Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Published by wksrc7, 2022-04-14 12:56:47

Description: BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Keywords: พระพุทธศาสนา,โยคาจาร,เซน,สุขาวดี,ตันตระ,พระโพธิสัตว์,องค์ดาไลลาม,ติช นัท ฮันห์,ดี.ที.ซูซูกิ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 90 (7) อธิกาโร คือ มีการกระทาอันยิ่งถึงขั้นสละชีวิตของตนเอง เพื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนง่ึ (8) ฉนฺทตา คือ มีความปรารถนาแรงกล้าแม้เผชิญต่ออุปสรรคนานัปประการก็ไม่ ทอ้ ถอย” 8.4 พรหมชาลสูตร 1) ประวัติ พระสตู รฝ่ายมหายานน้ี (มีชื่อตรงกบั ของฝ่ายเถรวาท และในแงส่ าระสาคัญก็กล่าวถึง วินัยหรือศีล) พระเถระชื่อกุมารชีพเป็นผู้แปลเม่ือ พ.ศ.949 มีบัญญัติต่าง ๆ ที่มหายานถือว่าเป็นวินัย มหายาน ญ่ีปุ่นนับถือพระสูตรนี้มาก โดยเฉพาะนกิ ายชินงอน (มนตรยาน) ถือเป็นหลักประจานิกายน้ี พรหมชาลสูตรจดั เปน็ วินัยโพธิสตั ว์ ซึง่ สาธารณะท่ัวไปแม้แกฆ่ ราวาสชนด้วย มี 2 ผกู วินัยท่ีปรากฏอยู่ ในพระสตู รทนี่ ับถือกนั เครง่ ครัดมี 10 ข้อ ถือเปน็ ศีล 10 ฝ่ายมหายาน คือ (1) ไมฆ่ า่ สัตว์ เสถียร โพธินันทะเสริมความของพรหมชาลสูตรว่า “ฝ่ายมหายานมิได้มีภิกขุปาฏิ โมกข์เป็นเอกเทศ คงปฏิบัติวินยั บัญญัติตามพระปาฏิโมกข์ของฝ่ายสาวกยาน แต่มีแปลจากฝ่ายสาวก ยานคือ โพธิสัตว์สิกขา เพราะฝ่ายมหายานสอนให้มุ่งพุทธภูมิ บุคคลจึงต้องประพฤติโพธิจริยา มีศีล โพธิสัตว์เป็นที่อาศัย (ต่างฉบับกับบาลี) 2 ผูก โพธิสัตว์ศีลมูลสูตร 1 ผูก และอ่ืนๆ อีก พึงสังเกตว่า เรยี กคมั ภีรเ์ หลา่ นี้วา่ “สตู ร” มไิ ดจ้ ดั เปน็ ปฎิ กหนงึ่ ตา่ งหาก” 2) สาระสาคัญ ความในพระสูตรสอนว่า ผู้เป็นบุตรของของตถาคตต้องมีความเมตตากรุณา ควรคิด อยู่เสมอว่า บุรุษทุกคนเช่นเดียวกับบิดาของตน เช่นเดียวกับหญิงทุกคนคือมารดาของตนเอง ด้วยว่า คนเหล่านัน้ ได้เคยเปน็ บิดามารดาของตนมาแลว้ ในอดีตชาติ สรรพสตั ว์อนื่ ๆ ท่กี าลงั ได้รบั ทุกข์ภัยอยู่ก็ ดี กาลังจะถูกประหารอยู่ก็ดี ลูกของตถาคตสมควรช่วยเหลือสัตว์เหล่าน้ันให้พ้นภัย (ศ.พิเศษเสฐียร พันธรงั ษ,ี 2543, น. 125-126) 8.5 วัชรปรชั ญาปารมิตาสตู ร 1) ประวตั ิ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรมีช่ือเต็มในภาษาสันสกฤตว่า วัชรัจเฉทิกาปรัชญาปารมิตา สูตร หมายถึงพระสูตรว่าด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์ประดุจเพชรท่ีจะตัดภาพมายา คืออวิชชาและ อุปาทานอันเป็นเคร่ืองกีดขวางมิให้บุคคลบรรลุถึงความรู้แจ้ง ในภาษาอังกฤษเรียกท่ัวไปโดยย่อว่า “Diamond Sūtra” (พระสูตรเพชร) หรือ “Vajra Sūtra” (วัชรสูตร) วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (อังกฤษ : Diamond Sutra) เป็นช่ือพระสูตรสาคัญหมวดปรัชญาปารมิตาของพระพุทธศาสนาฝ่าย มหายาน พระสูตรอ่ืน ๆ ในหมวดปรัชญาปารมิตา อาทิเช่น มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ไมตรีราชาโลก ปาลสูตร เช่ือกันว่าพระสตู รหมวดปรัชญาปารมติ าน้เี ป็นพระสูตรมหายานรุ่นแรก ๆ ทเี่ กิดขึ้น วั ช ร ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า สู ต ร น้ี เป็ น พ ร ะ สู ต ร ชั้ น ห ลั ก อั น ส า คั ญ ยิ่ ง สู ต ร ห นึ่ ง ข อ ง พระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน พุทธมามกชนฝ่ายมหายานทง้ั จีน ญีป่ ุ่น เวียดนาม เกาหลี ฯลฯ ยอ่ มรู้จัก คุ้นเคยกับพระสูตรน้ีได้ดี โดยเฉพาะในวงการพุทธบริษัทจีน ได้จัดพระสูตรน้ีเป็นปาฐะที่จะต้องสวด สาธยายในงานพิธีศราทธพรต ดุจเดียวกับการสวดอภิธรรมของเรา ถ้าว่าโดยลักษณะของพระสูตรนี้ (เสถยี ร โพธินันทะ, 2516, น. อารัมภกถา, น. 263)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 91 ประวัติแห่งการแปลถา่ ยทอดพระสตู รน้จี ากพากยส์ นั สกฤตสพู่ ากย์จนี นนั้ มี 6 ฉบับ คอื (1) ฉบบั แปลของทา่ นกุมารชพี แปลเมือ่ ครัง้ ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 10 (2) ฉบบั แปลของพระโพธิรุจิ (3) ฉบับแปลของพระปรมตั ถ์ (4) ฉบับแปลของพระธรรมคุปตะ (5) ฉบับแปลของทา่ นสมณะเฮย่ี งจัง (6) ฉบับแปลของท่านสมณะอ้ีจิง (เสถยี ร โพธินันทะ, 2516, น. 270-272) วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรท่ีแปลเป็นภาษาไทยมีหลายฉบับ แต่ฉบับที่สมบูรณ์มี 3 ฉบับ ได้แก่ (1) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับแปล สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย จากพากย์ องั กฤษสูพ่ ากยไ์ ทย (2) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับแปล ศูนย์ไทย-ทิเบต แปลโดย รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสงิ ห์ (ภกิ ษณุ ธี มั นนั ทา) จากพากย์อังกฤษสพู่ ากยไ์ ทย 2) สาระสาคญั เนื้อหาสาระสาคัญเป็นเร่ืองราวการเทศนาส่ังสอนของพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติซึ่งเป็น พระอรหันตสาวก ท่ีพระเชตวันมหาวิหาร ว่าด้วยการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ จะต้องกระทาด้วย ความไมย่ ึดม่ันถือมั่นในสรรพส่ิงท้ังปวง ซ่ึงขอตัดตอนบางส่วนมาเสนอดังน้ี “สุภูติ! พระโพธิสัตว์พึงเป็นผู้ ละความยึดถือในลักษณะท้ังปวง แล้วบังเกิดจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ พึงยังจิตมิให้ยึดถือผูกพัน ในรูป …ในเสียง…ในกล่ิน…ในรส…ในสัมผสั …ในธรรมารมณ์ พึงยังจิตให้ปราศจากความยึดม่ันผูกพันใด ๆ และถ้าจิตยังมีความยึดถือผูกพันอยู่ ก็ย่อมช่ือว่าจิตมิได้ตั้งอยู่ในสถานะท่ีควร (แก่พระอนุตตรสัมมา สมั โพธิ กล่าวคือจิตทีต่ ั้งอยู่ในสถานะที่ควรแก่พระอนตุ ตรสัมมาสัมโพธิ ตอ้ งเป็นจิตชนิดที่ปราศจากความ ยึดถือผูกพัน) ฉะน้ัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระโพธิสัตว์ไม่พึงบริจาคทานด้วยจิตซ่ึงยึดถือผูกพันในรูป ดูก่อนสุภูติ ! พระโพธิสัตว์ผู้ยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ พึงบริจาคทานอย่างน้ันแล ตถาคตกล่าวว่า ลักษณะท้ังปวง โดยความเป็นจริงแล้ว ก็ปราศจากสภาวะแห่งลักษณะและกล่าวว่า สรรพสัตว์ โดยความ เปน็ จริงแล้ว กป็ ราศจากสภาวะแห่งสรรพสตั ว์ ดุจกนั ” (เสถียร โพธินันทะ, 2516, น. 297-298) เป็นการอรรถาธิบายถึงหลักศูนยตา ความว่างเปล่าปราศจากแก่นสารของอัตตา ตวั ตนและสรรพสิง่ ท้ังปวง แม้ธรรมะและพระนพิ พานก็มีสภาวะเป็นศูนยตาด้วยเช่นเดยี วกัน สรรพสิ่ง เป็นแตเ่ พียงสักวา่ ช่ือเรยี กสมมตขิ นึ้ กล่าวขาน หาได้มีแก่นสารแท้จริงอย่างใดไม่ เพราะสิ่งท้ังปวงอาศัย เหตุปัจจัยประชุมพร้อมกันเป็นแดนเกิด หาได้ดารงอยู่ด้วยตัวของมันเอง เช่นน้ีสิ่งท้ังปวงจึงเป็นมายา พระโพธิสัตว์เม่ือบาเพ็ญบารมีพึงมองเห็นสรรพสิ่งในลักษณะเช่นนี้ เพ่ือมิให้ยึดติดในมายาของโลก ท้ายที่สุด พระพุทธองค์ได้สรุปว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสารพึงยังจิตมิให้บังเกิดความยึดม่ันผูกพันในสรรพ สิ่งท้ังปวง เพราะสังขตธรรมน้ันมีอุปมาด่ังความฝัน ด่ังภาพมายา ด่ังฟองในน้า ดั่งเงา ด่ังน้าค้าง และ ดั่งสายฟ้าแลบ เกิดจากการองิ อาศยั ไมม่ ีส่งิ ใดเปน็ แกน่ สารจรี ังยงั่ ยนื แนวคิดเรื่องศูนยตาน้ีได้พัฒนาต่อไปโดยท่านคุรุนาคารชุนแห่งนิกายมาธยมิกะ จน กลายเป็นความคิดหลักทางพุทธปรัชญาที่ลึกล้าและโดดเด่นในโลกจนทุกวันน้ี พระสูตรนี้มีแปลเป็น ภาษาไทยโดย เสถยี ร โพธนิ นั ทะ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 92 3) วเิ คราะหเ์ ร่ือง (1) แสดงเร่ืองศูนยตา ทุก ๆ สิ่งสูญ (สรวฺ มฺ ศนู ฺยม)ฺ คือ ไมม่ ีอะไรทีม่ ีอยูจ่ รงิ แต่มอี ยูใ่ น ลักษณะอาศัยเหตปุ จั จยั ตามหลกั ปฏิจจสมปุ บาท (2) ศูนยตาเทียบได้กับอนัตตา ไม่มีตัวตน-ในการเข้าใจเรื่องดังกล่าวนี้ ต้องเข้าใจ สจั จะ 2 คอื สมมติสจั จะ และปรมัตถสัจจะเป็นเบอื้ งต้นเสยี ก่อน 8.6 ลังกาวตารสตู ร 1) ประวัติ ลังกาวตารสูตรมีชื่อเต็มว่า “อารยะสัทธรรมลังกาวตาโรนามหายานสูตร” เป็น 1 ใน 9 คัมภีร์สาคัญของมหายาน เรียกว่า “นวธรรม” หรือบางทีก็เรียกว่า “เพชรทั้ง 9“ เขียนขึ้นใน ประเทศอินเดีย เป็นภาษาสันสกฤต ประมาณ พ.ศ. 893 (ค.ศ.350) มีใจความท่ีว่าด้วยเร่ืองคาสอน มหายานเกือบจะทั้งหมด เป็นแนวปรัชญาจิตนิยมเชิงอัตวิสัย (Subjective Idealism) ซ่ึงมีใน โพธญิ าณของพระพุทธเจ้า หลักแหง่ ศนู ยตาและอาลยวิชญาณเป็นพ้ืนฐาน ลังกาวตารสูตรน้ไี มป่ รากฏ ชื่อผเู้ ขยี น บางตานานบอกว่า “เนื้อหาในคัมภีร์น้ี ว่าด้วยหลักคาสอนด้ังเดิมที่พระพุทธเจ้าทรง แสดงในโอกาสพิเศษทีพ่ ระพุทธองค์เสด็จไปเกาะลังกา เนื้อหาเป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับ อุบาสกราวนะ (Ravana-ทศกัณฐ์) และพระโพธิสัตว์มหามติ (Mahamati, or Manjusri)” ใน พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) สรตั จันทระ ทัส, สติส จนั ทระ วิทยาภสู นะ ไดร้ วบรวมตน้ ฉบับจัดพิมพ์ ดี.ที. ซูซูกิ ทาการศึกษาวิจัยมีลักษณะคล้ายกับอรรถกถาอธิบายลังกาวตารสูตร ชื่อ หนังสือ “Studies in Lankavatara Sutra” ใน พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1930) และแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในพ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1932) นอกจากนี้ ยังมีนักปราชญ์อีกหลายท่านได้มีส่วนเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มนี้ ท้ัง โดยการแปลเป็นภาษาอังกฤษ การศึกษาวิจัย แต่งหนังสือในลักษณะอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาอธิบาย ลงั กาวตารสตู ร 2) สาระสาคัญ เนื้อหากล่าวถึงพระมหามติโพธิสัตว์หรือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์พยายามจะให้พระพุทธ องค์แสดงเหตุผลในการงดกินเน้ือสัตว์ โทษของการกินเนื้อสัตว์ ดังนี้ “มหามติ พระโพธิสัตว์ผู้มี ธรรมชาติคือกรุณา ไม่กินเน้ือสัตว์ใด ๆ เพราะเหตุผลว่า ในช่วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันยาวไกล ในภพนี้ ไม่มีสัตว์มีชีวิตแม้แต่ผู้เดียว ซึ่งเม่ือเกิดมาเป็นสัตว์มีชีวิตแล้ว ไม่เคยเป็นมารดาของเธอหรือ บิดา หรือพช่ี ายน้องชาย หรือพ่สี าวน้องสาว หรอื บตุ ร หรอื ธดิ า หรอื เป็นผู้ใดผ้หู นง่ึ โดยความเปน็ ญาติ กันระดับต่าง ๆ และเม่ือถือกาเนิดในอีกภพหนึ่งแล้ว อาจเกิดเป็นสัตว์ป่า เป็นสัตว์บ้าน เป็นนกหรือ เป็นสัตว์เกิดในครรภ์ หรือเป็นสง่ิ ใดส่ิงหนึ่งที่ดารงอยโู่ ดยมีความสัมพันธบ์ างอยา่ งกบั เธอ เมอื่ เป็นอยา่ ง น้ี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ใดผู้ปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับสัตว์มีชีวิตท้ังมวลเหมือนหนึ่งว่าเป็นตัวเขาเอง และปรารถนาที่จะปฏิบัติตามพุทธธรรม พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นจะกินเนื้อของสัตว์มีชีวิตใด ๆ ผู้มี ธรรมชาติเหมือนกับตัวเองได้อย่างไร ? แม้แต่รากษส (ยักษ์ร้าย, ผีเส้ือน้า) เม่ือได้ฟังพระธรรมเทศนา ของพระตถาคตว่าด้วยแก่นธรรมอันสูงส่ง เกิดความคิดที่จะคุ้มครองพระพุทธศาสนาและเกิด ความรู้สึกสงสาร ยังงดเว้นการกินเน้ือสัตว์ เหล่าชนผู้เคารพบูชาพระธรรมจะงดเว้นการกินเน้ือสัตว์ มากเท่าไรหนอ ? ท่ีใดก็ตามท่ีววิ ฒั นาการของสัตว์มีชีวติ ขอให้คนท้ังหลายจงประคับประคองความคิด

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 93 ที่จะเป็นญาติมิตรกับสัตว์เหล่านั้น และเม่ือคิดว่า สรรพสัตว์เป็นผู้ที่จะได้รับความรักเหมือนหน่ึงว่า เป็นลูกน้อยคนเดียว ขอให้คนเหล่านั้นจงงดเว้นจากการกินเน้ือเถิด พระโพธิสัตว์ผู้มีธรรมชาติคือ กรุณา ย่อมงดเว้นจากการกินเน้ือสัตว์เช่นเดียวกัน แม้ในกรณีท่ีเป็นข้อยกเว้นให้พระโพธิสัตว์อยู่ใน ฐานะทจ่ี ะกินเน้อื สตั ว์ได้ ก็ไม่ถือว่าเปน็ ผู้มีกรุณา เนื้อของสุนัข เน้ือลา เนื้อกระบือ เน้ือม้า เน้ือวัว เนื้อ มนุษยห์ รือเนื้อสัตวอ์ ่ืนใด เป็นเนื้อท่ีคนทวั่ ไปเขาไม่กนิ กัน ท่ีเขาวางขายตามรมิ ทางเหมือนเนอ้ื แกะเพ่ือ ประโยชน์แกท่ รัพยส์ นิ เงนิ ทอง ก็พระโพธิสัตวไ์ มค่ วรกินเนอ้ื น้ัน มหามติ เพ่ือความรักอันบริสุทธ์ิ พระโพธิสัตว์ควรงดเว้นจากการกินเน้ือสัตว์ ซ่ึงเกิด จากน้าอสุจิและเลือด เปน็ ต้น เพ่ือไม่ให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่สัตว์มชี ีวิต ขอพระโพธิสัตว์ผู้กาลงั ฝึก ตนเพอ่ื บรรลุกรณุ า จงงดเวน้ จากการกินเนอื้ สัตว์ ตัวอยา่ งเช่น เม่ือสนุ ขั มองเห็นนายพราน คนโหดรา้ ย (จณั ฑาล) ชาวประมง เป็นต้น ผู้มีความปรารถนาจะกนิ เนื้อสตั วแ์ ม้จากที่ไกล ตัวส่ันเทาด้วยความกลัว คิดว่า ‘นายพรานเป็นต้นน้ันเป็นมัจจุราช คนเหล่าน้ันจะฆ่าแม้เรา’ ในทานองเดียวกัน แม้แต่เหล่า สัตว์เล็กน้อยท่ีอยู่ในอากาศบนแผ่นดินและในน้า เม่ือเห็นผู้กินเนื้อสัตว์ในที่ไกล ก็จะรับรู้กล่ินของ ปศี าจดว้ ยประสาทสัมผัสท่ีแหลมคมของเขาเอง และจะว่งิ หนีไปจากคนเชน่ นั้นเร็วท่ีสุดเท่าที่จะเป็นไป ได้ เพราะคนกินเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นมัจจุราชผู้คุกคามสาหรับสัตว์เล็กน้อยเหล่านั้น เพราะเหตุนี้ ขอ พระโพธิสัตว์ผู้กาลังฝึกตนท่ีจะดารงอยู่ในมหากรุณา จงงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ เพราะการกิน เนื้อสัตวน์ ั้นทาให้สัตว์ผู้มีชีวติ ท้ังหลายสะดุ้งกลัว เนื้อสัตว์ท่ีเหล่าคนพาลชอบกินเต็มไปด้วยกล่ินเหม็น และการกินเน้ือสตั ว์ทาให้คนมีช่ือเสียงไม่ดี ซ่ึงทาให้บัณฑิตหลีกหนี ขอพระโพธิสัตว์จงงดเว้นจากการ กนิ เนื้อสตั ว์ อาหารของบณั ฑิตก็คือสง่ิ ที่พวกฤาษีกนิ เปน็ อาหารท่ไี มป่ ระกอบดว้ ยเน้อื และเลือด ดงั น้ัน ขอพระโพธสิ ตั วจ์ งงดเวน้ จากการกนิ เนอ้ื สตั ว์ มหามติ พระตถาคต...ปฏิบัติต่อสรรพสัตว์โดยไม่ลาเอียงเหมือนกับว่าเป็นลูกน้อยคน เดียว มีหฤทัยประกอบด้วยมหากรุณา มหามติ เม่ือคิดว่า สรรพสัตว์เปน็ เหมือนลูกน้อยคนเดียว คนผู้ เช่นเราจะยอมให้พวกพระสาวกฉันเนื้อของลูกน้อยของตัวเองได้อย่างไร ? ไม่จาเป็นตอ้ งกลา่ วถึงการท่ี เรากินเน้ือสตั วว์ ่าจะน้อยแค่ไหน ? มหามติ ข้อที่เราห้ามพวกพระสาวกและตัวเองไมใ่ หฉ้ ันเนื้อสัตว์ ไม่ มพี ืน้ ฐานอ่นื ใดเลย” ข้อความบางตอนดูเหมือนพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงใช้คาว่า “ห้ามกินเนื้อสัตว์” แต่ตรัสว่า “การกินเนื้อสัตว์ไม่เหมาะสาหรับพระภิกษุผเู้ ปน็ อนาคาริก” (พระศรคี ัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) แปลเรียบเรียง, 2553, น. 217) รวมท้ังผู้ปฏิบัติธรรมอ่ืน ๆ ด้วย ดังนั้น โดยสรุปก็คือสาหรับผู้ปฏิบัติ ธรรมแลว้ ไมค่ วรกินเน้อื สัตว์โดยส้ินเชงิ ในขณะทข่ี อ้ ความอีกหลายตอนกบ็ อกว่า พระพทุ ธองค์ทรงห้ามการกนิ เน้ือสตั ว์ เช่น - เนื้อเป็นสิ่งท่ีเหล่าบัณฑิตไม่เห็นด้วย เนื้อนั้นมีกล่ินน่าเกลียดชัง ทาให้เกิดเกียรติ ศพั ทอ์ นั เลวทราม เปน็ อาหารของสัตว์กินเน้อื มหามติ เราจงึ กล่าวดงั น้ี เนื้อนนั้ เป็นสิ่งทีไ่ มค่ วรกนิ - การกินเนื้อสัตว์ เราห้ามไว้แล้วในสูตร เช่น หัสติกักษยสูตร มหาเมฆสูตร นิรวาน สูตร องั ลิมาติกาสตู ร และลงั กาวตารสตู ร - การกินเนื้อสัตว์อันเราห้ามไว้ทุกแห่งและทุกเวลา สาหรับบุคคลผู้ดารงอยู่ในเมตตา พรหมวหิ ารธรรม เขาผกู้ นิ เน้อื สตั ว์ จะบงั เกดิ ในภพเดยี วกันกบั สิงโต เสอื หมาป่า เปน็ ตน้

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 94 - อย่ากินเน้ือสัตว์อันจะทาให้เกิดความหวาดสะดุ้งในหมู่ประชาชน เพราะการกิน เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นอุปสรรคต่อธรรมคือความหลุดพ้น การไม่กินเน้ือสัตว์น้ีเป็นเคร่ืองหมายของ บัณฑิต (พระศรีคัมภรี ญาณ (สมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโญ) แปลเรยี บเรยี ง, 2553, น. 218-220) 3) วิเคราะหเ์ รอ่ื ง (1) เนื้อหาของพระสูตรสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์หลากหลายในช่วงประมาณ พ.ศ. 900-1200 ที่บรรดาศาสนาในยุคน้ันกาลังปรับเปลี่ยนบทบาทและท่าที รวมท้ังสาระสาคัญของคาสอน บางประการ ศาสนิกแห่งฮนิ ดูสร้างเรื่องเทพเทพีไว้มากมาย นับถือพระพรหมในฐานะผู้สร้าง พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ในฐานะผู้รักษา และพระศิวะหรืออีศวรในฐานะผู้ทาลาย โดยเฉพาะพระวิษณุหรือ พระนารายณ์นนั้ มีบทบาทหลากหลายสัมพันธ์กับวิถีชีวิตมนุษย์ เป็นท่ีนิยมชมชอบนบั ถอื ในหมู่มนุษย์ไม่ ว่าจะนับถือศาสนาไหนอยู่ก็ตาม ในขณะที่ศาสนิกของพระพุทธศาสนาก็สร้างเรื่องพระโพธิสัตว์และ พระพุทธเจ้าท่ีวจิ ิตรพิสดารอย่างย่ิง เน้ือหาในลงั กาวตารสตู รกลา่ วถึงพระพุทธเจ้า พระมหามติโพธิสัตว์ เป็นฟากฝั่งของพระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและมหายาน และกล่าวถึงราวณยักษ์หรือทศกัณฑ์ เป็นฝาก ฝ่ังของศาสนาฮินดู บทบาทของตัวละครท้ัง 3 ผสมกลมกลืนกันดูเหมือนว่าเป็นพวกเดียวกัน ประกาศ ตนว่าเป็นผู้ข้ามพ้นสังสารวัฏ แต่ยังกลับมาวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเพื่อปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือสรรพ สัตว์ สะท้อนให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนา ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงบุคคลท่ี 3 เป็นพวกนักตรรกะ นักปรัชญา พวกเดียรถีย์เจ้าลัทธิ รวมทั้งชาวโลกท้ังหลายว่า เป็นผู้ยังจมปลักอยู่หล่มเลนแห่งกิเลส ตัณหาอวิชชาทิฏฐิ เป็นผเู้ ห็นผดิ เปน็ ชอบ ว่ิงไล่ตามภาพมายาแหง่ ปรากฏการณ์ (2) ในลังกาวตารสูตรมีศัพท์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ท่ีทางเถรวาทไม่คุ้นเคย เช่น อาลย วิญญาณ หรือจิตตมาตร์ ซ่ึงก็เทียบได้กับ“ภวังคจิต” ในคัมภีร์เถรวาท ซึ่งเป็นท่ีเก็บส่ังสมนิสัยสันดาน เรียกช่ือในภาษาอังกฤษว่า “Subconscious Mind”แต่ได้ยกฐานะของอาลยวิชญาณให้อยู่เหนือสรรพ สิ่ง อยู่ในฐานะเป็นผู้สร้าง เหมือนกับจะบอกว่า เดิมทีเดียวในโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากอาลยวิชญาณ ภายหลังเกิดมีปรากฏการณ์ขึ้นเพราะถกู อาลยวชิ ญาณสร้างข้ึนมา ในขณะท่ีเถรวาทบอกว่านามและรูป เป็นของคู่กันอยู่แล้ว เพราะมีนามจึงมีรูป เพราะมีรูปจึงมีนาม ภวังคจิตแม้จะเป็นจิตเดิมท่ีคงสภาพอยู่ อย่างนั้น แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้สร้าง แต่อยู่ในฐานะเป็น “หลัก” ที่เม่ือมีอารมณ์มากระทบเข้าก็จะ ออกไปทาหน้าท่ี ในขณะท่ีทาหน้าท่ีรับอารมณ์ก็ไม่ได้เรียกว่า “ภวังคจิต” แต่เรียกช่ือแตกต่างกัน ออกไปตามบทบาทและหน้าทที่ ี่กระทาในขณะนน้ั ๆ 8.7 ไวปลุ ยสตู รหรอื ลลติ วสิ ตระ 1) ประวัติ ไวปุลยสูตรหรอื ลลิตวิสตระเปน็ คมั ภรี ศ์ ักด์ิสิทธิ์เลม่ หนึ่งของฝา่ ยมหายาน ซ่ึงประเพณีของ มหายานในเนปาลถือว่าคมั ภรี ล์ ลติ วิสตระเปน็ 1 ในเพชรทั้ง 9 ของมหายาน ซึ่งเพชรท้ัง 9 น้นั ประกอบดว้ ย 1. คัมภีร์ลลิตวิสตระ 2. อัษฏะสาหัสริกา ปรัชญาปารมิตาสูตร 3. คัณฑวยูหสูตร 4. ทศภูมิกสูตร 5. สมาธิ ราชสูตร 6. ลังกาวตารสูตร 7. สัทธัมปุณฑรีกสูตร 8. ตถาคตคุหยกสูตร และ 9. สวรณประภาสสูตร (ศ.ร.ต.ท. แสง มนวิทูร แปล, 2512, น. (5)) คัมภรี ์นีเ้ รียกอีกอยา่ งหนึ่งว่า ไวปุลยสตู รหรือมหานิทาน เริม่ ต้น พระสูตรว่า “เอว มยา ศฺรุต...สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ใน ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ 12,000 พระโพธิสัตว์ 32,000...” โดยมีพระอานนท์เป็นผู้นามาเล่า มี 27 บท สั้นบ้าง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 95 ยาวบ้าง มีหลายตอนท่ีเป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ ซ่ึงอาจเป็นเพราะผู้ประพันธ์ ตอ้ งการทาให้หนงั สอื มีลกั ษณะเฉพาะทีเ่ ป็นมหายาน (ศ.ร.ต.ท. แสง มนวิทรู แปล, 2512, น. 579-584) ลลิตวิสตระน่าจะประพันธ์ขึ้นเม่ือพุทธศตวรรษท่ี 5-6 ไม่เกิน 7 เพราะต่อมาในราว พ.ศ. 650-750 ทา่ นอัศวโฆษ พระภกิ ษแุ ห่งนิกายสรวาสตวิ าทนิ ได้นาเนอ้ื เรอ่ื งจากคมั ภีรล์ ลติ วิสตระน้ี มาแตง่ เป็นฉนั ทเ์ รยี กชือ่ วา่ “พุทธจริตมหากาวยะ” ต่อมา เซอร์ เอ็ดวนิ อารโ์ นลด์ ไดน้ าข้อมลู มาแต่ง เป็นบทร้อยกรองเป็นภาษาอังกฤษช่ือว่า “Light of Asia” ในภาษาไทยให้ชื่อวา่ “ประทีปแห่งทวีป เอเชีย” คัมภีร์ลลิตวิสตระมีเนื้อหาว่าด้วยชีวประวัติและงานของพระพุทธเจ้าอย่างกว้างและ พิสดาร มุ่งเน้นบรรยายถึงการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ทาให้เห็นภาพของพระพุทธเจ้าท่ีเป็นมนุษย์ท่ีย่ิง กว่ามนุษย์ และเป็นเทพที่ยิ่งกว่าเทพ อุบัติข้ึนเพ่ือประโยชน์และความสุขแก่พหูชน คัมภีร์น้ีทาให้ ผู้อ่านเกิดความเล่ือมใสศรัทธา แล้วสามารถนาหลักธรรมที่ได้รับรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตได้ อยา่ งเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม กาล บคุ คลและสถานที่ 2) สาระสาคญั คมั ภีร์ลลิตวิสตระเป็นพระธรรมเทศนาที่ออกจากพระโอษฐข์ องพระพุทธเจ้า ส่วนผู้ท่ี นาพระธรรมเทศนาบทนี้มาบอกคือพระอานนท์ ซึ่งมีคาข้ึนต้นเหมอื นกับพระสตู รทั่วไปของเถรวาทคือ เอว มยา ศฺรุตมฺ เอกสมฺ ิน สมเย ภควานฺ...แบ่งออกเป็น 27 อัธยายหรือบทเรม่ิ ตงั้ แต่เหตทุ ี่พระองค์ทรง แสดงคัมภีร์ลลิตวิสตระบรรยายเหตุการณ์ต้ังแต่ขณะเป็นเศวตเกตุโพธิสัตว์ ประทับ ณ ดุสิตสวรรค์ ประสูติ ชีวิตขณะทรงพระเยาว์ ปรารภเหตุออกบรรพชา เสด็จออกมหาอภิเนษกรมณ์ บาเพ็ญทุกร กิริยา ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และเพิ่มเร่ืองอานิสงส์ในบทสุดท้าย เน้ือเรื่องบางตอนเน้นปาฏิหาริย์ และเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของพระโพธิสัตว์ให้โดดเด่นกว่า บทบาทอ่ืน มี สาระสาคญั ดังน้ี อัธยายท่ี 1 ชอ่ื นิทานปริวรรต วา่ ด้วยตน้ เหตทุ ่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงไวปลุ ยสูตรหรือลลิตวิสระ กล่าวคอื เทพยดามา กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงแสดงเพื่อใหส้ ัตว์โลกบรรลุความหลุดพน้ อัธยายที่ 2 ช่ือสมุตสาหปรวิ รรต ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ทรงใช้ความพยายามในการสร้างสมบุญบารมีอย่างย่ิงยวดในการ เสดจ็ มาจะอบุ ตั ิโนโลกมนษุ ย์แล้วตรัสรเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ อธั ยายที่ 3 ชือ่ กุลปรศิ ุทธปิ ริวรรต ว่าด้วยเร่ืองตระกูลบริสุทธิ์ กล่าวถึงเทพบุตรชาวสวรรค์ชั้นสุทธาวาสได้แปลงตัวเป็น พราหมณ์มาสอนคนทั้งหลายให้รู้วา่ บุคคลผู้มีลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการน้ี จะมีคติเป็น 2 เท่าน้ัน กล่าวถึงเวลาอันสมควรท่ีพระเศวตเกตุโพธิสัตว์จะลงมาอุบัติในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุที่ทรงเลือก มหาวิโลกิตะ (มหาวิโลกนะคือฐานะอันผู้มียศใหญ่ย่ิงเลือก 4 อย่าง คือ เลือกกาล เลือกทวีป เลือก ประเทศ และเลือกตระกูล) อธั ยายท่ี 4 ชอื่ ธรรมาโลกมขุ ปริวรรต วา่ ดว้ ยเร่ืองหัวข้อธรรมทีเ่ ป็นแสงสว่างช่ือจยุตาการประโยค (การประกอบด้วยอาการ จตุ ิเคลื่อนที่ลงไปบงั เกิดในมนุษยโลก) เพอื่ เป็นธรรมานสุ ติ ด้วยเป็นธรรมเทศนาครงั้ สุดท้ายทแ่ี สดง ณ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 96 สวรรคช์ ั้นดสุ ิต อนั ประกอบดว้ ยหลักธรรม 108 ประการ เชน่ พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 พละ 5 อัธยายที่ 5 ชอ่ื ปรจลปริวรรต ว่าด้วยเร่ืองการจตุ ิจากสวรรค์ เม่ือตรัสเหตุแห่งการเสด็จลงมาอุบัติแล้ว กไ็ ม่มีข้อแม้ที่ จะไม่ยุติ ได้เห็นบุพนิมิต 8 ประการบังเกิดในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะและกล่าวถึงเหตุ อัศจรรยอ์ นั เน่อื งจากพระโพธสิ ัตว์จุติ อธั ยายท่ี 6 ชอื่ ครรภาวกั รานตปิ ริวรรต ว่าด้วยเรื่องการเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา เริ่มต้ังแต่พระนางมายาทรงพระสุบิน บุพนิมิต 32 ประการ ขณะพระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดาและคุณสมบัติของ พระมารดาเมอื่ พระโพธสิ ัตว์ถอื ปฏสิ นธแิ ลว้ อัธยายที่ 7 ชื่อชนมปรวิ รรต ว่าด้วยเร่ืองทรงสมภพ (เกิด) ซ่ึงเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ดังเช่นพระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระปรัศว์ (สีข้าง) เบื้องขวาของพระมารดา ทรงมีสติสัมปชัญญะ ไม่เปรอะเป้ือนด้วย ครรภ์มลทิน อธั ยายที่ 8 ช่ือเทวกโุ ลปนยนปรวิ รรต วา่ ดว้ ยเร่ืองการนาพระโพธิสตั ว์ไปสู่วิหารเทวรปู เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระโพธสิ ตั วเ์ ป็น เทพที่ย่ิงกว่าเทพท้ังปวง ดังท่ีปรากฏว่า พอพระกุมารย่างพระบาทเข้าสู่พระวิหาร เหล่าเทวรูป ท้ังหลาย ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เช่น รูปศิวะ สกันทะ นารายณ์ กุเวร ฯลฯ ที่มีอยู่ในวิหารน้ัน ก็ได้ลุกจาก สถานทขี่ องตนมายงั พนื้ อันเป็นท่ีตา่ กวา่ พระกุมารทัง้ ส้นิ อธั ยายท่ี 9 ชอ่ื อาภรณปริวรรต ว่าด้วยเครื่องประดับเพ่ือแสดงให้เห็นว่า แม้เคร่ืองประดับท่ีบรรจงสร้างอย่างวิจิตร ก็ยังมอิ าจรุ่งเรือง สว่างไสวเทา่ พระรศั มีกายของพระโพธสิ ัตว์ อัธยายที่ 10 ชือ่ ลิปศิ าลาสนั ทรรศนะปริวรรต ว่าด้วยเร่ืองพระโพธิสัตว์เสด็จเย่ียมโรงเรียน เป็นการเน้นย้าว่า พระโพธิสัตว์บาเพ็ญ บารมีมาอย่างสมบูรณ์ ท้ังยังเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาหาประมาณมิได้ พร้อมท้ังเป่ียมด้วยองค์ ความรู้ในวิชาการต่าง ๆ ดังท่ีปรากฏว่า เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่โรงเรียนแล้ว พระอาจารย์ท่ีสอน ประจาอยู่ชื่อวิศวามิตร ทนตอ่ สงา่ ราศีและเดชของพระโพธิสัตว์ไมไ่ ด้ นง่ั ก้มหนา้ อยู่ทพ่ี ื้นดินแลว้ ฟบุ ลง เทพบุตรช้ันดษุ ิตช่ือศุภางคะเห็นอาการน้นั ก็พยุงให้อาจารย์ลกุ ขนึ้ ด้วยฝ่ามือขวา แล้วยนื อยู่ในอากาศ กล่าวว่า “ศาสตร์ทั้งหลายใด ๆ ยอ่ มดาเนนิ ไปในมนุษยโลกคือ เลข หนังสอื การคานวณและตาราธาตุ (วิทยาศาสตร์) การเรียนศิลปเป็นของโลกมีมากประมาณมิได้ พระโพธิสัตว์ศึกษาในศาสตร์นั้น ตลอดเวลาหลายแสนโกฏิกัลป์มากอ่ นแลว้ (ศ.ร.ต.ท.แสง มนวทิ ูร แปล, 2512, น. 620-625) อธั ยายท่ี 11 ช่ือกฤษิครามปรวิ รรต ว่าด้วยเร่ืองหมู่บ้านชาวนา กล่าวถึงพระกุมารเสด็จเย่ียมหมู่บ้านชาวนา พร้อมด้วย บุตรอามาตย์อื่น ๆ หลายคน คร้ันทอดพระเนตรการทานาแล้ว ก็ไปประทับน่ังเพียงลาพังใต้ร่มเงาต้น หว้า จึงได้บรรลุฌาน 4 อันเป็นทางสายเอกสายเดียวที่จะนาสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสท้ังปวง แต่ถูก พระราชบิดาบารงุ บาเรอด้วยกามสุขนานาประการ ทาให้พระโพธิสตั วม์ ิไดน้ กึ ถึง จนเทวดาตอ้ งมาเตอื น

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 97 อัธยายที่ 12 ชอื่ ศิลปะสนั ทรรศนปริวรรต ว่าด้วยเรื่องการแสดงศิลปะ เพ่ือแสดงถึงความเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์ท้ังปวงเหนือเจ้า ศากยะท้ังหลายของพระโพธิสัตว์ ในธรรมเนียมเก่าแก่ของเจ้าศากยะทั้งหลายน้ัน เม่ือจะยกลูกสาว ให้แก่ใคร บุคคลนั้นต้องเป็นผู้มีศิลปะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันศิลปะกัน ถ้าผู้ใดชนะ ผู้นั้นก็จะได้ แต่งงานกับพระนางโคปา (ยโสธรา) ในครั้งนั้น พระกุมารสรวารถสิทธะ (พระสิทธัตถะ) ชนะท้ังหมด เจ้าศากยะทณั ฑปาณีจงึ ยกพระนางโคปาใหแ้ กพ่ ระกุมาร อธั ยายที่ 13 ชอ่ื สญั โจทนาปริวรรต ว่าด้วยเรื่องการเตือนพระโพธิสัตว์ให้ออกบวช ด้วยเทวดาทั้งปวงเป็นห่วงโลกจะฉิบ หาย ถา้ พระโพธิสตั วย์ งั หลงติดอยู่ในกามสขุ ไมอ่ อกแสวงหาโพธิ จงึ แทรกคาเตือนนั้นมาในเสยี งดนตรี อัธยายที่ 14 ชื่อสวัปนปริวรรต ว่าด้วยเรื่องความฝัน กล่าวถึงเทวทูต 4 มาย้าเตือนมโนปณิธานท่ีพระโพธิสัตว์จุติลง มาอบุ ัติยงั โลกมนุษย์ แม้พระราชบิดาจะป้องกนั อยา่ งไร ก็ไมส่ ามารถทาลายปณิธานนัน้ ได้ อัธยายท่ี 15 ชอื่ อภนิ ษิ กรมณปริวรรต วา่ ด้วยเร่ืองการเสด็จออกบรรพชา เพื่อให้เห็นความแน่วแน่ในการเสด็จออกบรรพชา เพื่อหาทางหลุดพ้นของพระโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์เข้าไปกราบทูลลาพระราชบิดาเพื่อออกบวช ตอนแรกพระราชบิดาทรงหา้ มไมใ่ ห้ออกบวช แตต่ อนหลงั จานนดว้ ยเหตุผล จงึ ยอมอนญุ าต อัธยายท่ี 16 ชื่อพมิ พสิ าโรปสังกรมณปรวิ รรต ว่าด้วยเรื่องการเสด็จเข้าไปหาของพระเจ้าพิมพิสารและได้ชักชวนพระโพธิสัตว์ให้มา ปกครองนครราชคฤห์ด้วยกนั คนละคร่งึ ซ่งึ พระโพธสิ ัตว์ไม่ทรงยินดรี ับ อัธยายที่ 17 ชอื่ ทุษกรจรรยาปรวิ รรต ว่าด้วยเรื่องความประพฤติท่ีทาได้ยาก (ทุกรกิริยา) ได้แก่ การอดอาหาร การกลั้นลม หายใจ ตลอดจนวิธกี ารทรมานพระวรกายต่าง ๆ อีกมากมายเพ่อื เป็นเครอื่ งยืนยันว่า ในท่ีสุดแล้ว น้ีก็ เป็นอีกทางหนง่ึ ทมี่ ิใชท่ างไปสคู่ วามหลุดพน้ ท่แี ทจ้ ริง อัธยายท่ี 18 ชื่อไนรญั ชนาปรวิ รรต ว่าด้วยเรื่องการเสด็จสู่แม่น้าไนรัญชนา (เนรัญชรา) เพราะเมื่อพระโพธิสัตว์แน่ พระทัยแล้วว่า การบาเพ็ญทุกรกิริยามิใช่ทาง จึงหันกลับมาบารุงพระวรกาย นางสุชาดาได้ถวายข้าว มธุปายาส (ข้าวสารผสมกับน้านมโค) อันเป็นอาหารสาคัญก่อนการตรัสรู้ นางนาคกันยานาอาสนะมา ถวายให้เสด็จประทับน่ังและองค์ปุรันทระ ผู้เป็นที่เคารพของเทวดาท้ังหลายได้ถือเอาถาดทองคาน้ัน ไปเพือ่ กระทาการบชู า อธั ยายท่ี 22 ชื่ออภิสมั โพธนะปริวรรต ว่าด้วยเร่ืองการตรัสรู้อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท 12 แล้วเปล่งอุทานต่อเทวดา ท้ังหลายว่า ทางแห่งความสนิ้ ทกุ ข์น้นั เรากลา่ วว่าส้ินสุดแลว้ อธั ยายที่ 23 ชื่อสงั สตวปริวรรต ว่าด้วยเรื่องเทวดากล่าวสรรเสริญพระตถาคต เป็นการเน้นย้าพระปัญญาธิคุณ พระบริสทุ ธคิ ณุ และพระกรณุ าธคิ ณุ ของพระพุทธองค์

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 98 อธั ยายที่ 24 ชอ่ื ตระปุษภัลลิกะปรวิ รรต ว่าด้วยเร่ืองพ่อค้าช่ือตปุสสะกับภัลลิกะได้ถวายข้าวคลุกน้าผ้ึงและอ้อยคว่ันแด่ พระตถาคต นบั เปน็ อุบาสกคู่แรกทีข่ อถึงพระพุทธเจา้ และพระธรรมเป็นสรณะ อัธยายท่ี 25 ชอื่ อธั เยษณาปริวรรต วา่ ด้วยเร่ืองการเชญิ ให้แสดงธรรม เพราะถ้าพระตถาคตไม่ทรงแสดงธรรม โลกจักพบ กับความพินาศ เพราะไม่รู้ความจริงอันประเสริฐที่พระองค์ทรงค้นพบ ขณะน้ัน มหาพรหมศิขี พร้อม ด้วยพรหม 68 แสนเข้าเฝ้า ทูลขอให้พระตถาคตทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์ พระองค์ทรงรับอาราธนา ดว้ ยอาการดษุ ณภี าพ อัธยายท่ี 26 ชอ่ื ธรรมจกั รประวรรตนปรวิ รรต ว่าด้วยเร่ืองการแสดงธรรมจักร อันเป็นการประกาศศาสนาและประดิษฐาน พระพุทธศาสนาใหม้ ัน่ คงมาจนทกุ วนั น้ี อธั ยายที่ 27 ช่ือนคิ มปริวรรต วา่ ด้วยเรื่องบทสุดท้าย เปน็ บทพิเศษท่แี สดงอานสิ งส์ของลลิตวิสตระในทกุ แง่ทุกมุมที่ พระสูตนี้แผ่ไปถึง สุดท้าย พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระมหากัสสปะ พระอานนท์และพระไมเตรย โพธิสตั วม์ า แลว้ ทรงมอบหมายให้ท้งั 3 ชว่ ยจดจาลลิตวิสตระนไ้ี ว้ แลว้ ประกาศให้แพรห่ ลาย 3) วิเคราะห์เรื่อง เนอ้ื หาในคัมภีร์ลลติ วสิ ตระแตกตา่ งจากฉบบั เถรวาท เช่น (1) ประสูติ ในคัมภีร์ลลิตวิสตระกล่าวว่า พระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระปรัศว์ เบื้องขวาของพระมารดา ทรงมีสตสิ ัมปชัญญะ ไม่เปรอะเป้ือนด้วยครรภ์มลทิน (สีขา้ ง) ทันทีทป่ี ระสูติ จากพระครรภ์ยังมิทันถึงพ้ืนดิน องค์อินทร์และสหัมบดีพรหมช่วยกันรับพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ภายในผ้า ไหมทิพย์ด้วยอวัยวะใหญ่น้อยทุกส่วน เป็นธรรมดาว่ามนุษย์ใดก็จะไม่ได้อุ้ม เพราะเทวดาจะเป็นผู้อุ้ม พระโพธิสัตว์ก่อน แต่ในพุทธประวัติฉบับเถรวาทกล่าวว่า เจ้าพนักงานกั้นม่านรอบต้นสาละ เม่ือได้ อุดมฤกษ์ พระนางยืนหันหลังเข้าหาต้นสาละ พระโพธิสัตว์ก็ได้ประสูติจากพระครรภ์พระราชมารดา ณ ท่นี ั้น ทันทีท่ีพระโพธิสัตวป์ ระสตู ิจากพระครรภ์ยังมิทันถึงพื้นดิน ทา้ วศุทธาวาสพรหมก็เอาขา่ ยทอง มารองรบั ... (2) การศึกษาของพระกุมารสรฺวารฺถสิทธะ (สิทธัตถะ) คือในคัมภีร์ลลิตวิสตระ กล่าวว่า ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับครูวิศวามิตรมีลักษณะที่พิเศษเหนือมนุษย์ทั่ว ๆ ไป มี ความฉลาดกว่า มีความรู้ศิลปวิทยาต่าง ๆ มาก่อน ตั้งแต่ยังไม่ประสูติด้วยซ้าไป ดังข้อความว่า “พระกุมารเสด็จไปโรงเรียนพร้อมด้วยเด็กตั้งหม่ืน พระกุมารบอกช่ือหนังสือให้อาจารย์วิศวามิตร สอน แต่ชื่อหนังสือเหล่าน้ัน อาจารย์ไม่รู้จัก เด็กตั้งหม่ืนเรียนหนังสือกับอาจารย์ โดยการ ช่วยเหลือของพระกุมาร ตัวหนังสือที่เด็กอ่านแต่ละตัวออกเสียงเป็นธรรมภาษิตและบทปรัชญา ทั่วไปหมด” แต่ในพุทธประวัติฉบับเถรวาทกล่าวว่า ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับครูวิศวามิตร มลี ักษณะเป็นคนธรรมดา เป็นมนุษยค์ นหน่ึงที่ไปศึกษาหาความรกู้ ับครูบาอาจารยด์ ้วยต้องการความรู้ จึงไปศกึ ษา (3) ว่าด้วยเรื่องหมู่บ้านชาวนา กล่าวถึงพระกุมารเสด็จเย่ียมหมู่บ้านชาวนา พร้อม ด้วยบุตรอามาตยอ์ ื่น ๆ หลายคน คร้นั ทอดพระเนตรการทานาแลว้ กไ็ ปประทับนั่งเพียงลาพังใต้ร่มเงา

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 99 ต้นหว้า จึงได้บรรลุฌาน 4 อันเป็นทางสายเอกสายเดียวท่ีจะนาสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พุทธประวัติฉบับเถรวาทกล่าวว่า เมื่อคร้ังยังทรงพระเยาว์นัก คราวหนึ่งมีการวัปปมงคลแรกนาขวัญ อันเป็นนักขัตฤกษ์ของบ้านเมือง พระราชบิดาเสด็จแรกนาด้วยพระองค์เอง โปรดเชิญเสด็จพระกุมาร ไปด้วย และให้แต่งท่ีประทับ ณ ภายใต้ชมพูพฤกษ์ ครั้นถึงเวลาแรกนา พวกพี่เลี้ยงนางนมพากัน ออกมาดูข้างนอก ฝ่ายพระกุมารอยู่พระองค์เดียว เสด็จขึ้นน่ังต้ังบัลลังก์ขัดสมาธิ เจริญอานาปานสติ กมั มัฏฐานอยู่ในมา่ น ยงั ปฐมฌานให้เกิดข้ึนได้ ขณะน้ันเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้อ่นื ย่อมชายไปตาม ตะวัน แต่เงาต้นชมพูตรงอยู่ดุจในเวลาเที่ยง พวกนางพ่ีเล้ียงนางนมกลับเข้ามาเห็น ต่างพิศวงและ นาความกราบทลู พระราชบดิ า พระองค์เสด็จมาและบังคมพระโอรสเป็นพระเกียรติปรากฏสบื มา (4) การออกมหาภิเนษกรมณ์ คือพระโพธิสตั ว์ไดเ้ ข้าเฝา้ พระราชบิดาขออนุญาตออก บวช แต่พระราชบิดาไม่ทรงอนุญาต พระโพธิสัตว์จึงขอพร 4 ประการคือขออย่าให้พระองค์เกิด แก่ เจ็บและเส่ือมสภาพเลย แต่พระราชบิดาให้ไม่ได้ จึงขอพรเพียงข้อเดียวคือเมื่อพระองค์ตายแล้ว อย่าไดก้ ลบั มาเกิดอกี แต่ในพุทธประวัตฉิ บับเถรวาทกลา่ ววา่ ท้ังขออนญุ าตออกบวชและเสด็จหนีออก บวช (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2541 ,น.20-19 ) 8.8 โมหมาลาหรือรอ้ ยอุทาหรณ์สตู ร โมหมาลาหรือร้อยอุทาหรณ์สูตรน้ีพระสิงหเสนเถระได้คัดมาจากนิทานต่าง ๆ ท่ีปรากฏ อยู่ในพระสูตร แล้วยกข้ึนต้ังเป็นอุทาหรณ์ เพ่ือเป็นเคร่ืองประกอบที่จะช้ีแจงให้เห็นชัดในธรรมและ สุภาษิต ต่อมาในพ.ศ. 1035 ท่านคุณปิติได้แปลออกสู่พากย์จีน ในสมัยพระเจ้าย่งเม้ง และมีผู้แปล ดัดแปลงด้วยภาษาง่าย ๆ อีกหลายท่าน ในพากย์น้ัน เมื่อพ.ศ. 2518 พระครูสมุห์อภิชัย เย็นเหี่ยงได้ แปลจบบรบิ รู ณ์เปน็ ครัง้ แรก การดาเนินเร่ืองคล้ายคลึงกับธรรมบทหรือนิทานอีสปคือเป็นทานองเล่านิทานง่าย ๆ แฝง ไว้ดว้ ยอารมณ์ขันชวนสนุกและจดจาง่าย แล้วให้คตสิ อนธรรมอย่างหลักแหลม เป็นทั้งข้อเตือนใจและ ข้อปฏิบตั ิ รวมท้งั หมด 100 จงึ ได้ชอื่ วา่ “ร้อยอทุ าหรณ์สตู ร” ในบรรดาพระสูตรเหล่าน้ี ปรัชญาปารมิตาสูตรจัดว่าเป็นสูตรด้ังเดิมท่ีสุด เป็นมูลฐาน ทฤษฎีท่ีว่าด้วยเรื่องศูนยตา นอกจากน้ี ก็มีอวตังสกสูตร เป็นสูตรสาคัญท่ีสุดของนิกายมหายาน เพราะเป็นพระสูตรที่เช่ือกันว่า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในขณะที่พระองค์ เข้าสมาธิ เข้าใจกนั ว่า ใจความสาคญั ของพระสูตรน้ี น่าจะเปน็ ของพระโพธสิ ัตว์มากกว่า 9. พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าในพระพทุ ธศาสนามหายาน ตามหลักความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้ัน ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือเป็นพัฒนาการ เป็นความเจริญท่ีสงู ที่สุดทีส่ รรพสัตวท์ ั้งหลาย สามารถจะฝึกฝนตนจนไปถึงได้ แต่การที่บุคคลใดบคุ คล หนึ่งจะสามารถฝกึ ฝนพัฒนาตนจนไปถงึ จุดน้ันได้ ไม่ใช่เร่ืองทเี่ กิดขึ้นโดยง่าย ต้องใช้ระยะเวลา ต้องใช้ ความเพียร ต้องใช้ความอดทน และคณุ ธรรมอ่นื ๆ อกี มากมาย ในวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธะหรือพระพุทธเจ้าท่ีได้รับ ความสนใจใคร่ศึกษาและปฏิบัติตามจากชาวพุทธมากที่สุด มีความรู้ คุณธรรมและความสามารถ ทางด้านต่าง ๆ เช่น การเผยแผธ่ รรม เป็นต้น เหนอื กว่าพทุ ธะประเภทอ่ืน ๆ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 100 เมื่อกล่าวถึงคาว่า “พระพุทธเจ้า” แล้ว พุทธศาสนิกชนแทบท้ังหมด มักจะนึกถึงพระโคดม ซ่ึงแต่เดิม คือเจ้าชายสิทธัตถะเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว คาว่า “พระพุทธเจ้า” น้ียังมีความหมายท่ี ครอบคลุมมากไปกว่าที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่เข้าใจกันโดยท่ัวไป คอื ยังหมายถึง พระสมั มาสัมพุทธ เจ้าทกุ ๆ พระองค์ ทั้งในอดตี ปจั จุบัน และอนาคต นอกจากนัน้ ยังรวมถึงพระพทุ ธเจ้าอีก 2 ประเภท พุทธะหรอื พระพทุ ธเจ้า มี 3 ประเภท คือ 1. พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า คอื ทา่ นผูต้ รัสรูเ้ องและสอนผ้อู นื่ ใหร้ ูต้ าม 2. พระปัจเจกพุทธเจ้า คอื ทา่ นผตู้ รัสรเู้ ฉพาะตนเอง สอนผอู้ ่นื ได้เหมือนกนั แต่ไมอ่ าจทาให้ผู้ น้ันบรรลุตามได้ ถึงจะบรรลุได้ ก็ต้องอาศัยความถึงพร้อมของผู้นั้นเป็นหลัก อุบัติขึ้นในช่วงพุทธันดร ซึ่งช่วงนี้ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติข้ึน ไม่ก่อต้ังหรือสถาปนาในรูปสถาบันศาสนา แต่เน้น อนโุ มทนาแก่ผ้ถู วายทานในท่าน ดงั นัน้ ในปจั จบุ ันนี้ จึงไม่มีพระปจั เจกพุทธเจ้าอุบตั ขิ ้นึ 3. พระอนุพุทธเจ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสาวกพุทธเจ้า คือ ท่านผู้ตรัสรู้ตาม พระสมั มาสัมพุทธเจ้า 9.1 การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสมั พุทธเจา้ พระพุทธศาสนามหายาน ถือว่า พระสัมมาสมั พุทธเจ้าหาได้เปน็ เพยี งมนุษยธ์ รรมดาไม่ แม้ ในคัมภีร์จะได้แสดงไว้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ มีการเกิด การแก่ การเจ็บและ การตายเหมือนมนุษย์ท่ัวไป แต่สิ่งเหล่าน้เี ป็นเพียงปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนกับกายเพียงส่วนหน่ึงเพ่ือเป็น อุบายแห่งการส่ังสอนสัตว์โลกเท่าน้นั ซ่งึ เรียกวา่ นิรมาณกาย ความจริงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมี กายอีก 2 ส่วน คือธรรมกายและสัมโภคกาย ซึ่งกายท้ัง 2 น้ีเป็นกายที่เป็นอมตะคงอยู่ช่ัวนิรันดร์ ไม่มี การเปลี่ยนแปลงเหมือนนิรมาณกายในโลกมนุษย์ และกายท้ังสามนี้โดยเน้ือแท้แล้ว ย่อมเป็น อนั เดยี วกัน ต่างกันเพียงสภาวะของการแสดงออกเท่านั้น 9.2 ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระพุทธศาสนามหายานมีแนวความคิดในเรื่องประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ว่า พระสัมมาสมั พุทธเจ้าน้นั แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ตามสภาวะแห่งการเกิดขนึ้ เพอื่ ความเหมาะสมของ การส่ังสอนเวไนยสตั ว์ คือ 1) พระอาทิพุทธเจ้า คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม เป็นสวยัมภู เกิดข้ึนเอง ไม่มี เขตต้นและเขตปลาย ในบางคร้ัง พระอาทิพุทธเจ้าจะรู้จักกันในพระนามว่า พระธรรมกายสมันภัทร หรือวัชราธรหรือวชรสัตว์ ใน คัมภีร์คุณการัณฑวยูห กล่าวว่า “เมื่อไม่มีส่ิงอื่นใดทั้งหมด ย่อมมีแต่ พระศัมภูคือพระสวยัมภู (พระผู้เกิดเอง) และอาศัยเหตุท่ีพระองค์มาก่อนส่ิงอื่นทั้งหมด พระองค์จึงมี พระนามว่าพระอาทิพุทธเจ้าด้วย...” และพระพุทธเจ้าอ่ืน ๆ พระโพธิสตั ว์และสรรพส่ิงต่าง ๆ ท้ังมวล ยอ่ มออกจากพระอาทิพทุ ธทั้งนั้น (เสฐียรโกเศศ-นาคะประทปี , 2514, น. 403, 396) ดังน้นั จงึ สรุปได้ ว่า ทุกส่ิงทุกอย่างในอนันตจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าประเภทอ่ืน ๆ พระโพธิสัตว์ ตลอดจน สรรพสิง่ ต่าง ๆ ทงั้ มวล ลว้ นถอื กาเนิดมาจากพระอาทิพทุ ธเจา้ นท้ี ัง้ สน้ิ 2) พระฌานิพุทธเจ้า คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้กาเนิดมาจากอานาจฌานของพระอาทิ พุทธเจ้า อุบัติขึ้นในรูปของโอปปาติกะ คือเกิดโดยไม่ต้องมีบิดามารดาผู้ให้กาเนิด ไม่ใช่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาตรัสรู้ในมนุษย์โลก แต่มีแดนที่สถิตย์โดยเฉพาะเรียกว่า “พุทธเกษตร” (เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป, 2514, น. 397)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 101 พระฌานิพุทธเจ้าที่สาคัญและมีช่ือเสียงมากมีด้วยกนั 5 องค์ เรียกว่า “พระปัญจชาติ ชิน” (เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป, 2514, น. 339) คือ พระไวโรจนะพุทธเจ้า พระอักโษภยะพุทธเจ้า พระรัตนสัมภวะพุทธเจา้ พระอมิตาภะพทุ ธเจ้า และพระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (1) พระไวโรจนะพุทธเจา้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของพระฌานพิ ุทธเจ้าใน 5 องค์ มสี ีพระกายขาว มุทราทา่ แสดงธรรม เครอ่ื งหมายท่ีทรงถอื คือธรรมจักร พาหนะสงิ โต ศักดิ์หรือเทวคี ือ วัชรธาตุ พระแท่นรองรับดอกบัวสีฟ้า นับถือมากในประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยเป็นผู้ประทานคาสอน ลทั ธิโยคาจารโดยตรงแกพ่ ระวัชรสัตว์ซึ่งเป็นพระเถระชาวอนิ เดียรูปหนึ่ง อันเป็นคาสอนเก่ียวกับส่วน สาคัญของร่างกาย และจิตใจ เรียกว่าวัชรธาตุ และคัพภธาตุนอกจากนี้ พระไวโรจนะพุทธเจ้ายัง เก่ยี วขอ้ งกบั ดวงวญิ ญาณของผตู้ ายดว้ ย พุทธศาสนิกในนิกายชินงอนมหายาน ญ่ปี ่นุ เม่ือตายลงกอ่ นจะ นาศพไปวัด ใหว้ างศพนั้นลงตรงหนา้ แทน่ บูชาในบ้าน โดยมรี ปู พระพทุ ธเจา้ 13 องค์ เปน็ ประธาน (2) พระอักโษภยะพุทธเจ้า คอื ผู้ไม่หว่ันไหว หรือปราศจากเดือดร้อน เป็นพระฌานิ พุทธเจ้าองค์ที่ 2 นับถือกันว่าอยู่บนสรวงสวรรค์ช้ันอภิรดีทางทิศตะวันออก รูปทรงประทับนั่ง พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลาในอิริยาบถสมาธิ พระหัตถ์ขวาเหยียด พระดัชนีช้ีลงธรณีเสมือนหนึ่ง การอ้างเอาธรณเี ปน็ พยาน เครื่องหมายทท่ี รงคือ สายฟา้ พาหนะกุญชร ศกั ดห์ิ รือเทวี คอื โลจนา (3) พระรัตนสมั ภวะพทุ ธเจ้า พระผมู้ ีกาเนิดอันประเสริฐเปน็ พระฌานิพุทธเจ้าองค์ท่ี 3 มหายานจะนับถือน้อยท่ีสุด ในบรรดาพระฌานิพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ พระรูปน่ัง พระหัตถ์วางบน พระเพลา ถือดวงมณี พระหัตถ์ขวามีมุทราประทานพร มีพระอุณาโลมท่ีพระพักตร์ และมีพระอุณหิศ บนพระเศียร (4) พระอมิตาภะพุทธเจ้า มีพระนาม 3 พระนามที่ใช้เรียกแทนกันคือ พระอมิตาภะ แปลว่าพระผู้มีความสว่างอันหาประมาณมิได้ พระอมิตายุส แปลว่าพระผู้หาประมาณอายุมิได้และ พระอมฤต แปลว่าพระผทู้ รงเป็นอมตะ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น. 20) ก่อนทีพ่ ระศรศี ากยมุนพี ุทธ เจ้าจะเสด็จเข้าปรินิพพานได้ตรัสอมิตยุสูตร ซ่ึงเกี่ยวกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าผู้ประทับเป็นประธานอยู่ ณ. สวรรค์ช้ันสุขาวดีทิศตะวันตก แก่พระสารีบุตรเถระ พระนามของพระอมิตาภะพุทธเจ้านับถืออยู่ใน แควน้ เนปาลเปน็ คร้ังแรก เก่ียวกับสวรรค์ชั้นสุขาวดี อันเป็นที่ประทับของพระอมิตาภะพุทธเจ้าทางทิศ ตะวันตก ในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑรีกสูตรว่า เพศสตรีไม่สามารถเข้าถึงสวรรค์ช้ันสุขาวดีน้ีได้ ต้อง พยายามสร้างบุญบารมีและความดีอย่างย่ิงยอด จึงจะสามารถเกิดเป็นเพศชายในภายเบ้ืองหน้า และ ดว้ ยความกรุณาของพระอมิตาภะพทุ ธเจา้ จะนาพาให้ผูน้ น้ั ไปเสวยสุขในสวรรค์ชั้นดุสติ ได้ ในสวรรค์ชั้น สุขาวดนี ้ัน กล่าววา่ ผ้จู ะเสวยสุขจะต้องเป็นผไู้ มม่ ีความร้สู ึกทางเพศ และความรกั ระหว่างเพศ คือตอ้ ง เป็นความรักจากความสงบแห่งดวงใจ ฉะนั้น พระอมิตาภะพุทธเจ้าจึงมีความสาคัญมากท่ีสุดย่ิงกว่า พระฌานิพุทธเจ้าองค์ใดในมหายาน พระลกั ษณะอยู่ในท่าเข้าฌาน ทรงบาตร พระกายสีแดง พาหนะ นกยูง ศักดิ์หรือเทวี คือปาณฑรา มีพระมานุษิพุทธเจ้าคือพระศากยมุนี มีพระฌานิโพธิสัตว์คือ พระอวโลกิเตศวร (เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป, 2514, น. 340) การประดิษฐานพระปฏิมาจะเห็นใน 2 ลักษณะคอื ทรงเป็นประธาน มีพระมหาสถาม ปราปต์โพธิสัตว์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระองค์และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ประทับอยู่เบื้องซ้าย กับ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 102 อีกลักษณะหนึ่งคือพระศากยมุนีพุทธเจ้ทรงเป็นประธาน มีพระอมิตาภพุทธเจ้าและพระไภษัชยคุรุพุทธ เจา้ ประทบั อยู่เบื้องซ้าย (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2542, น. 20) (5) พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า คือ พระผู้คงความสาเร็จไม่ตกหล่น หรือผู้บันดาล ความสาเร็จทุกเม่ือให้แก่สรรพสัตว์ เป็นพระฌานิพุทธเจ้าองค์ที่ 5 มีนับถืออยู่ในแคว้นเนปาลและ ธเิ บตก่อน แลว้ เขา้ สู่จนี รปู หน้าแบบทรงสมาธิ พระกายสเี ขียว ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์น้ี พระไวโรจนะพุทธเจ้า และพระอมิตาภะพุทธเจ้า เป็นองค์สาคัญท่ีสุดในฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะพระอมิตาภะพุทธเจ้าน้ัน ถือกันว่าเป็นพระพระผู้ทรงความ สว่างและเป็นอมตะ พระองค์เป็นใหญ่ในพุทธเกษตรด้านตะวันตก อันมีช่ือว่าสุขาวดี ซ่ึงเป็นสถานที่อัน วจิ ิตรรุ่งเรืองย่ิงนัก บุคคลผู้ต้องการไปสู่สถานท่ีแห่งนี้ต้องมีความเชื่อม่ันหรือภักดีในพระอมิตาภะพุทธเจ้า และให้สวดอ้อนวอนภาวนา ผู้ใดปฏิบัติได้เช่นนี้ เมื่อตายไป พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทรงรับรองให้เป็น สาวก และเสวยสุขอยู่สวรรค์สุขาวดีของพระองค์ ซ่ึงจะสามารถทาให้มีโอกาสเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายใน สุขาวดีพุทธเกษตรแห่งนี้ ส่วนพระฌานิพุทธเจ้าองค์อ่ืน ๆ ก็ปกครองพุทธเกษตรอยู่ในทิศต่าง ๆ ซ่ึงจะมี ความแตกต่างกนั บ้าง ในเรอ่ื งความสมบูรณ์พนู สุข และจานวนสาวกท่ีปรารถนาไปเกิด ณ ท่ีนนั้ 3) พระมานุษพิ ุทธเจ้า เป็นผู้ที่ถือกาเนิดมาจากพระฌานพิ ุทธเจ้า (คือพระฌานิพุทธเจ้า อวตาร/แบ่งภาคลงมาเกิด) โดยแสดงตนออกมาในรูปของมนุษย์ธรรมดาและอุบัติข้ึนในโลกมนุษย์ เพอ่ื สั่งสอนสรรพสัตว์ทัง้ หลายใหเ้ รง่ ปฏบิ ัตธิ รรมด้วยความไมป่ ระมาท พระมานุษิพุทธเจา้ ได้แก่ พระศรศี ากยมุนีพุทธเจ้าหรือพระโคดมพุทธเจ้า พระทีปังกร พระโกนาคมนะ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระวิปัสสี และ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทงั้ หลายที่มาตรสั รใู้ นมนุษยโลกนี้ ในพระพุทธศาสนามหายาน แสดงการพัฒนาการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากระดับ สงู สุดลงมาคือจากอาทิพทุ ธเจา้ ลงมาส่พู ระฌานพิ ุทธเจา้ และพระมานษุ พิ ุทธเจา้ 9.3 จานวนของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระพุทธศาสนานิกายมหายานมีแนวความคิดในเร่ืองจานวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า มีอยู่เป็นจานวนมากจนไม่อาจจะคิดคานวณได้ เปรียบประดุจจานวนเม็ดทรายในคงคานที อันใคร ๆ ไม่อาจจะคิดคานวณเป็นปริมาณเม็ดได้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าน้ี สถิตอยู่ ณ พุทธเกษตรใน ทิศต่าง ๆ แมป้ จั จุบนั ก็ทาหนา้ ท่ีสง่ั สอนสรรพสัตว์อยู่ตลอดเวลา ซึง่ ปรากฏในสัทธรรมปณุ ฑรีกสูตรวา่ ...พุทธธรรมน้ัน สารีบุตร ลึกซึ้งยากท่ีจะเข้าใจได้ ยากท่ีจะหย่ังรู้ เป็นการยาก สาหรับพระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่จะหยั่งรู้พระธรรมที่พระตถาคตเจ้า ท้ังหลายได้ทรงบรรลุ สารีบุตร ทั้งนี้เพราะตถาคตได้ถวายสักการะต่อพระพุทธเจ้ามา เป็นจานวนหลายร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ พระองค์ได้สร้างสมเพื่อการบรรลุพระสัมมา สัมโพธิญาณ มาเป็นเวลานานหลายร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์...พระศาสดาเจ้าพระพุทธเจ้า ท้ังหลายประทับอยู่ทางทิศตะวันออก ใน 50 ร้อยพันหม่ืนโลกธาตุ จานวนมากมายดุจ เม็ดทรายในคงคานที... ในพุทธเกษตรเหล่าน้ัน ปรากฏมีพระศาสดาเจ้า พระพุทธเจ้า กาลังเทศนาสอนสรรพสัตว์ท้ังหลายด้วยพระสุรเสียงสาเนียงอ่อนหวาน ... พระศาสดา จึงมีรับส่ังต่อไปว่า อานนท์ พระภิกษสุ งฆ์ท้งั 2,000 รูปน้ี จะได้เป็นพระโพธิสตั วห์ ลังจาก ที่ได้เทิดพระเกียรติ ถวายการสักการะ บูชาแก่พระพุทธเจ้าท้ังหลาย มีจานวนมากมาย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 103 ดุจจานวนปรมาณูใน 50 โลกธาตุ และเม่ือเข้าถึงพระธรรมที่แท้จริงแล้ว ในชาติสุดท้าย จะได้ตรัสร้พู ระสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาเดียวกัน...(ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543, น. 37, 69, 196) ในฝ่ายมหายานนั้น ได้มีคาสอนที่เป็นการแสดงจุดยืนของแนวความคิดไว้อย่างชัดเจนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนั มากมายมหาศาลเหล่านี้ มิได้สูญหายไปไหน ทุก ๆ พระองค์ยังดารงอยู่ และ ทาการส่ังสอนเวไนยสัตว์อยตู่ ามพทุ ธเกษตรตา่ ง ๆ ตราบจนกระทง่ั ทกุ วันน้ี 9.4 การสร้างบารมเี พอื่ เปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระพุทธศาสนานิกายมหายานมีแนวความคิดเร่ืองการสร้างบารมีเพ่ือเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า สรุปได้ว่า บุคคลผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องดาเนินวิถีชีวิตตามหลักคาสอนที่ เรียกว่า โพธิสัตวมรรค อันประกอบด้วยบารมี 6 อัปปมัญญา 4 มหาปณิธาน 4 และคุณสมบัติ 3 ซึ่ง การท่ีจะฝึกฝนอบรมให้คุณธรรมเหล่าน้ีมีความเต็มเป่ียมนั้น จะต้องใช้ความเพียรและความอดทน อย่างย่ิงยวด เป็นระยะเวลาอันยาวนาน เมื่อบารมีอันเกิดจากการปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ เต็ม เปยี่ มบรบิ รู ณ์แลว้ บุคคลนน้ั ย่อมเขา้ สพู่ ุทธภาวะเปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ บารมีเพ่ือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมหายานมุ่งเน้นการฝึกฝนตนเอง และ ช่วยเหลือผู้อืน่ ควบคู่กันไปดว้ ย ด้วยเหตุนี้ หลักของอปั ปมัญญา 4 มหาปณิธาน 4 และคุณสมบตั ิ 3 ใน มหายานจึงได้รับการเน้นอย่างมากควบคู่ไปกับบารมี 6 และความจริงแล้วหลักธรรมเหล่าน้ีใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาทก็มีอย่เู พยี งแต่มิไดย้ กขนึ้ เน้นใหโ้ ดดเดน่ ชดั เจนดงั เช่นในมหายานเท่านัน้ 9.5 กายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามหายาน มีแนวความคิดในเรื่องกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากาย ของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้านัน้ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ประเภท คอื ประเภทที่ 1 นิรมาณกาย หมายถึง กายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ียังตกอยู่ในกฎของ ไตรลักษณ์ ยังมีการเกิด แก่ เจ็บ และตายเหมือนมนุษย์ธรรมดาท่ัวไป มหายานเช่ือว่า นิรมาณกายน้ี เป็นการเนรมิตข้ึนมาจากสัมโภคกาย เพ่ือเป็นอุบายในการส่ังสอนสัตว์โลก เพ่ือสรรพสัตว์ทั้งหลายจะ ไดไ้ ม่ตกอย่ใู นความประมาท และเร่งปฏบิ ตั ธิ รรมเพื่อมุ่งสูค่ วามพ้นทกุ ขโ์ ดยเร็ว ประเภทที่ 2 สัมโภคกาย หมายถึง กายท่ีแท้จริงของพระสมั มาสัมพุทธเจ้า กายน้ีจะไม่มี การแตกดับ อยู่ในสภาวะท่ีเป็นทิพย์ชั่วนิรันดร์ สามารถท่ีจะแสดงตนให้ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ได้ และสามารถรับรู้คาอ้อนวอนสรรเสริญจากผู้ที่เลื่อมใสได้ สัมโภคกายนี้เองที่เนรมิตตนลงมาเป็น นิรมาณกายในโลกมนุษย์เพื่อการสั่งสอนสัตว์โลก ดังน้ันแม้ในปัจจุบันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีเคย อบุ ตั ิขึน้ ในโลกมนษุ ย์ทกุ ๆ พระองค์ ก็ยังดารงอยู่ในสภาวะแห่งสัมโภคกายนม้ี ิไดส้ ูญหายไปไหน ประเภทที่ 3 ธรรมกาย หมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัส ไม่มีเบ้ืองต้นและที่สุด ท้ังไม่มีจุดกาเนิดและผู้สร้าง ดารงอยู่ได้ด้วยตนเอง แม้จักรวาล จะวา่ งเปล่าปราศจากทุกสิ่ง แต่ธรรมกายจะยงั ดารงอยู่ไม่มีท่ีสิ้นสุด มหายานเชื่อว่า ธรรมกายน้ีเอง ท่ี แสดงตนออกมาในรูปของสัมโภคกายบนภาคพ้ืนสวรรค์ และสัมโภคกายนี้ก็จะแสดงตนออกมาในรูป ของนริ มาณกายทาหนา้ ทส่ี ่งั สอนสรรพสตั ว์ในโลกมนุษย์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 104 กายทั้ง 3 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฝ่ายมหายานน้ัน มีอยู่ 2 กายท่ีตรงกันกับในฝ่าย เถรวาท คือ ธรรมกายและนิรมาณกาย แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ส่วนท่ีเหมือนกันน้ันก็เฉพาะ เพยี งชื่อ ส่วนความหมายน้ัน แต่ละนิกายไดต้ ีความคาสอนแตกตา่ งกนั ออกไป ธรรมกายในความหมาย ของเถรวาทน้ันหมายถึง คุณธรรมหรือพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนในมหายาน ธรรมกายจะหมายถึงส่ิงหนึ่งท่ีดารงอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส ไม่มี เบอื้ งตน้ และทส่ี ุด ไม่มจี ุดกาเนิดและผู้สร้าง ดารงอยู่ด้วยตนเอง แม้จักรวาลจะวา่ งเปล่าจากทุกส่ิง แต่ ธรรมกายจะยังคงอยู่ และนิรมาณกายในความหมายของเถรวาทน้ัน หมายถึง กายของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าในส่วนท่ีเป็นรูปธรรม ซึ่งตกอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์ ส่วนนิรมาณกายในความหมายของ มหายานแม้จะมีลักษณะเหมือนกันกบั ในฝ่ายเถรวาท แตม่ หายานถือว่า กายนี้เปน็ เพียงมายา เป็นการ อวตารของสมั โภคกาย เพ่อื เป็นอบุ ายสาหรบั การสอนเท่านัน้ พทุ ธศาสนิกมหายานนน้ั มีความเช่ือที่ตรงข้ามกันความเชื่อของชาวพุทธในเถรวาท คือ พุทธ ศาสนิกมหายานจะเชื่อว่า การปรนิ ิพพานของพระสิทธัตถะพุทธเจ้า เป็นเพียงปรากฏการณ์ท่นี ิรมาณกาย ย้อนกลับคืนสู่สภาวะแห่งสัมโภคกายอีกครั้งหนึ่งเท่าน้ัน ความจริงแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้สูญ หายไปไหน แม้ปัจจุบันน้ีก็ยังอยู่ เพียงแต่อยู่ในสภาวะของสัมโภคกายบนสวรรค์เท่าน้ัน ดังนั้นเมื่อชาว พุทธมหายานราลึกถึงหรือจะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนิกเหล่าน้ีนอกจากจะราลึกบูชาใน พระพุทธคุณอย่างที่ชาวพุทธเถรวาทกระทาแล้ว ชาวพุทธมหายานยังราลึกบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน รูปของสัมโภคกายบนสวรรค์อีกด้วย นอกจากน้ีชาวพุทธมหายานก็ยังเช่ือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในรูป ของสัมโภคกายบนสวรรค์น้ัน ยังคอยสอดส่องสดับรับฟังทุกข์สุข และสามารถรับรู้ถึงการกล่าวคา สรรเสริญและอ้อนวอนของผู้ท่ีเล่ือมใส พร้อมท้ังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา การบูชาพระพุทธ รัตนะด้วยความรู้สึกเช่นน้ี ย่อมทาให้พุทธศาสนิกมหายาน มีความอบอุ่นใจและม่ันใจ เพราะมีความรู้สึก ใกล้ชิดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากกว่าการราลึกบูชาเพียงพระพุทธคุณเท่าน้ัน ด้วยเหตุน้ีจึงเป็นสิ่งท่ี ไม่น่าประหลาดใจ หากเราจะพบว่า พุทธศาสนิกในมหายานน้ัน นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนาม ต่าง ๆ แตกต่างกันไปมากมาย และมีการสวดมนต์อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ขอส่ิงอันตนปรารถนา คล้ายกับการปฏิบัติตนของศาสนิกที่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้า ซ่ึงการปฏิบัติเช่นน้ี เป็นผลมาจาก แนวความคดิ ในเร่ืองตรีกายในนิกายมหายานน้ันเอง 9.6 พุทธภาวะหลังปรินพิ พาน พระพุทธศาสนามหายานมีแนวความคิดเร่ืองพุทธภาวะหลังปรินิพพานว่า พระสัมมา สัมพุทธเจ้าเมื่อได้แสดงตนว่าปรินิพพานแล้วนั้น ท่ีจริงหาได้เป็นการสิ้นสุดของพุทธภาวะไม่ แท้จริง พระองคท์ รงดารงอยู่ตลอดกาล ดงั มขี อ้ ความสนบั สนุนจากสัทธรรมปุณฑรกี สูตรวา่ ...แต่เพื่อสร้างพีชกุศลในสรรพสัตว์ ผู้มีวิถีการดาเนินชีวิตท่ีต่างกัน และ ประพฤติปฏิบัติตามความเข้าใจที่ต่างกัน พระองค์ทรงแสดงธรรมบรรยายต่าง ๆ ด้วย หลักพื้นฐานท่ีแตกต่างกัน... พระตถาคตเจ้า ผู้ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณนานแล้ว ทรงมีพระชนมายุกาลอันไม่จากัด พระองค์ทรงเป็นอยู่ตลอดไป โดยไม่ดับสูญ แต่ทรง แสดงว่ามีการเสด็จดับขันธปรินิพพาน เพื่อสั่งสอนผู้ที่ยังศึกษาอยู่ กุลบุตรทั้งหลายแม้ ขณะนี้ตถาคตก็ยังมิได้ทาโพธิสัตวมรรคแต่อดีตให้สมบูรณ์และพระชนมายุกาลของพระ ตถาคตก็ยังไม่เต็ม กลุ บุตรท้ังหลาย ตถาคตยังมีพระชนมายุกาลอีก 2 เท่าของหลายร้อย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 105 พันหมื่นโกฏิกัลป์ ก่อนที่อายุของตถาคตจะเต็ม ตถาคตประกาศการเสด็จดับขันธปริ นิพพาน กุลบุตรทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่ตถาคตเองยังไม่ดับขันธ์ ฯ ด้วยวิธีน้ี กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตสามารถน้อมนาสรรพสัตว์ท้ังหลายให้ถึงพร้อม...ด้วยเหตุน้ี ตถาคตจึงประกาศ การดับขันธปรินิพพาน ทั้ง ๆ ท่ีพระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ ฯ จริง เพื่อประโยชน์ของสรรพ สัตว์ท้ังหลายท่ียังศึกษาอยู่ กุลบุตรท้ังหลายน้ีเป็นวิธีการสอนของพระตถาคต... (ฉตั รสุมาลย์ กบลิ สงิ ห์ แปล, 2543, น. 274-275) การปรินิพพานของพระสมั มาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงอุบายแห่งการสั่งสอนสรรพสัตว์เท่านั้น พระองคย์ ังคงมพี ุทธภาวะอยู่โดยสมบูรณ์ในรปู ของสัมโภคกายสามารถท่ีจะรับรู้เร่ืองราวตา่ ง ๆ ได้ และ จะมาอบุ ัติเปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อีก เพ่ือสั่งสอนสัตว์โลก เม่ือถงึ ช่วงเวลาท่ีเหมาะสม และจะดารง อยเู่ ช่นนตี้ ลอดชั่วกาลนาน จนกวา่ จะช่วยเหลอื สรรพสัตว์ไดห้ มด พระองค์จึงเสด็จเขา้ สพู่ ระนิพพาน 10. พระโพธสิ ัตว์ในพระพทุ ธศาสนามหายาน อินเดียในสมัยพุทธกาลมีความคิดเรื่องบุคคลในอุดมคติเป็น 2 แนวด้วยกัน คือ ทางด้าน การเมือง ได้แก่ พระเจ้าจักรพรรดิ ทางด้านศาสนา ได้แก่ พระพุทธเจ้า บุคคลผู้จะได้เป็นพระเจ้า จกั รพรรดิหรือพระพุทธเจ้านี้เรียกกันว่าพระมหาบุรุษ พระมหาบุรุษมีลักษณะทีเ่ ป็นท้ังบุคคลธรรมและ บุคคลผู้เหนือมนุษย์ (ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2546, น. 52) ดังจะศึกษาได้จากลักขณสูตร แหง่ ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค ซงึ่ ในเวลาต่อมาลักษณะของพระมหาบรุ ษุ นี้ไปเป็นลักษณะของพระโพธสิ ตั ว์ คาว่า “พระโพธิสัตว์” ท่ีปรากฏใช้ในคัมภีร์รุ่นแรกของพระพุทธศาสนาใช้ในข้อความแสดง ประวัติของพระโคดมสิทธัตถะแต่คร้ังยังไม่ได้ตรัสรู้ ต่อมาเมื่อเกิดความคิดเรื่องพระพุทธเจ้าหลาย พระองค์ได้ใช้จึงได้ใช้หมายรวมถึงพระพุทธเจ้าองค์อ่ืน ๆ เม่ือยังไม่ได้ตรัสรู้ด้วย ดังนั้น คาว่า พระโพธิสัตว์จึงเป็นชื่อประเภทของบุคคลผู้บาเพ็ญตนหรือมีความมุ่งหมายที่จะบรรลุพระโพธิญาณ และสุดทา้ ยแล้ว เรือ่ งราวของพระโพธสิ ัตว์ก็ได้เปน็ แกนกลางหรอื หลักของพระพุทธศาสนามหายาน 10.1 ฐานะและความสาคญั ของพระโพธิสตั ว์ พระพุทธศาสนานิกายมหายานถือว่า ความคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์เป็นแกนกลางของคา สอน เป็นที่พ่ึงของศาสนิก เป็นท่ีเคารพบูชาของศาสนิก จึงสนับสนุนให้ทุกคนเป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ซึ่งก็เท่ากับต้องการให้ทุกคนเป็นพระโพธิสัตว์ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร กล่าวว่า พระพุทธศาสนามี ยานเดียวเทา่ นน้ั คือพทุ ธยาน (ยานที่จะนาไปส่กู ารเปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า) ดงั ที่กลา่ วว่า “สารบี ตุ ร ตถาคตได้แสดงธรรมแห่งพระตถาคตในทางอันสมควร สารีบุตร โดยยานแบบเดียว นั่นคือพุทธยาน สารบี ุตร ตถาคตจึงได้ส่งั สอนสรรพสัตวใ์ นพระธรรมน้ี ไม่มียานท่ี 2 หรอื ท่ี 3 นแ่ี หละคือธรรมชาติแห่ง พระธรรม” (ฉตั รสมุ าลย์ กบลิ สงิ ห์ แปล, 2543, น. 32) ใน วิมลเกียรตินิทเทสสูตร กล่าวว่า ทุกคนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพราะมีธรรมธาตุ เป็นอย่างเดียวกันอยู่แล้ว ดังน้ี “สรรพสัตว์ย่อมเป็นตถตาน้ี ธรรมท้ังปวงก็เป็นตถตานี้ พระอริยเจ้า ทั้งหลายก็เป็นตถตาน้ี แม้พระคุณท่านเมตไตรยเองก็เป็นตถตานี้ด้วย ฉะนั้น ถ้าพระคุณได้รับพุทธ พยากรณ์ สรรพสัตว์ก็สมควรจักได้รับพุทธพยากรณ์ด้วย ข้อน้ันเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าอัน ธรรมชาติแห่งตถตานั้น ย่อมไม่มีความเป็น 1 หรือความเป็น 2 นั่นเอง หากพระคุณได้บรรลุพระอนุตตร

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 106 สัมมาสัมโพธิญาณ สรรพสตั ว์ก็สมควรจะต้องบรรลขุ ้อนั้น เพราะเหตุเปน็ ไฉน ? ท้ังนี้เพราะธรรมชาตแิ ห่ง สรรพสตั ว์น้นั โดยเน้ือแท้แลว้ กค็ อื ธรรมชาตแิ หง่ โพธิน่นั เอง” (เสถียร โพธนิ นั ทะ, 2516, น. 56-57) พระพุทธศาสนานิกายมหายานถือเอาความเป็นพระโพธิสัตว์เป็นสิ่งท่ีทุกคนมีอยู่ในตัว อยู่แล้ว จงึ เน้นเรอื่ งการบงั เกิดของจิตทจ่ี ะมงุ่ ไปสโู่ พธิ พระพุทธศาสนานิกายมหายานถือว่า ความคิดท่ีมีอิทธิพลต่อเร่ืองพระโพธิสัตว์ ได้แก่ โพธิ ซึง่ เป็นประเด็นทางปรัชญา และกรณุ า ศรทั ธา/ภักดี ซง่ึ เป็นประเด็นทางสงั คม 1) โพธิ เป็นประเด็นทางปรัชญา นิกายมหายานกล่าวว่า ความรู้หรือโพธิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือศูนยตา อัน เป็นความจริงสูงสุด เปน็ ลักษณะของทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงสูงสดุ น้ีเรียกว่า ตถตา หรือ ตตฺตว ศูนย ตาน้ีย่อมครอบคลุมทุกส่ิงทุกอยา่ ง เป็นสภาวะของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นปรัชญา (ศูนยตา) เป็นอไทวตะ (ความไม่เป็น 2) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตถตา และกล่าวว่า กายของ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทีเ่ ปน็ อันหน่ึงอนั เดยี วกบั สภาพสูงสุดนเ้ี รียกว่า ธรรมกาย แต่เดิม โพธิ หมายเอาความรู้ที่ทาให้หลุดพ้น (อาสวักขยญาณ) โดยสภาพแห่งการ หลุดพ้นทง้ั พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าและพระสาวก ย่อมไม่ต่างกนั แต่ตอ่ มาโพธิของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ได้พัฒนาข้ึนเป็นสัพพัญญุตญาณ อันจะนาไปสู่ความคิดว่า พระสาวกไม่บรรลุโพธิเช่นเดียวกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต่อเนื่องด้วยความคิดว่า การมุ่งเป็นพระโพธิสัตว์สูงส่งกว่าการมุ่งเป็น พระอรหนั ต์ และถอื ว่า พระอรหันตย์ งั ไม่หลุดพ้นอย่างแท้จริง 2) กรณุ า ศรทั ธา/ภกั ดี เปน็ ประเดน็ ทางสังคม ความคิดเรื่องกรุณาพัฒนาควบคู่มากับโพธิ ด้วยสานึกทางสังคม เพ่ือจะเผยแผ่ ศาสนาและเพื่อเน้นความสาคัญของการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นเหตุให้ลักษณะทางด้านพระกรุณาคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับความสาคัญมากข้ึนจนกระทั่งได้กลายมาเป็นคุณสมบัติต้ังแต่เมื่อยังมิได้ เป็นพระสมั มาสัมพุทธเจ้า และในท่ีสุด กรุณาได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์ ในมหายาน (ประพจน์ อัศววิรฬุ หการ, 2523, น. 400) ความคิดเรื่องศรัทธา/ภักดี ลักษณะของการนับถือด้วยศรัทธาเป็นแนวทางท่ีง่าย สาหรับคนหมู่มาก เป็นเหตุให้เกิดการทาบุคลาธิษฐานของคุณธรรมต่าง ๆ เพ่ือเป็นท่ีตั้งแห่งความ ศรัทธา รวมทั้งได้เปลี่ยนแปรลักษณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีลักษณะเป็นเทพเจ้า พระสัมมา สัมพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เหล่านี้เป็นที่ต้ังแห่งศรัทธา และถือการเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหลา่ นั้นเป็นทางแหง่ การหลดุ พน้ ด้วยทางหนึง่ นิกายมหายานได้ให้ความสนใจแก่อดุ มคติพระโพธิสตั วเ์ ป็นพเิ ศษ และได้แต่งคัมภรี ์ที่ มีช่ือหลายเล่มเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ เช่น วิมลเกียรตินิทเทสสูตร สัทธรรมปุณฑรีกสูตร นอกจากน้ัน ยังไดส้ รา้ งพระโพธสิ ตั ว์ทีล่ กึ ลบั มากมายทีช่ วนให้เกิดความเลื่อมใสและน่าดงึ ดดู ใจในหมู่ศาสนกิ นกิ ายมหายานถอื ว่า ความคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์เป็นแกนกลางของคาสอน สนับสนุน ให้ทุกคนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็เท่ากับต้องการให้ทุกคนเป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้น สุดท้าย นิกายมหายานประกาศว่า พระพุทธศาสนามียานเดียวเท่านั้น คือพุทธยาน โดยไม่ยอมรับสาวกยาน และปัจเจกยาน แม้ชื่อว่าสิ้นกิเลสแลว้ กต็ าม แต่นิกายมหายานก็ให้เวียนว่ายตายเกดิ มุง่ ปรารถนาพุทธ ภูมใิ ห้จงได้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 107 10.2 พัฒนาการของแนวคิดเกย่ี วกับพระโพธิสัตว์ ในระยะหลัง เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องอิงอาศัยหรืออ้างถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเร่ืองเอกเทศแยกจากลักษณะที่เป็นประวัติของพระพุทธเจ้า จึงกลายเป็น การบรรลุสภาพอยา่ งหน่ึงทที่ าใหผ้ ู้บรรลุเป็นพระโพธิสตั ว์ มีหน้าทส่ี าคัญในการช่วยเหลือดแู ลชาวโลก และสุดท้าย พระโพธิสตั วจ์ ึงกลายเป็นเทพเจา้ ผสู้ ถิตในสรวงสวรรค์ สาเหตุทท่ี าให้ความคดิ เรื่องพระโพธิสัตว์มีลกั ษณะดังกลา่ วจึงแบ่งได้ 2 ประการ คอื 1) สาเหตุภายใน ประกอบด้วย 1.1) การเน้นเรื่องการช่วยเหลือผ้อู ่ืน การเผยแผ่ศาสนาไปสู่ชนหมู่มากเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนามีแนวโน้มที่จะ เกี่ยวพันกับสังคมมากขึ้น หลักสาคัญที่ได้รับการเน้นมากคือความกรุณาของพระโพธิสัตว์ในอันท่ีจะ ชว่ ยเหลือผอู้ น่ื (1) การต่อตา้ นระบบวัด แต่ในเริ่มแรกนั้น พระสงฆ์ได้ออกจาริกส่ังสอนไปในท่ีต่าง ๆ ได้ทาให้ เก่ียวพันกับสังคม แต่ต่อมาเม่ือเกิดมีวัดสาหรับพระสงฆ์อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน การออกจาริกสั่ง สอนก็ลดลง และระบบวัด (Monasticism) ก็ก่อตัวซับซ้อนข้ึนตามกาลเวลา การบริหารคณะสงฆ์มี ลักษณะซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น การศึกษาของพระสงฆ์ย่อมเป็นระบบมั่นคงข้ึน เป็นเหตุให้เกิด ตาราพระอภิธรรม การที่พระสงฆ์สนใจศึกษางานทางวิชาการดังกล่าวทาให้การติดต่อระหว่าง พระสงฆ์กับชาวบ้านมีน้อย จะเกี่ยวข้องก็ด้วยการทาบุญทาทาน จะเข้าใจหลักธรรมข้ึนสูงก็ดูเป็นของ เหนือสติปัญญา ทาให้มีผู้มองพระพุทธศาสนาว่าผละออกจากสังคม ละทิ้งหน้าที่คอยช่วยเหลือผู้อ่ืน ความคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์เป็นผู้ช่วยเหลือผู้อื่น สละตนเพื่อผู้อื่นจึงเกิดขึ้นเพื่อต่อต้านระบบวัดอัน ซับซ้อนน้ี ทั้งก่อให้เกิดความคิดว่า การที่จะไปถึงการหลุดพ้นไม่จาเป็นต้องออกบวชเสมอไป ผู้เป็น คฤหสั ถ์กส็ ามารถเป็นพระโพธสิ ัตวม์ ุ่งหมายพระโพธิญาณอนั สูงสุดได้ (2) การขม่ อุดมคตพิ ระอรหันต์ พระพุทธศาสนามหายานถือว่า พระอรหันต์ถูกพิจารณาว่าด้อยกว่า พระพุทธเจ้าในด้านความรู้ ท้ังความคิดเร่ืองการช่วยเหลือผู้อื่นที่มีเพิ่มมากขึ้น ผู้เป็นพระอรหันต์มุ่งแต่ เพียงความรู้ท่ีจะพ้นจากกิเลส ขณะที่ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มุ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทาให้มองเห็นว่าพระอรหันต์เป็นผู้ท่ีเอาแต่ตวั รอด ไม่ได้ชว่ ยเหลือผูอ้ ื่นระหวา่ งการ บาเพ็ญเพียรของตน เป็นผู้เห็นแก่ตัว บาเพ็ญธรรมะมุ่งแต่จะให้ตนเองสาเร็จ ไม่ได้มีความคิดจะ ช่วยเหลือผู้อ่ืน ทาเพื่อประโยชน์ตนเองเป็นหลัก แต่พระโพธิสัตว์ผู้มุ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณต้อง เสียสละ ไม่ยอมบรรลุโพธิอย่างรวดเร็ว เพ่ือช่วยเหลือผู้อ่ืนก่อน ทาเพื่อประโยชน์เพ่ือผู้อ่ืน ใน สัทธรรม ปณุ ฑรกี สูตรได้กลา่ วถึงพระอรหนั ตว์ า่ ควรบาเพ็ญความดีต่อไปอีกเพ่ือใหบ้ รรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 1.2) ลักษณะของพระพทุ ธเจา้ กบั โพธิ ในคัมภีร์ช่วงก่อนหน้าพระพุทธศาสนามหายาน โพธิของพระพุทธเจ้าและ พระพทุ ธเจ้าได้รบั การเทยี บเข้าเป็นสงิ่ เดยี วกัน แตใ่ นพระพทุ ธศาสนามหายานจะเห็นไดว้ า่ โพธิ ซึ่งแต่ เดิมเป็นความรู้ท่ีทาใหพ้ ้นกเิ ลสไดก้ ลายมาเปน็ สภาวะครอบคลุมทกุ สิง่ ทุกอยา่ งไปในท่ีสุด พระพุทธเจ้า ทรงเปน็ ผู้ค้นควา้ จนเกดิ ความรู้ (โพธิ) แต่ตอ่ มา พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผู้ท่เี กดิ จากโพธิ มิใช่ผพู้ บโพธิ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 108 1.3) การเน้นวิธีการหลดุ พ้นดว้ ยศรัทธา การหลุดพ้นด้วยปัญญาอย่างสูงคือการเข้าใจเร่ืองศูนยตาหรือธรรมกาย เป็น เร่ืองยากสาหรับคนท่ัว ๆ ไป โดยเหตุที่พระพุทธศาสนามหายานสนับสนุนความคิดให้ทุกคนเป็น พระพุทธเจ้า จึงจาต้องหาวิธีการอื่นที่เหมาะสม วิธีการนั้นคือความมีศรัทธา ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจน ในคัมภีร์สุขาวดีวยูหสูตร ว่า “อานนท์ ก็แล...เพราะเหตุว่าสัตว์ท้ังหลายเหล่าใด ได้ฟังพระนามของ พระอมิตาภะ เมื่อฟังแล้ว ยังจิตให้เกิดขึ้น แม้จิตโตตปาทเดียวด้วยความแน่วแน่ อันประกอบไปด้วย ความศรัทธาปสาทะ สัตว์เหล่านั้นทั้งปวงก็ย่อมตั้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่มีการเส่ือมถอยจากอนุตตร สัมยกั สัมโพธ.ิ ..” 2) สาเหตภุ ายนอก ระยะท่ีพระพุทธศาสนามหายานเกดิ ข้ึนเป็นระยะท่ีศาสนาฮินดูเริ่มขึ้น จงึ เป็นเหตุให้ พระพุทธศาสนาต้องปรับปรุงเพื่อให้เป็นท่ีชอบใจแก่ชนส่วนใหญ่ รวมท้ังการเจริญของพระพุทธ ศาสนามหายานน้ันอยู่ในอุปถัมภ์ของกษัตริย์ต่างชาติ จึงทาให้พระพุทธศาสนามหายานได้รับอิทธิพล จากความคดิ ของชาตเิ หล่าน้นั ด้วย ประกอบดว้ ย 2.1) อิทธิพลของศาสนาอินดู ลัทธิพราหมณ์ที่ซบเซาไปในระหว่างพระพุทธศาสนาเจริญเมื่อราวศตวรรษท่ี 4 ก่อนคริสต์กาลนั้น ได้กลับฟ้ืนตัวขึ้นในราวต้นคริสต์กาล มักนิยมเรียกกันว่าศาสนาฮินดู (H.Dal, 1970, p. 31) ศาสนาฮินดไู ด้พยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงปรัชญาและความคดิ ให้สมบูรณ์เป็นระบบ และในขณะเดียวกัน ก็ได้เลือกใช้เร่ืองราวของวีรบุรษุ ในท้องถิ่นมายกขน้ึ เป็นอวตารของเทพเจ้าช้ันสูง ซึ่งอาจให้อิทธิพลแก่เร่ืองนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าว่าเป็นการอวตารของพระสัมโภคกายที่อยู่ใน พทุ ธเกษตร 2.2) อทิ ธิพลของศาสนาอ่ืน ๆ กรีก อิทธิพลกรีกท่ีส่งผลต่อความคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์เป็นในด้านศิลปะเป็น สว่ นใหญ่ อยา่ งไรก็ดี กรกี นบั ถอื ศาสนาแบบพหุเทวนยิ มยอ่ มจะสนับสนุนให้ศาสนาที่ตนพบและรับนับ ถอื ใหม่ มเี ทพเจา้ มาก ๆ เหมือนกับทเ่ี คยเป็นอยไู่ ด้ โซโรอัสเตอร์ พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน เช่น อมิตาภะ ผู้มีแสง อันมิอาจวัดได้ ไวโรจนะ ผู้รุ่งเรือง ทีปังกร ผู้กระทาแสงสว่าง แม้พระพุทธเจ้าโคดมก็ทรงเรียก พระองค์เองว่า อาทิจจพันธุ ผู้เป็นเผ่าพันธ์ุของพระอาทิตย์ ชื่อเหล่านี้แสดงให้เห็นความเก่ียวข้องกับ ลัทธิการบูชาพระอาทิตย์หรือไฟที่ส่องสว่าง ซ่ึงเป็นหลักสาคั ญของศาสนาโซโรอัสเตอร์ (ผศ.ดร.ประพจน์ อศั ววริ ฬุ หการ, 2546, น. 71-88) 10.3 ความหมายของพระโพธิสัตวใ์ นพระพทุ ธศาสนามหายาน นิกายมหายาน เช่น สัทธรรมปุณฑริกสูตร ให้ความหมายของคาว่า “พระโพธิสัตว์” ว่า หมายถึง บุคคลที่บาเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน อนาคต เชน่ ในขอ้ ความวา่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมประกอบด้วยอริยสัจ 4 อันเป็นไป ด้วยปฏิจจสมุปปบาทเพ่ือความก้าวล่วงแห่งชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส และส้ินสุดที่พระนิพพานแก่พระสาวก ส่วนพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 109 พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ปรารภอนุตตรสัมยักสัมโพธิอันประกอบด้วยปารมิตา 6 ประการ อนั สิน้ สดุ ลง ที่สรรวชญชญาณ (สัพพัญญุตญาณ) โพธิจรรยาวตารปัญจิกา ให้ความหมายว่า “คาว่า โพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ท่ีมี สตฺตฺว คือ ความมงุ่ หมายในโพธิ” อรรถกถาศตสาหสริกา ให้ความหมายวา่ “ผู้ใดก็ตามมี สตตฺ ฺว คือ ความมุง่ หมายในโพธิ ผนู้ ้ันได้ช่อื วา่ พระโพธิสตั ว์ ” แต่ รตั นคุณสัมจยคาถา กลา่ วว่า “(พระสุภูติกราบทูลถามพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ว่า) เพราะอะไร บคุ คลจึงได้ชื่อว่าพระโพธิสัตว์” (พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงตอบว่า) (เพราะ) บุคคลนั้นเป็นผู้ตัดความที่เก่ียวข้อง (สังคเฉที) ปรารถนาจะ (ทาลาย) สิ่งท่ีทา ความเกาะเก่ียวในทุก ๆ กรณี ย่อมได้สัมผัสโพธิอันมีความจริงคือความไม่เกาะเกี่ยวอันเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทง้ั หลาย เพราะเหตดุ ังกลา่ วมาจงึ ได้ชอื่ ว่า พระโพธสิ ัตว์” ข้อความข้างต้นแสดงว่า พระโพธิสัตว์ หมายถึง บุคคลผู้มีแก่นหรือสาระ คือ โพธิ ซ่ึง เท่ากับศนู ยตา มีความรู้หรืออานาจเหมอื นกบั พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ซึ่งเป็นผบู้ รรลุโพธแิ ล้ว สมาธิราชสูตร ใหค้ วามหมายวา่ พระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้เตือนสัตว์ทั้งปวง ดงั ข้อความ ว่า “พระโพธิสตั ว์ไดช้ อื่ เชน่ น้นั เพราะเป็นผู้เตือนสัตวท์ ้งั หลายใหพ้ น้ จากทิฐทิ เี่ ป็นพิษ ชีแ้ จงว่า น่ันมิใช่ ทางเพื่อความบรรลุอันเป็นอมตะ (เม่ือพรรณนาทางช่ัวเช่นนั้นแล้ว ย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ในทาง (ท่ดี )ี ” (ประพจน์ อศั ววริ ฬุ หการ, 2523, น. 400) สรุปได้ว่า ความหมายของพระโพธิสัตว์ในนิกายมหายานในคัมภีร์ชั้นต้นเหมือนกับใน นิกายเถรวาท ส่วนในคมั ภีร์มหายานช้นั หลงั ให้ความหมายพระโพธิสัตว์ต่างจากนิกายเถรวาท คมั ภีร์ที่ เป็นเรือ่ งศนู ยตากลา่ วว่า พระโพธิสตั ว์ คือ ผู้ดารงตนอยู่ในศูนยตาอันถอื เป็นสาระของส่ิงท้งั ปวงเทียบ กับโพธิ ตามความหมายของนิกายมหายาน จึงเป็นเหตุให้แปลความได้ว่า ผู้มีแก่นแท้คือโพธิ หรือผู้มี โพธิเป็นสาระเปน็ ธรรมชาตขิ องตน สรปุ แลว้ มี 3 นัย คอื 1) ผมู้ คี วามตั้งใจหรอื มคี วามมงุ่ หมายในโพธิ 2) ผู้มีแก่นหรือสาระ คือโพธิ ซ่ึงเท่ากับศูนยตา มีความรู้หรืออานาจเหมือนกับ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซ่ึงเป็นผ้บู รรลุโพธิแลว้ 3) ผูต้ กั เตือนสัตว์ 10.4 ประเภทของพระโพธิสตั ว์ นกิ ายมหายานไดแ้ บ่งพระโพธิสัตวต์ ามระยะเวลาที่บาเพ็ญธรรมะ ตามฐานะ ไวด้ ังน้ี 1) พระโพธสิ ตั วต์ ามระยะเวลาท่ีบาเพ็ญธรรมะ ในวิมลเกยี รตินิทเทสสตู ร พระโพธสิ ัตว์ มี 2 ประเภท คือ (1) พระโพธสิ ตั ว์ผู้ที่บาเพญ็ ธรรมะมานานจนมีอานาจสูง (2) พระโพธิสัตว์ผู้เร่มิ บาเพญ็ ธรรมะต่าง ๆ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 110 การแบ่งพระโพธิสัตว์เช่นน้ีมีปรากฏในวิมลเกียรตินิทเทสสูตรว่า “พระโพธิสัตว์ (มหาสัตว์) ผู้ทรงอภิญญา เมื่อได้อธิษฐานกายให้ใหญ่ได้ส่ีแสนสองหมื่นโยชน์แล้ว จึงประทับบน สิงหาสน์ แต่พระโพธสิ ัตวผ์ ู้เร่ิมบาเพญ็ จริยา (อาทิกรรมิกะ) ไม่อาจจะข้ึนไปได้... แม้พระมหาสาวกกไ็ ม่ อาจขน้ึ ไปไดเ้ ชน่ กัน” ในวมิ ลเกยี รตินิทเทสสตู รเชน่ กนั พระโพธสิ ัตว์ มี 2 ประเภท คอื (1) พระโพธิสัตว์นวกะ คือ พระโพธสิ ัตว์ที่ยินดเี พลินเพลนิ ในเร่อื งสานวนอักขรโวหาร บญั ญัติ (2) พระโพธิสัตว์รัตตัญญู คือ พระโพธิสัตว์ท่ีมิได้ครั่นคร้ามหวาดกลัวต่ออรรถธรรม อนั สุขุมคัมภีรภาพ สามารถจกั เขา้ ถงึ ซึมซาบได้ (เสถียร โพธนิ ันทะ, 2516, น. 255) 2) พระโพธสิ ตั ว์ตามฐานะ พระโพธสิ ัตว์ มี 2 ประเภท คือ (1) คฤหิโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นคฤหัสถ์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทย่อย คือ บคุ คลช้ันสามัญกับพระราชา (2) บรรพชติ โพธิสัตว์ คอื พระโพธิสัตวท์ ่เี ป็นบรรพชติ ในระยะเร่ิมแรก พระโพธิสัตว์ท้งั 2 ประเภทได้รับความสาคญั เท่า ๆ กัน คือ มีสทิ ธิที่ จะเป็นพระโพธิสัตว์ในช้ันสูงเท่าเทียมกัน แต่ในระยะหลัง ๆ ข้ันตอนของการบาเพ็ญธรรมะต่าง ๆ ซับซ้อนข้ึน คฤหโิ พธิสัตวไ์ ม่อาจปฏบิ ัติได้ เปน็ การสนับสนุนใหเ้ ป็นบรรพชิตโพธิสัตวม์ ากกวา่ พระโพธิสัตว์ ยงั มอี กี 2 ประเภท คือ (1) พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ท่ีอยู่ในฌาน เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกาหนด ไม่ได้ว่ามาเกิดในโลกมนุษย์เม่ือใด แต่เกิดขึ้นก่อนกาลแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซ่ึงพระโพธิสัตว์ เหล่าน้ี ท่านได้บรรลุพุทธภูมิแล้ว แต่ทรงมีความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตั้งพระทัยไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ประทบั อยู่เพอ่ื โปรดสตั ว์ในโลกนตี้ อ่ ไป ได้แก่ - พระมัญชุศรโี พธิสตั ว์ เป็นพระโพธสิ ัตว์แหง่ ปัญญา ในหัตถ์ขวาทรงถือพระขันธ์ เป็นสัญลักษณ์ในการทาลายล้างกิเลสตัณหาและอวิชชาทั้งปวง และในหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์บนดอกบัว พระมัญชุศรีโพธิสัตว์นั้นเลิศด้วยปัญญาเป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการแสดงธรรมเป็นท่ีสดุ ฉะน้ันจงึ ได้ สรา้ งรูปของท่านในลกั ษณะทรงราชสีห์เขยี ว - พระสมันตภทั รโพธสิ ัตว์ เป็นพระโพธิสัตวท์ ่ีทรงไว้ด้วยความกรุณา และไดท้ รง ตงั้ ปณิธานวา่ จะชว่ ยสรรพสัตวใ์ ห้พน้ จากกิเลสความผูกพันทั้งปวง หน้าทส่ี าคัญอีกประการหน่งึ คือการ ร้ือสัตว์ ขนสัตว์จากนรก พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เป็นผู้ที่พร้อมไปด้วยมหาจริยา และมหาปณิธาน ฉะนั้นจึงไดส้ ร้างรปู ของทา่ นในลกั ษณะทรงคชสารเผอื ก 6 งา - พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา จะลงมาจุติใน โลกมนุษย์เป็นคร้ังคราว เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัย ความเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลและลึก แม้กระทั่งในดินแดนนรก พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์สามารถประทานอภัย คือ การช่วยให้พ้นทุกข์ภัย ได้อีก 16 ประเภท มีอัคคีภัย อุทกภัย และโจรภัย เป็นต้น การขอให้พ้นภัยก็ไม่ลาบากเพียงแต่ต้ังใจ สวดคาว่า “นโม ขอนอบน้อมแด่พระกวนอิมโพธสิ ัตว์” เท่านั้น ท่านก็จะมาโปรดทันทีนอกจากนี้ ทา่ น ยังสามารถประทานสิ่งท่ีเราต้องการและได้ต้ังใจขอร้องต่อท่าน ท่ียังไม่มีบุตร ส่วนมากไปขอบุตรต่อ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 111 ท่าน รูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เท่าที่เราเห็นเป็นรูปเพศหญิง ความจริงรูปเพศหญิงนี้เป็นเพียง นิรมาณกายหนึ่งในจานวน 33 รูปกาย หาใช่พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสตั ว์เป็นเพศหญิงไม่ ในประเทศจีน พระอวโลกิเตศวรเป็นท่ีรู้จักกันในปางสตรีคือ “เจ้าแม่กวนอิม” และชาวธิเบตเชื่อว่าองค์ประมุข ทไลลามะเปน็ อวตารของพระโพธสิ ตั ว์พระองคน์ ี้ - พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ทรงปัญญาเป็นเย่ียม และทรงใช้ปัญญานี้เป็น เครื่องบั่นทอนอวิชชา พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ ที่นิกายสุขาวดี (เจ่งโท้) นับถือ บชู า ตัง้ รูปเรยี งไว้กับพระกวนอมิ โพธิสัตว์ โดยมีพระอมิตาภะพทุ ธเจ้าอยกู่ ลาง เป็นผู้ช่วยพระอมิตาภะ พุทธเจ้า ในการบรรเทาทุกข์แก่สรรพสัตว์ เพราะพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะมา เก่ียวข้องกับชั้นสัตว์โลกโดยตรงไม่ได้นัก ต้องเชิญพระโพธิสัตว์ออกหน้าเป็นผู้ช่วย ทางมหายานจีน กล่าวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ท่ีมอี ิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ พานายช่างศิลป์ขึ้นไปถึงสรรค์ชน้ั ดุสิตเพื่อได้เห็นองค์ พระพุทธเจา้ ไดถ้ กู ต้องตามพทุ ธลกั ษณะ - พระกษิติครรภโพธิสัตว์ เรียกอีกชอ่ื หนึ่งว่า “พระต่ีจ๊ังอ๊วงพู่สัก” (พระอาจารย์ จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) แปลและเรียบเรียง, 2513, น. 167) เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทางมหายาน เคารพนับถือมากถัดจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ในกษิติครรภสูตร (ต้ีซังหวังพู่ซา) เล่าว่า ก่อนท่ี พระกษิติครรภจะมาเป็นพระธยานิโพธิสัตว์นั้นได้เกิดเป็นหญิงสาวในตระกูลพราหมณ์ มารดาเป็นผู้ท่ี กล่าวจ้วงจาบพระรัตนตรัย ครัน้ ตายไปต้องไปรับทุกข์ทรมานอยู่ในนรก เธอจึงได้สวดออ้ นวอนขอบารมี พระพทุ ธเจ้าให้ช่วย จากน้ัน เธอได้ยินเสียงบอกใหไ้ ปทาสมาธิ และขณะท่ีทาสมาธอิ ยูน่ ั้น เธอได้ลงไปใน เมืองนรกและรับทราบว่า เป็นเพราะบุญกุศลที่เธออุทิศไปให้มารดาของเธอ มารดาของเธอได้พ้นกรรม จากนรกแล้ว เธอได้เห็นสรรพสัตว์ที่ทนทุกข์อยู่ในเมืองนรกมากมาย จึงต้ังปณิธานว่า จะบาเพ็ญบุญ กุศลเพื่อช่วยสัตว์นรกเหล่านั้น ในพระสูตรนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงเล่าให้พระสารีบุตรฟังว่า ในท่ีสุด หญิงสาวผนู้ ้ันจุติมาเปน็ พระโพธิสตั ว์ และเป็นเพราะปณธิ านครั้งน้ันจงึ ได้รับการขนานนามว่า ตี้ซัง เป็น ท่ีรู้จักกันในนามของเทพเจ้าแหง่ นรก (ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2542, น. 169) พระกษิติครรภโพธิสัตว์มีปณิธานดังน้ี “ตราบใดท่ีนรกยังไม่สูญ คือ ไม่ว่างจาก สัตว์นรก ตราบน้ันก็จะไม่ขอบรรลุพุทธภมู ิ” พระกษติ ิครรภ์โพธิสัตวท์ รงโปรดสัตว์ในภพภมู ิต่าง ๆ คือ มนุษย์ เทวดา อสูร เปรต และสัตว์เดรัจฉาน รวมทั้งสัตว์ในนรกภูมิ ทรงเต็มไปด้วยความเมตตา ทรง ปฏิบัติพระองค์เพื่อช่วยสรรพสัตว์ทั้ง 6 เหล่า โดยทรงแผ่กุศลปัตติทานให้ อันเป็นผลกรรมนาสรรพ สัตว์ไปสู่สคุ ติ ได้บรรลุมรรคผลไปแล้วมากมายเกินจะนับได้ ตลอดระยะเวลานานเปน็ อสงไขยกัปป์อัน ประมาณมิได้ พระองค์ท่านมีปณิธานคล้ายคลึงกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แต่มีผิดไปจาก พระอวโลกิเตศวรโพธิสตั ว์ ก็คือ ท่านตอ้ งการจะโปรดสัตว์ทอี่ ยใู่ นนรกให้หมด ฉะนั้นในงานศพจึงนิยม บูชาท่าน แล้วก็เลยกลายเป็นประเพณีไปที่ในงานศพจะต้องบูชาท่าน ส่วนงานมงคลนิยมบูชา พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ กระทั่งเกิดคาว่า “พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์โปรดคนเป็น พระกษิติครรภ์ โพธสิ ัตวโ์ ปรดคนตาย” พระรปู ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์เขยี นหรอื ทาเป็นรูปพระโพธิสตั วท์ รงครองผ้า แบบภิกษุ ทรงหมวกเป็นรูปกลีบบัวกางติดกันรวมห้ากลีบหรือห้าแฉก (พระอาจารย์จีนธรรม คณาธิการ (เย็นเจยี่ ว) แปลและเรียบเรียง, 2513, น. 167)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 112 - พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์) เชื่อว่าเป็นองค์ อนาคตพุทธเจ้า และจะลงมาตรสั รู้ในกาลข้างหน้า เปน็ ผเู้ ปย่ี มด้วยความเมตตา (2) มานุษิโพธิสัตว์ คือ เป็นพระโพธิสัตว์ท่อี ยใู่ นสภาพมนุษย์ท่ัวไป ยงั ต้องฝกึ อบรม ตนเอง และทาหน้าท่ชี ว่ ยเหลือผูอ้ ืน่ ไปพรอ้ ม ๆ กนั ผู้ปฏิบัติตนเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ปฏิบัติตนอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบ การบุญ เจริญศีล ทาน ภาวนา ทาประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากกอง ทกุ ข์ กระทากัลยาณวัตร และบาเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติไป โดยมงุ่ หวังบรรลุพระโพธิญาณในข้ัน สุดท้าย เช่น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังน้ันโพธิสัตว์ จึงเป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธ มหายาน ที่พยายามดาเนินรอยตามแนวทางพระยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรง เปน็ มานุษิโพธิสัตว์ เพ่อื ให้ได้ถึงพุทธภูมิในทสี่ ดุ 10.5 จานวนของพระโพธสิ ัตว์ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ม ห า ย า น มี แ น ว ค ว า ม คิ ด ใ น เรื่ อ ง จ า น ว น ข อ ง พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ ว่ า พระโพธิสัตว์นั้นมีอยู่เป็นจานวนมากจนไม่อาจจะคิดคานวณได้ เปรียบประดุจจานวนเม็ดทรายในคง คานที อันใคร ๆ ไม่อาจจะคิดคานวณเป็นปรมิ าณเม็ดได้ คัมภีร์พระพุทธศาสนานิกายมหายานได้ระบุ จานวนของพระโพธสิ ัตวท์ ่ีเข้ามารว่ มฟังธรรมในขณะที่พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ กาลงั แสดงธรรมไว้ ดังเช่น ที่ปรากฏในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรว่า “คร้ังหน่ึงเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในเมืองราชคฤห์ บนยอด เขาคิชกูฏ มีพระอรหันต์ 1,200 รูป ล้อมรอบ มีพระเสขะบุคคลอีก 2,000 รูป มีภิกษุณี 6,000 รูป มี พระโพธิสัตว์ 80,000 องค์ และมีพระประเสริฐอีก 16 องค์ ล้อมรอบ...ฯลฯ” (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (แปล), 2543, น. 1-2) ในคมั ภรี ์ดงั กลา่ วยงั ไดร้ ะบชุ ่อื ของพระโพธสิ ัตว์ไวอ้ ีกด้วย ดังนี้ พระมัญชุศรีโพธสิ ัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสตั ว์ พระมหาสถามปราปตโ์ พธิสัตว์ พระสรวารถนามัน พระปิตโยทยุกตะ พระอนิกศิปตธุระ พระรัตนปาณี พระไภสัชยราช พระปรทานสูร พระรัตนจันทร พระรัตนประภา พระปูรณจันทร พระมหาวิกรามิน พระไตรโลกวิกรามิน พระอนันตวิกรามิน พระมหาปริตภาพ พระสตตัสมิตาภิยุกตะ พระธารณีธร พระอักษยมติ พระปัทมศรี พระนักษัตรราช พระอริยเมไตรยโพธิสตั ว์ และ พระมหาสตั ต์สงิ หโ์ พธสิ ัตว์ ฯลฯ (ฉตั รสมุ าลย์ กบลิ สงิ ห์ (แปล), 2543, น. 2) พระโพธิสัตว์ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายเทพเจ้ามีฤทธิ์ มีอยู่ในทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นเทพ เจา้ เป็นมนษุ ยห์ รือเป็นสตั ว์ มาจากดินแดนของพระโพธิสัตว์ ในคัมภีร์ลลิตวิสตระ ซ่ึงเป็นพุทธประวัติของมหายาน กล่าวถึงจานวนของพระโพธิสัตว์ มากถึง 32,000 องค์ แต่เท่าท่ีปรากฏเป็นรายช่ือพระโพธิสัตว์นั้น กล่าวไว้เพียง 19 องค์ (ศ.ร.ต.ท. แสง มนวทิ ูร แปล, 2512), น. 1) คอื 1) ไมตรโี พธิสตั ว์ (ไมตรฺ โี พธิสตฺตวฺ ) 2) ธรณศี วราชโพธสิ ัตว์ (ธรณศี ฺวราชโพธสิ ตฺตวฺ ) 3) สิงหเกตุโพธิสัตว์ (สิงหฺ เกตุโพธสิ ตตฺ วฺ ) 4) สิทธารถโพธิสัตว์ (สทิ ธฺ ารถฺ โพธสิ ตตฺ วฺ )

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 113 5) ประศานตจาริตรมตโิ พธสิ ัตว์ (ปฺรศานตฺ จารติ รมตโิ พธสิ ตฺตฺว) 6) ประติสงั วิตปราปตโพธิสตั ว์ (ปฺรตสิ วติ ปรฺ าปตโพธสิ ตฺตวฺ ) 7) นติ โยทยกุ ตโพธิสตั ว์ (นิโตยทฺยกุ ตฺ โพธิสตฺตฺว) 8) มหากรุณาจันทรณิ โพธสิ ัตว์ (มหากรุณาจนทฺ รณิ โพธิสตตฺ วฺ ) 9) ลลติ วยูหโพธสิ ตั ว์ (ลลิตวยฺ ูหโพธสิ ตฺตฺว) 10) รัตนฉตั รกฏู สนั ทรศนโพธสิ ตั ว์ (รตนฺ ฉตรฺ กูฏสนทฺ รฺศนโพธิสตฺตฺว) 11) อินทรชาลโี พธสิ ัตว์ (อนิ ฺทรฺ ชาลีโพธิสตตฺ ฺว) 12) วยหู ราชโพธิสตั ว์ (วยฺ ูหราชโพธสิ ตตฺ วฺ ) 13) คณุ มติโพธสิ ตั ว์ (คณุ มตโิ พธิสตตฺ วฺ ) 14) รตั นสัมภวโพธิสตั ว์ (รตนฺ สมภฺ วโพธสิ ตตฺ ฺว) 15) เมฆกูฏาภคิ รรชติ สวรโพธสิ ตั ว์ (เมฆกฏู าภคิ รชฺ ิตสวฺ รโพธสิ ตตฺ ฺว) 16) เหมชาลาลงั กฤตโพธสิ ัตว์ (เหมชาลาลงกฺ ฺฤตโพธิสตตฺ ฺว) 17) รัตนครรภโพธิสัตว์ (รตนฺ ครฺภโพธสิ ตฺตวฺ ) 18) คคนคัญชโพธิสัตว์ (คคนคญชฺ โพธสิ ตตฺ วฺ ) 19) เศวตเกตโุ พธสิ ตั ว์ (เศวฺ ตเกตุโพธิสตฺตฺว) พระเศวตเกตุโพธิสัตว์เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเม่ือครั้งสถิตอยู่ใน สวรรค์ช้ันดุสิต ส่วนพระไมตรีโพธิสัตว์เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะมาเกิดแล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน อนาคตต่อจากพระโคตมพทุ ธเจา้ องคป์ ัจจบุ ันนี้ พระโพธิสัตว์จานวนมากนั้นจาเป็นต้องมีหัวหน้า แต่พระโพธิสัตว์ท่ีได้เป็นหัวหน้าน้ีมิใช่ มีไว้เพื่อดูแลความเรียบร้อย ตาแหน่งหัวหน้ามีไว้สาหรับแสดงธรรมให้พระโพธิสัตว์ด้วยกันและพวก เทวดาได้ฟัง และตาแหน่งหัวหน้านีต้ ้องได้รับมอบหมายจากหัวหนา้ พระโพธิสัตวอ์ งค์ก่อน เพอ่ื สบื ทอด เจตนารมณ์ตามประเพณีของพระโพธิสัตว์ต่อไป เช่นในกรณีพระเศวตเกตุโพธิสัตว์เม่ือจะลงมาเกิดใน โลกมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนลงมาได้มอบผ้าโพกศีรษะซ่ึงเป็นเหมือนเคร่ืองหมาย ประจาตาแหน่งของพระองค์ให้แก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ แล้วสั่งให้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ทาหน้าที่ แสดงธรรมต่อจากที่พระองค์เคยปฏบิ ัติมา ในคัมภีร์ลลิตวิสตระยังกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ในสวรรค์ชั้นดุสิตอีกหลายแสนองค์ที่เหลือ อีกชาติเดียวก็จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่เมื่อพระโพธิสตั ว์องค์ใดจะลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพ่ือตรัสรู้ เป็นพระพทุ ธเจ้า พระโพธิสัตว์ในทิศตา่ ง ๆ จะต้องลงมาแสดงความนอบน้อม ไมม่ ีหลักฐานบ่งบอกว่า พระโพธิสัตวผ์ ู้สถิตอยู่ในทศิ ต่าง ๆ น้ันทาหน้าท่ีอะไรบ้าง มีแต่หลักฐานท่ีว่าพระโพธิสัตวผ์ ู้จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าน้ันมาในโลกมนุษย์ก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย แต่พระโพธิสัตว์ผู้จะมาตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าน้ีต้องมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหน่ึงคือ ร่างกายต้องประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษหรือ ลักษณะที่เด่น ๆ 32 ประการ และยังต้องมีอนุพยญั ชนะหรือลักษณะย่อยมาประกอบอีก 80 ประการ โดยสรุปก็คือร่างกายของพระโพธิสัตว์นั้นต้องมีส่วนประกอบของร่างกายท่ีดีหรือต้องมีอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายดี อาจกลา่ วไดว้ า่ ตอ้ งดีกวา่ คนทัว่ ไป

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 114 10.6 เปรียบเทียบเร่ืองขั้นตอนของการเป็นพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาเถรวาทและ มหายาน ข้ันตอนของการเป็นพระโพธิสัตวใ์ นพระพุทธศาสนามหายานมดี ังน้ี (ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2523, น. 174-175) ช่วงเตรยี มตวั ก่อนโพธจิ ติ โตตปาท โคตร หมายถึง บคุ คลทีไ่ ดบ้ าเพญ็ บญุ กศุ ลตาม สมควรแกค่ วามเป็นอบุ าสก ช่วงโพธจิ ติ โตตปาท อธมิ ุกติ เปน็ ขนั้ ตอนของการเร่มิ มีความเมตตากรุณา การบาเพ็ญธรรม ต่อผ้อู น่ื แต่ก็ยงั ไมก่ ล้าเสยี สละเพื่อผู้อื่น ผลจากการบาเพ็ญธรรมะ อนตุ ตรบชู า เป็นขนั้ ตอนการมีศรัทธา การกราบไหว้ บูชา มีความภกั ดตี ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระ โพธิสตั ว์ โพธิจติ โตตปาท การตั้งประณธิ าน การไดร้ ับพยากรณ์ โพธิปักษยธรรม บารมี 10 คือ ทาน, ศีล, กษานติ, วรี ยะ, ธยานะ, ปรชั ญา, อปุ ายเกาศลั ย, ประณิธาน, พล, ชญาน ภมู ิ 10 คือ ประมทุ ติ า, วมิ ลา, ประภากรี,อรรจษิ มตี, สทุ ธรชยา, อภมิ ขุ ี, ทรู าคม, อจลา, สาธุมต,ิ ธรรม เมฆา 11. บทสรปุ แนวคิดและหลักการสาคัญของพระพุทธศาสนามหายานดังกล่าวมาแล้วนั้น ประกอบด้วย หลักตรียาน คือ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธิสัตวยาน ในคัมภีร์ของมหายานได้มีการเพ่ิมหลักเอก ยานเข้าไป โดยอธิบายว่า ทั้ง 3 ยานเป็นเพียงอุบายสั่งสอน หาใช่เป็นยานที่แท้จริงไม่ ยานที่แท้จริงมี เพียงยานเดียวคือเอกยานหรือพุทธยานเท่านั้น หลักเอกยานจึงเป็นความคิดสมานเชื่อมตรียานให้ หลอมเข้ามาสู่จุดเดียวกนั ได้อย่างแนบเนียมและก็คงเป็นมหายานคือมุ่งพุทธภูมิตามเคย โพธิสตั วยาน เหมอื นการทาเหตุ พทุ ธยานเหมอื นผลอันเกิดจากเหตุทบ่ี าเพญ็ บารมแี ล้ว หลกั โพธิสัตวจริยา เป็นหลักประพฤติของผทู้ ่ีจะเปน็ พระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นผ้มู ุ่งไปท่ีอนุตตรสัมมา สมั โพธิญาณ ประกอบไปดว้ ยหลกั มหาปณธิ าน 4 หลักอปั ปมัญญา 4 หลักคุณสมบตั ิ 3 และหลักปารมิตา หรือหลกั บารมี 6 ทศภูมขิ องพระโพธิสตั ว์ ไดแ้ ก่ มุทิตาภูมิ วมิ ลาภูมิ ประภาการีภูมิ อรรถจีสมดภี มู ิ ทรุ ชยาภูมิ อภิมขุ ีภูมิ ทูรังคมาภมู ิ อจลภมู ิ สาธมุ ดีภมู ิ ธรรมเมฆภมู ิ หลักตรีกาย คือ พระกายทั้ง 3 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่ นิรมาณกาย (กายเนื้อ) สัมโภคกาย (กายทิพย์) ธรรมกาย (กายที่แท้จริง เป็นสภาวะอมตะ ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง ท่ีสุด แผ่ คลมุ อยู่ท่วั ไป)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 115 หลักโพธิจิต คือ จิตของบุคคลตั้งมูลปณิธิปรารถนาพุทธภูมิ เป็นหัวใจของอุดมการณ์พระ โพธิสัตว์ สาระสาคัญของหลักโพธิจิต มี 2 อย่าง คือ ตนเอง (พระโพธิญาณ) และผู้อ่ืน (กรุณา) ผู้มี 2 สงิ่ น้ใี นตนชอ่ื วา่ พระโพธิสตั ว์ หลักการพุทธเกษตร คือ อาณาจักรแห่งพระพุทธเจ้า หรือวิสุทธิภูมิ (ดินแดนบริสุทธ์ิ) ตาม ความเชื่อของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน คือดินแดนที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างขึ้นด้วยปณิธานของ แต่ละพระองค์ แดนท่ีมีพระพุทธเจ้า (พระฌานิพุทธเจ้า) ประทับเป็นประธาน (หรือผู้ปกครองแดน) อยู่ แดนพุทธเกษตรไม่ใช่นิพพาน แต่มีลักษณะคล้ายสวรรค์ เป็นภูมิทสี่ าวกของพระพทุ ธเจ้าใช้ปฏิบัติ ธรรมต่อหลังจากสิ้นชีวิตบนโลกเพือ่ บรรลุนิพพานต่อไป พุทธเกษตรที่มชี ื่อเสียงมาก เช่น สุขาวดีพุทธ เกษตรของพระอมิตาภะ พุทธเกษตรของพระพุทธไภสัชชคุรุไวฑูรยประภาราชา พุทธเกษตรของพระ พุทธอักโษภยะ และพุทธเกษตรของพระเมตไตรยโพธิสตั ว์ พระสูตรสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ประกอบดว้ ย อวตังสกสูตร คัณฑวยูหสูตร ทศ ภูมิกสูตร วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ศูรางคมสมาธิสูตร สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร พรหมชาลสูตร สุขาวดีวยูหสูตร ตถาคตครรภสูตร อสมปูรณอนุสูตร วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อุตรสรณ สูตร มหาปรินิรวาณสูตร สันธินิรโมจนสูตร ลังกาวตารสูตร พระสูตร 42 บท หรือ พระพุทธวจนะ 42 บท และโมหมาลาหรือร้อยอุทาหรณส์ ูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามสภาวะ แห่งการเกิดขึ้น เพอ่ื ความเหมาะสมของการสงั่ สอนเวไนยสตั ว์ คอื พระอาทิพุทธเจ้า คือ พระสัมมาสัม พุทธเจ้าองค์ประถม เป็นสวยัมภู เกิดข้ึนเอง ไม่มีเขตต้นและเขตปลาย พระฌานิพุทธเจ้า คือ พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้กาเนิดมาจากอานาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในรูปของโอปปาติกะ คือ เกิดโดยไม่ต้องมีบิดามารดาผู้ให้กาเนิด พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ท่ีถือกาเนิดมาจากพระฌานิพุทธเจ้า คอื พระฌานพิ ุทธเจา้ อวตาร/แบง่ ภาคลงมาเกิด โดยแสดงตนออกมาในรปู ของมนุษย์ธรรมดาและอุบัติ ข้นึ ในโลกมนุษย์ เพื่อสงั่ สอนสรรพสตั วท์ ั้งหลายให้เรง่ ปฏบิ ัตธิ รรมด้วยความไมป่ ระมาท พระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนามหายาน เป็นช่ือประเภทของบุคคลผู้บาเพ็ญตนหรือมี ความมุ่งหมายท่ีจะบรรลุพระโพธิญาณ และสุดท้ายแล้ว เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ก็ได้เป็นแกนกลาง หรือหลักของพระพุทธศาสนามหายาน ความคิดที่มีอิทธิพลต่อเรื่องพระโพธิสัตว์ ได้แก่ โพธิ ซึ่งเป็น ประเดน็ ทางปรัชญา และกรณุ า ศรัทธา ภกั ดี ซึง่ เป็นประเดน็ ทางสงั คม

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 116 แบบฝกึ หัดบทท่ี 4 1. ใหว้ เิ คราะห์หลักตรียาน 2. ใหอ้ ธบิ ายหลกั เอกยาน 3. โพธสิ ัตวจรยิ าหมายถึงอะไร ประกอบไปดว้ ยหลักอะไรบ้าง 4. ใหเ้ ขยี นถึงหลักเรื่อง “ตรีกาย” 5. นักศึกษามคี วามคิดเห็นอย่างไรเกย่ี วกับหลกั การเกีย่ วกบั พุทธเกษตรของมหายาน 6. ใหส้ รปุ สาระสาคัญของพระสูตรมหายานมา 1 สูตร 7. พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ แบง่ ออกเป็นกปี่ ระเภท คืออะไรบ้าง และมจี านวนเทา่ ใด 8. กายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามีก่ีประเภท คืออะไรบ้าง 9. ให้อธิบายฐานะและความสาคญั ของพระโพธิสตั ว์ 10. “พระโพธิสัตว์” หมายถึง ใคร มีกีป่ ระเภท คืออะไรบา้ ง และมีอยจู่ านวนเท่าใด

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 117 เอกสารอ้างอิงประจาบทที่ 4 ฉตั รสมุ าลย์ กบลิ สิงห์. (2544). ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร. (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: ศนู ย์ไทย-ธิเบต. ฉตั รสมุ าลย์ กบิลสิงห์ แปล. (2543). สัทธรรมปณุ ฑรีกสูตร. (พมิ พค์ รง้ั ที่ 5). กรงุ เทพฯ: ศูนย์ไทย-ธเิ บต. ประพจน์ อัศววิรุฬหการ. (2523). การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องพระโพธิสัตว์ในคัมภีร์เถรวาทและ คัมภีร์มหายาน. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, ผศ.ดร. (2546). โพธิสัตตวจรรยา : มรรคาเพ่ือมหาชน. กรุงเทพฯ: คณะ อกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. พระวศิ วภทั ร เซ่ียเก๊ยี ก. (2551). มหาสขุ าวตีวยหู สตู ร. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) แปลเรียบเรียง. (2553). คัมภีร์มหายานลังกาวตารสูตร. กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) แปลและเรียบเรียง. (2513). สารัตถธรรมมหายาน. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: หา้ งหนุ้ สว่ นจากัด อรุณการพิมพ.์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2541). พุทธประวัติ เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 53). กรงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลัย. แสง มนวิทูร แปล, ศ.ร.ต.ท. (2512). คัมภรี ล์ ลิตวิสตระ. กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร. เสฐียรโกเศศ-นาคะประทปี . (2514). ลัทธิของเพื่อน. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พค์ ลงั วทิ ยา. เสฐยี ร พนั ธรังษี, ศ.พเิ ศษ. (2543). พุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ: สานักพิมพส์ ขุ ภาพใจ. เสถียร โพธินันทะ. (2516). ชมุ นมุ พระสูตรมหายาน. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์บรรณาคาร. เสถียร โพธนิ นั ทะ. (2522). ปรัชญามหายาน. (พมิ พ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์บรรณาคาร. H.Dayal. (1970). The Bodhisattva Doctrine in Buddhist Sanskrit Literature. Delhi: Motilal Banarsidass.

แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5 บทท่ี 5 นกิ ายสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน เน้อื หาประจาบท 1. บทนำ 2. นิกำยมำธยมิกะ 3. นิกำยโยคำจำร 4. นกิ ำยพทุ ธตันตรยำน 5. นิกำยเซน 6. นกิ ำยสขุ ำวดี 7. บทสรปุ แบบฝึกหดั บทที่ 5 เอกสำรอ้ำงอิงประจำบทที่ 5 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. นักศึกษำรู้และเข้ำใจนิกำยสำคัญของพระพุทธศำสนำมหำยำน เช่น นิกำยสุขำวดี นกิ ำยเซ็น เปน็ ต้น 2. นกั ศึกษำมกี ำรเสรมิ ทักษะดำ้ นควำมร้คู วำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปจั จุบนั 3. นักศกึ ษำใชห้ ลักกำรตำมพระพทุ ธศำสนำมหำยำนเป็นเครื่องมือในกำรเรยี นร้แู ละวิเครำะห์ สถำนกำรณท์ ี่เกิดขึ้นในสงั คมได้ กิจกรรมการเรียนการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรยี งเนื้อหำสำคัญ ๆ นำขอ้ มลู ท่ไี ด้มำถำ่ ยทอดเน้ือหำดว้ ยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชั้นเรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเน้ือหำ/ฝึกต้ังคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในช้ัน เรยี น 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเนื้อหำที่เกี่ยวข้องเพ่ิมเติมจำกหนังสือ/ หอ้ งสมุด และเวบ็ ไซต/์ ทำแบบฝึกหดั ทำ้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เปน็ ต้น

119 การวัดผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำชั้นเรียน กำรส่ง งำนท่ีมอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมทง้ั ในและนอกห้องเรยี น 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เน้ือหำ และนำเสนอผล กำรศึกษำค้นควำ้ มำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขียนรำยงำนและนำเสนอในช้นั เรยี นด้วยกำรใช้ เครื่องมือหรอื โปรแกรมกำรเรยี นกำรสอนออนไลน์ เชน่ Power point เป็นต้น 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชิง ตัวเลข กำรสื่อสำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคิดเหน็ กำรถำม-ตอบ กำรวิเครำะหเ์ นือ้ หำที่เรียน กำรสรปุ เนอ้ื หำ กำรนำเสนอในชัน้ เรียน และกำรส่งงำนใน Google Classroom

บทที่ 5 นกิ ายสาคญั ของพระพุทธศาสนามหายาน 1. บทนา พระพุทธศาสนามหายานแตกเป็นนกิ ายยอ่ ย ๆ ต่างกันไปในแตล่ ะประเทศดงั นี้ ในอนิ เดยี ไดแ้ ก่ นิกายมาธยมกิ ะ นกิ ายโยคาจาร นกิ ายจติ อมตวาท นกิ ายตันตระ ในจีน ได้แก่ นิกายสขุ าวดี หรอื ชงิ ถู่ นิกายฌานหรือเซน นิกายเทียนไถหรอื สทั ธรรมปุณฑรกี ะ นกิ ายซันเฉยี นกิ ายหัวเหยยี น นิกายฟาเสียง นิกายวนิ ยั หรอื หลูจ่ งุ นิกายเชนเหยน ในญี่ปุ่น ได้แก่ นิกายเทนได นิกายชินกอน หรือชินงอน นิกายโจโด นิกายเซน นิกายนิชิเรน นิกายซานรอน นิกายฮอสโส นิกายเคงอน นิกายริตสุ นิกายกุชา นิกายโจฮิตสุ ในทิเบต นิกายนิงมะ นกิ ายกาจู นกิ ายสกั ยะ นิกายเกลุก ในเนปาล ได้แก่ นิกายไอศวาริก นิกายสวาภาวิก นกิ ายการมกิ นกิ ายยาตริก ในประเทศไทย ไดแ้ ก่ คณะสงฆ์อนมั นิกายแห่งประเทศไทย จนี นิกาย นิกายนิชเิ รน ซ่ึงจะได้กลา่ วถงึ รายละเอยี ดของนกิ ายทส่ี าคัญ ๆ ดังนี้ 2. นกิ ายมาธยมิกะ พระพุทธศาสนาด้ังเดิม มสี ารตั ถะที่เป็นทั้งศาสนาและปรัชญาอยู่แลว้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรง สนับสนุนการอภิปรายถกเถียงกันเชิงปรัชญา เพราะไม่เป็นไปเพ่ือความหลุดพ้นจากทุกข์ตามที่ทรง ประสงค์ ในครงั้ พุทธกาล พระพุทธศาสนาจงึ อยู่ในรูปแห่งศาสนาล้วน พระพุทธองคแ์ ละเหล่าสาวกได้ สอนพุทธบริษัทในรูปแบบศีลธรรม จริยธรรม โดยมีกุศลกัมมบถและมัชฌิมาปฏิปทาเป็นรากฐาน สาคัญ หลังพุทธปรินิพพานต้ังแต่ประมาณ พ.ศ. 300-1200 ถือได้ว่าเป็นยุคทองแห่งพุทธปรัชญา การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาเชิงปรัชญารุ่งเรืองมาก โดยมมี หาวทิ ยาลยั นาลนั ทาเปน็ ศูนย์กลางการศึกษา นกั ปรัชญาหลายท่านได้รบั การศึกษาจากสถาบนั นี้ เช่น นาคารชุน และแมแ้ ต่ท่านสมณะเฮีย้ นจั๋งก็เคย ศึกษาอยูท่ ี่น้ี 2.1 นาคารชนุ ท่านนาคารชุนเป็นชาวอินเดียภาคใต้ เกิดในสกุลพราหมณ์ ประมาณ พ.ศ. 700 แต่ ข้อมูลท่ีบันทึกโดยพระถังซาจ๋ังระบุว่า ท่านเกิดในแคว้นโกศลภาคใต้หรือในเมืองวิทรภะโบราณ ปัจจุบันคือเมืองเบราร์ ท่านเป็นพระสหายที่มีอายุไล่เลี่ยกับพระเจ้ายัชญศรีเคาตมีบุตร ท่านได้เรียน คัมภีร์ไตรเพทจนจบ ได้ศึกษาพระพุทธศาสนากับกบิมาลาและได้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา (พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, 2542, น. 37) ท่านได้ก่อต้ังนิกายมาธยมิกหรือศูนยวาท (พระมหาอมร อมโร และคณะ แปลและเรียบเรียง, 2537, น. 195-196) ท่านเป็นนักปราชญ์ทาง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 121 พระพุทธศาสนาที่มีผลงานโดดเด่นในด้านปรัชญาและตรรกศาสตร์ ผลงานสาคัญของท่าน คือ มาธยมิกการกิ า หรือ มาธยมิกศาสตร์ ซง่ึ เปน็ พื้นฐานสาคัญของแนวคิดศูนยวาท ประกอบด้วยการิกา 400 การิกา ใน 27 ปรเิ ฉท 2.2 มาธยมิกปฏปิ ทา นาคารชุนเป็นผู้ก่อตั้งสานักมาธยมิกะ โดยวางหลักปรัชญาไว้บนทฤษฎีปฏิจจสมุปบาท และเขียนหนังสือชื่อ “มูลมาธยมิกการิกา” หนังสือเล่มนี้เขียนข้ึนประมาณ พ.ศ. 843 (ประมาณ ค.ศ. 300) เป็นงานเขียนเล่มแรกที่ว่าด้วยเรื่องปรัชญามาธยมิกะ หลักการสาคัญในงานเขียนนี้คือ หลักว่า ด้วยทางสายกลาง ทีเ่ รียกวา่ ทางสายกลาง เพราะมนี ยั 4 ประการ คอื 1) เพราะตรงกันขา้ มกับทสี่ ุดโตง่ ดา้ นเดยี ว 2) เพราะเวน้ เสียซงึ่ ที่สดุ โต่งดา้ นเดียว 3) เพราะเป็นเอกภาพในพหภุ าพ 4) เพราะเป็นปรมัตถสจั จะ นาคารชุนกล่าวว่า เน่ืองจากเราไม่สามารถรับรู้ภาวะโดยอิสระจากอภาวะ ถ้าเราพูดว่า โลกมีอยู่ หรือพูดวา่ โลกไมม่ ีอยู่ ชื่อว่าเรากาลังยึดถือทรรศนะด้านเดียว ทางสายกลางแตกต่างตรงกัน ข้ามกับทีส่ ุดโตง่ น้ีโดยเว้นท่สี ดุ โต่งทัง้ 2 ดา้ น คอื ภาวะและอภาวะ นคี้ อื นยั ท่ี 1 แห่งทางสายกลาง เมื่อปฏิเสธที่สุดโต่งทั้ง 2 แล้ว ทางสายกลางก็เปิดเผยตัวเองออกมาโดยความกลมกลืน อย่างสนิทระหว่างภาวะและอภาวะ น่ันคือ มันอยู่เหนือที่สุดโต่งท้ัง 2 คือภาวะและอภาวะที่ถูก รวมเข้าดว้ ยกัน นค้ี อื นยั ท่ี 2 แห่งทางสายกลาง ทางสายกลางที่รวมเอาสรรพสิ่งเข้าไว้ ไม่ได้อยู่เหนือสรรพส่ิง ส่ิงท้ังหลายมี ลักษณะเฉพาะของตัวเองข้ึนมาได้ก็โดยอาศัยการที่เรารับรู้เอกภาพในส่ิงเหล่านั้น ถ้าไม่มีหลักแห่ง เอกภาพ สิง่ ทง้ั หลายกจ็ ะไม่เปน็ อย่างนน้ั นเ้ี ปน็ นัยที่ 3 แหง่ ทางสายกลาง “ทางสายกลาง” น้ี เราต้องไม่เข้าใจว่า มบี างสงิ่ บางอยใู่ นระหว่างท่ีสุดโต่งท้ัง 2 คอื ภาวะ และอภาวะ ความจริง เราต้องละทิ้งไม่เฉพาะท่ีสุดโต่งทั้ง 2 เท่าน้ัน แต่ต้องละทิ้งสายกลางด้วย ทาง สายกลางซ่ึงปราศจากข้อจากัดทุกอย่างน้ัน แสดงให้เห็นถึงแนวคิดของมนุษย์เกี่ยวกับอันติมสัจจะ น้ี เป็นนัยที่ 4 แห่งทางสายกลาง (Satish Chandra Vidyabhusana, 1988, pp. 251-254. และ NG Yu-Kwan, 1993, pp. 29-38) นาคารชุนประสงค์จะแสดงปฏิจจสมุปบาทในมุมมองของมาธยมิกะ สอดคล้องกับนัยที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในคราวตรัสรู้ ณ โพธิมณฑลนั่นเอง สรุปแล้ว นาคารชุนกล่าวว่า สังขตธรรม อสังขตธรรมมีสภาพเท่ากันคือสูญ (สรฺวมฺ ศูนฺยมฺ) ไม่มีอะไรที่มีอยู่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ อย่าง ปราศจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แม้กระท่ังพระนิรวาณ เพราะฉะน้ัน อย่าว่าแต่สังขตธรรมเป็นมายา ไร้แก่นสารเลย พระนิรวาณกเ็ ป็นมายาด้วย (เสถียร โพธินันทะ, 2522, น. 74-75) 3. นิกายโยคาจาร โยคาจารเร่ิมปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 544 (ประมาณ ค.ศ. 1) ตานานบอกว่า โพธิสัตว์ ไมเตรยนาถขณะเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นผู้ประกาศคาสอน ท่านอสังคะรับคาสอนมา เผยแพรต่ ่อ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 122 3.1 นกั ปราชญแ์ ละงานที่สาคัญ 1) อัศวโฆษะ งานทสี่ าคัญ คือ มหายานสตู ราลงั การะ 2) ไมเตรยนาถ 3) อารยเทพ 4) อสงั คะ งานทีส่ าคัญ คอื อภิธรรมสมุจจยะ, โยคาจารภูมิ 5) วสพุ ันธุ งานทส่ี าคญั คือ ธรรมธรรมตาวภิ งั คพฤติ, กระมาสิทธิปกรณ์ 6) ทีปงั กร ศรชี ญานะ งานเขียนทสี่ าคัญ คือ โพธปิ าฐประทีป และโพธิมรรค-ทปี ญั ชิกา 3.2 หลกั ธรรม โยคาจารกล่าวว่า จิตหรือวิชญาณเป็นสัจจะเพียงหนึ่งเดียว วัตถุภายนอกเป็นอสัจจะ เหมือนความฝันหรือภาพลวงตา การที่จะเข้าใจลักษณะ พัฒนาการ และการทางานของจิต ต้อง ปฏิบัติโยคะ จิตคือปรากฏการณ์ที่เป็นเหตุให้ความมีอยู่แห่งจักรวาลปรากฏออกมา แม้จะไม่สามารถ ทางานได้เหมือนคอมพิวเตอร์ แตก่ ็ทาได้หลายสิ่งหลายอยา่ งท่ีไม่มีใครคาดคิดได้ รูปธรรมในโลกแม้จะ ซบั ซอ้ นแตส่ ามารถหยั่งถึงได้ สว่ นจติ นน้ั ซับซ้อนทัง้ โครงสร้างและกระบวนการทางาน ยากทีจ่ ะหยั่งถึง (Vijnanavada (Yogacara) and Its Tradition, Pro D.S.Kothari, 1993, pp. 1-2) โยคาจารกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสังขตะอสังขตะล้วนแต่ออกจากจิตทั้งสิ้น จิตท่ี เรยี กว่า “อาลยวิญญาณ” หรอื อาลัยวิญญาณ วิญญาณนีแ้ ท้ก็คือตัวภวังคจิตในพระอภิธรรมปิฎกของ ฝ่ายเถรวาทนั่นเอง เป็นจิตที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ สืบภพสืบชาติและรับอารมณ์เสวยวิบากอยู่เร่ือย จนกว่าจะเข้าถงึ อนปุ าทิเสสนิพพานธาตุ (เสถยี ร โพธินนั ทะ, 2522, น. 107) โยคาจารแบ่งวชิ ญาณออกเป็น 8 ประเภท คือ 1) จักษุวิชญาณ 2) โสตวชิ ญาณ 3) ฆานวิช ญาณ 4) ชิวหาวิชญาณ 5) กายวชิ ญาณ 6) มโนวชิ ญาณ 7) กลิษฏมโนวชิ ญาณ และ 8) อาลยวชิ ญาณ วิชญาณ 6 ประเภทต้นมีนัยเหมือนกับทฤษฎีวิญญาณของเถรวาท แต่ประเด็นที่เป็น ปญั หาคอื กลิษฏมโนวิชญาณ และอาลยวิชญาณ มโนวิชญาณเข้ายึดครองกลิษฏมโนวิญญาณแล้วเกิด “อาลยวิชญาณ” จึงสรุปได้ว่า อาลยวชิ ญาณน้เี ป็นผลิตผลของวญิ ญาณทั้ง 2 ดังกล่าว อาลยวชิ ญาณเป็นฐานแห่งสรรพสิ่ง “สรรพสิ่ง เกิดจากการรังสรรค์ของจิต” มีภาวะเป็นอัพยากฤต เกิดดับสืบเนื่องกันเป็นสันตติมาตั้งแต่กาลไม่ ปรากฏ มีหน้าทีเ่ ก็บกอ่ คือเกบ็ พีชะของสงิ่ ท้งั ปวงไว้ (Brian Edward Brown, 1991, pp. 273-278) เถรวาทกล่าวถึงพีชะไว้ว่า “พระขีณาสพสิ้นภพเก่าแล้ว การเกิดใหม่ไม่มี มีจิตเบ่ือหน่าย ในภาพท่จี ะเกิดต่อไป ท่านเหล่านั้นชื่อว่า มีพีชะส้ินแลว้ ” คาว่า “พีชะ” ในที่นหี้ มายถึง “ปฏสิ นธิจติ ” (ขุ.ขุ.อ. 15/171) คาว่า “พีชะ” หมายถึงอัตภาพในภพต่าง ๆ นั่นเอง ดังท่ีคัมภีร์เถรวาทกล่าวถึงโสดาบัน ประเภทหน่ึงว่า “เอกพิชี” ซ่ึงหมายเอาผู้มีพืชคืออัตภาพอันเดียว คือเกิดอีกครั้งเดียวกันก็จักบรรลุ อรหัต ดังบาลี “ยสฺส โสตาปนฺนสฺส เอกเยว ขนฺธพีช อตฺถิ, เอก อตฺตภาวคฺคหณ, โส เอกพีชี นาม (ขุ.ขุ.อ. 15/177) โสดาบันอีก 2 ประเภท คือ 1) โกลังโกละ หมายถึงผู้เกิดอีกประมาณ 2-3 ครั้ง 2) สตั ตักขัตตปุ รมะ หมายถงึ ผู้เกิดอีกประมาณอยา่ งมากไม่เกิน 7 ครง้ั (อง.ฺ ตกิ . 20/528/302) อกี นัยหนึ่งหมายถึงเชื้อแห่งภพ ดังบาลีว่า “เอกพีชีติ เอกสฺเสว ภวสฺส พีช เอตสฺส อตฺถีติ เอกพีชี” (ม.อ. 2/306/137)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 123 โยคาจารมีทัศนะเกี่ยวกับพีชะว่า พีชะคือธรรมชาติท่ีเป็นเหตุ เป็นส่ิงท่ีมีพลานุภาพมาก ซ่ึงแฝงอยู่ในอาลยวิชญาณ พร้อมท่ีจะสาแดงอานุภาพออกมาเมื่อสภาพแวดล้อมอานวย พีชะเป็นตัว สร้างสรรคส์ รรพสิ่ง เป็นปฐมเหตแุ ห่งสรรพส่ิง มคี วามหลากหลายไปตามสรรพส่ิง แบ่งเป็น 3 กลมุ่ คือ 1) กลุม่ กศุ ล 2) กลมุ่ อกศุ ล และ 3) กล่มุ อพั ยากฤต พชี ะเปน็ ขณิกะ ขณะต้นเปน็ อนันตรปจั จัยแกข่ ณะหลงั มีสนั ตติตอ่ กันเร่ือยไป พอสรุปได้ ว่า พีชะคือเชื้อหรือพลังท่ีอยู่ในอาลยวิชญาณ และทาหน้าท่ีปฏิบัติการ อาลยวิชญาณอยู่ในฐานะเป็น ห้องหรอื เป็นโครงท่ีหมุ้ หอ่ เปน็ แหลง่ สั่งสมเก็บและมีพชี ะก่อใหเ้ กดิ พฤติภาพในรูปแบบต่าง ๆ อย่างไม่ รจู้ บสน้ิ 4. นิกายพทุ ธตันตรยาน 4.1 ประวัติ นิกายพุทธตันตรยานหรือมนตรยาน รหัสยาน คุยหยาน สหัชยานมีกาเนิดคลุมเครือ แต่ก็ ไม่กอ่ นพุทธศตวรรษท่ี 7 เป็นต้นขึ้นไป ขณะแรกก็คงเป็นส่วนหนึ่งในมหายาน มาในราวพุทธศตวรรษท่ี 10 นิกายนี้จึงได้ประกาศตนแยกออกจากมหายานเด็ดขาด กลายเป็นยานใหม่คือคุยหยาน แต่ก็ยังถือ หลักปรัชญาในมหายานเป็นปทัฏฐาน เรียกพวกมหายานเดิมว่าพวกเปิดเผย ส่วนพวกตนเรียกว่าพวก ลบั คือเปน็ มหายานชนดิ ลบั ไมใ่ ช่ชนดิ เปดิ เผย (ม.อ. 2/306/240-241) เป็นนิกายท่ีไดน้ าศาสนาฮนิ ดเู ข้า มาระคนปนเปมาก ความตั้งใจเดิมต้องการจะแข่งกับศาสนาฮินดู ซึ่งปรับปรงุ ใหม่ในสมัยราชวงศ์คุปตะ ทาให้ประชาชนสามัญหันกลับมานับถือเป็นจานวนมาก เพราะมีสิ่งสนองกิเลสของชาวบ้าน ฝ่าย มหายานเห็นว่า ลาพงั เน้อื ธรรมแท้ ๆ ยากท่ีจะทาให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ จึงคดิ แกไ้ ขให้เหมือนศาสนาฮนิ ดู คือกลับไปยกย่องเร่ืองเวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่าต่าง ๆ ลงเลขลงยันต์ต่าง ๆ ในที่สุด แลว้ พระสงฆ์เองทาหนา้ ท่ีเหมือนพราหมณ์ทุกอย่าง (เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, 2518, น. 145) นกิ ายพทุ ธตันตรยาน มีพัฒนาการ 5 ข้นั คือ 1) พทุ ธศาสนกิ บางกลุ่มโดยเฉพาะพระสงฆ์เกดิ ความไม่แน่ใจวา่ การปฏิบัติตามพระวินัย ท่ีพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด จะได้ประโยชน์อะไร ทาให้มีการปฏิบัติท่ีแปลกแยก ออกไป 2) คาอธิบายหรือคาตอบปัญหาเกย่ี วกับ “สภาวะ” ของนิพพานไม่ชัดเจนเป็นท่ีน่าพอใจ คาอธิบายที่ว่า นิพพานคือความดับกิเลส นิพพานคือศูนยะ ตายแล้วไม่เกิดอีก หมายถึงอะไร ทาให้มี ความพยายามอธิบายนิพพานในแนวใหม่ เพ่ิมคุณพิเศษที่เป็นรูปธรรมเข้าไป ทาให้นิพพานมีชีวิต มี ลกั ษณะเปน็ ดนิ แดนในอดุ มคติ 3) การท่ีฝ่ายเถรวาทเน้นความหลุดพ้นของตนเอง ทาให้มีการมองว่าขาดหลักกรุณาเห็น แก่ตวั ทาใหม้ กี ลุ่มพุทธศาสนิกทสี่ อนเนน้ กรณุ าและแสดงในลักษณะเป็นบุคคลาธิษฐานมากข้นึ 4) มหายานมีวรรณกรรมมากและพิสดารเกินไป ทาให้ผู้ครองเรือนไมม่ ีเวลาศึกษาสาธยาย จึง มีการย่อวรรณกรรมลงเปน็ หวั ใจ คงไวเ้ ฉพาะสาระสาคัญ งา่ ยแก่การประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตของผู้ครองเรอื น เกิด มมี หากรุณาธารณี ปรชั ญาปารมิตาธารณี เปน็ ตน้ 5) กระแสแห่งฮินดูตันตระรุนแรงมาก ปราชญ์ฝ่ายพุทธโดยเฉพาะมหายานจึงพยายาม ปรับรูปแบบแห่งการเผยแผ่ศาสนา และพยายามทาตัวให้เข้ากันได้กับกระแสหลักคือฮินดู ทาให้เกิด

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 124 การตีความคาสอนและวิธกี ารปฏิบัติผิดจากเถรวาทและมหายานมากขึ้น (Benoytosh Btattacarya, 1980, pp. 32-42) นักบวชในนิกายพุทธตันตรยานนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า “สิทธะ” ต่อมาได้เกิด แตกแยกแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คอื 1) พวกทักษิณจารี พวกนี้ยังประพฤติพระธรรมวินัยและยังรักษาพรหมจรรย์ พวก ทักษิณจารีเข้าใจตีความให้เป็นธรรมโดยกล่าวว่าสัญลักษณ์เหล่านั้นจะถือเอาตรงตัวไม่ได้ เช่น ใน คัมภีร์สาธนมาลาของท่านอนังควัชระ ซ่ึงเป็นสิทธะท่านหน่ึงในนิกายนี้ได้กล่าวว่า สาธุคือนักบวชนั้น ควรได้รับการบาเรอจากสตรีเพศ เพ่ือให้ได้เสวยมหามธุรา ข้อความเช่นนี้เป็นสนธยาภาษา จะต้องไข ความว่า สตรีเพศในท่ีน้ีท่านให้หมายเอาปัญญา สาธุเป็นเพศชาย จะต้องสร้างอุบายเพ่ือร่วมเป็น เอกภี าพ เมอ่ื เป็นเช่นนกี้ ็ได้นิพพาน และพวกทักษิณจารีตีความ “ม ทั้ง 5” วา่ ได้แก่ เบญจขนั ธ์ นีเ่ อง 2) พวกวามจารี พวกนี้ประพฤติเล่ือนเปื้อนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผี มากข้ึน คืออยู่ในป่าช้า ใช้กะโหลกหัวผีเป็นบาตรและมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า “สนธยา ภาษา” พวกวามจารีถือการเสพคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี “ศักติ” คือชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทาให้ธาตุชาย ธาตุ หญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เพราะฉะน้ัน อุบายบวกปรัชญา ได้ผลคือ นิพพาน พวกวามจารีไดถ้ อื เอาตามตัวอกั ษรเลยทีเดยี ว ถึงกับสอนว่า ผู้ใดมอบสตรีให้สิทธะ จะได้กศุ ล แรง และพวกนี้ยังตีความอักษร “ม ทั้ง 5” คือสอนว่า สทิ ธะควรได้รับการบารงุ จาก 1) มัทยะ น้าเมา 2) มางสะ เน้ือ 3) มัตสยา ปลา 4) มุทรา ยัว่ ให้กาหนดั และ 5) ไมถุนะ เสพเมถนุ (เสถียร โพธินันทะ, 2518, น. 147-149) 4.2 คัมภีรส์ าคัญ คัมภรี ส์ าคัญของนิกายพทุ ธตนั ตรยานมีจานวนมาก ทส่ี าคญั ปรากฏแพรห่ ลายมีดังน้ี 1) อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตา ประกอบด้วย 100,000 โศลก โดยเช่ือกันว่าเม่ือ สาธยายครบ 1 รอบจะได้บุญมาก ปรารถนาสิ่งใดก็ได้ส่ิงนั้น แต่เน่ืองจากวรรณคดีนี้พิสดารมาก ชาว ตันตระจึงนิยมทาวงล้อ (Prayer Wheel) จารึกคาสวดและหมุนรอบไปตามวงล้อ หมุนวงล้อแต่ละ รอบ ได้บุญมากเทา่ กบั สวดปรัชญาปารมติ าจบ 1 เทยี่ ว 2) ปรัชโญปายวินิจฉัยสิทธิ แต่งโดยอนังควัชระ บทท่ี 1 ว่าด้วยภพ การรู้แจ้งภพ ปรัชโญบาย มหาสุขะ สมันตภัทระ บทท่ี 2 ว่าด้วยความรู้ที่สมบูรณ์ บทที่ 3 ว่าด้วยการนาสาวกเข้า สู่ปรัชโญบาย บทที่ 4 ว่าด้วยกรรมฐานกาหนดปรัชโญบายเป็นอารมณ์ บทท่ี 5 ว่าด้วยสัญลักษณ์ท่ี แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างศษิ ย์กับอาจารย์ 3) คมั ภรี ์ในกลุ่ม “คหุ ยสมาชตันตระ” คือ (1) คุหยสมาชมูลตันตระ (2) คุหยสมาชอุตตร ตันตระ (3) คุหยสมาชวยาขยาตันตระ (4) คุหยสมาชวยาขยาตันตระ-จตุรเทวีปริปฤจฉา และ (5) คุหย สมาชวยาขยาตนั ตร-วัชรัชญาณาสมุจจยนามตันตระ 4) คัมภรี ์จติ ตวิสทุ ธิประกรณ์ วา่ ด้วยการชาระจติ ให้บริสทุ ธต์ิ ามหลกั แหง่ ตนั ตระ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 125 4.3 หลกั ธรรม นิกายพุทธตันตรยานมีสาระสาคัญดังนี้ 1) ถือว่ามีพระอาทิพุทธะคือพระพุทธเจ้าซ่ึงเป็นประธานในสากลโลก เป็นผู้รังสฤษฎ์ สรรพส่ิง พระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นภาคหน่ึงของพระอาทิพุทธเจ้าแบ่งลงมา ปฏิมาพระอาทิพุทธเจ้า แทนที่จะอยู่ในเพศบรรพชิตกลับเปน็ พระทรงเครื่อง พระพุทธรูปทรงเคร่อื งมกี าเนิดจากนกิ ายน้ี 2) นับถือพระธยานิพุทธเจ้า 5 พระองค์มากเป็นพิเศษ คือ (1) พระไวโรจนพุทธเจ้า (2) พระอักโษภยพุทธเจ้า (3) พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (4) พระอมิตาภพุทธเจ้า และ (5) พระรัตนสมภพ พทุ ธเจ้า สพี ระกายของพระธยานพิ ุทธเจา้ ท้งั 5 มสี ีตา่ ง ๆ คอื สีเหลอื ง เขยี ว น้าเงนิ แดงและแสด 3) เกณฑใ์ หพ้ ระพุทธเจา้ และพระโพธสิ ัตว์มปี างดุ ปางโกรธและปางใจดี เช่นเดยี วกบั เทพ เจ้าของฮินดู เช่น พระอิศวร ในปางดุเป็นไภรวะ ปางโกรธเป็นมหากาฬ พระอุมาในปางดุเป็นทุรคา ปางโกรธเปน็ กาลี ปางใจดีเป็นพระอุมา พระพทุ ธเจา้ และพระโพธิสัตว์มีปางอยา่ งนเี้ หมือนกัน แตไ่ ม่ใช่ ดุหรือโกรธอะไร ลักษณะท่ีดุร้ายเป็นเพียงมายา ลักษณะที่พระองค์นิรมิตขึ้นเพื่อปราบมารทานอง หนามยอกเอาหนามบ่งเหมือนพวกอันธพาลจะปราบด้วยความใจดีอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีอานาจ บังคับเด็ดขาดด้วยจึงสาเร็จ ยกตัวอย่างเช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในปางดุ พระองค์นิรมิตเป็น “ยมานตก” แปลว่าท่ีตายของพระยม เพื่อปราบพญายม ปางน้มี ีศีรษะเป็นโค ผวิ พระกายน้าเงินเข้มมี หลายเศยี รหลายหตั ถ์ เอาหัวกะโหลกเป็นมาลยั เหยยี บบนร่างของเทพ มนุษย์ และอสรู ยกั ษ์ต่าง ๆ 4) บัญญัติให้มีมนตร์เรียกว่า “ธารณี” ประจาองค์พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ยาวบ้างสั้นบ้าง มนตร์แต่ละบทมีอานุภาพขลัง ๆ ทั้งน้ัน เช่น สวดจบเดียวก็มีอานิสงส์เป็นพระอินทร์ 100 ชาตหิ รือเพียงแต่เขียนคามนตร์ลงในผืนผ้า แขวนเอาไว้ ใครเดินรอด มอี านิสงส์ทาให้บาปกรรมที่ ทามา 90 กัลป์แทงสูญ คาถาเหล่านี้ยกตัวอย่างเช่น “โอม มณี ปทฺทเม หุมฺ โอมดวงแก้วเกิดใน ดอกบัว” 5) บัญญัติมุทระ คือเครื่องหมายต่าง ๆ มีการกรีดน้ิวยกมือดุจปางพระพุทธรูป มีหลาย ร้อยภาคหรือหลายร้อยปาง อาการเช่นน้ีเป็นเคร่ืองหมายของอานาจล้ีลับ เช่น ผู้ตรึกนึกถึง พระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่งก็ย่อมทามุทระตามปางของพระโพธิสัตว์องค์น้ัน มุทระที่สาคัญ เช่น สมาธิมุทระ อภัยมทุ ระ วิตกั กมุทระ ภูมิสมั ผสั มทุ ระ 6) บัญญตั มิ ณฑลบูชาหรือเรยี กกนั ว่ามนั ตรเวที เชน่ จะทาพิธีใดพธิ หี น่ึงบูชาพระโพธิสตั ว์ องค์ใดองค์หน่ึง จะต้องมีเครื่องบูชาเท่าน้ันเท่านี้ จะต้องจัดบริเวณพิธีด้วยอุปกรณ์อย่างนั้นอย่างนี้ ตัวอย่างมณฑลบูชา พึงเห็นได้จากพิธีพุทธาภิเษกในเมืองไทยซึ่งสืบมาแต่นิกายน้ี (เสถียร โพธินันทะ, 2518, น. 146-147) 5. นิกายเซน 5.1 ประวัติ พระพุทธศาสนานิกายเซนมีตานานสืบสาวเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ข้ึนไปถึงสมัย พุทธกาลเลยทีเดียว โดยอาศัยพระสูตรหน่ึงที่ชื่อว่า “ต้าฝ่ันเทียนอุ้นฝูเจี๋ยอ๋ีจิง” แปลว่าสูตรอันกล่าว ดว้ ยปัญหาที่ทา้ วพรหมทลู ถาม มีใจความดงั นี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 126 “สมยั หน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทบั ณ ภูเขาคิชกูฏ ท้าวมหาพรหมได้มาถวายดอกไม้ เป็นพุทธบูชา แล้วน่ังลงกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม พระตถาคตจึงได้ทรงแสดงโดยการชูดอกไมข้ ึ้น ณ ท่ามกลางสันติบาต แล้วมิได้ตรัสว่ากระไร ในขณะนั้น ปวงเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจใน ความหมาย มีแต่ท่านมหากัสสปะย้ิมน้อย ๆ อยู่ พระโลกนาถเจ้าจึงตรัสว่า ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูก ตรง พระนิพพานและจติ ทเี่ ยี่ยม ภาวะที่แท้จรงิ ยอ่ มไมม่ ีลักษณะ มอบให้แก่พระมหากสั สปะแล้ว” พระมหากัสสปะไดร้ ับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นเลิศในการปฏิบัติ คุณธรรม ขอ้ นี้ทาให้ทา่ นได้รบั เกยี รติอยา่ งสูงจากพระบรมศาสดา โดยพระองคท์ รงเอาผ้าสังฆาฏิจีวรของท่านไป ทรง และทรงประทานผ้าสังฆาฏิจวี รของพระองคแ์ ก่ทา่ น ตรัสว่าพระมหากัสสปะเป็นผู้ท่ี “มีธรรมเป็น เครื่องอยู่” เสมอด้วยพระองค์ เพราะเหตุน้ี จึงเกิดธรรมเนียมการส่งมอบจีวร สังฆาฏิ พร้อมทั้งบาตร เป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดตาแหน่งในทางธรรมของนิกายเซนนับต้ังแต่นั้นเป็นต้นมา (ทวีวัฒน์ ปุณฑริกววิ ฒั น์, 2530, น. 9-11) พระสงั ฆปรินายกในสมยั ตา่ ง ๆ เปน็ ลาดบั เรือ่ ยมา จานวน 33 ลาดบั ดงั น้ี พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 1 พระมหากัศยปะ (Mahakashyapa) พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 2 พระอานนท์ (Ananda) พระสังฆปริณายกองคท์ ี่ 3 พระศานกวาส (Shanakavasa) พระสังฆปรณิ ายกองคท์ ่ี 4 พระอปุ คปุ ต์ (Upagupta) พระสงั ฆปริณายกองคท์ ี่ 5 พระธริกตะ (Dhritaka) พระสงั ฆปริณายกองค์ที่ 6 พระมิจฉกะ (Micchaka) พระสังฆปริณายกองค์ที่ 7 พระวสมุ ิตร (Vasumitra) พระสังฆปรณิ ายกองค์ท่ี 8 พระพทุ ธนนั ทิ (Buddhanandi) พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 9 พระพทุ ธมติ ร (Buddhamitra) พระสังฆปริณายกองคท์ ี่ 10 พระปารศวะ (Parshva) พระสังฆปรณิ ายกองคท์ ่ี 11 พระปุณยยศ (Punyayashas) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ี่ 12 พระอศั วโฆษ (Ashvaghosha) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ่ี 13 พระกปิมล (Kapimala) พระสังฆปริณายกองคท์ ่ี 14 พระนาคารชนุ (Nagarjuna) พระสังฆปรณิ ายกองคท์ ี่ 15 พระกานเทวะ (Kanadeva) พระสงั ฆปริณายกองค์ท่ี 16 พระราหลุ ตะ (Rahulata) พระสังฆปริณายกองคท์ ี่ 17 พระสังฆานันทิ (Sanghanadi) พระสังฆปรณิ ายกองค์ที่ 18 พระคยศาตะ (Gayashata) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ี่ 19 พระกุมราตะ (Kumarata) พระสังฆปริณายกองค์ที่ 20 พระชยตะ (Jayata) พระสังฆปรณิ ายกองค์ที่ 21 พระวสุพนั ธ์ุ (Vasubandhu) พระสงั ฆปริณายกองค์ท่ี 22 พระมโนรหิตะ (Manorahita) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ี่ 23 พระหกเลนะ (Haklena) พระสงั ฆปริณายกองคท์ ่ี 24 พระอารยสิงห์ (Aryasinha)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 127 พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 25 พระพสยสติ (Basyasita) พระสงั ฆปรณิ ายกองค์ที่ 26 พระปุณยมติ ร (Punyamitra) พระสงั ฆปรณิ ายกองค์ที่ 27 พระปรชั ญาตาร (Prajnatara) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ่ี 28 พระโพธิธรรม Bodhidharma (ญีป่ ่นุ เรียก ดารมุ ะ Daruma) พระสังฆปริณายกองค์ที่ 29 ทา่ นฮุ่ยเขอ่ Hui-Ke (ญป่ี ุน่ เรียก เยกะ Yeka หรอื เอกะ Eka) พระสงั ฆปรณิ ายกองคท์ ่ี 30 ทา่ นเซงิ ฉาน Seng-tsan (ญ่ีปุ่น เรียกสิสาน Sisan) พระสงั ฆปริณายกองค์ที่ 31 ท่านเต้าซิน Tao hsin (ญีป่ นุ่ เรยี กโดฉนิ Dohsin) พระสังฆปรณิ ายกองค์ที่ 32 ท่านหุงเยิน Hung-jen (ญ่ปี ุ่น เรยี กคุนิน Gunin) พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 33 ในนิกายฝ่ายเหนือได้แก่ ท่านเฉินซิว Shen-shiu ในนิกาย ฝ่ายใต้ ไดแ้ ก่ ทา่ นฮุยเหนง็ Hui-neng (ญปี่ ่นุ เรยี กเยโน Yeno หรอื เอโน Eno) อย่างไรก็ดี ท่านพระโพธิธรรมแม้จะเป็นพระสังฆปริณายกลาดับท่ี 28 ในสายอินเดีย แต่ ก็ถือว่า ท่านเป็นพระสังฆปริณายกลาดับที่ 1 ในสายจีน ฉะน้ันในสายจีนดังกล่าวนี้ จึงมีพระสังฆ ปริณายกเพียง 6 ลาดับเท่านน้ั และลาดับสดุ ท้ายก็มีถึง 2 ท่าน ท่ีเป็นเช่นนี้ก็เพราะพระสังฆปรณิ ายก องค์ที่ 5 ได้แต่งต้ังให้ท่านฮุยเหน็ง (หรือเว่ยหล่าง) เป็นผู้สืบทอดตาแหน่ง แต่เฉินชิวซึ่งเป็นหัวหน้า แห่งคณะศิษย์ของพระสังฆปริณายก และได้รับการยอมรบั วา่ เป็นผู้เฉลียวฉลาด เรยี นรู้มาก มีปฏิภาณ คล่องแคล่วก็ได้ประกาศว่าตนเองเปน็ สังฆปริณายกองค์ที่ 6 เช่นกัน และด้วยเหตุที่ทา่ นเป็นคนพูดเก่ง มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับนักการเมือง ท่านจึงได้ช่วยเหลือบ้านเมืองในการฟื้นฟูราชวงศ์ขึ้นมาอีก เมื่อองค์พระจกั รพรรดิสามารถปราบปรามพวกกบฏและเสด็จข้ึนครองราชย์อีกคร้ังพระองค์ก็ได้สร้าง วัดขึ้นมาใหม่เพ่ือถวายแก่ท่านเฉินชิว เป็นการตอบแทนท่ีท่านได้เคยช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ พระองค์ (ในช่วงปราบกบฏ) จากน้ันท่านเฉินชิวก็เจริญรงุ่ เรืองอยา่ งมากในฐานะเป็นอาจารย์แห่งลัทธิ รู้แจ้งอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Enlightenment) ซ่ึงได้กลายเป็นนิกายพระพุทธศาสนาท่ีเป็น ทางการในประเทศจนี ในขณะเดียวกัน นิกายฝ่ายใต้ซ่งึ ตงั้ อยู่ใกล้มณฑลกวางตุ้ง ถือตวั เองวา่ เป็นลัทธริ ้แู จ้งอยา่ ง ฉับพลัน (Sudden Enlightenment) นาโดยท่านฮุยเหน็ง กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนในพื้นที่ โดยรอบเท่าไรนัก จนกระท่ังท่านเฉนิ ชิวและท่านฮุยเหน็งมรณภาพไปแล้วท่านเฉินฮุย (Shen-hui) ซ่ึง เป็นศิษย์ของท่านฮุยเหน็งได้ประท้วงคัดค้านต่อการที่ทางราชการได้ประกาศให้ท่านเฉินชิวเป็น พระสังฆปริณายกองค์ท่ี 6 โดยท่านได้ช้ีแจงเหตุผลว่าท่านหุงเยิน พระสังฆปริณายกองค์ที่ 5 ไม่ได้ส่ง มอบตาแหน่งพระสังฆปริณายกให้แก่ท่านเฉินชิวแต่อย่างใด หากแต่ได้ส่งมอบตาแหน่งดังกล่าวให้แก่ ทา่ นฮุยเหน็งซึ่งได้ตระหนักรู้ถึงการรู้แจ้งของท่านต่างหาก การประทว้ งครั้งน้ีทาให้คณะกรรมการแห่ง องค์พระจักรพรรดิ (Imperial Commission) ซ่ึงนาโดยองค์รัชทายาทได้พิจารณาตัดสินให้ท่าน ฮุยเหน็งเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่ 6 และให้ท่านเฉินชวิ เป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่ 7 หลังจากน้ัน นกิ ายฝ่ายใต้ก็ไดเ้ ป็นที่รู้จักและมผี คู้ นยอมรับนบั ถืออย่างแพรห่ ลายในประเทศจีน ท่านฮุยเหน็งไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอดตาแหน่งสังฆปริณายกไว้แต่อย่างใด แต่ท่านก็ได้มอบ จีวรของพระพุทธเจ้า (Buddha's robe) และบาตรซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แห่งตาแหน่งที่สืบทอดกันมาไว้ กับลูกศิษย์ ช่ือเสอิเง็นเงียวชิ (Seigen Gyoshi) พร้อมกับส่ังให้เก็บจีวรและสิ่งของเหล่านั้นไว้ที่ประตู วดั โซเคอิ The Sokei Temple (ซง่ึ เปน็ วัดท่ที ่านฮยุ เหนง็ สรา้ งไวท้ ่ซี เู คอิ-Sukei-) ใกลม้ ณฑลกวางตุ้ง

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 128 ในกาลต่อมา ช่วงระหว่างสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซุ่ง (ในศตวรรษท่ี 8 ถึง 13) ศิษย์ ของท่านฮยุ เหนง็ ไดก้ อ่ ตงั้ นกิ ายใหมข่ ้ึนมาอีก 5 นกิ ายคือ 1) นิกายหลนิ ฉี Lin Chi (ญป่ี ุ่น เรยี กรนิ ไซ Rinzai) 2) นิกายเสา้ ตุง Tsao Tung (ญี่ปนุ่ เรยี กโซโต Soto) 3) นกิ ายยุนเหมิน Yun men (ญปี่ ุ่น เรยี กอุมมอม Ummon) 4) นกิ ายกุยหยาง Kuei Yang (ญป่ี ่นุ เรียกอิเคยี ว Ikyo) 5) นิกายฟาเย็น Fa Yen (ญี่ปนุ่ เรียกโฮเง็น Hogen) ในบรรดานิกายเหล่านี้ นิกายที่สาคัญและยังดารงอยู่มาจนถึงปัจจุบันก็มีเพียง 2 นิกาย เทา่ นน้ั คอื นกิ ายรนิ ไซและโซโต (David J. Kalupahana, 1976, pp. 163-178) 5.2 หลกั ธรรม 1) คาสอนสาคญั ของนกิ ายเซนมดี งั นี้ 2) การถ่ายทอดพิเศษนอกคัมภรี ์ (A special tradition outside the Scriptures;) 3) ไมพ่ ง่ึ พาถ้อยคาและอกั ษร (No dependence upon words and letters;) 3) ชตี้ รงไปท่จี ติ ของมนุษย์ (Direct pointing at the soul of man;) 4) เห็นธรรมชาติของตนแล้ว เข้าถึงพุทธภาวะ (Seeing into one’s own nature and the attainment of Buddhahood.) (David J. Kalupahana, 1976, pp. 163-178) 6. นกิ ายสขุ าวดี 6.1 ประวัติ ในประเทศจีน คัมภีร์สุขาวดีได้ถูกแปลออกสู่พากย์จีนรางพุทธศตวรรษที่ 7 และมีผู้แปล หลายฉบับสืบเนื่องกันมา คร้ันถึง พุทธศตวรรษท่ี 9 สมัยราชวงศ์ตังจิ้น คณาจารย์ชื่อฮุ้น เอ้ียง สานัก วัดตังน่ิมย่ีภูเขาลู้ซัว มณฑลกั๋งไส ได้ต้ังเป็นนิกายข้ึนมีผู้เห็นชอบและศิษย์บริวารมาร่วมการบาเพ็ญ เจรญิ พทุ ธานุสสติ ราลึกถงึ พระอมิตาภะ มงุ่ ไปปฏิสนธิ ณ แดนสขุ าวดี ฮุ้ย เอ้ียงเองกล่าวกันวา่ ท่านได้ เห็นพระอมิตาภะถึง 3 คร้ัง และในเวลามรณะ ก็ปรากฏว่า พระอมิตาภะและปวงโพธิสัตว์ได้มารับ ท่านไป นิกายสุขาวดีเป็นนิกายมหายานนิกายเดียวที่เจริญแพร่หลายทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้เพราะเป็น นกิ ายทง่ี า่ ยแก่การปฏิบตั ิ ไม่ต้องใช้ความคิดทางปรชั ญาลกึ ซึง้ อะไร คณาจารย์ในนิกายเซนซ่ึงถือการพ่ึงตัวเองในการบรรลุธรรมเคร่งส่วนมาก บั้นปลายก็หัน เข้านิกายสุขาวดี แม้คณาจารย์ในนิกายอ่ืน ๆ ก็เช่นเดียวกันมักจะปฏิบัติตนตามคติของนิกายสุขาวดี ส่วนการเทศนาก็เป็นไปตามปรชั ญาของนิกายตน จนมีคณาจารย์เซนองค์หน่ึงช่ือยง้ เม้งกล่าวเป็นภาษิต ว่า “ผู้ท่ีมแี ต่เซ็น แตไ่ มม่ ีการบาเพ็ญอย่างสุขาวดี มอี ยู่ 10 คน กต็ ้องผิดพลาดไม่สาเร็จ 9 คน ...แต่ทว่า ผ้ไู มม่ ีเซน แต่บาเพ็ญอย่างสุขาวดี มีอยู่หมื่นคนก็บรรลุไปสุขาวดีท้ังหมื่นคน เม่ือได้เฝ้าพระอมิตาภะ จะ มีอะไรโศกว่า ตนจะไม่ได้ตรัสร.ู้ ..สว่ นผมู้ ีทั้งเซนและสขุ าวดีก็เสมือนเสือที่มเี ขา...” 6.2 คมั ภรี ์สาคญั คมั ภีร์สาคญั ของนิกายสุขาวดี ประกอบด้วย 1) มหาสขุ าวตีวยหู สูตรหรือมหาอมติ ายสุ ตู ร สังฆวรมนั คงั เจง็ แปล 2) อมิตายุรธยฺ านสูตร กาลยสแปล

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 129 3) จุลสุขาวตีวยหู สตู รหรอื อมติ ายุสูตร กุมารชีพแปล (เสถยี ร โพธินนั ทะ, 2518 น. 211) 6.3 หลกั ธรรม 1) นิกายสุขาวดีจัดเป็นประเภท “พึ่งอานาจภายนอก” เพราะนิกายน้ีถือความภักดี เลื่อมใสศรัทธาในองค์พระอมิตาภะเป็นสาคัญ ความศรัทธาและการภาวนาถึงองค์พระอมิตาภะเสมอ แม้คร้ังเดียวก็อาจพาตนให้หลุดพ้นจากสังสารทุกข์ได้ ทั้งน้ี เพราะพระอมิตาภะเดิมเมื่อยังเป็นภิกษุ ธรรมกรไดม้ ีมโนปณิธาน 48 ประการ ว่าหากได้บรรลโุ พธญิ าณแลว้ ก็ขอให้โลกธาตทุ อ่ี ยู่นนั้ เต็มไปดว้ ย ความวิจิตรประณีตแล้วด้วยทิพยภาวะ ผู้ใดมาเกิดในพุทธเกษตรน้ี ก็ขออย่าได้มีการเวียนลงเบ้ืองต่า อีก เทย่ี งตอ่ การบรรลอุ นตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณ ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่า นิกายสุขาวดีเป็นพระพุทธศาสนานิกายเดียวที่มีคติความเช่ือคล้าย กับศาสนาท่ีเชื่อในเรื่องพระเจ้า กล่าวคือเช่ือในเร่ืองการพ่ึงพิงอานาจจากภายนอก พระอมิตาภพุทธ เจ้าทาหน้าท่ีคล้ายกับพระผู้เป็นเจ้าท่ีคอยสอดส่องดูแลโลก และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ท่ีได้รับความ ทุกข์ยากทั้งหลาย พระองคจ์ ะทรงนาผู้ที่มีความเชอ่ื มั่นศรัทธาอย่างแท้จรงิ ต่อพระองคไ์ ปสูด่ ินแดนแห่ง ความสุขอนั แทจ้ ริงและนริ ันดร ซงึ่ เรยี กกันวา่ “สุขาวดี” พระอมติ าภพทุ ธเจา้ ท่ีปรงประทับอยู่ ณ แดน สุขาวดีหรือสวรรค์ทางทิศตะวันตกน้ัน ทรงมีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ อย่างไม่มีขอบเขตและอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด พระองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า “ผู้ใดก็ตามท่ีมีความเช่ือม่ัน อย่างแท้จรงิ ตอ่ พระองค์และต่อแดนสุขาวดี ผนู้ น้ั จะได้ไปเกดิ ณ แดนสขุ าวดนี ั้น” ณ แดนสุขาวดี พระอมิตาภพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกท่ีสาคัญ 2 องค์ คือ พระอวโลกิเต ศวรโพธิสัตว์และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เป็นพระโพธิสัตว์ที่เต็ม เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาอยู่เสมอ พร้อมที่จะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อนาบุคคลที่มีความเช่ือม่ัน ศรัทธาไปสู่แดนสุขาวดีแห่งความบริสุทธ์ิและความสุขนั้น ส่วนพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์นั้นเป็น พระโพธิสัตว์แห่งสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ ส่ิงจาเป็นเพื่อที่จะได้เกิด ณ แดนสุขาวดีก็คือให้มีความเชื่อม่ัน ศรัทธาและอุทิศชีวิตต่อพระอมิตาภพุทธเจ้าและท่องบ่นคาถาที่ว่า “นโม อมิตาภะ” ซ่ึงแปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระอมติ าภพุทธเจา้ ลักษณะคาสอนดังกลา่ วน้ีเป็นที่นยิ มกันอย่างแพรห่ ลายในหมปู่ ระชาชนโดยทั่วไป เพราะ เปน็ คาสอนที่ง่ายและใชห้ ลกั ศรัทธาแต่เพียงอย่างเดียว อย่างไรกต็ าม มีการตีความในแง่ธรรมาธษิ ฐาน ในหมู่ผู้รู้ทั่วไป กล่าวคือพระอมิตาภพุทธเจ้าได้รับการตีความว่าเป็น “ธรรมชาติของความเป็น พุทธะ” ซ่ึงมีอยู่แล้วในตัวคนทุกคน พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของความเมตตากรุณา และพระมหาสถามปราปตโ์ พธิสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของสติปญั ญา สว่ น”สุขาวดี” น้ันหมายถงึ สภาพของ ความส้ินทกุ ขน์ ั่นเอง (ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑรกิ ววิ ฒั น์, 2545, น. 164-165) 2) ผู้ปรารถนาจะไปอุบัติในสุขาวดีนนั้ พึงบาเพญ็ กุศล 3 ประการ คอื (1) ต้องมีกตัญญูกตเวที ปรนนิบัติบิดามารดาครูบาอาจารย์และรักษากุศลกรรมบถ 10 มีเมตตากรณุ า (2) ต้องถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ สมบูรณใ์ นศีลสิกขาและอภิสมาจาร (3) ต้องมโี พธิจิต เช่ือในกฎแห่งกรรมและศึกษาเล่าบ่นคัมภีรม์ หายาน (เสถียร โพธินันทะ, 2518 น. 221-222)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 130 นอกจากนี้ ยังมีสมถกรรมฐาน 16 ประการสาหรับเพ่งพินิจคุณาลังการต่าง ๆ ในสุขาวดี เช่น เพ่งต้นไม้ทิพย์ สระโบกขรณี ปราสาทมณเฑียร และพระวรรูปของพระอมิตาภะและปวง พระโพธิสัตว์ ฯลฯ ถ้าทาสมถะ 16 วิธีน้ีวิธีใดวิธีหน่ึงอย่างแน่วแน่ไซร์ ก็จักได้ยลสุขาวดีในปัจจุบัน ไม่ ตอ้ งรอเอาเมื่อมรณะแล้วดว้ ย ในคัมภรี ์อมิตายุอุปเทศศาสตร์ ท่านวสุพนั ธุได้สรุปจริยาวัตร 5 ข้อสาหรับผูบ้ าเพญ็ อยาก ไปเกิดในสขุ าวดี ดงั นี้ (1) บชู าพระอมิตาภะเป็นนติ ย์ จัดเปน็ ทางกายกรรม (2) บูชาพระคณุ ของพระอมิตาภะ สาธยายพระนามของพระองค์ เช่นสวดว่า นโม อมิตา ภายะ จัดเปน็ วจีกรรม (3) ตง้ั ปณิธานไปปฏสิ นธิในพทุ ธเกษตรนนั้ (4) จิตตรึกนึกเพ่งภาวนาถึงพระอมิตาภะและคุณาลังการต่าง ๆ ของพระองค์กับหมู่ โพธสิ ตั วแ์ ละสิ่งต่าง ๆ ในสขุ าวดี จัดเป็นมโนกรรม (5) แผ่กรุณาจิตต่อสรรพสัตว์ ปรารถนาให้สัตว์ท้ังหลายพ้นสังสารทุกข์และโปรดสรรพ สัตว์ (เสถยี ร โพธินันทะ, 2518 น. 225-226) คณาจารยจ์ ีนสรุปรวบให้ส้ันเขา้ อีกเปน็ 3 ประการ คือ (1) ส่ิง แปลว่าศรทั ธา คอื ต้องมศี รัทธาปสาทะในพระอมิตาภะอย่างด่ืมด่า อย่าได้มีความ วจิ กิ ิจฉาคลางแคลงใด ๆ (2) งว๋ ง แปลวา่ ต้งั ปณธิ าน เพ่อื อบุ ัติในสขุ าวดี (3) เหง แปลว่าลงมือปฏิบัติ กุศลกรรมที่จะเป็นเหตุให้ได้ไปอุบัติ เช่น การท่องบ่นพระ นามของพระอมติ าภะเสมอไมข่ าด เปน็ ต้น (เสถียร โพธินนั ทะ, 2518 น. 226-227) หากครบบริบูรณ์ทั้ง 3 กรณีแล้วเป็นต้องหวังได้อย่างแน่นอนว่าจะได้ไปสุขาวดีอย่างไม่ ตอ้ งกังขา อนึ่ง เนือ่ งดว้ ยกศุ ลกรรมของผูบ้ าเพญ็ มียง่ิ หย่อนกวา่ กัน การไปอบุ ัตใิ นสุขาวดีพลอยมีชัน้ สูง ต่าตามเหตุที่ทามาด้วย ในอมิตายุรธฺยานสูตรแบ่งไว้ 9 ช้ัน ท้ัง 9 ช้ันน้ี 3 ชั้นแรกว่าสาหรับผู้ที่มี อุปนิสยั มหายาน อีก 3 ช้ันกลางว่าสาหรับผู้ที่มีอุปนสิ ัยปัจเจกยานและสาวกยาน 3 ชั้นหลังว่าสาหรับ ผปู้ ระกอบอกศุ ลกรรม 6.4 วเิ คราะห์เร่ือง 1) การปฏิบัติในนกิ ายสุขาวดกี ็คือการเจริญพทุ ธานุสติเป็นสาคัญนั่นเอง ผู้ท่ีเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่เสมอ จิตย่อมบริสทุ ธส์ิ ะอาดเป็นกศุ ลเพราะเกย่ี วข้องกับพระพุทธคุณ ใน กาลมรณะ หากจิตยังคงผูกพนั ถึงพระพุทธเจ้ากจ็ ักไปถือปฏิสนธใิ นสุคติภพ ซึ่งไมจ่ าเปน็ ต้องไปสุขาวดี เสมอไปกไ็ ด้ ข้อนี้ฝ่ายเถรวาทรับรองว่า “จติ ฺเต อสงกฺ ิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงขฺ า” เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฝ่ายเถรวาทไม่สอนเร่ืองสุขาวดี และสุขาวดีน้ันไม่มีในพระไตรปิฎกของเถรวาท ท่ีว่าพึ่งพุทธานุภาพนั้น ถ้าพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่า ก็ต้องอาศัยพ่ึงตัวเองด้วยเป็นพื้นฐานสาคัญ เพราะตวั เองตอ้ งมี สง่ิ ง๋วงและเหงพรอ้ ม จึงจักไปอุบตั ิได้ 2) สุขาวดีมีลักษณะคล้ายช้ันพรหมสุทธาวาสในเถรวาทตรงที่ผู้ไปอุบัติมีอันไม่เวียนกลับ ไปนิพพานต่อไปเลยทีเดียว ชัน้ พรหมสทุ ธาวาสเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ซ่งึ มคี วามเก่ียวขอ้ งอยูเ่ พียง

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 131 ชาติเดยี วเช่นเดียวกับชาวสุขาวดเี หมือนกัน พระอนาคามีในพรหมสุทธาวาสย่อมบรรลอุ รหตั ตผล เม่ือ ถึงกาลอายขุ ัยย่อมปรินพิ พานในช้นั น้ันน่นั เอง 7. บทสรุป พระพุทธศาสนานิกายมหายานมีการแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ท่ีสาคัญ เร่ิมตั้งแต่นิกายมาธ ยมิกหรือศูนยวาท ซ่ึงเป็นนิกายแรก ก่อต้ังโดยท่านนาครชุน โดยวางหลักปรัชญาไว้บนทฤษฎี ปฏิจจสมุปบาท และเขียนหนังสือช่ือ “มูลมาธยมิกการิกา” เป็นงานเขียนเล่มแรกที่ว่าด้วยเรื่อง ปรัชญามาธยมกิ ะ หลักการสาคญั ในงานเขียนนี้คือ หลกั วา่ ด้วยทางสายกลาง ที่เรียกวา่ ทางสายกลาง มาธยมิกปฏปิ ทาหรือมัชฌิมาปฏิปทา ต่อมาได้มีการแยกตัวออกไปเป็นอีกนิกายคือนิกายโยคาจาร โดยมีโพธิสัตว์ไมเตรยนาถขณะ เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นผู้ประกาศคาสอน ท่านอสังคะรับคาสอนมาเผยแพร่ต่อ โยคาจาร กล่าววา่ จติ หรือวิชญาณเป็นสัจจะเพียงหนึ่งเดียว วัตถภุ ายนอกเป็นอสัจจะ เหมือนความฝันหรือภาพ ลวงตา การท่ีจะเข้าใจลักษณะ พัฒนาการ และการทางานของจิต ต้องปฏิบัติโยคะ จิตคือ ปรากฏการณ์ท่ีเป็นเหตุให้ความมีอยู่แห่งจักรวาลปรากฏออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสังขตะอสังขตะ ลว้ นแตอ่ อกจากจติ ทั้งสนิ้ จติ ทีเ่ รยี กวา่ “อาลยวญิ ญาณ” หรืออาลัยวิญญาณ อกี นิกายหนง่ึ คือนิกายพุทธตันตรยานหรอื มนตรยาน รหัสยาน คุยหยาน สหัชยาน เปน็ นิกายท่ี ได้นาศาสนาฮินดูเข้ามาปะปน เนื่องจากต้องการจะแข่งกับศาสนาฮินดู ซึ่งฝ่ายมหายานเห็นว่า ลาพัง เนอ้ื ธรรมแท้ ๆ ยากทจ่ี ะทาใหช้ าวบ้านเข้าถงึ ได้ จึงคดิ แก้ไขให้เหมอื นศาสนาฮินดูคือกลบั ไปยกยอ่ งเรือ่ ง เวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่าต่าง ๆ ลงเลขลงยันต์ต่าง ๆ ในท่ีสุดแล้ว พระสงฆ์เองทา หน้าท่ีเหมือนพราหมณ์ทุกอย่าง นักบวชในนิกายพุทธตันตรยานน้ีไม่เรียกว่า ภิกษุ แต่เรียกว่า “สิทธะ” แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกทกั ษิณจารี พวกนี้ยังประพฤติพระธรรมวนิ ัยและยังรกั ษา พรหมจรรย์ และ พวกวามจารี พวกน้ีประพฤติเลื่อนเป้ือนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผี มากข้ึน ถือการเสพคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี “ศักติ” คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทาให้ธาตุชาย ธาตุหญิงมา สมานกนั ธาตชุ ายเปน็ อุบาย ธาตหุ ญงิ เปน็ ปรชั ญา นิกายเซน มีต้นกาเนิดจากประเทศอินเดีย พัฒนาท่ีประเทศจีน ก่อนที่จะถูกเผยแพร่มาสู่ เกาหลีและเข้าสู่ประเทศญ่ปี ุ่น โดยไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากลัทธิขงจือ๊ และลัทธเิ ต๋า ในชว่ งระหว่างที่เผยแผ่ มาสู่ญี่ปุ่น การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การน่ังสมาธิเพ่ือการรู้แจ้ง ยึดถือหลักปฏิบัติธรรมตามหลัก ของการฝึกสติ คาสอนสาคัญของนิกายเซน คือ การถ่ายทอดพิเศษนอกคัมภีร์ ไม่พึ่งพาถ้อยคาและ อกั ษร ชีต้ รงไปทจี่ ิตของมนษุ ย์ เหน็ ธรรมชาตขิ องตนแล้ว เขา้ ถงึ พุทธภาวะ ทเี่ รียกวา่ ซาโตริ นกิ ายสุขาวดีถือว่าการพ้นทุกข์ของสรรพสัตว์ตอ้ งอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วย จึงเน้นการ ไปเกิด ณ ดินแดนแห่งความสุขอันแท้จริงและนิรันดร ซ่ึงเรยี กกันว่า “สุขาวดี” ของพระอมิตาภะ ซึ่ง เช่อื ว่าเม่อื ไปเกิดแล้วจะไมต่ กตา่ มาสู่อบายภูมิอีก โดยผูจ้ ะไปเกิดตอ้ งมคี ุณธรรม 3 ประการคอื กตัญญู กตเวที ยึดพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึง จิตมั่นคงต่อโพธิญาณ นอกเหนือจากนี้ต้องสวดมนต์ระลึกถึง พระอมิตาภะ ตัง้ ปณิธานไปเกดิ ในสขุ าวดีจงึ จะไดไ้ ปเกดิ สมปรารถนา

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 132 แบบฝกึ หดั บทท่ี 5 1. หนังสอื ช่อื “มูลมาธยมกิ การิกา”มีเน้อื หาเกี่ยวกับอะไร 2. โยคาจารแบ่งวชิ ญาณออกเปน็ ก่ีประเภท คืออะไรบา้ ง 3. ให้สรปุ สาระสาคญั ของนกิ ายพุทธตันตรยาน 4. ใหเ้ ขยี นถงึ คาสอนสาคญั ของนิกายเซน 5. นักศึกษามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับนิกายสุขาวดีที่จัดเป็นประเภท “พ่ึงอานาจ ภายนอก”

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 133 เอกสารอ้างองิ ประจาบทที่ 5 ทวีวฒั น์ ปุณฑรกิ วิวฒั น์. (2530). ประทปี แหง่ เซน. (พิมพ์ครัง้ ที่ 3). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พส์ ุขภาพใจ. ทวีวัฒน์ ปุณฑริกววิ ัฒน์, ดร. (2545). ศาสนาและปรัชญาในจีน ทิเบตและญ่ีปุ่น. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ สขุ ภาพใจ. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2542). จากนาลันทาถึงมหาจุฬา. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย. เสถียร โพธินนั ทะ. (2522). ปรชั ญามหายาน. (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์บรรณาคาร. เสถียร โพธินันทะ. (2518). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . อมร อมโร และคณะ, พระมหา, แปลและเรียบเรียง. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีที่ ลว่ งแล้ว. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พส์ ุรวฒั น์. Benoytosh Btattacarya. (1980). An Introduction to Esotericism. Delhi: Motilal Banarsidass. Brian Edward Brown. (1991). The Buddha Nature. Delhi: Motilal Banarsidass. David J. Kalupahana. (1976). “Reflections on the Relation between early Buddhism and Zen” . Buddhist Philosophy A Historical Analysis. U.S.A.: The University Press of Hawaii. NG Yu-Kwan. (1993). T’ien-Tai and Early Madhyamika. Hawaii: University of Hawaii. Satish Chandra Vidyabhusana. (1988). A History of Indian Logic. Delhi: Motilal Banarsidass. Vijnanavada (Yogacara) and Its Tradition, Pro D.S.Kothari. (1993). ใน Vijnanavada (Yogacara) and Its Tradition, Kewal Krishan Mittal (Editor). Delhi: Dept. of Buddhist Studies, U. of Delhi.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6 บทท่ี 6 พระพทุ ธศาสนามหายานในโลกตะวนั ตก เน้อื หาประจาบท 1. บทนำ 2. พระพทุ ธศำสนำในทวปี ยุโรป 3. พระพุทธศำสนำในทวปี อเมรกิ ำ 4. บทสรปุ แบบฝกึ หดั บทที่ 6 เอกสำรอำ้ งอิงประจำบทที่ 6 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศกึ ษำไดเ้ รยี นรู้และเข้ำใจพระพุทธศำสนำมหำยำนในโลกตะวันตก 2. นักศึกษำมีกำรเสริมทกั ษะด้ำนควำมรูค้ วำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปัจจุบัน 3. นักศึกษำใช้หลักกำรตำมพระพุทธศำสนำมหำยำนเปน็ เครอ่ื งมือในกำรเรยี นรู้และวิเครำะห์ สถำนกำรณท์ เ่ี กิดข้นึ ในสังคมได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรียงเน้ือหำสำคัญ ๆ นำขอ้ มลู ทไี่ ด้มำถ่ำยทอดเนื้อหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชนั้ เรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเนื้อหำ/ฝึกตั้งคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในชั้น เรยี น 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเน้ือหำที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมดุ และเว็บไซต/์ ทำแบบฝึกหดั ทำ้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เป็นต้น การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใชแ้ บบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำชั้นเรยี น กำรส่ง งำนท่ีมอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมทงั้ ในและนอกหอ้ งเรยี น 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เน้ือหำ และนำเสนอผล

135 กำรศกึ ษำค้นควำ้ มำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขยี นรำยงำนและนำเสนอในช้ันเรยี นด้วยกำรใช้ เครอ่ื งมือหรอื โปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เป็นต้น 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชงิ ตวั เลข กำรสอ่ื สำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใชแ้ บบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคดิ เห็น กำรถำม-ตอบ กำรวเิ ครำะหเ์ นอื้ หำที่เรยี น กำรสรปุ เนื้อหำ กำรนำเสนอในชั้นเรียน และกำรส่งงำนใน Google Classroom

บทท่ี 6 พระพทุ ธศาสนามหายานในโลกตะวันตก 1. บทนา การศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาในดินแดนตะวันตก มีข้อจากัดอยู่หลายประการ อัน เน่ืองจากเป็นเรอ่ื งค่อนข้างใหม่สาหรับวงการการศกึ ษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย การเคล่ือนตัว เข้าไปในตะวันตกของพระพุทธศาสนาเท่าที่มีลักฐานยืนยันได้เมื่อประมาณ 200 ปี มาน้ีเอง ดังน้ัน ข้อมูลในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประวัติความเป็นมา สภาพการณ์ในปัจจุบัน อิทธิพลของ พระพุทธศาสนาตลอดถึงแนวโน้มในอนาคต ยังมีจานวนน้อย อย่างไรก็ตามการศึกษาประวัติของ พระพุทธศาสนาในยุโรปและอเมริกา จะทาให้เราทราบถึงภาพรวมของพระพุทธศาสนาในเวทีโลกได้ กว้างขึ้น ยิ่งหากมคี วามม่ันใจในกระบวนทัศน์แบบพทุ ธว่าจะเป็นดัชนีชี้นาสนั ตภิ าพแกม่ วลมนุษยชาติ ดังที่คาดหวังกันอยู่ด้วยแล้ว การศึกษาสืบค้นเรื่องราวของพระพุทธศาสนาในทั่วทุกมุมโลกก็ย่ิงเป็น เรอ่ื งท่ีน่าศกึ ษาและขยายขอบเขตความรดู้ ้านนี้ให้กว้าขวางยิง่ ข้นึ เรอ่ื งราวของพระพทุ ธศาสนาเกดิ ขึ้นจากจดุ เลก็ ๆ ในแผน่ ดนิ ชมพูทวีปแถบเอเชียใต้ ต้ังแต่ยุค โบราณ ประมาณ 2500 ปีมาแล้ว ค่อยขยายตัวขึ้นเร่ือย ๆ ตามกาล และแพร่หลายไปทั่วทุกภูมิภาค ของโลกในปจั จุบนั ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาจะเห็นวา่ มคี วามเจริญรุ่งเรืองและเส่ือมโทรมเป็น คู่ขนานมาตลอด เส่ือมโทรมจากที่หน่ึง ไปรุ่งเรืองยังอีกที่หนึ่งบนผิวเปลือกโลก และในปัจจุบันซึ่งถือ ว่าเป็นยุคไร้พรมแดนพระพุทธศาสนามีแนวโน้มจะขยายตัวกว้างไกลย่ิงข้ึน ทั้งน้ีเพราะกระบวนทัศน์ แบบพุทธเน้นหลักสันติภาพ ภราดรภาพ สมภาพ ซึ่งประเด็นนี้เป็นเหตุผลสาคัญทาให้องค์การ สหประชาชาติ ให้การรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสาคัญสากลสหประชาชาติ และน่าจะเป็นเงื่อนไข สาคัญท่จี ะผลกั ดันให้พระพุทธศาสนากระจายกวา้ งไกล รวดเรว็ เปน็ ที่ยอมรบั มากขึน้ นอกจากน้ี การเคล่ือนไหวในโลกของพระพุทธศาสนาในทศวรรษที่ผ่านมา ถือว่าเป็นความ เคลื่อนไหวที่สาคัญ โดยชาวพุทธท่ัวโลกได้จัดประชุมการร่วมมือระหว่างชาวพุทธและเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชาอย่างยิ่งใหญ่ท่ีประเทศไทย ทาให้มองได้ว่าในปัจจุบันชาวพุทธกาลังพยายามศึกษา แนวทางปรับปรุงพัฒนาพระพุทธศาสนาให้ก้าวหน้าย่ิงข้ึน โดยการแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ ร่วมกัน สร้างความเป็นเอกภาพเพ่ือผลักดันให้พระพุทธศาสนามีคุณค่าและความหมายต่อโลกอย่าง แท้จริง เหตุการณด์ งั กลา่ วถือเปน็ ประวัติศาสตร์ครงั้ สาคญั ของพระพทุ ธศาสนา จากความเห็นเบื้องต้นผู้เขียนพยายามมองให้เห็นภาพกว้างว่าในปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้ ขยายตัวไปปรากฏอยู่ทุกมุมโลก ดังนั้นจึงควรท่ีจะนาเสนอเร่ืองราวสถานการณ์ของพระพุทธศาสนา ให้คลอบคลุมทุกด้านทุกพ้ืนท่ีที่พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไป ซึ่งในบทนี้มุ่งศึกษาประวัติความเป็นมา ของพระพุทธศาสนาในซีกโลกตะวันตกท้ังหมดไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ทวีป ออสเตรเลีย และทวีปแอฟริกา แต่เนื่องจากว่ามีเนื้อหาที่กว้างและมากเกินกว่าจะศึกษาได้ท้ังหมดจึง ทอนลงให้ศึกษาเฉพาะทวีปยุโรปและอเมริกา จากข้อมูลกลุ่มประเทศในตะวันตก ท่ีตอบรับการเข้า

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 137 ร่วมประชุมชาวพุทธโลกท่ีประเทศไทยเม่ือ พ.ศ. 2549 มีจานวนถึง 27 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีอีก บางประเทศไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วม บทเรียนนี้มุ่งศึกษาเน้ือหาเชิงสารวจข้อมูลพระพุทธศาสนาที่ ขยายไปยังทวีปต่าง ๆ ได้แก่ ทวีปยุโรป และอเมริกา เน่ืองจากข้อจากัดด้านเวลาจึงศึกษาได้ใน ลักษณะเป็นการสารวจข้อมูลเบ้ืองต้นเท่านั้น โดยมีประเด็นศึกษาอยู่ 4 ประเด็น คือ ประวัติความ เปน็ มา สภาพการณ์ในปัจจบุ นั อิทธิพลของและแนวโนม้ ในอนาคต ของพระพทุ ธศาสนาในทวปี นนั้ ๆ 2. พระพุทธศาสนาในทวีปยโุ รป ทวีปยุโรปเป็นทวีปที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่โตก้างขวางเม่ือเทียบกับทวีปอ่ืน ๆ แต่มีประชากรที่ หนาแน่น มปี ระวตั ิความเปน็ มาทยี่ าวนาน ความเชื่อถือทางศาสนานบั ถือศาสนาศาสนาครสิ ตเ์ ป็นหลัก มาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน (พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), 2542, น. 55-116) ศาสนาพุทธจึงเป็น สิ่งใหม่สาหรับชาวยุโรป ลักษณะทั่วไปของคนในทวีปยุโรปมีวัฒนาธรรมแสวงปัญญา จึงค่อนข้างเข้า กันได้ดีกับหลักการทางพระพุทธศาสนาที่มุ่งให้ความเสรีทางความคิด สนับสนุนการใช้เหตุผล การศึกษาในหัวข้อน้ีมีประเด็นศึกษา 4 ประเด็น ได้แก่ ศึกษาประวัติความเป็นมา ศึกษาสภาพการณ์ ปจั จบุ นั ศึกษาอทิ ธพิ ล และศกึ ษาแนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในทวปี ยุโรป โดยมสี าระดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 ประวัติความเปน็ มา การขยายตวั ของพระพุทธศาสนาจากซีกโลกตะวนั ออกไปสู่ตะวนั ตกมีมาต้ังแต่ยุคโบราณ ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์ชาวพุทธท่ียิ่งใหญ่ ดังท่ี เสถียร โพธินันทะ (2544, น. 165) ให้ทัศนะว่า “พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ดินแดนตะวันตกต้ังแต่เม่ือคราวตติยสังคายนาในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 3 ท่ีมีการส่งสมณทูตไปยังนอกชมพูทวีปครั้งแรก” แต่ก็ไม่ ปรากฏหลักฐานท่ีชัดเจนว่าพระพุทธศาสนาคล่ืนแรกนั้นรุ่งเรืองและขยายตัวออกไปกว้างไกลแค่ไหน ในคร้ังนั้น หากข้อมูลนี้ถูกต้องน่ันก็แสดงว่ากระแสแห่งพระพุทธศาสนาได้เป็นท่ีรู้จักของชาวตะวันตก มานานแล้ว มีข้อมูลจากวรรณกรรมของผู้รู้ชาวตะวันตกบางท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าว่า “บรรดาชาวอินเดียท่ีเช่ือถือปฏิบัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้า ต่างก็พากันสรรเสริญเยินยอ ถึงพระ พุทธคุณต่าง ๆ นานา และให้เกียรติพระพุทธองค์ว่าเป็นเทพเจ้า” (บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, 2542, น. 203) มีข้อมูลอ้างถึงการทาลายพระพุทธศาสนาว่า “สงครามศาสนาในคริสต วรรษที่ 13 เรียกว่า สงครามครูเสด ทาให้พระพุทธศาสนาถูกทาลายจากประเทศลัทเวีย, เอสโทเนีย, โครเอเซีย โดยฝีมือของกองทหารเพื่อพระคริสต์ของเยอรมัน” (บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, 2542, น. 217) พันเอก (พิเศษ) นวม สงวนทรัพย์ (2544, น. คานา) ให้ทัศนะว่า พัฒนาการของ พระพุทธศาสนาในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. มาร์โค โปโล เดินทางกลับประเทศอิตาลี เขียนหนังสือ description of the World เล่าเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศจีน พ.ศ. 2387 อาเธอร์ โช เป น เฮาเออร์ เผยแพ ร่ห นั งสื อป รัชญ า The World as Will and Representation สดุ ดี พระพุทธศาสนาอย่างสูงส่ง พ.ศ. 2416 ดร.เจมส์ มาร์ติน เบิลส์ ปราชญ์อเมริกานาหนังสือ Controversy at Panadura or Panadura Vadaya ไปพิมพ์เผยแพร่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประชาชนในภาคพ้ืนทวีปยุโรปและอเมริกาตื่นเต้นและสนใจอ่านกันมาก พ.ศ. 2422 เซอร์เอดวิน อารโ์ นลด์ เขยี นหนังสอื “ประทปี แหง่ ทวปี เอเชยี ” พรรณนาพระพทุ ธประวตั ิและหลกั พทุ ธศาสนธรรม

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 138 จากหลักฐานที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้ขยายตัวเข้าสูย่ ุโรปมานานแล้ว โดยเร่ิมต้ังแต่ยคุ โบราณเป็นตน้ มาแตข่ ้อมูลท่ีชี้ถึงพัฒนาการของศาสนาพุทธในยุคน้ีขาดหายไป ทถี่ ือมี วา่ หลกั ฐานยืนยันการเข้าไปของศาสนาพุทธยังดินแดนตะวนั ตกไดม้ ่นั คงคอื วรรณกรรมของชาวยุโรปที่ บันทึกเร่ืองราวของศาสนาพุทธ ชาวตะวันตกหันมาสนใจในพระพุทธศาสนาอันเน่ืองมาจากหลักการ อันลึกซ้ึงของศาสนาพุทธที่แปลกแตกต่างไปจากวิธีการทางศาสนาด้ังเดิมที่นับถือกันอยู่ เหตุการณ์ ดงั กล่าวน้ีเกดิ ขึ้นชว่ งหลังยุคล่าอาณานิคม นอกจากยังมชี าวพทุ ธยโุ รปท่ีอีกหลายท่านที่พดู ถึงเร่ืองของ พระพุทธศาสนาในยโุ รป ดงั ท่ี เอดวาร์ด คอนซ์ (Edward Conze) ใหท้ ศั นะว่า ในขณะฐานที่มั่นของพระพุทธศาสนาในตะวันออก ถูกทาลายไปฐานแล้วฐาน เล่า ก็ไดม้ ีบางส่ิงมาชดเชยเช่นกนั ตรงที่ว่า พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้าไปยังประเทศ ตะวันตกอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง โดยมีกระบวนซึมซับอยู่ 3 ระดับ คือ ปรัชญา วิชาการ และนิกาย 1) ระดับปรัชญาเริ่มข้ึนโดย อาเธอร์ โชเปนอาวเออร์(Schopenhauer) ในปี พ.ศ. 2362 และได้มีอิทธิพลต่อนักคิดรุ่นต่อๆ มา เช่น เบอร์กซอง เฮเลนา เปรโตวนา บลาวตั สกี รเิ คิร์ท จัสแปอร์ส วิตตเกนสไตน์ และไฮเดกเกอร์ เขาเหล่านี้ได้รับอทิ ธิพลไป จากพระพุทธศาสนา และเม่ือยี่สิบกว่าปีทีผ่านมา มีวรรณคดีต่างๆ ท่พี ูดถึงความสมั พันธ์ ระหว่างระบบความคิดทางพระพุทธศาสนากับนักคิดสมัยใหม่ของยุโรปต่างๆ มากมาย 2) ระดับวิชาการ ในช่วง 150 ปี มีเอกสารเก่ียวกับประวัติพระพุทธศาสนาเป็นจานวน มาก ทั้งรูปแบบของวรรณคดีและศิลปะ เช่น รัสเซียศึกษาทัศนะพุทธแบบไซบีเรีย รีส เดวิดส์ (Rhys Davids) ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบลังกา ชาวฝร่ังเศสศึกษาวรรณกรรม ในเวียดนาม ต่อมาอเมริกาก็สร้างวิทยาลัยภาษาตะวันออกขึ้นในกองทัพและขยายตัว ออกไปในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในอเมริกา พระพุทธศาสนาได้พิสูจน์ตัวเองถึงความเป็น ตัวแทนของวัฒนธรรมอินเดียมากที่สุด ไม่มีแนวคิดแบบเอเชียแนวใดท่ีได้รับความสนใจ ในยุโรปมากเช่นกับแนวคิดทางพุทธ ไม่มีศาสนาอ่ืนใดที่จะดึงดูดความสนใจของกลุ่ม นักวิชาการ นักปรัชญาระดับหัวกะทิท้ังหลายไม่เพียงแต่ยอมคลุกคลีกับภาษาท่ียากที่ พระพุทธศาสนาแฝงอยู่เท่าน้ัน แต่ผู้ที่มีจิตใจสูงส่งก็ได้ยอมลดตัวลงมาเพ่ือเรียน ความหมายของความอ่อนโยน ความลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาอีกด้วย 3) พระพุทธศาสนาในรูปนิกายแบบชาวบ้าน ได้ผุดข้ึนเกือบจะ 80 ปี มาแล้ว ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในประเทศที่นับถือนิกายโปรเตสแตนท์ นิกายพุทธก่อตัวข้ึนมาจากนิกายนอน คอนฟอรมิสต์เล็ก ๆ เน้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานและประสบการณ์ทางจิต เพื่ อ ประสิทธิภาพในการทางาน เพ่ือชีวิตหมดจด ในช่วง 20 ปีท่ีผ่านมากลุ่มนี้ได้เติบโตขึ้น อย่างรวดเร็ว ท้ังจานวนผู้นับถือและฐานะทางเศรษฐกิจ หนังสือของ ไดเซต ไตตาโร ซูซู กิ ในปี พ.ศ. 2473 ทาให้เกิดความต่ืนตัวมากย่ิงขึ้น มีการไหลบ่าของกระแสหน่ึงช่ือว่า “เซ็น” อย่างไรก็ตามชาวพุทธแบบนิกายน้ีจะสนใจอยู่เฉพาะกับกลุ่มของตัวเอง มี ผลกระทบตอ่ สังคมโลกโดยภาพรวมน้อยมาก ไมม่ ีใครสามารถประเมินศักยภาพของชาว พุทธกลุ่มน้ีได้ ทุก ๆ อย่างดูคลุมเครือไปหมด ไม่ว่าจะเป็นจานวน แหล่งเงินทุน สถานภาพทางสังคมของสมาชิก แรงจูงใจ ความก้าวหน้าในการพัฒนาจิตใจ หลักคา สอนหรือขอบเขตทม่ี อี ิทธิพล (สมหวงั แกว้ สุฟอง, ม.ป.ป., น. 151 – 154)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 139 ลักษณะการเคล่ือนตัวของพระพุทธศาสนาไปยังประเทศตะวันตกนั้น ในคราวประชุม ฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ มีการนาเสนอข้อมลู ทางวิชาการสอดคล้องกับข้อมลู ข้างตน้ ว่า เมื่อพิจารณาตามประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนาแผ่ไปสู่ตะวันตกเองตามธรรมชาติ ไม่มี การวางโครงการล่วงหน้า โดยท่ีศาสนาและวัฒนธรรมตะวันออกรวมถึงพระพุทธศาสนาด้วยเป็นที่ สนใจของนักปราชญ์ทางตะวันตกมาก ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้บรรจุภาษาสันสกฤต บาลี จีน และ ธิเบต เข้าในหลักสูตรการศึกษา ต่อมาได้มีการพิมพ์และแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงได้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา เช่น แม็ก มึลเลอร์ (Max Muler) ได้พิมพ์ หนังสือพระไตรปิฎกท้ังฉบับตะวันออก ทั้งฉบับยุโรป และหนังสือสาคัญ ๆ อีกหลายเล่ม รีส เดวิดส์ ได้พิมพ์พระไตรปิฎก และหนังสือพระพุทธศาสนาอื่น ๆ ท้ังยังได้ต้ังสมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) เซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์ (Sir Edwin Arnold) เขียนหนังสือ “ประทีปแห่งเอเชีย”(Ligth of Asia) เป็นต้น...ในพุทธศตวรรษท่ี 24 พระพุทธศาสนาไม่เพียงแต่เป็นที่สนใจของนักปราชญ์และนัก ประวตั ิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเปน็ ท่ีสนใจของปะชาชนผู้สนใจผแู้ สวงหาศาสนา และแนวทางดาเนินชวี ิต ท่ีดีกว่าศาสนาคริสต์ด้วย โชว์เปน เฮาเออร์ได้ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิก และเขียนห นังสือ แพร่หลายไปทั่วยุโรป แต่พระพุทธศาสนาเพ่ิงต้ังลงม่ันคงในตะวันตกเม่ือตอนปลายพุธศตวรรษที่ 24 น้ีเอง เกิดสมาคมต่าง ๆ อย่างแพร่หลายช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาได้ต้ังลงมั่นคงในทุกภูมิภาคของโลกตะวันตก แม้ผู้นับถือจะมีจานวนน้อย แต่อิทธิพล ของพระพุทธศาสนาก็แผ่ไปกว้างขวางมาก ต้ังแต่ส้ินสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นต้นมา (ไวทย, พีแอล, 2499, น. 453 – 454) พระพุทธศาสนาคล่ืนใหมท่ ี่ขยายเข้าไปยังดินแดนตะวนั ตกเร่มิ ขึ้นในยุคใหม่ เป็นช่วงของ การล่าอาณานิคมของชาวยุโรปเมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 23 อันได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น เมื่อเข้ามาครอบครองดินแดนเอเชียแล้วสนใจพระพุทธศาสนา จากน้ันกลุ่มประเทศ ตะวันตกก็เร่ิมหันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อย ๆ ซ่ึงมีท้ังพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ส่วนลักษณะการศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาของชาวตะวันตกมัก ศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัย แล้วนาไปสู่การฝึกปฏิบัติขัดเกลา และเกิดองค์กรพุทธข้ึน ซ่ึงต่างจาก ตะวนั ออกท่ีฝึกศกึ ษาพระพุทธศาสนาในรูปแบบทางวัฒนธรรม วิถชี วี ติ อาจสรุปในประเด็นด้านประวัติความเป็นมาได้ว่า พระพุทธศาสนาแพร่ขยายเข้าสู่ยุโรป ต้ังแต่เม่ือไรไม่มีหลกั ฐานยืนยันตายตวั ลักษณะการขยายตัวของพระพุทธศาสนาเท่าท่ีมีหลักฐาน เริ่ม จากความสนใจของปัจเจกบุคคลชาวยุโรป จากน้ันก็ขยายตัวเป็นองค์กร ตลอดถึงการเคลื่อนตัวของ กลุ่มชาวพุทธจากภูมิภาคตะวันออกเข้ายังยุโรป ทาให้เกิดชุมชนชาวพุทธข้ึน ชาวตะวันตกบางท่านมี ความศรัทธาแรงกล้าบวชเป็นพระภิกษุ แล้วทาการเผยแผ่ในแถบประเทศภูมิภาคของตน มีการศึกษา แล้วเรียบเรียงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาขึ้น ในสถาบันทางการศึกษาบางแห่งจัดให้มีการศึกษา วิชาพระพุทธศาสนาเกดิ งานเขียนวิชาการดา้ นพระพทุ ธศาสนามากขึ้น 2.2 สภาพการณ์ปจั จุบัน ในปัจจุบันมีชาวยุโรปหันมานับถือพระพุทธศาสนาเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ มีท้ังที่เป็น ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เช่น ท่ีประเทศอังกฤษ จากรายงานในวารสารทางสายกลางของพุทธสมาคม ลอนดอนระบุว่า มีสมาคมองค์กรต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาจัดอยู่ในประเทศอังกฤษ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook