Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Published by wksrc7, 2022-04-14 12:56:47

Description: BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Keywords: พระพุทธศาสนา,โยคาจาร,เซน,สุขาวดี,ตันตระ,พระโพธิสัตว์,องค์ดาไลลาม,ติช นัท ฮันห์,ดี.ที.ซูซูกิ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 40 เรื่องที่พระเจ้ากนิษกะทรงหันมานับถอื พระพุทธศาสนานั้นเป็นไปในทานองเดียวกันกับ พระเจ้าอโศก กล่าวกันวา่ พระเจา้ กนิษกะในสมัยที่ยังทรงพระเยาว์มไิ ด้ทรงนบั ถือพระพทุ ธศาสนา แต่ ในการสงครามอย่างนองเลือดท่ีพระองค์ทรงกระทาต่อรัฐกาษคาร์ (Kashgar) ยารกานต์ (Yarkand) และโขตาน (Khotan) ทาให้พระองค์ทรงสังเวชสลดพระทยั จนทรงหันมานบั ถอื พระพุทธศาสนา และ ตอ่ มาไดท้ รงประกาศใหก้ วา้ งขวางออกไปดว้ ยพระอตุ สาหะอนั แรงกล้าย่ิง การบาเพ็ญประโยชน์อันย่ิงใหญ่อีกประการหน่ึงที่พระเจ้ากนิษกะทรงกระทาก็คือการ สังคายนาพระธรรมวนิ ัยทาท่ีวดั ช่ือกุณฑลวนั วิหารในแคว้นแคชเมียร์ แต่บางคนกล่าวว่าทาที่วัดกุวนะ ในเมืองชาลันธระ เป็นการทาสังคายนาเป็นคร้ังที่ 4 ตามแนวนิกายสรวาสติวาท พระเจ้ากนิษกะทรง มอบการสังคายนาครั้งให้เป็นภาระของพระปารศวะ พระวสุมิตรเป็นประธานของท่ีประชุม ส่วนพระอัศวโฆษซ่ึงได้รับนิมนต์มาจากเองสาเกตเพ่ือช่วยในการแต่งอรรถกถาดารงตาแหน่งรอง ประธาน ภกิ ษจุ านวน 500 รูปเข้าร่วมประชุม และรวบรวมอรรถกถาซงึ่ เรียกว่าวิภาษาศาสตร์ ครบทั้ง 3 ปิฎกแหง่ พระพทุ ธศาสนา พระเจ้ากนิษกะได้ทรงสร้างวัดและพระเจดีย์เป็นอันมาก เช่น วัดกนิษกมหาวิหาร เจดีย์กนิษกะ ไว้ในเมืองปุรุษปุระ (ปัจจุบันคือเปษวาร์) พระองค์แม้ว่าจะทรงนับถือพระพุทธศาสนา อย่างเคร่งครัด แต่กท็ รงใหค้ วามอุปถัมภ์บารุงแกศ่ าสนาทุกศาสนาดังจะเห็นได้จากเหรยี ญในสมยั ของ พระองค์มรี ูปเทพเจ้าซง่ึ พวกฮนิ ดกู รีกและเปอร์เซยี นบั ถอื 12.2 พระอัศวโฆษ พระอัศวโฆษเป็นชาวเมืองสาเกต (ปัจจุบันคอื อโยธยาในรัฐอุตตรประเทศ) เกิดในตระกูล พราหมณ์ มารดาของท่านมีช่อื ว่านางสุวรรณากษี ในตอนท้ายของกวีนิพนธอ์ ันมีช่ือของท่าน 3 เร่ืองคือ พุทธจริต เสานทรนันทะและศารีปุตรประกรณ์ ท่านกล่าวว่า “หนังสือน้ี ท่านอัศวโฆษ ภิกษุชาวเมือง สาเกต บุตรของนางสวุ รรณกษี ผู้เปน็ มหากวนี ักโต้วาทใี หญ่ เป็นผ้แู ต่ง” (พระมหาอมร อมโร และคณะ แปลและเรยี บเรยี ง, 2537, น. 194) ท่านเป็นคนร่วมสมัยของพระเจ้ากนิษกะ (Kaniska) แห่งราชวงศ์กุษาณะ (Kusana) กษัตริย์ท่ีปกครองทางภาคเหนือของอินเดีย ตามหลักฐานบ่งบอกว่า พระองค์ขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ. 120 (พ.ศ. 663) และพระองค์ได้รุกดินแดนลึกเข้าไปในอินเดียและได้โจมตีพระเจ้าแผ่นดินที่ปกครอง อยู่ท่ีเมืองปาฏลีบุตร แล้วพาเอาตัวท่านอัศวโฆษไปและได้เป็นท่ีปรึกษาทางด้านศาสนาของพระเจ้า กนิษกะอีกด้วย (สาเนียง เลื่อมใส ปริวรรต แปลและเรียบเรียง, 2543, น. คานา (6)) เป็นกวีและ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีฐานะเด่นทั้งในด้านความรู้ทางพระพุทธศาสนาและท้ังในด้านกวี นิพนธ์ภาษาสันสกฤต ทั้งน้ีเพราะเหตุว่า ท่านเป็นทายาทคนสาคัญของท่านวามีกิ ผู้ได้รับสมัญญาว่า “ปฐมกวี”และ “ธีรบุรษุ ” ท่านอัศวโฆษนั้นชื่อเดิมมิใช่ชื่ออัศวโฆษ ตามประวัติเล่าว่า “...แต่ทาไมภิกษุรูปเดียวจึงตี ราคาค่าตัวสงู อย่างน้ัน ในประเทศอินเดีย ก็มีภิกษุมากมาย ทาไมจงึ ยกย่องภิกษุรูปนี้นัก ความทราบไป ถึงพระเจา้ กนษิ กะ จึงทรงปรารถนาจะใหบ้ รรดาข้าราชการประจกั ษ์คณุ วเิ ศษของท่านอัศวโฆษ โปรดให้ เอาม้า 7 ตัวไปอดอยู่ 6 วัน แล้วโปรดให้ชุมนุมสงฆ์ตลอดจนขุนนางอามาตย์ใหญ่น้อยและทวยราษฎร์ มาอยู่กันโดยพรั่งพร้อม ทรงอาราธนาพระอัศวโฆษให้แสดงธรรม ท่ีประชุมได้ฟังพระธรรมเทศนาอัน ไพเราะจับใจต่างพากันซาบซึ้ง แม้แต่ม้า 7 ตัวซึ่งถูกพาตัวมา ณ ท่ีประชุมด้วย พระเจ้ากนิษกะดารัสให้

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 41 มหาดเล็กนาหญ้าไปให้กิน ม้าทั้ง 7 ก็หาสนใจไม่ กลับยืนสงบฟังธรรมจนน้าตาไหล กิตติศัพท์ของท่าน อัศวโฆษจึงโด่งดังไปทั่วอินเดยี เหนือว่า แสดงธรรมจนสัตว์เดรัจฉานมีม้า เป็นต้น ก็ซาบซึ้ง ฉะนั้น จึงได้ ฉายาวา่ “อศั วโฆษ” (เสถยี ร โพธนิ ันทะ, 2519, น. 330-331) แต่เดิมน้ัน ท่านเป็นพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในไตรเพท ต่อมาได้เปลี่ยนมานับถือ พระพทุ ธศาสนาและถือบวชในนกิ ายสรวาสติวาทนิ กวนี พิ นธ์ที่สาคญั ของพระอศั วโฆษ มี 2 เรอื่ ง คอื 1) มหากาพย์พุทธจริต เป็นกวีนิพนธ์สันสกฤตและเป็นวรรณกรรมชิ้นสาคัญทาง พระพุทธศาสนาที่มหากวีอัศวโฆษได้รจนาขึ้นเพื่อถ่ายทอดเร่ืองราวพุทธประวัติตามลาดับเหตุการณ์ ตงั้ แต่ประสูติจนเสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานรวมถึงการแจกพระบรมสารรี ิกธาตุ วรรณกรรมเรอื่ งน้ีมคี วาม น่าสนใจเพราะเนื้อหาเปน็ พุทธประวัติตามคติพระพุทธศาสนานิกายสรวาสติวาท ซ่งึ แตกตา่ งจากพุทธ ประวัติที่แต่งเป็นภาษาบาลีตามคตินิกายเถรวาทซึ่งเรารู้จักคุ้นเคยกันทั่วไปอยู่เเล้ว นอกจากนี้ ยังได้ รบั คาช่ืนชมจากนกั ปราชญท์ ้ังหลายว่ามีความไพเราะจับใจและเป็นวรรณกรรมชนั้ เยย่ี มชน้ิ หน่งึ ในกลุ่ม วรรณคดสี ันสกฤต มหากาพยพ์ ุทธจริตของพระอัศวโฆษ มี 28 บท ดังน้ี บทที่ 1 การประสตู แิ ห่งพระศาสดา บทที่ 2 ทรงเสวยสขุ ในอันเตปรุ ะ บทท่ี 3 การอุบัติแห่งความเหน่ือยหน่าย บทท่ี 4 ทรงเลกิ ใฝพ่ ระทยั ในอิสตรี บทที่ 5 มหาภเิ นษกรมณ์ บทที่ 6 การปลดปลอ่ ยนายฉนั ทกะ บทที่ 7 การเสดจ็ สตู่ โปวนั บทท่ี 8 การพิลาปรา่ ไห้ของอนั เตปุระ บทท่ี 9 การติดตามคน้ หาพระกุมาร บทที่ 10 พมิ พิสารคนั ตกุ ะ บทที่ 11 พรรณนาโทษแหง่ กาม บทท่ี 12 ทรงพบกบั ฤาษอี ราฑ บทที่ 13 มารวิชัย บทที่ 14 ทรงบรรลสุ มั โพธญิ าณ บทที่ 15 ทรงแสดงปฐมเทศนา บทที่ 16 ทรงมสี านศุ ษิ ยม์ ากมาย บทท่ี 17 ประทานบรรพชาแก่ศิษยเ์ อก บทที่ 18 ทรงรบั อนาถปิณฑกเศรษฐไี วใ้ นไตรสรณาคมน์ บทท่ี 19 ทรงพบกับพระบดิ า บทที่ 20 ทรงรบั ไวซ้ ึง่ เชตวนั บทท่ี 21 สายธารแห่งการบรรพชา บทท่ี 22 ในอุทยานของนางอัมพปาลี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 42 บทที่ 23 ทรงกาหนดพระชนมายุ บทที่ 24 พระมหากรุณาธคิ ณุ แกพ่ วกลิจฉวี บทท่ี 25 ระหวา่ งวถิ สี ่นู พิ พาน บทท่ี 26 มหาปรินพิ พาน บทท่ี 27 สดุดีพระนฤพาน บทที่ 28 ธาตวุ ภิ าค อจ้ี ิง กล่าวว่า ในสมยั ของเขา กวีนิพนธ์อันไพเราะเหล่าน้ใี ชอ้ ่านและสวดกันท่วั ไปใน 5 แควน้ ทางอนิ เดียและในประเทศต่าง ๆ แถบทะเลใต้ ในกวีนิพนธ์เรื่องน้ี พระอัศวโฆษไม่เพียงแต่เขียนชีวประวัติของพระพุทธเจ้าอย่าง ไพเราะเท่านั้น ยังแฝงไปด้วยหลักฐานแห่งความรู้อย่างเช่ียวชาญของท่านในตาหรับกวีนิพนธ์ของ อินเดยี และระบบปรชั ญากอ่ นสมัยพระพุทธเจ้ากลา่ วคอื ลัทธิสางขยะ 2) มหากาพย์เสานทรนนั ทะ เป็นกวีนิพนธ์สันสกฤตที่หยิบยกเอาเรื่องราวของพระราช กุมารนันทะ พระอนุชาต่างมารดาของพระพุทธเจ้าซ่ึงประสูติจากพระนางปชาบดีโคตรมีกับพระเจ้า ศุทโธทนะ มาเรียงร้อยเป็นมหากาพย์ มีเน้ือหาเร่ิมตั้งแต่การพรรณนาถึงเมืองกปิลวาสตุ พระราชา พระตถาคต ความรักของราชกุมารนันทะที่มีต่อพระนางสุนทรีพระชายา การจายอมต้องออกผนวช ของราชกุมารนันทะ ซึ่งทาให้ไม่เป็นอันประพฤติธรรมเพราะความคิดถึงพระชายา พระพุทธองค์จึง ทรงใชอ้ ุบายวิธรี ะงับความโศกตรมของพระนันทะด้วยการนาไปชมเมอื งสวรรค์ ในระหว่างทางทรงพบ เห็นนางลิงตาบอดตัวหนึ่ง มีหน้าแดงเหมือนกับถูกทาด้วยน้าคร่ัง กาลังเล่นอยู่ข้างหลังฝูงลิงตัวอื่น ๆ พระพุทธองค์จึงทรงเปรยี บเทียบความงามของพระนางสุนทรีกับนางลิงตวั นั้น และเมื่อเสดจ็ ถึงสวรรค์ ก็ทรงเปรียบเทียบให้เห็นความงามของนางอัปสรท้ังหลายกับพระนางสุนทรี พระนันทะคร้ันเห็นว่า นางลงิ มีความอัปลกั ษณน์ า่ รงั เกียจยงิ่ กวา่ พระชายาของตน แตเ่ ห็นวา่ นางอัปสรทั้งหลายงดงามยง่ิ กว่า พระชายาของตนจึงปรารถนาจะได้มาครอง พระพุทธองค์จึงทรงแนะนาวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุ วตั ถุประสงค์คือการปฏิบัติกรรมฐาน ต่อมา เมื่อพระนนั ทะได้ประพฤติปฏิบัติตามข้อธรรมที่เหมาะสม จิตใจก็เกิดความสงบแน่วแน่และมั่นคง คลายความกาหนัดรักและหมดความต้องการในนางอัปสร ท้งั หลาย ในที่สดุ จึงได้บรรลุพระอรหตั ผล (เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, 2519, น. คานา (5)) ยังมีนพิ นธ์บทอนื่ ๆ ของท่านอัศวโฆษเหลอื ไว้ใหเ้ ราไดเ้ หน็ อยจู่ นกระทง่ั ปจั จุบนั ดงั นี้ (1) สูตราลังการ เป็นคัมภีร์ซ่ึงท่านอัศวโฆษได้รจนาข้ึนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปัจจุบันน้ี ต้นฉบับเดิมได้สูญหายไปเสียแล้ว คงเหลืออยู่แต่ฉบับคาแปลภาษาจีน ซ่ึงกล่าวกันว่า ท่าน กมุ ารชีพ ไดเ้ ปน็ ผู้แปลขนึ้ เมอ่ื ค.ศ.405 (2) มหายานศรัทโธตปาท เป็นคัมภีรป์ รชั ญาของพระพุทธศาสนาฝ่ายลทั ธิมหายาน ในชีวประวัติของหลวงจีนเห้ียนจัง มีขอ้ ความกล่าววา่ ท่านอัศวโฆษเป็นผูร้ จนาหนังสอื เล่มนี้ข้นึ ซึ่งเป็น ที่ร้จู ักกันแพร่หลายมากในประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานคือประเทสจีน เกาหลี ธิเบต และโดยเฉพาะในประเทศญีป่ ุน่ แลว้ แพรห่ ลายมากที่สุด 3) วัชรสูจิ เป็นคัมภีร์ท่ีท่านอัศวโฆษได้นิพนธ์ข้ึนเป็นทานองวิพากย์วิจารณ์การถือช้ัน ของสังคมอินเดียในสมัยน้ันอย่างรุนแรงและหลักแหลม สมกับช่ือหนังสือ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เข็มเพชร” สารัตถะของหนังสือเล่มน้ีหากจะสรุปก็น่าจะได้ใจความว่า “มนุษย์ทุกชาติชั้นย่อมไม่มี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 43 ความแตกต่างกันในเรื่องทุกข์ เร่ืองสุข ในการดาเนินชีวิต ในการเกิด การตาย ในความหวาดกลัว ตลอดจนในการเสพกาม” 4) คัณฑีสโตตฺรคาถา เป็นชุมนุมบทโคลงฉันท์สาหรับใช้สวดรวมทั้งหมด 29 บท ส่วนมาก เป็นฉันท์แบบ “สัทธรา” ซ่ึงท่านอัศวโฆษรจนาข้ึนเพ่ือสดุดีพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ บรรดาพระสงฆ์สาวก 5) ราษฏรฺ ปาล เป็นบทละครรอ้ ง ซ่งึ มรี าษฎรปาลเปน็ ตวั เอก 6) บทละคร 3 เรื่อง มี ศาริปุตฺรปฺรกรณัม เป็นอาทิ ในเรื่องแรกเป็นบทละครท่ี พรรณนาชีวประวัติของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่าได้กลายเป็นเพศบรรพชิตและเป็นสาวก องค์สาคัญของพระพุทธองคไ์ ด้อย่างไร สว่ นเร่อื งท่ี 2 และท่ี 3 ไม่มีช่ือ แตอ่ ย่รู วมกนั กับเรื่องที่ 1 ท้ัง 2 เร่ืองหลังบรรยายให้เห็นสภาพสังคมของอินเดียในสมัยน้ัน โดยแทรกคติทางพระพุทธศาสนาไว้บ้าง เลก็ น้อย (กรุณา-เรืองอุไร กศุ ลาสัย ถ่ายทอดเปน็ พากย์ไทย, 2544, น. คานา (33- 35)) 12.3 พระนาคารชุน พระนาคารชนุ เป็นชาวอนิ เดียภาคใต้ เกิดในสกลุ พราหมณ์ ประมาณ พ.ศ. 700 แตข่ ้อมูล ที่บันทึกโดยพระถังซาจ๋ังระบุว่า ท่านเกิดในแคว้นโกศลภาคใต้หรือในเมืองวิทรภะโบราณ ปัจจุบันคือ เมืองเบราร์ ท่านเป็นพระสหายที่มีอายุไล่เล่ียกับพระเจ้ายัชญศรีเคาตมีบุตร ท่านได้เรียนคัมภีร์ไตรเพท จนจบ ได้ศึกษาพระพุทธศาสนากับกบิมาลาและได้ศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยนาลันทา (พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, 2542, น. 37) ท่านได้ก่อต้ังนิกายมาธยมิกหรือศูนยวาท (พระมหาอมร อมโร และคณะ แปลและเรียบเรียง, 2537, น. 195-196) ท่านเป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่มีผลงานโดดเด่นใน ดา้ นปรัชญาและตรรกศาสตร์ ผลงานสาคัญของท่านคือ มาธยมิกการกิ า หรือ มาธยมิกศาสตร์ ซึ่งเป็น พ้ืนฐานสาคัญของแนวคิดศูนยวาท ประกอบด้วยการิกา 400 การิกา ใน 27 ปริเฉท ท่านได้เขียนอรรถ กถาแก้งานของท่าน ช่ือว่า “อกุโตภยา” (หนังสือที่ปลอดภัยหรือหาภัยแต่ที่ไหนมิได้) และได้เขียน จดหมายถึงพระเจา้ ยชั ญศรีเคาตมีบุตร หนังสอื เล่มน้ีชื่อว่า “สุหฤลเลขะ” สมณะอจ้ี ิง กล่าวว่า ในสมยั ที่ เขาไปอนิ เดยี นน้ั เขาไดเ้ ห็นพวกเดก็ ๆ ท่องจาหนังสอื เล่มนี้ และผูใ้ หญ่กอ็ า่ นหนังสอื นี้กนั จนตลอดชีวติ นอกจากน้ี ท่านก็ยังมีศิษย์คนสาคัญและนักคิดท่ีมีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้พัฒนาปรัชญามาธยมิก ใหเ้ จรญิ ตอ่ มาคือพระอารยเทวะ พระจนั ทรกีรติ พระศานติเทวะ พระศานตรักษิตะ และพระกมลศีล 12.4-5. พระอสงั คะและพระวสุพนั ธุ พระอสงั คะและพระวสุพันธุซึ่งมีชีวติ อยู่ ประมาณ พ.ศ. 1000 เกิดในสกุลพราหมณ์เกาศิก โคตร ในเมอื งปุรษุ ปุระ แคว้นคันธาระ ได้รับการศึกษาในศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างดี ท่านทั้ง 2 ได้ศกึ ษา วิภาษศาสตร์ ในแคว้นกาษมีระ ครั้งแรกท้ัง 2 ท่านเป็นภิกษุในนิกายสรวาสติวาท ซึ่งแพร่หลายอยู่ใน แคว้นกัษมีระและคันธาระ พระอสังคะเป็นอาจารย์องค์สาคัญของนิกายโยคาจารหรือวิชญาณวาท ท่าน ได้ชักชวนพระวสุพันธุ น้องชายของท่านให้ทิ้งนิกายสรวาสติวาทมานับถือนิกายใหม่นี้ พระอสังคะเป็น ศิษย์คนสาคัญของพระไมตรียนาถ ผู้ซึ่งคนทั้งหลายถือกันว่า เป็นผู้ก่อต้ังนิกายโยคาจาร หนังสือที่สาคัญ ของท่านคือมหายานสัมปริคระหะ ประกรณอารยวาจา โยคาจารภูมิศาสตร์และมหายานสูตราลังการ 2 เล่ม ส่วนพระวสุพันธุ น้องชายของท่านมีหนังสือท่ีสาคัญคืออภิธรรมโกศะ บรรดาศิษย์คนสาคัญของ พระวสุพันธุท่ีควรกล่าวถึงคือ พระสถิมติ พระธรรมปาละ และพระธรรมกีรติศิษย์ของพระธรรมปาละ (พระมหาอมร อมโร และคณะ แปลและเรียบเรียง, 2537, น. 198-200)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 44 12.6 พระทินนาคะ พระทินนาคะเป็นผู้ก่อต้ังตรรกศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาขึ้น เป็นผู้เชื่อมโยงที่สาคัญ ระหว่างระบบตรรกศาสตร์ทางพระพุทธศาสนากับระบบตรรกศาสตร์บริสุทธ์ิของอินเดีย (พระมหา อมร อมโร และคณะ แปลและเรียบเรียง, 2537, น. 201) ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ ที่สังหวักตระ เมืองกาญจี ในภาคใต้ ครั้งแรก ท่านเป็นภกิ ษุฝ่ายหินยานในนิกายวาตสปี ุตรียะ ภายหลังได้กลบั ใจนับ ถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ตามหลักฐานของธิเบต ท่านได้แต่งตาราทางตรรกศาสตร์ประมาณ 100 เลม่ หนังสือเหล่าน้ีส่วนมากเป็นคาแปลภาษาจนี และธเิ บต หนังสือที่สาคัญของท่านคือประมาณ สมจุ จัย นยายประเวศ เหตจุ กั รทมรุ พระทินนาคะได้โต้วาทีทางศาสนาชนะนักตรรกศาสตร์พราหมณ์คนหนึ่งช่ือสุทุรชยะ นอกจากน้ัน ท่านยังได้ท่องเที่ยวไปท่ัวแคว้นโอริสสาและมหาราษฎร์เพ่ือโต้คารมทางศาสนากับ นักปราชญ์ต่าง ๆ ทา่ นมรณภาพในปา่ ลกึ ในแคว้นโอรสิ สา 12.7 พระธรรมกรี ติ พระธรรมกีรติมีชีวิตอยู่ใน พ.ศ. 1300 เกิดในหมู่บ้านช่ือติรุมไล ในแคว้นโจฬะ เป็น ทายาทของพรทินนาคะและเป็นนักตรรกศาสตร์ชาวพุทธที่หาตัวจับยาก ท่านได้ศึกษาตรรกศาสตร์ จากพระอีศวรเสนผู้เป็นศิษย์ของพระทินนาคะ ในภายหลัง ท่านได้ไปศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยนาลันทา และเป็นศิษย์ของพระธรรมปาละ ผลงานที่สาคัญของท่านคือประมาณวินิศจัย นยายพินทุ สมั พันธปรกี ษา เหตพุ นิ ทุ วาทนยายะ และสมานนั ตรสิทธิ 12.8 พระสมณะเฮ้ยี นจังหรือพระถงั ซัมจ๋ัง 1) พระถังซัมจ๋ังในประวัติศาสตร์ พระถังซมั จั๋ง มีชอื่ เดิมว่า สมณะเฮี้ยนจงั เป็นบุคคลในประวัติศาสตรม์ ีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.1143-1207 เป็นชาวมณฑลเหอหนาน เม่ือเยาว์วัยได้ติดตามพี่ชายคนท่ี 2 ซ่ึงบวชเป็นพระภิกษุ ในเมืองลั่วหยาง และได้รับเลือกให้เป็นนาคหลวง บรรพชาเป็นสามเณรเม่ืออายุ 13 ปี และมี ความสามารถในการแสดงธรรมเป็นอย่างมาก เป็นช่วงท่ีกระแสการศึกษาวิชาโยคาจารแพร่หลาย อย่างกว้างขวาง ประกอบกับท่านมอี ุปนิสัยที่เป็นคนชอบขบคดิ วิชานจี้ ึงเป็นท่ีถูกจรติ กับทา่ นมากเป็น พิเศษ ภายหลังได้จาริกไปศึกษากับอาจารย์ท่ีมีชื่อเสียงตามเมืองใหญ่ ๆ ในประเทศจีน กลับพบว่า อาจารย์แต่ละท่านต่างมีแนวการตีความแตกต่างกัน สาเหตุมาจากคัมภีร์มีการแปลกันหลายฝ่ายและ แปลไม่ครบตลอดทั้งฉบับ เป็นเหตุกระตุ้นให้ท่านตัดสินใจจาริกไปชมพูทวีปเพื่อศึกษาและอัญเชิญ คัมภีร์ฉบับจริงกลับประเทศ เม่ือสิ้นราชวงศ์สุย และเปล่ียนเป็นราชวงศ์ถังแล้ว ท่านจึงตัดสินใจ เดนิ ทางไปแสวงธรรมในประเทศอนิ เดีย ได้ออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 1172 พระถังซัมจั๋งได้จารกิ สู่ดินแดนตะวันตกเพ่ือแสวงหาพระสัทธรรมคัมภีร์เป็นเวลารว่ ม 19 ปี เป็นระยะทางกว่า 5 หมื่นล้ี ท่านได้พักอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาศึกษาคัมภีร์สันสกฤตต่าง ๆ เปน็ เวลา 5 ปี ตง้ั แต่ พ.ศ. 1174-1179 ท่านได้ศกึ ษาคมั ภีร์โยคาจารภูมศิ าสตร์กับพระอาจารย์ศีลภทั ร สมดังเปา้ หมาย นอกจากน้ี ได้กราบคารวะเพื่อขอศึกษาคัมภีร์ของลัทธินกิ ายต่าง ๆ จากพระอาจารย์ผู้ แตกฉานเฉพาะสาขาวิชานั้น ยกเว้นนิกายมนตรยานที่กาลังเป็นกระแสนิยมอยู่ในขณะนั้น แต่ท่านไม่ เลือกศกึ ษานิกายนี้เลย แม้ว่าพระอาจารย์บางท่านที่ท่านได้ศกึ ษาด้วยจะเชี่ยวชาญในคัมภรี ์ฝ่ายมนตร

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 45 ยานน้ีก็ตาม นอกจากได้ศึกษาในคัมภีร์ต่าง ๆ แล้ว ท่านยังจาริกไปนมัสการสังเวชนียสถานและพุทธ สถานตา่ ง ๆ เกือบจะทวั่ แคว้นต่าง ๆ ในอนิ เดยี ทัง้ 5 (อุษา โลหะจรญู , 2551, น. 66) พระถังซัมจั๋งเดินทางกลับถึงนครฉางอัน ประเทศจีนใน พ.ศ. 1188 ในสมัยพระเจ้า ถังไท่จง พร้อมทั้งอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตเป็นจานวน 657 ปกรณ์ และพระพทุ ธรปู ตา่ ง ๆ โดยใช้ม้า 20 ตัว บรรทกุ กลับ ท่านตระหนักดีว่า สิ่งที่จะเป็นเครื่องมือในการประกาศพระสัทธรรมให้กว้างไกลนั้น คอื ต้องแปลพระธรรมคมั ภีร์ทน่ี ามาจากอินเดยี ให้เปน็ ภาษาจนี ด้วยเหตุน้ี ภายหลังจากที่ทา่ นเดินทาง กลับสู่มาตุภูมิ ท่านจึงปฏิเสธการอาราธนาหลายครั้งจากพระเจ้าถังไท่จง ที่ทรงขอให้ท่านลาสิกขามา ช่วยบริหารงานราชการแผ่นดิน ในทางตรงกันข้าม ท่านกลับโน้มน้าวพระเจ้าถังไท่จงให้ทรงหันมา เล่ือมใสพระพทุ ธศาสนา ท่านได้จัดตั้งสนามแปลคัมภีร์พระไตรปิฎกจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนขึ้นภายใต้ พระบรมราชูปถัมภ์ โดยท่ีจานวนคัมภีร์ท่ีท่านแปลมีมากถึง 75 ปกรณ์ 1,335 ผูก แต่ท่านแปลออกมาได้ เพียงราว 1 ใน 10 ของคัมภีร์ท่ีท่านนากลับประเทศจีน ตามสถิติท่ี มีบันทึกในประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนาจีน เฉพาะยุคสมัยต้นราชวงศ์สุย (พ.ศ. 1124) ถึงต้นราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1343) รวมเวลา 220 ปี มีคมั ภีรท์ ่ีแปลทั้งสน้ิ 491 ปกรณ์ นับได้ 2,622 ผูก กว่าคร่ึงหนึ่งเป็นงานแปลของท่าน (4 นกั แปล ผู้ย่ิงใหญ่คือพระกุมารชีพ พระปรมรรถ พระสมณะเฮ้ียนจังและพระอโมฆวัชระ) และพระเจ้าถังไท่จงได้ ทรงอาราธนาพระถังซัมจั๋งให้เขียนบันทึกการเดินทางไปอินเดีย จึงปรากฏหนังสือเรื่อง “ต้าถังซีวีจี้” แปลว่า “จดหมายเหตุการเดินทางสูด่ ินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถงั ” ส่งให้จดหมายเหตุชน้ิ น้ีของ ทา่ นน้นั อุดมไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับดินแดนในเอเชียกลางและเอเชียใต้เมือ่ พันกว่าปีท่ีแลว้ กว่า 138 แว่นแคว้น โดยในจานวนนี้มี 110 แคว้นท่ีท่านเดินทางไปดว้ ยตนเอง ขณะท่ีอีก 28 แคว้นนั้นท่านบันทึก จากคาบอกเล่าของผู้อื่น นับเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ท่ีสาคัญย่ิง ในรัชกาลต่อมาพระเจ้าถังเกาจง พระองค์ทรงรับอุปถัมภ์งานแปลพระไตรปฎิ กต่อ ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นาประเทศหลายพระองค์ นับต้ังแต่พระราชาแห่งแคว้นเกา ชาง ผู้ให้ทุนการศึกษาแก่สมณะเฮี้ยนจังเพียงพอที่ท่านจะอยู่ศึกษาในอินเดียถึง 20 ปี บวชพระใหม่ เพ่ือติดตามรับใช้ท่านในระหว่างเดินทาง โดยมีข้อตกลงว่า เม่ือท่านสาเร็จการศึกษาแล้ว จะต้อง กลบั ไปเผยแผ่พระพุทธธรรมทเี่ มืองเกาชางเป็นเวลา 3 ปี ข่านแห่งแคว้นสมารกันด์ ทรงให้ล่ามที่รู้ภาษาจีนและเอเชียกลางร่วมเดินทางไปกับ ทา่ น พร้อมมรี าชสาสนถ์ ึงแคว้นต่าง ๆ ใหค้ อยอานวยความสะดวกระหวา่ งท่ีทา่ นตอ้ งจาริกผา่ นไป พระเจ้ากุมารแห่งแคว้นกามรูป ทรงหันมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาและปวารณาตน จะสร้างวดั รอ้ ยวัดถวาย ถา้ ท่านไมก่ ลับคนื ประเทศจีน พระเจา้ ศลี าทติ ยแ์ ห่งอินเดยี ทรงเป็นเอกองคอ์ ุปถมั ภม์ หาวทิ ยาลัยนาลันทาและเป็น ผู้จัดเวทีธรรมสากัจฉาขึ้นท่ีเมืองกันยากุพชะ เปิดโอกาสให้สมณะเฮ้ียนจังได้แสดงหลักธรรม ตามท่ี ทา่ นไดป้ ระมวลข้ึนเป็นคัมภีร์ จนท่านได้รบั สมญานามว่า “มหายานเทวะ” และ “โมกษะเทวะ” จาก การโต้กระทธู้ รรมในครั้งนน้ั พระเจ้าถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง แม้ว่า สมณะเฮี้ยนจังจะมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า ถงั ไทจ่ งเปน็ เวลาส้นั ๆ เพียง 5 ปี แต่เปน็ ชว่ งเวลาที่สาคัญยิง่ เพราะทรงเปน็ ผทู้ ี่มบี ทบาทสาคัญในการ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 46 สนับสนุนการแปลคัมภีร์ และแม้ว่าในทางนิตินัย ลัทธิเต๋าจะมีสถานะเหนือกว่า แต่ในทางพฤตินัย พระเจ้าถงั ไทจ่ งทรงใหค้ วามสาคญั กบั พระพทุ ธศาสนาไมย่ ง่ิ หย่อนกวา่ กัน พระเจ้าถังเกาจง พระโอรสของพระเจ้าถังไท่จง ทรงให้การสนับสนุนสมณะเฮี้ยนจัง ต้ังแต่เม่ือคร้ังที่ยังทรงเป็นพระยุพราช ทรงให้ความเคารพท่านอย่างสูงย่ิง ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้พระโอรสพระองค์หนึ่งบรรพชาในสานักของท่านต้ังแต่ยังทรงเป็นพระทารก และในคราวที่ท่าน มรณภาพ ถึงกับงดว่าราชการหลายวนั ตรสั ดว้ ยความเศรา้ โศกว่า “ดวงมณขี องชาตไิ ดแ้ ตกดับแลว้ ” หลังจากที่ท่านได้ทุ่มเทพละกาลังไปในการแปลคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสูตร เป็น เวลากว่า 3 ปีจนแล้วเสร็จ สุจภาพร่างกายของท่านได้ทรุดโทรมเสื่อมถอยลงมาก รู้ตัวว่า ความไม่ เท่ียงกาลังมาถึง ได้เรียกสานุศิษย์ในวดั มาส่ังเสียว่า “หลักธรรมทด่ี ี ย่อมทาลายมายา วัตถุเป็นส่งิ ไม่ เท่ยี ง ไม่คงทนถาวร ปนี ี้ เรามีอายุ 65 ปีแล้ว ต้องละสงั ขารที่วัดอวฮ้ี วานีแ้ น่นอน ผ้ทู ่ีมีข้อสงสัยใน พระคัมภีร์ ให้รีบถามเสียแต่บัดนี้ ตัวเรามาที่วัดอว้ีฮวาเพื่อแปลคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสูตร บัดน้ี ภารกิจได้สาเร็จลุล่วง ตัวเราเองก็ถึงที่สุดแห่งชีวิตแล้ว หากมีอะไรเป็นไป พวกท่านจงจัด งานอย่างประหยัด เรียบง่าย ให้เอาเสื่อห่อไปฝัง เลือกที่ใกล้ภูเขาลาธาร อย่าใกล้วัด วังอาราม สังขารอันน่าสะอิดสะเอียนควรอยู่ในที่ห่างไกลผูค้ น” พระถงั ซัมจ๋งั ไดม้ รณภาพในพ.ศ. 1207 สริ ริ วม อายไุ ด้ 65 ปี (อษุ า โลหะจรญู , 2551, น. 128-129) พระสมณะเฮี้ยนจัง นอกจากเป็นพระนักแปล นักปฏิบัติ ผู้รอบรู้พระพุทธศาสนา โดยการนาความรู้ท่ีได้ศึกษากลับไปเผยแผ่ยังบ้านเกิดเมืองนอนของตน อุทิศชีวิตให้กับงาน พระพุทธศาสนา ด้วยการศึกษาค้นคว้าแปลพระธรรมคัมภีร์ และเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านยังเป็น นักเดินทาง นักภาษาศาสตร์ เป็นแบบอย่างของนักเรยี นนอกและนักเรียนทุนดีเด่น เป็นพระธรรมทูต ระดับนานาชาติที่สร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างประเทศจีนและประเทศอินเดีย รวมไปถึง ดนิ แดนในเอเชียกลางท่ที า่ นจารกิ ผ่านไป 2) พระถงั ซมั จง๋ั ในวรรณคดี พระถังซัมจั๋ง ภาคนิยายไซอ๋ิว เป็นผู้มีบุญมาเกิด โดยลอยมาตามน้า พระภิกษุรูป หน่ึงเก็บได้ และเลี้ยงให้เติบใหญ่ โดยเป็นผู้ท่ีใฝ่ในพระธรรมมาต้ังแต่ยังเล็ก เม่ือเติบใหญ่จึงได้บวช เรยี น มีชื่อเสียงทางด้านศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งไดร้ ับการอุปถมั ภจ์ ากถงั ไท่จงฮ่องเต้ ปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์ถัง ผู้ท่ีเล่ือมใสในพุทธศาสนา นับถือเป็นน้องชายบุญธรรม ให้ใช้ชื่อว่า “ถังซัมจ๋ัง” และ ได้รบั มอบหมายให้เป็นผู้ไปอญั เชิญพระไตรปิฏก ณ ชมพทู วปี อนั ห่างไกล ตลอดระยะเวลาการเดินทาง พระถังซัมจ๋ังต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ เช่ือว่า เน้ือของพระถังซมั จั๋งกินแลว้ อายยุ นื หม่ืนปี พระถงั ซมั จัง๋ จงึ มักพวกปิศาจจบั ตวั บ่อยคร้งั ช่ือของสมณะเฮี้ยนจังไม่ค่อยเป็นท่ีรู้จักในประเทศไทย แต่คนไทยจะรู้จักพระถังซัม จั๋ง ในนวนยิ ายไซอวิ๋ ไซอิว๋ เป็นนวนยิ ายท่นี กั เขียนจีนสมยั ราชวงศห์ มงิ ตอนปลาย นานิทานและคาบอก เล่าเกี่ยวกับสมณะเฮ้ียนจัง เดินทางไปจาริกธรรมในชมพูทวีปมาแต่เป็นนวนิยาย พระถังซัมจั๋งในนว นิยายไซอ๋ิวพ้องกับพระถังซัมจ๋ังเพียงแต่ช่ือเท่าน้ัน ส่วนความพิสดารต่าง ๆ ในไซอิ๋วเป็นจินตนาการ ของผู้เขยี นนวนยิ ายแตง่ เตมิ ขึน้ เอง (อษุ า โลหะจรูญ, 2551, น. คานิยม)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 47 12.9 พระอคิ ค้ิว อิคค้ิว โซจุน (พ.ศ. 1937–2024) เป็นพระนิกายเซนชาวญ่ีปุ่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุค มุโระมะชิ เป็นพระที่เด่นท่ีสุดรูปหนึ่งของญี่ปุ่นในยุคน้ี บทกวีของท่านจานวนมากได้ตกทอดมาถึง ปัจจุบัน และเปน็ ต้นแบบของอิคคิว้ ซังในการต์ นู เณรน้อยเจา้ ปัญญา 1) ประวตั ิ อิคค้ิวเกิดที่เมืองเคียวโตะ ช่ือในวัยเด็กคือเซงกิกุมารุ เขาเป็นลูกนอกสมรสของ จักรพรรดิโงโคะมะสึ แม่ของอิคคว้ิ ถูกกลั่นแกล้งเพราะมาจากราชวงศ์ทางใต้จนต้องหนอี อกจากราชวัง อิกกีวเร่ิมบวชที่วัดอังโกะกุจิตอนอายุได้ 6 ขวบ และเปลี่ยนช่ือเป็นชูเคง เขามีความสามารถทางด้าน การแต่งกลอนต้ังแต่ยังเด็ก เม่ืออายุ 13 ขวบ อิคค้ิวซึ่งขณะน้ันย้ายมาอยู่วัดเคนนินแต่งกลอน วิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติท่ีไม่เหมาะสมของพระที่กอบโกยทรัพย์สินยศถาบรรดาศักด์ิบนความ ทกุ ขย์ ากของชาวบา้ น เมื่ออายุได้ 17 ปี อิคคิ้วย้ายมาที่วัดไซกินเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเคนโอ โซอิ และได้ ฉายาว่าโซจุน ต่อมาหลวงพ่อเคนโอมรณภาพ อิกคิ้วจึงเดินทางไปวัดอิชิยะมะ อดอาหาร 7 วัน 7 คืน และพยายามฆ่าตัวตายที่แม่น้าเซตะ อิคคิ้วจึงอธิษฐานจิตว่า “ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามี ชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สาเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซ่ึงคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศ สังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้า” ระหว่างที่ด่ิงลงในท้องน้า อิคค้ิวก็นึกถึงหน้าท่านแม่และ คาสอนขึ้นมาทนั ใด “เป็นลูกผ้ชู ายต้องไม่ย่อท้อ” อิกกวี จงึ ตะเกียกตะกายกลบั ข้นึ ฝ่งั หลังจากนั้น เมื่ออายุได้ 23 ปี อิคควิ้ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคะโซ โซดน แห่ง วัดไดโตคุ อิคค้ิวสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซต้ังไว้ได้จึงได้รับฉายาใหม่ว่า “อิกกีว โซจุน” ขณะท่ีอยู่ที่วัดไดโตะกุนี้ ท่านต้องทางานท้ังวัน และปฏิบัติอย่างหนักหน่วง นอกจากใช้แรงงานในวัด แล้ว อิกค้ิวยังต้องสานรองเท้า เย็บเส้ือผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงานในหมู่บ้านละแวกนั้น ซ้ายังโดนพระรุ่นพี่ท่ีไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่ในท่ีสุดอิคค้ิวก็สามารถบรรลุธรรมในขณะท่ีนั่ง สมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ “เหตุแห่งความทุกขแ์ ละความเศร้าหมองที่เกดิ ข้ึนในชีวติ ล้วนเกดิ จากจิตท่ี เตม็ ไปดว้ ยอัตตา” คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ เมื่อทราบว่าอิคคิ้วสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ท่ีจะมอบ ใบสาเร็จเปรียญธรรมให้ แต่อิกค้ิวปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นส่ิงสมมติ” และเริ่ม ออกธุดงค์ เม่ือท่านอายไุ ด้ 75 พรรษา ระหวา่ งที่ธดุ งคเ์ ร่รอ่ นหลบภยั สงครามภายในประเทศมา อยู่ท่ีเมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับชินจิชะ หญิงศิลปินขอทานตาบอด ซึ่งภายหลังท่านได้รับนางเป็น ภรรยา เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดแิ ตง่ ตง้ั ให้อิคค้วิ เป็นเจ้าอาวาสวดั ไดโตะกุซึ่งเป็นวดั หลวงท่ีสาคัญ ที่สดุ ในสมัยน้ัน เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิคค้ิวจึงยอมรับตาแหน่ง แต่เพียงแค่วันเดียวก็ ลาออกกลับมาอยู่วัดเมียวโชจิที่ท่านสร้างจวบจนวาระสุดท้าย ท่านมรณภาพเพราะโรคมาลาเรีย ใน พ.ศ. 2024 เม่ืออายุได้ 88 ปี 2) อปุ นิสยั อิคคิ้วเป็นพระท่ีมีนิสัยประหลาด และปฏิเสธสังคมพระในขณะนั้นอย่างรุนแรง ทา ทุกอย่างท่ีถอื วา่ เป็นอาบัติ เช่น ดื่มสุรา เลน่ การพนัน ฉันเนือ้ สัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา มีสัมพันธ์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 48 กบั ผู้หญิง ซึ่งอิกคิ้วทาเพื่อตอ้ งการต่อตา้ นและเสยี ดสรี วมท้ังสั่งสอนพระจอมปลอมในยุคน้ันให้ละอาย กับการลวงโลก ทา่ นปฏเิ สธกฎเกณฑ์และประเพณีเกา่ ๆ ไมว่ ่าจะเป็นเร่ืองการเซ่นสรวงหรือการทอ่ ง พระสูตร สายฝนและน้าค้างอันธรรมชาติประทานมาให้ แสงจันทร์ที่สาดส่อง สายลมท่ีพัดยอดสนให้ ไหวพริ้ว เสียงน้าท่ีตกกระทบหินผา เหล่านค้ี ือการอา่ นพระสูตรท่แี ท้จริง อิคคิ้วเรียกตวั ทา่ นเองวา่ เป็น “บุตรแห่งเมฆที่เร่รอน” บุคลิกภาพของท่านพิเศษไปจากสามัญ ท่านเป็นอิสระจากทุกสิ่งและมี อารมณ์ขัน ความเย่อหย่ิงของพวกผู้ดีในขณะท่ีคนจนขาดแคลน ทาให้เกิดเร่ืองราวพิสดารมากมาย เกย่ี วกบั การกระทาของท่าน ครั้งหน่ึง ขณะท่ีท่านภิกขาจารมาถึงประตูบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง ท่านอยู่ในชุดนุ่งห่ม ท่ีเก่าและสกปรก คนในบ้านของเศรษฐีได้โยนเศษสตางค์อันหนึ่งให้ท่าน วันต่อมา ท่านได้กลับไปท่ี บ้านหลงั นั้นอีก คราวน้ี ท่านไดแ้ ต่งเครอ่ื งสมณศักด์ิเตม็ ยศ เศรษฐไี ด้รีบกุลกี ุจอออกมาต้อนรับและนา ทา่ นเข้าไปถึงห้องรับแขก พร้อมทั้งจัดหาอาหารอย่างดีที่สุดมาถวาย แต่แทนทีท่ ่านจะฉันอาหาร ท่าน กลับลุกข้ึนและถอดเครื่องแบบสมณศักด์ิทั้งหมดออกวางตรงหน้าอาหารและประกาศว่าอาหารอัน หรูหราเหล่านีม้ ใิ ช่จดั ขึน้ สาหรบั ท่าน แตจ่ ดั ขน้ึ สาหรับเคร่อื งแบบเหล่านน้ั ในสมัยท่ีหลวงพ่อผู้มีอุปการคุณต่อท่านอิคคิ้วมาตั้งแต่เด็ก สารวมจิตจวนจะทา กาลกิรยิ าอยู่น้ัน ท่านอิคคิ้วกค็ ลานเข้าไปกราบ เรียนถามว่า “กระผมต้องบอกหนทางให้หลวงพ่อไหม ครับ” หลวงพ่อยังมีสติดีอยู่ ตอบแผ่ว ๆ ว่า “ฉันมาก็มาแต่ลาพังผู้เดียว เวลาจะไปก็ไปแต่ ลาพังผเู้ ดียว เจา้ จะมาชว่ ยอะไรได้เล่า” พอดี ท่านอิคคิ้วก็ตอบด้วยถ้อยคาว่า “หากหลวงพ่อนึกว่าหลวงพ่อเกิด แล้วหลวง พ่อต้องตายจริง ๆ แล้ว นั่นยังถูกบดบังหุ้มห่อด้วยความไม่รู้อยู่อีกนะครับ ถ้าอย่างน้ันผมจะบอกทาง ใหห้ ลวงพอ่ ละ ทางท่ีไม่ต้องเรยี กว่าเกิด ไม่ตอ้ งเรียกว่าตายไงละ่ หลวงพ่อ” พอส้ินประโยคถ้อยคาสาคัญย่ิงของลูกศิษย์ หลวงพ่อกพ็ ร้มิ ดับไป (ทววี ัฒน์ ปุณฑริก วิวัฒน์, 2530, น. 186-188) 3) ข้อสังเกต อิคคิ้วน่าจะสร้างภาพให้เหมือนว่าท่านเป็นพระนอกรีด โดยเน้นให้คนเราได้เห็นว่า พระกับคนท่ัวไปไม่แตกต่างกัน หากยังยึดติดกามอารมณ์ แต่ท่านคงไม่ได้ทาตัวม่ัวกิเลสอย่างท่ีได้รับ การตีความ และการมีภรรยาก็คงมิใช่การลากสังขารมามีอะไรกับใคร แต่คงเป็นการให้เกียรติและยก ยอ่ ง เพ่ือให้สังคมมองเห็นถึงความไม่แน่นอนในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะคุณค่าของความเป็นคน ท่ีไม่ มสี ่งิ ใดสมมตไิ ด้ ยกเวน้ วา่ จะมองเหน็ หรอื ทาใหม้ องเห็นสัจธรรมได้อยา่ งไรกเ็ ท่าน้ันเอง 12.10 พระอรหันต์จ้กี ง 1) พระจกี้ งในประเทศจนี “พระจี้กง” เป็นพระท่ีชาวจีนนิยมนับถือมากที่สุดองค์หน่ึง เช่นเดียวกับพระยิ้ม หรอื พระถุงย่าม แม้ว่าพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาจะมมี ากมาย และนามเรียกขานของพระอรหนั ต์ เหล่าน้ัน ยากที่จะมีผู้จาได้ท้ังหมดแต่ในบรรดาพระอรหันต์ดังกล่าวจะมี “พระจ้ีกง” ท่ีชาวจีนทุก ครวั เรอื นล้วนรจู้ กั กนั เปน็ อยา่ งดี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 49 พระจ้ีกง เป็นคนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เกิดในปีรัชศกซ่าวซิงปีที่ 19 ซึ่งก็คือ ค.ศ. 1148 และมรณภาพในค.ศ. 1209 ทา่ นมีชีวิตอยู่เพยี ง 61 ปีเท่านัน้ พระจ้กี งเป็นชาวไถโจว ปัจจุบันคือแถบอาเภอหลินไห่ ของมณฑลเจ้อเจยี ง นามเดิม ของท่านคือ ลี่ซินหย่วน ท่านออกบวชท่ีวัดหลิงอวิ่นซื่อ ที่เมืองหัวโจว มณฑลเจ้อเจียง แล้วมีช่ือทาง ธรรมว่าเต้าจี้ ต่อมาท่านได้ย้ายมาอยู่ท่ีวัดจ้ิงฉือซื่อ และมรณภาพท่ีวัดน้ี (จุฬาวิทยานุกรม, ศูนย์การ ส่อื สารนานาชาติแหง่ จุฬาฯ, 2564) เน่อื งจากพระจก้ี งไมน่ ิยมปฏิบตั ิตามกฎของสงฆ์ ชอบกนิ เนอื้ สัตว์และด่ืมเหลา้ อีกท้ัง มีท่าทางเหมือนคนบ้า ผู้คนจึงเรียกท่านว่า พระบ้า พระจี้กงมีจิตใจเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้คนที่ไม่ได้ รับความยตุ ิธรรม อกี ท้ังดูถูกข้าราชการท่ชี อบกินสนิ บน อกี ทงั้ กดขข่ี ม่ เหงประชาชน การปฏิบัติตัวของ พระจี้กงเปน็ ที่นยิ มนับถือของประชาชนทงั้ หลาย จนเรยี กกนั ว่า ท่านคือพระโพธิสัตว์หรือพระพทุ ธเจ้า กลบั ชาติมาเกิดในยุคปัจจุบัน ท่านมลี กู ศษิ ย์มากมาย และมีเรื่องเล่าขานเก่ียวกับอภนิ ิหารของพระจกี้ ง ไว้มากเช่นกนั โดยกล่าวกนั ว่า พระจ้ีกงเป็นพระอรหันตเ์ จี้ยงหลงกลบั ชาติมาเกิด ทีเ่ มืองหงั โจว 2) พระจี้กงในประเทศไทย ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าพระจี้กงจะได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ของ พระพุทธศาสนาก็ตาม แต่ในวัดจีนกลับไม่ได้ต้ังรูปเคารพพระจี้กงไว้สาหรับศาสนิกชนบูชาเลย แต่รูป พระจี้กงกลับไปปรากฏในศาลเจ้าบางศาล เช่น ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย ถนนประชาชื่น และในมูลนิธิบาง แห่ง เชน่ มูลนธิ ิสว่างจรรยาธรรม จังหวดั บุรีรัมย์ และในสถานธรรมอกี หลายแห่งที่ตง้ั ข้ึนโดยลัทธิอี๋ก้วน เต้า ซ่ึงนับถือพระจ้ีกงเป็นเจ้าลัทธิ ในเมืองไทยเองก็มีลัทธิอ๋ีก้วนเต้าหลายแห่ง และมูลนิธิสว่างจรรยา ธรรม กจ็ ดั ว่าอยู่ในลทั ธิอี๋กว้ นเต้าเช่นกนั (จฬุ าวทิ ยานกุ รม, ศนู ยก์ ารส่อื สารนานาชาติแหง่ จุฬาฯ, 2564) 13. บทสรุป พระพุทธศาสนาท่มี ีการเผยแผ่ไปในสถานท่ีต่าง ๆ ทว่ั โลก มีประวัติและพัฒนาการไปตามยุค สมัย มีการแบ่งยุคต่าง ๆ ไว้ 4 ยุค คือ ยุคต้นหรือด้ังเดิม ยุคหีนยาน ยุคพัฒนาของมหายาน และยุค ร่งุ เรืองของมหายาน ซึ่งคาว่า มหายาน หมายถึง พาหนะที่ใหญ่ สามารถขนสัตว์ให้ก้าวข้ามสังสารวัฏ ได้มากกว่าหีนยาน พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งการแยกตัว ออกมาก่อตั้งเป็นกลุ่ม “มหาสังฆิกะ” หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ประมาณ 200 ปี ซ่ึงช่วงเวลา นั้นพระพุทธศาสนาได้มีการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย กลุ่มท่ียึดมั่นปฏิบัติตามคาสอน ดั้งเดิมตามมติพระมหาเถระเมื่อครั้งปฐมสังคายนา เรียกว่า ฝ่ายหีนยาน ส่วนกลุ่มท่ีถือมติปรับปรุง เปล่ียนแปลงพระธรรมวินัยให้เหมาะกับกาลเทศะ โดยไม่เปลี่ยนหลักการใหญ่ ๆ ที่เป็นรากแก้วของ พระพุทธศาสนา เปลี่ยนแปลงแต่ข้อปลีกย่อยทางปฏิบัติ วิธีการและนโยบาย เรียกว่า ฝ่ายมหายาน กลุ่มน้ีจะเน้นแนวคิดเก่ยี วกับการบาเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าขณะที่เป็นพระโพธิสตั ว์ สอนให้บุคคลต้ัง ปณธิ านมงุ่ พุทธภมู ิ เพ่อื มีโอกาสในการโปรดสรรพสัตว์ไดก้ วา้ งขวาง ฉะนั้น จงึ มสี กิ ขาบทพิเศษอกี สว่ น หนึ่ง ซึ่งไม่มีในเถรวาทคือ โพธิสัตว์สิกขาบท หรอื โพธิสัตว์ศลี ซึ่งศีลประเภทน้ีเป็นสาธารณะทว่ั ไปแก่ บรรพชิตและฆราวาส มิได้จากัดเพศ ใครก็ตามที่มีโพธิจิตตั้งความปรารถนาเพ่ือบรรลุพุทธภูมิไซร้ ก็ ย่อมบาเพ็ญตามสิกขาบทนี้และโพธิจริยาอ่ืน ๆ มี ทศบารมี เป็นต้น สิกขาบทของพระโพธิสัตว์ มี 58 สิกขาบท จาแนกเป็นครุกาบัติ 10 และลหุกาบัติ 48 พระไตรปิฎกของมหายานประกอบด้วยพระวินัย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 50 ปิฎก จะมี 250 ข้อ พระสุตตันตปิฎก มีพระสูตรท่ีสาคัญ ๆ หลายพระสูตร แบ่งออกเป็น 5 หมวด คือ (1) หมวดอวตังสกะ (2) หมวดไวปุลยะ (3) หมวดปรัชญา (4) หมวดสัทธรรมปุณฑรีก และ (5) หมวด ปรินิรวาณร ส่วนพระอภิธรรมปิฎก ส่วนมากจะเป็นของนิกายมาธยามิกะและนิกายโยคาจาร เป็น ศาสตร์ที่ใหญ่และยาวที่สุด เช่น โยคาจารภูมิศาสตร์และมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ แต่นักปราชญ์ บางท่านจะเรียกว่า ปกรณ์วิเศษ ส่วนประเด็นเก่ียวกับพุทธประวัติมีความผิดแปลกไปจากฝ่ายหีนยาน บ้างในบางประเด็น เช่น เร่อื งมูลเหตุการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ มหายานอ้างว่า เจ้าชายแพ้มติ เรื่องการทาสงครามในสภาศากยวงศ์เป็นสาคัญ ไม่พูดถึงเทวทูต 4 อันเป็นเหตุตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาท เปน็ ต้น พระพุทธศาสนามหายานมีบคุ คลที่มีบทบาทสาคัญ เช่น พระเจ้ากนิษกมหาราช พระอศั วโฆษ พระนาคารชุน พระอสังคะและพระวสุพันธุ พระทินนาคะ พระธรรมปาละ พระสมณะเฮ้ียนจังหรือ พระถังซมั จง๋ั พระอคิ ค้ิว และพระจ้ีกง เป็นตน้

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 51 แบบฝกึ หัดบทที่ 2 1. Suzuki Beatrice ไดแ้ บ่งยคุ ของพระพทุ ธศาสนาไว้ก่ยี ุค คือยคุ อะไรบ้าง 2. อธิบายความหมายของมหายาน 3. พระพุทธศาสนามหายานเกิดขน้ึ ในชว่ งเวลาใด 4. พระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนกิ ายใหญ่ ๆ ไดก้ ่ีนิกาย คอื นกิ ายใดบา้ ง 5. นักปราชญเ์ ปรยี บเทยี บพระพทุ ธศาสนาเหมือนกับอะไร 6. ให้เขียนถึงทัศนะของพระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ฯ (โพธ์ิแจ้ง) เกี่ยวกับสาเหตุการ แบง่ แยกเปน็ นิกาย 7. ใหส้ รปุ พระไตรปฎิ กของมหายาน 8. เขยี นถึงมลู เหตกุ ารออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะในทัศนะของพุทธประวตั มิ หายาน 9. ให้ยกตัวอย่างบุคคลผมู้ ีบทบาทสาคญั ทางมหายานมา 5 คน 10. นักศึกษาสนใจประวัติและปฏิปทาของบุคคลผู้มีบทบาทสาคัญทางมหายานท่านใดมาก ทีส่ ุด เพราะเหตผุ ลใด

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 52 เอกสารอ้างองิ ประจาบทที่ 2 กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ถ่ายทอดเป็นพากย์ไทย. (2544). มหากาพย์พุทธจริต. (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์สขุ ภาพใจ. จุฬาวิทยานุกรม, ศูนยก์ ารส่ือสารนานาชาติแหง่ จฬุ าฯ. (2565). พระจีก้ ง. สืบค้นข้อมูลเม่ือ 2 มีนาคม 2565, จาก http://www.chulapedia.chula.ac.th/index.php?title=พระจ้ีกง&redirect=no. ทววี ฒั น์ ปุณฑรกิ ววิ ัฒน์. (2530). ประทีปแห่งเซน. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พส์ ุขภาพใจ. ประชา ปสนฺนธมฺโม, พระ. (2528). เล่าไว้เม่ือวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส/พุทธทาสภิกขุ. กรงุ เทพฯ: โกมลคีมทอง. พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) แปลและเรียบเรียง. (2513). สารัตถธรรมมหายาน. กรงุ เทพฯ: ม.ป.ท. มลู นิธสิ ังฆประชานุเคราะห์ และสมาคมอื่น ๆ. (2531). พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ: ธนาคาร กรุงเทพ จากัด. ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: หา้ งห้นุ สว่ นจากดั อรุณการพิมพ์. สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2542). จากนาลันทาถึงมหาจุฬา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2543). พระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย พัฒนาการและ สารตั ถธรรม. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2530). ประวัติศาสตร์ศาสนา. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย รามคาแหง. สาเนียง เล่ือมใส ปริวรรต แปลและเรียบเรียง. (2543). มหากาพย์เสานทรนันทะ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เสฐียร พันธรังษี, ศ.พิเศษ. (2543). พุทธศาสนามหายาน. (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ สขุ ภาพใจ. เสฐียร พันธรังษี, ศ.พิเศษ. (2542). พุทธประวัติมหายาน (พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่). (พิมพ์ครั้งท่ี 5). กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์ศยาม. เสถียร โพธินนั ทะ. (2511). คดธี รรม-คดีโลก. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พบ์ รรณาคาร. เสถียร โพธนิ ันทะ. (2522). ปรชั ญามหายาน. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พบ์ รรณาคาร. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. (2519). ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. อภิชัย โพธ์ิประสิทธ์ิศาสต์. (2525). พระพุทธศาสนามหายาน. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: มหามกุฏ ราชวิทยาลยั . อมร อมโร และคณะ, พระมหา, แปลและเรียบเรียง. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีท่ี ลว่ งแลว้ . กรุงเทพฯ: โรงพิมพส์ รุ วฒั น์. อุษา โลหะจรูญ. (2551). พระถงั ซมั จั๋ง ชวี ิตจรงิ ไม่อิงนยิ าย. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์สขุ ภาพใจ.

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 53 Daisetz Teitaro Suzuki. (1 9 7 3 ). Outlines of Mahayana Buddhism. New York: Schochen Books. Geshe Namgyal Wangchen. (1987). An Awakening of the Mind of Enlightenment Meditation on the Buddhist Path. London: Wisdom Publications. Nalinaksha Dutta. (1998). Buddhist Sects in India. Delhi: Motilal Baranarsidas Publishers Private Limited. Suzuki Beatrice. (1981). Mahayana Buddhism. (Forth Edition). London: George Allen and Unwin Ltd.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 3 บทที่ 3 ความสมั พนั ธแ์ ละความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน เน้ือหาประจาบท 1. บทนำ 2. หลักพนื้ ฐำนทพี่ ระพทุ ธศำสนำเถรวำทและมหำยำนมรี ่วมกัน 3. ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งนิกำยเถรวำทและมหำยำน 4. บทสรปุ แบบฝกึ หัดบทที่ 3 เอกสำรอ้ำงองิ ประจำบทที่ 3 จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. นักศึกษำวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์และควำมแตกต่ำงระหว่ำงพระพุทธ ศำสนำเถรวำทและ มหำยำน 2. นักศึกษำมีกำรเสริมทักษะด้ำนควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปจั จบุ นั 3. นกั ศึกษำใช้หลักกำรตำมพระพทุ ธศำสนำมหำยำนเป็นเครอ่ื งมือในกำรเรียนรแู้ ละวิเครำะห์ สถำนกำรณ์ท่ีเกดิ ขึน้ ในสงั คมได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรียงเนื้อหำสำคญั ๆ นำข้อมลู ที่ได้มำถ่ำยทอดเนื้อหำดว้ ยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชน้ั เรยี น 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเน้ือหำ/ฝึกตั้งคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในชั้น เรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเน้ือหำท่ีเก่ียวข้องเพ่ิมเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมุด และเว็บไซต/์ ทำแบบฝึกหดั ท้ำยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สือ่ การเรียนการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เปน็ ต้น การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำช้ันเรยี น กำรส่ง งำนที่มอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมทงั้ ในและนอกห้องเรียน 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เนื้อหำ และนำเสนอผล

55 กำรศกึ ษำค้นคว้ำมำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขียนรำยงำนและนำเสนอในชน้ั เรยี นดว้ ยกำรใช้ เครอ่ื งมอื หรอื โปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เชน่ Power point เปน็ ต้น 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชงิ ตวั เลข กำรสื่อสำรและกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคดิ เห็น กำรถำม-ตอบ กำรวิเครำะหเ์ น้อื หำท่ีเรียน กำรสรุปเนอ้ื หำ กำรนำเสนอในชนั้ เรียน และกำรสง่ งำนใน Google Classroom

บทท่ี 3 ความสัมพนั ธ์และความแตกต่างระหวา่ ง พระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน 1. บทนา พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้าไปในประเทศต่าง ๆ เกือบท่ัวภาคพ้ืนเอเชียโดยเฉพาะ ประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น ศรีลังกา พม่า ลาว เขมร เวียดนาม ฯลฯ ในแต่ละประเทศ มีบรรยากาศและ ขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน ดังน้ัน การท่ีพระพุทธศาสนาจะสามารถตั้งหลักแหล่งได้ จึง จาต้องดัดแปลงหลักการปฏิบัติตามกาละและเทศะ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพ่ือจะได้ให้ประสบ ผลสาเร็จไปในประเทศต่าง ๆ น้ัน จึงมีความจาเป็นที่จะต้องแก้ไขข้อปฏิบัติบางประการเพื่อให้ เหมาะสมกับขนบธรรมเนียมประเพณี อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายานมที ้ัง หลักความเชือ่ ท่มี ีร่วมกันและความแตกตา่ งกัน 2. หลักพน้ื ฐานท่ีพระพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายานมีร่วมกนั หลักพ้ืนฐานท่ีพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายานมีร่วมกัน (Basic Points Unifying the Theravāda and the Mahāyāna) เป็นคาแถลงว่าด้วยหลกั ความเชอื่ ท่ีมีร่วมกันอันสาคัญยงิ่ ซ่งึ มีข้ึน ใน พ.ศ. 2510 ระหว่างการประชุมใหญ่ครั้งแรกของพุทธเถรสมาคมโลก (World Buddhist Sangha Council, อกั ษรย่อ WBSC) (Phra Walpola Rahula, 1974, pp. 100, 137-138) ขอ้ ความตน้ ฉบบั (ภาษาองั กฤษ) คาแปลภาษาไทย เรามีพระพุทธเจ้าเป็นนาย (พระบรมครูและผู้ชี้ 1. The Buddha is our only Master ทาง) เพียงพระองค์เดยี ว (teacher and guide). เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ไตรรัตน์) เป็นท่ีพงึ่ 2. We take refuge in the Buddha, the Dharma and the Saṅgha (the Three เราไม่เชอ่ื วา่ โลกน้ีสร้างขึ้นและปกครองโดยพระ Jewels). ผเู้ ปน็ เจา้ เราเห็นว่า ชีวิตมีความมุ่งหมายในอันท่ีจะ 3. We do not believe that this world is เพิ่มพูนความกรุณาตอ่ สรรพสัตวโ์ ดยไม่แบง่ แยก created and ruled by a God. และจะทางานเพ่ือความผาสุกสันติคุณวิบุลราศี แห่งสรรพสัตว์ ท้ังจะพัฒนาปัญญาเพื่อเข้าถึง 4. We consider that the purpose of life การหยั่งรู้ในสจั ธรรมสูงสดุ is to develop compassion for all living beings without discrimination and to work for their good, happiness, and peace; and to develop wisdom (prajñ ā) leading to the realization of Ultimate Truth.

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 57 5. We accept the Four Noble Truths, เรายอมรับในจตุราริยสัจ อันได้แก่ ทุกข์, เหตุ namely duḥkha, the arising of duḥkha, แห่งทุกข์, การดับทุกข์, และหนทางแห่งการดับ the cessation of duḥkha, and the path ทุกข์กับท้ังกฎว่าด้วยเหตุและผล (ปฏิจจสมุป leading to the cessation of duḥkha; and บาท) the law of cause and effect (pratītyasamutpāda). 6. All conditioned things (saṃskāra) are อันว่าสังขารทั้งปวงน้ันไม่เที่ยง (อนิจจตา) และ impermanent (anitya) and duḥkha, and เป็นทุกข์ (ทุกขตา - ไม่อาจคงสภาพเดิมได้) that all conditioned and unconditioned ธรรมทั้งหลายอันเป็นสังขาร (สังขตธรรม) และ things (dharma) are without self ไม่เป็นสังขาร (อสังขตธรรม) ล้วนไม่ใช่ตัวตน (anātma). (อนัตตตา) 7. We accept the thirty-seven qualities เรายอมรับว่า คุณสมบัติ 37 ประการอันนาไปสู่ conducive to enlightenment การตรัสรู้ (โพธิปักขิยธรรม) น้ัน เป็นทัศนคติ (bodhipakṣadharma) as different aspects ต่าง ๆ เกี่ยวกับวิถีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส of the Path taught by the Buddha สงั่ สอนเพือ่ นาพาไปส่กู ารรู้แจ้ง leading to Enlightenment. 8. There are three ways of attaining หนทางเข้าถึงพระโพธิญาณหรือการตรัสรู้นั้น มี bodhi or Enlightenment: namely as a 3 ประการ กล่าวคือ การเป็นสาวก (อนุพุทธะ), disciple (śrāvaka), as a pratyekabuddha การเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และการเป็นพระ and as a samyaksambuddha (perfectly สัมมาสัมพุทธเจ้า เรายอมรับว่าการดาเนินตาม กิจแห่งพระโพธิสัตว์ และการได้เป็นพระ and fully enlightened Buddha). We accept it as the highest, noblest, and สัมมาสัมพุทธเจ้าเพ่ือช่วยเหลือสรรพสัตว์น้ัน most heroic to follow the career of a เป็นวิถีทางสูงสุด มีเกียรติท่ีสุด และกล้าหาญ ท่ีสดุ ''Bodhisattva and to become a samyaksambuddha in order to save others. 9. We admit that in different countries เรายอมรับว่าความเชื่อและการปฏิบัติทาง there are differences regarding Buddhist พระพุทธศาสนาน้ันย่อมแตกต่างกันไปใน beliefs and practices. These external ประเทศต่าง ๆ ไม่พึงนาเอารูปแบบและการ forms and expressions should not be แสดงออกภายนอกเหล่านัน้ ไปสับสนกบั แก่นแท้ confused with the essential teachings of แห่งคาสอนของพระพุทธเจ้า the Buddha. จากคาแถลงว่าด้วยหลักความเชื่อที่มีร่วมกันในการประชุมใหญ่ครั้งแรกของพุทธเถรสมาคม โลก จะเห็นได้ว่าประเด็นสาคัญหลัก ๆ ที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาจะยอมรับร่วมกันไม่ว่าจะ เป็นศาสดาองค์เดียวกัน มีพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึง หลักอริยสัจ หลกั ไตรลักษณ์ หนทางเข้าถึงการตรัสรู้ (โพธปิ ักขยิ ธรรม)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 58 3. ความแตกตา่ งระหว่างนิกายเถรวาทและมหายาน พระดร.ดับบลิว ราหุล (Venerable Dr. W. Rahula) (1982, pp. 39-44) ได้ให้ทัศนะข้อ แตกตา่ งระหวา่ งเถรวาทและมหายานไว้ดังนี้ แต่มีบางเร่ืองเหมือนกันที่นิกายทั้ง 2 แตกต่างกัน ท่ีเห็นได้ชัดประการหน่ึง คือเรื่องอุดมคติ พระโพธิสัตว์ ประชาชนส่วนมากกล่าวว่ามหายานถือเอาอุดมคติพระโพธิสัตว์ว่าเป็นภาวะท่ีนาไปสู่ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่เถรวาทยึดถืออุดมคติพระอรหันต์ ผู้เขียนต้องขอช้ีแจงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ และพระสาวกเป็น พระอรหันต์ด้วยเหมือนกัน คัมภีร์ต่าง ๆ ของมหายานไม่เคยใช้คาว่า “อรหันตยาน” (ยานของ พระอรหันต์) แต่คัมภีร์เหล่านั้นใช้ 3 คาคือ โพธิสัตยาน ปัจเจกพุทธยานและสาวกยาน ในคัมภีร์ของ เถรวาทใช้คาวา่ “โพธิ” แทน “ยาน” บางคนคิดว่า เถรวาทเป็นนิกายท่ีเห็นแก่ตัว เพราะสอนว่าประชาชนควรแสวงหาความหลุด พ้นเพ่ือตัวเขาเอง แต่ผู้เขียนขอแย้งว่าบุคคลที่เห็นแก่ตัวตรัสรู้ได้อย่างไร? นิกายท้ัง 2 ยอมรับยาน 3 หรือโพธิ 3 แต่ถือเอาอุดมคติพระโพธิสัตว์ว่าเป็นอุดมคติขั้นสูงสุด มหายานได้สร้างพระโพธิสัตว์ที่ ลกึ ลับจานวนมาก ในขณะท่เี ถรวาทเห็นว่าพระโพธสิ ัตว์เป็นมนษุ ยใ์ นหมู่มนุษย์ ซงึ่ อุทิศชวี ติ ของตนเอง เพ่อื ตรสั รู้ คือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพอ่ื ประโยชนแ์ ละความสขุ แก่ชาวโลก เถรวาทถือว่า พระโพธิสัตว์เป็นฐานะที่สูงสุดเช่นเดียวกับมหายาน อรรถกถาชาดกซ่ึงแต่งที่ มหาวิหาร เมืองอนุราธประได้ให้ตัวอย่างที่กระชับว่าในอดีตอันยาวนาน สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าทีปังกร พระโคดมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบสได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระ ทีปังกร แทบพระบาทของพระองค์ แม้มีอุปนิสัยจะตรัสรู้เป็นสาวกพุทธะได้ในสมัยน้ัน แต่เพราะความกรุณา ต่อสัตว์โลก สุเมธดาบสกลับต้ังปณิธานขอเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระ ทีปังกรเพื่อ ช่วยเหลือสรรพสัตว์แทน พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดาบสผู้นี้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตพรอ้ มกับประทานดอกไม้ 8 กามือ แก่สุเมธดาบสและทรงกระทาประทักษิณ สาวกของพระ ทีปังกรพุทธเจ้า ซงึ่ เป็นพระอรหันต์ด้วยได้ให้ดอกไม้แกพ่ ระโพธิสัตวแ์ ละกระทาประทักษิณ เรอ่ื งสุเมธ ดาบสดงั กลา่ วน้ี แสดงให้เหน็ อย่างชดั เจนว่าฐานะของพระโพธิสัตวม์ ีอยู่ในเถรวาท แม้ว่าเถรวาทถือว่าใครก็ตามสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้ เถรวาทไม่ได้เรียกร้องหรือยืนกราน ให้ทุกคนต้องเป็นพระโพธิสัตว์ ซ่ึงไม่น่าจะเป็นไปได้ การดาเนินมรรควิถีของสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสมั มาสัมพุทธเจ้าขึ้นอยู่กบั การตกลงใจของแตล่ ะคน แต่เถรวาทก็อธิบายให้เห็นอยา่ งชัดเจนว่า ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นประเสริฐกว่าความเป็นสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ทั้งสาวก และพระปจั เจกพุทธเจา้ ก็ไม่ใชว่ ่าไม่มีความสาคญั พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธวิ ัตร (โพธิ์แจ้ง) (2513, น. 63) ได้ใหท้ ัศนะเก่ยี วกบั ข้อแตกต่าง ระหว่างนิกายเถรวาทกับมหายาน คอื นิกายทั้ง 2 อาจแตกต่างกันบ้างในข้อปฏิบัติบางประการเทา่ นั้น ท่ไี ม่ถือเป็นขอ้ สาคัญ ดังนี้ 1. การยึดถือหลักพระพุทธเจ้า นิกายมหายานถือว่าพระพุทธเจ้ามีหลายองค์ รวมทั้งพระพุทธเจ้า องค์ปจั จบุ ันด้วย 2. การวางรูปพระอัครสาวกซ้ายขวาของพระประธานในอุโบสถ นิกายเถรวาทถือเอาพระสารี บตุ รและพระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวก ส่วนนิกายมหายานถือเอาพระอานนท์และพระมหากัสสปะ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 59 เป็นอัครสาวก แต่อัครสาวกน้ีแตกต่างเฉพาะประดิษฐานในอุโบสถเท่านั้น ในสถานที่อื่นหรือการเคารพ นิกายมหายานก็ถือเอาพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเช่นเดียวกับนิกายเถรวาท เชน่ กัน จากความแตกต่างข้างต้นจะพิจารณาเห็นได้ว่า มิใช่ข้อสาคัญเลย การปฏิบัติที่แตกต่างกันก็ เพ่ือความเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงดินฟ้าอากาศด้วย สิ่งเหล่าน้ีเป็นข้อที่พวกเรา ชาวพุทธไม่ควรจะยึดถือและแบ่งแยกว่าเป็นนิกายคนละนิกาย เราควรจะร่วมกันสร้างสรรค์ให้ พระพทุ ธศาสนาเกิดความรงุ่ เรืองและสืบต่อ ๆ ไปให้แก่อนุชนร่นุ หลัง เสถียร โพธินันทะ (2522, น. 25-27) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับข้อแตกต่างระหว่างมหายานกับ เถรวาท ตามวาทะของฝา่ ยมหายาน ดงั น้ี 1. เถรวาทเป็นยานคับแคบมุ่งเอาตัวรอดเฉพาะตัว มหายานเป็นยานใหญ่แห่งอุดมคติและ การปฏบิ ตั เิ พื่อช่วยมหาชน 2. เถรวาทเข้าถึงความตรัสรู้ได้ก็เพียงเห็นแจง้ ในบุคคลศูนยตาคือสามารถทาลายความยึดถือ ในเร่ืองอัตตาได้ แต่ไม่เห็นแจ้งในธรรมศูนยตาคือยังติดยึดถือในเรื่องขันธ์ ธาตุ อายตนะ และ สภาวธรรมอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า สาวกยานยังมีธรรมุปาทาน แต่อัตตวาทุปาทานไม่มี ส่วนมหายาน นน้ั เหน็ แจง้ ทงั้ บคุ คลศนู ยตาและธรรมศูนยตา 3. การหลุดพ้นของเถรวาทเป็นการหลุดพ้นแบบ “ลบ” ส่วนการหลุดพ้นของมหายานเป็น การหลดุ พ้นแบบ “บวก” เพราะไมร่ ีบด่วนไปสู่ความดับเสยี กอ่ นจนกวา่ จะชว่ ยสตั ว์ใหพ้ น้ ทกุ ข์หมด 4. เถรวาทปฏิเสธต่อภาวะความมีความเป็นและการรับรู้เรอ่ื งราวต่าง ๆ ของพระพทุ ธเจ้าหลัง ปรินิพพาน ด้วยถือว่า ชีวิตจิตใจของพระองค์ได้ดับสนิทส้ินเชิงเป็นการเข้าใจผิด แต่มหายานถือว่า การทพี่ ระพทุ ธองค์ดับขนั ธปรนิ ิพพานนัน้ เป็นเพียงมายา ซึง่ พระองค์แสดงให้เห็นเพ่ือโปรดเวไนยสัตว์ แท้จริง พระองค์หาได้ดับไม่ และพระพุทธองค์ยังทรงรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ได้ และอาจมาสู่โลกน้ีอีกได้ เพื่อโปรดสรรพสตั ว์ 5. เถรวาทปฏิเสธจิตสากลหรือพุทธภาวะท่ีมีอยู่แล้วบริสุทธิ์อยู่แล้วในสรรพสัตว์ ซ่ึงเป็น อันหน่ึงอันเดียวกัน แต่มหายานถือว่า สัตว์ทั้งหลายมีพุทธภาวะอันแจ่มจ้าปราศจากกิเลสเป็นอัน เดียวกันสนิ้ 6. พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธองคท์ ี่แสดงแกพ่ วกเถรวาทเปน็ เพียงอุบายโกศลเท่าน้ัน ยงั หา ใชท่ ส่ี ูงสุดตามพทุ ธประสงคไ์ ม่ พระธรรมของมหายานจึงประเสรฐิ กว่าเถรวาทมาก วศิน อินทสระ (2532, น. 46-52) ได้ให้ทัศนะข้อแตกต่างบางประการระหว่างเถรวาทกับ มหายานไวด้ ังนี้ 1. เถรวาทนิยมรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม ค่อนข้างเคร่งครัด ไม่ค่อยนิยมการ เปล่ียนแปลงอะไรและไม่ค่อยยอมรับส่ิงใหม่ ๆ เข้ามาในคณะของตน เถรวาทจึงอยู่ในลักษณะ อนุรักษนิยม (Conservative) ส่วนมหายานพยายามเอาเหตุผลเข้าจับพุทธพจน์ แล้วเปลี่ยนแปลง ขนบประเพณบี างประการ ตัดบ้าง เตมิ บา้ ง สดุ แล้วแตเ่ หน็ ควร ไมเ่ ครง่ ครัดในวินยั นกั ด้วยเห็นวา่ วนิ ัย เป็นสง่ิ ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ติ ามกาลเทศะ 2. เกี่ยวกับองค์พระพุทธเจ้า เถรวาทเช่ือวา่ พระพุทธเจ้ามี 2 กายเท่านั้น คือกายธรรมดาท่ีมี ความแก่ เจบ็ และตาย เหมือนบุคคลทงั้ หลายอื่น กายน้ปี ระกอบข้ึนจากธาตุ 6 หรือขันธ์ 5 ซึง่ ไมเ่ ที่ยง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 60 เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อีกกายหน่ึงคือธรรมกาย ซ่ึงหมายถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ ส่วนมหายาน ได้เพ่ิมกายขึ้นอีกกายหน่ึงเรียกว่า สัมโภคกายเป็นพระกายที่บริสุทธ์ิย่ังยืน ดารงอยู่ช่ัวนิรันดร เป็น พทุ ธภาวะที่สมบรู ณ์แท้จริง บัดนี้ ก็ยงั ดารงอยู่ ณ พุทธเกษตรอันรุ่งเรอื งยง่ิ ส่วนนิรมาณกายทีช่ าวโลก เห็นนั้นเป็นเพียงมายา ทรงเนรมิตข้ึนเพื่อโปรดชาวโลกให้เห็นธรรมเท่าน้ัน สัมโภคกายของพระองค์ นนั้ พระโพธิสัตวท์ ้ังหลายเห็นได้ 3. จุดมุ่งหมายสูงสุดของฝ่ายเถรวาทโดยทั่วไปอยู่ท่ีอรหันตภาวะคือความเป็นพระอรหันต์ส้ิน กิเลส ส่วนมหายานมีจุดมุ่งอยู่ที่พุทธภูมิคือความสาเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ระหว่างท่ียังไม่สาเร็จเป็น พระพุทธเจ้าก็ประพฤติอยู่ในโพธิจริยาหรือโพธิสัตวธรรม ช่วยเหลือผู้อื่นจนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน มหายานถอื วา่ ความเปน็ พระโพธิสตั ว์สงู กวา่ เปน็ พระอรหันต์ 4. โดยทั่วไป พุทธบริษัทฝ่ายเถรวาทพยายามเพื่อความหลุดพ้นเฉพาะตน มิได้มีปณิธานเพื่อ ช่วยเหลือสัตวอ์ ื่นให้พ้นจากสังสารวัฏ คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแต่ละคนและหน้าท่ีของพระพุทธเจ้า ที่จะตอ้ งช่วยเหลือ ทางมหายานจงึ เห็นว่า เถรวาทมีใจคับแคบ เป็นยานเล็ก ส่วนมหายานมีอุดมคตสิ ูง มาก มีกรุณาไม่มีขอบเขต มิได้พยายามเพื่อความหลดุ พน้ ของตนฝา่ ยเดยี ว แต่เพ่อื สัตว์โลกทั้งปวงด้วย มหายานจึงเห็นว่า เถรวาทเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนมหายานเป็นเร่ืองของโลก เถรวาทมุ่งความบริสุทธิ์ แหง่ ตนย่ิงกวา่ อยา่ งอน่ื แตม่ หายานมุง่ ประโยชน์ในการช่วยเหลอื โลกทง้ั มวล 5. เถรวาทย้าหนักเร่ืองให้พ่ึงตนเอง บุคคลจะหลุดพ้นได้ก็เพราะความพยายามด้วยตนเอง ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า จงมีตนและธรรมเป็นท่ีพึ่ง อย่าได้มีสิ่งอ่ืนเป็นที่พึ่งเลย ความเพียรสาหรับเผา บาปท่านท้ังหลายต้องทาเอง ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น ฯลฯ เพราะฉะน้ัน พุทธสาวกผู้มุ่ง บรรลุธรรม จงึ ต้องขวนขวายช่วยตนเองอย่างเต็มท่ี จะพึ่งใครอื่นไม่ได้ แม้ในความสาเร็จเร่ืองอื่น ๆ ก็ เหมือนกัน สว่ นทางมหายานเห็นว่า ชาวโลกมีธุระยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาขวนขวายเพอื่ ความหลุดพ้นหรือ เพื่อความสุขความสาเรจ็ ของตนเองได้ จึงต้องการความชว่ ยเหลือจากผู้อื่น ดังนั้น ทัศนะของมหายาน จึงมีว่า พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้านั้นสามารถช่วยเหลือสัตว์อื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยและแม้ พระนริ มาณกายของพระองค์จะนพิ พานไปแลว้ แต่พระสัมโภคกายยังคงอยู่และยังทรงรับรู้การขอร้อง วงิ วอนของพุทธมามกชนทัง้ หลาย พร้อมที่จะทรงช่วยใหเ้ ขาผอู้ อ้ นวอนพระองค์พน้ ทุกข์ได้ 6. เถรวาทเป็นอเทวนิยม (Atheism) แท้ ไม่มีพระเจ้าผู้ดลบันดาล ควบคุม สิ่งท่ีแทนพระเจ้าของ เถรวาทคือกฎแห่งกรรม และธรรม (ซึ่งหมายถึงธรรมชาติและกฎแห่งธรรมชาติ) ธรรมเป็นสิ่งครองโลก ทุก ๆ คนต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ที่พ่ึงสูงสุดของฝ่ายเถรวาทคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ มหายานถืออย่างน้ันเหมือนกัน แต่แปลกออกไปท่ีว่า พระพุทธเจ้าน้ันอยู่ในฐานะเดียวกับพระเจ้า (God) ในศาสนาอื่น ๆ พระสิทธัตถะโคตรมะนั้นเป็นเพียงอวตารของพระพุทธองค์ จริง ทานองเดียวกับ พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามในศาสนาฮินดู ด้วยเหตุนี้ ผู้มีทุกข์จึงสามารถสวดอ้อนวอนขอความ ช่วยเหลือจากพระองค์ได้ ตามรูปแบบน้ี พระพุทธเจ้าได้รับพระนามใหม่ว่า พระอมิตาภพุทธเจ้า-พระผู้มี แสงสว่างไมม่ ปี ระมาณ 7. เนื่องจากเป็นอนุรักษนิยม (Conservative) พวกเถรวาทจึงมักประพฤติตนเป็นนักพรตที่ เครง่ ครดั สว่ นมหายานเนื่องจากเป็นพวกหัวก้าวหน้า จึงมักไม่ประพฤติตนเป็นนักพรตท่ีเคร่งครัดนัก แต่ ทาตนเปน็ พวกหวั ก้าวหน้าทนั สมยั คลอ่ งตัวในการปฏิบตั ิทางศาสนา รวมทัง้ การเผยแผ่ศาสนาอีกด้วย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 61 8. ฝ่ายมหายานกล่าวว่า การบรรลุธรรมสูงสุดของเถรวาทก็เพียงเห็นบุคคลสุญญตาเท่าน้ัน กล่าวคือทาลายความยึดมั่นในตัวของบุคคลได้ แต่ไม่เห็นธรรมสุญญตา กล่าวคือยังยึดถือยังติดอยู่ใน เรื่องขันธ์ ธาตุ อายตนะและสภาวธรรมต่าง ๆ กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เถรวาทยังมีธรรมปาทานอยู่ แม้ จะทาลายอัตตวาทุปาทานได้แล้วก็ตาม ส่วนมหายานเห็นแจ้งทั้งบุคคลสุญญตาและธรรมสุญญตา (เร่ืองน้เี ถรวาทไมย่ อมรับ) 9. เถรวาทถือว่า พระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์เม่ือดับขันธ์แล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก ไม่ ปรากฏอีกเหมือนไฟท่สี ิ้นเช้ือแล้วดบั ไป พ้นจากบัญญัตวิ ่ามีหรือไม่มี ฝ่ายมหายานกล่าวว่าถึงอย่างน้ัน เปน็ การหลุดพ้นแบบ “ลบ” สว่ นการหลดุ พ้นของมหายานนัน้ เมื่อหลดุ พ้นแล้วก็ยังมอี ยู่อย่างผบู้ รสิ ุทธ์ิ เพราะฉะน้ัน ตามทัศนะของมหายานแล้ว พระอรหนั ต์และพระพทุ ธเจ้า พระปจั เจกพทุ ธเจ้าท่ีนพิ พาน แล้วยงั มีอยู่ทงั้ ส้นิ ไม่ได้ดับไปไหนเลย บรู พาจารย์บางท่าน ไดแ้ สดงให้เห็นความแตกตา่ งระหว่าง 2 นกิ าย ดังต่อไปนี้ 1. นิกายมหายานเป็นนิกายที่มีหลักปฏิบัติเพื่อช่วยมหาชนให้มากท่ีสุด โดยไม่คานึงถึงตนเอง ใน บางครั้งชาวมหายานอาจจะต้องยอมตกนรก ถ้าหากว่าการกระทานั้น ๆ จะเปน็ การช่วยชีวิตของสรรพสัตว์ ไว้ได้ เถรวาทไม่มีคาสอนในลักษณะน้ี 2. มหายานจะไม่รีบด่วนไปสู่ความดับทุกข์จนกว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ดังนั้น ชาว มหายานจึงมีปณิธานที่ว่า “หากยังมีสัตว์ที่ต้องตกทุกข์ได้ยากอยู่ก็จักไม่ขอปรารถนาบรรลุพุทธภูมิ” สว่ นนิกายเถรวาทตอ้ งการการหลุดพ้นจากวัฏฏะทุกขอ์ ยา่ งรบี ด่วน 3. นิกายมหายานเชื่อว่าหลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พระองค์ยังคงมีอยู่และรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ ในโลกน้ี และจะเสด็จกลับมาสู่โลกนี้อีกเพื่อโปรดสรรพสัตว์ นิกายเถรวาทปฏิเสธเร่ืองราว ของพระพุทธองค์หลงั ปรินิพพานวา่ มีอยู่หรือไม่มีอยู่ 4. นิกายมหายานเชื่อว่า สัตว์ท้ังหลายมีจิตเป็นสากล หรือพุทธภาวะท่ีแจ่มจรัสปราศจากกิเลส สว่ นนิกายเถรวาทไมย่ อมรบั ในเรื่องนี้ 5. มหายาน มองพระพุทธพจน์ในแง่ปรัชญา วิพากษ์วิจารณ์ความหมายพระพุทธพจน์ไปใน แง่ตา่ ง ๆ ตามความคดิ ของบุคคลแต่ละบคุ คล ปรับปรงุ ธรรมวนิ ยั ไปตามกาลเทศะ เพือ่ ความเหมาะสม แก่ประชาชนและส่ิงแวดล้อม เพ่ือประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีน แล้วใช้ต้นฉบับนั้นเป็นหลัก เถรวาทยึดม่ันอยู่ในธรรมวินัยอันเป็นคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าตาม แบบเดิมตั้งแต่คร้ังปฐมสังคายนา ไม่ยอมเปล่ียนแปลง ยกพระธรรมวินัยไว้ในฐานะอันสูงส่งและศักดิ สิทธ์ิ แม้พระไตรปิฎกก็ไม่เปลี่ยนแปลง คงรักษาของเดิมซึ่งเป็นภาษามคธเอาไว้เป็นหลักเป็นธรรมนูญ ของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใครจะแปลเป็นภาษาอะไรก็แปลไป แต่ไม่ทิ้งของเดิมคงรักษา ของเดมิ ภาษามคธเป็นหลัก 6. มหายานตั้งบุคคลเป็นแกนกลางคานึงถึงสติปัญญาความคิดความรู้และความสามารถของ บุคคลเป็นเกณฑ์ แทนที่จะปรับบุคคลให้เข้าหาพระพุทธพจน์ แต่ปรับพระพุทธพจน์เข้าหาบุคคล เพ่ือ ประโยชน์แก่การเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผ่อนปรนจนบางนิกายอนุมัติให้พระสงฆ์มีครอบครัวได้ เพ่ือ ประโยชน์ทางการเผยแพร่ เถรวาทต้ังพระพุทธพจน์เป็นแกนกลาง แล้วดึงบุคคลให้เข้าหาพระพุทธพจน์ โดยอา้ งเหตุผลเป็นเคร่ืองจูงใจ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 62 7. มหายาน ต้ังเป้าหมายไว้ง่าย ๆ โดยใช้หลักจิตวิทยาช้ันสูงจูงใจคนคือ ปรับพระพุทธพจน์ ให้เข้ากับบุคคล ให้คนท่ัวไปมีความรู้สึกว่าพุทธภาวะนั้นอยู่แค่เอ้ือม เพราะมีอยู่ในทุกคนแล้ว ดังนั้น บุคคลทุกเพศทุกวัยก็อาจบรรลุพุทธธรรมได้ โดยไม่ต้องอาศัยวิธีที่ยากมากหรือการปฏิบัติมากนัก เถรวาทตั้งเป้าหมายและวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมายไว้สูงและยาก ต้องอาศัยความต้ังใจจริง ๆ จึงจะกล้า ดาเนินการตามเป้าหมายและบรรลุตรงเป้าหมายนั้น ทาให้สามัญชนโดยทั่วไปมองพระพุทธศาสนาใน ส่งิ สูงสดุ ยากท่จี ะเขา้ ถึง 8. มหายานถือปริมาณเป็นสาคัญ โดยถือว่าคุณภาพย่อมเกิดจากปริมาณโดยตั้งสมมติฐานไว้ ว่า ในจานวนผู้ศึกษา หรือใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมเป็นจานวนมากน้นั ย่อมจะมีอยู่จานวนหน่ึงท่ีเข้าถึง พุทธธรรม และย่อมรู้แจ้งเห็นจริงในพุทธธรรมเองได้ เถรวาทมุ่งที่ปัจเจกภาพหรือคุณภาพเฉพาะ บุคคล คือ เรม่ิ ทต่ี นแลว้ จงึ ไปหาผู้อน่ื หมายถงึ วา่ เถรวาทถอื คุณภาพเป็นสาคญั 9. เก่ียวกับอุดมคติในการดาเนนิ งาน การเผยแผ่เถรวาทมุ่งที่ตนเองก่อน คอื ตนเองต้องรกู้ ่อน แล้วจึงสอนจึงช่วยผู้อ่ืน มิฉะน้ันจะนาอะไรไปช่วยเขาเมื่อตนเองยังไม่มีอะไร ยังไม่รู้อะไรมหายานวาง อดุ มคตจิ ูงใจไวก้ ่อนวา่ ต้องบาเพญ็ ตนเพ่ือผู้อ่ืนก่อน เพ่อื ตนเองทีหลัง มปี ณิธานว่าจะชว่ ยขนสัตว์ให้พ้น โอฆสงสารบรรลุธรรมจนหมดส้ินก่อน ตนจงึ ขอบรรลธุ รรมเป็นคนสุดท้าย 10. เถรวาทมีพระสงฆ์เป็นแกนกลางในการยึดมั่นของประชาชน พระสงฆ์จรรโลง พระพุทธศาสนาเป็นผู้นา พุทธบริษัทอื่นเป็นผู้ตาม ในฝ่ายมหายาน ศูนย์กลางของการนับถือมิได้มี จากัดในคณะสงฆ์เท่านั้น คนทุกคนมีส่วนจรรโลงพระพุทธศาสนา เหตุผลคือพระโพธิสัตว์ของฝ่าย มหายานจะมที ้งั บรรพชติ ท้ังคฤหสั ถ์ ช่วยกนั ประกาศพระพทุ ธศาสนา 11. เถรวาทถือเรื่องอริยสัจเป็นสาคัญ มหายานถือเร่ืองบารมีเป็นสาคัญ เพ่ือความเป็น พระโพธิสัตว์ 12. เถรวาทมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว คือ พระสมณโคดม หรือ พระศากยมุนี มหายาน ถือว่า พระพุทธเจ้ามีมาก ประดจุ เม็ดกรวดทรายในมหาสมุทร (เพอื่ จูงใจให้คนพอใจปรารถนาเป็นพระโพธสิ ัตว์ ให้ เห็นว่า ไม่ยากจนเกินไปจนน่าท้อ) บางนิกายแสดงว่ามีพระพทุ ธเจ้าองค์ดัง้ เดิมคือ อาทิพุทธ (ดุจปรมาตมัน ของพราหมณ์) เม่ืออาทิพุทธเจริญญาณ เกิดเป็นฌานิพุทธ คือพระพุทธเจ้าเกิดจากฌานของอาทิพุทธอีก เป็นอันมาก เช่น พระไวโรจนพุทธะ อักโษภยพุทธะ อโมฆสิทธิพุทธะ รัตนสัมภวพุทธะ ไภสัชชคุรุพุทธะ อมิตตาภพุทธะ เป็นต้น เฉพาะอมิตตาภพุทธะน้ี เม่ือเป็นมานุสสีพุทธ คือเป็นพระพุทธเจ้าในร่างมนุษย์ (อวตาร) ก็คอื พระศรศี ากยมนุ พี ุทธน่นั เอง 13. เถรวาทมีความมุ่งหมายเพ่ือบาเพ็ญอัตตัตถจริยา คือ ประโยชน์ส่วนตน ญาตัตถจริยา ประโยชน์ต่อเพอ่ื นมนุษย์ โลกตั ถจริยา คอื ประโยชน์ต่อสัตวโ์ ลก โดยเหน็ ว่าการทเ่ี ราจะชว่ ยผู้อืน่ ได้ เราต้อง ช่วยตัวเองให้มีหลักก่อน การท่ีเราจะช่วยคนตกน้า เราต้องว่ายน้าเป็นก่อนการที่เราจะช่วยนาสัตว์ให้ข้าม โอฆสงสารได้ เราต้องมีเรอื คอื ตอ้ งรู้โพธปิ ักขิยธรรมก่อน ก็โพธิปักขยิ ธรรม คนจะรู้ไดก้ ็ต้องตรัสรู้สาเร็จเป็น พระพุทธเจ้าหรอื เป็นพระอรหันต์ เมื่อยังไม่สาเร็จก็ยงั ไม่รู้ เม่ือไม่รู้ก็เท่ากับว่ายังไม่มีเรือ เม่ือไมม่ ีเรือจะใช้ อะไรส่งสัตว์ข้ามโอฆะได้คติ ของเถรวาทเป็นอย่างนี้ มหายานมุ่งความเป็นพระโพธิสัตว์หรือพุทธภูมิ เพ่ือ บาเพ็ญโลกัตถะจริยาได้เต็มที่ คือมุ่งช่วยผู้อ่ืนเป็นจุดสาคัญ และแสดงว่ามีพระโพธิสัตว์หลายองค์ เช่น พระอวโลกเิ ตศวร พระมัญชศุ รี พระวัชรปราณี พระกษติ คิ รรภ พระสมันตรภทั ร และพระอารยิ เมตไตรยเป็น ตน้ เปน็ ตัวอยา่ ง เพื่อจงู ใจให้คนปรารถนาเป็นพระโพธสิ ัตว์

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 63 14. เถรวาทมีบารมี ท่ีจะให้สาเร็จบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า 10 ประการ มี ทาน เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ขันติ มหายานมีบารมีอันให้ถึงความสาเร็จเป็น พระโพธิสตั ว์ และเป็นปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ 6 ประการ คือ ทาน ศีล วิรยิ ะ ขันติ ฌาน ปญั ญา (บ้างกว็ ่า มี 10 เหมือนกับของเถรวาท) 15. เถรวาท พระอรหันต์อยู่จบกิจในพรหมจรรย์แล้วส้ินกิเลสแล้ว สิ้นความสงสัยรู้ว่าตนบรรลุ พระอรหัตผลด้วยตนเอง โดยมิต้องมีคนบอก มีความรู้ในอริยมรรค อริยผล ไม่ฝันปรินิพพานแล้วก็ดับ หมดท้ังกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร (อนุปาทิเสสนิพพาน) ไม่เกิดอีก ถือว่าเหนือกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะสิ้นกิเลสแล้ว ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว แต่พระโพธิสัตว์ยังมีกิเลสยังต้องศึกษาและ พระเถรวาทจะไม่ ไหว้รูปพระโพธิสัตว์ เพราะถือว่ายังไม่เป็นพระภิกษุ มหายาน พระอรหันต์ยังฝันอย่างคนมีราคะ เพราะ ถูกมารย่ัว ยังความไม่รู้ในอริยมรรค อริยผล ยังต้องสงสัยในอริยมรรค อริยผล เป็นต้น จะรู้ว่าตนบรรลุ ต้องมีผู้บอก ปรินิพพานแล้วยังเกิดอีก แต่เกิดเพื่อสาเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่าสู้พระโพธิสัตว์ ไมไ่ ด้ เพราะเห็นวา่ พระโพธสิ ตั วม์ ีโอกาสชว่ ยสัตวโ์ ลกได้มากกวา่ 16. เถรวาท ในกาย 3 เถรวาทยอมรับแต่ธรรมกายกับนิรมาณกายบางส่วน นอกน้ันไม่รับ มหายานรับทั้ง 3 คือ ทั้งธรรมกาย ได้แก่ พระธรรม สัมโภคกายคือ กายจาลองหรือกายอวตารของ พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าเปน็ พระกกุสันธะบา้ ง โกนาคมนะบ้าง กสั สปะบ้าง ศากยมนุ ีบา้ งเป็นต้น ล้วนเป็นสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าองค์เดิมท้ังน้ัน นิรมาณกายคือ กายที่ต้องแก่ เจ็บ ปรินิพพาน เป็นกายท่ีพระพุทธเจ้าองค์เดิมสร้างข้ึน เพื่อเป็นเครื่องสอนคนให้เห็นความจริงของชีวิต แต่พระพุทธ องค์ท่ีแทท้ ่ีองคเ์ ดิมนั้นไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นน้ี เชน่ พระอมิตตาภาพุทธะมีกายจาลองเป็นพระศากยมุนี แต่พระอมติ ตาพุทธะนัน้ เป็นอมตะอยู่ท่ีแดนสุขาวดี 17. เถรวาทอาศัยพระไตรปิฎก คือพระธรรมวินัย ยุติตามปฐมสังคายนาเป็นหลักและไม่มีพระ สูตรอะไรเพิ่มเติม มหายาน ธรรมวินัยของเดิมก็มี และมีการเพ่ิมพระสูตรใหม่ในภายหลังจากการทา ปฐมสังคายนา เช่น ปรัชญาปารมิตาสูตร สุขาวดียูหสูตร สัทธธรรมปุณฑรีกสูตร ลังกาวตารสูตร เป็น ตน้ แมป้ ฐมเทศนากม็ ไิ ดม้ ีครง้ั เดยี ว (พระใบฎกี าอนุรักษ์ อินฺทวณโฺ ณ, 2565) พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (2543, น. 220-222) ได้สรุปเปรียบเทียบท้ังประเด็นที่ ต่างกันและทเี่ หมอื นกันในเถรวาทและมหายาน ดังน้ี 1. ประเด็นทต่ี า่ งกัน 1) เถรวาทเป็นศาสนาท่ียึดจริยธรรมและยึดประวัติศาสตร์ ส่วนมหายานยึดหลักปรัชญา ธรรมและอภิปรัชญา ซึ่งเปน็ พัฒนาการในยคุ หลงั ของพระพุทธศาสนา 2) คัมภรี ์ของฝ่ายเถรวาท บันทึกลงเปน็ ภาษาบาลี และต่อมาเปน็ ภาษาสันสกฤตแบบผสม สว่ นคมั ภรี ์ของฝ่ายมหายานใช้ภาษาสนั สกฤตล้วน 3) ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท เรื่อง “อนตั ตา” คือหลักที่วา่ ด้วยการรวมตัวกันแห่งขันธ์ 5 ซ่ึงเปน็ ส่ิงทไี่ มเ่ ท่ียงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (ส่วนมหายานใชส้ ญุ ญตาแทนอนตั ตา) 4) ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ความหลุดพ้นเป็นของเฉพาะตัว แต่ในขณะเดียวกันก็ควร กาหนดเอาไว้ด้วยว่า ความหลุดพ้นน้ันไม่ใช่ความขาดสูญ (อุจเฉท) แต่เป็นภาวะที่สงบสุข เยือกเย็น เป็นนิจนิรันดร์ ส่วนในมหายาน ความหลุดพ้น (วิมุตติหรือนิพพาน) นั้น ก็คือการบรรลุปรัชญา ปารมติ าหรือพุทธภาวะ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 64 5) ในพระพุทธศาสนาเถรวาท นิพพานบรรลุได้โดยการกาจัดกิเลสอันเนื่องมาจากอวิชชา ส่วนในมหายาน นิพพานไม่ได้เป็นเพียงการกาจัดกิเลสอันเนื่องมาจากอวิชชาเท่านั้น แต่ยังเป็นการ กาจัดความเคลอื บคลมุ หรอื ม่านทีบ่ งั สตปิ ญั ญา (ชเญยาวรณะ) 6) ในพระพุทธศาสนเถรวาท บรรดาศาสนิก เรียกกันว่า “สาวก” เป็นผู้ที่แสวงหาความเป็น อรหันต์และนิพพาน ส่วนในมหายาน บรรดาศาสนิก เรียกกันว่า “โพธิสัตว์” เป็นผู้ที่ได้รับการอบรม เพื่อให้บรรลุถึง “โพธิประณิธิจิตตะและโพธิปรัสถานจิตตะ” กล่าวคือศาสนิกฝ่ายมหายานทุกคนต้องต้ัง ประณิธานเพื่อการบรรลุโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และต้องพยายามเพ่ือการบรรลุปารมิตา 6 และภูมิ 10 ความมุ่งหมายของมหายานคือการตรัสรู้ปรมัตถสัจจะซ่ึงกว้างใหญ่ไพศาล และมีรสเดียว เหมือนกบั มหาสมุทร เมอ่ื แม่นา้ ทุกสายไหลมารวมลงแลว้ ย่อมกลายเปน็ รสเดยี วกนั ทั้งหมดคือ “รสเค็ม” 7) ในพระพุทธศาสนเถรวาท คฤหัสถ์จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนอุปถัมภ์พระสงฆ์ โดยการ ถวายอาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม และสร้างวัดเพ่ือเป็นท่ีอยู่ของพระภิกษุ คฤหัสถ์เป็นเพียงผู้ฟังพระธรรม เทศนาท่ีแสดงโดยพระภิกษุและเปน็ ผูร้ ักษาศีล 5 และศีล 8 เป็นครัง้ คราว ส่วนในมหายาน คฤหัสถ์อยู่ ในฐานะเป็นโพธสิ ัตว์ 8) ในทัศนะของพระพุทธศาสนเถรวาท ในพุทธันดรหน่ึง พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเพียง พระองค์เดียวเท่าน้ัน ส่วนในทัศนะของมหายาน สรรพสัตว์เป็นเจ้าของพุทธภาวะ (พุทธธาตุ) มี ตถาคตครรภ์ ซงึ่ เปน็ การผสมผสานกนั ของความดีและความช่ัว เม่ือความช่ัวของสัตวท์ ั้งหลายถูกกาจัด โดยส้ินเชงิ แลว้ เท่าน้นั สตั วจ์ ึงกลายเปน็ ตถาคต (เป็นพระพทุ ธเจา้ ) 9) ในพระพุทธศาสนเถรวาท ไม่มีการกล่าวเรื่องศูนยตาในเชิงอภิปรัชญาอย่างของมาธยมิก หรือเรื่องวิชญานของโยคาจาร ทั้งมาธยมิกและโยคาจารถือว่า สัตว์ (ภาวะ) และวัตถุในโลกไม่เท่ียง เป็นไปเพียงชั่วขณะ เพราะเหตุน้ัน จึงไม่มีอยู่จริง เป็นความว่างเปล่า หรือเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ เป็น ผลผลติ ของวิญญาณล้วน ๆ 10) หลักการที่สาคัญของเถรวาทคือหลักปฏิจจสมุปบาทเป็นความเช่ือมต่อสืบเน่ืองกัน แห่งนามและรปู ศาสนิกของฝ่ายเถรวาทบากบ่ันพยายามเพื่อความหลุดพ้นเฉพาะตัว คือบรรลุอรหัต และบรรลุถึงท่ีสดุ แห่งชวี ิตคอื นพิ พาน คือความสงบสุขชั่วนิจนริ ันดร์ ความม่งุ หมายของเถรวาทคือการ กระทาให้แจ้งความไม่มีอยู่จริงแห่งอัตตา คือ ปุทคลศูนยตา โดยการกาจัดกิเลสท่ีครอบคลุมจิตใจ (กิเลสาวรณะ) ส่วนมหายานมีความมุ่งหมายแตกต่างออกไปคือพยายามที่จะตรัสรู้หรือกระทาให้แจ้ง ซง่ึ ปุทคลศูนยตาและธรรมศูนยตา ซึ่งหมายความวา่ ขันธ์ 5 ซ่งึ เป็นพ้ืนฐานให้เกิดมปี ทุ คละ (ชวี ะ) ไม่มี อยจู่ ริง อนงึ่ ธาตทุ ุกอย่างที่ทาให้เกิดวัตถุและภาวะในโลกนี้ ไม่มีอยู่ เพ่ือบรรลุจดุ หมาย คอื ความรแู้ จ้ง เรอ่ื งน้ี มหายานจงึ กาหนดให้มีการตรสั รทู้ ้งั ปุทคลศนู ยตาและธรรมศูนยตา 2. ประเด็นท่เี หมือนกนั 1) จุดมุ่งหมายคือการกาจดั ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ 2) โลกไมม่ ีเบอ้ื งตน้ และทส่ี ดุ 3) การสอนมีการเนน้ เร่อื งอริยสจั 4 คือทุกข์ สมุทยั นิโรธ และมรรคเหมอื นกนั 4) สัตว์และวัตถุในโลกท้ังปวง ไม่เท่ียง เป็นไปช่ัวขณะ และอยู่ในสภาพแห่งความสืบเนื่อง (สนั ตติ) และปราศจากแกน่ สารทีแ่ ท้จริง 5) กฎแห่งปฏิจจสมปุ บาทเป็นกฎสากล

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 65 4. บทสรุป จากการศึกษาความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนาเถรวาทแล ะมหายาน ท่ีนักปราชญ์ทางเถรวาทและมหายานได้ศึกษาไว้ จึงสรุปได้ว่า หลักพื้นฐานที่พระพุทธศาสนาเถร วาทและมหายานมีร่วมกัน ได้แก่ 1. นิกายทั้ง 2 ยอมรับพระศากยมุนีพุทธเจ้าในฐานะเป็นศาสดา ของตน หลักอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 ปฏิจจสมุปบาท ของนิกายทั้ง 2 เป็นเช่นเดียวกัน นิกายทั้ง 2 ปฏิเสธความคิดเร่ืองพระเจ้าในฐานะเป็นผู้สร้างและควบคุมเอกภพหรือโลก ยอมรับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และศลี สมาธิ ปัญญา โดยปราศจากข้อแตกต่าง ส่วนความแตกต่างระหวา่ งพระพุทธศาสนา เถรวาทและมหายาน สรุปรวมลงในประเด็นเรือ่ งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 66 แบบฝึกหดั บทที่ 3 1. ให้เขยี นหลักพ้ืนฐานท่พี ระพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายานมรี ่วมกันมา 3 ข้อ 2. ให้สรุปแนวคิดหลักเก่ียวกับข้อแตกต่างระหว่างเถรวาทและมหายานในทัศนะของ พระดร.ดบั บลวิ ราหุล (Venerable Dr. W. Rahula) 3. พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้ง) ได้ให้ทศั นะเกยี่ วกับข้อแตกต่างระหว่างนกิ าย เถรวาทกบั มหายานไวอ้ ยา่ งไร 4. นักศึกษามีความเห็นอย่างไรต่อข้อความท่ีว่า “เถรวาทเป็นยานคับแคบมุ่งเอาตัวรอด เฉพาะตัว มหายานเป็นยานใหญ่แห่งอดุ มคตแิ ละการปฏบิ ตั เิ พื่อชว่ ยมหาชน” 5. ในทัศนะของนักศึกษา อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างนิกายเถรวาทกบั มหายาน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 67 เอกสารอ้างองิ ประจาบทท่ี 3 พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) แปลและเรียบเรียง. (2513). สารัตถธรรมมหายาน. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท.. วศิน อินทสระ. (2532). สาระสาคญั แหง่ พุทธปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พบ์ รรณาคาร. สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2543). พระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย พัฒนาการและสารัตถ ธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . เสถยี ร โพธินันทะ. (2522). ปรัชญามหายาน. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 4). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์บรรณาคาร. อนุรักษ์ อินฺทวณฺโณ, พระใบฎีกา. (2565). ความแตกต่างระหว่างเถรวาทกับมหายาน. สืบค้นข้อมูล เม่อื วันท่ี 10 มนี าคม 2565, จาก https://www.gotoknow.org/posts/501542. Phra Walpola Rahula. (1974). The Heritage of the Bhikkhu. NY: Grove Press. Venerable Dr. W. Rahula, (1982). “Theravada and Mahayana Buddhism”. Buddhists for Peace Vol.4. Published quarterly in English.

แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 4 บทท่ี 4 แนวคดิ และหลกั การสาคญั ของพระพุทธศาสนามหายาน เน้อื หาประจาบท 1. บทนำ 2. หลักตรยี ำนและหลกั เอกยำน 3. หลักโพธสิ ตั วจรยิ ำ 4. ทศภูมขิ องพระโพธิสัตว์ 5. หลกั ตรกี ำย 6. หลักโพธจิ ิต 7. หลกั กำรเกี่ยวกบั พทุ ธเกษตร 8. พระสูตรสำคญั ของพระพทุ ธศำสนำมหำยำน 9. พระสัมมำสัมพุทธเจำ้ ในพระพทุ ธศำสนำมหำยำน 10. พระโพธิสัตว์ในพระพทุ ธศำสนำมหำยำน 11. บทสรุป แบบฝกึ หดั บทที่ 4 เอกสำรอำ้ งองิ ประจำบทท่ี 4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. นกั ศึกษำรแู้ ละเขำ้ ใจแนวคดิ และหลกั กำรสำคญั ของพระพุทธศำสนำมหำยำน เชน่ แนวคดิ เร่อื ง ตรีกำย อำทพิ ทุ ธะ ศูนยตำ โยคำจำรย์ หลักโพธจิ ิต เป็นต้น 2. นกั ศึกษำมกี ำรเสริมทกั ษะด้ำนควำมร้คู วำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปัจจบุ นั 3. นักศึกษำใช้หลกั กำรตำมพระพุทธศำสนำมหำยำนเปน็ เครือ่ งมือในกำรเรียนรแู้ ละวิเครำะห์ สถำนกำรณท์ เ่ี กิดขน้ึ ในสังคมได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรยี งเน้ือหำสำคัญ ๆ นำข้อมลู ท่ีได้มำถำ่ ยทอดเนื้อหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในช้ันเรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเนื้อหำ/ฝึกตงั้ คำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภปิ รำยในช้ันเรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเนื้อหำที่เก่ียวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ หอ้ งสมุด และเวบ็ ไซต/์ ทำแบบฝกึ หดั ทำ้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สอื่ การเรียนการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เป็นตน้

69 การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใชแ้ บบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำช้ันเรยี น กำรส่ง งำนท่ีมอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกจิ กรรมท้ังในและนอกห้องเรียน 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เน้ือหำ และนำเสนอผล กำรศกึ ษำค้นคว้ำมำถ่ำยทอดดว้ ยภำษำของตนในกำรเขยี นรำยงำนและนำเสนอในชน้ั เรียนด้วยกำรใช้ เครื่องมือหรือโปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เป็นตน้ 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชงิ ตวั เลข กำรสื่อสำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใชแ้ บบ Checklist จำกกำรอภิปรำย กำร แสดงควำมคดิ เหน็ กำรถำม-ตอบ กำรวเิ ครำะหเ์ นือ้ หำท่ีเรียน กำรสรปุ เนอื้ หำ กำรนำเสนอในช้ันเรียน และกำรสง่ งำนใน Google Classroom

บทที่ 4 แนวคิดและหลกั การสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน 1. บทนา แนวคิดและหลกั การสาคัญซ่ึงเป็นสารัตถธรรมของพระพุทธศาสนามหายานมเี ป็นอันมาก แต่ ประเด็นที่เลือกนามาศกึ ษา ประกอบด้วยหลักตรียานและหลักเอกยาน หลักโพธิสตั วจรยิ า ทศภูมิของ พระโพธิสัตว์ หลักตรีกาย หลักโพธิจิต หลักการพุทธเกษตร พระสูตรสาคัญของพระพุทธศาสนา มหายาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน และพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา มหายาน 2. หลักตรยี านและหลักเอกยาน 2.1 หลักตรียาน พระพุทธศาสนามหายานแบ่งยานคือพาหนะท่ีขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร เป็น 3 ประเภท คอื 1) สาวกยาน (เซียบุ้งเส็ง) คือยานของพระสาวก ท่ีมุ่งเพียงอรหันตภูมิซึ่งรู้แจ้งใน อรยิ สจั 4 ดว้ ยการสดบั จากพระพุทธเจ้า 2) ปัจเจกยาน (ต๊กกักเส็ง) คือยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้แก่ ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุป บาทดว้ ยตนเอง แตไ่ มส่ ามารถแสดงธรรมส่งั สอนสัตว์ 3) โพธิสัตวยาน (พู่สักเส็ง) คือยานของพระโพธิสัตว์ ได้แก่ ผู้ท่ีมีใจกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรณุ าในสรรพสัตว์ ไมต่ ้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิเพ่อื โปรด สตั ว์ได้กว้างขวางกว่า 2 ยานแรก และเป็นผู้รูแ้ จ้งในศูนยตาธรรม (เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, 2522, น. 4) ใน โพธิจิตตสูตร พราหมณ์กัสสปโคตรได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถ ! การหลุดพ้นมีความแตกต่างกันด้วยฤา” พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ! วิมุตติมรรคหาได้มี ความแตกต่างกันไม่ ก็แต่ยานพาหนะท่ีจะไปน้ัน มีความต่างกันอยู่ พราหมณ์ ! อุปมาเหมือนถนน หลวง ย่อมมีผู้ไปด้วยพาหนะคือช้างบ้าง ไปด้วยพาหนะคือม้าบ้าง ไปด้วยพาหนะคือลาบ้าง เขา ท้ังหลายย่อมบรรลุถึงนครอันตนปรารถนา พราหมณ์ เธอเข้าใจความนี้เป็นไฉน? ในยานพาหนะ ท้ังหลายนี้มีความแตกต่างกันหรือ ?” พราหมณ์ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ในยานพาหนะ ท้ังหลายเหล่านั้น ย่อมมีความแตกต่างกัน” พระองค์ตรัส “อย่างน้ัน ๆ ดูก่อนพราหมณ์ ! สาวกยาน ปัจเจกยาน อนุตตรสัมมาสัมโพธิยาน ทั้ง 3 มีความต่างกัน กแ็ ต่ว่ามรรคและวิมุตติหามีความแตกต่าง กันไม่…” และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสนิคมคาถาว่า “หนทางความหลุดพ้นไม่มีต่าสูง แต่ยานพาหนะ ทั้งหลายมีความแตกต่าง ผู้มีปัญญาพึงเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว พึงเลือกเอายานท่ีประเสริฐสูงสุด” (เสถียร โพธนิ นั ทะ, 2522, น. 5-6)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 71 ใน อุปาสกศลี สูตร มีคาอุปมาที่น่าฟังอีกคือ พระพุทธองค์ตรสั ว่า “ดูกอ่ นกลุ บุตร เปรยี บ เหมือนแม่น้าคงคา สัตว์ 3 ตัวได้ว่ายข้ามไปด้วยกันคือกระต่าย ม้า และช้าง กระต่ายไม่อาจหย่ังถึง พ้ืนดินได้ ลอยน้าข้ามไป ม้าบางขณะก็หยั่งถึง บางขณะก็หยั่งไม่ถึง ส่วนช้างน้ันย่อมหยั่งถึงพ้ืนดิน แม่นา้ คงคา น่ันเปรยี บประดุจปฏิจจสมุปบาท 12 สาวกข้ามเปรียบเมือนกระต่าย พระปัจเจกพุทธเจ้า ข้ามเปรยี บเหมอื นมา้ แต่ตถาคตข้ามเปรยี บเหมอื นชา้ ง…” (เสถียร โพธนิ ันทะ, 2522, น. 6) จากการศึกษาหลักตรยี านขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ ยานคือพาหนะทีข่ นสตั ว์ใหข้ า้ มพ้นวัฏสงสาร แม้จะมีถึง 3 ประเภท แต่ยานท่ีขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากที่สุด คือ โพธิสัตวยาน คือ ยาน ของพระโพธิซ่ึงเป็นประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ ปรารถนาพทุ ธภมู ิเพื่อโปรดสัตวไ์ ด้กว้างขวางกวา่ 2 ยานแรก 2.2 หลกั เอกยาน แต่ตอ่ มา ในคัมภีร์ของมหายานได้มกี ารเพ่ิมหลักเอกยานเข้าไป โดยอธบิ ายวา่ ทั้ง 3 ยาน เป็นเพียงอุบายส่ังสอน หาใช่เป็นยานท่ีแท้จริงไม่ ยานที่แท้จริงมีเพียงยานเดียวคือเอกยานหรือพุทธ ยานเท่าน้ัน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสเทศนาอุปมายานท้ัง 3 แก่พระสารีบตุ รไว้ใน สัทธรรมปณุ ฑรกี สตู ร วา่ “สารีบุตร ลองสมมตุ ิว่า ในหมู่บ้าน...หนง่ึ มีพ่อบ้านคนหนึ่งเป็นคนชรา มีอายมุ าก แต่ร่ารวยม่ังคั่ง มีบ้านใหญ่โตโอ่งโถง...มีประตูเพียงประตูเดียว...อยูม่ าวันหนงึ่ บ้านหลังนี้ก็ถูกไฟไหม้ล้อมรอบ...ผูบ้ ิดา จึงคิดว่า ไฟกาลังไหม้บ้านเช่นนี้ น่ากลัวว่า ฉันเองและลูก ๆ คงจะต้องพบกับความหายนะและความ ทุกข์ทรมาน ฉันจะต้องใช้กุศโลบายในการท่ีจะนาเอาเด็ก ๆ ออกมาจากไฟให้ได้...จึงรอ้ งบอกพวกเขา วา่ เด็ก ๆ ของเล่นสวยงาม ราคาแพง เป็นท่ีน่ายนิ ดีที่พวกเจ้าอยากได้ มีมากมายหลายชนิด มีเกวียน เทียมวัว เกวียนเทียมแพะ เกวียนเทียมกวาง พ่อได้ซ้ือหามาให้เจ้าอยู่หน้าบ้านนี่แน่ะ วิ่งออกมาเถิด แล้วพอ่ จะให้ของเล่นทเ่ี จ้าอยากได้ ออกมาเร็ว ๆ ออกมาเลอื กของเลน่ … ผู้เป็นบดิ าเม่ือเห็นลูก ๆ ทุกคนปลอดภยั และหนีออกมาได้...สารีบตุ ร ชายน้ันได้ใหเ้ ฉพาะ เกวียนเทียมวัวแก่ลูกชายพวกท่ีวิ่งเร็วดุจลมพัด เกวียนน้ีประดับด้วยแก้วมณีท้ัง 7 ประการ...ส่วนลูก แต่ละคนท่านเศรษฐีได้ให้เกวียนเทียมวัวรูปร่างลักษณะต่าง ๆ...สารีบุตร เธอมีความเห็นอย่างไร ? เศรษฐีน้ันทาผิดหรือเปล่าในการท่ีบอกลูกว่าจะให้เกวียน 3 ชนิด แต่ต่อมาได้ให้เกวียนที่ดีท่ีสุดเพียง อยา่ งเดยี ว ซึ่งเป็นยานอันประเสริฐเหนือยานอื่น ?” (ฉตั รสุมาลย์ กบลิ สงิ ห์ แปล, 2543), น. 60-63) ยานทั้ง 3 ข้างต้นเป็นเพียงอุบายสั่งสอน หาใช่เป็นยานท่ีแท้จริงไม่ ยานท่ีแท้จริงมีเพียง ยานเดยี วคือเอกยานหรือพทุ ธยานเท่านน้ั หลักเอกยานจึงเป็นความคิดสมานเชอ่ื มตรียานให้หลอมเข้า มาสู่จุดเดียวกันได้อย่างแนบเนียมและก็คงเป็นมหายานคือมุ่งพุทธภูมิตามเคย โพธิสัตวยานเหมือน การทาเหตุ พุทธยานเหมือนผลอันเกิดจากเหตุท่ีบาเพ็ญบารมีแล้ว แต่ก็เป็นการยกจิตให้สูงมุ่งต่อ พระอนตุ รสมั มาสมั โพธิญาณ ซงึ่ เกดิ ด้วยน้าใจกรุณาตอ่ โลกเป็นมลู ฐาน 3. หลักโพธิสตั วจรยิ า โพธิสัตวจริยาเป็นหลักประพฤติของผู้ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ซ่ึงเป็นผู้มุ่งไปท่ีอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณ ประกอบไปด้วยหลกั มหาปณธิ าน 4 หลกั อัปปมัญญา 4 หลักคุณสมบัติ 3 และหลักปารมติ า หรือหลกั บารมี 6

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 72 3.1 หลักมหาปณิธาน 4 มหาปณิธานคือความตั้งใจอันแน่วแน่ม่ันคงลงในส่ิงใดส่ิงหน่ึงของพระโพธิสัตว์มี 4 ประการ คือ 1) เราจะละกเิ ลสท้งั หลายใหห้ มด 2) เราจะศกึ ษาธรรมทั้งหลายให้เจนจบ 3) เราจะช่วยโปรดสตั วท์ ัง้ หลายให้สิน้ 4) เราจะบรรลุพุทธภมู ิอันประเสริฐสุด (เสถียร โพธินนั ทะ, 2522, น. 15) มหาปณิธาน ทั้ง 4 ประการน้ี เป็นธรรมท่ีพระโพธิสัตว์ท้ังปวงจะตอ้ งมีอยู่ประจาใจในตน อันเป็นแนวทางปฏบิ ตั ใิ นการดาเนนิ ชีวติ เพื่อมงุ่ สู่ความหลุดพน้ อันเปน็ จริยาแห่งพระโพธิสัตว์ทงั้ หลาย 3.2 หลักอัปปมัญญา 4 อัปปมัญญาภาวนา คือ การอบรมจติ ให้มีคณุ สมบัตอิ ันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มทุ ิตา และอุเบกขา และทาให้คุณสมบัติเหล่าน้ีแผ่ไปยังสรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขตจากัด ให้มี ความสม่าเสมอในสัตว์ทั้งปวง อัปปมัญญาน้ี เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า อัปปมาณหฤทัย หรือ อัปปมัญญา หฤทัย ซง่ึ ความหมายของคณุ ธรรมแตล่ ะประการมีดังนี้ 1) เมตตา คือ พระโพธิสัตว์จะต้องมุ่งในการให้ความสุข ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ ทงั้ ปวงโดยไมเ่ ลือกหนา้ 2) กรุณา คือ พระโพธิสัตว์จะต้องมุ่งปลดเปลื้องความทุกข์ของผู้อื่น เห็นความทุกข์ของ ผู้อ่ืน เสมอดว้ ยความทุกขข์ องตนหรอื ยิง่ กว่าของตน 3) มุทิตา คือ พระโพธิสัตว์จะต้องมีจิตใจท่ีมีความชื่นชมยินดีต่อความสุขความสาเร็จ ของผอู้ น่ื ไมม่ จี ิตริษยา 4) อุเบกขา คือ พระโพธิสัตว์จะต้องเป็นผู้วางใจเป็นกลาง ไม่มีอคติต่าง ๆ และต้องเป็น ผู้วางเฉยในความดีท่ีได้ทาแล้ว คือ ต้องไม่ยึดถือในความดีว่าตนได้ทาแก่ผู้หน่ึงผู้ใด และต้องไม่ ปรารถนาการตอบแทน (ฉตั รสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543), น. 60-63) ทั้ง 4 ประการนี้ ชื่อว่าอัปปมัญญา หรืออัปปมาณหฤทัย หรืออัปปมัญญาหฤทัย ซ่ึงเป็น คุณธรรมอันสาคญั ยง่ิ สาหรับผ้ทู ่ีบาเพญ็ ตน เปน็ พระโพธสิ ัตว์เพื่อมุง่ สพู่ ุทธภูมิ 3.3 หลักคุณสมบตั ิ 3 คุณสมบัติของพระโพธิสัตวม์ ีอยู่ 3 ประการ คือ 1) หลักมหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ คือ พระโพธิสัตว์จะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็น แจ้งในสจั ธรรม ไมต่ กเปน็ ทาสของกิเลส 2) หลักมหากรุณา คือ พระโพธิสัตว์จะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่าง ปราศจากขอบเขต พร้อมท่จี ะสละตนเองเพอื่ ชว่ ยสตั ว์ให้พน้ ทุกข์ 3) หลักมหาอุปาย คอื พระโพธสิ ัตว์จะตอ้ งมวี ิธีการชาญฉลาดในการแนะนาอบรมสั่งสอน ผู้อืน่ ให้เขา้ ถงึ สจั ธรรม (เสถยี ร โพธินันทะ, 2522, น. คานา ฑ) คณุ สมบัติท้ัง 3 ข้อน้ีเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบาเพ็ญ ประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบาเพ็ญประโยชน์เพ่ือผู้อ่ืน เพราะเหตุนี้ ฝ่าย มหายานจึงประกาศเปน็ คาขวัญประจาลัทธิวา่ “มหายานสาหรบั มหาชน”

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 73 3.4 หลักปารมิตาหรือหลักบารมี 6 1) ฐานะของปารมิตาบารมี ในพระพุทธศาสนามหายาน บารมีได้กลายเป็นหมวดธรรมะที่สาคัญท่ีสุด มีฐานะ เหนือธรรมะหมวดอื่น ๆ ท้ังปวง บารมีเป็นส่ิงที่แยกพระโพธิสัตว์ให้อยู่สูงเหนือกว่าพระอรหันต์และ พระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวอีกประการหนึ่ง คือบารมีเป็นการบาเพ็ญธรรมะที่สามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วย ในขณะท่ีการบาเพ็ญธรรมของพระอรหันต์และพระปัจเจกพุทธเจ้าเปน็ เรื่องการเตรียมตัวเพ่ือการรอด พ้นของตนเองเท่านั้น พระพุทธศาสนานิกายมหายานได้พยายามให้เห็นว่าการบาเพ็ญโพธิปักขิยธรรม อันถือเป็นการรวมธรรมเพ่ือไปสู่นิพพานของเถรวาทเป็นส่ิงท่ีต่ากว่าการบาเพ็ญบารมี (H.Dayal, 1970, p. 170) แต่เม่ือพิจารณาแล้ว ก็ไม่น่าจะมีข้อที่สูงส่งกว่ามากนัก เพราะธรรมะทุกข้อท่ีอยู่ใน หมวดบารมีก็เป็นธรรมะที่กล่าวถึงอยู่ในโพธิปักขิยธรรมแล้ว ยกเว้นทาน ศีลและขันติ การเพิ่มเติม หวั ข้อดังกล่าวเป็นข้อแสดงให้เห็นถึงการประสานกันระหว่างชีวิตในสังคมกับชวี ิตของการออกบวชให้ เป็นไปด้วยกัน บารมีจึงเป็นเรื่องท่ีสามารถนามาเป็นหลักปฏิบัติที่สาคัญที่สุด ดังน้ัน บารมีใน พระพุทธศาสนามหายานได้เป็นแกนของความคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ เป็นการเสนอความคิดเรื่อง พระโพธิสัตวผ์ ่านทางธรรมะต่าง ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง บารมีก็คือการแสดงชีวิตพระโพธิสัตว์ด้วยธรรมะ ท่ีพระองคบ์ าเพ็ญนั่นเอง การบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสตั ว์มีลกั ษณะรว่ มอยู่ 3 ประการคือ (1) เป็นการบาเพ็ญธรรมะเป็นระยะเวลานาน เมื่อกล่าวถึงการบาเพ็ญบารมีมักจะมี คาว่า บาเพ็ญมาเปน็ เวลานานนบั ไม่ได้ (2) เป็นการบาเพ็ญธรรมะที่เป็นไปท้ังเพ่ือประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อ่ืน ถ้า หากพิจารณาบารมีแล้ว จะเหน็ ได้ว่า ทาน ศีล กษานตเิ ปน็ ส่วนกระทาใหเ้ กิดบุญกศุ ลเพ่ือความสุขของ ตนและความสุขของชาวโลก ในขณะที่ธยานและปรชั ญาเป็นการแสวงหาความหลุดพน้ สว่ นวีรยะเป็น แกนกลางในอนั ท่ีเปน็ กาลงั เพือ่ บาเพ็ญธรรมะอ่ืน ๆ ขา้ งต้น (3) เป็นการบาเพ็ญที่เป็นลาดับตั้งแต่ต้นจนปลาย บารมีแต่ละข้อจึงมีเรื่องราว กว้างขวาง พิจารณาได้หลายระดับ และทาให้หมวดธรรมะที่เรียกว่าบารมีมีลักษณะเริ่มจากธรรมะที่ งา่ ยทีส่ ุดไปทาธรรมะทย่ี ากท่ีสดุ ในแตล่ ะบารมี (ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2546, น. 189-190) 2) การบาเพญ็ บารมหี รือปารมิตา 6 การบาเพ็ญบารมีในพระพุทธศาสนามหายานมีลักษณะเป็นไปในทางให้ความหมาย และเสนอแนวทางการบาเพ็ญ การชักตัวอย่างต่าง ๆ ไม่ค่อยปรากฏมี มีคัมภีร์เดียวคือชาดกมาลา เป็นเรื่องราวพระโพธิสัตว์ประมาณ 25 ชาดก เป็นเร่ืองราวท่ีสมเหตุสมผลแก่ความคิดเรื่องบารมีของ คมั ภรี ม์ หายาน บารมีของพระโพธิสตั วใ์ นทรรศนะของฝ่ายมหายานนัน้ มี 6 ประการ ดังต่อไปน้ี (1) ทานปารมิตา คัมภีร์มหายานกล่าวถึงการบาเพ็ญทานบารมีต้ังแต่ประเภทของทาน ผู้รับทาน วัตถุทใ่ี หเ้ ป็นทาน วิธกี ารใหท้ านและผลของการใหท้ าน

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 74 (1.1) ประเภทของทาน คัมภีร์ธรรมสังเคราะห์กล่าวถึงทานบารมีแบ่งได้เป็น 3 อย่างคือ ธรรมทาน อามิษทานและไมตรีทานหรืออภัยทาน ธรรมทานถือเป็นทานสูงสุด (ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2546, น. 207) (1.2) ผรู้ บั ทาน การบาเพ็ญทานบารมีย่อมกระทาแก่ทกุ คนโดยเสมอหน้า คัมภีร์มหายานก็ ได้กล่าวแยกผู้รับทานไว้คือผู้รับเป็นญาติเพ่ือนพ้อง ผู้รับเป็นผู้ต้องการส่ิงนั้นอยู่ เป็นคนยากจน คน เจบ็ ไข้และผู้รบั เป็นสมณชีพราหมณ์ พระโพธิสัตวผ์ ู้บาเพ็ญทานจะตอ้ งรู้จกั ผู้ทรี่ ับทานของพระองคเ์ พ่ือ จะได้บาเพ็ญทานได้เหมาะสม คัมภีร์มหายานสมัยหลังกล่าวเน้นเฉพาะผู้รับทานที่เป็นคนยากจนข้น แค้น อนั เปน็ การแสดงให้เห็นถงึ ความพยายามเข้าหาชนหมู่มากและใหค้ วามกรุณาแก่ผทู้ ี่ลาบาก (1.3) วตั ถุที่ใหเ้ ปน็ ทาน วัตถุที่ให้เป็นทานท่ีกล่าวถึงในคัมภีรม์ หายาน เช่น ข้าว น้า ยารักษาโรค ที่ อยูอ่ าศยั สวน ดอกไม้ รวมท้ังลูกเมยี ไปจนถงึ ชวี ติ ของพระโพธิสตั วใ์ นทส่ี ุด วัตถุที่ห้ามคือวัตถุท่ีทาให้หลงใหลเพลิดเพลิน ศาตรา ยาพิษ ของมึนเมา เคร่ืองดกั สัตว์ เปน็ ตน้ ในกรณีท่จี ะให้ส่ิงมชี วี ติ เป็นทาน ใหไ้ ด้ทุกอยา่ งยกเว้นมารดาบดิ า (1.4) วธิ กี ารใหท้ าน พระโพธิสัตว์ผู้ให้ทานจะต้องให้ด้วยความสุภาพ จะต้องต้อนรับผู้รับทาน อย่างเคารพนอบน้อม เป็นผู้ยนิ ดีในการทาทาน จะต้องไม่โออ้ วดการทาทานของตน เป็นผูท้ ี่ให้ทานแก่ คนไม่เลือกหนา้ ทั้งมิตรและศตั รู ท้ังผู้ควรรับและไม่ควรรับ ทง้ั คนเลวและคนดี ท้ังนี้โดยท่ีรปู้ ระมาณใน การทาทาน จะตอ้ งทาทานดว้ ยความกรุณาและปัญญาควบคู่กันไป (2) ศลี ปารมิตา ศีลทีก่ ลา่ วถงึ ในคมั ภรี ม์ หายานอาจแบง่ ได้เป็น 3 ประเดน็ คือ (2.1) กศุ ลกรรมบถ (2.2) ศีลที่บาเพ็ญเม่ือเป็นคฤหสั ถโ์ พธิสัตว์ (2.3) ศีลที่บาเพ็ญเม่ือออกบวชสละบ้านเรือน (ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2546, น. 210) (3) กษานตปิ ารมติ า พระโพธิสัตว์ผู้บาเพ็ญกษานติปารมิตาคือจะต้องบาเพ็ญความอดทนอดกล้ันใน กรณีตา่ ง ๆ แต่เดิม ปารมิตาน้ีมไิ ด้มีความสาคัญมากนัก ต่อมาในคมั ภีร์รุ่นหลงั เชน่ สมาธิราชสูตรเน้น เรอื่ งกษานติปารมติ ามาก เพราะกษานตเิ ป็นพืน้ ฐานสาคัญในอันทจี่ ะใหจ้ ิตเป็นสมาธิหรือบาเพญ็ ธยาน ปารมติ าได้ คัมภรี ธ์ รรมสังเคราะหไ์ ด้จาแนกกษานตปิ ารมติ าเปน็ 3 ประเภท คือ (3.1) ธรรมนธิ ยานกษานติ คือ การยอมรับความจริงของสภาวะดว้ ยปัญญา (3.2) ทุกขาธิวาสนากษานติ คือ การอดกล้นั ตอ่ ความทกุ ขท์ ีเ่ กดิ ข้นึ ในตน (3.3) ปโรปการธรรมกษานติ คือ การอดทนในการที่จะประกอบกิจการช่วยเหลือ ผู้อื่น (ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, 2546, น. 213)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 75 กษานติ 2 ประเภทหลังมีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว แต่กษานติประเภทแรกถือ เป็นกษานติอย่างสูงสุดเพราะตอ้ งใช้ญาณทัสสนะอันถูกตอ้ งจึงจะมองเห็นธรรมะตา่ ง ๆ ตามความเป็น จริงได้ พระโพธิสัตว์ผู้บาเพ็ญกษานติประเภทนี้จะศึกษาธรรมะอย่างละเอียดลออ อันจะก่อให้เกิด ความเล่ือมใสในพระคณุ ของพระพทุ ธเจ้าและพระโพธสิ ัตว์ รเู้ หตรุ ูผ้ ลในทกุ สิ่งทุกอย่าง (4) วรี ยปารมิตา วรี ยะ หมายถึง ความพากเพียรความมีพลังที่จะบาเพ็ญธรรมเพื่อให้บรรลุถึงความ เป็นพระพทุ ธเจ้า จนกระทั่งกล่าววา่ “ท่ีใดมีวรี ยะ ท่นี ่นั กม็ โี พธิ” วีรยปารมิตาน้ัน มี 3 ประการ คือ (4.1) ความเพียรในการบาเพ็ญความดี พระโพธิสัตว์เป็นผู้ตั้งใจมั่นท่ีจะไม่ ประพฤติในทางชั่วร้าย ไม่พอใจต่อคุณความดีท่ีทาได้เพียงเล็กน้อย แต่ตั้งใจจะทาความดีให้มาก ๆ เทา่ กับพระโพธิสัตว์ในอดีต (4.2) ความเพียรในการศึกษา ศึกษาในที่นี้หมายถึง ไตรสิกขาและการหา ความรู้อื่น ๆ ที่เป็นศิลปศาสตร์ แต่เดิม พระพุทธศาสนามหายานมิได้สนใจเร่ืองน้ีมากนัก แต่ต่อมามี การกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้แตกฉานในคาสอนของพระพุทธเจ้าและมีการกล่าวถึงวิทยา 5 ประการ คือ พระพุทธศาสนา ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ แพทยศาสตร์และศิลปหัตถกรรม วิชาเหล่านี้ จะช่วยพระโพธิสัตว์ในอันท่ีจะกลับใจคนให้มานับถือพระพุทธศาสนา รักษาผู้ป่วยและสามารถ ชว่ ยเหลอื ผู้อ่นื ทางวตั ถุได้ (4.3) ความเพียรในการกระทาเพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่ืน พระโพธิสัตว์เป็นผู้มุ่งม่ัน ในอนั ชว่ ยเหลือผูอ้ ่นื บากบัน่ ชว่ ยเหลอื จนกระทั่งลลุ ่วง ไมก่ ระทาการใด ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เกรงกลัว อุปสรรคและภยันตราย เป็นผู้เห็นผู้อ่ืนเสมอตนและเห็นแก่ผู้อ่ืนก่อนตนเอง (H.Dayal, 1970, pp. 217-219) (5) ธยานปารมติ า ธยาน หมายถงึ ความตั้งมั่นของจิตเพื่อขจดั กิเลสและเพ่ือให้ได้บรรลุถึงความเป็น จริง เท่ากบั คาว่า “สมาธิ” ซง่ึ การบาเพ็ญธยานปารมิตานัน้ แบ่งเป็น 3 ข้ันตอน ดงั นี้ 5.1) ข้ันเตรยี มตัวเพือ่ บาเพ็ญ ผู้บาเพ็ญจะตอ้ งออกบวชและแสวงหาความวิเวก เจริญพรหมวิหาร 4 พจิ ารณากสิณ 10 5.2) ขั้นการบาเพ็ญธยาน ได้แก่ รูปธยาน 4 อรูปธยาน 4 และนโิ รธสมาบัติ 5.3) ข้ันธยาน ได้เพ่ิมธยานหรือสมาธิ มีชื่อต่าง ๆ เช่น วัชโรปมา รัตนมุทรา ประทีปะ เตโชวตี สมาธิเหล่านี้เป็นทางไปสูค่ วามหลุดพ้น รวมท้ังทาให้มีฤทธิ์อานาจ เช่น เหาะเหินได้ ชว่ ยบุคคลผเู้ รอื แตกได้ (6) ปรัชญาปารมติ า ปรัชญามีความหมายเช่นเดียวกับ “ปัญญา” หมายถึง ความรู้อย่างยอดเย่ียม ความรู้ท่ีรู้ลึกซ้ึง ความรู้แจ้งเห็นจริง ซ่ึงในคัมภีร์ธรรมสังเคราะห์แบ่งความรู้ออกเป็น 3 ประเภทตาม ทางท่ีได้ คือ (6.1) ศรตุ มยี คือ สาเรจ็ ด้วยการฟงั (6.2) จินตามยี คือ สาเร็จดว้ ยการตรอง (6.3) ภาวนามยี คือ สาเร็จดว้ ยการเจรญิ ให้มีข้นึ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 76 โดยท่ัวไปแล้ว คัมภีร์มหายานเพ่งเล็งคาว่า “ปรัชญา” หมายถึง ศูนยตาหรือตถตา แต่มีนยั แยกกันบ้างตามคัมภีร์ตา่ ง ๆ บารมีหรอื ปารมิตาอกี 4 ประการ คือ อปุ ายเกาศัลยปารมติ า คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการจัดการเร่ืองราวต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ที่แตกฉาน เพื่อจะให้พระโพธิสัตว์มี ความสามารถในการชี้บอกสั่งสอนชาวโลกผู้มีพื้นฐานต่าง ๆ กันไป ให้สามารถเข้าถึงธรรมที่แท้ได้ ประณิธานปารมิตา คือ ความต้ังใจแน่วแน่ต่ออุดมการณ์ของตน พลปารมิตา คือ กาลังต่าง ๆ ของ พระโพธิสัตว์และชญานปารมิตา คือความรอู้ ย่างย่ิงทเ่ี ป็นของพระโพธิสัตว์ ถือว่าเป็นบารมีเสริม ไม่ได้ มคี วามสาคัญเสมอกับ 6 ประการต้น ลักษณะของปารมิตาท้ัง 4 น้ีเป็นเร่ืองคุณสมบัติมากกว่าจะเป็น เร่อื งของการบาเพ็ญความดี 4. ทศภมู ขิ องพระโพธสิ ตั ว์ พระโพธิสัตว์ผู้เข้าสู่ทศภูมิ นับตั้งแต่ภูมิท่ี 1 ไปแล้ว ย่อมไม่ทาอกุศลกรรมเลย ทศภูมินั้นใน คมั ภีรม์ หาปรชั ญาปารมิตาศาสตร์ จดั ลาดับไวด้ งั น้ี 1. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์ยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม มีความยินดีในความ ปราศจากทกุ ขข์ องสรรพสัตวอ์ ยู่ ในภมู นิ ้ีมีทานบารมีเป็นใหญ่ (คอื บาเพ็ญหนกั ในทาน) 2. วิมลาภมู ิ พระโพธสิ ัตวล์ ะมิจฉาจริยาไดข้ าด ประพฤติแตส่ มั มาจริยา มศี ีลบารมีเปน็ ใหญ่ 3. ประภาการีภูมิ พระโพธิสัตว์มีความประพฤติย่ิงในความอดกล้ันโดยทุกประการ มีขันติ บารมีเปน็ ใหญ่ 4. อรรถจีสมดีภูมิ พระโพธิสัตว์มีความเพียรกลา้ ในการบาเพ็ญคณุ ธรรมเป็นหิตประโยชน์แก่ สรรพสัตว์ มวี ิรยิ บารมีเป็นใหญ่ 5. ทุรชยาภูมิ พระโพธิสัตว์ละขาดซ่ึงสภาวะแห่งทวิยานทั้ง 2 ซ่ึงเป็นธรรมาวรณะต่อพุทธภูมิ ไดข้ าด มีสมาธบิ ารมีเปน็ ใหญ่ 6. อภิมุขภี มู ิ พระโพธิสัตว์บาเพ็ญยิง่ ในปญั ญาบารมีร้ชู ัดในปฏิจจสมปุ บาท 7. ทรู งั คมาภูมิ พระโพธสิ ตั วบ์ าเพญ็ หนกั ในอุปายบารมีมาก 8. อจลภูมิ พระโพธสิ ตั วบ์ าเพ็ญหนกั ในปณธิ านบารมีมาก 9. สาธมุ ดีภูมิ พระโพธิสตั วบ์ าเพ็ญหนกั ในพลบารมีมาก 10. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บาเพ็ญหนักในญาณบารมีมาก มีอิสระไม่ติดผูกในสิ่งท้ังปวง ดุจเมฆซง่ึ ลอยละลอ่ งอยูท่ า่ มกลางนภากาศอย่างเสรี (เสถียร โพธินนั ทะ, 2522, น. 4) 5. หลักตรกี าย หลักเรื่อง “ตรีกาย” อันหมายถึงพระกายทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามหายาน ชั้นแรกดูเหมือนมีทัศนะตรงกับเถรวาทที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระกายเพียง 2 คือ นิรมาณกายและ ธรรมกาย แต่ในกายตรยสูตรของมหายาน พระอานนท์ได้ทูลถามถึงเรื่องพระกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจา้ จึงตรสั แก่พระอานนท์ว่า ตถาคตมกี ายเปน็ 3 สภาวะคือตรีกาย อันไดแ้ ก่ 1. นิรมาณกาย หมายถึงพระกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 และ ปรากฏแกม่ นุษยท์ ั่วไป บางทเี รียกว่า รปู กาย การดับขนั ธปรนิ ิพพานน้ันเป็นแต่เพียงการสาแดงให้เห็น ปรากฏในรูปนริ มาณกายเท่านนั้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 77 2. สัมโภคกาย หมายถึง พระกายของพระพุทธองค์ซ่ึงสาแดงปรากฏให้เห็นเฉพาะหมู่ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นทิพยภาวะมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป แม้จนกระท่ังบัดนี้ พระโพธิสัตว์ก็ยัง อาจจะเห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ในรูปสัมโภคกาย ความคิดเร่ืองสัมโภคกายนี้ มหายานได้รับจาก นิกายมหาสังฆกิ ะ และในหมู่คณาจารยข์ องมหายานก็ไม่มคี วามเห็นพอ้ งกนั ในเรื่องนี้ 3. ธรรมกาย หมายถึง พระกายท่ีแท้จรงิ เป็นสภาวอมตะ ไมม่ ีเบ้ืองต้น ท่ามกลาง ท่ีสุด แผ่คลุม อยู่ท่ัวไป ธรรมกายตามนัยแห่งเถรวาทหมายถึงพระคุณท้ัง 3 ของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ในอัคคัญญสูตร แห่งทีฆนิกาย (ที.ปา. 11/45/92) กล่าวถึง ธรรมกาย (กายธรรม) และพรหมกาย (กายพรหมหรือกายประเสริฐ) ว่าเป็นพระนามของพระตถาคต มี ปัญหาเร่ืองผู้เข้ามาบวชจากวรรณะต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดความสงสัยว่า เม่ือมาบวชแล้วจะเป็นผู้อยู่ใน วรรณะหรือชาติสกุลใด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้เข้ามาบวชชื่อว่าเป็นบุตรของพระตถาคตเจ้า เป็นผู้เกิด จากธรรม อันธรรมสร้างสรรค์และเป็นธรรมทายาท (ผู้รับมรดกธรรม) ทรงให้เหตุผลว่า คาว่า ธรรมกาย (กายธรรม) พรหมกาย (กายพรหมหรือกายประเสริฐ) ธรรมภูตะ (ผู้เป็นธรรม) พรหมภูตะ (ผู้เป็นพรหม) เป็นชื่อของพระตถาคต เป็นการปกป้องผู้เข้ามาบวชจากวรรณะต่าง ๆ ให้เป็นบุตรของพระตถาคต ผู้เป็น ธรรมกาย พรหมกายเท่าเทียมกันหมด ไม่ต้องมีปมด้อยว่ามาจากวรรณะต่าต้อยใด ๆ (เสถียร โพธินันทะ, 2522, น. 15-17) 6. หลักโพธจิ ิต หลักโพธิจิตในมหายานคือ “บุคคลต้ังมูลปณิธิปรารถนาพุทธภูมิ บุคคลน้ันช่ือว่า มีโพธิจิต” การต้ังโพธิจิตเป็นหัวใจของอุดมการณ์พระโพธิสัตว์ จึงมีความหมายพิเศษในการดารงตนท่ามกลาง ผู้อื่น แม้เป้าหมายสุดท้ายของผู้ต้ังปณิธานคือพระโพธิญาณซ่ึงเป็นเร่ืองเฉพาะตัวของพระโพธิสัตว์แต่ ปณิธานเช่นนั้นมีแรงบันดาลใจจากการต้องการช่วยเหลือผู้อ่ืน สาระสาคัญของหลักโพธิจิตจึงมี 2 อย่างคือ ตนเอง (พระโพธิญาณ)และผู้อื่น (กรณุ า) ผู้มี 2 สงิ่ นใ้ี นตนชือ่ ว่าพระโพธสิ ัตว์ ดงั ท่ี คัมภีร์โพธิ จรรยาวตาร กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าในอดีต (ก่อนตรัสรู้) ตั้งโพธิจิตเป็นพระโพธิสัตว์ และปฏิบัติตาม จรรยาของพระโพธิสัตว์อย่างซื่อสัตย์ฉันใด ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน ได้ตั้งโพธิจิตเป็นพระโพธิสัตว์เพ่ือ ช่วยเหลอื สตั ว์โลก และปฏิบตั ิโพธจิ รรยาวตารนี้ อย่างไมใ่ หบ้ กพร่อง ผู้ท่ีต้ังโพธิจิตแล้วย่อมมองเห็นว่า หลักโพธิจิตคือช่องทางช่วยเหลือสัตว์โลกผู้ทุกข์เข็ญ ปลด เปลอ้ื งโลกที่เป่ยี มไปด้วยความทกุ ข์ เปน็ ท่ีพักร้อนของสตั ว์ผู้เหน็ดเหนือ่ ยจากการทอ่ งเทย่ี วอันยาวนาน ในสังสารวัฏและเป็นสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งที่ปลอดภัย ดังข้อความในโพธิจรรยาวตารว่า “โพธิจิตนี้ คือ สะพานสาหรบั ผตู้ ้องการขา้ มใหพ้ น้ โอฆสงสาร” อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตากล่าวถึงความต้ังใจอันแน่วแน่หรือปณิธานของพระโพธิสัตว์ วา่ “จะยึดถือว่าสัตวท์ ้ังหลายเป็นเสมือนหน่ึงบิดามารดาหรือบุตรของตน หรือเป็นเสมือนหน่ึงตนเอง ว่า “เราปรารถนาจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ในสังสารวัฏฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ปรารถนาเช่นน้ัน เช่นเดียวกับเรา...เราจะไมต่ ดั ช่องน้อยเอาตวั รอดไปเสียจากสัตวท์ ั้งหลาย เราจักต้องชว่ ยเหลือพวกเขา ให้พ้นจากกองทุกข์ จะไม่รังเกียจเดยี ดฉันท์พวกเขา แม้ว่าจะถูกหั่นร่างกายออกเป็นร้อยท่อนพันท่อน ก็ตาม”

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 78 อย่างไรก็ดี พระสูตรท่ีพรรณนาถึงปณิธานของพระโพธิสัตว์ได้อย่างจับใจย่ิงคือ สุขาวดีวยูห สูตร ในพระสูตรน้ี พระธรรมกรโพธสิ ัตว์ไดต้ ง้ั ความปรารถนาวา่ จะไมต่ รัสรู้เปน็ พระพุทธเจ้าจนกว่าจะ รือ้ ขนสรรพสัตว์ท้ังหมดให้พ้นจากความทุกข์เสียก่อน กล่าวโดยสรุป จากแนวคิดเร่ืองโพธจิ ิตของมหายาน ความหลุดพ้นส่วนตนและความกรุณาท่ีมี ต่อสรรพสัตว์ได้มารวมเป็นหน่ึงเดียวกัน ทั้ง 2 ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ต่างเป็นคุณลักษณะของกัน และกัน กล่าวได้ว่า ในทัศนะของมหายาน ความหลุดพ้นส่วนตัวไม่น่าจะเรียกว่าเป็นความหลุดพ้นได้ อย่างเต็มปาก พระโพธิสัตว์อาจฝึกฝนอบรมตนเองเพ่อื ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แตก่ ระนั้นยัง ไม่เพยี งพอ พระโพธิสตั ว์จะตอ้ งให้ความสาคัญเป็นอนั ดบั แรกตอ่ การช่วยเหลือผอู้ น่ื ก่อน จากหลัก “โพธิจิต” ของมหายาน แสดงว่า “ปัญญา” (ปรัชญา) และ “กรุณา” จะเป็น คุณสมบัติควบคู่กันเสมอของพระโพธิสัตว์ ดังที่ ซูซูกิ กล่าวว่า “ส่ิงท่ีทาให้มหายานยืนบน 2 ขาได้ อย่างมั่นคง คือ “ปรชั ญา” และ “กรุณา” หรือความรู้ท่ีมุ่งสู่โลกุตตรภาพและความรักที่มีต่อสรรพส่ิง ทัง้ ทม่ี ชี ีวิตและไมม่ ชี ีวติ การตรัสรู้ (ปัญญา) ย่อมหมายถึงต้องการให้ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นพ้นทุกข์ (กรุณา) คู่กัน พระโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลอุดมคตทิ ี่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง หากประสงค์จะหลุดพ้นจากทุกข์ การเน้น ความกรุณานับเป็นมิติใหม่ของพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น เป็นการสอนว่าชาวพุทธไม่ควรมุ่งแต่ความ หลุดพ้นส่วนตัว แต่ต้องอุทิศตนเองเพื่อผู้อ่ืนด้วย คาสอนเช่นนี้ทาให้เกิดจิตสานึกและค่านิยมใหม่ว่า การหลุดพ้นเฉพาะตัวไม่มีประโยชน์อะไรหากไม่ช่วยผู้อ่ืนให้หลุดพ้นตาม ที่จริงเถรวาทก็ใช่ว่าจะสอน ให้คนเห็นแก่ตัว เพียงแต่ว่าการจะช่วยเหลือผู้อ่ืนได้นั้น คน ๆ นั้นต้องช่วยเหลือตนเองได้ก่อน เช่นเดียวกับการสอนคนให้ว่ายน้า ผู้สอนต้องว่ายน้าเป็นก่อน จึงจะสอนผู้อื่นได้ ดังพระพุทธพจน์ใน คาถาพระธรรมบท ดังน้ี “บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ต้ังอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพร่าสอนผู้อ่ืนใน ภายหลัง บัณฑิตพึงไม่เศร้าหมอง” (ขุ.ธ. 25/52) สาหรับมหายานแล้ว แนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ แสดง ให้เห็นว่า การช่วยเหลือผู้อ่ืนต้องมาอันดับแรกจนถึงกบั กล่าวว่า พระโพธิสตั ว์แม้จะต้องรบั ทุกข์ รบั โทษ ทณั ฑ์หรือกระท่งั ยอมตกนรกเพื่อประโยชนส์ ขุ ของสรรพสตั ว์กต็ ้องทา 7. หลกั การพุทธเกษตร พุทธเกษตร (อาณาจักรแห่งพระพุทธเจ้า) หรือวิสุทธิภูมิ (ดนิ แดนบริสทุ ธ์ิ) ตามความเชื่อของ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน คือดินแดนที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างข้ึนด้วยปณิธานของแต่ละพระองค์ แดนที่มีพระพุทธเจ้า (พระฌานิพุทธเจ้า) ประทับเป็นประธาน (หรือผู้ปกครองแดน) อยู่ แดนพุทธ เกษตรไม่ใช่นิพพาน แต่มีลักษณะคล้ายสวรรค์ เป็นภูมิที่สาวกของพระพุทธเจ้าใช้ปฏิบัติธรรมต่อ หลงั จากสิน้ ชีวติ บนโลกเพ่อื บรรลนุ พิ พานต่อไป โดยท่ีพระพุทธศาสนามหายานมีมติว่า พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจานวนมากมายดุจ ทรายในคงคานที และในจักรวาลอันเว้ิงว้างน้ีก็มีโลกธาตุท่ีมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแสดงพระสัทธรรม เทศนาอยู่ท่ัวไปนับประมาณมิได้ท้ังในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เช่น ปัจจุบันโลกธาตุของเราว่างจาก พระพุทธเจ้ามา 2 พันกว่าปีแล้ว แต่ในขณะน้ี ณ โลกธาตุอื่นก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ทรงดารง พระชนม์อยู่สั่งสอนสัตว์ โลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติน้ันบางครั้งเรียกว่า “พุทธเกษตร” ดังท่ี คมั ภีรส์ ทั ธรรมปณุ ฑกี สูตร ไดบ้ รรยายแดนพุทธเกษตรไวด้ งั นี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 79 ...พระศาสดาเจ้าทรงเปลง่ พระรัศมีจากพระอุษณีย์ ทันทที ่ีเปลง่ พระรัศมีออกไป น้ัน พระศาสดาเจ้า พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ทางทิศตะวันออกใน 50 ร้อยพัน หม่ืนโกฏิโลกธาตุ จานวนมากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที ก็ปรากฏให้เห็นโดยทั่วกัน พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้นอันประดับด้วยแก้วประพาฬ ก็สามารถเห็นได้ด้วย หลากหลายด้วยตน้ รัตนพฤกษ์ ประดบั ด้วยผ้าแพรพรรณอนั งดงามเป็นสาย ๆ พรั่งพร้อม ด้วยพระโพธิสัตว์ หลายร้อยพันพระองค์ ประทับอยู่ภายใต้สัปทน ประดับด้วยตาข่าย แก้วมณีและทองคา ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ปรากฏมีพระศาสดาเจ้า พระพุทธเจ้ากาลัง ทรงเทศนาสอนสรรพสัตว์ท้ังหลายด้วยพระสุรเสียงสาเนียงอ่อนหวาน พุทธเกษตร ทั้งหลายเหล่าน้ันพร่ังพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์หลายร้อยพันพระองค์ ในทิศตะวันออก เฉียงใต้ก็เช่นกันเช่นเดียวกับทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียง เหนือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งในข้ัวโลกเหนือ-ใต้และในทศทิศแต่ละทิศ สามารถมองเห็นพุทธเกษตรทั้งหลายจานวนหลายร้อยพันหม่ืนโกฏิ ดุจเดียวกับจานวน เม็ดทรายในคงคานที ในโลกธาตุท้ังหลายอันเปรียบได้กับเม็ดทรายในคงคานที พระศาสดาเจ้า พระพุทธเจ้าในพุทธเกษตรท้ังหลายจานวนหลายร้อยพันหม่ืนโกฏิ พระองค์ (ฉัตรสมุ าลย์ กบลิ สิงห์, แปล, 2543, น. 186-187) พุทธเกษตรน้ีเป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยทิพยภาวะน่าร่ืนรมย์ อันเกิดข้ึนมา จากอานาจประณิธานของพระพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่ที่สรรพสัตว์ในโลกธาตุอื่น ๆ ควรมุ่งไปเกิด พทุ ธเกษตรหรือวิสุทธภิ ูมิ ที่สาคญั และมชี ื่อเสียงมากมี 4 แหง่ คือ 1. สุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะ อยู่ทางทิศตะวันตก มีแต่สัปตรัตนะโดยธรรมชาติ พ้ืนพสธุ าดลเป็นทองคา ราบเรียบเสมอกันกว้างใหญไ่ พศาล มอิ าจจากัดซึ่งขอบเขต มีความพิสดารแล ประณตี ย่งิ นัก กับท้ังบริสทุ ธ์ิและอลังการกว่าโลกธาตทุ ้ังปวงในทศทิศ (พระวิศวภัทร เซ่ยี เกี๊ยก, 2551, น. 33) 2. พุทธเกษตรของพระพุทธไภสัชชคุรุไวฑูรยประภาราชา อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพุทธ เกษตรซง่ึ มรี ัศมีไพโรจน์แลว้ ดว้ ยมณไี พฑูรย์ 3. พุทธเกษตรของพระพทุ ธอักโษภยะ 4. พทุ ธเกษตรของพระเมตไตรยโพธสิ ัตว์ ในดสุ ิตสวรรค์ (เสถียร โพธนิ ันทะ, 2522, น. 18) พุทธเกษตรท้ัง 4 แห่งน้ีปรากฏว่าสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะเป็นที่นิยมของ พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานมากกว่า อันเน่ืองมาจากว่า เม่ือพระพุทธเจ้าพระองค์ใด สมัยท่ีเป็นพระ โพธิสัตว์ได้บาเพ็ญบารมีไว้มาก อานาจของบารมีนั้นจะส่งผลให้พุทธเกษตรน้ันรุ่งเรืองมากกว่าพุทธเกษตร ของพระพุทธเจา้ ที่บาเพญ็ บารมีมาน้อยและโอกาสท่ีสรรพสัตวผ์ ไู้ ปบังเกดิ ณ พุทธเกษตรน้นั จะบรรลุธรรมก็ เป็นไปอย่างงา่ ยดายอีกด้วย เพราะมีสภาพที่เอ้ืออานวยต่อการเข้าถึงพระนิพพานได้มากกว่า ดังท่ี เสถียร โพธนิ นั ทะ (2522, น. 215) กลา่ ววา่ วันหน่ึงคืนหน่ึงในสุขาวดี เท่ากับกัลป์หน่ึงในมนุษยโลกนี้ แลผู้ท่ีไปอุบัติในพุทธ เกษตรนั้นล้วนเป็นอุปปาติกะเกิดขน้ึ ในดอกบัว ชาวสุขาวดีไม่มีทุกข์โศกโรคภัยอะไร มีแต่ ความร่มเย็นสุขสวัสดีอย่างย่ิง มีอายุอันนับประมาณมิได้ เป็นแดนเสมือนท่ีพักระหว่าง

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 80 สังสารวัฏกับพระนิรวาณ ผู้ไปถืออุบัติท่ีน้ันล้วนเที่ยงต่อพระนิรวาณทั้งน้ัน หากยังมีกิเลส หนาอยู่ติดจากโลกอื่นไปไซร้ ก็จักได้อบรมตัดกิเลสกันท่ีน่ันแล ถ้าปรารถนาจะกลับมา โปรดสตั วใ์ นโลกนห้ี รอื โลกธาตุอ่นื ๆ ท่วั ทิศกไ็ ดม้ อี สิ รเสรเี ต็มที่ บุคคลท่ีได้ไปเกิดในพุทธเกษตรสุขาวดีน้ี อาจจะยังไม่สามารถบรรลุมรรคผลใด ๆ เลยก็ได้ เพียงแต่ต้องส่ังสมบุญให้เพียงพอ ไม่เหมือนกับแดนพรหมช้ันสุทธาวาส ที่ผู้ไปเกิดในแดนระดับนี้จะ บรรลุมรรคผลเข้านิพพานได้ในชั้นสุทธาวาสน้ี ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกเช่นกัน แต่ผู้จะไป เกิดในชั้นสุทธาวาสได้ จะต้องบรรลุธรรมถึงระดับเป็นพระอนาคามีบุคคลเสียก่อน การไปเกิดใน สุทธาวาสจงึ ยากมากไมเ่ หมอื นในสขุ าวดีท่ไี มต่ ้องบรรลธุ รรมเป็นพระอนาคามกี ่อนก็ได้ พุทธเกษตรน้ันมใิ ช่ส่งิ ที่เรยี กว่าพระนิพพาน เพราะพุทธเกษตรมจี านวนมากมายมหาศาล แต่ ก็ยังถือว่าเป็นสุขที่เจืออยู่ด้วยอามิส ด้วยสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่นิพพานเป็น สภาวะแห่งความสุขสงบ เป็นความสุขท่ีเรียกว่า นิรามิสสุข คือ ความสุขอันไม่เจือด้วยอามิส จึงอาจ กลา่ วไดว้ ่า พุทธเกษตรเปน็ สถานทพ่ี ักชั่วคราวเพือ่ รอเวลาท่จี ะเข้าสนู่ ิพพานน่ันเอง ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า พุทธเกษตรนั้นหมายถึงสถานที่หรือบริเวณท่ีอยู่ภายใต้การปกครองดูแล ของพระพุทธเจา้ แต่ละพระองค์ เป็นท่สี ถิตอยู่ของพระโพธิสัตว์และผู้ท่ีศรัทธาในพระพุทธเจา้ องค์นน้ั ๆ ซึ่งภายในแต่ละพุทธเกษตรน้ันจะมีความแตกตา่ งกันไปในด้านอายุขัยของสัตว์ ความสมบูรณ์และความ น่ารื่นรมย์ อนั จะเปน็ ส่ิงทีเ่ อ้ืออานวยต่อการเข้าถึงนิพพานของสตั วผ์ ถู้ ือกาเนิด ณ พุทธเกษตรนน้ั ๆ 8. พระสตู รสาคญั ของพระพทุ ธศาสนามหายาน พระสูตรสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ประกอบด้วย 1. อวตังสกสูตร 2. คัณฑวยูหสูตร 3. ทศภูมกิ สูตร 4. วมิ ลเกยี รตินิทเทสสูตร 5. ศูรางคมสมาธิสูตร 6. สัทธรรมปุณฑรีกสูตร 7. ศรีมาลาเทวี สหี นาทสูตร 8. พรหมชาลสูตร 9. สุขาวดวี ยูหสูตร 10. ตถาคตครรภสูตร 11. อสมปูรณอนุสูตร 12. วัชร ปรัชญาปารมิตาสูตร 13. อุตรสรณสูตร 14. มหาปรินิรวาณสูตร 15. สันธินิรโมจนสูตร 16. ลังกาวตาร สูตร 17. พระสูตร 42 บท หรือ พระพุทธวจนะ 42 บท และ 18. โมหมาลาหรอื ร้อยอุทาหรณ์สูตร แต่จะ เลือกศึกษาเฉพาะพระสตู รท่เี ด่น ๆ 8.1 วิมลเกยี รตนิ ิทเทศสูตร 1) ประวัติ วิมลเกียตินิทเทสสูตรมีกาเนิดราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 5 เมื่อพระนาคารชุนรจนา อรรถกถามหาปรัชญาปารมิตาสูตรก็ได้อ้างข้อความในวิมลเกียตินิทเทสสูตรนี้หลายตอน เป็นท่ีน่า เสียดายว่า ต้นฉบับสันสกฤตของพระสูตรน้ี ปัจจุบันหายสาบสูญค้นหาไม่พบ แม้ในคัมภีร์ศึกษา สมุจจัยของพระสันติเทวะ (รจนาในราวพุทธศตวรรษที่ 13) ได้ยกข้อความในพระสูตรน้ีมาอ้างไว้มาก แห่ง ทาให้สามารถเหน็ เค้าโครงพระสูตรนี้ในรูปภาษาสันสกฤต แต่ก็มใิ ชพ่ ระสูตรน้ที ้ังสตู ร อย่างไรก็ดี เป็นโชคดีของวรรณคดีพระพุทธศาสนามหายานที่ได้มีผู้แปลถ่ายทอดรักษาไวใ้ นพากย์จีนพากย์ทิเบต ครั้งบุราณกาล เฉพาะวิมลเกียรตินิทเทสสูตรในพากย์จีนแปลกันไว้ถึง 7 สานวนด้วยกัน แต่เหลือตก ทอดมาถงึ ปัจจบุ ันเพียง 3 สานวนเทา่ นน้ั คือ (1) ฉบบั แปลของอุบาสกจเี หลียน ในพุทธศตวรรษท่ี 7

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 81 (2) ฉบบั แปลของพระกมุ ารชพี ในพุทธศตวรรษที่ 9 (3) ฉบับแปลของพระสมณเฮี่ยงจัง ในพุทธศตวรรษที่ 11 (เสถียร โพธินันทะ, 2516, น. ธ-น, บ) วิมลเกียตินิทเทสสูตรท่ีแปลเป็นภาษาไทย มี 1 ฉบับ ได้แก่ วิมลเกียตินิทเทสสูตร ฉบบั แปล แปลโดยเสถยี ร โพธินนั ทะ แปลใน พ.ศ. 2504-2506 2) สาระสาคัญ วิมลเกียตินิทเทสสูตรมีเรื่องย่อว่า คร้ังหนึ่ง ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ซ่ึงเป็นฆราวาส โพธิสัตว์ เม่ือมีสาวกสันนิบาต ไม่ได้ไปร่วมประชุมเพราะป่วย พระพุทธองค์จึงรับสั่งให้พระอรหันตสาวก และพระโพธิสัตว์ท้ังหลายไปเย่ียมเยือนไต่ถามอาการป่วยของวิมลเกียรติโพธิสัตว์ บรรดาพระอรหนั ตสาวก และพระโพธิสัตว์เหล่านั้นได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบว่าตนเองนั้น ๆ ไม่เหมาะสมที่จะไปเย่ียมไข้ ดังกรณีของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา เป็นผู้เลิศทางสติปัญญา ได้กราบทูลแด่พระตถาคตเจ้า ว่า “สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์กาลังน่ังคู้สมาธิบัลลังก์อยู่ในท่ามกลางวนาสณฑ์ คร้ังนั้น ท่านวิมลเกียรติได้มา พูดกับข้าพระองค์ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณเจ้าไม่จาต้องมานั่งอาการอย่างนี้ โดยสาคัญว่า เป็นการนั่งสมาธิ...จิตไม่ยึดติดในภายในหรือยึดติดในภายนอก น้ีคือการนั่งสมาธิ” (เสถียร โพธินันทะ, 2516, น. 22-23) ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สมัยน้ัน ข้าพระองค์ได้สดับวาจาดังกล่าวน้ีแล้ว ต้องหยุดน่ิงสงบ มิอาจตอบสนองพจน์ไปได้ ด้วยเหตุน้ี ข้าพระองค์จึงไม่สมควรเหมาะสมในการไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระพุทธเจ้าขา้ ” พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็อิดเอ้ือนไม่อยากไปเยี่ยมไข้ท่านวิมลเกียรติโพธิสัตว์ โดยอ้าง เหตุผลว่า ตนเองไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของวิมลเกียรติโพธิสัตว์ ในที่สุด พระมัญชุศรี โพธิสัตว์เป็นผู้ไปเยี่ยมไข้และได้ถามเกี่ยวกับสุขภาพของวิมลเกียรติโพธิสัตว์ ท่านได้ตอบด้วยคาพูดที่ น่าจับใจว่า “เพราะเหตุท่ีสรรพสัตว์เจ็บป่วย กระผมจึงต้องเจ็บป่วย ถ้าหากสรรพสัตว์พ้นจากความ เจ็บป่วย ความเจ็บป่วยของกระผมก็ย่อมดับสูญไปเอง ข้อน้ันเพราะว่า พระโพธิสัตว์ย่อมอาศัยสรรพ สัตว์เป็นที่ต้ัง จึงมาสู่ความวนเวียนแห่งชาติมรณะ คร้ันเมื่อยังมีชาติมรณะอยู่ ก็ย่อมมีความเจ็บป่วย อยู่ตามธรรมดา ก็ถ้าว่าสรรพสัตว์พ้นจากความเจ็บป่วยได้ พระโพธิสัตว์ย่อมปราศจากอาพาธใด ๆ รบกวนอีก อุปมาดั่งคฤหบดีผู้มีบุตรแต่เพียงคนเดียว เมื่อบุตรนั้นล้มเจ็บ บิดามารดาก็ย่อมพลอยเจ็บ ตามไปด้วย คร้ันบุตรน้ันหายเจ็บ บิดามารดาก็พลอยหายเจ็บไปด้วยฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปมัยดุจ เดียวกันแม้ฉันนั้น กล่าวคือมีความกรุณาเมตตาต่อสรรพสัตว์เช่นบุตรในอุทร เม่ือสรรพสัตว์เจ็บก็ เท่ากับพระโพธิสัตว์ท่านเจ็บ เม่ือสรรพสัตว์หายเจ็บ ความเจ็บของพระโพธิสัตว์ก็ย่อมสูญหายไป ” (เสถียร โพธินันทะ, 2516, น. 81) มีข้อที่ควรสังเกตอยู่ข้อหนึ่งเก่ียวกับบคุ ลิกลักษณะและปฏิปทาของท่านวิมลเกยี รติ มี ส่วนคล้ายคลึงกับท่านจิตตคฤหบดีในปกรณ์ฝ่ายบาลีมาก ท่านจิตตคฤหบดีเป็นชาวมัจฉิกาสัณฑนคร ได้บรรลุอนาคามิผล มีปัญญาปฏิภาณแตกฉานในอรรถธรรม ได้รับยกย่องเป็นอุบาสกผู้เลิศในทาง แสดงธรรม ท่านชอบสนทนาปัญหาธรรมท่ีสุขุมลุ่มลึกกับพระเถรานุเถระเสมอ ในบาลีสังยุตตนิกาย รวบรวมเรื่องราวข้อสนทนาธรรมของท่านไว้หมวดหน่ึงเรียกว่า “จิตตคฤหบดีปุจฉาสังยุตต์” จะเป็นไปได้หรือไม่ท่ฝี ่ายมหายานได้ความคิดจากปฏิปทาของท่านจิตตคฤหบดไี ปขยายเป็นบคุ คลใหม่ ขน้ึ อีกทา่ นหนึ่งคือท่านวมิ ลเกียรติ (เสถยี ร โพธินันทะ, 2516, น. ท)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 82 ปรเิ ฉทที่ 1 พระพุทธเกษตรวรรค ปริเฉทที่ 2 อุปายโกศลวรรค ปรเิ ฉทที่ 3 สาวกวรรค ปริเฉทที่ 4 โพธิสตั ววรรค ปรเิ ฉทท่ี 5 คิลานปุจฉาวรรค ปรเิ ฉทที่ 6 อจินไตยวรรค ปริเฉทที่ 7 สรรพสัตวว์ ิทรรศนะวรรค ปรเิ ฉทที่ 8 พทุ ธภมู วิ รรค ปริเฉทที่ 9 อไทวฺ ตธรรมทวารวรรค ปริเฉทที่ 10 สุคนั โธปจติ พุทธวรรค ปรเิ ฉทท่ี 11 โพธสิ ตั ว์จรยิ าวรรค ปริเฉทท่ี 12 อกั โษภยะพทุ ธเกษตรทรรศนะวรรค ปริเฉทที่ 13 ธรรมปฏบิ ตั ิบูชาวรรค ปริเฉทท่ี 14 ธรรมทายาทวรรค 3) วเิ คราะห์เรื่อง 3.1) วิมลเกียรตินิทเทสสูตรใหค้ วามสาคญั แก่สถานภาพและบทบาทของพระโพธิสัตว์ แสดงถึงประเภทของพระโพธิสัตว์ ในพระสตู รน้ีไดแ้ บ่งพระโพธิสตั ว์เปน็ 2 ประเภท คือ (1) พระโพธสิ ัตว์นวกะ ยังยนิ ดีเพลิดเพลนิ ในสานวนโวหารบญั ญตั ิ (2) พระโพธิสัตว์รัตตัญญู เข้าถึงแก่นสารในพระสูตร (เสถียร โพธินันทะ, 2516, น. 254-257) ในพระสูตรนไี้ ดก้ ลา่ วถงึ คุณสมบตั ิ 8 ประการของพระโพธสิ ัตว์ ดังนี้ (1) พระโพธสิ ัตวจ์ ักต้องบาเพญ็ ตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อปวงสัตวโ์ ดยไม่ปรารถนา รบั ผลตอบแทนจากสัตว์ทัง้ หลายใด ๆ (2) พระโพธิสัตว์สามารถเสวยสรรพทุกขแ์ ทนสรรพสัตวไ์ ดโ้ ดยมยิ น่ ยอ่ ท้อถอย (3) พระโพธิสัตว์สร้างคุณความดีไว้มีประมาณเท่าไร ก็สามารถอุทิศให้แก่สัตว์ ท้งั หลายได้ ไม่หวงแหนตระหน่ไี ว้ (4) พระโพธิสัตว์ต้ังจิตอยู่ในสมธรรมอันสม่าเสมอในปวงสัตว์ ไม่เลือกท่ีรักมักท่ีชัง ถ่อมตนไว้ไมล่ าพองโดยปราศจากความข้องขดั ใด ๆ (5) พระโพธิสัตว์เหน็ พระโพธิสัตว์ทุก ๆ องค์ ปานประหน่ึงเห็นพระพุทธองค์ อนึ่ง พระสูตรใดทีย่ งั มิเคยไดส้ ดับตรับฟัง ครั้นได้มโี อกาสสดบั ตรับฟังแล้ว ก็ไม่บังเกิดความคลางแคลงกงั ขา อย่างไรในพระสูตรน้นั ๆ (6) พระโพธสิ ตั วไ์ มห่ ันปฤษฎางคใ์ ห้กบั ธรรมของพระอรหันตสาวก แต่สมัครสมาน เข้ากนั ได้กบั ธรรมดังกล่าวนัน้ (7) พระโพธิสัตว์ไม่เกิดความริษยาในลาภสักการะอันบังเกิดแก่ผู้อ่ืน และไม่เกิด ความหย่งิ ทะนงในลาภสกั การะอันบังเกิดแกต่ นเอง สามารถควบคุมจติ ของตนไว้ได้

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 83 (8) พระโพธิสัตว์จักต้องหม่ันพิจารณาโทษของตนอยู่เป็นนิตย์ ไม่เท่ียวเพ่งโทษ โพนทะนาโทษของผอู้ ่ืน ต้ังจิตมัน่ คงเด็ดเดย่ี วในการสรา้ งบารมี 3.2) พระโพธิสัตว์มิใช่เป็นนักบวชเสมอไป แต่เป็นฆราวาส/คฤหัสถ์ ก็ได้ (คือวิมล เกียรตโิ พธสิ ตั ว)์ 3.3) พระโพธสิ ตั วม์ ีจานวนมากและได้ระบุช่อื ของพระโพธิสตั ว์ไวด้ ว้ ย 3.4) สนับสนนุ ใหป้ ฏิบัติโพธสิ ตั วยาน ไมใ่ ช่ปจั เจกยานและสาวกยาน 3.5) “พระภิกษุที่เป็นปุถุชนกราบไหว้ฆราวาสที่เป็นโสดาบันได้หรือไม่ ?” - ธรรม เนียมของนิกายมหายาน พระภิกษุกราบไหว้อุบาสกอุบาสิกาได้ ดังที่ปรากฏในปริเฉทท่ี 14 ธรรม ทายาทวรรค (เสถียร โพธินนั ทะ, 2516, น. 195-198) 8.2 สัทธรรมปุณฑรีกสูตร 1) ประวตั ิ “สัทธรรมปณุ ฑรกี สูตร” แปลวา่ พระสูตรว่าดว้ ยบวั ขาวแห่งธรรมอันล้าเลศิ (ปุณฑรีก หมายถึง บัวขาว) ในภาษาอังกฤษเรียกตามความหมายว่า “Sūtra on the White Lotus of the Sublime Dharma” แต่นิยมเรียกทั่วไปโดยย่อว่า “Lotus Sūtra” (แปลว่า พระสูตรบัวขาว) พระสตู รนไ้ี ดร้ บั ความนับเปน็ อยา่ งมากในบรรดาประเทศทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนาแบบมหายาน สัทธรรมปุณฑรีกสูตรเป็นพระสูตรมหายานท่ีมีความสาคัญมากท่ีสุด ทั้งในระดับความ ศรัทธาของมหาชนท่ัวไปและจากแง่มุมของนักวิชาการ พระสูตรนี้มีอิทธพิ ลต่อความคิดและการดาเนิน ชีวิตของชาวพุทธมหายานในประเทศจีน ญ่ีปุ่น เกาหลี เวียดนาม สิงคโปร์ ฯลฯ เปน็ อันมาก ในการที่จะ ทาความเข้าใจกับหลักคาสอนและการปฏิบัติของมหายาน จึงจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องเร่ิมต้นศึกษาจาก พระสูตรท่ีชาวพุทธมหายานให้ความเคารพอย่างสูงและนับถือกันโดยมากที่สุด (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543, น. แนะนา (24)) ภาษาต้นฉบับท่ีจารึกพระสูตรน้ันไม่ปรากฏชัด มีข้อเสนอว่า อาจแต่งเป็นภาษาถิ่น ปรากฤต จากนั้นจึงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต ทาให้พระสูตรน้ีเปน็ ที่แพร่หลายมากข้ึน ต่อมามกี ารแปล เป็นภาษาจีนถงึ 6 สานวน แต่ 3 ฉบบั แรกต้นฉบบั สาบสูญไปแลว้ เหลอื เพียง 3 ฉบบั หลัง คือ (1) ฉบับพระภิกษุธรรมรักษ์ แปลเมื่อ พ.ศ. 829 นับเป็นฉบับที่เก่าแก่ท่ีสุดที่ยัง หลงเหลือในปัจจบุ นั (2) ฉบับพระกุมารชีพ ชาวเอเชียกลาง แปลเมื่อ พ.ศ. 934 กล่าวกันว่าเป็นฉบับที่ แปลความไดส้ ละสลวยท่สี ดุ (3) ฉบบั ท่านชญานคุปตะและทา่ นธรรมคปุ ตะ แปลเมือ่ พ.ศ. 1144 สัทธรรมปุณฑรีกสูตรที่แปลเป็นภาษาไทยมีหลายฉบับ แต่ฉบับที่สมบูรณ์มี 3 ฉบับ ไดแ้ ก่ (1) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับแปล สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย จากพากย์ อังกฤษส่พู ากย์ไทย (2) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับแปล ศูนย์ไทย-ธิเบต แปลโดย รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบลิ สิงห์ (ภิกษณุ ธี มั นันทา) จากพากย์อังกฤษสู่พากย์ไทย (3) สทั ธรรมปุณฑรกี สตู ร ฉบบั แปล วดั โพธ์แิ มนคุณาราม แปลโดย ชะเอม แก้วคล้าย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 84 2) สาระสาคญั สทั ธรรมปุณฑรีกสตู รมีเรื่องย่อวา่ สมัยหนง่ึ พระพุทธเจ้าประทบั อยู่บนยอดเขาคิชกูฏ ในเมืองราชคฤห์ ท่ามกลางภิกษุ ภิกษุณี พระโพธิสัตว์ เทพยดา สัตว์อื่น ตลอดจนพระราชา เพื่อจะ เทศนา พระองค์ทรงเข้าสมาธิ มีพระรัศมีปกคลุมไปทั่ว เมื่อทรงออกจากสมาธิแล้ว ทรงรับส่ังกับพระ สารบี ุตรเถระว่า พุทธธรรมนั้นลึกซ้ึงยากท่ีจะเข้าใจได้ยากท่ีจะหยั่งรู้ พระองค์ทรงใช้กุศโลบายวธิ ีต่าง ๆ ในการแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยและความเหมาะสมต่าง ๆ กัน ยานทั้ง 3 คือสาวกยาน ปัจเจกพุทธยานและโพธิสัตวยานล้วนแล้วแต่เป็นกุศโลบายในการสอนท้ังสิ้น แท้จริงแล้ว มีเพียงยาน เดียวคือเอกยานหรือพุทธยาน นั่นคือยานที่จะมุ่งไปสู่ความเป็นพุทธะอันสมบูรณ์โดยสิ้นเชิง มีนิทาน เปรยี บเทยี บเร่ืองไฟไหม้บ้านวา่ บิดาเห็นไฟไหม้บ้านและใชก้ ศุ โลบายนาบตุ รออกมาจากบา้ นใหพ้ ้นภัย โดยได้ร้องบอกบุตรทั้งหลายว่าจะได้เกวียนเทียมวัว เกวียนเทียมแพะ เกวียนเทียมกวาง จงว่ิงออกมา เถิด แล้วพ่อจะให้ของเล่นท่ีเจ้าอยากได้ ออกมาเร็ว ๆ ออกมาเลือกของเล่น ผู้เป็นบิดาเมื่อเห็นลูก ๆ ทุกคนปลอดภยั และหนอี อกมาได้ ได้ให้เฉพาะเกวยี นเทยี มววั แกล่ ูกชายพวกท่ีวิง่ เร็วดุจลมพัด เกวยี นน้ี ประดับด้วยแก้วมณีท้ัง 7 ประการ...ส่วนลูกแต่ละคนท่านเศรษฐีได้ให้เกวียนเทียมวัวรูปร่างลักษณะ ตา่ ง ๆ พระตถาคตเจา้ กช็ ว่ ยสรรพสตั ว์ด้วยวิธีน้ีเหมอื นกนั บทหน่ึงในสทั ธรรมปุณฑรีกสตู ร คือ บทท่ี 24 การเนรมติ กายของพระอวโลกิเตศวร เจ้า ที่อธิบายถึงความกรุณาของพระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความกรุณา ซ่ึงทรง เสดจ็ มาโปรดสัตว์ตามสภาวะรูปแห่งสัตวน์ ้ัน ๆ เป็น 33 รปู กายกเ็ พอื่ ช่วยเหลือมนุษย์ตามโอกาสเพยี ง ระลึกถึงหรือท่องบ่นพระนามของพระองค์ ว่า “ขอจงทรงพระเจริญ พระผู้ช่วยให้รอด พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อวโลกิเตศวร” ในกรณีต่าง ๆ เช่น หากหญิงใดมีความปรารถนาอยากได้บุตรชาย เมื่อ สรรเสริญพระอวโลกิเตศวรแล้วก็จะได้บุตรชาย สง่าและงดงาม มีคุณสมบัติของเด็กชายโดยสมบูรณ์ เป็นคนน่ารักสามารถเอาชนะใจคนทง้ั หลาย บุตรหญิงก็มีลักษณะในแนวเดียวกนั ผู้ท่ีท่องบน่ พระนาม พระอวโลกิเตศวรแม้จะตกอยู่ในวงล้อมของอคั คีภยั ลงเรอื ออกทะเลใหญ่ถูกพายุพดั ...ก็จะปลอดภยั ได้ (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543, น. 329-338) สัทธรรมปณุ ฑรีกสูตร มสี าระสาคัญของ 27 บท ดงั นี้ บทท่ี 1 เป็นบทนา บทท่ี 2 กล่าวถึงพระพุทธองค์เม่ือทรงออกจากสมาธแิ ล้ว ทรงอธิบายถึงกุศโลบายต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงธรรม ทรงกลา่ วถึงยานทง้ั 3 ซ่ึงในความจรงิ แลว้ มเี พยี งยานเดียว บทที่ 3 พระพุทธองค์ทรงให้พุทธทานายแก่พระสารีบุตรเถระและทรงเล่านิทาน เปรียบเทียบเร่ืองไฟไหม้บ้านและความสามารถของบิดาในการใช้กุศโลบายนาบุตรออกมาจากบ้านให้ พ้นภยั จากโลกยี สภาวะ บทที่ 4 นิทานเปรียบเทียบกล่าวถึงความสามารถของบิดาในการชักนาบุตรท่ีหลงไป ใหก้ ลบั มาสู่ชวี ิตทีด่ ี มคี วามสขุ ความเจรญิ บทท่ี 5 นิทานเปรียบเทียบเรื่องต้นไม้กับฝน เพ่ือช้ีให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงมี เมตตาคุณแก่สรรพสัตว์โดยเสมอภาคกันและนิทานเปรียบเทียบเรื่องชายตาบอด เพ่ือช้ีให้เห็นว่า ทุก สิ่งในโลกลว้ นไม่เทย่ี ง ใหม้ นุษย์มุ่งปฏบิ ัติธรรมเพอ่ื ความสมบรู ณ์อันเป็นท่สี ุด บทที่ 6 พุทธทานายเพอ่ื แสดงถงึ พุทธทานายในการลว่ งรู้อนาคต

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 85 บทที่ 7 เร่อื งพระมหาภชิ ญาชญานาภิภูตถาคตเจ้าและพระโอรสท้ัง 16 พระองค์ บทท่ี 8 พทุ ธทานายของพระอรหันต์ 500 องค์ บทท่ี 9 พุทธทานายของพระอานนท์ พระราหลุ และพระภิกษุอีก 2,000 รูป บทที่ 10 พระพุทธองคท์ รงบรรยายถงึ การให้ความเคารพแกผ่ ู้สอนธรรมในปจั ฉมิ กาล บทท่ี 11 พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ธรรมสภาได้เห็นพระประภูต รัตนตถาคตเจ้าผู้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วในพระมหารัตนสถูป ทรงกล่าวถึงบุญคุณของ พระเทวทัต และเร่ืองราวของธิดาพญานาค ผู้ได้เปลี่ยนเพศและสาเรจ็ เปน็ พระพทุ ธเจา้ บทที่ 12 พระพุทธองค์ประทานพุทธทานายแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีและ พระนางยโสธราเถรี และทรงกล่าวถึงพระโพธสิ ตั วผ์ จู้ ะทรงรับงานแสดงธรรมในปจั ฉมิ กาล บทท่ี 13 จรยิ วัตรของผู้สอนธรรม นิทานเปรยี บเทยี บเรือ่ งพระราชาผู้ประทานรางวัล ให้แก่ขุนพลนักรบทั้งหลาย ในลักษณะเดียวกัน พระพุทธองค์ก็ย่อมประทานรางวัลให้แก่ผู้ปฏิบัติตน เพือ่ พระโพธิญาณ บทที่ 14 ปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์แสดงให้เห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเสด็จข้ึนมา จากรอยแตกในพื้นพิภพ พระเมตไตรยทรงแสดงความกังขาว่า เหตุใดพระโพธิสัตว์ท้ังหลายเหล่านั้น ล้วนเป็นศษิ ยพ์ ระตถาคตท้งั สน้ิ บทท่ี 15 พระพุทธองค์ทรงอธบิ ายถึงพระชนมายุกาลของพระตถาคตเจ้า บทท่ี 16 บญุ กศุ ลอนั เกิดจากความเชอ่ื ในพระชมมายุกาลนัน้ บทที่ 17 พระพุทธองค์ทรงแสดงบุญกุศลมหาศาลนานาประการที่จะได้รับในการ ยอมรับพระสตู รน้ี บทที่ 18 ผลบุญท่ผี ู้สอนธรรมจะพงึ ไดร้ บั นานาประการ บทท่ี 19 เรื่องราวของเรื่องพระสทาปริภูตแสดงการยกย่องความบริสุทธิ์ใจว่าเป็น คณุ ธรรมที่ประเสริฐกวา่ โลกียปญั ญา บทที่ 20 ปาฏิหาริย์ของพระตถาคตเจ้าท้ัง 2 พระองค์คือพระศากยมุนีตถาคตเจ้า และพระประภตู รัตนตถาคตเจ้าทรงยกยอ่ งพระสัทธรรมปุณฑรีกสตู รและผสู้ อนธรรมแหง่ พระสตู รนี้ บทที่ 21 ธารณี บทท่ี 22 การอทุ ิศตนของพระไภสชั ยราชและการสรรเสรญิ พระสัทธรรมปุณฑรีกสูตร บทที่ 23 พระโพธิสัตวค์ ทั คัทสวรเสดจ็ มาเย่ียมสหโลกธาตุ พระพุทธองค์ทรงพรรณนา ถึงการบาเพ็ญกุศลบารมขี องพระโพธิสัตว์องค์น้ี บทท่ี 24 ความประเสริฐนานาประการของพระอวโลกเิ ตศวรบรมโพธสิ ตั ว์ บทที่ 25 การกลับพระทัยของพระศุภวยูหราชด้วยความสามารถของพระวิมลครรภ์ ราชบุตรและพระวิมลเนตรราชบตุ ร ซึง่ เปน็ อดีตชาติของพระไภสัชยราชและพระไภสัชยสมทุ คต บทที่ 26 พระบรมโพธิสัตว์สมันตภัทรทรงขอเป็นผู้คุ้มครองพระศาสนาและคุ้มครอง ผู้รกั ษาศาสนา บทท่ี 27 พระธรรมกาล เป็นบทสรุป (ฉตั รสุมาลย์ กบลิ สงิ ห์ แปล, 2543, น. (28-30))

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 86 3) วเิ คราะหเ์ รื่อง (1) มีเพียงยานเดียวคือเอกยานหรือพุทธยาน นั่นคือยานท่ีจะมุ่งไปสู่ความเป็นพุทธะ อนั สมบูรณ์โดยสิ้นเชิง แต่มียานท้ัง 3 คือสาวกยาน ปัจเจกพุทธยานและโพธิสัตวยานล้วนแล้วแต่เป็น กุศโลบายในการสอนทัง้ สนิ้ เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั อปุ นสิ ัยต่าง ๆ กนั ของสัตว์เหล่านนั้ (2) พระอรหันตสาวกและพระอรหันตสาวิกา รวมถึงพระนางมหาปชาบดีโคตรมี พระแม่นา้ ผเู้ ป็นปฐมภกิ ษุณีและพระนางยโสธราพมิ พาล้วนจะได้ตรสั รเู้ ปน็ พระอนุตรสมั มาสัมพุทธเจ้า ท่สี ุดจนพระเทวทัต ซ่ึงถูกแผ่นดินสูบลงไปตกนรกอเวจีอันต่าใต้และร้ายแรงท่ีสุด ต่อไปในอนาคตก็จะ ได้ตรสั รู้เป็นพระอนุตรสมั มาสัมพุทธเจ้า ท้งั นี้เพราะในอดีตชาติ พระเทวทัตเคยมบี ุญคุณกับพระศากย มุนีพุทธเจ้า คือในอดีตกาล พระตถาคตได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเพ่ือบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จึงป่าว ประกาศวา่ ผู้ใดท่ีแนะนาพระธรรมอนั ประเสริฐไดจ้ ะยอมตนเป็นผ้รู บั ใชบ้ คุ คลผู้น้นั มีมุนผี ูร้ ู้ทา่ นหน่งึ ได้ แนะนาพระธรรมอนั ประเสริฐน้ัน และมนุ ีผรู้ ู้น้นั คือภิกษเุ ทวทัต ตถาคตขอประกาศแก่ภิกษทุ ้งั หลายว่า พระเทวทัตภิกษุผู้น้ี ในอนาคตกาลจานวนหลายกัลป์จนมิอาจนับได้ จะได้สาเร็จเป็นพระตถาคตเจ้า ทรงพระนามว่า “เทวราช” (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543, น. 196-198) คงเห็นได้ว่า แม้คนท่ี เลวสดุ กอ็ าจเขา้ ถึงจดุ สูงสุดในทางพระศาสนาได้ (3) พระอรหันตสาวกและพระอรหันตสาวกิ าแม้จะส้ินกิเลสและได้ตรัสรู้แลว้ แต่ก็ถือ ว่ายังไม่เพียงพอ ต้องบาเพ็ญบารมีและตั้งประณิธานเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงจะ เป็นข้ันตอนของการตรัสรู้โดยสมบูรณ์ที่เรียกว่า พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น พระอรหันต์ เถระท้ังหลาย เช่น พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระอานนท์ ฯลฯ ล้วนได้รับพุทธทานายว่า ในอนาคตกาล จะได้บรรลพุ ระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสมั มาสมั พุทธเจ้าทั้งสิน้ (4) พระพุทธเจ้ามจี านวน (มาก) ดจุ เมด็ ทรายในคงคานที (5) ทเี่ คยกล่าวกันว่า สตรไี ม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น พระสูตรน้ีก็ปฏิเสธโดย ส้ินเชิง จนถึงกับกล่าวว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้ลงไปยังนครบาดาล เทศนาสัทธรรมปุณฑรีกสูตรแก่ พญานาคชื่อสาคร แล้วธิดาพญานาคอายุเพิ่งจะเข้า 8 ขวบย่าง ก็สามารถตรัสรู้เป็นพระอนุตร สัมมาสัมพทุ ธเจา้ ได้ (ฉัตรสมุ าลย์ กบิลสิงห์ แปล, 2543, น. 201-204) 8.3 ศรีมาลาเทวีสหี นาทสูตร 1) ประวัติ ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตรเป็นพระสูตรมหายานท่ีรจนาข้ึนหลังจากมีปรัชญาปารมิตา สูตร ซ่ึงเป็นพระสูตรหลักได้ไม่นาน งานสาคัญที่สุดในกลุ่มนี้ ได้แก่ อัษฏสาหัสริกา ซ่ึงรจนาข้ึน ระหว่างศตวรรษที่ 100 ก่อน ค.ศ.-ค.ศ.200 พระสูตรน้ีเป็นงานนิพนธ์ของนิกายมหาสังฆิกะ รจนาขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 สมัย อันธระ เป็นคัมภีร์หลักในอินเดีย เป็นพระสูตรที่มีอิทธิพลต่อคัมภีร์สาคัญอีกเล่มหน่ึงคือ “ลังกาวตาร สูตร” เปน็ พระสตู รท่ีเขยี นขึน้ เพื่อเป็นการถวายพระเกยี รตพิ ระราชนิ ีและเจา้ นายฝ่ายหญิง ที่เป็นกาลัง ทีท่ าให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยา่ งยง่ิ ในอินเดียใต้ ผู้ที่แสดงศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตรเป็นผู้หญิง ช่ือว่าพระนางศรีมาลาเทวี เป็นพระธิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระนางมัลลิกา คาดว่าน่าจะ เปน็ พระนางวชิราในคมั ภีรบ์ าลี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 87 ข้อบ่งช้ีอีกประการหนึ่ง คือการยกย่องศรีมาลาเทวีว่าเป็นกุลธิดาควบคู่กันไปกับ กุลบุตร แสดงให้เห็นถึงสมัยที่คณะสงฆ์ต้องพ่ึงพาอาศยั ราชนิกูล ราชินี และภรรยาขุนนางในตาแหน่ง สงู แม้ประวัติศาสตร์อินเดียในสมัยนี้จะกระท่อนกระแทน่ บริเวณที่น่าจะเป็นได้มากท่ีสุดคืออินเดียใต้ โดยเฉพาะอนั ธระซ่ึงมีปูชนยี สถานสาคัญทางฝ่ายพุทธ ไดแ้ ก่ อมราวตีและนาคารชุนนิคณฑ์ ผู้แต่งไม่ปรากฏนามซ่ึงได้รจนาพระสูตรมหายานเช่นน้ี ได้สมมุติตัวเอกของเรื่องเป็น พระเทวีชาวพุทธ ในสมัยพุทธกาล แต่พระนางมีตัวตนในประวัติศาสตร์หรือไม่ พระราชบิดาและ พระมารดา คือพระเจ้าประเสนจิตแห่งแคว้นโกศล และพระนางมัลลิกา ท้ัง 2 พระองค์เป็นบุคคลใน ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ พระนามของพระเจ้าแผ่นดินนั้นเขียนว่า ปเสนทิตามแบบ บาลี พระนางมัลลิกาเป็นธิดาผู้เลอโฉมของหัวหน้าช่างผู้ร้อยดอกไม้แคว้นโกศล เมื่อนางได้เฝ้า พระพุทธเจ้าและถวายผลส้มแก่พระองค์ พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวลและตรัสทานายแก่ พระอานนท์วา่ ต่อไปนางจะเป็นพระมเหษใี นพระราชาแควน้ โกศล วันเดียวกนั พระเจา้ ปเสนทิทรงทา ศึกพ่ายแพพ้ ระเจ้าอชาตศัตรู พระองคเ์ สดจ็ ไปในอุทยานนางได้ปลอบประโลมพระทยั พระองค์ เย็นวัน นั้น เม่ือพระองค์ทรงส่งราชรถมารับและยกย่องนางเป็นมเหษีเอกของพระองค์ มาลาลเสกระได้ อธิบายว่า “พระนางมัลลิกาทรงมีพระธิดา ไม่มีการกล่าวถึงพระโอรส ทาให้พระเจ้าปเสนทิทรงเสีย พระทัย แต่พระพุทธองค์พระราชทานความม่ันพระทัยว่า บางครั้งสตรีน้ันชาญฉลาดกว่าบุรุษด้วยซ้า ไป” คาท่ีทาให้เช่ือว่าเป็นพระธิดาคือคาว่า \"วชิรี หรือวชิรา\" ซ่ึงใช้ในตอนที่กล่าวถึงพระราชธิดาองค์ เดียวของพระเจ้าปเสนทิพบในมัชฌิมนิกาย มาลาลเสกระ อธิบายถึงวชิรกุมารีว่า “เมื่อการศึก ระหว่างพระเจ้าปเสนทกิ ับพระเจ้าอชาตศตั รูยตุ ิลง พระเจ้าปเสนทิทรงมอบวชิราให้อภเิ ษกกับพระเจ้า อชาตศัตรู และทรงยกหมู่บ้านในแคว้นกาสี อันเป็นเหตุแห่งความบาดหมางน้ันให้เป็นของขวัญการ อภิเษก” ซ่ึงหมายความว่า การทาศึกต่อเนื่องกันหลายคร้ังระหว่างพระเจ้าปเสนทิและพระเจ้าอชาต ศัตรูนั้นยืดเย้ือมาต้ังแต่ก่อนพระนางวชิราประสูติ จนกระท่ังพระนางเจริญพระชันษาควรแก่การ อภิเษก ซ่ึงถ้าเป็นเช่นน้ันก็มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์ มีวชิราอีกคนหน่ึงเป็นภิกษุณีและมี การกลา่ วถึงบ่อยคร้ัง แต่อรรถกถาจารยไ์ ม่คิดว่าเป็นองคเ์ ดียวกบั พระราชธิดาของพระเจ้าปเสนทิ อย่างไรก็ดี อโยธยาซงึ่ ในศรีมาลาฯ กล่าวว่าเป็นเมอื งหลวงของพระนางศรีมาลาฯ และ พระเจ้ายโศมิตร ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ทรงมีเมืองราชคฤห์เป็นเมืองหลวงในแคว้น มคธ นอกจากนั้น ท้ังพระนามศรมี าลาและยโศมิตร ไม่ปรากฏในฝ่ายบาลี ดูเหมือนว่าเมืองอโยธยาของ พระเจา้ ยโศมติ รและพระนางศรีมาลาจะเปน็ จนิ ตนาการของผู้รจนาเอง พระนางศรีมาลาในพระสูตรนี้ย่อมสัมพันธ์กับพระนามพระมารดาคือพระนางมัลลิกา อาจย้อนไปถึงเหตุการณ์คร้ังแรกที่พระเจ้าปเสนทิได้ทรงพบกาบมัลลิกาในอุทยาน ในอรรถกถาของจี้ซัง และพจนานุกรมของโมชิสุกิได้กล่าวถึงทฤษฎีต่าง ๆ โดยเฉพาะ 2 ทฤษฎี ที่กล่าวถึงว่า เมื่อพระนาง ประสูตินั้น ประชาชนต่างพากันยินดีนาพวงมาลาซ่ึงประดบั ด้วยเพชรนิลจินดามาถวาย พระเจา้ ปเสนทิ ทรงช่ืนชมในคุณธรรมและสติปัญญาของพระนาง จึงทรงเรียกขานพระนางว่า “ศรีมาลา” หมายความ ว่า ขณะท่ีคนอ่ืนสวมใส่มาลา แต่พระธิดาของพระองค์นั้น เป็นมาลาทีเดยี ว และด้วยเหตุนี้จึงเป็นมาลา ที่ประเสริฐกว่ามาลาทั้งปวง ในความหมายตามทฤษฎีท่ี 2 นี้ สอดคล้องกันเน้ือหาของพระสูตร เพราะ ได้มีการกล่าวถึงผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมอันประเสริฐนั้น ย่อมเป็นผู้ทรงไว้ด้วยธรรมอันประเสริฐน้ัน (ฉตั รสมุ าลย์ กบิลสิงห,์ 2544, น. 2-7)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 88 2) สาระสาคัญ ศรมี าลาเทวสี หี นาทสูตรแบง่ เปน็ บท ดังน้ี บทนา พระสูตรนี้เริ่มเรื่องท่ีเมืองสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศลและพระนาง มัลลิกาทรงพยากรณ์ชักนาพระธิดาคือพระนางมลั ลิกาทรงพยายามชักนาพระธิดาคอื พระนางศรีมาลา เทวีให้สนพระทัยคาสอนขององคพ์ ระสมั มาสัมพุทธเจ้า บทท่ี 1 ขจดั ความสงสัยทงั้ ปวง-มหาทศปณิธาน พระนางศรีมาลาได้กราบทูลอัญเชิญพระสมั มาสัมพุทธเจ้าซ่ึงทรงปรากฏมาในรปู กาย ทิพย์ พรางตรัสสรรเสริญพระกายท้ัง 2 คือรูปกายและธรรมกาย พระตถาคตเจ้าพระราชทานพุทธ พยากรณ์ว่าพระนางจะได้เข้าถึงพระโพธิญาณ เม่ือเวลาผ่านไป 20,000 กัป พระนางจะได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมันตปราบต์ ในสมัยน้ัน พุทธเกษตรของพระนางจะปราศจากมารร้ายทั้งปวง ยิ่งกว่านั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายจะบาเพ็ญอยู่ในกุศลกรรมบถทั้ง 10 ประการ สรรพสัตว์เหล่านั้นย่อม ปราศจากความเจ็บไข้ ความชรา หรือความกังวลใจ แม้ชื่อของอกุศลกรรมบถจะไม่มีการเอย่ ถึง ผู้ใดท่ี อุบัติในพุทธเกษตรนั้นจะมีความสุขยิ่งกว่าเทวดาในสวรรค์ช้ันปรนิมิตวัสวติน มีรูปวรรณะงดงาม มีอายตนะสมบรู ณแ์ ละมคี วามสขุ อยใู่ นประการทั้งปวง พระนางศรีมาลาทรงสดับพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับพระนางเองจากพระโอษฐ์ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางทรงประนมพระหัตถ์น้อมสักการะ และทรงต้ังม หาทศปณิธาน (ความปรารถนาท่ยี ิ่งใหญ่ 10 ประการ) ดังน้ี (1) ข้าฯจักไม่ยอมใหเ้ กดิ ความคิดใดอันเปน็ การละเมดิ ศลี (2) ขา้ ฯจักไม่ยอมใหเ้ กดิ ความคดิ ใดอันเป็นการไมเ่ คารพต่อครผู ้สู อน (3) ขา้ ฯจักไมย่ อมใหม้ ีความโกรธ ความม่งุ รา้ ยแกส่ รรพสัตว์ (4) ข้าฯจักไมม่ ีความรษิ ยาในความเจรญิ รุ่งเรอื งและในบารมีของผู้อน่ื (5) ขา้ ฯจักไม่มคี วามมกั ได้ แมจ้ ะไดอ้ าหารจากการบณิ ฑบาตเพยี งเลก็ นอ้ ยก็ตามที (6) ข้าฯจักไม่สะสมสมบัติเพ่ือตัวข้าฯเอง แต่จะใช้จ่ายเพ่ือการอนุเคราะห์คนยากไร้ และอนาถา (7) ขา้ ฯจักมงุ่ ชักชวนสรรพสัตวส์ พู่ ทุ ธธรรม โดยไม่หวงั ลาภสักการะอยา่ งไม่ท้อถอย (8) ข้าฯจะขอยึดม่ันว่า ในอนาคตเม่อื ข้าฯได้ประสบกบั สรรพสัตว์ผู้ขาดเพื่อน ถกู จอง จา เจ็บไข้ อยู่ในความลาบาก ยากจนและทนทุกข์ ข้าฯจักไม่ละทิ้งเขาแม้ช่ัวขณะ จนกว่าเขาจะได้รับ ความชว่ ยเหลอื เม่อื เหน็ วา่ เขามสี ุขแลว้ ข้าฯจึงจะจากไป (9) ข้าฯจะขอยึดมั่นว่า เม่ือข้าฯได้เห็นผู้ประกอบมิจฉาชีพ เช่น พ่อค้าสุกร ผู้ละเมิด พระธรรมและพระวินัย ข้าฯจักไม่วางเฉย ไมว่ ่าข้าฯจะอยู่ในหมู่บ้าน ตาบล เขตหรือแคว้น จักทาลาย สงิ่ ทคี่ วรทาลายและทานุบารงุ สง่ิ ท่พี ึงทานบุ ารุง (10) ข้าฯจะขอยึดมั่นว่า เมื่อได้น้อมรับพระธรรมอันประเสริฐแล้ว ข้าฯจักมิมีวันลืม แมเ้ พียงช่ัวขณะความคิด (ฉัตรสมุ าลย์ กบิลสงิ ห,์ 2544, น. 76-77)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 89 บทท่ี 2 ตดั สนิ เหตุ -ความปรารถนา 3 ประการ ณ เบอ้ื งพระพักตรส์ มเดจ็ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ พระนางศรีมาลาทรงตง้ั ความปรารถนา 3 ประการ คอื (1) ขอใหข้ ้าฯเข้าใจในพระธรรมอนั ประเสรฐิ ทกุ ๆ ชาติ (2) ขอใหข้ า้ ฯไดส้ อนธรรมะแกส่ รรพสัตวโ์ ดยไม่รเู้ หนด็ เหนอื่ ย (3) ขอใหข้ ้าฯได้ปกป้องเชิดชูพระธรรมอันประเสริฐ โดยไม่คานึงถงึ กาย พลังชีวิตหรือ ทรพั ยส์ มบัติ พระนางศรีมาลาทรงแสดงว่า กุลบุตรกุลธิดาผู้น้อมรับพระธรรมอันประเสริฐได้ รับภาระทั้ง 4 ประการคือ (1) ช่วยให้สรรพสัตว์ให้หนั มาสูก่ ารปฏบิ ตั ิธรรม เปน็ การสร้างสมบารมี (2) ช่วยใหส้ รรพสตั ว์เขา้ สู่สาวกยาน (3) ช่วยใหส้ รรพสตั วเ์ ข้าส่ปู ัจเจกพทุ ธยาน (4) ช่วยให้สรรพสตั วเ์ ข้าส่มู หายาน (ฉตั รสมุ าลย์ กบลิ สิงห,์ 2544, น. 81) บทที่ 3 ทาความหมายสุดท้ายใหก้ ระจา่ ง บทท่ี 4 เอกยานมรรค บทสง่ ทา้ ย 3) วิเคราะหเ์ รื่อง (1) พระสูตรน้ีดูเหมือนจะเป็นพระสูตรเดียวที่ผู้แสดงแสดงธรรมเป็นหญิง แสดงให้ เห็นว่า เพศไม่เป็นข้อจากัดในการเข้าใจในธรรมะขั้นสูง แม้กระน้ัน พระนางศรีมาลาเทวีก็ทรงมีความ อ่อนน้อมถ่อมตนและขอพระพุทธบารมีให้ทรงมีพระปรีชาสามารถในการแสดงธรรมอันยากแก่ความ เข้าใจ อีกนัยหนึ่งเป็นการบอกว่า ความสามารถของพระนางนั้นเป็นเพราะพระบารมีพระพุทธองค์ นั่นเอง พระสตู รนี้มุ่งสรรเสริญยกยอ่ งในพระตถาคตอรหันตสัมมาสมั พุทธเจ้าเป็นสาคัญ ดังนน้ั อาจจะ มคี วามรู้สกึ วา่ บางคร้งั พระสูตรนี้ลบหลู่พระอรหันต์และพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ทา้ ยที่สดุ แลว้ พระสตู ร นี้อธิบายว่า ไม่วา่ จะเป็นพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมรี ากฐานใน มหายาน (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห,์ 2544, น. คาปรารภผู้แปลภาษาไทย (5)) (2) ศรมี าลาเทวีสีหนาทสูตรและวมิ ลเกยี รตนิ ทิ เทสสูตรยกยอ่ งฆราวาสโพธิสตั ว์ (3) ผู้หญิงสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้ แต่นิกายเถรวาท แสดงว่า ผู้หญิงเป็น พระพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ ท้าวสักกะ มาร พรหม ไม่ได้ ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ช่ือมโนรถปูรณี เล่ม 13 อธิบายว่า “ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ในชาติท่ีจะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่ง ต้องประกอบดว้ ยธรรมสโมธานหรือคุณสมบตั ิ 8 ประการ คือ (1) มนสุ สฺ ตฺต คอื เปน็ มนุษย์เท่านัน้ (2) ลงิ คฺ สมฺปตตฺ ิ คือ ถึงพร้อมดว้ ยเพศ มงุ่ เฉพาะเพศชายเท่านน้ั (3) เหตุ คือ มีเหตใุ หบ้ รรลุพระอรหันตไ์ ด้ แตไ่ มย่ ินดีเพยี งแค่น้ี (4) สตถฺ ารทสสฺ น คอื เหน็ พระศาสดาพระองค์ใดพระองคห์ น่ึงซ่งึ ยงั มีพระชนม์อยู่ (5) ปพพฺ ชฺชา คอื บวชเปน็ บรรพชติ (6) คณุ สมฺปตตฺ ิ คอื มีคุณธรรม ไดแ้ ก่ อภิญญา 5 และสมาบัติ 8


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook