช่ ดนิ ทรายปนทรายแปง้ กลาง 0.6 ซม. ยาว 13 ซม. สากมอื เหมือนมีทราย (Silt Loam: SiL) ไมใ่ ช่ • ลื่นกว่า SL และตดิ นิว้ ขา้ ง นุ่มและล่ืนมือ ใช่ ใดข้างหนึ่ง นมุ่ และลนื่ มือมาก ใช่ ใช่ มแี นวโนม้ ขดเป็นรูปตัว U ได้ ไม่ใช่ ทรายแป้ง (Silt : Si) • นมุ่ และลื่นมือมาก ดินรว่ น (Loam: L) • • ไมร่ สู้ กึ หยาบมือแตน่ ุ่มมือมี เนื้อดนิ ทราย ทรายแปง้ และดินเหนยี วอย่างละเทา่ ๆ กัน ใช่

77 ดนิ ร่วน (Loam : L) มแี นวโน้มขดเปน็ รูปตวั U ได้ ไมใ่ ช่ ใช่ ไม่ใช่ รู้สึกเหมอื นมที ราย ขดเป็นรูปตัว U ได้ แตแ่ ตก นุ่มและล่ืนมอื มาก ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ดนิ รว่ นเหนียวปนทราย • ค่อนขา้ งลน่ื และสากมือ (Sandy Clay Loam) นุ่มมอื บา้ งและกระดา้ ง ปน้ั เป็นเส้นและมว้ งเป็น ไม่ใช่ วงกลมรูปแหวน ใช่ ดนิ รว่ นเหนยี วปนทรายแป้ง • คอ่ นข้างติดมอื / (Silty Clay Loam: SiCL) นมุ่ ลื่น วงแหวงมีรอยแตก ใช่ • เหนียวกวา่ ดนิ SiCL และมีแรงดดู ไม่ใช่ ระหว่างน้วิ มอื น่มุ และลนื่ มือมาก รสู้ กึ ว่ามที ราย ใช่ ดนิ เหนยี วปนทราย • เหนยี วแตส่ ากมอื เนอื่ งจากมีทรายปน (Sandy Clay) จนเห็นเมด็ ทราย ไม่ใช่ ใช่ ดินเหนียวปนทรายแปง้ • เหนียวมาก/นมุ่ ลื่นมือและมนั นมุ่ และลนื่ มอื (Silty Clay: SiC) สะทอ้ นแสง ไม่ใช่ ดินเหนยี ว (Clay: C) • เหนียวมากเม่ือดนิ เปยี ก (กระด้าง) ภาพท่ี 36 วธิ กี ารตรวจสอบเนอื้ ดนิ อยา่ งง่าย

78 ก. คา่ ความเข้มแสง ข.ค่าความเปน็ กรดด่าง (pH) ค.อุณหภูมิ ง.ความชน้ื ในดิน ภาพที่ 37 เคร่ืองมือวัดคุณภาพดนิ เบื้องตน้

แบบบันทกึ ก1.1: ขอ้ มลู ภาคสนาม สำหรับสมบตั ทิ างกา พืน้ ที่…………………………… ผู้บนั ทึกข้อมูล: …………………………………................................. วัน/เดือน/ปที ส่ี ำรวจ ชอื่ จุดเกบ็ ตำแหน่ง ความเขม้ ลกั ษณะทางกายภาพ XY แสง สดี ิน เนื้อ

ายภาพและเคมใี นพื้นทหี่ รือวางแผนจะปลูกกอ่ ……………………… จ: ………….................................……… ชว่ งเวลา:…………………………………… พ ลกั ษณะทางเคมี สภาพแวดล้อมโดยรอบ อดนิ แร่ธาตุในดนิ pH ความชืน้ (ประเภทปา่ /การเผา/ขยะ)

ความเช่อื ที่เกีย่ วขอ้ ง ผงั ความค ........................................................... สภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบ ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... แนวทางการอนรุ ักษ์ ……………………………………………………… ........................................................... ........................................................... ........................................................... ...........................................................

คิดของก่อ การใช้ประโยชน์ บโต ........................................................... ........................................................... . ........................................................... . ........................................................... . . ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศ …………….. ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... การตอ่ ยอดสู่ผลติ ภัณฑ์ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................

81 การประเมินผล 1. ดา้ นความรู้ (Knowledge) สอบวัดความรูก้ ่อนและหลงั 2. ดา้ นกระบวนการ (Process) ตรวจสอบผลงาน โดยใหน้ ักเรยี น นำเสนอผลงาน ผา่ นผังกา้ งปลา 3. ดา้ นความคดิ (Attitude) สงั เกตคุณลักษณะทพี่ ง่ึ ประสงค์

82 กจิ กรรมที่ 2 วิถชี วี ิตรอบอา่ งโคกกอ่ - ระยะเวลา 6 ชั่วโมง – สาระการเรยี นรู้  อา่ งเก็บน้ำหว้ ยคะคางหรืออา่ งโคกก่อ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ประสบภาวะฝนแล้งเป็นประจำ การทำนาไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร การชลประทานขนาดใหญ่ที่สร้างไว้ช่วยเหลือเกษตรกรได้ไม่ทั่วถึง ในปี พ.ศ. 2491 กรมชลประทาน ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศอเมริกา ผ่าน FAO MISSION ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนา แหล่งน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้พิจารณาเห็นควรกระจัดกระจายการพัฒนาแหล่งน้ำให้ทั่วทั้งภาค โดยสรา้ งอา่ งเก็บน้ำขน้ึ มาตามท้องท่ีอำเภอต่าง ๆ โดยพิจารณาตามคำร้องขอของราษฎรหรือหน่วยงานของรัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 ราษฎรบ้านโคกก่อ บ้านหนองโจด ตำบลโคก ก่ออำเภอเมืองจังหวัดมหาสารคาม ร้องขอให้สร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณต้นลำหว้ ยครับเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งและเพื่อช่วยในการเกษตรในเวลา ฝนทงิ้ ช่วงกรมชลประทานพจิ ารณาแล้วเห็นสมควรก่อสรา้ งในปี พ.ศ. 2497 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2500 ใช้ชื่อว่า “อ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง” โดยประเทศสหรัฐอเมริกาสนับสนุนด้านวิชาการและเครื่องจักรเครื่องมือ โดยจัดทำ เปน็ รูปชลประทานราษฎร์ ราษฎร ยอมยกทด่ี นิ ให้ แต่การกอ่ สร้างนน้ั เพยี งอ่างเกบ็ นำ้ และอาคารบรเิ วณหัวงาน เท่านั้น ส่วนงานระบบ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตกลงในนโยบายท่ี จะจัดตั้งสหกรณ์ที่ดินขึ้น โดยมีสมาชิก เป็นเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำการขุดคลองส่งน้ำ ใช้เงินกู้จากกระทรวง และรับผิดชอบในการบำรุงรักษา แต่กรมสหกรณ์ที่ดินสมัยนั้น มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอและขาดงบประมาณ จงึ ต้องระงบั ไปต่อมาใน ปี พ.ศ 2499 กระทรวงเกษตร ไดม้ อบให้กรมชลประทาน เปน็ ผู้ขุดคลองส่งน้ำจากอ่าง เก็บน้ำ มาดำเนินการต่อไปอ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง ได้วางแผนขุดคลองส่งน้ำ 2 ฝั่งยาวฝั่งละ 10+000 กม. สามารถช่วยเหลือเนื้อที่นา ได้ประมาณ 4,000 ไร่ ลักษณะของเป็นคลองดิน โดยดำเนินการขุดไปเรื่อย ๆ แล้วแต่งบประมาณ แต่ลักษณะดิน ในบริเวณนี้ เป็นทรายจัด คลอง จะตื้นเขินเป็นประจำคลองชลประทาน มหาสารคาม จึงได้จดั ทำแผนปรับปรุงใหม่ เพื่อให้เปน็ คลองดาดเสนอกรมฯ ได้รบั หลักการไดเ้ รมิ่ ปรับปรุงต้ังแต่ ปี พ.ศ. 2525 แต่การปรับปรุงไม่ได้รับงบประมาณติดต่อกันทุกปี ส่วนที่ปรับปรุงแล้ วคือคลองส่งน้ำสายใหญ่ ฝั่งซ้าย ปรับปรุงเมื่อปี พ.ศ. 2525 ยาว 3+000 กม. คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ปรับปรุง เมื่อปี พ.ศ. 2530 ยาว + 500 กม. และจะดำเนนิ การตอ่ ไปเร่อื ย ๆ จนเสรจ็ สิ้นทั้งโครงการ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง ตั้งอยู่ที่ ต.โคกก่อ อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นโครงการ ชลประทานชลประทานกลาง และอยู่ในความรับผิดชอบชองโครงการชลประทานมหาสารคาม ได้ก่อสร้าง เพื่อเสริมน้ำฝนในฤดูนาปี ซึ่งเดิมต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งอยู่เป็นประจำ และปริมาณที่เหลือจากฤดูนาปี ทางโครงการชลประทานมหาสารคาม ได้วางแผนการสง่ นำ้ เพื่อปลกู พืชฤดแู ลง้ เป็นการเสริมรายได้ใหเ้ กษตรกร ไดด้ อี กี ทางหนงึ่ และป้องกนั การอพยพแรงงานเขา้ สสู่ ว่ นกลาง แหล่งน้ำแห่งนี้ นับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ จากการสัมภาษณ์ชาวบ้านหนองหิน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 ได้บอกเล่าว่า พบปลาแขยงจุด (Mystus nigriceps) และปลาอีโฮ้ (ภาษาถิ่น) หรือปลา นวลจันทร์ (Cirrhinus microlepis) จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีหอยเล็บม้าและหอยกีบกี้ โดยสภาพ

83 พื้นน้ำนั้น เดิมมีสภาพเป็นดินทราย (60 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งปัจจุบัน มีตะกอนดินหรือตรมสะสมเพิ่มขึ้น จากการไหล่บ่าของน้ำที่ไหลเข้ามาที่อ่างเก็บน้ำ ชุมชนในพื้นที่นี้ มีวิธีการหาปลา โดยใช้เยาะ (ภาษาถิ่น) คือ การใช้เศษกงิ่ ไม้สุมไวใ้ นแหล่งน้ำ เพื่อเปน็ แหล่งอาศัยของปลา จากนั้นจึงหวา่ นแหครอบและจับปลาท่ีอาศัย ในนั้น  นำ้ (Water) น้ำ เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตยังต้องการน้ำที่สะอาด เพื่อใช้ในการดำรงชวี ติ น้ำจึงมีความสำคัญต่อส่ิงมชี วี ติ เปน็ อย่างมาก ถ้าหากขาดน้ำไปส่งิ มชี ีวิตจะอยูไ่ ดอ้ ยา่ งไร ปัจจุบันโลกของเรา กำลังประสบปัญหาน้ำจืดขาดแคลน ประชากรโลกกว่า 6,000 ล้านคน กำลังใชน้ ้ำเกนิ ความจำเปน็ ซึง่ ผลจากการสำรวจแหล่งน้ำจืดท่ี มอี ยทู่ ั่วโลกพบว่า แมน่ ้ำหลกั หลายสายของโลก เหลือน้ำปริมาณน้อยและถูกปนเปื้อน แม้แต่แหล่งน้ำใต้ดินก็ถูกปนเปื้อนด้วยมลพิษมากขึ้นเช่นกัน ทำให้มี น้ำสะอาดเหลือน้อยลง ดังนั้นเราจึงควรดูแลรักษาแหล่งน้ำเราให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ รวมทั้งการใช้น้ำอย่างฉลาด เพือ่ ทจี่ ะมปี ่าในปริมาณทพี่ อเพยี ง และสามารถใช้ ประโยชนต์ อ่ ไปได้ช่วั ลูกช่ัวหลาน  ปริมาณน้ำของโลก โลกของเรา มีพื้นผิวน้ำถึงร้อยละ 70 ที่เหลือร้อยละ 30 เป็นพื้นดิน ปริมาณน้ำทั้งหมด ที่มีอยู่ในโลก ส่วนใหญ่เป็นน้ำเค็มในทะเล มหาสมุทร คิดเป็นร้อยละ 97.4 ส่วนที่เป็นน้ำจืด แบ่งเป็น น้ำแข็ง ธารน้ำแข็งและน้ำใต้ดิน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 2.59 ส่วนน้ำในทะเลสาบ แม่น้ำรวมถึงไอน้ำ ในบรรยากาศ คดิ เปน็ ร้อยละ 0.014 เท่านัน้  วัฏจักรของน้ำ ธรรมชาติของน้ำจะมีการเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอ หมุนเวียนกันไปเป็น “วัฏจักร” น้ำตามแหล่ง ต่าง ๆ เช่น ในคลอง แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร ฯลฯ เมื่อ ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์จะระเหย กลายเป็นไอลอยสู่บรรยากาศ ไอน้ำ ที่อยู่ในบรรยากาศนี้ นอกจากจะได้มาจากการระเหยจากแหล่งน้ำต่าง ๆ แลว้ มีบางส่วนได้มาจากการคายน้ำของพชื และการระเหยในขณะทีฝ่ นกำลังตก เมือ่ ไอนำ้ ลอยตัวสูงขึน้ ไปเรื่อย ๆ ความร้อนของไอน้ำก็จะลดลง เมื่อกระทบกับ บรรยากาศเบื้องบน ซึ่งเย็นกว่าไอน้ำก็จะจับกันเป็นกลุ่มก้อน กลายเป็นเมฆฝน มี น้ำหนักมากขึ้นและลดระดับเคลื่อนตัวต่ำลงมาตามแรงดึงดูดของโลก เมื่อเมฆ เคลื่อนตัว ต่ำลงมานน้ั จะได้รบั ความร้อนเพม่ิ ข้นึ เร่ือย ๆ จนกลายเป็นฝนตกลงมา สู่พ้ืนโลกในท่ีสดุ นำ้ สว่ นหนึ่งจะซึมลงไป อยู่ใต้ดิน และบางส่วนจะถูกพืชดูดซึม ไปเป็นอาหาร และเมื่อได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์อีก น้ำในสภาพ ต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ก็จะระเหยกลายเป็นไอกลับไปอยู่ชั้นบรรยากาศอีก หมุนเวียนกันอยู่ เช่ นนี้ตลอดไป สภาวะเหล่านี้เป็นการรักษาความสมดลุ ของธรรมชาติ

84 ภาพท่ี 38 วัฏจักรของน้ำ ทมี่ า: https://sites.google.com/site/siripornnwschool/watcakr-khxng-na  สาเหตุของความสกปรกของนำ้ ในอดีตที่ผ่านมา คนไทยนิยม ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ มีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค และบริโภค และระบายน้ำเสียเหล่านั้นกลับลงสู่แหล่งน้ำ แต่คุณภาพน้ำของแหล่งน้ำ ก็ยังไม่เสื่อมโทรม อย่างเห็นได้ชัดเหมือนในปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นยังมีปริมาณน้อย ทำให้ธรรมชาติสามารถ ฟอกตัวเองได้ แต่ปัจจุบันปริมาณน้ำเสียที่ระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะมีปริมาณ มากขึ้นจนทำให้ธรรมชาติ ไม่สามารถฟอกตวั เองได้ ส่งผลให้คุณภาพนำ้ เสื่อมโทรมลงจนไมส่ ามารถใชป้ ระโยชน์ แหล่งกำเนิดน้ำเสียเกิดได้จากหลายกิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมจะมี ปริมาณและคุณลักษณะน้ำ เสียแตกต่างกัน และก่อให้เกิดผลกระทบที่แตกต่าง กันด้วย กิจกรรมหลักที่ทำให้เกิดน้ำเสีย แบ่งเปน็ 3 กิจกรรม ได้แก่ ชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม 1. น้ำเสียชุมชน หมายถึง น้ำที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ในกิจกรรมการดำรง ชีวิตของเรา เช่น น้ำเสียจากบ้านเรือน อาคาร ที่พักอาศัย โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน ร้านค้า อาคารสำนักงาน เป็นต้น และระบายน้ำทิง้ ลงสูท่ อ่ ระบายน้ำ หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยไมไ่ ด้ผา่ นการบำบัดให้มลี กั ษณะดีขนึ้ หรือสะอาด ขึ้นก่อน น้ำเสียชุมชนส่วนใหญ่จะมีสิ่งสกปรก ในรูปของ สารอินทรีย์ เป็นองค์ประกอบที่ สำคัญ ซึ่งเกิดจาก กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอาบน้ำ การซักผ้า การล้างจาน เป็นต้น โดยปริมาณการใช้น้ำนั้นมีค่าเฉล่ีย อยู่ที่ประมาณ 200 ลิตร/คน/วัน ซึ่งจะ ถูกเปลี่ยนเป็น น้ำเสีย ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 160 ลิตร/ คน/วัน 2. น้ำเสียอุตสาหกรรม หมายถึง น้ำที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงงาน อุตสาหกรรม เริ่มตั้งแต่การล้างวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การล้างวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกล ตลอดจนการทำความ สะอาดโรงงาน ส่งผลให้น้ำดีที่ใช้แล้ว กลายเป็นน้ำเสีย คุณลักษณะของน้ำเสียอุตสาหกรรมนั้นจะแตกต่างกัน

85 ตาม ประเภทของอุตสาหกรรม องค์ประกอบของน้ำเสียประเภทนี้ จะมีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่ทั้งในรูป ของสารอินทรีย์ เช่น เศษอาหารต่าง ๆ เชื้อโรค และ สารอนินทรีย์ เช่น สารพิษ สารเคมี และโลหะหนัก เป็นต้น 3. น้ำเสียเกษตรกรรม หมายถึง น้ำที่เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตร ซึ่งแบ่งตามลักษณะ การใช้ประโยชน์ที่ดินได้เป็น การเพาะปลูก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลักษณะของน้ำเสีย ประเภทนี้ จะมีสิ่งเจือปนอยู่ ทั้งในรูปของสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ประโยชน์ หากเป็นน้ำเสียจากพื้นที่ เพาะปลูกท่ีมีการใช้ปุ๋ยเคมีจะพบสารประกอบของ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพรแทสเซียม นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีทางการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช เมื่อเกิดฝน ตกก็จะถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำและส่งผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ ส่วนน้ำเสียที่เกิดจาก กจิ กรรมการเล้ียงสตั ว์น้ัน จะพบสง่ิ สกปรกในรปู ของสารอนิ ทรียเ์ ปน็ ส่วนมาก  ผลกระทบของน้ำเสยี 1. เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพราะน้ำเสีย อาจมีการปนเปื้อน ของสารพิษต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เราเจ็บป่วย เช่น โลหะหนัก และยาฆ่าแมลง เป็นต้น นอกจา กน้ี ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค และอาจเป็นสาเหตุของโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ไทฟอยด์ไวรัสตับอักเสบ เป็นตน้ 2. ทำลายทัศนียภาพเนื่องจากสมบัติของน้ำเปลี่ยนแปลงไปทำให้น้ำมีสีดำคล้ำ และมีกลิ่นเหม็น ส่งผลให้แหลง่ น้ำขาดความสวยงามตามธรรมชาติ 3. ผลกระทบต่อการคมนาคม เนื่องจากสารประกอบไนโตรเจนและ ฟอสฟอรัสในน้ำเสีย อาจเป็นสาเหตุใหเ้ กิดการเจริญเติบโตของพชื นำ้ อย่างมาก เช่น ผักตบชวา ซึ่งเป็นอปุ สรรคตอ่ การสัญจรทางน้ำ 4. เปน็ อันตรายต่อระบบนเิ วศแหลง่ นำ้ เมือ่ เกิดนำ้ เสยี จะสง่ ผลใหป้ รมิ าณออกซิเจนทมี่ ีในน้ำลดลง พืชและสัตว์ เจรญิ เติบโตช้า หรอื อาจตายได้ ทำให้ ระบบนิเวศเปลย่ี นแปลงไป 5. ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาดและปลอดภัย ก่อให้เกิดปัญหาต่อ กิจกรรมที่จะต้องใช้น้ำ โดยเฉพาะ การเกษตรและอุตสาหกรรม ซ่งึ จะ มผี ลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพ ของผลผลติ  ลักษณะของน้ำเสีย น้ำเสีย คือ น้ำที่มีสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในปริมาณสูงทำให้ไม่สามารถนำน้ำไป ใช้ประโยชน์ได้ โดยสามารถจำแนกลกั ษณะนำ้ เสียได้ 3 ประเภท คือ 1. ลกั ษณะน้ำเสียทางกายภาพ (Physical Characteristics of Waste Water) 1.1 มีสีผิดปกติและมีความขุ่น เป็นลักษณะที่มองเห็นได้ง่าย โดยปกติ จะมีสีเหลืองจนถึง นำ้ ตาลอ่อน ถา้ น้ำสกปรกมากจะเปลย่ี นเปน็ สดี ำ เขยี ว เปน็ ตน้ 1.2 มีกลิ่น โดยปกติ น้ำไม่มีกลิ่นแต่น้ำเสียมักมีกลิ่น เนื่องจากการ เน่าเปื่อยของสิ่งปฏิกูล และเกิดกา๊ ซไข่เน่า การทงิ้ ส่ิงปฏิกูลลงแหลง่ นำ้ จึงทำใหน้ ้ำ เนา่ เหมน็ ได้ง่าย นอกจากนี้สารเคมีบางชนิดทำให้น้ำ มีกลิน่ ไดเ้ ช่นกนั 1.3 มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป โดยมีผลต่อการละลายของออกซิเจน ในน้ำ ซ่ึงมคี วามสำคัญตอ่ การดำรงชีวิตของพชื และสตั วน์ ้ำ

86 1.4 มีปริมาณของแข็งแขวนลอยในน้ำ มากเกินไป ของแข็งเหล่านี้อาจเป็นสารอินทรีย์ หรอื สารอนินทรยี ์ ซึ่งอาจจะมองเหน็ และมองไม่เห็น 2. ลกั ษณะน้ำเสียทางเคมี (Chemical Characteristics of Waste Water) 2.1 มีปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำหรือค่าดีโอต่ำ (Dissolved Oxygen; DO) ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพ ของพืชและสัตว์น้ำ ถ้าค่าดีโอสูงแสดงว่า คุณภาพน้ำดี แต่ถ้าค่าดีโอต่ำแสดงว่า น้ำเสีย เพราะออกซิเจนถูกจุลินทรีย์นำไปใช้ย่อยสลายสารสกปรก หรือสาร อินทรีย์ในน้ำ 3. ลักษณะน้ำเสียทางชีวภาพ (Biological Characteristics of Waste Water) หมายถึง การที่น้ำมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นภัยต่อมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่ ได้แก่ จุลินทรีย์หรือเชื้อโรค เช่น รา แบคทีเรีย โปรโตซัว และไวรัส ซึ่งทำให้มนุษย์ เป็นโรคได้ โดยทั่วไปจะใช้แบคทีเรีย กลุ่มโคลิฟอร์มและฟิคัลโคลิฟอร์ม (Coliform Bacteria and Fecal Coliform Bacteria) เป็นดัชนีบ่งบอกว่า แหล่งน้ำนั้นมีการปนเปื้อนอุจจาระของคน และสตั ว์ ซึง่ ไมเ่ หมาะสมท่จี ะนำมาใช้ ในการอุปโภค และบริโภค  ประโยชน์ของการเฝา้ ระวังคุณภาพน้ำ 1. สามารถทราบสถานการณ์คุณภาพน้ำว่าแหล่งน้ำนั้น ๆ จัดอยู่ในคุณภาพที่ดีมาก ดี พอใช้ หรอื เสือ่ มโทรม ซง่ึ จะมีผล กระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิง่ แวดลอ้ ม 2. ใชเ้ ป็นข้อมูลในการแกไ้ ขปัญหาคุณภาพน้ำ 3. ทำให้ทราบถงึ ท่ีมาของแหล่งกำเนิดมลพิษวา่ น้ำเสยี เหลา่ นั้นมแี หล่งกำเนดิ มาจากไหน  วิธกี ารตรวจวัดคณุ ภาพนำ้ การเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำนั้น สามารถเปรียบเทียบได้จากสภาพ คุณสมบัติของแหล่งน้ำ ในอดีตกับปัจจุบันว่ามีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงจาก แต่ก่อนหรือไม่อย่างไร ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำ อาสาสมัครตอ้ งคำนึงถึง คุณภาพน้ำท่ีอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล เชน่ ฤดูแล้งจะมีปริมาณน้ำน้อย ส่งผลให้ ส่ิงเจือปนมีความเขม้ ข้นมากกวา่ ในฤดนู ำ้ มาก เปน็ ตน้ ดังนั้น การตรวจวัด คณุ ภาพน้ำจึงควรทำในทกุ ฤดูกาล วิธีการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำอย่างง่ายสามารถทำได้ด้วยตนเองหรือใช้ เครื่องมือช่วย ในการตรวจวัด ซึ่งแบ่งได้ 3 วิธี คือ การตรวจวัดคุณภาพน้ำทาง กายภาพ การตรวจวัดคุณภาพน้ำทางเคมี และการตรวจวัดคณุ ภาพนำ้ ทางชวี ภาพ  การตรวจวดั คณุ ภาพนำ้ ทางกายภาพ ปริมาณน้ำ ถ้าปรมิ าณน้ำมาก จะสามารถเจือจางมลพิษในน้ำได้มาก ถ้าปริมาณนำ้ น้อยโอกาสน้ำ เน่าเสียก็เกิดขึ้นได้งา่ ย ความเร็วของกระแสน้ำ เปน็ ปจั จัยท่สี ง่ ผลตอ่ สิง่ มีชีวติ ในน้ำ ถา้ น้ำไหล เร็วจะเพม่ิ ปรมิ าณ ออกซิเจนในน้ำ คุณภาพน้ำจะดีขึ้นหรือคืนสภาพเดิมได้เร็ว ถ้าน้ำนิ่งไม่มีการถ่ายเท โอกาสน้ำเน่าเสียก็มาก ซึ่งการวัดความเร็วของกระแสน้ำ อย่างง่ายทำได้โดยใช้วัสดุที่ลอยปริ่มน้ำ เช่น ลูกปิงปอง ลูกเทนนิส ปล่อย ให้ลอย ตามกระแสน้ำเป็นระยะทางหนงึ่ แล้วจบั เวลาโดยมหี น่วยเป็นเมตรตอ่ วินาที ลักษณะของน้ำ ถ้ามีสีต่างจากธรรมชาติ มีตะกอนขุ่น หรือมีกลิ่นเหม็น แสดงว่าน้ำมีสิ่งสกปรก ปนเปื้อนอยสู่ ามารถตรวจสอบโดยนำนำ้ ใสแ่ กว้ ใสแลว้ สอ่ งดู

87 เศษขยะ สิ่งปฏิกูล ซากพืช ซากสัตว์ ถ้ามีอยู่ในน้ำก็เป็นสาเหตุให้เกิด การเน่าเสียได้ ทราย ผกั ตบชวา พชื นำ้ อ่นื ๆ ในปรมิ าณที่มาก จะทำใหเ้ กิดการเนา่ เสยี ได้ วัชพืชในน้ำ เช่น สาหร่าย ผักตบชวาพื้นน้ำ ในปริมาณที่มากจะมีการใช้ออกซิเจนในน้ำ อย่างรวดเร็วและจะทำใหเ้ กดิ การเนา่ เสยี ของนำ้ อยา่ งรุนแรงได้ การใชอ้ อกซิเจนในนำ้ อยา่ งรวดเร็วอาจทำให้เกิดการเนา่ เลย น้ำมันที่ผิวน้ำ จะทำให้ออกซิเจนไม่สามารถละลายน้ำ ทำให้เกิดการเน่าเสียได้ การตรวจสอบ สามารถทำได้โดยตักน้ำใส่ในแก้วใสแล้วส่องดูกับแสงอาทิตย์ หากหากมีน้ำมันจะเห็นเป็นเหลือบสีรุ้งลอย อยู่บนผิวน้ำ อุณหภูมิของน้ำ มีความสัมพันธ์กับปริมาณออกซิเจน ที่ละลายในน้ำ เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงขึ้นจะทำ ให้ปริมาณ ออกซิเจนละลายในน้ำลดลงการวัดอุณหภูมิทำได้โดย ใช้เทอร์โมมิเตอร์ โดยจุ่มกระเปาะ เทอร์โมมิเตอร์ ลงไปใต้น้ำแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที จึงอ่านผล ควรวัดอุณหภูมิน้ำทันทีที่เก็บตัวอย่าง ขึ้นมา หากสามารถวดั จากแหล่งนำ้ ได้เลยกจ็ ะดี  การตรวจวดั คณุ ภาพน้ำทางชีวภาพ การตรวจวัดคุณภาพน้ำทางชีวภาพ คือการนำสิ่งมีชีวิตมาบ่งชี้คุณภาพน้ำ เช่น แบคทีเรีย แพลงก์ตอนพืช แพลงตอนก์สัตว์ สาหร่ายขนาดใหญ่ สัตว์หน้าดิน พืชน้ำ ปลา เป็นต้น ซึ่งสามารถทำได้โดย ตรวจดูพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น พฤติกรรมของปลา ถ้าพบว่าปลา ขึ้นมาหายใจบ่อยผิดปกติ แสดงว่าน้ำ มีปริมาณออกซิเจนลดลง หรือมีปลาตาย มากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากน้ำมีสารพิษหรือน้ำไม่มอี อกซิเจนอยู่เลย หรือชนิด และปริมาณของสัตว์หน้าดินที่พบในแหล่งน้ำที่ตรวจสอบก็สามารถบอกถึงระดับคุณภาพน้ำ ของแหล่งน้ำได้เช่นกัน สัตว์หน้าดิน (Benthos) หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหน้าดิน หมายถึง สัตว์ที่อาศัย อยู่บนหรือแทรกตัวอยู่ในตะกอนท้องน้ำ เช่น กุ้ง หอย ปูรวมถึง สัตว์ขนาดเล็ก เช่น ตัวอ่อนแมลงปอ ตัวอ่อน แมลงหนอนปลอกน้ำ หนอนแดง เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวชี้วัด คุณภาพน้ำของแหล่งน้ำไหล โดยสามารถ แบ่งชนดิ ของสัตว์หน้าดินทีพ่ บโขดหนิ กับคณุ ภาพนำ้ ได้ 4 ระดับ คือ 1. คณุ ภาพนำ้ ดมี าก สัตว์ท่พี บมากทสี่ ดุ คอื ตวั ออ่ นแมลงเกาะหิน ตัวอ่อนแมลงชีปะขาว 2. คณุ ภาพนำ้ ดี สตั วท์ ่ีพบมากทีส่ ดุ คือ ตวั ออ่ นแมลงหนอนปลอกนำ้ 3. คณุ ภาพนำ้ ปานกลาง สตั วท์ ี่พบ มากที่สดุ คอื ตัวออ่ นแมลงปอ ก้งุ นำ้ จดื ปูน้ำจืด 4. คุณภาพน้ำไม่ดี สัตว์ที่พบมากที่สุด คือ หนอนแดง ไส้เดือนน้ำจืด โดยดูเปรียบเทียบจาก นาฬิกาหนา้ ดนิ หากพบวา่ มีสตั วห์ น้าดินชนิดไหนมากทีส่ ดุ จะบอกถงึ คุณภาพของน้ำว่าอยูใ่ นระดบั ใด

88 ภาพท่ี 39 นาฬิกาสัตว์หน้าดนิ ท่มี า: กรมควบคมุ มลพิษ (2560) ตารางที่ 6 ชนิดของสตั วห์ นา้ ดนิ ท่ีพบในระดบั คุณภาพน้ำต่าง ๆ ระดบั คุณภาพน้ำ สัตว์หนา้ ดนิ ภาพประกอบ ตวั ออ่ นชปี ะขาวขุดรู ดมี าก ตวั ออ่ นชปี ะขาวเหงอื กขนนก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook