เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 140 ประมาณ 30 แห่ง เพื่อเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา นอกจากนี้ได้สร้างวดั พุทธประทปี ซ่ึงถือเป็นวัดแรกของ ไทยในยุโรป มีชาวพุทธไทยและชาติอื่น ๆ มาประกอบกิจกรรมภายในวัดอยู่เสมอ ในระยะต่อมาก็มี การสร้างวัดต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งหมด 8 วัด ท่ีประเทศเยอรมัน ในปัจจุบัน ชาวเยอรมันได้นับถือ พระพุทธศาสนาในส่วนของเนื้อหา โดยเฉพาะด้านปรัชญาพุทธ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มากกว่า สนใจในด้านรูปแบบและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เขาเข้าถึงพระพุทธศาสนาด้วยสติปัญญาของ เขาเอง แม้จะไม่ปรากฏวัดวาอารามทางพระพุทธศาสนามากมายก็ตาม แต่ก็มีชาวเยอรมันไม่น้อยที่ นับถือพระพุทธศาสนาจากหลักธรรมคาสั่งสอน เป็นต้น ประเทศอ่ืน ๆ ในยุโรปก็มีการเปิดรับ พระพุทธศาสนามากข้นึ ปัจจุบันพระพุทธศาสนากระจายอยู่ท่ัวทวีปยุโรปเกือบทุกประเทศ โดยนับจานวน ประเทศชาวพุทธที่ได้รับเชิญมาประชุมชาวพุทธนานาชาติเม่ือ เดือนพฤษภาคม 2549 ท่ีผ่านมามีถึง 18 ประเทศ ไดแ้ ก่ เดนมาร์ก (Denmark) ฟนิ แลนด์ (Finland) ไอซแ์ ลนด์ (Iceland) รสั เซยี (Russia) ส วีเด น (Sweden) อั งก ฤ ษ (U.K.) เย อ รมั น (Germany) ฝ ร่ังเศ ส (France) เน เธ อ ร์แ ล น ด์ (Netherlands) เบลเย่ยี ม (Belgium) ออสเตรีย(Austria) สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) กรอเอเชีย (Croatia) โรมาเนีย(Romania) อิตาลี (Italy) สเปน (Spain) ตากิกิสถาน(Tagigistan) ยูเครน (Ukraine) พระพุทธศาสนาแบบไทยได้พัฒนาขึ้นในประเทศตะวันตก และมีความมั่นคงเข้มแข็ง หลากหลายข้นึ เรื่อย จากมุมมองของพระสงฆ์ทเ่ี ดนิ ทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยโุ รปให้ทัศนะวา่ อังกฤษเหมาะท่ีจะเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลไปใน ตะวันตกได้ ด้วยอาศัยปัจจัยหลายประการ โดยประเทศอังกฤษเป็นประเทศท่ีไม่ใหญ่โต มากนัก การติดต่อคมนาคมกับประเทศอื่นๆ แถบยุโรปและอเมริกาสะดวก เร่ืองของ พระพุทธศาสนากไ็ ม่ใช่ของใหมท่ ีเดียวสาหรับประเทศอังกฤษ และยังเป็นทยี่ อมรับในหมู่ ปัญญาชนว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผลน่ารับฟัง มีคาสอนท่ีละเอียดลึกซึ้ง ประกอบกับในปัจจุบัน การทาสมาธิ หรือ Meditation ได้รับความสนใจจากคนทุก ระดับในสังคม เพราะเห็นว่าอย่างน้อยก็เป็นวิธีผ่อนคลายความตึงเครียด ซ่ึงมักเป็น ปญั หาของคนในสงั คมที่เจริญในดา้ นวัตถุแล้ว แต่ละเลยทางด้านการพฒั นาจติ ใจ อนงึ่ ใน ปัจจุบันชาวตะวันตกกาลังมีความวิตกกังวลอย่างมากเก่ียวกับเร่ืองสภ าพความเสื่อม โทรมของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และมีความรู้สึกซาบซ้ึงประทับใจในหลักคาสอนของ พระพุทธศาสนาซึ่งเน้นการดาเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้มีความเมตตากรุณา ตอ่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลายคนจึงเห็นว่า พระพุทธศาสนาเข้าได้ดีกับอุดมการณ์ของคน ที่มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน (พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทโท), 2544, น. 515) กลุ่มสมาคมสมถะในประเทศอังกฤษรายงานว่า “การสอนสมาธิแนวดั้งเดิมของไทย คือ อานาปานสติ สมถะและวปิ ัสสนา ที่ลอนดอนได้รบั ความนยิ มมาก ปี พ.ศ. 2548 มีการเปิดสอนปฏิบัติ สมาธิตามท่ีต่าง ๆ กว่า 20 แห่งท่ัวประเทศอังกฤษ และยังมีที่ เวลส์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาด้วย ...” (ดร.พอล เดนนิสสนั , 2548, น. 34)
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 141 นอกจากนสี้ าขาของสมาคมท่แี คมบริจ ลอนดอนและแมน เซสเตอร์ มีความสัมพันธ์อย่าง เหนียวแน่นกับแนวทางปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาแบบไทยมาเป็นเวลาหลายปี โดยมีสมาชิกหลาย ท่านเดินทางไปเมืองไทยเพอื่ ปฏบิ ัตกิ รรมฐานให้ลึกซ้ึงยิ่งข้นึ เป็นระยะ ในทานองน้ี ความสัมพันธท์ ่ีมีอยู่ แล้วกจ็ ะแน่นแฟน้ ยิ่งขนึ้ และทาใหค้ วามสัมพนั ธใ์ หมพ่ ฒั นาตอ่ ไป (ดร.พอล เดนนสิ สัน, 2548, น. 36) จากหลักฐานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน ท่ีแผ่ขยายไปในทวีปยุโรปมีพัฒนาการและได้รับการตอบรับท่ีดี ชาวยุโรปให้ความสนใจ พระพุทธศาสนาในด้านเน้ือหาเพ่ือนามาใช้ในการดาเนินชีวิต ประยุกต์ใช้ในด้านฝึกปฏิบัติอบรม พัฒนาจิตปัญญา และหลักการทางพุทธศาสนาก็เข้าได้ดีกับวัฒนธรรมแสวงปัญญาของชาวยุโรป เพราะหลักการพุทธเน้นการใช้เหตุผล ให้อิสระทางความคิด ไม่ผูกขาดทางความคิด ดังน้ันแม้ศาสนา พุทธจะเปน็ สิ่งใหม่สาหรับชาวยุโรป ยงั ไม่เป็นท่ีแพรห่ ลายขยายวงกวา้ งทางสังคม แต่ก็คอ่ นข้างเข้ากัน ได้กับภมู ิปัญญาแบบฝร่ัง มีคุณค่าต่อชีวิตปัจเจกบุคคลและสิ่งแวดล้อม จึงอาจกล่าวได้ว่าสภาพการณ์ ปัจจุบันของศาสนาพุทธในยุโรปเป็นช่วงของการเร่ิมต้นท่ีได้รับการยอมรับและมั่นคง การไม่ได้รับ ปฏเิ สธและตอ่ ต้านนับเป็นโอกาสที่ดขี องพระพทุ ธศาสนา ทจ่ี ะเติบโตในแผน่ ดินยุโรปต่อไป 2.3 อิทธิพลของพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาในยุโรปยังอยู่ในช่วงเร่ิมต้น จึงยังไม่มีอิทธิพลกว้างไกลมากนัก จากัดอยู่ เฉพาะกลุ่มชาวพุทธแถบเอเชียท่ีอพยพเข้าไปอยู่ในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ โดยใช้วัดเป็นแหล่งนัดพบปะ ประกอบพิธีกรรมสาคัญ ๆ เป็นศูนย์รวมวัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบเอเชียในต่างแดน นอกจากน้ีหลักคา สอนทางพระพุทธศาสนายังเป็นปรัชญาชีวิตท่ีลึกซึ้ง ให้โลกทัศน์ ชีวทัศน์ ส่วนกลุ่มชาวพุทธที่เป็นชาว ยุโรปบางท่านบางกลุ่มที่เห็นความสาคัญทางพระพุทธ ศาสนาก็ประยุกต์หลักพุทธธรรมไปใช้ เรียนรู้ วิชาการทางพระพุทธศาสนาแล้วศรัทธาละท้ิงศาสนาเดิมหันมานับมานับถือพระพุทธศาสนา เปล่ียน รปู แบบชีวิตมาเป็นชาวพุทธใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักปรัชญาดาเนินชีวิต อาจกล่าวได้ ว่าพระพุทธศาสนาในยุโรปมีอิทธิพลด้านแนวคิด หลักดาเนินชีวิต หลักปฏิบัติขัดเกลา ด้านการศึกษา ดา้ นสังคม และวัฒนธรรม ในวงท่ีจากัดเฉพาะกล่มุ ของตน ยงั ไม่มีอิทธิพลในระดับการเมืองหรือวงกวา้ ง ออกไป โดยเฉพาะดา้ นวิปัสสนากรรมฐานซึง่ เปน็ ท่สี นใจของชาวตะวันตกมาก มีขอ้ มูลบอกว่า “ปจั จบุ ัน ประเทศตะวันตก ได้นาวิธีการแบบพุทธมาสอนประยุกต์ใช้ในท่ามกลางหลาย ๆ วิธีที่แพร่หลายไปยัง ตะวันตก วิธวี ปิ ัสสนากเ็ ป็นวิธีหน่งึ ทแี่ พร่หลายสูต่ ะวนั ตก” (บรรจง โสดาดี, 2561, น. 2) ชาวตะวันตกเกดิ ความสนใจและศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมตะวนั ออกอย่างจริงจัง ทาให้เกิด องค์กรทางพระพุทธศาสนาท่ีสาคัญ ๆ ขึ้น โดยเริ่มต้นจากสถาบันการศึกษา สมาคมชาวพุทธ และ องค์กรของคณะสงฆ์ ซึง่ มีประเดน็ ท่นี า่ ศึกษา ดังนี้ 1) สถาบันการศึกษา : พระพุทธศาสนาในตะวันตกก่อเกิดจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ท่ี บรรจุวิชาการด้านตะวนั ออก จากนั้นก็มีนักคดิ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาขึ้นมีความศรทั ธา บาง ทา่ นก็ออกบวชเป็นภิกษุ บางท่านก็เขียนหนังสือ แปลคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา แลว้ ขยายตัวข้ึนเป็น กลมุ่ องคก์ ร 2) สมาคม (กลุ่มชาวพุทธ) : เกิดจากความมุ่งม่ันของปัจเจกบุคคล กลุ่ม องค์กร และ อ่ืน ๆ การดาเนินการของสมาคมให้อยู่ได้ ความเข้าใจพื้นฐานของสังคมตะวันตก ทุกชีวิตทุกองค์กร ต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาเงื่อนไขเดียวกัน คือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมท่ีผูกพันทุกอย่างให้มี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 142 ปฏิสมั พันธต์ อ่ กนั โดยใช้ตัวเชอื่ มคือ ระบบเงนิ ตรา ในลักษณะน้ีจึงไม่มีองค์กรใดจะอยู่อย่างอิสระอย่าง ปราศจากการเกี่ยวพันธ์กับสิ่งอื่น การขยายตัวของพระพุทธศาสนาในสังคมเงินตรา จึงกระทาได้ ภายใต้เงื่อนไขของระบบทุนนิยมท่ีมีโครงสร้างเครือข่ายโยงใยทั่วถึงกันหมด การจะพัฒนาองค์กร พระพุทธศาสนาในยุคสังคมโลกาภิวัตน์ให้เติบโต จากเง่ือนไขที่เปลี่ยนไปและแตกต่างกันจึงไม่อาจทา ในรปู แบบเดิมเหมือนดงั ในอดีต และเหมอื น กับท่ีเคยทาในช่วงสังคมโบราณท่มี อบหมายให้สมณะทูต ทาหน้าที่ การเติบโตของพระพุทธ ศาสนาในยุโรปลักษณะเช่นนี้อาจสอดคล้องและเหมาะสมตาม บรบิ ทของโลกปจั จบุ นั นีก้ ็ได้ 3) องค์กรสังฆะ : ในสมัยโบราณการขับเคลื่อนของพระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ อาศัยการทาหน้าท่ีของพระสงฆ์ (สมณทูต) เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์สายเถรวาทหรือมหายาน ถือว่าเป็นกลไกหรือแนวหน้าท่ีสาคัญในการผลักดันให้พระพุทธศาสนาขยายตัวไปทั่วสารทิศ จะเป็น ด้วยเหตุใดไม่ทราบ การปฏิบัติภารกิจด้านน้ีของคณะสงฆ์ในยุคใหม่อ่อนลง จึงเป็นท่ีสังเกตได้ว่าจาก จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนตัวของพระพุทธศาสนาเข้าไปยังตะวันตกต่างกันกับยุคโบราณ ท่ีไม่ได้พ่ึงพา คณะสงฆ์เป็นผู้บุกเบิกในช่วงต้น แต่เกิดจากความสนใจของชาวตะวันตกเอง ต่อมาคณะสงฆ์ก็เข้ามา รบั ช่วงตอ่ เติมใหพ้ ระพทุ ธศาสนาในตะวันตกมีความสมบูรณ์ย่งิ ขึน้ ซึง่ คณะสงฆท์ างพระพุทธศาสนาใน ปัจจุบนั มี 2 สาย คือ สายเถรวาทกับสายมหายาน วา่ โดยลักษณะการทางานของคณะสงฆส์ องสายนี้มี วิธีการที่แตกตา่ งกันตามลักษณะของนิกายทั้งสอง กลา่ วคือ สายมหายานมีการปรับตัวให้เข้ากบั ความ เปล่ียน แปลงของสังคมได้เร็ว จึงสามารถสนองตอบหรือบริการชุมชนได้กว้างและรวดเร็วทัน เหตุการณ์ ส่วนเถรวาทมีการเปลี่ยนแปลงช้าแต่หนักแน่น ม่ันคง การเคล่ือนตัวเข้าไปในยโุ รปของเถร วาทจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา สร้างความเข้มแข็ง มั่นคงข้ึนเร่ือย ๆ การเติบโตของวัด พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยในช่วงแรก ๆ ต้องพึ่งพาสมาคมต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ก่อนในการดาเนินการ สนบั สนุน ต่อมาก็คอ่ ย ๆ พงึ่ พิงน้อยลงและเริม่ อสิ รเสรีมากขน้ึ ในปัจจบุ ันบางวดั กม็ ีความเป็นอิสระใน การบริหารจัดการ เช่น วัดพุทธประทีป วัดอมรวดี วัดศรีนครินทรวราราม เป็นต้น การปรับตัวของ คณะสงฆ์หรือกลุ่มองค์กรพุทธในตะวันตกอาจมีความกระทบกระท่ังกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาใน ช่วงแรกของพัฒนาการ ซ่งึ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอุปสรรคสาคัญต่อการขยายตัวของพระพุทธศาสนาใน ตะวันตกแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสงฆ์ องค์กรพุทธฝ่ายฆราวาส องค์กรต่าง ๆ เหล่าน้ีทาให้ พระพทุ ธศาสนาขยายตัวและมคี วามมน่ั คงมากขึน้ 2.4 แนวโน้มพระพุทธศาสนาในอนาคต มีเงอ่ื นไขหลายอยา่ งทเ่ี ป็นดชั นบี ่งช้ีแนวโนม้ ของพระพุทธศาสนาในยโุ รป ได้แก่ 1) องค์การสหประชาชาติใหก้ ารสนับสนุน โดยรับรองวันวิสาบชู าเปน็ วันสาคัญสากลของ สหประชาชาติ ซ่ึงถือว่าเป็นความหวังของชาวโลก ที่จะสร้างสันติภาพในการอยู่ร่วมกันได้ ดังสาส์น แสดงความยินดีและสนับสนุนของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่า “มีงานสาคัญเร่งด่วน สาหรับ ผู้นาศาสนาทั่วโลกท่ีต้องรวบรวมพลังกันให้เข้มแข็งย่ิงกว่าเดิมเพื่อที่จะให้พวกเรารู้ ถึงปัญหาท่ีเป็น พ้นื ฐานของมนุษย์ ปัญญาที่เราสั่งสมมาแตด่ ั้งเดิม จาเป็นท่จี ะตอ้ งนามาใช้ ช่วยเหลือครอบครัวมนุษย์ อยา่ งจรงิ จงั ใหอ้ ย่เู หนือความชงิ ชังและความแบง่ แยก” การประชุมสุดยอดสันติภาพโลกได้เริ่มกระตุ้นให้ผู้นาศาสนา ร่วมกับองค์การ สหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการขจัดความรุนแรง และการเปล่ียนความรุนแรงน้ันไปสู่สนั ตวิ ิธี
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 143 พระพุทธศาสนามีบทบาทสาคัญที่จะทาการรณรงค์เพื่อสันติภาพของโลก นั่นอาจเน่ืองมาจาก ข้อเท็จจริงท่ีว่า มีวัฏจักรแห่งการเบียดเบียนกันท่ีเกิดข้ึนในสังคมพุทธน้อยกว่าเกิดขึ้นในสังคมศาสนา อ่ืน เม่ือผู้นายิวและผู้นามุสลิมจากตะวันออกกลางมานั่งประชุมกัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าควรจะมีผู้นาชาว พุทธในโต๊ะน่ันด้วย ซึ่งเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อันวุ่นวายนั่นและไม่มีความพยายามแบบใช้ อารมณ์ในภูมิภาค…ด้วยปัญญาทาง พระพุทธศาสนาจะช่วยเปลี่ยนความแปลกแยกที่เกิดข้ึนมา ยาวนานไปสู่แนวคิดแห่งความเป็นเอกภาพของมนุษย์ในยุคใหม่ (นางสาวเดนา เมอร์เรียม, 2543, น. 403–405) 2) การรว่ มมือกันของกลมุ่ ชาวพทุ ธทั่วโลก ความเคล่ือนไหวล่าสดุ เก่ียวกับกลุม่ ประเทศที่ นับถือพระพุทธศาสนาได้ร่วมมือกันประชุม หาแนวทางร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์พระพุทธศาสนาให้ เข้มแข็งและสอดคล้องกับสภาพการณ์ของโลกปัจจุบัน โดยประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางประสานการ ร่วมมือของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและมหายาน ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดการ ร่วมมือกันของชาวพุทธมากขึ้น เช่น “สมัชชาพระพุทธศาสนาแห่งโลก” (การประชุมสุดยอดผู้ชาว พุทธเพ่ือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก ครั้งที่ 2 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน 2543, น. 762 – 772) (The World Buddhism Conference) มีชื่อย่อว่า “สพล” (WBC) ประกอบด้วยสมาชิกภาพ 16 ประเทศ ซ่ึงเป็นหลักประกันความม่ันคงและ ความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนาระดับหนึ่ง นอกจากการประชุมเม่ือปี พ.ศ. 2547 ดังที่มีการ แถลงการณ์มีสาระเป็นข้อสรุปประเด็นหลัก ๆ จะมีการสร้างวัดและปราสาทท่ีสวยงามเพ่ือใช้จัด สมั มนาวชิ าการเร่ืองการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธศาสนา การรว่ มมือกันขององค์กรชาว พุทธถือเป็นประเด็นสาคัญองค์กรชาวพุทธ การศึกษาพระพุทธศาสนา การเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ การรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสาคัญสากล (พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต), 2547, น. 67-73) 3) การประชุมกลุ่มชาวพุทธทั่วโลกในทศวรรษท่ีผ่านมา ทาให้องค์กรพุทธเข้มแข็งขึ้น การทางานอย่างจริงจัง ทุ่มเท เสียสละของเหล่าบรรดาพุทธศาสนิก ทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ การไม่ขัดแย้งหักล้างกันเองในเร่ืองของลัทธินิกาย รวมถึง “ทิศทางการวางแผนเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 21” (พระ ดร.บอบ-ฮอง, 2543, น. 727-738) อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้การปฏิบัติภารกิจของพระธรรมทูตไทยสายต่างประเทศ นับวา่ มีความสาคัญต่อพัฒนาการ ของพระพุทธศาสนาในยุโรปเป็นอย่างมาก จะเหน็ ว่ามีการปรับปรุงพัฒนาองค์กรอยู่เรอ่ื ย ๆ พระสงฆ์ ไทยหลายรูปท่ปี ฏบิ ัติภารกิจเข้าถึงกลุ่มประชาชนท้องถ่ิน มีความสามารถเผยแผ่พุทธธรรมได้ลึกซึ้งจน สามารถปรับเปลีย่ นทัศนะคตชิ าวต่างชาตใิ หม้ านับถอื พระพุทธศาสนาได้ นอกจากน้ียังมีกลุ่มพระสงฆ์ ท่ีเป็นชาวตะวันตกเองท่ีมีศรัทธาและมาฝึกปฏิบัติจากไทย พม่า ลังกา แล้วกลับไปส่ังสอนในประเทศ ของตนจนเกิดผลสมั ฤทธอ์ิ ย่างยอดเยีย่ ม เช่น พระสเุ มโธ ศษิ ย์หลวงพ่อชา พระสนั ตกิ โร ศิษย์หลวงพ่อ พทุ ธทาส เปน็ ต้น 4) โลกยุคโลกาภวิ ตั น์ (Globalization) เป็นสื่อนากระบวนทัศน์แบบพทุ ธท่เี นน้ สันตภิ าพ มติ รภาพ ภราดรภาพ สอดรบั กับสภาพการณข์ องโลกปจั จบุ ัน เขา้ ได้กบั วิทยาการสมยั ใหม่ ใหก้ ระจาย ออกไปกว้างไกลอย่างไร้ขอบเขต เง่ือนไขเหล่าน้ีเป็นดัชนีช้ีวัดว่าพระพุทธศาสนาในดินแดนยุโรปอาจ เจรญิ เตบิ โต รงุ่ เรอื งเฟือ่ งฟขู น้ึ ในเวลาอันใกลน้ ี้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 144 3. พระพุทธศาสนาในทวปี อเมรกิ า ทวีปอเมริกาเป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากทวีปเอเชีย มีความเป็นมาท่ียาวนานมี ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก ศาสนาพุทธจึงเป็นสิ่งใหม่สาหรับชาวอเมริกา ลักษณะท่ัวไปของคน อเมรกิ ามวี ัฒนาธรรมแสวงปัญญา จึงค่อนข้างเขา้ กันได้ดีกับหลักการทางพระพุทธศาสนาท่ีมุ่งใหค้ วาม เสรีทางความคิด สนับสนุนการใช้เหตุผล การศึกษาในหัวข้อน้ีมีประเด็นศึกษา 4 ประเด็น ได้แก่ ศึกษาประวัติความเป็นมา ศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบัน ศึกษาอิทธิพล และศึกษาแนวโน้มของ พระพทุ ธศาสนาในทวปี อเมรกิ า โดยมีสาระดังตอ่ ไปนี้ 3.1 ประวตั คิ วามเปน็ มา ในทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ มีพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เท่าที่ส่งผู้นาชาวพุทธเข้าร่วมประชุมในประเทศไทยมี 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศอเมริกา (U.S.A.) ประเทศเม็กซิโก (Mexico) ประเทศบราซิล (Brazil) ประเทศชิลี (Chile) ส่วนประเทศแคนนาดา (Canada) ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้ารว่ มการเคลื่อนตัวของพระพุทธศาสนาเข้าไปในทวีปอเมริกาเกดิ ขึ้นหลัง ทวีปยุโรป แต่มีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันคือ เร่ิมต้นท่ีสถาบันทางการศึกษา องค์กรชาวพุทธ และ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ชว่ งตน้ เปน็ การนาเข้าไปโดยชาวพุทธจีนและญ่ปี ุ่น ต่อมาพระพทุ ธศาสนา เถรวาทแบบพม่า ลังกา และไทยก็เคลือ่ นเข้าไป พระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่ประเทศสหรฐั อเมรกิ า เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2484 เป็นพระพุทธศาสนามหายานจากประเทศจีน และญี่ปุ่น ความเจริญรุ่งเรือง ของพระพุทธศาสนาในอเมริกาเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่ามั่นคง ศูนย์พระพุทธศาสนาท่ีสาคัญ ๆ อยู่ท่ี ซานฟรานซิสโก, ลอสแองเจรสิ , และซีแอตเติล แถบฝั่งทะเลตะวันตก ในฮาวายมีวัด 5 แห่ง ลอสแอง เจริสมี 13 แห่ง ซานฟรานซิสโกมี 4 แห่ง และนครนิวยอร์ก 2 แห่ง ประชาชนที่นับถือพระพุทธ ศาสนามีอยู่ประมาณ 500,000 คน พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตโต) (2545, น. 206-210) ให้ทัศนะว่า “พระพุทธ ศาสนาเข้าสู่สหรัฐอเมริกาประมาณ 150 ปี เร่ิมจากพระพุทธศาสนามหายานแบบจีนและญ่ีปุ่น วชั รยานจากธิเบต มหาวิทยาลัยหลายแหง่ และตามด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกา พมา่ ไทย กัมพูชา และลาว ซ่ึงมกี ิจกรรมแข็งขันและจริงจังมีประสิทธิภาพ มีข้อมลู ชี้ให้เห็นวา่ ประชากรชาวพทุ ธ เพ่มิ ข้นึ เรอื่ ย ๆ เหตุผลท่ีทาให้คนอเมริกนั สนใจ มาศกึ ษาและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนามากข้นึ คอื 1) จิตใจใฝ่หาของคนอเมรกิ ันเอง 2) พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผลวิทยาศาสตร์จึงเหมาะกับคนและสังคม อเมรกิ ัน 3) พระพทุ ธศาสนาตอบสนองเร่อื งสมาธิ ความสงบ และความสุขที่แทจ้ รงิ มขี อ้ สังเกตเพิ่มว่ามีตัวเลขของคนอเมริกนั ท่รี ะบวุ า่ ไมน่ ับถือศาสนาอะไร และไม่ตอบเร่ือง น้ี รวมกันแล้วมากกว่า 40 ล้านคน ปรากฏการณ์อีกด้านหนึ่ง คือ พระพุทธศาสนาโตเร็ว แต่ก็มี แนวโน้มวา่ มบี างสว่ นกอ็ อกจากพระพทุ ธศาสนาเร็วเช่นกนั ซ่งึ อาจมีสาเหตจุ าก 1) วดั สานักสงฆ์ ครอู าจารย์ ไมส่ ามารถอบรมสง่ั สอนสร้างศรทั ธาให้ม่นั คงได้ 2) ผู้ท่ีเข้ามานับถือเป็นนักทดลอง (Window Shopping) ตามแฟชั่น ไม่มุ่งมั่นจริงจังว่า กันไปตามความชอบใจ
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 145 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอเมริกาทากันมาเมื่อ 100 ปีท่ีแล้ว พึ่งมามีความเข้มข้น เม่ือประมาณ 30 ปีมาน้ี โดยมียุทธศาสตร์ท่ีชัดเจน กลุ่มเป้าหมายไม่เพียงชาวพุทธเดิมท่ีเดินทางไป จากเอเชีย แต่มีกรอบของการปฏิบัติขยายกว้างมากข้ึน การปฏิบัติภารกิจของพระธรรมทูตไทยใน สหรฐั อเมรกิ าจะสมั ฤทธผ์ิ ลข้นึ อยู่กับปจั จัยตอ่ ไปน้ี 1) ความลกึ ซ้ึงทางจติ และวญิ ญาณและมีฉนั ทะเอาจรงิ ในการเผยแผ่ 2) มกี ารสนับสนนุ และการบริหารชัดเจนยง่ิ ขนึ้ 3) ระยะเวลา” องค์การพระพุทธศาสนาท่ีสาคัญท่ีสุดแห่งหน่ึงในอเมริกา ได้แก่ พุทธสมาคมในวอชิงตัน ดี.ซี ช่ือว่า “สหายพระพุทธศาสนา” (Friend of Buddhism) ทาหน้าท่ีเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน สหรัฐ จนเป็นที่สนใจของประชาชนชาวสหรัฐอเมรกิ าไม่นอ้ ย จนถึงกับได้เปิดหลักสูตรวชิ าพุทธศาสตร์ ในระดับปริญญาเอกขึ้นเป็นแห่งแรกในอเมริกา ในมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ในแผนกวิชาภารตศึกษา เม่ือ พ.ศ. 2504 ประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาต่าง ๆ คือ พม่า กัมพูชา ลังกา อินเดีย ลาว ไทย เวียดนาม ไต้หวนั และญป่ี ุ่น ไดร้ ว่ มกันก่อสรา้ งวัดพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติขึ้น โดยการประชุมกันของ เอกอัครราชทตู ของประเทศต่าง ๆ ในวดั ประกอบด้วยหอ้ งฝกึ สมาธิ ห้องสมดุ ด้วย จากทัศนะดังกล่าวส่งผลทั้งด้านลบด้านบวก ท้ังน้ีเพราะความหลากหลายก็เป็นทางเลอื ก มากขึน้ หลากหลายรปู แบบ แตก่ อ็ าจสร้างความสับสนขาดความเป็นเอกภาพและอ่อนแอไดเ้ ชน่ กนั 3.2 สภาพการณป์ ัจจุบัน ในปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยนาพระพุทธศาสนาเข้าไปในสหรัฐอเมริกา กระทาอย่างมี แผนการเป็นระบบ มีการกวดขัน ตรวจสอบคัดสรรและเตรียมพร้อม มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน ดัง พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตโต) ให้ทัศนะว่า “ก่อน พ.ศ. 2500 เล็กน้อย ชาวไทยไม่ชอบไป ต่างประเทศ และไม่มีความสุขกับวัฒนธรรมตะวันตก พระสงฆ์ไทยก็เช่นกัน ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียน ภาษาอังกฤษ และวิชาอื่น ๆ กาแพงวัดเปิดกว้างเมื่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ได้รับอาราธนาไปประเทศ พม่า อินเดีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพ่ืองานพระธรรมทูต” (พระศรปี ริยัติโมลี (สมชยั กสุ ลจติ ฺโต), 2543, น. 714-725) พระชาวอเมรกิ าที่บวชในสายมหายานใหค้ วามเห็นว่า คล่ืนพระพุทธศาสนาเข้าสยู่ ุโรปได้ อย่างไร พระพุทธศาสนาเป็นทางเลือกใหม่ ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับชาวอเมริกาเป็น ความสนใจช่วงต้น พระพุทธศาสนามหายานเข้าถึง ใกล้ชิดเสรีกว่า เข้าถึงง่ายกว่า ส่วน พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทเขา้ ถึงยากแต่มีรายละเอยี ดลกึ ซึ้งมากกว่า 3.3 อิทธพิ ลของพระพทุ ธศาสนา การศึกษาอิทธิพลของพระพุทธศาสนาในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา กาหนดขอบเขต การศึกษา 3 ด้าน ได้แก่ อิทธิพลด้านสังคม อิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ และอิทธิพลทางด้านการเมือง ซงึ่ มีรายละเอียดดงั น้ี 1) อิทธิพลด้านสังคม พระพุทธศาสนาสนองความต้องการของชาวตะวันตกได้ เพราะมี หลักประพฤติปฏิบัติ แสวงหาความจริงบนพ้ืนฐานแห่งเหตุผล และพิสูจน์ให้เห็นผลได้ตามหลัก ธรรมชาติ เน้นความสุขสงบสุขทางจิตใจ ลดความรุนแรงของวัตถุนิยม ทาให้ชีวิตเรียบง่าย และทาให้ ลดปัญหาทางสังคมลง วัดในพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางศึกษาวัฒนธรรมประเพณีทาง
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 146 พระพุทธศาสนา และเป็นที่พึง่ ของประชาชนในยุโรปและอเมริกาได้ มีชนชาวยุโรป และอเมริกาเขา้ มา บรรพชาและอุปสมบท เพื่อศึกษาเล่าเรียนทางพระพุทธ ศาสนาเป็นจานวนไม่น้อย ช่วยให้สังคมชาว ยุโรป อเมริกา และเอเชียมีความเป็นอยู่ผูกพันกัน สังคมแห่งชาวพุทธน้ัน เป็นสังคมแห่งผู้มีเมตตา ธรรม มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการะ คุณ และยังเป็นผู้อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามทาง ศาสนาได้อย่างเหนียวแน่นและม่ันคง นอกจากนี้วัดยังเป็นแหล่งพบปะแลกเปล่ียนและศึกษา วัฒนธรรมสาหรับประชาชนจากประเทศต่างๆ เปิดโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์แก่ลูกหลาน ชาวไทย และชาวตา่ งประเทศทส่ี นใจจะเรยี นภาษาไทย ดนตรีไทย ศิลปวัฒนธรรมอีกด้วย 2) อิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ กระบวนทัศน์ทางพระพุทธศาสนา มีลักษณะขัดแย้งกับ แนวคิดแบบวัตถุนิยม (Materialism) และแนวคิดแบบบริโภคนิยม (Consumerism) โดยสอนเร่ือง การดาเนินชีวิตด้วยความพอดี มีความสนั โดษ ประหยัด ใช้จา่ ยตามความจาเปน็ ไม่ส่งเสริมการบริโภค ตามปรารถนาทุกอย่าง ส่งเสริมให้เกิดแนวคิดแบบพอเพียง เน้นความจาเป็นในการสนองตอบต่อ ความตอ้ งการปัจจัยพ้ืนฐานในการดาเนินชวี ติ ชาวยโุ รปและอเมริกาเข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนาเป็น จานวนมาก จึงมีส่วนในการช่วยลดความฟุ่มเฟือยตามค่านิยมต่าง ๆ ในการดารงชีพความเป็นอยู่ มี ความสันโดษในการครองชีพทางด้านเครื่องอุปโภค บริโภคต่าง ๆ คาสอนทางพระพุทธศาสนาเน้นถึง การเล้ียงชีพให้สุจริต (สัมมาอาชีวะ) ไม่ประกอบอาชีพในทางทุจริต (มิจฉาอาชีวะ) เน้นการผลิตและ ประกอบกจิ กรรมดา้ นเศรษฐกิจทีไ่ ม่เบียดเบยี น ตลอดถงึ การบริโภคอย่างรู้เท่าทันไม่เปน็ ทาส 3) อิทธิพลทางด้านการเมือง การสนับสนุนช่วยเหลือการก่อสร้างถาวรวัตถุ และความ ร่วมมือต่าง ๆ ของกลุ่มพุทธศาสนิก ชมรม สมาคมและองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์ทั่วโลก ทาให้เกิด ความสมั พันธ์อนั ดีระหวา่ งประเทศ และ ไดม้ ีการแลกเปลี่ยนเรียนรูเ้ ทคนคิ การเผยแพร่ธรรม การปฏบิ ัติ ธรรมของกันและกัน ท่ีอธิบายธรรมด้านประยุกต์ เพื่อให้คนหนุ่มสาวเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา เป็นความสัมพันธไมตรีทางศาสนาระหว่างประเทศ (บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2542, น. 216-218) หากถามว่าพระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อชาวยุโรปอเมริกาอย่างไร อาจตอบได้ว่า พระพุทธศาสนาก่อให้เกิดคุณค่าใหม่ในด้านศาสนาแก่ชาวตะวันตก ต่างไปจากศาสนาเดิมท่ีเขาพบ เห็น เช่น การเปิดกว้างให้เสรีภาพทางความคิด ถือเป็นอาวุธท่ีสาคัญของพระพุทธศาสนา การเน้น สันติภาพ ภราดรภาพ มิตรภาพ หลีกเลยี่ งความรุนแรงทุกประการ เป็นจดุ แขง็ ของพระพทุ ธศาสนามา แต่อดีตท่ีเป็นท่ียอมรับกันโดยทั่วไป การเติมเต็มด้านจิตปัญญาให้ผ่อนคลายและปล่อยวางมากกว่า ข้อบัญญัติอันเข้มงวด เป็นส่ิงที่พบเห็นโดยทั่วไปในพระพุทธศาสนา ดังน้ัน พระพุทธศาสนาจึงมี อิทธิพลด้านความคิด การปฏิบัติ ความสุข วิถีชีวิตของชาวตะวันตก มากกว่านั้นการศึกษาถึงการ เติบโตของพระพุทธศาสนาในตะวันตกจะเป็นไปได้เพียงใด เงือ่ นไขอะไรท่ีจะทาให้พระพุทธศาสนาใน ตะวนั ตกเฟ่ืองฟขู ึ้นเปน็ เรื่องท่จี าเป็น 3.4 แนวโน้มพระพทุ ธศาสนาในอนาคต โลกแห่งพระพุทธศาสนาในทศวรรษที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ท่ีน่าจะมีส่วนสาคัญต่อความ เปน็ ไปของพระพุทธศาสนาในอนาคต ได้แก่ 1) การประชมุ สุดยอดผู้นาชาวพุทธ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2541 ท่ีประเทศญ่ีปุ่น และครัง้ ที่ 2 พ.ศ. 2543 ท่ีประเทศไทย ได้มีการจัดตั้ง “สมัชชาพระพุทธศาสนาแห่งโลก หรือการประชุมสุดยอด
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 147 ผนู้ าชาวพุทธ” (คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ, 2543, น. 32) การประชุมสดุ ยอดผู้ชาวพุทธ คร้ังท่ี 3 พ.ศ. 2544 ที่ประเทศกัมพูชา ทาให้เกดิ ความร่วมมือระหวา่ งชาวพทุ ธมากยิ่งขึ้น 2) องค์การสหประชาชาติ (United International) ให้การรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวัน สาคัญสากลสหประชาชาติ เมื่อ พ .ศ. 2542 เป็นการรับรองขององค์กรสูงสุดของโลกต่อ พระพุทธศาสนาว่าหลักการพุทธเป็นบรรทัดฐานในการสร้างสันติภาพและดุลยภาพของโลก เป็น ความหวงั ของมวลมนษุ ยชาติ จากการรับรองขององค์การสหประชาชาติสร้างความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในกลุ่มชาว พุทธทั่วโลก เช่น การประชุมนานาชาติว่าด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน ความร่วมมือ : ความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกันของชาวพุทธ ณ หอประชมุ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และศนู ย์ประชุม สหประชาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันท่ี 16-20 กรกฎาคม 2547 ท่ีประเทศไทย แถลงการณ์ร่วม 5 ประเด็น คือ 1) องค์กรชาวพทุ ธ 2) การศกึ ษาพระพุทธศาสนา 3) การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา 4) พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ 5) การรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสาคัญสากล” (พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), 2547, น. 67-73) จากนั้นก็มีการประชุมนานาชาติว่าด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน (ทางาน เป็นหน่ึงเดียว เอกภาพและความร่วมมือของชาวพุทธ) ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2548 คร้ังท่ี 3 พ.ศ. 2549 ท่ี ประเทศไทยและมีการเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาอย่างย่ิงใหญ่ ดังเป็นท่ีประจักษ์ต่อสายตาท่ัวโลก ซึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบด้านบวกต่อการขยายตัวของพระพุทธศาสนาไปยังดินแดน ตะวันตกมากยิ่งขึ้น พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต) (2545, น. 210) ให้ทัศนะว่า “จากคุณสมบัติ พิเศษของพระพุทธศาสนา และองค์ประกอบต่าง ๆ ตลอดถึงเพิ่มความจริงจังหนักแน่นในการปฏิบัติ ภารกิจของคณะสงฆ์ทุกนิกายอย่างต่อเน่ือง อาจกล่าวได้ว่าวันหน่ึงในอนาคตไม่นานน้ี “พระอาทิตย์ จะขึน้ ทางทศิ ตะวนั ตก” ได้อยา่ งแนน่ อน” พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) (2547, น. 5) กล่าวในคราวประชุมพระพุทธ ศาสนานาชาติ ที่ประเทศศรีลังกา ว่า “คณะสงฆ์ได้ฝ่าคลื่นลมมรสุมรอดพ้นวิกฤตมาเป็นเวลากว่า 2,500 ปี นับแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงก่อตั้งคณะสงฆ์นี้ขึ้นมา ถ้าคณะสงฆ์ปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยอยา่ งถูกต้องตามพุทธประสงคด์ ้วยสติปัญญา พระพุทธศาสนากจ็ ะดารงคงอยูส่ ถาพรใน อนาคตกาลเพ่อื ประโยชน์สุขแหง่ มวลมนษุ ยชาตติ ลอดไป” การขยายตัวของพระพุทธศาสนาท้ังสายเถรวาทและมหายาน เร่ิมกรุยทางโดยมหายาน ต่อด้วยเถรวาทแบบพม่า ลังกา และไทย ซ่ึงกาลังเป็นท่ีนิยมโดยเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์สายวัดหนองป่า พงซ่ึงมีลูกศิษย์เป็นชาวยุโรปอเมริกาโดยตรง ที่มีความรู้ความสามารถในด้านพระพุทธศาสนาดี มี ความตั้งใจในการเผยแผ่อย่างจริงจังและเข้าใจวัฒนาธรรมพ้ืนฐานของตนเองเป็นอย่างดี ซึ่งจะทาให้ พระพุทธศาสนาในแดนตะวันตกพฒั นาไดร้ วดเร็วยงิ่ ข้นึ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 148 นอกจากน้ียังมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะทาให้พระพุทธศาสนาเติบโตในซีกโลกตะวันตกคือ การทาหน้าที่อย่างได้ผลของพระสมณะทูตในโลกปัจจุบัน คาสอนของพระพุทธเจ้าสอดรับกับ สถานการณ์ยุคโลกาภิวัตน์ ความร่วมมือกันในการศึกษาแลกเปล่ียนเรียนรู้ทางานอย่างมีเป้าหมาย เดียวกันแม้จะต่างวิธีการ เช่น การศึกษาทิศทางวางแผนเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศตวรรษท่ี 21 การศึกษาบทบาทพระพุทธศาสนากับงานสังคมสงเคราะห์ การศึกษาบทบาทพระพุทธศาสนาด้าน การศึกษา (คณะกรรมการจัดพมิ พห์ นงั สอื , 2543, น. 714-743) 4. บทสรปุ สรุปได้ว่า การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นอกจากจะเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่น การรับรู้ความ อ่อนแอ/การปรับตัวขององค์กรสงฆ์ เง่ือนไขท่ีทาให้พระพุทธศาสนาอ่อนตัวลง นอกจากนี้บทเรียนใน อดีตยังช่วยให้เข้าใจและต้ังท่ารับกับสภาวะอันไม่พึงประสงค์ ท่ีจะเกิดในภายหน้าและแสวงหา แนวทางให้เกิดพัฒนาการที่ดีของพระพุทธศาสนา การศกึ ษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนา ในยุโรปอเมรกิ า ทาให้ทราบว่าลักษณะการขยายตัวของพระพุทธศาสนาไปยังดินแดนตะวันตกในสมัย ปัจจุบัน มีความแตกต่างจากการขยายตัวของพระพุทธศาสนา เข้าไปยังดินแดนแถบเอเชียในสมัย โบราณ อย่างไรก็ตามการรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้ย่ังยืนนานน้ันเป็นเรื่องทย่ี ากพอ ๆ กับการนาเข้า ไป ดังข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่าฐานที่ม่ันของพระพุทธศาสนาในดินแดนแถบเอเชียหดหายไป เร่ือย ๆ กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า ความอ่อนตัวของพระพุทธศาสนาในแต่ละภูมิภาคจนเสื่อม สญู ไปเกิดจากปจั จัยอะไร การทีจ่ ะหลกี เลีย่ งปจั จยั แหง่ ความเส่ือมทรุดและสรา้ งปัจจยั แห่งความม่นั คง ของพทุ ธศาสนาจะทาไดอ้ ยา่ งไร เหลา่ นีค้ ือคณุ คา่ จากการศึกษาประวัติศาสตร์ หากถามว่าพระพุทธศาสนาในยุโรปอเมริกาในปัจจุบันเป็นอย่างไร อาจตอบได้ว่า พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตกยังอยู่ในช่วงของการก่อตัวใหม่ เป็นยุคเร่ิมต้น ซึ่งภาพความรุ่งเรือง เหมือนในเอเชียอาจจะยังไม่เกิดขึ้นให้เห็นในปัจจุบัน ภาพท่ีเห็นคือการทางานอย่างทุ่มเท จริงจัง เสียสละ มีจินตนาการ ของกลุ่มชาวพุทธทกุ ลัทธนิ กิ ายท่ีเฝ้ารอความเตบิ โตของพระพทุ ธศาสนา เฝา้ รอ การสนบั สนุนและระยะเวลาแห่งความรุง่ เรืองเฟื่องฟู นอกจากนมี้ ีเหตุการณ์บางอย่างมาเป็นดัชนบี ่งชี้ แนวโน้มของพระพุทธศาสนาในดินแดนตะวันตก คือ ในโลกปัจจุบันพระพุทธศาสนาถูกเลือกเป็น ความหวังของโลกท่ีจะเยียวยาบรรเทาหรือสกัดกั้นภาวะสงคราม ความเบียดเบียนข่มเหง ในการอยู่ ร่วมกันของมนุษย์ ท่ีทวีความรุนแรงมากขึ้นเร่ือย ๆ ทง้ั นี้เพราะหลักการทางพระพุทธศาสนาเน้นสร้าง ความเป็นภราดรภาพ มิตรภาพ สมภาพ และ สันติภาพ ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาจักเจริญสืบไปในอนาคต นอกจากน้ยี ังมีประเด็นอื่นท่ีน่าศึกษาอีก คอื พุทธศาสนาใน ยุโรปอเมริกาจักมั่นคงได้อย่างไร ข้อมูลที่สะท้อนความสนใจของชาวตะวันตกบางคน บางกลุ่ม บาง องค์กร ตลอดถึงการนาเอาพระพุทธศาสนาเข้าไปของชาวตะวันออก เง่ือนไขเหลา่ นี้ช้ีถึงความรุ่งโรจน์ ของพระพุทธศาสนาในตะวันตกได้เพียงใด ณ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานมากไปกว่าท่ีกล่าวมาบ่งชี้หรือ สนับสนุนว่าพระพทุ ธศาสนาจักมนั่ คงรุง่ เรอื งในดนิ แดนตะวันตกได้อย่างมน่ั ใจ ปัญหาอุปสรรคของการเผยแผ่ของพระพุทธศาสนาในตะวันตกคืออะไร จะเห็นว่าการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเข้าไปยังตะวันตก ไม่ได้รับการต่อต้านหากแต่ได้รับการตอบรับที่ดี แต่ก็มีประเด็นที่ น่าศึกษา คือ การจัดต้ังองค์กรพุทธในตะวันตกบางแห่งเน้นไปเพื่อเป้าหมายทางสังคม ไม่มีเป้าหมาย
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 149 ทางการพัฒนาศาสนา การบริหารจัดการเป็นเร่ืองท่ีสมาชิกของสมาคมดาเนินการกันเอง บางท่ีบาง แห่งพระสงฆ์กลายเป็นเครือ่ งมือสร้างความชอบธรรมในการระดมทนุ ให้กบั องคก์ ร ชาวพุทธที่ต่างลัทธิ นิกายหรอื แม้แตน่ ิกายเดียวกันขาดเอกภาพในการทางานร่วมกัน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทา บางที ก็ขัดแย้งทาลายกันอง เป็นที่สังเกตว่าชาวตะวันตกมีความสนใจการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน และหลัก ปรัชญาชีวิตในพระพุทธศาสนามากกว่ารูปแบบพิธีกรรม ในศาสนาเดิมของเขาไม่มีส่ิงนี้ ซ่ึงตรงนี้ องค์กรสงฆ์ยังตอบสนองความต้องการด้านนี้ไม่ท่ัวถึงและยังไม่ลุ่มลึกพอ มีเพียงบางสานักเท่าน้ันที่ สามารถทาได้ดี วัดท่ีน่านามาเป็นตัวอย่างในการจัดการกับปัญหาน้ีได้ คือ สานักสาขาวัดหนองป่าพง ซ่ึงมักจะเป็นพระชาวยุโรปเองที่สามารถฝึกปฏิบัติอย่างได้ผลแล้ว และฝึกสอนกันเองได้กว้างและ ลกึ ซง้ึ จงึ คอ่ นขา้ งประสบผลสาเรจ็ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่เก่งด้านปริยตั ิมากกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกปฏิบัติสมถวิปัสสนา การ ตอบสนองด้านปฏิบัติจึงได้ระดับพื้นฐานเท่านั้น และตอบสนองอยู่ในกลุ่มชาวพุทธที่เดินทางไปจาก เอเชีย ท่ียังมีความจาเป็นระดับพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงถือเป็นความจาเป็น พ้ืนฐานของชีวิตชาวพุทธแถบเอเชียอาคเนย์ ต่ืนเช้ามามีพระให้ใส่บาตรก็มีความสุขกับชีวิตแล้ว การ เผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกรูปแบบหน่ึงคือการแต่งงาน บางคนไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาเลยแต่ ไปแต่งงานกับชาวฝร่ังชาติตะวันตก ก็สามารถดึงคนตะวันตกให้เข้าวัดได้อีกทางหน่ึง หากคณะสงฆ์ สามารถผลิตพระสงฆ์ที่เก่งด้านปริยัติอยู่แล้วให้เก่งด้านการฝึกปฏิบัติสมถวิปัสสนาท่ีมีคุณภาพด้วย แล้ว จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การเผยแผข่ องพระพทุ ธศาสนาในประเทศตะวนั ตกอย่างมหาศาล
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 150 แบบฝกึ หัดบทท่ี 6 1. สภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาในยุโรปในปัจจุบนั เป็นอย่างไร 2. สภาพการณข์ องพระพุทธศาสนาในอเมริกาในปจั จุบนั เป็นอยา่ งไร 3. จงบอกคุณค่าของพระพุทธศาสนาทม่ี ีต่อชาวเอเชียในยุโรปและอเมริกาวา่ มีอะไรบา้ ง 4. อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาทมี่ ตี อ่ ชาวยุโรปในปัจจบุ นั 5. อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาท่มี ีตอ่ ชวี ติ ของชาวอเมริกนั มีอะไรบา้ ง
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 151 เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ 6 “กฎบัตรสมัชชาพระพุทธศาสนาแห่งโลก”. (2543). ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ, การประชุม สุดยอดผู้ชาวพุทธเพ่ือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก คร้ังที่ 2 ณ พุทธมณฑล จังหวัด นครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน. นวม สงวนทรัพย์, พันเอก (พิเศษ). (2544). เมธีตะวันตกชาวพุทธ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช วิทยาลยั . นางสาวเดนา เมอร์เรียม. (2543). “คาปราศรัยแสดงความยนิ ดี”, ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนงั สือ. การประชมุ สุดยอดผู้ชาวพุทธเพื่อการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาแหง่ โลก ครง้ั ที่ 2 ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจกิ ายน. บรรจง โสดาดี. (2561). การใช้ตรรกะในวิธีสอนของพระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท). วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ . บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. บอบ-ฮอง, พระ ดร. (2543). “ทิศทางการวางแผนเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศตวรรษท่ี 21”, ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ. การประชมุ สุดยอดผู้ชาวพทุ ธเพ่ือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แหง่ โลก ครง้ั ที่ 2 ณ พทุ ธมณฑล จงั หวัดนครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจกิ ายน. บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2542). เอกสารประกอบการศึกษารายวิชา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศต่าง ๆ. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย. พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (2547). วิสาขบูชาวันสาคัญสากลของโลก. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2542). มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 2). กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ิพุทธธรรม. พระโพธญิ าณเถระ (ชา สุภทโท). (2544). อุปลมณี. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 5). กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา. พอล เดนนิสสัน, ดร. (2548). “ความเป็นมาของสมาคมสมถะ”, ใน มหาสมัยสูตร รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาราษฎร์ วัดพทุ ธวหิ ารแอสตนั ประเทศองั กฤษ. พระราชปญั ญาเมธี (สมชัย กุสลจิตโต). (2545). “แนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนางานพระศาสนา ในสหรฐั อเมริกา”. ใน พระธรรมทตู สายต่างประเทศ รุ่นที่ 11. พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตฺโต). (2543). “พระธรรมทูตในโลกปัจจุบัน : ศึกษากรณีพระธรรมทูต ไทยในต่างประเทศ”. ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ. การประชุมสุดยอดผู้ชาวพุทธเพ่ือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก ครั้งที่ 2 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน. ไวทย, พีแอล. (2499). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีที่ล่วงแล้ว, รวมบทความวิชาการทาง พระพทุ ธศาสนาพิมพ์ขึ้นในคราวฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ ณ ประเทศอินเดีย. เสถียร โพธินันทะ. (2544). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์ครั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ: บริษัท สรา้ งสรรคบ์ คุ๊ จากัด. Edward Conze. (ม.ป.ป.). A Short History of Buddhism, แปลโดยสมหวัง แก้วสุฟอง. เชียงใหม่: ภาควิชาปรชั ญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7 บทท่ี 7 บทบาทขององคด์ าไลลามะ เนือ้ หาประจาบท 1. บทนำ 2. สถำนภำพและบทบำทขององค์ดำไลลำมะ 3. บทสรุป แบบฝึกหัดบทที่ 7 เอกสำรอำ้ งองิ ประจำบทที่ 7 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศึกษำเข้ำใจบทบำทขององค์ดำไลลำมะ 2. นกั ศกึ ษำมีกำรเสริมทกั ษะดำ้ นควำมรคู้ วำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปัจจบุ นั 3. นกั ศกึ ษำใช้หลักกำรตำมพระพุทธศำสนำมหำยำนเปน็ เคร่ืองมือในกำรเรียนรแู้ ละวเิ ครำะห์ สถำนกำรณ์ท่เี กิดขนึ้ ในสังคมได้ กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรียงเนื้อหำสำคญั ๆ นำขอ้ มูลที่ได้มำถำ่ ยทอดเนื้อหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในช้นั เรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเนื้อหำ/ฝึกตั้งคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในชั้น เรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเนื้อหำท่ีเก่ียวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมุด และเวบ็ ไซต/์ ทำแบบฝกึ หดั ทำ้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เปน็ ตน้ การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำช้ันเรียน กำรส่ง งำนที่มอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมทั้งในและนอกหอ้ งเรียน 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เนื้อหำ และนำเสนอผล กำรศึกษำค้นคว้ำมำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขียนรำยงำนและนำเสนอในชั้นเรยี นดว้ ยกำรใช้ เครื่องมือหรือโปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เปน็ ต้น
153 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชิง ตวั เลข กำรสือ่ สำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใชแ้ บบ Checklist จำกกำรอภิปรำย กำร แสดงควำมคิดเห็น กำรถำม-ตอบ กำรวิเครำะหเ์ นื้อหำท่ีเรยี น กำรสรปุ เนอ้ื หำ กำรนำเสนอในชน้ั เรียน และกำรส่งงำนใน Google Classroom
บทท่ี 7 บทบาทขององคด์ าไลลามะ 1. บทนา พระพุทธศาสนามหายานในทิเบต แบง่ ออกเป็น 3 นิกายใหญ่ คอื 1. นิงมะปะ (Nyingmapa) หรือที่รู้จักกันในนามว่า “นิกายหมวกแดง” เพราะพระภิกษุใน นิกายน้ีครองจีวรสีแดง ท่านปัทมะสัมภวะ (Padma Sambhava) พระภิกษุที่มีชื่อเสียงจากอินเดีย นาเขา้ ไปเผยแพร่ในทิเบตใน พ.ศ. 1292 ชาวทเิ บตส่วนใหญใ่ นปัจจุบันนับถอื นกิ ายนี้ 2. คาร์กิวปะ (Kargyupa) นักบวชในนิกายน้ีใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตามป่าตามถ้าแบบฤาษี ดาบสและนุ่งห่มชุดสีขาว มีท่านมิลาเรปะ (Milarepa) ในพุทธศาตวรรษที่ 16 เป็นอาจารย์ท่ีสาคัญ นกิ ายนมี้ ไิ ด้ย่งุ เกี่ยวหรือมีบทบาททางการเมืองแต่อยา่ งใด 3. เกลุกปะ (Gelugpa) หรือท่ีรู้จักกันในนามว่า “นิกายหมวกเหลือง” เพราะพระภิกษุใน นิกายน้ีครองจีวรสีเหลือง ท่านชองขะปะ (Tsong Kapa, พ.ศ. 1901 - 1962) พระภิกษุผู้มีชื่อเสียง ของอินเดียได้นาเข้าไปเผยแพร่ในทิเบต และเป็นนิกายขององค์ดาไลลามะผู้มีอานาจท้งั ทางฝา่ ยศาสน จักรและฝา่ ยอาณาจกั รในเวลาต่อมา (ทวีวฒั น์ ปณุ ฑรกิ วิวฒั น์, 2542, น. 10) องค์ดาไลลามะ คือ ตาแหน่งสูงสุดในประเทศทิเบต ซ่ึงเป็นท้ังผู้นาทางจิตวิญญาณและเป็น ผู้นาทางการเมือง การปกครอง ทรงมีตาหนักโปตาลาและตาหนักนอร์บูลิงกาเป็นที่ประทับและเป็น สถานที่สาหรับประชุมคณะรัฐมนตรี ตาแหน่งดาไลลามะน้ันเริ่มมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 จนถึง ปัจจุบันนี้นับเป็นองค์ท่ี 14 ชาวทิเบตนับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายานซ่ึงได้เผยแผ่เข้าสู่ประเทศ ทิเบตในราวพุทธศตวรรษท่ี 9-10 ใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะเอาชนะศาสนาบอน ซึ่งเป็นศาสนา ท้องถิ่นได้ ต่อมาชาวทิเบตก็หันมายอมรับหลักคาสอนในพระพุทธศาสนากันอย่างแพร่หลายในทุก ระดับสังคม จึงทาให้เปล่ียนจากเผ่าพันธุ์ที่ดุดันและชอบรบพุ่ง มาเป็นชาวพุทธผู้อารีย์และรักสงบ จนกระทั่งถกู ประเทศจนี บกุ เขา้ ยดึ ครอง องค์ดาไลลามะจึงต้องลภี้ ัยไปอยปู่ ระเทศอินเดียจนถึงทุกวันน้ี ชาวทิเบตเชื่อกันว่า องค์ดาไลลามะเป็นอวตาร (reincarnation) ของพระอวโลกิเตศวร โพธิสัตว์ ซ่ึงชาวทิเบตเรียกว่า เชนรีซี (Chen-re-zi) ชาวทิเบตเช่ือว่าเชนรีซีอวตารมาเกิดในร่างของ องค์ดาไลลามะ เพ่ือช่วยชาวทิเบตและชาวโลกให้พ้นไปจากความทุกข์ ดาไลลามะจึงเป็นผู้ท่บี รสิ ทุ ธิ์ไม่ มีกิเลสใด ๆ แต่ท่ีทรงกลับมาเกิดใหม่คร้ังแล้วคร้ังเล่าในร่างขององค์ดาไลลามะองค์ต่อ ๆ มา ก็ด้วย ความเมตตากรณุ าประสงค์จะขนสรรพสตั ว์ท้งั หลายใหข้ ้ามพ้นไปจากสังสารวัฏ ความเชื่อเร่ืองการกลับชาติมาเกิดและการเข้าทรงของชาวทิเบตน้ัน เป็นความเชื่อที่ฝังอยู่ใน สายเลือดของชาวทิเบตมานาน การกลับชาติมาเกิดชาวทิเบตเรียกวา่ “ตุลกู” หมายถึง ผู้ที่เลือกที่จะ กลับมาเกิดใหม่ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของตนต่อไปหรือเลือกท่ีจะมาเกิดเพ่ือโปรดสัตว์เพ่ือช่วยสัตว์ โลกใหพ้ น้ ทุกขเ์ ช่นเดยี วกบั พระโพธสิ ัตว์ ซ่งึ ก็สอดคล้องกับแนวทางของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ท่ีมุ่งปฏิบัติให้สาเร็จพระโพธิญาณเพ่ือเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ยังไม่ถึงนิพพาน เพื่อคอยโปรดสัตว์ผู้ยังมี
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 155 ทกุ ข์ให้พ้นจากสังสารวัฏ ทั้ง ๆ ที่สามารถนิพพานได้ นับเป็นการเสียสละที่น่ายกย่องย่ิงนัก ชาวทิเบต ถือว่าการกลับชาติมาเกิดนั้นเป็นเร่ืองปกติธรรมดา เพราะในประเทศทิเบตมี “ตุลกู” คือผู้ที่กลับมา เกิดใหม่อยู่นับพันคน แต่ที่พิเศษไปกว่าตุลกูธรรมดาก็คือการกลับชาติมาเกิดใหม่ขององค์ดาไลลามะ หรอื ลามะช้ันสูงของทิเบต ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการ “อวตาร” มาเกิดก็ได้ ที่ผ่านมามีองค์ดาไลลามะ และลามะช้ันสงู ไดก้ ลับชาตมิ าเกิดแล้วหลายทา่ นตามคติความเชือ่ ของพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายาน แต่ใน ยุคแรก ๆ ตาแหน่งดาไลลามะไม่มีบทบาทเท่าใดนัก เริม่ มีบทบาทและมีอานาจทั้งฝ่ายศาสนจักรและ ฝา่ ยอาณาจกั รมาตั้งแต่องคท์ ่ี 5 จนกระทงั่ ปจั จุบนั (ธวชั ชัย ขาชะยนั จะ, 2564) 2. สถานภาพและบทบาทขององค์ดาไลลามะ องค์ดาไลลามะ มีสถานภาพและบทบาทในฐานะผู้นาทั้งทางฝ่ายศาสนจักรและทางฝ่าย อาณาจักรของทิเบตมาเป็นเวลานาน และสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมมายาวนาน ตง้ั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบนั มีองคด์ าไลลามะ 14 พระองค์ ดังรายพระนามเรยี งลาดับดังนี้ ดาไลลามะองค์ท่ี 1 เกตุน ทรุป (Gedun Drup) (พ.ศ. 1934-2017) ดาไลลามะองคท์ ี่ 2 เกตุน เกียโช (Gedun Gyatso) (พ.ศ. 2018-2085) ดาไลลามะองค์ท่ี 3 โซนัม เกยี โช (Sonam Gyatso) (พ.ศ. 2086-2131) ดาไลลามะองคท์ ี่ 4 ยอนเต็น เกยี โช (Yontan Gyatso) (พ.ศ. 2132-2159) ดาไลลามะองค์ท่ี 5 หลอบซงั เกียโช (Lobsang Gyatso) (พ.ศ. 2160-2225) ดาไลลามะองค์ที่ 6 ชังยัง เกียโช (Tsangyang Gyatso) (พ.ศ. 2226-2249) ดาไลลามะองคท์ ี่ 7 เกลซัง เกยี โช (Kalsang Gyatso) (พ.ศ. 2251-2300) ดาไลลามะองคท์ ่ี 8 ยัมเปล เกียโช (Jampal Gyatso) (พ.ศ. 2301-2347) ดาไลลามะองคท์ ่ี 9 ลงโตก์ เกียโช (Lungtok Gyatso) (พ.ศ. 2348-2358) ดาไลลามะองคท์ ี่ 10 โชลทรมิ เกยี โช (Tsultrim Gyatso) (พ.ศ. 2359-2380) ดาไลลามะองคท์ ี่ 11 เคดุป เกียโช (Kedup Gyatso) (พ.ศ. 2381-2398) ดาไลลามะองคท์ ่ี 12 ทรินเล เกยี โช (Trinle Gyatso) (พ.ศ. 2399-2418) ดาไลลามะองค์ที่ 13 ทปุ เทน เกยี โช (Thubtan Gyatso) (พ.ศ. 2419-2476) ดาไลลามะองค์ท่ี 14 เทนซิน เกียโช (Tenzin Gyatso) (พ.ศ. 2477-ปัจจุบัน) (ทวีวัฒน์ ปุณฑรกิ ววิ ฒั น์, 2542, น. 8) 2.1 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 5 เน่ืองจากอานาจการปกครองอยู่ในมือของกษัตริย์ทิเบตที่นับถือนิกายเดิมคือ นยิงมะปะ ครั้นนิกายเกลุกปะเกิดขึ้นในทิเบต และสามารถสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ในหมู่ขุนพลของ มอง โกล กองทหารมองโกลก็ได้เข้าไปกวาดล้างนิกายหมวกแดงในทิเบต และหนุนพระในนิกายหมวก เหลืองให้มีอานาจขึ้นมา ต่อมากษัตริย์เดสีชองปะ (De-si Tsong-pa) ซ่ึงทรงสนับสนุนนิกายหมวก แดงได้กลับขึ้นมามีอานาจอีกครั้งหน่ึง และพยายามจะทาลายอานาจของพระในนิกายหมวกเหลือง แต่กองทัพมองโกลได้เข้ามาช่วยอีกครั้งหนึ่ง ทาให้พระในนิกายหมวกเหลืองมีอานาจมานับแต่บัดนั้น และได้สถาปนาดาไลลามะองค์ที่ 5 ข้ึนให้มีอานาจสูงสุดทั้งฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายศาสนจักรเป็นครั้ง แรก ต่อมาองค์ดาไลลามะองค์ที่ 5 ได้มีพระบัญชาให้สร้างพระราชวังโปตาลา (Potala) ขึ้นบนยอด
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 156 เขาแดง (Red Hill) พระราชวังโปตาลานี้ต้ังขึ้นตามชื่อของภูเขาลูกหนึ่งทางตอนใต้สุดของอินเดีย ซ่ึง ถือว่าเป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเดียวโดด ๆ สูงจากพื้นดิน 300-400 ฟุต ใช้เวลาในการก่อสร้างอยู่ นานถึง 40 ปี พระราชวังมีลกั ษณะเปน็ เหมือนป้อมท่ีใหญ่โต เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์เพือ่ ป้องกันการ โจมตีของขา้ ศกึ (ทวีวัฒน์ ปณุ ฑริกววิ ฒั น์, 2542, น. 11) รัชสมัยของดาไลลามะองค์ที่ 5 นับเป็นจุดเปล่ียนที่สาคัญในประวัติศาสตร์ของทิเบต พระองค์ได้รับการสถาปนาให้ขึ้นครองราชสมบัติ และขณะเดียวกันก็ได้รับการเคารพดุจพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ทรงมีอานาจท้ังฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ทรงเป็นประมุขทั้งทางด้านวัตถุและทางด้าน จิตใจ ดาไลลามะองค์ท่ี 5 ได้ชื่อว่า เป็นดาไลลามะที่ย่ิงใหญ่ แต่พระองค์ก็ทรงปกครองดินแดนของ พระองค์อยู่เพียงไม่เกนิ 3 ปี หลังจากนั้นไดท้ รงหลีกเร้นเพอื่ แสวงหาความวิเวกทางศาสนา ทงิ้ ภารกิจ ในการบริหารราชการแผ่นดินไว้กับผู้สาเร็จราชการแผ่นดินของพระองค์ ซ่ึงบริหารราชการโดยมิได้ ปรึกษาหารือกับพระองค์มากนัก ต่อมา เม่ือ พ.ศ. 2195 องคด์ าไลลามะได้เสด็จกรุงปักกิง่ เพ่ือทรงเข้า เฝ้าพระจักรพรรดิจีน พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างดีในฐานะประมุขของรัฐอิสระ ซ่ึงมีกองทัพ มองโกลและประชาชนชาวมองโกลหนุนหลัง องค์ดาไลลามะได้เสด็จสู่สรวงสวรรค์ เม่ือวันท่ียี่สิบห้า เดือนยี่ พ.ศ. 2225 ตามปฏิทนิ ทเิ บต ผู้สาเรจ็ ราชการแผ่นดนิ ชือ่ ซงั กี เกียโช (Sang-gye Gya-tso) ได้ ปกปิดข่าวการส้ินพระชนม์อยู่เป็นเวลาหลายปี โดยแจ้งแก่ประชาชนว่าองค์ดาไลลามะทรงแสวงหา ความวิเวกทางศาสนาในพระราชวัง และทรงไม่ประสงค์ให้ใครรบกวน ซึ่งเป็นธรรมเนียมในทิเบตที่ ลามะชั้นสูง จะแสวงหาความวิเวกทางศาสนาคร้ังหน่ึงเป็นเวลาติดต่อกันเป็นปีหรือหลายปี ผู้สาเร็จ ราชการแผ่นดินต้องการใช้ช่ือขององค์ดาไลลามะในการบริหารราชการของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสงค์ท่ีจะสร้างพระราชวังโปตาลาให้สาเร็จสมบูรณ์ ก่อนที่จะประกาศข่าวการส้ินพระชนม์ การ ก่อสร้างพระราชวังโปตาลาต้องอาศัยการเกณฑ์แรงงานเป็นจานวนมาก ในการขนก้อนหินและงาน หนักอ่ืน ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทน ประชาชนยินดีที่จะอุทิศแรงกายเพื่อองค์ดาไลลามะได้ แต่มิใช่เพื่อ ผู้สาเรจ็ ราชการแผ่นดินซึง่ แม้จะเป็นพระกต็ าม (ทววี ัฒน์ ปุณฑรกิ ววิ ฒั น์, 2542, น. 12-13) 2.2 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 6 การปกปิดขา่ วการสิ้นพระชนมข์ องดาไลลามะองค์ท่ี 5 เป็นเวลานานกว่า 9 ปี ทาให้การ ดาเนินการค้นหาเด็กท่ีเป็นอวตารของพระองค์ต้องล่าช้าออกไปมาก เด็กได้ถูกค้นพบทางภาคใต้ของ ทิเบตขณะเมื่อมีอายุได้ถึง 13 ปี และอีก 2 ปีต่อมาก็ได้รับการสถาปนาเป็นองค์ดาไลลามะองค์ที่ 6 พระจักรพรรดิจีนได้ทรงส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีการสถาปนาดังกล่าว เนื่องจากดาไลลามะองค์ใหม่ทรง ถูกค้นพบเม่ืออายุได้กว่า 13 ปี จึงทาให้พลาดจากการประคบประหงมเล้ียงดูตามราชประเพณีตั้งแต่ อายุยังน้อย ข้อน้ีอาจเป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้ดาไลลามะองค์ที่ 6 ทรงประพฤติพระองค์ผิดไปจาก ธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ โดยพระองค์ทรงโปรดปรานการด่ืมสุราและการนัดพบกับอิสตรีที่มาจากใน เมืองในยามค่าคืน ทรงโปรดให้มีการแสดงฟ้อนราในพระราชวังซ่ึงติดกับวัดในใจกลางกรุงลาซา ทรง โปรดการประพันธ์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงรัก และเป็นท่ีร้องกันสนุกสนานกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่ต้อง สงสัยเลยว่า คนทั้งหลายจะพากันต้ังคาถามว่าพระองค์ทรงเป็นดาไลลามะองค์จริงหรือไม่ แต่ผู้สาเร็จ ราชการแผ่นดินชอ่ื ซังกี เกียโช (Sang-gye Gya-tso) ไดย้ ืนหยัดอยู่ข้างองค์ดาไลลามะหนมุ่ ภายหลัง การตายของผู้สาเร็จราชการแผ่นดินของพระองค์ ลาซาง ฮ่าน ได้เรียกร้องให้พระลามะชั้นผู้นา
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 157 ท้ังหลายขบั ไล่องค์ดาไลลามะออกจากตาแหน่ง สภาได้ถูกเปิดข้ึนและบรรดาพระลามะช้ันผู้ใหญ่ทเี่ ข้า รว่ มประชมุ ต่างกล็ งความเห็นว่า การท่ีองค์ดาไลลามะทรงประพฤติพระองคเ์ ช่นนั้นกเ็ นือ่ งมาจากว่าไม่ มี “ภาวะของการตรัสรู้” อยู่ในพระองค์ แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวถึงการขับไล่พระองค์ออกจากตาแหน่ง หรอื แม้แตจ่ ะกล่าววา่ พระองคม์ ใิ ช่ดาไลลามะองคจ์ รงิ พ.ศ. 2249 ลาซาง ฮ่าน ได้ทูลเชิญองค์ดาไลลามะเสด็จไปยังกรุงปักกิ่งเพ่ือทรงเข้าเฝ้า พระจักรพรรดิจีน ขณะเดยี วกันกไ็ ดส้ ่งคนท่ีเขาไว้วางใจพร้อมทั้งทหารมองโกลกองหน่งึ ตดิ ตามไปด้วย เพื่อปลงพระชนม์ในระหว่างทาง ความจงรักภักดีของชาวทิเบตท่ีมีต่อประมุขสูงสุดของตนน้ัน ได้ แสดงออกอย่างเด่นชัดในเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยพระจากวัดเดรปุง (Dre-pung) ได้วางแผนชิงตัว องค์ดาไลลามะออกมาจากกองทหารมองโกล แต่ชาวทิเบตไม่มีกองทัพของตนเอง ทหารมองโกลได้ เข้าโจมตีวัดและจับองค์ดาไลลามะได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากน้ันไม่นานองค์ดาไลลามะก็สิ้นพระชนม์ (ทววี ฒั น์ ปุณฑรกิ ววิ ฒั น์, 2542, น. 13-15) 2.3 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองค์ที่ 7 หลงั จากทอี่ งคด์ าไลลามะองค์ที่ 6 สิ้นพระชนม์ ลาซาง ฮา่ น พยายามทจี่ ะแต่งตั้งดาไลลา มะองค์ใหม่ขนึ้ มา โดยนาเอาชายผู้หนง่ึ อายุ 25 ปีให้ข้ึนมาดารงตาแหน่ง โดยอ้างวา่ เป็นอวตารของดา ไลลามะองค์ท่ี 5 และมองข้ามองค์ที่ 6 ไป พระจักรพรรดิจีนทรงสนับสนุนแต่ไม่มีชาวทิเบตคนใด ยอมรับ ในไม่ช้าก็มีการค้นพบเด็กทารกคนหน่ึง ซึ่งประกาศว่าตนเองเป็นองค์ดาไลลามะกลับชาติมา เกิด และปรารถนาจะกลับกรุงลาซา พระจักรพรรดิจีนได้ทรงรับรองเด็กน้อยจากลิทังว่าเป็นอวตารท่ี แท้จริงของดาไลลามะองค์ก่อน และทรงส่งเด็กน้อยกลับไปกรุงลาซาพร้อมด้วยกองทัพที่เข้มแข็ง กองทัพจีนพร้อมด้วยพันธมิตรทิเบตบางส่วนได้รบชนะพวก มองโกล และเข้ายึดกรงุ ลาซาไดส้ าเร็จใน ปี พ.ศ. 2263 ประชาชนทิเบตได้ต้อนรับองค์ดาไลลามะองค์ท่ี 7 สู่พระราชวังโปตาลา นับแต่น้ันเป็น ต้นมาจนี ก็ได้อานาจที่แท้จริงในกรุงลาซา จนี ได้ผนวกดินแดนภาคตะวันออกของทเิ บตเข้าไว้ ส่งทหาร ไปประจาการท่ีกรงุ ลาซาและเส้นทางจากต้าเชียนลู่ (Tachienlu) และแต่งต้ังผแู้ ทนฝ่ายจีนเขา้ บริหาร ราชการในเมืองหลวงของทิเบต ต่อมาในปี พ.ศ. 2270 ชาวทิเบตได้ก่อการกบฏขึ้นที่กรุงลาซา และ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ถูกลอบสังหาร องค์ดาไลลามะองค์ที่ 7 และบิดาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมการกบฏครั้งนี้ ข้าหลวงโปลา (Po-lha) จากเมืองชาง (Tsang) ของทิเบตเอง ได้ส่งกองทหาร เข้าช่วยปราบกบฏในกรุงลาซา และได้รับการแต่งตั้งจากจีนให้ดารงตาแหน่งสาคัญ องค์ดาไลลามะ ทรงถูกจับกุมและทรงถูกกักบริเวณท่ีวัดคาตะ (Ka-ta) ทางภาคตะวันออกของทิเบตใกล้กับกองทหาร ของจีน พระองค์ทรงถูกสั่งห้ามมิให้พักอาศัยในกรุงลาซาเป็นการถาวร แต่ทรงได้รับอนุญาตให้เย่ียม เยียนกรงุ ลาซาได้ครงั้ ละไม่เกิน 1 เดือน ภายหลงั จากการถูกสั่งห้ามเช่นน้ีเป็นเวลาติดต่อกันนานถึง 7 ปี และเพ่ือท่ีจะเป็นการเอาใจชาวทิเบต จีนได้อนุญาตให้องค์ดาไลลามะเสด็จกลับพระราชวังโปตาลา อกี ครัง้ หนึ่ง ภายหลังจากการครองราชสมบัติอันยาวนาน องคด์ าไลลามะองค์ที่ 7 ได้สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2300 (ทวีวฒั น์ ปณุ ฑรกิ ววิ ัฒน์, 2542, น. 16-17) 2.4 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 8 ในรัชสมัยขององค์ดาไลลามะองค์ที่ 8 ตาแหน่ง ปันเชน ริมโปเช (Pan-chen Rim-po- che) เริ่มมีบทบาทในประวัติศาสตร์ของทิเบต องค์ดาไลลามะเองนั้นทรงมีความรอบรู้อย่างย่ิง และ ทรงมีอิทธพิ ลสาคัญในหมู่ชาวทิเบต พระองค์ทรงได้รับเชิญให้เสด็จไปเยือนพระราชสานักของจีนตาม
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 158 ประเพณีที่ถอื ปฏิบัติสืบกันมา ขณะนัน้ กองทหารกุรข่า (Gurkha) ซง่ึ เพิ่งแสดงพละกาลังทางทหารโดย เข้ายึดครองเนปาลท้ังประเทศ และกาลังหึกเหิมด้วยอานาจทางทหาร ได้เตรียมการท่ีจะเข้าโจมตี ทเิ บตเพือ่ หวงั ปลน้ ทรัพย์สมบตั ิอันลา้ ค่าจากวดั สาคัญต่าง ๆ และจากบ้านของตระกลู ขุนนางต่าง ๆ ใน ทิเบต ต่อมาเม่ือ พ.ศ. 2331 กองทหารกุรข่าได้หาสาเหตุเข้าโจมตีและยึดครองชายแดนบางส่วนของ ทิเบตไว้ และอีก 3 ปีต่อมาได้รุกคืบหน้าลึกเข้าไปในดินแดนทิเบตและเข้าปล้นวัดทาชิลุนโป (Ta-Shi Lhun-po) วัดอันมั่งคั่งของปันเชน ริมโปเช กองทัพจีนด้วยความช่วยเหลือจากชาวทิเบตบางส่วนได้ ยาตราทัพเข้าสู่ทิเบตในกลางฤดูหนาว ขับไล่กองทหารกุรข่าออกไป และรุกเข้าไปในเนปาลจน เกือบจะถึงเมืองหลวงซึ่งทหารกุรข่ายึดครองอยู่ กองทหารกุรข่าถูกบังคับให้เซ็นสัญญาสันติภาพ หลังจากเหตุการณ์คร้ังน้ีจีนได้มีอิทธิพลเหนือทิเบตเกือบจะส้ินเชิง และเข้าควบคุมเรื่องราวการกลับ ชาติมาเกิดใหม่ของบรรดาลามะช้ันสูงของทิเบต ชาวทิเบตน้ันไม่เคยรู้สึกพึงพอใจที่ต้องตกอยู่ภายใต้ การปกครองของชนต่างชาติ ความรสู้ ึกรักอิสรภาพน้ันมอี ย่อู ย่างแข็งขนั ในเผา่ ชนทิเบต ซึง่ ครง้ั หน่ึงเคย เป็นชนเผ่าเร่ร่อนบนเทือกเขาสูงในอดีตอันไกลโพ้น และความรู้สึกนี้ย่ิงเข้มข้นข้ึนด้วยความหวงแหน ในพระศาสนาของตน โดยกริ่งเกรงว่าชาวต่างชาติอาจจะเข้ามาทาลายพระพุทธศาสนา ซึ่งสาหรับชาว ทิเบตแล้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่งกว่าการเข้าครอบครองผืนแผ่นดินทิเบตเสียอีก (ทวีวัฒน์ ปุณฑรกิ ววิ ัฒน์, 2542, น. 19) 2.5 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ี่ 9, 10, 11, 12 องค์ดาไลลามะองค์ท่ี 9 มีพระชนมายุได้เพียง 10 พรรษาก็ส้ินพระชนม์ในปี พ.ศ. 2358 และต่อมาดาไลลามะองค์ท่ี 10 ทรงเจริญวัยขึ้น กระท่ังพระชนมายุครบ 20 พรรษาก็สิ้นพระชนม์ลง อีกในปี พ.ศ. 2380 ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินของพระองค์ถูกสงสัยว่า เป็นผู้ลอบปลงพระชนม์โดยการ ลอบใส่ยาพิษในพระกระยาหาร ในรัชสมัยของดาไลลามะองค์ที่ 11 การปกครองภายใต้ผู้สาเร็จ ราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความกดขี่ทารุณ กระทั่งปันเชนลามะ (Pan-chen Lama) ในขณะน้ัน รวมท้ังพระลามะชั้นผู้ใหญ่ในรัฐบาลกรุงลาซา ได้ส่งตัวแทนเดินทางไปร้องเรียนต่อพระจักรพรรดิจีน พระจักรพรรดิจีนจึงได้ส่งข้าหลวงคนใหม่มาประจาที่กรุงลาซา ข้าหลวงจีนได้จับกุมผู้สาเร็จราชการ แผ่นดินของทิเบตผู้น้ันและเนรเทศไปอยู่ที่แมนจูเรีย และท้ัง ๆ ที่มีการระมัดระวังอย่างเต็มท่ีแล้วก็ ตาม องค์ดาไลลามะองค์ที่ 11 ก็ยังสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 2398 ด้วยพระชนมายุเพียง 17 พรรษา และผู้ท่ีสืบราชสมบัติต่อมาคือองค์ดาไลลามะองค์ท่ี 12 ก็ส้ินพระชนม์ลงอีกในปี พ.ศ. 2418 ด้วย พระชนมายุ 18 พรรษา ด้วยเหตุท่ีดาไลลามะท้ังสี่พระองค์นี้สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ ท้ัง ๆ ท่ี ก่อนหน้าน้ีองค์ดาไลลามะพระองค์อ่ืน ๆ ทรงพระชนม์ยืนนานแทบทุกพระองค์ จึงเป็นท่ีสงสัยกันว่า ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีการสิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ติดต่อกันถึง 4 รัช สมยั ทงั้ นเ้ี พราะผสู้ าเรจ็ ราชการแผ่นดินจะเป็นผู้มอี านาจเต็มในการปกครอง ในขณะท่ีองคด์ าไลลามะ ยังทรงพระเยาว์อยู่ และทาการปกครองในนามขององค์ดาไลลามะ คร้ันเม่ือองค์ดาไลลามะทรงเจริญ วยั ขึ้นจนมีพระชนมายุครบ 18 พรรษาบริบูรณ์ อานาจในการปกครองทุกอย่างจะกลับคืนมาสู่องค์ดา ไลลามะโดยตรง ด้วยเหตนุ ี้จงึ เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินจะคิดกาจัดองคด์ าไลลามะ เสียก่อนที่จะทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา อันเป็นวัยที่องค์ดาไลลามะผู้เป็นอวตารของพระ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจะทรงมีอานาจอย่างแท้จริงท้ังทางโลกและทางธรรม (ทววี ัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์, 2542, น. 20)
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 159 2.6 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ี่ 13 ดาไลลามะองค์ที่ 13 ประสูติเม่ือ พ.ศ. 2419 จากครอบครัวที่ยากจนในหมู่บ้านเปอร์โช เด (Per-cho-de) จังหวดั ตักโป (Tak-po) เด็กน้อยมีลกั ษณะต้องตามตาราอย่างเด่นชัดมากจนกระทั่ง ชาวทิเบตปฏิเสธท่ีจะใสช่ ่ือและให้ช้ีขาดในโกศทองคาโดยข้าหลวงจีน ดาไลลามะพระองค์น้ีได้รับพระ ราชอานาจในการปกครองเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินของพระองค์เป็น พระลามะช้ันผู้ใหญ่ ซ่ึงถือกันว่าเป็นอวตารของพระลามะที่ยิ่งใหญ่ในอดีต และก็เป็นเจ้าอาวาสของวัด เตนกีลิง (Ten-gye-ling) ที่มีความสาคัญในกรุงลาซา ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินถูกลงโทษด้วยข้อหา พยายามใช้เวทย์มนต์คาถาเพื่อปลงพระชนม์องค์ดาไลลามะ โดยถูกคุมขังอยู่ในกุฏิเล็ก ๆ ภายในวัด และมรณภาพลงจากการลงโทษ มีบุคคลเป็นจานวนมากที่ไม่เพียงแต่จะเห็นว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ ยังยกย่องชมเชยความสามารถในการบริหารราชการของท่านเป็นอย่างสูงอีกด้วย บรรดาพระในวัด ของทา่ นมีความจงรักภักดตี ่อท่านอย่างไม่เกรงกลัวอานาจใด ๆ และพยายามทุกวิถที างที่จะหาโอกาส ก่อการกบฏต่อต้านองค์ดาไลลามะและรัฐบาลของพระองค์ ในท่ีสุดเมื่อทิเบตลุกฮือข้ึนประกาศ อิสรภาพจากจนี ในปี พ.ศ. 2453 บรรดาพระจากวัดเทนกีลิงได้เขา้ ข้างฝ่ายจีน อกี 2 ปีตอ่ มาเม่ือจีนถูก ขับไล่ออกไปจากกรุงลาซา วัดเทนกีลิงก็ถูกโจมตี สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งทาด้วยหินถูกทุบทาลายและ พระในวัดถูกขับไล่แตกกระเจิงไป ต่อมาเม่ือ พ.ศ. 2447 อังกฤษได้ส่งกองทหารเข้ายึดครองกรงุ ลาซา แบบจู่โจม เป็นเหตุให้องค์ดาไลลามะต้องเสด็จล้ีภัยไปยังมองโกเลีย และเหตุการณ์ครั้งน้ีก็เป็นแรง กดดนั ท่ที าให้พระองคต์ ้องเสด็จเยอื นกรงุ ปักกิง่ กองทหารอังกฤษที่เข้ายึดครองทเิ บตและสนธิสัญญาท่ี ติดตามมาไดผ้ กู พันอังกฤษและทิเบตเข้าไวอ้ ย่างใกลช้ ิด ตอ่ มาทหารอังกฤษได้ถอนตวั ออกไปจากทิเบต ปฏิบัติการของกองทหารอังกฤษทาให้ฝ่ายจีนต่ืนตัวและพยายามที่ จะช่วงชิงทิเบตกลับคืนมาให้ได้ ภายหลังจากที่ต้องทรงลี้ภัยอยู่นานถึง 5 ปี องค์ดาไลลามะก็เสด็จกลับกรุงลาซาในปี พ.ศ. 2452 แต่ ช่ัวเวลาเพียงอีกไม่ก่ีเดือนต่อมา กองทัพจีนก็ได้กลับเข้ายึดครองทิเบตอีก ทาให้องค์ดาไลลามะต้อง เสด็จล้ีพระองค์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เสด็จไปยังอินเดียและทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ท่ีเมืองดาร์จีลิง (Darjeeling) เป็นเวลากวา่ 2 ปี ต่อมาชาวทิเบตได้ก่อการปฏิวัติขึ้น กระท่ังปี พ.ศ. 2455 กองทัพจีนจึงถูกขับไล่ออกไป จากทิเบต และองค์ดาไลลามะได้ทรงเป็นพระประมุขอย่างแท้จริงในแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดของ พระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงทานุบารุงบ้านเมืองอย่างขนานใหญ่ ทรงส่งเสริมการพระศาสนา การสาธารณปู โภค และการป้องกันประเทศ ชาวทเิ บตเคารพรักในองค์ดาไลลามะองค์ท่ี 13 เป็นอย่าง ยิ่ง และได้ยกยอ่ งพระองค์ใหเ้ ปน็ องค์ดาไลลามะทยี่ ่งิ ใหญ่ พ.ศ. 2456 รัฐบาลทิเบตได้ทาสัญญากับรัฐบาลมองโกเลีย มีสาระสาคัญว่าทิเบตและ มองโกเลียต่างถือว่าเป็นอิสระแก่กัน และในปีเดียวกันผู้แทนของอังกฤษ ทิเบต และจีนได้ร่วมประชุม กนั แล้วรา่ งขอ้ ตกลง ซ่ึงอังกฤษขอใหท้ ิเบตยอมรับใหจ้ ีนมีคณะผู้แทนมาอยู่ประจากรุงลาซา และใหจ้ ีน รับรองว่าทิเบตปกครองตนเอง อังกฤษได้เซ็นสัญญานี้ร่วมกับทิเบตในวันท่ี 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 แต่รัฐบาลจีนไม่ยอมลงนาม เม่ือสงครามโลกครั้งท่ีหนึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2457 องค์ดาไลลามะทรงส่ง ทหารเข้าร่วมรบเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอังกฤษ คร้ันเกิดสงครามระหว่างจีนกับญ่ีปุ่นและสงครามโลก คร้ังท่ีสองข้ึนในปี พ.ศ. 2480 ทิเบตได้วางตัวเป็นกลาง ไม่ยอมให้ขนอาวุธยุทธภัณฑ์จากอินเดียผ่าน ทิเบตไปยังจนี จะยอมใหก้ ็แตว่ สั ดุและยวดยานทป่ี ราศจากอาวธุ เทา่ นนั้
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 160 ภายหลังจากที่ต้องตกเป็นรฐั ในอารักขาของมองโกเลีย มาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ และตกเป็นรัฐในอาณัติของจีนอีกเป็นเวลากว่า 150 ปี และถูกอังกฤษยึดครองในช่วงระยะเวลาส้ัน ๆ ในที่สุดทิเบตก็ได้กลับเป็นเอกราชอีกคร้ังหนึ่ง โดยการประกาศอิสรภาพจากจีนในรัชสมัยของดาไลลา มะองค์ที่ 13 แต่ทิเบตก็ดาเนินนโยบายปิดประเทศโดยเก็บตัวเงียบอยู่แบบรัฐโบราณ เกือบจะมิได้ ติดต่อกับโลกภายนอกเลย จึงขาดการทาสนธิสัญญาท่ีสาคัญอย่างเพียงพอกับต่างประเทศ มิได้มีการ แลกเปลี่ยนทางการฑูตกับประเทศอื่น มิได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติหรือองค์การ สหประชาชาติ และมิได้ดาเนนิ ความพยายามท่ีจะให้โลกภายนอกรับรองเอกราชและอธิปไตยของทิเบต เอกราชท่ีมีอยู่จริงในทางพฤตินัยของทิเบตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455 จึงขาดการรับรองตามกฎหมายระหว่าง ประเทศ เปน็ เหตใุ หจ้ นี เข้ายึดครองและอ้างอธิปไตยเหนือทิเบตได้โดยง่ายในเวลาต่อมา พ.ศ. 2463 เมือ่ ด้านตะวนั ออกของพระราชวังโปตาลาอย่ใู นระหว่างการซ่อมแซม องคด์ า ไลลามะทรงมีคาสั่งพิเศษให้จิตรกรวาดรูปนกสีน้าเงินบนผนังด้านทิศเหนือ และวาดรูปมังกรสีขาวบน ผนังด้านทิศตะวันออกของบันไดที่นาไปสู่ห้องโถงด้านเหนือ คร้ังน้ันจิตรกรเอกและนักปราชญ์ในราช สานักต่างพากันรู้สึกประหลาดใจในพระประสงค์ของพระองค์ เพราะภาพวาดเหล่านั้นมิได้มี ความหมายที่เก่ียวข้องกับประวัติศาสตร์หรือตานานต่าง ๆ แต่อย่างใด ภายหลังจึงเป็นที่ประจักษ์กัน ว่า นกสีน้าเงินมีความหมายเป็นนัยท่ีบอกถึงปีส้ินพระชนม์ของพระองค์คือปีนกธาตุน้า และมังกรสี ขาวบอกถึงการข้ึนครองราชสมบัติขององค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 ในปมี ังกรธาตเุ หล็ก ดาไลลามะองค์ท่ี 13 ส้ินพระชนม์ในวันที่ 30 เดือน 10 ปีนกธาตุน้า ตามปฏิทินของทิเบต ซ่ึงตรงกับปี พ.ศ. 2476 (ทวีวัฒน์ ปณุ ฑรกิ วิวัฒน์, 2542, น. 22-25) 2.7 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 14 1) เรื่องราวในอดตี ของดาไลลามะองคท์ ่ี 14 เม่ือคร้ังที่ดาไลลามะองค์ท่ี 13 สวรรคตลงเมื่อ พ.ศ. 2476 ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นคือ พระศพซึ่งเดิมหันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ กลับหันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากน้ันไม่นานผู้สาเร็จ ราชการแทนพระองค์ซ่ึงเป็นลามะชั้นสูงได้เห็นภาพจากสมาธิขณะเพ่งลงไปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ใน ทิเบตตอนใต้ โดยเห็นเป็นอักษรทิเบต 3 ตัว สมมุติให้เป็นตัวอักษรไทยคือ “อ, ก และ ม” และเห็น ภาพวัดเป็นตึก 3 ชั้นมีหลังคาสีฟ้าประดับลายทอง จากนั้นก็ปรากฏภาพทางเดินท่ีขึ้นไปจากเชิงเขา สดุ ท้ายปรากฏเป็นภาพบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีรางน้ารูปร่างแปลก ๆ หลังจากนัน้ รัฐบาลทิเบตได้จัดคณะ ค้นหาขึ้นเพื่อค้นหาสถานท่ีและแปลความหมายตัวอักษรท้ัง 3 ตัวที่ปรากฏในสมาธิของลามะชั้นสูง การค้นหาองค์อวตารของดาไลลามะองค์ท่ี 13 จึงเร่ิมข้ึน ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ได้ปรึกษากับ คณะค้นหาและลงความเห็นว่า อักษร “อ” น่าจะหมายถึงแคว้นอัมโด ซ่ึงเป็นแคว้นทางตะวันออก เฉียงเหนือของทิเบต ซึ่งเป็นทิศท่ีพระพักตร์หันไป จึงส่งคณะค้นหาไปตามทิศทางน้ัน เมื่อมาถึงวัดกุม บุม ซึ่งตรงกับอักษรตัวที่ 2 คือ “ก” คณะผู้ค้นหาก็เริ่มมั่นใจว่ามาถูกทาง เมื่อเห็นลักษณะของวัดกุม บมุ ซ่ึงมีลักษณะเป็นตึก 3 ช้ัน มีหลังคาสีฟ้าตรงตามที่เห็นในสมาธิและสิ่งทีพ่ วกเขาต้องค้นหาต่อไปคือ บ้านหลังเล็ก ๆ ท่ีมีรางน้ารูปร่างแปลก ๆ ซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากวัดกุมบุมนัก พวกเขาเริ่มค้นหาใน หมู่บ้านระแวกใกล้เคยี งกับวดั กุมบุม จนกระทัง่ มาถึงบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหน่ึงมีไม้สนคดงอเป็นรูปร่าง แปลก ๆ ใช้ทาเป็นรางน้าตรงกับที่เห็นในสมาธิ พวกเขาเร่ิมม่ันใจยิ่งขึ้นว่า ดาไลลามะองค์ที่ 13 ที่จะ อวตารกลับชาติมาเกิดนั้นคงจะอยู่ในบ้านหลังนี้หรือไม่ก็คงจะอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเป็นแน่ บ้านเล็ก ๆ
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 161 หลังน้ันคือบ้านของเด็กชาย ลาโม ทอนดุป และครอบครัว ซึ่งต่อมาเด็กชายลาโมได้รับการยอมรับ อย่างเป็นทางการว่าเป็นดาไลลามะองค์ท่ี 13 อวตารหรอื กลบั ชาติมาเกิดนน่ั เอง เมื่อคณะคน้ หาเข้าไป ในบ้านก็ไม่ได้แจ้งจุดประสงค์ท่ีแท้จริงให้คนในบ้านทราบ เพียงแต่ขอค้างแรมระหว่างทางสักคืน เท่านั้น หัวหน้าคณะค้นหาคือ คิวซัง ริมโปเช่ ซึ่งเป็นลามะช้ันสูงท่านหนึ่งปลอมตัวเป็นคนรับใช้ใน คณะเพ่ือพิสูจน์ความจริงบางอย่าง และเพ่ือไม่ให้คนในบ้านได้รู้ถึงการทดสอบนั้น แต่เมื่อคณะค้นหา เข้ามาในบ้าน เด็กชายลาโมเห็นเขากลับจาได้และเรียกเขาว่า “ลามะจากเซร่า” ความรู้สึกม่ันใจเริ่ม เกิดข้ึนเพราะท่านคิวซัง ริมโปเช่ นั้นมาจากวัดเซร่าจริง ๆ แต่เพียงเท่าน้ียังไม่ทาให้เด็กชายลาโมผ่าน การทดสอบได้ พวกเขายงั ไม่เปดิ เผยสิง่ ใดพอรุง่ เชา้ จึงขอตัวเดินทางต่อ หลงั จากน้นั อกี 2-3 วัน คณะผู้ ค้นหาเดินทางมายังบ้านของเด็กชายลาโมอีกคร้ัง แต่คราวน้ีมาอย่างเป็นทางการและได้นาส่ิงของ เคร่ืองใช้หลายอย่างมาดว้ ย ซ่ึงในจานวนเคร่ืองใช้เหล่านั้นมีส่ิงของเคร่อื งใช้ท่ีเคยเป็นของ ดาไลลามะ องคท์ ี่ 13 รวมอยู่ดว้ ย แต่ได้จัดปนเปกนั มาเพอ่ื พิสจู น์การระลกึ ชาตขิ องเด็กชายลาโม ทอนดุป การพิสูจน์ได้เร่ิมต้นข้ึน เด็กชายลาโมซ่ึงขณะนั้นอายุ 3 ขวบ สามารถเลือกส่ิงของ เครื่องใช้ท่ีเคยเป็นของดาไลลามะองค์ที่ 13 ได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ท้ังยังบอกด้วยว่า “ของฉัน ๆ” จากการพสิ จู นท์ าให้คณะคน้ หาแน่ใจแล้ววา่ เด็กชายลาโม ทอนดปุ คอื ดาไลลามะองคท์ ่ี 13 กลบั ชาติ มาเกิดตามเจตนารมณ์ของท่านที่เลือกท่ีจะกลับมาเกิดใหม่เพ่ือประโยชน์สุขของชาวทิเบต เฉก เชน่ เดยี วกับพระโพธสิ ตั วท์ ้ังหลาย ผบู้ รรลพุ ุทธภมู ิแลว้ กย็ ังกลับมาเกดิ อกี เพื่อประโยชน์สขุ แหง่ สรรพ สตั วใ์ นโลก จนกวา่ สรรพสัตว์ทงั้ ปวงจะเปน็ อสิ ระจากสงั สารวฏั จนหมดสิน้ แล้วจึงจะบรรลนุ ิพพาน เมื่อ ทาการพิสูจน์จนแน่ใจแล้วว่า เด็กชายลาโม ทอนดุป คือ ดาไลลามะองค์ที่ 13 กลับชาติมาเกิด คณะ พิสูจน์ก็ส่งข่าวไปยังผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ในเมืองลาซา เพ่ือรายงานผลการพิสูจน์ จนกระท่ัง ไดร้ ับการยอมรับอย่างเป็นทางการ จากนั้นอกี 18 เดือนจงึ มีการจัดขบวนมาตอ้ นรบั อย่างสมเกยี รติไป ยงั เมืองหลวง เพื่อรอการแตง่ ต้ังเป็นดาไลลามะองค์ท่ี 14 ต่อไป เมื่อ เด็กชายลาโม บรรลุนิติภาวะแล้ว เด็กชายลาโม ทอนดุป (Lhamo Thondup) เกิดเมื่อวันท่ี 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 ณ หมู่บ้านตัก เซอร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศทิเบต มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เสียชีวิตไปแล้ว 4 คน ยังมีชีวิตอยู่ 4 คน คือ (1) เซริง ดอลมา (หญิง) (2) ทุบเท็นจิกเม นอร์บู (ลามะ ตกั เซอ ริมโปเช่ อวตารมาเกิด) (3) ลอบซัง สามเท็น (ชาย) และ (4) ลาโม ทอนดุป (ดาไลลามะองค์ที่ 13 อวตารมาเกดิ ) ในครอบครวั ของเด็กชายลาโมมี “ตุลกู” อกี คนหนงึ่ คือ ทุบเท็น จิกเม นอร์บู ซ่ึงได้รับ การพิสูจน์และยอมรับว่าเป็นลามะ ตักเซอร์ ริมโปเช่ ลามะช้ันสูงท่านหนึ่งกลับชาติมาเกิด และต่อมา เขาได้ไปอยู่ท่ีวัดกุมบุมอันเป็นวัดที่ลามะ ตักเซอร์ ริมโปเช่ เคยอยู่เมื่อในอดีตชาติมารดาของเด็กชาย ลาโม (ดาไลลามะองค์ท่ี 14) เล่าถึงเรื่องราวการจาอดีตชาติได้ของเด็กชายลาโมว่า เด็กชายลาโมป็น เด็กที่มีความเมตตาสูง ชอบช่วยเหลือผ้คู นโดยเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่า เขาชอบเกบ็ ข้าวของลงกระเป๋า เดินทางโดยบอกวา่ “ฉันจะไปลาซา” เวลาท่ีกินข้าวกับครอบครัวเขาจะนั่งหัวโต๊ะเสมอและไม่ยอมให้ ใครถือชามอาหารนอกจากมารดา สิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ีเป็นเพียงส่วนหน่ึงที่แสดงว่า เด็กชายลาโมจา อดีตชาติได้ แตม่ ารดาของเดก็ ชายลาโมคิดไม่ถึงว่าเดก็ ชายลาโมจะเป็นดาไลลามะองค์ท่ี 13 กลับชาติ มาเกิด และคิดไม่ถึงว่าในครอบครัว จะมี “ตุลกู” ถึง 2 คน (มารดาของดาไลลามะองค์ท่ี 14 ถึงแก่ กรรมเมอ่ื พ.ศ. 2524)
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 162 ดาไลลามะองค์ที่ 14 ทรงเล่าเร่ืองราวการจาอดีตชาติของท่านไว้ในหนังสืออัตชีว ประวัตขิ องตัวท่านเองวา่ ปจั จุบันนที้ ่านจาเรอื่ งราวในอดีตไม่ค่อยได้แลว้ เพราะว่าเหตุการณ์ไดเ้ กิดขึ้น ในขณะทีท่ ่านยังเด็กมาก เท่าท่พี อจาได้กเ็ ปน็ เร่อื งราวทมี่ ารดาของท่านเล่าใหท้ ่านฟงั เมอื่ ตอนท่ีท่านโต แล้วเท่านั้น เม่ือกล่าวถึงการท่ีท่านลืมเรอื่ งราวในอดีตชาตินั้น ท่านเองคิดวา่ อาจมีสาเหตุมาจากการที่ ท่านแอบกินกินไข่ ซึ่งโบราณเช่ือว่าคนท่ีจาอดีตชาติได้ถ้ากินไข่แล้ว จะทาให้ลืมเรื่องราวในอดีตชาติ ซง่ึ ท่านไดก้ ล่าวถึงเรื่องน้ีไว้ว่า “อาตมาถูกห้ามไมใ่ ห้รับประทานอาหารบางชนิดเชน่ ไข่ และหมู จาได้ ว่าครั้งหนึ่ง ยอปเค็นโป ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จับได้ว่าอาตมาเสวยไข เขาตกใจมากพอ ๆ กับอาตมา” โดยส่วนตัวของทา่ นเอง ท่านไม่ได้ให้ความสนใจเรอ่ื งราวในอดีตชาติมากนัก เพราะทา่ นลมื ไปมากแล้ว แต่เร่ืองราวในช่วงที่ท่านจาความได้นั้น มีความสาคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่ิงท่ีทาให้ท่านรู้สึก มีความ ผูกพันกับอดีตชาติของท่านดังเช่น ครั้งหน่ึงท่านไปเยี่ยมวัดเซรา และวัดครีบุง ซึ่งเป็นสถานศึกษา สูงสุดของทิเบตเป็นครั้งแรก ท่านรู้สึกคุ้นเคยกับสถานท่ีของวัดท้ัง 2 มาก ราวกับว่าท่านเคยมาท่ีนี่มา ก่อน ดังคาพูดตอนหนึง่ ของท่านทีว่ ่า “อาตมาตอ้ งเป็นกังวลท่จี ะต้องเยย่ี มวดั ซ่งึ เปน็ สถานศึกษาสงู สุด ของทิเบตเป็นคร้ังแรกในชีวิต แต่มีบางอย่างที่ทาให้รู้สึกคุ้นเคยและทาให้ค่อนข้างแน่ใจถึง ความสัมพันธ์ในอดีตชาติของอาตมากับสถานท่ีเหล่านั้น” ข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างหน่ึงคือดาไลลามะ องคท์ ่ี 13 น้ันทา่ นจะมีญาณพิเศษสามารถรเู้ หตุการณ์ลว่ งหนา้ ได้ ส่วนดาไลลามะองคท์ ี่ 14 นนั้ จะรบั รู้ เหตุการณ์ในอนาคตได้จากความฝัน ซึ่งเม่ือก่อนท่านคิดว่ามันเป็นเพียงความฝันธรรมดา แต่เม่ือเวลา ผ่านไปท่านจึงเข้าใจว่า ส่ิงที่ท่านเห็นน้ันคือภาพในอนาคตท่ีมาให้ท่านเห็นในรูปของความฝันน่ันเอง ดังคาพูดของท่านตอนหนึ่งที่ว่า “อาตมามีประสบการณ์แปลก ๆ หลายประการ โดยเฉพาะในรปู ของ ความฝัน แม้ว่าตอนนั้นจะดูไม่สาคัญ แต่บัดนี้อาตมาเข้าใจแล้วว่ามันมีความสาคัญอย่างไร” ตัวอย่าง ความฝันท่ีกลายเป็นจริงของท่านคือ คืนหนึ่งขณะที่ท่านหลับสนิทท่านได้ฝันเห็นหมู่บ้านของท่านซึ่ง อยู่หา่ งไกลออกไปถกู เผาทาลาย ผคู้ นถูกฆา่ ตายเหน็ ศพคนตายเกลอื่ นไปหมด คนทีไ่ ด้รับบาดเจ็บกร็ อ้ ง โหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทรมาน เมอื่ ท่านต่ืนข้ึนมาทรงตกใจมาก หลายคนปลอบใจท่านว่าเป็นฝัน ร้ายธรรมดาเท่าน้ัน แต่ต่อมาความฝันนั้นก็ได้รับการพิสูจน์ เมื่อกองทัพจีนได้บุกทาลายหมู่บ้านของ ทา่ น ผู้คนล้มตายเป็นอนั มาก จงึ เป็นท่ีมาของคาพูดของทา่ นดังที่กล่าวมาแลว้ และยงั มีอีกหลายความ ฝัน ซ่ึงตอ่ มาทา่ นได้ให้ความสาคัญกับความฝนั ของทา่ นเปน็ พเิ ศษ (ธวัชชัย ขาชะยนั จะ, 2564) 2) ประวัติ สถานภาพ และบทบาทองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 องค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 (องค์ปัจจุบัน) ประสูติเมื่อวันข้ึน 5 ค่าเดือน 5 ปีกุน ธาตุไม้ ตามปฏิทินทิเบต ตรงกับปี พ.ศ. 2477 ท่ีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหน่ึงช่ือดักด์เสอ ทางภาคตะวันออกเฉียง เหนือของทิเบต ซ่ึงเวลานั้นเป็นเขตปกครองของจีน เด็กน้อยถูกค้นพบในกระท่อมของชาวนาที่ยากจน ครอบครัวหนึ่ง และสามารถทักทายบุคคลในคณะค้นหาได้อย่างถูกต้องหมดทุกคน อีกทั้งสามารถช้ี เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ของดาไลลามะองค์ก่อนได้ถูกต้อง เมื่อผ่านการพิสูจน์ตามธรรมเนียมของชาว ทิเบตจนครบถ้วน และเป็นท่ีแน่ใจว่าเป็นอวตารขององค์ดาไลลามะที่แท้จริงแล้ว เด็กน้อยก็ได้รับการ สถาปนาให้เป็นองคด์ าไลลามะองค์ที่ 14 ในวนั ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2483 โดยมีเรติง รนิ โปเช เป็นผู้สาเร็จ ราชการแผน่ ดนิ ของพระองค์ และทรงรบั ผดิ ชอบบ้านเมืองโดยตรงเมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ในวันท่ี 7 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ขณะเมื่อองคด์ าไลลามะมีพระชนมายเุ พียง 16 พรรษา เท่าน้ัน จีนได้ส่งกาลังทหารข้ามแม่น้าเดรชู อันเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างจีนกับทิเบต เข้าไปใน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 163 ทิเบตและยึดภาคตะวันออกของทิเบตไว้ได้ท้ังหมด กองทพั ของทิเบตซึ่งมีขนาดเลก็ มาก เหมาะที่จะทา หน้าท่ีเพียงคอยลาดตระเวนเพื่อกันคนไม่ให้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และทาหน้าท่ีเป็นตารวจ มากกว่า ไม่อาจต้านทานกาลังทัพอันมหาศาลของจีนได้ ทิเบตได้ขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาล อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และเนปาล แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ จึงได้ร้องทุกข์ไปยังองค์การ สหประชาชาติ โดยมี เอลซัลวาดอร์ เป็นผู้ยื่นคาร้องในคราวประชุมสมัชชาใหญ่เมื่อวันท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 แต่สหประชาชาติปฏิเสธท่ีจะพิจารณาปญั หาทิเบต โดยอังกฤษเป็นผู้ยืน่ เร่ือง ใหร้ ะงบั ปัญหาทเิ บต พ.ศ. 2494 องค์ดาไลลามะจึงทรงแต่งต้ังผู้แทน 4 คนเดินทางไปเจรจากับจีนที่กรุง ปักก่ิง จีนได้กดดันให้ทิเบตต้องลงนามในสัญญา 17 ข้อท่ีฝ่ายจีนเป็นผู้เสนอในวันท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 สาระสาคัญของสัญญาก็คือ อานาจทางกลาโหมและการตา่ งประเทศของทิเบตขนึ้ ตรงต่อจีน ส่วนกิจการอ่ืน ๆ นั้นทิเบตจะได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง หลังจากน้ันจีนได้ส่งนายพลชาง ชิน-วู พร้อมด้วยกองทหารจนี ไปประจาอยูท่ ่ีกรงุ ลาซา ขณะเดียวกันจีนก็ผลักดันใหท้ ิเบตยอมรับเด็กชาวทิเบต คนหนึ่งว่าเป็นอวตารของปันเชนลามะ ผู้นาทางศาสนาที่สาคัญอีกองค์หนึ่งของทิเบต และพยายามเพ่ิม อานาจและบทบาทใหแ้ ก่ปันเชนลามะ พ.ศ. 2497 องค์ดาไลลามะเสด็จกรุงปักกิ่ง ทรงหารือปัญหาทิเบตกับผู้นาจีน นับต้ังแต่ เหมา เจ๋อ ตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน จูเต้อ รองประธานพรรค โจว เอิน ไหล นายกรัฐมนตรี และหลวิ เฉา ชี ประธานาธิบดีในเวลาตอ่ มาของจีน จีนได้เสนอให้ตง้ั “คณะกรรมการ เตรียมการเพื่อการปกครองตนเองของทิเบต” โดยมีกรรมการ 51 คน เป็นผู้แทนจีน 5 คน นอกน้ัน เป็นชาวทิเบตทั้งหมด มีดาไลลามะทรงเป็นประธาน ปันเชนลามะกับผู้แทนจีนคนหนึ่งเป็นรอง ประธาน มีหน้าท่ีเตรียมการให้ทิเบตเป็นเขตปกครองตนเอง นอกจากนี้องค์ดาไลลามะทรงได้รับเชิญ ให้เข้าร่วมประชุมรัฐสภาของจีนด้วย และในระหว่างท่ีประทับอยู่ที่กรุงปักก่ิงพระองค์ทรงได้พบกับ เนหร์ ู นายกรัฐมนตรขี องอนิ เดียเป็นคร้งั แรก (ฉัตรสมุ าลย์ กบิลสิงห์ ษัฏเสน, 2538) คร้ันเสด็จกลับถึงกรุงลาซา รัฐบาลจีนได้ส่งนายพลเชนยี รองนายกรัฐมนตรีมาเปิด ประชุม “คณะกรรมการเตรียมการเพ่ือการปกครองตนเองของทิเบต” โดยเริ่มประชุมในเดือน เมษายน พ.ศ. 2499 แต่ไม่ประสบผลสาเร็จ ทาให้ชาวทิเบตบางส่วนเริ่มทาสงครามกองโจรต่อต้าน กองทัพจีนในทิเบต และการรบได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลาดับ ความตึงเครียดระหว่างทิเบตกับจีนได้ เพม่ิ มากข้นึ มหาราชกุมารแห่งแคว้นสิขิมได้เสด็จกรุงลาซา เพ่ือทูลเชิญองค์ดาไลลามะให้เสด็จ อินเดียเพื่อร่วมฉลองงานครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2499 รัฐบาลอินเดียได้ส่งโทร เลขถึงรัฐบาลจีน ทูลเชิญองค์ดาไลลามะและปันเชนลามะให้ไปร่วมงานฉลองในฐานะแขกของรัฐบาล อินเดีย เม่ือองค์ดาไลลามะเสด็จถึงกรุงเดลี ทรงได้พบปะกับบรรดาผู้นาอินเดีย อันมี ดร.ราเชนทร ประสาท ประธานาธิบดี ดร.ราธากฤษณัน รองประธานาธิบดี และเนห์รู นายกรฐั มนตรี ทรงหารือปัญหา ทิเบตกับนายกรัฐมนตรีอินเดียอย่างจริงจัง และได้เชิญนายกรัฐมนตรีอินเดียไปเยือนกรุงลาซาในเวลา ต่อมา แต่รฐั บาลจนี ไม่อนญุ าตโดยให้เหตุผลวา่ ไมส่ ามารถรบั ประกันความปลอดภยั ให้ได้ในทเิ บต พ.ศ. 2502 จีนได้ทูลเชิญองค์ดาไลลามะให้เสด็จดูการแสดงในคา่ ยทหารจีนกลางกรุง ลาซา ประชาชนทิเบตไดเ้ ข้าขดั ขวางเพราะเกรงวา่ จนี จะจบั องค์ดาไลลามะไป ในที่สดุ ประชาชนได้เข้า
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 164 ล้อมป้องกันวังนอร์บุลิงก์ อันเป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะในขณะน้ันไว้ จนเกิดวิกฤตการณ์ ระหว่างชาวทิเบตกับทหารจีนอย่างรุนแรง วันท่ี 18 มีนาคม พ.ศ. 2502 องค์ดาไลลามะทรงตัดสิน พระทัยเสด็จลี้ภัยไปยังอินเดีย แม้หนทางจะยากลาบากและทุรกันดาร ภายหลังได้เกิดจลาจลอย่าง ขนานใหญ่ข้ึนในกรุงลาซา ทาให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจานวนมาก และสถานท่ีต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย อย่างหนัก องค์ดาไลลามะทรงประกาศจัดต้ังรัฐบาลใหม่ข้ึนที่ป้อมลุนด์เสด์ซอง ตาบลโซดานูบ ชายแดนทิเบต กอ่ นทจ่ี ะเสด็จลี้พระองคเ์ ข้าไปในประเทศอนิ เดีย พ.ศ. 2502 องค์ดาไลลามะทรงประกาศอย่างเป็นทางการบอกเลิกสัญญา 17 ข้อท่ีทา ไว้กับจีน ในปีเดียวกันสมาชิกสหประชาชาติ 2 ประเทศ คือ ไอรแ์ ลนด์และมลายู ไดย้ ่ืนข้อรอ้ งทกุ ข์ของ ทิเบตต่อสหประชาชาติ มีการหารือกันถึงเร่ืองน้ีในคณะกรรมการบริหารของสมัชชาใหญ่ ในสมัย ประชุมท่ี 14 ในปี พ.ศ. 2502 และมีมติสนับสนุนข้อเรียกร้องของทิเบต ต่อมาประเทศไทยและมลายู เป็นผู้นาเสนอญัตตินี้อีกในปีถัดมา แต่เกิดเหตุการณ์ในแอฟริกาที่สาคัญกว่า สมัชชาใหญ่จึงเลื่อนวาระ การอภิปรายเรื่องทิเบตออกไปทุกวันจนส้นิ สุดสมัยการประชุม ในปี พ.ศ. 2502 นั้นเอง องค์ดาไลลามะ ทรงได้รบั รางวลั แมกไซไซในสาขาผู้นาชุมชน องค์ดาไลลามะองค์ปัจจุบันเคยเสด็จประเทศไทย 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 ทรงได้รับเชิญอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย และทรงได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติและ อบอุ่นยิ่ง นอกจากจะได้ทรงเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะองค์เอก อัครพุทธศาสนูปถัมภกของไทยแล้ว ยังได้เสด็จเยือนพระมหาเถระช้ันผู้ใหญ่หลายท่านทั้งฝ่าย มหานิกายและฝ่ายธรรมยุต นับต้ังแต่สมเด็จพระญาณสังวร ท่านพุทธทาสภิกขุ และพระมหาบัว ญาณสัมปนั โน ครง้ั ทสี่ องพระองค์เสดจ็ เปน็ การสว่ นพระองค์ในปี พ.ศ. 2515 พ.ศ. 2530 องคด์ าไลลามะกลบั ทรงถกู ปฏิเสธจากรฐั บาลไทย มิใหเ้ ขา้ รว่ มการประชุม นานาชาติในประเทศไทยถึง 3 ครั้ง โดยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน คร้ัง แรก ไดแ้ ก่ การประชุมเฉลิมฉลองเน่ืองในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชทรง เจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ จัดโดยองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ครั้งที่สองการประชุมสตรี ชาวพุทธนานาชาติ (ซึ่งภายหลังได้ย้ายไปจัดท่ีประเทศอ่ืน) และคร้ังท่ีสาม ได้แก่ การประชุมผู้ท่ีเคย ได้รับรางวัลแมกไซไซ จัดโดยมูลนิธิร็อกก้ีเฟลเลอร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) องค์ดาไลลา มะทรงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากคณะกรรมการรางวัลโนเบล ประเทศนอรเวย์ ด้วย เหตุผลว่า “คณะกรรมการต้องการเน้นความเป็นจริงท่ีองค์ดาไลลามะได้พยายามต่อสู้ อย่างต่อเน่ือง และอย่างสันติเพื่อปลดปล่อยทิเบต ทรงเสนอหนทาง แก้ไขปัญหา โดยเน้นเรื่องความอดทนและการ เคารพซ่งึ กันและกัน เพอื่ คุ้มครองมรดกทางประวัตศิ าสตร์และวัฒนธรรมของประชาชนทเิ บต” ภายหลังจากท่ีทิเบตได้เป็นเอกราชต้ังแต่ปี พ.ศ. 2455 ถึง พ.ศ. 2493 เป็นเวลา 38 ปี ในท่ีสุดทิเบตก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนอีกวาระหน่ึง และปัญหาทิเบตก็เข้าสู่สถานการณ์ของ โลกปัจจุบัน การเสด็จล้ีภัยการเมืองของดาไลลามะและชาวทิเบตเป็นจานวนมากไปอยู่ทางตอนเหนือ ของอินเดีย ทาให้พุทธศาสนาฝ่ายทิเบตเป็นท่ีรู้จักของชาวโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และ กลายเป็นคู่แข่งขันที่สาคัญของพุทธศาสนานิกายเซนในโลกตะวันตก อาจเป็นไปได้ที่วา่ ต่อไปในอนาคต ชุมชนทิเบตทางตอนเหนือของอินเดีย จะมีส่วนฟื้นฟูพุทธศาสนาให้กลับคืนมาสู่ภาคเหนือของอินเดีย ดินแดนที่ซึง่ ครงั้ หน่ึงเคยเปน็ บ่อเกิดของพทุ ธศาสนา (ทววี ัฒน์ ปุณฑรกิ วิวฒั น์, 2542, น. 25-27)
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 165 องค์ทะไลลามะ มีบทบาทอย่างสาคัญในการเรียกร้องต่อองค์การสหประชาชาติ และ นานาอารยประเทศ ให้จีนยุติการใช้ความรุนแรง การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ การทาลายศาสนสถาน การ ลดิ รอนสิทธิ์ในการแสดงสิทธิข้ันพื้นฐาน การพูดแสดงความคิดเห็น การเคลื่อนไหว การนับถือศาสนา แม้ว่า พระองคจ์ ะทรงล้ีภัยทีเ่ มืองธรรมศาลา ประเทศอินเดยี กต็ าม แต่กท็ รงเสนอและรณรงค์ให้ทิเบต เป็นเขตสันติภาพ ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และให้มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ตลอดถึงกาหนดให้วันที่ 10 มีนาคมของทุกปี เป็นวันเรียกร้องเสรีภาพแห่งชาติทิเบต (Tibetan National Uprising Day) อีกด้วย (พระมหารุ่งเพชร ติกฺขวชิโร, 2537) เพ่ือให้ประชาคม โลกได้รับรู้วิถีแห่งการต่อสู้โดยสันติและเมตตา อหิงสา การเคารพสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมศักด์ิศรี ของความเป็นมนุษย์ ความไม่ส้ินหวังในการหวนคืนมาตุภูมิประเทศ ความอดทน ความธารงไว้ซ่ึง วัฒนธรรมของประเทศตน ขององค์ทะไลลามะท่ีจะยึดถือเป็นแบบอย่างในการสร้างสันติภาพให้ เกิดข้ึนในโลก หรือในประเทศท่ีมีความขัดแย้งที่เกิดจากอุมดการณ์ทางการเมือง ความแตกต่างทาง ความคิด ผลประโยชน์ ความสมั พันธค์ า่ นิยม และความเช่อื ทางศาสนา 3) การดาเนินชีวิตขององคด์ าไลลามะองค์ท่ี 14 องค์ดาไลลามะ ตรัสเสมอว่า “ข้าพเจ้า เป็นเพียงพระสงฆ์ธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่าน้ี และน้อยกว่าน้ี” พระองค์ทรงปฏิบัติตนในฐานะเป็นพระสงฆ์ พานักอาศัยในกระท่อมในธรรมศาลาทรง ดาเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ดังที่พระองค์ได้ตรัสเล่าไว้ว่า “ตามปกติ อาตมาตื่นนอนตี 4 พอลุกขึ้นมาก็ สวดมนต์ภาษาทิเบต อุทิศส่วนกุศลที่ได้ทา ได้พูด ได้คิด ของท้ังวัน เป็นการแผ่ส่วนบุญเพ่ือช่วยเหลือ เก้ือกูลผู้อ่ืน อาตมาก็เหมือนพระทุกรูป คืออยู่กับความจน ไม่มีสมบัติส่วนตัวในห้องนอนมีแต่เตียง เวลา ลุกข้ึน สิ่งแรกท่ีได้เห็นคือ พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า จากพระพุทธรูปเวลาตื่นข้ึนมานั้น หนาวเย็นนัก จงึ ตอ้ งออกกาลงั กายและรีบอาบน้า แต่งตัวอย่างรวดเรว็ อาตมานุ่งจีวรสีแดงเขม้ เชน่ น้ีดุจพระองค์อ่นื ๆ ผ้าหยาบ ๆ มีปะชุน หากเป็นผ้าผืนเดียว ก็จะเอาไปขายหรือแลกเปล่ียนกับอะไรได้ การนุ่งห่มผ้า อยา่ งน้ี เอาไปขายไม่ได้ เป็นการยืนหยัด ปรัชญาของเราท่ีสอนให้ไม่ติดยึดในส่ิงของต่าง ๆ ทางโลก อาตมา ภาวนา จนถึงตีห้าครึ่ง จากนั้นก็ทาพุทธบูชา กราบแบบ อัษฎางคประดิษฐ์ (คือกราบโดยให้อวัยวะ 8 ส่วนสัมผัสพ้ืน นอนคว่าหน้าราบกับพ้ืน และปลงอาบัติ เพื่อสารวจตรวจดู ความผิดของเราท่ีแล้ว ๆ มา เพ่ือแถลง ให้สงฆ์ทราบ แล้วสวดมนต์ให้พร เพื่อความสวัสดีของสรรพสัตว์ พอสว่างอากาศดี อาตมาจะ ลงสวนเวลาเช่นน้ี นับว่าวิเศษมากสาหรับอาตมา อาตมาจะมองดูฟ้าท่ีกระจ่าง มองเห็นดวงดาวมากมาย ทาให้เกิดความรู้สึกพิเศษว่า เราแทบไม่มีความสาคัญอันใดเลยในจักรวาล ทาให้ชาวพุทธตระหนักใน ความไม่เท่ียงแท้ นับว่าเหมาะแก่การพักผ่อน บางครั้งอาตมาไม่คิดเลย อาตมามีความสุขกับยามรุ่งอรุณ และเสียงนกร้อง จากนั้นพระจะนาอาหารเช้ามาถวาย ขณะฉันเช้า อาตมาจะฟังวิทยุบีบีซี ราว ๆ ย่ารุ่ง อาตมาจะย้ายไปยังอีกห้องหน่ึง เพื่อภาวนาจน 09.00 น. การภาวนาเป็นพุทธวิธีที่ช่วยตั้งกระแสจิตไป ในทางท่ีสุจริต หรือสัมมาทิฏฐิ เพราะให้เกิดความกรุณา การให้อภัยและความมีใจกว้าง อาตมาภาวนา ราว ๆ วนั ละ 6-7 ครัง้ 9 โมงจนเที่ยง อาตมาศึกษาพระธรรมจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาน้ัน ลึกซ้ึงมาก แม้ อาตมาจะได้ศึกษามาจนตลอดชีวิต ก็ยังต้องศึกษาอีกมาก อาตมาพยายามอ่านหนังสือของผู้รู้ฝร่ังด้วย อาตมาอยากเรียนรู้ปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง โดยเฉพาะนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ ประสาท-ชีววิทยา บางคร้ัง อาตมาก็ทางานด้านเคร่ืองยนต์กลไก เช่น เปลย่ี นแบตเตอรี่ สาหรับวิทยุหรือ
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 166 แก้เครื่อง เวลาเที่ยงครึ่ง อาตมาฉันอาหาร ซึ่งมีเนื้อด้วย แม้อาตมาจะชอบอาหารมังสวิรัติก็ตาม พระ ย่อมฉนั เท่าที่เขาถวายมา บา่ ยเป็นงานราชการ พบปะกบั พวกรัฐมนตรที ี่ลี้ภัย ออกมาด้วยกันและตัวแทน จากรัฐบาลของทิเบต นอกจากน้ี กย็ ังมีคนมาขอพบเสมอ สว่ นมากมาจากทิเบตส่วนมาก ไม่ได้รบั อนุญาต จากจนี คอมมวิ นสิ ต์ คนกล้าพวกน้ีหนีออกมาจากช่องแคบ แถบเชงิ เขาหิมาลยั กว่า 17,000 คนแลว้ เวลาย่าค่า อาตมาฉันน้าชา ตอน 1 ทุ่ม เป็นเวลาดูโทรทัศน์ อาตมาชอบดูรายการบีบี ซี ที่ว่าด้วยอารยธรรมตะวันตก และรายการต่าง ๆ แล้วก็ถึงเวลาที่กาหนด เป็นเวลาภาวนา และบูชา พระ อาตมาหลบั งา่ ย ๆ ตอน 2 ทุ่มคร่งึ หรอื 3 ทุ่ม แต่ถ้ามีพระจันทร์ อาตมาจะนึกถึงวา่ มีพระจนั ทร์ มองลงมายังประชากรของอาตมาท่ีถูกขังดังติดคุกอยู่ในทิเบต แม้อาตมาจะเป็นผู้ลี้ภัยแต่ก็เสรีภาพใน การพูดเพื่อประชากรของอาตมาทุกวัน อาตมาสวดอ้อนวอนต่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้เป็นองค์ พิทักษ์ของทิเบต ขอให้ทรงปกปักรักษาพวกเขาทุกชั่วโมงท่ีกินอยู่ อาตมานึกเสมอถึงความทุกข์ยาก ของประชากรของอาตมา ซ่งึ ถูกเขากางกั้นเอาไว้ (ในอุง้ มือจีนคอมมิวนิสต)์ ” หมายเหตุ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิเบตหรือองค์ดาไลลามะ หาจากภาพยนตร์ ซึ่ง ปัจจุบัน ที่มีพอจะหาดูได้ ก็คือภาพยนตร์เร่ือง “7 ปีในทิเบต” เป็นเรื่องราวของไฮน์ริค ฮาร์เรอร์ (Heinrich Harrer) ชาวออสเตรีย ท่ีถูกจับเป็นเชลย ในสงครามโลก คร้งั ที่ 2 แล้วหนีออกจากค่าย ใน อินเดียเข้าไปทิเบต อยู่ท่ีนั่น 7 ปีได้เฝ้าและได้ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้องค์ดาไลลามะ เม่ือจีนเข้ายึด ทเิ บต เขาจึงกลับบ้านเกดิ (ปัจจุบันอาศัยอย่ทู ่ีราชรฐั ลิคเทนชไตน์ ประเทศเล็ก ๆ ติดสวิตเซอร์แลนด์) อีกเร่ืองชื่อ “คุนดุน” เป็นชีวประวัติขององค์ดาไลลามะ ซึ่งบทภาพยนตร์ได้รับการตรวจทานจาก สานักงานขององค์ดาไลลามะก่อนถ่ายทาและก่อนออกฉาย เร่ืองเร่ิมตั้งแต่ ตอนดาไลลามะประสูติ เป็นลูกชาวนา ได้รับเลือกให้เป็นประมุขของทิเบต และดาเนินเร่ืองไปจนจีนยึดครองทิเบตอย่าง โหดรา้ ย เปน็ เหตุใหต้ อ้ งเสด็จล้ีภัยไปอนิ เดียพรอ้ มคณะผู้ลภ้ี ยั 3. บทสรุป ทิเบตเป็นประเทศท่ีมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยมี จีน อินเดีย ภูฐาน เนปาล มองโกเลีย ปากีสถาน และพม่า เป็นประเทศเพื่อนบ้าน สมญานามประการหนึ่งของประเทศทิเบตท่ีชาวโลกรู้จัก กันเป็นอย่างดีนั่นก็คือ ประเทศหลังคาโลกหรือแดนสวรรค์ก็เพราะมีภูมิประเทศท่ีตั้งอยู่ในท่ีสูงเสียด ฟ้า มีองค์ดาไลลามะ เป็นผู้ปกครองประเทศท้ังทางอาณาจักรและศาสนจักร ซ่ึงเป็นท้ังผู้นาทางจิต วิญญาณและเป็นผู้นาทางการเมือง การปกครอง ทรงมีตาหนักโปตาลาและตาหนักนอร์บูลิงกาเป็นที่ ประทับและเป็นสถานท่ีสาหรับประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยความที่ทิเบตกับจีนเป็นประเทศเพ่ือนบ้าน กัน และในยุคสมัยน้ันที่มีการหวังครอบครองดินแดนของประเทศอ่ืน เพ่ือต้องการแสดงความยิ่งใหญ่ และเพอื่ ตอ้ งการขยายอาณาจักรจีนกบั ทเิ บตจึงเคยรกุ รานซึ่งกันและกันหลายตอ่ หลายครงั้ สุดท้ายจีน ได้ยึดครองดินแดนประเทศทิเบตได้แบบเบ็ดเสร็จ และตั้งแต่น้ันเป็นต้นมา ประเทศทิเบตก็ถูกผนวก เขา้ เปน็ ส่วนหนง่ึ ของประเทศจีน ชาวทิเบตเช่ือกันว่า องค์ดาไลลามะเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เพ่ือช่วยชาว ทิเบตและชาวโลกให้พ้นไปจากความทุกข์ องค์ดาไลลามะจึงเป็นผู้ที่บริสุทธ์ิไม่มีกิเลสใด ๆ แต่ที่ทรง กลับมาเกิดใหม่คร้ังแล้วคร้ังเล่าในร่างขององค์ดาไลลามะองค์ต่อ ๆ มา ก็ด้วยความเมตตากรุณา ประสงค์จะขนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นไปจากสังสารวัฏ การกลับชาติมาเกิดชาวทิเบต เรียกว่า
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 167 “ตุลกู” หมายถึง ผทู้ ่ีเลือกท่ีจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของตนต่อไปหรอื เลือกทจ่ี ะมา เกิดเพ่ือโปรดสัตว์เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ ชาวทิเบตถือว่าการกลับชาติ มาเกิดน้ันเป็นเร่ืองปกติธรรมดา แต่ที่พิเศษไปกว่าตุลกูธรรมดาก็คือการกลับชาติมาเกิดใหม่ขององค์ ดาไลลามะหรือลามะช้ันสูงของทิเบต ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการ “อวตาร” มาเกิด ที่ผ่านมามีองค์ดาไลลา มะและลามะชน้ั สงู ได้กลับชาติมาเกิดแล้วหลายทา่ นตามคตคิ วามเชอ่ื ของพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน แต่ ในยคุ แรก ๆ ตาแหนง่ ดาไลลามะไม่มบี ทบาทมากนกั เริม่ มีบทบาทและมีอานาจทั้งฝ่ายศาสนจักรและ ฝ่ายอาณาจักรมาตง้ั แต่องคท์ ่ี 5 จนกระทั่งปัจจบุ นั ในอดีตทิเบตมีองค์ดาไลลามะมาแล้ว 14 พระองค์ ซ่ึงแต่ละพระองค์ก็มีบทบาทและ ความสาคัญแตกต่างกันไป โดยเฉพาะดาไลลามะองค์หลัง ๆ เช่น องค์ที่ 13 และองค์ที่ 14 ก็จะมี บทบาทมากข้ึนท้ังทางด้านศาสนจักรและอาณาจักร ในรอบหลายปีที่ผ่านมา พระองค์ยังคงเดินทาง พบปะผู้นาประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก แม้จะมีนัยแอบแฝงทางการเมือง แต่สิ่งหน่ึงท่ีมีผลตามมาคือ ชาวโลกไดร้ ู้จกั พระพทุ ธศาสนามากขนึ้ และมีบุคคลผู้มีช่อื เสยี งหลายท่านหนั มานับถือพระพทุ ธศาสนา ตันตรยานแบบทเิ บต ในชว่ งปลายเดอื นกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีงานใหญ่เฉลิมฉลองในกลุ่มชาวทิเบต ท่เี มืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ในชว่ งเวลานน้ั จะมบี ุคคลผ้มู ีชอ่ื เสียงจากทกุ มุมโลกเดินทางมาร่วม งาน และเขาเหล่านั้นจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวทิเบต ท่ีมีวิถีชีวิตผูกพันกับพระพุทธศาสนา ชนิดท่ี เรียกว่า “ศาสนาคือชีวิต ชีวิตคือศาสนา” และชาวทิเบตจะมีความผูกพันกับองค์ทะไลลามะเป็น อย่างมากมาก เพราะพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งชาติทิเบตท้ังมวล นั่นคือ ความงามของประเทศ ความบริสุทธ์ขิ องแม่น้าและทะเลสาบ ความสุกสกาวของท้องฟา้ ความหนักแนน่ ของขุนเขาและความ เข้มแข็งของประชาชนชาวทิเบต ด้วยเหตุผลท่ีว่า พระองค์มีบทบาทอย่างสาคัญในการสร้างสันติภาพ และเรียกรอ้ งอสิ รภาพตอ่ องคก์ ารสหประชาชาติ และผู้นาประเทศต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จไปเยือน ทรง มีผลงานอเนกประการ ซึ่งมีประโยชน์เก้ือกูลแก่ชาวโลก และผลงานเหล่าน้ันล้วนเป็นท่ีประจักษ์แจ้ง เช่น ด้านสันติภาพ ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ปัจจุบันองค์ทะไลลามะ จงึ นบั เป็นผู้นาคนหน่ึงของโลกทีไ่ ด้รบั การกล่าวถึงจากประชาคมโลก
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 168 แบบฝกึ หดั บทที่ 7 1. ให้อธบิ ายความหมายองค์ดาไลลามะ 2. ให้อธบิ ายความสาคญั ขององคด์ าไลลามะ 3. ต้ังแตอ่ ดตี จนถึงปัจจุบันองคด์ าไลลามะ มีก่ีพระองค์ 4. ให้อธิบายสถานภาพและบทบาทขององคด์ าไลลามะ เลอื กอธิบายมา 3 พระองค์ 5. นักศึกษาสามารถนาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาบทบาทขององคด์ าไลลามะมาประยุกต์ใช้ กับการดาเนินชวี ติ ได้อยา่ งไร
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 169 เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ 7 ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ษัฏเสน. (2538). อัตชีวประวัติขององค์ทะไลลามะ อิสรภาพในการล้ีภัย. (พิมพ์คร้งั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: ประพนั ธส์ าส์น. ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์. (2542). สถานภาพและบทบาทของดาไลลามะ. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 22(1). มถิ ุนายน-พฤศจกิ ายน. ธวัชชัย ขาชะยันจะ, (2564) ดาไลลามะองค์ที่ 14 แห่งทิเบต จาอดีตชาติได้. สืบค้นข้อมูลเมื่อ 1 พฤษภาคม 2564, จาก https://sites.google.com/site/thaireincarnation/foreign- cases/sri-langka/xngkh-da-lila-ma. รุ่งเพชร ติกฺขวชโิ ร, พระมหา. (2551). ทะไลลามะ ผูน้ าทีไ่ ม่เคยส้ินหวัง ฉบับรักชาติยง่ิ ชพี . กรุงเทพฯ: ศนู ยไ์ ทย-ทเิ บต.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 8 บทท่ี 8 นกั คดิ ของพระพุทธศาสนามหายาน เนือ้ หาประจาบท 1. บทนำ 2. ดร.ด.ี ท.ี ซซู กู ิ (D.T. Suzuki) 3. ตชิ นทั ฮนั ห์ หรือ พระภกิ ษุทกิ เญติ้ หัญ่ 4. บทสรุป แบบฝกึ หัดบทท่ี 8 เอกสำรอำ้ งองิ ประจำบทที่ 8 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นักศกึ ษำได้เรียนและเข้ำใจนักคดิ ของพระพุทธศำสนำมหำยำน เชน่ ดร.ดี.ที.ซูซูกิ, พระติช นัท ฮนั ธ์ เปน็ ต้น 2. นกั ศึกษำมกี ำรเสรมิ ทักษะด้ำนควำมรู้ควำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปจั จบุ ัน 3. นกั ศึกษำใชห้ ลกั กำรตำมพระพุทธศำสนำมหำยำนเป็นเครื่องมือในกำรเรียนรแู้ ละวเิ ครำะห์ สถำนกำรณท์ ี่เกดิ ข้นึ ในสงั คมได้ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรียบเรียงเนื้อหำสำคัญ ๆ นำขอ้ มูลที่ได้มำถ่ำยทอดเนื้อหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชัน้ เรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเนื้อหำ/ฝึกตั้งคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในช้ัน เรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเน้ือหำที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมุด และเว็บไซต์/ทำแบบฝึกหดั ท้ำยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เปน็ ต้น การวัดผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำชั้นเรียน กำรส่ง งำนท่ีมอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมท้ังในและนอกหอ้ งเรียน 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เนื้อหำ และนำเสนอผล
171 กำรศกึ ษำค้นควำ้ มำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขยี นรำยงำนและนำเสนอในช้ันเรยี นด้วยกำรใช้ เครอ่ื งมือหรอื โปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เป็นต้น 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชงิ ตวั เลข กำรสอ่ื สำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใชแ้ บบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคดิ เห็น กำรถำม-ตอบ กำรวเิ ครำะหเ์ นอื้ หำที่เรยี น กำรสรปุ เนื้อหำ กำรนำเสนอในชั้นเรียน และกำรส่งงำนใน Google Classroom
บทที่ 8 นกั คิดของพระพุทธศาสนามหายาน 1. บทนา นิกายมหายาน เป็นนิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนาท่ีมีผู้นับถือและประพฤติปฏิบัติตาม หลักธรรมคาสอนมากมายกระจายอยู่ท่ัวโลก และมีนิกายย่อยแยกออกไปตามแนวคิดคาสอนของ อาจารย์แต่ละสานัก ท้ังยังมีนักคิดที่ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติตามและเผยแผ่หลักคาสอนให้คนท่ัวไปได้รู้ และปฏิบัติตามอยู่เป็นจานวนมาก ซ่ึงแต่ละท่านก็จะเป็นผู้ท่ีเชี่ยวชาญเข้าใจหลักธรรมตามแนวทาง นิกายของตนเองอย่างลึกซ้ึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การศึกษาเกี่ยวกับนักคิดของพระพุทธศาสนา มหายานในบทนี้ก็จะได้ศึกษาเรียนรู้นักคิดที่สาคัญท่ีมีบทบาทและทาให้คนได้รู้จักพระพุทธศาสนา มหายานในวงกว้าง โดยเฉพาะประเทศในโลกตะตกทั้งทวีปยุโรป อเมริกา อย่างเชน่ ดร.ดี.ที.ซูซูกิ นัก คิดชาวญี่ปุ่นท่ีมีชื่อในพระพุทธศาสนานิกายเซน และเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเซนไปสู่โลก ตะวันตก ตลอดจนพระภิกษุชาวเวียดนามท่ีได้นาหลักคาสอนมาปฏิบัติให้เรียบง่ายแก่การเข้าถึงและ อยู่ในชีวิตประจาวัน มีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วเผยแผ่สู่สาธารณะทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ทาให้คนได้รู้จักพระพุทธศาสนานิกายเซนตามแนวทางของท่าน คือ พระติช นัท ฮันห์ หรือ หลวงปู่ ตชิ นทั ฮนั ห์ ซึ่งไดช้ ือ่ วา่ เป็นบดิ าแหง่ การต่ืนรู้ 2. ดร.ดี.ที. ซูซกู ิ (D.T. Suzuki) 2.1 ชีวประวัติ ไดเซทสึ ไททาโร ซูซุกิ เกดิ เม่ือวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1870 (พ.ศ. 2413) เสียชีวติ เมื่อ วันท่ี 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1966 (พ.ศ. 2509) อายุ 95 ปี เป็นชาวญี่ปุ่น เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นัก ปฏิบัติท่ีมีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนานิกายเซน เป็นผู้แปลวรรณกรรมภาษาจีน ญี่ปุ่นและสันสกฤต หลายเล่ม ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้นาและเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเซนจากโลกตะวันออกสู่ โลกตะวันตก ไดเซทสึ ไททาโร ซูซูกิ เกิดท่ีจังหวัดคานาซาวะ อิชิกาวา ประเทศญ่ีปุ่น เป็นบุตรคนเล็ก (คนที่ 5) บิดาเป็นหมอ อยใู่ นตระกูลซามูไรและเสียชีวิตเม่ือซูซกุ ิ มีอายุไดเ้ พยี ง 6 ขวบ ด้านการศกึ ษา เก่ียวกับพระพุทธศาสนา ไดเซทสึ ไททาโร ซูซูกิ สนใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญาเป็นอย่างมาก เค้าพยายามสนทนาธรรมกับพระนักบวชในพระพุทธศาสนานิกายเซน ชอบฟงั อ่านเร่ืองเล่านิทานเซน ต่าง ๆ นอกจากน้ี เค้าเองได้รู้จักพระอาจารย์โกะเซน อิมากิตะ ซึ่งเป็นพระท่ีมีช่ือเสียง ท่านเป็นแรง บันดาลใจในการศกึ ษาค้นควา้ หาความรจู้ ากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานกิ ายเซน หลังจากมารดาเสียชีวิต ซึ่งขณะนั้น ซูซูกิ มีอายุได้เพียง 20 ปี พ่ีชายซึ่งเป็นทนายความ ได้ส่งไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ที่โตเกียว ซูซูกิ เลือกพักใกล้วัดกามากะ เพ่ือศึกษาธรรมะ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 173 กับ พระอาจารย์ชากุ โซเอน (Shaku Soen) พระเซนที่มีช่ือเสียง ซูซูกิ ได้รับการฝึกปฏิบัติตาม แนวทางเซน การส่อื สารภายในตน การสือ่ โดยปราศการพดู การนั่งสมาธทิ ี่ยาวนาน (Zazen) เป็นการ ฝกึ ปฏบิ ัตอิ ย่างมุ่งม่นั อุตสาหะอย่างหนักในระยะเวลา 4 ปี เก่ียวกบั จิต กาย ศีล ธรรม และสติปัญญา ซ่ึงในช่วงน้ันซูซูกิใช้ชีวิตเป็นพระเซน ซูซูกิได้เขียนเล่าประสบการณ์การเป็นพระเซนไว้ในหนังสือ “The Training of the Zen Buddhist Monk” ค.ศ. 1890 อาจารยช์ ากุ โซเอน ไดเ้ ชญิ ซูซกู ิ เดนิ ทางไปอเมริกาเพื่อทาหน้าท่ีแปลหนงั สือ ของอาจารย์ชากุ โซเอน เป็นภาษาอังกฤษ และได้ใช้โอกาสนี้แปลบทความโบราณของชาวเอเชียเป็น ภาษา อังกฤษอีกด้วย เช่น Awakening of Faith in the Mahayana เป็นต้น บทบาทในการเป็นนัก แปลน่เี องเป็นจุดเร่ิมต้นของอาชพี เปน็ นกั เขยี นในเวลาต่อมา นอกจากภาษาญ่ีปุ่นแล้ว ซูซุกิ ยังสามารถพูดและเขียนได้หลายภาษา เช่น ภาษาบาลี สนั สกฤต ภาษาจีน เยอรมนั ฝร่งั เศส และองั กฤษ ค.ศ. 1893 พระอาจารย์ชากุ โซเอน ไดเ้ ขา้ ร่วมประชมุ สภาศาสนาแห่งโลก พร้อมพาซูซูกิ เดินทางไปด้วย ดร.พอล คาร์ลอส (Dr.Paul Carus) นักวิชาการชาวเยอรมัน ซ่ึงพักอยู่ท่ีลาซาล รัฐอิลิ นอยส์(Lasalle, Illinois) ได้เสนอให้แปล และตีพิมพ์ วรรณกรรมชาวตะวันออกเผยแผ่สู่ประเทศ ตะวันตก พระอาจารย์ชากุ โซเอน ได้มอบหมายให้ซูซุกิรับงาน ซูซุกิ อาศัยและทางานที่บ้านของ ดร. พอล คารล์ อส งานชิน้ แรกท่แี ปลคือคมั ภีรโ์ บราณจีน เตา๋ เต๋ กิง จากภาษาจีนเปน็ ภาษาอังกฤษ ค.ศ. 1907 ในระหว่างท่ีทางานในสหรัฐอเมริกาน้ัน ซูซุกิยังได้เดินทางเพื่อร่วมประชุม และบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามหายานในหลายประเทศในยุโรป และได้เขียนหนังสือ Outlines of Mahayana Buddhism ซึง่ เปน็ หนงั สอื เลม่ แรกของซูซูกิอีกด้วย ค.ศ.1909 เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น เพื่อทาหน้าที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ท่ี มหาวทิ ยาลยั Peer’s School (ปัจจุบนั คอื Gakushuin University) ค.ศ. 1911 ซูซุกิ สมรสกับ Beatrice Erskine Lane ซ่ึงเป็นนักวิชาการเทววิทยา ท้ัง 2 ทางานร่วมกันท่ีสมาคมเทววิทยา ณ สถาบัน Theosophical Society Adyar (สมาคมเทวปรัชญาใน ยโุ รปและอเมรกิ ามีวัตถปุ ระสงค์เพื่อรวมศาสนาโดยถือหลักตามศาสนาพราหมณ์ และพระพทุ ธศาสนา เขา้ ด้วยกัน) ซซู ูกิรับหน้าที่เป็นนักปรัชญาพุทธศาสนาเผยแผ่พระพทุ ธศาสนามหายาน จนกระท่งั ค.ศ. 1939 ภรรยาไดเ้ สยี ชีวิต ค.ศ. 1921 รับตาแหน่งเป็นศาสตราจารย์ ประจามหาวิทยาลัยโอตานิ (Otani University) และในปีน้ีเอง ซูซุกิและภรรยา ไดก้ อ่ ต้ังสมาคม “Eastern Buddhist Society” ซึ่งมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ถ่ายทอดความรู้จัดประชุมสัมมนาเก่ียวกับพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และจัดพิมพ์วารสาร The Eastern Buddhist เพ่ือเผยแผ่ไปยังประเทศตะวันตก โดยส่งวารสารไปยังสภาศาสนาโลก ประจา สหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 1936) และมหาวิทยาลัยลอนดอน ซูซุกิ นอกจากนี้ได้สร้างผลเก่ียวกับพุทธ ศาสนา โดยเฉพาะ Studies in Zen Buddhism (1927-1934) ซูซกุ ิยังได้เขียนเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนามหายานนิกายสขุ าวดี (Pure Land Buddhism) โดยเฉพาะลัทธิชิน หรือ โจโด ชินชู (Shin Buddhism : Jodo Shinshu) และแปลหนังสือเก่ียวกับ นิกายสุขาวดีอกี ดว้ ย นอกจากน้ันยังมีความสนใจวัฒนธรรมศาสนาของจีนเป็นพิเศษ ผลงานเขียนและ
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 174 แปลหนังสือหลายเล่มนี้ แสดงให้เห็นถึงความสนใจ และใช้ตวั อกั ษร การสอนเซนตามแบบจีน (Chan) ดงั นัน้ จงึ ไดร้ ับบทบาทสาคญั ในการออกแบบขอ้ สอบเกยี่ วกบั นิกายเซนในประเทศจีน นอกจากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสอนเก่ียวกับการปฏิบัติตามแนวทางเซนและประวัติ พุทธศาสนานิกายเซนแล้ว ซูซุกิยังได้รับการกล่าวยกย่องว่าเป็นผู้มีประสบการณ์และเข้าถึงเซน (Satori) อกี ด้วย ค.ศ. 1951 ซูซุกิ ใช้เวลาส่วนใหญใ่ นการเดนิ ทางบรรยายตามมหาวิทยาลยั ตา่ ง ๆ ทั่ว สหรัฐอเมริกา และสอนประจาท่ีมหาวิทยาลัยโคลัมเบียใน ค.ศ. 1952-1957 ซูซุกิเสียชีวิตใน ค.ศ. 1966 (http://mcuubu.wordpress.com/2013/03/08/d-t-suzuki) 2.2 ผลงานเขียนต่าง ๆ 1) ผลงานหนงั แปล (1) Toa Te ching (2) Mahayana Buddhism outlook of Zen Tradition (3) The Gospel of Buddha (Carus) (4) Introduction of Gospel of Buddha (Shoen) (5) Heaven and Hell (Emanual Swedenborg) (แปลเปน็ ญ่ีปุ่น) 2) ผลงานเขยี น (1) An Introduction to Zen Buddhism (2) The Training of the Zen Buddhist Monk (3) Awakening of Faith in the Mahayana in 1907 (4) Essays in Zen Buddhism Vol.1 1927 (5) Essays in Zen Buddhism Vol.2 1933 (6) Essays in Zen Buddhism Vol.3 1934 (7) The Eastern of Buddhist (8) The Spirit of Zen (9) An Introduction of Zen Buddhism, 1934 (10) Zen and Japanese Culture, 1959 (11) Studies in Zen Buddhism (12) Manual of Zen Buddhism (13) Outline of Mahayana Buddhism, 1907 (14) The Zen Doctrine of No-mind, 1949 (15) Living by Zen, 1949 (16) Christian and Buddhist: The Eastern and Western Way, 1957 2.3 ตาแหนง่ และหน้าท่ี 1) เปน็ ศาสตราจารย์ ด้านปรัชญาพทุ ธศาสนา ท่ี Otani University 2) เปน็ อาจารย์ท่มี หาวทิ ยาลยั โคลมั เบีย 1952-1957 3) เป็นอาจารย์สอนวิชา Seminars on Zen at Columbia University 4) เป็นผู้กอ่ ตง้ั สมาคม Eastern Buddhist Society
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 175 5) เป็นผู้จัดทาข้อสอบพระพทุ ธศาสนา นกิ ายเซน (ประเทศจนี ) 6) เป็นผู้แสดงปาฐกถา ท่วั มหาวทิ ยาลยั ที่สหรัฐอเมริกา 1951 7) เปน็ ผู้แสดงปาฐกถา ที่ Gakushu University 8) เป็นผแู้ สดงปาฐกถา ท่ี Tokyo Imperial University. 9) ได้รับการตงั้ ชอ่ื วา่ Kegon จากชาวญีป่ ุ่น เนือ่ งจากเป็นผู้ชานาญในเร่ืองวธิ ปี ฏิบัติ และ ประวตั ิพระพุทธศาสนานกิ ายเซน 10) ไดร้ บั เกียรตแิ สดงปาฐกถาท่ปี ระชมุ ศาสนาโลก World Congress of Faith 11) ได้รับเกียรติไปร่วมประชุม ที่ Honolulu เร่ือง “Second East-West Philosophers’ Conference” 12) ได้รบั เกียรตไิ ปแสดงปาฐกถา ทีม่ หาวิทยาลัย Cambridge สหรฐั อเมริกา 13) ได้รับเกยี รตไิ ปแสดงปาฐกถา ทมี่ หาวทิ ยาลัย Massachusettes สหรฐั อเมรกิ า 14) รางวลั เกยี รติยศที่ได้รับ Japan’s National Culture Medal 2.4 แนวคดิ สาคัญเกยี่ วกบั เซน ของ ดร.ดี.ท.ี ซูซกู ิ (D.T.Suzuki) ซูซูกิได้แสดงแนวคิด และประสบการณ์ที่มีต่อเซนไว้ในหนังสือที่เขียน และการบรรยาย ตามสถานที่ต่าง ๆ เพ่ือถ่ายทอดเผยแผ่ต่อชาวโลกตามโอกาส ก่อนจะแสดงถึงข้อความสาคัญของ แนวคิดสาคัญของท่าน ซูซุกิ ผู้จัดทารายงานจึงขอสรุปหลักการของเซนไว้พอสังเขป เพื่อให้ผู้อ่านได้ เขา้ ใจแนวคิดท่ีมีต่อเซน และภาวะซาโตริ (Satori) ซึ่งถอื เป็นภาวะสูงสุดทผี่ ู้ปฏิบัติเซนปรารถนาจะให้ เกดิ ขึน้ แกต่ น 1) หลักการของเซน มุ่งให้มนุษย์มองย้อนเข้าไปในธรรมชาติแท้ของตนเอง จนเห็นว่า ตนเองมีพุทธภาวะอยู่ภายในแล้วเกิดความเพียรพยายามท่ีจะเข้าถึงพุทธภาวะดังกล่าว บรรลุถึงพุทธ ภูมิอันเป็นจุดเริ่มตน้ ของตวั เขาเอง (และของสรรพสัตว์ทุกถว้ นหน้า) ด้วยเหตนุ ี้ พระพุทธศาสนานิกาย เซนจึงมหี ลกั การพนื้ ฐานทส่ี าคญั ซง่ึ พอจะสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้ (1) การถ่ายทอดคาสอนนอกคมั ภรี ์ (2) ไมย่ ึดมน่ั ถอ้ ยคาและตัวอักษร (3) ชีต้ รงไปยงั จิตวิญญาณของมนุษย์ (4) มองยอ้ นเข้าไปในธรรมชาตแิ ทข้ องตนเองและบรรลุพุทธภาวะที่อยภู่ ายใน เม่ือเซนระบบใหญ่มีทัศนะเช่นนี้จุดหมายแห่งการดาเนินชีวิตในรูปแบบของเซนจึง ได้แก่ การบรรลุ ซาโตริ (Satori) หรือภาวะรแู้ จ้ง ซ่ึงเป็นภาวะทบี่ ุคคลสามารถทาลาย อวิชชา ตัณหา อุปาทานแล้วกลับเข้าสู่พุทธภาวะ (โพธิ) ซึ่งเป็นภาวะบริสุทธ์ิที่มีอยู่แล้วในแต่ละคน คือ การบรรลุถึง ธรรมชาติแท้ของตนน่ันเอง แตห่ ากพูดตามภาษาของเซนแล้วก็อาจจะพูดได้ว่า ไม่มีการบรรลุถงึ อะไร เลย เพราะว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วภาวะท่ีคน้ พบหรือบรรลุถึงนั้น ก็ไม่ใช่ของใหม่หรือของภายนอกแต่อย่าง ใด หากแตเ่ ปน็ ของเดิม ๆ ที่มอี ยูภ่ ายในนัน่ เอง ดงั เช่นที่ อาจารยฮ์ วงโป กลา่ ววา่ “เมอ่ื รูแ้ จ้งโพธแิ ลว้ จติ ของเธอซึง่ เป็นพุทธะอย่แู ล้ว ก็จะถูกรู้แจ้งด้วย การกระทาทุกอย่างตลอดกาลอันยาวนานก็จะถูกพบว่าเป็นเพียงแค่แบบฝึกฝน เท่าน้ัน เปรียบเหมือนคนแข็งแรงที่พบก้อนเพชรซึ่งอยู่ที่หน้าผากของตนเองแล้ว ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไรท่ี
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 176 จะต้องทาเกี่ยวกับความเพียรพยายามท่ีจะค้นหาในภายนอกแต่อย่างใด ดังนั้น พระพทุ ธองค์จึงตรสั ว่า ในการบรรลถุ ึงความรแู้ จง้ นน้ั เรา (ตถาคต) ไม่ได้มอี ะไรท่ีบรรลุถึงเลย” แม้ในภาษาเซนจะบอกว่า ไม่มีการบรรลุถึงอะไรเลยก็จริง แต่หากใช้ภาษาธรรมดา ทวั่ ไปแลว้ การที่บุคคลสามารถขจัดอวชิ ชา ตัณหา อุปาทาน จนรแู้ จง้ พุทธภาวะภายในตนเองได้เช่นนี้ ก็น่าจะเรียกว่าเป็นการบรรลุธรรมได้เหมือนกัน ด้วยเหตุน้ีเอง นักวิชาการในนิกายเซนรุ่นหลัง ๆ จึง นยิ มใชศ้ ัพท์วา่ ซาโตริ (Satori) เปน็ ชื่อแทนภาวะรูแ้ จ้ง (หรือพทุ ธภาวะ) ดงั นั้น เมื่อกล่าวถึงการบรรลุ ธรรมในนกิ ายเซน ก็หมายถึง การบรรลซุ าโตรินัน่ เอง 2) ซาโตริ (Satori) เป็นคาในภาษาญี่ปุ่น มีรูปกิริยาในภาษาญ่ีปุ่น ซาโตรุ (Satoru : รู้ แจ้ง) ซึ่งตรงกับคาในภาษาจีนว่า หวู่ (Wu) เราอาจให้คาจากัดความซาโตริได้ว่า เป็นการมองเข้าไปรู้ แจ้งภายในอยา่ งฉบั พลนั (intuitive looking-into) ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกบั ความรู้ความเข้าใจทเ่ี กิด เพราะกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการทางตรรกะ แต่ไม่ว่าจะนิยามอย่างไร ซาโตริก็ยังคง หมายถึงการตีแผ่เปิดเผยโลกทัศน์ใหม่ที่ไม่สามารถจะรับรู้ได้ด้วยจิตใจที่ยังสับสนในทวิทัศน์ (a dualistic mind) ซาโตริเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับการดารงอยู่ของเซนซ่ึงจะขาดเสียไม่ได้ เพราะหาก ปราศจากซาโตรเิ สยี แล้ว ก็ยอ่ มจะไมม่ ีเซน เพราะชีวติ ของเซนเริม่ ตน้ ดว้ ยการเปดิ เผยของซาโตริ พจนานุกรมเซน ได้อธิบายความหมายของซาโตริไว้ว่า “ซาโตริ ตามรูปศัพท์ หมายถึง การรู้อย่างแจ่มแจ้งหรือการตรัสรู้ แต่ใน เซน หมายถึง ภาวะแห่งการสานึกรู้ถึงพุทธจิต เป็นการสานึกรู้ ถึงจิตสานึกท่ีบริสุทธิ์หมดจดอยู่แล้วด้วยตัวของมันเองโดยปราศจากสิ่งใดๆ (ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองทางจิตใจ หรือทางร่างกายก็ตาม) ศัพท์ว่า ซาโตริ นี้มีชื่อเรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ปรัชญา-Prajna’ ประสบการณ์ใด ๆ ที่สามารถถูกอธิบายกาหนดลักษณะได้ด้วยใจหรืออารมณ์ ประสบการณ์น้ัน ๆ ก็ไม่จัดเป็นซาโตริตาม ความหมายข้างต้น แม้ว่าบางคร้ังคาพูดจะถูกใช้อย่างคร่าว ๆ เพ่ือไปบ่งถึงภาวะท่ีจิตใจและอารมณ์เป็น ของฟูเฟ่ืองสูงสุดและรู้สึกท่วมท้นท่ีได้สานึกถึงธรรมชาตแิ ห่งการหยั่งรูฉ้ ับพลัน ในนิกายเซนทว่ั ไป ซาโตริ จะมีความหมายอย่างชัดเจนคือเป็นการมองเข้าไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองแล้วค้นพบบางส่ิงซ่ึง แปลกใหม่อันจะรู้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งและสิ่งนั้นก็จะส่องประกายให้ชีวิตทั้งหมดของเขาแจ่มกระจ่าง สว่างไสวไปตลอด แตถ่ ึงกระนั้นมนั ก็ไม่อาจถูกแสดงออกมาได้ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ดี อาจ กล่าวได้ว่า การหยั่งรู้อย่างฉับพลันอาจชี้บ่งถึงประสบการณ์แห่งซาโตริซึ่งมีอยู่ภายใน ซ่ึงได้ส่องประกาย ของมันเข้าไปสู่จิต แต่ก็ไม่อาจจะสังเกตเห็นได้โดยง่าย แต่สาหรับผู้ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังเมื่อซาโตริ ปรากฏขนึ้ มา มนั กจ็ ะสง่ ผลไปอย่างตรงด่ิงและดาเนินเร่ือยไปอย่างไม่ถดถอย” ซซู ุกิ ได้พยายามใช้ภาษาอธบิ ายถึงภาวะและความสาคญั ของซาโตริ ซ่ึงพอจะสรุปได้ดังนี้ 1) ซาโตริ ไม่ใช่ภาวะแห่งการครุ่นคิดถึงมันอย่างเอาจริงเอาจังแล้วสร้างมโนภาพ เก่ียวกับมันข้ึนมาโดยไม่ผ่านการลงมือปฏิบัติ เพราะก่อนที่การสานึกรู้จะเปิดเผยตัวออกมา เราก็ได้ ตอบสนองต่อเงื่อนไขทั้งภายในและภายนอกด้วยการนึกคิดปรุงแต่งและวิเคราะห์วิจารณ์อยู่ ตลอดเวลา หลักการแห่งเซนก็คือการทาลายกรอบแห่งความเคยชนิ เช่นนั้น แล้วสร้างเค้าโครงเดิมท่ีมี อยู่ก่อนแล้วกลับข้ึนมาใหม่บนพื้นฐานที่แปลกใหม่ออกไป ฉะนั้นในพระพุทธศาสนานิกายเซนจึงไม่มี การคิดคานงึ ถึงข้อความที่เป็นสัญลักษณ์ซงึ่ มีลกั ษณะทางอภปิ รัชญาซึ่งจะสรา้ งการสานึกรทู้ ี่มีลกั ษณะ สมั พทั ธเ์ ทา่ นัน้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 177 2) ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ได้บรรลุซาโตริเสียแล้ว ก็ไม่สามารถจะเข้าไปสู่ความจริงแห่งเซนได้ ซาโตริจงึ เป็นการเปลง่ ประกายอย่างฉบั พลนั เข้าไปสู่การสานึกรู้ถึงความจรงิ ใหม่ ๆ ท่ีไม่เคยคาดฝนั มา ก่อน มันเป็นอาการแตกกระจายทางใจอย่างหนึ่ง (a sort of mental catastrophe) ที่เกิดขึ้นอย่าง ฉบั พลันหลังจากทีผ่ ูป้ ฏบิ ัติไดเ้ พียรพยายามใช้กระบวนการทางปัญญาและการแปลความหมายเข้าโหม กระหน่า (เพ่ือแก้ปัญหาโกอัน) อย่างเต็มท่ี เป็นภาวะทางธรรมชาติที่คลี่คลายออกมาหลังจากถูกอัด ทับถมไปด้วยทฤษฎีและการใชเ้ หตุผลต่าง ๆ นานา 3) ซาโตริเป็นเหตุผลเดิมแท้ (raison d’etre) ของเซน ซึ่งหากปราศจากมันเสียแล้ว เซนก็จะไม่ใช่เซนอกี ต่อไป “เซนที่ไร้ซาโตรกิ ็เหมือนกับพริกท่ีไร้รสเผ็ดนั่นเอง” เพราะฉะนั้น อุบายวิธี หรือข้อวัตรปฏิบัติและหลักธรรมทุกอย่างจึงมุ่งตรงต่อซาโตริเหมือนกันหมด อาจารย์ผู้อบรมจะไม่รอ ใหซ้ าโตริเกิดขึ้นมาเอง แต่จะพยายามใชว้ ิธกี ารที่เหมาะสมมาช่วยศิษย์ เป็นการจัดเงื่อนไขทีเ่ หมาะสม ซง่ึ จะช่วยใหซ้ าโตริไดป้ รากฏข้ึนมา แต่เง่อื นไขดังกลา่ วจะไม่เก่ยี วกบั การถกเถียงปัญหาทางอภิปรัชญา หรอื การใช้มโนทัศนส์ รา้ งจินตภาพขึน้ แก่ศิษย์แตอ่ ย่างใด เพราะหากทาเช่นน้ัน บรรดาศษิ ยก์ ็ย่งิ จะหลง ทางหนักเข้าไปอีก ซาโตริจึงอยู่เหนือการศึกษาเล่าเรียนพระสูตร และอยู่เหนือการอภิปรายพระสูตร ด้วยแงม่ ุมทางวชิ าการ เป็นภาวะทเี่ ปน็ อันหนึ่งอนั เดยี วกนั กบั เซนโดยแท้ 4) การเน้นซาโตริเช่นน้ีทาให้เซนมีลักษณะท่ีแตกต่างออกไปจาก “ธฺยาน” อย่างเห็น ได้ชัดทีเดียว เซนไม่ใช่ระบบของธฺยาน (Dhyana) ที่พุทธศาสนานิกายอ่ืนๆ นิยมปฏิบัติกันในประเทศ อินเดียและในประเทศจีน เพราะจุดมุ่งหมายของธฺยาน คือ ความสงบน่ิงแห่งจิตที่จดจ่ออยกู่ ับอารมณ์ ใดอารมณ์หน่ึงอย่างแน่วแน่ (ที่เรียกชื่อว่า การอยู่ในฌาน -trance- ) ซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดในตัวเอง แต่ในนิกายเซนจะต้องมซี าโตริ คือมีการเปล่ียนแปลงขนานใหญ่ภายในจติ ใจซึง่ ได้ทาลายกระบวนการ ส่ังสมทางปัญญา (the accumulations of intellection) ท่ีคุ้นชินอยู่ตามปกติวิสัย แล้วสร้างฐาน ชวี ิตใหม่แก่ตนเอง ซึ่งในระบบธฺยานจะไม่มกี ารเปลี่ยนแปลงท่าทเี ชน่ นี้ มีเพยี งการฝกึ จิตให้สงบน่งิ แน่ว แน่เท่านน้ั 5) ซาโตริไม่ใช่การเห็นพระเจ้า เพราะในเซนจะไม่มีมโนทัศน์เร่ืองพระเจ้าแต่อย่างใด เซนดาเนินไปด้วยตัวของมันเอง ไม่อิงอาศัยการสนับสนุนช่วยเหลือจากพระผู้สร้าง (ในกรณีท่ีมีพระ ผู้สร้าง) เมื่อมนุษย์เข้าใจเหตุผลแห่งการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็เป็นการเพียงพอแล้วสาหรับเขา เพราะ ณ ที่ใดท่ีเราเขา้ ใจพระผู้เป็นเจ้าซ่ึงเปน็ ความเร้นลับ ณ ท่ีนั้นก็ถือวา่ มีการเข้าใจต่อส่ิงที่จากดั (ซึ่งไม่ใช่ ลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าผู้ไม่ทรงมีข้อจากัดใด ๆ) เมื่อเรามีพระเจ้า ส่ิงที่ไม่ใช่พระเจ้าก็จะอยู่แยก ตา่ งหากออกไป กลายเป็นการจากัดตัวเองไปโดยปรยิ าย (กลายเป็นวา่ มีส่ิงที่ย่ิงใหญ่ดารงอยพู่ ร้อมกัน ในขณะเดียวกัน 2 สิ่ง คือ ส่ิงท่ีเป็นพระเจ้ากบั ส่ิงที่ไม่ใชพ่ ระเจ้า ซึ่งเป็นเร่ืองที่ไม่อาจจะยอมรับกันได้) เซนประสงค์จะให้เกิดอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งสามารถเป็นอิสระจากพระเจ้าได้ เซนไม่ ตอ้ งการใหศ้ าสนิกไปยึดตดิ กับพระผ้เู ป็นเจา้ หรือส่ิงศักด์ิสิทธิใ์ ด ๆ ที่ถอื กันวา่ สูงสง่ หากแตป่ ระสงคใ์ ห้ เขาดารงอยู่อย่างอสิ ระ ปราศจากอัตตาที่ม่งุ แสวงหาแหล่งยึดติด และอัตตาท่ีจะเป็นแหล่งยึดติดใด ๆ ท้งั สิ้น ดงั คากล่าวอยา่ งทระนงทว่ี า่ “จงลา้ งปากของเจ้าเสีย เมอื่ เจ้ากล่าวคาวา่ พทุ ธะ” 6) ซาโตริไม่ใช่ภาวะแปลกประหลาดในจิตใจ (ซ่ึงเป็นประเด็นปัญหาสาคัญในสาขา จิตวทิ ยาอปกติ (Abnormal Psychology) หากแต่เป็นภาวะปกติที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมในจิตใจ แต่เมื่อ เซนบอกว่าซาโตริหมายถึงความเปล่ียนแปลงครั้งย่ิงใหญ่ภายในจิตใจดังท่ีผ่านมาน้ัน หลายคนอาจ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 178 สงสัยว่ามนั เป็นความผดิ ปกติทางจิตใจทแ่ี ตกตา่ งไปจากผู้คนทว่ั ๆ ไปกระมัง ข้อสงสัยน้เี ราอาจตอบได้ ด้วยคากล่าวของท่านโจชู (Joshu) ที่วา่ “เซนก็คือความคิดในทุก ๆ วนั ของคุณน่ันเอง” เมอื่ เราเข้าถึง เซนอย่างแท้จริงแล้ว เราจะเป็นคนสมบูรณ์และเป็นปกติอย่างท่ีสุด ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ประสบกับ ส่ิงต่าง ๆ ด้วยท่าทีใหม่ ๆ อีกด้วย ความคิดของเราจะดาเนินไปแตกต่างจากแต่ก่อน คือจะรู้สึกสบาย ใจ สขุ สงบมากข้นึ กว่าเดมิ และมคี วามสดชืน่ แจ่มใสมากกว่าท่ีเคยประสบมาก่อนหน้าน้ี ลีลาแห่งชวี ติ ก็ จะแปรเปลี่ยนไป บางส่ิงจะกลับดูสดใสฟ้ืนคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิก็ดูสดสวยข้ึน กว่าเดิม ลาธารแห่งขุนเขาก็ดูมีสีสันและสดใสสบายตามากข้ึน เมื่อชีวิตท่ีบรรลุซาโตริกลายเป็นส่ิงที่ สามารถสร้างความสุขสดช่ืนได้มากกว่าเดิมและแผ่ขยายขอบเขตไปครอบคลุมท่ัวทั้งจักรวาลได้เช่นนี้ ก็น่าจะต้องมีอะไรบางอย่างในซาโตริที่มีคุณค่าสูงส่งพอที่จะทาให้เราเพียรพยายามเสาะแสวงหา เพ่อื ที่จะไดบ้ รรลถุ ึงมนั อยา่ งแนน่ อน (http://mcuubu.wordpress.com/2013/03/08/d-t-suzuki) 3. ติช นัท ฮนั ห์ หรือ พระภกิ ษทุ ิก เญ้ติ หัญ่ พระติช นัท ฮันห์ หรือ ทิก เญ้ิต ห่ัญ (เวียดนาม : Thích Nhất Hạnh) เป็นพระภิกษุชาว เวียดนามในพุทธศาสนานิกายเซน ชื่อ ทิก เญ้ิต ห่ัญ เป็นฉายาในทางศาสนา โดยคาวา่ “ทิก” เป็นคา ใช้เรียกพระ ส่วน “เญิ้ต ห่ัญ” เป็นนามทางธรรมที่มีความหมายว่า “การกระทาเพียงหน่ึง (One Action)” ท่านเป็นพระมหาเถระนิกายเซน กวี และผู้สนับสนุนในเร่ืองสันติภาพ มีงานเขียนเผยแผ่ ตีพิ มพ์ ภ าษ าต่าง ๆ มากมาย และเป็ นท่ี รู้จักกัน ดีใน ห มู่นั กป ฏิ บั ติธรรมช าวตะวัน ตก (https://th.wikipedia.org/wiki/ทิก_เญิ้ต_หญ่ั ) 3.1 ชวี ประวัติ ติช นัท ฮันห์ หรือ ทิก เญิ้ต หั่ญ เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดกว๋างจิ ในภาคกลางของประเทศเวียดนาม ท่านมีช่ือเดิมว่า เหงียน ซวน เบ๋า ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ วดั ตื่อฮิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2485 ขณะมีอายุได้ 16 ปี และได้อุปสมบทเปน็ พระในเวลาตอ่ มา ช่วงแรกทีอ่ ยใู่ น เวียดนาม ท่านได้พยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนาด้วยการเขียนบทความ แต่กลับได้รบั การต่อต้านจาก ผ้นู าองค์กรชาวพทุ ธและรฐั บาลเปน็ อย่างมาก ต่อมา พ.ศ. 2505 ท่านได้รับทุนไปศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ณ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐอเมรกิ า ท่านได้ศกึ ษาท่ีนั่นเปน็ เวลา 1 ปี แม้จะได้รบั ทนุ จากมหาวิทยาลยั โคลัมเบียตอ่ แต่ทา่ นก็ ตัดสินใจเดินทางกลับเวียดนาม เพื่อต่อต้ังโรงเรียนยุวชนรับใช้สังคม และทางานด้านความร่วมมือ ระหว่างพระพุทธศาสนานิกายมหายานและเถรวาทในเวียดนาม ท่านพยายามสอนแนวคิดเรื่อง พระพุทธศาสนาเพื่อการรับใช้สังคม เพ่ือฟื้นฟูความเสียหายจากสงคราม ท่านพยายามพัฒนาวงการ สงฆ์ด้วยการสอนและเขยี นในสถาบันพระพุทธศาสนาชั้นสูง ภารกิจท่ีสาคัญของท่านคือ ก่อตั้ง “คณะ เทียบหิน” ใน พ.ศ. 2509 ภิกษุชาวเวียดนามรายน้ีกลายเป็นท่ีสนใจในระดับสากลเมื่อปี พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ขณะเดนิ ทางไปยังประเทศตะวันตกเพื่อรณรงค์ด้วยสนั ตวิ ิธใี ห้ยุตสิ งครามเวียดนาม ทัง้ นี้ในระหว่างอยู่ ที่ประเทศสหรัฐฯ ติช นัท ฮันห์ มีโอกาสพบบุคคลสาคัญหลายคน หน่ึงในน้ันคือ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ซ่ึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ ติช นัท ฮันห์ และเป็นผู้ผู้เสนอชื่อของภิกษุชาวเวียดนาม เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในฐานะ “ผู้เผยแพรส่ ันติภาพและอหิงสา” ในปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ.
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 179 1967) โดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กลา่ วว่า “ขา้ พเจ้าไมร่ ู้จักใครเป็นการสว่ นตวั อีกท่ีจะมีคุณค่า พอสาหรับรางวลั โนเบลสาขาสนั ติภาพ นอกเหนือไปจากพระผมู้ เี มตตาจากเวยี ดนามผู้น้ี” อย่างไรก็ตามรัฐบาลเวียดนามได้เนรเทศนักบวชรายนี้ ทาให้ ติช นัท ฮันห์ ต้องล้ีภัย สงครามเวียดนามไปใช้ชีวติ ในต่างแดนนานถึง 39 ปี ก่อนมีโอกาสกลบั บ้านเกิดในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 201) และใชช้ ีวิตในช่วงบ้นั ปลายท่ีวัดของตนเอง พระมหาเถระนิกายเซนรายน้ีได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการมีสติตื่นรู้” (the father of mindfulness) เป็นผู้ปฏิวัติวงการเจริญสติ เป็นพระอาจารย์ผู้สอนการฝึกสมาธิภาวนา และพัฒนาวิธีการเจริญสติร่วมกับหลักการทางจิตวิทยาคลินิกกระแสหลัก เพื่อรักษาโรคซึมเศรา้ โรค วิตกกังวล และโรคเครียด นอกจากน้ีท่านยังมีอิทธิพลต่อผู้นาในแวดวงต่าง ๆ ทั้งวงการการเมือง ธุรกิจ กระบวนการยตุ ิธรรม และวงการส่ิงแวดล้อม อีกท้ังยังได้รบั เชิญให้กลา่ วปาฐกถาธรรมที่รัฐสภา ของสหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย และไอร์แลนด์เหนือ ซ่ึง มาร์ค เบนีออฟ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี, จิม คิม อดีตประธานธนาคารโลก และคริสเตียนา ฟิเกเรส ผู้บุกเบิกความตกลงปารีสว่าด้วยความ เปล่ียนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ ระบุตรงกันว่า คาสอนของ ติช นัท ฮนั ห์ ส่งมอบพลงั และแรงบันดาลใจ ใหแ้ กพ่ วกเขา (https://www.bbc.com/thai/international-60093993) พระติช นัท ฮันห์ ซ่ึงเป็นหน่ึงในผนู้ าทางจิตวิญญาณที่ทรงอทิ ธิพลทสี่ ุดของโลก และเป็น ผู้บุกเบิกการฝึกสมาธิภาวนาสมัยใหม่ ได้มรณภาพอย่างสงบที่วัดต่ือเฮี้ยว เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม เมือ่ เวลา 00.00 น. ของวนั ที่ 22 มกราคม2565สิริอายุ 95 ปี 3.2 หมู่บา้ นพลัม การรณรงค์เพื่อหยุดการสนับสนุนสงครามของท่านทาให้รัฐบาลเวียดนามท่ีถึงแม้จะรวม ประเทศได้แล้วก็ตาม ไม่ยอมรับท่าน และปฏิเสธการเข้าประเทศของท่าน ทาให้ท่านต้องลี้ภัยอย่าง เป็นทางการที่ประเทศฝรั่งเศส และก่อตั้ง “หมู่บ้านพลมั ” เป็นสถานท่ีปฏิบัติธรรมของชุมชนสงฆ์ของ ทา่ น ทเ่ี มืองบอร์โดซ์ ประเทศฝร่ังเศส ใน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ในระยะแรกเป็นแหล่งพักพงิ ของผู้ ลี้ภัย ก่อนจะเรมิ่ มนี ักบวชต้ังแต่ พ.ศ. 2531 การเผยแพร่และถ่ายทอดธรรมตามแนวทางของ ติช นทั ฮันห์ ยังดาเนนิ ต่อไปโดยชมุ ชน หมู่บ้านพลัมนานาชาติ เครือขา่ ยรากหญ้าระดับโลกที่พระอาจารย์เซนผ้นู ี้ก่อตง้ั ข้ึน ประกอบด้วย กลุ่ม เจริญสติท้องถ่ินกว่า 1,000 กลุ่ม, ศูนย์ฝึกสมาธิหลาย 10 ศูนย์ และวัด 10 แห่งซ่ึงกระจายอยู่ใน สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ศูนย์ปฏิบัติธรรมของ ติช นัท ฮันห์ ซ่ึงเป็นแหล่งพานักของนักบวชและแม่ชี กว่า 700 รูป/คน เป็นนิกายของพุทธศาสนาที่เติบโตอย่างรวดเร็วท่ีสุดในโลกตะวันตก ในแต่ละปีมี ผคู้ นหลายหมนื่ คนเดินทางไปปฏิบัติธรรม ทงั้ นกั บวชและฆราวาสต่างนาคาสอนด้านการเจรญิ สติ การ สร้างสันติภาพ และการพูดคุยด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไปใช้ในโรงเรียน สถานท่ีทางาน การทาธุรกิจ รวมถงึ ภายในเรอื นจา (https://www.bbc.com/thai/international-60093993) หมู่บ้านพลัมปัจจุบันได้จัดการอบรมภาวนาเกี่ยวกับการเจริญสติทั้งในยุโรปและอเมริกา เหนือให้แก่บุคคลทั่วไป ปัจจุบันมีนักบวชกว่า 500 คน จากกว่า 20 ประเทศท่ัวโลก ส่วนใหญ่อยู่ใน หมู่บ้านพลัมและท่ีอื่น ๆ ไดแ้ ก่ Green Mountain Dharma Center รฐั เวอร์มอนต์ และ Deer Park Monastery รัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกา และท่ีวัดบัทหงา เมืองบ๋าวหลอบ และ วัดตื่อฮ้ิว เมือง เว้ ประเทศเวยี ดนาม
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 180 ท่าน ทิก เญิ้ต หั่ญ ได้จัดตั้ง “หมู่บ้านพลัม” (Plum Village) ขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศส อัน เป็นชุมชนแบบอย่าง การปฏิบัติธรรมแห่งพุทธบริษัท 4 ท่ีเน้นการเจริญสติในชีวิตประจาวันอย่าง ตระหนักรู้ในแต่ละลมหายใจเข้าออก และกลบั มาอยู่กับปัจจุบันขณะ ในชุมชนปฏิบัติธรรมแห่งหมู่บ้าน พลัม มีทั้งสิ้น 12 แห่ง อยู่ในประเทศฝรั่งเศส อเมริกา เยอรมันและเวียดนาม นอกจากนี้มีกลุ่มปฏิบัติ ธรรมตามแนวทางของท่านทิก เญ้ติ หั่ญ (สังฆะ) กระจายอยูห่ ลายประเทศทวั่ โลกเกือบหน่ึงพนั กลุม่ ภายในสังฆะหมู่บ้านพลัมประกอบด้วยวัด 8 วัด ได้แก่ Upper Hamlet, Lower Hamlet, New Hamlet, Lower Mountain Hamlet กระจายตัวอยู่ในหมู่บ้านชนบทใกล้เมือง Bordeaux ทางใต้ ของประเทศฝร่ังเศส, Clarity Hamlet, Solidity Hamlet ที่ Deer Park Monastery รัฐแคลิฟอร์เนีย, Green Mountain Dharma Center, Maple Forest Monastery ท่ีรัฐเวอรม์ อนต์ ประเทศ สหรัฐอเมริกา นอกจากนย้ี งั มีสงั ฆะอน่ื ๆ อยู่ในหลายประเทศทวั่ โลก วิถีการปฏิบัติที่ไม่แยกขาดจากสังคมชุมชนการปฏิบัติธรรมแตล่ ะแห่ง มีวถิ ีการฝึกปฏิบัติ เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และดาเนินชีวิตในวิถีท่ีจะช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยเลือกรับประทานอาหาร มังสวิรัติ งดนมและผลิตภัณฑ์จากนม งดบริโภคไข่ เพ่ือลดการใช้ทรัพยากรและลดมลภาวะต่าง ๆ ที่ เกิดจากการเล้ียงปศุสัตว์ ท้ังยังมีการฝึกปฏิบัติ ‘วันงดใช้รถ’ หรือ Car Free Day เพื่อลดการใช้ พลังงาน ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และกา๊ ซคารบ์ อนมอนอกไซด์ท่ีปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ การฝกึ ปฏบิ ัติเช่นนเ้ี ป็นแรงบันดาลใจให้กบั ผู้คนทว่ั ไป เพ่ือชว่ ยกันเยียวยาโลกที่กาลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ท้ังสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและความรุนแรงในสังคม โดยเริ่มจากการฝึกสติตระหนักรู้ มีสันติใน ตนเอง ผา่ นการปรับเปลีย่ นวิถีชีวติ ผ่านการกระทาในชีวติ ประจาวนั ปัจจุบัน หลวงปู่ ติช นทั ฮันห์ ยังคงพานักอย่ทู ่หี ม่บู า้ นพลมั ประเทศฝรง่ั เศส และเดนิ ทางไปนา การภาวนาในประเทศต่าง ๆ ท้ังในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เพ่ือสร้างสรรค์ความรัก ความเข้าใจ และศานติ สุขใหก้ บั ผู้คนทั่วโลก (https://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&id=2) 3.3 ผลงานเขยี น ท่านทิก เญิ้ต หั่ญ เป็นนักเขียนและกวีผู้มากความสามารถ โดยเขียนหนังสือกว่า 100 เล่ม และได้รับการแปลเปน็ ภาษาตา่ ง ๆ กว่า 40 ภาษา มียอดขายกวา่ 5 ล้านเล่มเฉพาะในสหรัฐฯ เพียงประเทศ เดยี ว สาหรบั หนังสือขายดี เชน่ ปาฏิหาริย์แห่งการมีสติ (The Miracle of Mindfulness), สนั ตภิ าพทกุ ยา่ ง กา้ ว (Peace is Every Step), ความโกรธ ปัญญาดับเปลวไฟแหง่ โทสะ (Anger) และเมตตาภาวนา : คาสอน ว่าด้วยรัก (Teachings on Love) (https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2293845) นอกจากนี้ท่าน ยังเปน็ ผูป้ ระพนั ธ์หนงั สือธรรมะชอ่ื ดังระดับโลกหลายเล่ม ดังน้ี 1) ปจั จุบนั เปน็ เวลาประเสรฐิ สุด 2) ศานติในเรอื นใจ 3) เดนิ วิถีแหง่ สติ (Walking Meditation) 4) ดวงตะวัน ดวงใจฉัน 5) ทางกลบั คอื การเดนิ ทางต่อ 6) กญุ แจเซน 7) สายน้าแห่งความกรณุ า 8) วิถแี ห่งบัวบาน
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 181 9) คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่ เล่ม 1-2 / Old Path White Clouds : Walking in the Footsteps of the Buddha 10) ด้วยปญั ญาและความรัก 11) เธอคอื ศานติ : ลานาแห่งลมหายใจและรอยยิ้ม (Being Peace) 12) ศาสตร์แหง่ ความเขา้ ใจ 13) พทุ ธศาสนาในอนาคต 14) อานาปนสตศิ าสตร์ 15) พระสูตรธรรมแปดประการสาหรับมหาบุรษุ 16) เพชรตัดทาลายมายา (The Diamond That Cuts Through Illusion) 17) กหุ ลาบประดบั ดวงใจ 18) ไผพ่ ระจันทร์ 19) ดอกบัวในทะเลเพลงิ 20) เสยี งรอ้ งของชาวเวียดนาม 21) จดุ ยนื พระพทุ ธศาสนาทา่ มกลางสงครามและการปฏิวัติ 22) เรยี กฉันด้วยนามอันแทจ้ รงิ 23) ปลูกรัก 25) เรมิ่ ตน้ ใหม่ สาหรับผลงานหนังสือเล่มสุดท้ายของ ติช นัท ฮันห์ คอื เซนกับศิลปะแห่งการกอบกู้โลก (Zen and the Art of Saving the Planet) ไดร้ ับการตีพมิ พ์โดยสานักพิมพฮ์ าร์เปอร์คอลลนิ ส์ 4. บทสรุป นักคิดท่ีมีบทบาทสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานให้ชาวโลกได้รู้จัก และสามารถ เข้าถึงแนวทางปฏบิ ัติตามหลกั การของมหายานได้นั้น นับตั้งแต่ ดร.ดี.ที. ซูซกู ิ ซึ่งเป็นชาวญ่ีปุ่น เป็นท้ัง นักคิด นักเขียน นักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนานิกายเซน เป็นผู้แปลวรรณกรรมภาษาจีน ญ่ปี ุ่นและสนั สกฤต หลายเล่ม ได้รบั การขนานนามวา่ เป็นผู้นาและเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเซนจาก โลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้เช่ียวชาญในการสอนเก่ียวกับการปฏิบัติตาม แนวทางเซนและประวัติพุทธศาสนานิกายเซน และยังได้รับการกล่าวยกย่องว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ และเขา้ ถึงเซน (Satori) ซง่ึ เป็นภาวะที่บุคคลสามารถทาลายอวิชชา ตัณหา อปุ าทานแล้วกลบั เข้าสู่พทุ ธ ภาวะ (โพธิ) เป็นภาวะบริสุทธ์ิที่มีอยู่แล้วในแต่ละคนคือการบรรลุถึงธรรมชาติแท้ของตน ซ่ึง ซูซุกิ ได้ พยายามใช้ภาษาอธิบายถึงภาวะและความสาคัญของซาโตริ พอจะสรุปได้ว่า 1) ซาโตริ ไม่ใช่ภาวะแห่ง การครุ่นคิดถึงมันอย่างเอาจริงเอาจังแล้วสร้างมโนภาพเก่ียวกับมันขึ้นมาโดยไมผ่ ่านการลงมือปฏิบัติ 2) ถา้ ผูป้ ฏบิ ตั ิไมไ่ ดบ้ รรลุซาโตริเสียแลว้ ก็ไม่สามารถจะเข้าไปสู่ความจริงแห่งเซนได้ ซาโตรจิ ึงเป็นการเปล่ง ประกายอย่างฉับพลันเข้าไปสู่การสานึกรู้ถึงความจริงใหม่ ๆ ท่ีไม่เคยคาดฝันมาก่อน 3) ซาโตริเป็น เหตุผลเดิมแท้ของเซน ซ่ึงหากปราศจากมันเสียแล้ว เซนกจ็ ะไม่ใช่เซนอีกตอ่ ไป 4) การเน้นซาโตริ ทาให้ เซนมีลักษณะที่แตกต่างออกไปจาก “ธฺยาน” เซนจะต้องมีซาโตริคือมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ภายในจิตใจซ่ึงได้ทาลายกระบวนการส่ังสมทางปัญญาที่คุ้นชินอยู่ตามปกติวิสัย แล้วสร้างฐานชีวิตใหม่
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 182 แก่ตนเอง 5) ซาโตริไมใ่ ช่การเห็นพระเจ้า ดังคากล่าวอย่างทระนงที่ว่า “จงล้างปากของเจ้าเสีย เม่ือเจ้า กล่าวคาว่าพุทธะ” และ 6) ซาโตริไม่ใช่ภาวะแปลกประหลาดในจิตใจ หากแต่เป็นภาวะปกติที่สมบูรณ์ เตม็ เปี่ยมในจติ ใจ อีกท่านหน่ึง คือ พระติช นัท ฮันห์ เป็นพระภิกษุชาวเวียดนาม ผู้นาเสนอความคิดว่า พระพุทธศาสนาตอ้ งเปน็ สว่ นหนึ่งของชีวิตประจาวนั และพุทธธรรมเปน็ สงิ่ ที่สามารถประยกุ ต์ใชใ้ ห้เข้า กบั วิธชี ีวิตยคุ ปจั จุบนั ได้ ท่านเปน็ ที่รจู้ ักในฐานะ พระเถระช้ันผู้ใหญ่ พระอาจารย์เซน พระมหาเถระใน พุทธศาสนามหายานผู้สอนการฝึกสมาธิภาวนา เป็นกวี นักเขียน นกั ต่อสเู้ พื่อสันติภาพ โดยรณรงค์ให้ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ รณรงค์ให้หยุดการสนับสนุนสงความโดยเฉพาะการแทรกแซงของ สหรัฐอเมริกา มุ่งเน้นสนั ติภาพ โดยปลูกจิตสานึกผู้คนท่ัวโลก จนกระท่ังเวียดนามปฏิเสธการกลับเข้า ประเทศ ท่านจึงต้องลี้ภัยอย่างเป็นทางการไปพานักท่ีประเทศฝร่ังเศส โดยเป็นอาจารย์สอน ประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย และสร้างอาศรมนอกเมืองปารีส เรียกว่า “หมู่บ้านพลัม” เพื่อเขียน หนงั สือและปลูกพืชสมุนไพร ระหว่างน้ันท่านยังคงทางานเพ่ือสนั ติภาพ และเพือ่ ผู้ลภี้ ัยอย่างสม่าเสมอ การได้ร่วมทุกข์กับเพื่อนผู้ล้ีภัย ทาให้ท่านพบเห็นชะตากรรมของผู้ตกทุกข์ได้ยากมากมาย และมี วิธีการช่วยเหลือได้หลายช่องทางหลายวิธีการ นอกจากนี้ท่านยังได้เดินทางไปนาการภาวนาใน ประเทศต่าง ๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เพื่อสร้างสรรค์ความรัก ความเข้าใจ และศานติสุข ให้กับผู้คนทว่ั โลก
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 183 แบบฝกึ หัดบทที่ 8 1. ใหอ้ ธิบายฐานะและความสาคัญของ ดร.ด.ี ที. ซูซูกิ 2. บอกผลงานเขียนของ ดร.ดี.ท.ี ซซู กู ิ มา 5 เล่ม 3. ให้อธิบายฐานะและความสาคญั ของ พระติช นัท ฮันห์ 4. บอกผลงานเขยี นของ พระตชิ นัท ฮันหม์ า 5 เล่ม 5. จากการศึกษาประวัติและผลงานของ ดร.ดี.ที. ซูซูกิ นักศึกษาได้แนวคิดอะไรบ้างที่ สามารถนาไปประยุกตใ์ ชก้ ับการดาเนนิ ชีวติ ประจาวนั 6. จากการศึกษาประวัติและผลงานของ พระติช นัท ฮันห์ นักศึกษาได้แนวคิดอะไรบ้างที่ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การดาเนินชีวติ ประจาวัน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 184 เอกสารอ้างองิ ประจาบทที่ 8 ไทยรัฐออนไลน์. (2565). ประวัติติช นัท ฮันห์ ผู้ให้กำเนิดหมู่บ้ำนพลัม มรณภำพแล้วด้วยวัย 95 ปี. สืบคน้ ขอ้ มลู เม่ือ 10 มีนาคม 2565, จาก https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2293845. วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี. (2565). สืบค้นข้อมูลเมื่อ 25 มีนาคม 2565, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ ทิก_เญิ้ต_ห่ญั . สุเธีย สุวณฺณเถโร, พระ. (2565). ประวัติ ผลงำน และหลักคำสอนดี.ที.ซูซุกิ (D.T. Suzuki). สืบค้น ข้อมูลเม่ือ 11 มนี าคม 2565, จาก http://mcuubu.wordpress.com/2013/03/08/d-t-suzuki. BBC NEWS. (2565). ติช นัท ฮันห์ “บิดำแห่งกำรมีสติต่ืนรู้” มรณภำพด้วยวัย 95 ปี. สืบค้นข้อมูล เมื่อ 21 มนี าคม 2565, จาก https://www.bbc.com/thai/international-60093993. Thaiplumvillage. (2565). หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ กับหมู่บ้ำนพลัม. สืบค้นข้อมูลเม่ือ 11 มีนาคม 2565, จาก https://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&id=2.
บรรณานุกรม “กฎบัตรสมัชชาพระพุทธศาสนาแห่งโลก”. (2543). ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ, การประชุม สุดยอดผู้ชาวพุทธเพ่ือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก ครั้งท่ี 2 ณ พุทธมณฑล จังหวัด นครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน. กรมการศาสนา. (2525). ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ภาค 1. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ถ่ายทอดเป็นพากย์ไทย. (2544). มหากาพย์พุทธจริต. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สานักพิมพส์ ขุ ภาพใจ. คณะกรรมการตารา. (2535). ปฐมสมนั ตปาสาทิกาแปล. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . จุฬาวิทยานุกรม, ศูนย์การส่ือสารนานาชาติแห่งจุฬาฯ. พระจ้ีกง. สืบค้นข้อมูลเม่ือ 2 มีนาคม 2565, จาก http://www.chulapedia.chula.ac.th/index.php?title=พระจ้ีกง&redirect=no. ฉตั รสุมาลย์ กบิลสิงห์. (2544). ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 2). กรุงเทพฯ: ศนู ยไ์ ทย-ธเิ บต. ฉัตรสมุ าลย์ กบิลสงิ ห์ แปล. (2543). สัทธรรมปณุ ฑรีกสูตร. (พิมพค์ รั้งท่ี 5). กรุงเทพฯ: ศนู ย์ไทย-ธเิ บต. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ษัฏเสน. (2538). อัตชีวประวัติขององค์ทะไลลามะ อิสรภาพในการล้ีภัย. (พมิ พค์ ร้งั ที่ 2). กรงุ เทพฯ: ประพันธส์ าส์น. ทวีวัฒน์ ปณุ ฑริกวิวฒั น์. (2530). ประทปี แหง่ เซน. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 3). กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์สขุ ภาพใจ. ทวีวัฒน์ ปุณฑริกววิ ัฒน์, ดร. (2545). ศาสนาและปรัชญาในจีน ทิเบตและญ่ีปุ่น. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ สุขภาพใจ. ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์. (2542). สถานภาพและบทบาทของดาไลลามะ. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. 22(1). มถิ ุนายน-พฤศจกิ ายน. ไทยรัฐออนไลน์. (2565). ประวัติติช นัท ฮันห์ ผู้ให้กาเนิดหมู่บ้านพลัม มรณภาพแล้วด้วยวัย 95 ปี. สบื คน้ ขอ้ มูลเม่ือ 10 มีนาคม 2565, จาก https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2293845. ธวัชชัย ขาชะยันจะ. (2564). ดาไลลามะองค์ที่ 14 แห่งทิเบต จาอดีตชาติได้. สืบค้นข้อมูลเม่ือ 1 พฤษภาคม 2564, จาก https://sites.google.com/site/thaireincarnation/foreign- cases/sri-langka/xngkh-da-lila-ma. นวม สงวนทรัพย์, พันเอก (พิเศษ). (2544). เมธีตะวันตกชาวพุทธ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช วิทยาลัย. นางสาวเดนา เมอร์เรียม. (2543). “คาปราศรัยแสดงความยนิ ดี”, ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสอื . การประชุมสุดยอดผู้ชาวพทุ ธเพ่ือการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาแหง่ โลก ครั้งที่ 2 ณ พุทธมณฑล จงั หวัดนครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน. บรรจง โสดาดี. (2561).“การใช้ตรรกะในวิธีสอนของพระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท)”. วิทยานิพนธ์ ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต. บณั ฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. บอบ-ฮอง, พระ ดร. (2543). “ทิศทางการวางแผนเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศตวรรษท่ี 21”, ใน คณะกรรมการจัดพิมพห์ นังสือ. การประชุมสุดยอดผูช้ าวพุทธเพอ่ื การเผยแผ่พระพุทธศาสนา แหง่ โลก คร้ังที่ 2 ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจิกายน.
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 186 บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2542). เอกสารประกอบการศึกษารายวิชา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศต่าง ๆ. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. ประชา ปสนฺนธมฺโม, พระ. (2528). เล่าไว้เม่ือวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส/พุทธทาสภิกขุ. กรุงเทพฯ: โกมลคมี ทอง. ประพจน์ อัศววิรุฬหการ. (2523). การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องพระโพธิสัตว์ในคัมภีร์เถรวาทและ คัมภีร์มหายาน. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, ผศ.ดร. (2546). โพธิสัตตวจรรยา : มรรคาเพื่อมหาชน. กรุงเทพฯ: คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (2547). วิสาขบูชาวันสาคัญสากลของโลก. กรุงเทพฯ: มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระธรรมธัชมุนี (ประยูร สนฺตงฺกุโร) และคณะ. (2525). พุทธศาสนประวัติ สมัยรัตนโกสินทร์และ ราชวงศ์จักรี 200 ปี. กรงุ เทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2542). มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: มลู นิธพิ ทุ ธธรรม. พระโพธญิ าณเถระ (ชา สุภทโท). (2544). อปุ ลมณี. (พิมพค์ รัง้ ที่ 5). กรุงเทพฯ: ธรรมสภา. พระราชปัญญาเมธี (สมชยั กุสลจิตโต), (2545). “แนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการพฒั นางานพระศาสนา ในสหรัฐอเมรกิ า”. ใน พระธรรมทตู สายต่างประเทศ รนุ่ ที่ 11. พระวศิ วภทั ร เซี่ยเกยี๊ ก. (2551). มหาสขุ าวตวี ยหู สูตร. กรงุ เทพฯ: ม.ป.ท. พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) แปลเรียบเรียง. (2553). คัมภีร์มหายานลังกาวตารสูตร. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระศรีปรยิ ตั ิโมลี (สมชัย กุสลจิตโฺ ต). (2543). “พระธรรมทตู ในโลกปจั จบุ ัน : ศกึ ษากรณีพระธรรมทูต ไทยในต่างประเทศ”. ใน คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ. การประชุมสุดยอดผู้ชาวพุทธเพ่ือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก คร้ังที่ 2 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย 9-11 พฤศจกิ ายน. พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2530). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) แปลและเรียบเรียง. (2513). สารัตถธรรมมหายาน. กรงุ เทพฯ: ม.ป.ท. พอล เดนนิสสัน, ดร. (2548). “ความเป็นมาของสมาคมสมถะ”, ใน มหาสมัยสูตร รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาราษฎร์ วดั พทุ ธวิหารแอสตนั ประเทศองั กฤษ. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. (2535). อรรถกถาภาษาบาลี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามหามกุฏราช ราชวิทยาลยั .
เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 187 มลู นิธสิ ังฆประชานุเคราะห์ และสมาคมอื่น ๆ. (2531). พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ: ธนาคาร กรุงเทพ จากดั . ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพฯ: หา้ งหุ้นสว่ นจากัด อรุณการพิมพ.์ รุ่งเพชร ติกฺขวชิโร, พระมหา. (2551). ทะไลลามะ ผ้นู าที่ไม่เคยสิ้นหวัง ฉบบั รักชาติยิ่งชีพ. กรุงเทพฯ: ศูนย์ไทย-ทเิ บต. วศิน อนิ ทสระ. (2532). สาระสาคัญแห่งพทุ ธปรชั ญามหายาน. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์บรรณาคาร. วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี. (2565). สืบค้นข้อมูลเม่ือ 25 มีนาคม 2565, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ ทิก_เญิ้ต_หญั่ . วิจิตร เกิดวิสิษฐ์. (2518). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบับมุขปาฐะภาค 1. กรุงเทพฯ: มหามกุฏ ราชวทิ ยาลัย. ไวทย, พีแอล. (2499). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีท่ีล่วงแล้ว, รวมบทความวิชาการทาง พระพทุ ธศาสนา, พมิ พ์ขน้ึ ในคราวฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ ณ ประเทศอินเดยี . สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2542). จากนาลันทาถึงมหาจุฬา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั . สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, พระมหา. (2543). พระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย พัฒนาการและ สารัตถธรรม. กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2541). พุทธประวัติ เล่ม 1. (พิมพ์คร้ังที่ 53). กรงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฏราชวิทยาลัย. สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2530). ประวัติศาสตร์ศาสนา. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย รามคาแหง. สุเธีย สุวณฺณเถโร, พระ. (2565). ประวัติ ผลงาน และหลักคาสอนดี.ที.ซูซุกิ (D.T. Suzuki). สืบค้น ข้อมูลเมอื่ 11 มนี าคม 2565, จาก http://mcuubu.wordpress.com/2013/03/08/d-t-suzuki. แสง มนวิทรู แปล, ศ.ร.ต.ท. (2512). คมั ภีร์ลลติ วิสตระ. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร. สาเนียง เลื่อมใส ปริวรรต แปลและเรียบเรียง. (2543). มหากาพย์เสานทรนันทะ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . เสฐียรโกเศศ-นาคะประทปี . (2514). ลัทธิของเพ่ือน. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์คลงั วทิ ยา. เสฐียร พันธรังษี, ศ.พิเศษ. (2543). พุทธศาสนามหายาน. (พิมพ์ครั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ สุขภาพใจ. เสฐียร พันธรังษี, ศ.พิเศษ. (2542). พุทธประวัติมหายาน (พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่). (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พศ์ ยาม. เสถยี ร โพธินนั ทะ. (2511). คดธี รรม-คดโี ลก. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์บรรณาคาร. เสถียร โพธนิ นั ทะ. (2516). ชุมนุมพระสตู รมหายาน. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์บรรณาคาร. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. (2522). ปรชั ญามหายาน. (พมิ พค์ รั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พบ์ รรณาคาร. เสถียร โพธนิ นั ทะ. (2519). ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 188 เสถียร โพธินันทะ. (2518). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย. เสถียร โพธินันทะ. (2544). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์คร้ังที่ 4). กรุงเทพฯ: บริษัท สร้างสรรค์บุ๊คจากัด. อนุรักษ์ อินฺทวณฺโณ, พระใบฎีกา. (2565). ความแตกต่างระหว่างเถรวาทกับมหายาน. สืบค้นข้อมูล เมื่อวันท่ี 10 มนี าคม 2565, จาก https://www.gotoknow.org/posts/501542. อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์. (2525). พระพุทธศาสนามหายาน. (พิมพ์คร้งั ท่ี 2). กรุงเทพ ฯ: มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั . อมร อมโร และคณะ, พระมหา, แปลและเรียบเรียง. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีที่ ลว่ งแลว้ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์สุรวัฒน์. อษุ า โลหะจรญู . (2551). พระถังซัมจัง๋ ชวี ิตจริงไม่อิงนิยาย. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พส์ ขุ ภาพใจ. BBC NEWS. (2565). ติช นัท ฮันห์ “บิดาแห่งการมีสติตื่นรู้” มรณภาพด้วยวัย 95 ปี. สืบค้นข้อมูล เมอื่ 21 มนี าคม 2565, จาก https://www.bbc.com/thai/international-60093993. Benoytosh Btattacarya. (1980). An Introduction to Esotericism. Delhi: Motilal Banarsidass. Brian Edward Brown. (1991). The Buddha Nature. Delhi: Motilal Banarsidass. Daisetz Teitaro Suzuki. (1 9 7 3 ). Outlines of Mahayana Buddhism. New York: Schochen Books. David J. Kalupahana. (1976). “Reflections on the Relation between early Buddhism and Zen” . Buddhist Philosophy A Historical Analysis. U.S.A.: The University Press of Hawaii. Edward Conze. (ม.ป.ป.). A Short History of Buddhism, แปลโดยสมหวัง แก้วสุฟอง. เชียงใหม่: ภาควิชาปรชั ญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. Geshe Namgyal Wangchen. (1987). An Awakening of the Mind of Enlightenment Meditation on the Buddhist Path. London: Wisdom Publications. H.Dayal. (1970). The Bodhisattva Doctrine in Buddhist Sanskrit Literature. Delhi: Motilal Banarsidass. Nalinaksha Dutta. (1998). Buddhist Sects in India. Delhi: Motilal Baranarsidas Publishers Private Limited. NG Yu-Kwan. (1993). T’ien-Tai and Early Madhyamika. Hawaii: University of Hawaii. Phra Walpola Rahula. (1974). The Heritage of the Bhikkhu. NY: Grove Press. Satish Chandra Vidyabhusana. (1988). A History of Indian Logic. Delhi: Motilal Banarsidass. Suzuki Beatrice. (1981). Mahayana Buddhism. (Forth Edition). London: George Allen and Unwin Ltd. Thaiplumvillage. (2565). หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ กับหมู่บ้านพลัม. สืบค้นข้อมูลเม่ือ 11 มีนาคม 2565, จาก https://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&id=2.
เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 189 Venerable Dr. W. Rahula, (1982). “Theravada and Mahayana Buddhism”. Buddhists for Peace Vol.4. Published quarterly in English. Vijnanavada (Yogacara) and Its Tradition, Pro D.S.Kothari. (1993). ใน Vijnanavada (Yogacara) and Its Tradition, Kewal Krishan Mittal (Editor). Delhi: Dept. of Buddhist Studies, U. of Delhi.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204