ปฏริ ปู การศกึ ษาไทย รายงานของคณะกรรมการอสิ ระเพอื่ การปฏริ ปู การศกึ ษา
สารบาญ ก ความเป็นมาของการปฏริ ูปการศึกษาไทย หนา้ ตอนท่ี ๑ การศึกษาไทย: วกิ ฤตทิ ไ่ี ม่ตระหนกั ๑ ๑. คุณภาพการศึกษาไทย ๕ ๑.๑ คณุ ภาพการศึกษาต่าไม่ไดม้ าตรฐานตามเกณฑภ์ ายในประเทศ ๘ ๑.๒ คุณภาพการศึกษาไทยต่าเมอื เทยี บมาตรฐานสากล ๘ ๑.๓ ความสามารถทางภาษาองั กฤษของคนไทยต่ามาก ๑๐ ๑.๔ การพฒั นาเด็กปฐมวัยของไทยยังไมท่ วั ถงึ และด้อยคุณภาพ ๑๒ ๑.๕ การศกึ ษาภาษาไทยด้อยคณุ ภาพ ผู้เรียนไมเ่ กิดความสามารถอา่ นออกเขยี นได้ ๑๓ ๑.๖ คุณภาพของการศึกษาระดบั มธั ยมตน้ ในโรงเรยี นขยายโอกาส ๑๔ ๑.๗ ปัญหาของการจัดการเรียนการสอน ๑๕ ๑๖ ๒. ความไมเ่ สมอภาคทางการศกึ ษา ๒.๑ ความเหลือมล่าในโอกาสทางการศกึ ษา ๑๗ ๒.๒ ความเหลือมลา่ ทเี กดิ จากความแตกตา่ งในคุณภาพการศึกษา ๑๘ ๒๐ ๓. ความสามารถในการแขง่ ขนั ของชาติ และของการศกึ ษาไทย ๓.๑ ความสามารถในการแข่งขันของชาติอยู่ในระดับต่ากว่าทีพงึ จะเปน็ ๒๒ ๒๒ ๓.๒ การอาชวี ศกึ ษาไม่สามารถสรา้ งความสามารถของก่าลังแรงงานของชาติ เพอื รองรับการ ๒๔ พัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม สเู่ ป้าหมายประเทศไทย ๔.๐ ๒๖ ๓.๓ ความสามารถในการแขง่ ขันของสถาบนั อุดมศึกษาไทย อยูใ่ นระดับต่ากว่าทีพึงเปน็ ๒๘ ๔. การด้อยประสิทธภิ าพและธรรมาภบิ าลในการบริหารจดั การระบบการศกึ ษา ๒๘ ๔.๑ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการศึกษาของไทยต่า แม้จะใช้จ่ายในการลงทุนสูง ๒๘ ๔.๒ ประเทศไทยลงทนุ ในการศกึ ษาในระดับสูง ๒๙ ๔.๓ ปัญหาการบริหารจดั การงบประมาณการศึกษา ๓๑ ๔.๔ ปัญหาการบริหารจัดการเกียวกบั ครู ๓๔ ๔.๕ ปญั หาการเรยี นการสอนทีไม่ทันการเปลยี นแปลงในโลก ๓๖ ๔.๖ อปุ สงคข์ องการศึกษาตลอดชวี ติ ๓๘ ๔.๗ ปญั หาโรงเรียนขนาดเลก็ ๓๙ ๔.๘ ปญั หาจากการขาดขอ้ มูลทดี ใี นการบริหารจดั การการศกึ ษา ๔๑ ตอนที่ ๒ ตน้ ตอสาเหตุของปญั หาการศกึ ษาไทย ๔๒ ๑. หลักคิด ค่านยิ มของสังคมทีเกยี วกบั การศึกษา โครงสรา้ งของระบบ และการบรหิ าร จัดการระบบการศึกษา ไม่เหมาะสม ท่าใหร้ ะบบการศึกษาขาดประสิทธิภาพ และผลสมั ฤทธ์ิ
๒. ปญั หาคณุ ภาพการศึกษาเป็นผลทเี รมิ จากคุณภาพของการศึกษาตังแตช่ ่วงอายุเริมตน้ ข และส่งผลต่อเนืองไปสกู่ ารศึกษาระดบั สงู ขึนไปทังระบบ หนา้ ๓. การบรหิ ารจัดการเพือลดความเหลอื มล่าทางการศึกษา รวมทงั การจัดสรรทรัพยากรเพอื แกป้ ญั หาการเข้าถงึ และการด้อยคณุ ภาพการศึกษา ๕๑ ๔. การบริหารจดั การโรงเรยี นขาดความคลอ่ งตวั และประสิทธภิ าพ จนเปน็ เหตุให้เกดิ การ ๕๓ ดอ้ ยคุณภาพ และผลสมั ฤทธิ์ทางการศึกษา ตลอดจนความสามารถในการแขง่ ขัน ๕๕ ๕. การบริหารจดั การเกียวกบั ครู มกี ลไกทีไม่เออื ใหค้ รูท่าการสอนได้อย่างมีคณุ ภาพ ๕๙ ๖. การเรียนการสอน หลักสูตร และการประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษา ล้าสมัย ไมท่ ันโลก ๖๑ ๖๔ ๗. การศึกษาของไทยยังไม่ได้ใชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยดี ิจิทลั อย่างเต็มที ๖๕ ๘. การอาชวี ศกึ ษาของไทยไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทังในดา้ นทักษะ และ ๖๖ สาขาวิชา ๖๘ ๗๔ ๙. การอดุ มศึกษาของไทยจ่าเปน็ ตอ้ งได้รับการปฏิรปู ๗๗ ๗๗ ตอนที่ ๓ แนวทางในการปฏิรูปการศึกษาไทย ๗๙ ตอนที่ ๔ แผนการปฏิรูปการศกึ ษาไทย ๘๑ เปา้ หมายของการปฏริ ปู การศึกษาไทยเมือครบ ๑๐ ปี ๘๓ วตั ถุประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษา ๘๘ เร่ืองที่ ๑ : การปฏิรูประบบการศกึ ษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ โดยพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่และกฎหมายลาดบั รอง ๙๐ ๙๔ ประเดน็ การปฏิรูปที ๑.๑ : การยกรา่ งพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบับใหม่ และ การทบทวน จดั ท่า แกไ้ ข และปรับปรุงกฎหมายทเี กยี วข้อง ประเด็นการปฏิรปู ที ๑.๒ : การสรา้ งความรว่ มมือระหวา่ งรัฐ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ และเอกชน เพือการจัดการศึกษา ประเดน็ การปฏิรปู ที ๑.๓ : การขับเคลือนการจดั การศึกษาเพอื การพัฒนาตนเองและ การศกึ ษาเพือการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิตเพอื รองรบั การพฒั นาศักยภาพคนตลอดชว่ งชวี ติ ประเด็นการปฏิรปู ที ๑.๔ : การทบทวนและปรบั ปรุงแผนการศึกษาแห่งชาติ ประเด็นการปฏิรปู ที ๑.๕ : การจัดตังสา่ นักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ
เร่อื งที่ ๒ : การปฏิรปู การพัฒนาเดก็ เลก็ และเด็กก่อนวยั เรยี น ค ประเดน็ การปฏริ ปู ที ๒.๑ : การพัฒนาระบบการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้เพือใหเ้ ดก็ หน้า ปฐมวัยได้รับการพัฒนา ร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญาให้สมกบั วัย ๙๗ ประเด็นการปฏริ ูปที ๒.๒ : การสอื สารสงั คมเพอื สรา้ งความเข้าใจในการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ๙๗ เรื่องที่ ๓ : การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมลาทางการศึกษา ๙๙ ๑๐๐ ประเด็นการปฏิรูปที ๓.๑ : การด่าเนนิ การเพอื ลดความเหลือมล่าทางการศึกษา ๑๐๐ ๑๐๒ ประเด็นการปฏริ ูปที ๓.๒ : การจัดการศึกษาส่าหรับบุคคลพิการ บคุ คลทมี ีความสามารถ พิเศษ และบุคคลทีต้องการการดูแลเปน็ พิเศษ ๑๐๗ ประเด็นการปฏิรปู ที ๓.๓ : การยกระดบั คุณภาพการจัดการศึกษาในพืนทีห่างไกล หรือใน ๑๐๙ สถานศกึ ษาทตี ้องมีการยกระดับคณุ ภาพอย่างเรง่ ด่วน ๑๐๙ เร่ืองที่ ๔ : การปฏริ ูปกลไกและระบบการผลติ คดั กรอง และพัฒนาผูป้ ระกอบวิชาชพี ครแู ละ อาจารย์ ๑๑๒ ๑๑๓ ประเด็นการปฏิรปู ที ๔.๑ : การผลิตครู และการคัดกรองครู เพือให้ได้ครทู ีมีคุณภาพตรงกับ ความต้องการของประเทศ และมจี ติ วญิ ญาณของความเป็นครู ๑๑๔ ประเดน็ การปฏริ ปู ที ๔.๒ : การพัฒนาวชิ าชีพครู ๑๑๖ ๑๑๖ ประเดน็ การปฏริ ูปที ๔.๓ : เสน้ ทางวิชาชีพครู เพือให้ครูมีความกา้ วหนา้ ได้รับค่าตอบแทน ๑๑๖ และสวสั ดกิ ารทเี หมาะสม ๑๒๔ ประเดน็ การปฏริ ูปที ๔.๔ : การพัฒนาผบู้ ริหารสถานศึกษา เพอื ยกระดบั คุณภาพการจดั ๑๒๗ การศึกษาในสถานศกึ ษา ประเด็นการปฏริ ูปที ๔.๕ : องคก์ รวิชาชีพครู และปรับปรงุ กฎหมายทเี กียวข้อง เรอื่ งท่ี ๕ : การปฏริ ูปหลักสูตร การเรยี นรู้ และการประเมนิ ผลการศกึ ษา ประเด็นการปฏิรปู ที ๕.๑ : การปรบั หลักสูตรพร้อมกระบวนการจดั การเรยี นการสอน และ การประเมนิ เพือพฒั นาการเรียนรู้เปน็ หลักสูตรฐานสมรรถนะ ประเดน็ การปฏิรูปที ๕.๒ : การจัดการศึกษาเพอื เสริมสร้างคณุ ธรรมและจริยธรรม ประเด็นการปฏิรปู ที ๕.๓ : การประเมนิ คุณภาพการจดั การศึกษาระดับชาติและระบบคัดเลือก เขา้ ศึกษาต่อ
ประเดน็ การปฏริ ปู ที ๕.๔ : การพฒั นาระบบคุณภาพการศึกษา ง ประเด็นการปฏิรปู ที ๕.๕ : ระบบความปลอดภยั และระบบสวสั ดภิ าพของผ้เู รยี น หน้า ประเด็นการปฏริ ปู ที ๕.๖ : การปฏิรูปอาชีวศึกษา เพือสร้างขีดความสามารถในการแข่งขนั ของ ประเทศ ๑๒๙ ๑๓๑ ประเดน็ การปฏริ ปู ที ๕.๗ : การปฏิรูปอุดมศึกษาเพือยกระดับคณุ ภาพ เพิมขีดความสามารถ ๑๓๓ ในการแข่งขันประสิทธภิ าพ และธรรมาภิบาลของระบบ อุดมศึกษา ๑๓๖ ประเดน็ การปฏิรปู ที ๕.๘ : การจดั ตังสถาบันหลกั สตู รและการเรียนรูแ้ หง่ ชาติ ๑๓๙ ๑๔๑ เร่อื งท่ี ๖ : การปรบั โครงสรา้ งของหน่วยงานในระบบการศกึ ษา เพื่อบรรลุเป้าหมายในการ ๑๔๑ ปรบั ปรงุ การจดั การเรียนการสอนและยกระดบั คุณภาพของการจัดการศึกษา ๑๔๓ ๑๔๔ ประเดน็ การปฏริ ูปที ๖.๑ : สถานศกึ ษามีความเปน็ อสิ ระในการบริหารและจดั การศึกษา ๑๔๔ ประเดน็ การปฏิรปู ที ๖.๒ : พืนทนี วัตกรรมการศึกษา ๑๔๔ ประเด็นการปฏริ ูปที ๖.๓ : การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ๑๔๘ เรอ่ื งที่ ๗ : การปฏิรูปการศึกษาและการเรยี นรู้โดยการพลิกโฉมดว้ ยระบบดิจิทัล ๑๔๙ (Digitalization for Educational and Learning Reform) ๑๕๒ ประเด็นการปฏริ ปู ที ๗.๑ : การปฏิรูปการเรยี นรู้ดว้ ยดิจทิ ลั ผ่านแพลตฟอรม์ การเรยี นรดู้ ว้ ยดิจทิ ัล แห่งชาติ ๑๕๓ ๑๕๕ ประเด็นการปฏิรูปที ๗.๒ : ระบบข้อมูลสารสนเทศเพือการศึกษา (Big Data for ๑๕๖ Education) ประเด็นการปฏิรปู ที ๗.๓ : การพัฒนาความเป็นพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) ในด้าน ความฉลาดรู้ดิจิทัล (digital literacy) ความฉลาดรู้สารสนเทศ (information literacy) ความ ฉลาดรู้สือ (media literacy) เพือการรู้วิธีการเรียนรู้ (learning how to learn) ในการเรียนรู้ ตลอดชีวิต ตลอดจนการมีพฤติกรรมทีสะท้อนการรู้กติกา มารยาท จริยธรรมเกียวกับการใช้สือ และการสอื สารบนอนิ เทอร์เน็ต ตอนที่ ๕ ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะต่อรัฐบาล ข้อเสนอแนะต่อสงั คม ขอ้ เสนอแนะต่อสือมวลชน
๑ ความเปน็ มาของการปฏริ ปู การศกึ ษาไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้วางระบบการศึกษาของไทยเม่ือกว่าร้อยปี มาแล้ว พัฒนาการของการศึกษาไทยได้เจริญข้ึนโดยลาดับ จนปัจจุนัน มีโรงเรียนกระจายออกไปถ้วน ท่ัวทุกหมู่บ้านในประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับประถมศึกษา และได้ยกระดับสูงข้ึนไปเป็นระดับ มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวมท้ังมีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยจานวนหน่ึงท่ีได้พัฒนาคุณภาพ จนไดม้ าตรฐานสากล สามารถไปแข่งขันในระดับโลกได้ ได้มีการปฏิรูปการศึกษาของไทยมาเป็นระยะๆ และมีการปรับเปลี่ยนใหญ่หลายครั้ง การแยกการศึกษาทางวิชาการออกมาจากการศึกษาทางศาสนา การปรับข้อกาหนดช่วงการศึกษาเป็น ประถมศึกษา กับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย โดยปรับจานวนปีในแต่ละช่วง เป็นไปตามสภาพ การพัฒนาสังคมในแต่ละระยะ จนได้เป็นการศึกษาพ้ืนฐาน ๑๒ ปี ตามแบบสากล และมีการศึกษาระดับ อนุบาลด้วย มีการกาหนดการศึกษาภาคบังคับ ให้ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบให้เด็กในความดูแลต้องเข้ารับ การศึกษา มีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นโดยลาดับจนเป็นสัดส่วนสูงสุดในบรรดาด้านต่างๆ ขยาย โอกาสทางการศึกษาออกไปสู่ประชาชนทุกคน ทุกพ้ืนท่ีและทุกสภาพท้ังด้วยการสนับสนุนให้เงินช่วยเหลือ และเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐- ๒๕๔๔) ใหค้ วามสาคญั โดยกาหนดใหค้ นเปน็ ศนู ยก์ ลางการพัฒนา การปฏิรปู การศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กระทาเป็นภารกิจใหญ่ ดว้ ยการออกกฏหมายใหม้ ีการปฏิรูป การศึกษา และออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ีมีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๔๕ และ ๒๕๕๓ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงโครงสร้างและการบรหิ ารจัดการการศึกษาในทุกด้าน มีผลให้การศึกษาของ ชาตกิ า้ วหนา้ ข้ึน แต่เม่อื เวลาผา่ นไป ๒ ศตวรรษ การศึกษาของไทยกย็ ังมีปัญหาอยู่อยา่ งมา ความจาเป็นต้องปรับแก้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. ๒๕๔๕ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ เนื่องจากการปฏิรูปครั้งน้ัน เน้นการปรับโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ในการปฏิบัติ ความเปน็ เอกภาพของการศึกษาทีม่ ุ่งหวงั เกิดขึ้นน้อย และเกิดความไมส่ มดุลของส่วนงาน โดย การศึกษาข้ันพื้นฐานมีปริมาณงานและงบประมาณมากกว่าคร่ึงหน่ึงของกระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด อีกทงั้ การดาเนนิ งานของหน่วยงานในกระทรวงศกึ ษาธิการมีการวางนโยบาย การกากบั ดแู ล และการปฏิบัติอยู่ ภายใต้องคก์ รเดียว ขาดการถ่วงดลุ และการประเมินปรบั แกท้ ี่มปี ระสทิ ธภิ าพ เจตนารมณ์ท่ีกาหนดไว้ในกฎหมายหลายอย่าง ไม่ได้นาไปสู่การปฏิบัติ เช่น การกระจายอานาจ ไม่เกิดขึ้น คงมีการกระจุกตัวของอานาจส่ังการอยู่ท่ีสานักงานเลขาธิการต่างๆ การกระจายอานาจจาก ส่วนกลางไปสู่ส่วนพื้นที่คงลงไปกระจุกตัวอยู่ที่เขตพื้นที่การศึกษา ไม่ลงไปถึงสถานศึกษาตามที่กาหนดไว้ ระบบการบริหารงานจึงเป็นระบบที่ส่ังการจากบนลงล่าง และเป็นระบบบริหารความเหมือนที่ใช้กระบวนการ หรือกลไก หรือวิธีการท่ีเหมือนกันท้ังประเทศ โรงเรียนจึงขาดความเป็นอิสระ และขาดความคล่องตัวใน
๒ การบริหารจัดการเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ตรงตามบริบท และสภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ีที่แตกต่างกัน ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลทางการศกึ ษาจึงเป็นปัญหา อีกประการหนึ่ง สภาพของโลกเปล่ียนไป ท้ังในระบบความรู้ ระบบสังคมเศรษฐกิจ ระบบงาน และการปฏิวัติดิจิทัล ตลอดจนการพัฒนาและปฏิรูปประเทศในกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ต้องเพ่ิมความสามารถ ในการแข่งขัน การศึกษาไทยปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง และใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีใหม่ได้ไม่เต็มที่ ความกา้ วหน้าด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารแบบก้าวกระโดดได้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ ภูมิภาค และโลก การเปล่ียนแปลงโครงสร้างประชากร โดยประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๘ ทักษะของประชากรในศตวรรษที่ ๒๑ เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอันมาก จนประชากรต้อง สร้างสมทักษะใหม่ๆจึงจะสามารถมชี วี ติ ทดี่ ีได้ เศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรมก้าวเข้าสยู่ ุค ๔.๐ กาลงั คนท่ีต้องการ จึงมีองค์ประกอบ ๔.๐ ด้วย สภาวการณ์การเปล่ียนแปลงในด้านธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมทวีความรุนแรง มากขึน้ แนวโน้มการเปลย่ี นแปลงทางสังคมกไ็ มย่ ง่ิ หย่อนกว่ากัน เกดิ ความขัดแย้งและความรนุ แรงในสงั คม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กาหนดหลักการและเจตนารมณ์เกี่ยวกับการศึกษา เพม่ิ เตมิ และแตกตา่ งจากที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แกไ้ ขเพม่ิ เติม พ.ศ.๒๕๔๕ และ ๒๕๕๓ หลายประการ ด้วยมาตรา ๒๕๘ จ. โดยสรุปได้บัญญัติให้มีการดาเนินการปฏิรูปประเทศด้าน การศึกษา ครอบคลุมให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพฒั นา ร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ให้ดาเนินการตรากฎหมาย เพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้าทางการศึกษา ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนา ผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนท่ีเหมาะสมกับความสามารถและประสทิ ธภิ าพในการสอน รวมท้งั มีกลไกสร้างระบบคุณธรรม ในการบริหารงานบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครูให้มีการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพ่ือให้ ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังกล่าว โดยสอดคล้องกันท้ังในระดับชาติและระดับพ้ืนท่ี ทั้งนี้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๖๑ กาหนดให้การปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา มีคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระคณะหนึ่ง ที่คณะรัฐมนตรีแตง่ ตั้งดาเนินการศึกษาและจัดทาข้อเสนอแนะและร่างกฎหมายท่เี กยี่ วข้องในการดาเนนิ การให้ บรรลุเปา้ หมายเพอื่ เสนอคณะรัฐมนตรดี าเนินการตอ่ ไป นอกจากนี้ การปฏิรูปการศึกษายังเป็นส่วนหน่ึงของการปฏิรูปประเทศเพ่ือสนับสนุนการบรรลุ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่กาหนดไว้ในด้านต่างๆ เนื่องด้วยการศึกษาเป็นพ้ืนฐานที่สาคัญของการพัฒนาประเทศ ดังน้ันแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาจึงเป็นองค์ประกอบสาคัญที่จะสนับสนุนการดาเนินการตาม ยุทธศาสตร์ชาติทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเ ทศ ด้านความ เท่าเทียมและความเสมอภาคของสังคม และด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเศรษฐกิจและการ กระจายรายได้ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่เก่ียวกับการศึกษา และยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี
๓ (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๗๙) ตา่ งชี้ถงึ ความจาเป็นต้องมีกฎหมายใหม่มารองรับ นอกจากน้ันประชาชนและกลุ่มบุคคล ต่างๆ ไดต้ ั้งความหวังไว้กับการปฏิรูปการศกึ ษาครั้งน้เี ป็นอนั มาก สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้เสนอให้มีการปฏิรูประบบการจัดการศึกษา การปฏิรูประบบการคลังดา้ น การศึกษา และด้านอุปสงค์หลายประการ เช่น การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบประมาณเพ่ือการศึกษา การจัดทาคูปองการศึกษา และการปฏิรูประบบการเรียนรู้ สภาขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศ ได้เสนอแนะ การปฏิรูป ๔ เร่ือง คอื ๑) การปฏิรปู ระบบการเรียนรู้ ๒) การปฏิรูประบบการจัดการศึกษา ๓) การปฏริ ปู ระบบ มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และ ๔) การปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย เพื่อนวัตกรรม ส่วนคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ให้ข้อเสนอเชิง นโยบายยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยไว้ ๑๔ ประเด็น ใน ๕ กลุ่มได้แก่ “เร่ง ร่วม เริ่ม เพ่ิม พัฒนา” อาทิเช่น เร่งปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างการปฏิรูปการศึกษา ปรับปรุงระบบหลักสูตรและการ จัดการเรียนรู้ พัฒนาอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาเพ่ือพัฒนาชาติ และสนับสนุนและส่งเสริมโรงเรียนนิติบุคคล เพ่มิ การมีสว่ นรว่ มทางการศึกษา พฒั นาคุณภาพครูและบคุ ลากรทัง้ ระบบพัฒนาประสิทธิภาพโรงเรียนขนาดเล็ก พัฒนาระบบประเมินคุณภาพการศึกษา และพัฒนาระบบการศึกษาตลอดช่วงชีวิต เป็นต้น นับเป็นการขยาย ขอบเขตของการศึกษาลึกและกวา้ งออกไปจากแนวคิดเดิม รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงเม่ือวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 กาหนดนโยบาย 11 ดา้ นไว้ สาหรับดา้ นการศึกษา มดี งั นี้ 4. การศึกษาและเรียนรู้ การทะนบุ ารงุ ศาสนา ศลิ ปะและวฒั นธรรม 4.1 จัดให้มีการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ โดยให้ความสาคัญทั้งการศึกษาใน ระบบและการศึกษาทางเลือกไปพร้อมกัน เพ่ือสร้างคุณภาพของคนไทยให้สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนได้เต็มตามศักยภาพ เพ่ือลดความเหล่ือมล้า และพัฒนากาลังคนให้เป็นท่ีต้องการ เหมาะสมกับพ้ืนท่ี ทัง้ ในดา้ นการเกษตร อุตสาหกรรม และธรุ กจิ บรกิ าร 4.2 ในระยะเฉพาะหน้า จะปรับเปล่ียนการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษา ให้สอดคล้องกับความจาเป็นของผู้เรียนและลักษณะพ้ืนท่ีของสถานศึกษา จัดระบบการ สนับสนนุ ใหเ้ ยาวชนและประชาชนทั่วไปมีสิทธิเลือกรับบริการการศึกษาท้ังในระบบโรงเรียน และนอกโรงเรยี น โดยอาจจะพิจารณาจัดใหม้ คี ูปองการศึกษาเป็นแนวทางหนึ่ง 4.3 ให้องค์กรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และ ประชาชนทั่วไปมีโอกาสร่วมจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง และร่วมในการปฏิรูป การศกึ ษาและการเรียนรู้ 4.4 พัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูที่มีคุณภาพและมีจิตวิญญาณของความเป็น ครู เน้นครูผู้สอนให้มีวุฒิตรงตามวิชาที่สอน นาเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่ เหมาะสมมาใช้ในการเรียนการสอนเพ่ือเป็นเคร่ืองมือชว่ ยครูหรือเพ่ือการเรยี นรูด้ ว้ ยตวั เอง
๔ 4.5 ทานบุ ารุงและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและศาสนาอ่ืนๆ สนบั สนนุ ใหอ้ งค์กร ทางศาสนามีบทบาทสาคัญในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนพัฒนาคุณภาพ ชีวติ สร้างสันตสิ ุขและความปรองดองสมานฉันทใ์ นสังคมไทยอยา่ งย่งั ยืน คณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏิรูปการศึกษาได้รับการแต่งต้ังจากคณะรัฐมนตรีตามบทบัญ ญัติ มาตรา ๒๖๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เม่ือวันท่ี ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ให้มีหน้าที่ ทาการศึกษา จัดทาขอ้ เสนอแนะ และยกรา่ งกฎหมายทจี่ าเป็น โดยให้มีวาระการดาเนนิ งาน ๒ ปี คณะกรรมการอิสระฯ ได้ทาการศึกษาจากข้อมูลต่างๆ ทั้งรายงานของสภาปฏิรูปประเทศ สภาขบั เคลอื่ นการปฏริ ูปแห่งชาติ สภานติ บิ ัญญัตแิ ห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และรายงานผลการศึกษาวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นของผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา และประชาชนในท้องถ่ินต่างๆ ทั่วประเทศ รวมท้ังได้ศึกษาข้อเท็จจริงจากสถานศึกษาในระบบต่างๆ ระดับต่างๆ ในท้องที่ที่หลากหลาย แล้วนามาวิเคราะห์ถึงปัญหา ต้นตอของปัญหา และจัดทาแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา นาเสนอรัฐบาล ซ่ึงได้ให้ความเห็นชอบแล้ว คณะกรรมการอิสระฯ ได้ยกร่างกฎหมายการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ซ่ึงเป็น การถอดหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญออกมาเป็นธรรมนูญด้านการศึกษา นาเสนอรัฐบาลไปแล้ว ทั้งยังได้ยกร่างกฎหมายระดับรองท่ีเหน็ ว่าจาเป็นอย่างเร่งด่วน คือ พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาค ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบญั ญตั ิการพัฒนาเดก็ ปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติพน้ื ทนี่ วัตกรรม การศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ นาเสนอรัฐบาล และได้ผ่านขั้นตอน จนประกาศใช้เป็นกฎหมายแลว้ คณะกรรมการอิสระฯ ได้จัดทารายงานฉบับนี้ข้ึนเพ่ือรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาไว้เพ่ือจะเป็น ประโยชน์ตอ่ ไป
๕ ตอนท่ี ๑ การศกึ ษาไทย : วกิ ฤตทิ ไ่ี มต่ ระหนกั
๖ นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้วางระบบการศึกษาของไทยเมื่อกว่าร้อยปี มาแล้ว พัฒนาการของการศึกษาไทยได้เจริญขึ้นโดยลาดับ แต่การศึกษาของไทยยังมีปัญหาอยู่มาก จนต้องมี การปฏริ ปู การศึกษาอกี ครั้งหนึ่ง การเสนอข้อมูลการปฏิรูปการศึกษาครังนี ได้ท่าการศึกษาและรวบรวมข้อมูลทังหมดจากแหล่ง ต่าง ๆ ดังเช่นรายงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สภาขับเคลือนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรรมาธิการ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แผนการศึกษาแห่งชาติ รายงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของ กระทรวงศึกษาธิการ และผลการศึกษาวิจัยรวมทังจากการรับฟังความคิดเห็นในภูมิภาคต่างๆ และไปเยียม ศึกษาเก็บข้อมูลจากโรงเรียนต่างๆ แล้ววิเคราะห์ผลปรากฏเป็นทีชัดเจนว่า การศึกษาไทยมีปัญหาในระดับ วิกฤติ โดยไมใ่ ช่วิกฤติธรรมดาแต่เป็นวกิ ฤติอย่างยงิ ยวด เพราะมปี ัญหาทรี นุ แรงมาก สลับซบั ซอ้ น และฝังลึกอยู่ ในระบบ ท่าให้ยากแก่การแก้ไข ส่าหรับคุณภาพของผลสัมฤทธ์ิของการศึกษาอยู่ในระดับต่ามาก โดยไม่ได้ มาตรฐานทังตามมาตรฐานของไทยเอง ซึงต่าอยู่แล้ว ยิงเมือเทียบกับมาตรฐานสากล กล่าวได้ว่า ผลการศึกษา ของไทยต่ากว่าของประเทศทีมีการพัฒนาแล้วอย่างมาก ขณะเดียวกันการศึกษาของไทยมีความเหลือมล่าสูง โรงเรียนชันน่าทีมีคุณภาพการศึกษาดีนัน มีอยู่น้อย โรงเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาต่า ท่าให้ ประชาชนทยี ากจน และด้อยโอกาสติดกบั ดกั ความยากจนขา้ มยุคหรือชัวคน คอื คนทยี ากจนเอาลกู เขา้ เรียนใน โรงเรียนด้วยความคาดหวังจะให้ลูกได้พน้ จากความยากจน แต่จากผลของการทีคุณภาพการศึกษาไม่ดี ลกู ก็ยัง ไม่สามารถเรียนสูงขึนไปและหลุดพ้นจากความยากจนได้ เป็นปัญหาสังคม ความสามารถในการแข่งขันของ ชาติอยู่ในระดับต่ากว่าทีพึงจะเป็น สาเหตุส่าคัญส่วนหนึงเกิดมาจากคุณภาพการศึกษา การอาชีวศึกษายังไม่ สามารถสนองความจ่าเป็นของการอาชีพในโลกปัจจุบัน ระบบอุดมศึกษาของไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ใน วงการอุดมศึกษาของโลก การศึกษาจึงเป็นตัวถ่วงการพัฒนาและการสร้างความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิง การมีเป้าหมายทีจะพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศไทย ๔.๐ อีกประการหนึงของ ปัญหาการศึกษาไทยคือการด้อยประสิทธิภาพและด้อยประสิทธิผลของระบบการจัดการการศึกษา ปัญหาที หนักทีสุดคือ สังคมไทย และผู้ทีรับผิดชอบในวงการต่างๆ ทีเกียวข้องกับการศึกษายังไม่ตระหนักเพียงพอถึง ความรุนแรงของสภาพปญั หา
๗ ภาพ ๑ วิกฤตกิ ารศกึ ษาไทย
๘ ๑. คุณภาพการศึกษาไทย แม้ว่าประเทศไทยจะประสบความสาเร็จจากพัฒนาการท่ีมีมากว่า ๑๐๐ ปี มีการกระจายบริการ การศกึ ษาออกไปทว่ั ทุกสว่ นของประเทศ มีโรงเรยี นกระจายออกไปท่หี มู่บา้ นทั่วประเทศ แม้แตท่ ้องถิ่นห่างไกล บนยอดดอย หรือตามเกาะ และบางโรงเรียนสามารถจัดการศึกษาท่มี ีคุณภาพ จนนักเรียนสามารถไปแข่งขันได้ ในระดับนานาชาติ ส่วนระบบอุดมศึกษาก็ได้ขยายจนมีช่องทางรับนิสิตนักศึกษาเข้าเรียนครอบคลุมครบได้ทุก คน และบางสถาบันมีคุณภาพเป็นท่ียอมรับของวงการอุดมศึกษาในโลก ตลอดจนได้ปรับให้การวิจัยเป็น บทบาทสาคัญของการอุดมศึกษาแล้วก็ตาม การศึกษาของไทยยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขและพัฒนาอยู่มาก จึงมี บทบญั ญัตใิ นรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย ให้มกี ารปฏิรูปการศกึ ษา คุณภาพการศึกษาไทยโดยรวมอยู่ในระดับต่ากว่าที่พึงจะเป็นอยู่อย่างมาก ผลสัมฤทธ์ิจาก การศึกษาต่ามาก โดยเป็นมาอย่างต่อเน่ืองในระยะนับหลายสิบปีท่ีผ่านมา และในทุกระดับของการศึกษา ดังเห็นได้จากข้อมูลการประเมินผลการศึกษา ที่ได้มีการกระทาท้ังภายในและภายนอกประเทศ ในด้านต่าง ๆ (รายละเอียดอยู่ในรายงานเฉพาะเรอื่ งท่ี ๒) ๑.๑ คุณภาพการศึกษาต่าไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ภายในประเทศ ม า ต ร ฐ า น ก า ร ศึ ก ษ า ไ ท ย บ น ฐ า น หลักสูตรแกนกลางท่ีประกาศใช้มาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็น มาตรฐานที่ต่ากว่ามาตรฐานสากล แม้จะแก้ไขด้วย มาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วก็ยังอยู่ในระดับต่า โดย หลกั สตู รไทยเนน้ เน้อื หาสาระ และการเรยี นด้วยการท่องจา กระนั้นก็ตามการประเมินผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยการ สอบของสถาบันทดสอบแห่งชาติ หรือ การสอบ โอเน็ต ซึ่งประเมินตามส่ิงท่ีมีในหลักสูตร ปรากฏผลว่า นักเรียนส่วนใหญ่สอบตก โดยได้คะแนนต่ากว่าร้อยละ ๕๐ ในเกอื บทุกวชิ า ทงั้ ในระดบั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี ๓ และมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ สภาพดังกล่าวน้ีคงเดิมไม่ดี ข้นึ ตลอดเวลาติดต่อกนั มากว่าสิบปี
๙ ผลการสอบโอเน็ตในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เปรียบเทียบคะแนนระหวา่ งชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ และมธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ ปรากฏว่าคะแนนได้ตา่ ลงในชั้นเรียนท่ีสูงขึน้ เปน็ ส่วนใหญ่
๑๐ ๑.๒ คุณภาพการศึกษาไทยต่าเม่ือเทียบมาตรฐานสากล เมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาของไทยกับของประเทศอื่น ๆ ด้วยผลการสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ซง่ึ องค์การเพื่อความรว่ มมือทางเศรษฐกจิ และการ พัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) เป็นผู้จัดข้ึน ทาการสอบสาหรับคนที่มีอายุ ๑๕ ปี (ตรงกับเด็กท่ีกาลัง ศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓) มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทาง ผลการสอบ PISAมาตรฐานโดยเฉลยี่ การศึกษาในด้านความสามารถด้านการอ่าน ด้าน ทุกประเทศท่วั โลกไดค้ ะแนนราว คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผลปรากฏว่ามาตรฐาน ๕๐๐ คะแนน โดยเฉล่ียทุกประเทศท่ีจัดสอบท่ัวโลก จะได้คะแนนราว ประเทศไทย ผลการสอบเฉลยี่ ท้ัง ๕๐๐ คะแนน สาหรับประเทศไทย ผลการสอบเฉลี่ยท้ัง ประเทศอยู่ระดับ ๔๐๐ คะแนน ประเทศอยู่ระดับ ๔๐๐ คะแนน และคงที่ในระดับน้ีอยู่ ต่ากวา่ มาตรฐานโลก ตลอด ๑๕ ปีมีการสอบน้ี แสดงว่าผลการศึกษาของไทย ต่ากว่ามาตรฐานโลก หากพิจารณาในแง่พัฒนาการของ เด็กไทยชา้ กว่าโลก ๒.๕ ปี ความสามารถที่ควรจะเป็นตามอายุเด็กไทยท่ีอายุ ๑๕ ปี มีความสามารถเท่าระดับของเดก็ ชาตอิ ่ืนทีอ่ ายุเพยี ง ๑๒.๕ ปี หรือชา้ กว่าอยู่ ๒.๕ ปี เมื่อติดตามดูการขึ้นลงของคะแนนผลการสอบต้ังแต่ PISA ๒๐๐๐ ถึง PISA ๒๐๑๕ ซึ่งได้จัดการ ประเมินทุกสามปี ใน ๓ ความสามารถหลัก คือ การอ่าน คณิตศาสตร์หรอื วิทยาการคานวณ และวทิ ยาศาสตร์ พบว่า ประเทศไทยมีคะแนนเฉลี่ยในด้านการอ่าน ๔๐๙ คะแนน (ค่าเฉล่ียของประเทศในกลุ่ม OECD ๔๙๓ คะแนน) ด้านวิทยาศาสตร์ ๔๒๑ คะแนน (ค่าเฉล่ีย OECD ๔๙๓ คะแนน) และด้านคณิตศาสตร์ ๔๑๕ คะแนน (ค่าเฉล่ีย OECD ๔๙๐ คะแนน) กล่าวได้วา่ เด็กไทยสอบได้ผลต่ากว่ามาตรฐานสากลในทุกด้าน และไม่ ดีข้ึนตลอดช่วงเวลา ๑๕ ปี ผลในระดับนี้ต่ากว่าประเทศต่างๆ ในกลุ่ม OECD และประเทศ และเขตปกครอง สิงคโปร์ ญี่ปนุ่ จนี เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊าและเวียดนาม การสอบ PISA ใช้มาตรฐานสากล ในด้านวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นการวัดความสามารถ ทางความคิดท่ีจะนาความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง สว่ นดา้ นคณิตศาสตร์ เปน็ การนาความสามารถเชงิ ปริมาณ ท่ีเปน็ ตัวเลข ไปใช้ประโยชน์ การอ่านเป็นความสามารถในการใช้ประโยชน์จากภาษา ปรากฏว่า ผลการวดั นักเรียน ไทยมีสัดส่วนคะแนนความสามารถในระดับสูง (ระดับ ๓ ถึง ๖) น้อยมาก นักเรียนส่วนใหญ่มีผลในระดับต่า (ระดับ ๑) และมีไม่น้อยที่อยูใ่ นระดับต่ามาก หรือวดั ความสามารถในการใชป้ ระโยชนไ์ ม่ได้ จากผลการสอบของเด็กไทยสรุปได้ว่าเด็กท่ีจบชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ หรือการศึกษา ภาคบังคับ ส่วนใหญ่ยังมีความสามารถในระดับต่า หรือยังเป็นแรงงานไร้ฝีมือ และมีศักยภาพของทรัพยากร มนุษยท์ ีไ่ มอ่ าจสามารถแขง่ ขนั ได้ในอนาคต
๑๑ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา จากการดาเนินการเปรียบเทียบระหว่างประเทศ อี ก ร ะ บ บ ห น่ึ ง คื อ ก า ร ส อ บ ที่ เ รี ย ก ว่ า Trends in International Mathematics and Science Study หรอื TIMSS โดยสมาคมเพ่ือการประเมินผลสัมฤทธ์ิทาง การศึกษา โครงการน้ีจัดใน ๒๙ ประเทศและ ๗ รัฐ และ ประเทศไทยโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (สสวท) ได้เข้าร่วมในฝา่ ยไทยตงั้ แตเ่ ร่มิ ต้น เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๘ ทาการสอบทุก ๓ ปี ในวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ใน ๓ ระดับ คือ นักเรียนในระดับ ๔ (เท่ากับประถมศึกษาปีที่ ๔) ระดับ ๘ (เท่ากับ มัธยมศึกษาปีที่ ๒) และเมื่อจบมัธยมศึกษา (มัธยมศึกษาปีที่ ๖) ผลการศึกษาในการสอบครั้งหลังท่ีสุด คือ TIMSS 2015 ปรากฏว่า เด็กไทย วชิ าคณิตศาสตร์ (คะแนน ๔๓๑) อย่ทู ่ี ๓๐ คณติ ศาสตร์ เฉลีย่ 39 ระดบั ไทย มาเลเซีย ญี่ป่นุ ฮอ่ งกง ไตห้ วนั เกาหลีใต้ สงิ คโปร์ ประเทศ 4 33 34 37 44 43 54 5 3 7 15 33 38 28 32 27 21 2 19 27 22 17 16 18 13 36 1 33 31 96 96 5 22 <1 38 24 22 31 1 16 วทิ ยาศาสตร์ เฉลี่ย 39 ระดบั ไทย มาเลเซยี ญ่ีปุน่ ฮอ่ งกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ สงิ คโปร์ ประเทศ 4 23 24 12 27 19 42 7 3 10 18 39 39 36 35 32 22 2 29 31 26 34 23 37 16 35 1 34 25 9 11 10 12 7 20 <1 35 23 24 43 3 16 จากตารางข้างต้นผลการสอบ TIMSS สาหรับวิชาคณิตศาสตร์ และ วิชาวิทยาศาสตร์ แยกการกระจายตามระดับผลการสอบ เปรียบเทียบประเทศต่างๆ โดยมีผู้เข้าสอบ 39 ประเทศ (ระดับ 4 เป็นผลสัมฤทธ์ิสูงสุด ระดับ 1 เป็นผลสัมฤทธ์ิต่าสุด แต่ ระดับต่ากว่า 1 เป็นระดับท่ีต่ากว่าท่ีพึงจะรับได้) (ระดับ 4 หรือระดับก้าวหน้า (Advanced International Benchmark) มีคะแนนตั้งแต่ 625 คะแนนขึ้นไป ระดับ 3 หรือระดับสูง (High International Benchmark) มีคะแนนต้ังแต่ 550 - 624 คะแนน ระดับ 2 หรือระดับปานกลาง (Intermediate International Benchmark) มีคะแนนต้ังแต่ 475 - 549 คะแนน ซึ่งเป็นระดับท่โี ครงการ TIMSS กาหนดใหเ้ ป็นระดบั ความสามารถพ้ืนฐานของการประเมนิ ระดบั 1 หรอื ระดับ
๑๒ ต่า (Low International Benchmark) มีคะแนนตั้งแต่ 400 -474 คะแนน) ระดับต่ากว่า 1 หรือระดับต่า มาก (Lowest International Benchmark) มคี ะแนนเฉลี่ยตา่ กวา่ 400 คะแนน ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ (คะแนน ๔๕๖) อยู่ในอันดับท่ี ๒๘ ใน ๓๙ ประเทศ ต่ากว่า ประเทศอ่ืน ๆ ในเอเชียตะวันออก ๕ ประเทศซ่ึงได้คะแนนสูงที่สุด เป็น ๕ อันดับแรกในโลก คือ สิงคโปร์ (คะแนน สูงสุด เท่ากับ ๖๒๑) เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และ ญ่ีปุ่น สาหรับประเทศมาเลเซีย (คะแนน ๔๖๕) อนั ดับดกี ว่าไทย อยู่ที่ ๒๒ ได้มีการวิเคราะห์เทียบกลุ่มท่ีได้คะแนนแยกเป็นระดับก้าวหน้า ดี ปานกลาง ต่า และต่า มาก ปรากฏว่า เด็กไทย ร้อยละ ๖๙ และร้อยละ ๗๑ ได้คะแนนในระดับต่าและต่ามาก ในวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ตามลาดับ โดย สงิ คโปร์ ญี่ป่นุ ฮ่องกง ไทเป และเกาหลีใต้ มีเด็กในกลุ่มน้ีเพียง ร้อยละ ๖ ถึง ๑๒ เท่านั้น ตรงกันข้ามส่วนใหญ่เขาได้ระดับก้าวหน้า และดี ถึง ร้อยละ ๖๗ ถึง ๘๒ (เด็กไทยอยู่ในระดับ ก้าวหน้าและดี เพียงร้อยละ ๑๐ ถึง ๑๒) ข้อมูลน้ียนื ยัน ว่า การศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ของ ไทยได้ผลสัมฤทธ์ิต่าอย่างไม่น่าเชือ่ ทั้งระดับความรู้ การประยุกต์ใช้ความรู้ และการใช้เหตุผล ตลอดระยะเวลา ๒๐ ปี ทม่ี กี ารสอบน้ี ประเทศไทยอยใู่ นอันดับใกล้เคียงเดิม ไมส่ ามารถยกระดับข้นึ ได้ ๑.๓ ความสามารถทางภาษาอังกฤษของคนไทยต่ามาก โดยท่ีประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชมาตลอด และภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ตลอดจน กระแสชาตินิยมในระยะระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ภาษาราชการและภาษาที่เน้นในการศึกษาจึง เป็นภาษาไทย การเรียนภาษาอังกฤษจึงเร่ิมเมื่อเรียนถึงช้ันมัธยมศึกษาในโรงเรียนท่ัวไปเท่านั้น มีแต่โรงเรียน เอกชนที่อยู่ในกลุ่มสถาบันศาสนาคริสต์ที่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๘ จึงมี นโยบายให้เรียนภาษาอังกฤษ และมีหลักสูตรภาษาอังกฤษในช้ันประถมศึกษา แต่คุณภาพการศึกษา ภาษาอังกฤษยังเกิดได้ช้าเนื่องจากการขาดแคลนครูสอนภาษาอังกฤษ คนไทยส่วนใหญ่จึงมีข้อเสียเปรียบ เกยี่ วกบั ภาษาอังกฤษ เนื่องจากเร่มิ เรียนภาษาอังกฤษเมือ่ อายุมากแล้ว และไมส่ ามารถออกสาเนียงท่ีถูกต้องได้ แม้จะได้ไปเรียนต่อในต่างประเทศแล้วก็ตาม จนใน พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงเกิดยุทธศาสตร์ปฏิรูปการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ เพื่อเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีการจัดโปรแกรมสาหรับนักเรียนที่เน้น ภาษาอังกฤษ และเกดิ โรงเรียนทีส่ อนเป็นสองภาษาขึ้น ข้อจากัดในภาษาอังกฤษของคนไทย ยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นเมื่อมีการปรับเปล่ียนระบบ ความรู้ ท่ีทาให้การเข้าถึงความรู้ด้วยตนเองเข้ามามีบทบาทสาคัญ มากกว่าการเรียนจากแหล่งความรู้หรือ หนังสือภาษาไทย แหล่งความรู้และความก้าวหน้าของความรู้ ตลอดจนข้อค้นพบใหม่ จะปรากฏเป็น ภาษาอังกฤษท่ีค้นหาได้ทางระบบดิจิทัลได้ง่ายและเร็ว ความสามารถที่จะเจริญทางวิชาการ ต้องอาศัย
๑๓ ความสามารถในการอ่าน การฟัง การเขียน และการพูด เพ่ือรับและสื่อสาร ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วน สาคญั นักวชิ าการไทยในอดีตจึงแสดงความคิดเห็นได้ไมเ่ ตม็ ท่ีเม่ือเขา้ ประชุมนานาชาติ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการนี้เกิดข้ึนในวงจากัด การศึกษาในส่วนภูมิภาคและท้องถ่ิน ห่างไกลยังไม่สามารถยกระดับภาษาอังกฤษในเด็กไทยข้ึน ผลการสอบโอเน็ต สาหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มัธยมศึกษาปีที่ ๓ และมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ค่าเฉล่ียผลการสอบท่ีเด็กไทยได้คะแนนต่าในทุกวิชาน้ัน คะแนนภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ได้ต่าท่ีสุด คือได้คะแนนเพียง ๒๐ ถึง ๓๕ (คะแนนเต็ม ๑๐๐) เท่านั้น และอยู่ ในระดับนี้มาตลอด ๖ ปีท่ีผ่านมา คงมีแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เท่านั้นท่ีคะแนนกระเตื้องข้ึน จาก ๒๐ เม่อื พ.ศ. ๒๕๕๔ เปน็ ๒๗ ใน พ.ศ. ๒๕๖๐ ผลการสอบ TOEFL ของคนไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้คะแนนเฉล่ีย ๗๘ คะแนนจาก คะแนนเต็ม ๑๒๐ ซึ่งต่ากว่าค่าเฉลี่ยท่ัวโลกที่อยู่ท่ี ๘๒ และต่ากว่าหลายประเทศในทวีปเอเชีย คือ อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เมียนมาร์ และจีน ท่ีได้ คะแนน ๙๔, ๙๑, ๘๙, ๘๘, ๘๕, ๘๓, ๘๑ และ ๗๙ ตามลาดบั ความสามารถทางภาษาอังกฤษของผู้ท่ีจบอาชีวศึกษามีข้อจากัดอย่างมาก ทาให้ การทางานท่ีใช้เทคโนโลยีใหม่พัฒนาข้ึนลาบากและเป็นข้อจากัดของแรงงานไทย ความสามารถทาง ภาษาอังกฤษในนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ยังด้อยเป็นอันมาก ผู้ที่จบเป็นบัณฑิตยังมีผลการสอบ สมรรถนะทางภาษาอังกฤษ เช่น การสอบ TOFEL, TOEIC และอืน่ ๆ ยงั อยูใ่ นระดับต่า อาจสรุปได้ว่า การสร้างสมรรถนะทางภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานสาคัญในการแก้ปัญหา คุณภาพการศึกษาโดยรวม โดยที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเข้าหาความรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ การด้อยสมรรถนะทางภาษาเป็นข้อจากัดสาคัญในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติในการที่จะเป็นกาลังทาง ปัญญาต่อไป ๑.๔ การพัฒนาเดก็ ปฐมวัยของไทยยงั ไม่ท่ัวถึงและดอ้ ยคุณภาพ รายงานของกรมอนามัย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๗ เกี่ยวกับปัญหาเด็กปฐมวัยในเวลา ๑๘ ปี ท่ี ผ่านมาพบว่า เดก็ ปฐมวัย ร้อยละ ๓๐ หรอื ๑ ใน ๓ มีพฒั นาการล่าช้า โดยเฉพาะพัฒนาการด้านภาษามีความ ล่าช้าอย่างมาก ซง่ึ ภาษาน้ันมีความสมั พันธก์ ับความฉลาดทางปญั ญา หรือ IQ และความฉลาดทางอารมณ์ EQ รายงานวิจัยสารวจพัฒนาการดา้ นทักษะสมองส่วนหน้า โดยนวลจนั ทร์ จุฑาภักดกี ลุ เมือ่ พ.ศ. ๒๕๕๙ อันเป็นสมรรถนะขั้นสูงของเด็ก หรือ executive functions (EF) ซ่ึงเป็นสมองส่วนท่ีใช้คิดและ จดั การชีวติ ในช่วงปี ๒๕๕๘ – ๒๕๕๙ พบวา่ เด็กปฐมวยั ไทยประมาณร้อยละ ๒๙ มีพัฒนาการดา้ น EF นลี้ า่ ช้า โดยเป็นเด็กที่มีพัฒนาการด้าน EF ต่ากว่าเกณฑ์อย่างชัดเจนถึงร้อยละ ๑๔ และต่ากว่าเกณฑ์เล็กน้อยร้อยละ ๑๕ ทักษะท่ีมีความล่าช้าจานวนมากท่ีสุดคือ ยั้งคิดไตร่ตรอง ทักษะด้านความจาขณะทางาน และทักษะ การควบคมุ อารมณ์ ซึ่งส่งผลตอ่ ความพร้อมและความสาเรจ็ ทางการเรยี นในระดับท่ีสงู ข้ึนไป
๑๔ ในรายงานประจาปี พ.ศ.๒๕๕๘ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เก่ียวกับ สถานการณ์อนามัยแม่และเด็กของประเทศไทย พบว่าหญิงต้ังครรภ์ฝากครรภ์คร้ังแรกเม่ืออายุครรภ์น้อยกว่า หรือเท่ากับ ๑๒ สัปดาห์มีเพียงร้อยละ ๕๗.๑ หมายความว่ามีเด็กทารกในครรภ์มารดาประมาณร้อยละ ๔๓ ยังไมไ่ ดร้ ับการดูแล ขณะท่ใี นระยะน้ันสมองและระบบประสาทมีการเจรญิ เตบิ โตค่อนขา้ งมากและรายงานในปี พ.ศ.๒๕๕๙ กรมอนามัยยังพบว่าเม่ือเด็กคลอดออกมาแล้ว เด็กร้อยละ ๙.๔ มีน้าหนักแรกเกิดต่ากว่าเกณฑ์ มาตรฐาน (๒,๕oo กรมั ) ซ่ึงเปน็ เด็กกลุ่มท่ีมีความเสย่ี งตอ่ อาการเกดิ โรคเรื้อรงั ในกลุ่ม Metabolic Syndrome เม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากน้ีเด็กในช่วงอายุ o-๕ ปีมีภาวะทุพโภชนาการ คือมีภาวะเตี้ย (ซ่ึงมักสะท้อนถึง ภาวะขาดอาหารเรื้อรัง) ร้อยละ ๑o.๕ อว้ นร้อยละ ๘.๒ และผอมร้อยละ ๕.๔ ขณะท่ีผลการสารวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ โดย สานักงานสถิติแห่งชาติและองค์การยูนิเซฟประเทศไทย พบว่ามีเด็กท่ีกินนมแม่อย่างเดียวตลอด ๖ เดือน มี เพียงร้อยละ ๒๓ เท่าน้ัน ท้ังน้ี เนื่องจากพ่อแม่ยังขาดความเข้าใจถงึ ความสาคัญของนมแม่และโภชนาการที่มีผลต่อสมองและพัฒนาการ โดยรวมของเด็ก อีกทง้ั แม่ต้องรีบกลบั ไปทางาน ซงึ่ กฎหมายแรงงาน ยังกาหนดให้แม่ลาคลอดได้ไม่เกิน ๓ เดือน และข้าราชการลาคลอด โดยไดร้ บั เงนิ เดือนเพียง ๖ เดอื น การพัฒนาเด็กปฐมวัยท่ีมีคุณภาพจะส่งผลยาวนานต่อความสามารถทางสติปัญญา บุคลิกภาพ และพฤติกรรมทางสังคมของบุคคล เด็กปฐมวัยที่ได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพจะมีความพร้อม ตอ่ การเรียนในโรงเรียนมากกว่า มีโอกาสซ้าช้นั หรือออกจากโรงเรียนกลางคันน้อยกว่า ซ่ึงเป็นการลดค่าใช้จ่าย ในภาพรวมของระบบการศึกษา เมอื่ เตบิ โตขึ้น งานวจิ ัยกช็ ว้ี ่า เดก็ ท่ีได้รบั โอกาสพฒั นาต้ังแตป่ ฐมวัยสรา้ งรายได้ ไดส้ ูงกวา่ และยุง่ เกย่ี วกับปญั หาอาชญากรรมน้อยกว่า หลักฐานทางวิชาการยังยืนยันว่า การดูแลเด็กเล็กที่ไม่ถูกต้อง มีผลทางลบต่อเด็ก การสร้างอุปนิสัยท่ีเน้นการแข่งขันด้วยการเร่งสร้างการอ่านและท่องจา ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต้ังแต่อายุ ยังน้อย จะทาให้พัฒนาการด้านอื่นๆ เช่น การรู้จักตนเอง การรู้จักส่ิงรอบตัว และความสามารถที่จะอยู่ใน สงั คมจงึ ถกู ละเลย ๑.๕ การศึกษาภาษาไทยด้อยคุณภาพ ผู้เรียนไม่เกิดความสามารถ อ่านออกเขียนได้ ผู้เรียนมีความบกพร่องทาให้อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ยังมีผู้เรียนที่มีปัญหาอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ หรืออ่านไม่คล่องเขียนไม่คล่อง ซึ่งถือว่าเป็นเร่ืองพื้นฐานและหัวใจ หลกั ของการศึกษาในทุกวชิ า ทาใหไ้ มส่ ามารถเรียนรู้ได้เต็มที่ โดยเฉพาะเด็กทีม่ ีความบกพร่องในทักษะการเรียนรู้ จะมีพัฒนาการด้านการพูดช้า เรียนรู้คาศัพท์ใหม่ ๆ ได้ช้า มีปัญหาในการจดจาและเขียนตัวอักษร หากปัญหา เหลา่ น้ีไม่ไดร้ บั การแก้ไขตง้ั แต่เริ่มต้นจะมผี ลกระทบเพิ่มมากข้ึนต่อการเรียนรู้
๑๕ ผลการสอบเอน็ ที และโอเนต็ วิชาภาษาไทย แสดงวา่ ผทู้ ่จี บช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๓ ปีท่ี ๖ มัธยมศกึ ษา ปีที่ ๓ และปที ี่ ๖ ยงั สอบตก มคี วามสามารถตา่ แมจ้ ะมีบางคนทสี่ อบได้คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน แตน่ กั เรียน ไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนขนาดเล็กที่ได้คะแนนต่า จนบางคนได้คะแนน ๐ กระบวนการเรียนการ สอนในโรงเรียนขนาดเล็กยงั ไม่มปี ระสทิ ธิผล ปัญหาที่ซ่อนอยู่อย่างหน่ึงคือ เด็กที่ภาษาท่ีใช้ท่ี บ้าน หรือภาษาแม่ไม่ใช่ภาษาไทยกลาง แต่เป็นภาษา ี เฉพาะถิ่น ทาให้เกิดความยากลาบากในการเรียนยิ่งข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิงเด็กในท้องถิ่นท่ีใช้ภาษาอ่ืนที่มีรากต่าง ไปจากภาษาไทย เช่น ในเขต ๔ จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งใช้ ภาษายาวี หรือ ในหมู่บ้านชาวไทยภูเขา หรือบนเกาะ การเรียนภาษาไทยในสภาพเช่นน้ีมีปัญหาเป็นพิเศษ ที่ต้องได้รับการดูแล และความคล่องตัวทั้งในด้าน ระยะเวลาและวิธีการเรียน ในเร่ืองน้ีได้มีการศึกษาวิจัยที่ มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ พบวิธีการ เดก็ ไทยทจี่ บการศึกษา ท่ีสามารถทาให้การศกึ ษาภาษาไทยได้ผลดยี ิง่ ขน้ึ การที่ภาษาไทยมีผลสัมฤทธ์ิต่า นาไปสู่ ภาคบงั คบั จ่านวนมากยัง ปัญหาคุณภาพของการศึกษาวิชาอื่นๆ ท่ีล่าชา้ ไปดว้ ย อา่ นไมอ่ อกเขียนไม่ได้ ๑.๖ คุณภาพของการศึกษาระดับ มธั ยมต้นในโรงเรียนขยายโอกาส ความพยายามทจ่ี ะเพ่ิมโอกาสในการศึกษาระดบั มัธยมศึกษาสาหรบั นักเรียนที่อยู่ในพ้ืนท่ี ห่างไกล ด้วยการปรับโรงเรียนประถมศึกษาในพ้ืนท่ีเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ให้การสอนในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น ซึ่งเกิดข้ึนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ เพ่ือเพ่ิมสัดส่วนของประชากรท่ีได้เข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตามนโยบายขยายการศึกษาภาคบังคับข้ึนเป็น ๙ ปี เพิ่มจาก ๖ ปี แต่เดิม โดยต้ังเป้าหมายให้อัตราการเรียน ต่อจากชั้น ป.6 เข้าเรียนต่อช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ 46.2 เป็นไม่ต่ากว่าร้อยละ 73 ของผ้จู บชนั้ ประถมศกึ ษา ผลการสอบโอเน็ต PISA และ TIMSS ล้วนแสดงว่าคุณภาพการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นของนักเรียนจากโรงเรียนขยายโอกาสอยู่ในระดับต่ากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ อันมีผลให้เกิดความ เหลื่อมล้าทางการศึกษา และโอกาสในการศึกษาระดับที่สูงข้ึนต่อไป การด้อยคุณภาพน้ีเกิดจากการมีครูและ อุปกรณ์การศึกษาไม่เพียงพอ แม้จะมีเกณฑ์อัตรากาลังครู และการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ยังไม่เพียงพอ แ ละ สภาพเชน่ นี้เป็นมาตลอดเกือบ ๓๐ ปี จึงจาเป็นต้องมีการจัดการศึกษาเพ่ือยกระดับคุณภาพในโรงเรียนขยายโอกาส โดยใชผ้ ลสัมฤทธิเ์ ป็นตัวช้วี ัด จนเกิดคณุ ภาพทพี่ งึ ประสงค์ ๑.๗ ปญั หาของการจัดการเรียนการสอน
๑๖ สืบเน่ืองจากปัญหาคุณภาพการศึกษาภายในประเทศไทยที่มีมาตรฐานต่ากว่ าเกณฑ์ ขาดความเสมอภาค และมีคุณภาพต่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานการศึกษาสากล ซึ่งจากการศึกษาสภาพของ การจัดการเรียนการสอนหรอื ห้องเรียนของไทยในปจั จุบนั พบว่ามลี ักษณะดงั น้ี ๑.๗.๑ เน้อื หาสาระทีต่ ้องเรียนมากแตเ่ ชอ่ื มโยงกับการใช้ประโยชน์ในชีวิตน้อย ส่งิ ที่ ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามหลักสูตร ไม่เชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์ในชีวิต แม้แต่เร่ืองพ้ืนฐาน เช่น การดูแลสุขภาพ ตนเอง การตัดสินใจ การแก้ปัญหาชีวิต ที่ผู้เรียนยังขาดอยู่มาก จนเกิดปัญหาสังคมตามมาอีกหลาย เร่ือง การเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นไปเพ่ือใช้ในการสอบและการศึกษาต่อ ซ่ึงเน้นความจาและความเข้าใจ ใน รายละเอียดของเน้ือหาที่เฉพาะ มากกว่าทจี่ ะฝกึ ทักษะคิดและมุมมองในเรื่องต่างๆ จนทาใหเ้ กิดวงจรซา้ ซากใน การเรียนรู้ของผู้เรียน ได้แก่ การฟัง จด ท่อง สอบ และลืม ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถคิดวิเคราะห์และ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์หรอื แก้ปัญหาในสถานการณ์จรงิ ได้ ดงั เชน่ ผลการสอบ PISA ทป่ี รากฏ ๑.๗.๒ ครูจ่านวนไม่น้อยมีความแตกต่างกันสูงในความเชี่ยวชาญ ท้ังในเนื้อหาและ การจัดการเรียนการสอน รวมทั้งความสามารถในการจูงใจผู้เรียน จากผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ว่ า ผู้ เ รี ย น ใ น ร ะ ดั บ ก า ร ศึ ก ษ า ขั้ น พ้ื น ฐ า น มี ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ก า ร เ รี ย น ต่ า ใ น ทุ ก ก ลุ่ ม ส า ร ะ และไม่สามารถแข่งขันได้ในโลก ดังปรากฏในผลการสอบ PISA ผลการวิจัยและข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า ปัญหาเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนเป็นเชิงรับ (Passive Learning) ทาให้ผู้เรียนไม่สามารถสร้างปัญญา ได้ดว้ ยตนเอง ๑.๗.๓ การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลไม่สอดคล้องกับ วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ การเรียนการสอน การวดั และประเมินผล เนน้ เนอ้ื หาและความจา ไมส่ อดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ ผู้เรียนจึงจาเป็นต้องไปเรียนพิเศษ เพื่อเตรียมตัวทดสอบระดับชาติ และ การคดั เลอื กเข้ามหาวิทยาลัย เป้าหมายเชิงผลสัมฤทธ์ิของการศึกษาไม่ได้เน้นผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริง ซ่ึงได้แก่สมรรถนะ ทักษะ เจตคติ และศกั ยภาพทเี่ กดิ ขึน้ กับผูเ้ รียนตามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ แตเ่ ป็นการใชข้ ้อมลู การไดผ้ า่ นการศึกษา ตามระยะเวลาท่ีกาหนด ผู้ท่ีสอบทดสอบทางการศึกษาท่ีได้คะแนนต่ามาก ก็ยังได้รับการเล่ือนช้ันข้ึนไปเรียน ชั้นท่ีสูงขึ้น มีผลให้ผลการเรียนถดถอยลง ไม่สามารถเกิดการเรียนรู้ทางวิชาการที่มีความซับซ้อนย่ิงขึ้น ดังจะเหน็ ไดจ้ ากคา่ เฉลย่ี ผลการสอบลดต่าลงเมือ่ อย่ใู นชน้ั ทสี่ งู ข้ึน ๑.๗.๔ ความเหลื่อมล้่าในโอกาสและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการ เรียนรู้ ครูไม่สามารถจัดการเรียนรู้ในสภาพท่ีผู้เรียนมีความเหลื่อมล้าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หรือ ความแตกต่างของรา่ งกายและสตปิ ญั ญา จึงทาใหผ้ ลสมั ฤทธ์กิ ารเรียนรู้แตกต่างกนั มาก ๑.๗.๕ ระบบการศึกษาของไทยรองรับเฉพาะผู้ที่มีผลสัมฤทธ์ิทางวิชาการสูง ระบบการศึกษาของไทยจะรองรับเฉพาะผู้ท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการสูงที่ประสบความสาเร็จในการสอบ และ
๑๗ เข้าสู่วิชาชีพชั้นสูงได้ ผู้เรียนที่มีความถนัดและความสนใจในด้านอ่ืนๆ ที่ไม่ใช่วิชาการหลัก จึงไม่ได้รับ ความสนใจจากครูและโรงเรยี น กลายเป็นผแู้ พ้ (Loser) ท่ถี ูกทิง้ ไม่มีคณุ ค่า ไม่มคี วามหวัง ไม่มอี นาคต ๑.๗.๖ ผู้บริหารสถานศึกษาจ่านวนมาก ขาดภาวะผู้น่าทางวิชาการ การเข้าสู่ ตาแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาใช้การสอบกลางที่เน้นความรู้เก่ียวกับการบริหารงานราชการเป็นหลัก ส่วนการสอบด้านการบริหารการศึกษา และความสามารถอื่นๆ ที่จาเป็นก็กระทาในลักษณะเดียวกันทั่ว ประเทศ และข้ึนทะเบียนไว้รอการบรรจุ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการหรือความสามารถเฉพาะพ้ืนที่ ในการปฏิบัติงานผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีเวลาบริหารสถานศึกษาได้อย่างเต็มท่ีเพราะนอกจากไม่สามารถ รับผิดชอบในการปรับโรงเรียนให้มีผลสัมฤทธ์ิที่พึงประสงค์ และเป็นผู้นาทางวิชาการได้แล้ว ยังเป็นฝ่ายรับ นโยบายใหม่ๆ มาปฏิบัติ แม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับบริบทโรงเรียนในการคิดค้นวิธีการเป็นของตนเองได้ การพิจารณาผลงานกใ็ ช้ผลการสอบ ONET ของนักเรยี นในโรงเรยี นซงึ่ มีการใชก้ ารตวิ หรือการสอนพิเศษเข้ามา ใช้ ในความเป็นจริงมตี วั อย่างผู้บริหารท่ีมีความสามารถจานวนหนง่ึ ที่ทาให้ผลการศึกษาดีข้ึนดว้ ยความสามารถ ในการเลยี่ งระบบท่ีกาหนดอย่างรัดกมุ ได้ จากสภาวการณ์ท้ังหกประการดังกล่าวข้างต้น ทาให้ผู้เรียนในระบบการศึกษาไทยมี ปัญหาเป็นที่ประจักษ์ในสังคม ต้ังแต่การเป็นผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิต่า ไม่สามารถคิดวิเคราะห์ ไม่สามารถ ประยุกต์ใช้ความรู้ และแก้ปัญหาในชีวิตได้ รวมท้ังการไม่สามารถช่วยเหลือตนเองและครอบครัวได้เมื่อสาเร็จ การศึกษาภาคบังคับ และตกอยู่ในวังวนของปัญหาสังคม อาทิ ความรุนแรง อาชญากรรม ยาเสพติด และ ปญั หาทางเพศ การปฏิรปู ชนั้ เรยี น (Classroom Reform) ในคร้งั นี้ จงึ ตอ้ งเปลยี่ นแปลงสภาวการณด์ ังกลา่ วใน ช้ันเรียนเพอื่ นาไปสู่การหลดุ พน้ จากปัญหาและสรา้ งสรรค์สังคมไทยใหก้ ้าวหนา้ ม่นั คง ม่ังคัง่ และย่ังยืนตอ่ ไป ๒. ความไม่เสมอภาคทางการศกึ ษา ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (United Nations Universal Declaration of Human Rights) กาหนดให้ การศึกษาเป็นสิทธิข้ันพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็กาหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐท่ีจะต้องจัดให้คนไทยได้รับการศึกษาอย่าง ถ้วนหน้า ความเหลื่อมล้าทางการศึกษาของประเทศไทยทั้งในแง่โอกาส และผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาเป็น ปัญหาที่รุนแรงมาก (รายละเอยี ดอยใู่ นเอกสารเฉพาะเรอ่ื งท่ี ๓) ๒.๑ ความเหล่อื มล้่าในโอกาสทางการศึกษา
๑๘ นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดให้มีโรงเรียนเพ่ือให้การศึกษาแก่ ประชาชนท่ัวราชอาณาจักร ทั้งการเรียนการสอนวิชา สามัญในโรงเรียนท่ีตั้งอยู่ในวัด การสร้างโรงเรียนของ ประเทศไทยได้ประสบความสา่ เรจ็ รัฐในจังหวัดต่างๆ และให้เทศบาล และเอกชนจัดตั้ง โรงเรียนขึ้น ระบบโรงเรียนจึงกระจายออกไปทั่วทุก ในการกระจายการศึกษาส่าหรับ พ้ืนท่ีในประเทศ ในปัจจุบันมีโรงเรียนในประเทศไทย ประชาชนอยา่ งถว้ นหน้าแลว้ ซ่ึงเป็นโรงเรียนในสังกัดต่าง ๆ มีการศึกษานอกระบบ โรงเรียนเข้ามาเสริม ตลอดจนมีการขยายการ อาชีวศึกษา และการอุดมศึกษาข้ึนด้วย แม้ในพื้นท่ี ทุรกันดารห่างไกล ตามยอดดอย และบนเกาะต่าง ๆ โอกาสทางการศึกษาในประเทศไทยจึงมีอย่างกว้างขวาง ท่ัวท้ังประเทศ จนกล่าวได้ว่าประเทศไทยได้ประสบความสาเร็จในการกระจายการศึกษาสาหรับประชาชน อยา่ งถว้ นหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการสารวจของสานักงานสถิติแห่งชาติเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๒ที่พบว่า ในบรรดาเด็กและเยาวชนอายุ ๑๓ ถึง ๒๔ ปี จานวน ๑๓.๗ ล้านคนมีผู้กาลังศึกษาเล่าเรียน ๖.๖ ล้านคน ส่วนอีก ๗.๑ ล้านคน (ร้อยละ ๕๒) ไม่อยู่ในระบบการศึกษา เนื่องจากไม่มีทุนทรัพย์เรียน หรือจาเป็นต้อง ทางานเลีย้ งตนเองและครอบครัวถงึ ร้อยละ ๗๔ และร้อยละ ๑๐ ไม่สนใจและเห็นวา่ ไม่มีประโยชนท์ จ่ี ะเรียน ส่วนการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ยงั มเี ด็กและเยาวชน ๗.๑ ล้านคน พบมีเด็กในอายุ ๓ ถึง ๑๗ ปี ไม่ได้เรียนในโรงเรียน ไมอ่ ยใู่ นระบบการศึกษา ๑,๖๗๕,๑๖๕ คน (หรอื ร้อยละ ๑๑.๒ ของประชากรใน อายนุ นั้ ) เม่ือพ.ศ. ๒๕๕๕ เด็กด้อยโอกาส ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ค ว า ม ย า ก จ น มี จ า น ว น ถึ ง ๔,๑๔๔,๗๘๓ คน ปัจจัยทเ่ี ป็นตน้ เหตนุ ้ันสว่ นใหญ่อาศยั อยู่กับครอบครัวที่เป็นกลุ่มแรงงานรายได้ต่าซ่ึงมีจานวนถึง ๑๓.๘ ล้านคน และจานวนหนึ่งตอ้ งย้ายที่ทาอาชีพ อยู่บอ่ ย ๆ นอกจากน้นั เปน็ เดก็ ท่ีอยู่ในชนบทหา่ งไกล เด็กพิการ และเด็กเจบ็ ปว่ ยเร้ือรงั โอกาสการเข้ารับการศึกษาน้ีแตกต่างกันตามภูมิสังคมคือ การกระจุกตัวอยู่ใน กรงุ เทพมหานครมากกว่าภมู ภิ าคอนื่ ในเขตเทศบาลสูงกว่านอกเขตเทศบาล ในพ้ืนทเ่ี มอื งมากกวา่ พน้ื ท่ชี นบท โอกาสการศกึ ษาในระดับมัธยมศึกษามีความเหลื่อมล้ามากกว่าระดับประถมศึกษา แม้วา่ จะ มีการจัดให้โรงเรียนประถมศึกษาในท้องถ่ินห่างไกลให้ปรับเป็นโรงเรียนขยายโอกาสที่ให้การศึกษาถึง ชั้นมธั ยมศึกษาตอนต้นแล้วตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ และได้เพมิ่ จานวนขึ้นเป็นระยะๆ จนมากกวา่ ๗,๐๐๐ โรงแล้วกต็ าม เมือ่ วิเคราะหโ์ ดยติดตามกลุ่มนักเรยี นต้ังแต่เล็กจนโต เม่ือเขา้ เรียนในระดับประถมศึกษา ปีที่ ๑ ในปีการศึกษา ๒๕๔๖ อัตราการคงอยู่ของนักเรียนเหล่านี้เมื่อถึงปีการศึกษา ๒๕๕๒ หรือ
๑๙ ชั้นมัธยมศึกษา รอ้ ยละ ๘๙.๕ และในปกี ารศึกษา ๒๕๕๕ ซึง่ เป็นระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สายสามัญ หรอื สายอาชวี ศกึ ษาแลว้ มีเด็กคงอยู่ในระบบร้อยละ ๗๔.๕ เป็นชว่ งทีม่ กี ารตกหล่นของนักเรียนมากที่สุด และในปี การศึกษา ๒๕๕๗ มีนักเรียนกลุ่มน้ีคงอยู่ในระบบการศึกษาเพียงร้อยละ ๖๖.๔ และอัตราการเข้าศึกษาใน ระดบั อุดมศึกษาในปกี ารศึกษา ๒๕๕๘ คงเหลอื เพียงร้อยละ ๖๑.๔ เท่านนั้ ปัจจุบันรัฐบาลไทยใช้จ่ายงบประมาณจานวนมากทุกปีเพ่ือลดความเหลื่อมล้าทาง การศึกษา ในหลายโครงการ เช่น โครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจน โครงการตามนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี อย่างมีคุณภาพ หรือ โครงการกองทุนอาหารกลางวันให้นักเรียนยากจนขาดแคลน โครงการนักเรียนพักนอน (สาหรับเด็กที่อยู่ห่างไกลโรงเรียนต้องอาศัยพักนอนที่โรงเรียน) เป็นต้น มีการจ่ายในหลายรายการ เช่น ค่าจัดการเรียนการสอน ค่าใช้จ่ายรายหัว ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน ค่าเส้ือผ้าและเคร่ืองแต่งกาย นักเรียน ค่าอาหารกลางวัน ค่าพาหนะในการเดินทางมาเรียน ค่าปัจจัยพ้ืนฐานสาหรับนักเรียนยากจน ค่า กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและค่าจ้างครูอัตราจ้าง และค่าอาหารนักเรียนพักนอน และยังมีเงินสาหรับ กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน กิจกรรมวิชาการเสริมความรู้ และกิจกรรมปลูกฝังคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น ค่ายคุณธรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และกิจกรรมเพ่ิมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การอุดหนุนเหล่านี้ช่วยลดปัญหาสาหรับเด็กท่ีด้อยโอกาสลงไปได้บางส่วน แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยท่ียังไม่ได้รับ โอกาสเข้าศึกษาดว้ ยเหตตุ า่ ง ๆ โดยสรุป กลุ่มประชาชนหลักที่ได้รับผลกระทบจากความเหล่ือมล้าในโอกาสทาง การศึกษา ไดแ้ ก่ (๑) เดก็ เลก็ อายุตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุ ๒ ขวบทอ่ี ยใู่ นครอบครัวที่มรี ายได้ต่าทส่ี ดุ ร้อยละ ๔๐ ของประเทศประมาณ ๗๗๐,๐๐๐ คน (๒) เด็กก่อนวัยเรียนที่ยังไม่ได้รับโอกาส การดูแลท่ีดีและโอกาสทางการศึกษา ซึ่งรัฐธรรมนูญกาหนดให้ รั ฐ บ า ล ไ ท ย ใ ช้ จ่ า ย รัฐดาเนินการจัดให้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายจานวนประมาณ งบประมาณจานวนมากทกุ ปี ๒๓๐,๐๐๐ คน และเด็กวัยเรียนที่ยังอยู่ในการศึกษาภาคบังคับ เ พ่ื อ ล ด ค ว า ม เ ห ล่ื อ ม ล า แตอ่ ยู่นอกระบบการศึกษาอีก จานวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน (๓) เด็กจากครอบครัวยากจน ระยะก่อน ทางการศึกษา แต่ก็ยังมีอีก วัยเรียนในโรงเรียนอนุบาล ท่ีต้องได้รับการช่วยเหลือ จานวน ไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับโอกาส ประมาณ ๖๑๐,๐๐๐ คน นักเรียนยากจนในระบบการศึกษา เข้าศึกษาด้วยเหตุต่าง ๆ ภาคบังคับทุกสังกดั ๑.๘ ล้านคน และนักเรียนมธั ยมศึกษาตอน ปลายหรือ ปวช. ที่มีฐานะยากจน ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ จานวนประมาณ ๓๖๐,๐๐๐ คน
๒๐ (๔) เยาวชนอายุ ๑๕ ถึง ๑๗ ปีที่ไม่สามารถศึกษาต่อช้ันมัธยมศึกษา า ตอนปลาย ปวช. หรือ กศน. หลังสาเร็จ การศึกษาภาคบังคับ อันเนื่องมาจากปัญหา ความยากจน ประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ คน (๕) ครูในพ้ืนท่ีห่างไกล และครูผู้ดแู ลเดก็ เยาวชนกลุม่ (๑) ถึง (๔) (๖) เยาวชนอายุ ๑๘ ถึง ๒๕ ปีที่ไม่ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ปวส. หรือ กศน. หลังสาเร็จการศึกษาข้ันพ้ืนฐานอันเน่ืองมาจากปัญหา ยากจนขาดแคลนทุนทรพั ย์ ๒.๒ ความเหล่อื มล่้าท่ีเกิดจากความแตกต่างในคุณภาพการศึกษา ผลการสอบโอเน็ตของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ท่ีแยกตามประเภทของโรงเรียน ตามสังกัดต่างๆ และตามท่ีต้ังของโรงเรียนยืนยัน ชัดเจนถึงความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา โรงเรียนที่จัดต้ังขึ้นเป็นพิเศษ เช่น โรงเรียนมหิดล ี วิทยานุสรณ์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ในกากับ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นโรงเรียนท่ีมีคะแนนเฉล่ียใน รายวิชาต่างๆ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอย่างมาก และชัดเจน โรงเรียนสาธิตท่ีสังกัดมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีคะแนนเฉลี่ยถัดลงมา และสูงกว่าคะแนนเฉล่ียทั้ง ประเทศทุกวิชาเช่นเดียวกัน ในขณะท่ีโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ซึ่งเปน็ โรงเรียนส่วนใหญ่ โรงเรียนสังกัดอ่ืนๆ และโรงเรียนเอกชน ซ่ึงมีจานวนนักเรียนรวมกันถึงกว่าร้อยละ ๙๕ ของประเทศมีคะแนนต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศทุกรายวิชา โรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถนิ่ มคี ะแนนต่าทีส่ ดุ ผลการสอบโอเน็ตยังแตกต่างกันตามขนาดของโรงเรียนโดยโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลาง กับ โรงเรียนขนาดเล็กมี ีี ผลลดหลั่นกันลงไปตามลาดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง โรงเรียนในเมืองกับนอกเมือง พบว่าโรงเรียนในเมืองมีคะแนนสูง กว่าโรงเรียนท่ีต้ังอยู่นอกเมืองในทุกรายวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาภาษาอังกฤษมีช่องว่างของโรงเรียนทั้งสองกลุ่มน้ี มากกว่า วิชาอืน่ ๆ
๒๑ ผลการสอบมีแนวโน้มทานองเดียวกัน ท้ังในระดับ ประถมศึกษาปีท่ี ๖ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ และ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ แสดงวา่ ผลการศกึ ษาไมไ่ ดด้ ขี ึน้ เมื่อเรยี นในระดบั สูงข้ึน ข้อมูลคะแนนการสอบ PISA ส่าหรับ นักเรียนอายุ ๑๕ ปี (ชันมัธยมศึกษาปีที ๓) โดยแยกผลตาม ผลการทดสอบแหง่ ชาตโิ อเนต็ ชนิดโรงเรียน ปรากฏว่า โรงเรียนของไทยจ่านวนหนึงมี PISA และ TIMSS ยนื ยนั คะแนนสูงกว่า ๕๐๐ คะแนน ซึงอยู่ในระดับเดียวกับสงิ คโปร์ แสดงว่าเป็นกลุ่มโรงเรียนทีดีของประเทศไทย ซึงเป็น ตรงกนั ถงึ ปัญหาความ นักเรียนกลุ่มทีไปแข่งขันชนะโอลิมปิกวิชาการระหว่าง เหลอื่ มลาดา้ นคณุ ภาพทาง ประเทศจนได้เหรียญทอง ส่วนโรงเรียนสาธิตในสังกัด การศกึ ษาทไี่ มด่ ขี นึ มหาวิทยาลยั ตา่ ง ๆ มีคะแนนประมาณ ๕๐๐ คะแนน เทา่ กับ เกณฑ์เฉลียของประเทศ OECD โรงเรียนส่วนใหญ่ของ ประเทศไทย ซึงมีนักเรียนอยู่มากกว่าร้อยละ ๙๘ ของ นักเรียนไทยทังหมด มีคะแนนต่ากว่าค่าเฉลียของโลก โรงเรียนของรัฐทีตังอยู่ในเมืองมีผลดีกว่าโรงเรียนใน ชนบท โรงเรียนเอกชนมีผลโดยเฉลยี ตา่ กวา่ โรงเรยี นของรัฐ โรงเรียนในสงั กัดองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ กับใน สังกดั กรงุ เทพมหานคร มคี ะแนนตา่ ผลการศึกษาดังกล่าวนี ท่าให้องค์การต่าง ๆ สรุปได้ว่าผู้ทีจบการศึกษาภาคบังคับของ ไทย หรอื ผูท้ จี บชันมัธยมศกึ ษาปีที ๓ สว่ นใหญ่ยงั มีความสามารถทางวิชาการต่า และตอ้ งเปน็ แรงงานไรฝ้ ีมอื จากการประเมินผลการสอบ TIMSS ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาหรับชั้น ประถมศึกษาปีท่ี ๔ มัธยมศึกษาปีที่ ๒ และมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จาแนกตามสังกัดของโรงเรียน โรงเรียนท่ีเน้น วิทยาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิต ได้ คะแนนสูงกว่าค่าเฉลย่ี ของประเทศ แต่โรงเรียนที่เหลือส่วนใหญ่มีคะแนน ต่า โรงเรียนขนาดใหญ่ มีคะแนนสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลาง และขนาดเล็ก โรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และในสังกัดกรุงเทพมหานคร ล้วนมีคะแนนต่า โดยได้ต่าในด้านการใช้เหตุผล การใช้ข้อมูลและ การใช้โอกาสแสดงถึงวิธีการเรียนที่ยังเน้นการท่องจา และทาตามคาสั่ง ผลการศึกษาดังกล่าวน้ีไม่ดีขึ้นเม่ือ เปรยี บเทยี บผลการสอบตลอดนบั สบิ ปีท่ผี า่ นมา เม่ือพิจารณาคุณภาพการศึกษาโดยใช้ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทดสอบ มาตรฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศมาพิจารณาร่วมกัน อันได้แก่ ผลการทดสอบแห่งชาติ โอเน็ต PISA และ TIMSS ยืนยันตรงกันถึงปัญหาความเหล่ือมล้าด้านคุณภาพทางการศึกษาท่ีไม่ดีขึ้น แม้จะมีความพยาม ยามปฏิรูปการศึกษามาเกือบสองทศวรรษ ความเหล่ือมล้าทางการศึกษาน้ีนาไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้าทาง สังคมด้านอื่นๆ เช่น โอกาสในการเข้าศึกษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึนและความเหล่ือมล้าทางด้านการงานอาชีพ คุณภาพชีวิต และสถานะทางสังคมเศรษฐกิจ ความเหล่ือมล้านี้ยังมีผลต่อการพัฒนาประเทศด้วย หาก ทรัพยากรมนุษย์ของชาติยังมีผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาในระดับต่าแล้ว การพัฒนาประเทศจะเป็นไปได้ยาก
๒๒ ย่ิงขึ้นนับเป็นกับดักความยากจนที่ส่งผลข้ามชั่วคนไปสู่ลูกหลาน อันเป็นปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับความไม่ ยตุ ธิ รรมในสังคม ๓. ความสามารถในการแขง่ ขันของชาติ และของการศกึ ษาไทย คุณภาพการศึกษา และความเหล่ือมล้า ทาง ประเทศไทยมีความสามารถ การศกึ ษา เป็นปัจจยั สาคัญทาให้ความสามารถในการแขง่ ขันของ ชาติโดยรวมด้อยลง ทรัพยากรทางสมองของประเทศไม่ได้รับ ในการแข่งขันต่า และถูก พัฒนาศักยภาพ ย่ิงกว่าน้ัน แม้ในส่วนท่ีอยู่ในสภาพสูงของ ประเทศอื่น ๆ ที่ต้ังขึ้นใหม่ ประเทศก็ยังไม่เท่าเทียมและไม่สามารถแข่งขันได้ในโลก ใน การจดั อนั ดับมหาวทิ ยาลัยของโลกและของอาเซียน มหาวิทยาลยั แ ซ ง ไ ป ( สิ ง ค โ ป ร์ ฮ่ อ ง กง ของไทยอยู่ในระดับต่ากว่าท่ีพึงจะเป็น ตามฐานะและสภาพด้าน ต่าง ๆ ของประเทศ และมีแนวโนม้ ที่แสดงไดว้ า่ ถดถอยลงมาเร่ือย ไต้หวัน มาเลเซยี ) ท า ใ ห้ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ถู ก ป ร ะ เ ท ศ เ พ่ื อ น บ้ า น พั ฒ น า แ ซ ง ห น้ า (รายละเอยี ดอย่ใู นรายงานเฉพาะเรื่องที่ ๔) ๓.๑ ความสามารถในการแข่งขันของชาติอยใู่ นระดับต่ากวา่ ท่ีพึงจะเปน็ อันดบั ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย อ้างองิ ได้จาก ดชั นชี ว้ี ดั ความสามารถ ในการแข่งขัน (Global Competitive Index หรือ GCI) ซ่ึงจัดทา ประเทศไทยมบี างปัจจัย โดย World Economic Forum (WEF)ปรากฏในรายงาน Global Competitive Report ด้วยนิยามความสามารถในการแข่งขัน ทด่ี ี จนถงึ เป็นอนั ดับที่ ๓ (Competitiveness) ให้หมายถึงการวัดความมีประสิทธิภาพของ นโยบาย และปัจจัยต่างๆที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของประเทศ ของโลก..... การศกึ ษา.. รายงานดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละ อนั ดบั ที่ ๕๔ เปน็ ตวั ถ่วง ประเทศ ซ่ึงเป็นข้อมูลที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการกาหนด แนวทางการพัฒนา ทิศทางของนโยบายในภาคส่วนต่างๆ เพ่ือ ความสามารถในการ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันและเพ่ิมประสิทธิภาพของ ประเทศ อันจะส่งผลถึงความอยู่ดีกินดีของประชากรและการ แขง่ ขนั ของชาติ เติบโตทางเศรษฐกจิ ของประเทศ สาหรับผลการจัดอันดับในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ น้ี ประเทศไทยอยู่ในอันดับท่ี ๓๘ จาก ๑๓๗ ประเทศ ด้วยคะแนน ๖๗.๕ (ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ท่ีอันดับ ๑ ด้วยคะแนน ๘๕.๖ ส่วนประเทศสิงคปร์ เป็นอันดับ ๒ ของโลก และอันดับ ๑ ของ ASEAN ด้วยคะแนน ๘๓.๕) สาหรับประเทศในอาเซียน นอกจาก สิงคโปร์ดังกล่าวแล้ว มีอันดับสูงกว่าไทย คือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไทเป เกาหลี มาเลเซีย และจีน อยู่ท่ีอันดับ ๕,
๒๓ ๗, ๑๓, ๑๕, ๑๘ และ ๑๙ ตามลาดับ แสดงว่าประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันต่า และถูกประเทศ อ่นื ๆ ท่ตี ง้ั ขึน้ ใหมแ่ ซงไป ท้งั ๆ ที่ประเทศไทยมขี ้อไดเ้ ปรยี บในด้านตา่ ง ๆ ในรายงานดังกล่าวน้ัน ได้จาแนกปัจจัยต่าง ๆ ที่นามาใช้ในการคานวณค่าดัชนี ความสามารถในการแข่งขันของชาติ ปรากฏว่าประเทศไทยมีบางปัจจัยที่ดี จนถึงเป็นอันดับท่ี ๓ ของโลก คือ การคา้ ระหวา่ งประเทศ และอตั ราการจา้ งงาน เป็นอันดบั ๔ ของโลก ในด้านนโยบายภาษี และ อนั ดับ ๘ ของ โลกในด้านตลาดแรงงาน สาเหตุที่ทาให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยต่านั้น คือ การศึกษา ซ่ึง อยู่อันดับท่ี ๕๔ และ สุขภาวะกับสภาวะแวดล้อม อยู่อันดับท่ี ๕๗ กล่าวคือ สองประการหลังน้ีเป็นตัวถ่วง ความสามารถในการแขง่ ขันของชาติ เมื่อวเิ คราะหเ์ จาะลงในรายละเอียด จากขอ้ มูล World Economic Forum เพ่ือใหท้ ราบ ปัญหาและอุปสรรคต่อการทาธุรกิจในประเทศไทย และเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขัน พบว่า ปัจจัยท่ีเป็นปัญหาสาคัญของไทย ๖ ลาดับแรกได้แก่ ๑) ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ๒) การขาด ประสิทธิภาพของระบบราชการ ๓) ความไม่มีเสถียรภาพของนโยบาย ๔) การขาดการสร้างนวตั กรรม ๕) การ คอรัปช่ัน และ ๖) การศกึ ษาของแรงงานไม่เพยี งพอ ซ่ึงประเด็นเหลา่ น้เี ก่ยี วขอ้ งกบั การจัดการศึกษาด้วย อีกสถาบันหน่ึงท่ีจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของชาติ คือ สถาบันการพัฒนา ธุ ร กิ จ น า น า ช า ติ ( International Institute for Management Development ห รื อ IMD) ป ร ะ เ ท ศ สวิตเซอร์แลนด์ ได้จัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ในโลก สาหรับรายงาน ประจาปี ๒๐๑๗ ซ่ึงจัดอันดับ ๖๓ ประเทศ ปรากฏว่าในปีนี้ ฮอ่ งกงยังคงเป็นอนั ดบั ๑ และสวิตเซอร์แลนด์อยู่ ในอันดับท่ี ๒ สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมา ๑ อันดับโดยอยู่ในอันดับ ๓ ส่วนสหรัฐอเมริกาตกลง ๑ อันดับโดยอยู่ใน อนั ดับ ๔ ประเทศจนี เลื่อนขน้ึ มาถึง ๗ อนั ดบั มาอยู่ท่ี ๑๘ ประเทศไทยมีผลที่ดีข้ึนท้ังโดยคะแนนและอันดับ โดยมีคะแนนรวมในปีน้ีเท่ากับ ๘๐.๐๙๕ เปรียบเทียบกับ ๗๔.๖๘๑ ในปี ๒๐๑๖ และมีอันดับท่ีดีข้ึน ๑ อันดับ โดยเลื่อนข้ึนจากอันดับท่ี ๒๘ ในปี ๒๐๑๖ เปน็ อนั ดับที่ ๒๗ ในปี ๒๐๑๗ เมื่อพิจารณาปัจจัยหลักที่ใช้ในการจัดอันดับ ๔ ด้าน ได้แก่ ๑) สภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ประเทศไทยอยู่ในอันดับท่ี ๑๐ ๒) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) อันดับท่ี ๒๐ ๓) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) อันดับท่ี ๒๕ และ ๔) โครงสรา้ งพืน้ ฐาน (Infrastructure) อนั ดับที่ ๔๙ โครงสร้างพ้ืนฐานเปน็ ปจั จัยที่ฉุดความสามารถในการแขง่ ขนั ของชาติประกอบด้วยปัจจัย ย่อย ๒ ดา้ น คือ โครงสร้างพนื้ ฐานทางเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ซง่ึ ประเทศไทยไดป้ รับตัว ดีข้ึน ๖ อันดับในปีนี้ จากอันดับ ๔๒ เป็นท่ี ๓๖ และโครงสร้างพ้ืนฐานท่ัวไป (Basic Infrastructure) ซึ่ง ปรับตัวขึ้นน้อยหรือลดลง อันได้แก่โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ด้านสาธารณสุขและส่ิงแวดล้อม และ ดา้ นการศกึ ษา
๒๔ จะเห็นได้ว่าทั้งสององค์กรที่จัดลาดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ได้บง่ ชัดเจนว่า ประเทศไทยมปี ัญหาด้านการศึกษาที่จาเป็นต้องแก้ไขในความพยายามทีจ่ ะยกความสามารถใน การแขง่ ขนั ของชาติ แม้ว่าผลการจัดอันดับด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่า (อันดับ ๔๘) แต่ตัวชี้วัดเก่ียวกับการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาและบุคลากรด้านการวิจัย ปรับตัวดีขึ้นในทุก ตัวช้ีวัด โดยเฉพาะเร่ืองการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนที่มีมูลค่าเพ่ิมขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ ทา ให้อันดับของตัวชี้วัดด้านมูลค่าการลงทุนปรับตัวดีขึ้นถึง ๔ อันดับ และสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของภาค ธรุ กิจตอ่ GDP (Business Expenditure on R&D (%)) ปรับตวั ดีขนึ้ ถงึ ๑๐ อันดบั นอกจากนน้ั ความสามารถ ในการสร้างนวัตกรรม (Innovation Capacity) ของประเทศก็ปรับตัวดีขึ้นถึง ๙ อันดับจากปี ๒๐๑๖ ทั้งน้ี ประเด็นท่ีต้องปรับปรุง คือ ด้านการจดสิทธิบัตร ซึ่งทั้งจานวนการยื่นขอและการจดสิทธิบัตร รวมถึงจานวน สทิ ธบิ ตั รท่ีมีผลบังคบั ใช้ยงั อยูใ่ นอันดับต่า (อันดบั ๖๐) โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและส่ิงแวดล้อม และการศึกษา ยังคงเป็นเรื่องที่ต้อง เร่งพัฒนาเป็นอย่างมาก โดยยังอยู่ในอันดับต่าท้ังสองหมวด .... ซึ่งประเทศไทยอยู่อันดับท้ายๆ ของโลกในหลายประเด็น ำี โดยเฉพาะการปรับปรุงอัตราส่วนของครูต่อนักเรียนในระดับ มัธยมศึกษา (อันดับ ๖๓) ในขณะท่ีประเด็นสาคัญท่ีต้อง ปรับปรุงในด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมได้แก่การเพิ่ม จานวนบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร (อันดับ ๖๐) ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยรวม (อันดับ ๖๐) และการประหยัด พลังงาน (อันดับ ๖๐) เป็นตน้ ๓.๒ การอาชีวศึกษาไม่สามารถ สร้างความสามารถของก่าลังแรงงานของ ชาติ เพ่อื รองรับการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม สเู่ ปา้ หมายประเทศไทย ๔.๐ ค่านิยมของสังคมเก่ียวกับการอาชีวะเป็นปัญหาท้ังในการแสวงหาผู้เรียนในระดับ อาชวี ศึกษา ผทู้ ่จี บการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปที ่ี ๓ เลือกเข้าเรียนต่อสายสามัญ มากกวา่ สายอาชวี ะ ระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงการอาชีวศึกษาปรับตัวไมท่ ันกับสถานการณ์ของ ความต้องการแรงงาน ไม่สามารถผลิตกาลังแรงงานที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านได้เพียงพอกับความ ต้องการท่ีเพ่ิมข้ึน และผลผลิตยังมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการในการทางานโดยมีข้อจากัดเชิงระเบียบ กฎเกณฑ์อยู่มาก สถานศึกษาอาชีวะมีจานวน ๘๗๕ แห่ง ในขณะที่สถานศึกษาสายสามัญมีจานวน ๓,๖๓๔ แห่ง สัดส่วนนักเรยี นสายอาชีวศึกษามีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๐ ที่อยู่ร้อยละ ๓๙.๘ ลดลงอย่าง ต่อเน่ือง ในปีการศึกษา ๒๕๕๘ สัดส่วนนักเรียนสายสามัญต่ออาชีวะอยู่ที่ร้อยละ ๖๗.๓ ต่อ ๓๒.๗ ทางเลือก
๒๕ หลักของเด็กท่ีมาจากครอบครัวฐานะดี มีแนวโน้มท่ีจะมุ่งไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สถานอาชีวศึกษาจึง กลายเป็นสถานศึกษาสาหรับเด็กจากครอบครัวฐานะด้อยกว่าในสังคมทั้งนักเรียนอาชีวศึกษามีปัญหาการออก กลางคันดว้ ย การอาชีวศึกษายังผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน จากการศึกษาของ ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ผู้ประกอบการจานวนมากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานท่ีมีทักษะตามท่ี ต้องการ ทาให้เป็นอุปสรรคของการดาเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับธุรกิจต่างชาติท่ีใช้เทคโน โลยี ก้าวหน้า สาขาวิชาและเนื้อหาของหลกั สูตรอาชีวศึกษาล้าสมัย แรงงานไทยยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะ อยา่ งจริงจังตลอดช่วงชวี ติ ของการทางาน แรงงานจานวนมากยังทางานแบบเดมิ ๆ ระบบอาชีวศึกษาได้รับงบประมาณต่อหัวต่ากว่าสายสามัญ งบประมาณค่าใช้จ่ายต่อหัว นักเรียน ปวช.อยู่ที่ ๒๕,๐๔๒ บาท ต่ากว่างบประมาณต่อหัวนักเรียนมัธยมปลายท่ี ๒๘,๒๖๑ บาท ทั้งที่ อาชีวศึกษามีต้นทุนการจัดการศึกษาสูงกว่า เพราะต้องลงทุนด้านครุภัณฑ์ เครื่องจักรและวัสดุสาหรับการ ฝึกทักษะ ระบบอาชีวศึกษายังมีการลงทุนค่อนข้างต่า เพียงร้อยละ ๗.๓ ของงบประมาณทั้งหมด จนเป็นเหตุ ให้การเรียนการสอนไม่ทันต่อความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี การขาดแคลนครูในระบบอาชีวศึกษาอยู่ในสภาวะ วิกฤติ การลงทุนสาหรับอาชีวศึกษาก็เป็นปัญหา วิทยาลัยอาชีวศึกษาได้รับงบบุคลากรต่อหัวของอาชีวศึกษา ระดับ ปวช. อยู่ท่ี ๖,๗๕๓ บาท ต่ากว่างบต่อหัวสายสามัญ ซ่ึงอยู่ท่ี ๒๐,๔๖๐ บาท ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๔๘ ถึง พ.ศ.๒๕๕๕ จานวนข้าราชการครูสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาลดลงถึงร้อยละ ๙.๗ ใน ปัจจุบัน สัดส่วนนักเรียนต่อข้าราชการครูอาชีวศึกษาอยู่ที่ ๔๔:๑ ในขณะท่ีการศึกษาสายสามัญ ภายใต้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน มีจานวนข้าราชการครูเพิ่มข้ึนร้อยละ ๑.๗ และมีสัดส่วนนักเรียนต่อ ข้าราชการครูอยู่ท่ี ๒๒ : ๑ ในปี ๒๕๕๕ สถานศึกษาในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีครู ทั้งหมด ๒๖,๕๔๑ คน แต่มีข้าราชการครูเพียง ๑๕,๑๐๙ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของครูทั้งหมดเท่านนั้ จงึ ตอ้ งจา้ งเพิ่มครทู ี่ไม่ใชข่ า้ ราชการอีก ๓,๒๘๔ คน การอาชีวศึกษายังมีปัญหาระดับพื้นฐาน จากคุณภาพการศึกษา ซึ่งการด้อยความรู้ ความสามารถในหลายด้าน เช่นคณิตศาสตร์ ทั้งพีชคณิต เรขาคณิตและตรีโกณมิติ ซึ่งจาเป็นต้องใช้ในงาน เทคนคิ หลายอย่าง ผลการประเมินคุณภาพการอาชีวศึกษา ด้วย V-NET ในปีการศึกษา ๒๕๕๙ พบว่า ท้ัง ปวช. และ ปวส. ได้คะแนนไม่ถึง ๕๐ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ โดย ปวส. มีคะแนนต่ากว่า ปวช. ในทุกด้านด้วย ในการประเมินเปรียบเทียบระหว่างประเทศในภูมิภาคโดย World Economic Forum ประเทศไทยอยู่ในอันดับรั้งท้าย คืออันดับที่ ๘ เป็นรองจากประเทศเวียดนามที่ได้อันดับ ๗ และประเทศ กมั พชู าอันดบั ๖ การแก้ปัญหาของระบบอาชีวศึกษาต้องมีการปรับหลักคิด นโยบายและปฏิรูป กระบวนการอย่างขนานใหญใ่ นหลายดา้ น
๒๖ ๓.๓ ความสามารถในการแข่งขันของสถาบันอุดมศึกษาไทย อยู่ใน ระดับต่ากวา่ ที่พึงเปน็ ในระยะ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา พัฒนาการของการอุดมศึกษาในประเทศไทยได้ขยายระบบ การอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นอันมากเพ่ือสนองความต้องการของประชาชนที่ประสงค์จะได้ยกระดับของตนด้วย การจบการศึกษาและได้รับปริญญาตลอดจนสนองความจาเป็นด้านทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ จานวนสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน จานวนท่ีรับนักศึกษา และจานวนบัณฑิตท่ีจบได้เพิ่มขึ้น จนเพียงพอสาหรับผู้จบการศึกษาขั้นพ้ืนฐานทุกคน แต่ด้วยการปรับด้านประชากรที่มีผู้เกิดน้อยลง จานวนท่ี เรียนจึงมากเกินความต้องการ การกระจายของบริการอุดมศึกษาไปสู่ทุกท้องถิ่น และการขยายขอบเขตของ หลักสูตรและสาขาวิชาได้เพ่ิมข้ึน ตามวัตถุประสงค์ของการอุดมศึกษา จากการเป็นนักวิชาชีพด้านต่างๆ ไป เป็นการสนองความจาเป็นของท้องถ่ิน และสนองพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของชาติ บทบาทใน การวจิ ยั และบริการทางวิชาการก็เพ่มิ ข้นึ นบั ไดว้ า่ การอดุ มศกึ ษาของไทยได้เจริญกา้ วหน้าข้ึนเปน็ อนั มาก ในขณะเดียวกนั ยงั มปี ญั หาในระบบการอุดมศึกษาอยู่ไมน่ ้อยที่จาเป็นต้องไดร้ ับการปฏริ ูป สถาบันอุดมศึกษาไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันระดับต่าในโลก ในการจัด อันดับมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติโดย QS World University Ranking สาหรับปี ๒๐๑๘ ปรากฏว่า มหาวิทยาลัยของประเทศไทยไม่ติดอันดับ ๒๐๐ ของโลก ทงั้ ที่ ในขณะท่มี หาวิทยาลยั ญป่ี ุ่น จีน เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย อยู่ในอันดับ ๒๐๐ แรกของโลก ถึง ๘, ๗, ๗, ๔, ๒, ๒ และ ๑ แห่งตามลาดับ เมื่อพิจารณาถึง ๓๐๐ อันดับแรกของโลก ประเทศไทยจึงมีมหาวทิ ยาลัยเพียงแห่งเดียวท่ีได้เข้าอันดับใน ๕๐๐ อันดับของโลก มหาวิทยาลัยไทยติดเพียง ๒ แห่ง และ ใน ๑,๐๐๐ แรกของโลก มหาวิทยาลยั ไทยติดอยู่ ๘ แห่ง ในบรรดา สถาบันอุดมศึกษาของไทยท่ีมีถึงกว่า ๑๗๐ สถาบัน แสดงให้ สงิ คโปร์ ฮอ่ งกง ไตห้ วนั และ เห็นถึงคุณภาพของการอุดมศึกษาของไทยไม่ดีพอ หลาย มาเลเซยี แซงไป ประเทศได้พัฒนานาหน้าไปก่อนเป็นเวลานานแล้ว แต่ มหาวิทยาลัยของไต้หวัน ฮ่องกงและมาเลเซีย เพิ่งพัฒนาขึ้น ไดแ้ ซงมหาวิทยาลยั ไทยไป การจัดอันดับมหาวิทยาลัยมีอีกองค์กรหนึ่งท่ี ดาเนินการ โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์ท้ังหมด คือ นิตยสารไทม์ ผลการจัดอันดับสาหรับปี ๒๐๑๘ ไม่มี มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับ ๒๐๐ แรกของโลก โดยมีมหาวิทยาลัยของฮ่องกง ๒ แห่ง และของไต้หวัน ๑ แห่ง อยู่ในอันดับน้ี มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ ๒๒ ของโลก และมีมหาวิทยาลัยของฮ่องกงติด ใน อันดบั ๑๐๐ แรกของโลกถึง ๓ แหง่ เม่ือดูที่ ๓๐๐ อันดบั แรกของโลก จงึ มีมหาวิทยาลยั ของไทย ๑ แห่ง โดยมี มหาวิทยาลยั ของฮอ่ งกง ไตห้ วนั และมาเลเซยี จัดอยู่ในอันดับน้ี ถึง ๕, ๔ และ ๓ แห่งตามลาดบั
๒๗ เม่ือแยกมาจัดอันดับเฉพาะมหาวิทยาลัยในทวีปเอเชีย ประเทศสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัย ติดอันดับ ๑ และ ๒ ของเอเชีย และของกลุ่มประเทศอาเซียน (National University of Singapore และ Nanyang Technological University) มหาวิทยาลัยไทย จัดอยู่ในอันดับ ๒๐๐ แรกของอาเซียน ๔ แห่ง ในขณะที่ มหาวทิ ยาลัยของไต้หวัน มาเลเซีย และฮ่องกง ติดอันดบั นี้ ถึง ๑๘, ๘ และ ๗ แห่ง ตามลาดบั สถาบันอุดมศึกษาไทยก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงในโลก ในรายงานการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันของชาติ โดย World Economic Forum ได้แจกแจงปัจจัยท่ีมีส่วนในการกาหนด ความสามารถในการแข่งขันของชาติไว้ ซึ่งหลายปัจจัยเป็นหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ ได้แก่ ๑) คุณภาพของการให้การศึกษาและฝึกอบรมระดับอุดมศึกษา ที่ ต้องสามารถสรา้ งทรัพยากรบุคคลท่ีได้รบั การศึกษาดีจานวนมากพอ ๒) ความพร้อมทางเทคโนโลยีท่ีสามารถบุกเบิกความรู้ข้ันแนวหน้า และ ๓) นวัตกรรมท่ีนาไปสู่ผลิตผล หรือกระบวนการท่ีแหลมคม ปัจจยั เหลา่ นม้ี หาวิทยาลยั ไทยยงั พฒั นาไปไดน้ ้อย จากรายงานของ OECD เก่ียวกับพัฒนาการ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซ่ึงได้แสดงว่า ผลงาน จากประเทศมาเลเซียอยู่ในระดับต่ากวา่ ประเทศไทยมาตลอด จนถงึ ปี ๒๐๐๘ จึงได้เท่ากัน และ หลังจากนั้น ประเทศมาเลเซียไดเ้ พิ่มขึ้นอย่างรวดเรว็ นาหน้าประเทศไทยไป เหน็ ได้ว่า แม้ว่ามหาวิทยาลัยของไทยได้ให้ความสาคัญกับหน้าที่การวิจัยมานานนับสิบปี และได้ใช้ผลงานวิจัยเปน็ องค์ประกอบสาคญั ในการเล่อื นตาแหนง่ ทางวิชาการแล้ว แต่ ผลงานทีไ่ ด้ตีพมิ พ์ในระดับนานาชาติ และมคี ณุ ภาพดีจนเป็น า ทอ่ี ้างอิงยงั มอี ยา่ งจากัด ความเป็นนานาชาติของมหาวิทยาลัย บณั ฑติ วา่ งงานในสาขา ได้เป็นดัชนีชี้วัดระดับคุณภาพของมหาวิทยาลัยมาหลายปี สงั คมศาสตรเ์ พม่ิ ขนึ ด้วยอาศัยจานวนและอัตราส่วนนักศึกษาต่างชาติ และ จานวนและอัตราส่วนอาจารย์ต่างชาติในมหาวิทยาลัย พฒั นาการดา้ นน้ขี องมหาวิทยาลยั ไทยก็ยังมอี ย่างจากัด การผลิตบัณฑิตของสถาบันอุดมศกึ ษาไมต่ รงความตอ้ งการทรัพยากรบคุ คล ของประเทศ สถาบันอุดมศึกษาไทยผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาที่ลงทุนน้อย เช่น ด้านสังคมศาสตร์ และ มนุษยศาสตร์ มากเกินตาแหน่งงานท่ีรองรับ มีผลให้เกิดบัณฑิตว่างงานจานวนมาก ในขณะท่ีบัณฑิตขาด แคลนอย่างหนักในสาขาท่ีจาเป็น ท้ังยังไม่มีความคล่องตัวที่จะผลิตให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของทักษะที่ จาเป็นในโลก
๒๘ ข้อมูลของกระทรวงแรงงานในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ รายงานว่า มีผู้ที่ว่างงานใน ประเทศไทย อยู่ ๔๔๙,๐๐๐คน และในจานวนนี้ ราว ๑๕๐,๐๐๐ คนเปน็ ผู้จบอดุ มศึกษา และยงั ไม่มมี าตรการ ทเ่ี พยี งพอสาหรบั บณั ฑิตว่างงานเหลา่ น้ี ขณะเดยี วกันยงั มีบัณฑิตทีท่ างานต่ากว่าวุฒกิ ารศกึ ษาที่ได้เรยี นจบมา การรับนิสิตนักศึกษาใหม่ หลายสาขาวิชา มากกว่าตาแหน่งงานที่คาดว่าจะมีในอนาคต อันใกล้ ในบางสาขาวิชาทางสงั คมศาสตร์และครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์มีการผลิตเกินจนจะมีบัณฑิตวา่ งงานใน สาขาเหลา่ นเ้ี พม่ิ ข้ึนสาหรบั สาขาวชิ ายอ่ ยทผ่ี ลติ กไ็ มต่ รงกับสภาพความขาดแคลนในตลาดการจ้างงาน ๔. การด้อยประสิทธิภาพและธรรมาภิบาลในการบริหาร จัดการระบบการศึกษา ปัจจัยสาคัญในปัญหาการศึกษาไทยด้านหน่ึงคือประสิทธิภาพของการบริหารจัดการระบบ การศึกษา นอกจากด้านธรรมาภิบาลแล้ว ยังมีการจัดองค์กร กระบวนการและกฎเกณฑ์ที่สร้างข้ึนใช้ ที่ได้ สะสมมาเป็นเวลานาน (รายละเอยี ดอยู่ในรายงานเฉพาะเรอื่ งท่ี ๕) ๔.๑ ผลสมั ฤทธท์ิ างการศึกษาของไทยตา่ แม้จะใช้จ่ายในการลงทนุ สูง McKinsey and Associates ไ ด้ วิ เ ค ร า ะ ห์ ีี เปรียบเทียบการลงทุนกับการศึกษาในประเทศต่าง ๆ โดยจัดแบ่ง ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในโรงเรียนเป็นโรงเรียนระดับต่าง ๆ เปน็ งบแผน่ ดนิ กวา่ ๕ คือ Poor Fair Good Great และ Excellent ประเทศไทยไดร้ ับการ แสนลา้ นบาท ประเมินการศึกษาเปน็ ระดบั Poor และไดเ้ ทียบกับการใช้งบประมาณ ทางการศึกษาซึ่งประเทศไทยใช้ไปถึงร้อยละ ๒๐ของยอดรวม งบการศกึ ษาขนั พนื ฐาน งบประมาณแผ่นดินแตล่ ะปหี รือร้อยละ ๓.๙ ของผลผลติ มวลรวมของ กวา่ ๓.๕ แสนลา้ นบาท ชาติ (GDP) ส่วนประเทศเวียดนามใช้งบประมาณน้อยกว่าไทยแต่ผล การศึกษาอยู่ในระดับ Great ทานองเดียวกับไต้หวันที่ใช้เงินใกล้เคียง กับไทยแต่ผลอยู่ท่ี Great แสดงว่า การใช้เงินของไทยด้อย ประสิทธิภาพ โดยในช่วงทศวรรษท่ีสองของการปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๒ การศึกษาของชาติยังมปี ญั หา รุนแรงทีเ่ ปน็ วิกฤติการปฏิรูปท่ีผ่านมายงั ไมป่ ระสบความสาเรจ็ นบั เป็น ปัญหาที่กว้างขวางลกึ ซ้งึ และฝงั ลึกยากแก่การแกไ้ ข ๔.๒ ประเทศไทยลงทุนในการศึกษาในระดบั สงู เม่อื พิจารณายอดเงนิ ท่ปี ระเทศไทยใช้ไปในการศกึ ษาในรอบ ๙ ปี ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑ ถงึ พ.ศ.๒๕๕๙ พบว่ายอดงบประมาณที่จัดสรรให้ทางการศึกษาเป็นยอดที่มีสัดส่วนสูงที่สุด ในบรรดางานด้าน
๒๙ ต่างๆ ของรัฐ คือ ให้งบประมาณราว ร้อยละ ๒๐ ของงบประมาณแผ่นดินประจาปี หรอื ประมาณ ร้อยละ ๔.๒ ของรายได้มวลรวมของชาติ เม่ือรวมเงินท่ีภาคเอกชนและบุคคลใช้จ่ายไปในการศึกษาเข้าไปด้วย ปรากฏว่า ประเทศ ไทยใช้เงินทางการศึกษา ในระยะส่ีปีหลังนี้ ไปถึงกว่าแปดแสนล้านบาท หรือเท่ากับ ร้อยละ ๖.๑ ของจีดีพี ซ่ึง สงู กว่าค่าเฉล่ียของประเทศในกลุ่ม OECD ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เงนิ ไปทางการศึกษา ๕๖๐,๔๗๙ ล้านบาท หลงั จากนัน้ ได้เพมิ่ ข้ึนทุกปี จนเป็น ๘๗๘,๘๗๘ ล้านบาท แต่น่าจะสังเกตว่า การใช้จ่ายเงินจานวนมาก และเพิ่มขึ้น ไม่ได้ทาให้การศึกษา ไทยพน้ จากสภาพวิกฤติด้านคุณภาพการศึกษา และความเหลอ่ื มล้าทางการศกึ ษา ใน ปี พ.ศ.๒๕๕๙ งบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้ในส่วนการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ของ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นยอดเงิน ๓๑๙,๔๗๑ ล้านบาท เม่ือรวมกับเงินใช้จ่ายค่านมและอาหารกลางวัน ซึ่งมา จากงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑๘,๓๐๓ ล้านบาท และเงินจากประชาชน เป็นค่าธรรมเนียมการศึกษา เงินบารุงการศึกษา และเงินบริจาค อีก ๑๖,๐๘๔ ล้านบาท ก็รวมเป็นเงินท้ังสิ้น ๓๕๓,๘๕๘ ล้านบาท อันเป็น เงินท่ีใช้สาหรับการศึกษาของนักเรียนในระดับพ้ืนฐานท้ังสิ้นเกือบเจ็ดล้านคน จึงเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัวเฉล่ีย คนละ ๕๕,๐๘๕ บาท ต่อปี ๔.๓ ปัญหาการบริหารจัดการงบประมาณการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้ในส่วนการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน เป็นเงินรวม 319,471 ล้านบาท และมีงบเงินท่ีจ่ายจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายให้โรงเรียนเป็น ค่านม และอาหารกลางวันสาหรับนักเรียน ๑๘,๓๐๓ ล้านบาท กับมีเงินท่ีประชาชนจ่ายให้โรงเรียนเป็น ค่าธรรมเนียมการศึกษา เงินบารุงการศึกษา และเงินบริจาค รวม ๑๖,๐๘๔ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ใช้ไปใน การศึกษาข้ันพ้ืนฐานท้ังสิ้น ๓๕๓,๘๕๘ ล้านบาท หากคิดเป็นค่าใช้จ่ายสาหรับนักเรียนในสังกัดการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน จะเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัว คนละ ๕๕,๐๘๕ บาทต่อคนต่อปี นับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง เม่ือเทียบกับ ประเทศอ่ืนๆ แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของไทยในส่วนการศึกษาข้ันพื้นฐานโดยเฉล่ียยังต่า เม่ือเทียบกับ ประเทศเวียดนาม ซึ่งใช้เงินน้อยกว่าไทย แต่ผลการศึกษาดีกว่าไทยมาก หรือประเทศไต้หวันซึ่งใช้เงนิ ในระดับ ใกล้เคียงกบั ไทย แตผ่ ลการศึกษาดีกวา่ มาก เมอ่ื แยกรายละเอียดในยอดงบประมาณสาหรบั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน สาหรับปงี บประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ซ่ึงมียอดงบรวม ๓๐๓,๗๕๙ ล้านบาท จะแยกได้เป็นงบบุคลากร ๒๒๑,๗๗๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๐๑ ของยอดรวม งบดาเนินการ ๒๓,๓๘๗ ล้านบาท งบลงทุน ๑๙,๖๒๐ ล้านบาท งบอุดหนุน ๓๘,๔๖๘ ล้านบาท กับงบรายจ่ายอ่ืนอีก ๕๑๔ ล้านบาท คือ มีงบดาเนินการ งบลงทุน และงบอุดหนุนรวมกัน เท่ากับ 81,475 ล้านบาท ซึง่ เป็นงบสาหรับโรงเรียน 30,324 โรง จงึ เฉล่ยี ไดโ้ รงเรียนละ 2.7 ล้านบาท/ปี โรงเรยี น ขนาดใหญ่ที่มีช่องทางหารายได้จากแหล่งอ่ืนก็นามาใช้ในการพัฒนาได้ แต่โรงเรียนขนาดเล็กท่ีอยู่ในท้องถิ่นที่ ยากจน จานวนกว่าหน่ึงหมื่นโรง ไม่สามารถหารายได้จากแหล่งอื่น แม้จะมีเงินอุดหนุนพิเศษอยู่บ้างก็ไม่มีทาง
๓๐ พัฒนา หรอื รักษาคณุ ภาพการเรยี นการสอนได้ ปัญหาการดอ้ ยคณุ ภาพทางการศกึ ษาจึงเปน็ ผลจากการจดั สรร งบประมาณ และการท่ีตอ้ งใช้งบประมาณไปในสว่ นบุคลากรสูงมาก สภาพดังกลา่ วน้ีคงอยู่ต่อเน่ืองกนั เปน็ เวลา หลายปี ดังจะเห็นได้จากการกระจายในงบประมาณปี พ.ศ.๒๕๕๙ ซึ่งมีสดั ส่วนคลา้ ยคลงึ กนั งบค่าใช้จ่าย ในการบริหารส่วนที่เหนือขึ้นจากระดับโรงเรียนใช้ไปในอัตราส่วนร้อยละ ๕.๙ ของยอดรวม เม่อื เทียบกบั การบรหิ ารองคก์ ารภาคธรุ กิจ นบั ว่าอยู่ในระดับทีไ่ ม่สูงมาก งบประมาณของการศึกษาข้ันพื้นฐาน ใน งบประมาณสว่ นใหญเ่ ปน็ ส่วนกลาง ๒๕ สานัก และหน่วยงานระดับเขตพ้ืนที่ ๒๒๕ เขต งบบคุ ลากร (ประถม ๑๘๓ เขต และ มัธยม ๔๒ เขต) รวม ๑๗,๘๔๔ ล้านบาท เป็นงบบุคลากร ๙,๐๙๓ ล้านบาท งบดาเนินการ ๘,๒๙๗ ล้านบาท ะ และรายจ่ายอื่น ๕๑๔ ล้านบาท จึงต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ล ของการใช้เงนิ ส่วนน้ี หากแยกงบประมาณเป็นสว่ นท่ีใช้ตามภารกิจพื้นฐานและงบลงทุน ๒๕๙,๖๘๐ ลา้ นบาท ซึง่ มขี อ้ กาหนดการใช้ชัดเจน กบั งบประมาณท่ีมสี าหรับการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา ๕๙,๗๙๑ ลา้ นบาท จงึ มี งบประมาณท่ีสามารถใช้ในการพัฒนาเพียงร้อยละ ๑๘.๗ ซึ่งเป็นงบเงินอุดหนุนเพียง ๔๑,๒๘๒ ล้านบาท (ร้อยละ ๑๒.๘ ของยอดรวม) จึงมีความจาเป็นต้องพิจารณาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดขนาด ของการบรหิ ารส่วนกลางลงและแนวทางในการปรับโครงสรา้ ง บทบาทและประสิทธภิ าพของการบริหารระดับ ท้องถน่ิ เพื่อเพมิ่ ประสิทธิภาพ และความรบั ผิดชอบของการจดั การภาครัฐ สาหรบั งบประมาณที่จัดสรรใหโ้ รงเรียน สว่ นใหญเ่ ป็นงบสาหรบั งบบุคลากร (๒๒๗,๑๑๘ ลา้ นบาท) หรือร้อยละ ๗๑ ของงบสว่ นที่จัดสรรให้โรงเรียนโดยทโ่ี รงเรียนมีหนา้ ท่ใี ห้การศึกษา ซึง่ ครเู ปน็ ปัจจัย หลักท่ีสาคัญ คุณภาพการศึกษาข้ึนกับคุณภาพของงานของครู แต่โรงเรยี นได้รบั งบเพียงร้อยละ ๒๙ เท่านั้นที่ ใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนโดยมีงบลงทุน ๑๔,๑๕๕ ล้านบาท สาหรับงานตามปกติ และงบลงทุนใน การพัฒนาการศึกษาเพียง ๑,๑๔๘ ลา้ นบาท (สาหรบั โรงเรยี นกว่าสามหมื่นโรง) จงึ มคี วามจาเป็นไม่น้อยท่ีต้อง รอนาน งบอุดหนุนสาหรับการพัฒนาการศึกษาท่ีโรงเรียนตัดสินใจใช้ได้ รวมทุกโรงเรียน ๔๑,๐๘๑ ล้านบาท ราวครึ่งหน่ึงเป็นงบเงินรายหวั ที่จดั สรรให้ตามจานวนนกั เรียน โรงเรียนขนาดเล็กจงึ ไมม่ เี งินในการพฒั นา งบเงินอุดหนุนรายหัวท่ีโรงเรียนได้รับตามโครงการเรียนฟรี ๑๕ ปีมี ๕ รายการ โดย รายการที่ ๒, ๓ และ ๔ ตอ้ งจา่ ยตามที่กาหนด คงเหลอื ท่ีโรงเรียนสามารถจดั การได้ไมเ่ พยี งพอเพียงร้อยละ ๖๙ ขอยกตัวอย่าง เขตพื้นท่ีประถมศึกษาจังหวัดกระบี่ ซ่ึงได้รับงบประมาณส่วนที่ไม่ใช่งบ บุคลากร 1,961,414 บาท รับผิดชอบนักเรียน 40,513 คน ใน 203 โรงเรียน โดยเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 87 โรง และมีหลายโรงเรียนตั้งอยู่บนเกาะ การใช้งบเงินน้ี กาหนดเป็นการจ่ายในงานแผน 200,000 บาท ในการประชุมสัมมนา 319,000 บาท ในการนิเทศเชิงพื้นท่ี 276,000 บาท และใช้จัดงานศิลปะ 312,000 บาท ผู้ปฏิบัติงานในเขตพื้นท่ีกล่าวในการรับฟังความคิดเห็นว่าในสานักงานเขตพื้นที่มีงานเอกสารจานวนมาก เพราะต้องทารายงานแผน ซึ่งรวบรวมมาจากโรงเรียนในพื้นท่ี ทั้ง แผน 3 ปี และแผนประจาปีเอกสาร
๓๑ ประเมินผลโครงการต่างๆ ท่ีได้รับจากกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอ่ืนๆ ปีละ ราว ๘๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ โครงการ และยังมีงานจรอีกมาก ทาให้งบประมาณสาหรับการดูแลให้ถึงโรงเรียนมีน้อย ไม่เพียงพอท่ีจะ เดินทางไปดูแลโรงเรียนตามเกาะ ซ่ึงมีอยู่มาก ขณะเดียวกันโรงเรียนหลายแห่งได้รวมกันเป็นกลุ่ม เพือ่ ช่วยเหลอื กันเอง และระดมเงินเพิม่ จากทอ้ งถ่ิน สาหรับนักเรียนยากจน มีการจัดเงินช่วยเหลอื เป็นพิเศษเกณฑ์เงินอุดหนนุ จัดให้เพ่ิมเป็น ระยะๆ ตามความคิด และนโยบายในขณะนั้นส่วนใหญ่จัดสรรไม่ตรงตัวนักเรียน และไม่ท่ัวถึง จึงเกิดความไม่ เหมาะสม และไม่ตรงความจาเป็น ตัวอย่างเช่น เงินอุดหนุนปัจจัยพ้ืนฐานไม่เกินร้อยละ 40 ของนักเรียน ประถมศึกษา 1,000 บาท/คน/ปีและเงินอุดหนุนสาหรับนักเรียนยากจนไม่เกินร้อยละ 30 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาตอนตน้ 3,000 บาท/คน/ปี เท่ากนั ทว่ั ประเทศ และยงั มีเงนิ ช่วยเหลือ โรงเรียนขนาดเล็กโรงเรียน ประถมศึกษา ที่ไม่เกิน 120 คน ได้รับ 500 บาท/คน โรงเรียนขยายโอกาสที่จัดการเรียนระดับมัธยมต้น ขนาดไม่เกิน 300 คน ได้รับ 1,000 บาท/คน และโรงเรียนมัธยมที่ไม่เกิน 300 คน ได้รับ 1,000 บาท/คน เป็นเกณฑ์เหมือนกันทั้งประเทศ เมื่อคานวณค่าใช้จ่ายต่อหัวนักเรียน บนฐานงบบุคลากร และงบอุดหนุน ทา ให้คา่ ใช้จา่ ยลงทุนเพอื่ การศึกษาต่อหัว แตกตา่ งกัน คือ โรงเรยี นขนาดเล็ก (14,756 โรง) 45,501 บาท/คน/ ปี โรงเรียนขนาดกลาง (6,17 โรง) 30,422 บาท/คน/ปี โรงเรียนขนาดใหญ่ (359 โรง) 21,458 บาท/ คน/ปี จากผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษา การจัดเงินอุดหนุนในลักษณะน้ีไม่ได้ช่วยให้โรงเรียนขนาดเล็กมีคุณภาพดี ขน้ึ และแก้ปญั หาความเหลือ่ มล้า ๔.๔ ปญั หาการบริหารจัดการเกีย่ วกับครู ข้อมูลเก่ียวกับการผลิต การคัดกรอง การใช้งาน การพัฒนา การดูแลความก้าวหน้าทาง วิชาชีพ และระบบวิทยฐานะของครู เป็นประเด็นท่ีต้องได้รับการศึกษาให้เห็นปัญหาท่ีแท้จริง และหาทาง แก้ปญั หา ด้านการผลิตครูไม่ตรงกับความจาเป็นของ ชาติ ยังขาดการวางแผนมหภาค มีผลให้มีปัญหาครูว่างงาน และครู ไม่ตรงกับงานท่ีจาเปน็ คณะครศุ าสตร/์ ศึกษาศาสตร์ ในประเทศไทย ี มี ๗๑ สถาบันจัดการสอนหลักสูตรครศุ าสตร์/ศึกษาศาสตร์ ๕ ปี ซึ่ง มี ๙๑ หลักสูตร และหลักสูตร ๔ ปี จานวน ๖๒ หลักสูตรในปี การศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๙ รับนิสิตนักศึกษาครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ๓๑,๐๐๐ คนและกาลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน โดยตาแหน่งครูที่จะรับ ใน ๔-๕ ปขี า้ งหนา้ มเี พยี ง ๒๔,๐๐๐ ตาแหนง่ เป็นการผลิตเกนิ และจะมีบณั ฑติ ว่างงาน ๗,๐๐๐ คน สาขาวชิ าย่อยของครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ก็เปน็ ปัญหา ตวั อยา่ งเช่น มหาวทิ ยาลัย ก. รับ นกั ศกึ ษาศกึ ษาศาสตร์ใหม่ ๑,๐๐๐ คน เปน็ สาขาประถมศึกษา ๖๐ คน สาขาปฐมวยั ๓๐ คน สว่ นทเ่ี หลือ เป็นสาขาเฉพาะต่างๆ เช่น ครูวิทยาศาสตร์ ครูภาษาไทย ครูภาษาอังกฤษ ครูคณิตศาสตร์ ครูสังคมศาสตร์
๓๒ ครูศิลปศึกษา ครูดนตรีศึกษา ครูพลศึกษาและสาขาย่อยอ่ืนๆ รวมทั้งหมด ๙๑๐ คน แม้ว่าการสอนในสาขา เฉพาะเป็นเคร่ืองมือให้สามารถสร้างการเรียนรู้อย่างได้คุณภาพ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับมัธยมศึกษา ส่วน ในระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนจานวนมาก ท่ีเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ท่ีมีนักเรียนน้อยกว่า ๑๒๐ คน ทาให้มี ครจู านวนน้อย ไมส่ ามารถมีครูครบทุกสาขา จาเป็นต้องให้ครูสอนไม่ตรงกับสาขาวิชาเฉพาะ การขาดแคลนครู ทโี่ รงเรียนขนาดเลก็ ในท้องถ่นิ ห่างไกล จึงเป็นผลจากรปู แบบสัดส่วนในการผลติ ครูทขี่ าดแคลนในระดับวิกฤติ ในขณะน้จี ึงเปน็ ครูท่ีมีสมรรถนะความเปน็ ครทู ส่ี ามารถปรับตนไปสอนวิชาตา่ งๆไดต้ ามความจาเป็น ตลอดจนมี ความเป็นครูที่สามารถดูแลเด็กนักเรียนให้มีการพัฒนาได้ตามความถนัด ไม่ใช่การกากับให้เกิดความรู้ตาม หลักสูตรเน้ือหาสาระวิชาการเท่านั้น ค่านิยม และโครงสร้างของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ในปัจจุบัน ซึ่ง เน้นการศึกษาเฉพาะทาง จึงจาเป็นต้องปรับเปลยี่ น สภาคณบดีคณะครศุ าสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ซ่ึงจัดต้ังขึ้นต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๔๒ และองค์กรวิชาชีพ หรือคุรุสภา ควรทาหน้าท่ีวางแผนมหภาคของการผลิตครู ให้เหมาะสม ตรงความจาเป็นของชาติ ในความเป็นจริง ได้มีโครงการท่ีมุ่งแก้ปญั หานี้ เช่นโครงการคุรุทายาท และโครงการครูคืนถ่นิ แต่ยงั มผี ลอยา่ งจากัด ไมเ่ พยี งพอที่จะแกป้ ัญหา การคัดกรองครู สาหรับให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และการบรรจุเข้าทางาน เป็น งานของคุรุสภา ซึ่งได้ตั้งข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2488 และพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 รวมทั้งการปรับหลักสูตรการศึกษา ที่มีท้ังระบบ ๔ ปี และระบบ ๕ ปี โดยมีสิทธิในการขอ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และการบรรจุเข้าทางานท่ีแตกต่างกัน ตลอดจนการรับรองหลักสูตร และ สถาบันทีท่ าการสอน ระบบดงั กล่าวนไ้ี ด้มีพัฒนาการทับถมกัน และปรับเปล่ยี นเป็นระยะๆ ปญั หาท่ียงั แก้ไม่ได้ คือการผลิตเกิน ที่ทาให้ผู้จบการศึกษาวิชาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์เป็นผู้ว่างงาน หรือทางานไม่เต็มศักยภาพ เป็นจานวนมาก มาตรการในการดูแลและจัดการกับปัญหาน้ียังไม่เต็มที่ ผู้จบการศึกษาจานวนหนึ่งต้องไปรับ เป็นครูอัตราจ้าง หรือครูจ้างเหมา ซ่ึงขาดสวัสดิการ และความมั่นคงในการงาน ตลอดจนได้รับค่าตอบแทนตา่ ดังปรากฏวา่ ในการเปิดสอบเพอ่ื บรรจคุ รูผชู้ ่วยสองพันกว่าอัตรา มผี ูส้ มคั รเขา้ สอบถึงกวา่ หนง่ึ แสนคน บทบาทของคุรุสภา ในฐานะองค์กรวิชาชีพ ซึ่งใช้หลักการของคนในวิชาชีพปกครอง กันเอง โดยมีภารกิจเพื่อประโยชน์สังคมส่วนรวมคุรุสภาได้ พยายามพัฒนางานในหน้าท่ี โดยกาหนดหลักเกณฑ์ใน คุรุสภา ในฐานะองค์กรวิชาชีพ การเป็นครูท่ีดี กระบวนการในการทดสอบเพื่อขอรับ ซง่ึ ใช้หลักการของคนในวชิ าชพี ใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพครพู .ศ. ๒๕๖๐ การรบั รองคุณวุฒิ ปกครองกันเอง โดยมีภารกิจเพือ่ การศกึ ษาเพ่ือการประกอบวชิ าชีพ ตลอดจนแผนยทุ ธศาสตร์ คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ แต่โครงสร้างคุรุสภา และ ประโยชนส์ งั คมสว่ นรวม การบริหารงานบุคคลทางการศึกษาได้ผันแปรไปเป็นการ คุ้มครองปกป้องวิชาชีพ กฎเกณฑ์ต่างๆ มีข้อกาหนดท่ี ละเอียดตายตัว เน้นการใช้เอกสารเป็นหลัก จนความคล่องตัว และความสามารถในการปรับให้เกิดความ เหมาะสมกระทาได้ยาก ทง้ั มีการฟอ้ งรอ้ งเกีย่ วกับการปฏบิ ตั ทิ ่ีไม่ตรงกบั เกณฑ์ และกระทบกบั ผลประโยชน์ของ บุคคล จนการบริหารงานและการกากบั ดแู ลมีการเมอื งเขา้ ไปแทรกแซง
๓๓ การบริหารงานบุคคลทางการศกึ ษา มีการใหท้ ้ังใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ครู ใบอนญุ าต เป็นศึกษานิเทศก์ ใบอนุญาตเป็นผู้บริหารสถานศึกษา และใบอนุญาตเป็นผู้บริหารการศึกษา โดยมีกฎเกณฑ์ กาหนดคุณสมบัติและขั้นตอนแต่ละเรื่อง ทาให้งานบริหารงานบุคคลทางการศึกษาเพ่ิมปริมาณข้ึน เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผู้ข้ึนทะเบียนใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ๖๑,๐๙๗ ราย มีการต่ออายุใบอนญุ าต ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ๖๗,๘๑๕ ราย ออกใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ๕,๕๓๘ ราย และออกหนังสือ อนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ๓๖,๕๖๖ ราย ในการดูแลงานที่มีปริมาณ มากเช่นน้ี มีการกระจายงานจากสานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลกรทางการศึกษาในสว่ นกลาง ออกไปที่อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศกึ ษาในสว่ นภูมภิ าค ท่ัวประเทศ แนวทางปฏบิ ัตจิ งึ เกดิ ความ ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ครู ลักลั่น และมีความล่าช้า แม้ว่าผู้ที่รับหน้าท่ีส่วนใหญ่ได้ ใบอนญุ าตศกึ ษานเิ ทศก์ พยายามทาตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ แต่ระบบดังกล่าว ใบอนญุ าตผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา เปิดโอกาสให้มีการใช้อานาจในทางที่มิชอบ โดยผู้ที่ ใบอนญุ าตผบู้ รหิ ารการศกึ ษา รบั ผดิ ชอบในการบริหารจดั การทีโ่ รงเรียนไมม่ สี ว่ นเพยี งพอใน การพิจารณา จนมีความเห็นจากโรงเรียนว่าได้บุคลากรที่ไม่ ตรงกับความต้องการและกับสภาพของพื้นที่นบั เปน็ สาเหตุหนึง่ ที่ทาให้การศึกษาไม่เกิดคุณภาพของผลสัมฤทธ์ิ เท่าที่ควร ในด้านการใช้งานครูในปี พ.ศ.2561 ในส่วนราชการท้ังประเทศมีข้าราชการครู 386,129 อัตรา และครอู ตั ราจ้างอกี 61,517 คน นับเปน็ กลุม่ ข้าราชการทีม่ ากท่สี ุด ข้อมูลการกระจายจานวนคนตามระดับวิทยฐานะของข้าราชการครูในปี ๒๕๕๗ ปรากฏ ว่า ครูท่ีไม่มีวิทยาฐานะมีเพียง ร้อยละ ๑๒.๔ ของครูทั้งหมด ๓๔๐,๕๘๔ คน ครูร้อยละ ๘๗.๖ เป็นครูชานาญการ และชานาญการพเิ ศษ เม่ือพิจารณาค่าตอบแทนที่ครูได้รับ ซึ่งรวมเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจา ตาแหน่งแล้ว ปรากฏว่า ครูเช่ียวชาญพิเศษ ได้รับโดยเฉล่ีย เดือนละ ๗๔,๑๘๓ บาท ครูเช่ียวชาญ เดือนละ ๔๒,๖๘๕ บาท ครูชานาญการพิเศษ เดือนละ ๓๖,๑๐๙ บาท และครู/ครูผู้ช่วย เดือนละ ๑๔,๔๙๖ บาทจึง อาจกล่าวได้ว่า เมื่อครูได้รับวิทยฐานะสูงข้ึน จะได้รับเงินตอบแทนในระดับที่ดีพอสมควร หากภาระงาน และ ผลิตภาพ ตลอดจนบทบาทหน้าที่ได้เพ่ิมพูนขึ้นตามวิทยฐานะ น่าจะทาให้การศึกษาได้ผลดีมีคุณภาพ แต่เมื่อ พจิ ารณาเกณฑ์ และวธิ ีการในการเข้าส่วู ิทยฐานะ ในระยะหลายปีทผี่ ่านมา ได้อาศัยผลงานท่ีแสดงเป็นเอกสาร เปน็ หลักและวธิ พี จิ ารณายงั ไมต่ รงกับเป้าหมาย ระบบการบริหารครจู ึงเกดิ การใช้งบประมาณด้านงานบุคคลไป สูงมาก และไม่ได้ประสิทธิผล และผลิตภาพทางการศึกษา ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้มีการปรับเกณฑ์ และวิธีการ เขา้ สู่วทิ ยฐานะ ตลอดจนเกิดสถาบนั ครุ ุพฒั นาขึ้น ซงึ่ หวังได้ว่าจะแก้ไขปญั หาน้ีท้ังเม่ือมีการปรับบทบาทของผู้ ทม่ี วี ิทยฐานะสูงใหท้ าหน้าท่ชี ่วยครูที่เขา้ ปฏิบตั ิงานใหม่ให้สามารถทาหน้าที่ครูได้ดียงิ่ ขึน้ และช่วยแกป้ ัญหาที่มี
๓๔ ครทู ี่ไม่มีวิทยาฐานะมีเพียง ความยุ่งยากขึ้น เช่น การจัดหลักสูตรสถานศึกษาท่ีตรงกับ ร้อยละ ๑๒.๔ ของครทู งั้ หมด ความจาเป็นของพื้นท่ี และผู้เรียน ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของ การเรียนการสอน ส่วนครูท่ีมีวิทยฐานะและได้รับหน้าท่ีเป็น ๓๔๐,๕๘๔ คน ผู้บริหารสถานศึกษา หากมีบทบาทในการบริหารวิชาการให้ เกิดการศึกษาทีม่ ีความคล่องตัวตามสภาพของภูมิสังคม กน็ ่าจะ ครรู ้อยละ ๘๗.๖ เปน็ ครูชำนำญกำร ช่วยยกระดับคุณภาพการศกึ ษาข้ึนได้ และชำนำญกำรพิเศษ ๔.๕ ปญั หาการเรียนการสอนท่ีไม่ทันการเปลี่ยนแปลงในโลก วิวัฒนาการของการจัดหลักสูตรการศึกษาในประเทศไทยในรูปแบบปัจจุบัน นับได้ว่า เ ร่ิ ม ตั้ ง แ ต่ รั ช ส มั ย ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า หลกั สตู รการศกึ ษาขันพืนฐาน เจ้าอยู่หัว โดยเม่ือ พ.ศ.๒๔๒๘ มีการต้ังกระทรวงธรรมการ กาหนดมาตรฐานการเรยี นรตู้ าม เกิดการศึกษาตามระบบโรงเรียนเกิดข้ึนเป็นคร้ังแรก และ ขยายการศึกษาออกท่ัวในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองอย่าง กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระ ในทกุ ชว่ งชนั กว้างขวาง มีการจัดวาง \"พิกัดสาหรับการศึกษา พ.ศ.๒๔๓๕\" ะ ซงึ่ นับได้ว่าเป็นหลักสตู รฉบบั แรกต่อมามี \"หลกั สตู รหลวง พ.ศ. ๒๔๕๖\" แบง่ เป็นระดบั ประถมศึกษาสายสามัญ (๓ ป)ี กับสาย วิสามัญ (๒ ปี) กับระดับ มัธยมศึกษา ตอนต้น (๓ ปี) ตอนกลาง (๓ ปี) และตอนปลาย (๒ ปี) เพ่ือมุ่งแก้ ความนิยมในการเป็นเสมียน และมุ่งให้ราษฎรเห็นความสาคัญ มีความรู้ ความสามารถในวิชาสามัญจนนาไป ประกอบอาชพี ไดใ้ นทอ้ งถ่นิ ของตนตามความสามารถ ตามด้วย \"พระราชบัญญัติ ประถมศึกษา พ.ศ.๒๔๖๔\" การประถมศึกษาได้เป็นการศึกษาภาคบังคับ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๔ ถึง ๒๕๒๐ มี การประกาศใช้แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ และปรับปรุงหลักสูตรระดับการศึกษาขยาย การศกึ ษาภาคบังคับเปน็ ๗ ปใี น พ.ศ. ๒๕๐๖ แผนพัฒนาการศกึ ษา แห่งชาติฉบบั ที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๒๔) ไดเ้ ปลยี่ นระบบการศกึ ษาจาก ๔ : ๓ : ๓ : ๒ (๓) เป็น ๖ : ๓ : ๓ หลังจากนั้นมีการปรับปรุงเน้ือหาสาระในหลักสูตร เป็นระยะๆ จนเกิดหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ ซึ่งกาหนดสาระการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มไว้เฉพาะส่วนที่ จาเป็นในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเท่าน้ันสาหรับส่วนที่ตอบสนองความสามารถความถนัดและความ สนใจของผู้เรียนแต่ละคนนั้นสถานศึกษาสามารถกาหนดเพ่ิมขึ้นได้ให้สอดคล้องและสนองตอบศักยภาพของ ผู้เรียนแต่ละคนหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ๘ กลุ่มที่ เป็นข้อกาหนดคุณภาพผู้เรียนด้านความรู้ทักษะกระบวนการคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมของแต่ละกลุ่มเพ่อื ใช้เป็นจุดมุ่งหมายในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษา ข้นั พนื้ ฐานกาหนดไว้เฉพาะมาตรฐานการเรยี นรู้ทจี่ าเปน็ สาหรับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเท่านนั้ สาหรับ
๓๕ มาตรฐานการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่นคุณลักษณะอันพึง ประสงค์เพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวชุมชนสังคมและประเทศชาติตลอดจนมาตรฐานการเรียนรู้ที่เข้มข้ึน ตามความสามารถความถนัดและความสนใจของผู้เรียนให้สถานศึกษาพัฒนาเ พ่ิมเติมได้สาหรับเวลาเรียนได้ กาหนดไวด้ ว้ ย จะเห็นได้ว่า หลักสูตรแกนกลางที่กาหนดไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๔ มีทั้งความยืดหยุ่น และ กรอบทช่ี ดั เจน โดยให้สามารถจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาแตล่ ะแห่งท่ีเหมาะสมได้ แต่เมือ่ นาไปใช้ในทางปฏิบัติ ด้วยกรอบที่กาหนดไว้ตึงตัว ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ร้อยละ ๘๐ ไปกับเนื้อหาสาระ ซ่ึงมีอยู่อย่างชัดเจนใน หนงั สือเรียน ชอ่ งทางในการทาหลักสตู รของสถานศึกษาจึงมจี ากัดอย่างมาก โรงเรียนสว่ นมากโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในระดับประถมตอนต้น จึงมักยึดให้การเรียนตามหนังสือเป็นหลัก เอกสารหลักสูตรสถานศึกษาจึงไม่ได้ใช้ จริง และเป็นการง่ายท่ีจะลอกตามกัน นาไปสู่การเรียนที่เน้นการท่องจาสาระในหนังสือเรยี น ท้ังยังต้องทาให้ ครบตามเกณฑเ์ วลา และการครอบคลมุ ครบตามเนอ้ื หาสาระด้วย ไดม้ ีการวิจยั และติดตามประเมินผลการศึกษาหลังจากการใชห้ ลักสูตรนี้ไปเป็นเวลา ๖ ปี และสรุปไว้ว่า \"เพ่ือแก้จุดอ่อนที่หลักสูตรจากส่วนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.๒๕๔๔ ไม่สามารถสะท้อน สภาพความต้องการท่ีแท้จริงของสถานศึกษาและ ท้องถ่ิน และให้มีการจัดหลักสูตรและการเรียนรู้เพื่อให้มี ทักษะกระบวนการเจตคติที่ดี และมีความคิดสร้างสรรค์ต่อวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมี ทักษะในการจัดการ และทักษะในการดาเนินชีวิต จนสามารถเผชิญปัญหาสังคมและเศรษฐกิจท่ีเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วได้ ตลอดจนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ภาษาอังกฤษ เพือ่ ใชใ้ นการติดต่อสื่อสาร การเรียนที่เน้นการท่องจาสาระใน และการค้นคว้าหาความรู้ และเพ่ิมเติมจากหลักสูตร หนังสือเรียน ทังยังต้องทาให้ครบ ส่วนกลาง ให้สถานศึกษาข้ันพื้นฐานแต่ละแห่ง จัดทาสาระ ตามเกณฑ์เวลา และการครอบคลุม ของหลักสูตร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาในชุมชน ครบตามเนือหาสาระดว้ ย สังคม และภูมิปัญญาท้องถิ่น\"หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ จึงเกิดขึ้นโดยสาระสาคัญ ยงั คงมีหลกั สตู รแกนกลาง ทม่ี กี ลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 8 กลุม่ สาระเช่นเดิม ในการรับฟังความคิดเห็นจากโรงเรียนประถมศึกษา และผู้บริหารเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มี ไม่น้อยที่เห็นว่า เน้ือหาสาระ ๘ สาระ เป็นปัญหาในการจัดการเรียนการสอน เพราะไม่ตรงกับสภาพเฉพาะ ในพน้ื ท่ีและขาดความคล่องตัวในการปรับ โอกาสที่จะมีหลักสตู รสถานศึกษาทแ่ี ตกต่างจากหลกั สูตรแกนกลาง มนี ้อย ทัง้ การเรียนการสอนท่เี นน้ การทอ่ งจา ไม่สามารถกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนต่อการเรียนรู้ พัฒนาการของการศึกษาในโลกได้ปรับไปจากการเน้นเนื้อหาสาระ และการท่องจาไป หลายสิบปีแล้ว ย่ิงในระยะหลัง พ.ศ.๒๕๕๓ ท่ีช้ีชัดถึงคุณลักษณะจาเป็นของคนในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ต้อง เน้นสมรรถนะ และการเรียนรู้เชิงรุกด้วยแล้ว การศึกษาไทยโดยรวมยังไม่สามารถปรับตนได้ทัน แม้จะมี เจตนารมณ์ตามที่ปรากฏในข้อกาหนดหลักสูตรการศึกษาแกนกลาง พ.ศ. ๒๕๔๔ แล้วก็ตาม โรงเรียนขนาด
๓๖ ใหญ่ที่มีความพร้อมเพรียงด้านทรัพยากร มีโอกาสและช่องทางท่ีจะปรับให้ทันสมัยได้บ้าง แต่โรงเรียนขนาด เลก็ ทอ่ี ยใู่ นทัองถนิ่ มีข้อจากดั อยู่มาก และไมส่ ามารถปรับให้ทันสมยั ได้ จงึ เปน็ โรงเรยี นที่มีคุณภาพต่า และเป็น ปญั หาความเหล่อื มล้า การปฏิรูปการศึกษาจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การประเมิน ผลสัมฤทธิท์ างการศึกษา และกฎเกณฑต์ ่างๆ ตลอดจนคา่ นิยมหลกั ในการจัดการศึกษา ๔.๖ อุปสงคข์ องการศึกษาตลอดชีวิต รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กาหนดขอบเขตของการศึกษาออกไปกว้างเป็น การศกึ ษาตลอดชีวติ ทุกช่วงวัย และเปน็ การศึกษาของประชาชนทุกกลมุ่ ไมว่ า่ จะมขี อ้ จากัดดา้ นใด ให้มโี อกาส รบั การศึกษาและสรา้ งความเชย่ี วชาญตามความถนดั ของตน ดังทีก่ ลา่ วว่าไม่ทง้ิ ใครไวข้ า้ งหลงั การศึกษาจึงต้องพิจารณาท้ังการศึกษาในระบบ ที่มุ่งให้ได้คุณวุฒิตามระดับ การศึกษา เพ่ือการพัฒนาตนเอง และการศึกษาเพ่ือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ครอบคลุมประชากรท้ังกว่า ๖๗ ล้านคนของ ประเทศ เมือ่ พิจารณาการศึกษาที่มุ่งให้ได้คณุ วฒุ ติ ามระดับ หรือการศกึ ษาในระบบ จะครอบคลมุ ประชากรราว ๑๑ หรือ ๑๒ ลา้ นคน ทย่ี งั มีปัญหาทัง้ ในเชิงปรมิ าณ และคณุ ภาพ การศึกษาสาหรับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ตั้งแต่ เม่ืออยู่ในครรภ์มารดา จนถึงอายุ ๖ หรือ ๘ ขวบ ซ่ึงมีหลักฐานจาก ผทู้ อ่ี ยใู่ นครอบครวั การวิจัยว่าเป็นช่วงที่มีความสาคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นตัวกากับ ยากจนอนั เปน็ อปุ สรรค ความเจริญของสมอง เพ่ือใชใ้ นการศกึ ษาระดบั สูงข้นึ ไป และคุณภาพ ตอ่ การไดร้ บั การศกึ ษา ชีวิตในอนาคต มีหลักฐานว่าการลงทุนในการศึกษาปฐมวัยจะได้รับ อยู่ หนง่ึ ลา้ นหา้ แสนคน ผลตอบแทนมากกวา่ การศึกษาในระดับสงู ขน้ึ ไป มากกวา่ ๗ เทา่ ใน และมผี ดู้ อ้ ยโอกาสจาก ประเทศไทยความตื่นตัวในเรื่องนี้เกิดขึ้นแลว้ แต่อยู่ในวงจากัด ยังไม่ สาเหตอุ นื่ เชน่ ระยะทาง สามารถครอบคลุมประชากรในช่วงอายุนี้ ท่ีมีจานวนถึงกว่า ๕ ล้าน คน ที่กระจายอยู่ทั่วไปท้ังประเทศ และมีปัญหาทางสังคม และ สถานะพลเมอื งตาม เศรษฐกจิ ทีต่ อ้ งนามาพจิ ารณาดว้ ย กฎหมาย และอนื่ ๆ อกี ราวสองลา้ นคน สาหรับการศึกษาในระบบ หรือการศึกษาเพ่ือ คณุ วุฒขิ น้ั พืน้ ฐานน้ันยังมีปัญหาดา้ นคุณภาพ ดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ และยงั มปี ญั หาความเหล่ือมลา้ ทัง้ ผู้ท่เี ข้าไม่ถึง และผู้ทห่ี ลุดออกไปจากระบบการศึกษาดว้ ยสาเหตุตา่ งๆ ประมาณการได้ว่ามผี ูท้ ี่อยู่ในครอบครัวยากจนอันเป็น อุปสรรคต่อการได้รับการศึกษาอยู่ หนึ่งล้านห้าแสนคน และมีผู้ด้อยโอกาสจากสาเหตุอ่ืน เช่น ระยะทาง สถานะพลเมืองตามกฎหมาย และอ่ืนๆ อีกราวสองล้านคน ท้ังยังมีผู้พิการทางกายท่ีเป็นอุปสรรค และต้องมี การดูแลเป็นพิเศษ ตลอดจนผทู้ ี่มีปัญหาทางสมอง และการเรียนรู้ท่ีชา้ กว่าคนทั่วไป ซ่งึ ต้องได้รับการดูแล และ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษด้วย รวมแล้วไม่น้อยกว่า สามแสนคน นอกจากน้ียังมีเด็กที่มีอัจฉริยะ หรือ
๓๗ ความสามารถเป็นพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง ที่ถูกการศึกษาท่ีจัดแบบเดียวเหมือนๆกันกดไว้ให้ไม่สามารถเจริญ ได้ตามศักยภาพของตน การจัดการศึกษาจึงต้องมีความหลากหลาย และคล่องตัวตามสภาวะความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษต่างๆ การอาชีวศึกษา จะเป็นฐานสาคัญในการสร้างกาลังคนของชาติท่ีมีความสามารถทาง เทคนิคต่างๆ ซึ่งจาเป็นต้องใช้ในการพัฒนาประเทศ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของชาติ ขณะนี้ การอาชวี ศึกษายงั มีปญั หาอยูม่ ากท่ตี ้องไดร้ ับการแก้ไขปรับปรุง การอุดมศึกษาของไทยได้พัฒนามามากจนสามารถรองรับจานวนประชากรได้ครบถ้วน แต่ยังมีปัญหาทั้งการกระจายตามสาขาวิชา การศึกษาเพื่อรองรับอนาคต และคุณภาพการศึกษา บทบาทใน การวิจัยเพื่อสร้างความรู้ บุกเบิกสร้างนวัตกรรม และการนาความรู้และนวัตกรรมไปใช้ประโยชนย์ ังต้องเร่งรดั ดาเนินการอีกมาก ปัญหาใหม่เช่นการลดของประชากร ทาให้มีที่ว่างในระบบอุดมศึกษา และการปรับ โครงสรา้ งของกจิ การงาน ก็จะเพมิ่ มากขนึ้ โครงสรา้ งของระบบอุดมศึกษาคงต้องไดร้ บั การพจิ ารณาแก้ไข การศึกษาตลอดชีวิต ท่ีครอบคลมุ การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาในรูปแบบอนื่ ๆ อกี มาก ที่จะสนองความต้องการของประชากรที่เหลือ กว่าห้าสิบล้านคน การศึกษานอกระบบในปัจจุบันได้ พัฒนามาเปน็ อันมาก ทัง้ ในความหลากหลายของรูปแบบ และการกระจายครอบคลุมไปทุกท้องถ่ิน แม้ในพื้นที่ ห่างไกล แต่ยงั มขี อ้ จากัด ทงั้ ในดา้ นขอบเขตของงาน การสนับสนนุ ด้านงบประมาณและกาลังคน การเชอ่ื มโยง กับระบบการศกึ ษาอนื่ ๆ และกฎเกณฑ์การเทยี บเทา่ และเทียบโอนผลการศึกษา การศกึ ษาตลอดชวี ติ ครอบคลมุ การพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นส่วนสาคัญ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษา ของการศกึ ษา ทมี่ สี ภาพผนั แปรไดอ้ ย่างมาก และรวดเรว็ จน การดาเนินการภาครัฐน่าจะไม่สามารถปรับให้ทันกับการ ในรปู แบบอนื่ ๆ ทจี่ ะสนองความ เปล่ียนแปลงในโลกได้ บทบาทของภาคผู้ประกอบการและ ตอ้ งการของประชากร ธุรกิจ ที่มีความคล่องตัวจะมีความสาคัญ โดยต้องได้รับการ กวา่ หา้ สบิ ลา้ นคน สนับสนนุ และปลดขอ้ จากัดต่างๆ ได้ การศกึ ษาสาหรับผูส้ งู วยั จะมีความจา เป็นเพ่มิ ขน้ึ เพ่ือใชศ้ กั ยภาพของผูท้ ี่เกษยี ณอายจุ ากราชการ หรอื งาน ใหส้ ามารถมผี ลติ ภาพได้ และสามารถ สง่ ผลต่อการพัฒนาสงั คมและเศรษฐกิจต่อไป การศึกษาตลอดชีวิต จะมีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย ไม่จากัดอยู่ท่ีรูปการศึกษาแต่ เดมิ เช่น การจดั การสิง่ แวดลอ้ ม พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ การท่องเทยี่ ว และองค์กรชุมชน เป็นต้น ๔.๗ ปญั หาโรงเรยี นขนาดเลก็ โรงเรียนขนาดเล็กเป็นปัญหาของการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และไดม้ ีมาตรการในการแก้ไขมา เป็นเวลานับสบิ ปี แตก่ ็ยงั คงเป็นปญั หาอยู่ในปจั จุบัน แมว้ า่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจสังคม และการคมนาคมจะ
๓๘ ดีข้ึนและเพิมช่องทางในการแก้ปัญหา แต่ในระยะสิบกว่าปีท่ีผา่ นมา เม่ือมีสภาพการลดการเกดิ และมีจานวน เดก็ ที่เขา้ สู่ระบบการศึกษาลดลง ทาใหป้ ญั หาโรงเรียนขนาดเล็กแกไ้ ขไดย้ ากยิง่ ขึ้น ใน พ.ศ.๒๕๖๑ มีโรงเรียนของรัฐในสงั กัดการศึกษาข้ันพื้นฐานท้ังส้นิ ๓๐,๑๒๒ โรง เป็น โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า ๑๒๐ คน อยู่ถึง ๑๕,๐๘๙ โรง ท่ีรับนักเรียนอยู่ ๙๘๑,๔๔๗ คน เป็น ร้อยละ ๑๔.๔๗ ของนักเรียนในชั้นนี้ ซึ่งมี ๖,๗๘๑,๑๒๕ คน ท้ังยังมีโรงเรียนขนาดเล็กที่มีลักษณะพิเศษ เช่น โรงเรยี นในพ้นื ทีส่ งู ห่างไกล (๕๕๗ โรง) โรงเรยี นตามชายแดน โรงเรยี นบนเกาะ (๕๔ โรง) โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ มีปัญหา โรงเรยี นขนาดเลก็ ทมี่ นี กั เรยี นนอ้ ย ทรัพยากรการเงินท่ีไม่เพียงพอ แม้จะมีการเพิ่มการอุดหนุน กวา่ ๑๒๐ คน มอี ยถู่ งึ ๑๕,๐๘๙ ขึ้นแล้ว และทาให้ค่าใช้จ่ายต้นทุนท่ีคิดเป็นรายหัว สูงกว่า โรง ทรี่ บั นกั เรยี นอยู่ ๙๘๑,๔๔๗ โรงเรียนขนาดกลาง และขนาดใหญ่ แต่ผลการศึกษาโดย คนหรอื รอ้ ยละ ๑๔.๔๗ ของ เฉล่ียยังต่ามาก เป็นตัวฉุดค่าเฉล่ียของชาติให้ลดลงด้วย ปัญหาการขาดแคลนครูท่ีมีความสามารถตรงตามความ นกั เรยี นในชันนี จาเป็นเป็นปัญหาหลัก เกณฑ์จานวนครูต่อนักเรียนท่ี ี สานักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนด เช่น ครูหน่ึงคนต่อ นกั เรยี น ๒๐ คน ทาใหโ้ รงเรียนทีม่ ีนกั เรยี นน้อย มคี รจู านวน น้อยไปด้วย จึงเป็นสภาพมีครูไม่ครบชั้นเรียน นอกจากนั้น ครูส่วนใหญ่เป็นผู้จบในวิชาครูสาขาเฉพาะทางต่างๆ เช่น สาขาภาษาไทย ภาษาองั กฤษ คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ศลิ ปะ และคณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ ทาใหเ้ ป็นปัญหาครู ไม่ตรงกับสาขาวิชาท่ีต้องสอน ความสามารถที่จะสอนวิชาท่ีไม่ถนัด และความสามารถที่จะจัดการสอน นักเรยี นคละชัน้ กม็ ีจากดั เกณฑก์ ารพิจารณาผลงานของครแู ละการให้ความดีความชอบก็ใช้เกณฑก์ ลางของทั้ง ระบบ จงึ เปน็ ผลให้มกี ารย้ายครูบ่อย และกระทบตอ่ คุณภาพการศึกษา หลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนก็ขาดความคล่องตัว ที่จะปรับตามสถานการณ์ หลักสูตร ๘ เน้ือหาสาระจึงเป็นปัญหาหนักสาหรับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก แม้ว่าการศึกษา ทางไกลผ่านดาวเทียมได้ช่วยให้นักเรียนได้เข้าถึงความรู้ตามลาดับช้ันไปได้ แต่สิ่งจาเป็นขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น การมพี ลงั งานไฟฟา้ วัสดุครุภณั ฑใ์ นการสอน อปุ กรณ์ทีใ่ ชง้ านได้ และสิ่งแวดลอ้ มยังเปน็ ข้อขัดขอ้ งอยู่ การบริหารจัดการเป็นปัญหาที่ระบบการสรรหา และแต่งต้ังผู้อานวยการสถานศึกษา หากได้ผู้อานวยการที่สามารถ ก็พอจะช่วยบรรเทาข้อขัดข้องลง แต่ส่วนใหญ่ยังขาดประสบการณ์ โดยฉพาะ อยา่ งย่ิงการสร้างความสัมพันธ์กับชมุ ชน ซึง่ มักเปน็ ชุมชนท่ีประชาชนมคี วามยากจน ผลการศกึ ษาที่ขณะนี้มีแต่ผลการสอบโอเน็ตเปน็ ตวั วัด ปรากฏว่า คา่ เฉลยี่ ผลการสอบใน พ.ศ. ๒๕๖๐ สาหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ได้ร้อยละ ๔๔.๒๖ ในวิชาภาษาไทย ร้อยละ ๓๗.๔๐ ในวิชา วิทยาศาสตร์ ร้อยละ ๓๔.๕๕ ในวิชาคณิตศาสตร์ และร้อยละ ๓๑.๑๘ ในวิชาภาษาอังกฤษ ในเมื่อโรงเรียน ขนาดใหญ่พิเศษ มีผลการสอบ เท่ากับร้ยละ ๕๓.๖๙, ๔๔.๙๒, ๔๖.๘๐ และ ๕๑.๒๕ ตามลาดับ โรงเรียนท่ตี งั้
๓๙ อยู่ในเมืองมีผลการสอบสูงกว่าโรงเรียนนอกเมือง จะเห็นได้ว่ามีความเหลื่อมล้าอย่างมาก แม้ว่าจะมีตัวอย่าง โรงเรียนขนาดเล็กจานวนหนึ่งที่มีการจัดการดี สามารถทาผลการสอบได้สูงเท่าเทียมกับค่าเฉล่ียระดับชาติ แสดงวา่ ปญั หาโรงเรียนขนาดเล็กสามารถจดั การศึกษาใหม้ ีคณุ ภาพได้ การแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กได้มีมาตรการต่างๆ หลากหลายมาตรการ เช่น การยุบ เลิกโรงเรียน การย้ายนักเรียนไปยังโรงเรียนขนาดใหญ่กว่า โดยมีความช่วยเหลือเพ่ิมเติม (ค่าใช้จ่ายใน การเดินทาง ที่พักนอนสาหรับนักเรียน) โดยจัดเป็นโรงเรียนแม่เหล็กที่มีการสนันสนุนให้เกิดแรงดึงดูดให้ ผู้ปกครองยินดีย้ายนักเรียนไป การจัดเครือข่ายโรงเรียน การถ่ายโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจดั การอดุ หนุนเปน็ พิเศษ สาหรบั โรงเรยี นที่ไม่สามารถยุบได้ เป็นตน้ การแก้ปญั หานี้ อาจสาเร็จได้หาก มกี ารดาเนินงานที่ชดั เจนและตอ่ เนื่องทห่ี ลากหลายแตกต่างตามสภาพภมู ิสังคม และเปน็ ทรี่ บั ได้ของประชาชน ๔.๘ ปญั หาจากการขาดข้อมลู ที่ดใี นการบริหารจัดการการศึกษา การวางนโยบาย การปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ตลอดจนการดาเนินงาน และ การประเมินผลด้านการศึกษา ยังเป็นปัญหา เน่ืองจากการขาดข้อมูล และการไม่ใช้ข้อมูลท่ีมี นโยบายและ แผนงานมกั เกิดจากความคิดเหน็ และรายงานบนฐานความเห็น มากกวา่ ฐานข้อมูลเชงิ ประจักษ์ การบริหารจัดการข้อมูลในแต่ละสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการเอง และอีก ๘ กระทรวงมี รูปแบบท่ีหลากหลาย แตกต่างกัน กระทรวงศึกษาธิการได้รับความร่วมมือไม่เต็มที่ ทาให้มีข้อมูลไม่ครบถ้วน และไม่สามารถวิเคราะห์ให้ได้สภาพมหภาคของการศึกษาของชาติได้ ถึงแม้จะทาบันทึกความเข้าใจเพ่ือ ร่วมมือกันแล้วก็ยังไม่เกิดบูรณาการของข้อมูลการศึกษาได้จริง การเปิดเผยข้อมูลรายบุคคลมีข้อมูลบางส่วนท่ี ตอ้ งค้มุ ครองสิทธิสว่ นบคุ คล จงึ จาเปน็ ตอ้ งมีพัฒนาการของระบบข้อมูล รวมท้ังระบบความมัน่ คงของข้อมลู ด้วย จากการวิเคราะห์ประมวลผลฐานข้อมูลนักเรียนด้วยตัวเลขประจาตัวบุคคล ๑๓ หลักท่ีรวบรวม โดยของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการข้อมูลล่าสุดเม่ือวันท่ี ๑๐ พฤศจกิ ายนพ.ศ.๒๕๖๐ พบว่าตวั เลขเด็กลงทะเบยี นซ้าซ้อนในสถานศกึ ษาทง้ั ภายในสงั กดั เดยี วกนั และต่าง สังกดั กนั มจี านวนถึง ๑๑๗,๔๓๑ คน คอื นกั เรียนคนหนึง่ ทม่ี ีเลขประจาตัวหน่ึงได้รับเงินไปซา้ ซ้อนและเบิกจ่าย คา่ ใชจ้ ่ายรายหัวของนักเรียนเกินไปจานวนมาก ทง้ั น้ี ข้อมูลตวั เลขดงั กลา่ วยงั ไม่รวมนักเรียนในสงั กัดอ่ืนๆ นอก กระทรวง เช่น ตารวจตระเวนชายแดนเทศบาลเมืองพัทยาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและกรุงเทพมหานคร ตลอดจนนักเรียนท่ียังไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งได้รับเข้าศึกษา โดยโรงเรียนเป็นผู้ออกเลขทะเบียนบุคคลให้ ความไม่ ถูกตอ้ งครบถ้วน และความซา้ ซอ้ นของข้อมลู นี้ทาใหส้ ูญเสีย งบประมาณของรัฐจานวนไม่น้อยโดยไม่จาเป็นและยังเป็น ผลต่อการวางนโยบายการศกึ ษาการวางแผนทรพั ยากรและ ง บ ป ร ะ ม า ณ ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า อี ก ด้ ว ย นั บ เ ป็ น ก า ร ด้ อ ย ประสิทธิภาพท่ีสาคัญระบบข้อมูลนักเรียนท่ีมีความถูกต้อง ครบถว้ นจงึ เปน็ ส่ิงทจ่ี าเป็นเร่งดว่ น
๔๐ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๒ กาหนดใหม้ กี ฎกระทรวงเก่ยี วกับหลักเกณฑ์ และวธิ ีการในการตรวจสอบ ตดิ ตาม และการประเมิน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษา แต่ในขณะน้ี ยังไม่มีการประกาศใช้ กฎกระทรวงดงั กล่าว โดยสรุป จะเหน็ ไดว้ า่ การศกึ ษาไทยมปี ญั หาอยู่มาก ท่ีสลบั ซับซ้อน และฝงั ลกึ อยู่ ในระบบ ทาใหย้ ากแกก่ ารแกไ้ ข เพราะการแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ด้านหน่งึ จะนาไปสกู่ ารเพมิ่ ปัญหาอีกด้านหนึ่ง จึงจาเป็นต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เห็นต้นตอของปัญหา แล้ว แกป้ ญั หาทังระบบ หรอื การปฏิรปู การศึกษา
๔๑ ตอนท่ี ๒ ตน้ ตอสาเหตขุ องปญั หาการศกึ ษาไทย
๔๒ ปัญหาการศึกษาไทยเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ทับถมกันเป็นเวลานานและฝังลึก โดยมีปัจจัยท่ี เก่ียวข้องหลายปัจจัย ซ่ึงทาให้การแก้ปัญหาการศึกษาเป็นไปได้ยากและต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร จากสภาพทุกข์ทางการศึกษาที่ประเทศไทยกาลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่อง คุณภาพการศึกษาต่า ความเหล่ือมล้า ทางการศึกษา การด้อยความสามารถในการแขง่ ขันของประเทศชาติ ของชุมชนและบคุ คล รวมทั้งของสถาบนั ทางการศึกษา ตลอดจนความด้อยประสิทธิภาพและธรรมาภิบาลในระบบบริหารจัดการการศึกษา ดังข้อมูล และสถิติต่าง ๆ ที่ปรากฏ การแก้ไขปัญหาจาเป็นต้องมองลึกลงไปถึงต้นตอสาเหตุของปรากฏการณ์เหล่านั้น เพ่ือหาแนวทางการปฏิรูปการศึกษาท่ีเหมาะสมต่อไป ส่ิงท่ีปรากฏเป็นปัญหาน้ันเปรียบได้กับก้อนน้าแข็ง Iceberg ที่ส่วนที่ปรากฏเป็นปัญหาให้เห็นเหนือน้าเป็นเพียงส่วนน้อย ปัญหาส่วนใหญ่ยังซ่อนอยู่ใต้น้า ทรี่ วมเป็นต้นตอสาเหตุของปญั หา การปฏิรูปจงึ ตอ้ งเป็นการแกท้ ี่ตน้ ตอสาเหตุ จึงจะเปน็ ผล พอทจ่ี ะสรปุ สาเหตขุ องปญั หาได้ดังนี้ ๑. หลักคิด ค่านิยมของสังคมท่ีเกี่ยวกับการศึกษา โครงสร้างของ ระบบ และการบริหารจัดการระบบการศึกษาไม่เหมาะสม ท่าให้ระบบ การศึกษาขาดประสิทธภิ าพและผลสัมฤทธ์ิ ค่านิยมของสังคมประการแรกที่เป็นต้นเหตุ คือ การให้ความส่าคัญมากกับปริญญาและคุณวุฒิการศึกษา า เพ่ือ “ใบปริญญา” ดูจะเป็นเป้าหมายการศึกษาของ สังคมไทย เป็นค่านิยมทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อพ่อ แม่ ผู้ปกครอง และลงสู่เด็กไทยในท่ีสุด ค่านิยมแบบนี้กลายเป็น “คา่ นยิ มปรญิ ญา” ซึง่ คนไทยให้ความสนใจและความสาคัญมากกว่าคุณภาพการศึกษา ระบบการศึกษาไทยทา ให้ทุก ๆ คนจะต้องมุ่งมั่นและขวนขวายไปสู่ความสาเร็จตามลาดบั ขั้นของระบบการศึกษาและสาเรจ็ สุดท้ายท่ี “ปริญญา” โดยอาจถือได้ว่าปริญญาน้ีเป็นสิ่งสูงสุดของวัฒนธรรมการศึกษาแบบไทย ๆ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้ ผลิตบัณฑิตผู้สาเร็จปริญญาในระดับต่าง ๆออกมามาก ระบบงานส่วนหนึ่งก็กาหนดให้รับเฉพาะผู้จบปริญญา และมีอัตราเงินเดือนขั้นต่าสาหรับผู้ที่มีปริญญาด้วย แต่มีไม่น้อยที่ผลิตออกมาแล้วประกอบอาชีพไม่ตรงกับ สาขาที่ตนศึกษามา หรือต้องทางานท่ีต่ากว่าเกณฑ์ของปริญญา ในขณะท่ีบางกรณีมีการทุจริตซื้อขายปริญญา กันด้วย มหาวิทยาลัยบางแห่งมุ่งผลิตแต่เพียงบัณฑิตออกสู่ตลาดตามค่านิยมโดยไม่คานึงถึงสาระสาคัญแห่ง การเรียนรู้ แทนทจี่ ะคานึงถงึ พันธกจิ และภาระหนา้ ทีโ่ ดยแท้ของตน การศึกษาถูกนามาใช้แบ่งชนช้ันของคนใน สังคม สถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงการศึกษาของเด็กไทยว่า ปัจจุบันเม่ือจบ ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว ความรู้สึกในการตัดสินใจสาหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง คือ ถ้าเด็กเรียนเก่งก็มีค่านิยม เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในสายสามัญเพื่อต่อไปยังระดับอุดมศึกษา โดยคิดว่าจะได้ทางาน
๔๓ มีค่าตอบแทนท่ีดีและมีความมั่นคงกว่าผู้ที่จบช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 67.5 ที่เข้าสู่สาย สามัญดังกล่าว เหลืออีกประมาณ 1 ใน 3 หันไปเรียนสายอาชีวศึกษา ทั้งนี้ อาศัยค่านิยมที่แบ่งแยกมาต้ังแต่เรียน มัธยมต้นแล้วว่า ผู้ท่ีไปสายสามัญไม่ได้ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น สติปัญญาและผลการเรียนไม่ดี หรือฐานะทาง เศรษฐกจิ ไม่ดี เป็นตน้ ประกอบกบั มีการเพิ่มสถานศึกษาหรอื ยกระดับสถานศึกษาเป็นสถาบันอุดมศึกษาอย่าง มาก และรวดเร็ว จึงมีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ตรงกับความถนัดและความประสงค์ของเด็กและไม่ตรงกับความต้องการ ของตลาดงาน โครงสร้างตลาดแรงงานไทยในปจั จุบันยังคงใช้แรงงานระดบั ลา่ งและระดบั กลางเป็นหลัก งานใน ภาคเกษตรใช้คนที่มีการศึกษาไม่สงู มาก แต่มีทักษะและเจตคติท่ีเหมาะสม ภาคอุตสาหกรรมของไทยในระยะท่ี ผ่านมากต็ อ้ งการใช้คนทีม่ ฝี ีมือ แม้การศึกษาจะสูงไม่มากเช่นกัน ประกอบกับผลการศึกษาจากระดับอุดมศึกษาก็ ไม่ได้สร้างคนท่ีพร้อมจะทางาน สาขาวิชาที่ผลิตก็ไม่ตรงกับความต้องการ โดยมีทั้งการผลิตเกินจนมีบัณฑิต ว่างงานจานวนมาก และการขาดแคลนกาลังคนในหลายสาขาวิชา เน่ืองจากไม่มีแผนการผลิตกาลังคน จึงต้อง ได้รับการปรับปรุง และมีความคล่องตัวพอท่ีจะปรับตามการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรม ปริญญายังปลูกฝังให้เด็กแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันต้ังแต่เล็ก ๆ อันเป็นการกดดันเด็ก และปิดบังความถนัดและ ความใฝฝ่ ันของเดก็ ทั้งยงั กักผู้เรียนไวใ้ นโรงเรียนยาวนานในลกั ษณะยืดเวลาวา่ งงานออกไป า ค่านิยมในสังคมไทยทีมุ่งให้ได้รับการศึกษาเพือ หนา้ ทขี่ องพอ่ แมผ่ ปู้ กครอง คุณวุฒิสูงยิง ๆ ขึนไปนัน ไม่ใช่เรืองผิดเพราะสังคมจ่าเป็นต้องมี และภาคสว่ นอน่ื ถกู บดบงั ไป ทรัพยากรมนุษย์ระดับสูงส่าหรับงานต่าง ๆ ด้วย ยิงในปัจจุบันที ประเทศไทยต้องเพิมความสามารถในการแขง่ ขันกับนานาชาติใน โลก แต่ต้องเนน้ คณุ ภาพของการศึกษาระดับสงู ด้วย ค่านิยมท่ีกาหนดให้การศึกษาเป็นหน้าที่ ของรัฐเป็นหลักนัน ได้ปรับเป็นแนวโน้มในระยะหลายสิบปีท่ี ผา่ นมา หากพิจารณาข้อบัญญัติในรฐั ธรรมนูญไทยหลายฉบับใน ระยะหลังจะชี้ถึงหลักคิด และข้อกาหนดต่าง ๆ ให้เป็นหน้าท่ี ของรัฐที่จะต้องจัดให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาโดยกาหนดให้รัฐจัดให้มีข้ึน และประชาชน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสาหรับการศึกษาภาคบังคับ ซ่ึงเป็นเวลาการศึกษา ๑๒ ปี ส่วนในทางปฏิบัติพัฒนาการได้ ปรับเป็นระยะ ๆ ให้รัฐมีบทบาทหลักท้ังในการจัดบริการการศึกษาและการใช้เงินงบประมาณ ทั้งน้ี เป็นการ ตอบสภาพปัญหาท่ีประเทศไทยยงั มีผยู้ ากจน ผทู้ ่อี ยู่ห่างไกล และผู้ทย่ี ังไม่ไดร้ บั การศึกษาอยู่เปน็ จานวนมาก ด้วยหลักการและเจตนารมณ์ดังกล่าว จึงเกิดระบบบริการจัดการศึกษาในภาครัฐขยายตัวอย่างมาก และมีการจัดงบประมาณออกไปอุดหนุนอย่างถ้วนหน้า ทั้งค่าใช้จ่ายรายหัว ค่าใช้จ่ายหนังสือและอุปกรณ์ การศึกษา ค่าใช้จ่ายอาหารกลางวัน ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตลอดจนค่าใช้จ่ายพิเศษสาหรับผู้พิการ เม่ือการดาเนินการในลักษณะน้ีเกิดข้ึนทั่วไป และเป็นเวลานาน ค่านิยมในสังคมไทยจึงปรับให้เป็นหน้าท่ีของรัฐ ไปท้ังหมด เม่ือผู้ปกครองนาบุตรหลานไปเข้าสถานศึกษา ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของโรงเรียนไปทั้งหมดในการดูแล ให้การศึกษาและฝึกอบรมทุกๆ มิติ ลืมบทบาทหน้าท่ีของพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียนไป ได้มีความพยายามดึง
๔๔ ผู้ปกครองและสังคมเข้ามามีส่วนในการศึกษาของบุตรหลานอยู่ แต่ก็มักจากัดอยู่ท่ีการอุดหนุนโรงเรียน โดยที่ การศึกษาในปัจจุบันมุ่งพัฒนาทั้งวิชาการ ความคิด ทักษะ จิตใจ อุปนิสัย อารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม และ สังคม พ่อแม่ผู้ปกครอง ชุมชน และสังคมต้องร่วมมีบทบาทในการศึกษาด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมใน คณะกรรมการสถานศึกษา และคณะกรรมการระดับพ้ืนที่และจังหวัดซ่ึงจะมีส่วนช่วยได้อย่างมาก ในหลาย จังหวดั ได้มีการรวมตัวกันในรูปสมัชชาการศึกษาหรือภาคีเพ่อื การศกึ ษา เพอ่ื ขับเคลอ่ื นการมีส่วนรว่ มอยบู่ ้างแล้ว หลักคิดเกี่ยวกับบทบาทของการจัดการศึกษาภาคเอกชน ทั้งที่ไม่มุ่งหากาไร และที่ดาเนินการ เชิงธุรกิจ ในปัจจุบันยังเป็นปัญหา เพราะการบริหารของรัฐมักจะมีวิธีคิดว่าเป็นคู่แข่ง และต้องกากับดูแล อย่างเข้มงวด ในหลายกรณีรัฐจัดบริการที่แข่งขันกับเอกชนด้วย การสนับสนุนของรัฐต่อบริการการศึกษา ภาคเอกชนยังต้องได้รับการแก้ไข ยิง่ ในสภาพปัจจุบนั ทโี่ ลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซงึ่ เอกชนมีความคล่องตัว มากกว่าในการบุกเบิกสร้างความก้าวหน้าด้วยแล้ว แนวคิดหลักเกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนจาเป็นต้องมี การปรับปรุง โดยเฉพาะในส่วนของอาชีวศึกษาซึ่งต้องมีความร่วมมือกันอย่างดี จึงจะสามารถสนอง ความจาเป็นของชาติได้ ข้อกากบั ควบคมุ ต่าง ๆ ยังเป็นปัญหาอยู่ไมน่ อ้ ย การให้เอกชนเข้ามารว่ มในการบริหาร จัดการสถานศึกษาของรัฐก็เป็นช่องทางหนึ่งในการปรับปรุงการบริหารการศึกษา การศึกษาทางเลือก การศึกษาตามอัธยาศัย และบริการเพ่ือการศึกษาในรูปแบบอ่ืนๆ จาเป็นต้องได้รับความสนใจ และ การสนบั สนนุ อย่างเปน็ รูปธรรมมากขึ้นกวา่ ในปจั จุบนั ชุมชน รวมทง้ั องคก์ ารปกครองส่วนท้องถ่นิ ก็ต้องเข้ามามบี ทบาทในการจัดการและดูแลการศึกษา โดยเฉพาะอย่างย่ิงส่วนท่ีอยู่ใกล้ชิด เช่น การดูแลให้การศึกษาที่เหมาะสม กับเด็กปฐมวัย การจัดการศึกษาท่ี มุ่งเน้นเสริมสร้างทักษะชีวิตท่ีดีในวัยเด็ก เป็นต้น ร่วมในการเป็นแหล่งการเรียนรู้ให้กับเด็กในชุมชน ทาให้ชุมชน กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ของคนทุกวัย รวมท้ังพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กท่ีต้องได้รับการศึกษาเพื่อให้สามารถทา หน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ทุกองค์กรการศึกษาจะต้องปรับปรุงตนเองให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้การศึกษา เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง (Education for All) และทุกส่วนในสังคมจะต้องเป็นไปเพ่ือเอื้อต่อการศึกษาด้วย (All for Education) จึงเป็นต้นทุนสาคัญสาหรับการใช้ชีวิตเม่ือพวกเขา เติบโต ดังนั้นเป้าหมายสาคัญของการจัดศึกษา จึงเป็นการจัด ความไม่มนั่ คงของ กระบวนการที่ช่วยให้เด็กๆ ทุกคนค้นพบศักยภาพของตนเองให้ได้มาก นโยบายการศกึ ษา ทส่ี ดุ จากการเปลย่ี น หลักคดิ อีกประการหนึง่ ท่เี ปน็ ปญั หา คอื การเน้นขาเข้า รัฐมนตรวี ่าการและ ของการศึกษา คือ การสอน มากกว่าผลสัมฤทธ์ิที่เกิดข้ึนจริงในตัว ผบู้ รหิ ารระดับสงู ผู้เรียน เน้นการสอนแล้วมากกว่าการเรียนรู้แล้ว ความรับผิดชอบ บอ่ ยมาก ของโรงเรียนเป็นการจัดให้มีการสอนครบตามท่ีหลักสูตรกาหนด เมื่อมีการสอบวัด ผู้เรียนก็สามารถเล่ือนข้ึนชั้นได้ เน่ืองจากได้เรียน ครบแล้ว แม้ว่าผลการสอบจะได้ต่าเพียงใด
๔๕ ส ภ า พ ก า ร ณ์ เ ห็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ส่ ว น ต น ม า ก ก ว่ า า ผลประโยชน์ของส่วนรวม ตลอดจนการทุจริต คอรัปช่ัน ได้เข้า การศกึ ษาของชาติ มาในระบบการศึกษาจากการเปล่ียนแปลงค่านิยมเชิงวัตถุนิยม มกี ารดาเนนิ การ ในสังคมส่วนรวม มีผลเสียต่อการศึกษา โดยเปล่ียนไปจาก อยใู่ นหลายกระทรวง ค่านิยมเดิมของไทยที่ครูเป็นบุพการีท่ีมุ่งทาคุณกับศิษย์ โดยไม่ นอกจากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร หวังผลสว่ นตน โครงสร้างของระบบการศึกษาไม่เหมาะสม เพราะ เกิดความไม่เป็นเอกภาพของระบบบริหารจัดการการศึกษา ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง ช า ติ มี ก า ร ด า เ นิ น ก า ร อ ยู่ ใ น ห ล า ย ก ร ะ ท ร ว ง นอกจากกระทรวงศึกษาธิการซึ่งเป็นกระทรวงหลักแล้ว ยังมี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงอ่ืนๆ เกือบทุกกระทรวงที่ต้องอาศัยกาลังคน หรือต้องพัฒนากาลังคน การประสานงานให้การศึกษาส่วนต่างๆ สอดคล้องและสนับสนุนกัน ต้องอาศัยกลไกข้ามกระทรวง ซึ่งรัฐบาลเพิ่งได้จัดให้มีคณะกรรมการที่เรียกว่า Super Board ข้ึน โดยมนี ายกรัฐมนตรีเป็นประธาน การปฏิรูปการศึกษาคร้ังที่แล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้ึนส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน ส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ จาก ๑๔ กรมมาเป็น ๔ ่ี องค์กร และต่อมาเพิ่มข้ึนเป็น ๕ องค์กรหลัก ซึ่งประกอบด้วย ๑) สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ๒) สานักงาน ปญั หาการประสานงานของ คณะกรรมการการศึกษาข้ัน พื้ นฐ าน ๓) สานัก ง า น หนว่ ยงานตา่ งองคก์ รหลกั คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๔) สานักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษาและ ๕) สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้การบริหารงานของกระทรวงฯ มี ความเข้มข้น เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูป การศกึ ษาตามพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ อยา่ งไรกต็ ามตลอดระยะเวลาทผี่ ่านมากลับพบ ปัญหาในการบริหารงานที่ไม่คล่องตัวและการทางานท่ีมีความซ้าซ้อนกันท้ังภายในแต่ละองค์กรหลัก และ ระหว่างองค์กรหลัก เนื่องจากขาดกลไกในการทางานท่ีเช่ือมโยงกัน นอกจากนต้ี าแหน่งสูงสุดของแตล่ ะองค์กร ี มีระดับเท่ากันกล่าว คือ ระดับ ๑๑ (ซี ๑๑) ซ่ึงทาให้การบริหารจัดการ ไมม่ จี ดุ รว่ มของนโยบาย ทกุ องค์กรหลักมสี ถานะเทา่ กันและแยกกันทา หน้าที่ โดยขึ้นตรงต่อรฐั มนตรีวา่ การกระทรวง นอกจากนี้ยังพบความ ไม่สมดุลของขนาดแต่ละองค์กร ดังจะเห็นได้จากสานักงาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169