Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยง

Published by pop150, 2017-07-03 22:10:32

Description: การจัดการความเสี่ยง

Keywords: การจัดการความเสี่ยง

Search

Read the Text Version

การจดั การความเสยี่ งทีส่ ่งผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กัด สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาในจังหวดั ปทุมธานี ณัชธิญา ปัทมทัตตานนท์ วิทยานพิ นธ์น้เี ป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลกั สูตร ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยกี ารบรหิ ารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี ปีการศกึ ษา 2553 ลขิ สทิ ธ์ิมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี

การจัดการความเสย่ี งท่สี ง่ ผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานี ณัชธญิ า ปัทมทตั ตานนท์ วทิ ยานพิ นธ์นีเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศกึ ษาตามหลกั สูตร ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยกี ารบรหิ ารการศึกษา คณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี ปกี ารศึกษา 2553 ลขิ สิทธ์มิ หาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี

RISK MANAGEMENT AFFECTING THE EFFECTIVENESS OF SCHOOL UNDER THE OFFICE OF PATHUMTHANI EDUCATION SERVICE AREA NUTTIYA PATTAMATATTANON A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILMENT OF THE REQUIREMENT FOR THE DEGREE OF MASTER OF EDUCATION PROGRAM IN ADMINISTATION EDUCATION TECHNOLOGY RAJAMANGALA UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THANYABURI ACEDEMIC YEAR 2010 COPYRIGHT OF RAJAMANGALA UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THANYABURIหัวขอ้ วทิ ยานิพนธ์ การจดั การความเส่ียงท่ีสง่ ผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศึกษา

หวั ข้อวิทยานพิ นธ์ การจัดการความเส่ยี งท่ีสง่ ผลต่อประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานีชอ่ื - นามสกลุ RISK MANAGEMENT AFFECTING THE EFFECTIVENESS OFสาขาวชิ า SCHOOL UNDER THE OFFICE OF PATHUMTHANI EDUCATIONอาจารยท์ ป่ี รึกษา SERVICE AREAปกี ารศึกษา นางณัชธิญา ปทั มทตั ตานนท์ เทคโนโลยีการบริหารการศกึ ษา ดร.ไพบูลย์ ใสยาวงศ์ 2553 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับการจัดการความเสยี่ งและประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ ในจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างการจัดการความเส่ียงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่ ในจังหวัดปทุมธานี 3) ศึกษาการจัดการความเส่ียงท่ีส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้นื ท่ี ในจังหวัดปทมุ ธานี กลมุ่ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 2 กลมุ่ จานวน 191 คน ประกอบด้วย 1) ผ้บู ริหารสถานศกึ ษาสัง เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาในจังหวัดปทุมธานี จานวน 97 คน 2) ครผู รู้ บั ผดิ ชอบการจัดการความเสี่ยงสัง เขตพื้นที่การศึกษา ในจังหวัดปทุมธานี จานวน 94 คน ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคอื แบบสอบถาม สถิติท่ีใช้ในการวิจัยคือ ค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product MomentCorrelation) และการถดถอยพหคุ ณู แบบขนั้ ตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการความเสี่ยงของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีระดับความสาคัญอยู่ในระดับมาก และประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีระดับความสาคัญอยู่ในระดับมาก2) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความเสี่ยงของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับปานกลางท่รี ะดบั นัยสาคัญทางสถติ ิท่ี 0.01 3) การจัดการความเสีย่ งสง่ ผลต่อประสทิ ธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวั ด ปทุมธานี อย่างมี ระ ดับนัยสาคัญทางสถิติท่ี 0.01คาสาคัญ : การจดั การความเส่ียง ประสทิ ธิผลของสถานศึกษา ก

Thesis Title Risk Management Affecting The Effectiveness of School Under The Office Of Pathumthani EducationName – Surname Service AreaProgram/Major Subject Mrs. Nuttiya PattamatattanonAdvisor Administation Education of TechnologyAcademic Year Dr. Paiboon Saiyawong 2010 Abstract The purposes of this research were 1) to investigate the level of risk management andeffectiveness in schools under the Office of Pathumthani Educational Service Area, 2) to study therelationship between risk management and effectiveness of schools under the Office of PathumthaniEducational Service Area, and 3) to study the risk management that affects the effectiveness ofschools under the Office of Pathumthani Educational Service Area. The research sample consisted of 97 school administrators and 94 teachers responsiblefor risk management in schools under the Office of Pathumthani Educational Service Area. Thesubjects were selected by using Purposive Sampling. The instrument used for this research wasquestionnaires. Statistics used for this research included mean, percentage, standard deviation(S.D.), Pearson’s Product Moment Correlation, and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results of the study were as follows: 1) The risk management in schools under theOffice of Pathumthani Educational Service Area was significant in high. The effectiveness ofschools under the Office of Pathumthani Educational Service Area was significantly high level.2) The relationship between risk management of administrators in each aspect and the effectivenessof schools under the Office of Pathumthani Educational Service Area was positively correlated inmoderate level at 0.01 level of significance 3) The impact of risk management on the effectivenessof schools under the Office of Pathumthani Educational Service Area was statistically significant at0.01.Keywords: risk management, school effectiveness ข

ชอื่ - นามสกลุ สงั กดั สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาในจงั หวัดปทมุ ธานีสาขาวิชา/วิชาเอก RISK MANAGEMENT AFFECTING THE EFFECTIVENESS OFอาจารย์ท่ปี รกึ ษา SCHOOL UNDER THE OFFICE OF PATHUMTHANI EDUCATIONปกี ารศึกษา SERVICE AREA นางณชั ธิญา ปัทมทัตตานนท์ เทคโนโลยกี ารบริหารการศกึ ษา ดร.ไพบลู ย์ ใสยาวงศ์ 2553คณะกรรมการสอบวทิ ยานพิ นธ์ ................................................................ประธานกรรมการ (รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ปน่ิ ปฐมรัฐ) ...............................................................................กรรมการ (ดร.ไพบูลย์ ใสยาวงศ)์ ...............................................................................กรรมการ (ดร.พรทพิ ย์ สรุ ิยาชัยวัฒนะ) ...............................................................................กรรมการ (ดร.กติ ตพิ นั ธ์ คงสวสั ดเ์ิ กียรติ) คณะครศุ าสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี อนุมตั ิวิทยานิพนธฉ์ บับน้ีเป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต ....................................................คณบดคี ณะครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม (รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ปิน่ ปฐมรัฐ) วันที่.......เดือน......................พศ..............

กติ ติกรรมประกาศ วิท ยานิพ น ธ์ฉบับนี้สาเร็จไ ด้ ด้ว ยคาแ น ะน าแ ละ ไ ด้รับ คว าม เมตตา กรุณาอย่ างสูงจ ากดร.ไพบูลย์ ใสยาวงศ์ ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐดร.พรทิพย์ สุริยาชัยวัฒนะ ดร.กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รุ่งอรุณ รังรองรัตน์และคณะกรรมการทุกท่านท่ีกรณุ าเสยี สละเวลาช้ีแนะแนวทางการดาเนินงานและตรวจสอบปรับปรุงแก้ไข ขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่ เพ่ือให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สมบูรณ์ ผู้วิจัยมีความซาบซ้ึงและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคณุ ผู้ทรงคุณวุฒิท้ัง 5 ท่าน ท่ีให้ความอนุเคราะห์แก้ไขและตรวจเคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประนอม พนั ธ์ไสว ที่ชว่ ยชแ้ี นะดา้ นสถติ แิ ละขอ้ มลูที่เป็นประโยชน์แก่การวิจัย ตลอดจนให้การศึกษาครั้งน้ีสมบูรณ์และมีคุณค่าต่อการศึกษาขอขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเ ขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานีที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม ขอขอบคุณผู้อานวยการและครโู รงเรียนธัญบุรีที่ใหก้ าลังใจ และความช่วยเหลือตลอดช่วงเวลาของการศกึ ษาและการทาวิจัย ขอขอบคุณคณาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิประสาทวิชา บ่มเพาะจนผู้วิจัยสามารถนาหลักการมาประยุกต์ใช้และอ้างอิงในงานวิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากวิทยานิพนธ์เล่มนี้ขอมอบเพ่ือบูชาพระคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ และผมู้ ีพระคุณทกุ ท่าน ณัชธิญา ปทั มทัตตานนท์ ค

สารบญั หน้าบทคัดย่อภาษาไทย....................................................................................................................... กบทคัดย่อภาษาองั กฤษ.................................................................................................................. ขกติ ตกิ รรมประกาศ........................................................................................................................ คสารบัญ......................................................................................................................................... งสารบญั ตาราง............................................................................................................................... ชสารบัญภาพประกอบ.................................................................................................................... ฌบทท่ี 1 บท ............................................................................................................................. 1 1. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา................................................................... 1 2. คาถามของการวิจยั .................................................................................................. 6 3. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ......................................................................................... 6 4. ขอบเขตของการวจิ ยั ................................................................................................. 7 5. สมมตฐิ านของการวิจยั ............................................................................................. 8 6. กรอบแนวคิดในการวิจยั ........................................................................................... 8 7. คาจากัดความในการวิจยั ............................................................................................ 9 8. ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั ....................................................................................... 11 2 ท ........................................................................................ 12 1. แนวคิดทฤษฎีของการจดั การความเส่ียง.................................................................... 13 1.1 ความหมายของความเสีย่ งและการจดั การความเส่ียง......................................... 14 1.2 ประเภทของความเสีย่ ง....................................................................................... 17 1.3 กระบวนการจดั การความเสี่ยง........................................................................... 25 1.4 ประโยชน์ของการจัดการความเส่ยี ง................................................................... 41 1.5 แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้องกับการจัดการความเส่ยี ง............................................. 42 1.6 การนาระบบการจัดการความเสี่ยงมาใชใ้ นกระบวนการบริหารการศกึ ษา......... 44 ง

สารบญับทท่ี หน้า 2. แนวคดิ ทฤษฎีประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษา.......................................................... 45 2.1 ความหมายของประสิทธผิ ล........................................................................... 45 2.2 แนวคิดเกย่ี วกบั ประสิทธิผล........................................................................... 46 2.3 การประเมินประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน........................................................... 51 2.4 สภาพการจดั การศกึ ษาในเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาปทมุ ธานี.................................. 52 2.5 แนวทางการจัดทาระบบบรหิ ารความเสีย่ งของสานักงานเขตพ้นื ที่ การศกึ ษาปทมุ ธานี......................................................................................... 55 3. การบริหารความเสี่ยงของสานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษา....................................... 55 3.1 ปัจจัยแหง่ ความสาเร็จในการบริหารความเสีย่ งของสานกั งานเขตพนื้ ที่ การศึกษาปทุมธานี........................................................................................ 55 3.2 ปจั จัยแหง่ ความลม้ เหลวในการบรหิ ารความเสีย่ งของสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาปทมุ ธานี....................................................................................... 56 4. งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง ............................................................................................... 57 4.1 งานวจิ ยั ในประเทศ ...................................................................................... 57 4.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ..................................................................................... 60 3 วิธดี าเนนิ การวจิ ยั ............................................................................................................. 63 1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง.................................................................................... 63 2. เคร่ืองมือท่ีใช้การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ..................................................................... 64 3. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู .......................................................................................... 67 4. การวิเคราะหข์ อ้ มูล................................................................................................ 68 5. สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล............................................................................. 69 จ

สารบัญ(ต่อ)บทท่ี หน้า4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล..................................................................................................... 73 ตอนที่ 1 ผลการศกึ ษาข้อมลู ทัว่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ............................. 74 ตอนท่ี 2 ผลการศกึ ษาระดับการจัดการความเส่ียงของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา สังกดั สานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี....................... 76 ผลการศกึ ษาระดับประสิทธผิ ลของสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาในจงั หวัดปทมุ ธาน.ี ............................... 81 ตอนท่ี 3 ผลการศกึ ษาระดบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งการจัดการ ความเส่ยี งของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษากบั ประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี....................... 89 ตอนที่ 4 ผลการวเิ คราะหก์ ารถดถอยพหุคณุ แบบขั้นตอนเพอ่ื วิเคราะห์ ระดบั การจัดการความเสีย่ งของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาท่สี ่งผลต่อ ประสิทธผิ ลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา ในจังหวดั ปทมุ ธานี .......................................................................... 92 5 สรปุ ผลการวิจยั การอภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ................................................. 96 1. สรปุ ผลการวจิ ยั .................................................................................................... 96 2. การอภิปรายผล.................................................................................................... 102 3. ขอ้ เสนอแนะ........................................................................................................ 111บรรณานุกรม.............................................................................................................................. 112ภาคผนวก................................................................................................................................... 118 ภาคผนวก ก รายชอื่ ผทู้ รงคุณวฒุ .ิ ............................................................................... 119 ภาคผนวก ข หนงั สือราชการ...................................................................................... 121 ภาคผนวก ค เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ........................................................................ 132 ภาคผนวก ง รายชือ่ โรงเรยี นที่ใช้เกบ็ ข้อมูลวทิ ยานิพนธ.์ ............................................ 142 ภาคผนวก จ การหาค่า IOC........................................................................................ 146ประวัตผิ ู้วจิ ยั ............................................................................................................................... 150 ฉ

สารบญั ตารางตารางท่ี หน้า1.1 แสดงประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ................................................................................. 72.1 สรปุ แนวความคิดวิธกี ารจัดการความเส่ยี ง………………............................................ 402.2 เปรียบเทยี บแนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกบั ประสิทธผิ ล............................................................ 483.1 แสดงจานวนประชากรและกลุ่มตวั อย่าง...................................................................... 644.1 แสดงขอ้ มูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม........................................................... 744.2 แสดงระดบั การจัดการความเส่ียงของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี การจัดการความเส่ยี งดา้ นกลยุทธ์………...………....... 764.3 แสดงระดบั การจัดการความเสีย่ งของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานี การจัดการความเสยี่ งด้านการดาเนนิ งาน...................... 774.4 แสดงระดบั การจัดการความเสยี่ งของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาสังกัดสานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาในจังหวดั ปทุมธานี การจัดการความเสยี่ งด้านการเงนิ ................................ 784.5 แสดงระดับการจัดการความเส่ยี งของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาสงั กดั สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาในจงั หวัดปทมุ ธานี การจัดการความเสย่ี งด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย/กฎระเบียบ.................................................................................................................... 794.6 แสดงระดบั การจดั การความเสยี่ งของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาสงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี ……………………………………………………..... 804.7 แสดงระดับประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาในจงั หวัดปทมุ ธานี ความสามารถในการปรับตวั ……………………......................... 814.8 แสดงระดบั ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น………................................................... 834.9 แสดงระดบั ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี ความพงึ พอใจในงาน……...…………………….....………...… 854.10 แสดงระดบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาในจงั หวัดปทมุ ธานี ความม่งุ มนั่ ในชวี ิต……………..………….....…....................... 86 ช

สารบัญตาราง(ตอ่ )ตารางที่ หนา้4.11 แสดงระดบั ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษา ในจงั หวดั ปทุมธาน.ี ....................................................................…………………....…. 874.12 แสดงการวิเคราะหค์ า่ เฉลย่ี รวมระดับความสาคญั ของการจัดการความเสี่ยงกบั ประสิทธิผลของสถานศกึ ษา สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาในจังหวัดปทุมธานี...... 884.13 แสดงการวเิ คราะหค์ ่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสัมพนั ธ์ระหวา่ งการจดั การความเสย่ี งของ ผ้บู ริหารสถานศึกษากบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่ี การศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธาน.ี .......................................................................................... 904.14 แสดงการวิเคราะห์คา่ สัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความเสี่ยงกบั ประสิทธผิ ลของสถานศึกษาสังกดั สานักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี...... 914.15 แสดงผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคณุ แบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) เพ่อื พยากรณ์ตวั แปรท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ ประสิทธิผลของสถานศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี หาความแปรปรวน……............ 924.16 ตารางแสดงค่าสมั ประสิทธ์สหสัมพันธพ์ หคุ ณู ระหว่างการจดั การความเสยี่ ง ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาในจงั หวัดปทมุ ธานี ..... 934.17 แสดงผลการวเิ คราะหค์ า่ สัมประสทิ ธ์ิการถดถอยพหุคณุ ในรปู คะแนนดบิ และคะแนน มาตรฐานของตวั แปรอสิ ระท่ใี ช้เป็นตวั พยากรณ์ …………………………….............… 94 ซ

สารบญั ภาพภาพที่ หนา้ 1.1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั …............................................................................................. 9 2.1 แสดงตัวแบบการบรหิ ารความเสย่ี ง................................................................................ 33 2.2 แสดงข้ันตอนการบรหิ ารความเสยี่ ง................................................................................ 36 2.3 แสดงตวั อย่างการศกึ ษาพันธกุ รรมตามทฤษฎีความน่าจะเปน็ ........................................ 43 ฌ

1 บทท่ี 1 บทนำ1. ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ ในยุคโลกาภิวัตน์ได้เกิดการเปล่ียนแปลงต่างๆหลายด้าน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฎหมาย และเทคโนโลยี ซึ่งการเปล่ียนแปลงดังกล่าวก็จะก่อให้เกิดทั้งโอกาส ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ในการดาเนินชีวิตของคนเราจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน หรือความเสี่ยงมากมาย โอกาสท่ีจะดาเนินงานผิดพลาดเสียหายไม่ประสบผลสาเร็จตามแผนงานหรือเป้าหมายท่ีตั้งไว้ก็จะส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายหรือความล้มเหลวตอ่ องคก์ รได้ ธร สุนทรายทุ ธ (2550: 152) กลา่ วไว้วา่ ความเสีย่ งคอื อตั ราความไมแ่ นน่ อนการบริหารจัดการที่ดาเนินกิจกรรมต่างๆ น้ันจะต้องมีความเส่ียงที่แน่นอน (Certainty Risk) เกิดข้ึนสาหรับผู้บริหารอยู่เสมอ และจะต้องป้องกันหรือกาจัดความเสี่ยงนั้นออกไปให้ได้ ซ่ึงเกิดจาก1) ความผิดพลาด บกพร่อง อันเกิดจากการปฏิบัติของมนุษย์ 2) ความผิดพลาด บกพร่องอันเกิดจากการปฏิบัติของเคร่ืองจักร 3) ความสามารถของมนุษย์ที่มีขีดจากัด และ 4) การเปลี่ยนแปรสภาพแวดล้อมการดาเนินงาน เนื่องจากเกิดการผันแปรเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อความล้มเหลวได้อกี ความเสี่ยงหน่งึ ที่มีลกั ษณะเกดิ ความไมแ่ นน่ อน (Uncertainty Risk) เปน็ ความเส่ียงทีไ่ ม่อาจหยัง่ รู้ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เช่น ภัยธรรมชาติที่รุนแรง แผ่นดินไหว อุทกภัย โคนถล่ม หรือ สึนามิยากที่จะหยั่งรู้ว่าจะเกิดขึ้นเม่ือใดอีก ความเส่ียงท่ีไม่แน่นอนอาจจะเกิดข้ึนจากน้ามือมนุษย์ เช่นการทุจริต สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเส่ียงประเภทใดผู้บริหารย่อมตระหนักถึงความสาคัญ ต้องหาทางป้องกัน และหาทางควบคมุ ความเส่ียงเหลา่ นน้ั ปัจจุบันระบบราชการต้องเป็นกลไกลสาคัญในการพัฒนาประเทศ ทาหน้าท่ีเป็นแกนหลักในการนานโยบายของรัฐไปปฏิบัติเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และสนองความต้องการของประชาชน การเปลยี่ นแปลงของสงั คม เศรษฐกจิ วฒั นธรรม การเมืองของโลก ของภูมภิ าค และของประเทศไทย มีผลให้ข้าราชการต้องปฏิบัติงานแบบมืออาชีพมากขึ้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงจาเป็นต้องพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นา เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กร(สานกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา, 2549: 42 ) การบริหารความเสี่ยงขององค์กรทุกประเภท ท้ังในส่วนภาครัฐและเอกชนทุกองค์กรจะตั้งวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจน เช่น เพื่อคุณภาพการศึกษา เพ่ือสร้างผลกาไร เพ่ือให้การบริการประชาชน

2เป็นต้น ไมว่ ่าจะกาหนดวัตถุประสงคไ์ ว้เชน่ ไรก็ตาม การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ดังกลา่ วน้นั จะตอ้ งประสบกับความเสี่ยง ( Risk) อยู่เสมอ ซ่ึงอาจปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น นโยบายการเงินทรพั ยากรมนุษย์ เทคโนโลยี การเมือง ความเส่ยี งเปน็ ภาวะคกุ คาม ปัญหา อุปสรรคหรอื ความสญู เสยีโอกาสซึ่งจะทาให้องค์กรไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้หรือก่อให้เกิดความเสียหายองค์กร ท้ังในด้านกลยุทธ์การปฏิบัติงาน การดาเนินธุรกิจอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ ประเด็นสาคัญในเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยง คือความไม่แน่นอน (Uncertainty) ของผลลัพธ์ (สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ,2553: 11) The Committee of Sponsoring Organization of the Tread way Commission ( COSO )เป็นหน่วยงานที่ได้เผยแพร่วิธีการและกรอบแนวคิดของการควบคุมภายในขององค์กร (InternalControl Framework) อย่างเป็นระบบ เม่ือช่วงต้นทศวรรษของ ปี ค.ศ. 1990 จนกระท่ังเป็นที่ร้จู ักและมีความนิยมอย่างแพรห่ ลาย หลงั จากท่ีวิธกี ารและดาเนินการควบคุมภายใน(Internal Control) ในการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นเร่ืองที่ทุกคนมีความเห็นอย่างตรงกันว่าการจัดการความเสย่ี งเป็นเร่อื งท่ีจาเป็น และเราต้องมีวิธีในการจัดการกับความเสย่ี งที่ดี แต่การจัดการความเสีย่ งนั้นก็ประสบกับปัญหาเดียวกับการเร่ิมทาการควบคุมภายในในช่วงแรก ๆ เพราะการจัดการความเสี่ยงนั้นยังไม่สามารถที่จะกาหนดคานิยามได้อย่างชัดเจน องค์กรของการประกันภัย ก็มีการกาหนดคานิยามของการจัดการความเสี่ยงไว้แบบหนึ่ง แต่องค์กรที่ให้บริการสินเช่ือก็กาหนดคานิยามและวิธีการของการจัดการความเสี่ยงไว้อีกแบบหน่ึงอย่างแตกต่างกัน จนทาให้หน่วยงานหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่แสวงหาผลกาไร หรือองค์กรท่ีไม่แสวงหาผลกาไรต่างก็พยายามท่ีจะกาหนด คานิยามและความหมายของการจัดการความเสยี่ ง ตลอดจนพยายามคดิ ถงึ โครงสรา้ งของการจัดการกับความเส่ียงต่าง ๆ เหล่านั้น หลังจากการพยายามหาข้อสรุปถึงคานิยาม ความหมาย วิธีการในการจัดการความเสี่ยงและ การจัดทาโครงสร้างในการบริหารความเส่ียงมานาน COSO จึงพยายามที่จะกาหนด และกาหนดคานิยามและรูปแบบต่าง ๆ ในการจัดการกับความเส่ียง โดยได้กาหนดออกมาเป็น COSO ERM(COSO Enterprise Risk Management) ซงึ่ COSO ได้กาหนดโครงสร้างและความหมายในการจัดการกับความเสย่ี ง และนาเสนอต่อสาธารณะในปลายปี ค.ศ. 2004 โดยให้บริษัทในทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัท SMEs สามารถนาเอาแนวทางในการบริหารจัดการกับความเสี่ยงไปใช้ได้ COSO Internal Control Framework เป็นกระบวนการ ท่ีออกแบบให้ กรรมการบริหารผู้บริหาร บุคลากรต่าง ๆ ของหน่วยงานต้องมีความรับผิดชอบและพยายามที่จะให้หน่วยงานประสบความสาเรจ็ โดยมีวัตถุประสงค์ดังน้ี 1.ให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 2. มีการรายงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือ และ 3. การปฏิบัติตามข้อกาหนดทางกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ COSOInternal Control Framework จะมีลักษณะที่เชื่อมโยงต่อ COSO Enterprise Risk management

3ดังน้ันการเข้าใจใน COSO Internal Control Framework จึงเป็นการช่วยให้เขา้ ใจใน COSO ERMมากขนึ้ (กิตตพิ นั ธ์ คงสวัสดิเ์ กยี รต,ิ 2554: 1- 3 ) การที่องค์กรต่างๆนากระบวนการบริหารความเส่ียงมาใช้ จะช่วยเป็นหลักประกันในการดาเนินการต่างๆ ว่าจะมีการดาเนินการให้บรรลุเป้าหมายท่วี างไว้หรือไม่ อย่างไร เน่ืองจากการบริหารความเสี่ยง เป็นทิศทางการทานายอนาคตอย่างมีเหตุผลมีหลักการ และหาวิถีทางลดหรือป้องกันความเสียหายอันที่ก่อขึ้น ในการทางานแต่ละข้ันตอนไว้ล่วงหน้า หรือเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดคิดโอกาสท่ีจะประสบกับปัญหาน้อยกว่าองค์กรอื่นๆ ท่ีไม่มีการนากระบวนการบริหารความเสี่ยงมาใช้เพราะการที่ได้มีการตระเตรียมการและ ต้ังมือรับเหตุการณ์ต่างๆอย่างเต็มท่ีไว้ล่วงหน้า ในขณะท่ีองค์กรอ่ืนไม่มีการนาแนวคิดของกระบวนการบริหารความเสี่ยงมาใช้ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้นองค์กรเหล่าน้ันจะประสบกับปัญหาและ ความเสียหายท่ีตามมาโดยยากที่จะแก้ไข ดังน้ันการท่ีนากระบวนการบริหารความเสีย่ งมาช่วยในการบริหารงาน จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงคต์ ่างๆที่กาหนดไว้และเปน็ การป้องกนั โอกาสทจี่ ะเกดิ ความสญู เสยี (ธร สุนทรายทุ ธ, 2550: 18 ) นอกจากความเสี่ยงท่ีเกิดขึ้นกับองค์กรทางธุรกิจ และเศรษฐกิจแล้วหน่วยงานภาครัฐต่างๆยังให้ความสาคัญกับการบริหารความเส่ียงของหน่วยงานราชการเช่นกัน และพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมท่ีเห็นได้ชัดเจนท่ีสุดได้แก่ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้กาหนดให้หน่วยงานต่างๆจัดทาแผนบริหารความเส่ียงตามแผนยุทธศาสตร์อันเป็นกลไกลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยราชการนั้นเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าประสงค์ที่กาหนดไว้ (นฤมล สะอาดโฉม,2550: 4 ) การศึกษาเป็นระบบหนึ่งในสังคมเช่นเดียวกับระบบอื่นๆ เป็นต้นว่า ระบบเศรษฐกิจ หรือการเมือง แต่ระบบการศึกษาจะแตกต่างกับระบบอ่ืนบ้าง เพราะเป็นระบบที่ใช้อานาจในเชิงคุณธรรม (Normative) หน่วยงานหรือองค์กรมีแนวโน้มที่จะมีสมาชิกอยู่กันตามเป้าหมายโดยคานึงถึงความถูกต้อง และเป็นธรรม ในการจัดการศึกษาจะต้องระดมทรัพยากรที่เป็นตัวป้อนผ่านกระบวนการทางการศึกษาจึงจะได้ผลผลิตการศึกษาตามเป้าหม ายของระบบโดยเป็นคนที่สมบูรณ์ (ธร สุนทรายุทธ, 2550: 18 ) การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องใหม่สาหรับทางด้านการศึกษาแต่เป็นกิจกรรม ซ่ึงมีการดาเนินงานอยู่แล้วหลายเร่ือง เช่น ความปลอดภัยของครูและนักเรียน การควบคุมภาวะโภชนาการการควบคุมอคั คีภัย การรกั ษาความปลอดภัย ระบบประกนั สขุ ภาพ เป็นตน้ เพียงแต่สถานศึกษายังมิได้นามาจัดระบบเช่ือมโยงประสานกิจกรรมบรหิ ารความเสย่ี ง ให้ครอบคลมุ ท้ังระบบ (Risk ManagementSystem) (ดวงใจ ชว่ ยตระกูล, 2551: 3 ) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 มาตรา 20ได้กาหนดให้กระทรวงศึกษาธิการมีผู้ตรวจราชการของกระทรวงเพื่อทาหน้าที่ในการตรวจราชการ

4ศึกษาวเิ คราะห์วจิ ยั ตดิ ตามและประเมนิ ผลระดับนโยบายเพ่อื นเิ ทศใหค้ าปรึกษาแนะนาเพอ่ื การปรับปรุงพัฒนา และเพ่ือให้การตรวจราชการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ อาศัยอานาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบบรหิ ารราชการกระทรวงศกึ ษาธิการ พ.ศ.2546 ได้มีการตรวจราชการ 5 แนวทางคือ การตรวจราชการแบบเชิงรุกและสร้างสรรค์ การตรวจราชการแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธ์ิ การตรวจราชการแบบร่วมเป็นพันธมิตร การตรวจราชการแบบการบริหารความเสี่ยงและการตรวจราชการแบบมีส่วนร่วมเพ่ือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการบริหารบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546หมวดที่ 3 มาตรา 9 (1) กาหนดให้สว่ นราชการต้องจัดทาแผนปฏิบัติการไว้เป็นการลว่ งหน้า และรองรบั มติคณะรฐั มนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2550 ที่เห็นชอบให้สว่ นราชการ จัดให้มีการวิเคราะห์ความเส่ยี งตามหลกั ธรรมมาภบิ าลของแผนงาน/โครงการที่จดั ขนึ้ ตามนโยบายสาคัญของรฐั บาล โดยแนบผลการวิเคราะห์ความเส่ียงไปพร้อมกับคาของบประมาณรายจ่าย ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.2553 และการจัดทาระบบบริหารความเส่ียงตามตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 อยใู่ นหมวด 2 การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ (SP7) ที่กาหนดวา่ สว่ นราชการต้องมีการวิเคราะห์และจัดทาแผนบริหารความเส่ียงตามมาตรฐาน COSO เพ่ือเตรียมรองรับการเปล่ียนแปลง ที่อาจเกิดขึ้นจากการดาเนินแผนงาน/โครงการที่สาคัญ ซึ่งต้องครอบคลุมความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล ( สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2553: 1 ) จังหวัดปทุมธานี มีโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานีจานวน191 โรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 จานวน 103 โรงเรียนสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 2 จานวน 67 โรงเรยี นสังกัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 4 ปทุมธานี จานวน 21 โรงเรียน เปน็ หนว่ ยงานทม่ี ีหน้าท่ีบริหารจัดการศึกษา พัฒนาวิชาการ งบประมาณ บริหารงานบุคคล และบริหารทั่วไปมุ่งส่งเสริมพัฒนาระบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัด ให้ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสทิ ธิผล มีการปฏิบัติและวัดผลสาเร็จของงานอย่างเป็นรูปธรรม สามารถตรวจสอบได้มีการนิเทศติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารและการจัดการศึกษา ตามแนวปฏิรูปการศึกษาอย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน (กลุ่มนิเทศก์ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สพท.ปทุมธานี เขต 2, 2552:17 - 55 ) สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาปทุมธานี เขต 1 มีสว่ นช่วยให้หน่วยงานสามารถวิเคราะห์โอกาสและผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนจากความเสี่ยงในการปฏิบัติงานตามโครงการสาคัญตามยุทธศาสตร์ของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนการปฏิบัติตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เพื่อกาหนดมาตรการหรือแนวทางในการบริหารจัดการความเส่ียงให้หมดไปหรืออยู่ในระดับที่ยอมรับได้

5อันจะส่งผลให้การปฏิบัติงานตามโครงการ / ภารกิจบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การจัดกระทาระบบบริหารความเส่ยี งยังมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธร์ ะหว่างองคก์ รและภายในองค์กร อันจะนามาซึ่งการประสาน การทางาน การติดต่อแลกเปล่ียนข้อมูล และความร่วมมือในการดาเนนิ การต่างๆ เพอ่ื ใหส้ ามารถบรรลุเป้าหมายในการบริหารราชการแผน่ ดนิ ( กลมุ่ อานวยการฝ่ายเลขานุการ สพท.ปทุมธานี เขต 1, 2553: 1 ) จากการศึกษาข้อมูลของ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้จัดทาแนวทางการจัดทาระบบบริหารความเสี่ยง ประจาปีงบประมาณ 2553 พบว่า ปัจจัยแห่งความล้มเหลวในการบริหารความเสี่ยงของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาปทุมธานี มีดังนี้ ประการท่ีแรก ผู้บริหารไม่ให้การสนับสนุน โดยมีความเข้าใจว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องท่ีบ่งบอกถึงความผิดพลาดการบริหารงานขององค์กร และไม่ยอมรับที่จะนาความเส่ียงท่ีแท้จริงของหน่วยงานมาไว้ในแผนบริหารความเส่ียง ประการท่ี 2 ขาดการส่ือสารที่ดีบุคลากรในองค์กรมีความรู้เร่ืองการบริหารความเสี่ยงเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับการจัดทาระบบบริหารความเส่ียง โดยไม่มีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการจัดทาระบบบริหารความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับในหน่วยงาน ทาให้บุคลากรขององค์กรไม่เข้าใจว่าการบริหารความเส่ียงมีส่วนช่วยให้องค์กรบรรลุผลสาเร็จในการปฏิบัติงาน จึงไม่ให้ความสาคัญและมีความคิดว่าการบริหารความเส่ียงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ประการที่ 3 ผู้มีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงไม่ได้วิเคราะห์ความเส่ียงของหน่วยงานตามความเป็นจริงโดยมีความเห็นว่า หน่วยงานของตนไม่มีความเสีย่ ง จึงประเมินความเสี่ยงโดยให้คะแนนอยู่ในระดับต่าทาให้ความเสี่ยงของหน่วยงานไม่ต้องนามาจดั ทาแผนบริหารความเส่ียงของสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาปทมุ ธานี ประการที่ 4 การบริหารความเสย่ี ง ไมส่ ามารถดาเนนิ การไดท้ วั่ ทัง้ องคก์ ร ทาให้บุคลากรในองค์กรไม่เห็นถงึ ประสทิ ธิผลของการบริหารความเสี่ยงว่ามีส่วนให้องค์กรบรรลุผลสาเร็จได้อย่างไร (กลุ่มอานวยการฝ่ายเลขานุการสพท.ปทมุ ธานี เขต 1, 2553: 3 ) การจัดการความเส่ยี งเป็นการสร้างฐานข้อมูลสารสนเทศ ที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานในองค์กร และจะเป็นข้อมูลสาหรับผู้บริหารสถานศึกษาในการตัดสินใจในด้านต่างๆ เป็นการสะท้อนให้เห็นภาพรวมของความเสี่ยงต่างๆ การจัดการความเสี่ยงจะทาให้ผู้บริหารมีความเข้าใจเขา้ ถงึ เปา้ หมาย วัตถุประสงค์ ภารกิจหลกั ของสถานศึกษา ทาให้ตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะส่งผลในเชิงลบต่อสถานศึกษา การจัดการความเส่ียงจะเป็นเครื่องมือสาคัญในการบริหารงานช่วย ในการบรหิ ารและจดั การทรัพยากรเปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพอยา่ งเหมาะสมทาให้ผู้บริหารมีความมั่นใจในการบริหารงาน และการตัดสินใจในด้านต่างๆ เช่น การกาหนดกลยุทธ์ การวางแผนงานประจาปีและการวัดผลประเมินผลการปฏิบัติงาน การจัดการความเส่ียงช่วยให้การพัฒนาองค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

6 จากหลักการและเหตุผลดงั กล่าวขา้ งตน้ ผู้วจิ ัยจึงสนใจศกึ ษาวจิ ยั เกี่ยวกับ การจดั การความเสี่ยงของผู้บริหารสถานศึกษา ซ่ึงประกอบด้วย ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความเส่ียงด้านการดาเนินงานความเสีย่ งดา้ นการเงนิ ความเสีย่ งด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย / กฎระเบียบขอ้ บังคับต่างๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ซ่งึ ประกอบด้วยความสามารถในการปรบั ตวั ผลสมั ฤทธิท์ างด้านการเรียน ความพึงพอใจในงาน ความมุ่งม่ันในชีวิตอนั จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาในการจดั การความเสยี่ ง เพอื่ เตรียมการปอ้ งกนั หลกี เลยี่ งภาวะคุกคาม ปัญหา อุปสรรคหรือความสูญเสียโอกาส ซ่ึงจะทาให้องค์กร ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานศึกษา เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการบริหารที่จะให้สถานศึกษาดาเนินการให้บรรลุวัตถปุ ระสงคห์ รอื เป้าหมายของสถานศึกษาท่ีได้วางไว้ ซึง่ จะทาให้เกดิ ประสทิ ธผิ ลสูงสดุ ของสถานศึกษา2 . คำถำมของกำรวจิ ัย 2.1 ระดบั การจัดการความเสี่ยงและประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษาสังกดั สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานี อยูใ่ นระดบั ใด 2.2 การจัดการความเส่ียงกับประสิทธผิ ลของสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาในจังหวดั ปทมุ ธานี มีความสัมพนั ธ์กันหรอื ไม่ 2.3 การจัดการความเสีย่ งส่งผลตอ่ ประสทิ ธิผลของสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานี เพยี งใด3. วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย 3.1 เพ่อื ศึกษาระดับการจัดการความเส่ยี งและประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาในจงั หวัดปทุมธานี 3.2 เพ่อื ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างการจดั การความเสย่ี งกบั ประสิทธิผลของสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาในจังหวดั ปทมุ ธานี 3.3 เพื่อศึกษาการจัดการความเสีย่ งทีส่ ง่ ผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาในจงั หวัดปทุมธานี

74. ขอบเขตของกำรวจิ ยั 4.1 ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง 4.1.1 ประชำกร ทใี่ ช้ในการศกึ ษาครั้งน้ี คอื ผู้บริหารสถานศกึ ษา และครผู รู้ ับผดิ ชอบการจดั การความเสี่ยง สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา ในจังหวัดปทุมธานี โดยแบง่ ไดด้ ังนี้ สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา ปทมุ ธานี เขต 1 ผบู้ ริหารและครูผู้รบั ผดิ ชอบการจดั การความเส่ยี ง จานวน 206 คน สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา ปทุมธานี เขต 2 ผบู้ ริหารและครูผู้รับผดิ ชอบการจดั การความเสยี่ ง จานวน 134 คน สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 4 ผูบ้ ริหารและครูผูร้ ับผดิ ชอบการจัดการความเส่ยี ง จานวน 42 คน รวมทั้งสนิ้ จานวน 382 คน 4.1.2 กลมุ่ ตัวอยำ่ ง ที่ใช้ในการศกึ ษาคร้งั นี้ สุ่มเลอื กมาจากประชากรและกาหนดขนาดตวั อยา่ งโดยใช้ตารางกาหนดขนาดตวั อย่างของ เครจซีแ่ ละมอรแ์ กน (R.V. Krejcie and D.W. Morgan)ได้ตัวอย่างเปน็ ผบู้ รหิ ารและครผู รู้ ับผดิ ชอบการจดั การความเส่ียง จานวน 191 คน โดยส่มุ แบบเจาะจงตำรำงท่ี 1.1 แสดงประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากร กล่มุ ตวั อย่าง สพป.เขต1 สพป.เขต2 สพม.เขต4 สพป.เขต1 สพป.เขต2 สพม.เขต4ผู้บริหาร 103 67 21 52 34 11ครผู ูร้ บั ผดิ ชอบการจดั การความเสย่ี ง 103 67 21 51 33 10 รวม 206 134 42 103 67 21 รวมทัง้ ส้ิน 382 191 4.2. ตัวแปรที่ศกึ ษำ 4.2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ การบริหารความเสย่ี งของส่วนราชการประจาปีงบประมาณ2553 ของสานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2552: 112) แผนบรหิ ารความเส่ยี งตามมาตรฐานCOSO ซึง่ ประกอบดว้ ย ก) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ข) ความเสยี่ งด้านการดาเนนิ งาน

8 ค) ความเส่ียงด้านการเงนิ ง) ความเสีย่ งดา้ นการปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย / กฎระเบยี บ 4.2.2 ตัวแปรตำม ได้แก่ ประสิทธผิ ลของสถานศึกษา ตามแนวคิดของฮอยและมิสเกล ( Hoy and Miskel : 2001 ) ซงึ่ ประกอบด้วย ก) ความสามารถในการปรับตัว ข) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ค) ความพงึ พอใจในงาน ง) ความมุง่ มนั่ ในชวี ติ5. สมมติฐำนของกำรวิจัย 5.1 ระดับการจดั การความเสีย่ งและประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษาสงั กดั สานักงานสานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาในจงั หวัดปทมุ ธานี อยูใ่ นระดับมาก 5.2 การจัดการความเสยี่ ง กบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาในจงั หวัดปทมุ ธานี มีความสัมพนั ธ์กัน 5.3 การจดั การความเส่ียงสง่ ผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี6. กรอบแนวคดิ ในกำรวิจยั ปัจจัยการบริหารความเสี่ยงของส่วนราชการประจาปีงบประมาณ 2553 ของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามตัวชี้วัดที่ 11 ว่าด้วยระดับความสาเรจ็ ในการจัดทาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 2 การวางแผนยุทธศาสตร์ (SP 7) ส่วนราชการต้องมีการวิเคราะห์จัดทาแผนบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐาน COSO เพื่อเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดข้ึนจากการดาเนินแผนงาน/โครงการที่สาคัญซ่ึงต้องครอบคลุมความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาลซึ่งประกอบด้วย 6.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ การจดั การความเส่ยี งของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2552: 112) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 6.1.1 ความเส่ยี งด้านกลยุทธ์ 6.1.2 ความเส่ียงดา้ นการดาเนินงาน 6.1.3 ความเส่ียงดา้ นการเงนิ 6.1.4 ความเสย่ี งดา้ นการปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย / กฎระเบยี บ

9 6.2 ตัวแปรตำม ได้แก่ ประสิทธิผลของสถานศกึ ษา ตามแนวคิดของฮอยและมสิ เกล( Hoy and Miskel, 2001 ) ซ่งึ ประกอบดว้ ย 6.2.1 ความสามารถในการปรับตวั 6.2.2 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 6.2.3 ความพึงพอใจในงาน 6.2.4 ความมุ่งม่นั ในชวี ิต ตัวแปรต้น ตัวแปรตำม กำรจัดกำรควำมเสีย่ ง ประสทิ ธผิ ลของสถำนศึกษำ ของผบู้ ริหำรสถำนศกึ ษำ 1. ความสามารถในการปรบั ตวั1. ความเสย่ี งดา้ นกลยุทธ์ 2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน2. ความเสย่ี งดา้ นการดาเนนิ งาน 3. ความพงึ พอใจในงาน3. ความเส่ยี งด้านการเงนิ 4. ความมุ่งมั่นในชวี ติ4. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัตติ าม กฎหมาย / กฎระเบยี บภำพประกอบที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย7. คำจำกัดควำมในกำรวจิ ยั 7.1 ควำมเสย่ี ง หมายถึง เหตกุ ารณ์ / การกระทาใดๆ ทีอ่ าจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ท่ีไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายท้ังที่เป็นตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงิน หรือก่อให้เกิดความล้มเหลวหรือลดโอกาสท่ีจะบรรลุเป้าหมายตามภารกิจหลักตามกฎหมายจัดตั้งสว่ นราชการและเปา้ หมายตามแผนปฏบิ ตั ิราชการของส่วนราชการ 7.2 กำรจัดกำรควำมเส่ียงของสถำนศกึ ษำ หมายถึง กระบวนการจัดการความเสีย่ งของส่วนราชการประจาปีงบประมาณ 2553 ของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ตามตัวชี้วัดท่ี 11 ว่าด้วยระดับความสาเร็จในการจัดทาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 2การวางแผนยุทธศาสตร์ (SP 2) ซงึ่ ปัจจัยเสย่ี งประกอบดว้ ย 7.2.1 ความเสี่ยงด้านกลยทุ ธ์ หมายถงึ ความเสีย่ งในเรื่องนโยบาย แผน พนั ธกจิกลยทุ ธ์ / ยุทธศาสตรข์ องสถานศกึ ษา

10 7.2.2 ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน หมายถึง ความเสี่ยงในเร่ืองการดาเนินงานด้านการแนะแนว ความยุ่งยากในการปฏิบัติงาน การประกันคุณภาพ การพัฒนาโรงเรียนและพฤติกรรมนักเรียน งานธุรการ การกากบั ติดตาม การพัฒนาวธิ กี ารจัดกิจกรรมความรู้ ความเข้าใจในการทาวิจัยในช้ันเรยี น 7.2.3 ความเส่ียงด้านการเงิน หมายถึง ความเสี่ยงในเรื่องการจัดสรรงบประมาณการบริหารพัสดุ และสินทรัพย์ค่าใช้จ่ายรายหัว การจัดทาบัญชีการเงิน ใบเสร็จรับเงิน การใช้จ่ายเงินเงินยมื การจดั ทาทะเบยี น การจัดทารายงานการขอซ้ือ ขอจา้ ง การเขยี นเช็คส่ังจ่าย 7.2.4 ความเสี่ยงดา้ นการปฏิบตั ิตามกฎหมาย / กฎระเบยี บ หมายถึง ความเสี่ยงในเรือ่ งวนิ ยั การตรวจสอบภายใน / ควบคุมภายใน การเปลีย่ นแปลงกฎระเบียบ / มาตรการ / ขอ้ กาหนดจากตน้ สงั กดั 7.3 ประสทิ ธิผลของสถำนศกึ ษำ หมายถงึ ความสามารถของผ้บู รหิ ารและครใู นโรงเรยี นสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ในการทางานจนบรรลุเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ตามแนวคดิ ของฮอยและมิสเกล ( Hoy and Miskel, 2001: 384) ในการจัดการศึกษาและสามารถทาให้นักเรยี น มีความสามารถในการปรบั ตัว มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสูง มีความพึงพอใจในงาน รวมทงั้ มคี วามมุ่งมน่ั ในชีวติ พจิ ารณาจากความสามารถ 4 ประการได้ดังน้ี 7.3.1 ความสามารถในการปรับตัว หมายถงึ ความรู้ ความสามารถของครูและบุคลากรในการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์ การปฏิบัติงานในหน้าท่ีให้บรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจของสถานศึกษา สามารถแก้ปัญหาและควบคุมสถานการณ์ เร่งด่วน ยอมรับและปรับเปล่ียนการทางานตามนโยบายใหม่และปรับเปล่ียนการบริหารงาน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบรหิ าร 7.3.2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถึง ผลลพั ธข์ องการจดั การศกึ ษา โดยนักเรียนได้รับการยกย่องชมเชยหรือรางวัลทางด้านวิชาการ สามารถสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อได้ศึกษาค้นคว้าหาความรแู้ ละพฒั นาตนเอง มคี วามรบั ผดิ ชอบ มสี ขุ ภาพร่างกายแข็งแรง และสขุ ภาพจิตดี มีคุณธรรมและจรยิ ธรรมเหมาะสมกับวัย ผู้ปกครองพงึ พอใจในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ความมีระเบียบวนิ ยั คุณธรรม ความประพฤติของนกั เรียน 7.3.3 ความพงึ พอใจในงาน หมายถึง การทบ่ี คุ ลากรในสถานศกึ ษายอมรับนโยบายมาตรการและข้อตกลงร่วมกันในการปฏิบัติงานของสถานศึกษา มีความพึงพอใจและภูมิใจในระบบการบรหิ ารงานของสถานศึกษา ปรบั ปรงุ พัฒนาวธิ กี ารปฏิบตั ิงานตามหนา้ ที่ด้วยนวัตกรรมใหม่ท่ีมีคุณค่าต่อการพัฒนาสถานศึกษา มีระบบการส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรมีโอกาสก้าวหน้าในตาแหน่งหนา้ ท่กี ารงานทุกคน

11 7.3.4 ความมุ่งมั่นในชีวิต หมายถงึ การที่บุคลากรในสถานศึกษามีความตระหนักในภาระหน้าที่ของตนและส่วนรวม ทุ่มเทอุทิศเวลาในการทางาน เพื่อให้ได้ตามเกณฑ์หรือตัวช้ีวัดทส่ี ถานศึกษากาหนดโดยมุ่งไปท่ีผลสัมฤทธ์ิของนักเรยี นมีแผนการพฒั นาสง่ เสริมบุคลากร 7.4 ผู้บริหำรสถำนศึกษำ หมายถงึ ผูท้ ่ีดารงตาแหน่งผ้อู านวยการสถานศึกษา หรือ รองผู้อานวยการสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ซ่ึงเป็นสถานศึกษาของรฐั บาล 7.5 ครูผู้รับผิดชอบกำรจัดกำรควำมเส่ียง หมายถึง ครผู ู้รับผดิ ชอบเรอื่ งการจดั การความเสี่ยงของสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี ซึง่ เป็นสถานศึกษาของรฐั บาล8. ประโยชน์ที่จะได้รบั ผลของการศึกษาวจิ ัย สามารถนาไปใช้ประโยชนด์ ังน้ี 8.1 เพื่อให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องได้รับทราบข้อมูลเก่ียวกับระดับความสาคัญของการจัดการความเสี่ยงและประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานีเพื่อนามาใช้เปน็ แนวทางในการวางแผนพัฒนาบุคลากรและสถานศกึ ษา 8.2 เพ่ือให้หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งได้รับทราบความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความเสี่ยงและประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานีเพ่ือนามาเป็นแนวทางในการพฒั นากระบวนการจัดการความเสี่ยง 8.3 เพ่ือใหห้ นว่ ยงานทเ่ี กี่ยวข้องได้มีแนวทางในการปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงปัจจยั ท่ีเป็นอุปสรรคหรือลดโอกาสท่ีจะสูญเสีย และเพ่ิมโอกาสความสาเร็จของงาน เป็นแนวทางในการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและถูกต้อง และส่งเสริมบุคลากรในการปฏิบัติงานให้มีความเข็มแข็งเป็นประโยชน์ท้ังในด้านการพัฒนาบุคลากรและในด้านการจัดการความเสยี่ งของโรงเรียนเพ่ือให้เกิดประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลและประสบความสาเร็จตามเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้

12 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาการจัดการความเส่ียงท่ีส่งผลต่อคุณภาพของสถานศึกษาสังกัดสานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี ผู้วจิ ัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง ดังนี้ 1. แนวคดิ และทฤษฎขี องการจดั การความเสย่ี ง 1.1 ความหมายและการจดั การความเส่ยี ง 1.2 ประเภทของความเส่ียง 1.3 กระบวนการบริหารความเสยี่ ง 1.4 ประโยชนข์ องการบริหารความเสย่ี ง 1.5 แนวคิดและทฤษฎที เี่ กีย่ วขอ้ งกับความเสีย่ ง 1.6 การนาระบบบริหารความเส่ียงมาใชใ้ นการบริหารการศกึ ษา 2. แนวคดิ และทฤษฎีประสิทธผิ ลของสถานศึกษา 2.1 ความหมายของประสิทธิผล 2.2 แนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวกับประสิทธิผล 2.3 การประเมนิ ประสิทธิผลของสถานศึกษา 2.4 สภาพการจดั การศึกษาในเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาปทมุ ธานี 2.5 แนวทางการจัดทาระบบบริหารความเสี่ยงของสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาปทุมธานี 3. การบรหิ ารความเสี่ยงของสานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษา ปทุมธานี 3.1 ปัจจยั แหง่ ความสาเร็จในการบรหิ ารความเสยี่ งของสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาปทมุ ธานี 3.2 ปัจจัยแหง่ ความลม้ เหลวในการบรหิ ารความเสยี่ งของสานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาปทุมธานี 4. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ

131. แนวคิดและทฤษฎีของกำรจดั กำรควำมเสย่ี ง การบริหารความเสี่ยงใช้หลักแนวคดิ ทฤษฎีของการบริหารความเสีย่ งต่างๆมากมาย แต่เราต้องรู้จักความหมายของความเสี่ยงก่อน ควำมเส่ียง (Risk) เราสามารถแบ่งคาว่า Risk ออกเป็น4 ตัวอักษร คือ “R” “I” “S” และ “ K” กิตติพันธ์ คงสวัสด์ิเกียรติ ( 2554: 58 - 60 ) ได้กลา่ วไว้ว่า“R” ใช้แทนคาว่า Return “I” ใช้แทนคาว่า Immunization “S” ใช้แทนคาว่า Systems และ“ K”ใชแ้ ทนคาวา่ Knowledge Return หรือ ผลตอบแทน เป็นหวั ใจทสี่ าคัญทส่ี ุดของธรุ กิจเพราะวา่ ธุรกจิ ทกุ ธรุ กจิมเี ปา้ หมายเดยี วกันคือ ต้องมผี ลตอบแทนหรือมูลค่าเพม่ิ ให้กบั ผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสียกบั บรษิ ทั ให้มมี ูลค่าสงู ที่สุด (Stakeholders Value Creation Maximization) แต่การท่ีธรุ กิจดาเนินกิจกรรมใดแล้ว เราไม่อาจมองแต่ผลตอบแทนได้แต่เพียงอย่างเดียวเพราะการท่ีธุรกิจจะมีผลตอบแทนที่สูงนั้นธุรกิจก็จะเผชิญกับความเส่ียงท่ีมากข้ึนตามมา ดังคากล่าวที่ว่า ความเสี่ยงในการลงทุนนั้นยิ่งสูงเท่าไรผลตอบแทนก็ย่ิงมากตามมาด้วย แต่การที่ธรุ กิจจะตัดสินใจลงทุนในโครงการใด หรือจะดาเนินตามธรุ กรรมใดแล้ว ธรุ กจิ จะตอ้ งประเมินผลตอบแทนทีจ่ ะได้รับนัน้ คมุ้ คา่ กับความเสี่ยงที่เพม่ิ ขน้ึ หรือไม่ Immunization หรือ ภมู ิค้มุ กนั ควำมเสีย่ ง ธรุ กจิ ทุกธุรกิจจะต้องทาการประเมนิสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจว่า หากสถานการณ์ต่างๆเกิดขึ้นธุรกิจจะได้รับผลเสียหายเท่าใดพร้อมทั้งประเมิน ถึงภูมิคุ้มกันของบริษัทที่มีด้วยว่า สามารถช่วยในการลดทอนความเสี่ยงได้เพียงใด หากบรษิ ัททม่ี ีภมู ิคุ้มกันสงู โอกาสของความเสยี่ งที่เกดิ ขนึ้ น้ันก็ค่อนข้างต่า หรือความเสีย่ งทจ่ี ะเกดิ ขึน้ กจ็ ะได้รับการบรรเทา Systems หรือ ระบบในกำรควบคุมควำมเสี่ยง ธุรกจิ จะต้องมกี ารจดั ตั้งระบบเพื่อช่วยในการลดทอนความเสี่ยงที่จะเกิดข้ึน โดยระบบดังกล่าวจะต้องเริ่มต้ังแต่ มีการวัดความเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนอย่างเป็นระบบ โดยมีการระบุปัจจัยท่ีจะก่อให้เกิดความเส่ียงรวมทั้งมีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพราะความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาของการดาเนินธุรกิจ เราจึงไม่สามารถท่ีจะละเลยได้เป็นบางช่วงเวลา และระบบจะรวมถึงการบรหิ ารจัดการความเสยี่ งอย่างเป็นระบบเช่นเดียวกัน Knowledge หรือ ควำมรู้ในกำรจัดกำรควำมเสีย่ ง องคค์ วามรใู้ นเร่อื งของความเสี่ยงน้ีเป็นส่ิงท่ีทุกองค์กรจะต้องเรียนรู้และศึกษาไปพร้อมๆกัน บุคลากรในบริษัทจะต้องมีทักษะท่ัวไปท่จี าเป็นในการจัดการกับความเส่ียงเบื้องต้น และควรท่ีจะมีความรใู้ นองคร์ วมเพื่อที่จะบริหารจัดการกับความเสี่ยงของบรษิ ัทท่ีจะเกิดขน้ึ ได้ บริษัทควรมีการส่งเสรมให้พนักงานทุกคน มีการเรียนรู้และมีความตระหนักใน เรอ่ื งของความเส่ยี ง เพ่ือเป็นการลดทอนความเสย่ี งที่จะเกดิ ข้นึ ในระยะยาว

14 1.1 ควำมหมำยของควำมเสีย่ งและกำรจดั กำรควำมเสี่ยง ควำมหมำยของควำมเสี่ยง นกั วิชาการหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของความเสยี่ งไวด้ งั นี้ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2552: 111) ได้ให้ความหมายของความเสี่ยงคือ เหตกุ ารณ/์ การกระทาใดๆ ที่อาจเกดิ ขน้ึ ในภายใตส้ ถานการณท์ ไ่ี ม่แน่นอนและส่งผลกระทบ หรอืสร้างความเสียหาย (ทั้งท่เี ป็นตัวเงนิ และไม่เปน็ ตัวเงิน) หรอื กอ่ ให้เกดิ ความลม้ เหลว หรอื ลดโอกาสท่ีจะบรรลุเปา้ หมายของแผนงาน/โครงการท่สี าคัญในแต่ละประเดน็ ยุทธศาสตร์ตามท่ีระบไุ วใ้ นแผนปฏิบัติราชการประจาปขี องสว่ นราชการ กิตติพันธ์ คงสวัสด์ิเกียรติ (2554: 63) ได้กลา่ วว่า ความเส่ียง คือ โอกาสที่ไม่แน่นอนของเหตุการณ์ ซ่ึงไม่สามารถจะเดาได้ว่าจะเกดข้ึนเม่ือใด แต่ความเสี่ยงนั้นๆ จะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นไมม่ ากกน็ ้อยในบริษทั ปราชญา กล้าผจัญ (2551: 21) ให้ความหมายของความเสยี่ งไว้ดังน้ี หมายถึง โอกาสท่ี บางสิ่งบางอย่างอาจจะเกิดข้ึน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของสิ่งท่ีเป็นอันตราย ความเสี่ยงน้ี เกิดจากความไม่แน่นอน( Uncertainty ) ซึ่งสามารถวดั ไดค้ วามน่าจะเป็นของส่ิงทีเ่ กดิ ขน้ึ หรือผลลัพธ์ท่ีเกิดขนึ้ แต่ละหน่วยงานต่างก็มีมุมมองเร่ืองความเส่ียงแตกต่างกันไป เช่น งานทรัพยากรมนุษย์ มองอย่างหน่ึง งานผลิตมองอย่างหนึ่ง งานรักษาความปลอดภัย มองอย่างหน่ึงและงานวิศวกรรมความปลอดภัยขององค์กรก็มองความเสีย่ งไปอีกอย่างหน่ึง เปน็ ต้น เจนเนตร มณนี าค (2548: 5) ได้กลา่ ววา่ ความเส่ียง หมายถงึ เหตุการณ์หรือ การกระทาใดๆท่ีอาจเกิดขึ้นภายในสถานการณ์ท่ีไม่แน่นอน และจะส่งผลกระทบหรือสร้างความเส่ียงหรือความล้มเหลว หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสาเร็จต่อการบรรลุเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ท้ังในระดับประเทศ ระดับองค์กร ระดบั หนว่ ยงานและบุคลากรได้ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี (2550: 15) ได้กลา่ วถึงความหมายของความเส่ียงไว้หลายๆอย่างด้วยกันความเสยี่ ง คือ ความไมแ่ นน่ อนว่าจะได้ผลลพั ธต์ รงตามเป้าประสงค์หรอื ไม่ ความเสี่ยง คือ โอกาสหรือสถานการณ์ ท่ีอาจจะทาให้องค์กร ไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ที่วางไว้ได้ ความเส่ียง คือการกระทา หรือสถานการณ์ท่ีอาจจะส่งผลท้ังทางด้านบวกและด้านลบ แก่หน่วยงานขององค์กรความเส่ียง คือ บุคลากรในองค์กรต้องไม่เส่ียงเกินกว่าท่ีองค์กรหรือหน่วยงานของตนจะสามารถรับภาระนั้นไว้ได้ (รับไมไ่ หว) หากภาระน้ันหนกั เกินกว่าที่จะรบั เช่น บรษิ ัทประกันภยั กจ็ ะไปจา้ งบริษัทรับประกันภัยต่อให้รับภาระความเสี่ยงน้ันไปอีกระดับหน่ึง โดยบริษัทประกันภัยผู้จ้างวานจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยต่อน้ันให้ เมื่อเกิดอุบัติภัย บริษัทประกันภัยต่อก็จะต้องรับผิดชอบต่อ ภาระการเสี่ยงนนั้ ๆ ทบี่ รษิ ทั ประกนั ภยั ได้มุ่งเสาะแสวงหาผรู้ ่วมรบั ผิดชอบ หรือผรู้ ับผดิ ชอบไปอีกระดับหน่ึง

15 ธร สุนทรายุทธ (2550: 152) กล่าวถึงความเสี่ยง หมายถึง เหตุการณ์หรือการกระทาใดๆที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และส่งผลกระทบหรือสร้างความเสี่ยงหรือความล้มเหลวหรือลดโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ท้ังในระดับประเทศ ระดับองค์กร หรือหนว่ ยงานนน้ั ๆ สงวน ช้างฉตั ร (2547: 7-8) ให้ความหมายความเส่ียงว่า หมายถงึ สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของขอ้ จากัด ( Constraint ) และความไม่แน่นอน ( Uncertainty ) เราต้องการเผชิญข้อจากัดและความไม่แน่นอนของโครงการ ด้วยการลดความเสี่ยงของโครงการให้ต่าสุดโดยการขจัดข้อจากัดหรือลดความไม่แน่นอนลงให้มากที่สุด ความเสี่ยงคือ การวัดการไร้ความสามารถท่ีจะดาเนินการให้วัตถุประสงค์ของโปรแกรมประสบความสาเร็จ ภายใต้งบประมาณ กาหนดเวลาและข้อจากัดด้านเทคนิคท่เี ผชิญอยู่ ดังนั้นความเส่ยี งจึงประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ส่วน คอื โอกาสท่ีจะไม่สามารถประสบความสาเรจ็ ตามผลลพั ธ์ทต่ี อ้ งและการจดั การแก้ไขผลทต่ี ามมาของความลม้ เหลวน้ัน เจรญิ เจษฎาวลั ย์ (2546: 15) ได้กล่าวถงึ ความหมายของ ความเส่ียงไว้ว่าหมายถึง โอกาสที่องค์การ จะเกิดการดาเนินงานท่ีขาดทุน หรือไม่สามารถดาเนินการให้ประสบความสาเร็จตามแผนงานหรือเป้าหมายท่ีต้ังไว้ กล่าวคือเม่ือมีการวางเป้าหมายหรือแผนงานไว้ในตอนแรกเริ่มนั้นสภาพแวดลอ้ มที่มีอยู่อย่างหน่ึง ต่อเม่ือครง้ั ดาเนินการลงไป เวลาเปลีย่ นไป สภาพแวดล้อมเปล่ียนไปในทิศทางท่ีไม่เหมือนกันกับตอน ที่วางแผนหรอื กาหนดเป้าหมายนั้นไว้โดยเหตุการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไปน้ันส่งผลในทางลบ หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดาเนินงานท่ีไม่อาจประสบผลสาเร็จได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงนั้นอาจส่งผลไปในทางบวกก็ได้ ซ่ึงจะทาให้ความเส่ียงเดิมทค่ี าดไวล้ ดลงหรือไม่มีอกี ต่อไป เจมส์ (2005: 76–84) ได้ให้ความหมายของความเสี่ยงว่า หมายถงึ ความไม่แน่นอนที่เกิดข้ึนจากปัญหาต่างๆในทางธุรกิจและทางส่วนตัว สาหรับอาชีพทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นอาชีพผู้บริหารพนักงาน นักลงทุน นักศึกษา เจ้าของบ้าน นักเดินทาง ต่างก็ต้องเผชิญกับความเส่ียงด้วยกันท้ังนั้นและจะต้องจัดการด้วยวิธีการต่างๆ บางคร้ังความเส่ียงเฉพาะอย่างจะต้องได้รับการวิเคราะห์และจัดการ บางครั้งกม็ ีการละเลยความเสี่ยงเพราะอาจไม่รูว้ า่ มนั จะผลตามมาอย่างไร ความเสีย่ งในแง่ของความเสี่ยงท่ีอาจเกิดปัญหาพิเศษขึ้นได้จากความสูญเสียจะต้องเกิดข้ึนแน่นอน อาจจะต้องมีการวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าและจะต้องได้รับการจัดการเป็นการเฉพาะโดยการรู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่แน่นอนเมื่อมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดความสูญเสียท่ีเสี่ยงที่จะกลายเป็นปัญหาสาคัญ เช่น หากเจ้าของรา้ นค้ารู้แน่ๆว่าร้านค้าตนจะต้องถูกงัดแงะ ความเสี่ยงนี้อาจถูกชดเชยด้วยการบวกราคาขายสินค้าไว้เท่าที่จาเป็นด้วย จะมีความเสี่ยงน้อยหรือไม่มีเลย หากโจรงัดแงะร้านค้าเกิดมากขน้ึ กว่าปกติ ร้านค้าจะระวังเรื่องความเสี่ยงท่ีเกิดจากการงัดแงะร้ายแรงกว่าปกติ คือ มากกว่าระดับท่ีมองว่าเป็นระดับปกติหรือระดับท่ีคาดไว้แลว้

16 จากความหมายของความเส่ียงท่บี รรดานกั วิชาการทงั้ หลายได้กล่าวไว้ ผวู้ จิ ยั สรุปไดว้ ่าความเสี่ยง หมายถึง โอกาสที่บางสง่ิ บางอย่าง การกระทาหรอื หรอื เหตกุ ารณท์ ี่อาจจะเกิดขึน้ ภายในสถานการณท์ ี่ไม่แนน่ อน และส่งผลกระทบ หรือสร้างความเสยี หาย ความลม้ เหลว หรอื ลดโอกาสทจี่ ะบรรลุเปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ทกี่ าหนดไว้ ควำมหมำยของกำรจดั กำรควำมเสีย่ ง ความสาเร็จหรอื ความลม้ เหลวขององค์กรใดก็ตาม ขน้ึ อยกู่ ับการบริหารงานของผบู้ รหิ ารได้มผี ูใ้ หค้ วามหมายของการจดั การความเสย่ี งไวห้ ลายทา่ น ดังนี้ สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (2552: 111) ได้ให้ความหมายของการบริหารความเสีย่ งคือ กระบวนการที่เปน็ ระบบในการบริหารปัจจัยและควบคมุ กจิ กรรมรวมทัง้กระบวนการดาเนนิ การตา่ งๆ เพอ่ื ลดมูลเหตุของโอกาสที่จะทาให้เกดิ ความเสยี หายจากการดาเนินการทไี่ ม่เปน็ ไปตามแผน เพอื่ ใหร้ ะดบั ของความเสย่ี งและผลกระทบทจี่ ะเกดิ ขึ้นในอนาคตอยูใ่ นระดับที่สามารถยอมรับได้ ควบคมุ ได้ และตรวจสอบได้อย่างเปน็ ระบบ ดวงใจ ช่วยตระกูล (2551: 25) ได้ให้ความหมายของการบริหารความเส่ียงหมายถึงการจดั กระบวนการดาเนนิ งานขององคก์ รให้บรรลเุ ป้าหมายโดยมกี ารวางแผนวิเคราะห์ กากับ พัฒนาทางเลือกในการบรหิ ารความเส่ยี ง ตรวจติดตามและควบคุมให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามวตั ถุประสงค์ขององค์กร ชยั เสฏฐ์ พรหมศรี (2550: 15) กลา่ วว่าการบรหิ ารความเส่ียงหมายถงึ กระบวนการในการปอ้ งกนั อานาจและทรพั ยส์ ินที่ได้มาของบรษิ ัท โดยการลดโอกาสของการสูญเสียซง่ึ มาจากเหตกุ ารณท์ ไี่ มส่ ามารถควบคุมได้ นอกจากนก้ี ารบริหารความเสี่ยงยงั เปน็ กระบวนการ ที่นาไปสู่การตดั สินใจ ทด่ี ี โดยการใหค้ วามเข้าใจอย่างลึกซ้ึงต่อความเส่ียงและผลลัพธท์ ่จี ะเกดิ ขน้ึ ซ่งึ ผ้บู รหิ ารในบรษิ ทั ทกุ ประเภทจะต้องตนื่ ตวั ต่อความเสยี่ งทีม่ ตี ่อบรษิ ทั และผลกระทบที่อาจสง่ ผลถงึ กาไรของบริษทั ดว้ ย สงวน ชา้ งฉัตร (2547: 13) ทา่ นได้ใหค้ วามหมายของการบริหารความเส่ียงไวว้ า่หมายถึง เปน็ การปฏบิ ตั ิการควบคมุ ความเสย่ี ง ซ่ึงประกอบดว้ ย การวางแผนความเสย่ี งการประเมินความเส่ียงต่างๆ การพัฒนาทางเลือกในการบริหารความเสย่ี ง การตรวจสอบความเสีย่ งเพอื่ หาว่าความเสย่ี งไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปอย่างไรและบันทกึ การบริหารความเสยี่ งทง้ั หมด นฤมล สะอาดโฉม (2550: 8) กลา่ วถงึ ความหมายการบริหารความเสย่ี ง คือ วธิ ีการบรหิ ารจัดการทีเ่ ป็นไปเพ่ือการคาดการณแ์ ละลดผลเสยี ของความไมแ่ นน่ อนท่ีจะเกดิ ข้นึ กบั องค์กรทง้ั นี้เพ่อื ให้องค์กรสามารถบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ไดโ้ ดยมปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ

17 จากความหมายของการจัดการความเสี่ยงท่ีมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ผู้วิจัยสรุปได้ดังน้ี การจัดการความเส่ียง หมายถึง วิธีการบริหารจัดการท่ีเป็นไปเพ่ือการป้องกันคาดการณ์ ลดโอกาสและลดมูลเหตุที่จะทาให้เกิดความเสียหายจากการดาเนินการขององค์กร ท้ังนี้เพอื่ ใหอ้ งค์กรสามารถบรรลุวัตถปุ ระสงค์ไดโ้ ดยมปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลมากขึน้1.2 ประเภทของควำมเสยี่ ง การแบ่งประเภทของความเสี่ยงจะทาให้เกิดความชัดเจนต่อการวิเคราะห์และประเมินความเสย่ี ง เพ่ือกาหนดแนวทางในการป้องกันและหลีกเล่ียงความเส่ียงได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ขนึ้ อยู่กับบริบทขององค์กรต่างๆ เพ่ือความชัดเจนและความเข้าใจประเภทของความเสี่ยง ผู้วิจัยได้ศึกษาการแบ่งประเภทของความเส่ยี งไวด้ ังนี้ สานักงานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (2552: 112) ไดร้ ะบคุ วามเสี่ยงไว้ดงั น้ี 1. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ หมายถึง ความเส่ียง เร่ืองนโยบาย แผน พันธกิจ กลยุทธ์ /ยทุ ธศาสตรข์ องสถานศกึ ษา 2. ความเสย่ี งด้านการดาเนินงาน หมายถึง ความเส่ียงในเร่อื ง การดาเนินงานด้านการแนะแนว ความยุ่งยากในการปฏิบัติงาน การประกันคุณภาพ การพัฒนาโรงเรียนและพฤติกรรมนักเรยี น งานธรุ การ การกากบั ตดิ ตาม การพัฒนาวิธกี ารจดั กิจกรรมความรู้ ความเข้าใจในการทาวิจัยในช้ันเรยี น 3. ความเสยี่ งดา้ นการเงิน หมายถงึ ความเสีย่ งในเรือ่ งการจัดสรรงบประมาณการบรหิ ารพัสดุ และสินทรัพย์ค่าใช้จ่ายรายหัว การจัดทาบัญชีการเงิน ใบเสร็จรับเงิน การใช้จ่ายเงินเงินยืม การจัดทาทะเบยี น การจัดทารายงานการขอซ้อื ขอจ้าง การเขยี นเช็คสั่งจ่าย 4. ความเส่ียงดา้ นการปฏิบตั ิตามกฎหมาย / กฎระเบยี บ หมายถึง ความเสี่ยงในเรอ่ื งวินยัการตรวจสอบภายใน / ควบคุมภายใน การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ / มาตรการ / ข้อกาหนดจากต้นสังกัด การนคิ มอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทย (2547: 2) ได้แบ่งประเภทของความเส่ียงออกเป็น2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามแหลง่ กาเนดิ คือ ความเสี่ยงภายในและความเส่ยี งภายนอก 1. ความเสี่ยงท่ีเกิดจาก 1.1 Operational Risk เกดิ จากขัน้ ตอนอุปกรณ์ รวมถึงบุคลากรในการปฏิบัติงาน(Human Resource) 1.2 Financial Risk เกิดจากความไมพ่ รอ้ มในเรอื่ งงบประมาณการเงนิความผดิ พลาดจากการเบกิ จ่ายสภาพคลอ่ งทางการเงนิ 1.3 Strategic Risk เกดิ จากกลยุทธ์และนโยบายในการบรหิ ารงาน

18 2. ความเสย่ี งท่เี กิดจากปจั จยั ภายนอก 2.1 Competitive Risk เกดิ จากสภาวะการแขง่ ขันบริษัทคแู่ ขง่ 2.2 Supplier Risk เกดิ จากบริษัทคูค่ า้ และผู้ส่งมอบงาน 2.3 Regulatory Risk เกดิ จากกฎหมายกฎระเบยี บราชการ 2.4 Economic/Political Risk เกดิ จากสภาวะเศรษฐกจิ และการเมอื ง ธร สนุ ทรายทุ ธ (2550: 167 – 171 ) ไดแ้ บง่ ความเสี่ยงออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. ความเสีย่ งโดยท่ัวไป (general categories of risk ) เปน็ การมองความเสยี่ งโดยภาพรวมขององค์การนน้ั ๆ อาจมองลกึ ลงไปตอ่ ว่าจะมคี วามเสยี่ งตอ่ ด้านใดบา้ ง ดังนี้ 1.1 ความเส่ียงที่เกดิ จากขนาดขององคก์ าร ขนาดขององค์การจะเปน็ ตัวชว้ี ดั ของโอกาสจะเกิดความเสีย่ ง กล่าวคอื องคก์ ารที่มีการแบ่งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก เช่น โรงเรยี นท่ีมีขนาดใหญ่ นักเรียนจานวนมาก ระบบการบริหารการจัดการย่อมยุ่งยากมากย่ิงขึ้นด้วย กล่าวคืองบประมาณ บคุ ลากร และการจัดการย่อมเปลยี่ นไปตามขนาด แต่ท้ังนข้ี นึ้ อยู่กับความสามารถในการจดั ระบบการบรหิ ารจัดการ จากการสารวจงานวิจัยที่ศึกษาถึงขนาดตัวแปรขนาดเลก็ ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ วา่ มีผลต่อปัญหาการบรกิ ารจัดการสถานศึกษาอย่างไรนั้น สว่ นมากไม่พบว่าขนาดจะมีปัญหากับการจัดการมากนัก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดขององค์การจะสัมพันธ์กับผู้บริหารเพราะผู้บริหารท่ีมีฝมี อื มักจะอยใู่ นโรงเรยี นทม่ี ีขนาดใหญ่ 1.2 ความเสีย่ งที่เกิดจากความสลับซับซอ้ น ความสลับซับซอ้ นละเอียดอ่อน ยุ่งยากย่อมมโี อกาสเกดิ ความเส่ียงได้มากกว่าวิธีแก้ความเสี่ยงแบบกาปั้นทุบดินก็คอื อย่าให้องคก์ าร มีความสลับซับซ้อนมากนัก นักบริหารจัดการทราบกันดีว่า การทาสายการบังคบั บัญชาท่ีไม่สลับซับซ้อนไม่เป็นรูปแบบหรือพิธีการ ต้องกล้าเผชิญกับความเป็นจริง ต้องรู้สึกได้เร็ว นักวิชาการด้านน้ีมักจะต่อต้านระบบราชการท่ีมีองค์การแบบทางการมากจนเกินไป จนลืมนึกถึงความสาเร็จของงานอาจกล่าวได้ว่าองค์การระบบราชการเป็นองค์การที่ใหญ่สลับซับซ้อนดูเหมือนไม่มีอะไรจะเสี่ยงมากนัก เพราะมกี ฎระเบียบเป็นตัวกาหนดแตก่ พ็ บว่าองค์การราชการทมี่ ีขนาดใหญม่ กั มีความเส่ยี งสูงมาก 1.2.1 ระบบการควบคมุ องค์การขนาดใหญ่กว้างขวาง จะต้องมีระบบการควบคมุท่ดี ี การสร้างระบบการควบคมุ สาหรับองคก์ ารทีม่ คี วามสลบั ซับซ้อนยอ่ มยงุ่ ยากถ้าควบคุมไม่ดีพอยอ่ มเกิดความเส่ียงได้ การคานึงถึงรายจ่ายและผลทไ่ี ด้รบั โอกาสท่จี ะเกดิ ความเส่ียงกจ็ ะมมี ากขน้ึ 1.2.2 ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ องค์การทม่ี ีระบบสารสนเทศทส่ี ลบั ซับซอ้ นและครอบคลมุ ข้อมลู ขององคก์ ารอยา่ งกว้างขวาง กจ็ ะยงิ่ เพมิ่ ความเส่ียงโดยเฉพาะดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรงมากข้ึนเทา่ น้นั

19 1.3 ความเสีย่ งทเ่ี กดิ จากคุณภาพของระบบควบคมุ ภายในองคก์ ารทมี่ กี ารบริหารจดั การแบบธรรมาภิบาล ( Good Governance ) จะต้องปฏิบัติตามระเบียบขอ้ บังคบั ของภาครัฐ กล่าวคือจะตอ้ งจัดใหม้ รี ะบบการตรวจสอบภายใน มคี ณะกรรมการผู้ตรวจสอบ ( Audit Committee)และอ่ืนๆดูเหมือนว่ายิ่งมีระเบียบกฎเกณฑ์ขอ้ บังคับมากขึ้นเท่าใด โอกาสท่ีจะเกิดความเสยี่ งในเร่อื งคุณภาพของการควบคุมภายในก็จะยิ่งมีมากขึ้น เพราะการออกแบบระบบควบคุมภายในและผลการปฏิบัติตามระบบควบคุมภายในท่ีกาหนดไว้มีความสาคัญอย่างย่ิง ต่อผลลัพธ์ท่ีออกมาในรูปการควบคุมภายในทม่ี ีคุณภาพทเี่ ชอ่ื ถือได้ ผลการละเมดิ ไม่ปฏิบัตติ ามระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ย่อมเป็นความเสีย่ งทที่ าความเสยี่ งต่อองค์การได้ 1.4 ความเสี่ยงท่ีเกิดจากอัตราการเจริญเติบโตขององค์การ อัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วบางองค์การเป็นแบบก้าวกระโดด ย่อมนามาซ่ึงการบริหารจัดการอาจจะต้องเร่งรีบทางานแข่งขันกับเวลา ระบบท่ีมีอยู่อาจจะต้องปรับปรุงให้ทันต้องรีบทารีบตัดสินใจ บางคร้ังก็นามาซ่ึงความผดิ พลาดได้ 1.5 ความเสีย่ งท่เี กิดจากความสามารถ ของฝา่ ยบรหิ ารความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานขององคก์ ารจะสมั ฤทธผ์ิ ลไดน้ ั้น อาจจะขน้ึ อยกู่ ับฝีมือของผ้บู ริหารเป็นสาคญั ในทางการศึกษาอาจจะระบุว่าเพราะฝีมือผู้บริหารโรงเรียนจึงเจริญก้าวหน้า เพราะการวัดความสามารถของผู้บริหารบางคร้ังก็วัดค่อยข้างยาก เพราะมีองค์ประกอบความสาเร็จมาจากแหล่งต่างๆ มากมายและเป้าหมายของการศกึ ษา เป็นเปา้ หมายที่กว้างและคลมุ เครอื 1.6 ความเสี่ยงท่ีเกดิ จากการทุจรติ ทางการบรหิ าร การทุจรติ ทางการบรหิ ารจัดการเปน็ความเส่ียงท่ีอันตรายอย่างย่ิงเพราะเกิดจากการกระทาของผู้บริหารท่ีทุจริต ไม่ซื่อตรงต่อหน้าท่ี และความรับผิดชอบของตน หากอยู่ในข้ันรุนแรงแล้วนับว่าเป็นความเสี่ยงอยู่ในขีดอันตรายพร้อมท่ีจะทาใหอ้ งค์การถงึ ข้ันลม่ สลายไปได้ 1.7 ความเสี่ยงท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อม การควบคุมเปลี่ยนแปลงหากสภาพแวดล้อมการควบคุมภายในเปลี่ยนแปลงไปยอ่ มสง่ ผลกระทบใหเ้ กิดความเส่ียงตอ่ องคก์ ารไดท้ ีส่ าคัญ ได้แก่ 1.7.1 ระบบเปล่ียน การเปลี่ยนระบบต่างๆ อันเน่ืองจากนโยบายเปล่ียนหรือการเปล่ียนระบบเกิดขนึ้ ในพื้นที่ ที่มีความเสีย่ งสงู หรอื ในพ้ืนท่ีที่มีความสาคัญขององค์การย่อมนามาซ่งึความเสี่ยงอย่างรุนแรงได้ เพราะการเปล่ียนระบบถ้ากระทาโดยขาดความรอบคอบ เช่นการเปลี่ยนระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยจากการสอบเข้ามาเป็นการดูจากคะแนนพื้นฐาน ( OrdinaryNational Education Test : O-NET ) และคะแนนเฉพาะ ( Advanced National Education Test :A – NET ) อย่างรีบเร่งโดยไม่ทดสอบให้แน่ใจก่อนย่อมเกิดปัญหาโกลาหลและโอกาสผิดพลาดได้มาก

20 1.7.2 การเปล่ยี นตวั พนกั งานทสี่ าคญั ในบางคร้ังการเปล่ียนตัวพนกั งานที่รเู้ รอื่ งดีอย่แู ลว้ หากมกี ารเปล่ยี นแปลงผรู้ ับผดิ ชอบดูแลกะทนั หนั หรอื ผิดจังหวะยอ่ มอาจนามาซ่งึ ความเส่ยี งในการทาใหป้ ระสทิ ธภิ าพของงานดอ้ ยลงได้ 1.8 ความเส่ยี งทเ่ี กดิ จากบคุ ลากรขาดคณุ ภาพ ความสาเร็จของงานข้ึนอยกู่ บั บคุ คลหากบคุ ลากรในหนว่ ยงานมคี ุณภาพงานตา่ งๆ ก็สัมฤทธ์ิผล ในทางตรงขา้ งหากบคุ ลากรขาดความรู้ความสามารถ ขาดความรับผิดชอบ ขาดจรรยาบรรณแลว้ นบั ว่าเป็นความเส่ยี งอยา่ งรา้ ยแรงขององค์การ ทจี่ ะก่อใหเ้ หน็ อาการของความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกบั บุคลากรทา้ ยสดุ กจ็ ะนาไปสู่ผลการดาเนนิ งานทข่ี าดการควบคมุ เกิดการแตกความสามคั คี แบง่ พรรคแบ่งพวก ดังนนั้ ควรใหค้ วามสนใจในกระบวนการสรรหาให้มาก ใหไ้ ดค้ นดี คนเกง่ เข้ามาทางาน 1.9 ความเส่ียงทเ่ี กิดจากผลการดาเนินงานไม่ดี ผบู้ รหิ ารที่ละเลยไมใ่ หค้ วามสาคัญต่อการพจิ ารณาผลการดาเนนิ งานทีไ่ ม่นา่ พอใจ หรือปลอ่ ยให้การดาเนนิ งานของบุคลากรทไี่ ม่มีประสทิ ธิภาพ ไมม่ กี ารดาเนินการ ซงึ่ ยงั จะนาซงึ่ ความสญู เปล่าของคา่ ใชจ้ า่ ยขององคก์ ารน้นั 1.10 ความเสี่ยงทเ่ี กดิ จากภาครัฐ องค์การอาจถูกอทิ ธพิ ลจากภายนอกทเ่ี กิดจากการดาเนนิ งานของรัฐบาลซึง่ ส่งผลกระทบทงั้ ทางตรงหรอื ทางออ้ มตอ่ ภารกจิ ขององคก์ ารนัน้ ๆ เชน่ 1.10.1 ความไม่แนน่ อนในนโยบายภาครฐั รฐั ปรับเปลยี่ นไปมาทาให้กระทบตอ่ การบริหารจัดการของหนว่ ยงานได้ 1.10.2 การออกกฎระเบยี บควบคุมอาจส่งผลตอ่ องค์การนัน้ ๆได้ เช่นหนว่ ยงานให้มแี ผนการพฒั นาไวแ้ ล้วเผอญิ รัฐมาออกกฎระเบยี บตา่ งๆ ซึง่ ขดั กับการพฒั นาได้ 2. ความเส่ียงโดยเฉพาะพ้ืนท่ี ( Specific risk areas ) การจาแนกประเภทความเสย่ี งอกีทางหนง่ึ คือการพิจารณาลักษณะความเสย่ี งทอ่ี าจจะเกดิ ขึน้ ในแต่ละพนื้ ที่ ( area ) ซึ่งขึน้ อย่กู บัประเภทขององคก์ าร ลกั ษณะโครงสรา้ งการจดั องคก์ ารเปน็ อยา่ งไร แลว้ ม่งุ แบง่ ความเสย่ี งตามประเภท และพ้นื ทห่ี รอื ขอบข่ายขององค์กรนั้นๆ ลกั ษณะความเสยี่ งทส่ี าคญั ในพ้ืนท่ี มีดังน้ี 2.1 การบรหิ ารทรัพยากรมนุษย์ ( Human resource management ) ในบรรดาทรัพยากรทั้งหลายตอ้ งถอื วา่ ทรัพยากรมนุษย์มคี วามสาคญั สงู สดุ และถอื ว่าเสย่ี งมากทีส่ ดุ ในระดับประถมและมธั ยมศึกษานนั้ มกั จะพบปรมิ าณและคณุ ภาพของบคุ ลากรในสถานศึกษาส่วนระดบั อดุ มศกึ ษาจะเป็นเรื่องของคุณภาพของอาจารย์ในมหาวทิ ยาลยั การพฒั นาและการฝึกอบรม การใหร้ างวลั และการลงโทษ 2.2 การบรหิ ารการเงนิ ( Financial management ) การดาเนินกจิ กรรมทงั้ หลายต้องอาศยัปจั จยั เงนิ เปน็ หลกั ความเสย่ี งของพ้นื ทก่ี ารเงนิ การบญั ชอี าจเกิดข้ึนไดห้ ลากหลาย โดยเฉพาะความเสี่ยงในระดับการศึกษา เชน่ ความเสีย่ งเรอื่ งความปลอดภยั ของเงินสด และทรพั ยส์ นิ การทุจรติรายงานการเงนิ การขาดงบประมาณ การใชจ้ า่ ยเงินกบั ผลทไ่ี ดร้ ับ

21 2.3 การบรหิ ารสนิ ทรพั ย์ ( Asset management ) 2.3.1 การจัดซ้ือจัดหา มักจะมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นหรือการยักยอก ฉ้อโกงความเสี่ยงในพ้ืนท่ีอันสาคัญได้แก่ ความเส่ียงเร่ืองคุณภาพ ความเส่ียงเรื่องคุณลักษณะ ความเส่ียงเร่อื งการกาหนดราคา ความเสย่ี งเรือ่ งผู้ขาย ความเส่ยี งจากระบบ ความเสยี่ งจากการทุจรติ 2.3.2 การบรหิ ารงานพัสดุและครุภัณฑ์ การบริหารพัสดุเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง จากการจัดซ้ือจัดหาโอกาสเส่ียงตามพ้ืนที่ ได้แก่ การรับสินบนหรือคอรัปชั่น ผู้ขายมีปัญหา พัสดุลา้ สมัย ระบบการควบคมุ พัสดุมีจุดอ่อน คา่ ใช้จ่ายในการบริหารงานพัสดุ ครุภัณฑ์ยังแบ่งด้วยความหรูหรา ความฟมุ่ เฟือย ความสูญเปล่า การสูญเสียโอกาสอีกดว้ ย 2.4 การบริหารนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการ การบริหารและการจัดการนับว่ามีสว่ นสาคัญหน่ึงที่จะนาองค์การไปสู่ความสาเร็จ นวัตกรรมคือสิง่ ใหม่ๆ ที่นาเข้ามาใช้ในการบรหิ ารจดั การ การมีส่วนร่วมของบุคลากรในสถานศึกษา การรวมอานาจ การกระจายอานาจ รวมถึงการบริหารโรงเรียนเป็นฐานและการนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการนับว่ามีความสาคัญ ความเส่ียงท่ีสาคัญในการนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้คือ ความถูกต้องเหมาะสมกับการนานวัตกรรมเข้ามาใช้ ความถูกต้องของข้อมูล การเปลี่ยนจากระบบเดิมเข้าสู่ระบบใหม่ การเข้าถึงผู้ใช้ท่ีไม่ได้รับมอบหมาย ความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ ไวรัสคอมพวิ เตอร์ การทุจรติ การเปลยี่ นแปลงเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2550: 4) จาแนกความเสย่ี งตามพันธกิจของมหาวิทยาลยั ออกเป็น4 ด้าน คอื 1. ความเสี่ยงด้านการเรียนการสอน มีความเสี่ยงต่างๆ เช่น ความเส่ียงในด้านการวัดประเมินผล กระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร ตาราเอกสาร คุณภาพวิทยานิพนธ์การคัดเลือกนิสิต ปจั จัยสนบั สนนุ การเรยี นการสอน 2. ความเสี่ยงดา้ นการวจิ ยั เชน่ ความเสีย่ งด้านเงินสนบั สนนุ การวิจัย งานตีพมิ พ์เผยแพร่ 3. ความเสี่ยงด้านบริการและสนับสนุน ระบบต่างๆเช่น ระบบคุณภาพของหน่วยงานระบบฐานขอ้ มูลเพ่ือการบริหารจัดการ การไม่สามารถรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอยู่กับองค์กรได้ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและการรักษาทรัพย์สิน ความเสี่ยงทางการเงิน กลยุทธ์ที่ไม่สอดคลอ้ งกบั วสิ ัยทศั น์หรอื วัตถปุ ระสงค์ขององคก์ าร 4. ความเสี่ยงด้านบริการวิชาการ เช่น คุณภาพของกิจกรรมหรือการบริการวิชาการไม่ดีพอ การส่ือสารหรือตอบสนองผู้รับบริการไม่รวดเร็ว การรับตัวอย่างในการวิเคราะห์ห้องปฏบิ ตั ิการ

22 กิตติพันธ์ คงสวสั ดเ์ิ กียรติ ( 2554: 64 – 65 ) ไดแ้ บง่ ประเภทของความเส่ียงไว้ดังนี้ ควำมเส่ียงท่ีสำมำรถวัดมูลค่ำเป็นตัวเงินได้ (Financial Risk) คือ ความเสย่ี งท่ีเกิดขนึ้ แล้วสามารถวัดค่าของความเสียหายออกมาได้เป็นตัวเงิน เช่น ไฟไหม้โรงงานผลิตสินค้า บริษัทจะสามารถคานวณค่าเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตสินค้าได้ โดยการประเมินถึงทรัพย์ที่เกิดความเสียหายและตีค่าออกมาเป็นจานวนเงิน เหตุการณ์รถยนต์ประสบอุบัติเหตุจากการนาของไปส่งให้แก่ลูกค้า บริษัทก็จะสามารถตีค่าความเสียหายออกมาเป็นตัวเงินได้เช่นกัน ความเสี่ยงประเภทนีจ้ ัดอยู่ใน Financial Risk ควำมเสี่ยงที่ไม่สำมำรถวัดมูลค่ำเป็นตัวเงินได้ (Non - Financial Risk) เป็นความเส่ียงท่ีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ เช่น การเสียชีวิตของพนักงานบริษัทจากเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทาให้พนักงานขับรถยนต์ของบริษัทเสยี ชวี ิต การสูญเสยี ชีวติ นั้นจึงไม่สามารถประเมนิ ค่าความเส่ยี งออกมาเปน็ ตวั เงินได้ บริษัททีม่ ีสินคา้คงเหลือไว้ไม้พอจาหน่าย เม่ือผู้บริโภคหรือลูกค้าต้องการซื้อสินค้าน้ัน แล้วบริษัทไม่มีจาหน่ายลกู ค้าจึงเปลีย่ นไปซือ้ สนิ ค้าหรอื วัตถุดิบจากผผู้ ลติ รายอื่น เป็นเหตุการณ์ท่ีไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้เชน่ เดยี วกัน แตบ่ รษิ ัทนัน้ ก็ทราบดวี า่ บรษิ ทั เกดิ ความเสยี หาย ควำมเสี่ยงที่ผันแปรได้ (Dynamic Risk) เป็นความเส่ียงที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่น ลูกค้าหรือผู้บริโภคเปล่ียนแปลงรสนิยมในการบริโภคสินค้า เทคโนโลยีการตลาดเกิดการเปล่ียนแปลง ทาให้สินคา้ เดมิ เคยขายได้ดีเกดิ มียอดขายท่ีลดลง การเปล่ียนแปลงสภาวะทางเศรษฐกิจทาให้ยอดขายของบริษัทลดลง ความเส่ียงประเภทนี้เป็นความเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนเป็นคร้ังคราวไม่มีแน่นอนในการเกิดความเส่ียงว่าจะเกิดขึ้นเม่ือใดและเกิดขึ้นในรูปแบบใด ตลอดจนผลกระทบของความเส่ียงประเภทนี้กม็ ีลกั ษณะไม่เหมือนกันในทุกครง้ั ที่เกิดความเส่ียงนี้ดว้ ย ควำมเสี่ยงที่ผันแปรไม่ได้ (Static Risk) หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ความเส่ียงท่ีคงที่เป็นความเส่ียงท่ีเกิดขึ้นแก้บริษัทจากปัจจัยอ่ืนที่ไม่ได้เกิดข้ึนจากการผนั ผวนของภาวะเศรษฐกิจ เช่นบรษิ ัทเกิดความเส่ยี งเนอ่ื งจากพนักงานของบรษิ ัทปฏิบัตหิ น้าท่โี ดยทจุ ริต เป็นต้น ควำมเสี่ยงพ้ืนฐำน (Fundamental Risk) เป็นความเสย่ี งที่เกิดข้นึ แล้วจะมีผลกระทบต่อคนจานวนมาก เช่น เกิดภาวะสงคราม แผ่นดินไหว น้าท่วม เป็นต้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สามารถป้องกัน ได้เป็นบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สามารถป้องกันได้เป็นบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สามารถป้องกันความเส่ียงเหล่านี้ได้ เพราะเม่ือความเส่ียงเหล่าน้ีเกิดขึ้นแล้ว คนในสังคมจะไดร้ บั ความเสยี่ งน้ีในระดับที่เทา่ ๆกนั

23 ควำมเสี่ยงจำเพำะ (Particular Risk) เป็นความเส่ียงท่ีจะเกดข้ึนกับคนเฉพาะกลุ่ม เช่นไฟไหม้ จะทาใหเ้ กิดความเสียหายเฉพาะบริษัทที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับส่วนรวมเชน่ บริษทั ถูกไฟไหม้ บริษัทถกู จรกรรม เปน็ ตน้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (2551:1) ได้จาแนกความเส่ียงออกเป็น4 ลักษณะ คอื 1. ความเสีย่ งดา้ นกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสีย่ งท่เี กย่ี วข้องในระดับยุทธศาสตร์เช่น การเมอื ง เศรษฐกิจ กฎหมาย ภาพลกั ษณ์ ผู้นา ชอ่ื เสยี ง เปน็ ตน้ 2. ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน (Operational Risk) ความเส่ียงท่ีเกี่ยวข้องในระดับปฏิบตั ิการ เช่น กระบวนการเทคโนโลยี และคนในองคก์ ร เปน็ ต้น 3. ความเสย่ี งด้านการเงิน (Financial Risk) ความเส่ยี งท่ีเกี่ยวข้องกับกับด้านการเงินเช่น การผันผวนทางการเงิน อัตราดอกเบ้ีย ขอ้ มูลเอกสารหลกั ฐานทางการเงิน และการรายงานทางการเงิน เป็นตน้ 4. ความเส่ียงด้านความปลอดภัย (Hazard Risk) ความเสี่ยงท่ีเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยจากอนั ตรายตอ่ ชีวติ และทรพั ยส์ ิน เช่น การสูญเสยี ชวี ติ และทรัพยส์ ินจากภัยธรรมชาติ และการก่อการรา้ ย เปน็ ต้น นงนภัส เท่ียงกมล (มปป: 86 – 87) ได้แบง่ ความเสยี่ งออกเปน็ 8 ประเภท ดงั นี้ 1. ความเสย่ี งทางการเงิน (Financial Risk) สาหรับในประเทศไทยมีการเกิดความเส่ยี งทางการเงินของของสถาบันการเงินที่ต้องลม้ ละลายในปี 2540 เม่ือเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอันเน่ืองมาจากไม่มีระบบบริหารความเส่ียงทางการเงิน หรือในกรณีท่ีประเทศสิงคโปร์มีการบริหารความเสี่ยงทางการเงินด้วยการออกตราสารอนุพันธ์ แต่ความเส่ียงทางการเงินท่ีเกิดข้ึนกับธนาคารแบร่ิง (Barings Bank) ที่มีอายุ ถึง 200 ปีในประเทศสิงคโปร์ท่ีนายนิค ลีสัน (Nick Leeson) ได้ใช้ตราสารอนุพันธ์อย่างผิดวัตถุประสงค์ จะเห็นได้ว่าแค่การกระทาที่เกิดจากบุคคลเพียงคนเดียวสามารถก่อความเสี่ยงทางการเงินให้เกิดข้ึนอย่างมหาศาล ดังน้ันความเสี่ยงในการบริหารจัดการที่เกดิ ขนึ้ จากการขาดการตรวจสอบ ดูแล และกากบั ตดิ ตามจึงเกดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งง่ายดาย 2. ความเสีย่ งทางการปฏิบัตงิ าน (Operation Risk) หมายรวมถึง ตวั บุคลากรเปน็ ความเส่ียงที่เกิดจากการประมาทเลินเล่อของพนักงานจนก่อเกิดอันตราย ดังเช่น การทุจริตของพนักงานเป็นตน้ 3. ความเส่ยี งทางนโยบาย/กลยุทธ์ (Policy/Strategic Risk) เป้นความเสี่ยงท่ีเกิดจากการจัดทานโยบายและการวางแผนกลยุทธ์ ดังน้ันการจัดการความเสี่ยงจึงเป็นกิจกรรมท่ีเก่ียวกับการลดความไม่แน่นอนในข้ันตอนการดาเนินการ และการวางแผนต่างๆ ท้ังน้ีเพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และพันธกิจขององค์กร ดังนั้นในการวางแผนกลยุทธ์จึงควรคานึงถึง

24ความเส่ียงท่ีมีอยู่ในองค์กร หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดเพ่ิมขึ้นกับองค์กรภายใต้แผนกลยุทธ์ที่วางไว้รวมทั้งต้องคานึงถึงข้ันตอน การนาแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ท้ังน้ีแผนกลยุทธ์อาจไม่ประสบความสาเร็จหากปราศจากการบริหารความเส่ียง ที่ป้องกันไว้ล่วงหน้าก็เป็นได้ ดังน้ันการจัดการความเส่ียงอาจต้องรวมถึงการปรับปรุงขน้ั ตอนการดาเนินงานด้วย 4. ความเสี่ยงทางกฎระเบียบ (Regulatory Risk) การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่กระทบตอ่ องคก์ ร เชน่ การเปลีย่ นแปลงขอบเขตอานาจการปกครอง การเปลย่ี นแปลงของระเบียบข้อบงั คบั และกฎหมาย 5. ความเส่ียงทางดา้ นเศรษฐกิจ/การเมือง(Economic2Political Risk) ความเส่ียงทีเ่ กดิ จากสงครามระหวา่ งประเทศทาให้บริษทั ไมส่ ามารถเก็บเงนิ ค่าสินคา้ ได้ หรือดงั เชน่ ตัวอย่างการเกดิ ภาวะเงินเฟอ้ ท่วั โลกทาใหป้ ระเทศไทยได้รบั ผลกระทบจากภาวะดังกล่าวซึง่ เปน็ ความเสีย่ งเชน่ กันท่เี กดิ ขึน้ กับระดับประเทศ เป็นตน้ 6. ความเสย่ี งทางธรรมชาติ (Natural Events) เช่นการเกดิ สึนามิ (Tsunami)ท่ีภาคใตข้ องประเทศไทย เมอ่ื วนั ที่ 26 ธันวาคม 2547 7. ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี (Technological Risk) ความเส่ียงระบบเมนเฟรมมีปญั หา เครอื ข่ายอินเตอรเ์ นต็ ความเรว็ ไมส่ งู พอ ข้อมลู หายไปจากคอมพิวเตอรเ์ สยี เนอ้ื หาในเว็บไซตถ์ ูกละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิ เปน็ ต้น 8. ความเสย่ี งทางการกอ่ การร้าย (Terrorized Risk) เช่นเหตุการณก์ ่อวินาศกรรมที่ตกึ ศนู ยก์ ารค้าเวิรด์ เทรด (World Trade Center) เมือ่ วนั ท่ี 11 กนั ยายน 2541 เป็นตน้ เจมส์ รอท ( James Roth. 2007: 2 ) ได้แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 5 ประเภท คือ ความเสีย่ งทางด้านสินทรัพย์ ความเส่ียงทางด้านการดาเนินงานหรือการดาเนินงาน ความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสาร ความเส่ียงทางด้านการควบคุม / กฎระเบียบ ความเส่ียงทางด้านการตลาด ความเส่ียงทางด้านกลยทุ ธ์ 1. ความเสย่ี งทางด้านสนิ ทรพั ย์ ครอบคลุมไปถึงความเสีย่ งทางด้านเครดิตการลงทุน การโกง การขโมย การกระทาในทางทผ่ี ดิ การใช้สตปิ ญั ญาในการลงทุน ความละเอยี ดออ่ นของขอ้ มูล 2. ความเสี่ยงทางดา้ นการดาเนนิ งานหรอื การดาเนนิ งาน ครอบคลุมไปถงึ ความเสยี่ งทางด้านกระบวนการ คุณภาพของการบริการ การทางานที่ไมม่ ปี ระสิทธิภาพ การไร้สมรรถภาพการหยุดชะงกั ของธุรกจิ กลยุทธใ์ นการดาเนินงานและเพอื่ นรว่ มงาน 3. ความเสีย่ งทางดา้ นเทคโนโลยีและขอ้ มูลขา่ วสาร มกี ารครอบคลุมไปถงึ ความเสยี่ งทางด้านการหยุดชะงกั ของธรุ กิจ ข้อมลู ขา่ วสาร คุณภาพของขอ้ มลู ความล้าสมยั ของขอ้ มูลและเทคโนโลยี

25 4. ความเสี่ยงทางด้านการควบคุม / กฎระเบียบ โดยครอบคลมุ ไปถึงความเสยี่ งทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน สภาพคล่อง การแลกเปลี่ยนเงนิ ตราตา่ งประเทศ ความพอเพียงของงบประมาณ 5. ความเสยี่ งทางดา้ นกลยุทธ์ ครอบคลุมไปถึงลูกค้าและผทู้ ี่เก่ียวข้อง ลกู จ้างการแข่งขนั ทรัพยากร การประสานงานและการสื่อสาร 1.3 กระบวนกำรจัดกำรควำมเสีย่ ง กระบวนการจัดการความเส่ียงเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการจัดการความเส่ียงจะต้องเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนท่ีจะควบคุมกิจกรรมการดาเนินงานต่างๆ เพื่อลดมูลเหตุของโอกาสที่จะเกิดความเสียหาย หรือการดาเนินการท่ีไม่เป็นไปตามแผนงานหรือโครงการ ดังน้ันจึงได้มีหนว่ ยงานตา่ งๆ ได้คดิ ออกแบบกระบวนการจดั การความเส่ียงไว้มากมาย ดังน้ี สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ( 2552: 111 ) กาหนดไว้ว่าส่วนราชการตอ้ งมีข้นั ตอนการดาเนินการ หลกั เกณฑใ์ นการวิเคราะห์ ประเมนิ และจัดการความเสีย่ งอย่างเหมาะสม ตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐาน COSO (Committee of SponsoringOrganization of the Tread way Commission) คือ 1. การกาหนดเปา้ หมายการบริหารความเสยี่ ง (Objective Setting) 2. การระบคุ วามเสีย่ งต่างๆ (Event Identification) 3. การประเมนิ ความเสย่ี ง (Risk Assessment) 4. กลยุทธ์ทใ่ี ช้ในการจดั การกับแต่ละความเสีย่ ง (Risk Response) 5. กิจกรรมการบริหารความเสี่ยง (Control Activities) 6. ข้อมูลและการสอื่ สารด้านการบริหารความเสย่ี ง (Information andCommunication) 7. การตดิ ตามผลและการเฝา้ ระวงั ความเสี่ยงตา่ งๆ (Monitoring) กลุ่มอานวยการฝ่ายเลขานุการคณะทางานจัดทาระบบบริหารความเส่ียง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาปทุมธานี เขต 1 (กลุ่มอานวยการ สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาปทุมธานี เขต 1 2553:4-8) ได้จัดทาแนวทางการจัดระบบบริหารความเส่ียงตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐาน COSO ไวด้ งั นี้ กระบวนการบริหารความเสยี่ ง ตามมาตรฐานของ COSO ซึ่งประกอบด้วย 1. การกาหนดเป้าหมายการบริหารความเส่ียง ( Objective Setting ) 2. การระบคุ วามเส่ยี ง ( Event Identification ) 3. การประเมนิ ความเส่ียง ( Risk assessment )

26 4. กลยทุ ธท์ ใี่ ชใ้ นการจดั การกับแต่ละความเสี่ยง ( Risk Response ) 5. กิจกรรมการบริหารความเสย่ี ง ( Control Activities ) 6. ข้อมูลและการสอื่ สารด้านบริหารความเสย่ี ง ( Information and Communication ) 7. การติดตามผลและเฝ้าระวงั ความเสี่ยง ( Monitoring ) ขน้ั ตอนที่ 1 กำรกำหนดเป้ำหมำยกำรบรหิ ำรควำมเสยี่ ง การกาหนดเป้าหมายการบริหารความเสี่ยง ด้วยการกาหนดวัตถุประสงค์การดาเนินการบริหารจัดการความเสี่ยงและพิจารณาเลือกแผนงาน / โครงการท่ีจะนามาบริหารความเส่ียงโดยสานักงาน ก.พ.ร. มุ่งเน้นโครงการที่สาคัญและมีผลกระทบต่อการบรรลุผลสาเร็จตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ได้รับงบประมาณซึง่ เป็นโครงการที่มีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ในประเด็นยุทธศาสตร์และไดร้ บั งบประมาณเป็นลาดบั แรก ขั้นตอนท่ี 2 กำรระบคุ วำมเสย่ี ง การระบุความเสยี่ ง สานักงาน ก.พ.ร. ไดร้ ะบคุ วามเสยี่ งไว้ ดงั น้ี 1. การระบุความเส่ยี งตามหลักธรรมาภิบาล ในการวเิ คราะห์เพ่อื ระบคุ วามเส่ียง สานกั งาน ก.พ.ร. ให้นาแนวคดิ เรอื่ งธรรมาภบิ าลท่ีเกยี่ วขอ้ งแตล่ ะดา้ นมาเปน็ ปัจจัยในการวิเคราะห์ความเสยี่ ง เชน่ ด้านยทุ ธศาสตร์ โครงการทีค่ ดั เลอื กมานน้ั อาจมคี วามเสย่ี งตอ่ เร่ืองประสทิ ธภิ าพและการมีส่วนรว่ ม ดา้ นการดาเนินการ อาจมีความเสย่ี งตอ่ เรอ่ื งประสทิ ธิภาพ และความโปรง่ ใส ดา้ นการเงิน อาจมคี วามเส่ยี งเรื่องนติ กิ รรม และภาระรบั ผดิ ชอบ ด้านกฎระเบยี บ อาจมคี วามเสย่ี งตอ่ เรื่องนติ ิกรรม และความเสมอภาค ท้ังนี้ ความเส่ียงเรื่องธรรมาภิบาลท่อี าจเกิดขน้ึ จากการดาเนินงานตามแผนงาน / โครงการเพอ่ื ให้เปน็ ไปตามหลักธรรมาภบิ าล ( Good Governace )ไดแ้ ก่ 1. ประสทิ ธิผล ( Effectiveness) 2. ประสิทธภิ าพ ( Efficiency) 3. การมสี ว่ นร่วม ( Participation ) 4. ความโปร่งใส( Transparency ) 5. การตอบสนอง ( Responsiveness ) 6. ภาระรับผิดชอบ ( Accountability ) 7. นติ ธิ รรม ( Rule of law ) 8. การกระจายอานาจ ( Decentralization ) 9. ความเสมอภาค ( Equity )

27 ควำมหมำยองคป์ ระกอบตำมหลกั ธรรมำภิบำล สานักงานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ ( 2552: 113-114 ) ได้กล่าวไวว้ า่หลักธรรมาภบิ าลตอ้ งยึดหลัก ดังน้ี หลักประสทิ ธิผล (Effectiveness) : ผลการปฏบิ ัติราชการที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนการปฏิบัติราชการตามที่ได้รับงบประมาณมาดาเนินการ รวมถึงสามารถเทียบเคียงกับส่วนราชการ หรือหน่วยงาน ที่มีภารกิจคล้ายคลึงกันและมีผลการปฏิบัติงานในระดับช้ันนาของประเทศเพ่ือให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชน โดยการปฏิบัติราชการจะต้องมีทิศทางยุทธศาสตร์และเป้าประสงค์ที่ชัดเจน มีกระบวนการปฏิบัติงานและระบบงานท่ีเป็นมาตรฐาน รวมถงึ มีการติดตามประเมนิ ผล และพฒั นาปรับปรุงอยา่ งต่อเนอ่ื งและเป็นระบบ หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) : การบริหารราชการ ตามแนวทางการกากับดูแลที่ดีที่มีการออกแบบกระบวนการปฏิบัติงาน โดยใช้เทคนิคและเครื่องมือการบริหารจัดการที่เหมาะสมให้องค์การสามารถใช้ทรัพยากรท้ังด้านต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนา ขดี ความสามารถในการปฏิบัติราชการตามภารกิจ เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการของประชาชนและผู้มีสว่ นได้เสยี ทกุ ลมุ่ หลักการมีส่วนร่วม (Participation) : กระบวนการท่ีข้าราชการ ประชาชนและผู้มีส่วนไดเ้ สีย ทกุ ลุม่ มโี อกาสได้เข้ารว่ มในการรบั รู้ เรียนรู้ ทาความเขา้ ใจ รว่ มแสดงทัศนะรว่ มเสนอปัญหา/ ประเด็นสาคญั ที่เกี่ยวข้อง รว่ มคิดแนวทาง รว่ มการแก้ไขปัญหา รว่ มในกระบวนการตัดสินใจและร่วมกระบวนการพฒั นาในฐานะหุน้ สว่ นการพฒั นา หลกั ความโปรง่ ใส (Transparency) : กระบวนการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ช้ีแจงได้เมื่อข้อสงสัย และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอันไม่ต้องห้ามตามกฎหมายได้อย่างเสรี โดยประชาชนสามารถรับรู้ทกุ ขน้ั ตอนในการดาเนินกจิ กรรมหรอื กระบวนการตา่ งๆ และสามารถตรวจสอบได้ หลักการตอบสนอง (Responsiveness) : การให้บริการที่สามารถดาเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กาหนด และสร้างความม่ันใจ ความไว้วางใจ รวมถึง ตอบสนองตามความคาดหวัง /ความต้องการของประชาชนผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ท่ีมีความหลากหลายและมีความแตกต่าง หลกั ภาระรับผดิ ชอบ (Accountability) : การแสดงความรบั ผิดชอบในการปฏบิ ัติหน้าท่ีและผลงานต่อเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ โดยความรับผิดชอบน้ัน ควรอยู่ในระดับท่ีตอบสนองต่อความคาดหวังของสาธารณะรวมท้งั การแสดงถงึ ความสานึกในการรบั ผดิ ชอบต่อปัญหาสาธารณะ หลกั นิติธรรม ( Rule of low ) : การใช้อานาจของกฎหมาย กฎระเบียบ ขอ้ บังคับในการบริหารราชการดว้ ยความเปน็ ธรรม ไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ และคานึงถงึ สทิ ธเิ สรภี าพของผมู้ ีส่วนได้ ส่วนเสีย

28 หลักกระจายอานาจ ( Decentralization) : การถ่ายโอนอานาจการตัดสินใจทรัพยากร และภารกิจ จากสว่ นราชการ สว่ นกลางให้แก่หน่วยงานปกครองอื่น (ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น) และภาคประชาชนดาเนินการแทน โดยอิสระตามสมควร รวมถงึ การมอบอานาจและความรับผิดชอบในการตัดสนิ ใจและการดาเนนิ การให้แกบ่ ุคลากร โดยมุ่งเน้นการสร้างความพงึ พอใจในการใหบ้ รกิ ารตอ่ผรู้ ับบริหารและผู้มสี ว่ นไดส้ ่วนเสีย การปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มผลิตเพอ่ื ผลการดาเนินงานที่ดีของส่วนราชการ ท้ังนี้การกระจายอานาจการตัดสินใจ ที่ดีบุคลากรต้องมีความรู้ความสามารถและขอ้ มลู สนบั สนุนเพ่ือให้เกิดการตัดสนิ ใจทเ่ี หมาะสม หลักความเสมอภาค (Equity) : การได้รับการปฏิบัติและได้รับบริการอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการแบ่งแยกด้าน ชาย / หญิง ถ่ินกาเนิด เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาการฝึกอบรม และอ่ืนๆ 2. การระบุความเสี่ยง เมอื่ ไดว้ ิเคราะหแ์ ละระบคุ วามเสยี่ งตามมิติธรรมาภิบาลแลว้ ใหพ้ ิจารณาวา่ ความเส่ยี งดงั กลา่ วสอดคล้องกบั ความเสี่ยงประเภทใด โดยสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ(2552: 112 ) ไดแ้ บง่ ประเภทของความเสี่ยง ออกเป็น 4 ด้าน ความเสี่ยงดา้ นกลยทุ ธ์ (Strategic Risk : S) ความเส่ียงด้านกลยุทธ์ คือความเสี่ยงท่ีเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายและพันธกิจในภาพรวม โดยความเส่ียงท่ีอาจจะเกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และเหตุการณ์ภายนอกส่งผลต่อกลยุทธ์ท่ีกาหนดไว้ ไม่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ หรือเกิดจากการกาหนดกลยุทธ์ที่ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนหรือการร่วมมือกับองค์กรอิสระทาให้โครงการขาดการยอมรับและโครงการไม่ได้นาไปสู่การแก้ไขปัญหาหรือการตอบสนองต่อความต้องการของผู้รับบริการหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง หรือเป็นความเสี่ยงท่ีเกิดขึ้นจากการตดั สนิ ใจผิดพลาดหรอื นาการตัดสนิ ใจนน้ั มาใชอ้ ยา่ งไมถ่ กู ต้อง ความเสย่ี งดา้ นการดาเนนิ งาน ( Operational Risk : O) ความเส่ยี งดา้ นการดาเนนิ งาน หมายถึง ความเส่ียงท่ีเก่ียวขอ้ งกับประสทิ ธภิ าพ ประสิทธผิ ลหรือผลการปฏิบัติงาน โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงเน่ืองจากระบบภายในองค์กร /กระบวนการ / เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมที่ใช้บุคลกร / ความเพียงพอของข้อมูลส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดาเนินโครงการ

29 ความเสี่ยงด้านการเงนิ ( Financial Risk : F) ความเส่ียงด้านการเงิน คือ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงบประมาณและการเงินเช่น การบริหารการเงินไม่ถกู ต้อง ไม่เหมาะสม ทาให้ขาดประสิทธิภาพ และไม่ทันต่อสถานการณ์หรือเป็นความเสี่ยงท่ีเก่ียวข้องกับการเงินขององค์กร เช่น การประมาณการงบประมาณไม่เพียงพอและไม่สอดคล้องกับข้ันตอนการดาเนินการ เป็นต้น เนื่องจากขาดการจัดหาข้อมูล การวิเคราะห์การวางแผน การควบคุม และการจัดทารายงานเพื่อนาไปใช้ในการบริหารงบประมาณ และการเงินดงั กล่าว ความเสีย่ งดา้ นการปฏิบัตติ ามกฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บังคบั (Compliance Risk : C ) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หมายถึง ความเส่ียงท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ โดยความเส่ียงท่ีอาจเกิดขึ้นเป็น ความเสี่ยงเนื่องจากความไม่ชัดเจน ความไม่ทันสมัย หรือความไม่ครอบคลุมของกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบงั คบั ตา่ งๆ รวมท้ังการทานิตกิ รรมสัญญา การร่างสัญญาทไ่ี ม่ครอบคลุมการดาเนินงาน ข้นั ตอนท่ี 3 กำรประเมินควำมเส่ียง การประเมินความเสย่ี ง โดยระบุโอกาสของการเกิดความเส่ียงว่าจะก่อให้เกิดความเสยี หายในระดบั ใด และเมอ่ื เกิดความเส่ียงแลว้ ขึน้ แลว้ สง่ ผลกระทบถึงใครบ้าง ในระดับเท่าใด ซง่ึ สานักงานก.พ.ร. กาหนดให้หน่วยงานคัดเลือกความเสี่ยงท่ีมีโอกาสเกิดความเสี่ยงขึ้นบ่อยๆ และเม่ือเกิดความเสยี่ งขนึ้ แล้วมคี วามรุนแรงของผลกระทบระดับสูงสุด ขน้ั ตอนท่ี 4 กำรกำหนดกลยทุ ธใ์ นกำรจัดกำรควำมเสย่ี ง สานกั งาน ก.พ.ร. กาหนดกลยทุ ธ์ท่ใี ช้สาหรับจดั การแตล่ ะความเสี่ยง ดงั น้ี การหลีกเลี่ยงความเส่ียง : ปฏิเสธและหลีกเล่ียงโอกาสที่จะเกิดความเส่ียง โดยการหยุดยกเลิกหรือเปล่ียนแปลงกจิ กรรมหรือโครงการท่ีจะนาไปสเู่ หตกุ ารณท์ ีเ่ ป็นความเส่ียง การควบคมุ ความสูญเสีย : พยายามลดความเสี่ยงโดยการเพมิ่ เติม หรือเปลย่ี นแปลงขน้ั ตอนบางส่วนของกิจกรรมหรือโครงการท่ีนาไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยง รวมถึง ลดความน่าจะเป็นที่เหตุการณท์ เ่ี ปน็ ความเส่ยี งจะเกิดข้ึน การรับความเส่ียงไว้เอง : หากทาการวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่มีวิธีการจัดการความเสี่ยงใดเลยท่ีเหมาะสม เน่ืองจากต้นทุนการจัดการความเส่ียงสูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ อาจต้องยอมรับความเส่ยี งแต่ควรมมี าตรการ การตดิ ตามอย่างใกลช้ ิดเพือ่ รองรับผลที่จะเกิดขนึ้ การถ่ายโอนความเส่ียง : ยกภาระในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ท่ีเป็นความเส่ียงและการจัดการความเสย่ี งให้ผู้อ่นื

30 ข้ันตอนท่ี 5 กิจกรรมบรหิ ำรควำมเส่ียง หลังจากได้ประเมินความเส่ียงและกาหนดกลยุทธ์ในการจัดการความเส่ียงแล้วจึงดาเนินการกาหนดกิจกรรมหรือมาตรการในการจัดการความเสี่ยงให้หมดไปหรือลดลงในระดับท่ียอมรับได้โดยกิจกรรมที่กาหนดต้องเป็นกิจกรรมที่หน่วยงานยังไม่เคยปฏิบัติหรือเป็นกิจกรรมทีก่ าหนดเพม่ิ เติมจากกจิ กรรมเดิมท่ีเคยปฏบิ ัติอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถควบคมุ ความเสย่ี งได้ นอกจากนี้ยงั ต้องกาหนดระยะเวลาทใ่ี ช้ในการดาเนินการแตล่ ะกิจกรรม ตลอดจนหนว่ ยงานผู้รบั ผดิ ชอบในแผนบรหิ ารความเสี่ยงของหน่วยงาน ขน้ั ตอนที่ 6 ขอ้ มลู และกำรสือ่ สำรด้ำนกำรบริหำรควำมเสี่ยง ข้อมูลและการสอื่ สารดา้ นการบรหิ ารความเส่ยี ง ด้วยการกาหนดช่องทางการสื่อสารข้อมูลด้านการบริหารความเสี่ยง ให้กลุ่มเป้าหมาย ต้ังแต่ผู้บริหาร คณะทางานจัดทาระบบบริหารความเส่ยี งตลอดจนบคุ ลากรของหนว่ ยงานได้รับทราบขอ้ มลู ทางชอ่ งทางต่างๆ เช่น เว็บไซด์ หนังสอื เวียนแผน่ พบั การจดั ประชุมชแ้ี จง เป็นตน้ ขนั้ ตอนที่ 7 กำรตดิ ตำมและเฝำ้ ระวังควำมเสย่ี ง การติดตามและเฝ้าระวังความเส่ียง ด้วยการกาหนดให้มีการติดตามและประเมินผลว่าแต่ละหน่วยงานมีการประเมินประสิทธิผลของการจัดการความเสี่ยงท่ีกาหนดไว้อย่างต่อเนื่อง และสม่าเสมอ เพื่อให้มีความมั่นใจว่ามาตรการในการปรับปรุงความเสี่ยงที่วางไว้เพียงพอ เหมาะสมมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีการปฏิบัติจริง สามารถลดหรือป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตลอดจนมกี ารรายงานผลตามกาหนดเวลา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนอื (255: 1)ไดอ้ อกแบบข้ันตอนในการบริหารความเสยี่ ง ดงั น้ี 1. การจดั ตง้ั ผู้บรหิ ารความเสยี่ ง และคณะทางานบริหารความเส่ียงขององคก์ รขน้ั ตอนแรกผู้บริหารพึงปฏิบัติคือ การสร้างความรู้สึกร่วมในงานบริหารความเสี่ยงขององค์กรเพ่ือให้บุคคลทุกคน ในองค์กรเล็งเห็นความสาคัญของการบริหารความเสี่ยงขององค์กร ประโยชน์ท่ีจะเกิดข้ึนต่อองคก์ รและบุคลากรหลังจากองค์กรได้ทาการบริหารความเส่ยี ง ท้ังนี้เพ่ือให้บุคลากร ทุกคนให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามมาตรการในการบริหารความเส่ียงขององค์กรในขั้นตอนต่างๆจากนนั้ องคก์ รควรจัดตั้งผรู้ ับผดิ ชอบงานบริหารความเสยี่ งซง่ึ ควรเป็นผ้ทู ี่มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับองค์กรเป็นอย่างดี และเป็นผู้ท่ีจะต้องสามารถปฏิบัติงานร่วมกับผู้บริหารในส่วนงานอื่นขององค์กรได้ 2. การกาหนดวัตถุประสงคแ์ ละขอบข่ายการบริหารความเสยี่ ง คณะทางานบรหิ ารความเส่ยี งควรมีสว่ นรว่ มในการวางขอบขา่ ยของงานบรหิ ารความเสย่ี งขององค์กรอย่างแทจ้ ริง

31 3. การระบุความเสย่ี ง เป็นการระบุเหตุการณใ์ ดๆทง้ั ที่มผี ลดี และผลเสียตอ่ การบรรลุวัตถุประสงคข์ ององคก์ รโดยตอ้ งระบุดว้ ยวา่ เหตุการณน์ น้ั จะเกดิ ข้นึ ท่ีไหน เม่ือใด เกิดขน้ึ อยา่ งไรและทาไม 4. การประเมินความเสี่ยง เปน็ การวเิ คราะหแ์ ละจัดลาดับความเสีย่ ง โดยการประเมนิโอกาสท่จี ะเกดิ ความเสีย่ ง และความรุนแรงของผลกระทบจากเหตุการณค์ วามเสย่ี ง โดยอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่ไดว้ างไว้ 5. การประเมินมาตรฐานการควบคุม เปน็ การประเมนิ กิจกรรมควบคมุ ทีค่ วรจะมี หรอื มีอยแู่ ลว้ ว่าสามารถควบคมุ ความเสย่ี งที่ หรอื ปจั จัยเสย่ี งไดเ้ พียงพอหรือไม่ เพยี งใด 6. การบรหิ ารความเส่ยี ง เป็นการนากลยทุ ธ์ มาตรการหรือแผนงานมาใชป้ ฏิบตั ิเพอ่ืลดโอกาสท่จี ะเกิดความเสยี่ ง หรือลดความเสยี หายของผลกระทบท่ีจะเกิดจากเหตกุ ารณค์ วามเสีย่ ง 7. การรายงาน เป็นการรายงานผลการบรหิ ารความเสยี่ งทไี่ ด้ดาเนนิ การให้ฝา่ ยบริหารรบั ทราบ และให้ความเห็นชอบดาเนินการตามแผนการบรหิ ารความเสย่ี ง 8. การตดิ ตามและทบทวน เปน็ การตดิ ตามของการดาเนินงานตามแผนการบรหิ ารความเสยี่ งว่ามคี วามเหมาะสมกบั สถานการณ์ทมี่ ีการเปลย่ี นแปลงหรือไม่ รวมทงั้ ทบทวนประสิทธภิ าพของการบริหารความเสย่ี งเพอื่ พฒั นาระบบใหด้ ยี ่งิ ข้ึน สมชาย ไตรรตั นภิรมย์ (2549: 12) ไดแ้ บง่ ขั้นตอนกระบวนการบริหารความเสยี่ งประกอบดว้ ย 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผนการบริหารความเส่ียง ( Risk management planning ) ประกอบดว้ ยการตัดสินใจว่าจะวางแผนการบริหารกิจกรรมโครงการอย่างไร โดยการทบทวนขอบเขตของโครงการ การวางแผนการบริหารโครงการ ปัจจัยส่งิ แวดล้อมขององค์การและทรัพยากรองค์กร ซึ่งผู้ร่วมโครงการสามารถอธิบายและวิเคราะห์การจัดการความเส่ียง กิจกรรมในแต่ละโครงการผลผลิตหลักของการบรหิ ารน้คี ือ แผนการจัดการความเสย่ี ง 2. การจาแนกความเสีย่ ง ( Risk identification ) ประกอบด้วยขอ้ กาหนดที่มีต่อผลกระทบของโครงการและลกั ษณะขอ้ มลู เอกสารแต่ละโครงการ ผลผลติ หลกั ของกระบวนการน้ีคอื การเริ่มต้นดว้ ยการลงทะเบียนความเสยี่ ง 3. การวเิ คราะหค์ ณุ ภาพความเสี่ยง ( Qualitative risk analysis ) ประกอบดว้ ยการจดั ลาดบัความสาคัญของความเสี่ยง ซ่ึงขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็น และผลกระทบท่ีเกิดข้ึนภายหลังการจาแนกความเสย่ี งแลว้ ทีมความเสย่ี งสามารถใชเ้ คร่อื งมอื และเทคนิคต่างๆในการจัดลาดับความเส่ียงและการจัดการข้อมูลการลงทะเบียนความเส่ียงให้ทันสมัย ผลผลิตหลักในข้ันตอนน้ีก็คือUpdate การลงทะเบยี นขอ้ มลู ความเส่ียงให้ทนั ต่อเวลาเสมอ

32 4. การวิเคราะห์ปริมาณความเสี่ยง ( Quantitative risk Analysis ) ประกอบด้วยการประเมินค่าผลกระทบของความเสี่ยงตามวัตถุประสงค์ของโครงการออกมาเป็นจานวนหรือตัวเลขผลผลติ หลักของกระบวนการน้ี เช่นเดยี วกับการลงทะเบียนหลักเพื่อใหท้ ันตอ่ เวลา 5. การวางแผนเก่ียวกับผลท่เี กดิ ขน้ึ กบั ความเสี่ยง ( Risk response Planning ) ประกอบด้วยการนาข้ันตอนมาใช้ เพื่อเป็นการสร้างโอกาส ในความสาเร็จและเป็นการลดภาวะคุกคามที่จะพบจากเป้าหมายโครงการ การใชผ้ ลผลิตต่างๆตรมขั้นตอนทีผ่ ่านมา 6. การควบคุมและการติดตามความเสยี่ ง ( Risk Monitoring and Control ) ประกอบด้วยการจาแนกการติดตามความเสี่ยง และความเสี่ยงที่เหลืออยู่ การจาแนกความเส่ียงใหม่ การจัดแยกแผนการเก่ียวกับผลที่เกิดข้ึนจากความเส่ียงและการประเมินประสิทธิผลของกลยุทธ์การจัดการความเส่ียงที่ใช้ตลอดโครงการ ผลผลิตหลักของกระบวนการนี้คือ การให้คาแนะนา / การให้การรับรองและการป้องกันสิ่งท่ีจะเกิดขึ้น ความต้องการการเปล่ียนแปลงและการลงทะเบียนบนความเส่ียงให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งการวางแผนการบริหารโครงการ และกระบวนการจัดการทรัพยากรของโครงการ ธร สนุ ทรายทุ ธ (2550: 196) ไดก้ ลา่ วถงึ หลกั การบรหิ ารความเส่ียง ซึ่งประกอบไปด้วย 1. การวางแผนกลยทุ ธ์ จะตอ้ งมีการรา่ งกรอบการบรหิ ารความเสี่ยงในระดับองคก์ รเพื่อทจ่ี ะไดส้ นับสนนุ การกากับดแู ลกิจการ และการบรหิ ารความเสย่ี งใหด้ าเนินไปอยา่ งดที สี่ ดุรวมถงึ การผนวกกระบวนการความเสีย่ งทงั้ จากระดับล่างสู่ระดบั บน และจากระดบั บนสูร่ ะดับล่างมีการประสานงานระหวา่ งหน่วยงานอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. การวิเคราะห์ความเสี่ยง จะตอ้ งพยายามบอกใหไ้ ดว้ า่ อะไรคือความเสยี่ ง ร้จู ักระบุคัดเลือกวา่ ความเสย่ี งใดเปน็ ความเสย่ี งท่สี าคญั หรือจาเปน็ เพอ่ื ท่ีจะได้มงุ่ เน้น และทาแผนปฏิบตั ิการตอ่ ไป 3. การควบคมุ ความเสีย่ ง อาจจาเป็นต้องใชง้ บประมาณ เพ่อื จะปรบั ปรงุ การบรหิ ารความเสย่ี ง ตอ้ งมีระบบตรวจตราดูแลและรายงานความเสีย่ งทีส่ าคญั อย่างต่อเนือ่ ง

33ตรวจตราและ การวางแผนกลยทุ ธ์ รายงาน การบริหารความเสยี่ ง กลยุทธ์ บอกไดว้ า่ อะไรเปน็ ความ เส่ยี งประเมนิ ความเสี่ยง การจัดการความเสย่ี ง การย้ายหรือ การควบคมุ ความเส่ยี ง ถา่ ยโอนความเส่ียง - นโยบายและวิธปี ฏิบัติ- การประกนั - การฝึกอบรม- การสัญญา - การทาวจิ ัย- จ้างผู้เชี่ยวชาญ - ทบทวนจากภายนอก ภำพประกอบท่ี 2.1 แสดงตัวแบบการบริหารความเส่ียง (ท่ีมา: ธร สุนทรายทุ ธ, 2550 : 196 ) การบริหารจัดการความเส่ียงท่ีเป็นระบบนั้นจะต้องได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกคนทกุ ฝา่ ย ในหนว่ ยงานซ่งึ ตอ้ งถือว่าเป็นกิจกรรมของทุกคนในองค์กร ผู้บริหารจะต้องสร้างความเข้าใจให้ทุกคนตระหนักถึงภัยวิกฤต ความเสี่ยง ทุกคนต้องทา ทาเป็นประจาและทาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบมรี ปู แบบทชี่ ัดเจนหลักการบรหิ ารความเสีย่ งจะตอ้ งมี 1. การวางแผนกลยุทธ์ 2. การวเิ คราะหค์ วามเสยี่ ง 3. การควบคมุ ความเส่ียง ในการดาเนินงานปฏิบัติการจัดการความเสี่ยง จะได้มาจากฝ่ายและองค์กรช่วยกันประเมินความเสี่ยงต่างๆ แล้วจัดลาดับว่า อะไรเป็นความเสี่ยง ระดับมากน้อยเพียงใด รุนแรง

34แค่ไหน เพื่อนาความเสี่ยงนั้นมาบริหารจัดการก่อนหลัง การพิจารณาควบคุมความเสี่ยงทาให้เห็นสภาพการบริหารความเสี่ยง ในองค์การว่ามีการกาหนดอย่างไร การทาแผนปฏิบัติการดาเนินงานปฏิบัติการบริหารความเสี่ยง โดยเรียงลาดับวิกฤตว่าอะไรมาก่อน อะไรมาหลังเป็นข้ันตอนสุดท้ายของการบริหารความเสี่ยงที่มีรายละเอียดในเชิงปฏิบัติการ สามารถนาไปใช้ได้จรงิ ในการปฏิบัติงาน กติ ตพิ นั ธ์ คงสวัสดเิ์ กียรติ (2554: 52 - 55) ไดก้ ล่าวถึงกระบวนการบรหิ ารความเส่ียงขององคก์ รสามารถกาหนดเปน็ ขั้นตอน ดงั นี้ การกาหนดวัตถุประสงค์ การระบุความเสี่ยง การประเมินความเส่ียง การศึกษาถึงผลกระทบ การจัดทาแผนการบริหารความเส่ียง การรายงานและติดตามผล และการประเมินผลแผนการบรหิ ารความเส่ียง ซง่ึ ทง้ั 7 ขน้ั ตอน มีรายละเอียด ดงั นี้ กำรกำหนดวัตถุประสงค์ เป็นข้นั ตอนแรกของกระบวนการบรหิ ารความเสีย่ ง เพราะเป็นปัจจัยท่ีผู้ทาหน้าที่ในการบริหารความเส่ียงหรือบริษัท จะต้องกาหนดวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยง โดยกาหนดถึงความต้องการในการบริหารความเส่ียง และกาหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดการบรรลใุ นการบริหารความเสย่ี ง กำรระบุควำมเส่ียง เป็นข้ันตอนท่ี 2 ของกระบวนการ เป็นขั้นตอนท่ีทาหน้าที่ในการระบุถึงปัจจัยเส่ียงต่างๆ ท่ีอาจเกิดข้ึนต่อองค์กรหรือบริษัท องค์กรท่ีส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจะมีปัจจัยเสี่ยงคือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไม่แน่นอน การขนส่งสินค้าอาจเกิดอันตราย ลูกค้าในประเทศอาจผดิ นดั ชาระ ฯลฯ ซ่งึ ปัจจยั เส่ยี งในแตล่ ะองค์กรกจ็ ะเกิดขึ้นแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับประเภทขององค์กร และขนาดขององคก์ ร เพราะประเภทขององค์กรที่แตกต่างกันจะมลี กั ษณะความเสี่ยงที่แตกตา่ งกนั กำรประเมนิ ควำมเสี่ยง ในขัน้ ตอนน้ีเปน็ อีกขัน้ ตอนหนึ่งที่สาคญั เพราะการที่บริษัทหรอืองค์กรใดๆ จะเลอื กวิธีใดในการป้องกันความเส่ียง บริษัทนั้นจะต้องทราบถึงความเส่ียงท่ีจะเกิดขึ้นว่ามีโอกาสในการเกิดข้ึนเท่าใด เพื่อท่ีจะได้เลือกใช้เครื่องมือในการป้องกันความเส่ียงได้ถูกต้องเพราะวธิ ีการแตล่ ะวิธใี นการปอ้ งกนั ความเส่ยี งน้นั มตี น้ ทนุ และวธิ กี ารท่ีแตกต่างกัน การเลือกวิธีการหรือแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงที่ถูกตอ้ งจะทาใหบ้ รษิ ัทเกดิ ความสมดุลย์ กำรศึกษำถึงผลกระทบ ข้ันตอนน้ีเป็นขั้นตอนท่ียากและสาคัญที่สุดของการบริหารความเสีย่ ง เพราะบริษัทจะต้องทาการประเมินปัจจัยเส่ยี งทีละปัจจัย ปัจจัยใดจะมีผลกระทบมากน้อยต่อองค์กรเพียงใด ปัจจัยท่ีมีผลกระทบมากจะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่ปัจจัยท่ีมีผลกระทบน้อย นน้ั กไ็ มส่ ามารถละเลยไดเ้ ชน่ กนั แต่การศึกษาถงึ ผลกระทบนจี้ ะทาให้ธรุ กจิ ทราบว่าแต่ละปัจจยัเสี่ยงจะมีผลกระทบต่อองค์กรร้ายแรงเพียงใด ผู้บริหารจะนาข้ันตอนนี้ไปใช้ในการประกอบการ

35ตัดสินใจ เพราะการบริหารความเสี่ยงน้ันบางคร้ังมีต้นทุนสูง ถ้าหากนามาใช้กับความเส่ียงท่ีมีผลกระทบตอ่ ธุรกิจน้อย อาจเกิดความไมค่ ้มุ ค่า กำรจัดทำแผนกำรบริหำรควำมเสี่ยง ในขั้นตอนน้ีเป็นข้ันตอนของการวางแผนในการบริหารความเสี่ยง และการลงมือปฏิบัติในการบริหารความเส่ียง และการลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริงเพ่ือการบริหารความเสย่ี งอยา่ งเป็นข้นั ตอน ธรุ กจิ จะต้องมกี ารวางแผนการบรหิ ารความเส่ยี งอย่างเป็นระบบ โดยมีการกาหนดถึงแผนบริหารความเส่ียงอย่างเป็นขั้นตอน ว่าความเสี่ยงใดจะต้องทาการบรหิ ารก่อนหลงั แต่การบริหารความเส่ียงนั้นจะไม่สามารถกระทาแต่เพียงอย่างเดียวโดยลาพัง หรือการบริหารความเสี่ยงน้ันไม่สามารถมองปัญหาเดียวได้ (Silo View) การบริหารความเส่ียงจะต้องมองภาพรวมขององคก์ ร และลงมอื แกไ้ ขอยา่ งพรอ้ มเพยี งกัน แต่อาจกาหนดเปน็ ข้ันตอนกอ่ นหลังได้ กำรรำยงำนและติดตำมผล เป็นการศึกษาถึงผลท่ีเกิดข้ึนจากการแก้ไขและการป้องกันความเส่ียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในองค์กร ว่าประสบผลสาเร็จในการป้องกันความเส่ียงเพียงใด และการป้องกนั ความเส่ยี งน้นั เป็นไปตามแผนหรอื ไม่ กำรประเมินผลแผนกำรบริหำรควำมเส่ียง และแก้ไขแผนในกำรป้องกันควำมเสี่ยงเปน็ ขน้ั ตอนสุดทา้ ยท่ีตอ่ เน่ืองจากการรายงานและตดิ ตามผล ว่าแผนที่ไดว้ างไว้นนั้ เป็นไปตามขัน้ ตอนและประสบความสาเร็จหรือไม่ ถ้าหากการปฏิบัติไม่เป็นไปตามแผนในการป้องกันความเส่ียงก็จะต้องมีการปรับแผนใหม่ เพื่อรองรับได้กบั สถานการณ์จริง

36 ธารงศักดิ์ คงคาสวสั ดิ์ (51: 38-39 ) ได้สรปุ ขน้ั ตอนในการจดั การกับความเส่ียงดงั นี้ ข้ันตอนกำรบริหำรควำมเสย่ี ง ผบู้ รหิ ารกาหนดนโยบายในการบริหารความเสีย่ ง คน้ หาความเสยี่ ง วเิ คราะห์ความเสีย่ ง ประเมนิ และจัดอันดับความเส่ยี ง บริหารและจดั การความเส่ยี ง ตรวจสอบและควบคมุ ความเสยี่ งภำพประกอบที่ 2.2 แสดงข้นั ตอนการบริหารความเสี่ยง (ท่มี า: ธารงศกั ด์ิ คงคาสวสั ดิ์, 2551: 38-39 ) วธิ กี ำรในกำรจดั กำรควำมเสย่ี ง การจัดการความเส่ียงมีวิธีการหลายวิธีที่จะทาให้องค์กรหรือหน่วยงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้มีผู้กลา่ วถึงวิธกี ารในการจดั การความเสีย่ งไว้ดังน้ี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (เมษายน 2551: 1) ได้แสดงวิธีการจัดการความเสี่ยงสามารถทาได้หลายวิธี ดงั น้ี

37 1. การยอมรับความเส่ยี ง (Risk Acceptancex) เปน็ การยอมรบั ความเส่ียง หรอื ความเสยี หายท่ีอาจจะเกิดขึ้นนั้นไว้เองเน่ืองจากเล็งเห็นว่าโอกาส หรือความนา่ จะเปน็ ท่จี ะเกิดความเสียหายอยใู่ นวิสยั ทีจ่ ะยอมรับได้ หรอื ไมค่ ้มุ คา่ ในการจดั การควบคุมหรอื ปอ้ งกันความเส่ียง 2. การลด/การควบคมุ ความเสย่ี ง (Risk Reduction) เปน็ การปรับปรุงระบบการทางานหรือออกแบบวิธกี ารทางานใหม่ เพือ่ หาทางปอ้ งกันมใิ ห้มคี วามเสียหายเกดิ ขึน้ ลดโอกาสหรือจานวนครง้ั ของความเสยี หายท่ีจะเกดิ ข้ึน หรอื ผลกระทบของความรุนแรงของเหตุการณใ์ หอ้ ยใู่ นระดบั ท่ีองคก์ รยอมรบั ได้ 3. การกระจายความเส่ยี ง หรอื การโอนความเสยี่ ง (Risk Sharing) เป็นการกระจายหรือถา่ ยโอนความเส่ยี งใหผ้ อู้ น่ื ชว่ ยแบง่ เบาความรับผดิ ชอบไป 4. การหลกี เล่ยี งความเส่ยี ง (Risk Avoidance) เปน็ การจดั การกบั ความเสย่ี งที่อยใู่ นระดบัท่สี งู มาก วิเคราะห์ต้นทุนกบั ผลประโยชนท์ ี่จะไดร้ ับแลว้ พบวา่ ผลประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ บั ไม่คมุ้ กับตน้ ทนุและองคก์ รไมอ่ าจยอมรบั ได้ จงึ ตอ้ งตดั สนิ ใจยกเลิกโครงการหรือกจิ กรรมไป นฤมล สะอาดโฉม (2550: 203) ไดก้ ล่าวถึงวิธกี ารบริหารความเส่ยี ง ดังน้ี 1. การหลกี เลยี่ ง ( Avoidance ) ถา้ ความเสีย่ งนัน้ มันสูงเกนิ ไปรบั ไม่ไหว ก็ควรหลีกเลยี่ งเชน่ การเลือกลงทนุ ในภาคเอกชนโครงการใดโครงการหนง่ึ หลักทางการเงินก็มกั จะดมู ลู ค่าเทียบเทา่ ปจั จบุ ัน ( Net present value ) และกระแสเงนิ สดในอนาคต ( Future cash flow ) ทงั้ ที่เปน็รายรบั และรายจา่ ยโดยคดิ ลด ( Discount ) กลบั มาใหเ้ ปน็ วนั ปจั จบุ นั แลว้ ดวู า่ เปน็ บวกหรือวา่ เปน็ ลบถา้ เปน็ บวกกค็ มุ้ ท่จี ะลงทนุ ได้ แต่ถา้ มนั เปน็ ลบก็ไมค่ ุม้ ทจี่ ะลงทนุ กค็ วรหลีกเล่ียงทีจ่ ะลงทุนในโครงการนนั้ 2. การปอ้ งกันกอ่ นจะเกดิ ( Loss control ) สามารถทาได้ 2 แบบกวา้ งๆ คอื LossPrevention เชน่ การติดสัญญาณเตือนอัคคีภยั กับ Loss Reduction ซ่ึงเปน็ การทาให้ความสูญเสยี นอ้ ยท่ีสดุ เท่าทีจ่ ะทาได้ เช่น ในกรณไี ฟไหม้ การตดิ ตัวฉดี น้า ( Springer ) ใหพ้ รมน้าลงมากส็ ามารถหลีกเล่ียงอคั คภี ยั ได้ 3. การรับความเส่ียง (Risk Retention) เป็นวธิ ีการเลอื กทจ่ี ะรับความเสยี่ งไวเ้ อง เชน่มกี ารตั้งกองทนุ ฉุกเฉิน ( Emergency Fund ) ไว้สาหรบั กรณที ่ีเกิดความสูญเสยี ข้นึ Risk Retentionมอี ยู่ 2 แบบคอื Active Risk Retention ( การรับความเสี่ยงแบบรู้ตัว) คือเราคดิ เราตัดสนิ ใจเองว่าเราจะเก็บหรือรับความเสีย่ งนั้นไว้เอง อกี แบบหนึ่งคอื Passive คือ เรารับไวโ้ ดยท่ีเราไม่รตู้ วั อาจจะเปน็ เพราะเราไม่ได้ นกึ ถึงมนั มาก่อน ไมเ่ คยคดิ ทจ่ี ะบริหารความเสย่ี งมาก่อน เรารบั ความเส่ยี งไวท้ ่ีตัวเราโดยท่ีเราไม่ร้ตู ัวซง่ึ เปน็ อนั ทีน่ ่ากลวั ทส่ี ุด เราพลาดไปเพราะไมไ่ ดม้ องมนั วา่ มนั อยู่กบั เรา 4. การถา่ ยโอนความเสยี่ งไปให้บุคคลอน่ื ผ่านทางสญั ญา (Non- insurance Transfer)เชน่ อาจจะทาสญั ญาว่า จะไม่รับผิดชอบในสว่ นน้ี ซง่ึ ในทางธรุ กจิ การคา้ จะเป็นเรื่องของสัญญาเช่า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook