Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อริยุปวาท-2

อริยุปวาท-2

Published by mnbvc-98, 2020-04-07 05:03:47

Description: อริยุปวาท-2

Search

Read the Text Version

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๗๙ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอริยเจา้ อริยปุ วาท เร่ืองที่ ๘ วา่ “หลวงตาแก่รูปน้ี ทาไมถึงหวิ จดั ขนาดนี้ แถม พระโสดาบนั คิดตาหนิพระอรหนั ต์๘๘ ยงั ทาเราขายหน้าไปดว้ ย” พระเถระเปน็ ผูไ้ ด้ฌานอภิญญา มเี จโต ปรยิ ญาณรูใ้ จคนอน่ื ได้ และเปน็ ผทู้ ่ีเตม็ เปีย่ ม ในคัมภรี ์อรรถกถา พระวนิ ยั ปฎิ ก มหา ด้วยเมตตา เพอื่ จะอนเุ คราะห์ภิกษุหนุ่ม เมอื่ วภิ งั ค์ และคัมภีรว์ สิ ุทธิมรรค พระอรรถกถาจารย์ กลบั จากบิณฑบาตแลว้ ถงึ อารามแล้ว ไดเ้ ดนิ ไป ได้ยกตัวอย่างอรยิ ุปวาทกรรม โดยนาเอาเร่อื ง พดู กับภกิ ษุหนุม่ วา่ “อาวุโส ที่พึ่งในพระศาสนา มโนกรรมฝ่ายบาปอกุศล คอื การคิดตาหนิ น้ีของคุณมอี ยู่หรือเปลา่ ” ตเิ ตยี นพระอรหนั ต์มาเป็นอทุ าหรณ์ เร่อื งมดี ังน้ี ภิกษหุ นมุ่ กราบเรยี นวา่ “มีอยู่ ขอรับ มภี ิกษุ ๒ รปู ไดเ้ ขา้ ไปบณิ ฑบาตใน กระผมเป็นพระโสดาบนั ” หมู่บา้ นแหง่ หน่งึ พร้อมกนั ในภกิ ษทุ ั้งสองรูปนี้ พระเถระ พูดเตือนไปวา่ “อาวุโส ! ภกิ ษุแก่เป็นพระอรหนั ต์ สว่ นภิกษุหนุ่มเป็น ถา้ อย่างนั้น คุณคงไม่ได้พยายามปฏบิ ตั ธิ รรมเพ่ือ แค่พระโสดาบนั ญาติโยมทเี่ รือนหลังแรก ได้ บรรลมุ รรคเบ้อื งสงู ขึ้นไปดอกหรอื เพราะคุณไดค้ ิด ถวายขา้ วยาคูร้อน (น้าขา้ วต้ม)แดท่ า่ นทง้ั สอง ตาหนพิ ระอรหันตแ์ ลว้ ” รปู ละกระบวย ภกิ ษุหนมุ่ รปู น้ัน ไดส้ ตนิ กึ ถึงตอนที่ ในเวลานั้น พระเถระขณี าสพเกดิ อาการ ออกไปบิณฑบาตด้วยกัน จงึ ได้กลา่ วคาขอขมา จกุ เสียดแน่นทอ้ งขึ้นมาอย่างปจั จบุ นั ทนั ด่วน คดิ โทษต่อพระเถระ ฝ่ายพระเถระ ไดก้ ล่าวคายก ในใจวา่ “ข้าวยาคูน้ี คงชว่ ยทาใหส้ บายท้องขนึ้ โทษให้ อริยุปวาทกรรมของภกิ ษุหนุ่มนน้ั กไ็ ด้ บรรเทาอาการจุกเสยี ดแน่นทอ้ งหายไปได้ เรา กลบั เป็นปกติ คอื ไม่มเี ปน็ อปุ สรรคต่อการ น่าจะดม่ื ข้าวยาคูนี้ ก่อนทม่ี นั จะเยน็ เกินไป” เมือ่ ปฏบิ ตั ิธรรมและบรรลุมรรคผลนิพพานตอ่ ไป ซ่ึง คดิ ดงั นน้ั แล้ว จึงน่งั ลงดมื่ ขา้ วยาคูบนขอนไมท้ ี่ เป็นธรรมดาของพระโสดาบนั เมื่อมผี ้มู าช้โี ทษให้ คนพากันเข็นมาไวเ้ พ่อื ทาประตูทางเข้า หรือ เหน็ ความผดิ แล้ว ทา่ นจะรีบแกไ้ ขปรับปรงุ ธรณปี ระตู ฝ่ายภกิ ษุหนุ่ม พอเห็นพระเถระมี เปล่ียนแปลงทนั ทีโดยไม่รีรอใหเ้ นิน่ นาน พฤติกรรมเชน่ น้ัน ก็เกดิ ไม่พอใจ จึงไดค้ ดิ ตาหนิ ๘๘ วิ.มหา.อ. ๑/๑/๒๘๐-๒๘๑,วิสุทธมิ รรค ๒/๓๓๒  สรรพคุณของยาคู (ขา้ วต้ม) ๕ ประการ คอื บรรเทาความหิว ระงับความกระหาย ใหล้ มเดินคลอ่ ง ชาระลาไส้ และ เผาอาหารที่ ยังไมย่ ่อยใหย้ อ่ ย องั .ปญั จก. (แปล) ๒๒/๓๕๐ ดู ยาคสุ ตู ร

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๘๐ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจา้ ข้อคดิ และคติธรรม ได้เด็ดขาดแลว้ เหลือแต่ราคะโทสะและโมหะ ๑.มโนกรรม สัมพันธก์ บั อรยิ ุปวาท ส่วนละเอยี ดท่จี ะทาให้เกิดในมนษุ ยโ์ ลก และ ตามเนือ้ หาท่ีกลา่ วข้างตน้ พระภกิ ษหุ นุ่ม เทวโลกอยา่ งมากไม่เกนิ ๗ ชาติ ไมม่ ชี าติที่ ๘ รปู น้ี เปน็ เพียงแต่คดิ ในใจ ไม่ไดพ้ ูดออกมา สาหรับภิกษุหนุ่มโสดาบันรปู นี้ แมจ้ ะ ทางวาจา แต่พระอรรถกถาจารย์ ก็ยกมาเป็น เผลอสติคดิ ไมด่ ีกบั พระอรหันต์ เพราะความ กรณตี ัวอยา่ งของอรยิ ปุ วาท จากเร่อื งน้ี ทาให้ ร้เู ท่าไม่ถงึ การณ์ สติยงั ไมส่ มบรู ณ์ แตเ่ มื่อพระ ทราบวา่ อริยุปวาทนน้ั มีความหมาย เถระมาบอกเตือนสติ ทา่ นก็ยอมรับและแกไ้ ข ครอบคลุมไปถึงมโนกรรมดว้ ย เพราะกอ่ นจะ ทนั ที ไม่มที ิฐิมานะ รบี ขอโทษต่อพระอรหนั ตผ์ มู้ ี พูดตอ้ งคดิ ไวก้ อ่ น และมโนกรรม คอื ความนกึ คุณธรรมสงู กวา่ ตน ไมเ่ กบ็ บาปอกุศลนัน้ ไว้ ซึง่ คิดนี้ ก็เกดิ จากวจีสังขาร ความปรุงแต่งทาง ถอื วา่ เปน็ ลกั ษณะของผู้เข้าถงึ กระแสธรรม วาจา ได้แก่ วติ ก ความนกึ อารมณ์ และวจิ าร ทงั้ หลาย ความคิดอ่านอารมณ์ เพียงแค่คดิ ไม่ดใี นใจ ก็ บาปแลว้ ๒.ผูเ้ ข้าสู่กระแสธรรม คณุ ค่าแห่งความเป็นโสดาบัน ตามธรรมดา พระโสดาบัน ซึ่งเป็นพระ อริยบุคคลข้นั ตน้ มีศีล ๕ บริสทุ ธ์ิ เป็นอริยศลี ซ่งึ พระผมู้ ีพระภาคได้ตรัสกบั ทา่ นอนาถบณิ ฑิก ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ดา่ งพรอ้ ย เป็นไท ไม่ได้ เศรษฐีวา่ “โสดาปัตตผิ ลประเสริฐกว่าความเป็น รกั ษาศีลเพราะลาภยศสรรเสรญิ ไม่ถูกตณั หา เอกราชในแผ่นดนิ กว่าการไปสสู่ วรรค์ หรอื กว่า และทิฏฐิครอบงา เปน็ ผู้มศี รัทธาม่ันคงในพระ ความเปน็ ใหญใ่ นโลกทง้ั ปวง ความเป็นเอกราชใน รตั นตรัย ละอคตลิ าเอยี งได้ ไมเ่ ขา้ ข้างคนผิด จะ แผน่ ดิน” ไมท่ าอนนั ตริยกรรม ไมไ่ ปนบั ถือศาสดาอ่นื การไปสสู่ วรรค์ และความเปน็ ใหญใ่ นโลก ยังไมพ่ ้นจากอบายภูมิมีนรก เป็นตน้ แต่โสดาปัตติ ผลเป็นธรรมปิดกนั้ ประตอู บายภมู ิได้ ยึดถอื ธรรมะเปน็ หลกั การ ละความเหน็ ผดิ ใน ข.ุ ธ. (แปล) ๒๕/๘๘ เรื่องตัวตนได้ ไม่สงสัยในภพชาตแิ ละไม่นบั ถอื เร่อื งนายกาละ อะไรทงี่ มงายไร้เหตุผล แม้จะยังละกิเลสไมไ่ ด้ บุตรชายของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ท้งั หมด แต่ราคะ โทสะ โมหะอย่างหยาบท่ี จะทาใหผ้ ดิ ศลี หรือนาไปสูอ่ บายภูมิ ท่านละ  ม.ม.ู (แปล) ๑๒/๕๐๐-๕๐๘ จฬู เวทัลลสตู ร

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๘๑ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจ้า ๓. รู้หน้า ไม่รู้ใจ วถิ แี ห่งโสดาบัน ระวงั ปากเอาไว้ดกี วา่ พระผูม้ พี ระภาคได้ตรสั ถามท่านพระสารี คนเรารู้หน้า แตไ่ ม่รูใ้ จ ดูกนั ออกยาก จะ บตุ รดงั น้วี า่ “สารบี ุตร ท่ีเรียกว่า ‘องค์เครือ่ งบรรลุ ตัดสนิ ใคร กด็ ูนานๆ อย่าได้ตดั สินคนอื่นเพียงแค่ โสดา องคเ์ ครื่องบรรลโุ สดา’ เป็นอย่างไร” เพิ่งเห็นผิวเผนิ ฉาบฉวยภายนอก อย่าพง่ึ ท่านพระสารีบุตรทลู ตอบว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ วิพากษ์วิจารณ์ใคร เพราะเพยี งแคไ่ ด้ยนิ ได้ ผู้เจริญ การคบหาสตั บรุ ุษ การฟังพระสัทธรรม การ ฟงั มา เพราะอาจจะผิดได้ ศลี และปญั ญา รไู้ ด้ มนสกิ ารโดยแยบคายและการปฏิบตั ธิ รรมสมควรแก่ เมอ่ื อยดู่ ้วยกนั นานๆ และไดพ้ ูดคยุ สนทนากัน ผู้ ธรรม” ท่ีใส่ใจและมปี ญั ญาเท่านั้น ถึงจะรู้ ถ้าไมส่ นใจ และไมม่ ีปญั ญา กร็ ูไ้ ม่ได้ “ดีละ ดลี ะ สารีบุตร ...สารบี ตุ ร ทเี่ รยี กวา่ ‘โสดา โสดา’ โสดา เปน็ อยา่ งไร” พระอริยเจา้ ทงั้ หลาย เป็นคนออ่ นนอ้ ม ถ่อมตน มมี ารยาท รจู้ ักกาลเทศะในการ “ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อริยมรรคมอี งค์ ๘ แสดงออก บางคร้ัง ท่านกด็ ูเหมอื นคนธรรมดา คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สามญั เราอาจจะแยกแยะไม่ออกวา่ ทา่ นเป็น สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ พระอรยิ ะขั้นไหน เหมอื นท่านอนาถบณิ ฑิก สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ น้แี ลเป็นโสดา” เศรษฐีซงึ่ เปน็ อรยิ สาวกโสดาบัน มลี กู สาวคน สุดท้อง ชือ่ นางสมุ นาเทวี ได้บรรลุธรรมเปน็ “ดีละ ดลี ะ สารบี ุตร...สารบี ตุ รที่เรียกว่า ผู้ อรยิ สาวิกา สกิทาคามนิ ี แม้อยใู่ กล้ชิดกัน แต่ บรรลโุ สดาคือใคร” พ่อกไ็ ม่ร้วู ่าลูกสาวไดบ้ รรลธุ รรมสงู กวา่ ตัวเอง กอ่ นลกู จะส้ินใจเนื่องจากปว่ ยไมส่ บาย ได้เรียก “ขา้ แต่พระองค์ผเู้ จริญ ผู้ใดประกอบด้วย พ่อตวั เองว่า “น้องชาย” ทาให้ผู้เป็นพ่อคิดวา่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ น้ี ผู้นเ้ี รียกว่าผู้บรรลโุ สดา ท่านผู้น้ี ลูกสาวเพ้อ ตายแบบไม่มีสติ จงึ ไดไ้ ปกราบทูล มชี อื่ อย่างน้ี มีโคตรอย่างน้ี” เล่าให้พระพุทธเจ้าสดับ พระองคเ์ ฉลยว่า “ถูก พระผู้มีพระภาคตรัสวา่ “ดีละ ดีละ สารีบตุ ร...” แล้ว คหบดี” ทีล่ ูกสาวพดู เช่นน้ัน เพราะเธอมี คุณธรรมสูงกว่า เนอ่ื งจากอนาถบิณฑิกเศรษฐี สัง.มหา. (แปล)๑๙/๔๙๔-๔๙๕ เปน็ เพยี งแค่พระโสดาบัน แตล่ กู สาวเป็นพระ ทุติยสารปี ตุ ตสตู ร สกิทาคามนิ ี ไมไ่ ดเ้ รยี กทา่ นอนาถบิณฑกิ ะใน ฐานะลูกกับพ่อ แตเ่ รยี กในฐานะพุทธสาวกิ า ซงึ่ มคี ณุ ธรรมสงู กว่า

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๘๒ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอริยเจา้ อริยุปวาท เรอื่ งท่ี ๙ เขากเ็ ปลย่ี นเปน็ ผู้หญิงไปหมด โดยทเ่ี พอ่ื น ชายที่นั่งอยขู่ ้างๆกย็ งั ไม่รู้ เม่ือได้ทราบว่า บตุ รชายแหง่ โสเรยยเศรษฐี รา่ งกายเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้ว เธอรสู้ กึ กระดาก คิดอยากได้พระอรหันต์เป็นภรรยา๘๙ อายอย่างมากจนบอกไม่ถกู ในส่งิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กับตัว ตวั เองอยา่ งเหลอื เชอ่ื จงึ ได้รบี ลงจากรถไป แล้ว ขณะทพี่ ระพทุ ธองค์ ทรงประทบั อยใู่ น เดินมุ่งไปทางเมืองตักกสลิ า พอ่ แม่และเพ่อื นๆ กรุงสาวตั ถี คุณชายโสเรยยะ บุตรชายของ พากันออกคน้ หา ก็ไมพ่ บรอ่ งรอย ตา่ งกเ็ ศรา้ โศก โสเรยยเศรษฐีแห่งโสเรยยนคร ซ่ึงมชี ือ่ เดยี วกนั เสยี ใจไปตามๆกนั กับการหายตวั ไปอยา่ งลึกลับ กบั ผเู้ ปน็ บดิ า เขามีภรรยาทม่ี รี ูปรา่ งหนา้ ตา ของเศรษฐหี นมุ่ คนนี้ เม่อื ไมม่ ีขา่ วคราวจากท่ี สวยงามและมลี กู ๒ คน เชา้ วันหนงึ่ เขาและ ไหน ทกุ คนสรุปวา่ “เขาคงเสยี ชวี ิตแลว้ ” จงึ ได้ เพือ่ นรักคนหน่งึ ได้นงั่ รถออกจากตัวเมอื งไป ทาบุญอุทิศไปให้ตามประเพณีทางศาสนา อาบนา้ รว่ มกับพรรคพวกท่ที า่ น้าในเวลาเชา้ ส่วนหญิงสาว ซึง่ เพ่งิ กลายร่างจากชาย ขณะท่ีรถกาลงั จอดอย่ทู ใ่ี กลท้ ่านา้ ยังไมไ่ ด้ลง มาเปน็ หญงิ ไม่นานคนนี้ ได้ตดิ ตามไปกับพวก จากรถ เขาไดม้ องเหน็ ท่านพระมหากจั จายนะ คนขับเกวยี นหมู่หน่ึง ซ่ึงกาลังมงุ่ หน้าไปยงั ตัก ซง่ึ มีผิวพรรณผดุ ผ่อง รูปร่างหน้าตาสง่างามราว กสลิ านคร ตอ่ มาไดแ้ ตง่ งานกบั บตุ รชายของ กบั พระพุทธองค์ หากแตว่ ่าดูตา่ กวา่ เลก็ น้อย เศรษฐีเมอื งตักกสิลา อย่กู นิ ดว้ ยกันฉันทส์ ามี กาลังยืนห่มผา้ จวี รอยทู่ ่ีแหง่ หน่งึ ซง่ึ เตรียมตวั เข้า ภรรยาจนมลี กู ๒ คน รวมทง้ั ลกู อกี ๒ คน สมยั ไปบิณฑบาตในตัวเมอื งโสเรยยะ บุตรชาย ท่ีเป็นผชู้ ายในเมืองโสเรยยะ เศรษฐีทา่ นนี้ พอเห็นพระเถระเขา้ เท่านน้ั แหละ ในเวลาต่อมา เพ่อื นรักของนาง พาพรรค กต็ ะลงึ ในความสง่างาม จึงเกดิ ความคิดอกศุ ล พวกขบั เกวยี น ๕๐๐ เลม่ ออกจากเมืองโสเรยยะ ในใจกบั ทา่ นวา่ ม่งุ หนา้ ไปสู่เมืองตักกสิลา เพอ่ื ไปท่องเที่ยว “โอ ! พระเถระรปู น้ี รปู ร่างหนา้ ตา ทศั นาจร ขณะทพ่ี วกเขากาลงั ขบั เกวียนผ่านมา งดงามจริงๆ นา่ จะมาเป็นภรรยาของเรา ทางน้นั พอดีวันนนั้ นางกาลังเปิดหนา้ ต่างของ หรอื สผี วิ ภรรยาของเรา น่าจะเปน็ ปราสาทชนั้ บน มองเห็นเพื่อนรกั คนน้ีแล้ว จาได้ เหมอื นสีผวิ ของพระเถระรูปนี้” จึงใหค้ นใช้ไปเชญิ ตวั มาที่บ้าน แล้วเล้ยี งต้อนรบั เพยี งแค่คดิ อยูใ่ นใจเงียบๆ ทันใดนั้น อยา่ งหรูหรา บตุ รชายเศรษฐีซ่ึงเคยเป็นเพ่ือนรกั ภาวะความเปน็ ชายพร้อมทั้งอวยั วะเพศของ ของนางคนนี้ รู้สึกแปลกใจ จงึ ถามว่า “เธอไม่ รูจ้ ักฉันมากอ่ น แลว้ มาเลีย้ งตอ้ นรับอย่างหรูหรา ๘๙ ธ.ป. (แปล) ภาค ๒ เร่ืองพระโสเรยยเถระ ขนาดนี้ เพราะสาเหตุใดหรือ”

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๘๓ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ นาง ตอบวา่ “ฉันนัน้ รู้จักคุณดี เพราะ กอ่ น มีเช้าวนั หนง่ึ ขณะที่ตวั เขาและกระผมกาลงั คุณเป็นคนเมอื งโสไรยะและเคยเปน็ เพอ่ื นรักกัน” จะลงไปอาบนา้ ทที่ า่ นา้ เขามองเห็นทา่ นกาลงั แล้วยังถามถึงพ่อแม่ของตวั เองวา่ พวกท่านอยู่ ออกไปบณิ ฑบาตในตวั เมอื ง แลว้ ไดค้ ดิ อยากได้ สขุ สบายดหี รอื เปลา่ แล้วจงึ พดู เปดิ เผยความ พระคณุ เจา้ มาเปน็ ภรรยา และจากวิบากอกุศล จริงวา่ เธอ คอื บุตรชายของโสเรยยเศรษฐี มโนกรรมนั้น จึงกลายจากเพศชายมาเปน็ เพศ คนน้นั ที่หายตัวไป เพื่อนของนาง ก็ยังไมป่ ลง หญงิ ตงั้ แตว่ นั นั้น จนถึงวันนี้ นางไม่ไดม้ โี อกาส ใจเชื่อ เพราะจะเป็นคนเดยี วกันไปได้อยา่ งไร ใน ขอขมาโทษกับพระคุณเจา้ เลย แต่วันน้ี นับว่ามี เมอื่ เพ่อื นของเขาน้ันเป็นผู้ชายและมรี ูปรา่ ง บญุ ทีไ่ ด้เจอกับพระคุณเจ้า ขอให้ท่าน โปรดยก หน้าตาดี ส่วนเธอคนนเ้ี ป็นผู้หญิง เขาจึงซักถาม โทษให้นางด้วย ขอรับ” รายละเอียด นางจึงตัดสนิ ใจเล่าเรอ่ื งราวทง้ั หมด ทา่ นพระมหากจั จายนะ ผู้เป็นอรหันต์ ที่เกดิ ข้ึนวนั นน้ั ให้ฟงั อีกครง้ั แล้วเพอื่ นของนางก็ ขีณาสพ เปย่ี มดว้ ยเมตตา ไดก้ ล่าวว่า “อาตมา ถามวา่ “เธอ ได้ขอขมาโทษ พระคุณเจ้ารปู นนั้ ยกโทษใหน้ ะ อุบาสิกา” เพียงแค่พระเถระพดู แล้วหรือยงั ” นางตอบวา่ “ยงั ไม่มีโอกาสขอขมา อยา่ งน้ี ภาวะความเปน็ หญิงทั้งหมด ก็ โทษทา่ นเลย เพราะไม่ไดเ้ ห็นทา่ น” หายไป ภาวะความเปน็ เพศชายไดป้ รากฏ ช่างเป็นความโชคดีของนางแทๆ้ ที่พระ ข้นึ มาแทนอยา่ งนา่ อัศจรรย์ตอ่ สายตาของทกุ เถระจาพรรษาอยู่ที่เมอื งนพี้ อดี เขาจงึ พูดวา่ คนทกี่ าลังนง่ั อย่ทู นี่ ัน่ จากชายกลายเป็นหญิง “พรุ่งนี้ ฉันจะเปน็ ผ้ไู ปนมิ นตพ์ ระคณุ เจา้ มาให้ ส่วน และจากหญิงกลบั มาเปน็ ชายอีกในเวลาไม่ เธอทาอาหารไวถ้ วาย แล้วเตรยี มดอกไม้เพ่ือขอ นานมากนัก ทาให้เขาเกดิ ความสลดสงั เวชใจ ขมาโทษทา่ นด้วย” เมือ่ พระเถระมาถึงบา้ น นาง อยา่ งมาก จึงกล่าวลาเศรษฐีหนุ่มในฐานะทเ่ี คย ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่ทา่ น พอฉันเสรจ็ เปน็ สามมี าก่อน แล้วพดู ฝากฝงั เรอื่ งลูกทง้ั ๒ คน แล้ว เพอ่ื นรักของนาง จึงพานางมาขอขมาโทษ ไวก้ บั ผ้เู ปน็ บดิ า กลา่ วอาลาทุกคนเพ่ือออกบวช พระเถระ โดยกราบเรียนว่า “พระคณุ เจา้ ขอ แสวงหาโมกขธรรม แล้วจึงได้ตามพระเถระไป ทา่ น จงโปรดยกโทษให้กบั เพ่อื นหญิงของกระผม บวชทวี่ ดั โดยมีชอื่ ใหม่ว่า “โสเรยยภกิ ษุ” ต่อมาไม่นาน เมื่อทา่ นตั้งใจปฏิบตั ิธรรม ด้วยเถดิ ขอรบั ” พระเถระ สงสัยในคาพดู จงึ ถามว่า “แล้ว ตามคาสอนของพระศาสดาอยา่ งจริงจงั ก็ได้ สาเรจ็ เป็นพระอรหันต์ เป็นอรยิ สงฆส์ าวก และ จะใหอ้ าตมายกโทษเร่ืองอะไร อุบาสก” บตุ รชายเศรษฐีผทู้ เ่ี ป็นเพอื่ นรกั ของนาง จึง เปน็ เน้อื นาบญุ อันยอดเย่ียมของโลกอยา่ งแทจ้ ริง กราบเรยี นวา่ “เปน็ ระยะเวลาหลายปีมาแลว้ อุบาสกิ าคนน้ี เคยเปน็ เพื่อนชายของกระผมมา

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๘๔ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจ้า ขอ้ คิดและคติธรรม หาความจรงิ พระกมุ ารยอมรับว่า ตอ้ งการปลง ๑. เพียงแคค่ ดิ กผ็ ิดมหนั ต์ พระชนม์พระราชบดิ า พวกมหาอมาตย์ทลู ถาม คนสว่ นมาก เขา้ ใจเรื่องกรรมอย่างผิว วา่ “พระองค์ถูกใครยุยงสง่ เสรมิ ” อชาตศตั รู เผิน ไมล่ ะเอยี ดลึกซึง้ มักเขา้ ใจผิดวา่ การคิดไม่ กุมารตรสั ตอบวา่ “พระคณุ เจา้ เทวทตั ” มหา เป็นกรรม เพราะเปน็ เพยี งแคค่ ิดในใจ ยังไม่ อมาตย์บางพวกลงมติวา่ “ควรปลงพระชนม์ แสดงออกมาทางกายหรือวาจา แล้วจะเป็น พระกมุ าร ฆ่าพระเทวทตั และฆ่าภกิ ษุท้ังหมด” บาปกรรมได้อย่างไร จึงทาใหค้ นทง้ั หลายเกิด มหาอมาตยบ์ างพวกลงมตวิ า่ “ไม่ควรฆ่าภกิ ษุ ความผิดพลาดในเรอื่ งมโนกรรมโดยไม่รตู้ วั ทงั้ หลาย เพราะพวกภกิ ษไุ ม่มคี วามผดิ อะไร เชน่ คดิ ตาหนิ คดิ ลบหลู่ดหู มน่ิ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ควรปลงประชนม์พระกมุ ารและฆ่าพระเทวทัต หรือพวกนกั บวช เมอื่ เกิดอปุ สรรคความขดั ข้อง เท่าน้ัน” พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรฐั ตรสั ข้ึนในชวี ิต จึงแกป้ ญั หาไม่ได้ ไขปญั หาไม่หลดุ วินิจฉยั วา่ “ท่านทัง้ หลาย พระพทุ ธ พระ เกิดซา้ แล้วซ้าอีก เพราะแกก้ รรมไมถ่ ูกจุด คิดไม่ ธรรมหรือพระสงฆ์จะเกี่ยวอะไร พระผ้มู พี ระ ถึงว่า ปัญหาเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากมโนกรรม ภาครบั ส่งั ใหล้ งปกาสนยี กรรมในกรุงราชคฤห์แก่ เพราะฉะนัน้ เพียงแค่คดิ ตาหนิ คดิ จับผดิ พระเทวทตั โดยประกาศว่า ‘เมื่อก่อนพฤติกรรม คดิ เพ่งโทษคนอืน่ คดิ อยากให้คนอืน่ ถึงแก่ ของพระเทวทัตเป็นอยา่ งหน่งึ เวลานี้เปน็ อกี ความตาย แมเ้ พยี งแค่คดิ กถ็ อื วา่ เปน็ อย่างหน่งึ พระเทวทตั ประพฤติสิง่ ใดด้วยกาย บาปกรรมเรียบร้อยแล้วเหมือนกรณพี วกมหา วาจา ไมค่ วรเห็นวา่ พระพุทธ พระธรรม หรือ อมาตยบ์ างคนของพระเจ้าพมิ พิสารแห่งกรงุ ราช พระสงฆ์เปน็ อย่างน้ัน พงึ เห็นว่านั่นเป็นเรื่อง คฤหถ์ คดิ อกศุ ลกบั ภกิ ษผุ มู้ ศี ลี คอื คดิ จะฆ่า สว่ นตัวของพระเทวทตั กอ่ นแลว้ มใิ ชห่ รอื ” จงึ พระภกิ ษสุ งฆ์ผ้ไู ม่มคี วามผดิ เปน็ อรยิ สาวก และ รับสั่งใหถ้ อดยศพวกท่ีลงมติวา่ “ควรปลงพระ คิดฆา่ พระเทวทัต พรอ้ มทั้งอชาตศตั รูกุมาร ใน ชนม์พระกุมาร ฆา่ พระเทวทตั และฆา่ ภิกษุ ฐานะสมรูร้ ่วมคิด ยุงยงส่งเสริมใหพ้ ระราชกุมาร ท้งั หมด” ทรงลดตาแหนง่ พวกท่ีลงมตอิ ยา่ งน้ี คิดปลงพระชนมพ์ ระบิดา แลว้ ตั้งตนเป็น วา่ “ไม่ควรฆา่ ภกิ ษุทั้งหลาย เพราะพวกภกิ ษไุ ม่ พระราชา เนอ่ื งจากว่า วันหนึ่ง อชาตศตั รูกมุ าร มคี วามผิดอะไร ควรปลงพระชนม์พระกมุ ารและ ได้เหน็บกฤชแนบพระเพลา เสด็จเข้าไปใน ฆา่ พระเทวทัตเท่าน้นั ”๙๐ พระพุทธศาสนาสอนวา่ มโนกรรม พระราชวังอยา่ งเรง่ ร้อนช่วงเวลากลางวนั ดว้ ย ความลุกล้ีลุกลนเหมือนคนมพี ิรุธ พวกมหา สาคัญมากกวา่ วจกี รรมและกายกรรม อมาตยท์ ่ีเฝา้ ประตพู ระราชวังมองเหน็ ทรงมี โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ การคิดไม่ดกี ับผู้มีคณุ ธรรม อาการแปลกๆ จงึ ได้จับตวั เอาไว้ แลว้ ตรวจค้น ตัว พบกฤชเหนบ็ อยู่ท่ีพระเพลา จึงทูลถามเพอ่ื ๙๐ สงั .ข. (แปล) ๗/๑๘๕-๑๘๖ เรอื่ งอชาตศัตรูกุมาร

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๘๕ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอรยิ เจ้า สงู จะทาใหช้ ีวติ ตกตา่ ยา่ แย่ ผิดพลาดในเร่ือง นรกหลายแสนปี พน้ จากนรกแลว้ เมอื่ มาเกดิ สาคัญๆ และชีวติ หลงั ตาย เส่ยี งต่อการเกิดใน เปน็ มนุษย์ ยอ่ มเกิดเปน็ เพศหญิงอกี ประมาณ ๑๐๐ ชาติ สว่ นผู้หญิง คลายความพอใจใน อบายภูมอิ ย่างมาก ความเป็นหญงิ ตอ้ งการเป็นชาย หากหมัน่ ๒. ทุกอย่างเกดิ จากใจ(มโนมยา) ทาบุญ ใหท้ าน รกั ษาศลี แลว้ ต้ังความปรารถนา บตุ รชายเศรษฐีแหง่ โสเรยยนคร ได้คิด วา่ “ด้วยอานาจแหง่ บุญทขี่ ้าพเจ้าทาไวด้ แี ลว้ น้ี อยากได้พระอรหันต์มาเป็นภรรยา เพยี งแคเ่ ส้ียว จงเปน็ เหตปุ จั จัยให้ขา้ พเจ้าได้เกิดเปน็ ผู้ชายดว้ ย เถดิ ” หลงั จากสิน้ ชีวิตแล้ว เม่ือเกิดใหม่ จะเกดิ วนิ าทเี ท่านน้ั วิบากกรรมแห่งมโนทุจริต คดิ เป็นบรุ ุษ อกศุ ลสง่ ผลทันที ทาใหเ้ พศชายกลายเป็นเพศ หญงิ จนสามารถมีลกู ได้อีก ๒ คน แล้วกลบั ประเด็นเร่ืองผู้ชายกลายเป็นผู้หญงิ หรอื กลายมาเป็นผชู้ ายได้อีก ภายในชาติเดยี ว ถอื วา่ ผู้หญงิ กลายเป็นผูช้ ายนี้ อาจจะไมไ่ ด้เกิดจาก เป็นสงิ่ แปลกประหลาดมหศั จรรย์ ไม่นา่ เชื่อ แตก่ ็ อริยุปวาทกรรมเหมือนคุณชายทา่ นน้ีก็ได้ แต่ เป็นไปแล้ว เกิดจากวิบากกรรมอ่นื ๆ เพราะในพระวนิ ัยปฏิ ก ได้ กล่าวถึงภิกษกุ ลับเพศเป็นภกิ ษุณีหรือ การคดิ อยากใหค้ นอื่นเป็นผหู้ ญงิ ด้วย ภิกษุณีกลับเพศเปน็ ภิกษุ๙๑ ทั้งๆทไ่ี ม่ไดไ้ ปพูด ความรสู้ ึกรนุ แรงเข้มขน้ เมือ่ เจตนาสอ่ กรรม ก็ ล่วงเกินพระอรยิ เจา้ อะไรเลย เท่ากับวา่ ไดบ้ ่มเพาะเมล็ดพนั ธ์แุ ห่งความเป็น หญิงไว้แลว้ ในจติ ใต้สานกึ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ๓. เพยี งแค่เลอ่ื มใส คนทเี่ ขาคิดอยากใหเ้ ป็นนั้นไม่ใช่ภกิ ษุปุถุชนอกี ดว้ ย แตเ่ ปน็ พระอรหนั ต์ วบิ ากกรรมจงึ สง่ ผลให้ ในพระอรหนั ต์เป็นบุญอนันต์ ตลอดชวั่ ชวี ติ ของมัฏฐกุณฑลีลูกชาย เขากลายเปน็ หญิงไปทนั ที กรรมวบิ าก ช่อื ว่า โทนคนเดยี วของเศรษฐีข้ีตระหนี่ ไม่เคยทาบุญ เปน็ หนง่ึ ในอจินไตยทัง้ ๔ ประการ ทีค่ นธรรมดา ใหท้ านแม้สกั ครงั้ เดียว แตก่ อ่ นตาย มจี ิต สามญั ไมร่ ไู้ ม่เข้าใจวา่ มันทางานอยา่ งไร แต่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านัน้ หลงั จากตายแล้ว ไปเกิดเปน็ เทพบุตรในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ มนี าง พระพทุ ธเจา้ และพระอรยิ สาวกทั้งหลาย มีญาณ อัปสรเทพธิดา ๑,๐๐๐ เปน็ บรวิ าร๙๒ แมน้ าง หยงั่ รใู้ นเรื่องน้ดี ี จณั ฑาลีหญงิ แกท่ ่ีเกิดในวรรณะจัณฑาล เพราะ ในขณะท่เี วียนวา่ ยตายเกิดในสงั สารวฏั อันยาวนานนี้ ทางพุทธศาสนาสอนว่า ผ้ชู าย ที่ ไมเ่ คยเกิดเป็นผหู้ ญิง หรือผู้หญิงทไี่ ม่เคยเกดิ วิบากกรรมเกา่ จะทาให้ไปเกิดในนรก แต่ เป็นผู้ชาย ยอ่ มไมม่ ี เพราะผชู้ ายผดิ ศลี ข้อกาเม ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น หลงั ส้นิ ชีวิตแลว้ ไปเกดิ ใน ๙๑ วิ.มหา. (แปล) ๑/๖๔๓-๖๔๔ ๙๒ ขุ.ขทุ .(แปล) ๒๕/๒๔ เรื่องมัฏฐกุณฑลี

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๘๖ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ อานุภาพแห่งพุทธคุณที่นางได้มโี อกาสถวาย  จากเศษบาปกรรมทค่ี ยทาผิดในภรรยา บงั คมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ และยืนประคอง ของผู้อืน่ ในอดีตชาติ ทาให้เกดิ เป็นเพศหญงิ ได้ อัญชลบี ชู าแดพ่ ระองค์ด้วยความเล่ือมใสยิ่ง เหมอื นอดีตชาตขิ องพระอสิ ิทาสีเถรี และพระ หลงั จากนนั้ ไม่ก่ีนาที นางถกู วัวบา้ ชนตาย แลว้ อานนทเ์ ถระ ซ่งึ ได้เลา่ ไว้ในประวัตขิ องตนเอง ไปเกดิ ในสวรรค์ชน้ั ดาวดงึ ส์ มีนางฟา้ ๑ แสน วา่ เพราะไดป้ ระพฤติผดิ ในภรรยาผ้อู ื่นมา ทาให้ เปน็ บริวาร๙๓ ทัง้ ๆท่ีนางจะต้องไปเกิดในนรก เกดิ เปน็ ผหู้ ญิงหลายชาติ๙๕ อยู่แลว้ แต่เพราะการกราบไหว้ และเลือ่ มใสใน  เคยคิดอกศุ ลหรอื พูดตาหนิอรยิ สาวก พระพุทธเจ้า กเ็ ปลี่ยนจากนรก ไปเกดิ ในสคุ ติ ดังเช่น คณุ ชายโสเรยยะคนน้ี โลกสวรรคอ์ ย่างไมน่ ่าเชือ่ ผู้หญงิ คนนกี้ เ็ ช่นกัน จากพลังบญุ ที่นาง ๕.บาปกรรม ก็แก้ได้ ไดใ้ หท้ านแกพ่ ระอรหันต์และกล่าวคาขอขมา ถา้ มีกลั ยาณมติ รและคดิ เป็น โทษตอ่ พระเถระดว้ ยเคารพศรทั ธาเลอื่ มใส คนที่ทาผิดแลว้ ไมร่ จู้ ักการแก้ บาปกรรม อกศุ ลมโนกรรมทีเ่ คยสง่ ผล กห็ มดไป ทุกอยา่ ง ส่งผลยาวนาน แต่ถ้ามีกัลยาณมติ ร ให้ จึงกลบั มาสสู่ ภาพเดิม กลา่ วคอื จากหญิง ก็ คาปรึกษาชแี้ นะ เมอ่ื เจา้ ตวั สานึกผดิ คิดแก้ไข ก็ กลับมาเป็นชายเหมือนเดิมอยา่ งไมน่ า่ เชื่อ ยงั ไมส่ ายเกินไป เหมือนบุตรชายของโสเรยย เศรษฐี คดิ อยากได้ท่านพระมหากัจจายนะมา ๔.กรรมท่ที าให้เกิดเปน็ ผู้หญิง เปน็ ภรรยา ผลกรรมจากการคิดดหู ม่ินพระ ตามหลักคาสอนในพุทธศาสนา การเกดิ อรหนั ต์ อยากให้ท่านเป็นผู้หญงิ เป็นมโนกรรมท่ี เปน็ หญงิ หรอื ชาย เกิดจากวบิ ากกรรม ผลกรรม รนุ แรงมากถึงขนาดมผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลง ท่ที าใหเ้ กดิ เปน็ เพศหญงิ มดี งั น้ี สรีระรา่ งกายได้ช่ัวพริบตา เม่ือไดท้ าผิดตอ่ พระ  มคี วามปรารถนา หรือชอบในความ อริยเจ้าแล้ว อานาจบาปทเี่ ขม้ ข้นรุนแรง จงึ เป็นผู้หญงิ ทง้ั กายและใจ แล้วหม่ันทาบุญให้ ปกปิด ทาใหค้ ดิ ไม่ออก บอกใครไม่ได้ เมอื่ ทาน เคารพยาเกรงสามี ไม่เจา้ ชู้ และตง้ั จติ เพื่อ บาปกรรมเจอื จาง บุญเริม่ ส่งผล ทาให้เจอ ความเปน็ หญิง ก็จะได้เกิดเป็นผู้หญิงตลอดไป กัลยาณมติ ร และนาไปสู่การขอขมากรรม ผล เช่น พระนางประชาบดีโคตมี พระนาง แหง่ การขอขมาโทษ (ทากรรมดใี หม)่ ทาให้ พมิ พา หรอื นางภัททากาปิลานี เปน็ ต้น๙๔ วบิ ากกรรมท่เี คยคดิ ไม่ดีกบั ทา่ นนัน้ หยดุ การ ๙๓ ขุ.ว.ิ (แปล) ๒๖/๓๔ จัณฑาลวี มิ าน ๙๕ ข.ุ เถร.ี (แปล) ๒๖/๖๒๒-๖๒๕ ดู อสิ ิทาสเี ถรคี าถาและอรรถกถา ๙๔ องั .สัตตก.(แปล) ๒๓/๘๕-๘๗ สงั โยคสตู ร ขุ.ชา.(แปล) ๒๘/๓๖๓-๓๙๐ มหานารทกสั สปชาดกและอรรถกถา

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๘๗ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจา้ ส่งผล กลบั มาเป็นปกติ ได้อตั ภาพเหมอื นเดิม เหลา้ ยาเสพตดิ เจ้าชู้หรือหลงตดิ ในอบายมขุ และไมเ่ ปน็ อปุ สรรคในการบรรลมุ รรคผลนิพพาน การพนนั หากยงั ไม่เกิดขึ้นกบั เขา ก็มักจะได้ เพราะฉะนัน้ มโนกรรมฝา่ ยอกศุ ล คือ แฟน หรอื ลูกทม่ี ีพฤตกิ รรมเชน่ นั้น การคิดไม่ดกี ับพระอรหันต์ แกไ้ ด้ด้วยการสานกึ เพราะฉะน้ัน เพ่ือไมป่ ระมาท และพลาด ผดิ แล้วขอขมาโทษ ให้ท่านยกโทษให้ ทาผิด กอ็ ยา่ ได้คอยจับผิดคนอื่น แตม่ องใหเ้ ห็น เปน็ ธรรมะ ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ของคนที่ ๖.คิดไมเ่ ปน็ ได้บาปโดยไมจ่ าเป็น เขา้ ไปเกีย่ วขอ้ งในเหตกุ ารณน์ นั้ ๆ สาหรบั คนเมอื ง เม่อื เห็นพระไดอ้ าหาร บณิ ฑบาตรเยอะ หอบห้ิวพะรงุ พะรงั ก็อย่าเพง่ิ ๗. กรรมคดิ ไม่ดีกับพอ่ แม่ คิดจบั ผดิ มองในแง่ลบอยา่ งเดียว ตอ้ งมองลกึ บางครอบครัวมปี ัญหาเร่อื งพ่อหรือแม่ และกว้างไกล คิดในแงบ่ วกเอาไวก้ อ่ น เพราะ ชอบด่มื เหลา้ เจ้าชู้ เล่นอบายมุขการพนัน ไม่ ทา่ นอาจจะเอาไปเผอื่ ลูกศษิ ย์หรือคนยากจนก็ รู้จักรับผิดชอบตอ่ ครอบครวั ทะเลาะเบาะแวง้ ได้ หรือเห็นพระสบู บหุ รี่ เค้ียวหมาก สกั ลาย ตบตีกันให้ลกู เห็น ลูกบางคน ยังเป็นเด็ก ไม่ เป็นต้น ก็เช่นกัน แม้ในขณะท่ีพระแสดงธรรม เขา้ ใจพ่อแม่ แยกแยะถูกผิดไมเ่ ป็น บางครงั้ ก็ หรือสวดสาธยายพระปรติ ร อย่าไดค้ ิดจับผดิ เพง่ คิดตาหนิ คิดดหู ม่นิ คดิ จับผิดพ่อแมอ่ ยูใ่ น โทษ คิดลบหลู่ในธรรมะทีท่ า่ นนามาแสดงวา่ ใจ แม้จะไมไ่ ดแ้ สดงออกมาภายนอก ก็ถอื พูดอะไรไมร่ ู้เรอ่ื งหรือพดู นานเกนิ ไปเสยี จริง ว่า เปน็ บาปหนักเช่นกัน ทัง้ นเ้ี พราะพอ่ แม่ แลว้ พากันพดู กันเสยี งดงั โวกเวกโวยวาย ซง่ึ เปน็ ไมใ่ ชบ่ คุ คลทล่ี ูกจะมาคดิ ลว่ งเกินได้ แม้ทา่ นจะดี การไม่เคารพธรรม และทาใหค้ นอน่ื หนวกหู ฟัง เลวอยา่ งไร กเ็ ป็นเรื่องของผใู้ หญ่ ลูกไมเ่ กีย่ ว ธรรมไม่รเู้ รื่อง จะเปน็ บาปกรรมทาให้มปี ญั หา อยา่ งดีก่อนจะพดู กบั ท่านกข็ ออนุญาตกอ่ น เมอ่ื เรอ่ื งหู การฟงั เสียง ถูกคนอืน่ รบกวนเรื่องเสยี ง ทา่ นยงั ไม่ยอมรับฟัง ก็ไมค่ วรพูด ฉะนน้ั เราใน หรือปฏบิ ัตไิ ม่กา้ วหน้าได้ ฐานะท่เี ปน็ ลกู ไมม่ ีสทิ ธแิ์ มแ้ คค่ ิดไปตาหนิเพง่ แม้แตเ่ รือ่ งภายในครอบครัว เช่น ลกู เห็น โทษพ่อแม่ ผมู้ พี ระคุณสูงสุด โดยให้กาเนดิ และ พอ่ แม่ทะเลาะมีปากเสยี งกนั บางคนเข้าข้างแม่ เลีย้ งดู หากเพียงแค่คิด กจ็ ะมวี ิบากกรรมอยา่ ง คิดไม่ดีกับผู้เป็นพ่อ คดิ ตาหนิเรอื่ งอะไร กจ็ ะ หนักตดิ ตวั จะทาให้รักคนผดิ แตง่ งานกับคนผดิ เป็นบาปกรรมเกดิ ขึ้นกับเขาคนนน้ั ในเวลา ได้แฟนหรอื ลกู ที่ข้เี หลา้ เจ้าชู้ ตดิ อบายมุขการ ตอ่ มา เช่น คดิ ดหู มน่ิ วา่ พอ่ ขเี้ หลา้ เจา้ ชู้ ตดิ พนนั และโดนคนทรี่ กั ทาใหเ้ สยี ใจไปอกี นาน อบายมุขการพนนั ไม่รับผดิ ชอบต่อครอบครวั เมอื่ กรรมส่งผล จะทาใหล้ ูกคนนั้นเป็นคนตดิ

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๘๘ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ อรยิ ปุ วาท เรื่องท่ี ๑๐ เมื่อเขา ได้ฟังพระดารัสน้ันแล้ว คิดว่า “ตามธรรมดา พระดารสั ของพระสมณ โคดม มหาอามาตยพ์ ูดดูหม่นิ พระอรหันต์๙๖ ไม่เปน็ สอง(พูดไม่มีผดิ พลาด) เมือ่ เราได้ตายไปเกิด เปน็ ลงิ จะได้มีทเ่ี ทย่ี วหากิน” จึงใหค้ นไปปลกู พราหมณ์ ชอ่ื “วัสสการะ” ดารง ตน้ ไมน้ านาชนิดไวภ้ ายในวัดพระเวฬวุ ัน แล้ว ตาแหนง่ เป็นมหาอามาตย์ชั้นผใู้ หญ่แห่งแควน้ ใหด้ แู ลรกั ษาค้มุ ครองอย่างดี มคธ ในกรงุ ราชคฤห์ เป็นทปี่ รกึ ษาและไวว้ างใจ ในเวลาต่อมา วสั สการพราหมณ์ ไดถ้ งึ ของพระราชาและเปน็ คนเดยี วกันทพ่ี ระเจา้ แกอ่ สญั ญกรรม แล้วไปเกดิ เป็นลิงทว่ี ัดพระเวฬุ อชาตศตั รไู ด้สง่ ไปทูลเลยี บเคยี งถามพระพทุ ธ วนั จรงิ ๆดังท่ีพระพทุ ธองค์ได้พยากรณ์เอาไว้ องค์ ก่อนทจี่ ะยาตราทัพไปปราบแควน้ วชั ชี และ อย่างไมม่ ผี ดิ พลาด เวลาทค่ี นมาวดั เห็นลิงตัว พรอ้ มกันน้ี เขายังเป็นผมู้ หี น้าทด่ี ูแลรกั ษา นัน้ แล้วพดู ทกั ทายว่า “วัสสการพราหมณ์” ลงิ คุม้ ครองวัดพระเวฬวุ นั ซงึ่ เปน็ สถานท่ีรื่นรมย์ ตวั นน้ั ดูเหมอื นวา่ จะรู้ตวั และจาช่ือเก่าของ เงยี บสงบ ไมม่ ีเสียงอกึ ทึก ปราศจากการสญั จร ตัวเองได้เมื่อครั้งเปน็ มนุษย์ มนั จงึ มกั เดนิ มา ยนื ไปมาของผคู้ น เหมาะที่จะเป็นท่ีหลีกเรน้ ของ อยใู่ กลๆ้ อย่างค้นุ เคยแตกต่างจากลงิ ตัวอนื่ สมณะผู้ต้องการความสงบวิเวก ขอ้ คดิ ..คติธรรม วันหน่ึง วัสสการพราหมณ์ ได้มองเหน็ ทา่ นพระมหากัจจายนะ กาลังเดินลงจาก ๑. มีความรทู้ ว่ มหัว เอาตัวไมร่ อด เขาคิชฌกฏู ซ่งึ อยไู่ มห่ า่ งจากวดั เวฬวุ ันมากนัก แมร้ ้วู ่าเป็นอนั ตราย แตแ่ พใ้ จตวั เอง ได้พูดดหู มน่ิ วา่ “นน่ั อะไร ดูเหมอื นลิงจังเลย” วัสสการพราหมณ์ เป็นถงึ อามาตย์ชัน้ พระพทุ ธเจ้าไดส้ ดับเสยี งนัน้ ด้วยทิพยโสต จึง ผู้ใหญแ่ ห่งเมอื งราชคฤห์ทีพ่ ระเจ้าอชาตศตั รู ตรสั กบั ภกิ ษทุ ัง้ หลายวา่ “ถ้าวสั สการพราหมณ์ ส่งไปทาลายความสามคั คขี องพวกกษัตริย์ลจิ ฉวี ไปขอขมาโทษพระเถระเสีย บาปกรรมน้ัน ก็ แหง่ เมืองเวสาลจี นได้ชัยชนะ ถงึ จะเกง่ กาจ มี กลบั มาเปน็ ปกติ ไมเ่ ปน็ อันตรายต่อตนเอง แตถ่ า้ ความร้คู วามสามารถในเรอื่ งการเมือง การ ไมย่ อมขอขมาโทษ หลงั จากตายแลว้ เขาจะไปเกิด ปกครอง การบริหาร แตไ่ มฉ่ ลาดในเรอ่ื งกรรม และวิบากกรรม ท้ายที่สดุ ก็มาสะดดุ กรรม เปน็ ลิงในวัดพระเวฬวุ ัน” ของตัวเอง ดว้ ยความพล้งั ปากพูดดหู มน่ิ ภกิ ษุ ๙๖ ม.อุ (แปล)๑๔/๘๕-๙๕ โคปกโมคคลั ลานสูตร และอรรถกถา ซ่งึ ตวั เขาเองกไ็ ม่รวู้ ่าเปน็ พระปุถชุ นหรือเปน็  เป็นพระเถระองคเ์ ดียวกันทีบ่ ตุ รชายของโสเรยยเศรษฐีเคยคดิ อยาก พระอรยิ เจา้ แตค่ วามจรงิ พระภิกษุรปู นนั้ เป็น ได้มาเป็นภรรยา ทา่ นได้รับการยกยอ่ งจากพระศาสดาว่า เปน็ ผู้เลศิ พระอรหันต์ขีณาสพ คาพดู ดูหมิ่นน้นั จึงเป็น กว่าภกิ ษทุ ุกรปู ในการแสดงธรรมโดยยอ่ ให้พิศดาร

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๘๙ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจ้า อริยปุ วาทกรรม เมอ่ื กรรมนกี้ าลงั ส่งผล จะทา ๒. ถงึ มีกัลยาณมติ รชีน้ า ให้จติ ใจของเขามดื บอด เกิดความหลงผดิ คดิ แตไ่ ม่ทาตามเพราะทรามปัญญา ไม่ได้ ถงึ เขาจะไดฟ้ ังคาทีพ่ ระพุทธองคต์ รสั ย่งิ ไปกว่าน้นั วัสสการพราหมณ์เอง ก็ร้ดู ี พยากรณว์ ่า “ถา้ หากวสั สการะ ไมไ่ ปขอขมาโทษ วา่ “พระดารัสของพระพุทธเจ้า เปน็ หนงึ่ ไม่มี พระเถระ หลังจากตายแล้ว จะตอ้ งเกิดเป็นลิงทว่ี ัด สอง ไม่มีผิดพลาดตรัสไวอ้ ย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น แนน่ อน” แต่แลว้ เขากไ็ มค่ ดิ จะไปขอขมา เวฬวุ นั ” แมใ้ นยคุ ปัจจบุ นั ก็มีตวั อย่างบคุ คล โทษ ถ้าคิดตามวิสัยคนทั่วไป คอื กลวั เสียหนา้ ประเภทนอ้ี ยเู่ ชน่ กัน ซึง่ เขาเหลา่ นั้นมคี วามรู้ มี เสยี ศักดศิ์ รี เพราะเปน็ ถงึ ระดบั มหาอามาตย์ แต่ การศึกษาดรี ะดับปรญิ ญาตรี โท เอก ทง้ั ทีเ่ ป็น ตอ้ งมากราบขอขมาโทษพระธรรมดาซ่งึ ไมม่ ียศ นกั บวชและเปน็ ฆราวาส ทั้งทีเ่ ปน็ หมอหรือนาง ตาแหนง่ อะไร พยาบาล เมอื่ เคยคดิ หรอื พดู ตาหนดิ ่าว่า หากมองทางธรรม กเ็ ปน็ ผลมาจาก พระสงฆ์หรือพอ่ แม่ซง่ึ เป็นพระแทใ้ นบา้ น ใน อรยิ ปุ วาทกรรมที่เขาเคยทามากอ่ นหนา้ นี้ ส่งผล ฐานะผู้มีพระคุณสงู สุดดว้ ยการให้กาเนิดและ ทาให้สติปัญญาเลอะเลอื น ปฏภิ าณไหวพรบิ ไม่ เล้ยี งดู แลว้ ไม่ได้ขอขมาโทษ ต่อมาไม่นาน ก็มี เฉียบคม คิดลึกซ้ึงไม่ได้ หรือคิดไม่ถึงวา่ จะเป็น เหตุใหเ้ กดิ ปญั หาชีวิต ตดิ การพนัน ติดยาเสพติด จริงๆ แบบเชอื่ ครง่ึ และไมเ่ ชื่อครึ่ง เหมอื นกรณี ตดิ บหุ รี่เหล้า เจ้าชู้ แม้มีผู้หวังดีบอกให้เลิกหรือ เจา้ สุปปพุทธะศากยะ ไดผ้ ูกใจเจบ็ กับพระ หยุดพฤติกรรมนนั้ แต่กท็ าไมไ่ ด้ เพราะแพ้ใจตวั เอง พุทธองค์ไดเ้ หตุ ๒ ประการ คอื เสมอ หรอื เป็นโรคร้าย เช่น โรคเอดส์โรคมะเรง็ ๑. ทง้ิ พระธิดา คือพระนางพมิ พาออก หรือโรครา้ ยท่ีรกั ษายากและมีอาการเรอื้ รงั แม้ ผนวช ทาให้เปน็ หม้าย ไม่มีสวามี หมอ หรือ ผ้รู ไู้ ด้ตักเตือนว่า ห้ามรบั ประทาน ๒. ใหพ้ ระโอรส คือ พระเทวทัตบวชแล้ว อาหารทแี่ สลงกบั โรค ประเภทหวานๆ มันๆ ทาตัวเปน็ ศัตรู คเู่ วร แต่แล้วก็อดใจไมไ่ ด้ เผลอรับประทานเขา้ ไป จงึ คดิ กล่ันแกลง้ แสดงความเปน็ ผู้ สุดท้าย กม็ าจบชวี ิตในวยั ที่ไม่สมควร แม้มี ยงิ่ ใหญ่กวา่ โดยสง่ั ให้ปิดก้ันขวางทางจารกิ ความรดู้ ี เป็นเศรษฐี ร่ารวย แตช่ ่วยตัวเองไม่ได้ บิณฑบาตของพระพทุ ธองค์ แม้พวกราชบรุ ุษ ห้ามไว้อย่างไรก็ไม่เชือ่ ฟัง เพราะวบิ ากแห่งผกู อาฆาตต่อพระพทุ ธเจา้ ผู้ไมม่ ีความผิดในเรื่อง ดังกล่าวข้างต้น ปดิ ก้ันสตปิ ัญญา ทาให้จิต มดื บอด ไม่ร้ถู ูก-ผิด ดี-ชั่ว เห็นกงจกั รเป็น ดอกบัว และเพราะผลบาปทปี่ ดิ ทางเสด็จจาริก

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๙๐ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจา้ บิณฑบาตนี้ ถูกพยากรณ์วา่ ในวันที่ ๗ เจ้าสุปป ของพระองคผ์ ดิ พลาด แตส่ ดุ ท้าย ทุกอยา่ งก็ พุทธะจะถูกธรณสี ูบท่ีใต้เชงิ บันไดภายใต้ เปน็ ไปตามคาพทุ ธพยากรณท์ งั้ หมดทกุ ประการ ปราสาท เมื่อเจา้ สปุ ปพุทธะ ไดฟ้ งั คาพยากรณ์ เมอ่ื วัสสการะ พดู ดูหม่ินให้คนอ่ืนเปน็ ลงิ นแ้ี ล้วแมท้ รงรู้ดีวา่ พระดารสั ของพระพทุ ธเจ้า คอื เจตนาทใ่ี ห้คนอ่ืนเป็นลิง เจตนาเป็นกรรม ปลูก เปน็ หน่ึงไม่มสี อง แต่ก็ไม่อยากเช่ือว่าจะเป็น เมล็ดพันธุ์ไวอ้ ยา่ งไร ยอ่ มได้ผลอย่างนัน้ การอยาก เชน่ น้ันจรงิ ๆ เพราะพระองค์จะข้ึนไปบนปราสาท ใหค้ นอ่นื เปน็ ลิง จึงเท่ากับวา่ ใหต้ วั เองเปน็ ลงิ แลว้ แผ่นดินจะสบู ไดอ้ ย่างไร จงึ ตอ้ งการจับผิด ฉะนั้น ผลสะทอ้ นกลับ จึงทาใหต้ ัวเองเกิดเปน็ ลงิ พระพุทธองค์ ในทส่ี ุด เมื่อกรรมหนกั สง่ ผล จรงิ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พูดใหร้ ้ายกบั พระ เจ้าสปุ ปพุทธะก็ลมื ตวั เผลอสติ ลงมาชัน้ ล้าง อรหันต์ เมอื่ กรรมบังตา(ใจ) กม็ องไมเ่ ห็น พื้นดนิ เพ่ือจะมาจับม้ามงคลตวั โปรดซ่งึ กาลัง ทางออก จึงปล่อยเลยตามเลย พอถงึ วาระ ร้องส่งเสียงดงั สน่ันอยู่ แลว้ ถกู ธรณสี ูบทเ่ี ชิง สุดท้าย หลงั จากตายแล้ว เขาก็เกิดเป็นลงิ ท่ี บันไดภายใตป้ ราสาท ไปเกิดในอเวจีมหา บรเิ วณวัดเวฬุวนั จรงิ ๆ วัสสการพราหมณ์ เกิด นรกดงั ทีพ่ ุทธพยากรณ์๙๗ไวไ้ มผ่ ดิ เพ้ยี น และ มาแบบสว่าง แต่ไปมดื คือเอาตัวใจไม่รอด เหมือนพระสนุ กั ขตั ตลจิ ฉวี ผ้หู ลงผดิ คิดว่า ต้องไปเกิดในกาเนิดสตั ว์เดรจั ฉาน ซง่ึ ไม่รู้อีก นักบวชเปลอื ยโกรกั ขตั ติยะเปน็ พระอรหันต์ชัน้ ดี นานเทา่ ไหรจ่ ะได้กลบั มาเกดิ เป็นมนษุ ย์อกี ครง้ั แมน้ พระพทุ ธองคท์ รงหวังดี เตอื นใหไ้ ป ทัง้ ๆที่เขามพี ฤตกิ รรมเหมือนสุนัข คือคลานไปดว้ ย ขอ้ ศอกและเขา่ กินอาหารทีก่ องบนพนื้ ดนิ ดว้ ยปาก ขอขมาโทษกบั พระเถระ แตเ่ ม่ือเขาไม่ทาตาม พระพุทธองค์ทรงพยากรณว์ า่ อีก ๗ วัน เพราะทรามปัญญา ใครๆก็ชว่ ยไมไ่ ด้ เพราะ นักบวชคนน้ี จะตอ้ งตายด้วยโรคท้องอืด เพราะ พระอริยเจ้าท้งั หลาย เป็นแตเ่ พียงผู้บอก อาหารไมย่ อ่ ย แลว้ ไปเกดิ เป็นกาลกัญชิกาสรู เม่ือเข้าขา่ ยช่วยไมไ่ ด้ ต้องวางใจเปน็ กลาง ไม่ ซง่ึ ตา่ ต้อยกว่าหมูอ่ สูรทุกประเภท๙๘ แต่ภิกษรุ ูปนี้ เข้าไปแทรกแทรงกรรมของใคร เพราะว่า ดีไม่ดี ไม่เชื่อว่าจะเป็นจรงิ เพราะถูกอรยิ ุปวาทกรรมท่ี เขาจะคดิ รา้ ยตอ่ ทา่ นอกี ทอดหนง่ึ ก็เป็นได้ เป็น เคยพูดปรามาสพระองค์ไว้ก่อนหน้านี้ส่งผล จึง การเพมิ่ บาปใหห้ นกั กวา่ เดมิ โดยไมจ่ าเปน็ ไปบอกให้นักบวชเปลือยคนนน้ั รบั ประทาน เหตุการณ์นี้เคยเกดิ ข้ึนกับทา่ นพระสารี อาหารและด่ืมน้าแตพ่ อดี เพ่อื ใหค้ าพยากรณ์ บตุ รเชน่ กนั คือวา่ ครั้งหนึง่ ขณะที่พระเถระเข้า ไปบณิ ฑบาตในตวั เมอื ง ไดย้ นิ สุนกั ขัตตลิจฉวี พดู จาตเิ ตยี น กลา่ วตพู่ ระพุทธเจา้ ใหผ้ ูค้ นฟังใน ๙๗ ขุ.ธัมม.(แปล) ๒๕/๗๑, ธ.ป. ๕/๖๒-๖๖ เมอื งเมอื งเวสาลี ในทานองว่า พระพุทธองค์ ๙๘ ท.ี ปา.(แปล) ๑๑/๑-๓๔ ปาฎิกสูตร ทรงแสดงธรรมเอาตามความนกึ คดิ ไมไ่ ด้มี  ดูหน้า ๑๙

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๙๑ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจ้า ญาณพิเศษอะไรหรอก แต่พระเถระ ก็ไม่เขา้ ไป ในชีวติ และการปฏิบตั ธิ รรม จึงควรสารวมระวงั พดู คัดคา้ น เพราะความเมตตากรณุ า ถา้ หาก ปากไว้ให้มาก เพราะพูดมากปากจะทาให้ผิดศลี ท่านไปพดู คัดค้านแทรกแทรงขึน้ จะทาให้เขา โกรธ ไมพ่ อใจ เกดิ โทสะ แล้วผูกใจเจบ็ ย่ิงเพิ่ม เร่อื งนี้ น่าเชือ่ หรือไม่ จะเป็นไปไดห้ รือ บาปกรรมให้เขามากขนึ้ ไปอกี เพราะเพยี งแค่ เปล่า ก็ต้องประเมนิ กาลังสตปิ ัญญาความร้ขู อง พูดกลา่ วตู่พระพทุ ธองค์ ก็เป็นบาปหนกั อยู่ เราเองวา่ มีมากนอ้ ยแคไ่ หน แตถ่ ้าคิดว่า เกินภมู ิ แลว้ ย่ิงมาล่วงเกนิ พระเถระอีก กจ็ ะเป็น ปญั ญาของเราท่ีจะหยงั่ ร้ไู ด้ การที่เราจะปลงใจ บาปหนักกว่าเดิม ฉะน้ัน เพราะทา่ นมีญาณ เชื่อในเร่อื งแบบนี้ เพราะมีความศรทั ธาเช่ือมั่น หย่งั รู้ จงึ ตอ้ งปลงธรรมสงั เวช เพราะสตั ว์โลก ในพระพทุ ธเจา้ ผ้มู ีสพั พญั ญตุ ญาณ ก็ไม่ได้ ทั้งหลาย ยอ่ มเป็นไปตามกรรมที่ทาไว้ ไม่มใี คร เสยี หาย เพราะการสง่ ผลของกรรม(กรรมวบิ าก) เกง่ เกินกรรม เปน็ เรื่องสลบั ซบั ซ้อนเปน็ อจินไตย๙๙เกนิ กวา่ จะ คดิ ซุ่มเดาคาดคะเน เป็นวสิ ัยของพระอริยเจา้ ผู้ ๓. กรรมพูดลอ้ เล่น ได้ฌานอภญิ ญา พราหมณ์ท่านน้ี มองเห็นภิกษุเดินลง จากเขาแต่ไกล คงมองเห็นไมช่ ดั นกั และอาจจะ ๔.จติ สร้างรา่ งกาย ดูเหมือนลิงกาลงั ลงจากเขา ด้วยความคะนอง การที่มนุษยไ์ ปเกิดเป็นสัตว์หรอื สตั ว์ ปาก จึงพดู เลน่ ๆวา่ “ตัวอะไรน่นั ดูเหมอื นลิง กลบั มาเกดิ เปน็ มนุษยน์ ั้น เป็นส่ิงทเี่ ปน็ ไปได้ จังเลย” ซึง่ ไมน่ ่าเช่อื เลยวา่ เพียงพูดแคน่ ้ี ถอื วา่ เพราะจติ เป็นผู้สร้างร่างกาย เม่อื จติ ส่ังสมวิบาก เป็นอริยุปวาทไปเรียบรอ้ ยแลว้ และเปน็ กรรม กรรมอันใดไว้ ยอ่ มกอ่ ให้เกดิ ภพชาติ และสร้าง หนักมาก ถึงขนาดตอ้ งเกิดเปน็ ลิงจรงิ ๆ เพราะ อัตภาพไปตามคณุ สมบตั ขิ องจติ ตัวอย่างเช่น คนทพี่ ูดตาหนนิ ั้นเป็นถงึ พระอรหันต์ จึงส่งผล พระติสสะมรณภาพไปเกดิ เปน็ เลน็ ซึ่งเป็นสัตว์ รนุ แรงเป็นหลายล้านเท่า ตัวเลก็ มาก ประเภทเดียวกันกับ ไร เหา หรือเห็บ ฉะนัน้ เม่ือเราไม่รูว้ ่านกั บวชทา่ นใด มี ทจ่ี วี ร๑๐๐ พระนางอพุ พรีเทวมี เหสีของพระเจ้า คุณธรรมมากหรือนอ้ ย ก็ไมค่ วรปากพล่อยเผลอ อสั สกะ ทิวงคตแล้ว ไปเกดิ เปน็ หนอน๑๐๑ และ วิพากษ์วิจารณ์เข้าอย่างเมามันสนกุ ปาก เพราะ นางสุชาดา ภรรยาของมฆมานพ ตายไปเกดิ ดีไม่ดี ผู้ทีเ่ ราพดู ถงึ นนั้ ไม่ไดม้ คี วามผดิ จรงิ ผล เป็นนกกระยาง๑๐๒ เปน็ ตน้ ตามประวัตขิ องพระ กรรมก็จะรุนแรงเพิม่ เป็นทวี เพือ่ ความปลอดภยั ๙๙ อัง.จตกุ ก. (แปล) ๒๑/๑๒๒ ดู อจินเตยยสตู ร  ดู อรรถกถามหาสหี นาทสูตร ๑๐๐ ธ.ป.(แปล) ๗/๑๒-๑๖ เรอ่ื งพระตสิ สเถระ ๑๐๑ ขุ.ชา.(แปล) ๒๗/๙๔ อสั สกชาดกและอรรถกถา ๑๐๒ ธ.ป.(แปล) ภาค ๒ เรื่องท้าวสักกะ

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๙๒ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ โพธสิ ัตวใ์ นชาดกตา่ งๆ ลว้ นแล้วแต่เคยเกิดเป็น มจิ ฉาทฏิ ฐกิ ับเมล็ดพนั ธ์ท่ไี ม่ดี สตั วเ์ ดรัจฉานมาแล้วทง้ั สิน้ ตามประวตั ขิ องพวก พระสาวกทั้งหลาย ก็เคยเกิดเป็นสัตว์มาเชน่ กัน กายกรรม...วจีกรรม...มโนกรรมท่ถี ือปฏบิ ัติ แม้ในประเทศไทย ก็มกี รณีตัวอยา่ งทน่ี ่าเช่อื ถือ ใหบ้ รบิ รู ณ์ตามสมควรแก่ทฏิ ฐิ เจตนา ความ ได้เร่ืองหนึ่ง คือ นายพลเรือโทท่านหนง่ึ ตายไป ปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารทั้งหลายของ เกิดเป็นสุนขั ชอื่ “หตู ั้ง” เป็นสนุ ัขแสนรู้ท่ีคณุ มาลี บคุ คลผู้เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ สร้อยพิสุทธิ์ได้นามาเลยี้ ง ธรรมทงั้ หมดนน้ั ย่อมเป็นไปเพ่ือผลทีไ่ ม่นา่ เพราะฉะน้นั ชวี ติ หลังตายของคนทม่ี ี ปรารถนา ไม่นา่ ใคร่ ไม่นา่ พอใจ ไม่เกอ้ื กูล เปน็ ทุกข์ มิจฉาทิฏฐิ มีทางไป ๒ ประการ คอื เกดิ ในนรก ข้อนั้นเพราะเหตไุ ร เพราะความเห็นเลวทราม เปน็ สัตวน์ รก หรอื เกดิ เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉานใน เปรียบเหมือนเมลด็ สะเดา เมล็ดบวบขม หรือเมลด็ กาเนดิ เดรัจฉาน เพราะวบิ ากกรรมนาเกดิ จติ นา้ เตา้ ขมทีบ่ คุ คลเพาะไว้ในดินชุ่มช้นื รสดินและรส สร้างร่างกาย เมอ่ื ใจเศร้าหมอง ตอ้ งไปเกิดใน น้าท่ีมันดูดซับเอาไว้ทัง้ หมด ยอ่ มเป็นไปเพอื่ ความ ภพภูมติ ่าตามกรรมท่ีทาไว้ ส่วนตาแหน่งทางโลก เปน็ ของขม เผ็ดรอ้ น ไม่น่ายินดี ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ ร ซงึ่ เปน็ ของสมมติ เอาติดตวั ไปไม่ได้ แต่บญุ เพราะเมล็ดสะเดาเปน็ ตน้ นนั้ เลว ฉะน้ัน บาปเป็นของจริง เปน็ ของแท้ เปน็ มรดก กรรมของสรรพสัตว์ ที่สามารถนาตดิ ตวั ไปใน ภพหนา้ ได้ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒๐ อังคุตตรนิกาย เอกกนบิ าต เอกธมั มบาลี (มจร.แปล)หนา้ ๓๙  ดู “หูตงั้ หมาระลกึ ชาติ” โดย คณุ มาลี สรอ้ ยพิสทุ ธ์ิ

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๙๓ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอรยิ เจ้า ได้ทาให้วิชาจฬู คนั ธาระของปลิ นิ ทวัจฉะเสือ่ มลง อริยปุ วาท เรอ่ื งที่ ๑๑ เขารู้ไดท้ นั ทีวา่ ในเมืองนีจ้ ะต้องมีคนทรี่ วู้ ชิ า มหาคันธาระ จึงเริม่ สืบเสาะหาและทราบวา่ กรรมพูดคาหยาบกบั ทา่ นพระปิลนิ ทวัจฉะ ๑๐๓ พระพทุ ธองค์ มีวิชามหาคนั ธาระแนน่ อน จงึ กราบทลู ขอศกึ ษาวิชาน้ี แต่พระพุทธองค์ ตั้ง ทา่ นพระปิลินทวจั ฉะ ถอื กาเนิดใน เงอื่ นไขว่า จะถ่ายทอดแก่สมณศากยบตุ รเทา่ นน้ั ครอบครวั พราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี ช่ือเดิมของ เขา จึงยินยอม ทา่ น คอื ปิลินทะ สว่ นคาว่า วัจฉะ เปน็ ชื่อโคตร เมอื่ ปิลนิ ทวจั ฉะ บวชแล้ว ได้พยายาม ของทา่ น เพราะฉะน้ัน พวกญาติ จึงขนานนาม ศึกษาวิชากรรมฐาน ซงึ่ เขา้ ใจว่าเป็นวชิ ามหา วา่ ปิลินทวัจฉะ ต่อมา ทา่ นเกดิ ความเบอ่ื คนั ธาระ ต่อมาไมน่ าน กไ็ ด้สาเรจ็ เปน็ พระ หนา่ ยในชีวิตการครองเรือน จงึ ออกบวชเปน็ อรหันต์ผู้ทรงอภญิ ญา แมท้ ่าน จะบรรลธุ รรมขนั้ ปริพพาชก เท่ยี วเสาะแสวงหาสานักอาจารย์ สูงสุดแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่พูดกบั คฤหสั ถ์ หรือ เพื่อศึกษาศลิ ปวิทยาและได้มาศึกษาวิชาจฬู พูดกบั พวกภิกษุ มกั จะพูดคาตดิ ปากอย่เู สมอวา่ คนั ธาระ ในสานักของอาจารย์แหง่ หน่ึง จน ไอ้ถ่อย (วสละ) เช่นว่า มาน่ี ไอถ้ อ่ ย ไปซไิ อ้ สามารถแสดงฤทธ์แิ ละหยง่ั รูจ้ ติ ใจของผูอ้ ื่นได้ ถอ่ ย นาไปซไิ อ้ถ่อย หรือ ถอื เอาซิไอ้ถ่อย ทาให้มชี ่ือเสยี งปรากฏไปทวั่ กรุงสาวัตถบี ้านเกดิ พวกภกิ ษปุ ถุ ุชน พอได้ยนิ ทา่ นพูดอยา่ ง ของทา่ น แตว่ ิชานี้มีขอ้ จากัดอยวู่ ่า ถา้ เขา้ ไป นี้ ก็สงสยั ว่า ทพี่ ระศาสดาพยากรณว์ ่า ทา่ นเปน็ ภายในเขตแดนของผูม้ ที ่ีมวี ิชามหาคันธาระ พระอรหันต์นั้น คงไม่จริงละมั้ง เพราะพระอรยิ วิชาจูฬคันธาระนี้ ก็จะหมดพลงั เสื่อมถอย ไม่ สาวกไม่นา่ จะพูดคาหยาบ จึงนาเรอ่ื งนไี้ ปทูล สามารถแสดงฤทธิไ์ ด้ ถามวา่ “ธรรมดาพระอริยะย่อมไมก่ ลา่ วคาหยาบ ปิลินทวจั ฉปริพาชก ได้เทีย่ วแสดงวชิ านี้ มิใชห่ รือ แต่แล้วทาไม ท่านพระปลิ นิ ทวจั ฉะ จึงพดู แกผ่ ู้คนทั้งหลายไป ตามเมืองต่างๆ จนมาถงึ คาหยาบเลา่ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” เมอื งราชคฤห์ ชาวเมืองให้ความยอมรบั นบั ถือ พระพุทธองค์ ให้ตรัสเรียกพระเถระมา เปน็ จานวนมาก ในระหว่างนัน้ พระพุทธองคไ์ ด้ สอบถาม ทรงตรวจดูบรุ พกรรมของทา่ นดว้ ย ตรสั ร้แู ล้ว ทรงประกาศเผยแผ่หลักธรรมคาสอน พระญาณ จงึ ตรัสบอกวา่ “ภิกษทุ ้ังหลาย สาเหตุ ไปยังคามนิคมต่างๆ จนมาถงึ เมืองราชคฤห์ ทปี่ ิลินทวจั ฉะพูดเชน่ นัน้ เนอ่ื งจากความเคยชิน ทรงเหน็ อปุ นสิ ยั แหง่ มรรคผลนพิ พานของเขา จงึ (วาสนา)ท่ีติดตวั มาแต่ชาติปางกอ่ น เพราะเธอเกิด ในตระกูลพราหมณ์ ซ่งึ มักพดู คาวา่ “ไอ้ถ่อย” ๑๐๓ องั .เอกก.(แปล) ๒๐/๒๘ และอรรถกถา มาถงึ ๕๐๐ ชาติตดิ ต่อกัน ปลิ ินทวจั ฉะพูดคานี้

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๙๔ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจ้า ด้วยความเคยชินเทา่ น้นั แตไ่ ม่มีเจตนาหยาบ เมอื่ พระเถระเดนิ ผ่านไปสักครู่ อานาจ เพราะธรรมดา พระอริยะทงั้ หลายไมก่ ลา่ วผรสุ กรรมทโี่ กรธ พูดคาหยาบและคาไมจ่ รงิ กับ วาจา ข่มผอู้ ื่น” พระอรหันต์ บนั ดาลให้ดีปลีในถาดของเขา ตอ่ มาทกุ คนกไ็ ด้ทราบวา่ พระเถระมี กลายเปน็ ขี้หนูไปหมด เมอ่ื เขาไปถงึ ตลาด ก็ ความเคยชนิ พูดอย่างน้ีเอง แต่ไมม่ เี จตนาด่าว่า วางถาดดีปลลี ง เหน็ ดีปลีมลี ักษณะเปล่ยี นไปไม่ ผใู้ ดเปน็ เพยี งวาสนาเกา่ ท่ีตดิ ตวั มาจากชาติก่อน เหมือนเดมิ คิดสงสยั วา่ ดีปลีเหลา่ นี้ดเู หมือน วันหนงึ่ ขณะที่พระเถระเข้าไปบิณฑบาต ข้หี นู เพื่อพิสจู น์ว่า จริงตามที่ตามองเหน็ หรือ ในกรงุ ราชคฤห์ ได้พบชายคนหนึง่ เทินถาดดอก เปล่า จึงลองเอามือบดี้ ู เพียงเทา่ นี้ เขากต็ อ้ ง ดีปลีบนศรี ษะ กาลงั เดนิ ทางเข้าไปในตัวเมอื ง ตกใจที่ดีปลกี ลายเป็นข้หี นจู รงิ ๆ แล้วเกดิ เมือ่ ท่านเหน็ เขา้ จงึ ไดเ้ อ่ยถามไปวา่ “ไอถ้ ่อย ใน ความเสียใจอย่างยิง่ และยังนึกสงสัยไปอีกวา่ ถาดของแกมอี ะไรวะ” ชายคนนน้ั พอได้ยนิ คา เป็นขหี้ นูเฉพาะดปี ลีในถาดเทา่ นั้นหรือเปลา่ หยาบ จึงโกรธ ไม่พอใจ เนอื่ งจากไม่ร้วู ่าทา่ น หรอื ดีปลีในเกวยี นท่ีเกบ็ ไว้ ก็เปน็ ข้หี นูเหมือนกัน เป็นพระอรหนั ต์ จึงคดิ ตาหนใิ นใจวา่ “สมณะรูปนี้ จึงเดนิ ไปตรวจดู พบว่า “แม้ดปี ลีในเกวยี น พดู คาหยาบกบั เราตง้ั แตเ่ ช้าทเี ดยี ว เราก็น่าจะพดู กลายเปน็ ขหี้ นูไปท้ังหมดเหมอื นกัน” พอเขารู้ คาหยาบกบั สมณะรูปนต้ี อบเช่นกัน” เม่ือคดิ ดงั นี้ แลว้ ได้เกดิ ความเสยี ใจอย่างหนัก ถงึ ขนาดเข่า แลว้ จึงตอบประชดท่านไปวา่ “ในถาดของข้า ออ่ น มืดแปดดา้ น นกึ ทบทวนดูตามเหตุการณ์ กม็ ีแต่ขีห้ นูทัง้ นั้น” พระเถระพดู กบั เขาไปว่า แล้ว คดิ ว่า “สาเหตทุ ด่ี ีปลกี ลายเปน็ ขห้ี นูน้ี ตอ้ ง “เออวะ ไอถ้ อ่ ย กกู ค็ ิดวา่ มนั คงเป็นข้หี นูจริงๆนั่น เกิดจากเวทยม์ นตค์ าถาของพระภิกษุท่ีเราเจอตอน แหละ” เช้าแน่นอน เราจะต้องรีบเดินตามท่านใหเ้ จอ เพื่อ สอบถามหาความจริงเรื่องน้ี” วา่ แลว้ จงึ รีบออก เดินไปตามทางทีพ่ ระเถระเดินไป ในระหว่างทาง มีอุบาสกคนหน่ึงซึง่ รู้จัก กับพระเถระดี เจอเขากาลังเดินไปด้วยลักษณะ ทา่ ทางเคร่งเครยี ด จึงถามว่า “สหายเอย๋ ดู หนา้ ตาทา่ ทางทา่ นเครง่ เครียด จะรบี ร้อนไปไหนกนั หรือ” เขาจงึ เล่าเหตุการณ์ท่ีเกดิ ท้ังหมดให้ฟัง อย่างละเอียด อบุ าสกคนน้นั พอฟงั เสรจ็ กร็ ูว้ ่า เกดิ มาจากสาเหตุอะไร จึงพูดปลอบและบอกวิธี แกใ้ หเ้ ขาฟงั วา่ “สหายเอ๋ย ท่านไมต่ ้องเศรา้ โศก

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๙๕ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอริยเจ้า เสียใจไปหรอก ภกิ ษุรูปนนั้ เปน็ พระคณุ เจา้ ช่ือ สาเหตทุ ่ีทาใหด้ ีปลกี ลายเปน็ ข้ีหนูนนั้ มี ปิลนิ ทวัจฉะ ฉนั รู้จกั ดี ถา้ อยากให้ขีห้ นกู ลบั มาเป็น ความนา่ จะเปน็ ไปได้ ดงั นี้ คือ ๑.เพราะโกรธ ไม่พอใจ คิดตาหนิในใจ ดีปลเี หมือนเดิม ท่านจงถือถาดดีปลที ี่เป็นข้ีหนูเต็ม ๒. พดู โกหกพระอรหนั ต์ นนั้ ไปยืนขา้ งหนา้ พระเถระ เมื่อถกู ถาม “นั่นอะไร ๓.และพูดคาหยาบ ล่ะ ไอถ้ อ่ ย” จงตอบทา่ นว่า “ดีปลี ขอรับ” แลว้ เมื่อกระทาบาปอกุศลเหล่านี้กบั พระ ท่านก็จะพูดว่า คงเป็นอย่างนั้น ไอถ้ ่อย ขี้หนใู น ถาดและในเกวียนเหล่านั้น มันกจ็ ะกลบั กลายมา อรหันตผ์ ูม้ คี ณุ วิเศษ ยอ่ มสง่ ผลเรว็ พลัน เหมือน กรณบี ุตรชายของโสเรยยเศรษฐี เห็นท่านพระ เป็นดีปลีเหมือนเดมิ ” ชายเจ้าของดีปลี กไ็ ด้กระทาตามน้ัน มหากจั จายนะซึง่ รปู ร่างสงา่ งาม คิดอยากได้มา แล้วดปี ลีทเ่ี ป็นขหี้ นู กก็ ลับกลายมาเป็นดปี ลี เปน็ ภรรยา เพยี งแค่เส้ียวนาทีเทา่ นน้ั รา่ งกายท่ี เหมือนเดมิ ทกุ ประการ เป็นผูช้ ายกก็ ลับกลายเป็นผู้หญิงไปทันที เม่อื สานกึ ผดิ กลา่ วคาขอโทษ พระเถระยกโทษให้ ขอ้ คดิ และคติธรรม จากผู้หญิงกก็ ลับกลายมาเป็นผูช้ ายไดอ้ กี ครัง้ ๑.วาจาศกั ด์ิ หรอื อิทธฤิ ทธ์ิแห่งกรรม ถ้าหากรา่ งกายของมนุษยซ์ ง่ึ มบี ุญคุ้มครอง วิชาคนั ธาระทท่ี า่ นพระปิลินทวัจฉะได้ ยงั เปล่ียนได้ขนาดน้ี ดีปลซี ง่ึ เป็นแคผ่ ลไม้ จะ ศกึ ษาเล่าเรยี นมาสมยั ท่บี วชเป็นปริพพาชกนั้น กลายเป็นขห้ี นู และเปลี่ยนกลบั มาเป็นดปี ลอี ีก เป็นวชิ าท่ีฤๅษชี ่อื คนั ธาระเปน็ ผู้ผูกขนึ้ มา หรอื เหมอื นเดิม ก็มเี หตุผลเปน็ ไปได้เชน่ กัน แต่ไมไ่ ด้ เป็นวิชาท่ีเกิดข้นึ ในแคว้นคนั ธาระซง่ึ มีพวกฤๅษี หมายความว่าสาเหตทุ ีด่ ีปลีกลายเป็นข้หี นนู ้ัน ผู้สาเร็จฌานอภิญญามาพานกั อยู่เป็นจานวน เพราะพระเถระล้อเลน่ หรือแสดงฤทธเิ์ ลน่ กลให้ มาก เหมือนพวกนักวิทยาธรท้ังหลายในชาดก คนทึง่ พระเถระคงไมต่ ้องการใหใ้ ครมาเสยี่ งทา จัดอยูใ่ นประเภทโลกิยวิชา แม้พระพุทธองค์ก็ บาปอกุศลกบั ท่านเช่นน้ัน เคยตรัสถึงวชิ าคนั ธาระนแี้ ละวิชาจนิ ดามณีใน ฉะน้ัน การทีอ่ ัฐิธาตุของพระอรหนั ต์ เกวฏั ฏสูตร เช่นกัน ซึง่ ผู้สาเรจ็ วชิ าเหล่านี้ จะ กลายเป็นพระธาตุหรืออัญมณี เพราะทา่ นได้ แสดงฤทธไ์ิ ด้และรใู้ จคนอ่ืนได้ ดงั น้นั เม่อื ท่าน อธษิ ฐานจติ ไวใ้ ห้เปน็ ไปตามน้ัน แม้เรื่องดินท่ี เคยมพี นื้ ฐานเร่ืองอภิญญามาก่อน หลงั จาก บรเิ วณไถนากลายเปน็ ทองคา๑๐๔ ซึ่งบรรทุกได้ บรรลุธรรมเปน็ พระอรหนั ตแ์ ล้วไมต่ ้องพูดถึงวา่ ประมาณ ๑,๐๐๐ เล่มเกวยี น กองสงู ประมาณ จะเช่ยี วชาญชานาญเพียงใด ๘๐ ศอก เพราะผลบญุ ทนี่ ายปุณณะและ  ที.สี.(แปล) ๙/๒๑๔-๒๑๙ เกวฏั ฏสตู รและอรรถกถา ๑๐๔ ธ.ป. (แปล) ๖/๒๕๘-๒๗๑ เร่อื งอตุ ตราอบุ าสิกา

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๙๖ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ ภรรยาคนใชส้ ุมนเศรษฐีแห่งเมืองราชคฤห์ ได้ ๓.เจตนา ไมเ่ ป็นกรรม ถวายทานแด่ท่านพระสารบี ตุ รผู้พึง่ ออกจาก คนท่ีคนุ้ เคยธรรมะ มกั จะไดย้ ินพุทธพจน์ นิโรธสมาบตั ิใหมๆ่ เป็นต้น ก็ต้องเปน็ ไปได้ ท่ีว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เรากลา่ วเจตนาวา่ เป็นกรรม” เชน่ กนั แมใ้ นทางตรงกันข้าม ผลกรรมที่ด่าวา่ ตามหลกั อภธิ รรม เจตนาจัดเป็นสรรพจิตสาธารณ ตาหนิติเตยี นพระอรยิ ะหรือพ่อแม่ กท็ าให้เงิน เจตสกิ เกดิ ขึน้ ได้กบั จิตทุกดวง แตเ่ จตนาทเ่ี ป็น ทองกลายเปน็ ถา่ น ทาให้เซลล์ปกติกลายเป็น กรรมนน้ั ใชส้ าหรับคนท่ียงั มกี เิ ลสอยเู่ ทา่ น้นั แต่ เซลล์ร้าย เซลล์มะเร็ง หรอื เลือดปกตกิ ลายเป็น ผ้หู มดกเิ ลสแลว้ เชน่ พระอรหันต์ แม้มเี จตนา พิษได้เชน่ กัน ในการกระทานั้นๆ แตไ่ มเ่ ป็นกรรม คือ ไม่ เป็นทั้งบุญและเปน็ บาป เปน็ เพียงสักแตว่ า่ การ ๒.ปากร้าย แตว่ ่าใจดี กระทาเท่านั้น และไมม่ ผี ลสะท้อนกลบั ให้ทา่ นดี แมท้ ่านพระปลิ นิ ทวัจฉะ จะพดู คาหยาบ ขึ้นหรือเลวลง ไม่เพราะหูเหมอื นเปน็ การดถู ูกหรือไม่ให้เกียรติ การทีท่ ่านพระปลิ นิ ทวจั ฉะ พูดคาหยาบ คนอนื่ กต็ าม แตใ่ นใจทา่ น ไม่ไดม้ เี จตนาเชน่ น้ัน กลา่ วคาไม่สุภาพกบั คนทว่ั ไป หากผู้พดู เป็น เพราะทา่ นละกิเลสไดห้ มดสน้ิ แล้ว แตเ่ ป็นเพยี ง ปุถุชนกจ็ ะกลายเป็นคาดูถกู เหยยี ดหยามคนอนื่ คาพดู ตดิ ปากที่ตดิ ใจท่านมาจากอดีตชาติซึ่งละ แตเ่ มอื่ ผู้พูดเป็นพระอรหันต์ กไ็ มเ่ ป็นกรรม ไดย้ าก เพราะทามาจนเคยชนิ ต้งั ๕๐๐ ชาติ เพราะหมดกเิ ลสแล้ว เป็นเพยี งวาสนาความเคย ตดิ ตอ่ กัน ซ่งึ พระท่านเรยี กว่า “วาสนา” แม้พระ ชนิ ที่ติดตัวมาเทา่ น้นั อรหนั ตก์ ล็ ะไมไ่ ด้ เพราะฉะน้นั คาพูดของทา่ น แมเ้ ป็นคาหยาบ เป็นผรุสวาจา แต่ใจทา่ นไม่ หยาบ จงึ ไมเ่ ปน็ บาปกรรมเพราะการพูด เชน่ น้ัน เขา้ สานวนทว่ี า่ “ปากร้าย แต่ใจดี” ซึ่ง ยงั ดกี ว่าปากปราศยั น้าใจเชือดคอ เพราะท่าน ได้รบั ยกยอ่ งว่าเปน็ เลศิ ในฐานะเปน็ ท่ีรักใคร่ของ เทวดาทั้งหลาย ดอกดีปลี – เปน็ สมุนไพร ฤทธิ์รอ้ น สรรพคุณ แกอ้ าการคลนื่ ไสอ้ าเจยี น แก้จุกเสยี ดแน่นท้อง ขับลมในลาไสใ้ ห้ผายและเรอ แกห้ ดื ไอ แกร้ ิดสดี วง แก้ลม วิงเวยี น แกเ้ สมหะ น้าลายเหนียว แกท้ ้องเสีย แก้อัมพาต บารงุ ธาตุ  ป.ธ. (แปล) ๔/๒๑๖-๒๒๒ เร่ืองนางกสี าโคตมี

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๙๗ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจ้า ว่าอยา่ งไร ทา่ นเคยถกู นาเขา้ ไปเปรยี บในหมภู่ กิ ษุ อรยิ ุปวาท เรื่องท่ี ๑๒ เฉพาะพระพักตร์พระผมู้ พี ระภาคบ้างหรือวา่ ‘ภิกษุ ทงั้ หลาย เราสงัดจากกามและจากอกุศลธรรม ตสิ สาภิกษณุ ีพูดดหู มิ่นท่านพระมหากัสสปะ๑๐๕ ทง้ั หลายแลว้ บรรลปุ ฐมฌาน ท่ีมีวติ กวิจาร ปตี ิ และสขุ อันเกิดจากวเิ วกอยู่ได้ตราบเทา่ ที่เรา ขณะทท่ี า่ นพระมหากัสสปะพานกั อยู่ ตอ้ งการ แม้อานนท์ ก็สงัดจากกามและจากอกุศล ณ พระเชตวนาราม ธรรมสถานทอี่ นาถบณิ ฑกิ ธรรมท้งั หลาย บรรลุปฐมฌาน ทม่ี วี ติ กวิจาร ปีติ เศรษฐีสรา้ งถวาย ในเขตกรงุ สาวตั ถี เช้าวนั หน่งึ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ไดต้ ราบเทา่ ทเี่ ธอ ท่านพระอานนท์ ได้ชวนพระเถระเพื่อไปให้ ต้องการ” โอวาทแก่พวกภกิ ษณุ ีดว้ ยกนั หลังจากให้ ทา่ นพระอานนท์ เรียนวา่ “ไมข่ อรบั ” พระ โอวาทเสร็จเรยี บรอ้ ยแล้ว ท่านพระมหากัสสปะ เถระพูดตอ่ ไปวา่ “ทา่ นอานนท์ ผมเองถกู นาเขา้ จงึ ลุกจากอาสนะไป ไปเปรยี บในหมภู่ ิกษเุ ฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผู้มีพระ ตอนนน้ั ภกิ ษุณี ชอ่ื ถุลลตสิ สาไม่พอใจ ภาควา่ ‘ภกิ ษุทงั้ หลาย เราสงดั จากกามและจาก ท่ีพระเถระมาให้โอวาทภิกษณุ ีต่อหนา้ ทา่ นพระ อกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลุปฐมฌาน ทีม่ ีวติ กวิจาร อานนท์ จงึ พูดตาหนิออกไปวา่ ‘เพราะเหตไุ รเล่า ปีตแิ ละสขุ อันเกดิ จากวิเวกอยู่ไดต้ ราบเท่าท่เี รา พระคณุ เจา้ มหากัสสปะ จึงกล่าวสอนธรรมต่อหน้า ตอ้ งการ แม้กัสสปะกส็ งัดจากกามและจากอกศุ ล พระอานนท์ผูเ้ ปน็ เจา้ ผเู้ ป็นมุนปี ราดเปรื่อง เปรียบ ธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อย่ไู ด้ตราบ เหมอื นพอ่ ค้าเข็ม เอาเข็มมาขายในร้านของนาย เท่าที่เธอต้องการ’ ท่านอานนท์ ทา่ นจะเข้าใจความข้อน้ัน ชา่ งเข็ม ฉะนน้ั ’ พระเถระไดย้ ินเช่นน้นั จงึ พูดกบั ท่านพระ วา่ อยา่ งไร ทา่ นถกู นาเขา้ ไปเปรยี บในหมภู่ กิ ษุ อานนท์วา่ เราเปน็ พ่อคา้ เข็ม หรือ ท่านเปน็ ชา่ ง เฉพาะพระพักตร์พระผู้มพี ระภาคบา้ งหรือว่า เขม็ หรอื วา่ เราเปน็ ช่างเข็ม ท่านเปน็ พ่อคา้ เข็มกัน ‘ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราทาให้แจง้ เจโตวมิ ุตติ ปญั ญา แน่ ท่านพระอานนท์ เรียนวา่ ภกิ ษณุ ีรปู นี้ เปน็ วมิ ตุ ติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ิน คนเขลาเบาปญั ญา ไม่รจู้ ักกาลเทศะ อยา่ ได้ถือสา ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยิ่งเอง เข้าถงึ อยใู่ นปัจจบุ ัน แม้ เลย ขอรับ ทา่ นพระมหากสั สปะ จึงพูดเตอื นสติ อานนท์ก็ทาให้แจง้ เจโตวิมุตติ ปญั ญาวิมตุ ตอิ ันหา วา่ “หยุดเถิด ท่านอานนท์ หมขู่ องทา่ นอย่าดว่ น อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสิ้นไป ด้วย สรุปเกนิ ไปนกั ท่านอานนท์ ท่านจะเข้าใจเรื่องนั้น ปญั ญาอันยิ่งเอง เขา้ ถึงอย่ใู นปจั จุบันเช่นกนั ” ทา่ นพระอานนท์ เรยี นว่า “ไม่ขอรับ” ๑๐๕ สัง.นิ.(แปล) ๑๖/๒๕๓-๒๕๔ อปุ สั สยสตู รและอรรถกถา พระเถระ จงึ กล่าวตอ่ ไปว่า “ท่านผมู้ ีอายุ ผมเอง

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๙๘ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจ้า ถูกนาเขา้ ไปเปรยี บในหมภู่ ิกษุเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระ ข้อคดิ ...คตธิ รรมในเรื่องนี้ ผู้มพี ระภาควา่ ‘ภิกษุท้ังหลาย เราทาใหแ้ จ้งเจโต วมิ ุตติ ปัญญาวิมตุ ติอนั หาอาสวะมิได้เพราะอาสวะ ๑. ศรทั ธาขาดปญั ญากต็ าบอด ทงั้ หลายส้ินไป ด้วยปญั ญาอันย่งิ เอง เข้าถึงอยใู่ น ภิกษุณีอ้วน ชื่อติสสารูปนี้ ยังเปน็ ปุถชุ น ปจั จบุ นั แม้กสั สปะกท็ าให้แจง้ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญา คงมคี วามศรทั ธาเลือ่ มใสในตัวท่านพระอานนท์ วิมตุ ตอิ นั หาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายส้ิน อยา่ งมาก ตามธรรมดา ปถุ ชุ น เมือ่ เห็นคนอ่ืนวา่ ไป ด้วยปญั ญาอันยง่ิ เอง เข้าถงึ อยู่ในปัจจุบันได้ กลา่ วตาหนิคนทตี่ วั เองรัก ศรัทธาเล่ือมใส กต็ อ้ ง เชน่ กนั ท่านอานนท์ ผูใ้ ดสาคัญผมว่า ควรปกปดิ ไมพ่ อใจและอยากปกป้อง และภกิ ษุณีรูปนี้ คง ได้ดว้ ยอภญิ ญา ๖ ผู้นน้ั ก็ควรสาคัญชา้ ง ๗ ศอก ไมร่ วู้ า่ ท่านพระอานนท์นัน้ เป็นเพียงแค่พระ หรอื ๗ ศอกครง่ึ วา่ จะพึงปกปดิ ไดด้ ้วยใบตาล” โสดาบนั คณุ ธรรมยงั หา่ งไกลกันอย่างมากกบั ท่านพระมหากสั สปะซงึ่ เปน็ พระอรหันต์ ผู้มี คณุ ธรรมคล้ายกับพระศาสดา และเธอคงจะได้ ฟังธรรมจากพระอานนทเ์ ป็นสว่ นใหญ่ แต่วันนมี้ ี พระเถระรูปอ่ืนมาสอนธรรมตอ่ หนา้ พระทต่ี ัวเอง ศรัทธา คงนกึ ม่นั ไสว้ ่า “ทา่ นรูปนเี้ ป็นใคร เกง่ มาจากไหน ถือดีอย่างไร ถึงกล้ามาพูดอวดดีขม่ พระของฉนั ได้และคงคิดวา่ ท่านพระอานนทค์ งรู้ ธรรมะดีกวา่ ท่านพระมหากัสสปะแนน่ อน” เมอื่ มนั่ ใจเชน่ น้ี จึงพูดออกไปอยา่ งน้ัน คาพดู น้ี ถือ วา่ เป็นอรยิ ปุ วาทกรรมเรียบรอ้ ยแลว้ แมเ้ ธอ จะรตู้ ัวหรอื ไม่กต็ าม ถอื ว่า เป็นกรรมหนกั ยากท่ี จะแก้ไข ซ่ึงเป็นเหตุให้ภิกษณุ ีรปู นี้ มอี นั เป็นไป ขณะทที่ า่ นพระมหากัสสปะกาลงั บนั ลอื คือ อยู่ในเพศบรรพชิตต่อไปไม่ได้ สหี นาทอยู่นั้น ผา้ จีวรที่ติสสาภกิ ษณุ ีนงุ่ ห่ม ก็ เร่ิมระคายเคอื งผิวเหมอื นถูกหนามทม่ิ ตา เพราะ ๒. ชวี ติ ลาเคญ็ เพราะใจลาเอยี ง พูดเสียดสเี หน็บแนมพระอรยิ สาวก ผมู้ ีคณุ ธรรม เมอื่ ชื่นชอบใคร ยอ่ มอดไมไ่ ดท้ จ่ี ะคิด คล้ายคลงึ กบั พระศาสดา ดว้ ยความไมพ่ อใจ แต่ เข้าข้างบุคคลน้นั ดว้ ยความลาเอยี ง แต่ในกรณีนี้ พอเปลอื้ งผา้ จวี รออกตวั แล้ว น่งุ ห่มผา้ แบบ ตสิ สาภิกษณุ ี เกดิ ความลาเอยี งผดิ คน ผิด คฤหัสถ์ อาการนนั้ กห็ ายไป เวลา ไม่ดตู ามา้ ตาเรือ ไม่ดูว่าใครเป็นใคร ไม่

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๙๙ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจา้ พิจารณาให้รอบคอบ เผลอสติ ปากกล้า พูดจา เข็มมาขายใหก้ บั ชา่ งเข็ม เหมอื นเอามะพรา้ ว ส่งเดช พูดออกไปแบบไม่คดิ ชวี ติ จึงผดิ พลาด ห้าวไปขายสวน ถึงแมว้ า่ พระเถระจะไม่โกรธ อย่างแกไ้ ขไมไ่ ด้ เพราะความปากพลอ่ ย ถา้ พดู และไมถ่ อื สา แต่ต้องบรรลอื สหี นาทเช่นนั้นเพ่อื เหนบ็ แนมภกิ ษปุ ถุ ชุ น ก็คงไม่เป็นบาปกรรมมาก ปอ้ งกนั คนอืน่ เข้าใจผิดในตัวท่าน และไมอ่ ยาก แต่หากทากับพระอรหนั ต์ ย่อมเป็นกรรมหนกั ใหใ้ ครทาบาปกรรมเหมือนกับติสสาภกิ ษุณีรปู น้ี และสง่ ผลทันตา เปน็ การทาลายบุญ ขุดโค่น ความดีของตวั เองใหห้ มดไป ทาให้เสอ่ื มจากศีล ๔. การเข้าใกล้พระอรหนั ต์ สมาธแิ ละปัญญา เสื่อมจากมรรคผลนพิ พาน ของพาลชนเหมอื นเขา้ ใกลง้ ูพษิ เมื่อบุญบวชหมดแล้ว ก็ไม่สามารถประพฤติ การทาบญุ กับพระอรหนั ต์กเ็ กิดบญุ เอนก พรหมจรรยใ์ นเพศบรรพชิตไดอ้ ีกต่อไป อนนั ต์ เห็นผลทนั ตา แต่หากทาผิดต่อท่าน ก็ เป็นบาปมหนั ต์ มอี นั เป็นไปทนั ตาเช่นกัน ฉะนั้น ๓. อรหันต์ ปถุ ุชนรู้ได้ยาก เพือ่ อนุเคราะห์คนพาล ไมใ่ หไ้ ปเกดิ ในอบายภมู ิ โดยปกติ ปุถชุ นคนกเิ ลสหนาปัญญา พระอรยิ เจ้าท้ังหลาย จึงไม่อวดคณุ วเิ ศษท่ีตัวมี หยาบ ไมม่ ีทางรวู้ า่ ใครเปน็ พระอรหันต์ เว้น เพราะหากมีใครคดิ ร้ายต่อทา่ น ยอ่ มไม่เป็นผลดี เพยี งแตผ่ ้ทู ่เี ป็นพระอรหันตด์ ว้ ยกันเท่านัน้ หรือผู้ ต่อเขาผนู้ ัน้ แน่นอน แต่สาหรบั บุคคลผทู้ ่เี ป็น ทม่ี ีเจโตปริยญาณ แม้พระพทุ ธองค์ ตรัสรับรอง มิจฉาทิฏฐมิ ีจติ มืดบอด ยอ่ มไมอ่ ยากพบ อยาก วา่ “ทา่ นรูปนี้เปน็ พระอรหันต์” วสิ ัยของปถุ ุชน ก็ เจอพระอรยิ เจ้า แม้หากเจอก็ไม่เลื่อมใส อาจจะ ยากท่จี ะเช่อื ม่ันจรงิ ๆ เพราะพระอรหันต์เอง คิดตาหนใิ นใจ พูดจาเหนบ็ แนมเสียดสีกเ็ ปน็ ได้ อาจจะมคี าพดู อากัปกิริยาหรอื บคุ คลกิ ลกั ษณะ สุดทา้ ย คนพาล สันดานบาป ก็มอี ันเปน็ ไป บางอย่างทฟ่ี ังแล้วไม่เพราะหู หรือที่ดแู ลว้ ไม่น่า เพราะปากพลอ่ ย ด้อยปัญญา ศรัทธาเล่อื มใส เชน่ คาพูดติดปากของทา่ น พระปิลนิ ทวจั ฉะ หรือ อาการเดนิ เรว็ ของท่าน ๕. ติผ้คู วรเสริญสรรเปน็ กรรมหนกั พระสารีบตุ ร เป็นต้น ซง่ึ เป็นทรี่ กู้ ันว่า พระ พระอริยสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาค อรหนั ตท์ ้งั หลาย แมล้ ะกเิ ลสได้ แตล่ ะ เจ้าท้งั คฤหัสถแ์ ละบรรพชิต เป็นผ้คู วรแกก่ าร วาสนาไมไ่ ด้ สรรเสริญอยา่ งเดยี ว ไมค่ วรแก่การตาหนิ ตเิ ตยี น ภกิ ษณุ ีติสสา คงดูทา่ นพระมหากสั สปะ แตเ่ พราะความหลงผิด โง่เขลาเบาปญั ญา ขาด ไมอ่ อกวา่ ท่านเป็นพระอรหนั ต์ จงึ คดิ วา่ พระ การพิจารณาให้รอบคอบ ทาให้ติสสาภกิ ษณุ ี เถระกลา้ มาพูดถอื ดยี ังไงกบั ทา่ นพระอานนท์ผู้ เผลอปาก พูดจาเสียดสีเหน็บแนมลดคณุ ธรรม ปราดเปร่อื งเรืองปัญญาของเรา เหมอื นกบั เอา อันสูงสง่ ของพระเถระวา่ เป็นเพยี งแค่พอ่ ค้า

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๐ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจ้า เขม็ ทงั้ ๆความจรงิ พระเถระเป็นช่างเขม็ สาหรับตสิ สาภกิ ษณุ ี ไม่ไดส้ ึกเพราะ การพูดของภกิ ษณุ ีรูปน้ี จงึ เป็นอริยุปวาท สาเหตเุ หลา่ น้ี แต่ตอ้ งสกึ เพราะอริยปุ วาทกรรม จัดเปน็ บาปหนกั ส่งผลทันตา คอื ไมส่ ามารถอยู่ ส่งผลอย่างรนุ แรง จนหมดบญุ ในผา้ เหลอื ง ในเพศบรรพชติ ซงึ่ เปน็ อุดมเพศ อีกต่อไปได้ ต้องสกึ เป็นคฤหสั ถ์สถานเดยี ว เพราะไปพูดลด ๖.กรรมพูดดูหมนิ่ คนอ่ืน คา่ ให้คนอน่ื ต่าลง ตัวเองกต็ อ้ งมาตกต่า แม้ทา่ น คนทั่วไปมกั จะตัดสนิ คนอื่นว่าดี-ชัว่ ถูก- พระมหากสั สปะจะร้ดู ีวา่ ถา้ มาขอโทษท่าน ผิด ฉลาด-โง่ โดยการเปรียบเทียบจากคณุ สมบตั ิ กรรมนั้น ก็จะกลับเปน็ ปกติ ไม่มโี ทษ แต่ ท่ีเห็นจากภายนอก แบบฉาบฉวยผวิ เผิน และ ธรรมดาของพระอริยเจา้ ท้ังหลาย ยอ่ มไม่แนะนา แฝงดว้ ยอคตลิ าเอียง แต่ไมไ่ ด้ดูจากคุณสมบตั ิ คนอนื่ ใหม้ าขอโทษตัวเอง ภายในซึง่ เห็นไดย้ าก เนือ่ งจากไมม่ ญี าณหยั่งรู้ ผา้ กาสาวพสั ตร์ ซ่งึ ไดช้ อื่ ว่าเปน็ ธงชัย ฉะนั้น เม่อื รไู้ ม่จรงิ แต่ชอบการเปรียบเทยี บ ของพระอรหนั ต์เหมาะสมกบั ผทู้ ม่ี ีจิตใจ ซึ่งมีสว่ นถูกบ้าง ผิดบ้าง ทาให้เกิดความ ประเสริฐเทา่ น้ัน เมือ่ ผูน้ ้ันหมดบญุ กุศลค้มุ ครอง ผดิ พลาดได้ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ผทู้ ี่ชอบ ท่จี ะอยใู่ นเพศนกั บวชต่อไป ยอ่ มไมส่ ามารถจะ เปรียบเทยี บคุณสมบตั ิของพระอริยบุคคล นงุ่ ห่มได้เหมอื นเดิม ทาใหม้ ีความร้สู ึกรุ้มร้อน วา่ ท่านรปู นน้ั มีคุณวเิ ศษดกี ว่าทา่ นรูปโน้น หยาบกระด้างเหมือนมีเข็มทม่ิ แทง แตพ่ อนุ่งหม่ หรือ คณุ ธรรมของคนโนน้ สู้คนนี้ไม่ได้ อะไร แบบคฤหัสถก์ ลบั เปน็ ปกติ นน้ั กแ็ สดงว่าเธอหมด ทานองน้ี โดยท่ีเราก็ไม่รู้ตามความเปน็ จรงิ แลว้ บญุ ในผ้าเหลืองแลว้ ตอ้ งสกึ สถานเดียวและไม่ ก่อใหเ้ กิดความผดิ พลาดอยา่ งมหันตใ์ นชวี ิต สามารถกลับมาบวชได้อีกเหมือนเดมิ เหมอื นติสสาภิกษุณี โดยปกติ ภกิ ษุกอ่ นจะลาสกิ ขา เวียนมา หลักการ ๕ อย่าง ดงั ตอ่ ไปนี้ เป็นสิ่งไม่ เพ่อื เป็นคฤหสั ถ์ มกั มีสัญญาณบอกเหตุ ดังนี้ แนน่ อน อาจจะถูกหรอื ผิดกไ็ ด้ คอื  หมดศรัทธาในพระรัตนตรัย  ความเชือ่ (ศรัทธา)  ศลี เศรา้ หมองเพราะต้องอาบตั ิ  ความพอใจ ความถกู ใจ(รุจิ)  สีหน้าหมน่ หมอง ไมร่ ่าเรงิ เบกิ บาน  การไดย้ นิ ได้ฟังมา(อนสุ สวะ)  เกดิ กิเลส เชน่ กามราคะรบกวนจิตใจ  การคิดเอาตามหลกั เหตุผล  และใจไม่ยนิ ดใี นกุฏหิ ลงั น้อย หรือไม่ (อาการปริวติ ักกะ) อยากอยใู่ นป่าเพื่อประพฤติพรหมจรรย์  ส่ิงทตี่ รงกบั ทฤษฎีท่เี รยี นรู้มา (ทิฏฐนิ ิชฌานขันติ)

อริยปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๐๑ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ เพราะฉะน้นั บคุ คลผใู้ ช้หลกั การเหล่าน้ี ข้อสังเกต มาตัดสนิ หลักสจั ธรรมว่าถกู -ผดิ ท้ังๆทต่ี ัวเองก็ ในเรื่องน้ี ทา่ นพระอานนทเ์ อง ก็ไมไ่ ด้ ไม่สามารถจะหย่งั รูไ้ ด้ตามเปน็ จรงิ แต่กลับมา แนะนาให้ภิกษณุ รี ูปนี้ มาขอขมาโทษตอ่ ท่านพระ ยึดม่ันถือมนั่ อยา่ งฝังหัวว่า “สิ่งนีเ้ ทา่ นนั้ จรงิ มหากัสสปะ อาจจะเปน็ เพราะผลแห่งอรยิ ปุ วาทน้ี สิ่งอื่นนอกจากน้ีผิด ไมจ่ ริง” รนุ แรงมาก เมื่อกรรมหนักสง่ ผล จงึ ปกปดิ ทาให้ การตัดสินเช่นนี้ ช่อื วา่ ยังไม่ถกู ต้อง ใน พระเถระนกึ ไมอ่ อก หรือรู้อยู่ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ การหย่งั รสู้ ัจธรรม เพราะเรือ่ งทีว่ า่ นัน้ อาจจะผิด และเพราะบาปกรรมน้ีทาใหจ้ ิตของภกิ ษณุ ีนี้ มดื ก็ได้ แมถ้ กู กไ็ ม่อาจร้ตู ามเป็นจริงได้ เพราะไมม่ ี บอด ปญั ญาพร่ามวั ลืมนึกถึงเร่อื งบาปกรรม คิด เครือ่ งมอื ตรวจสอบ และเปน็ เพยี งแค่การเกง็ ไมอ่ อกว่าจะทาอยา่ งไร หรอื พอรตู้ วั อยบู่ ้างแต่ หรือการสมุ่ เดาความจรงิ เทา่ น้ัน ยังไมช่ ื่อว่ารู้แจ้ง ละอายแกใ่ จ กลวั เสียหนา้ จงึ ไม่ได้กล่าวคาขอขมา ตามเปน็ จริงอย่างถ่องแท้แนน่ อน โทษแต่อย่างใด พระพทุ ธองค์ตรัสวา่ การเปรยี บเทียบคน ในลักษณะเชน่ นี้ซึ่งตัวเองกไ็ มร่ จู้ รงิ จะเป็น อนั ตรายตอ่ คุณวิเศษของตัวเอง๑๐๖ ทาให้ศีล สมาธิ ปญั ญาเส่อื มถอย และปิดโอกาสในการ บรรลุโลกตุ รธรรม คอื การเปรียบเทยี บเชน่ นั้น จะเปน็ อรยิ ุปวาทกรรมน่นั เอง เพราะผู้ทจี่ ะ บอกเรอื่ งคุณเศษได้ถกู ตอ้ งตามเปน็ จรงิ เป็น วสิ ัยของพระพุทธเจา้ เท่านัน้ ซง่ึ มีสพั พญั ญตุ ญาณไม่ติดขดั ครบวงจรตลอดสาย ไมใ่ ช่วิสัย ของพระปจั เจกพุทธเจา้ หรอื พระอรยิ สาวก  ม.ม. (แปล) ๑๓/๕๓๐-๕๓๖ ดู จงั กีสตู ร, ม.อ.ุ (แปล) ๑๔/๑-๒๘ เทวทหสูตร ๑๐๖ อัง.ฉก.(แปล) ๒๒/๕๐๒-๕๐๗,ดู มิคสาลาสูตร, อัง.ทสก. (แปล) ๒๔/๗๕/๑๖๗

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๒ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอรยิ เจ้า เมื่อท่านพระอานนท์ตอบเช่นนี้ ท่านพระ อรยิ ปุ วาท เร่อื งท่ี ๑๓ มหากัสสปะ จึงกล่าวว่า “ทา่ นอานนท์ เม่ือเปน็ เช่นนี้ ท่านเท่ยี วจารกิ ไปกับภิกษใุ หม่เหลา่ นี้ ผ้ไู ม่ นันทาภิกษณุ พี ูดตาหนทิ า่ นพระมหากสั สปะ๑๐๗ ค้มุ ครองทวารในอินทรีย์ทงั้ หลาย ไมร่ ปู้ ระมาณใน โภชนะ ไม่ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่ เพื่อ ขณะทที่ า่ นพระมหากสั สปะพานกั อยู่ ประโยชนอ์ ะไรเล่า ท่านเหน็ จะเท่ยี วไปเหยียบย่า ณ เวฬุวนาราม สถานที่ใหเ้ หย่ือกระแต เขตกรงุ ข้าวกล้า นา่ จะเทยี่ วไปเบียดเบียนตระกลู ศานศุ ษิ ย์ ราชคฤห์ ท่านพระอานนทเ์ ท่ียวจาริกไปใน ของท่านดูรอ่ ยหรอลง ลูกศิษย์ทา่ นส่วนมากเป็นผู้ ทักขณิ าคิรชี นบท พรอ้ มด้วยภิกษสุ งฆห์ มูใ่ หญ่ บวชใหม่ ต่างหนีกระจัดกระจายกันไป ทา่ นนย้ี ังท้า ต่อมา พวกภกิ ษหุ นุ่มท่เี ปน็ ลูกศิษย์ของทา่ น ตัวเปน็ เด็กๆ ไม่รูจ้ ักประมาณเอาเสยี เลย ประมาณ ๓๐ รปู เพิง่ บวชได้ ๒-๓ พรรษา หลงั จากพระเถระ พูดเตือนสติจบลง สว่ นมากพากันลาสิกขากลบั มาเป็นคฤหัสถ์ เมอ่ื ฝ่ายท่านพระอานนท์ จึงพูดว่า “ท่านกสั สปะ เสน้ ทา่ น กลับมายงั เวฬวุ นาราม จึงเข้าไปกราบ ผมท้ังหลายบนศีรษะของกระผมหงอกแลว้ กจ็ ริง คารวะท่านพระมหากสั สปะ พระเถระได้เอย่ ถาม ถงึ กระน้ัน แม้ในวันน้ี พวกกระผมกย็ ังไมพ่ น้ จาก ทา่ นวา่ “ทา่ นอานนท์ พระผูม้ พี ระภาคทรงอาศยั การกล่าวว่าเปน็ เด็ก” อานาจประโยชนเ์ ท่าไรหนอ จงึ ทรงบัญญตั กิ าร ภกิ ษณุ ีชื่อถลุ ลนันทาไดย้ นิ เสียงพระ ขบฉัน ๓ หมวด ในตระกูลทั้งหลายไว้” เถระท้ังสองพูดสนทนากันเช่นนัน้ คิดวา่ พระ ท่านพระอานนท์ เรยี นว่า “ท่านกสั สปะ อานนท์ผเู้ ป็นมุนีปราดเปรอื่ ง ถูกพระคณุ เจา้ พระผูม้ พี ระภาคทรงอาศัยอานาจประโยชน์ ๓ มหากสั สปะพูดตาหนิว่าเป็นเดก็ จึงพดู ออกไป ประการ จงึ ได้ทรงบญั ญัติการขบฉนั ๓ หมวดใน ดว้ ยความไมพ่ อใจวา่ ‘พระคุณเจ้ามหากสั สปะ ตระกลู ทั้งหลายไว้ คอื เคยเป็นอัญเดียรถีย์ ทา้ ไม จึงคดิ ว่าพระคุณเจา้ ๑. เพื่อขม่ บุคคลหน้าดา้ น อานนท์ ซง่ึ เป็นมุนีปราดเปรือ่ งว่า ควรต้าหนิวา่ ๒. เพื่อความอยผู่ าสกุ ของเหลา่ ภกิ ษผุ ู้มี เป็นเด็กเลา่ ’ ทา่ นพระมหากัสสปะได้ยนิ เช่นนน้ั จงึ ได้ ศีลดงี าม ๓. เพอื่ อนุเคราะห์ตระกลู มใิ ห้เหล่าภิกษุผมู้ ี กลา่ ววา่ ‘เอาเถอะท่านอานนท์ ภกิ ษณุ ชี ่ือถลุ ล ความปรารถนาช่วั อาศัยพรรคพวกทาลายสงฆ์ให้ นันทาพูดอยา่ งผลุนผลันไม่ทันพิจารณา ผมน้นั แตกกนั ” ไดป้ ลงผมและหนวด นงุ่ ห่มผ้ากาสาวพสั ตร์ ออก บวชเป็นบรรพชติ อทุ ิศชีวิตเพือ่ พระผู้มพี ระภาค ๑๐๗ สัง.น.ิ (แปล) ๑๖/๒๕๖-๒๕๘ จวี รสูตรและอรรถกถา อรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดยี วเทา่ นั้น ใน

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๓ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจ้า สมัยท่ีเป็นคฤหสั ถ์ ผมคิดว่า ‘ฆราวาสช่างคบั แคบ ดว้ ย เราพบพระสุคต กเ็ ปน็ อนั พบพระผูม้ ีพระภาค ทาความดใี หบ้ ริสทุ ธบิ์ ริบรู ณ์ได้ยาก และเป็นทางมา ดว้ ย เราพบพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ก็เป็นอันพบพระ แห่งธลุ ีคอื กเิ ลสตา่ งๆ การบรรพชาปลอดโปร่ง ผู้มีพระภาคดว้ ย’ ทา่ นอานนท์ ผมเองไดน้ ้อมศรี ษะลง สาหรบั ผ้อู ยู่ครองเรือนจะประพฤตพิ รหมจรรยใ์ ห้ บรสิ ุทธ์บิ ริบูรณ์ประดุจสงั ขท์ ีข่ ดั แลว้ ไม่ใช่ทาได้ง่าย แทบพระบาทของพระผมู้ ีพระภาค ณ ทน่ี ้ันเอง ทางทดี่ ีเราควรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาว กราบทลู ว่า ‘ขา้ แตพ่ ระองค์ผูเ้ จรญิ พระผมู้ พี ระ พสั ตร์ ออกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชิต’ ภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปน็ สาวก’ เม่อื ผมกราบทลู อยา่ งน้ีแลว้ พระผู้มพี ระ ภาคได้ตรสั กบั ผมว่า ‘กสั สปะ ผใู้ ด ยงั ไมร่ ู้จกั สาวกผสู้ มบูรณ์ด้วยจิตบรสิ ุทธอิ์ ยา่ งนี้แล้ว พึงพดู ว่า ‘ร้’ู ยังไม่เห็นพึงพูดวา่ ‘เหน็ ’ แมศ้ รี ษะของผู้นนั้ พงึ แตก แตเ่ ราร้อู ยู่ จึงพูดว่า ‘รู้’ เหน็ อยจู่ ึงพูดวา่ ‘เหน็ ’ เพราะเหตนุ ั้นแหละ กัสสปะ เธอพงึ ศึกษา อย่างนวี้ า่ ๑.‘เราจะตอ้ งมีความละอายและความยา เกรงอยา่ งมากต่อภกิ ษทุ ้งั หลายผเู้ ป็นเถระ ผ้เู ป็น นวกะ ผเู้ ปน็ มชั ฌิมะ’ ๒. ‘เม่ือเราฟังธรรมอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ซึ่ง ประกอบด้วยกุศล จะตอ้ งหาประโยชนจ์ ากธรรมะ นน้ั ใหไ้ ด้ พจิ ารณาธรรมนน้ั ทั้งหมด ไมใ่ ห้จติ เวลาตอ่ มา ผมไดท้ าเอาผา้ เกา่ มาทาเป็น ฟุง้ ซ่านไปภายนอก ตง้ั ใจสดบั ธรรม’ ผ้าสงั ฆาฏิ แลว้ ปลงผมและหนวด น่งุ ห่มผา้ ๓.‘เราจะไมท่ ง้ิ กายคตาสติท่ปี ระกอบด้วย กาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชติ อุทศิ เฉพาะ ความสุขที่เกิดจากปฐมฌาน’ ท่านผเู้ ปน็ พระอรหันต์ในโลก หลังจากบวชแลว้ ขณะทเี่ ดนิ ทางไกล ผมไดพ้ บพระผู้มพี ระภาคซง่ึ ประทับนงั่ อยทู่ พี่ หุปุตตเจดีย์ ระหว่างกรุง ราชคฤหก์ ับบ้านนาลันทา ครั้นพบแลว้ ผมคดิ ว่า ‘เราพบพระศาสดา กเ็ ป็นอันพบพระผมู้ ีพระภาค

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๐๔ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ พระผมู้ ีพระภาคทรงโอวาทผมอย่างนแ้ี ล้ว สอยแลว้ ของพระผู้มพี ระภาคมา แทจ้ ริง บุคคล เสดจ็ ลุกจากอาสนะหลกี ไป ผมเปน็ หนบ้ี รโิ ภค เม่อื จะกลา่ วถงึ ผมให้ถกู ต้อง ควรกล่าววา่ ‘เปน็ อาหารบณิ ฑบาตของชาวบา้ นถึง ๑ สัปดาห์ บตุ รของพระผมู้ พี ระภาคเป็นผูเ้ กิดจากอก เกิดจาก วนั ท่ี ๘ ก็ไดบ้ รรลุอรหตั ตผล พระโอษฐ์ เกดิ จากพระธรรม อันพระธรรมเนรมิต แล้ว เป็นธรรมทายาท จึงรบั ผ้าปา่ นบงั สกุ ลุ ทีใ่ ช้ คราวนัน้ พระผมู้ ีพระภาคเสดจ็ ลงจาก สอยแลว้ ’ ผมทาจิตใหบ้ ริสุทธ์ิจากกามและจาก ทางไปยงั โคนต้นไมแ้ หง่ หนึ่ง ผมจึงปลู าดผา้ อกศุ ลธรรมท้งั หลาย บรรลปุ ฐมฌานอยูต่ ราบ สงั ฆาฏทิ ที่ าด้วยผ้าเก่าซ้อนเป็น ๔ ชั้นถวาย เท่าทผี่ มตอ้ งการ... ท่านอานนท์ ตอนนี้ ผมได้ แล้วกราบทลู วา่ บรรลุเจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติอนั ไม่มีอาสวกิเลส ผู้ทคี่ ดิ วา่ จะปิดผมซง่ึ ได้อภญิ ญา ๖ กเ็ หมือนกบั ผู้ ‘ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ ขอพระผูม้ พี ระภาค ท่ีคิดว่าจะเอาใบตาลปดิ ชา้ ง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอก จงประทบั นั่งบนผ้าผืนน้ี เพือ่ ประโยชนเ์ ก้อื กูลเพื่อ คร่งึ ใหม้ ิด ความสขุ แก่ขา้ พระองค์ตลอดกาลนานเถดิ ’ ขณะที่ทา่ นพระมหากัสสปะกาลงั บรรลอื พระผูม้ พี ระภาคก็ประทบั นง่ั บนอาสนะท่ี สหี นาทอยูน่ ั้น ภิกษณุ ีช่ือถลุ ลนนั ทากไ็ ด้เคลื่อน ผมจัดถวาย แลว้ ตรสั กบั ผมว่า ‘กัสสปะ สังฆาฏทิ ่ี จากพรหมจรรย์แล้ว คือ ผา้ ที่น่งุ ห่ม ก็เริ่ม ทาด้วยผา้ เกา่ ของเธอผืนน้ีอ่อนนุ่ม’ ระคายเคืองผวิ เหมอื นถูกหนามท่ิมตา เพราะ พดู จาเสยี ดสเี หน็บแนม ด้วยความไมพ่ อใจใน ผมกก็ ราบทลู วา่ ‘ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ พระอรยิ สาวกผมู้ ีคุณธรรมคล้ายคลึงกับพระ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดอนเุ คราะห์ ทรงรับ ศาสดา แตพ่ อเปล้ืองผา้ จีวรออกตวั แล้ว นงุ่ ห่ม สังฆาฏิทีท่ าด้วยผา้ เก่าของข้าพระองคเ์ ถิด’ ผา้ แบบคฤหสั ถ์ อาการนั้นก็หายไป พระองคต์ รัสวา่ ‘เธอจกั ทรงผ้าป่านบังสกุ ลุ ข้อคิดและคตธิ รรม ของเราทีใ่ ชส้ อยแล้วหรือ’ ๑. พดู ไม่คดิ พาให้ชีวิตตกต่า ผมก็กราบทลู วา่ ‘ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ขอ้ คดิ และคติธรรมในเรอื่ งน้ี ก็เหมอื นกบั ข้าพระองค์จกั ทรงผ้าป่านบังสุกลุ ท่ีใชส้ อยแล้วของ กรณขี องภกิ ษณุ ีช่ือ ถุลลตสิ สา หากแต่วา่ พระผู้มพี ระภาค’ ภกิ ษณุ ีชือ่ นันทารปู น้ี ได้พูดล่วงเกินทา่ นพระ มหากสั สปะขณะทีท่ ่านพานักอยู่ทว่ี ัดเวฬวุ ัน ใน ผมไดถ้ วายผา้ สังฆาฏทิ ีท่ าดว้ ยผ้าเกา่ แด่ เขตกรุงราชคฤหถ์ เนื่องจากเกดิ ความไม่พอใจ พระผ้มู ีพระภาค และไดร้ บั ผ้าปา่ นบงั สุกุลทใี่ ช้  การบริโภค มี ๔ อยา่ ง คือ (๑) เถยยบริโภค บริโภคอยา่ งขโมย เช่น ภิกษทุ ุศีลบรโิ ภค (๒) อิณบริโภค บรโิ ภอยา่ งเป็นหน้ี เชน่ การบรโิ ภค ของภิกษผุ มู้ ีศลี แตไ่ ม่พิจารณาในเวลาบริโภค (๓) ทายชั ชบรโิ ภค บริโภคอยา่ งเปน็ ทายาท เชน่ การบริโภคของพระเสขะ ๗ จาพวก (๔) สามีบริโภค การบริโภคอยา่ งเป็นเจา้ ของ หมายถึงการบริโภคของพระ ขณี าสพ สงั .นิ.อ. ๒/๒๕๔/๒๒๑, วสิ ทุ ธิ. ๑/๑๙/๔๕-๔๖

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๐๕ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจ้า เม่ือไดย้ นิ พระเถระพูดเตอื นสติท่านพระอานนท์ เปน็ ปกติ และไม่สามารถกลบั มาบวชใหม่ได้ น้ี วา่ “เปน็ เดก็ ” คอื วบิ ากอรยิ ปุ วาทกรรม ขอ้ ท่ี ๗ ซ่ึงเป็น ๑ใน ภกิ ษุณรี ปู นี้ คงมีความเคารพศรัทธาใน ๑๑ ข้อ และชีวติ หลงั ตาย มแี นวโนม้ จะต้องไป ตัวทา่ นพระอานนทม์ าก เมอ่ื เห็นว่าผูท้ ่ีตวั เอง เกิดในนรกอีกนานนับชาติไมถ่ ้วน ศรัทธาเลอ่ื มใสถูกคนอืน่ ตาหนิ จงึ เกิดไมพ่ อใจ ไม่ทันคดิ ให้ดี แลว้ พูดตาหนติ เิ ตียนพระเถระ ๒. ปากกร็ ้าย แถมใจยังมดื บอด ออกไปในทานองเสยี ดสีวา่ “ทัง้ ๆที่ตัวเองนั้น เคย เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู มาผิด และคดิ ไม่รอบคอบ เป็นเดยี รถีย์มาก่อน กลบั มาถอื ดี กลา้ พูดตาหนิ ไมไ่ ดพ้ ิจารณาโดยถ่องแท้ แล้วแยกแยะไมเ่ ป็น พระอานนท์ผู้เปน็ นกั ปราชญ์ว่า เปน็ เดก็ ๆไปได”้ วา่ ใครเปน็ ใคร และเปน็ ธรรมดาท่ีอสตั บรุ ุษ คน สาเหตทุ ที่ าให้ภิกษณุ ีนี้ พูดตาหนิพระ พาล คนโง่ ย่อมดูสตั บุรุษ ดูบัณฑติ หรือดคู น เถระเช่นนัน้ เพราะเขา้ ใจผิดวา่ พระเถระ ไม่มี ฉลาดไมอ่ อก แล้วรับรู้ผดิ พลาดคลาดเคลื่อน คอื พระอปุ ัชฌายบ์ วชให้ ไม่มอี าจารย์สอนสัง่ แต่ เห็นผดิ เป็นถูก เหน็ ขาวเป็นดา เห็นดเี ป็นชั่ว เห็น โกนหัวโล้น นุ่งห่มผา้ จีวร แลว้ บวชเอาเอง จงึ คดิ บญุ เป็นบาป จงึ พลง้ั ปาก พดู พล่อยออกไปโดย วา่ เป็นเหมอื นพวกเดียรถยี ์ แต่ความจรงิ แล้ว ไมร่ ู้วา่ จะเกิดผลรา้ ยอะไรตามมา เมอื่ ปลาหมอ พระเถระไดบ้ วชอยา่ งถกู ตอ้ งและบรสิ ทุ ธิ์ คือ ตายเพราะปาก ฉนั ใด คนโง่ ไม่รจู้ กั กาลเทศะ พระศาสดา ไดเ้ สดจ็ มาตอ้ นรบั เป็นระยะทาง ๘ ฉิบหาย เพราะวาจาโดยแท้เหมอื นกนั ฉันนั้น กิโลเมตร แล้วประทานการบรรพชาอุปสมบท ด้วยโอวาท ๓ ข้อ และยังได้เปลยี่ นผา้ สังฆาฏกิ นั ๓. ตเิ พือ่ กอ่ ตอ่ สติ เพราะฉะนนั้ สิง่ ที่นนั ทาภกิ ษณุ ีพดู นน้ั จึงไมเ่ ป็น ถา้ เป็นภิกษปุ ุถชุ น พดู กับท่านพระ ความจริง แต่เป็นการพูดเสียดสี ต้องการพูด อานนท์อย่างน้ีว่า “ทา่ นนีย้ ังเป็นเดก็ ไมร่ ูจ้ ัก กระทบพระเถระ จงึ เป็นอริยุปวาทกรรมอย่าง ประมาณ” ก็เข้าขา่ ยอรยิ ุปวาท แตถ่ ้าเปน็ พระ หนกั ยากทจ่ี ะแก้ไข ทาใหก้ ลบั มาเป็นปกติ เมอื่ อรหันต์ ผไู้ รซ้ งึ่ กิเลสอาสวะ ไม่มีอคติลาเอยี ง กลา่ วอริยปุ วาทไปแลว้ ภิกษุณรี ูปน้ี ได้รบั กรรม มากล้นด้วยปญั ญามสี ตสิ มบูรณ์พรอ้ มและ ทนั ตา คือ เส่อื มจากพรหมจรรย์ ต้องสกึ ประกอบดว้ ยเมตตาหวังดีปรารถนาดี พดู เพียง ออกไปเปน็ ฆราวาส ไม่สามารถครองเพศ เพ่อื เตอื นใหค้ ิด เป็นการตเิ พือ่ ก่อตอ่ สติ จงึ ไม่ บรรพชติ นุง่ ห่มจวี รตอ่ ไปอกี ได้ เพราะเกิดความ เปน็ อริยปุ วาท เพราะพระอรหนั ตท์ ง้ั หลาย ย่อม ระคายเคอื งทั่วร่างกายเหมอื นมเี ข็มทิม่ ตา ไมม่ ีเจตนาทาบาป ไมเ่ จตนาวา่ ร้ายใคร จาก เรยี กวา่ ผ้าเหลอื งรอ้ นและรอ้ นจรงิ ๆ ร้อน คาพดู เชน่ นัน้ ดูเหมอื นเป็นคาตาหนิ แต่ จนต้องเปลอื้ งผ้าทิ้ง พอนงุ่ ห่มแบบคฤหัสถ์ จงึ เพราะพูดดว้ ยความหวังดี ใจบรสิ ุทธ์ิ จงึ ไม่เปน็

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๐๖ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจ้า บาปกรรมอะไรดงั พทุ ธพจนท์ ี่ว่า “ฝา่ มือไมม่ ีแผล คิดขอขมาโทษพระเถระ อกี ทง้ั ไม่ปรากฏว่ามีใคร ยาพษิ ย่อมไมส่ ามารถซึมเข้าไปได้ ฉันใด บาปยอ่ ม แนะนาให้ทาดว้ ย ภิกษุณรี ปู นี้ ในขณะมชี วี ิตอยู่ ไม่มแี กผ่ ูไ้ มม่ เี จตนาทาบาป ฉนั น้ันเหมือนกัน” ต้องถูกคนอนื่ พูดจากระทบกระเทียบเปรยี บ เหมือนคาพดู ติดปากของท่านพระปลิ นิ ทวัจฉะ เปรย เสียดสใี หเ้ จบ็ ช้านา้ ใจไปอีกนานแสนนาน แม้ปากจะรา้ ย แต่ใจดี ๖. บาปส่งเสรมิ บาป ๔.พระเถระผู้มีคณุ อันยง่ิ ใหญ่ ในอดีตก่อนหน้าที่จะมาพูดล่วงเกินท่าน ท่านพระมหากสั สปะ เปน็ พระสาวก พระมหากัสสปะ ภิกษุณีรปู นี้ ก็เคยกอ่ เรอ่ื ง ผใู้ หญ่รูปท่ี ๓ รองลงมาจากทา่ นพระสารบี ตุ ร วนุ่ วายหลายประการ จนเปน็ ต้นเหตุแห่งการ และท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวก บญั ญัตสิ กิ ขาบทหลายข้อ ทง้ั อาบัติหนักและ หากพระเถระทาความเคารพกราบไหว้ อาบตั ิเบา๑๐๘ และเคยพดู ลบหลดู่ ูหมิน่ พระอริย ศาสดาท่านอ่นื ทเ่ี ปน็ ปุถชุ นจะทาให้ศาสดา สาวกเหล่านท้ี ีบ่ า้ นของโยมอุปฏั ฐากมาก่อน น้ันอายสุ ้นั พลนั ตาย เพราะไมส่ ามารถรับรอง คอื ทา่ นพระสารบี ตุ ร ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะ คณุ ธรรมอนั ย่งิ ใหญ่ไว้ได้ เพราะฉะน้ัน เพยี งแค่ ท่านพระมหากจั จายนะ ท่านพระมหาโกฏฐติ ะ ภกิ ษุณีนนั ทาพูดเหนบ็ แนมพระเถระแคน่ ้นั จงึ ท่านพระมหากปั ปนิ ะ ทา่ นพระมหาจุนทะ ท่าน เป็นกรรมหนัก ทาใหเ้ ธอมีอันเป็นไป ต้องพน้ จาก พระอนุรุทธะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอุบาลี จากภาวะความเป็นภกิ ษุณที นั ที ท่านพระอานนท์ และท่านพระราหุลวา่ “เป็นแค่ พระผนู้ อ้ ย”๑๐๙ ท้ังทที่ ่านเหลา่ นเ้ี ปน็ พระมหา ๕. วบิ ากกรรมทางานโดยอตั โนมัติ เถระ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ มคี ณุ ขณะที่นนั ทาภิกษุณกี ล่าวตาหนอิ ยู่นน้ั วิเศษสงู สง่ แล้วเธอกลับไปยกย่องพระเทวทตั ทา่ นพระมหากสั สปะ ก็ไม่ไดโ้ กรธเคืองและไมไ่ ด้ และพระโกกาลิกะว่า เป็นพระผใู้ หญ่ ซง่ึ ภิกษุ มเี จตนาให้ภิกษุณีรปู นมี้ ีอนั เปน็ ไป ตัวพระเถระ ๒ รปู น้ีเป็นเพียงแคป่ ุถชุ น จนเปน็ เหตุให้เจ้าภาพ เอง กม็ ฤี ทธอิ์ ภญิ ญาสงู ส่ง อีกทัง้ มีเมตตากรณุ า เขาไลห่ นีและไมน่ ิมนตม์ ารับอาหารบณิ ฑบาต แตก่ ไ็ มส่ ามารถจะชว่ ยอะไรได้ เพราะเวลาที่ อกี เลย วิบากกรรมส่งผล ไมม่ ใี ครห้ามได้ ถึงแมฤ้ ทธ์ิ เพราะฉะน้นั ก่อนทเี่ ธอจะทาผิดต่อท่าน จะแน่ แต่กแ็ พแ้ รงกรรม พระมหากัสสปะ ซึง่ เป็นอริยปุ วาทกรรมอย่าง ขณะทวี่ บิ ากกรรม ออกฤทธ์ิ ทาหนา้ ท่ี หนกั ก็ได้เคยพูดดหู ม่ินพระอริยเจา้ องคอ์ นื่ มา อยา่ งซอ่ื สตั ย์ ไมม่ ลี าเอยี ง ในกรณีนี้ คงจะเป็น อริยปุ วาทกรรมที่รนุ แรงและเข้มขน้ เธอจึงไมไ่ ด้ ๑๐๘ ว.ิ ภกิ ขนุ ี. (แปล) ๓/๑-๖๐ ๑๐๙ วิ.มหา. (แปล)๒/๓๕๖-๓๕๗

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๗ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจ้า กอ่ น บาปยอ่ มเป็นเหตุปจั จยั แกบ่ าป จาก ๗. พระอานนท์ พุทธอนชุ า อานาจแหง่ บาปเล็กน้อย จะมีผลผลกั ดนั ให้ทา ถึงแมท้ ่านพระมหากสั สปะ จะพดู ตาหนิ บาปใหญย่ ง่ิ ๆข้นึ ไป เหมือนกรณีของพระเทวทัต เช่นนั้น แต่ท่านพระอานนทก์ ็ไมโ่ กรธ ไมน่ ้อยใจ ผู้เคยสร้างบาปมหันต์ใหผ้ ลทนั ตา เริ่มต้นจาก ทงั้ นี้ เพราะท่านเปน็ พระโสดาบนั ละอคติ กรรมเบาไปหากรรมหนกั คือ ลาเอยี งเพราะรกั เกลียดชงั กลวั และหลงไดแ้ ลว้  คิดอยากปกครองสงฆ์ และไมม่ คี วามโกรธอยา่ งหยาบทีจ่ ะนาไปสู่ คิดปลงพระชนมพ์ ระศาสดา อบายได้ ซงึ่ ท่านกลา่ วไว้ในประวตั ขิ องตนเองวา่ ส่งนายขมงั ธนไู ปลอบปลงพระชนม์ ตลอดเวลา ๒๕ ปี ก่อนบรรลุอรหัตผล ท่านไมม่ ี สง่ั ฆ่าพวกนายขมงั ธนูท้ังหลาย กามสัญญาและโทสสญั ญาเกดิ ข้นึ รบกวนใจ ปลอ่ ยชา้ งนาฬาคริ เี พ่ือปลงพระชนม์ เลย ทา่ นพระอานนทร์ ู้เป็นอยา่ งดีวา่ ท่านพระ  ทาโลหิตุปบาทกับพระศาสดา มหากัสสปะเปน็ พระอรหันตม์ คี ณุ ธรรมท่พี ระ ทาสังฆเภทให้สงฆ์แตกสามัคคีกัน ศาสดา ซ่ึงได้รับการยกยอ่ งไวม้ ากมาย ไมไ่ ด้พดู บาปนอ้ ยเป็นปจั จยั แก่บาปใหญ่ ดว้ ยกิเลสหรืออคตลิ าเอยี ง เปน็ คาตกั เตือนดว้ ย ตามลาดบั และบาปใหญ่ ก็เปน็ ปจั จัยให้ทาบาป ความปรารถนาดี ไมม่ ีเจตนาร้าย และไมใ่ ช่คา อนั ใหญห่ ลวงยง่ิ ๆขึ้นไปอีก หยาบ อกี ท้ังทา่ นมคี วามเคารพและนบั ถือใน นางภกิ ษุณีรปู น้ี กเ็ ชน่ กัน เพราะตัวเอง พระเถระอยา่ งมาก เป็นคนจติ มืดบอด ไม่มีตาปญั ญา จึงได้แต่คบ เพราะฉะนน้ั ระหว่างคนทีม่ สี มั มาทิฏฐิ หา สมาคม มีศรัทธาเล่ือมใสในบุคคลประเภท กับมิจฉาทฏิ ฐิ กัลยาณปุถุชนกับอันธพาลปุถชุ น เดียวกันเหมือนดีดึงดูดดี ชว่ั ดงึ ดดู ชัว่ คนทีม่ ี คนดีกบั คนชว่ั แม้ฟงั คาพูดประโยคเดียวกัน อัชฌาสัยเลว ก็ดงึ ดูดคนเลว คนช่วั เขา้ มาในชวี ติ เรอ่ื งเดียวกัน และอยใู่ นเหตุการณส์ ถานการณ์ ผลักดันคนดีให้หนหี า่ ง ผลสุดท้าย กเ็ ปน็ ไปตาม เดียวกนั แต่คดิ แตกตา่ งกนั เพราะโครงสร้าง กรรมทตี่ นทาไว้ เพราะสตั วโ์ ลก ย่อมถูกกรรม ภายในคือ จติ ใจไมเ่ หมอื นกัน สงั่ สมวิบากกรรม ผูกมัดไว้ พระอริยสาวก ผมู้ ีปัญญาคมกล้า ย่อม มาไม่เหมอื นกัน ดังน้นั ใครจะมีความคดิ ดหี รือ สามารถตดั วงจรแหง่ กรรมนี้ได้ หลดุ พ้นจาก เลว คิดถกู หรือผดิ ก็เป็นไปตามวบิ ากหรอื เครือ่ งพันธนาการ อย่เู หนือโลก เปน็ โลกตุ ตระ พนื้ ฐานจติ ใจทีไ่ ดส้ ่งั สมอบรมเอาไวท้ ้งั ในอดีต และปัจจบุ นั ชาติ  ขุ.เถร. (แปล) ๒๖/๕๐๖-๕๐๙ ดู อานนทเถรคาถา

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๘ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ อรยิ ุปวาท เร่ืองที่ ๑๔ เจริญ ทา่ นพระสารีบุตร สาคัญตนว่าเปน็ อคั ร สาวก กระทบตัวของขา้ พระองค์แล้ว ไมข่ อโทษ ก็ จาริกไป” พระศาสดาสดับแลว้ ทรงรู้ด้วยญาณ ภกิ ษปุ ุถุชนกล่าวตู่ทา่ นพระสารบี ตุ ร๑๑๐ วา่ “ถา้ หากใครพูดแกต้ วั แทนวา่ แท้ที่จรงิ แลว้ หลังออกพรรษา ปวารณาแล้ว ท่านพระ พระสารบี ุตรเถระมิได้กระทบภิกษนุ ห้ี รอก เธอก็ สารบี ตุ รมคี วามประสงคจ์ ะออกจารกิ ไปใน จะทูลตาหนอิ ีกวา่ ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจรญิ พระองค์ ชนบท เพ่อื โปรดสัตว์พร้อมกับภกิ ษจุ านวนมาก ทรงเข้าข้างพระอัครสาวกของพระองค์เท่านน้ั แต่ จึงไดม้ ากราบทลู ลา พระพุทธองค์ ก็ทรงอนุญาต มิได้เข้าขา้ งทางขา้ พระองค์เลย แลว้ ผูกใจเจ็บตอ่ พระเถระได้ถวายอภิวาท ทาประทักษิณ แล้ว เราตถาคต หลงั จากตายแล้ว จะไปเกดิ ในอบาย ออกเดนิ ทางจากไป อกี ยาวนาน” ในช่วงเวลาทท่ี ่านพระสารบี ุตรกาลังลกุ จงึ ได้ตรัสสัง่ ภกิ ษรุ ูปหนึ่งให้ไปเรยี กท่าน ขึ้นเดนิ ไปถวายบงั คมพระศาสดาน้นั ลมได้พัด พระสารบี ตุ รกลับมา เพ่ือช้แี จงเร่ืองนี้ เวลาน้ัน เอาชายจวี รไปกระทบตวั ภิกษุรูปหน่ึงเข้า โดยที่ ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะและท่านพระอานนท์ พระเถระไมไ่ ดท้ ันสังเกต ทาให้ภิกษรุ ปู นน้ั เกดิ กไ็ ดเ้ ดินประกาศบอกเพือ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลายท่ีพกั ความไม่พอใจ อกี ทง้ั ก่อนหน้าน้ีไมน่ านนกั อาศัยอย่ภู ายในอารามให้ออกไปฟงั การบนั ลือ ภกิ ษุรูปนี้ เคยไมพ่ อใจในตัวทา่ นเป็นทุนมา สีหนาทของพระเถระตอ่ พระพกั ตร์พระศาสดา กอ่ นแลว้ เพราะเหตุทพี่ ระเถระไม่ได้ทักทาย ตนเอง ทกั ทายเฉพาะพวกภิกษุรปู อื่น ทาใหเ้ กิด ความน้อยอกน้อยใจ ยิ่งตอนทท่ี ่านจะจารกิ ไป ครงั้ นี้ จะมีภกิ ษจุ านวนมากติดตามไปด้วย จึง เกดิ ความอจิ ฉาริษยา ดงั นน้ั เม่อื มเี หตุ จงึ ถอื โอกาสจับผดิ แล้ว พูดใส่รา้ ยปา้ ยสีพระเถระต่อหนา้ พระศาสดา เพราะฉะนนั้ ขณะทท่ี ่านพระสารบี ตุ รเดนิ ทาง จากไปไมน่ าน ยงั ไม่พน้ เขตวัด ภิกษุรูปน้ี จึง รีบกราบทลู ฟ้องพระพทุ ธเจา้ วา่ “ข้าแต่พระองคผ์ ู้ ๑๑๐ อัง.นวก. (แปล) ๒๓/๔๕๑-๔๕๔ ดู สีหนาทสตู ร และอรรถกถา,  บนั ลือสีหนาท คือ การพดู อยา่ งองอาจกลา้ หาญ ไม่หวน่ั ไหวเพราะ ธ.ป. ๔/๑๐๓-๑๐๗ เรอ่ื งพระสารบี ตุ รเถระ ม่นั ใจในศีล สมาธิและปัญญาของตวั เอง

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๑๐๙ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ ทา่ นพระสารีบุตร จงึ ไดเ้ ดินทางกลับเข้า ๓.เปรยี บเสมอื นกบั ไฟท่ีไหม้ของสะอาด มาเฝ้าอกี ครัง้ ถวายอภวิ าท แล้วน่งั ณ ทสี่ มควร บ้าง ไม่สะอาดบา้ ง ไหม้คูถ มตู ร น้าลาย หนอง พระพทุ ธองค์ จงึ ตรสั กับทา่ นวา่ “สารบี ตุ ร เพ่อื น หรอื ไหม้เลือดบา้ ง แตไ่ ฟ กไ็ มอ่ ดึ อัด ระอา หรือ พรหมจารีรปู หนงึ่ ไดก้ ล่าวหาเธอวา่ ไดก้ ระทบเขา รังเกยี จสิง่ น้ัน แลว้ ไม่ขอโทษ ก็จารกิ ไป” ๔.เปรียบเสมือนกับลมท่พี ัดของสะอาดบา้ ง ท่านพระสารีบตุ ร ไม่กราบทูลทันทวี ่า ไม่สะอาดบ้าง พัดคถู มูตร น้าลาย หนอง หรือ “ข้าพระองค์ไมไ่ ดเ้ อาชายจีวรกระทบภิกษุรูปน้ี พดั เลอื ดบา้ ง แต่ลม กไ็ ม่อึดอดั ระอา หรอื รงั เกยี จ หรอก พระเจ้าขา้ ” แต่ได้พดู ถงึ ความรู้สกึ ในใจ ส่งิ นั้น ของตัวทา่ นเอง โดยกราบทลู ว่า ๕.เปรยี บเสมือนกับผ้าเช็ดธลุ ีทเ่ี ชด็ ของ “ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ เปน็ ไปไดท้ ่ีภิกษุ สะอาดบา้ ง ไม่สะอาดบา้ ง เช็ดคถู มตู ร น้าลาย ผู้ไมไ่ ด้ดารงสติใหม้ ัน่ อาจจะเผลอสติ ลมื ตัวทา หนอง หรอื เช็ดเลือดบา้ ง แตผ่ า้ เชด็ ธลุ ี กไ็ ม่อึดอดั เช่นน้ันไป แลว้ ไมไ่ ดข้ อโทษ กอ่ นจะออกเดินทาง ระอา หรือรังเกียจส่ิงนนั้ แต่ข้าพระองคม์ สี ติมั่นคงสมบรู ณ์ ไม่เผลอ ไมม่ ี ๖.เปรียบเสมอื นเดก็ จัณฑาลทห่ี ้ิวตะกรา้ เจตนากระทาเชน่ นั้นกบั เพ่อื นพรหมจารีรปู ใด นุ่งผ้าชายขาด เมือ่ เข้าไปในบ้าน ยอ่ มเจียมตน รปู หนงึ่ กอ่ นจะจากไปเปน็ แน่ ตลอดเวลา ไมค่ ิดจะทาลายใครๆ อนึง่ จติ ใจของข้าพระองค์นน้ั มคี วามนัก ๗. เปรียบเสมือนโคผู้ทเ่ี ขาหกั เช่อื ง ผ่าน แน่นม่ันคง ไม่หว่ันไหว ไม่ยนิ ดี ไม่ยนิ ร้าย ไม่ การฝึกมาอย่างดี เดินไปตามถนนหนทาง ตามทาง ชอบไม่ชงั ไม่รัก ไมร่ ังเกียจ มคี วามเปน็ กลาง แยกนอ้ ยใหญ่ จะไม่ดีดหรือขวดิ ใคร ๆ และวางเฉยต่อสรรพสิง่ ๘.เปรียบเสมือนหนมุ่ สาวทชี่ อบแต่งตัว ๑.เปรียบเสมือนกับแผ่นดินท่ีชนท้ังหลาย หลงั จากอาบนา้ แตง่ ตัวเรยี บร้อยแล้ว ยอ่ มรงั เกียจ พากนั ท้งิ ของสะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ ง ทง้ิ คถู ซากสัตว์ต่างๆที่คล้องคอ ขา้ พระองค์ก็ฉนั นน้ั มูตร นา้ ลาย หนอง หรอื ทิ้งเลือดบ้าง ลงบน เหมือนกัน ย่อมอึดอดั ระอา รังเกยี จกายอนั เปือ่ ย แผน่ ดิน แตแ่ ผน่ ดนิ ก็ไมอ่ ึดอดั ระอา หรือรงั เกยี จ เน่าน้ี ส่ิงน้ัน ๙.และเปรียบเสมอื นบุรุษท่ีประคองถาด ๒.เปรียบเสมอื นกบั น้าท่ีชนทัง้ หลาย พา นา้ มนั ข้นทม่ี ชี ่องไหลออกเขา้ ได้ ซง่ึ เหมอื นกบั ขา้ กนั ล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ล้างคูถ มูตร พระองค์ ต้องคอยบรหิ ารร่างกายท่ีมีทวารท้ัง ๙ นา้ ลาย หนอง หรือ ลา้ งเลือดบ้างในนา้ แตน่ า้ ก็ไม่ ชอ่ งซงึ่ มกี ารขบั ถ่ายของเสียออกมา ขา้ แต่พระองค์ผู้เจรญิ ขา้ พระองค์มสี ติ อดึ อัด ระอา หรือรังเกียจส่ิงนนั้ มั่นคงสมบูรณ์ ไมเ่ ผลอสติ ลมื ตวั ทาผดิ ต่อ

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๑๑๐ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจา้ เพือ่ นพรหมจารรี ปู ใดรูปหนึง่ กอ่ นจะจากไป “สารีบุตร เธอจงยกโทษให้แก่โมฆบุรุษผู้น้ี แนน่ อน พระเจา้ ขา้ ” เถิด กอ่ นท่ีศรี ษะของเขาจะแตกเปน็ ๗ เสี่ยง ขณะทท่ี ่านพระสารีบุตร กาลังบันลือ เพราะความผิดนนั้ ” สหี นาทอยแู่ ตล่ ะขอ้ นี้ ได้เกิดแผ่นดินไหวถึง ๙ ทา่ นพระสารีบตุ รกราบทูลวา่ “ข้าแต่ ครง้ั และเม่ือพระเถระกล่าวจบลง พวกภกิ ษุ พระองคผ์ เู้ จริญ ข้าพระองค์จะยกโทษแก่ท่านรปู ปุถชุ น ไม่อาจเพ่อื อดกล้ันนา้ ตาไว้ได้ ภิกษุผู้เป็น นั้น ถา้ หากทา่ นรูปนัน้ ได้กล่าวกบั ข้าพระองคว์ ่า พระอรหนั ต์ขีณาสพท้งั หลาย เกดิ ธรรมสังเวช ขอท่านสารีบุตร จงยกโทษแก่กระผมดว้ ยเถดิ และภิกษผุ ทู้ จ่ี ับผดิ พดู ใส่ร้ายนั้น ก็เกดิ ความเร้า และขอผูม้ ีท่านรปู นน้ั จงยกโทษใหข้ า้ พระองค์ด้วย ร้อนในใจเหมือนไฟลน รตู้ ัวว่าไดใ้ สร่ ้ายทา่ น ถ้าหากวา่ ข้าพระองค์มคี วามผิด” พระสารบี ุตรดว้ ยเรอื่ งไม่จรงิ จงึ รีบหมอบลง เมอื่ ภิกษุรูปน้ัน ได้กลา่ วคาขอโทษพระ แทบพระบาทของพระพุทธองค์ กราบทูลวา่ เถระ ทา่ นพระสารบี ุตร กไ็ ดย้ กโทษให้โดยไม่ได้ “ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคนโง่ ถอื โทษโกรธเคอื ง อรยิ ุปวาทกรรมท่ภี ิกษุรูปน้นั เขลา เบาปัญญา ขาดสติ ไดท้ ้าผดิ โดยการ ได้พดู ใส่รา้ ย กก็ ลบั มาเปน็ ปกติ คอื ไม่เป็น กลา่ วตู่ทา่ นพระสารีบุตร ซึง่ เป็นเร่ืองเท็จ ไม่ใช่ อันตรายต่อชีวิตและการบรรลุฌานสมาบัติ หรือ เรือ่ งจริง ขอพระองค์ โปรดยกโทษให้แก่ข้า มรรคผลและนพิ พานอีกต่อไป พระองค์ เพ่อื การสา้ รวมระวังต่อไปดว้ ยเถิด” ขอ้ คิดและคติธรรม พระผมู้ ีพระภาคตรัสวา่ “เธอผูเ้ ป็นคนโง่ เขลา เบาปัญญา ขาดสติ ไดท้ ้าผิด โดยการ ๑. หากรรมใส่หวั หาบาปใสต่ ัว กล่าวตู่สารบี ุตร ซึง่ เปน็ เรื่องเท็จ ไม่ใชเ่ ร่ืองจรงิ ภกิ ษุรปู น้ี อยู่ดีๆ ไม่ชอบ กลบั พาลหา แต่เพราะเธอได้ส้านกึ ผิด แล้วขอโทษ เราขอยก เร่อื งเดือดร้อนมาใสต่ วั เกือบฉิบหายมีอันเป็นไป โทษให้ เมอื่ ภิกษทุ า้ ผดิ ได้ส้านึกผิด แล้วกลา่ ว เพราะปากไม่อยสู่ ุข เพราะความสาคญั ตวั ผดิ ค้าขอโทษ เพอ่ื สา้ รวมระวังไมใ่ หพ้ ลงั้ พลาดผิดอกี และความอจิ ฉาริษยา ตามธรรมดา คนตา ต่อไปนั้น เป็นความเจรญิ ในอริยวนิ ัย” แล้วตรสั บอดมาแตก่ าเนิด แมม้ แี สงตะเกียง แสงจนั ทร์ กับทา่ นพระสารบี ตุ รวา่ หรอื แสงอาทติ ย์อยู่ต่อหน้า กม็ องไม่เหน็ คนใจ บอด คือ ไร้ปัญญาจักษุ แมพ้ ระอคั รสาวก หรือ  ศีรษะของเขาจะแตกเปน็ ๗ เสย่ี ง เป็นสานวนพดู ของคน สมยั กอ่ น ซง่ึ หมายถงึ การสิน้ ชีวิต เพราะเป็นอรยิ ปุ วาทกรรมตอ่ พระอคั รสาวกผู้มีคณุ ยงิ่ ใหญ่ มผี ลรุนแรงถงึ ขนาดทาใหถ้ งึ แกค่ วาม ตายได้ทันทดี ้วยสาเหตุอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เชน่ เกดิ โรคร้าย เป็นต้น

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๑๑ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอรยิ เจา้ พระศาสดาประทับอยู่ต่อหน้า ก็มองไมเ่ ห็น ๒.โกรธพระอคั รสาวก ความสาคญั กลา้ ฟอ้ งพระอคั รสาวกผู้เป็นพระ บาปหนกั หลายล้านเทา่ อรหนั ต์ ซึง่ ไมม่ ีความผดิ ต่อหน้าพระพุทธเจ้าได้ สนิมเกิดจากเหลก็ กดั เซาะกนิ เน้อื เหล็ก อยา่ งไร ถ้าไมใ่ ช่ ถกู วิบากกรรมเก่าปกปดิ จนหมดสนิ้ ความโกรธ เกิดจากใจ เผารนจิตใจ เกดิ จิตรษิ ยา พาลหาเร่ืองใหเ้ ปลอื งตัว กล่าวใส่ ให้เรา้ ร้อน ใหใ้ จหมองไหม้ และภิกษุรปู น้ี ไม่ได้ ร้ายท่านพระสารบี ตุ ร เกอื บแกไ้ ขไม่ทนั คงเป็น โกรธเพอื่ นสพรหมจารซี ง่ึ เป็นปถุ ชุ นด้วยกนั หรือ เพราะยงั มีบุญเก่าหนุนนา และโชคดีทอี่ ยตู่ อ่ โกรธพระอรหันต์ทวั่ ไป แตโ่ กรธพระอรหันต์ หนา้ ของพระพุทธองค์ จึงทาใหแ้ กบ้ าปกรรมได้ ระดับพระอัครสาวกเบอ้ื งขวา เลศิ ทาง ทันเวลา ปญั ญา ผู้บาเพญ็ บารมมี า ๑ อสงไขยกบั อกี ขณะที่พระศาสดาผู้เปน็ สพั พญั ญยู งั ทรง แสนกปั ยอ่ มมีโทษมหันต์ บาปหนักมาก แม้ พระชนมอ์ ยู่และประทบั อยู่ต่อหนา้ แท้ๆ ยงั มี คิดโกรธอยู่ในใจไมแ่ สดงออกมาทางกิรยิ าวาจา ภกิ ษุหลงผิด จติ มดื บอด โกรธง่ายใจนอ้ ย ขี้ ก็มสี ทิ ธท์ิ จี่ ะตกนรกได้ ดูตวั อย่างอดตี ชาตขิ อง อิจฉาริษยา ปากรา้ ย ถือดี กล้าจับผดิ พดู ใสร่ า้ ย นางขุชชุตรา สาวใช้ของพระนางสามาวดี ใน ป้ายสีพระเถระระดบั พระอัครสาวกเบอื้ งขวาเลศิ ชาตทิ ่ีผา่ นมา เคยเกิดเป็นธดิ าเศรษฐี แลว้ เอ่ย ทางปญั ญาได้ อีกทง้ั ไม่รู้ว่า จะเกดิ ผลร้ายมาก ปากบอกภิกษุณีองค์หน่งึ ซ่ึงมาเยี่ยมโยม แค่ไหนต่อตนเอง อปุ ฏั ฐาก หยิบกระเชา้ เครือ่ งแตง่ ตัวสง่ ให้ พระ เหตกุ ารณ์อย่างนี้ สมัยพุทธกาลยงั มไี ด้ เถรีองค์นี้เปน็ พระอรหันต์ รดู้ ้วยญาณว่า ถา้ คงไม่ต้องพดู ถึงในยคุ ปจั จุบนั ว่า จะมีนกั บวช เราไมท่ าตาม เธอจะโกรธไมพ่ อใจ หลงั ตาย จะ ประเภททีเ่ หน็ แก่ตวั ชอบอิจฉารษิ ยา คอย ไปเกดิ ในนรก แต่ถา้ ทาตามคาสัง่ ในภพชาติ ประจบเจ้าอาวาส หรือหัวหน้าคณะ แลว้ กีดกนั ตอ่ ไป เธอจะเกิดเปน็ คนใช้คนอนื่ ท่านเหน็ วา่ กลนั่ แกล้งใส่รา้ ยป้ายสีผอู้ นื่ เพอื่ ลาภสกั การะ การเป็นคนใชก้ ็ยงั ดีกวา่ ตกนรก จึงช่วยหยิบแล้ว และผลประโยชนอ์ นื่ ๆสาหรบั ตัวเองและพวก ส่งให้ ในภพชาติต่อมา เธอจึงเกิดมาเป็นคนใช้ พอ้ งวา่ จะมีมากแค่ไหน แล้วพวกนักบวช ตลอด ๑๐๐ ชาติ เหลา่ นั้น จะรหู้ รือไมว่ า่ จะเกดิ อนั ตรายตอ่ การ ภิกษรุ ูปนีก้ เ็ ช่นกัน ถา้ ไมม่ บี ญุ เก่าช่วย ปฏบิ ัติธรรมอย่างไร และเกิดผลกรรมอะไรบา้ ง ไว้ คงคิดไม่ได้ แก้ไขไมท่ ัน มีอนั เป็นไปกอ่ นสาย ตามมา เกนิ แก้  อัง.เอก.(แปล) ๒๐/๓๒ และอรรถกถา เรื่องพระนางสามาวดี

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๑๒ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอรยิ เจ้า ๓.ความต่างระหว่างอรยิ ชน ๔. เปล่ียนวกิ ฤตใหเ้ ป็นโอกาส กบั ปถุ ุชนเม่ือโดนนินทา บุคคลเมอื่ ได้บรรลุธรรมขัน้ สูงสดุ เป็น ทา่ นพระสารีบตุ ร แม้ได้ปฏบิ ตั ิธรรม จน พระอรหนั ต์ หมดกเิ ลสอาสวะ ไมโ่ กรธไมเ่ กลียด สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ละบญุ และบาปทจี่ ะ ไมม่ คี วามรักหรือเกลยี ดชัง ไมม่ คี วามยินดี ยิน นาไปเกิดในชาตหิ นา้ และชาติต่อๆไปไดห้ มดสนิ้ ร้าย มีจิตเป็นกลางต่อสรรพส่งิ นิ่งสงบไม่ แล้ว แต่เศษกรรมเก่าบางอยา่ งท่จี ะสง่ ผลใน กระเพ่อื มไหวเหมอื นจิตของทา่ นพระสารบี ตุ รซงึ่ ชาติปัจจบุ นั แม้อรหัตผล ก็ละไมไ่ ด้ แต่ท่าน เปรียบเสมอื นแผ่นดนิ เสมอดว้ ยน้า ไฟ ลม ผา้ เผชิญหน้ากับกรรมเกา่ ด้วยใจทีเ่ ป็นกลาง เช็ดธลุ ี เดก็ จัณฑาล โคอสุ ภะเขาขาด ความอดึ จิตไม่หวน่ั ไหว ใจไมก่ ระเพ่อื ม นิ่งสงบ แล้วพลัง อัดด้วยกายอันเหมน็ เน่าเหมือนซากงู และการ กรรมเก่าก็ส้นิ สุดดว้ ยปญั ญา และไมไ่ ดส้ ร้าง บริหารกายนี้ประดุจถาดใส่มันขน้ หมดมานะ กรรมใหม่ขึน้ มาอกี ไมถ่ อื ตัว พร้อมท่ีจะให้อภัยแก่ผู้ลว่ งเกนิ ทกุ เมอ่ื สว่ นปถุ ุชน เมื่อถูกนินทาใส่ร้ายปา้ ย ไม่มี ผ้มู ปี ัญญา ยอ่ มแก้ไขสถานการณไ์ ดเ้ สมอ แม้ ปัญญารเู้ ท่าทันกรรมเกา่ เกิดกเิ ลสไมพ่ อใจ ดา่ เกดิ วกิ ฤต ก็เปลยี่ นเปน็ โอกาสแหง่ การแสดง ตอบ ใส่ร้ายป้ายสีกลบั กรรมเกา่ กไ็ ม่หมด ธรรม เพอ่ื ประโยชน์สุขแก่คนรอบข้าง เชอื้ แถมซา้ ยงั สร้างกรรมใหมเ่ พมิ่ อีก วงจร แหง่ กิเลส กรรม วบิ าก ยอ่ มไม่สน้ิ สดุ เพราะยัง ๕. คนดีชอบแกไ้ ข ไมไ่ ด้ดวงตาเหน็ ธรรม คนทม่ี บี ญุ บารมีอยา่ งมาก คนปัญญาไวแก้ไขได้ทนั ระดับทา่ นพระสารีบตุ ร ยังโดนใส่ร้าย แลว้ คน ภิกษุรูปนี้ เมอื่ ทาผดิ ตอ่ ท่านพระสารีบุตร ทัว่ ไปอย่างเราๆท่านๆ หรือจะพ้นคนนินทา แตเ่ พราะมีบุญเก่าหน่นุ นา เกิดสติปัญญาคดิ ได้ ฉะนั้น ผู้เปน็ บณั ฑิตทั้งหลาย โปรดเอา จึงไหวตัวทนั ยอมรบั ผดิ ดว้ ยใจกลา้ หาญ คดิ พระเถระเป็นตัวอยา่ ง เม่อื ถูกนนิ ทาว่าร้าย ไม่ แก้ไขความผิดพลาดนั้น ไม่ปล่อยไว้เนิ่นนาน จน ควรหว่ันไหว คิดเสียวา่ คาใสร่ า้ ยปา้ ยสขี อง สายเกินการ ถือวา่ โชคดีอย่างมาก อะไรคือ ศตั รู คือ ยาชูกาลงั ใจ จงย้ิมไว้เมือ่ ภัยมา ยม้ิ เหตุผลทีภ่ กิ ษรุ ปู น้ี ทั้งๆท่ีพูดใสร่ า้ ยปา้ ยสที ่าน สหู้ มภู่ ัยพาล ยิ้มหวานเมอ่ื เจอภยั มารไมม่ ี พระสารบี ุตร แต่กลับไปกราบขอขมาโทษกบั บารมีกไ็ ม่กลา้ มารมาเพื่อทดลองบารมี พระพทุ ธองค์ ไม่ขอโทษต่อพระเถระโดยตรง มารหนเี ม่อื บารมีแก่กลา้ ทงั้ นเี้ พราะ ภกิ ษุรปู นี้ ได้ฟอ้ งต่อพระพักตร์และ เพราะมคี วามเคารพยง่ิ ต่อพระศาสดาเหมอื น

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๑๓ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจ้า ฉตั ตปาณิอบุ าสก อริยสาวกอนาคามี ขณะท่ี สารีบตุ รเถรสีหนาท นง่ั ฟังธรรมตอ่ หน้าพระศาสดา ถึงแมพ้ ระเจ้าปสั เสนทิโกศล มหาราชแหง่ แคว้นโกศล เสด็จมาเข้า ...ตลอดพุทธเขต ยกเวน้ พระผูม้ ีพระภาคผศู้ ากยะ เฝา้ เพอ่ื ฟังธรรม แตก่ ไ็ ม่ลกุ ข้ึนต้อนรับ เพราะมี ผูป้ ระเสริฐ ข้าพระองค์เปน็ ผู้เลศิ ด้วยปญั ญา ไมม่ ีผู้ ความเคารพย่ิงตอ่ พระศาสดา ฉันใดก็ฉันน้นั เช่นกับข้าพระองค์ ขา้ พระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ เหมือนกัน ถึงความสาเรจ็ แหง่ ฤทธ์ิวันนี้ เมอื่ ต้องการจะเนรมิต คน ๑,๐๐๐ คนกไ็ ด้ พระผมู้ ีพระภาค เป็นผู้ตรัส อริยปุ วาทกรรมในกรณีของภกิ ษรุ ูปน้ี สอนแก่ข้าพระองค์ นิโรธสมาบัติเป็นท่นี อนของข้า แม้จะมีโทษรนุ แรงถึงขนาดเสยี ชีวติ แต่ พระองค์ ข้าพระองค์มีทิพยจักษบุ รสิ ุทธ์ิหมดจด เพราะอยู่ตอ่ พระพกั ตร์ของพระพทุ ธเจ้า จึงแก้ไข ได้ทันท่วงที ด้วยการขอโทษ ใหท้ า่ นยกโทษให้ ขา้ พระองคเ์ ป็นคนมคี ารวะอยา่ งสงู สดุ จงึ กลับร้ายกลายเปน็ ดี เปลย่ี นอริยุปวาทกรรม เพราะได้บรรลสุ าวกบารมญี าณดว้ ยความรู้ ซง่ึ มีผลรุนแรงเหมือนอนนั ตรยิ กรรมใหก้ ลบั มา ขา้ พระองคม์ ีจติ อนุเคราะหเ์ พื่อนสพรหมจารีด้วย เปน็ ปกติ ไม่เป็นอปุ สรรคต่อการเกิดในสวรรค์ ศรัทธาทุกเมอื่ ขา้ พระองค์ละทงิ้ ความถือตัว และ หรอื ไมป่ ิดกั้นมรรคผลนิพพาน เหมือนคนดม่ื ยา ความเย่อหยิ่งแลว้ ดุจงูถูกถอนเขีย้ วเสยี แลว้ (หรอื ) พษิ ชนดิ ร้ายแรง แต่ได้หมอเทวดาและยาวิเศษ ก็ ดุจโคอุสภะตวั เขาหกั เสียแล้ว เขา้ หาหมู่คณะด้วย ช่วยถอนพิษรา้ ย คลายพษิ หนักใหค้ นไขห้ ายได้ ความเคารพหนักแนน่ หากปัญญาของขา้ พระองค์จะ และปลอดภัย ไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ ชวี ิต พึงมีรปู ร่าง กจ็ ะต้องเสมอกบั พระเจ้าแผ่นดนิ ทง้ั หลาย น้ีเป็นผลของการชมเชยพระญาณของพระผมู้ พี ระ  ป.ธ. (แปล) ๓/๖๔-๗๐ เรอื่ งฉัตตปาณอิ ุบาสก ภาคพระนามว่าอโนมทสั สี ขุ.อป. (แปล) ๓๒/๕๖ สารปี ุตตเถราปทาน

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๑๔ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจ้า อรยิ ปุ วาท เร่ืองท่ี ๑๕ พอรงุ่ เช้าของวนั ใหม่ พระโกกาลิกะ รบี เดินทางเขา้ ไปในตวั เมือง บอกอุบาสกและ พระโกกาลกิ ะดา่ พระอคั รสาวกท้ังสอง๑๑๑ อบุ าสิกาให้เตรยี มปัจจัย ๔ ไปถวายแด่พระอัคร สาวก ถูกพวกญาตโิ ยมตอ่ ว่าว่า ทาไม เพงิ่ มา พระโกกาลกิ ะรูปนี้ เปน็ บุตรชายของ บอกเรอ่ื งนี้ พระโกกาลิก แสรง้ พูดแกต้ วั ไปวา่ โกกาลกิ เศรษฐี แห่งเมืองโกกาลกิ ะ ในแควน้ ถงึ บอกไปก็แค่น้ัน พวกโยมไม่เหน็ ภิกษุ ๒ รูปที่นงั่ โกกาลิกะ ได้มาบวชเปน็ เจา้ อาวาสในอารามซ่ึง บนเถรอาสนห์ รือ นั่นแหละพระอัครสาวกท้ังสอง บดิ าเป็นผู้สร้างไว้ พระอัครสาวกทงั้ สอง คือ เหล่าอุบาสกและอุบาสิกา พอรู้แล้ว ต่างพากัน ท่านพระสารบี ตุ รและท่านพระมหาโมคคลั ลานะ ถือเอาเนยใส นา้ ออ้ ยและผ้าจวี ร เปน็ ตน้ เพ่ือ พรอ้ มด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปจาริกไปใน นาไปถวาย ชนบท เม่อื ใกลถ้ ึงวนั เข้าพรรษา ประสงคจ์ ะอยู่ อยา่ งสงบเป็นส่วนตัว จึงสง่ พวกพระลูกศิษย์ แทจ้ รงิ แลว้ พระโกกาลิกะ ก็รู้ดีวา่ ท่าน กลบั ไปยังสถานทเ่ี ดมิ สว่ นท่านทงั้ สอง เดนิ พระอัครสาวกทั้งสอง เป็นผู้มกั น้อยสันโดษ จะ จาริกตอ่ ไปจนถงึ เมืองโกกาลกิ ะ และต้ังใจจะเขา้ ไมร่ บั วตั ถุสิ่งของตา่ งๆทีไ่ ดม้ าดว้ ยวิธนี ี้ เพราะผิด จาพรรษาทวี่ ัดของพระโกกาลิกะแหง่ น้ี วนิ ัย แตเ่ ม่อื พระเถระทั้งสองไม่รบั กต็ อ้ งบอกให้ นาไปถวายภิกษเุ จ้าอาวาส ดังนัน้ ภกิ ษุรปู นี้ จึง ในฐานะเป็นเจ้าอาวาส พระโกกาลกิ ะ ก็ วางแผนรบี ไปบอกให้พวกอบุ าสกและอบุ าสิกา ได้ทาการต้อนรับเปน็ อย่างดี ทา่ นทั้งสอง พากนั ถือวัตถสุ ิง่ ของต่างๆน้นั ไปถวายพระอัคร ไดแ้ จ้งวัตถปุ ระสงคแ์ ละเหตุผลทจ่ี ะจาพรรษาใน สาวก พระเถระทัง้ สอง ทราบเป็นอย่างดีว่า วดั แหง่ น้ใี ห้พระโกกาลกิ ะรบั ทราบ โดยหา้ ม ไม่มใี ครรวู้ า่ ท่านทั้งสองได้จาพรรษาอยู่ทวี่ ดั แห่ง ไม่ให้บอกใคร แม้พวกอบุ าสกและอุบาสกิ าก็ นแ้ี นน่ อน แตอ่ บุ าสกและอุบาสิกาเหลา่ น้ี ร้ไู ด้ ตาม หลงั ออกพรรษา ปวารณาแล้ว พระอัคร อย่างไร ถา้ ไมใ่ ช่พระโกกาลิกะเปน็ ผ้บู อก การ สาวกทัง้ สองจงึ เดินมาบอกลาเจ้าอาวาส พระ รับอาหารบณิ ฑบาตโดยวธิ ีนผี้ ิดอาบัติ จงึ โกกาลกิ ะ กราบเรยี นให้ทา่ นทัง้ สองพกั อยตู่ ่ออีก พูดห้ามวา่ “อาตมาท้ังสอง รับประเคนส่ิงของ วันหน่งึ คอ่ ยออกเดนิ ทางพรงุ่ น้ีเชา้ เหลา่ นี้ ไมไ่ ด้ ถงึ แม้พระโกกาลกิ ะเอง กร็ ับไมไ่ ด้ เหมือนกัน” พดู แลว้ ทา่ นกอ็ อกเดนิ ทางไป ฝ่าย ๑๑๑ สัง.ส. (แปล)๑๕/๒๔๙-๒๕๒ โกกาลกิ สตู ร, พระโกกาลิกะ เกิดความไม่พอใจพระอคั ร อัง.ทสก. (แปล) ๒๔/๒๐๑-๒๐๖ ดู โกกาลกิ สูตรและอรรถกถา สาวกทง้ั สองท่ีพดู ตดั หนา้ ตัวเองเชน่ น้ัน พระโกกาลกิ ะนี้ เปน็ คนละคนกบั ลูกศษิ ย์ของพระเทวทตั แต่ชอ่ื ซา้ กนั เท่านั้น คอื ลกู ศษิ ย์ของพระเทวทตั ชือ่ มหาโกกาลิกะ (มพี ่อเป็น  ดูคาอธิบายหนา้ ๑๘ พราหมณ์) ส่วนพระรปู น้ี ช่อื จฬู โกกาลกิ ะ(โกกาลิกะเลก็ )

อริยปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๑๕ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจา้ เน่อื งจากเสียดายวตั ถุส่งิ ของท่ญี าติโยมที่นามา ในวันน้ัน พระโกกาลิกะกอ็ ยู่ในพิธนี น้ั ถวาย จงึ คดิ ตาหนใิ นใจวา่ “จะถือเครง่ ครัด ดว้ ย พอได้เห็นเหตุดงั นัน้ จึงคิดตาหนิพระอคั ร อะไรกนั นกั กันหนา ไอ้เร่อื งแคน่ ี้ ถ้าพระอัครสาวก สาวกอกี วา่ ไมร่ บั เอง กไ็ ม่เหน็ เป็นไร แล้วทาไม จงึ ไม่บอกให้ “ครง้ั ก่อน พระอคั รสาวก เป็นผู้มกั นอ้ ย พวกญาติโยมนามาถวายเราก่อน แลว้ คอ่ ยออก แต่ตอนน้กี ลับกลายเปน็ คนมกั มาก ในคร้ังกอ่ น เดินทางไปก็ได”้ คงทาทีเปน็ เหมือนคนมกั น้อยสันโดษและชอบสงัด พระอัครสาวกท้งั สองเมื่อออกเดินทางไป แตจ่ ริงๆ ไม่ใช่เปน็ ดังทีต่ าเราเหน็ ” จงึ เดนิ เขา้ ไปหาพระอัครสาวกทั้งสอง แล้ว ก็ไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแลว้ ต่อมา แล้วพูดตาหนิตรงๆวา่ ก็ได้พาพวกพระลกู ศษิ ยจ์ ารกิ ไปตามชนบท แล้ว “ท่านขอรับ คร้ังก่อน พวกท่านท้งั สองดู กลับมาถงึ เมืองโกกาลิกอีกเปน็ คร้งั ทส่ี อง เหมอื นเปน็ ผู้มักน้อย แต่ตอนน้ีกลับกลายเปน็ คน คราวนี้ พวกอุบาสกอุบาสิกาจาพระ มกั มากเสียแล้ว” เถระได้ ต่างกพ็ ากนั ตระเตรียมวัตถุสิง่ ของตา่ งๆ หลังจากดา่ แล้ว ยงั คิดทจ่ี ะเปดิ โปงเรอ่ื ง อนั ควรแกพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ แลว้ สรา้ งมณฑปกลาง นแ้ี ละทาลายชอ่ื เสียงของท่านดว้ ย จึงรบี ออก เมอื ง ถวายทาน และน้อมส่งิ ของตา่ งๆเขา้ ไป เดนิ ทางไปเมืองสาวัตถี เพ่ือทลู ฟ้องพระศาสดา ถวาย พระอัครสาวกทัง้ สองได้มอบถวายแก่ พระพทุ ธองค์พอทอดพระเนตรเห็นพระ ภิกษสุ งฆ์ เพ่ือเป็นของส่วนกลาง โกกาลิกะกาลังเดนิ มาอยา่ งรีบดว่ น กท็ รงทราบ ดว้ ยพระญาณทันทีว่า “พระโกกาลิกะต้องการมา ฟอ้ งเร่ืองอัครสาวกของเรา และทรงรูว้ า่ ไม่อาจ หา้ มภกิ ษุน้ีได้ เพราะกอ่ นหนา้ น้ีเคยดา่ สารีบตุ รและ โมคคัลลานะมาแลว้ ทีม่ าเขา้ เฝา้ ครั้งน้ี กเ็ พือ่ มาดา่ ตอ่ หน้าเราตถาคตอกี และหลังจากมรณภาพแลว้ จะไปเกดิ ในปทุมนรกอย่างเดียวเท่าน้ัน แตเ่ พือ่ ป้องกนั คาครหาจากผอู้ ่ืนที่จะพดู ตาหนิเอาไดว้ ่า พระพทุ ธองค์ทรงรอู้ ยู่ แต่ไมท่ รงหา้ ม จงึ จะตรัสหา้ มไว้เพียง ๓ ครั้ง” เม่ือไดเ้ ขา้ เฝา้ แล้ว พระโกกาลิกะ จงึ รบี กราบทลู ทันทวี า่

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๑๖ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ้เู จรญิ ทา่ นพระสารบี ตุ ร เวลาเย็นขณะที่พวกอบุ าสกอบุ าสกิ าพากันมา และท่านพระโมคคลั ลานะ กลายเปน็ คนมกั มาก ฟงั ธรรม เห็นเข้าตา่ งกพ็ ดู ตาหนวิ า่ และถูกความมกั มากครอบงาไปเรียบร้อยแลว้ พระ “โธ่เอย๊ พระโกกาลิกะ ไมน่ ่าดา่ พระอคั ร เจ้าขา้ ” สาวกทง้ั สองเลย เพราะปากของตนเองแท้ๆ จึง เมอ่ื พระโกกาลกิ ะกราบทูลอยา่ งน้แี ลว้ ฉบิ หายวายวอดอยา่ งน”้ี พระพุทธองค์ ตรัสห้ามว่า บรรดาอารกั ขเทวดาทท่ี าหนา้ ท่ีดแู ลวดั “โกกาลิกะ เธออย่ากลา่ วอย่างนั้น เธอจง ได้ฟงั คานนั้ แลว้ ต่างก็พากนั ติเตียน แมพ้ วก ทาจติ ให้เลื่อมใสในสารบี ุตร และโมคคลั ลานะเถิด อากาศเทวดาได้ฟงั เสยี งของอารักขเทวดา ก็ติ เพราะสารีบตุ รและโมคคัลลานะ เปน็ ผู้มีศลี เปน็ ที่ เตียนเป็นเสยี งเดียวกนั จนถงึ พรหมโลกช้นั อก รกั ” นิฏฐภพสงู สดุ พระโกกาลกิ พูดตาหนพิ ระอัครสาวก ในขณะทีพ่ ระโกกาลกิ ะกาลังนอนป่วย อยา่ งนี้ถงึ ๓ ครง้ั และพระพทุ ธเจา้ ก็ทรงห้ามไว้ อย่างหนักที่ซุ้มประตูวดั นน้ั จตทุ พี รหม๑๑๒ ซึ่ง ถงึ ๓ ครง้ั เชน่ กนั พอพระโกกาลิกะพดู ตาหนิ เคยเป็นพระอุปัชฌาย์ของภิกษุน้สี มัยทีเ่ ปน็ เสรจ็ จึงลกุ ขนึ้ จากอาสนะ ถวายอภวิ าท กระทา มนษุ ย์ ได้บรรลอุ นาคามิผล ตายแล้วไปบังเกดิ ประทกั ษิณ แลว้ เดนิ จากไป เป็นพรหมช้นั สุทธาวาส ได้ฟังคาติเตยี นนั้น จึง ด้วยพุทธานภุ าพ อรยิ ุปวาทกรรมอยา่ ง มาเพอื่ เตือนสติพระโกกาลกิ ะ ยืนพดู อยูก่ ลาง หนกั เช่นน้นั ยังไม่ได้สง่ ผลตอ่ ร่างกาย เพราะอยู่ อากาศว่า “พระคุณเจ้าโกกาลกิ ะ ท่านจงทาจติ เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า แตเ่ ม่อื โกกาลกิ ใหเ้ ล่อื มใสในทา่ นพระสารบี ุตรและท่านพระโมค ภกิ ษุ พน้ จากสายพระเนตรไปแล้วไมน่ าน คลั ลานะเถิด เพราะทา่ นพระเถระท้ังสอง เป็นผู้มี บาปกรรมนี้ กเ็ ร่ิมส่งผล ทาให้ตุ่มผุดขนึ้ ตาม ศีลเปน็ ทร่ี กั ” รา่ งกาย มีตุ่มเล็กๆ ขนาดเท่าเมลด็ พนั ธผุ์ กั กาด พระโกกาลกิ ถามวา่ “ทา่ นเปน็ ใคร” ขน้ึ ทวั่ รา่ งกาย แล้วคอ่ ยๆโตข้นึ เท่าเมล็ดพนั ธ์ พรหมตอบวา่ “เราเปน็ ตทุ ุปจั เจกพรหม” พระโกกาลิกะ พดู ต่อไปอกี วา่ “ท่าน ผกั กาด เมล็ดถวั่ เขียว เมล็ดถัว่ ด้า เมล็ดพุทรา เมลด็ กระเบา ผลมะขามป้อม ผลมะตมู อ่อน และ ไดร้ ับพยากรณจ์ ากพระผู้มพี ระภาคว่า เปน็ โตขนึ้ เทา่ ผลมะตมู แก่ แล้วก็แตกเยิ้ม หนองและ อนาคามีแล้วมิใชห่ รอื เม่ือเปน็ เช่นนี้ ทาไมท่าน เลอื ดหลงั่ ออกมาเหมอื นขนนุ สกุ จงึ มาที่น้อี ีก ทา่ นจงเห็นว่า นเ้ี ป็นความผิดของ พระโกกาลิกะ มแี ผลเป่ือยเน่าท่ัวทงั้ ตวั ทา่ นนะ” เจบ็ ปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถึงขนาดเดิน ไม่ได้ ตอ้ งนอนซมท่ีซุ้มประตูวดั พระเชตวนั ๑๑๒ สัง.ส. (แปล) ๑๕/๒๔๗ ตุทุพรหมสตู ร

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๑๗ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจา้ พระโกกาลิกะ ไม่เชอ่ื คาของพรหมนั้น ๒๐ อัพพทุ นรก เปน็ ๑ นิรัพพุทนรก ต่อมาอีกไมน่ าน กไ็ ด้ถกู แผน่ ดินสบู มรณภาพ ๒๐ นริ ัพพุทนรก เป็น ๑ อพัพพนรก ดว้ ยจิตทเ่ี ศรา้ หมอง ไปบงั เกิดในปทมุ นรก ๒๐ อพพั พนรก เป็น ๑ อุหหนรก เพราะโกรธไม่พอใจต่อท่านพระสารีบุตร และ ๒๐ อุหหนรก เป็น ๑ อัฏฏนรก ทา่ นพระโมคคัลลานะ ๒๐ อัฏฏนรก เปน็ ๑ กุมุทนรก ตอนเที่ยงคนื ทา้ วสหัมบดพี รหม๑๑๓ ๒๐ กุมทุ นรก เป็น ๑ โสคนั ธิกนรก เขา้ ไปเฝา้ พระผู้มพี ระภาค ถวายอภิวาทแลว้ ๒๐ โสคันธิกนรก เป็น ๑ อุปปลนรก ยืนอยู่ ณ ทสี่ มควร ไดก้ ราบทูลว่า “ขา้ แต่ ๒๐ อุปปลนรก เป็น ๑ ปณุ ฑรกิ นรก พระองคผ์ เู้ จรญิ โกกาลกิ ภิกษุมรณภาพแลว้ ไป ๒๐ ปณุ ฑรกิ นรก เปน็ ๑ ปทมุ นรก เกดิ ในปทุมนรก เพราะมีจติ ผูกอาฆาตในท่าน โกกาลิกภกิ ษุ ไปเกิดในปทุมนรกแล้ว พระสารบี ุตรและท่านพระโมคคลั ลานะ” เพราะมีจิตผกู อาฆาตในสารบี ุตรและโมคคลั ลานะ” รุ่งเชา้ พระผมู้ พี ระภาคเจ้า ได้ตรสั เรื่อง คร้ันแล้ว พระพทุ ธองค์ จึงไดต้ รัสสรุปผล ท้งั หมดใหภ้ ิกษุท้งั หลายฟังอกี คร้ัง พอตรสั เลา่ กรรมแห่งการดา่ พระอริยเจา้ ไวว้ า่ เสรจ็ ภิกษรุ ปู หนึง่ ได้ทูลถามถึงระยะเวลาใน “ผรสุ วาจา เปน็ เหมือนผ่ึง เคร่อื งตัดตน ปทมุ นรก พระพุทธองค์ ตรัสตอบวา่ “ภกิ ษุ ของคนพาลผกู้ ล่าวคาช่ัว ย่อมเกิดที่ปากของบุรษุ ระยะเวลาในปทมุ นรกนั้นยาวนานมาก ยากท่ีจะ ผู้ใดสรรเสริญคนทีค่ วรติเตียน หรือติเตียนคนทคี่ วร คานวนได้ว่า เปน็ ก่ีร้อย กี่พัน หรอื กแ่ี สนป”ี สรรเสรญิ ผู้นั้นช่ือวา่ สั่งสมความผิดไว้ดว้ ยปาก ภิกษรุ ูปนน้ั ไดก้ ราบทูลขอใหพ้ ระองค์ ย่อมไมป่ ระสบความสุข เพราะความผิดนัน้ การ ทรงยกตวั อย่างเปรยี บเทียบ พระพุทธองค์ ทรง ปราชยั ดว้ ยทรพั ย์ ในการเลน่ การพนนั จนหมดตัวนี้ ตรสั อปุ มาเปรยี บเทยี บวา่ “หนงึ่ เกวียนที่บรรจุ เปน็ ความผดิ เพยี งเล็กน้อย แตก่ ารทบ่ี คุ คลมใี จ เมลด็ งาของชาวโกศลมอี ัตรา ๒๐ ขารี พอล่วง ประทษุ ร้ายในบคุ คลผู้ดาเนินไปดีแล้วน้เี ทา่ นน้ั เป็น ไป ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงนาเมลด็ งาออก จากเกวียน ความผิดมากกวา่ บุคคลผู้ตงั้ วาจาและใจอันชั่ว ติ นน้ั หนง่ึ เมล็ด เมลด็ งาหนงึ่ เกวยี นของชาวโกศล เตยี นพระอรยิ ะ ย่อมเขา้ ถึงนรกสิ้น ๑๓๖,๐๐๐ ซง่ึ มอี ัตรา ๒๐ ขารีนั้น จะพงึ หมดไปโดยทานอง นริ พั พุทกัป กับอีก ๕ อัพพุทกปั ” นเ้ี ร็วกวา่ แตว่ ่า ๑ อัพพทุ นรก หาหมดไปไม่ ๑๑๓สหัมบดีพรหมทา่ นนี้ ในอดตี ชาตเิ ป็นภิกษุชอื่ วา่ สหกะ ในสมัย พระกัสสปพทุ ธเจ้าเป็นพระอนาคามี ไปบงั เกดิ ในพรหมโลกชน้ั สุทธาวาสเ ปน็ มหาพรหมผยู้ ิง่ ใหญ่ เรียกวา่ สหมั บดพี รหม

อรยิ ปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๑๑๘ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอริยเจา้ ขอ้ คิด...คติธรรม ร้อยแล้ว และไม่ใช่พดู ตาหนิพระอรหันต์ ธรรมดา แต่เป็นการกล่าวตู่พระอรหนั ต์ระดบั ๑.พระตกนรก พระอัครสาวกท้งั สององค์ด้วย ซึ่งได้บาเพญ็ ครงั้ แรกท่ีพระอัครสาวกทั้งสองเขา้ มาพกั บารมีมาแล้ว ๑ อสงไขยกับอกี แสนกปั แคพ่ ดู อาศยั ในวัดแห่งนี้ พระโกกาลิกะเอง ก็ถวายการ ล่วงเกินทา่ นพระสารีบุตรองค์เดยี วก็เป็น ต้อนรับอย่างดตี ลอดพรรษา เพราะคงไดย้ นิ ได้ กรรมหนกั มากพอท่จี ะทาให้ถงึ แกช่ วี ติ ได้ ฟังมาก่อนแล้วว่า ท่านทง้ั สองเปน็ อคั รสาวก เหมือนกรณีภิกษรุ ูปหนง่ึ เคยพูดใส่รา้ ยป้ายสีพระ และเปน็ พระอรหันต์ ไม่มีกเิ ลส แต่เพราะเห็นแก่ เถระจนเกอื บมีอันเปน็ ไปถึงขนาดเสียชีวิต แต่ ลาภสักการะและความเหน็ แกไ่ ด้ เห็นแก่ เพราะได้ขอโทษ ทุกอย่างจึงปลอดภัย สว่ นพระ ปากท้อง พระโกกาลกิ ะ จงึ เกดิ ความไมพ่ อใจ โกกาลกิ ะ ได้พูดตาหนติ เิ ตยี นพระอคั รสาวกทงั้ และคดิ ตาหนพิ ระเถระทงั้ สองทพ่ี ดู หา้ มไม่ให้รับ สอง จึงเปน็ อริยุปวาทกรรมทมี่ ผี ลเขม้ ข้น ส่ิงของที่โยมนามาถวายซึ่งทาใหแ้ ผนการณ์ของ และรนุ แรงสดุ ๆ ทา่ นท่ีวางเอาไว้ลม้ เหลว ในกาลต่อมา พระโกกาลิกะไดม้ าเห็น วิบากกรรมนี้ จงึ ส่งผลทนั ตา ทาให้ภิกษุ เหตุการณท์ พ่ี ระอัครสาวกท้งั สองรบั เคร่อื งไทย รปู นหี้ ลงผดิ จิตมดื บอดย่งิ ๆขึน้ ไป คือ ทาให้เห็น ธรรมทีไ่ ม่ผดิ หลกั พระวินัยซ่ึงญาตโิ ยมนามา ดีเปน็ ช่วั เห็นถูกเปน็ ผิด เห็นกงจักรเป็น ถวายต้งั มากมาย แต่เพราะไม่ฉลาดในวินยั ดอกบัว เห็นพระอรหนั ต์เป็นเพียงแค่พระ จงึ ไม่รจู้ ักแยกแยะว่าตอนไหนถกู หรอื ผิด ปุถชุ นธรรมดารูปหนึ่ง ไมม่ ีคณุ วเิ ศษอะไร คร้ังแรกที่ทา่ นไม่รับเพราะอะไร และคร้งั นที้ า่ น อีกทัง้ ไมร่ ูต้ วั เองวา่ ได้กล่าวอริยุปวาทเขา้ แล้ว รับเพราะอะไร แล้วคิดตาหนิติเตียนท่านทั้งสอง กลบั สาคญั ผดิ คดิ ว่า พระอัครสาวกทงั้ สองยงั มี เพราะกิเลสครอบงา้ จิตใจ จงึ ทา้ ให้เกดิ ความ ความโลภ เห็นแกไ่ ด้ ซ่ึงควรแกก่ ารตาหนิและ หลงผิด แลว้ กลา้ พูดต้าหนพิ ระอคั รสาวกทงั้ สอง ประจาน กลา้ ดีถงึ ขนาดเดนิ ทางไปฟอ้ งเร่ืองน้ีตอ่ ตรงๆต่อหนา้ วา่ “เปน็ คนมักมากและถูกความ พระพกั ตร์ของพระศาสดา โลภครอบงา้ ” พระโกกาลิกะเพยี งพูดตาหนิ ประโยคสั้นๆแคน่ ้ี ชอ่ื ว่า ไดท้ าอริยปุ วาทเรียบ เปน็ ธรรมดา เมื่อกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะและจิตคดิ จะไปที่เกดิ ขนึ้ แล้ว บรรเทาได้  ไมใ่ ชเ่ พียงพระจฬู โกกาลกิ ะรปู นีเ้ ท่านนั้ ที่ดา่ พระอคั รสาวกทงั้ สอง ยาก ห้ามไดย้ าก๑๑๔ ดังน้ัน พระโกกาลกิ ะ จงึ รีบ แม้พระมหาโกกาลกิ ะ ผู้ทเี่ ป็นพรรคพวกกบั พระเทวทัต ก็ดา่ ท่านพระ เดนิ ทางไปเขา้ เฝา้ แม้พระพุทธองคจ์ ะทรงห้าม สารบี ุตรและทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะดว้ ยประโยคเดียวกนั น้ี ดังน้ัน ไว้ถึง ๓ คร้งั แตพ่ ระโกกาลกิ ะก็ไม่ฟัง เป็นอันวา่ คนประเภทเดียวกนั จึงคบกันได้ เขา้ กนั ได้และไปด้วยกันได้ ดูรายละเอยี ดใน วิ.จฬู . (แปล) ๗/๒๐๕ ๑๑๔ องั .ปัญ. (แปล) ๒๒/๒๖๔ ทุปปฏวิ โิ นทยสตู ร

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๑๙ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ พระโกกาลิกะได้พดู ตาหนพิ ระอคั รสาวกทงั้ กลบั หลงเข้าใจผดิ คดิ ว่า ผทู้ ่เี ป็นอนาคามเี ม่ือ สองถงึ ๔ คร้ัง ตอ่ หน้าพระเถระทัง้ สอง ๑ ครัง้ ไปเกดิ ในพรหมโลกแล้ว จะกลบั มาในโลก ตอ่ พระพกั ตร์ของพระพุทธเจ้า ๓ ครงั้ มนษุ ย์อกี ไมไ่ ด้ แล้วพูดตาหนิพรหมน้ันไปว่า เมอื่ บคุ คลผู้ประเสริฐสูงสดุ ระดบั พระ เปน็ ความผดิ ทก่ี ลบั มายังโลกน้อี ีก ศาสดาหา้ มไมไ่ ด้ แลว้ ใครในโลกในจักรวาล สุดทา้ ย พระโกกาลิกะผู้ใจบอดสนทิ นีจ้ ะห้ามภิกษรุ ปู น้ีได้ อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ ชนดิ รักษาไม่ได้ ก็มรณภาพไปด้วยใจยงั ผกู เป็นได้ ขณะทถ่ี ูกพระโกกาลกิ ะพูดตาหนิ พระ อาฆาตต่อพระอคั รสาวกท้งั สอง แลว้ ไปเกิดใน อคั รสาวกทง้ั สอง หรือพระภิกษสุ งฆท์ ี่อยู่ใกล้ ก็ ปทุมนรก ซ่งึ เป็นส่วนหนง่ึ ของอเวจนี รก ชดใช้ ไมไ่ ด้ห้ามและไม่ได้เตอื นสติ พวกท่านคงหยง่ั รู้ กรรมอยู่ในทนี่ ั้นอีกนานแสนนานเปน็ ลา้ นๆๆๆปี ด้วยญาณแลว้ ว่า ถงึ อย่างไร ก็ห้ามไม่ได้ จึง ซงึ่ นบั ชาตไิ ม่ถว้ น คานวนไมไ่ ดว้ ่า เปน็ ระยะเวลา ปล่อยไปตามกรรม อีกนานเท่าไหร่ถงึ จะพ้นจากนรกนี้ การพูดตาหนิท่านพระสารีบตุ รองคเ์ ดียว กเ็ ปน็ กรรมหนักแล้ว แต่นด้ี า่ ทัง้ สององค์ ผล ๒. ใกลเ้ กลือกนิ ดา่ ง กรรมยอ่ มเพิ่มอกี หลายลา้ นเท่า เพราะฉะนัน้ คนชัว่ ไม่ชอบคนดี อรยิ ุปวาทกรรมที่ทากับพระอคั รสาวกทั้งสอง จงึ คนมบี ญุ น้อย แมจ้ ะมีโอกาสอยู่ใกล้ชดิ เปน็ กรรมหนกั มาก เหมือนเชอื้ ไวรัส(HIV)เข้าสู่ กบั พระอรหันต์ แตก่ ไ็ มไ่ ดป้ ระโยชน์จากท่าน ร่างกาย ย่อมทาลายภูมติ า้ นทาน ทาให้ เหมอื นใกลเ้ กลือกินดา่ ง เหมอื นไก่ได้พลอย ภูมิคุม้ กันเหล่านี้เสอ่ื มและทางานบกพรอ่ งไป ตามกฎแหง่ กรรม คนชั่ว จะไมช่ อบคนดี ฉนั ใด แมอ้ รยิ ุปวาทกรรม กฉ็ นั น้นั เหมอื นกนั คอื มักจะไปชื่นชมนยิ มยกยอ่ งคนช่ัวด้วยกนั ทัง้ น้ี ทาลายภมู คิ ุ้มกนั คอื คณุ ธรรมหรอื บุญใหห้ มดไป เพราะคนช่วั จะเห็นคนช่ัวเปน็ คนดี เหน็ คนดเี ปน็ เพราะวา่ ร่างกายนี้ ถกู บญุ อุ้มชูเอาไว้ เม่อื คนไม่ดี ส่วนคนดี คอื บณั ฑิตนน้ั จะเหน็ คนช่ัว อานาจบญุ ถกู บาปทาลายหมดสน้ิ รา่ งกายก็ เปน็ คนชั่ว เห็นคนดีเป็นคนดีตรงตามเป็นจริง ดารงอยไู่ มไ่ ด้ ต้องแตกสลาย ดงั นน้ั เมื่อพระ ตามธรรมดา สงิ่ เหมอื นกันคลา้ ยกนั ย่อมดงึ ดูด โกกาลิกะเดนิ ลบั สายพระเนตรไป กรรมนี้ จงึ กัน สว่ นสิง่ ทแ่ี ตกต่างกนั ยอ่ มผลักดนั กนั คือ ชัว่ สง่ ผลทาให้เกิดโรคร้ายขนึ้ เกดิ เป็นตมุ่ นอ้ ย ดงึ ดดู ชั่ว ดดี ึงดูดดี แตช่ ่วั -ดผี ลักดนั กนั ไม่ว่าจะ ใหญล่ กุ ลามจนทั่วร่างกาย เปน็ อดตี ปจั จบุ ันหรืออนาคตก็ตาม ขณะทพ่ี ระโกกาลกิ ะกาลังนอนเจบ็ ปว่ ย อยา่ งหนักทซี่ ุ้มประตวู ดั น้นั จตุทีพรหม มาจาก พรหมโลกเพอ่ื จะกล่าวตักเตือน แต่ภกิ ษรุ ูปน้ี

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๐ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอรยิ เจ้า ๓.อนั ตรายของ ๔. คนใจบอด ลาภสักการะและชอ่ื เสยี ง ขณะทด่ี วงจนั ทร์วนั เพญ็ และดวงอาทิตย์ ลาภสกั การะ และชื่อเสียงท่ีเกิดแกผ่ ู้ สอ่ งแสงสว่างเจดิ จ้าบนท้องนภา แตค่ นตาบอด ประพฤติปฏบิ ัติธรรมเปรียบเสมอื นกงิ่ และใบ ยอ่ มมองไม่เห็น ฉนั ใด แม้พระโกกาลิกะก็ ของต้นไม้ ยังไม่ใชแ่ ก่น ไมใ่ ช่จุดหมายสงู สดุ ของ เหมือนกันฉนั นัน้ ถงึ จะอยตู่ อ่ หนา้ พระอัครสาวก การเข้าถึงธรรม แต่ถ้าส่งิ เหล่านี้เกิดแก่คนพาล ทง้ั สอง หามองเห็นคณุ ธรรมของทา่ นไม่ เพราะ คนโง่เขลาเบาปญั ญา ผทู้ ่หี ลงยินดีเพลดิ เพลนิ ตาใจบอด ไม่มีดวงตา คือ ปญั ญา มโี อกาสดี ยึดตดิ ในส่ิงน้โี ดยไม่มีปัญญาสลัดออก ย่อม อยา่ งมากท่ีได้อยู่ใกล้ชิดกบั พระอริยเจ้า แตก่ ็ นามาซึ่งความเส่อื มและโทษมากมายตอ่ การ ไม่ไดเ้ รยี นร้อู ะไรจากท่าน ประพฤตพิ รหมจรรย์เหมือนลาภสกั การะและ คนผูโ้ ง่เขลาเบาปัญญา เม่อื สิรเิ ขา้ มาหา ช่ือเสียงที่เกิดกบั พระเทวทัต ซ่งึ เปรียบเสมอื น แต่ไม่ได้ประโยชนจ์ ากสริ ินัน้ แถมซ้า ยงั กลับทา ผลกลว้ ยฆ่าต้นกลว้ ย ขุยไผฆ่ า่ ต้นไผ่ ดอก บาปเพิม่ อกี เหมอื นกรณีของลูกบางคนทีม่ ี อ้อฆา่ ต้นออ้ ลูกมา้ อสั ดรฆ่าแม่มา้ ๑๑๕ ลาภ โอกาสอยูใ่ กล้ชดิ กับพอ่ และแมซ่ ึ่งเปรียบเสมือน สกั การะก็ฆ่าคนโง่ให้ตายจากความดีฉะน้ัน พระอรหนั ต์ในบา้ น แทนทจ่ี ะหมนั่ ดแู ล ปรนนบิ ตั ิ เพราะเหตุน้ีเอง พระผู้มพี ระภาคตรัส รบั ใช้เอาใจใสเ่ ลย้ี งดูทา่ นให้ดี เพื่อจะไดบ้ ญุ อัน เปา้ หมายของการประพฤติธรรมไว้อยา่ งชัดเจน ย่ิงใหญ่ แต่กลับมาพูดจาดุดา่ ว่าล่วงเกนิ ทา่ น ไว้ว่า “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ประพฤติพรหมจรรยน์ ้ี มใิ ช่ แทนที่จะไดบ้ ุญ กลบั ไดบ้ าปแทน เพราะไมม่ ี เพ่อื จะลวงคน มิใช่เพอ่ื จะเกล้ียกล่อมคน มใิ ชเ่ พอื่ ปญั ญาในทางธรรมะนีเ้ อง เฉกเช่นนกบนิ อยู่ อานิสงส์ คือ ลาภสักการะและการสรรเสริญ มใิ ช่ บนฟา้ แตไ่ มเ่ ห็นฟ้า ปลาแวกว่ายในน้า แต่ เพอื่ ใหค้ นรวู้ า่ ‘คนจงรจู้ ักเราดว้ ยอาการอย่างน้ี’ ไมเ่ หน็ นา้ คนอยู่ในโลก แต่ไม่เห็นโลก คน แท้จริง การประพฤติพรหมจรรย์น้กี ็เพือ่ สงั วร ใจบอดอยใู่ กลพ้ ระอรหันต์ แต่ไม่เห็นพระ (สารวมระวงั ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจไม่ให้กิเลส อรหนั ต์ เหมือนครอบครัวของบางคนที่มพี ่ี เกดิ ) และเพื่อ ปหานะ(เพ่ือละกิเลสท่เี กิดขึ้นแลว้ ) นอ้ งชายหรอื หญิง เป็นพระอรยิ เจ้า แตส่ มาชกิ เท่านน้ั เหลา่ ชนผปู้ ฏิบัติตามแนวทางท่ีพระพุทธเจ้าทรง คนภายในครอบครัวน้ัน กใ็ ช่ว่าจะยอมรับและ แสดงแล้ว ชื่อว่า ทาตามคาสงั่ สอนของพระศาสดา ได้รับประโยชน์จากทา่ นเหมือนกนั หรือ เท่ากนั ทกุ คน ทง้ั นี้ เพราะแต่ละคนมวี บิ ากกรรมมาไม่ จกั ทาท่สี ุดแหง่ ทกุ ข์ได้”๑๑๖ เหมือนกัน ทุกคนย่อมคิดไดต้ ามพ้นื ฐานแห่ง กรรมท่เี คยทามา และเป็นไปตามกฎแหง่ การ ๑๑๕ วิ.จ.ู (แปล) ๗/๑๗๙-๑๘๐ ๑๑๖ ข.ุ อิต.ิ (แปล) ๒๕/๓๘๒-๓๘๕ ปฐมนกุหนสตู ร

อริยปุ วาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๑ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอรยิ เจ้า ดึงดูดและผลักดนั คือ ดดี งึ ดดู ดี เลวดงึ ดดู เลว ดี จริงแลว้ มันเปน็ การสญู เสียอนั ใหญห่ ลวง และเลวผลักดันกนั เพราะเป็นบาปมหนั ต์ ยากแกก่ ารแก้ไข เมื่อใจ ถกู โทสะทาลายแลว้ เพราะอรยิ ุปวาท ชอ่ื ว่า ๕. ไม่มใี คร ใหญ่เกนิ กรรม สูญเสยี หมดทุกส่ิงอยา่ ง เพราะบาปกรรมนี้ เมอ่ื อรยิ ปุ วาทกรรมอย่างหนัก กาลัง จะสืบตอ่ ใจไปจนนบั ชาติไม่ถว้ น ต้อง ส่งผล พระพทุ ธองค์ ผู้ทรงเปน็ สัพพญั ญู เป็น เสยี เวลาชดใชบ้ าปกรรมน้ีอีกยาวนาน โลกวิทู เป็นผู้เกง่ สูงสุดในจกั รวาล แมอ้ ยากจะ ช่วยเหลอื แตก่ ท็ าไมไ่ ด้ เนอ่ื งจากไมม่ ใี คร ๗. โรคกรรม สามารถหา้ มกรรมไมใ่ ห้ส่งผลได้ ท้ังนี้ เพราะไม่ หลังจากคิดจับผิดและพดู ตาหนลิ ่วงเกนิ มีใครเกง่ เกนิ กรรม ดังพทุ ธพจน์ท่ีว่า “นัตถิ กัม พระอคั รสาวกท้ังสองใหม่ๆ รา่ งกายของพระ มะสะมงั พะลงั ”แปลว่า ไมม่ ีพลงั อานาจอะไรที่ โกกาลิกะยังปกติดีอยู่ ไมไ่ ด้มีอะไรทแ่ี สดงใหเ้ หน็ จะเสมอเหมือนพลังกรรม พูดภาษาชาวบา้ นวา่ ว่า เจบ็ ป่วยไมส่ บาย แต่เม่ือพูดตาหนติ ่อพระ “ไมม่ ีใครเก่งเกนิ กรรม” พลงั แหง่ ฤทธทิ์ วี่ า่ แน่ พกั ตร์ของพระศาสดาอกี ๓ ครั้ง พอเดนิ ลบั สาย ยังพ่ายแพ้พลังกรรม คือ เม่อื บาปกรรมสง่ ผล พระเนตรจากไปไม่นาน บุญกศุ ลท่เี คยทามา พลงั ฤทธิ์ กส็ ้พู ลงั พลงั แห่งกรรมไม่ได้ ดงั เช่น และอุปถมั ภร์ า่ งกายใหค้ งอยู่ ได้สญู สลาย กรณโี ลหติ ุปบาท ทห่ี วั นว้ิ โปง้ ของพระพุทธองค์ หมดสน้ิ ไมเ่ หลอื และกรรมหนกั ที่เกดิ จาก ถกู สะเกด็ หนิ กระเด็นใสจ่ นห้อเลอื ดจากการ อรยิ ปุ วาทเร่ิมสง่ ผล ทาใหเ้ กดิ ความรุ่มร้อนใน กระทาของพระเทวทตั และทา่ นพระมหาโมคคัล จติ ใจอยา่ งมากจนทาใหร้ ่างกายมภี าวะผิดปกติ ลานะถกู พวกมหาโจรทบุ ตีจนรา่ งกายแหลกลาน เกดิ เป็นตมุ่ ขนึ้ ลกุ ลามไปท่ัวร่างกาย พร้อมทงั้ แม้ทา่ นจะมฤี ทธ์อิ ภิญญามากมาย แตก่ ็ไม่ ขยายใหญ่ขึ้นขนาดกาป้ันหรอื ผลมะตมู แก่ แลว้ สามารถจะหลีกเล่ยี งกรรมเกา่ ทีก่ าลงั สง่ ผลได้ แตกออก นา้ เหลือง หนองไหลเยิม้ รา่ งกายคง ออ่ นแอจนเดนิ ไม่ได้ ถึงขนาดต้องนอนซมอยขู่ า้ ง ๖.เสียทรัพย์ ยังหาใหม่ได้ ซมุ้ ประตทู างเขา้ แต่เสียศีลนั้นไซร้ ตอ้ งเสยี ใจไปอกี นาน อาการเจ็บป่วยที่เกดิ จากตมุ่ แผลผุพองท่ี การสญู เสยี เงนิ ทองจากอบายมุขการ พระโกกาลกิ ะเปน็ นี้ เรยี กวา่ “โรคกรรม” เพราะ พนนั เหน็ ไดง้ ่าย แมส้ ูญเสยี จนหมดเนอื้ หมดตัว ไม่ได้เกิดมาจากอาหารหรือโดนสารพิษ แตเ่ กิด หากยังไมต่ าย กย็ งั พอหาใหม่ได้ แต่ถา้ เสยี ศลี จากอริยุปวาทกรรมล้วนๆ เพราะโครงสรา้ งของ เพราะพลงั้ ปาก ดา่ ว่าพระอริยเจ้า แม้จะดู รา่ งกายน้ีเกดิ จากบุญเก่า เจริญเตบิ โตมาโดย เหมอื นกบั ไมไ่ ดเ้ สียอะไรมากมายนัก แต่แท้ท่ี อาศยั อาหารและสงิ่ แวดลอ้ มที่เหมาะสม เมอ่ื

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๒๒ ผลกรรมจากการพูดตาหนิพระอริยเจ้า บญุ กรรมอนั ยิ่งใหญส่ ามารถสร้างสรรค์ให้ ธรณีสบู เหมอื นพระเทวทตั แต่พระรปู น้ีไปเกดิ รา่ งกายเกิดมาได้ แมบ้ าปกรรมอย่างหนักก็ ในปทมุ นรกอีกหลายลา้ นๆๆปี บุคคลท่ีถูก สามารถบันดาลให้รา่ งกายผิดปกติได้เชน่ กัน แผ่นดนิ สูบคร้งั สมัยพทุ ธกาลทีป่ รากฏในคมั ภีร์ ฉะนนั้ อรยิ ุปวาทกรรม ย่อมสง่ ผลไดท้ ้งั ในชาติน้ี พระไตรปิฎกและอรรถกถา มดี ังนี้ คอื ชาตหิ นา้ และชาติตอ่ ๆ จนกว่าวิบากแหง่ กรรมนี้ จะเบาบางและส้นิ สดุ ลง  เจ้าสุปปพุทธศากยะ ผู้เปน็ พระบดิ า ของพระเทวทัตและพระนางพิมพา ๘.เทวดามีจริง ไมไ่ ดอ้ งิ นิยาย ในเรอ่ื งนี้ มีพระพรหมซึง่ เปน็ เทพเจา้  นนั ทยกั ษท์ ่ใี ช้กาปน้ั ทบุ ศรี ษะของทา่ น ช้ันสูงในพรหมโลกชั้นสทุ ธาวาสเขา้ มาเกย่ี วข้อง พระสารบี ตุ ร ขณะทเ่ี ขา้ นโิ รธสมาบัติ ด้วย ทัง้ ๆท่ีพระโกกาลกิ ะเป็นคนบาปหนา แต่ก็ ยังมีเทวดาอยากมาช่วย คงเปน็ เพราะความ นนั ทมานพ ผขู้ ่มขนื พระอุบลวรรณาเถรี ผกู พันกนั ในครง้ั ที่เป็นมนุษย์ เน่ืองจากเคยเป็น  นางจิญจปรพิ พาชกิ า อปุ ชั ฌาย์อาจารยก์ ันมาก่อน และสิ่งที่นา่ แปลก  พระเทวทตั และพระโกกาลกิ ะรปู น้ี คือ พระโกกาลกิ ะสามารถมองเห็นและได้ยนิ เสยี งดว้ ย ทงั้ ๆทไ่ี ม่ได้ฌานอภญิ ญา และไมม่ ี แนะนาขอ้ มูลเพ่มิ เติม เร่อื งพระอบุ ลวรรณาเถรี ตาทิพย์หูทพิ ย์ เรือ่ งนีอ้ าจจะเป็นเพราะพระ พรหมองค์นี้ ตอ้ งการชว่ ยเหลือพระโกกาลิกะให้ ดู ธ.ป. ๓/๒๑๔-๒๑๘,พาลวรรค เรอ่ื งเจ้าสปุ ปพทุ ธศากยะ สานกึ ผิด คดิ ไดก้ ่อนสนิ้ ใจ จงึ ใชอ้ านาจจิตทาให้ ดู ธ.ป. ๕/๖๒-๖๖ ปาปวรรค ยกั ขปหารสตู ร เรอ่ื งนนั ทยกั ษ์ มองเห็นตวั และไดย้ ินเสยี ง แตก่ ็ไม่เปน็ ผล เพราะ ดู ขุ.อ.ุ (แปล) ๒๕/๒๓๙-๒๔๑ ภกิ ษนุ มี้ ีกรรมหนักมากเกินกวา่ จะแกไ้ ข ขนาด พระศาสดายงั สอนไมไ่ ด้ กค็ งไม่มใี ครอีกแลว้ ใน มาตราวัด(ตวง,ชั่ง)ในสมัยพทุ ธกาล จกั รวาลนท้ี ่จี ะเก่งล้าเลศิ เกินกว่าพระองค์ ๔ กฑุ วะ หรือปสตะ (ฟายมือ) เป็น ๑ ปตั ถะ (กอบ) ๔ ปัตถะ เปน็ ๙.พระถูกธรณีสูบ ๑ อาฬหกะ ๔ อาฬหกะ เป็น ๑ โทณะ ๔ โทณะ เปน็ ๑ มาณกิ า ๔ มาณิกา เป็น ๑ ขารี ๒๐ ขารี เปน็ ๑ วาหะ (เกวียน) ๒๐ วาหะ พระโกกาลิกะ ไดพ้ ูดตาหนลิ ่วงเกินพระ เป็น ๑ ธารณะ๑๐ ธารณะ เปน็ ๑ ปละ ๑๐๐ ปละ เปน็ ๑๒ ตุลา ๒๐ ตุลา เป็น ๑ ภาระ อคั รสาวกท้งั สองผ้มู คี ณุ ประเสริฐ ผู้ไมม่ ี นรกมจี รงิ ไมไ่ ดอ้ งิ นิยาย ความผิด อรยิ ปุ วาทกรรมของพระโกกาลกิ ะน้ี อพั พทุ นรก นิรัพพทุ นรก อพัพพนรก อหุ หนรก อฏั ฏนรก กมุ ุทนรก โส คนั ธกิ นรก อปุ ปลนรก ปุณฑริกนรกและปทุมนรก เป็นชื่อนรกท่มี ี กาหนดเวลาสัน้ -ยาวแตกตา่ งกัน แต่ทง้ั หมดนอี้ ย่ใู นอเวจีมหานรก ซึง่ เปน็ นรกเล็กอยใู่ นนรกใหญ่ ไม่ใชเ่ ป็นชัน้ ภมู นิ รกท่ีแยกจากกันต่างหาก แต่เปน็ สถานท่ีซงึ่ สตั ว์นรกจะต้องรับกรรม เช่น อัพพุทนรกเปน็ สถานที่ ทรมานสตั ว์นรกโดยการนับช้นิ เน้อื เปน็ เครื่องบอก ระยะเวลาในการ ทรมานสตั ว์ อรรถกถาแหง่ พระสตู รนี้ ไดอ้ ธบิ ายวา่ ปทมุ นรก เปน็ สว่ น หนง่ึ ของนรกท่ีอยู่ในอเวจนี รก มีอายนุ านมากเท่ากับ เลข ๑ ตามด้วย เลขศูนย์ ๑๒๔ ตัว เป็นกรรมหนักมาก แม้แผน่ ดนิ กร็ บั ไมไ่ หว จงึ ถกู

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๓ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอริยเจา้ อรยิ ุปวาท เร่ืองที่ ๑๖ ไม่มีอะไรจะกิน ยามนอน กน็ อนอย่างไมม่ ี ความสุข ตอ้ งร้องโอดโอยอย่างทรมานเพราะพิษ เศรษฐีคิดดูหม่นิ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ๑๑๗ บาดแผล ทาใหผ้ ู้คนทอี่ ยใู่ กลๆ้ ในทุกถนนไมไ่ ด้ นอนตลอดคืน เขาจึงได้มชี อ่ื ว่า สุปปพุทธะ สุปปพทุ ธกฏุ ฐิเกิดมาในครอบครวั ท่ี เพราะทาคนกาลงั นอนหลับสบายให้ต่นื ข้ึน สว่ น ยากจนที่สดุ ในเมอื งราชคฤห์ นับตั้งแตเ่ วลาท่ีถือ คาวา่ กุฏฐิ แปลวา่ โรคเรอ้ื น เป็นคาต่อท้าย ปฏิสนธิในท้องของมารดา ผู้เป็นแม่นั้น เวลาที่ เรียกรวมกันว่า สปุ ปพุทธกุฏฐิ ออกไปขอทาน ไมเ่ คยได้อาหารอะไรๆเลย พอ วนั หนึ่ง พระผมู้ ีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไป คลอดออกมาจากท้องมารดา ก็เป็นโรคเรอ้ื น บณิ ฑบาตทีเ่ มอื งราชคฤห์ พร้อมกับภิกษสุ งฆ์ ผมหงอกขาวโพลน หูหว่นิ และจมูกแหว่ง หม่ใู หญ่ หลงั จากทรงเสวยอาหารบิณฑบาต พอ่ แม่ เล้ยี งดเู ขาตามมีตามได้ แบบอดๆอยากๆ เสรจ็ แลว้ ประทบั น่งั แวดลอ้ มด้วยภกิ ษุ อบุ าสก เมือ่ ถึงคราเดนิ ไปมาได้ แมจ่ ึงวางกระเบ้อื ง อุบาสกิ าจานวนมาก นายสุปปพทุ ธกุฏฐิ ไม่ได้ สาหรับขอทานไว้ในมือ พูดกับลูกวา่ “ลูกเอ๋ย รับประทานอาหารมาหลายวัน หวิ จดั เดนิ ผ่าน เจ้าจงดูแลตัวเองใหด้ ีนะ” แล้วกเ็ ดินจากไป ถนน มองเห็นกลุม่ ชนกาลงั รวมกล่มุ กันจากท่ี โดยไม่เคยหวนกลับอีกเลย ไกล เกิดความดใี จข้นึ ว่า “เขาชมุ นุมกันด้วยเร่อื ง ตั้งแต่บัดนน้ั เปน็ ต้นมา เขาตอ้ งอยู่คน อะไรหนอ หรือวา่ เขาคงจะแจกอาหารเป็นแน่ เดียวเด่ียวโดดตามตรอกซอกซอย ไรค้ นเมตตา แท้ เราน่าจะไปในท่นี ั่น เพือ่ จะไดอ้ ะไรๆ สัก อาหารกไ็ มเ่ คยกนิ อ่มิ นา้ ก็ไมไ่ ด้อาบ เนือ้ ตวั อยา่ ง” จงึ เดินเข้าไปในที่นนั้ ไดเ้ หน็ พระผมู้ ีพระ สกปรก ผวิ หนงั กห็ ลดุ ลอก จนเน้อื ตวั แวง่ หวิ่น ภาคเจา้ กาลงั แสดงธรรม เพราะอานาจบญุ กศุ ล มีนา้ เหลืองหนองไหลออกจากปากฝี สง่ กลิ่น เกา่ ท่เี คยทามาในชาตกิ อ่ น จึงได้นั่งฟังธรรม ณ เหมน็ ดูน่าเกลยี ด เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็น ทา้ ยกลุ่มชน อย่างย่ิง มชี วี ิตแต่ละวันแสนลาบาก พระพทุ ธเจ้าได้ทรงรู้ด้วยญาณวา่ “ใน เขาเป็นคนยากจนทีส่ ดุ ในเมอื งน้ี จนถงึ ชาติทผี่ า่ นมา สุปปพุทธะนี้ แม้จะเคยทาผิดต่อ ขนาดตอ้ งหาเกบ็ เศษผ้าเก่าๆทค่ี นทิง้ ตามถังขยะ พระตครสิขปี ัจเจกพุทธเจ้า จงึ ตอ้ งเกดิ มาเป็นเช่นน้ี และรมิ ร้วั มาเยบ็ เพ่อื น่งุ ห่ม ถอื กระเบอ้ื งขอทาน กจ็ ริง ถึงอยา่ งนน้ั เธอก็ยังมีอปุ นิสัยแห่งมรรคและ ไปตามเรือน กินขา้ วตังและเศษอาหารที่คนท้งิ ผล เพราะฉะนั้น เขาจึงควรจะร้แู จ้งธรรม” แล้วในแต่ละวนั บางวันก็ต้องอด เพราะหาไม่ได้ พระพทุ ธองค์จึงแสดงธรรมไปตามลาดับ พนื้ ฐานของผู้ฟงั คือ ทรงแสดงเรอื่ งทาน ศีล ๑๑๗ ข.ุ อ.ุ (แปล)๒๕/๒๕๕-๒๕๙,สปุ ปพทุ ธกุฏฐิสูตรและอรรถกถา, สวรรค์ โทษของกาม และอานสิ งส์การออกจาก สงั .ส. (แปล)๑๕/๓๘๐-๓๘๓ ทฬิททสตู รและอรรถกถา

อริยปุ วาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๒๔ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอริยเจ้า กาม แลว้ ทรงแสดงอริยสัจ ๔ คอื ทุกข์ สมทุ ยั แม้จีวรทห่ี ่มก็เกา่ และมีสซี ีด ผ้าปะจีวร มี นิโรธ และอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ครน้ั แสดงธรรมจบ ลง เขากไ็ ดด้ วงตาเห็นธรรม บรรลุเปน็ พระ หลายหลากสี ดา้ ยที่เย็บจวี รดูหอ้ ยยอ้ ย หาก โสดาบัน หลงั จากที่เขาได้มีโอกาสกราบทูลถึง มองดูผวิ เผินเหมือนคนโรคเรอื้ น แตส่ าหรับผู้ คุณวเิ ศษทีต่ นได้รับใหพ้ ระศาสดารบั ทราบแล้ว แสวงบญุ ทง้ั หลาย เมือ่ เหน็ ท่านแล้ว อดไมไ่ ด้ที่ เม่อื นายสปุ ปพทุ ธะเดินจากไปไดไ้ ม่นาน ไดถ้ ูก จะมองดูดว้ ยความเลือ่ มใส บาปกรรมเกา่ ซ่งึ เคยฆา่ คนมาก่อนในอดตี ชาติ มาตัดรอนอยา่ งปัจจุบนั ทันด่วน คอื นางยักษิณี สว่ นเศรษฐีผนู้ ้ี เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ ไมไ่ ด้ ซง่ึ เคยจองเวรกนั มาแตช่ าตกิ อ่ น เข้าสงิ ร่างแม่ เลอ่ื มใสและไมย่ กมอื ไหว้ เม่อื เห็นผูค้ นใหค้ วาม โคลกู ออ่ น ได้ขวิดเขาจนถงึ แกค่ วามตาย สนใจกบั พระคุณเจ้า แต่ไม่ใส่ใจกับเขาเลย จึง เกดิ ความโกรธไม่พอใจ คิดตาหนิในใจวา่ ภกิ ษรุ ูปหน่ึงได้กราบทูลถามถงึ กรรมเกา่ ของเขาวา่ “พระพทุ ธเจ้าขา้ เพราะวิบากกรรม “คนนเ้ี ปน็ ใคร หวั โล้น นงุ่ ห่มจวี ร คงจะ อะไรหนอแล ทาใหน้ ายสุปปพทุ ธะน้ี เป็นโรค เปน็ คนโรคเรื้อน เอาผา้ ของคนโรคเรื้อน มาคลุม เร้อื น เป็นคนกาพรา้ เกิดมายากจนเขญ็ ใจ” รา่ งกาย เดนิ บิณฑบาต” พระพุทธองคไ์ ด้ตรสั เล่าวบิ ากกรรมเกา่ ท่ที าให้ เขาเกดิ มาเป็นโรคเร้อื นให้ภิกษุทัง้ หลายฟังโดยมี ไมพ่ อแคน่ ั้น เขายังแสดงกริ ยิ าอาการอนั ใจความวา่ “ในอดีตชาติทผ่ี ่านมา สุปปพุทธ น่ารังเกียจอีก คือ ได้ถ่มน้าลายเชิงทานองดูถกู กฏุ ฐนิ ้ี เคยเกิดเป็นเศรษฐี๑๑๘ ในกรุงราชคฤห์ รบี เดินแซงหน้าทา่ นไป โดยหนั ดา้ นซ้ายมือของ วันหน่ึง เขาออกจากตวั เมอื งไปเลน่ กรีฑาใน ตนไปหาทา่ น พร้อมทงั้ คดิ ดูถกู เหยียดหยาม สวนสาธารณะกบั พรรคพวก ไดเ้ หน็ พระปจั เจก ทา่ นอย่ใู นใจ แตบ่ าปกรรมนัน้ ยงั ไม่ไดส้ ่งผล พุทธเจา้ นามวา่ ตครสขิ ี กาลังเดินบิณฑบาตใน เมือง ด้วยกิริยาอาการอนั สารวมน่าเล่ือมใส ในชาติน้ัน พอหลงั จากเขาส้ินชีวติ ไปแลว้ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ องค์นี้ ท่านชรามากแล้ว จึงส่งผลทาใหเ้ ขาไปเกดิ ในในนรก เขาถูกเผา ไหมอ้ ย่ใู นนรกหลาย ๑๐๐,๐๐๐ ปี เมื่อได้เกิด ๑๑๘ อรรถกถาแห่งทฬทิ ทสูตร กล่าวว่า เขาเคยเป็นพระราชาผู้ครอง มาเปน็ มนุษย์ มสี ติปญั ญาดีในชาตินี้ เพราะผล เมืองพาราณสี ไม่ใช่เศรษฐี ของบุญเก่า แต่ถงึ อย่างนนั้ เพราะเศษวิบาก  พระปจั เจกพทุ ธเจ้า ตครสขิ ี เป็นบตุ รคนที่ ๓ ของนางปทมุ วดี ซึ่ง ของอกศุ ลกรรมเกา่ ทคี่ ิดตาหนพิ ระปจั เจกพุทธ เปน็ หนง่ึ ในพระปัจเจกพทุ ธเจา้ ๕๐๐ องคเ์ หลา่ นั้น หลังจากได้บรรลุ เจา้ ไว้ ทาให้เขาเกิดมาเป็นโรคเร้อื นและเป็นคน ปจั เจกโพธิญาณแล้ว ได้พกั อาศัยอย่ทู ่ีเงอื้ ม ชื่อนนั ทมลู กะ ณ ภูเขา ยากจนเข็ญใจตั้งแตเ่ กิดจนตาย” คันธมาทน์ วันหน่งึ เหาะมาลงท่อี ิสคิ ิลบิ รรพต ในเวลาเชา้ ครองผา้ แลว้ ถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปบิณฑบาตยงั กรงุ ราชคฤห์ เพ่ือโปรด สัตว์ ดู ม.อ.ุ (แปล)๑๔/๑๗๐-๑๗๔ อสิ คิ ิลสิ ตู รและอรรถกถา

อริยุปวาท ๒ บ. สยงั วสี ๑๒๕ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจา้ ข้อคิดและคติธรรม พระปจั เจกพทุ ธเจ้า จึงเข้าข่ายเป็นอรยิ ุปวาท ๑.มืดมา สวา่ งไป อยา่ งหนกั แมอ้ รยิ ุปวาทกรรม ไมส่ ง่ ผลโดยตรง นายสุปพุทธะ แม้จะเกิดมายากจนแสน ในชาติน้นั เพราะถกู พลงั บุญอันใหญก่ ว่าหา้ มไว้ ลาบากและขี้โรค เพราะวบิ ากกรรมเกา่ แตใ่ น แต่หลังจากตายแลว้ เขาต้องไปตกนรก ชาติปัจจบุ นั เขากไ็ มเ่ คยทาบาปกรรมอะไร และ ยาวนานถึง ๑ แสนปี พ้นจากนรก ยังตอ้ งมา สดุ ท้าย เม่ือบญุ สง่ ผล ทาให้เขาได้ฟงั ธรรมและ ชดใชเ้ ศษกรรมอีก โดยเกดิ มาในตระกูลยากจน ได้ดวงตาเหน็ ธรรมเป็นพระโสดาบนั ถึงจะตาย สุดๆ เปน็ โรคเร้ือนมาต้งั แต่เกิด รปู รา่ งหนา้ ตากด็ ู โหง เพราะถูกววั ชนตาย แต่ตายแลว้ ไปสวรรค์ ไม่ได้ พ่อแม่ทง้ิ ตัง้ แต่เด็ก ดารงชีวิตอยู่อยา่ ง ชีวิตอย่างน้ี ชือ่ วา่ มดื มา สวา่ งไปดกี ว่าบางคน อัตคัดขดั สน นี้คือ ผลจากมโนทุจรติ  คดิ ที่มาสว่าง แต่ไปมดื คอื เกดิ มาในตระกลู ฐานะ ตาหนติ ิเตียนพระอรยิ เจา้ ในใจ ซึ่งมีโทษ ร่ารวย อยูส่ ุขสบาย แต่ทาบาปกรรมตลอด ชวี ติ มากมายหลายประการ เชน่ หลงั ตาย ก็ไปสู่อบายภมู ิ แมต้ นกต็ เิ ตียนตนเองได้ ผ้รู ู้ใครค่ รวญแลว้ ยอ่ มตเิ ตยี น ๒.ชีวิตเป็นสิ่งไม่แนน่ อน  ช่อื เสียงไม่ดี ย่อมดังกระฉ่อนไป แตก่ รรมใหผ้ ลแน่นอน เส่ือมจากศีล สมาธิและปัญญา การท่ไี ดเ้ กดิ มาในชาติตระกูลสงู มีเงิน อยู่แบบคนไม่มีศลี ธรรม ทองมากมายร่ารวยเป็นเศรษฐี ถอื ว่าเปน็ เพราะ มีรปู ร่างหนา้ ตาข้ีเหล่ ผลบญุ เก่าท้งั ในอดตี ชาตแิ ละปจั จบุ นั ชาตสิ ่งผล อายุสั้น ตายกอ่ นอายขุ ัย ตามวิสัยปถุ ชุ น เม่ือมีเกียรตยิ ศชอื่ เสยี ง เงินทอง  มีโรคภัยเบียดเบียนเสมอ และมคี นเคารพนับถอื กราบไหว้มากมาย นานๆ ตายโหงดว้ ยสาเหตอุ ย่างใดอย่างหน่ึง เข้า ก็ทาใหห้ ลงเหลงิ เปน็ ธรรมดา เมอื่ ผู้คนให้ แมเ้ พยี งแคค่ ดิ ไม่ดอี ยู่ในใจเงยี บๆ ไมไ่ ด้ ความสนใจแต่พระปจั เจกพุทธเจ้า ไมไ่ ดส้ นใจ พูดออกมา กม็ ีผลร้ายต่อชวี ิตและร่างกายถึง กบั เศรษฐี ซ่ึงทาใหเ้ ขารู้สึกวา่ หมดความสาคัญ เพียงน้ี เพราะฉะนัน้ เพ่ือป้องกันบาปอกศุ ลจะ จงึ มองไปเห็นพระภกิ ษุผเู้ ฒ่า ซ่ึงห่มจวี รเกา่ ๆ เกิดขน้ึ กับตวั เราเอง บณั ฑิต ผู้ฉลาด จึงไม่ควร ซ่อมซ่อกาลังเดนิ บิณฑบาต ดูเหมอื นกับคน ตดั สนิ คนอน่ื จากรูปลักษณภ์ ายนอก โดยเฉพาะ ขอทานและเป็นโรคเรื้อน พรอ้ มกนั นี้ ตวั เขาเอง นักบวช เพราะไมร่ ู้วา่ ท่านมีคณุ ธรรมมากนอ้ ย ก็เปน็ มิจฉาทฐิ ิ ไม่เคยแมก้ ระท่ังยกมอื ไหว้พระ จงึ เกิดความไมพ่ อใจในพระปจั เจกพุทธเจ้า แลว้ ความคดิ อกุศลจงึ เกิดขึ้นตามมา เมือ่ คดิ ร้ายกบั  อัง.ปัญจก. (แปล) ๒๒/๓๘๘ ทตุ ยิ มโนทจุ จริตสูตร, ที.ปา. (แปล) ๑๑/๒๔๗-๓๖๖,สงั คตี สิ ตู รและอรรถกถา

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๖ ผลกรรมจากการพดู ตาหนิพระอรยิ เจ้า แค่ไหน ดีๆไมด่ ี อาจจะเผลอหลงคิดตาหนผิ ไู้ ด้ ติดตัว(ใจ)มา เมือ่ คดิ อยากใหค้ นอ่นื เปน็ โรค ฌานอภญิ ญา หรอื พระอรยิ เจ้า กเ็ ป็นได้ อะไร ตัวเองกต็ ้องมาเปน็ โรคนั้น เพราะเจตนา เปน็ ตัวกรรม ดว้ ยเหตุนี้ นายสปุ ปพุทธะ จึงเปน็ ๓.โรคกรรม โรคเรอื้ นมาต้ังแต่เกดิ จนตาย และโรคของบุรษุ ตามหลักปฏจิ จสมปุ บาท แสดงไวว้ า่ ผู้นี้ เกดิ จากผลของกรรมเกา่ ตดิ ตวั มา และจะ วิญญาณเปน็ ปจั จัยใหเ้ กดิ นามรูป กลา่ วคือ สง่ ผลเปน็ ชาติสดุ ทา้ ย แลว้ หยุดการให้ผล สภาพวญิ ญาณหรือจิตในชาติก่อนซ่ึงกาลงั หยัง่ วิบากกรรม ชื่อวา่ เป็นอจินไตย เป็นสิง่ ลงสู่ครรภข์ องมารดามคี ณุ ภาพเป็นอย่างไร ย่อม ละเอียดออ่ นลึกซงึ้ จะอาศยั เชาว์ปญั ญาคิดเดา มผี ลตอ่ การสรา้ งรา่ งกาย การเจรญิ เติบโตและ เอาเองไมไ่ ด้ ต้องอาศยั ญาณปญั ญาของพระ ระบบการทางานตา่ งๆของร่างกายทง้ั หมด พดู อรยิ เจ้าหยั่งรู้เทา่ น้ัน เพราะฉะน้นั เรยี นรกู้ รรม อีกนัยหนึ่ง คอื ภวงั ควญิ ญาณ เป็นตวั สรา้ งและ ชอื่ ว่าเรยี นรู้ธรรม เห็นกรรม ชือ่ วา่ เหน็ ธรรม เมือ่ ควบคุมสงั่ การโครงสร้างรา่ งกายทุกสว่ น เขา้ ใจกรรมดแี ล้ว จะร้พู ุทธวิธีในการเอาชนะ เม่ือรา่ งกายน้ี ถกู วิบากกรรมทีอ่ ยู่ใน กรรม เพื่อจะอยเู่ หนือกรรม วิญญาณหรือจิตซ่ึงฝา่ ยสงั ขารสรา้ งสรรบันดาล ให้เกดิ ข้ึนมา โดยอาศยั พ่อแม่เป็นทางผ่าน มี ๔. กรรมตัดรอน อาหารและสง่ิ แวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม เปน็ ตน้ เปน็ ชาวพุทธหลายคนเข้าใจผิดวา่ คนดีมกั ตัวสนับสนนุ เก้อื กูล ดังน้ัน ตา หู จมูก ลิ้น ตายเรว็ แตค่ นเลว คนชว่ั กลบั ตายยาก แต่ ระบบร่างกายทงั้ หมดพร้อมทงั้ วิญญาณ(ใจ) ความจรงิ ไมไ่ ดเ้ ปน็ เช่นน้ัน เพราะใครจะตายเรว็ น้ี จงึ ได้ช่ือวา่ เป็นของเกา่ คือ เกดิ จากกศุ ล หรอื ตายช้า ไมไ่ ดข้ ้ึนอยู่กบั กรรมปัจจบุ ันอย่าง กรรมเก่าในอดีตชาติ หลงั จากเกดิ มาแลว้ หาก เดยี ว แต่ขึน้ อยูก่ ับผลของกรรมเก่าในอดตี ชาติ วิญญาณมีเช้อื วิบากแหง่ บาปอกศุ ลกรรมเก่าตดิ ดว้ ย คือ วิบากกรรมจากการฆ่าสตั ว์ เพราะเม่อื มา เช่น กรรมจากการเบียดเบียนทรมานสตั ว์ กรรมน้สี ่งผลจะทาให้คนนัน้ อายสุ ้นั ตาย หรือกรรมพูดดูหม่นิ พระอรยิ เจา้ ยอ่ มทาให้ ก่อนอายุขัย ส่วนจะตายด้วยโรครา้ ย ถูก รา่ งกายนี้ เกดิ โรคได้ ซง่ึ เรียกวา่ โรคกรรม ฆาตกรรม หรอื อุบัติเหตนุ ้นั เป็นอีกเรื่องหน่ึง เมอ่ื จิต(วญิ ญาณ)ของสุปปพทุ ธกุฏฐิเก็บ สาหรับนายสุปปพทุ ธกุฏฐนิ ้ี ถกู แม่วัวชนตาย เมล็ดพนั ธ์แุ หง่ บาปอกุศลติดมา เนื่องจากเคยคิด เพราะเคยมเี วรกรรมตอ่ กันมาในอดีตชาติ พอ ดหู ม่นิ พระตครสขิ ีปจั เจกพุทธเจา้ วา่ เปน็ คน เกดิ มาในชาตินี้ หลงั จากได้บรรลุธรรมไม่ก่ี โรคเรื้อน ในฐานะสตั ว์โลกทั้งหลายตา่ งก็มี ชั่วโมง วิบากกรรมเกา่ ไดโ้ อกาสส่งผล จงึ กรรมเป็นมรดก (กัมมทายาท) มกี รรมเปน็ สมบตั ิ ทาใหน้ างยกั ษิณีที่เคยจองเวรกันมา ไดโ้ อกาส

อรยิ ุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๗ ผลกรรมจากการพูดตาหนพิ ระอรยิ เจ้า แกแ้ คน้ แปลงตัวเป็นแมว่ วั แลว้ ชนเขาจนถึง เรอื่ งชาวนา แกค่ วามตาย ซงึ่ ครงั้ น้ี เป็นชาตสิ ดุ ท้ายทีถ่ ูก วิบากกรรมน้เี ล่นงาน และไม่ใชเ่ กดิ ข้ึนกับเขาคน บุคคลทากรรมใดแลว้ เดียวเทา่ น้นั ยังเกดิ กบั อกี หลายคน เช่น ท่าน ยอ่ มเดือดร้อนใจในภายหลัง พระพาหิยะทารุจริ ยิ ะ๑๑๙ ซ่งึ หลงั จากไดฟ้ ังธรรม รอ้ งไห้น้าตานองหนา้ เสวยผลกรรมอยู่ แค่ชัว่ ครเู่ ดยี ว กบ็ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหันต์ขณะ กรรมนน้ั ชือ่ วา่ เป็นกรรมไมด่ ี ดารงอยูใ่ นเพศฆราวาส ท่านพระปกุ กสุ าติ๑๒๐ อดีตเคยเปน็ พระราชาในแคว้นตกั กสิลา เร่ืองชา่ งดอกไมช้ อื่ สมุ นะ ภายหลังออกบวช เม่ือได้ฟงั ธรรมจากพระ ศาสดาขณะพกั อยู่ที่โรงช่างหม้อ แล้วได้บรรลุ บุคคลทากรรมใดแล้ว อนาคามี ตอ่ มาขณะที่กาลงั แสวงหาผา้ เพอื่ ทา ย่อมไมเ่ ดือดร้อนใจในภายหลัง เป็นจวี รที่กองขยะถูกแม่วัวชนตายกลางอากาศ อ่มิ เอบิ ดใี จ เสวยผลกรรมอยู่ เพราะอดอาหารมานาน แลว้ ไปบังเกดิ ในพรหม กรรมนนั้ ชอื่ ว่า เปน็ กรรมดี โลกช้นั อวหิ า พอขณะที่บังเกิด กไ็ ด้บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ และนายโจรเคราแดง๑๒๑ หลงั จากได้ เรื่องพระอุบลวัณณาเถรี ฟงั ธรรมจากท่านพระสารีบุตร กไ็ ด้บรรลุธรรม เปน็ พระโสดาบนั ต่อมาไมน่ าน ได้ถกู แมว่ วั ชน ตลอดเวลาท่บี าปยงั ไม่ใหผ้ ล ตายอกี เช่นกัน คนพาลย่อมสาคญั บาปดุจนา้ ผงึ้ (สาคัญวา่ บาป อกุศลทีต่ นทาอยู่ ปรากฏน่าปรารถนา น่าใคร่ นา่ ชอบใจเหมือนน้าผึง้ ) แต่เมื่อใดบาปใหผ้ ล เมอ่ื นัน้ คนพาลยอ่ มประสบทุกข์ พทุ ธพจน์ ขุ.ธ. (แปล) ๒๕/๔๘ ๑๑๙ ขุ.อ.ุ (แปล) ๒๕/๑๘๓-๑๘๗พาหยิ สตู รและอรรถกถา ๑๒๐ ม.อุ.(แปล)๑๔/๔๐๑-๕๑๔ ธาตวุ ิภงั คสูตร ๑๒๑ ป.ธ. ๔/๑๓๕-๑๔๒

อริยุปวาท ๒ บ. สยังวสี ๑๒๘ ผลกรรมจากการพดู ตาหนพิ ระอรยิ เจา้ ใหพ้ วกที่นบั ถอื เสื่อมศรัทธา แลว้ หันมาเคารพนบั อริยุปวาท เรอื่ งท่ี ๑๗ ถือพวกเราให้ได”้ ทีเ่ มอื งสาวตั ถีในเวลานัน้ มีนกั บวชสาว นางจญิ จปริพพาชกิ าใส่รา้ ยพระพุทธเจา้ ๑๒๒ (ปรพิ พาชกิ า)คนหนง่ึ ชือ่ ว่า จิญจา เปน็ ผู้มี รปู รา่ งหนา้ ตาสวยงามราวกับนางฟา้ ในขณะ ในช่วงต้นของการประกาศศาสนา ที่นักบวชเหล่าน้ปี รึกษาหารือกัน มีนักบวช พวกเทวดาและมนุษยไ์ ด้บรรลธุ รรมเปน็ อันมาก เดียรถีย์ผมู้ คี วามคิดหลกั แหลมคนหนึง่ พูดขึน้ ว่า พระคณุ ของพระศาสดา ได้แผ่กระจายออกไป “ก็ใช้นางจญิ จานี้แหละ เปน็ เครอื่ งมอื ทาลายพระ อยา่ งกว้างขวาง เกิดลาภสักการะแกพ่ ระพทุ ธ สมณโคดม โดยใชแ้ ผนนารีพิฆาต” องค์และสาวกเป็นอยา่ งมาก แต่พวกเดียรถีย์ ทุกคนตา่ งก็เห็นดว้ ย จึงเริม่ ดาเนิน ตา่ งลทั ธิ พากนั เสื่อมจากลาภสักการะ ได้ แผนการอันชั่วร้ายน้ี วันหนงึ่ เมื่อนางจิญจา สญู เสียผลประโยชนท์ ่เี คยได้ จงึ เกิดความ เดินทางไปทาธรุ ะบางอย่างทส่ี านกั ของนกั บวช อจิ ฉารษิ ยาพระพทุ ธองค์ ต่างพากนั มายืน เดียรถีย์ พวกเขาทาทีไม่ยอมพูดดว้ ย ทาให้นาง ประกาศโฆษณาคณุ สมบตั ติ นเองตามถนน สงสยั วา่ ได้ทาอะไรบางอย่างผิดไปหรือเปล่า จึง หนทางวา่ “มีแต่พระสมณโคดมเทา่ นั้นหรอื เป็น ทาใหน้ ักบวชเหล่านี้ ไม่ยอมพูดดว้ ย จงึ ถามวา่ พระพทุ ธเจ้าได้ แม้พวกเราเองกเ็ ปน็ พระพุทธเจ้า “พระคุณเจ้าทั้งหลาย ดฉิ นั ทาผิดอะไรหรือเปล่า เชน่ กัน ทานทเี่ ขาใหแ้ ลว้ แกพ่ ระสมณโคดมน้ัน พวกทา่ น จึงไมย่ อมพูดดว้ ย ” นักบวชเดยี รถีย์พอได้โอกาส จงึ ทาทพี ดู เทา่ นั้นหรือมผี ลมาก ทานทเ่ี ขาให้แกเ่ ราท้งั หลาย ก็มีผลมากเหมอื นกนั ท่านทัง้ หลายจงให้ทานแก่ ต่อว่าว่า “นอ้ งหญิง เจ้าไม่รหู้ รอื ว่า พระสมณ เราท้งั หลายบา้ ง” แม้จะโฆษณาชวนเชอื่ เช่นนน้ั แตก่ ไ็ มม่ ี โคดม ทาใหพ้ วกเราเสอ่ื มลาภสักการะ” นางจิญจา “ยังไม่ทราบ เจ้าขา้ แล้วจะให้ ผล คนไม่สนใจฟงั ไม่ศรทั ธาเลื่อมใส พวก ดิฉนั ชว่ ยอะไรบา้ ง” นักบวชเดยี รถีย์ “น้องหญิง เดยี รถยี ์ จึงสมุ หัวร่วมคิดวางแผนช่ัวกันว่า “พวก ถ้าเจ้าอยากใหพ้ วกเราสบายใจ จะตอ้ งอาศัยความ เรา จะต้องหาเร่อื งใสร่ ้ายปา้ ยสีพระสมณโคดม ทา สวยงามของเจ้า หาทางทาให้พระสมณโคดมเสอ่ื ม เสียช่อื เสียง แล้วทาใหเ้ ส่ือมความเคารพนับถอื ” นางจญิ จาเชื่อมั่นในมารยาหญิงของ ๑๒๒ ธ.ป. ๖/๗๔-๘๐ เรอื่ งนางจญิ จมาณวกิ า ตนเอง จึงรบั ปากตกลง ดว้ ยความท่ีนางเปน็ คน ดูเพมิ่ ใน มหาปทุมชาดก ฉลาดในมายาหญงิ แผนนารพี ฆิ าต จึงเรมิ่ ต้น ข้นึ นางแตง่ ชดุ สีทองผสมสีเขียวอ่อนเหมือนสี  ม.ม. ๑๓/๕๓ –๗๖ อุปาลิสตู ร, ขุ.อ.ุ (แปล)๒๕/๓๐๗-๓๐๘ อุปปชั ชันติสูตร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook