Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คนเราตัดสินใจเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

คนเราตัดสินใจเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

Published by konmanbong_k3, 2021-10-12 03:01:50

Description: คนเราตัดสินใจเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

Search

Read the Text Version

10. เยาวชน : ทรพั ยากรของชาติ การให้การศึกษารูปแบบต่างๆย่อมมีผลต่อการพัฒนา และสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลตัดสนิ ใจลงมอื กระท�ำ เพ่ือส่ิงแวดล้อม การ ให้การศึกษาสามารถดำ�เนินการท้ังในรูปแบบเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ ทง้ั ในและนอกหอ้ งเรียน สงิ่ แวดล้อมศกึ ษาเป็น เครื่องมือสำ�คญั ตอ่ การพัฒนาพลเมอื งสิ่งแวดลอ้ ม ซึง่ ทกุ ประเทศ ต่างนำ�ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศ เป็นการพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพลเมือง นกั วิชาการเชือ่ ว่าความส�ำ เร็จในการกระทำ�ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม ข้ึน อยกู่ บั การ สร้างขีดความสามารถใหก้ ับพลเมือง โดยเฉพาะคน วยั หนุ่มสาว หรือ เยาวชน การสรา้ งขีดความสามารถหรอื สร้าง สมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อมจำ�เป็นต้องใช้กระบวนการให้การศึกษา ทั้งนี้ Schreiner, C. และS. Sjoberg (2005) กล่าวไวว้ า่ การ สร้างขีดความสามารถ อาจอธิบายไดว้ ่าเป็นการกระตนุ้ หรอื สง่ เสริมให้คนๆหน่ึงมีความรับผิดชอบและความเช่ือในการกระทำ� รวมทงั้ สามารถมอี ิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเอง ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ................. 97

การศึกษาเป็นการเตรียมเยาวชนให้มีความรับผิดชอบต่อส่ิงแวดล้อม การเรียนการสอนต้องสัมพันธ์กับทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อประเด็น การพทิ กั ษส์ ่ิงแวดล้อม ผู้เขียนบทความเรอ่ื ง Empowered for Action? How do Young People Relate to Environmental Challenges? เชื่อว่าหากต้องการประสบความสำ�เร็จในการสร้างขีดความสามารถ ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม บุคคลต้องมีทัศนคติดงั น้ี g มคี วามหวังและมีวิสัยทศั น์ในอนาคต g มีความรสู้ กึ ว่า เขาสามารถมีอทิ ธพิ ลตอ่ อนาคตของโลก และมีแรงจงู ใจในการท่จี ะกระท�ำ เพอ่ื สงิ่ แวดล้อม g คิดว่าการพทิ ักษส์ ิ่งแวดล้อมเปน็ สิง่ ส�ำ คัญส�ำ หรับสงั คม g มีความสนใจและมีส่วนร่วมในประเด็นสงิ่ แวดลอ้ ม บคุ คลตอ้ งมคี วามร้เู พยี งพอเกย่ี วกับวิทยาศาสตรข์ องสง่ิ แวดล้อม เกีย่ ว กบั การกระท�ำ ทเ่ี หมาะสมด้านการด�ำ เนนิ ชีวติ ประจ�ำ วัน เข้าใจ การเมือง และช่องทางทจ่ี ะท�ำ ให้ตนเองมีอทิ ธพิ ลผา่ การเมือง องค์กร เป็นตน้ การสำ�รวจทัศนคติของเยาวชน หรือ คนวยั หนมุ่ สาว ในประเทศ นอรเวย์ เมือ่ ปี 2002 จาก 58 โรงเรยี น โดยใชก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งจ�ำ นวน 1,204 คน สว่ นใหญ่เป็นนักเรียนเกรด 10 อายรุ ะหว่าง 14-15 ปี ทัง้ น้ี การสำ�รวจคร้งั นี้ มแี นวคดิ วา่ เยาวชนควรมคี วามคิด หรือ ทศั นคติใน เรอ่ื งต่อไปน้ี 1. คนวัยหนุ่มสาว มีความหวังและวิสัยทศั นส์ ำ�หรับอนาคตหรอื ไม่ ความเชอ่ื ในอนาคตย่อมมคี วามหมายต่อคนๆนนั้ เนื่องจากโดย ธรรมชาติคนเราย่อมพยายามท่ีจะปรับตัวให้กับสิ่งท่ีตัวเองกำ�ลัง 98 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

จะประสบพบเจอ และพยายามกระท�ำ ในหนทางทสี่ ามารถสรา้ ง อนาคตใหต้ ัวเองไดต้ ามทีค่ าดหวงั เชอื่ ว่าความหวังกระตนุ้ ให้เกิดการ กระทำ� ถา้ เรารู้ถึงความคิดหรือจินตนาการในอนาคตของคนๆหนึ่ง จะ ท�ำ ให้เราเขา้ ใจไดถ้ ึงแรงจูงใจ ทางเลอื ก และการกระท�ำ ในปจั จุบนั ของคนๆนน้ั 2. เยาวชนมีสว่ นรว่ มในการพิทักษส์ ิ่งแวดลอ้ มหรือไม่ ด้วยเหตุที่สังคมตระหนักถึงความสำ�คัญของการพิทักษ์ส่ิงแวดล้อม ทำ�ใหม้ มี าตรการต่างๆมากมาย ทงั้ มาตรการทางภาษี กฎหมาย ซ่ึง ประชาชนต้องปรับตัวกับมาตรการเหล่าน้ีของสังคมและยอมรับการ ปฏบิ ัติใหมๆ่ แต่ขณะเดียวกนั กอ็ าจสง่ ผลต่อความตระหนักด้านสงิ่ แวดลอ้ มของประชาชน และเช่อื วา่ การจัดการปญั หาสิ่งแวดล้อมเป็น ภาระของผูเ้ ชี่ยวชาญ นอกจากน้ี ประชาชนในโลกตะวนั ตกสามารถเข้าถงึ ขอ้ มูลขา่ วสารได้ ง่าย และพบว่าเยาวชนหรอื คนวยั หนุ่มสาวปจั จุบนั ขาดความเช่ือถอื การค้นพบและทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร์ และพวกเขารู้ว่าความรกู้ ็อาจ จะยังน่าเคลือบแคลง มอี ายสุ ั้น และอาจล้าสมัยไปในไม่ชา้ สิง่ เหล่านี้ ท�ำ ให้ประชาชนเชอ่ื ถือ “ความจรงิ ” และ “ข้อเทจ็ จริง” (truths and facts) น้อยลง และสร้างสรรค์โลกทีท่ ำ�ให้ตัวเองยดื หยุน่ มากขน้ึ ผลจากการวิจยั พบว่านกั เรยี นมีความกังวลเก่ียวกับประเดน็ ปัญหา สงิ่ แวดลอ้ ม นักเรียนหญิงมีความกังวลมากกวา่ นกั เรยี นชาย 3. เยาวชนรสู้ ึกวา่ การพทิ ักษ์สิ่งแวดล้อมสำ�คัญตอ่ สงั คมหรอื ไม่ เยาวชนในโลกสมยั ใหมเ่ ปน็ อิสระทั้งทางวฒั นธรรมและสังคม และ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ................. 99

ยงั เปน็ อิสระจากขนบธรรมเนยี มประเพณี และไม่ว่าเยาวชนจะมีภูมิ หลงั อยา่ งไร ก็สามารถเขา้ ถงึ บรกิ ารทางสงั คม เชน่ การศึกษา แต่ เยาวชนไม่ไดม้ อี ิสระในการเลือกอย่างไม่มีขอบเขตจำ�กดั พวกเขา ยงั คงถูกบงั คบั ใหเ้ ลือก และถ้าล้มเหลว กต็ ้องรับผิดชอบการตดั สิน ใจท่ีผิดพลาดเอง เยาวชนเปน็ กลุ่มที่พยายามหาพน้ื ท่ที ต่ี วั เองสนใจ และมีความสามารถในการสรา้ งสรรค์สงิ่ ตา่ งๆ เพ่อื ชวี ติ ของตวั เอง ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนกลุ่มตวั อย่างมสี ว่ นร่วมกบั ประเดน็ สง่ิ แวดล้อมในระดบั ปานกลางเทา่ นนั้ เยาวชนดูเหมอื นไม่คอ่ ยมี ความกงั วลเกี่ยวกบั ปญั หาสิ่งแวดลอ้ ม และคิดว่า ยงั สามารถหา ทางออกให้กับปัญหาได้ อีกทั้งเห็นว่า การให้ความร่วมมือจาก ระดับบคุ คลมคี วามส�ำ คัญ และคดิ ว่า ตัวเองสามารถมีอิทธิพลตอ่ สิ่งท่ีเกิดกบั ส่งิ แวดล้อม นอกจากนี้ ยงั พบว่า นักเรียนมีความสนใจ ในการเรียนรเู้ กี่ยวกับสิ่งแวดลอ้ มเพยี งเล็กนอ้ ยเท่านนั้ แมจ้ ะมวี ชิ า วิทยาศาสตรห์ ลายวชิ าทด่ี ึงดดู ความสนใจนักเรียนเหลา่ นี้ และยัง พบวา่ มีนกั เรยี นถงึ รอ้ ยละ 50 ทีเ่ ห็นว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมท�ำ ให้ อนาคตของโลกดูเหมือนจะส้ินหวงั 29 ส�ำ หรับประเทศไทย เยาวชนเปน็ เรอื่ งทที่ งั้ ภาครัฐและเอกชนตา่ งๆ ให้ความสำ�คัญและให้ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เติบโต เปน็ ทรัพยากรทีม่ คี ่าของประเทศตลอดมา ดังจะเหน็ ไดจ้ ากการ รวบรวมการนำ�เสนอข่าวเกี่ยวกับเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมระหว่าง ปี 2542-2552 รวมเปน็ เวลา 10 ปี โดยครอบคลุมถงึ การน�ำ เสนอขา่ วเยาวชน ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับกิจกรรมด้านสิ่งแวดลอ้ ม และ 100 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

รวมถึงการน�ำ เสนอเกยี่ วกบั ปัญหาเยาวชน แผน และนโยบาย เกย่ี วกับเยาวชน และกิจกรรมทางการเมอื งและการพฒั นาความ เปน็ ประชาธปิ ไตย (ทง้ั ท่เี ป็นการนำ�เสนอในรปู ของบทความ บท วจิ ารณ์ สกปู ข่าว ขา่ ว ทัง้ ท่ีมขี นาดสน้ั และยาว) ทั้งน้ี ไม่รวมขา่ ว เยาวชนทีเ่ ก่ียวกบั อาชญากรรม ยาเสพติด และกฬี า พบว่ามี จ�ำ นวนขา่ วเยาวชนท่พี บทง้ั หมด ระหว่างปี 2543 ถึง 2552 รวม ทงั้ สิ้น 2005 ช้ินขา่ ว จากหนงั สอื พิมพ์ทว่ี างจำ�หน่ายท่ัวประเทศ จำ�นวน มากกวา่ 17 ฉบับ โดยพบขา่ วในหนังสือพมิ พม์ ติชนและ ข่าวสด ในจำ�นวนท่ีใกล้เคียงกัน คือ รอ้ ยละ 17 และ 16 ตาม ล�ำ ดับ ส่วนในหนงั สอื พิมพอ์ ืน่ ๆ พบในจำ�นวน ตำ่�กวา่ ร้อยละ 10 และเป็นทีน่ ่าสังเกตว่า มกี ารนำ�เสนอขา่ วเยาวชนดา้ นส่งิ แวดล้อม ในหนังสือพิมพ์ทุกประเภท เช่น หนงั สือพมิ พเ์ น้นข่าว ธรุ กจิ ขา่ ว เศรษฐกิจ หรอื ขา่ วกีฬา และตลอดระยะเวลา 10 ปี พบว่า การนำ�เสนอขา่ วมอี ตั ราเพิม่ ขน้ึ ทุกปี โดยเริ่มจากจำ�นวน 39 ชิ้น ข่าวในปี 2543 เพม่ิ เปน็ จ�ำ นวน 491 ชิน้ ขา่ ว ในปี 2552 ท้งั นี้ ขา่ วมีจ�ำ นวนเพิม่ ข้ึน จากปี 2547 ถงึ 2548 เกือบเทา่ ตวั ซึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพ่ิมขึ้นของการนำ�เสนอข่าวเยาวชนเป็นไป ในทิศทางเดียวกันกับสถานการณ์ความเคล่ือนไหวทางการเมือง ซ่ึงระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่มีการต่อต้านรัฐบาลนายก รฐั มนตรที ักษิณ ชินวัตร อยา่ งกวา้ งขวาง จนกระทง่ั เกดิ การปฏิวัติ ขนึ้ ในปี 2549 (ตารางท่ี 1) เมอื่ จ�ำ แนกตามประเด็นของสงิ่ แวดล้อม จำ�นวนช้ินข่าวเยาวชนทพ่ี บ ระหว่างปี 2543 -2552 ท้ังหมด 2005 ชิน้ เกอื บครง่ึ (42เปอร์เซ็นต์) ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................101

เป็นข่าวเยาวชนที่เก่ียวกับประเด็นทรัพยากรธรรมชาติซึ่งส่วนมาก เกี่ยวขอ้ งกบั ทรพั ยากรป่าไม้ ป่าชายเลนและพลังงาน และเปน็ ข่าว ดา้ นสนี �้ำ ตาลหรอื ด้านมลพษิ เพยี ง ประมาณรอ้ ยละ 10 เท่าน้ัน ได้แก่ ประเดน็ เกี่ยวกบั โลกรอ้ น และการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิ อากาศ มากที่สดุ รองลงมาเป็นประเดน็ ขยะอยา่ งไรกต็ าม การนำ� เสนอข่าวเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสำ�หรับเยาวชนมีปริมาณสูงสุด คือ ร้อยละ 61 (ตาราง ท่ี 2) การนำ�เสนอข่าว เก่ยี วกับโลกร้อนและการเปลีย่ นแปลงสภาพ ภูมอิ ากาศ มกี ารน�ำ เสนอเพ่มิ มากข้ึนอย่างชดั เจน ตั้งแตป่ ี 2550 – 2552 โดยในปี 2550 น�ำ เสนอ 48, 56, และ 62 ชิน้ ขา่ ว ตามล�ำ ดบั ตตาารราาง 1ง แ1สดงแหสนังดสืองพิหมพน์ จาังแสนกือตาพมริมายพปี ร์ ะหจวำ�า่ งแ25น43ก-25ต53ามรายปี ระหว่าง 2543-2553 หนงั สอื พมิ พ์ ปี รวม % สยามรฐั 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 บา้ นเมอื ง มตชิ น 5 1 1 4 3 18 20 13 33 29 127 6.3 กรุงเทพธรุ กจิ 4 1 0 2 5 13 10 12 26 33 106 5.3 ประชาชาติ ขา่ วสด 9 19 16 21 27 38 40 59 55 53 337 16.8 ไทยโพสต์ 3 5 5 4 8 16 15 10 30 23 119 5.9 เดลนิ ิวส์ 3 4 2 0 0 4 7 5 9 14 48 2.4 ผจู้ ดั การรายวนั 9 10 20 14 39 46 31 34 41 40 284 14.2 ไทยรฐั 3 2 1 2 9 14 8 6 19 29 93 4.6 แนวหน้า 1 8 5 5 0 22 24 20 43 42 170 8.5 Bangkok post 0 3 0 0 4 12 6 6 11 7 49 2.4 The Nation 1 2 1 1 1 8 8 3 18 24 67 3.3 คม ชดั ลกึ ฐานเศรษฐกจิ 1 2 1 1 3 24 16 20 25 45 138 6.9 สยามธรุ กจิ 0 0 0 5 2 10 12 12 13 18 72 3.6 โพสตท์ เู ดย์ 011 5 3 10 11 3 10 11 55 2.7 อน่ื ๆ 001 8 3 26 9 12 18 22 99 4.9 รวม 0 0 1 1 1 0 1 0 3 7 14 .7 % 0 0 0 0 1 2 1 2 3 12 21 1.0 0 0 0 3 0 13 13 16 19 19 83 4.1 0 0 0 0 0 6 14 19 21 63 123 6.1 39 58 55 76 109 282 246 252 397 491 2005 100.0 1.9% 2.9% 2.7% 3.8% 5.4% 14.1% 12.3% 12.6% 19.8% 24.5% 100% 102 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

ตตาารราางงท �ี �2  ขา่ ขวา่เยวาวเยชนา  จวาํ ชแนนกตจา�ำมปแรนะเกดนต็ ทาน�ี มําเปสนรอะในเดขา่น็ วท่นี �ำ เสนอในขา่ ว ปี ประเดน็ ประเดน็ กจิ กรรม น�ําตาล ประเดน็ เขยี ว เยาวชน เยาวชน วนั สาํ คญั อน�ื ๆ 2543 2 15 12 22 1 0 2544 2 30 24 37 4 0 2545 2 31 20 32 2 0 2546 6 30 35 32 2 1 2547 4 52 52 64 1 0 2548 9 87 186 152 12 5 2549 6 114 127 135 4 0 2550 71 47 121 92 163 2551 55 189 152 251 5 10 2552 60 178 263 336 11 24 รวม 193 847 963 1224 49 41 ตตตาาารรารงาา�งงทข �ีา่ �ว3 เ ยผาเู้วขปชน็า่นจปวาํ แาเนกยกเตสาามยี วปงรชเะกเนดย�ี น็ วกกาจรบัน�ำ ํเายเแสานนวอชกนตในาขมา่ วปจาํรแะนเกดต็นามทปรนี่ ะ�ำเดเน็ สตน่างอๆ ปประี เดน็ ทน�ี ําเสนอในขา่ ว ประเ4ด3น็ ปี 52 รวม น�ําตาล 3 การพฒั นาขดี ความสามารถเยาวชน 44 45 46 ปร4ะ7เดน็ 48 กจิ ก49รรม 50 51 10อ5 น�ื ๆ 252 ป1ระเดน็ เ1ขยี ว 0 เยาวช2น 44 เยาวช21น 23วนั สาํ ค5ญั2 ปญัเยหาาเวยาชวนชน/ความกงั วลเกย�ี วกบั 165 9 2 304 14 16241 67 39392 26 3310 64 7271 เเยคาผสรอวื อ�ืแู้ชขมนทา่ ยวน/สลภภชาา/นกคลรwมุ่ ฐั  rเยitาeวrชน 0 0 291 731523 9 14133 9 13359 1 1 0 5 11 3 1 71 10 นโNยบGายO/กsฎหมาย/  เยาวชน  และประเดน็ 59 3 10 41 8 12 78 61 30 67 23 20 6 46 218 ชทกมุาเ�ี นภกรชมย�ี กันาวสี เควขว่มนอธ้ชิอื งรงรุาว่/วกกมฒั ทจิานาเรธงอกรกรามรชเมนอื ง 02274 17 121 216212184 1 1217773 สทิ นธเกัิ ยกาวาชรนเมอื ง/พรรคฯ 6 4 78 10 15 31 20 20 36 1 34 036 สลกอู�ื อสเสน�าื อืรๆมวลชน/สอ�ื อเิ ลคโทรนคิ 3 1 1 5 22 5 3 25 17183 01 2 0 23 1 10 10 57 2 40 9 การวจิ ยั เกย�ี วกบั เยาวชน 1 1 2 1 5 1 1 21 1 4 13 1 0 1 6 67 0 2 3 1 6 12 9 5 10 25 03 02 2 15 10 5 15 15 รวม 13 31 27 43 61 264 163 119 187 338 1,244 ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................103

2551 55 189 152 251 5 10 2552 60 178 263 336 11 24 รวม 193 847 963 1224 49 41 ตตาารารงาทง �ี �  ผ4เู้ ปผ็นปูเ้ ปาก็นเสปยี งาเกกย�ีเวสกียบั เงยเากวช่ียนวในกขับา่ วเจยาํ าแนวกชตนามใปนรขะเา่ ดวน็ ตจ่าำ�งแๆนกตามประเดน็ ตา่ งๆ ปี ประเดน็ ประเดน็ เขยี ว ประเดน็ กจิ กรรม วนั สาํ คญั อ�นื ๆ น�ําตาล เยาวชน เยาวชน เยาวชน 304 10 7 ผแู้ ทนภาครฐั 65 0 241 392 13 13 สอ�ื มวลชน writer 0 11 291 353 3 3 NGOs 1 41 71 12 6 2 นกั วชิ าการ 9 17 78 67 1 1 ภาคธรุ กจิ เอกชน 4 78 121 28 1 2 นกั การเมอื ง/พรรคฯ 27 2 31 114 0 0 อ�นื ๆ 1 5 10 1 1 1 21 7 13 ตตาราางรทา �ี �ง  ก5ารนกําเาสรนนอข�ำ อเงสหนรอื อเสขยี อง ง (vหoicรe)ือขเอสงเียยางวช(นvใoนiขc่าeว) ของเยาวชนในข่าว 1. ปญั หาสง�ิ แวดลอ้ มและผลกระทบ ประเดน็ ประเดน็ ประเดน็ กจิ กรรม วนั สาํ คญั อน�ื ๆ รวม �.  ประโยชน์ของกจิ กรรม/โครงการ  และ น�ําตาล เขยี ว เยาวชน เยาวชน 3 0 ประเดน็ ทเ�ี กย�ี วขอ้ ง ��� �.  การมสี ว่ นร่วมดา้ นสงิ� แวดลอ้ มได้ 12 58 6 58 4 4 อยา่ งไร ��� �.  ความคดิ ทางการเมอื ง/เสนอแนะรฐั 44 222 80 293 ��� �.  ประเดน็ เยาวชนและทเ�ี กย�ี วขอ้ ง �.  อ�นื ๆ 38 138 21 155 40 ��� 40 ��� 74 13 62 26 61 �� 0 6 70 44 1 41 1 14 12 12 104 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

เม่ือพิจารณาลึกในรายละเอียดการนำ�เสนอเกี่ยวกับประเด็นเยาวชน จากตาราง 3 พบวา่ ต้งั แต่ปี 2548 ส่อื มวลชนให้ความสนใจน�ำ เสนอ ประเดน็ เยาวชนมากขนึ้ โดยแตกตา่ งจากก่อนหนา้ นอ้ี ยา่ งชดั เจน โดยเปน็ ประเด็นเก่ียวกบั ปัญหาเยาวชนมากท่สี ุด (271 ช้ินข่าว) รอง ลงมาเป็นการนำ�เสนอเก่ียวกับการพัฒนาขีดความสามารถเยาวชน (252 ชิน้ ขา่ ว) และเปน็ การน�ำ เสนอเกย่ี วกบั นโยบาย กฎหมาย และ ประเด็นทเ่ี กีย่ วข้อง จ�ำ นวน 219 ชน้ิ ขา่ ว เป็นท่ีน่าสังเกตว่า มกี ารนำ�เสนอข่าวเยาวชนกบั การมีสว่ นร่วมทาง การเมืองมากข้นึ ตามลำ�ดับต้ังแตป่ ี 2548-2552 (รวมทัง้ ส้นิ 218 ข่าว)ซ่ึงเป็นข่าวทั้งที่เก่ียวข้องกับการนำ�เสนอการจัดกิจกรรมการ สง่ เสรมิ ประชาธิปไตย การฝกึ อบรมเกย่ี วกับการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย รวมถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางการเมือง ไดแ้ ก่ การเลือกตง้ั การประท้วง เป็นต้น มกี ารน�ำ เสนอเกี่ยวกบั สภาเดก็ และเยาวชน จำ�นวน 59 ช้ิน ตลอด ระยะเวลา 10 ปี และเมือ่ วเิ คราะหถ์ ึงผทู้ ่ีมีบทบาทในการให้ข้อมูลเปน็ ปากเสียงตามท่ีปรากฏในเนื้อหา ข่าว พบวา่ สว่ นใหญเ่ ป็นเจ้าหน้าที่ ของภาครฐั รองลงมาคือตัวเยาวชนเอง (ตาราง 4) ทั้งนี้ เจา้ หนา้ ท่ีรฐั ประกอบดว้ ยผู้บรหิ าร และนกั วิชาการหรือผู้ เกย่ี วขอ้ งกบั กิจกรรมท่เี ป็นข่าว สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ มมุ มองของส่อื เองยงั คงใหค้ วามสำ�คญั กบั เจา้ หน้าท่มี ากกวา่ ตัวเยาวชนเอง สำ�หรบั เยาวชน มกั มีสว่ นร่วมในขา่ วในฐานะผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรมเปน็ สว่ นใหญ่ โดยพบ ว่าส่วนใหญ่เยาวชนมักสะท้อนมุมมองเก่ียวกับการได้เข้าร่วมกิจกรรม ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................105

สงิ่ แวดลอ้ มของตนเองมากทส่ี ุด (ประมาณ 2 ใน 3) นอกนนั้ ได้แสดง ความเหน็ เก่ยี วกบั ปญั หาส่งิ แวดล้อมและผลกระทบ การสะทอ้ นความ คิดเหน็ เมอื ง และประเดน็ ที่เกีย่ วข้องเยาวชน (ตาราง 5) จากข้อมูลท่ีรวบรวมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและพัฒนาการ ในการนำ�เสนอข่าวสารด้านเยาวชนด้านส่ิงแวดล้อมได้ ในส่ือสารมวลชน ไทยเปน็ อย่างดี โดยเฉพาะในชว่ งต้ังแต่ปี 2548 เป็นต้นมา มีความ พยายามส่งเสริมในเยาวชนไทยด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากข้ึน อยา่ งไรก็ตาม ตลอดเวลา 10 ปีส่ือใหค้ วามสนใจนำ�เสนอข่าวด้าน เยาวชนมากขน้ึ เป็นล�ำ ดับ 106 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

11 พฤติกรรมสิ่งแวดล้อมของเยาวชนไทย ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................107

11. พฤตกิ รรมส่งิ แวดล้อมของเยาวชนไทย เยาวชนเป็นกลุ่มพลเมืองอีกกลุ่มท่ีสำ�คัญที่ทั่วโลกต่างให้ความสำ�คัญ เพราะถือวา่ เป็นทรพั ยากรมนุษย์ท่ีมีคา่ ต่อการพัฒนา ส�ำ หรบั ประเทศไทย หากพจิ ารณาแนวนโยบายของภาครฐั ทเ่ี กยี่ วข้องกับ เยาวชนก็จะพบว่ารัฐไทยให้ความสำ�คัญกับเยาวชนไทยในฐานะท่ีเป็น ทรพั ยากรมนษุ ย์ท่ีมีคา่ มาโดยตลอด ดงั จะเห็นไดจ้ ากค�ำ ขวญั วนั เดก็ ท่วี า่ “เด็กวนั นค้ี อื ผู้ใหญ่ในวันหน้า” “เดก็ ฉลาด ชาตเิ จรญิ ” เป็นต้น ซ่ึงสะทอ้ นมมุ มองและแนวนโยบายของประเทศไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ด้วย เหตุน้ีเยาวชนไทยจึงได้รับโอกาสต่างๆจากรัฐมากมายเพ่ือพัฒนาให้ เปน็ พลเมืองที่มีคณุ ภาพในอนาคต การพัฒนาเยาวชนไทยให้มีพฤติกรรมและการกระทำ�เพื่อสิ่งแวดล้อม จัดเป็นนโยบายสำ�คัญและหน่วยงานท้ังรัฐและเอกชนต่างพยายาม ร่วมมือกนั ในหลากหลายรูปแบบ ทง้ั การสนับสนนุ แหล่งทุน ระดม ทรัพยากรท่ีจำ�เปน็ ตา่ งๆ การจัดโครงการ กิจกรรมดา้ นสง่ิ แวดล้อม ส�ำ หรับพัฒนาเยาวชนม่งุ ใหเ้ ยาวชนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจมีคา่ นยิ ม ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม ซ่งึ อาจกล่าวไดว้ า่ ความพยายามของประเทศไทยใน การพัฒนาเยาวชนนั้น ไม่น้อยหนา้ ประเทศท่ีพัฒนาแล้วทง้ั หลาย 108 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ มมภี าระหนา้ ท่ที ่สี ำ�คัญ คอื การสรา้ ง ความตระหนกั ด้านสิ่งแวดลอ้ มใหก้ ับประชาชน และกลุ่มเยาวชนจดั ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายสำ�คัญที่กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมได้ ทมุ่ เทพละก�ำ ลังมากมายในการสร้างสรรคก์ ิจกรรมเพ่อื พัฒนาความรู้ ทักษะ และขดี ความสามารถของเยาวชนไทยเพือ่ มุ่งให้เยาวชนได้ เตบิ โตเป็นพลเมืองสง่ิ แวดล้อมทมี่ คี ุณค่าของประเทศในอนาคต ท้งั น้ี ได้ดำ�เนินงานผ่านโครงการต่างๆทั้งระยะส้ันและระยะยาวหลาย โครงการ เชน่ โครงการเครือข่ายเยาวชนดา้ นสงิ่ แวดล้อม และโครง การมหงิ สา กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม ได้ให้การสนบั สนุน การจดั กจิ กรรม ดา้ นสิง่ แวดลอ้ มให้กบั ชมรมตา่ งๆในระดับอุดมศกึ ษาท่ัวประเทศ มา ตง้ั แต่ปี 2530-35 กิจกรรมหลักนอกจากมุ่งพฒั นาศกั ยภาพทาง แนวคิดและวชิ การสงิ่ แวดลอ้ มแก่สมาชกิ ชมรม ยงั ใหก้ ารสนับสนนุ งบประมาณสำ�หรบั ใชจ้ ัดกจิ กรรมสิ่งแวดลอ้ มต่างๆ ของชมรมผา่ น การจัดการแบบอาสาสมัคร และต่อมาจึงไดพ้ ัฒนาการท�ำ งานในรปู แบบเครือขา่ ยระดบั ประเทศ ตั้งแต่ปี 2546 ภายใต้โครงการเครือ ขา่ ยเยาวชนดา้ นสงิ่ แวดล้อม ซึง่ ปัจจบุ นั มชี มรมดา้ นส่ิงแวดล้อม ในระดับอดุ มศึกษา ท่ัวประเทศเปน็ สมาชกิ จ�ำ นวน 62 สถาบนั ทั่ว ประเทศ (ประกอบด้วย ภาคเหนือ 11 สถาบนั ภาคใต้ 11 สถาบนั ภาคกลาง ตะวนั ออกและตะวนั ตก 22 สถาบนั และภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ 18 สถาบัน) โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ สง่ เสริมให้ นักศึกษาสมาชิกชมรมด้านส่ิงแวดล้อมได้มีโอกาสจัดกิจกรรมด้าน สิง่ แวดล้อม รวมท้ังแลกเปลยี่ นประสบการณ์ และร่วมกันท�ำ งานใน รูปแบบเครือขา่ ย และคาดหวงั ว่าเยาวชนที่ผา่ นการเปน็ สมาชกิ ชมรม ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................109

ด้านสิ่งแวดล้อมเหล่าน้ีจะสามารถพัฒนาทัศนคติและพฤติกรรมสิ่ง แวดล้อมเติบโตเป็นพลเมืองท่ีร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อมของสังคมต่อ ไป ท้ังน้ี กิจกรรมโครงการประกอบดว้ ย การสนบั สนนุ งบประมาณ แก่ชมรมสำ�หรับจัดกิจกรรมส่ิงแวดล้อมโดยมุ่งเน้นประเด็นส่ิงแวดล้อม ในทอ้ งถิ่น การจดั เวทีใหส้ มาชกิ ได้มีโอกาสแลกเปลย่ี นประสบการณ์ และพัฒนาศักยภาพของตัวเองด้านการเปน็ ผู้น�ำ สง่ิ แวดล้อม เป็นต้น โครงการมหงิ สาสายสืบ เป็นโครงการท่มี งุ่ กลุ่มเยาวชนอีกโครงการหนงึ่ ของกรมส่งเสรมิ คุณภาพสิง่ แวดลอ้ ม แต่โครงการนม้ี ุ่งกลมุ่ เยาวชน ในโรงเรียนท้งั ระดับประถมและมธั ยมศกึ ษา มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อสง่ เสริม ใหเ้ ยาวชนได้มปี ระสบการณต์ รงกับธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม โดยการ มงุ่ เนน้ ใหเ้ ยาวชนพฒั นากระบวนการเรยี นรู้และทักษะการท�ำ งานรว่ มกัน เป็นทีมและส่งเสริมให้เยาวชนได้มีโอกาสค้นหาและพัฒนาศักยภาพ ของตัวเองโดยการร่วมกลุ่มกันทำ�กิจกรรมท่ีท้าทายความสามารถใน การสำ�รวจและดูแลพ้ืนที่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตัวเอง โดยแนวคิดส�ำ คญั ของโครงการคือ การเปิดโอกาสใหท้ ่สี นใจได้ใกล้ชิด กับธรรมชาติผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเด็กและเยาวชนทำ�แล้วรู้สึก มคี วามสขุ และสนกุ สนาน ทัง้ นก้ี รมส่งเสริมคุณภาพสง่ิ แวดล้อม ให้การสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและถ่ายทอดทักษะวิชาการให้กับ กลมุ่ พ่เี ลี้ยงซง่ึ กระจายอยู่ทัว่ ประเทศ สว่ นเยาวชน (อายุระหว่าง 8-18 ปี) สามารถสมัครเขา้ ร่วมโครงการไดต้ ามความสนใจและความ สมคั รใจต้งั แตป่ ี 2548 ซง่ึ เรมิ่ โครงการอยา่ งเป็นทางการ จนถึง ปี 2558 มีเยาวชนที่ผ่านเกณฑต์ ามข้ันตอนที่โครงการกำ�หนดไว้ จ�ำ นวน 13,000 คนทัว่ ประเทศ 110 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

ในปี 2557 ได้ส�ำ รวจพฤตกิ รรมของเยาวชนท่เี ข้ารว่ มโครงการ จากทง้ั สองโครงการ เพือ่ ศกึ ษาลักษณะพฤตกิ รรมด้านสง่ิ แวดล้อม โดยเน้นที่พฤติกรรมการบริโภค ด้วยแบบสอบถามใหผ้ ูต้ อบรายงาน การกระท�ำ ของตวั เอง (self-reported behaviour) ว่าอยู่ในระดับ ทกี่ ระท�ำ บอ่ ยๆ นานๆครง้ั หรอื ไมเ่ คยกระท�ำ เลย และได้สอบถาม ถึงความตงั้ ใจท่ีจะกระทำ� (intended behaviour) ท้ังนผี้ ูศ้ ึกษาได้ ใช้แนวทางที่นักวิชาการด้านพฤติกรรมส่ิงแวดล้อมใช้กันทั่วไป ใน ประเทศตะวันตกซ่ึงเน้นการวัดพฤติกรรมสองประเภทด้วยกันคือ self-reported behavior และ intended behaviour กลุ่มตัวอย่างเยาวชนโครงการเครือข่ายเยาวชนซ่ึงเป็นระดับอุดมศึกษา จำ�นวน 144 คน แบง่ เป็นชายและหญงิ ร้อยละ 40 และ 60 ตามลำ�ดบั มอี ายุเฉลยี่ 19.8 ปี ก�ำ ลงั ศกึ ษาในระดับช้นั ปีท่ี 1-4 โดยมนี กั ศกึ ษาปี 2 มากทส่ี ุด (39.6%) และปีท่ี 1 นอ้ ยท่สี ุด (9%) เยาวชนโครงการ มหิ งสาสายสืบ จ�ำ นวน 113 คน แบ่งเป็นชายรอ้ ยละ 30 และหญงิ ร้อยละ 70 ศกึ ษาในระดบั ชนั้ มัธยมปลายมากทสี่ ุด รองลงมาคือมัธยมตอนต้น และประถมศกึ ษา (45%, 32%, 22% ตามล�ำ ดับ) มอี ายเุ ฉลย่ี 15 ปี กล่มุ ตัวอยา่ งสองกลมุ่ น้จี ดั วา่ อยู่ในวยั ท่ีส�ำ คัญคอื เป็นกลุม่ วยั รุ่น และ วัยผู้ใหญต่ อนตน้ พฤติกรรมส่งิ แวดลอ้ มทีแ่ สดงออก โดยภาพรวมแล้วเยาวชนท้ังสองกลุ่มส่วนใหญ่มีการแสดงออกซึ่งพฤติกรรม สิ่งแวดล้อมทั้งทเ่ี ปน็ การกระท�ำ ทเี่ ป็นประจ�ำ หรือนานๆครั้ง สว่ น พฤติกรรมท่ีไม่มกี ารกระท�ำ เลยพบน้อยอยู่ในระดบั ตำ�่ กว่า 10% เทา่ น้นั ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................111

ตาราง เปรยี บเทียบพฤตกิ รรมทางสงิ แวดลอมระหวางนกั ศกึ ษามหาวิทยาลัยและเยาวชนโครงการมหงิ สาสายสืบ พฤตกิ รรม แวดลอ มสิ่ง กระทําบอ ยครัง หรอื ประจํา (%) กระทํานาน ๆ ครัง (% ) ไมเ คยกระทําเลย (%) 1 นําถุงผา หรือ ตะกรา หรอื ภาชนะอน่ื ๆ สาํ หรับไปซอ้ื ของใชหรอื มหาวิทยาลยั เยาวชนโครงการมหงิ สาสายสบื มหาวิทยาลยั เยาวชนโครงการมหงิ สาสายสบื มหาวทิ ยาลยั เยาวชนโครงการมหงิ สาสายสบื อาหาร 2 แยกท้ิงขยะลงถงั ตามประเภทขยะ 55.9 27.4 39.3 59.3 4.8 13.3 3 ปฏเิ สธถงุ พลาสตกิ จากรา นคา 4 ปฏเิ สธโฟมสาํ หรบั ใสอ าหารเม่ือมโี อกาส 57.9 46.2 38.6 52.6 3.4 0.9 5 ขายขยะรีไซเคลิ ใหก บั คนรับซอ้ื รา นรบั ซอ้ื 45.5 23.3 46.2 62.1 8.3 14.7 6 แนะนาํ เพอ่ื นหรือสมาชกิ คนในครอบครวั เก่ียวกบั การรไี ซเคลิ 37.9 25.9 50.3 59.5 11.7 14.7 7 ปด นำ้ เมอ่ื พบเหน็ กอ็ กน้ำท่ี ปด ทงิ้ ไว 34 50.9 48.6 39.7 17.4 9.5 8 พบกอ็ กน้ำ หรือทอนำ้ ร่ัว แจง ผเู กย่ี วขอ งซอ ม 33.8 32.8 48.3 57.8 17.9 9.5 9 ปด นำ้ ขณะแปรงฟน 53.8 85.3 31 12.1 15.2 2.6 10 ไมเ ปด ฝก บวั ทิง้ ไวข ณะฟอกสบู หรือสระผม 49 54.3 39.3 39.7 11.7 6 11 เลอื กซอื้ สินคา ประหยัดไฟฟา 51 88.7 33.8 10.3 15.2 0.9 12 ปด ไฟฟาหรือถอดปลั๊กเคร่ืองใชไฟฟา ทุกครง้ั เมือ่ เลกิ ใชง าน 13 แนะนําใหเ พือ่ นหรอื สมาชิกในครอบครัวเกยี่ วกบั การประหยัด 51.7 64.7 33.8 25.9 14.5 9.5 พลงั งาน 58.6 65.8 33.1 31.9 8.3 1.7 14 นาํ กระดาษท่ีใชแ ลว หนา เดยี วกลับมาใชอกี ครง้ั 15 นาํ กระดาษทใี ชแ ลว กระดาษหนงั สอื พิมพ กลบั มาใชใหม หรือ 60.7 75.2 33.8 23.1 5.5 0.9 ขายรา นรบั ซ้อื ของเกา 36.6 60.6 51.7 35.4 11.7 4 16 เลือกซ้ืออาหารปลอดสารพษิ หรอื อาหารอนิ ทรีย 51 64.6 42.6 31.3 2.8 3.4 17 เลือกซอื้ เสือ้ ผายอมสธี รรมชาติ 7.6 5.1 41.4 59.2 51 35.7 37.2 55.6 49.7 40.4 13.1 4 22.8 35.4 55.9 59.6 21.4 5.1 ตาราง เปรยี บเทยี บความตงั ใจในการแสดงพฤตกิ รรมทางสงิ แวดลอ มระหวางนกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยและเยาวชนโครงการมหงิ สาสายสืบ ความตงั ใจในการกระทาํ พฤตกิ รรมทางสงิ แวดลอม มหาวทิ ยาลัย มีความคิด (% ) ไมม ีความคดิ (% ) 76.9 เยาวชนโครงการมหิงสาสายสบื มหาวทิ ยาลัย เยาวชนโครงการมหิงสาสายสบื 1 รวมกจิ กรรมรีไซเคลิ ทบี าน ทีทาํ งาน หรือสถานศึกษา เชนเปน สมาชกิ ธาคารขยะรีไซเคลิ 63.6 2 ซือสินคา ทีผลติ จากการใชแ รงงานยา งเปน ธรรม 87.8 23.1 12.2 3 ซือสินคาทีม สี ลากสิงแวดลอ ม เชน ฉลากเขยี ว ฉลากประหยดั ไฟเบอร 5 68.5 4 ซือสินคาทีมีสลากคารบอนฟุตพริน (carbon footprint) 85.7 36.4 14.3 5 เลอื กซือผลติ ภณั ฑ หรืออาหารทีป ลอดสารพิษ (เชน ผายอ มสธี รรมชาติ) 52.4 6 เลอื กซือผลติ ภณั ฑ ทีม าจากแหลง ผลติ ในทองถิน หรือจากเกษตรกรโดยตรง 91.8 31.5 8.2 7 รวมประทวงหรือเดนิ ขบวน เพือเรียกรองเกยี วกบั ประเดน็ สิงแวดลอ ม 69.9 8 รวมกจิ กรรมรณรงคสิงแวดลอ มเมอื มีโอกาส 72.7 78.6 47.6 21.4 9 รวมลงชือเรียกรองใหร ัฐบาล แกไ ขปญ หาสิงแวดลอม 51 30.1 10.2 10 บริจาคเงิน หรือสิงของแกอ งคก รหรือกลุมบุคคลทีมีวัตถปุ ระสงคเ พือการอนุรักษ 89.8 11 ชกั ชวนเพอื นหรือสมาชิกคนในครอบครัว รวมใจกจิ กรรมรีไซเคลิ หรือประหยดั พลังงาน 62.2 82.7 27.3 17.3 58 63.3 49 36.7 37.8 6.1 67.1 93.9 67.3 42 32.7 64.3 32.9 12.2 87.8 35.7 8.2 91.8 หมายเหตุ จํานวนกลุมตัวอยา งนักศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั 145 คน จาํ นวนกลุมตวั อยา งนกั ศึกษาในมหาวิทยาลยั 116 คน 112 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

พฤติกรรมทีก่ ลุ่มเยาวชนโครงการมหิงสาฯ กระทำ�บ่อยสงู สุด 3 ลำ�ดบั แรก ได้แก่ ปดิ น�ำ้ ขณะแปรงฟนั (88%) ปิดน�ำ้ เมอ่ื พบเหน็ ก็อก น�ำ้ เปิดทงิ้ ไว้ (85%) และปิดสวิสซ์ไฟฟา้ หรอื ถอดปลก้ั ทุกคร้งั เมอื่ เลิก ใชง้ าน (75%) ตามล�ำ ดบั ส่วนกลุ่มเยาวชนระดับมหาวทิ ยาลัยใน โครงการเคร่อื ขา่ ยฯ พบวา่ พฤตกิ รรมท่ีกระทำ�บ่อยสงู สุด 3 ลำ�ดบั แรก คือ ปิดสวสิ ซ์ไฟฟ้าหรือถอดปลกั้ ทุกครัง้ เมื่อเลกิ ใชง้ าน (60%) เลอื กซ้อื สินคา้ ประหยัดไฟฟา้ (58%) และ แยกทิง้ ขยะลงถงั ตาม ประเภท (57%) จะเหน็ ได้ว่ากลุ่มนักศึกษามหาวทิ ยาลยั มีพฤตกิ รรม แยกทงิ้ ขยะสงู กวา่ กลมุ่ นักเรียน แตน่ กั เรียนโครงการมหงิ สาฯ มีก พฤตกิ รรมปดิ นำ�้ ขณะแปรงฟันสูงกวา่ นักศึกษามหาวิทยาลยั และมี เยาวชนมหาวิทยาลยั 15% ที่ไม่เคยกระท�ำ เลย พฤตกิ รรมการจัดการขยะ พบวา่ กลมุ่ เยาวชนโครงการมหงิ สาฯ ครึ่งหน่งึ ขายขยะรีไซเคิลประจำ� ซงึ่ เปน็ การกระทำ�ทสี่ ูงสุด ขณะที่ กลุ่มเยาวชนโครงการเครือขา่ ยเกือบ 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ มพี ฤติกรรม แยกทงิ้ ขยะลงถังตามประเภทเปน็ ประจ�ำ เป็นพฤตกิ รรมที่สงู สดุ และ เยาวชนกล่มุ หลังน้ีมพี ฤติกรรมนำ�ถงุ ผา้ หรอื ภาชนะอนื่ ๆส�ำ หรบั ไปซือ้ ของใชเ้ ป็นประจำ�ถงึ 55 เปอร์เซ็นต์ ขณะทีก่ ลมุ่ เยาวชนโครงกา รมหิงสาฯ มีพฤตกิ รรมนเี้ ปน็ ประจ�ำ เพียงประมาณ 25 เปอร์เซน็ ต์ แต่ประมาณครึ่งหน่ึงท่ีมีพฤติกรรมนน้ี านๆครง้ั อาจเน่ืองจากเยาวชน โครงการมหิงสาฯเป็นกลุ่มวัยรุ่นท่ียังมีการจับจ่ายซ้ือของน้อยเพราะ ผู้ใหญ่ เชน่ พอ่ แม่ หรอื ผู้ปกครองกระท�ำ แทน เป็นทน่ี ่ายินดีที่พบวา่ กลุม่ เยาวชนโครงการเครือข่ายฯ ซงึ่ เปน็ นักศกึ ษาระดบั มหาวิทยาลยั เกือบคร่ึงที่รายงานว่าได้ปฏิเสธถุงพลาสติกจากร้านค้าเป็นประจำ� ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................113

ขณะที่มกี ลมุ่ นกั เรยี นโครงการมหงิ สาเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ ท่ี กระทำ�เป็นประจ�ำ และประมาณ 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ ที่กระทำ� นานๆครั้ง สว่ นการปฏิเสธโฟมสำ�หรับใสอ่ าหารเมอ่ื มีโอกาส เปน็ พฤตกิ รรมทีน่ กั เรียนโครงการมหงิ สาฯ เกือบ 60 เปอรเ์ ซ็นต์ และประมาณครึ่งหนึ่งของนักศึกษามหาวิทยาลัยรายงานว่ากระทำ� นานๆคร้งั อย่างไรกต็ ามมีนกั ศึกษาโครงการเครอื ขา่ ยฯ เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ และนักเรียนโครงการมหงิ สาราว 1 ใน 4 ทแี่ จง้ วา่ ปฏเิ สธโฟมเปน็ ประจำ� ดงั น้ันควรส่งเสริมตอ่ ไปใหพ้ ฤตกิ รรมที่วา่ น้ีมี การกระท�ำ ทีบ่ ่อยมากข้ึนเพ่อื ชว่ ยลดปรมิ าณขยะจากตน้ ทาง ส่วน การแนะนำ�ให้เพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวเก่ียวกับการรีไซเคิลพบว่า มียงั พบน้อยในกลมุ่ ตัวอยา่ งท้ังสองกลุ่ม โดยพบว่ามเี พยี งประมาณ 30 เปอรเ์ ซ็นต์ ของกลมุ่ ตัวอย่างทั้งสองกลมุ่ ทย่ี งั กระทำ�นานๆ คร้ัง และนักศึกษามหาวทิ ยาลัยเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่ยังไม่เคยกระทำ�เลย ควรส่งเสริมให้นักศึกษามหาวิทยาลัยมีส่วนในการเผยแพร่ความคิด การรีไซเคลิ ให้กลับบคุ คลอื่นใกลต้ ัวให้มากขึ้น พฤตกิ รรมประหยดั นำ้ � น่าสงั เกตวา่ นักเรียนโครงการ มหงิ สาฯ พฤติกรรมประหยัดน้ำ�สูงกว่ากลุ่มนักศึกษาโครงการเครือข่ายฯ โดยนักเรียนรายงานว่ามีพฤติกรรมเป็นประจำ�สูงกว่าทุกพฤติกรรม ทั้งน้ีนักศึกษาโครงการเครือข่ายประมาณคร่ึงหน่ึงเท่านั้นที่รายงาน วา่ มพี ฤตกิ รรมดังตอ่ ไปนีเ้ ป็นประจำ� ปิดน้ำ�เมื่อพบเหน็ น�้ำ เปิดท้งิ ไว้ พบกอ็ กน�ำ้ หรือท่อน้�ำ ร่ัวแจ้งผูเ้ กีย่ วขอ้ ง ปิดน�ำ้ ขณะแปรงฟัน และ ไมเ่ ปดิ น้ำ�ทงิ้ ไว้ขณะฟอกสบ่หู รือสระผม ทง้ั นี้นักศกึ ษาประมาณ 30 เปอรเ์ ซน็ ต์ มีพฤติกรรมดังกลา่ วนานๆครัง้ และ 10-15 เปอร์เซน็ ต์ ไมเ่ คยกระท�ำ เลย ควรใหค้ วามส�ำ คญั กบั กลุ่มนกั ศึกษาโครงการเครือ 114 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

ข่ายฯ ให้เหน็ ความส�ำ คัญของพฤติกรรมประหยัดน้�ำ เหล่านี้ใหม้ ากขนึ้ โดยเฉพาะพฤตกิ รรมการปดิ น้�ำ ขณะแปรงฟนั และฟอกสบู่ การประหยัดพลงั งานไฟฟ้า กลมุ่ นกั ศกึ ษาโครงการเครือ ขา่ ย 65 เปอรเ์ ซ็นต์ มีพฤติกรรมการเลอื กซอื้ สนิ คา้ ประหยัดไฟฟา้ เปน็ ประจำ�สงู สุด สว่ นพฤตกิ รรมการปดิ ไฟฟา้ หรือถอดปลก้ั ไฟฟา้ เป็นพฤติกรรมทีน่ กั เรยี นโครงการมหงิ สาฯ 75 เปอรเ์ ซ็นต์ กระท�ำ เป็นประจ�ำ สงู สดุ นา่ สังเกตว่ายังมกี ล่มุ ตวั อยา่ ง 5-10 เปอรเ์ ซน็ ต์ ที่ รายงานวา่ ไม่เคยปิดไฟฟ้าหรือถอดปลั้กไฟฟา้ เม่อื เลกิ ใชง้ าน ทง้ั ๆที่เป็น พฤติกรรมท่เี ยาวชนควรกระทำ�เปน็ นิสยั ส่วนการแนะนำ�ใหเ้ พอื่ นหรือ สมาชกิ ครอบครัวเกย่ี วกบั การประหยดั พลังงานพบวา่ นกั เรยี นโครงกา รมหงิ สาฯ กระท�ำ เปน็ ประจ�ำ ถงึ 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ สว่ นนกั ศึกษามหา วิทยาลัยเพืยงครง่ึ หน่ึงท่ีรายงานว่ากระท�ำ นานๆ ครัง้ นกั เรยี นโครงการมหงิ สาฯ มพี ฤติกรรมเพอ่ื ส่วนรวมสงู กวา่ นกั ศกึ ษาโครงการเครอื ข่าย เห็นได้จากมีพฤตกิ รรมการแนะนำ� ให้เพอื่ นหรือสมาชกิ ครอบครวั เก่ียวกับการประหยดั พลงั งาน การ แนะนำ�ใหเ้ พอื่ นหรือสมาชิกครอบครัวเกี่ยวกับการรีไซเคิล และปิดน้ำ� เม่อื พบเหน็ กอ็ กน้ำ�เปดิ ทิ้งไว้ การประหยดั กระดาษ การนำ�กระดาษใชแ้ ล้วหนา้ เดียวกลับ มาใช้ใหมแ่ ละการนำ�กระดาษท่ีใช้แลว้ กลบั มาใช้ซำ�้ หรอื ขายรา้ นรบั ซ้ือ ของเก่า เปน็ พฤติกรรมทก่ี ลุ่มตัวอย่างมากกวา่ ครง่ึ กระท�ำ เปน็ ประจ�ำ การเลือกซ้ือผลติ ภัณฑส์ ีเขยี ว นกั เรยี นโครงการมหงิ สาฯ เกือบ 60% มีพฤตกิ รรมเลอื กซื้ออาหารปลอดสารพษิ หรืออาหารอินทรีย์ เป็นประจำ� ขณะทนี่ กั ศึกษาโครงการเครอื ข่ายมพี ฤตกิ รรมดงั กลา่ ว เปน็ ประจำ�ต�ำ่ กวา่ (37%) ส่วนการซอื้ เส้ือผา้ ย้อมสธี รรมชาตยิ ังไดร้ บั ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................115

ความนิยมน้อย โดยกลุ่มตวั อย่างทง้ั สองกล่มุ เกอื บ 60 เปอร์เซ็นต์ มีพฤติกรรมนานๆ คร้ัง และนักศกึ ษามหาวิทยาลัย 21 เปอร์เซน็ ต์ ที่ไมเ่ คยกระทำ�เลย ขณะทนี่ กั เรียนเพยี ง 5 เปอรเ์ ซ็นตเ์ ทา่ นน้ั ที่ไมเ่ คย มพี ฤตกิ รรมทีว่ ่านี้ ความตง้ั ใจแสดงออกซง่ึ พฤติกรรมส่งิ แวดล้อม ในทางทฤษฎเี ชื่อว่า ความต้ังใจของบุคคลมีผลอย่างมีนัยสำ�คัญต่อพฤติกรรมสิ่งแวดล้อม เพราะพฤติกรรมส่ิงแวดล้อมเกิดจากความตั้งใจหรือเจตนารมย์ของ บคุ คล ดงั นน้ั ในการส�ำ รวจจึงได้สอบถามกลุ่มตวั อยา่ งว่า มคี วามต้ังใจ ทีจ่ ะมพี ฤติกรรมหรือการกระท�ำ อะไรบา้ งเพือ่ สิ่งแวดลอ้ ม หากบุคคล ใดมีความตง้ั ใจที่จะกระทำ�สงิ่ ใด ยอ่ มคาดการณ์ไดว้ า่ บคุ คลนน้ั ย่อม มีแนวโน้มแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมเหล่าน้ันสูงกว่าผู้ซ่ึงไม่มีความตั้งใจ (การสำ�รวจคร้ังนี้เป็นการสอบถามพฤติกรรมสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด พฤติกรรมสเี ขียว) โดยรวมแลว้ พบวา่ กลุ่มนักเรียนโครงการมหิงสาฯ รายงานถงึ ความ ตั้งใจกระทำ�เพ่อื สิ่งแวดลอ้ มจำ�นวน 11 การกระทำ�ทีส่ อบถาม มีความถี่ สงู กวา่ นักศึกษามหาวทิ ยาลัย ทั้งน้ีนกั เรยี นมคี วามตงั้ ใจรว่ มกจิ กรรม รณรงคส์ ง่ิ แวดลอ้ มเม่ือมีโอกาสสูงทสี่ ุดถึง (93.9%) รองลงมา 91.8 เปอร์เซน็ ต์ มีความต้งั ใจซื้อสนิ ค้าทีม่ ฉี ลากสิ่งแวดล้อมและชักชวนเพ่อื น หรอื สมาชิกครอบครวั ร่วมกจิ กรรมรีไซเคลิ หรอื ประหยัดพลังงาน ขณะ ท่ีนักศึกษามหาวิทยาลัยโครงการเครือข่ายมีความตั้งใจร่วมกิจกรรม รีไซเคิลสงู สุด (76.9%) รองลงมา คือ ตัง้ ใจเลอื กซ้ือผลติ ภณั ฑท์ ่ีมาจาก แหล่งผลิตในท้องถ่นิ หรือจากเกษตรกรโดยตรง (72.7%)และซอื้ สินคา้ ท่มี ฉี ลากสง่ิ แวดล้อม (68.5%) 116 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

การเลือกซ้ือสนิ คา้ สีเขยี ว ความตง้ั ใจพฤตกิ รรมการเลอื กซ้ือสินค้า สเี ขียว 5 รายการ ปรากฏวา่ ร้อยละของนักเรยี นโครงการมหิงสาฯ ประมาณ 80-90 เปอร์เซน็ ต์ รายงานถึงความตงั้ ใจในพฤติกรรม การเลอื กซ้ือสนิ ค้าสีเขียว ซึง่ สูงกว่านักศกึ ษาโครงการเครอื ข่ายทัง้ 5 รายการที่สอบถาม ท้งั นเ้ี มือ่ พจิ ารณาในรายละเอียด พบว่า นักศกึ ษา โครงการเครือข่ายเพียงคร่ึงหนึ่งเท่านั้นท่ีมีความตั้งใจเลือกซ้ือสินค้า ท่ีมีฉลากคารบ์ อนฟตุ พริน้ (และอีกคร่ึงหน่ึงไม่มคี วามต้งั ใจเลย) ขณะ ทนี่ กั เรียนโครงการมหงิ สาถึงเกอื บ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ ที่มีความตงั้ ใจ ดังกล่าว และเป็นทน่ี ่าสงั เกตว่ามนี ักเรยี นโครงการมหงิ สาฯ ถึง 85.7 เปอรเ์ ซ็นต์ ที่แสดงถึงความตั้งใจเลือกซื้อสินคา้ ทีผ่ ลิตจาก การใช้แรงงานอยา่ งเปน็ ธรรม แต่นักศกึ ษามหาวิทยาลัยเพยี ง 63.6 เปอรเ์ ซน็ ต์ เทา่ น้นั ทีม่ คี วามต้งั ใจนี้ ทั้งๆที่การใชส้ นิ คา้ ทผ่ี ลิตจาก การใช้แรงงานอย่างเป็นธรรมจัดว่ามีการรณรงค์ ในเรื่องนี้น้อยหรือ แทบไม่มเี ลยในสงั คมไทย แต่น่ายนิ ดที ่ีเยาวชนวัยรนุ่ ไทยมีความคดิ ใน ความเปน็ ธรรม ความคิดทางการเมอื ง พฤติกรรมส่งิ แวดลอ้ มทส่ี ะทอ้ นถงึ ความคดิ ทาง การเมอื ง ซ่ึงเปน็ ความคดิ เพื่อสังคมส่วนรวม ที่สอบถามสองรายการ พบว่ามีนักศึกษามหาวิทยาเพียงคร่ึงหน่ึงท่ีมีความต้ังใจร่วมประท้วง หรอื เดินขบวนเพอื่ เรียกร้องเกีย่ วกับประเด็นสิ่งแวดลอ้ ม และรว่ มลงชื่อ เรียกรอ้ งให้รัฐบาลแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม (และอีกครึ่งไม่มีความคดิ เลย) ขณะทีน่ กั เรยี นมากกว่า 60 เปอร์เซน็ ต์ มีความตงั้ ใจเรอื่ ง ดังกล่าว สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ เยาวชนวัยรุน่ ไทยอาจมีความคิดทางการเมอื ง (ซ่งื เปน็ ความคดิ เพ่ือส่วนรวม) สูงกวา่ นกั ศึกษามหาวิทยาลยั นอกจาก น้ี นกั เรียนโครงการมหงิ สาฯเกือบ 90 เปอรเ์ ซ็นต์ ทมี่ ีความตัง้ ใจ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................117

บรจิ าคเงินและสิ่งของให้แก่องคก์ รหรือกลุ่มบุคคลที่มีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือส่งิ แวดลอ้ ม ขณะทีน่ กั ศกึ ษามหาวิทยาลยั เกอื บ 70 เปอร์เซน็ ต์ ทมี่ ีความตง้ั ใจบรจิ าค ความต้ังใจการบรจิ าคเมื่อพิจารณาร่วมกับ ความต้ังใจรว่ มประท้วงและรว่ มลงช่อื เรียกรอ้ ง ยนื ยนั ถึงความคิดท่ี ตงั้ ใจกระทำ�เพือ่ สว่ นรวมโดยพบในนกั เรยี นโครงการมหงิ สาฯ สงู กวา่ นกั ศกึ ษามหาวิทยาลัย การสำ�รวจพฤติกรรมสีเขียวของเยาวชนไทยท้ังสองกลุ่มพบแนว โน้มที่ดีว่าเยาวชนไทยมีแนวโน้มของการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมและ การกระท�ำ เพ่อื สิง่ แวดลอ้ ม มีความคดิ กระทำ�เพือ่ สว่ นรวมของสังคม อย่างไรก็ตามท้ังสองกลุ่มท่ีศึกษาเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีความสนใจ กจิ กรรมดา้ นส่งิ แวดล้อม ซึ่งมคี วามคดิ ความเชอ่ื ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม เปน็ พน้ื ฐานอยแู่ ล้ว ซ่ึงเชอ่ื ไดว้ า่ ส่วนหนง่ึ เปน็ ผลจากการเข้าร่วม กจิ กรรมสง่ิ แวดลอ้ ม ดังน้ันเม่ือมีปจั จยั บางอยา่ งสนบั สนุนจงึ พรอ้ มท่ี จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมและการกระท�ำ เพือ่ สิง่ แวดลอ้ ม ทง้ั น้ีจาก ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่านักเรียนระดับมัธยมศึกษาซ่ึงเป็นผู้เข้าร่วม ในโครงการมหิงสาสายสืบมีแนวโน้มที่จะมีความคิดและแสดงออก ซึ่งพฤติกรรมเพ่ือส่วนรวมสูงกว่านักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยซึ่ง เปน็ สมาชิกชมรมดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม การศึกษาน้จี ึงยืนยนั ถึงความ สำ�คัญของการสนับสนุนและกระตุ้นให้เยาวชนได้มี โอกาสเข้า รว่ มกจิ กรรมสงิ่ แวดลอ้ มต่างๆ ซ่งึ สามารถดำ�เนนิ การในหลาย รปู แบบ เช่น ชมรมส่งิ แวดลอ้ ม การเข้าร่วมเป็นอาสาสมคั ร เป็นตน้ นอกจากน้คี วรมกี ารศกึ ษากับกลุ่มเยาวชนทัว่ ๆไป ใน ระดับประเทศด้วยเพ่ือให้ ได้ข้อมูลสำ�หรับท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ จดั การสง่ิ แวดลอ้ มต่อไป 118 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

12 การกระทำ�ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................119

12. การกระทำ�ด้านสิง่ แวดล้อม การกระทำ�เพื่อส่ิงแวดล้อมของประชาชนและชุมชนในประเด็นท่ีเก่ียวข้อง กับสง่ิ แวดล้อมท้องถิ่น เปน็ สิง่ ท่ที ัว่ โลกใหค้ วามสำ�คญั ดว้ ยเหตุน้ี รัฐบาลท้องถ่ินจึงพยายามให้ชุมชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมและ ลงมือกระทำ�เพ่ือส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่นของตนเองให้มากที่สุดในบทความ เร่ือง Taking Environmental Action: The Role of Local Com- position, Context, and Collection ได้พยายามทำ�ความเขา้ ใจว่า เพราะเหตใุ ด และอยา่ งไรประชาชน จึงกระทำ� เพ่ือสงิ่ แวดล้อมซง่ึ กระตุ้นให้เกดิ การเปล่ียนแปลงท่ีสำ�คญั ๆ บทความน้ีได้ให้นิยามเกี่ยวกบั การกระท�ำ ดา้ นสิ่งแวดล้อม หรือ environmental action ว่า เป็นพฤติกรรมท่เี กิดขน้ึ ดว้ ยความตั้งใจ เพ่ือก่อให้เกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในแง่สังคมศาสตร์แล้วการกระทำ� ด้านส่งิ แวดลอ้ มไดม้ มี ุมมองและการศึกษาทต่ี า่ งๆกันไป นกั ทฤษฎที าง สังคมมักเน้นเรื่องการกระท�ำ ด้านส่ิงแวดล้อมในบริบทของการเคล่ือนไหว ทางสงั คมแบบใหม่ หรือ new social movements ท่เี ชอ่ื มโยงกบั แรงผลกั ทางสังคมระดับใหญๆ่ (macrolevel social forces) เพือ่ นำ�ไป สกู่ ารการเปลยี่ นแปลงรปู แบบของสิง่ แวดลอ้ มนยิ ม (environmentalism) 120 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

การกระท�ำ ดา้ นสิง่ แวดล้อมสามารถแบง่ เปน็ 4 รปู แบบด้วยกัน รูปแบบ 1 reactive lifestyle change เชน่ การทป่ี ระชาชน มปี ฏิกิรยิ าตอบสนองตอ่ มลพษิ ทางอากาศ ซึ่งเปน็ การพยายาม ปรับเปล่ียนพฤติกรรมในชีวิตประจำ�วันให้สอดรับกับสถานการณ์ ตัวอย่าง เชน่ เพมิ่ การท�ำ ความสะอาด จำ�กดั กจิ กรรมนอกอาคาร รูปแบบการกระทำ�น้ีเป็นการตอบสนองกับปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีมี ผลโดยตรงกับชีวิตประจำ�วนั เปน็ การกระท�ำ ทม่ี ิได้มีเปา้ หมายเพอื่ ลดตวั ปัญหาทเ่ี กิดขึ้น (แตเ่ ป็นการพยายามปรบั ตวั ให้เข้ากบั สภาพ ปัญหา) งานวิจยั ท่ผี ่านมาพบว่าการกระท�ำ รูปแบบนเ้ี ป็นสง่ิ ทีพ่ บเห็น ได้ทัว่ ๆไปอยา่ งมาก รูปแบบ 2 การเปลีย่ นแปลงส่วนบคุ คล (personal change) ประกอบด้วยกิจกรรมซึ่งบุคคลกระทำ�เพ่ือพยายามปรับปรุงคุณภาพ ส่ิงแวดล้อม เช่น การรีไซเคลิ และพฤตกิ รรมการบริโภค การกระท�ำ นี้ อาจเปน็ สิง่ ท่ีสง่ ผลถงึ การสรา้ งสมรรถนะทางจติ วทิ ยา และอาจมีผล โดยตรงต่อคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม แมว้ ่าจะเพียงเล็กน้อยกต็ าม รูปแบบ 3 การกระทำ�เชงิ พลเมอื งระดบั ปจั เจกชน (individual civic action) หมายถงึ กจิ กรรมของบุคคลทีพ่ ยายามเปลยี่ นแปลง กระบวนการทางสงั คม เช่น การรอ้ งเรียนไปยงั รฐั บาล หรอื ภาค อุตสาหกรรมเกย่ี วกบั ปญั หาสง่ิ แวดล้อม หรอื ดว้ ยการบรจิ าค ให้กับกลมุ่ สิง่ แวดลอ้ มตา่ งๆ กิจกรรมเหลา่ นี้สามารถนำ�ไปสู่การ เปลี่ยนแปลงทางส่งิ แวดลอ้ ม และอาจสง่ เสริมขีดความสามารถ ระดบั บคุ คลไดด้ ้วย แต่อยา่ งไรกต็ าม ก็มิได้น�ำ ไปสกู่ ารเช่อื มโยง ใหม่ๆในชุมชนได้ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................121

รูปแบบ 4 การกระทำ�เชิงพลเมอื งแบบร่วมมือกนั หรือ coperative civic action (เชน่ การเขา้ รว่ มประชมุ สาธารณะหรือ public meeting และการรว่ มประท้วง) การกระทำ�เชน่ นี้เนน้ ท่ีการ พยายามเพิ่มอ�ำ นาจการตดั สินใจและมผี ลตอ่ องคก์ รทอ้ งถ่นิ จากการกระท�ำ ดา้ นสิ่งแวดล้อมรปู แบบต่างๆ จงึ พงึ ระลกึ ว่า ลักษณะ ของแตล่ ะบุคคล สง่ิ แวดล้อม เครือขา่ ยทางสังคม และชุมชน ยอ่ มมี ผลต่อการกระทำ�ทุกรูปแบบดังกลา่ ว ตัวอย่างเช่น ปจั จัยท่มี ผี ลอยา่ ง มากตอ่ พฤติกรรมการรีไซเคลิ คือ การมหี รอื ไมม่ ีโปรแกรมรีไซเคิล และแรงจูงใจทางลบ ได้แก่ การตอ้ งจ่ายเงินเพื่อซือ้ ถงุ ขยะ เป็นต้น36 มาตรการทางภาษสี ิง่ แวดลอ้ ม รปู แบบหน่งึ ของการกระ ทำ�เพอื่ สง่ิ แวดลอ้ ม มาตรการทางภาษีเป็นอีกมาตรการหนึ่งท่ีมีผลต่อการตัดสินใจของ ประชาชนดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม การใช้มาตรการทางภาษมี กี ารใช้ใน หลากหลายรูปแบบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การรวมไว้ใน ภาษีทว่ั ๆไป หรอื ทางตรงเปน็ การประกาศใหป้ ระชาชนทราบวา่ น้ี คอื ภาษีดา้ นสง่ิ แวดล้อมท่ีรฐั เรยี กเกบ็ เชน่ การเกบ็ คา่ จดั การขยะ โดยแนวคิดหลกั แลว้ มาจากหลักการที่ว่า ผูท้ �ำ ใหส้ ่ิงแวดล้อมเสีย หายย่อมเป็นผจู้ ่าย หรือ polluter pays principle ปจั จบุ ันมีการใช้ มาตรการทางภาษีสิ่งแวดล้อมเพอ่ื เปน็ เครอ่ื งมือทางการตลาด ภาษสี ่ิงแวดลอ้ มมกั ใช้กบั ผู้ปล่อยมลพิษเปน็ เบอ้ื งตน้ โดยมเี ปา้ หมาย เพื่อกระต้นุ ใหผ้ บู้ ริโภคลดปรมิ าณการใชท้ รัพยากร หรอื ลดการ ปลอ่ ยของเสียออกสู่สิง่ แวดลอ้ ม ท้งั นี้ การจัดเกบ็ ภาษีทว่ี า่ น้อี าจ 122 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

กระทำ�ทัง้ ในรปู แบบของการเรียกมัดจำ� หรือ การเรียกเกบ็ การจดั เกบ็ ของเสยี ในบทความที่จะกล่าวถึงต่อไปน้ี เป็นการนำ�เสนอผล จากการเรียกเก็บภาษีถุงพลาสติกจากผู้บริโภคในไอรแ์ ลนด์ ซึ่งกำ�หนด ให้เรียกเก็บค่าถงุ พลาสตกิ ใบละ 0.15 ยโู ร มาตง้ั แต่ มีนาคม 2002 เพ่ือปรับเปล่ียนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก และเพ่ือเสริมสร้างความตระหนักของประชาชนด้านส่ิงแวดล้อม มาตรการนีม้ ีการใชม้ าแลว้ ในหลายประเทศ เชน่ บังคลาเทศ หรอื รวนั ดา และเดนมาร์คก็มีการใช้ภาษีท้ังกับผู้ผลิตและร้านค่าปลีกซ่ึงเป็นท่ีรับ รู้ว่าประสบความส�ำ เร็จอย่างสูงท้ังในแง่ของการยอมรับและการลด ปริมาณการใช้ของผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสีย ได้มีการศึกษาความเต็มใจในการจ่ายค่าถุงพลาสติกของประชาชน ชาวไอรชิ ในปี 1999 กับกลมุ่ ตัวอยา่ งจ�ำ นวน 1,003 คน พบวา่ มี กล่มุ ตัวอย่าง 40 เปอร์เซ็นต์ ท่มี คี วามคดิ วา่ ไม่จ่าย 27 เปอรเ์ ซน็ ต์ ยอมจ่าย 1-2 เพนนี 25 เปอรเ์ ซน็ ต์ ยอมจ่าย 3-5 เพนนี และ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์ ยอมจา่ ย 6 เพนนี ในเดือนมีนาคม ปี 2002 รฐั บาลไอริชไดต้ ดั สินใจออกกฎหมายให้ ผ้บู ริโภคจ่ายค่าถงุ พลาสติกสำ�หรบั การซอื้ ส่ิงของเปน็ เงินใบละ 0.15 ยูโร ด้วยเหตุผลที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องประสบกับปัญหาถุงพลาสติกเกลื่อน ในสถานท่ีต่างๆท้ังในพ้ืนทีช่ นบทและชายฝัง่ เนอื่ งจากไอร์แลนดม์ ลี ม แรงและมีพ้นื ทสี่ ำ�หรบั เป็นท่ีฝงั กลบขยะอยา่ งจ�ำ กดั อยา่ งไรกต็ าม การออกกฎหมายนอี้ กี แงห่ นง่ึ ก็เพ่ือปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมของผู้ บริโภคดว้ ย รวมท้ังเป็นการกระตุ้นใหผ้ บู้ ริโภคหนั มาใช้ถุงซำ�้ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................123

จากการประเมนิ ผลการใชม้ าตรการดังกลา่ ว พบว่า สามารถลด ปริมาณการใชถ้ ุงลงไดถ้ งึ 94 เปอร์เซน็ ต์ โดยคาดวา่ ก่อนการ ประกาศใช้มาตรการนี้ มกี ารใช้ถุงพลาสตกิ จำ�นวนประมาณ 1.2 ล้านใบ การสำ�รวจในพ้ืนท่กี ลางแจ้งต่างๆ ระหว่างเดอื นมกราคม ปี 2002 ถึงเดอื นเมษายน ปี 2003 พบพนื้ ทท่ี ี่ปราศจากถุงพลาสตกิ เพมิ่ ข้ึนถึง 21 เปอร์เซ็นต์ และพบว่า พนื้ ท่ที ี่เคยมีถงุ พลาสตกิ ปรากฏ ให้เหน็ ไดเ้ ปล่ียนเป็นพ้นื ทท่ี ี่ไมม่ ถี ุงพลาสตกิ เพิ่มขึน้ 56 เปอร์เซน็ ต์ นอกจากน้ี ปริมาณถุงพลาสติกที่ท้งิ เป็นขยะลดลงจาก 5 เปอร์เซน็ ต์ (ก่อนประกาศภาษี) เหลอื เพยี ง 0.32 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 2002 และ 0.25 เปอรเ์ ซ็นต์, 0.22 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 2003 และปี 2004 ตาม ล�ำ ดับ ดา้ นของผขู้ ายพบว่า ซุปเปอรม์ าร์เกตขนาดใหญส่ ามารถลด ตน้ ทนุ ลงได้ 1.93 ล้านยโู รในปีแรกของการด�ำ เนินการ ดา้ นผู้บริโภค พบวา่ มีความพึงพอใจกับมาตรการภาษดี งั กล่าวเปน็ อยา่ งมาก ทัง้ น้ี มคี วามเหน็ วา่ มาตรการสามารถลดผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมได9้ 124 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

13 NIMBY Syndrome กับการพัฒนาพลังงาน ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................125

13. NIMBY Syndrome กบั การพฒั นาพลังงาน NIMBY ยอ่ มาจาก Not-In-My-Backyard หรอื อยา่ มาที่ หลังบ้านฉนั ซง่ึ ปรากฏการณท์ วี่ า่ น้เี กดิ ขึ้นจากการคัดค้านไมเ่ ห็นด้วย กับกจิ กรรมหรือโครงการพัฒนาต่างๆของภาครฐั (เปน็ ส่วนมาก) ทั้ง ท่เี ปน็ โครงการพัฒนาดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม เช่น โรงงานไฟฟ้านิวเคลยี ร์ การขุดหานำ�้ มนั นอกชายฝั่ง ทางรถไฟ เป็นต้น และโครงการสรา้ ง สิ่งอำ�นวยความสะดวกใหส้ ังคม เชน่ โครงการบา้ นอยู่อาศยั สถาน พยาบาล เป็นตน้ ส�ำ หรับการพัฒนาพลังงานลมมกั พบการตอ่ ต้าน สถานท่ตี ัง้ กงั หันลม ทา่ มกลางภาวะวิกฤตดิ ้านพลงั งานของโลกในปจั จุบนั ท�ำ ให้พลังงาน ลมกลายเป็นทางเลือกที่สำ�คัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาพลังงานแทน การใช้พลงั งานฟอสซลิ แมว้ า่ ในประเทศไทยจะมีการพัฒนาพลังงาน ลมเม่ือไมน่ านมานี้ และยงั คงเป็นการพฒั นาพลังงานขนาดที่ไมม่ าก นกั กต็ าม แต่ในประเทศตะวันตกทัง้ ยุโรปและอเมริกาได้พฒั นาการ ใช้พลังงานลมมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษมาแล้ว แตก่ ็ปรากฏ ว่าหลายแห่งของการพัฒนาการใช้พลังงานลมต้องประสบกับการ 126 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

ต่อต้านจากประชาชน แมว้ ่าจะเปน็ พลังงานสะอาดกต็ าม ในขณะ เดยี วกนั หลายแหง่ ก็ไดร้ บั การสนับสนนุ จากประชาชนเป็นอย่างดี จากการศกึ ษาพบวา่ เหตผุ ลท่ปี ระชาชนไมเ่ หน็ ด้วยและต่อตา้ น การพฒั นากังหันลม ไดแ้ ก่ มลพิษทางเสยี งกอ่ ให้เกดิ ความรำ�คาญ ท�ำ ใหส้ ญู เสยี ทวิ ทัศน์ ส่งผลตอ่ พื้นท่ีธรรมชาติ โดยเฉพาะนกที่เสี่ยง ตอ่ การสญู พันธุ์ เปน็ ตน้ ในเบ้อื งต้น การตดั สนิ ใจของประชาชนว่า จะสนับสนุนหรือคัดค้านโครงการข้ึนอยู่กับการท่ีประชาชนมีความ คิดตอ่ พื้นทต่ี ัง้ โครงการอย่างไร ถ้ารบั รู้ในทางบวกประชาชนก็อาจ ให้การสนบั สนุนโครงการ แตถ่ ้าเปน็ ทางลบกอ็ าจคดั คา้ นแม้ว่า บุคคลนั้นๆจะมคี วามคิดเห็นสนับสนุนพลงั งานลมโดยรวมกต็ าม NIMBY คอื อะไร NIMBY เปน็ การตอ่ ตา้ นโครงการในทอ้ งถ่นิ ทม่ี ีลักษณะต่างๆ ดงั นี้ (1) ไม่ไว้วางใจในเจา้ ของโครงการ (2) กงั วลอยา่ งมากเก่ียวกบั ความ เสีย่ งของโครงการ (3) ข้อมลู ทีจ่ ำ�กัดเกย่ี วกบั สถานทีต่ ัง้ โครงการ ความเส่ียง และประโยชน์ท่ีไดร้ บั (4) มอี ารมณค์ วามขดั แย้งสงู (5) มีทศั นคติท่เี ฉพาะต่อสภาพปญั หา กรณีของกงั หันลมซงึ่ เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปรากฏวา่ ประชาชน คัดค้านเพราะไม่ต้องการให้สถานที่ตั้งโครงการอยู่ในบริเวณชุมชนตัว เอง ทั้งๆท่พี วกเขาเหล่าน้ันเห็นดว้ ยกับการพฒั นาพลงั งานลม นกั วชิ าการบางคนจึงมมี มุ มองว่าปรากฏการณ์ NIMBY Syndrome จึง เป็นเร่ืองของความเห็นแก่ตัวและเป็นการคัดค้านที่อยู่บนฐานของผล ประโยชน์ส่วนตัว ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................127

ดงั นนั้ กรณี แนวคิด NIMBY น้หี ากมองทีป่ ระเทศไทย จะเห็นว่า เกิดขึ้นไม่น้อยและเกิดข้ึนบ่อยท้ังท่ีเป็นข่าวและไม่เป็นข่าวในส่ือต่างๆ เพราะส่วนใหญเ่ ป็นเหตุการณ์ในทอ้ งถนิ่ ดังเช่น ท่ีปรากฏข้ึนบอ่ ยคร้งั เมือ่ ประมาณช่วงทศวรรษ 2530 ถงึ 2540 เกย่ี วกับการต่อต้านพืน้ ที่ ฝงั กลบขยะ หรอื กรณตี อ่ ต้านโรงงานไฟฟา้ ในหลายพ้ืนที่ก็มักเริ่มตน้ ดว้ ยแนวคิดนี้ คือเกดิ ขึ้นในระดับพนื้ ที่โครงการ กอ่ นขยายวงกว้าง ข้ึนเมื่อปรากฏเป็นข่าวในสื่อและได้รับความสนใจจากบุคคลภายนอก ทำ�ให้ประเด็นขยายวงกว้างขึ้นจนอาจกลายเป็นประเด็นระดับ ประเทศเชน่ กรณตี ่อตา้ นโรงไฟฟ้าถ่านหินบอ่ นอก หนิ กรดู เป็นตน้ การศึกษาเกยี่ วกบั ประเด็น NIMBY กบั กรณกี ารพฒั นาพลังงาน ลมเกดิ ขึ้นอย่างกว้างขวางทง้ั ในยุโรปและอเมรกิ า เนือ่ งจากทง้ั สอง ภูมิภาคน้ีต่างต้องประสบกับการต่อต้านจากประชาชนบ่อยคร้ังเม่ือ รฐั มีนโยบายพัฒนาพลงั งานลมในพ้นื ที่ตา่ งๆ การศึกษาเนน้ ในหลาก หลายแง่มมุ โดยเฉพาะอย่างย่งิ เพราะเหตใุ ดประชาชนจงึ คัดคา้ น มีปัจจยั ใดบ้างทเี่ ก่ียวข้อง ซึง่ พบว่า ความรทู้ ่วี า่ ประชาชนรับรู้ อยา่ งไรเกีย่ วกับพลังงานลมจัดเปน็ ประเด็นส�ำ คญั นกั วิชาการได้ตงั้ สมมตุ ฐิ านไว้ ดังนี้ (1) การเผยแพร่ขา่ วสารผา่ นส่ือเปน็ การเพิ่มความ รทู้ างการเมอื ง (political knowledge) (2) ขอ้ ความท่สี ่อื สารผา่ นสื่อ จะได้รับการยอมรับจากประชาชนถ้าสารนั้นสอดคล้องกับแนวโน้ม ที่มอี ยู่แล้วและคา่ นิยมของบุคคลน้นั (3) การยอมรบั สารทีส่ ื่อนนั้ จะ ลดน้อยลงถ้าเป็นสารท่ีตรงกันข้ามกับแนวโน้มที่มีอยู่แล้วและค่านิยม ของบคุ คลนน้ั ดงั นน้ั จงึ กล่าวได้ว่า การยอมรบั สารขน้ึ อยกู่ ับความรู้ ทางการเมืองของแตล่ ะบุคคล และแนวโน้มท่จี ะเห็นดว้ ยหรือไมเ่ ห็น ด้วยข้ึนกบั ความคิดท่ีมอี ยู่ในตัวผูร้ บั สาร 128 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

จากผลการศึกษาเพื่ออธิบายถึงการคัดค้านการพัฒนาพลังงานลม โดยใช้แบบสอบถามที่สอบถามชาวอเมริกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จ�ำ นวน 610 คนในเดือนมิถุนายน ปี 2008 พบผลท่สี �ำ คญั คอื ความ แตกต่างระหว่างประชาชนทั่วๆไปกับผู้ซึ่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับสถาน ที่ต้ังกงั หนั ลม หรอื บรเิ วณทค่ี าดวา่ จะใช้เป็นสถานที่ต้งั ซง่ึ สามารถ อธิบายไดถ้ ึงผลจาก NIMBY ถา้ สถานท่ีตั้งโครงการอยู่ใกล้ๆกบั ชมุ ชนของตวั เองกพ็ บวา่ การสนบั สนนุ จะลดนอ้ ยลง ทง้ั ๆที่เข้าใจถงึ ความจำ�เป็นและประโยชน์ของการใชพ้ ลังงานลม และเม่อื พจิ ารณา ว่าเพราะอะไรประชาชนจึงเปล่ียนความคิดตัวเองเม่ือกังหันลมจะต้ัง อยู่ในบริเวณใกลช้ มุ ชนตวั เอง กพ็ บว่าการเปล่ยี นแปลงความคิดนนั้ มคี วามสมเหตสุ มผล กล่าวคอื เกยี่ วข้องกบั เรอ่ื งผลประโยชนข์ องตัว เองดา้ นเศรษฐศาสตร์ โดยพบวา่ การสนับสนนุ จะลดลงในบคุ คลท่ี เช่ือว่ากังหันลมมีมูลค่าทางทรัพย์สินตำ่�หรือมีราคาที่สูงกว่าแหล่ง พลงั งานอื่นๆในการผลติ กระแสไฟฟา้ นอกจากนีย้ งั พบเหตผุ ลดา้ น ส่ิงแวดล้อมอีกดว้ ย คอื การสนับสนุนจะเพ่มิ สงู ข้นึ ถ้าบุคคลน้ัน เชอ่ื ว่าพลงั งานลมไมก่ ่อให้เกดิ มลพษิ ทางอากาศ ขณะเดียวกบั การ สนับสนุนจะลดน้อยลงในบคุ คลทีค่ ดิ ว่า “พลังงานลมไม่ปล่อยแก๊ซ กรนี เฮา้ ส์” มีความสำ�คัญ อย่างไรก็ตาม ในเบ้ืองต้น ความคิดที่ เปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยมซึ่งปฏิเสธ ความคิดท่ีว่าแก๊ซกรนี เฮา้ ส์เปน็ สาเหตทุ �ำ ให้เกิดภาวะโลกรอ้ น จึง สรปุ ไดว้ า่ ท้ังลกั ษณะของกังหันลมและคา่ นิยมหลักต่างส่งผลต่อ ทศั นคติของประชาชนท่มี ีตอ่ การพฒั นาพลังงานลม หากยอ้ นกลับมาพจิ ารณาถงึ ปฏสิ มั พันธ์ NIMBY กบั การพฒั นา พลงั งานลม กพ็ บว่า ผลจากการศกึ ษาดงั กล่าวสอดคล้องกบั แนวคิด NIMBY ทเ่ี น้นเร่ืองประชาชนซ่ึงอาศยั บรเิ วณใกลเ้ คียงกับพ้นื ที่โครงการ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................129

คดั ค้านโครงการการศึกษาเปรียบเทยี บความคดิ เห็นระหว่างประชาชน ในทอ้ งถน่ิ กบั ความคดิ เหน็ ของประชาชนทัว่ ๆไปในประเทศ ถา้ คน ท้องถ่นิ คัดคา้ น แต่คนทวั่ ไปสนบั สนุน ดังนนั้ เมอ่ื ศึกษาเก่ียวกับ NIMBY ควรศึกษาในระดับประเทศควบคู่ไปด้วยกัน31, 37 ทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ คา่ นยิ ม รวมถึงความร้ขู องคนแต่ละ คนย่อมมผี ลตอ่ การตัดสนิ ใจ ที่จะยอมรับหรอื คดั ค้านเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาพลงั งาน มีการศกึ ษาวิจัยมากในต่างประเทศ โดย เฉพาะในประเทศยโุ รป เพราะตระหนกั ดีว่า การได้รับความ ยอมรบั หรอื ไม่ยอมรบั จากประชาชน หรอื สงั คม เป็นปจั จยั ท่ีชีถ้ งึ ความสำ�เร็จอย่างหน่งึ ของการด�ำ เนินงาน ไม่ใช่เพียงแต่เทคโนโลยี เท่านน้ั สำ�หรับสหราชอาณาจักรพบว่า ประชาชนประมาณ 2 ใน 3 ใหก้ ารสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยปี ระเภททดแทนได้ (re- newable energy technologies) โดยเฉพาะพลังงานลม ขณะท่ี ประมาณ 1 ใน 3 สนบั สนุนพลงั งานนิวเคลียร์ และการสนบั สนุน เช่นนค้ี ่อนขา้ งม่ันคงมาตั้งแตป่ ี 2000 (จากบทความที่พิมพ์เผยแพร่ ในปี 2005) Devine-Wright (2007) รายงานผลการศกึ ษาถึงปจั จัยตา่ งๆ ทีม่ ี ผลตอ่ การยอมรบั หรือคดั คา้ นการพฒั นาพลังงาน แบ่งไดด้ งั น้ี [ ปจั จยั ส่วนบคุ คล (อายุ เพศ ชนชัน้ รายได)้ [ สงั คมและจติ วทิ ยา (ความรูแ้ ละประสบการณต์ รง ความเช่อื ทางการเมอื งและสิง่ แวดล้อม การยดึ มน่ั กบั สถานทีต่ ัง้ โครงการ) [ บรบิ ท (รูปแบบและขนาด โครงสรา้ งทางสถาบนั และ บริบทเชิงพน้ื ท)ี่ 130 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

1. ปัจจัยส่วนบคุ คล พบว่า ผูท้ ม่ี อี ายมุ ากกว่าเปน็ กลุ่มที่มรี ะดับความตระหนัก และการคดั ค้านตอ่ พลงั งานทดแทนสงู กว่ากลุ่มที่มอี ายุนอ้ ยกวา่ ใน ทางกลบั กนั ผลจากการสำ�รวจระดับชาตพิ บว่า ผู้ทมี่ อี ายุน้อย 16-24 ปี และกลมุ่ อายมุ าก 65 ปีขึ้นไป มีระดับความตระหนัก และการคดั คา้ นต่�ำ กวา่ กลุ่มอายุ 35-44 ปแี ละ 55-64 ปี กรณี พลงั งานนิวเคลยี ร์พบว่า กล่มุ ที่มอี ายุมากกวา่ มรี ะดับการสนบั สนุน สงู กวา่ กลุ่มอายุน้อย ขณะท่ีในเรอื่ งของเพศพบวา่ การศึกษาต่างๆ ยังไดผ้ ลการศกึ ษาที่แตกตา่ งกัน เชน่ จากการสำ�รวจ Times/Populas พบวา่ ผู้หญงิ ซ่งึ มี 90 เปอร์เซ็นต์ ใหก้ ารสนับสนนุ การพัฒนา พลังงานทดแทนสูงกว่าผู้ชายซ่งึ มี 66 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงดูเหมอื น วา่ จะสนับสนุนพลงั งานลมนอ้ ยกวา่ ผู้ชาย และผู้ชายให้การสนับสนุน พลงั งานนิวเคลยี ร์มากกว่าพลงั งานลม เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ผ้หู ญงิ ในแง่ของช้ันทางสงั คม พบว่ามคี วามสัมพันธท์ างบวกระหวา่ งรายได้ กับชนชั้นทางสงั คม และระดบั การสนบั สนนุ ท้ังพลงั งานทดแทนและ พลังงานนวิ เคลยี ร์ โดยพบว่า ผ้มู รี ายได้มากว่า 30,000 ปอนด์ตอ่ ปี ให้การสนับสนุนสูงกว่ากรณีการก่อสร้างโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ ใหม่ พลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานลม 2. ปัจจัยทางจิตวิทยา ระดับความตระหนกั และความเข้าใจ พบการศกึ ษาความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งความรู้และการยอมรับจำ�นวน 2 ชน้ิ อย่างไรก็ตาม ก็พบว่า ระดับของการสนับสนุนกับระดับของความอิสระต่างเป็นอิสระต่อกัน นัน่ หมายความว่า ผูท้ ีม่ คี วามตระหนักสงู ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเป็นผู้มรี ะดับ การสนับสนนุ สูง ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................131

ความเชือ่ ทางการเมือง ความเชอ่ื ทางการเมอื งสมั พันธ์กบั การ ยอมรับเทคโนโลยีคาร์บอนดต์ ำ่�ประเภทต่างๆ เช่น การศกึ ษา ของ Populus ช้ีวา่ ประชาชน 37 เปอร์เซ็นต์ ทสี่ นับสนุนพรรค อนรุ ักษ์นยิ มเป็นผทู้ ีม่ คี วามเห็นสนบั สนนุ โรงงานนวิ เคลียร์ ความเชอ่ื และความกงั วลดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม พบว่าการสนบั สนนุ เทคโนโลยีพลังงานทดแทนได้รับการกระตุ้นจากความกังวลด้านส่ิง แวดล้อม โดยเฉพาะการเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ อย่างไรกต็ าม ความสัมพันธ์ระหว่างความกังวลต่อส่ิงแวดล้อมและการยอมรับ เทคโนโลยีพลังงานทดแทนเป็นเรื่องซับซอ้ น ขน้ึ อยกู่ ับระดบั ของ “สงิ่ แวดลอ้ ม” ท่ีประชาชนใหค้ วามส�ำ คัญ และผลกระทบของเทคโนโลยี มีระดบั แตกตา่ งกันอย่างไร ผู้ที่ให้การสนับสนุนอาจมคี วามกงั วล เก่ียวกับผลกระทบจากปัญหาการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศใน ระดบั โลก ผู้ทคี่ ดั ค้านอาจกังวลเกีย่ วกับผลกระทบจากเทคโนโลยีใน ระดับทอ้ งถิน่ จงึ เปน็ เสมือนความขัดแยง้ ที่มลี ักษณะของ “เขียว” ต่อ “เขียว” ดว้ ยกนั (‘green’ on ‘green’) การยดึ ตดิ กับสถานท่ี (place attachment) ประเดน็ น้ีมีการศกึ ษา นอ้ ย Devine-Wright เป็นผู้ชี้ใหเ้ หน็ ถงึ ประเด็นน้ีว่าความรู้สกึ ตดิ ยึดกับสถานทีม่ อี ยสู่ ูง นั่นคือ เปน็ ความร้สู กึ ทางบวกที่บคุ คลรสู้ กึ ผูกพันกับคุณค่าของสภาพแวดล้อมซ่ึงสามารถจูงใจให้ผู้น้ันสนับสนุน หรอื คดั คา้ นโครงการได้ มีการศึกษาในนอรเวยเ์ กยี่ วกับการพัฒนา พลังงานนำ้�ขนาดใหญ่ซ่ึงพบว่าความรู้สึกผูกพันติดยึดกับสถานท่ีเป็น ปัจจัยท่มี คี วามส�ำ คญั ย่ิงกวา่ ปัจจัยส่วนบคุ คล เช่น เพศ อายุ การรบั รเู้ กีย่ วกับความเปน็ ธรรมและระดบั ความไวว้ างใจ (perceived 132 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

fairness and levels of trust) ผลการศกึ ษาทศั นคตติ อ่ การตัดสนิ ใจการพฒั นาพลังงานลม กบั ชาวเยอรมนั จ�ำ นวน 291 คน พบว่า ความเปน็ ธรรม (เช่น ความเปน็ ธรรมของการ กระจายกระบวนการ) เป็นปัจจัยสำ�คัญต่อการอธิบายทัศนคติทางลบของประชาชนต่อ พลังงานลม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการโซนนิ่ง การวางแผนและการ ตดั สินใจให้ใบอนุญาต (licensing decision) มรี ะดับของความไม่ไว้ วางใจผตู้ ัดสินใจทางการเมอื งระดบั สูง เชน่ เดียวกับทพ่ี บในสหราช อาณาจกั รคือ พบระดับความไว้วางใจบุคคลทม่ี บี ทบาทหลกั ระดับ ต่ำ� รวมถงึ นักพฒั นาโครงการ ผมู้ ีอำ�นาจระดบั ท้องถิ่นและองคก์ ร พฒั นาระดบั ภูมภิ าค ซึ่งความร้สู ึกเหล่านี้มผี ลกับการตอบสนองของ ประชาชนท่ีมีต่อข้อมูลที่ ได้รับและการประเมินโครงการท่ีสื่อสารไป ยงั ตัวประชาชนระหว่างกระบวนการวางแผน 3. ปจั จยั ด้านบริบท ปัจจัยดา้ นเทคโนโลยี: ขนาดและรปู แบบ เทคโนโลยีประเภท คารบ์ อนตำ่�มีหลากหลาย ทงั้ ในด้านเทคโนโลยีเองและแหลง่ พลงั งาน ที่ใช้ เช่น ลม คล่นื แสงอาทิตย์ เป็นตน้ ตา่ งส่งผลกระทบ ต่อสภาพแวดล้อมทห่ี ลากหลายเชน่ กนั อาจแบง่ แยกขนาดได้เป็น 3 ระดบั ดว้ ยกนั คอื ขนาดเลก็ กลาง และขนาดใหญ่ ขนาดท่แี ตกตา่ ง กนั ยอ่ มสง่ ผลกระทบท่ีแตกต่างกันด้วยเช่นกัน จากการศกึ ษาพบผล ทเ่ี หมอื นๆกนั คอื การพฒั นากงั หันลมทีม่ ขี นาดเล็กกว่ามกั ได้รบั การยอมรับในทางบวกมากกวา่ ปัจจยั ดา้ นสถาบัน : เจ้าของโครงการ การกระจายผลประโยชน์ และการใช้กระบวนการมีสว่ นรว่ มของประชาชน มีการกลา่ ววา่ กญุ แจสำ�คัญของการได้รับการสนบั สนุนจากชุมชนท้องถ่นิ คอื การชดเชยในรูปของเงิน หรือรูปแบบอ่นื ๆ เพอื่ ทดแทนการไม่สมดุล ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................133

กนั ระหว่างตน้ ทนุ และประโยชนท์ ี่ไดร้ บั จากโครงการ ซ่งึ ได้มีการน�ำ เอาแนวคดิ น้ีไปใช้ในประเทศเดนมาร์ก พบว่า ประชาชนทไี่ ดร้ บั ประโยชน์ โดยตรงจากกังหันลมมีทัศนคติทางบวกต่อพลังงานลม มากกวา่ ผ้ทู ่ีไม่ไดร้ บั ประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ และสมาชกิ ของ กลุ่มสหกรณ์พลังงานลมมีความเต็มใจยอมรับกังหันลมในท้องถ่ิน ตวั เองมากกวา่ กลุม่ ที่ไม่ไดเ้ ป็นสมาชกิ ในสกอตแลนด์ พบการ ศึกษาการยอมรบั กังหันลมของประชาชนในเมอื ง Hebrides ช้วี า่ เม่ือรายได้การเช่าท่ีดินกลับคืนมาสู่ชุมชนที่เป็นเจ้าของที่ดินใน ทอ้ งถนิ่ ท�ำ ใหร้ ะดับการยอมรับเพ่มิ ขน้ึ จาก 28 เปอรเ์ ซ็นต์ เป็น 39 เปอรเ์ ซน็ ต์ และระดบั การคัดคา้ นลดลงจาก 55 เปอรเ์ ซ็นต์ เป็น 44 เปอร์เซน็ ต์ อยา่ งไรก็ตามดูเหมือนวา่ จะเปน็ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ระดับของการชดเชยและการรบั รถู้ งึ ความเป็นธรรม การขาดความ ไว้วางใจในสถาบันท่ีรับผิดชอบการพัฒนาอาจทำ�ให้เกิดการคัดค้าน แมว้ ่าจะมีระดบั ของการเสนอการชดเชยมากเพียงใดก็ตาม ประเด็นของความไว้วางใจและผลประโยชน์ท่ี ได้รับเก่ียวข้องกับระดับ ที่ประชาชนมีสว่ นร่วมในระยะเรม่ิ แรก ความเป็นเจา้ ของ และกรอบ ทางการเงินของโครงการ มีนกั วชิ าการหลายคนที่ใหค้ วามส�ำ คญั กับการส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการมสี ่วนรว่ มจากประชาชนตงั้ แต่ต้น แต่ไม่ สามารถยืนยันได้ว่าการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ พัฒนาพลังงานจะท�ำ ให้ประชาชนยอมรับเสมอไปทกุ กรณี ในความ เปน็ จริงการจดั ใหม้ กี ารมสี ว่ นร่วมก็อาจเป็นเหตุใหม้ ีการต่อตา้ น เปน็ จัดให้เกิดการรวมกลุ่มของประชาชนท้องถ่ินและพูดคุยส่ือสารกัน ถึงความกงั วลของพวกเขาในกระบวนการการมีสว่ นรว่ มทจ่ี ดั ข้ึน ซึง่ 134 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

กรณีน้ีนบั วา่ เป็นส่งิ สำ�คัญ ดังเช่นท่ี Bell และคณะ(2005)คดิ เหน็ วา่ “ควรท�ำ ใหผ้ ู้จดั ทำ�นโยบายมีความเขา้ ใจถึงวัตถปุ ระสงค์ ลักษณะและเทคนิคของการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้ เสียทถ่ี กู ตอ้ ง” ในการพฒั นาพลงั งานทดแทน ปจั จยั บรบิ ทเชิงพ้ืนท:ี่ ภมู ภิ าค และทอ้ งถน่ิ spatial proximity and NIMBYism เช่น พบว่าระดบั การสนบั สนนุ พลังงานลมและนวิ เคลียร์ แตกต่างกนั ระหว่างทางเหนอื และใตข้ องอังกฤษ สมมุตฐิ านรวมๆใน เอกสารวชิ าการเก่ียวกบั พลังงานลม กล่าวไวว้ ่าผซู้ ง่ึ อาศัยอยบู่ รเิ วณ ใกลเ้ คยี งกับทตี่ งั้ โครงการมแี นวโนม้ ท่ีจะมที ศั นคตทิ างลบ เช่น พบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับโรงงานพลังงานชีวมวลมีทัศนคติทางลบต่อการ จ่ายค่ากระแสไฟฟา้ จากพลังงานชวี มวล อย่างไรก็ตาม มหี ลายการ วจิ ยั ท่ีพบผลในทางตรงข้าม คือ ผู้ทีอ่ าศยั อยู่ใกล้กับท่ีตั้งโครงการ กลบั มแี นวโนม้ ที่จะมที ศั นคติทางบวกมากกวา่ เมอ่ื เปรยี บเทียบกบั ผู้ ทอ่ี ยู่หา่ งออกไป แนวคดิ เรื่อง NIMBY เป็นการคดั คา้ นในระดบั ท้องถิน่ ที่ไมเ่ หน็ ดว้ ย กบั โครงการท่จี ะมาใชส้ ถานท่ีในท้องถิ่นตัวเอง อยา่ งไรกต็ าม Devine-Wright กส็ รปุ ไว้วา่ มกี ารศกึ ษาท่สี นบั สนนุ แนวคดิ น้ีไว้ อยา่ งจำ�กดั เพราะมหี ลายการวจิ ัยทพ่ี บวา่ ประชาชนทอ้ งถิ่นให้การ สนบั สนนุ โครงการระดับสงู กวา่ ระดับภาคและระดับชาติ นอกจากน้ี การงานวจิ ยั ของ Wolsink ซง่ึ สำ�รวจกังหันลมในเนเธอร์แลนดจ์ �ำ นวน 3 แห่ง เพอื่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการตอ่ ต้าน สรุปไดว้ า่ ทัศนคตขิ อง ประชาชนต่อกังหันลมท้องถิ่นส่วนใหญ่อธิบายด้วยการรับรู้ท่ีมอง เห็นมากกวา่ เป็นความคิด NIMBY และพฤติกรรมการต่อตา้ นสามารถ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................135

อธิบายได้ด้วยปัจจัยท้องถ่ินมากกว่าคำ�กล่าวทั่วๆไป ในทางบวกของ พลงั งานลม เชน่ พลงั งานลมเปน็ แหลง่ พลังงานสะอาด เป็นต้น ดงั นั้น เราจงึ จำ�เป็นตอ้ งท�ำ ความเข้าใจการมีสว่ นร่วมและการ ยอมรับของประชาชนต่อการพัฒนาพลังงานใหม้ ากข้ึน แทนท่จี ะ มองว่าทัศนคติของประชาชนเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทาง เทคโนโลย1ี 2 136 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

14 ชาวอเมริกันคิดอย่างไรเกี่ยวกับโลกร้อน ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................137

14. ชาวอเมริกนั คดิ อย่างไรเกยี่ วกับโลกร้อน บางคนอาจไม่เข้าใจวา่ ท�ำ ไมเราจงึ ต้องใหค้ วามสนใจวา่ ประชาชนคิด อยา่ งไร หรือเข้าใจอยา่ งไรบ้าง เกย่ี วกับปัญหาส่ิงแวดล้อม แต่หากได้ อ่านและทำ�ความเข้าใจเน้ือหาที่ ได้นำ�เสนอมาต้ังแต่ต้นก็คงเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใด ซ่งึ อาจค้นพบค�ำ ตอบส้นั ๆวา่ “เพราะความคิด ความรสู้ ึก ของแต่ละคน ย่อมมผี ลตอ่ พฤติกรรม และการ กระทำ�ของบคุ คลนน้ั ๆ” ด้วยเหตนุ ี้เอง นักจัดการและนักบรหิ ารดา้ นสิง่ แวดล้อม จึงตระหนกั และให้ความส�ำ คัญกบั กล่มุ เปา้ หมายอยา่ งเช่น ประชาชน สังคม ชุมชน ในการวางแผนและจัดการคุณภาพส่งิ แวดล้อมทกุ ระดบั ตัง้ แต่ระดับ ท้องถ่นิ จนถงึ ระดับโลก ปัญหาสภาวะโลกร้อนและปญั หาการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิอากาศ (global warming and climate change) จดั เปน็ ปัญหาระดับโลกท่ี เป็นภัยคุกคามโลกมากย่งิ ข้ึนทกุ ขณะตลอดศตวรรษนี้ ซ่งึ เวทีระดบั โลกต่างเรียกร้องให้ทุกประเทศให้ความสนใจและร่วมมือกันป้องกัน และแกป้ ัญหา โดยกลา่ วว่า “ขณะนี้ไม่ใชเ่ วลาของการต้ังค�ำ ถามอีกตอ่ ไป แตเ่ ปน็ เวลาทที่ กุ ฝ่ายตอ้ งร่วมกนั ลงมือกระท�ำ ” เพราะทุกฝา่ ยตา่ ง ยอมรับแล้วว่าภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาวะโลก รอ้ นเกิดขึน้ จริง มขี ้อพิสูจนแ์ ละผลการศกึ ษาตา่ งๆมากมายท่ยี ืนยันถึง ปรากฏการณ์และผลกระทบทเ่ี กิดขึน้ 138 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

เมอื่ ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายตอ้ งรว่ มมอื กัน ความสนใจจงึ มงุ่ ไปยงั ประชาชน ในสงั คมเป็นเปา้ หมายส�ำ คัญ หลายฝา่ ยจึงร่วมกนั ศึกษาถงึ ความ เปน็ ไปในระดับสงั คม ชุมชน และโดยเฉพาะ ในระดบั บคุ คล หรือ ปจั เจกชน มคี วามพยายามศกึ ษาและติดตามการเปลย่ี นแปลง เก่ยี วกบั ความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกบั ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม โดยเฉพาะ ประเดน็ โลกรอ้ น ดงั ตวั อย่างท่ีเกดิ ขน้ึ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ ได้ติดตามศึกษามาเป็นเวลานานต้ังแต่ โลกเร่ิมกล่าวถึงปัญหาน้ี ต่อไปน้ี จึงนำ�เสนอถึงความคดิ ของชาวอเมริกนั เก่ยี วกับสภาวะโลก รอ้ นตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ซง่ึ ตพี มิ พ์เผยแพร่โดย Nisbet และ Myers (2007) ตลอดระยะเวลากวา่ 20 ปที ่ีผ่านมา สหรฐั อเมรกิ ามกี ารน�ำ เสนอข่าว ข้อมลู วชิ าการ และการส�ำ รวจความคดิ เห็นเป็นจำ�นวนมากเกี่ยวกบั สภาวะโลกร้อน แต่กย็ ังไมม่ กี ารวิเคราะหผ์ ลรวมท้ังหมดว่าเปน็ อย่างไร ดังนนั้ ในบทความน้ี จึงเป็นการสังเคราะห์แนวโนม้ ความคดิ เห็น เก่ียวกบั สภาวะโลกร้อนอยา่ งเปน็ ระบบ ดว้ ยการใชผ้ ลจากการสำ�รวจ มากวา่ 70 คร้งั ในระยะเวลามากกวา่ 20 ปีทีผ่ า่ นมาได้จดั ท�ำ ผลสรปุ ความคิดเห็นสาธารณชนในมิติตา่ งๆท่ีสำ�คัญ ได้แก่ ความตระหนัก ของประชาชนเก่ียวกับประเด็นโลกร้อน ความเขา้ ใจของประชาชน เกี่ยวกบั สาเหตุของปญั หาโลกร้อน การรับรู้ของประชาชน ความ กังวลของประชาชนเก่ียวกับผลกระทบอันเนื่องจากปัญหาโลกร้อน และการลงมือกระท�ำ เพอ่ื ร่วมกันแก้ปญั หา ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................139

ความตระหนักของประชาชนอเมริกนั ตอ่ สภาวะโลกร้อน ในชว่ งแรกของทศวรรษ 1980 เป็นระยะทีส่ ังคมอเมรกิ นั ยังมกี าร ใหค้ วามสนใจขา่ วโลกร้อนน้อย โดยพบว่า ผลจากการส�ำ รวจในปี 1986 เพยี ง 39 เปอร์เซ็นตเ์ ทา่ นน้ั ที่รายงานว่า “ไดย้ นิ หรอื อ่าน อะไรก็ตามเกย่ี วกับปรากฏการณ์เรอื นกระจก หรอื greenhouse effect” แต่ในเดอื นกนั ยายน ปี 1998 ได้เกิดเหตุการณก์ าร บันทึกความร้อนในฤดรู ้อน และมกี ารเสนอข่าวอยา่ งมาก ทำ�ให้ ความตระหนักเก่ียวกับประเด็นนี้แพร่กระจายไปยังประชาชนมาก ถึง 58 เปอรเ์ ซ็นต์ เนือ่ งจากความสนใจของส่ือเพมิ่ สงู ข้ึนในช่วง ต้นของทศวรรษ 1990s ท�ำ ให้ประชาชนที่ได้ยินหรอื ฟงั เกย่ี วกับ ปัญหาโลกรอ้ นเพิ่มสงู ขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และสูงสดุ ถงึ 90 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 2006 ในปี 1997 มีประชาชน 65 เปอร์เซน็ ต์ รายงานวา่ ได้ยินเรื่องโลก ร้อนในระดับมาก หรือได้ยนิ บา้ ง และในปี 2001 ความตระหนกั เพิม่ ขึน้ ถึง 75 เปอรเ์ ซ็นต์ เนื่องจากการนำ�เสนอของส่อื ตา่ งๆ แต่ไดล้ ดลงเหลือ 66 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 2003 และเพม่ิ ขนึ้ ถึง 78 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 2006 และ 89 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 2007 ตามล�ำ ดบั ผลดังกล่าวแตกต่างกันเล็กน้อยจากการสำ�รวจท่ีดำ�เนินการโดย Program on International Public Attitude (PIPA) ท่พี บวา่ มี ชาวอเมรกิ ันไดย้ ินเรือ่ งโลกรอ้ นในระดบั ทม่ี าก หรือได้ยนิ บ้าง คดิ เปน็ 63 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2004 และ 72 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2005 ตรงกันข้าม กลบั พบวา่ ความตระหนักของประชาชนเก่ยี วกับ เกียวโต โปรโตคอล (Kyoto Protocol) มีระดับต�ำ่ มาก โดยใน 140 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

เดือนพฤศจิกายน ปี 1997 หนงึ่ เดอื นก่อนการประชมุ เกียวโต มี เพียง 7 เปอร์เซ็นตเ์ ท่านน้ั ท่รี ายงานวา่ ได้ยนิ เก่ยี วกบั การประชมุ ในระดบั มาก หรือระดบั ปานกลาง และแม้แตห่ ลงั จากการประชมุ 1 เดือน จากการสำ�รวจของ PIPA (ซง่ึ ใชถ้ อ้ ยค�ำ แตกตา่ งกันเล็ก นอ้ ย) มปี ระชาชนเพยี ง 25 เปอร์เซ็นต์เทา่ นน้ั ที่ได้ยินเก่ยี วกับ เกยี วโตในระดบั มาก หรือได้ยนิ บา้ ง ความร้ขู องประชาชนเกี่ยวกับสภาวะโลกรอ้ น แม้จะเป็นเวลาไมน่ ้อยกวา่ 20 ปี ทที่ ั้งนกั วิทยาศาสตร์ และนกั ส่ือสารมวลชน ตา่ งร่วมกนั เผยแพร่ความรู้ และข้อมลู เกี่ยวกบั โลก ร้อน กย็ งั พบวา่ ชาวอเมรกิ นั มคี วามรเู้ กีย่ วกับโลกรอ้ นนอ้ ยมาก โดยในปี 1992 มปี ระชาชนเพยี ง 11 เปอรเ์ ซน็ ต์ ท่ีเข้าใจประเด็น โลกร้อนในระดับ “ดมี าก” และจากผลการส�ำ รวจของ Gallup ที่ จดั ทำ�ข้นึ ทุกปี ระหว่างปี 2001-2005 ก็พบว่า มีเพียง 15-18 เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ท่าน้นั ท่เี ขา้ ใจ และเพม่ิ เป็น 22 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2007 ซ่งึ แตกตา่ งกนั เล็กนอ้ ย เมอื่ เปรยี บเทียบกบั โพลของสำ�นกั ข่าว บบี ซี ี ท่ีจดั ท�ำ ระหว่างปี 2006-2007 โดยมีชาวอเมริกันเพียง 11 เปอรเ์ ซน็ ต์ทรี่ ายงานว่า “รูม้ าก” เก่ยี วกับสภาวะโลกรอ้ น เพม่ิ ข้ึน จากปี 1997 ซ่งึ มีเพยี ง 5 เปอรเ์ ซ็นต์ เมอ่ื วดั ความรทู้ ี่มีอยู่จรงิ ดว้ ยการทดสอบโดย General Social Survey (GSS) ในปี 1994 และปี 2000 พบวา่ มีกลุม่ ตวั อยา่ ง 61 เปอร์เซน็ ต์ และ 62 เปอรเ์ ซ็นต์ ตามล�ำ ดับท่ีอย่างนอ้ ยสามารถ ตอบคำ�ถามทว่ี ่า การใช้ถา่ นหินท�ำ ให้เกดิ ก๊าซเรือนกระจก (green- ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................141

house gas) ถงึ กระนนั้ ในปี 1994 กย็ งั ปรากฏวา่ ชาวอเมริกัน 57 เปอร์เซน็ ต์ ยังสบั สนกับ ozone depletion ด้วยความเชอ่ื แบบ ผดิ ๆ ว่า ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจกมีสาเหตุจากรโู หว่ในชนั้ บรรยากาศ และความเชอื่ นี้ยงั คงมีถึง 54 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 2000 นอกจากนี้ ในการส�ำ รวจปี 2002, 2004 และ 2005 เมือ่ ถาม คำ�ถามเก่ยี วกบั การตดั สินใจของประธานาธบิ ดบี ุชวา่ เขา้ ร่วม Kyo- to Treaty หรือไม่ พบว่า ชาวอเมรกิ ันน้อยกว่าคร่ึงที่สามารถตอบ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องว่า บุชตัดสนิ ใจถอดถอนประเทศสหรฐั อเมรกิ าจาก การสนับสนนุ Kyoto Treaty ความเชอื่ ในความเป็นจรงิ ของโลกรอ้ น แมช้ าวอเมริกนั ส่วนใหญเ่ ช่ืออยา่ งหนกั แนน่ ว่า โลกรอ้ นเปน็ เร่อื ง ท่ีเกิดข้นึ จริง อุณหภมู ิโลกเพ่ิมสูงขน้ึ และมสี าเหตจุ ากการปลอ่ ย คาร์บอนไดออกไซด์ กย็ งั ปรากฏวา่ ประชาชนอเมริกนั ยังคงไมแ่ น่ใจ วา่ นักวทิ ยาศาสตร์ส่วนใหญเ่ หน็ ด้วยกบั เรื่องเหลา่ น้หี รือไม่ จากการ ศกึ ษาผลการส�ำ รวจต่างๆ พบว่า ประชาชนอเมริกนั เพียง 1 ใน 3 เทา่ นัน้ ทมี่ ีความเช่อื ท่วี า่ นักวิทยาศาสตรม์ ีฉนั ทามติเกยี่ วกับเร่อื งน้ี จากโพลของ บบี ีซี ซง่ึ จัดท�ำ ในเดอื นมถิ นุ ายน และเดอื นกันยายน ปี 2005 พบว่า 23 เปอรเ์ ซ็นต์ ของชาวอเมริกนั เชื่ออย่างจริงจังวา่ โลกรอ้ นเปน็ เร่ืองทเี่ กิดข้นึ จรงิ และในการสำ�รวจท่จี ัดทำ�โดย Ohio State University และส�ำ นกั ขา่ ว บีบีซี ในปี 1997, 1998, 2006 และ 2007 ซึ่งถามว่า เชอ่ื หรอื ไม่วา่ อณุ หภูมิโลกไดเ้ พมิ่ ขน้ึ อย่างชา้ ๆ ตลอดศตวรรษท่ีแลว้ ซง่ึ การส�ำ รวจทั้ง 4 ครงั้ มีผู้ตอบวา่ เชื่อ จำ�นวน 142 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

76 เปอร์เซน็ ต,์ 80 เปอร์เซ็นต์, 85 เปอรเ์ ซน็ ต์, และ 84 เปอร์เซ็นต์ ตามลำ�ดบั อย่างไรกต็ าม ประชาชน ยงั มีความมน่ั ใจน้อย ในประเด็น ทีว่ ่า นกั วิทยาศาสตรเ์ ชอื่ เรือ่ งโลกรอ้ นหรอื ไม่ จากการสอบถามใน การสำ�รวจท้ังของแคมบรดิ จ์และแกลล็อพ (Gallup) ประชาชนที่ ตอบวา่ “นกั วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เช่อื ว่าโลกรอ้ นก�ำ ลังเกิดขนึ้ ” ได้ เพิ่มขึ้นตามล�ำ ดบั จาก 28 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 1994, 46 เปอร์เซน็ ต์ ใน ปี 1997, 61 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2001 และ 65 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2006 ขณะเดยี วกนั เวทรี ะหว่างประเทศได้เปลย่ี นความคดิ และมุมมอง เร่ิมจากปี 1995 โดยมฉี ันทามตริ ว่ มกนั วา่ มนุษย์เปน็ ผมู้ ีส่วนสำ�คญั กบั ปญั หาภูมิอากาศของโลก ซ่ึงได้มีความเห็นรว่ มกนั อย่างหนักแน่น ในปี 2001 ด้วยเหตนุ ้ี จากการส�ำ รวจของ PIPA ในปี 2004 และ 2005 เกี่ยวกบั การรับรถู้ ึงความคิดเหน็ รว่ มกนั ของกล่มุ ผู้เชย่ี วชาญ จงึ มคี วามแตกต่างกนั เล็กนอ้ ย กลา่ วคอื พบวา่ 43 เปอร์เซน็ ต์ และ 52 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2004 และ 2005 ตามลำ�ดบั ที่เช่ือว่า “มีฉันทา มติในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญว่ ่า โลกรอ้ นก�ำ ลังเกดิ ข้นึ และ สามารถทำ�ให้เกดิ ความเสยี หายอยา่ งมาก” ทำ�นองเดยี วกัน จาก โพลท่ีจัดทำ�โดย Ohio State University และส�ำ นักขา่ ว บบี ีซี มี เพยี ง 35 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มตวั อยา่ งในปี 1997, 37 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 1998, 35 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2006, และ 40 เปอร์เซน็ ต์ ใน ปี 2007 เท่าน้นั ที่เชอ่ื วา่ “นักวทิ ยาศาสตร์ส่วนใหญ่เหน็ ด้วยวา่ โลก รอ้ นก�ำ ลงั เกดิ ขึ้น” เทียบกับ 62, 67, และ 64 เปอรเ์ ซ็นต์ ของผู้ ตอบจากการส�ำ รวจท้งั 2 ครัง้ ทรี่ บั รวู้ ่า “นักวิทยาศาสตรย์ ังคงไม่ เหน็ ดว้ ยจำ�นวนมาก” ดงั น้ัน ความไว้วางใจในนักวทิ ยาศาสตร์ยังคง ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................143

เป็นปัจจัยส�ำ คญั ต่อการรับรู้ของชาวอเมริกนั ซ่ึงจากโพลของสำ�นกั ข่าว บบี ีซี ในปี 2006 และ 2007 พบว่า ในแตล่ ะปี มเี พียง 32 เปอรเ์ ซน็ ต์ เทา่ นัน้ ทต่ี อบวา่ ไวว้ างใจในสง่ิ ท่นี ักวทิ ยาศาสตร์กลา่ ว เกย่ี วกบั ส่งิ แวดลอ้ มในระดับที่สงู เทียบกับ 24 เปอร์เซ็นต์ และ 27 เปอรเ์ ซ็นต์ ทต่ี อบวา่ “เลก็ น้อย” หรอื “ไมเ่ ลย” การสำ�รวจของ Gallup ระหวา่ งปี 1997 และ 2006 เพอื่ ประเมนิ การน�ำ เสนอข่าวว่า มคี วามถูกต้องและความจริงจังของประเดน็ โลก ร้อน ซ่ึงพบผลท่ีแตกต่างกนั โดยผูต้ อบ 1 ใน 3 เช่ือว่า “ขา่ วท่วั ๆ ไปมี ความเกินจรงิ ” ประมาณ 1 ใน 3 เชอื่ วา่ “ข่าวทั่วๆ ไปมคี วามถูกต้อง” และอีก 1 ใน 3 ที่เหลอื เชอ่ื วา่ “ข่าวทวั่ ๆ ไป มคี วามนา่ เชือ่ ถอื ต่ำ�กวา่ ความเปน็ จรงิ ” โดยกลมุ่ สุดท้ายไดป้ รากฏใหเ้ ห็นความเปลีย่ นแปลง อยา่ งชัดเจนตั้งแตป่ ี 1999 โดยประชาชนทค่ี ดิ ว่า การน�ำ เสนอขา่ วท่ี ตำ�่ กวา่ เป็นจริงได้เปลีย่ นแปลงจาก 27 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 1997, 38 และ 35 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในปี 2006 และ 2007 ตามลำ�ดบั การรับรู้ถึงผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น นักวิทยาศาสตร์ต่างรู้สึกผิดหวังมาเป็นเวลานานแล้วเก่ียวกับปัญหา การสื่อสารกับสาธารณชนเพ่ือให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความจำ�เป็น เรง่ ด่วนของปัญหาโลกร้อน มีการศึกษาหลายกรณที ี่พบแนวโน้ม ของชาวอเมริกันท่ีรับรู้ถึงผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนที่ตำ่�กว่าท่ี ควรจะเปน็ เนื่องจากเปน็ ปญั หาท่ซี ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติ และ เปน็ ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มท่ีสง่ ผลกระทบในระยะยาว จากการศกึ ษา พบผลทสี่ นบั สนนุ ความคิดดงั กล่าว ตัวอย่าง เชน่ Gullup ไดส้ ำ�รวจ ในปี 1997, 2001 ถงึ ปี 2005 ขอให้ผูต้ อบคำ�ถามประเมนิ ระยะเวลา 144 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ

ของผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน มีคนอเมริกันส่วนน้อยทีต่ อบว่า ผลของปัญหาโลกรอ้ นไดเ้ กิดขึน้ แลว้ โดยสูงสุดในปี 2007 มี 60 เปอร์เซน็ ต์ นอกจากน้ันพบวา่ มปี ระชาชนประมาณ 1 ใน 3 เท่านัน้ ท่ตี อบวา่ โลกรอ้ นเปน็ ภยั คกุ คามต่อการดำ�เนินชวี ิต ในปี 1993, 1994 และ 2000 การส�ำ รวจของ GSS พบวา่ ประชาชน ไม่ได้รบั รวู้ า่ ปรากฏการณ์เรอื นกระจกมีอนั ตรายต่อสิ่งแวดล้อม เพียงเทา่ นั้น หากแต่ยงั ส่งผลต่อครอบครวั ของตวั เองดว้ ย ทัง้ น้ี มี ประชาชน 15 เปอร์เซ็นต์ คดิ วา่ มอี นั ตรายระดบั มากทส่ี ุด ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนเม่ือเทียบกับปัญหา และประเดน็ อ่นื ๆ พบชุดของการส�ำ รวจ (series of surveys) ทแ่ี สดงถึงปญั หา โลกรอ้ น “มคี วามสำ�คญั ต่อรายบคุ คล” ที่เพิ่มสงู ขน้ึ ตลอดระยะ เวลาในทศวรรษ (1990) ท่ผี ่านมา ซึ่งมชี าวอเมริกนั ทก่ี ลา่ วว่า โลก ร้อนมคี วามสำ�คญั ไม่ว่าระดับสว่ นบุคคล “สำ�คัญอย่างยง่ิ ” หรือ “สำ�คญั มาก” ได้เปลยี่ นจาก 27 เปอร์เซ็นต์ ในปี 1997 เปน็ 52 เปอร์เซน็ ต์ ในปี 2007 ดังนน้ั ความกงั วลนเี้ ปน็ อยา่ งไรบ้างเม่ือ เทียบกับปัญหาหรือประเด็นอ่ืนๆ จากการสำ�รวจของ Gallup เก่ยี วกบั ความกังวลของประชาชน ระหวา่ งปี 1989 - 2006 พบวา่ ระหวา่ งปี 1989 -1991 ผูต้ อบราว 1 ใน 3 รายงานว่า มีความกงั วล “อย่างมาก” กบั ปรากฏการณ์เรอื น กระจก หรือโลกรอ้ น และเมอื่ ส�ำ รวจอกี ครง้ั ในปี 1997 กลับลดลงมา ท่ี 24 เปอรเ์ ซน็ ต์ แตห่ ลังจากนัน้ เพ่ิมขนึ้ เปน็ ล�ำ ดับคอื 34 เปอรเ์ ซ็นต์ ¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ.................145

ในปี 1999, 40 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2000, และ 36 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2006 และ 41เปอร์เซ็นต์ ในปี 2007 ความกังวลของประชาชนเก่ียวกับปัญหาโลกร้อนเมื่อเทียบกับปัญหา อืน่ ๆ พบวา่ ปญั หาโลกรอ้ นอยู่ในระดับทา้ ยๆ โดยเฉพาะเมือ่ เทยี บ กับปัญหามลพิษทเ่ี กี่ยวข้องกบั นำ�้ แสดงให้เห็นวา่ ประชาชนยังคงให้ ความส�ำ คัญกบั ปัญหาท่ีใกลต้ วั มากกวา่ อย่างไรกต็ าม มมุ มองของประชาชนเก่ยี วกบั ปัญหาโลกร้อนในฐานะ ทีเ่ ป็นปญั หาสิ่งแวดล้อมก็ขน้ึ อยูก่ บั วิธกี ารวดั ด้วยเชน่ กัน เช่น ในปี 2006, 2007 แทนท่จี ะเปน็ การถามดว้ ยรายการของปญั หา และให้ ผูต้ อบจัดล�ำ ดับ บีบซี ีกลบั ใช้คำ�ถามปลายเปดิ “ปัญหาท่ีใหญ่ หรือ ส�ำ คัญมากที่สดุ ท่ีโลกกำ�ลังประสบในปจั จุบันคืออะไร (the single biggest environmental problem the world faces at this time?) พบวา่ โลกร้อนเป็นปญั หาในล�ำ ดับแรก (16 เปอร์เซน็ ต)์ และเพมิ่ เป็น 2 เท่าในปี 2007 การยอมรบั มาตรการจัดการปัญหาโลกร้อน มีการส�ำ รวจหลายครง้ั ทอ่ี าจเป็นการสนับสนนุ การจดั ท�ำ นโยบายใหมๆ่ หรอื สรา้ งสิง่ จงู ใจ เพือ่ ลดการปล่อยก๊าซคารบ์ อน ประชาชนก็ ให้การสนับสนุนการลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนเพิ่มมากขึ้น และมาตรการทปี่ ระชาชนชื่นชอบก็คือ นโยบายทางภาษี ทสี่ ่ง เสรมิ ใหภ้ าคอตุ สาหกรรมเพิ่มประสทิ ธภิ าพทางพลังงาน แต่ก็ไม่ เห็นดว้ ยกบั การเพิม่ ภาษนี �ำ้ มนั หรือไฟฟา้ ซึง่ มกั มีผลกับพฤตกิ รรม ของผู้บริโภคในทางลบ จึงเหน็ ไดว้ า่ ชาวอเมรกิ ันชน่ื ชอบการเพ่มิ 146 .......................¤¹àÃҵѴÊÔ¹ã¨à¾×èÍÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ䴌͋ҧäÃ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook