Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จากอดีตสู่ปัจจุบัน : มหันตภัยสารอินทรีย์ระเหย (ในดินและน้ำใต้ดิน)

จากอดีตสู่ปัจจุบัน : มหันตภัยสารอินทรีย์ระเหย (ในดินและน้ำใต้ดิน)

Published by konmanbong_k3, 2021-10-07 03:48:12

Description: จากอดีตสู่ปัจจุบัน : มหันตภัยสารอินทรีย์ระเหย (ในดินและน้ำใต้ดิน)

Search

Read the Text Version

จากอดตี สู่ปัจจบุ นั มหันตภัยสารอนิ ทรียร์ ะเหย (ในดนิ และน้ำ�ใตด้ ิน)

จากอดตี สู่ปัจจบุ ัน มหันตภัยสารอนิ ทรยี ์ระเหย (ในดินและนำ้ �ใตด้ ิน) พมิ พค์ รั้งที่ 1 พ.ศ. 2558 จำ�นวน 200 เลม่ เจ้าของ : กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ ม 49 พระราม 6 ซอย 30 พญาไท กรงุ เทพมหานคร 10400 เบอรโ์ ทรศัพท์ : 0 2278 8400 19 เรยี บเรียง : แฟรดาซ์ มาเหล็ม พีรพงษ์ สุนทรเดชะ ภาพ : ปรชั ญา ชาปดั พิมพ์ที่ : บรษิ ทั วงศส์ วา่ งพบั ลชิ ชง่ิ แอนด์ พรนิ้ ตงิ้ จำ�กดั เลขท่ี 2 ถ.จรญั สนทิ วงศ์ ซ.จรัญฯ 86/1 แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700 โทร. 0 2880 1876

คำ�นำ� กวา่ สองทศวรรษทผี่ า่ นมา กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มไดม้ กี ารศกึ ษา วจิ ยั ในดา้ นการตรวจสอบพน้ื ทป่ี นเปอ้ื นสารอนั ตรายในดนิ และนำ�้ ใตด้ นิ รวมทงั้ งานวจิ ยั ในการบำ�บดั ฟน้ื ฟพู น้ื ทท่ี ปี่ นเปอ้ื นสารอนั ตรายดว้ ย สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (Volatile Organic Compounds, VOCs) เปน็ สารอันตรายกลุ่มหนง่ึ ที่มี การตรวจสอบอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพราะสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยบางชนดิ มคี วามเปน็ พษิ ทสี่ ามารถสง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพของมนษุ ยท์ ไี่ ดร้ บั สารดงั กลา่ วเขา้ สรู่ า่ งกาย ได้ เชน่ ส่งผลตอ่ ระบบการทำ�งานของภูมิคมุ้ กันและการเกดิ มะเรง็ ในหนังสือเล่มนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจในเร่ืองของสารอินทรีย์ระเหย สาเหตทุ ที่ ำ�ใหเ้ กดิ การปนเปอ้ื นในดนิ และนำ้� ใตด้ นิ พนื้ ทใี่ นประเทศไทยทต่ี รวจพบ สารดังกล่าว รวมถึงวิธีการตรวจสอบการปนเปื้อนของสารอินทรีย์ระเหย ในดินและน้�ำใต้ดิน และได้ยกตัวอย่างงานวิจัยเพ่ือการจัดการพื้นที่ปนเปื้อน ในพนื้ ทเ่ี ขตควบคมุ มลพษิ จงั หวดั ระยอง รวมทง้ั ไดก้ ลา่ วถงึ ระบบบำ�บดั ฟน้ื ฟู พื้นท่ีที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยทั้งในดินและน้�ำใต้ดินซ่ึงนับเป็นระบบแรก ในประเทศไทย กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม หวังว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ จะสง่ ผลใหเ้ กดิ ความตระหนักในการปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กดิ เหตกุ ารณท์ จี่ ะส่งผลต่อ การปนเปื้อนสารอนั ตรายในดนิ และน้ำ� ใตด้ ิน เพราะผลกระทบท่ีตามมาซงึ่ เปน็ ผลกระทบต่อมนุษย์นั้นมีมูลค่าความเสียหายท่ีหาค่าเปรียบไม่ได้ และ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมยังหวังอีกว่าเน้ือหาในหนังสือเล่มน้ีจะเป็น ประโยชน์ในเชงิ วิชาการสำ�หรับผสู้ นใจจะนำ�ไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไป คณะผูจ้ ดั ทำ� กรมสง่ เสริมคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม

สารบญั รจู้ กั กบั “สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย” ............................................................................................. 6 พ้ืนทตี่ รวจพบการปนเปอื้ น สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยในดนิ และนำ�้ ใตด้ นิ ........................................................................... 38 การตรวจสอบการปนเปือ้ น ของสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยในดนิ และนำ�้ ใตด้ นิ .................................................................. 86 กรณีศกึ ษาวจิ ยั : การจดั การพนื้ ทป่ี นเป้อื นสารอินทรีย์ระเหย ในพ้ืนท่ีเขตควบคมุ มลพษิ จังหวัดระยอง .......................................................... 146 บทสรปุ สดุ ท้าย.... แตไ่ ม่ส้นิ สดุ ...................................................................................................................... 190 CONTENTS



เร่ืองท่ี 1 รจู้ ักกับ “สารอินทรีย์ระเหย”

รู้จกั กับ “สารอนิ ทรีย์ระเหย” Health is like money, we never have a true idea of it value until we lose it วาทะจากปลายปากกาของ JoshBillingsหรอื HenryWheelerShaw นักประพันธ์และวิทยากรแนวขบขัน ชาวอเมริกัน ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษ ท่ี 19 ประโยคน้ี นับเป็นตัวอย่างของ ค�ำกล่าวท่ีสะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึง คุณค่าของสุขภาพ อันเป็นพนื้ ฐานสำ� คญั ในชวี ติ มนษุ ย์ เราอาจไมร่ วู้ า่ สขุ ภาพทด่ี นี น้ั มีคา่ เพยี งใดต่อเมอ่ื เราได้สูญเสียมนั ไป จากอดตี สู่ปัจจุบัน มหันตภัยสารอนิ ทรีย์ระเหย (ในดินและน้ำ�ใต้ดิน) 7

การมสี ขุ ภาพทดี่ ี นอกจากจะทำ� ให้ เราสามารถด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้อย่าง สงบสุข ด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงแล้ว ส่งผลดีต่อจิตใจอันร่าเริงแจ่มใส มีความ เจรญิ เตบิ โตสมวยั แลว้ ยงั ทำ� ใหเ้ ราใชช้ วี ติ ในสังคมไดอ้ ย่างสมบูรณ์ตามไปด้วย 8 ศนู ยว์ จิ ยั และฝึกอบรมดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยส�ำคัญท่ีมี อทิ ธพิ ลตอ่ สขุ ภาพของคนเราอยา่ งเลยี่ ง ไม่ได้ก็คือ ส่ิงแวดล้อมรอบตัวทมี่ คี วาม เปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา แมป้ จั จบุ นั ความก้าวหน้าทางวิทยาการจะท�ำให้ เราได้ทราบข่าวคราวเก่ียวกับโรคภัยที่ ได้รับการค้นพบอยู่บ่อยๆ รวมท้ังการ ดแู ลรกั ษาทปี่ ระสบผลสำ� เรจ็ ถงึ กระนนั้ หลายคนก็ยังอาจไม่ทันเฉลียวใจถึงภัย คุกคามสง่ิ แวดล้อมและสุขภาพของเรา อย่างเงียบเชียบ น่ันก็คือปัญหามลพิษ ปนเปื้อนอันเนื่องมาจากการประกอบ อุตสาหกรรมต่างๆ ซ่ึงกว่าจะทันรู้ตัว ก็เมื่อสายไปเสยี แล้ว จากอดีตสู่ปัจจบุ ัน มหันตภัยสารอนิ ทรยี ์ระเหย (ในดนิ และน้ำ�ใต้ดนิ ) 9

ในเร่ืองนี้จะพาทุกท่านไปท�ำความ รู้จกั กบั “สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย” หรอื ภาษา อังกฤษใช้ค�ำว่า Volatile Organic Compounds หรือท่ีเรียกกันย่อๆว่า “วีโอซี (VOCs)” อันตรายท่ีใกล้ตัวเรา มากกวา่ ทคี่ ดิ พรอ้ มกบั ตวั อยา่ งบางเหตกุ ารณ์ ที่น่าจะท�ำให้เราต้องหันมาตระหนัก และ เร่ิมต้นท�ำความเข้าใจ เพื่อรู้เท่าทันและ เตรยี มพรอ้ มการรบั มอื ปกปอ้ งสงิ่ แวดลอ้ มให้ บรสิ ทุ ธิ์ อนั จะนำ� ไปสกู่ ารเปน็ เจา้ ของสขุ ภาพ ทด่ี แี ละยง่ั ยนื ไปอกี นาน 10 ศูนย์วิจยั และฝึกอบรมดา้ นสง่ิ แวดล้อม (อา้ งอิงภาพจาก http://www.chaoprayanews.com/)

สารอินทรีย์ระเหยถูกใช้อย่าง เเพรห่ ลายในภาคอุตสาหกรรม หากลอง ยอ้ นกลบั ไปเมอ่ื ราวพ.ศ. 2540เปน็ ตน้ มา ปัญหาส่ิงแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง ที่สะสมมาอย่าง ยาวนานอันเน่ืองมาจากการเป็นที่ตั้ง ของอุตสาหกรรมส�ำคัญมากมาย ทั้ง อตุ สาหกรรมปิโตรเคมี เคมีภณั ฑ์ เหล็ก โรงกลั่นน�้ำมัน และโรงไฟฟ้าน้ัน ได้เร่ิม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในพ้ืนที่และชมุ ชนโดยรอบ จากอดตี สปู่ จั จบุ นั มหันตภยั สารอินทรยี ์ระเหย (ในดินและน้ำ�ใต้ดิน) 11

โดยในปีน้ันนักเรียนกว่าร้อยชีวิต ของโรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ต้องใช้ ผ้าปิดจมูกในขณะที่เรียนหนังสืออันเนื่องจาก ไดร้ บั กลน่ิ สารเคมจี ากโรงงานในบรเิ วณใกลเ้ คยี ง นักเรียนบางคนล้มป่วย เหตุการณ์ครั้งน้ัน มีหลายหน่วยงานได้เข้าตรวจสอบพื้นท่ีรวมท้ัง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมด�ำเนินการ ตรวจสอบและพบวา่ มสี ารอนิ ทรยี ร์ ะเหยบางชนดิ ปะปนอยใู่ นอากาศ เชน่ เบนซนี โทลอู นี สไตรนี เปน็ ตน้ 12 ศูนยว์ จิ ัยและฝกึ อบรมด้านสง่ิ แวดลอ้ ม

สารเหลา่ นเี้ ปน็ สารสงั เคราะห์ ไม่พบในธรรมชาติเป็นกลุ่มสารที่มี พิษท�ำให้เกิดการกดระบบประสาท เกดิ อาการระคายเคอื งเยอื่ บโุ พรงจมกู ร ว ม ท้ั ง เ กิ ด อ า ก า ร ร ะ ค า ย เ คื อ ง ทางเดนิ หายใจ เปน็ พษิ ตอ่ ตบั และไต และอาจท�ำให้เกิดมะเร็ง กลุ่มสาร ดงั กลา่ วทถ่ี กู ปลดปลอ่ ยสสู่ งิ่ แวดลอ้ ม ในคร้ังน้ันเกิดจากการซ่อมบ�ำรุง ระบบในกระบวนการของอตุ สาหกรรม ซึ่งในปีนั้นยังไม่มีการก�ำหนดค่า มาตรฐานสารอินทรีย์ระเหยใน สง่ิ แวดลอ้ มในประเทศไทย จากอดตี ส่ปู จั จุบัน มหันตภยั สารอินทรยี ร์ ะเหย (ในดินและนำ้ �ใต้ดนิ ) 13

ในปีเดียวกัน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดย ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวง การค้าและอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (MITI) ได้เร่ิมมีการ ด�ำเนินงานโครงการภายใต้ความร่วมมือโครงการ Green Aid Plan (GAP) ศึกษาการปนเปื้อนของสารอินทรีย์ระเหยใน สิ่งแวดล้อมอันเน่ืองจากอุตสาหกรรม ซ่ึงได้ด�ำเนินการในพ้ืนท่ี นคิ มอตุ สาหกรรมภาคเหนอื จงั หวดั ลำ� พูน 14 ศนู ยว์ จิ ัยและฝึกอบรมด้านสง่ิ แวดลอ้ ม

ซ่ึงเป็นนิคมที่ก่อต้ังก่อนมาตรการ EIA อุตสาหกรรม ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ เช่น อุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วยโรงงานผลิตชิ้นส่วนและ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส�ำหรับเคร่ืองใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เลนส์ กลอ้ งถา่ ยรปู ฯลฯ สง่ ผลใหม้ กี ารนำ� เขา้ สารเคมหี ลายประเภท รวมทง้ั สารอินทรีย์ระเหยซงึ่ ใช้ในกระบวนการผลิต จากอดีตสู่ปจั จุบนั มหนั ตภัยสารอินทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ ิน) 15

ผลการศึกษาครั้งนั้นได้ตรวจพบสารอินทรีย์ ระเหยในดนิ และนำ้� ใตด้ นิ ในบรเิ วณนคิ มอตุ สาหกรรม ภาคเหนอื ในปรมิ าณทส่ี งู เกนิ คา่ มาตรฐานนำ้� ใตด้ นิ ใน ประเทศญี่ปุ่น ซ่ึงสารท่ีพบในคร้ังน้ันประกอบด้วย เชน่ ไตรคลอโรเอทธลิ นี (Trichloroethylene; TCE) ซสิ -1,2 ไดคลอโรเอทธลิ นี (cis-1,2 dichloroethylene; cis-DCE) ทรานส-์ 1,2 ไดคลอโรเอทธลิ ีน (trans-1,2 dichloroethylene; trans-DCE) ไวนิลคลอไรด์ (Vinyl Chloride; VC) เปน็ ตน้ ซง่ึ กลุ่มสารดังกลา่ ว เป็นสารสังเคราะห์หากเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ส่งผล กระทบต่อตับและระบบประสาท โดยที่สาร TCE และ VC ยงั ส่งผลต่อการก่อมะเรง็ ดว้ ย 16 ศนู ยว์ ิจยั และฝกึ อบรมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

จากเหตุการณ์การตรวจพบสารอินทรีย์ระเหย ใ น เ ข ต นิ ค ม อุ ต ส า ห ก ร ร ม ม า บ ต า พุ ด แ ล ะ ใ น นิ ค ม อุตสาหกรรมภาคเหนือในคร้ังน้ัน ท�ำให้กรมส่งเสริม- คุณภาพส่ิงแวดล้อมได้เร่ิมมีการด�ำเนินงานศึกษาวิจัย ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา เพื่อตรวจสอบหาปริมาณ สารอินทรีย์ระเหยทั้งในอากาศ น้�ำและดิน จนน�ำไปสู่ การก�ำหนดมาตรฐานคุณภาพน�้ำใต้ดิน ตามประกาศ คณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 20 พ.ศ. 2543 เพื่อควบคุมสารอินทรีย์ระเหยในสิ่งแวดล้อม และเพ่ือ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารดังกล่าวด้วยการบ�ำบัด ฟน้ื ฟหู รอื กำ� จดั สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยทปี่ นเปอ้ื นอยใู่ นดนิ และ นำ�้ ใตด้ ิน จากอดตี สูป่ ัจจุบัน มหันตภยั สารอนิ ทรยี ์ระเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ ิน) 17

การปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยในดินและน้�ำใต้ดินส�ำหรับ ประเทศไทยดูเป็นเร่ืองใหม่ แต่เหตุการณ์การปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ใช่ เรื่องใหม่ส�ำหรับต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ซ่ึงเคย ประสบปัญหาการปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยในดินและน้�ำใต้ดิน มากวา่ 40 ปี แลว้ โดยพบการปนเปอ้ื นทงั้ ในพน้ื ทอี่ ตุ สาหกรรม พน้ื ท่ี แหล่งก�ำจัดขยะ สถานีบริการน�้ำมัน สถานีซ่อมบ�ำรุงอากาศยาน ของกองทพั เปน็ ตน้ จนกระทง่ั มกี ารตง้ั กองทนุ (Superfund) เพอ่ื ใช้ ในการบำ� บดั ฟน้ื ฟพู นื้ ทป่ี นเปอ้ื นสารอนั ตรายนน้ั และมกี ารดำ� เนนิ งาน เป็นขนั้ ตอนท่ชี ดั เจน 18 ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดลอ้ ม

กรณตี วั อยา่ ง เชน่ กรณกี ารปนเปอ้ื นสารอนิ ทรยี ร์ ะเหย ชนดิ Trichloroethylene (TCE) ในพนื้ ทสี่ นามบนิ Tucson International Airport มลรัฐอริโซน่า โดยที่สนามบิน เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2485 ซ่ึง TCE ถูกน�ำมาใช้ในการ ซ่อมบ�ำรุงอากาศยาน เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากการใช้งาน TCE ถูกก�ำจัดโดยการฝังลงใน พื้นที่ท่ีไม่มีการปูพ้ืนพลาสติกเพ่ือป้องกันการร่ัวซึม ท�ำให้ TCE ปนเปื้อนในดินและน�้ำใต้ดินและขยาย วงกว้างรัศมีมากกว่า 8 กิโลเมตร ท�ำให้ประชากรกว่า 47,000 คน ท่ีอย่อู าศัยรอบสนามบิน ทใ่ี ชน้ ้�ำใตด้ ินสำ� หรบั จากอดีตสู่ปจั จุบนั มหนั ตภยั สารอินทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใต้ดนิ ) 19

การอุปโภคบริโภคและปรุงอาหารได้รับผลกระทบ ต่อสุขภาพ ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ส�ำนักงานปกป้อง สง่ิ แวดลอ้ มของสหรฐั อเมรกิ า (US Environmental Protection Agency) ประกาศปิดบ่อน�้ำส�ำหรับ อุปโภคบริโภคของประชาชนท่ีปนเปื้อนสาร TCE ครอบคลุมพ้ืนที่ประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร ประชาชนมากกว่า 1,000 ราย ได้ฟ้องร้องต่อศาล เรียกค่าเสียหายและมีการชดใช้เป็นเงินกว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,400 ล้านบาท (http://yosemite.epa.gov) 20 ศนู ย์วิจัยและฝกึ อบรมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

จากอดตี สู่ปจั จบุ ัน มหนั ตภัยสารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ นิ ) 21

สารอินทรียร์ ะเหย คอื อะไร? สารอินทรีย์ระเหย มักอยู่ในสถานะของเหลว ที่ไม่ผสมน้�ำ ซ่ึงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า NAPLs (non-aqueous phase liquids) เป็นสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนท่ีระเหยเป็นไอได้ในท่ีอุณหภูมิและ ความดนั ปกติ โมเลกลุ สว่ นใหญม่ อี ะตอมของคารบ์ อน เป็นองค์ประกอบหลัก อาจมีออกซิเจน ไฮโดรเจน ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน ซัลเฟอร์ หรือไนโตรเจน ประกอบกันเป็นสายยาว (aliphatics) หรือเป็นวง ของเบนซีน (aromatics) รวมถึงกลุ่มคาร์บอนิล (อัลดีไฮด์และคีโตน) และกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยท่ัวไปมคี วามสามารถในการละลายนำ้� ไดน้ อ้ ย 22 ศูนย์วิจัยและฝกึ อบรมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

ส า ร อิ น ท รี ย ์ ร ะ เ ห ย ถู ก ใ ช ้ ม า ก ใ น ง า น อุตสาหกรรม เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นตัวท�ำ ละลายท่ีดี เช่น เบนซีน ไซลีน โทลูอีน สไตรีน ฟอร์มัลดีไฮด์ เตตระคลอโรเอทธิลีน และ ไตรคลอโรเอทธิลีน เป็นต้น อีกทั้งใช้เป็นส่วนประกอบใน หลายผลติ ภณั ฑ์ เชน่ สที าบา้ น น�้ ำ ย า ฟ อ ก สี พ ล า ส ติ ก สารฆ่าแมลง และปิโตรเคมี สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย สามารถแบง่ ออกตามลักษณะของโมเลกุล เป็น 2 กล่มุ ไดแ้ ก่ จากอดีตสปู่ จั จบุ นั มหนั ตภยั สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ นิ ) 23

1. Non-chlorinated VOCs หรือ non-halogenated hydrocarbons เป็น สารอินทรีย์ระเหยกลุ่มที่ไม่มีธาตุคลอรีน หรือธาตุใน กลุ่มฮาโลเจนในโมเลกุล ส่วนใหญ่เป็นสารในกลุ่มน้�ำมัน เชอ้ื เพลงิ สารในกลมุ่ นี้ เชน่ เฮกเซน (hexane) แอลกอฮอล์ (alcohol) อัลดีไฮด์ (aldehyde) โทลูอีน (toluene) เบนซนี (benzene) เอธลิ เบนซนี (ethylbenzene) ไซลนี (xylene) สไตรนี (styrene) และฟนี อล (phenol) เปน็ ตน้ 24 ศูนยว์ จิ ยั และฝกึ อบรมดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม

2. Chlorinated VOCs หรอื halogenated hydrocarbons เป็นสารอินทรีย์ระเหยกลุ่มที่มีธาตุคลอรีน หรือ ธาตุในกลุ่มฮาโลเจนอยู่ในโมเลกุล ซ่ึงมักเป็นสารเคมีท่ี ถกู สังเคราะห์ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นอตุ สาหกรรม และมฤี ทธใ์ิ นการ ก่อมะเร็ง หรอื กระตุ้นการเกดิ มะเรง็ ได้ มคี วามเปน็ พษิ สูง สลายตัวได้ยาก ท้ังยังเสถยี รและมคี วามคงตวั สงู มากกว่า สารกลุ่มที่ไม่มีธาตุคลอรีนในโมเลกุล ท�ำให้สะสมได้นาน เมอื่ อยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ ม เพราะมโี ครงสรา้ งทม่ี พี นั ธะระหวา่ ง คารบ์ อนและธาตกุ ลมุ่ ฮาโลเจนซง่ึ เปน็ พนั ธะทแ่ี ขง็ แรงมาก สารเคมีในกลุ่มน้ีได้แก่ เตตระคลอโรเอทธิลีน (PCE) ไตรคลอโรเอทธิลีน (TCE) และไดคลอโรมีเทน (DCM) เป็นต้น (https://water.usgs.gov/nawqa/vocs/national_assessment/report/chapter5.html) จากอดีตสู่ปจั จบุ ัน มหนั ตภยั สารอนิ ทรีย์ระเหย (ในดนิ และนำ้ �ใต้ดนิ ) 25

หากเกิดการรั่วไหลสารอินทรีย์ระเหยลงสู่ดินจะท�ำให้เกิด การปนเปอ้ื นในดนิ และนำ้� ใตด้ นิ ซง่ึ หากปนเปอ้ื นในดนิ จะปนเปอ้ื น เป็นเวลานาน เมื่อสารอินทรีย์เหล่าน้ีเข้าสู่ชั้นดินแล้ว จะค่อยๆ ซึมลงไปในชั้นดิน/หิน และไปรวมตัวกันบนระดับน�้ำใต้ดินหรือ บนช้ันดินเหนียวหรือชั้นหินแข็ง ซ่ึงข้ึนอยู่กับความหนาแน่นและ ความหนดื ของสารดงั กลา่ ว ในขณะทส่ี ารเหลา่ นเี้ คลอื่ นตวั (migrate) จะมีบางส่วนถูกกักเก็บและแทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน แลว้ จะคอ่ ยๆ ระเหย และละลายปนเปอ้ื นนำ้� ฝนทไี่ หลซมึ ลงมาจาก ผวิ ดนิ ท�ำให้มกี ารปนเปื้อนน�้ำใต้ดนิ 26 ศูนย์วิจยั และฝึกอบรมด้านสงิ่ แวดลอ้ ม

ความหนาแน่นเป็นคุณสมบัติส�ำคัญหนึ่ง ของสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การปนเปอ้ื น ของสารอินทรีย์ระเหยในน้�ำใต้ดิน สารอินทรีย์ ระเหยซง่ึ เปน็ สารทมี่ สี ถานะเปน็ ของเหลวไมผ่ สมนำ้� (Non-Aqueous Phase Liquids หรือ NAPLs) บางชนิดมีความหนาแน่นมากกว่าน้�ำ (Dense Non-Aqueous Phase Liquids หรือ NAPLs หรือ DNAPLs) เช่น คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (Carbon Tetrachloride) ไตรคลอโรเอทธิลีน (Trichloroethylene; TCE) เตตระคลอโรเอทธลิ นี (Tetrachloroethylene; PCE) และบางชนิดมี ความหนาแนน่ นอ้ ยกวา่ นำ้� (Light Non-Aqueous Phase Liquids หรอื NAPLs หรอื LNAPL) เชน่ เบนซีน (Benzene) โทลอู นี (Toluene) เอทธิล- เบนซีน (Ethylbenzene) ไซลีน (Xylene) ซงึ่ บางครง้ั เรยี กสารทงั้ สว่ี า่ กลมุ่ BTEX นอกจากน้ี ยงั มี นำ้� มนั เช้อื เพลงิ น้ำ� มนั ดีเซล เปน็ ต้น ซ่งึ หาก สารอินทรีย์ระเหยลงสู่น�้ำใต้ดินสารกลุ่ม LNAPL ซ่ึงมีความหนาแน่นน้อยกว่าน�้ำ มักจะจ�ำกัดอยู่ ในส่วนบนหรือช้ันต้ืนของน้�ำใต้ดิน หรือเป็นโซน ที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับน�้ำใต้ดิน (water table fluctuation zone) แต่ในขณะที่การ ปนเปอ้ื นจาก DNAPL ทมี่ คี วามหนาแนน่ มากกวา่ น้�ำจะแพรก่ ระจายไดท้ ้งั ในระดบั บนและลกึ จากอดตี สปู่ จั จบุ ัน มหันตภัยสารอนิ ทรีย์ระเหย (ในดินและนำ้ �ใตด้ นิ ) 27

LNAPLs DNAPLs ภาพแสดงวา่ หากสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยลงสนู่ ำ�้ ใตด้ นิ สารกลมุ่ LNAPL ซงึ่ มคี วามหนาแนน่ น้อยกว่าน้�ำ มักจะจ�ำกัดอยู่ในส่วนบนหรือชั้นต้ืนของน�้ำใต้ดิน หรือเป็นโซนท่ี มกี ารเปลยี่ นแปลงของระดบั นำ�้ ใตด้ นิ (water table fluctuation zone) แตใ่ น ขณะทกี่ ารปนเป้ือนจาก DNAPL ที่มคี วามหนาแนน่ มากกวา่ น้�ำจะแพร่กระจายได้ ทงั้ ในระดบั บนและลึก (ดดั แปลงจาก http://www.eugris.info/) 28 ศนู ย์วจิ ยั และฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม

สารอินทรีย์อินทรีย์ระเหยบางชนิดมีความ สามารถในการละลายนำ้� คอ่ นขา้ งตำ่� เชน่ สารเตตระ- คลอโรเอทธิลีน มีความสามารถในการละลายน้�ำ ประมาณ 200 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลติ ร เมอ่ื เขา้ สชู่ นั้ ดนิ หรอื ชั้นน�้ำใต้ดินแล้ว จะคงอยู่เป็นระยะเวลานาน และ เม่ือมีน้�ำใต้ดินไหลผ่าน ก็จะละลายออกมาเร่ือยๆ ทีละน้อยๆ และแผ่กระจายตัวเป็นวงกว้างออกไป จากแหล่งก�ำเนิดการปนเปื้อน (source zone) โดยจะกระจายตวั มากทสี่ ดุ ตามทศิ ทางการไหลของ น�ำ้ ใตด้ นิ ในการศึกษาวิจัยประเมินสถานการณ์การ ปนเปื้อนและการท�ำนายการแพร่กระจายตัวของ สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยในนำ้� ใตด้ นิ (fate and transport) จงึ ตอ้ งใชข้ อ้ มลู หลายๆ ดา้ นประกอบกนั เชน่ ขอ้ มลู ด้านธรณีวิทยาและอุทกธรณีวิทยา ซ่ึงใช้บ่งบอก ลกั ษณะทางกายภาพของชนั้ ดนิ /ตะกอน และความ สามารถในการไหลในชนั้ ดนิ ความพรนุ ปรมิ าณการ ปนเปื้อน ขอ้ มูลธรณเี คมีทบ่ี ง่ บอกถึงการย่อยสลาย ตวั ตามธรรมชาติ ความสามารถในการถกู ดดู ซบั โดย เมด็ ดนิ /ตะกอน จากอดีตส่ปู จั จบุ นั มหันตภยั สารอินทรีย์ระเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ ิน) 29

มนุษย์รับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหย โดยการหายใจ สูดดมทางการกิน หรือกลืนเข้าไปโดยอาจไม่รู้ตัว รวมไป ถึงจากการสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง เมื่อร่างกายได้รับสาร อนิ ทรยี ร์ ะเหยสะสมในปรมิ าณทม่ี ากเกนิ ไปหรอื เปน็ เวลานาน จะท�ำให้สง่ ผลกระทบต่อสุขภาพ กลุ่มอาการท่ีเกิดการรับสารอินทรีย์ระเหยเข้าสู่ ร่างกาย เช่น การก่อโรคออกฤทธ์ิกดประสาทหลายอย่าง เชน่ ทำ� ใหเ้ กดิ การงว่ งนอน วงิ เวยี น ปวดศรี ษะ ซมึ เศรา้ หรอื หมดสติ กระตนุ้ หวั ใจใหเ้ ตน้ ผดิ จงั หวะ เปน็ พษิ ตอ่ ตบั และไต บางครั้งท�ำให้เกิดความผิดปกติของหน่วยพันธุกรรม (DNA adduct) ระบบฮอรโ์ มน ระบบสบื พนั ธ์ุ และอาจน�ำไปสู่การ กลายพันธเุ์ ป็นเซลลม์ ะเรง็ (Carcinogenicity) 30 ศูนยว์ ิจยั และฝกึ อบรมด้านสิ่งแวดล้อม

สารอินทรีย์ระเหยบางตัวอาจท�ำให้เซลล์ เม็ดเลือดผิดปกติได้ด้วย ท้ังนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้น ตอ่ สขุ ภาพจะปรากฏอาการมากหรอื นอ้ ย นอกจาก เร่อื งของระยะเวลาการได้รับสารเข้าไปแลว้ ยงั ขน้ึ อยู่กับชนิดและปริมาณสารอินทรีย์ระเหยน้ันๆ รวมทั้งสภาวะร่างกายของบุคคลท่ีมีความแตกต่าง กันอีกด้วย สารอินทรีย์ระเหยบางชนิดสามารถ ส่งผลต่อร่างกายได้ในหลายๆ ส่วน เช่น สารไตรคลอโรเอทธลิ นี ทท่ี าง USEPA ไดม้ กี ารศกึ ษา และพบวา่ สารนีส้ ่งผลทั้งตอ่ ตับ ไต ตบั ออ่ น สมอง ระบบตอ่ น้�ำเหลอื ง ระบบภมู ิคมุ้ กนั ระบบสบื พนั ธ์ุ และการพัฒนาการ จากอดีตส่ปู จั จุบัน มหนั ตภัยสารอินทรีย์ระเหย (ในดินและนำ้ �ใตด้ ิน) 31

ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพจากสารอนิ ทรียร์ ะเหยง่าย (VOCs) ทพ่ี บในน้ำ�ใต้ดนิ ค่ามาตรฐาน สารก่อมะเรง็ * ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพหากไดร้ ับสาร สารอนิ ทรียร์ ะเหยง่าย (VOCs) คณุ ภาพน�้ำใตด้ นิ ดงั กลา่ วท่ปี ริมาณสูงกว่าคา่ มาตรฐาน คณุ ภาพน�ำ้ ใต้ดิน (เพือ่ การบริโภค) เพื่อการบรโิ ภค ตลอดชว่ งชวี ิต Benzene 5 Group 1 (IARC) ทำ�ลายไขกระดกู เมด็ เลอื ดแดงแตก โรคโลหิตจาง กดระบบประสาทสว่ น กลาง Carbon Tetrachloride 5 Group 2B (IARC) อันตรายตอ่ ตับ เพม่ิ ความเสย่ี งตอ่ การ เกดิ มะเรง็ 1,2-Dichloroethane หรือ 5 Group 2B (IARC) เพิม่ ความเสย่ี งตอ่ การเกดิ มะเร็ง Ethylene Cichloride 1,1-Dichloroethylene 7 Group 3 (IARC) อันตรายต่อตบั ไต และตวั ออ่ น (fetus) cis, 1,2- Dichloroethylene 70 - อันตรายต่อตบั trans, 1,2-Dichloroethylene 100 - อนั ตรายตอ่ ตับ Dichloromethane หรือ 5 Group 2B (IARC) อนั ตรายตอ่ ตับ เพม่ิ ความเสีย่ งต่อการ Methylene Cichloride เกิดมะเรง็ Ethylbenzene 700 - อันตรายต่อตับ ไต Styrene 100 - อนั ตรายต่อตับ ไต หรอื ระบบ หมุนเวยี นโลหติ Tetrachloroethylene หรอื 5 Group 2A (IARC) อนั ตรายต่อตบั เพ่มิ ความเสีย่ งต่อการ Perchloroethylene เกดิ มะเรง็ Toluene 1000 - อนั ตรายตอ่ ตบั ไต หรือระบบประสาท Trichloroethylene (TCE) 5 Group 2A (IARC) อนั ตรายตอ่ ตับ เพ่ิมความเสยี่ งต่อการ เกิดมะเรง็ 1,1,1-Trichloroethylene 200 - อนั ตรายต่อตบั ระบบประสาท หรือ ระบบหมนุ เวยี นโลหติ 1,1,2-Trichloroethylene 5 - อนั ตรายตอ่ ตบั ไต หรือระบบภูมิคุ้มกัน Xylenes 10000 - อนั ตรายตอ่ ระบบประสาท Vinyl Chloride 2 Group 1 (IARC) อนั ตรายตอ่ ตบั ระบบประสาท หรือ เพ่มิ ความเส่ียงต่อการเกดิ มะเรง็ * IARC : International Agency for Research on Cancer ไดจ้ �ำแนกประเภทสารท่กี อ่ ให้เกิดมะเร็งเปน็ 4 กลมุ่ ดงั นี้ Group 1 : เป็นสารก่อมะเรง็ แกม่ นษุ ย์ (carcinogenic to humans) Group 2A : เป็นสารทเ่ี ป็นไปไดม้ ากว่าจะกอ่ มะเร็งในมนุษย์ (probably carcinogenic to humans) (ท่มี า: กรมควบคมุ มลพษิ http://infofile.pcd.go.th/haz/haz_VOCs.pdf) 32 ศนู ยว์ จิ ยั และฝึกอบรมดา้ นสงิ่ แวดล้อม

ตัวอยา่ งผลกระทบกบั สขุ ภาพ หากรา่ งกายได้รบั สาร Trichloroethylene ภาพนแี้ สดงใหเ้ หน็ ผลกระทบจากการไดร้ บั สาร Trichloroethylene เขา้ สรู่ า่ งกาย ขอ้ มลู นม้ี า จากการศึกษาทร่ี วบรวมโดย US EPA 2001 สมอง :ในอดตี Trichloroethylene เมื่อมนุษย์รับสาร Trichloroethylene ถูกใช้เป็นยาชาและยาสลบ เข้ามาโดยการ ด่ืม อาบ หรือสัมผัส สาร ก า ร รั บ สั ม ผั ส ใ น ป ริ ม า ณ สู ง Trichloroethylene จะเขา้ สรู่ า่ งกาย สารสะสม ในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลกระทบ ในไขมนั และเนอื้ เยือ่ ต่อสมองคล้ายกับสารตัวท�ำ ละลายปิโตรเลียม รวมถึง อา้ งองิ ทีม่ าจาก http://coep.pharmacy.arizona.edu/tce แอลกอฮอล์ อีเทอร์ ซึ่งมีผลต่อ และ http://frobbi.org/ การทำ� ใหเ้ กดิ การวงิ เวยี น ปวดหวั ตบั : Trichloroethylene งว่ งหาว มึน ตาพร่า งงงวย สามารถส่งผลกระทบ ระบบตอ่ มน้ำ� เหลอื ง : ต ่ อ ตั บ โ ด ย เ พ่ิ ม ค ว า ม Trichloroethylene ส่งผล เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ในการเพิ่มความเสี่ยงในการ ท่ีตับ จากการศึกษาโดย เป็นมะเร็งต่อมน�้ำเหลือง ชนิด การให้หนูตัวเล็กและ non-Hodgkin’s จากการ หนูตัวใหญ่สัมผัสสาร ทดลองในหนูขนาดเล็ก Trichloroethylene พบ เน้ืองอกในหนูตัวเล็กแต่ ไม่พบในหนูตวั ใหญ่ การพฒั นาการ : มขี อ้ มลู ทแี่ พทย์ ให้เห็นว่า Trichloroethylene สง่ ผลตอ่ ความผดิ ปกตขิ องหวั ใจ, ตบั ออ่ น : เพมิ่ โอกาสการ ลกู หนแู สดงความผดิ ปกตใิ นหวั ใจ เปน็ มะเร็งตบั อ่อน และตา ไต : Trichloroethylene ระบบสืบพันธุ์ : การศึกษาพบ ท�ำลายไตและเก่ียวข้อง ว่า คนงานชายท่ีมีการสัมผัส กบั การเปน็ มะเรง็ ไต จาก Trichloroethylene ได้รับผล การศึกษาในสัตวแ์ ละคน กระทบต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น สเปิร์มมีปริมาณลดลง มีความ เช่ือมโยงต่อการเป็นมะเร็งต่อม ลูกหมากและมะเร็งปากมดลูก ในผ้หู ญงิ เปน็ เรอื่ งทนี่ า่ สนใจวา่ สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยบางชนดิ สง่ ผลตอ่ การเกดิ มะเรง็ ซงึ่ ทกุ วนั นโี้ รคมะเรง็ จดั วา่ เปน็ โรคทค่ี รา่ ชวี ติ คนไทย เป็นอนั ดบั หนงึ่ ของประเทศ ความนา่ กลวั จากผลกระทบตอ่ ร่างกายอันเปน็ ผลจากการรับสมั ผสั สารอนิ ทรีย์ระเหยนัน้ นา่ จะ ท�ำใหท้ ่านผอู้ ่านได้เกดิ ความตระหนกั ในการปอ้ งกนั หลกี เล่ียง ที่จะไม่ให้ตัวเองได้สมั ผัสสารอนั ตรายเหล่าน้ี จากอดีตสู่ปจั จบุ ัน มหนั ตภัยสารอินทรียร์ ะเหย (ในดนิ และน้ำ�ใต้ดนิ ) 33

แหล่งกำ�เนดิ ของสารอนิ ทรยี ์ระเหย การปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยในส่ิงแวดล้อม อาจเกดิ จากการทงิ้ หรอื รวั่ ซมึ ของสารเคมไี หลผา่ นชน้ั ดนิ หรอื การรวั่ ซมึ จากทอ่ สารเคมใี นการผลติ หลมุ ฝงั กลบขยะ ถังน�้ำมันใต้ดินของสถานีบริการน�้ำมัน เป็นต้น หรือ การทิ้งสารอินทรีย์ระเหยลงสู่แหล่งน�้ำใต้ดินโดยตรง สารอินทรีย์ระเหยในดินจะก่อให้เกิดการปนเปื้อนใน สิ่งแวดลอ้ มหลายรปู แบบ ดังนี้ 34 ศนู ย์วจิ ยั และฝกึ อบรมดา้ นส่งิ แวดล้อม

1) สารอินทรีย์ระเหยท่ีอยู่ในดินส่วนหน่ึง สามารถระเหยสบู่ รรยากาศเกดิ เปน็ มลพษิ ทางอากาศ 2) สารอินทรีย์ระเหยส่วนหนงึ่ สามารถไหลซึม ลงสใู่ นแหลง่ น้ำ� ใต้ดนิ เกดิ เป็นมลพษิ ทางน�้ำใต้ดนิ 3) สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยทเ่ี กาะตดิ กบั อนภุ าคของ ดินเกิดเปน็ มลพิษทางดิน แหลง่ ก�ำเนิดสำ� คญั เชน่ โรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะ และสถานบรกิ ารคมนาคมขนสง่ สถานีบริการน้ำ� มนั สถานประกอบการซกั แห้ง จากอดตี สปู่ ัจจุบัน มหนั ตภัยสารอินทรียร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ ิน) 35

สถานกำ� จัดขยะ และพ้นื ที่ ฝังกลบขยะทไ่ี ม่ได้มาตรฐาน พื้ น ที่ ลั ก ล อ บ ท้ิ ง ก า ก สารอตุ สาหกรรมและถงั สารเคมี สถานประกอบการซ่อมบ�ำรุง เครอ่ื งยนต์ เปน็ ตน้ ดูเหมือนว่าสารอินทรีย์ระเหยน้ัน ล้วนมีท่ีมาอยู่ใกล้ตัวเรา มากทเี ดยี วซง่ึ รา่ งกายของเราอาจรบั เขา้ ไปสะสมไดโ้ ดยไมร่ ตู้ วั ไมเ่ ลอื ก ช่วงเวลา และสถานท่ี ไมว่ ่าจะเปน็ ในขณะที่เรากำ� ลงั นงั่ พลกิ นิตยสาร อยใู่ นรา้ นทำ� ผม ในขณะทเ่ี รากำ� ลงั เดนิ ทางไปใหถ้ งึ ทหี่ มายทนั นดั สำ� คญั หรือแม้เเต่ในขณะที่ทานอาหารเเละด่ืมน�้ำ น่ันก็เพราะสารอินทรีย์- ระเหยได้แทรกซึมปนเปื้อนอยู่ในส่ิงแวดล้อมได้โดยง่าย กลายเป็น ความจริงที่น่ากลวั ซ่ึงเราต้องเผชิญอยทู่ กุ วนั ส�ำหรับในเรื่องต่อไปเราจะพาไปรู้จักกับพ้ืนที่ท่ีตรวจพบการ ปนเปอ้ื นสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยในดินและนำ้� ใต้ดิน 36 ศนู ย์วจิ ยั และฝึกอบรมด้านส่งิ แวดล้อม



เร่อื งที่ 2 พ้ืนที่ตรวจพบการปนเปอ้ื น สารอินทรีย์ระเหยในดิน และนำ้ �ใต้ดนิ

พน้ื ทต่ี รวจพบการปนเปอ้ื นสารอนิ ทรยี ร์ ะเหย ในดนิ และนำ้ �ใต้ดิน การนำ� สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย มาใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ในแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งในผลิตภัณฑ์ ท่ีใช้ในครัวเรือน ส่งผลให้สารอินทรีย์ระเหยถูก ปลดปลอ่ ยสสู่ ง่ิ แวดลอ้ มจากกระบวนการผลติ การใช้ การก�ำจัดของเสีย เป็นต้น เนื่องจากความเป็น พิษของสารอินทรีย์ระเหยบางชนิดน้ันซึ่งหากสาร อินทรีย์ระเหยยังคงถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติโดย ไม่ได้รับการควบคุมดูแลไปเร่ือยๆ ในท้ายท่ีสุดก็ ย่อมส่งผลร้ายนานัปการกับธรรมชาติและชีวิต มนษุ ยต์ ามมาอยา่ งแนน่ อนเนอ่ื งจากเปน็ เรอื่ งยากท่ี จะหลกี เลย่ี งการสมั ผสั หรอื รบั เอาสารนเี้ ขา้ สรู่ า่ งกาย ของคนเรา จากอดีตส่ปู จั จุบัน มหนั ตภัยสารอินทรียร์ ะเหย (ในดินและนำ้ �ใต้ดนิ ) 39

การปนเปือ้ นของสารอินทรียร์ ะเหยในดนิ และน�้ำใต้ดนิ ท่ตี รวจพบ ในประเทศไทย มีต้นตอจากหลายสาเหตุ บ้างมาจากการไม่รู้หรือรู้เท่า ไม่ถึงการณ์โดยการล้างถังสารเคมีเพื่อน�ำไป recycle หรือน�ำไปใช้ ประโยชน์อื่น บางครั้งเกิดจากกระบวนการผลิตที่มีการรั่วซึมของท่อ หรือบ่อหรือสถานท่ีเก็บสารเคมีหรือจากการซ่อมบ�ำรุงในอุตสาหกรรม และมีการเทท้ิงสารเคมีท่ีใช้โดยไม่ได้จัดการให้ถูกวิธี บ้างมาจากความ มักง่ายของผู้ประกอบการท่ีขาดส�ำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมโดย น�ำกากของเสียอุตสาหกรรมไปลักลอบท้ิงหรือไปจัดการอย่างไม่ถูกวิธี ท�ำให้ของเสียท่ีเป็นสารอันตรายรวมทั้งสารอินทรีย์ระเหยส่งกลิ่นและ รั่วซึมเข้าสู่พื้นที่และบ่อน�้ำใช้ของประชาชนดังที่ได้เกิดเรื่องร้องเรียนที่ เปน็ ขา่ วอยู่เสมอ 40 ศูนยว์ ิจัยและฝึกอบรมดา้ นสิ่งแวดล้อม

ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใน ปจั จบุ นั ประเทศไทยมพี น้ื ทที่ มี่ กี าร ปนเปื้อนของสารอินทรีย์ระเหย แลว้ ทงั้ หมดกแี่ หง่ ในเรอื่ งนเ้ี ราลอง ไปตามรอยกนั ดดู กี วา่ วา่ มสี ถานท่ี แห่งใดในบ้านเราบ้างที่เคยตรวจ พบปัญหาสารอินทรีย์ระเหย เพ่ือ น�ำมาเป็นบทเรียนส�ำคัญสู่ส�ำนึก รับผิดชอบต่อส่วนรวม และการ ปอ้ งกนั ทีร่ ัดกุมตอ่ ไป จากอดตี สปู่ ัจจุบัน มหนั ตภยั สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และน้ำ�ใต้ดิน) 41

นิคมอตุ สาหกรรมภาคเหนือ และพน้ื ที่โดยรอบ การศึกษาวิจัยนี้นับว่าเป็นงานวิจัย ชน้ิ แรกทไี่ ดม้ กี ารศกึ ษาสถานการณป์ นเปอ้ื น ข อ ง ส า ร อิ น ท รี ย ์ ร ะ เ ห ย ใ น พื้ น ท่ี นิ ค ม อุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดล�ำพูน เป็นการด�ำเนินงานภายใต้ความร่วมมือ โครงการ Green Aid Plan (GAP) โดย ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านส่ิงแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม การนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและ อตุ สาหกรรมประเทศญปี่ นุ่ (The Japanese Ministry of International Trade and Industry; MITI) 42 ศนู ยว์ จิ ัยและฝกึ อบรมดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม

โดยได้ศึกษาในระหว่าง พ.ศ. 2540-2542 ใน ชว่ งเวลานนั้ ประเทศไทยยงั ไมม่ ขี อ้ บงั คบั หรอื มาตรฐาน ใดที่เกี่ยวกับสารอินทรีย์ระเหยในดินและน�้ำใต้ดินเลย งานวจิ ยั ชนิ้ นน้ี บั วา่ เปน็ งานวจิ ยั นำ� รอ่ งทท่ี ำ� ใหน้ กั วจิ ยั ไทย และผู้สนใจหลายคนได้รับรู้และรับทราบสถานการณ์ การปนเปอ้ื นของสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยในพน้ื ทน่ี ี้ และตอ่ มา ได้มีการนำ� ไปศึกษาในอกี หลายพ้นื ทใี่ นประเทศไทย ในครั้งนั้นได้เลือกโรงงาน 3 โรงงาน ในพ้ืนท่ี นิคมอุตสาหกรรมที่มีการใช้สารอินทรีย์ระเหยใน กระบวนการผลิต โดยไดด้ �ำเนินการเปน็ ข้ันตอน ดงั น้ี จากอดีตสูป่ ัจจบุ นั มหนั ตภยั สารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (ในดนิ และนำ้ �ใตด้ นิ ) 43

การตรวจสอบไอของสารในดนิ (Soil gas vapor investigation) โดยวิเคราะห์ ความเข้มข้นของสารไตรคลอโรเอทธิลีน (Trichloroethylene; TCE) และ ส า ร ซิ ส - 1 , 2 - ไ ด ค ล อ โ ร เ อ ท ธิ ลี น (cis-1,2-Dichloroethylene; cis-DCE) ในดินที่ความลึก 1 เมตร ตามจุดต่างๆ ในโรงงาน เพอ่ื ศกึ ษารปู แบบการกระจายตวั ของสารอินทรียร์ ะเหยใต้ดนิ 44 ศนู ยว์ ิจยั และฝกึ อบรมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

การเจาะพสิ จู น์ระดบั ต้ืน โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื 2 ชนดิ 1) การเจาะโดยใชเ้ ครอื่ งเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ แบบตอ่ เนอื่ ง แบบ direct push ยห่ี อ้ Geoprobe รนุ่ 54 DT ซง่ึ สามารถ เก็บตัวอย่างแท่งดินได้คร้ังละ 1 เมตร และสามารถ เจาะเก็บตัวอย่างดินลึกไม่เกิน 15 เมตร โดยไม่ท�ำลาย การเรียงตัวของช้ันดิน 2) การเจาะลกึ โดยใชเ้ ครอ่ื งเจาะแบบ Split barrel drill machine โดยท�ำการเจาะแบบกระแทกเพ่ือน�ำ แทง่ ดนิ ยาวครงั้ ละ 0.5 เมตร และทำ� การปอ้ งกนั หลมุ เจาะ ทอ่ี ยู่ดา้ นบนด้วยการอดั ท่อเหล็ก เสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง 4 นว้ิ เพ่ือป้องกันการไหลของสารปนเปื้อนท่ีอยู่ด้านบนไม่ให้ ลงไปปนเปื้อนชั้นดินและน�้ำใต้ดินท่ีอยู่ด้านล่าง หลังจาก ที่เก็บตัวอย่างดินขึ้นมาแล้ว ท�ำการศึกษาการเรียงตัว ของช้ันดิน และเก็บตัวอย่างดินทุกๆ ระดับชั้นท่ีดินมีการ เปลี่ยนแปลงลักษณะและสีเพ่ือวิเคราะห์หาปริมาณของ สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยดว้ ยเทคนคิ Headspace และวเิ คราะห์ ดว้ ยเครื่อง Gas Chromatograph จากอดตี ส่ปู จั จุบัน มหันตภัยสารอนิ ทรยี ร์ ะเหย (ในดินและน้ำ�ใต้ดิน) 45

เมื่อการขุดเจาะเสร็จแล้วได้ ทำ� การตดิ ตงั้ บอ่ สงั เกตการณ์ เพ่ือตรวจสอบความเข้มข้น ของสารอินทรีย์ระเหยในน้�ำ ใตด้ นิ ต่อไป 46 ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมดา้ นส่ิงแวดล้อม

ผลการศกึ ษาวจิ ยั ใน 3 โรงงาน พบการปนเปอ้ื น ของสารไตรคลอโรเอทธลิ นี (Trichloroethylene; TCE) แ ล ะ ส า ร ซี ส - 1 , 2 - ไ ด ค ล อ โ ร เ อ ท ธิ ลี น (cis-1,2-Dichloroethylene; cis-DCE) ในดินโดย ตรวจพบต้ังแต่ชั้นบนและตามความลึกลงไปถึง ทป่ี ระมาณ 9 เมตร และยงั ได้ตรวจพบสารดังกลา่ ว ร ว ม ท้ั ง ส า ร ท ร า น ส ์ - 1 , 2 - ไ ด ค ล อ โ ร เ อ ท ธิ ลี น (trans 1,2-Dichloroethylene; trans-DCE) และสารไวนิลคลอไรด์ (Vinyl Chloride; VC) ในน�้ำใต้ดินด้วย โดยค่าท่ีตรวจพบในน�้ำใต้ดิน มีปริมาณที่สูงเกินค่ามาตรฐานน�้ำใต้ดินในประเทศ ญ่ีปุ่นมาก (ในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐาน ของสารอนิ ทรีย์ระเหยในนำ�้ ใต้ดนิ ) หลงั จากการศกึ ษาในครงั้ นนั้ มกี ารประกาศของ คณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ 2 ฉบบั ทไ่ี ดบ้ รรจุ เร่อื งการปนเป้อื นของสารอนิ ทรีย์ระเหย จากอดีตสปู่ ัจจบุ ัน มหนั ตภยั สารอนิ ทรยี ์ระเหย (ในดนิ และน้ำ�ใต้ดนิ ) 47

1 ดัชนีคุณภาพน�้ำใต้ดินในกลุ่ม สารอินทรีย์ระเหย ในมาตรฐาน คุณภาพน�้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นประกาศ คณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับท่ี 20 (พ.ศ. 2543) ออกตาม ความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เรอื่ ง ก�ำหนดมาตรฐาน คณุ ภาพนำ้� ใตด้ นิ ตพี มิ พใ์ นราชกจิ จา นเุ บกษา เลม่ 117 ตอนพิเศษ 95 ง ลงวันท่ี 15 กันยายน 2543 48 ศนู ย์วจิ ยั และฝกึ อบรมดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม