แผนการจัดการเรยี นรู้ หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2565 รายวิชาบังคบั - วชิ าภาษาอังกฤษ ( พต 31001) - วชิ าสขุ ศกึ ษา (ทช 31002 ) - วชิ าศลิ ปศึกษา ( ทช 31003 ) รายวิชาเลอื ก - วิชาประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย ( สค 32034 ) - วชิ าภาษาอังกฤษเพ่ือการศึกษาต่อ ( พต 32005 ) - วชิ ากญั ชาและกญั ชงฯ ( ทช33097 ) - วิชาอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ ( สค 02037 ) - วชิ ากฎทคี่ วรร้คู โู่ ลกอนไลน์ ( สค 02038 ) ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอบ้านโปง่ สำนักงานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจังหวดั ราชบรุ ี สำนักงานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั
สำนักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ ปฏิทนิ การเรียนรู้รายภาค หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย สปั ดาห์ที่ รายละเอยี ดการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน หมายเหตุ สัปดาหท์ ่ี 1 -ปฐมนเิ ทศนักศกึ ษา ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 วันที่ 16 ต.ค. 65 - รายวชิ าภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษ สัปดาหท์ ี่ 2 รายวชิ าภาษาองั กฤษ วนั ที่ 23 ต.ค. 2565 รายวชิ าภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาองั กฤษเพ่อื การศึกษาต่อ สัปดาห์ที่ 3 รายวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการศึกษาต่อ วันที่ 30 ต.ค. 2565 รายวิชาประวัตศิ าสตร์ชาติไทย รายวิชาประวตั ิศาสตรช์ าติไทย สัปดาหท์ ่ี 4 รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพียง วนั ที่ 6 พ.ย. 2565 รายวชิ าเศรษฐกจิ พอเพียง รายวชิ าสขุ ศกึ ษา สัปดาห์ที่ 5 รายวิชาสุขศกึ ษา วันท่ี 13 พ.ย. 2565 สัปดาหท์ ี่ 6 วนั ท่ี 20 พ.ย. 2565 สปั ดาห์ที่ 7 วันท่ี 27 พ.ย. 2565 สัปดาห์ท่ี 8 วนั ที่ 4 ธ.ค. 2565 สปั ดาหท์ ่ี 9 วันท่ี 11 ธ.ค. 2565 สัปดาหท์ ่ี 10 วนั ที่ 18 ธ.ค.2565 สปั ดาหท์ ่ี 11 วันที่ 25 ธ.ค. 2565 สปั ดาหท์ ี่ 12 วันท่ี 1 ม.ค. 2566
ปฏิทนิ การเรียนร้รู ายภาค หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย สัปดาหท์ ่ี รายละเอียดการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน หมายเหตุ สัปดาหท์ ่ี 13 รายวิชาศิลปศึกษา วันที่ 8 ม.ค. 2566 รายวชิ าศิลปศึกษา รายวิชากญั ชาและกัญชงเพื่อการศกึ ษา สปั ดาหท์ ่ี 14 รายวชิ ากญั ชาและกัญชงเพ่ือการศกึ ษา วันท่ี 15 ม.ค. 2566 รายวชิ ากฎหมายที่ควรรคู้ ู่โลกออนไลน์ สัปดาห์ที่ 15 วนั ที่ 22 ม.ค. 2566 รายวิชากฎหมายท่คี วรรู้คโู่ ลกออนไลน์ รายวชิ าอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ สปั ดาห์ท่ี 16 รายวชิ าอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ วันที่ 29 ม.ค. 2566 ปัจฉมิ นิเทศ / เตรียมความพร้อมในการสอบปลายภาคเรยี น สปั ดาห์ที่ 17 วนั ท่ี 5 ก.พ. 2566 สัปดาหท์ ี่ 18 วนั ที่ 12 ก.พ. 2566 สปั ดาห์ท่ี 19 วันท่ี 19 ก.พ. 2566 สปั ดาหท์ ี่ 20 วันที่ 26 ก.พ. 2566
ครั้งท่ี 1
แผนการเรยี นร้รู ายวชิ า พต310 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ นำ้ เสียงและสำเนียงภาษาอังกฤษ เรือ่ ง 1 การ รายวชิ า/หัวเร่อื ง ตวั ชีว้ ดั เนือ้ หา การออกเสียง ตีความหมาย 1.การออกเสียงพยญั ชนะต้นคำ –ท้ายคำ ภาษาอังกฤษที่ จากน้ำเสยี งของ 1.1 ทบทวนการออกเสียง พยัญชนะตน้ คำท่ียาก เชน่ ถูกต้อง ผ้อู ่นื และร้จู ักใช้ s z ch sh (10 ชว่ั โมง) นำ้ เสียงในการ - sit, see, soon แสดงความรู้สึก - zebra, zero, zoo ระหว่างการ - cheap, chat, choose สนทนา ไดแ้ ก่ - ship, shoe, shut etc. ดีใจ เสยี ใจ 1.2 การอ่านออกเสียงทา้ ยคำท่ีถูกต้อง พึงพอใจ เช่น เสยี ง [d] , [t] , หรอื [id] เมื่อเป็นกรยิ า ช่อง ไม่พึงพอใจ และ past participle เช่น ซาบซึ้ง ผิดหวงั - moved, turned, loved ปรารถนาดี - walked, talked, knocked ชน่ื ชมและ - wanted, rented, waited เห็นใจ etc. 2. การออกเสียงหนัก-เบา (Stress) วธิ กี ารออกเสียง หน ของคำในลักษณะต่าง ๆ เช่น คำเดี่ยว คำประสมใน ลักษณะตา่ ง ๆ เปน็ ต้น วา่ คำประเภทใด จะต้องออกเสียง พยางค์แรก พยางค์กลางหรอื พยางค์หลัง
001 ภาษาอังกฤษเพ่ือชีวิตและสังคม สปั ดาหท์ ี่…………………………… ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565 รออกเสยี งภาษาองั กฤษทถี่ กู ตอ้ ง เสียง การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื และแหล่ง การวัดและ เรียนรู้ ประเมินผล ง2 ขนั้ ที่ 1 กำหนดสภาพปัญหา ความตอ้ งการในการเรียนรู้ - ใบงาน 1.1 การออกเสียง คำศัพท์ การอา่ นออกเสียงท้ายคำ - ใบความรู้ - แบบฝึกหดั นกั -เบา วธิ ีการออกเสียง หนกั -เบา การออกเสียงสงู -ต่ำของ - วดิ โี อ - ประเมนิ ยงเน้น ที่ ประโยคใหถ้ กู ตอ้ ง - บัตรคำ ความถกู ต้อง 1.2 ครูและผเู้ รียนรว่ มกนั สร้างความเข้าใจการออกเสยี ง - ใบงาน จากการออก ภาษาอังกฤษท่ีถูกตอ้ ง - แบบฝึกหดั เสยี งและ 1.3 วางแผนการเรยี นรู้ - ใบงาน สำเนียง - แบบฝึกหดั รายบุคคล ขั้นที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ 2.1 ศกึ ษาจากใบความรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษเกย่ี วกบั การออกเสยี งพยญั ชนะตน้ คำ –ทา้ ยคำ การออกเสยี ง หนกั -เบา (Stress) การออกเสยี งตามระดบั เสียงสงู -ตำ่ (Intonation) การออกเสียงเชื่อมโยง(Linking Sound) 2.2 ฟงั ดู การออกเสยี งบทสนทนา ขัน้ ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนำไปใช้ 3.1 ฝึกการออกเสยี งตามบตั รคำ 3.2 บอกพยางคท์ ่ีมกี ารเน้นเสยี งหนัก-เบาได้ 3.3 ออกเสียงสูง-ต่ำของประโยคลกั ษณะ ตา่ ง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง
รายวิชา/หัวเร่อื ง ตวั ชี้วดั เนื้อหา 3. การออกเสยี งตามระดบั เสยี งสูง-ต่ำ (Intonation) วธิ กี ออกเสยี งของประโยคลักษณะตา่ ง ๆ ซง่ึ จะต้องออกเส ตำ่ ใหถ้ กู ตอ้ งเพอื่ ให้ สอ่ื ความหมายท่ีผพู้ ดู ตอ้ งการ ประโยคประเภทเดียวกนั ถ้าออกเสยี งสงู -ต่ำ ตา่ งกนั จ ความรสู้ ึกท่ตี ่างกนั 4. การออกเสยี งเชอื่ มโยง (Linking Sound) วิธีการอา่ น เสียงเชื่อมโยงระหวา่ งคำในภาษาอังกฤษทถี่ กู ตอ้ งตาม กฎเกณฑข์ องภาษาองั กฤษ เช่น - Ten years ago. - Far away etc.
การจัดกระบวนการเรียนรู้ ส่ือและแหล่ง การวัดและ เรยี นรู้ ประเมนิ ผล 3.4 การออกเสียงเชื่อมโยงระหวา่ งคำไดถ้ กู ตอ้ ง การ ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ สียงสงู - 4.1 ครูและผู้เรยี นประเมนิ ผลจากใบงาน แบบฝึกหัด แบบ จะให้ สงั เกต นออก 4.2 ครูและผเู้ รยี นประเมินผลจากการฝึกพดู การฝึกปฏบิ ัติ ม 4.3 ครูตดั สินผลการเรยี นรตู้ ามเกณฑ์ท่กี ำหนด
ใบความรู้เร่อื งการออกเสียงภาษาองั กฤษ การจะพดู ภาษาใดน้ันตอ้ งเรม่ิ ต้นดว้ ยการออกเสียงให้ถูกต้องกอ่ นแล้วจงึ หดั พูดเปน็ ประโยค เราเรียน ภาษาองั กฤษมาเปน็ เวลานานแต่ไม่ได้เรยี นเพ่ือการพูด เราเรียนเกยี่ วกับการออกเสยี งก็เพยี งเพื่อใหร้ ู้จัก ภาษาองั กฤษและก็ไดเ้ รยี นกนั มาโดยถูกต้องเปน็ บางสว่ นเทา่ น้นั เราจะมาเร่ิมตน้ การออกเสียงอักษร 26 ตวั ใหถ้ กู ต้อง ดงั น้ี A, a ปกตเิ ราจะออกเสียงวา่ เอ การออกเสยี งทถ่ี ูกต้อง ออกเสยี งวา่ เอ+อิ เพื่อไมใ่ ห้ยุ่งยากตอ่ การออกเสยี งให้ ทำดังนคี้ ือ เหยียดริมฝปี ากออกใหก้ วา้ ง ออกเสียง เอ แล้วเลื่อนขากรรไกรพร้อมกับล้นิ สูงขนึ้ เพื่อออกเสยี ง อิ คำใด ๆ ทม่ี ีอักษร a อยู่ดว้ ยแลว้ อ่านออกเสียงอย่างท่ีกล่าว เชน่ คำว่า day, way, cake ออกเสียง เอ เท่านน้ั ฝรงั่ ก็เข้าใจแต่ไม่ไดเ้ ปน็ เสียง ทีเ่ ขาออกเสียงกัน B, b ออกเสยี ง บี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดริมฝีปากออกกว้างกว่าเสยี ง อี ของไทย C, c ออกเสยี ง ซี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดรมิ ฝปี ากออกเชน่ กัน D, d ออกเสยี ง ดี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดรมิ ฝีปากออกเชน่ กัน E, e ออกเสียง อี ออกเสียงสระ อี โดยเหยยี ดริมฝีปากออกเช่นกนั F, f ออกเสยี งว่า เอฟ โดยตอนท้ายออกเสยี ง ฟ โดยใหไ้ ด้ยินเสยี งลมเสียดสรี ะหวา่ งฟันบนกับรมิ ฝปี ากลา่ ง สว่ นมากคนไทยจะไม่ออกเสยี งพยญั ชนะทา้ ยคำ G, g เราออกเสยี งวา่ จี โดยออกเสยี ง จ แบบภาษาไทย ถา้ หากจะออกเสียงให้ถูกต้องแล้วต้องดัดแปลงจาก เสยี ง จ ภาษาไทยใหเ้ ป็นเสียงทฝี่ รัง่ เขาออกกันดงั นี้คือ ให้ห่อรมิ ฝีปากเข้ามาเล็กนอ้ ยและทำรมิ ฝปี ากใหย้ นื่ ออกไปข้างหนา้ เล็กน้อยแลว้ ออกเสียง จ ให้แรงกวา่ การออกเสยี ง จ ของไทยแลว้ จงึ ออกเสยี ง อี โดยเหยยี ดริม ฝปี ากออก H, h ปกตเิ ราออกเสยี งว่า เอช ออกเสยี ง a ดังที่กลา่ วไปแล้วคอื เอ+อิ แล้วออกเสียง ช เสยี งตอนท้ายต้องออก เสียง ช ใหช้ ัดเจนแต่ต้องดัดแปลงเสยี ง ช แบบไทย ๆ เปน็ เสยี ง ch ของฝร่งั คือทำเช่นเดียวกันกับลกั ษณะการ ออกเสยี ง g โดยหอ่ รมิ ฝปี ากนิดหนอ่ ยและทำรมิ ฝปี ากใหย้ ื่นออกไปขา้ งหน้าเลก็ น้อยแลว้ จึงออกเสยี ง ช ออกมา ใหค้ อ่ นข้างแรง เพอ่ื ให้ง่ายต่อการออกเสียงให้ทำอยา่ งออกเสยี ง a แบบที่กล่าวไปแล้วและห่อปากเข้ามา เลก็ น้อยและใหย้ ืน่ ออกไปเล็กน้องแล้วออกเสยี ง ช แรง ๆ มีบางคนออกเสียงวา่ เฮช จะว่าผดิ กไ็ มเ่ ชงิ เพราะ ชาว Irish ซึง่ พูดภาษาอังกฤษเหมอื นกันออกเสียงแบบน้นั เพียงแต่ไมเ่ ปน็ ท่ีนยิ มของคนท่ัวไป I, i ปกตเิ ราจะออกเสียงว่า ไอ ตอ้ งแก้ไขโดยออกเสียงว่า อาย แบบออกเสยี ง eye คำต่าง ๆ ที่เราเคยออกเสียง วา่ ไอ ให้เปลี่ยนเป็นออกเสียง อาย แทน บางคร้งั เสยี ง อาย น้ีก็สนั้ จนฟงั แล้วเหมือนเสยี ง ไอ เสียงจะสัน้ หรือ
ยาวเอาไวเ้ รียนกนั ทีหลัง ซงึ่ ข้ึนกบั พยัญชนะทตี่ ามมา ถา้ ออกเสยี ง I โดด ๆ ก็เป็นเสยี ง อาย ไมส่ น้ั ความจริง แลว้ เสียง ไอ ของฝรัง่ ไม่มี มีแต่เสียง อาย ยาวหรอื ส้ัน ตัวอย่างการออกเสียงน้ีได้แก่ bicycle, side, direct เสียง อายจะส้ันในคำที่มีเสียงพยญั ชนะเสียงหนกั ตามเช่นคำวา่ bite, kite, light, life พยญั ชนะเสียงหนกั มี อะไรบา้ งแลว้ จะกลา่ วในภายหลัง J, j ออกเสยี งว่า เจ+อิ การออกเสียงตัว จ ให้ออกเสยี งแบบทีก่ ลา่ วตอนออกเสียง จ ของตัว g ( อยา่ ลมื เหยยี ด ริมฝีปากออกทนั ทีเม่ือออกเสียง จ เสร็จเพ่อื ออกเสยี ง เอ และ อิ ตามมา) K, k ออกเสยี งว่า เค+อิ เสียง ค ของฝร่งั ไม่เหมอื น ค ของไทย ออกเสียง ค ของฝรงั่ โดยยกโคนล้ินข้ึนไปใหย้ นั กบั เพดาน ปลายลิ้นอยู่ตำ่ จะแน่ใจว่าโคนล้ินยนั เพดานแลว้ โดยทดลองยกโคนลิ้นขึน้ ไปแล้วพยายามอัดลม ข้ึนมา ถา้ ลมออกทางปากไม่ได้ก็แสดงวา่ โคนลิน้ ยันเพดานแลว้ เมอื่ ลมโดนอัดขึ้นมาแลว้ ให้ลดล้ินลงแล้วออกเสยี ง ค ก็ จะเปน็ เสียง k ของฝรง่ั ( ขณะออกเสียงริมฝปี ากเหยยี ดออกตลอดเวลา ) L, l ปกตอิ อกเสยี งกันวา่ แอล ให้เปลย่ี นเปน็ ออกเสยี ง เอล โดยริมฝปี ากเหยยี ดออกมากกวา่ เอ ของไทยซึ่งทำ ให้ฟังแลว้ คลา้ ยเสยี งสระ แอ M, m ออกเสียงวา่ เอ็ม ตอนทา้ ยทอ่ี อกเสียง ม ให้เมม้ ริมฝีปากให้แนน่ N, n ออกเสยี งว่า เอ็น ตอนท้ายที่ออกเสียง น ให้กดปลายลน้ิ เข้ากับแนวปุ่มเหงือกหลงั ฟนั บนใหแ้ นน่ O, o ออกเสียงกันว่า โอ เสียงนีช้ าวองั กฤษออกอย่างหนึ่ง ชาวอเมริกันออกอีกอยา่ งหนึ่ง ชาวองั กฤษจะออก เสยี งเปน็ สระประสมโดยออกเสียง เออ+อุ อา้ ปากเล็กน้อย อย่าเกรง็ ริมฝปี ากและลนิ้ แล้วออกเสยี ง เออ หอ่ ริม ฝปี ากและให้ริมฝปี ากยน่ื ออกไปแล้วออกเสียง อุ สว่ นอเมริกันจะออกเสยี ง โอ+อุ โดยหอ่ รมิ ฝีปากและใหร้ ิม ฝีปากยน่ื ออกแลว้ ออกเสยี ง โอ ตอ่ ดว้ ยเสยี ง อุ โดยที่สว่ นหลังของล้นิ เลือ่ นขึน้ เลก็ น้อย อยา่ ออกเสยี ง โอ เฉย ๆ P, p ออกเสยี งวา่ พี เม้มรมิ ฝีปากใหแ้ น่นแลว้ อัดลมข้นึ มาก่อนแล้วจึงเปดิ ปาก Q, q ออกเสียงวา่ ควิ ตวั ค ออกเสยี งใหเ้ หมอื นกบั ที่ออกเสียงตวั ค ของ k R, r ออกเสยี ง อา ถา้ เป็น r ที่ประกอบเปน็ คำให้มว้ นปลายลนิ้ ไปทางด้านหลงั อย่าใหป้ ลายลนิ้ ตดิ เพดาน ลน้ิ จะไมร่ วั เหมือน ร ของภาษาไทย S, s ออกเสยี งว่า เอส ให้มีเสียงลมพน่ ออกตอนท้ายดว้ ย T, t ออกเสียงวา่ ที พน่ ลมออกเสียง ท ให้แรงกว่า ท ของไทย
U, u ออกเสยี งว่า ยู V, v ออกเสียงว่า วี แต่ ว ของไทยไม่ใชเ่ สียง V ของฝรง่ั ให้ออกเสยี งโดยนำรมิ ฝีปากลา่ งเข้าไปใตฟ้ ันบนแลว้ เปล่งเสยี งให้เสียงก้องออกจากลำคอ W, w ให้ออกสียงว่า ด๊ับเบิลยู โดยออกเสยี งหนักท่ี ดับ๊ และออกเสียงเบาและเร็วท่ี เบิลยู อย่าออกเสียง ยู ยาวและหนกั เหมือนท่ีออกเสียงกนั พยางคแ์ รกออกเสยี งหนักและเสียงจะสูงและยาวกวา่ สองพยางคต์ ่อไป X , x ออกเสยี งว่า เอคซ ตอนทา้ ยใหม้ เี สยี งลมเสียดสรี ะหว่างลิน้ กับเพดานชว่ งฟนั บนดว้ ย Y, y ออกเสียงว่า วาย Z, z ออกเสยี งวา่ เซด แบบชาวองั กฤษ ชาวอเมริกันออกเสียงวา่ ซี เสียงน้ไี ม่มีในภาษาไทย ตอ้ งออกเสียงโดย ให้กอ้ งจากลำคอเป็นเสียงบง่ึ จากลำคอ เอามือแตะท่ีคอหอยแล้วออกเสียง ถา้ รู้สึกวา่ ที่กลอ่ งเสยี งส่นั ก็ใช้ได้ ภาษาองั กฤษใช้อักษรละตนิ เปน็ อกั ษรหลักในการเขยี น และการสะกดคำหลายคำจะไมต่ รงกบั การอ่านออก เสยี ง ซึ่งทำใหภ้ าษาองั กฤษเป็นภาษาทย่ี ากภาษาหนึง่ ในการเรยี น เสยี งอ่าน และ ตวั อกั ษรสะกด Only the consonant letters are pronounced in a relatively regular way: IPA ตวั อกั ษรทแี่ สดงเสียงอ่าน สำเนียงเฉพาะ pP bB t t, th (บางครง้ั ) thyme, Thames dD
k c (+ a, o, u, พยญั ชนะ) , k, ck, ch, qu (บางครงั้ ) conquer, kh (ศพั ท์จากภาษาอ่ืน) g g, gh, gu (+ a, e, i) , gue (คำลงทา้ ย) mm nn ŋ n (กอ่ น g หรือ k และบางคร้ัง c) , ng f f, ph, gh (คำลงทา้ ย) laugh, rough vV IPA ตวั อักษรทีแ่ สดงเสียงอา่ น สำเนียงเฉพาะ θ th (ไมม่ ีการกำหนดแนช่ ัด วา่ คำใดออกเสียงใด ð s s, c (+ e, i, y) , sc (+ e, i, y) z z, s, ss (บางครั้ง) possess, dessert, ข้นึ ตน้ ด้วย x xylophone
ʃ sh, sch, ti portion, ci suspicion; si/ssi tension, mission; ch (เฉพาะคำรากศัพทจ์ ากภาษาฝรงั่ เศส) ; บางครั้ง s sugar ʒ si division, zh (ศัพทจ์ ากภาษาอืน่ ) , z azure, su pleasure, g (เฉพาะคำรากศพั ท์จากภาษาฝร่งั เศส) (+e, i, y) genre x kh, ch, h (ศัพท์จากภาษาอนื่ ) บางครั้ง ch loch (ภาษาอังกฤษ สกอตแลนด์, ภาษาอังกฤษเวลส์) h h (คำขน้ึ ต้น) tʃ ch, tch บางคร้งั tu future, culture; t (+ u, ue, eu) tune, Tuesday, Teutonic dʒ j, g (+ e, i, y) , dg (+ e, i, consonant) badge, judg (e) ment d (+ u, ue, ew) dune, due, dew IPA ตวั อักษรท่ีแสดงเสียงอา่ น สำเนยี งเฉพาะ ɹ r, wr (คำขึ้นตน้ ) wrangle j y (ข้นึ ตน้ หรือ ลอ้ มด้วยสระ) lL
ww ภาษาองั กฤษสกอตแลนด์ และ ʍ wh อังกฤษไอร์แลนด์ เสียงสูงตำ่ ภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาในลกั ษณะ ภาษา intonation ซ่ึงหมายถงึ การใช้เสียงสงู ตำ่ ขึ้นอยู่กับประโยค ทใ่ี ช้ ตา่ งกบั ภาษาไทยท่ใี ช้วรรณยุกตเ์ ป็นตวั กำกบั ของเสยี งสงู ต่ำ ประโยคในรูปแบบต่างกนั จะใชเ้ สียงสูงตำ่ แตกต่างกัน เชน่ ประโยคแสดงความตกใจ ประโยคคำถาม ประโยคสนทนา การขน้ึ เสยี งสูง และลงเสยี งต่ำยังคงสามารถบอกไดถ้ งึ ความหมายของประโยค ตวั อย่างเช่น When do you want to be paid? (คุณต้องการชำระเงนิ เม่อื ไร) เรียนภาษาองั กฤษ การเนน้ เสยี งในคำ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา stress-timed ซง่ึ จะมีการเน้นเสียงที่คำคำหน่ึงโดยการเนน้ ให้เสียงดังขึน้ หรอื เสียงสูงขนึ้ ในดิกชนั นารี จะนิยมเขียนเครอ่ื งหมายอะพอสทรอฟี ( ˈ ) ไวด้ ้านหน้า (เชน่ IPA หรือ พจนานุกรมออกซ์ฟอรด์ ) หรือเขยี นไวด้ า้ นหลงั (พจนานกุ รมเวบ็ สเตอร์) โดยทัว่ ไป คำศัพทภ์ าษาอังกฤษ ทีม่ ี 2 พยางค์ สามารถกลา่ วได้วา่ ถา้ เน้นเสยี งทพี่ ยางค์แรก คำนนั้ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ คำนาม หรือ คำคุณศัพท์ และถ้าเน้นเสยี งที่พยางค์ท่ี 2 คำนั้นส่วนใหญจ่ ะเปน็ คำกริยา การเน้นเสยี งในประโยค การเน้นเสียงในประโยคใชใ้ นการบอกความสำคญั ของประโยค โดยประโยคทัว่ ไปจะเน้นเสยี งท่ีคำหลกั ทม่ี ีความหมายเฉพาะ โดยจะไม่เนน้ เสียงท่ี คำสรรพนาม และกริยาชว่ ย ประโยคทว่ั ไป That | was | the | best | thing | you | could | have | done! จะเหน็ ได้วา่ มีการเน้นเสยี งที่คำวา่ \"best\" และ \"done\" โดยคำอ่นื ท่ีเหลอื จะไม่มกี ารเนน้ เสียง แต่อยา่ งไรก็ตาม เมือ่ ต้องการเนน้ ทีค่ ำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะการเน้นเสียงจะเปลีย่ นไป เช่น John hadn't stolen that money. (จอหน์ ไม่ได้ขโมยเงินไป) จะเน้นเสียงได้หลายแบบ เพื่อแสดงหลายความหมายโดยนัยของประโยค เช่น John hadn't stolen that money. (... คนอนื่ เป็นคนขโมย) John hadn't stolen that money. (... คุณบอกวา่ เขาทำ แต่เขาไมไ่ ด้ทำ)
John hadn't stolen that money. (... ได้รับเงิน แตไ่ ม่ไดข้ โมย) John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยเงินของคนอืน่ ) John hadn't stolen that money. (... จอหน์ ขโมยอยา่ งอืน่ ) ความรู้เกีย่ วกบั การออกเสียง ลักษณะสำคัญของการออกเสียงแยกออกเปน็ ดังน้ี 1. หนว่ ยเสียง (Phonemes) หมายถึงเสยี งต่าง ๆ ในแตล่ ะภาษาแม้วธิ ีการออกเสยี งของแต่ละคนจะแตกตา่ งกันอยู่บา้ งแตก่ ็ สามารถแยกแยะได้ว่าแต่ละเสยี งน้ันเปลง่ ออกมาอยา่ งไร ในด้านความหมายการออกเสยี งอยา่ งหน่ึงสามารถ เปลย่ี นความหมายของคำ ๆ นั้นได้ โดยเหตุน้ีจึงทำให้มจี ำนวนหนว่ ยเสียงหนง่ึ สำหรบั ภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ หนว่ ยเสยี งแบ่งออกไดส้ องประเภทคือ เสยี งสระ (vowel sounds) และเสยี งพยัญชนะ(consonant sounds) แตเ่ สยี งเหลา่ นี้ เม่อื ถอดเสยี งออกมาในรูปตวั อักษรอาจจะไม่ตรงรปู สระและรปู พยญั ชนะทีผ่ ู้เรยี น คุ้นเคยในระบบตัวอักษรเสมอไป เสียงสระทุกเสยี งจะเปน็ เสียงก้องและอาจเป็นสระเดี่ยวหรอื สระประสมซ่งึ เกิดจากการเรมิ่ ออกเสียงด้วยเสียงสระหนึง่ และจบลงด้วยสระอีกอย่างหน่งึ สระประสมเช่นนี้ เรยี กวา่ สระ ประสมสองเสยี ง (diphthongs) นอกจากน้ันยังมสี ระประสมสามเสยี ง (trip thongs) ซ่งึ หมายถึงเสยี งที่เกิดข้ึน จากการออกเสียงสระ 3 เสยี งตอ่ เนอ่ื งกนั เสยี งสระเดีย่ วอาจเป็นสระเสยี งส้นั หรอื อาจเป็นสระเสยี งยาวกไ็ ด้ (รายละเอยี ดเกย่ี วกับการออกเสยี งสระจะไม่ได้อธิบายในชุดฝกึ ชดุ นีเ้ นอ่ื งจากตอ้ งการเนน้ เฉพาะเสียงพยัญชนะ เท่านั้น) เสยี งพยญั ชนะอาจเป็นเสียงก้องหรือไมก่ ้อง ซ่ึงสามารถจบั เสยี งพยญั ชนะเป็นคูต่ ามที่ออกเสียง เหมอื นกันทุกอย่างยกเวน้ การสัน่ ของเสน้ เสยี งเท่านัน้ ที่ตา่ งกนั สว่ นสำคัญที่เกี่ยวข้องกบั การออกเสียงคือศีรษะ และคอ ในกลอ่ งเสียงของมนุษยจ์ ะมีแผน่ เอน็ บางๆ 2 เส้นโยงจากส่วนหนา้ ไปส่วนหลังเรยี กวา่ เสน้ เสยี ง ซง่ึ สามารถเปดิ และปดิ ไดใ้ นระหวา่ งการหายใจปกตแิ ละในการออกเสียงไมก่ ้องหรือเสียงอโฆษะ (unvoiced) เสน้ เสยี งทงั้ สองนี้จะเปิด เม่ือขอบเสน้ เสียงทัง้ สองมาอยชู่ ิดกันลมทแ่ี ทรกผา่ นระหวา่ งเส้นเสียงจะทำให้เสน้ เสยี งทั้ง สองนป้ี ดิ สว่ นผลทีเ่ กิดขน้ึ คือเสยี งก้องหรือเสียงโฆษะ(voicing)ระดับสงู ต่ำ (pitch) จะควบคมุ โดยกล้ามเน้ือ ซ่ึงทำให้เสน้ เสยี งหย่อนและยืดออกเพ่ือให้เสียงตำ่ และทำให้เสน้ เสยี งหดตึงเพื่อให้เสียงสูง คนเราพูดโดยใช้รมิ ฝีปาก ล้ิน ฟัน เพดานอ่อนและเพดานแข็ง รวมทงั้ แนวป่มุ เหงือกด้วยชอ่ งจมกู จะ เขา้ มามบี ทบาทเพ่ือออกเสียงบางเสียง และการเคล่อื นไหวของกรามส่วนลา่ งก็มีความสำคญั เช่นกัน การออก เสียงจะเกิดข้นึ เมื่อกระแสลมถูกกัก ถูกจัดรูป ถกู จำกัดหรือถกู เปลี่ยนแนว การออกเสียงพยัญชนะจะเรมิ่ ตน้ เมอื่ ลมออกจากปอดผา่ นหลอดลมมายงั เสน้ เสียงมากระทบกับ อวัยวะส่วนที่ทำให้เสียงเปล่ียนแปลงไปตามท่ตี ้องการเรียกวา่ ฐาน และ กรณ์
ฐาน คอื อวยั วะทีเ่ คลอื่ นไหวไดน้ อ้ ยหรอื เคล่อื นไหวไม่ได้ ได้แก่ 1. ริมฝีปากบน 2. ฟนั บน 3. ปุ่มเหงอื ก 4. บรเิ วณถัดจากปมุ่ เหงือก 5. เพดานแขง็ 6. เพดานอ่อน 7. ลนิ้ ไก่ 8. ช่องอาหารสว่ นต้น 9. คอหอย กรณ์ คอื อวยั วะส่วนที่เคลื่อนไหวได้ ได้แก่ 1. รมิ ฝีปากล่าง 2. ปลายล้นิ 3. สว่ นหนา้ ของลนิ้ 4. สว่ นหลงั ของลิน้ เสียงพยญั ชนะในภาษาอังกฤษอาจจำแนกได้ ดงั ต่อไปนี้ 1. จำแนกตามตำแหน่งเกิดเสียง (points of articulation) 2. จำแนกตามลกั ษณะการออกเสียง (manners of articulation) 3. จำแนกตามการสั่นหรือไม่สน่ั ของเสน้ เสียง (voicing) 1. จำแนกตามตำแหน่งเกดิ เสยี ง (points of articulation) ริมฝปี ากบน ฟันบน ปมุ่ เหงอื ก เพดานแขง็ และเพดานอ่อน ริมฝีปากล่างและล้ิน (โดยเฉพาะปลาย ล้นิ ) ซ่ึงเปน็ อวัยวะภายในช่องปากที่เคล่ือนไหวไดม้ ากทสี่ ดุ และเปน็ อวัยวะสำคัญอวัยวะหนึ่งทที่ ำใหเ้ สยี งมี คุณสมบตั ิตา่ ง ๆ อาจแบ่งประเภทได้ดังนีค้ ือ 1.1 เสียงจากรมิ ฝปี าก (bilabial sounds) ได้แก่ เสยี งพยัญชนะ /p/, /b/, /m/ และ /w/ 1.2 เสยี งที่เกิดจากริมฝีปากกับฟัน (labio-dental sounds) ได้แกเ่ สยี งพยัญชนะ /f/ และ /v/ 1.3 เสยี งลิน้ ระหวา่ งฟัน (interdental sounds) ไดแ้ ก่ เสียงพยญั ชนะ และ 1.4 เสียงจากปมุ่ เหงือก (alveolar sounds) ได้แก่เสยี งพยัญชนะ /t/, /d/, /s/, /z/, /l/, /n/ และ /r/ 1.5 เสยี งจากหลังปุ่มเหงอื ก (post-alveolar sounds) ได้แก่เสียงพยัญชนะ
1.6 เสยี งจากเพดานแขง็ ได้แก่ เสียงพยญั ชนะ /j/ 1.7 เสียงจากเพดานออ่ น ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ 1.8 เสียงจากชอ่ งระหวา่ งเสน้ เสียง (glottal sound) ได้แก่เสยี งพยัญชนะ /h/ 2. จำแนกตามลกั ษณะการออกเสียง (manners of articulation) การจำแนกเสียงพยญั ชนะตามลักษณะการออกเสยี ง แบ่งไดต้ ามประเภทต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 2.1 เสยี งระเบิด (plosive sounds) เกดิ จากการที่ฐานกรณ์ปิดสนทิ เพดานอ่อนจะยกข้นึ แตะผนัง คอทำให้กระแสลมท่ีออกมาจากปอดผ่านเขา้ ไปในช่องจมกู ไม่ได้จึงผ่านเขา้ ไปในช่องปากและมาถูกกักไว้ช่วั ขณะหน่ึงแลว้ จงึ ถกู ปล่อยออกมาอยา่ งรวดเรว็ พร้อมกบั การปลอ่ ยฐานกรณ์ออกมาโดยเร็ว ทำให้เกิดเป็นเสยี ง พยญั ชนะระเบดิ ซึง่ ไดแ้ ก่ เสียงพยญั ชนะ /p/, /b/, /t/, /d/, /k/ และ /g/ เสียงพยัญชนะระเบิดน้ี บางครั้ง จะเรยี กวา่ เสยี งกัก (stop sounds) เนื่องจากในการออกเสียงพยัญชนะประเภทนีก้ ระแสลมที่ออกมาจากปอด จะมาถูกกักอยู่ชั่วครู่ก่อนท่ีจะระเบดิ ออกมา 2.2 เสยี งกักเสยี ดแทรก (affricate sounds) เกิดจากการทฐี่ านกรณป์ ิดสนิท เช่นเดยี วกบั เสยี ง ระเบดิ หรอื เสียงกักแต่กระแสลมซึ่งถูกกักเอาไวเ้ พียงช่วั ครนู่ ั้นจะค่อยๆ ถกู ปล่อยออกมาทางปากพรอ้ มกบั การ ปลอ่ ยฐานกรณ์อยา่ งช้า ๆ ทำใหเ้ กิดเปน็ เสียงพยัญชนะกักเสยี ดแทรกซง่ึ ไดแ้ ก่เสยี งพยัญชนะ 2.3 เสียงนาสกิ (nasal sounds) เกิดจากการท่ฐี านกรณ์ปิดสนทิ เช่นเดียวกบั เสียงระเบิดและ เสยี งกักเสยี ดแทรก แต่เน่ืองจากเพดานอ่อนลดระดบั ลงกระแสลมจากปอดจงึ ผ่านเข้าไปในช่องจมูกและปล่อย ออกมาทางรจู มูกพร้อมกับการปลอ่ ยฐานกรณ์ เกิดเปน็ เสยี งนาสิกซึ่งไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ 2.4 เสียงเสียดแทรก (fricative sounds) เกิดจากการทฐ่ี านกรณ์อยู่ชิดกันมาก กระแสลมจากปอด ผ่านออกไมส่ ะดวกต้องเสียดแทรกผ่านชอ่ งแคบๆ ออกมาทางปากทำใหเ้ กดิ เสียงพยญั ชนะเสยี ดแทรก ซง่ึ ได้แก่เสยี งพยัญชนะ 2.5 เสยี งขา้ งลน้ิ (lateral sound) เกดิ จากการที่ปลายลิ้นสมั ผัสกับป่มุ เหงือกในขณะเดียวกนั เพดานอ่อนจะเคล่ือนขึ้นเพอ่ื กันไม่ให้กระแสลมจากปอดผ่านเข้าไปในชอ่ งจมูกและเน่ืองจากด้านข้างของลน้ิ มไิ ด้สมั ผสั กนั ส่วนใดกระแสลมจึงผา่ นออกมาทางด้านข้างของล้ินโดยเกดิ การกักของลมเพยี งบางส่วนเทา่ นัน้ คือ บริเวณปุ่มเหงอื ก เสยี งพยัญชนะขา้ งลน้ิ ได้แก่เสยี งพยญั ชนะ /h/ 3. จำแนกตามการสัน่ หรอื ไมส่ นั่ ของเส้นเสียง(voicing)
เสยี งพยัญชนะในภาษาอังกฤษทง้ั ท่ีเป็นเสียงก้อง(voiced sounds)และที่เปน็ เสียงไม่ก้อง(voiceless sounds) ในการออกเสียงก้องกระแสลมจากปอดผ่านเส้นเสยี งซ่งึ อยู่ชิดกันทำให้เสน้ เสยี งส่นั สว่ นการออก เสียงไม่ก้องกระแสลมจากปอดผ่านเส้นเสียงซง่ึ เปิดกวา้ งทำใหเ้ ส้นเสยี งไม่ส่นั 2. การออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ การฝึกออกเสยี งพยัญชนะในภาษาองั กฤษ หากผเู้ รียนรู้จักตัวอักษรแทนเสียง (The Phonetics Alphabet) หรอื สัทอักษร จะทำใหร้ ูจ้ ักหนว่ ยเสยี งทแี่ ตกตา่ งกนั ในพจนานกุ รม (Dictionary) มกี ารแสดงการ ออกเสยี งคำต่างๆ ดว้ ยสญั ลักษณ์แทนเสยี งหากผเู้ รียนสามารถอ่านสัญลักษณเ์ หลา่ นีไ้ ด้กจ็ ะสามารถรับรไู้ ด้ว่า คำเหลา่ นนั้ ออกเสยี งอย่างไรโดยไม่ต้องได้ยินมากอ่ นเลย (อา้ งอิงจากหนงั สอื \"การออกเสยี งสระและเสียงพยัญชนะภาษาองั กฤษ โดย ปรารมภ์รตั น์ โชติกเสถียร) ขอ้ ดขี องตวั อักษรแทนเสียงคือสญั ลกั ษณ์ทใ่ี ช้แทนเสียงแตล่ ะตัวจะแทนเสียงเพยี งเสยี งเดยี วและ ตวั อักษรแทนเสียงในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะใช้อักษรสากล IPA (The International Phonetic Alphabet) สำหรบั ชดุ ฝกึ การออกเสยี งพยัญชนะชุดนจ้ี ะใช้สทั อกั ษรจาก Oxford River Books English-Thai Dictionary แบบฝกึ หดั เรอ่ื ง การออกเสยี งภาษาอังกฤษทถ่ี ูกตอ้ ง Mother อ่านว่า........................................................... January อ่านวา่ ............................................................ Occupation อ่านว่า............................................................ Nationality อา่ นวา่ ............................................................ University อ่านว่า............................................................ Collect อ่านวา่ ............................................................ Social อา่ นวา่ ............................................................ Economic อ่านว่า............................................................ Development อ่านวา่ ............................................................
ครงั้ ท่ี 2
แผนการเรียนรูร้ ายวิชา พต31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ภ ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ การสื่อสารทางโทรศัพท์ เร่ือง 2 การ รายวิชา/หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ัด เน้ือหา การพูดสนทนา การตดิ ตอ่ 1.การทกั ทาย ทางโทรศัพท์ สื่อสารทาง การใชค้ ำและประโยคท่ถี ูกต้องในการทักทาย การตอ (30 ชั่วโมง) โทรศัพท์ได้ ทกั ทาย การใชค้ ำพดู ตามเวลา เชน่ คลอ่ งแคล่ว - Hi - Hello - How are you? - How’s it going? - How’ve you been? - What’s new? - What’s up? - What’s happening? - What’s going on? - Good morning - Good afternoon - Good evening - Good night ตวั อยา่ ง คำวลี และรปู ประโยค เช่น - Congratulations!
1 ภาษาองั กฤษเพ่ือชีวติ และสงั คม สอ่ื และแหลง่ การวดั และ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565 เรียนรู้ ประเมนิ ผล รพดู สนทนาทางโทรศัพท์ สปั ดาหท์ ่ี…………………………… - วดิ ีทัศน์ - แบบสังเกต การจัดกระบวนการเรยี นรู้ - ใบความรู้ - ใบงาน - แบบทดสอบ - แบบทดสอบ ขัน้ ที่ 1 กำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรียนรู้ - แบบสังเกต อบรับคำ 1.1 ครพู ดู ทกั ทายผู้เรียนและถามผ้เู รยี นวา่ ใน - ใบงาน ชีวติ ประจำวนั การพดู สื่อสารทางโทรศพั ท์มี ความสำคญั อย่างไร 1.2 ครแู ละผ้เู รียนร่วมกันสรา้ งความเขา้ ใจการพูด สนทนาทางโทรศพั ท์ 1.3 ครแู ละผเู้ รียนรว่ มวางแผนการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจดั การเรยี นรู้ 2.1 ให้ผ้เู รียนชมวดิ ที ศั น์ เรอื่ งการทักทายและการ สื่อสารทางโทรศพั ทพ์ ร้อมกับแจกใบความรเู้ กย่ี วบท สนทนาเรอ่ื งการทักทายและการส่อื สารทางโทรศพั ท์ 2.2. ให้ผู้เรียนจบั คสู่ นทนาตามเรอ่ื งท่ีกำหนด ในใบงาน พรอ้ ม กับฝึกอา่ นบทสนทนา 2.3 ให้ผ้เู รียนแต่ละกลมุ่ ฝึกอา่ นตามบทสนทนา และให้ นำมาแสดงบทบาทสมมตุ หิ นา้ ช้นั เรยี น ข้นั ที่ 3 การปฏิบตั ิและการนำไปใช้ 3.1 ผ้เู รยี นนำความรู้ทไ่ี ดร้ บั นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้ ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้
รายวชิ า/หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ัด เน้อื หา - Sorry. Glad is hear about that. - Sorry about that. - I’m glad to...................... - I’m pleased to........................ - I love to........................... - I’m sorry to......................... - It’s my fault that............................ - I’m very disappointed with................. - It’s ashamed that............................. 2. การตดิ ต่อทางโทรศพั ทก์ บั ผู้ทีค่ ุน้ เคย รู้จกั วิธกี ารพูดโต้ตอบทางโทรศพั ทก์ ับเพ่ือน ญาติ พนี่ ผทู้ ค่ี ุน้ เคยในเร่อื งต่าง ๆ โดยใชส้ ำนวนและภาษาทเ่ี ห เช่น - Is ……………. at home? - Could I speak to………., please? - May I speak to ……..…., please? - She/he is out. - Sorry, she’s not here now. - Would you like to wait?
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื และแหลง่ การวดั และ เรยี นรู้ ประเมินผล 4.1 ครแู ละผเู้ รยี นประเมนิ ผลจากแบบสังเกต 4.2 ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันฝกึ อ่านบทสนทนา ทบทวนอีก คร้ัง 4.3 ครใู หผ้ ู้เรียนไปศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกยี่ วกับบทสนทนา ......... น้องและ หมาะสม
รายวิชา/หัวเร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนือ้ หา - Will you leave a message? - May I take a message for her/him? - Wait a minute, please. - Will you hole on? - Just a moment, please. - Please tell ............... to call me at...................... 3. การตดิ ต่อทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อมลู ต่าง ๆ การใชส้ ำนวนภาษาทใ่ี ช้พดู ทางโทรศัพท์เพอ่ื สอบถาม ตา่ ง ๆ ท่ตี อ้ งการทราบโดยใช้รูปประโยคขอรอ้ ง /ขอ สุภาพ (request, polite, request) ประโยค direc indirect speech ประโยคคำถามลกั ษณะตา่ ง ๆ ปร แสดงความคดิ เหน็ และการขอบคณุ เช่น การสอบถา เส้นทางการเดนิ ทางไปที่ต่าง ๆ สอบถามตารางรถไฟ เคร่ืองบนิ สอบถามขอ้ มลู ดา้ นการคมุ้ ครองผู้บริโภค/ อนามยั / พยากรณ์อากาศ เปน็ ตน้ ตวั อย่างประโยคที่ใช้ - Hello, I’d like to ask about.................... - Could you tell me......................, please
การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอ่ื และแหลง่ การวัดและ เรียนรู้ ประเมนิ ผล มขอ้ มลู อรอ้ งอย่าง ct/ ระโยค าม ฟ / สุขภาพ ...... e?
รายวิชา/หัวเร่อื ง ตวั ชวี้ ดั เน้ือหา - Would you mind giving me the inform about.................................? - Can/Could you...............................? - May/Can/Could I.................................? - Don’t............................, please? - At what time...........................? - How many.................................? - How far..............................? - How much..............................? - I need your help..............................? - Pardon. - I think.............................. - Well, I must.............................. - In my opinion, .............................. - Thanks. /Thank you. - Sorry. /I’m sorry. - You’re welcome. 4. การตดิ ตอ่ ทางโทรศัพท์เพื่อการประกอบอาชีพ
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื และแหลง่ การวดั และ เรียนรู้ ประเมนิ ผล mation
รายวชิ า/หวั เรื่อง ตวั ชว้ี ดั เนอื้ หา วิธกี ารพูดโตต้ อบทางโทรศัพท์ เพอ่ื ถาม-ให้ขอ้ มลู เกย่ี ประกอบอาชีพ โดยใช้สำนวนและภาษาท่ีเหมาะสมใ สอบถามข้อมลู เก่ียวการสมัครงาน การซือ้ -ขายสนิ ค้า ขอ้ มูลเกยี่ วกบั คณุ ภาพและราคาของสินคา้ การสง่ เส ขาย การตอ่ รองราคา การรับและส่งของ ตวั อยา่ งปร ท่ใี ช้ - Hello. I’d like to ask/know about.......... - Can/could you tell me about................. - May/Could I speak to.........................., p - Can/Could you inform me about.......... - What is the position required? - What is the qualification? - How can I apply for this position? - When is the dateline of the application - Do I have to send the application form - Should I also send the resume/referen - When/Where will the interview take pl - What kind of goods are available? - How much does it cost?
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สื่อและแหลง่ การวดั และ เรียนรู้ ประเมินผล ยวกบั การ ในการ า การให้ สรมิ การ ระโยค ............. ...........? please? .........? n? m? nce? lace?
รายวชิ า/หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เน้ือหา - How can I send the order? - Is there any discount? - How about the present promotion? - How about the quality? - Where/When can I buy this product? - What is the product’s significance? - Please let me know if............................ - I’m interested in........................... - That’s very interesting. - I’m very appreciated......................... - When will I receive the product? - How should I pay for the product? - By cash/check /credit. - Thanks for your interest / kindness/information. - It’s my pleasure. - You’re welcome. - Sorry. /I’m sorry.
การจดั กระบวนการเรียนรู้ ส่อื และแหลง่ การวดั และ เรยี นรู้ ประเมนิ ผล
ใบความรู้เรือ่ งการพดู สนทนาทางโทรศพั ท์ การร้จู ักประโยคตา่ งๆทใี่ ชใ้ นการสนทนาโต้ตอบหรือตดิ ต่อส่อื สารทางโทรศัพทเ์ ปน็ ทกั ษะเบ้อื งต้นที่ สำคญั สำหรับการนำไปประยุกต์ใชใ้ นการประกอบอาชพี และการดำเนินชีวติ ประจำวัน ตวั อยา่ งประโยคทใี่ ช้ใน การสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ เชน่ Introductions เรม่ิ การสนทนาทางโทรศัพท์ด้วยการแนะนำตวั เอง เช่น \"Hello, this is Louis Barker. ถา้ ผทู้ ่โี ทรเขา้ มาไม่ได้แนะนำตัวเขา เราสามารถใชป้ ระโยคคำถามวา่ \"May I ask who's calling, please?\" Asking for someone / Making a request ประโยคที่ใชใ้ นการถามหาคนทตึ่ อ้ งการพูดด้วย เชน่ \"May I speak to Alax Johnson, please?\" หรอื ถา้ มเี บอรต์ ่อแต่ไม่ทราบชื่อของเจา้ ของเบอร์น้นั ควรพดู ว่า \"Could I have extension number 635?\" ถา้ โทรเพ่ือจุดประสงค์ชดั เจนไมไ่ ด้อยากคุยกับใครเป็นการเจาะจง ควรบอกวตั ถุประสงค์ของการโทร เชน่ \"I’m calling to make a reservation.\" ถอื สายรอหรอื โอนสาย \"Please hold\" เปน็ ภาษาทางโทรศพั ท์ทหี่ มายถงึ \"รอสกั คร่\"ู ถา้ transferred (โอนสาย) ไปทเ่ี บอร์ต่ออน่ื เรา มักจะได้ยนิ การบอกกลา่ ววา่ \"Connecting your call...\" หรือ \"Please hold, I'll transfer you.\" แตถ่ ้าติดตอ่ ทางธุรกจิ ในช่วงเวลาทยี่ ุ่งๆ เราอาจไดย้ ินเพยี งคำบอกสนั้ ๆ ใหถ้ อื สายรอว่า\"Hello, please hold!\" กอ่ นที่โอ ปะเรเตอรจ์ ะตดั ไปรบั สายอื่น ฝากข้อความ ประโยคทีถ่ ามว่า จะฝากข้อความไวห้ รือไม่ เช่น \"Would you like to leave a message?\" และประโยคทใ่ี ช้บอกว่าจะฝากขอ้ ความไว้ เช่น \"May I leave a message?\" และถา้ ตองการให้ตดิ ต่อกลบั กอ็ าจฝากเบอร์โทรศัพท์ของเราไว้ ซ่ึงพดู วา่ call back number ขอให้อกี ฝา่ ยพดู ช้าลง ในกรณีที่ฟังไม่เขา้ ใจหรือฟังไมท่ ันสามารถบอกใหอ้ ีกฝ่ายพูดชา้ ลง โดยใช้ประโยค เชน่ could you please speak slowly? หรอื อาจขอให้อีกฝ่ายรู้วา่ เราไม่เกง่ ภาษาอังกฤษ อาจใช้คำวา่
\"My English isn't very strong, could you please speak slowly?\" สงิ่ ทีส่ ำคญั ในการพูดโทรศัพท์คอื การใช้คำและนำ้ เสียงทส่ี ุภาพเรียบร้อย เมื่อต้องการขอร้องใหใ้ ครทำ อะไรให้ ควรใชค้ ำต่อไปนี้ในประโยคดว้ ย ไม่ว่าจะเป็น 'Could you' และ 'Please' และอยา่ ลืมจบการสนทนาด้วยคำวา่ 'Thank you' และ 'Goodbye'! ตวั อยา่ งบทสนทนา การพดู โทรศพั ท์ ( Talking on the phone ) Roi : Hello. This is 043-851249. Roi, speaking. May I help you ? สวัสดีครับ ทนี่ หี่ มายเลขศนู ย์สีส่ ามแปดห้าหนึ่งสองสี่เกา้ รอยพดู ครบั ให้ชว่ ยอะไรครบั Tom : May I speak to Nida, please? Is she in ? ขอสายคุณนิดาด้วยครับไม่ทราบว่าอยไู่ หม Roi : Yes, hold the line a moment, please. I’ll see if she’s in ครบั กรณุ าถือสายรอสักครู่ ผมจะดูกอ่ นว่าเขาอยไู่ หม (ครู่หน่ึงต่อมา รอยจึงพูดต่อ) Oh, she is now talking to someone on another phone ออ้ เขากำลงั พดู อยู่อีกเครื่องหนงึ่ ครับ Would you like to tell her to call you back ? จะให้ผมบอกเขาโทรกลบั ไหมครบั Tom : No. Thank you. I’ll call again in a while ไมล่ ะครับ ขอบคุณ ผมจะโทรกลับเองอกี สักครู่ Roi : Would you wish to leave a message for her ? คณุ จะส่ังอะไรถึงหลอ่ นไหมครบั Who shall I say have call ? จะใหผ้ มเรยี นเขาว่าใครโทรฯ มาครับ Tom : Tell her that I’m Tom, her old friend. บอกเขาดว้ ยวา่ ผมทอมเปน็ เพ่ือนเก่า Roi : I will. Bye. แล้วผมจะบอกให้นะครับ สวัสดีครับ
ใบงาน ภาษาอังกฤษเพอ่ื การสือ่ สารทางโทรศพั ท์ ชอ่ื -นามสกุล................................................................................................................................ รหัสนักศึกษา..........................................................ระดบั ........................................................... กลมุ่ ............................................................................................................................................. ให้ผู้เรยี นศกึ ษาบทสนทนา การทกั ทายและการสื่อสารโทรศัพท์ ทางส่ือต่าง ๆ หรือในชวี ติ ประจำวัน และให้ เขียนบทสนทนา เป็นภาษาองั กฤษลงในใบงานน้ี พร้อมท้ังแปลความหมาย บทสนทนา ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................................................... ......... ........................................................................................................................ ...................................................... ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................................... .................... ............................................................................................................. ......................................................... ........ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................... ............................... .................................................................................................. .................................................................... ........ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................... .......................................... ....................................................................................... ............................................................................... ........ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................ .......................................................................................... ........ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................. ..................................................................................................... ........ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................
แบบทดสอบ 1. BOY: Hello, this is 375-1717. BEE : _______________ BOY : Yes, speaking. a. Can Tim speak, please? b. May I speak to Tim, please? c. Will Tim speak English? d. Should Tim and I speak? 2. cat: ______________________ nina: It is Nina Jaidee. a. Who's speaking, please? b. Is that Nina Jaidee? c. Are you Nina Jaidee? d. Do you know Nina Jaidee? 3. ประโยคใดเหมาะสมสำหรับการบอกใหผ้ ้ทู ี่โทรศัพท์เขา้ มาถอื สายรอ a. Please get the phone. b. Please take a minute. c. Wait for me, please. d. Please hold the line. 4. ในการรับฝากข้อความประโยคใดทใี่ ชแ้ ทน \"Can I take a message?\" a. Can I tell her a message? b. Will you leave a message? c. May you take my message? d. Do you know the message?
5. \"nine-five-four-oh-double two-six\" คอื คำอ่านหมายเลขโทรศัพท์ในข้อใด a. 954-0026 b. 954-0266 c. 954-0226 d. 950-4226 6. A: Can I take a message? B: ____________ a. Yes, if you would like to. b. Please take this message today. c. Yes, you can take this message. d. Yes, please ask him to call Tom today. 7. ข้อใดเป็นการส่งั ฝากขอ้ ความทางโทรศัพท์ a. Hold on a minute, please. b. Will you leave a message? c. Sorry, I dialed wrong number. d. Please tell Pat that Jim called.
ครงั้ ท่ี 3
แผนการเรียนรรู้ ายวิชา พต31001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ภ ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ การแสดงความรสู้ ึก เรือ่ ง 4 คำ วลี ประ รายวิชา/หวั ตวั ชี้วดั เน้ือหา เรื่อง ตคี วามหมาย 5. การแสดงความดใี จ/เสียใจ คำ วลี จากนำ้ เสยี ง การใชค้ ำ วลีและรปู ประโยคท่จี ะนำมาใชใ้ นการแสด ประโยคการ ของผู้อน่ื และ ความดใี จและเสียใจในโอกาสตา่ ง ๆ ได้ถูกต้อง เชน่ แสดความรูส้ ึก รจู้ กั ใช้นำ้ เสียง แสดงความดีใจทไี่ ด้พบกนั อีกครั้งหรือแสดงความ ต่างๆ ในการแสดง เสยี ใจทท่ี ำผิด เปน็ ตน้ (20 ช่วั โมง) ความรสู้ ึก ระหวา่ งการ ตวั อยา่ ง คำวลีและรปู ประโยค เชน่ สนทนา - Congratulations! ไดแ้ ก่ ดีใจ - Sorry. Glad is hear about that. เสียใจ - Sorry about that. พึงพอใจ - I’m glad to...................... ไมพ่ ึงพอใจ - I’m pleased to........................ ซาบซึง้ - I love to........................... - I’m sorry to......................... - It’s my fault that............................
1 ภาษาองั กฤษเพื่อชีวติ และสังคม ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565 ะโยคการแสดงความรสู้ ึกต่างๆ สปั ดาหท์ ี่…………………………… การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอ่ื และแหลง่ การวดั และ เรียนรู้ ประเมินผล ข้ันท่ี 1 กำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการ ดง เรียนรู้ แบบสงั เกต น 1.1 ครเู ลา่ สภาพปญั หาเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ กับ - ใบความรู้ ตนเอง ในการซอื้ ขายสนิ คา้ กับชาวตา่ งชาติ เม่ือเกดิ ปญั หาในการตดิ ต่อส่ือสาร - แบบสงั เกต 1.2 ครแู ละผ้เู รยี นร่วมกันสรา้ งความเข้าใจกบั สภาพปัญหาจากเหตุการณ์และมีการ แลกเปล่ียนเรียนรู้ 1.3 ครูและผ้เู รียนร่วมกันวางแผนการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ 2.1 ใหใ้ บความรู้เกีย่ วกบั ประโยคการแสดง ความรสู้ ึกต่าง ๆ 2.2. ครูและผเู้ รียนรว่ มกนั ฝึกอา่ นบทสนทนา เกย่ี วกบั การแสดงความร้สู ึกต่าง ๆ ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนำไปใช้
รายวิชา/หัว ตัวช้ีวัด เนื้อหา เร่ือง ผดิ หวัง 6. การแสดงความพอใจ/ไม่พอใจ ให้รจู้ กั คำ วลี และ ปรารถนาดี รปู ประโยคที่จะทจ่ี ะนำมาใชใ้ นการแสดงความพอใจ ชน่ื ชมและ ไม่พอใจในโอกาสต่าง ๆ ได้ถูกตอ้ ง เช่น แสดงความ เหน็ ใจ พอใจ/ไม่พอใจในการรับบริการ เปน็ ต้น ตวั อย่างคำ วลี และรูปประโยค เชน่ - Great! - Awful! - Good news! - How nice! - How terrible! - That’s fantastic! - I can’t stand it! - I’m very disappointed with......................... - It’s ashamed that........................... 7. การแสดงความปรารถนา/ เห็นใจและการตอบรบั การใช้ คำ วลี และรูปประโยคท่จี ะนำมาใช้ ในการแสดงความปรารถนาดี/เหน็ ใจในโอกาสต่าง ๆ ไดถ้ ูกต้อง เช่น การแสดงความระลกึ ถึง การแสดง
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื และแหลง่ การวัดและ เรยี นรู้ ประเมินผล 3.1 ใหผ้ ูเ้ รยี นจับครู่ ว่ มกนั ฝกึ อ่านบทสนทนา จ/ เกีย่ วกับการแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ำ ขัน้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 4.1 ครูประเมินผลจากแบบสงั เกต 4.2 ครูและผูเ้ รียนรว่ มกันฝึกอ่านบทสนทนา ทบทวนอีกครั้ง 4.3 ครูให้ผูเ้ รยี นไปศกึ ษาเพมิ่ เติมเก่ยี วกับบท สนทนาการแสดงความรูต้ ่างๆ จากแหล่งเรยี นรู้ เช่น หอ้ งสมดุ อินเทอรเ์ นต็ ฯลฯ . ๆ
รายวชิ า/หัว ตัวช้วี ดั เนอื้ หา เรื่อง ความเห็นใจเม่ือผูอ้ ืน่ ประสบปัญหา เป็นต้น ตวั อยา่ ง คำ วลี และรูปประโยค เช่น - Best wishes. - Take care. - Get well soon. - Good luck. - With sympathy. - We hope everything go well through this suffering period. - I understand how difficult it is. - It must be for you. - I feel sympathy for you. - Thank you for your hospitality. - Thanks a million for............................ - I’m very grateful to your........................... - It’s very appreciative that.............................. - I’m very appreciated for................................
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื และแหล่ง การวดั และ เรียนรู้ ประเมินผล ง
รายวิชา/หัว ตวั ชี้วดั เนื้อหา เร่ือง 4. การแสดงความต้องการการเสนอ/ใหค้ วาม ช่วยเหลือ/บริการ รวมทัง้ การตอบรบั /ปฏเิ สธ การ ใหค้ วามช่วยเหลือ/บริการ การใช้คำ วลี และรูป ประโยคเพ่ือแสดงความต้องการ การเสนอ/ ใหค้ วาม ช่วยเหลือ/บริการรวมทง้ั การตอบรบั /ปฏิเสธในการ ให้ความชว่ ยเหลอื /บริการในโอกาสและสถานท่ีตา่ ง ได้อย่างถูกตอ้ ง ไดแ้ ก่ การซ้ือสินค้า/บริการในร้าน การสงั่ จองตัว๋ เครือ่ งบนิ /รถไฟ/ภาพยนตร/์ การจอง โรงแรม/ ทีพ่ ัก การใชบ้ ริการในทที่ ำการไปรษณยี /์ ธนาคาร ตัวอยา่ ง คำวลี และรปู ประโยค เช่น - May I help you? - What can I do for you? - Let me.............................. - Shall I ...............................? - Is there anything I can do for you? - I would like......................... - I prefer.................................
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ และแหลง่ การวัดและ เรียนรู้ ประเมนิ ผล ร ม งๆ ง
รายวชิ า/หัว ตัวช้วี ดั เน้ือหา เรื่อง - I’d rather.............................. - How much..............................? - How about..............................? - I’m afraid..............................? - We recommend.............................. - Would you please..............................? - Please let me know............................ - It’s occupied. etc.
การจดั กระบวนการเรียนรู้ ส่อื และแหลง่ การวดั และ เรยี นรู้ ประเมนิ ผล
ใบความรู้เร่อื ง คำ วลี ประโยคการแสดงความรู้สกึ ตา่ ง ๆ 1. การกลา่ วแสดงความเห็นใจ สำนวนที่ใช้กลา่ วแสดงความเห็นใจในขา่ วรา้ ย เชน่ เรอ่ื งการตาย หรอื เรื่องไม่ดี ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี้ - I’m very sorry to hear that…………………….. (อาม เวริ ซอริ ทู เฮีย แดท................................) ฉันเสยี ใจดว้ ยนะท่ีได้ยนิ วา่ .................................. - I was very sorry to hear of ……………………. (ไอ วอซ เวริ ซอริ ทู เฮยี เอิฟ) ฉนั เสยี ใจด้วยนะท่ีไดย้ ินวา่ .................................. - Please accept my sincere sympathy. (พลสี แอคเซฟ มาย ซนิ เซอร์ ซิมพาททิ) ไม่มีคำไทยตรง หมายถงึ วา่ ขอแสดงความเสียใจด้วยจริง ๆ - How unfortunate ! (ฮาว อนั ฟอรจ์ ูเนท) ช่างโชครา้ ยอะไรอย่างน้ี - What a pity ! (วอท อะ พิททิ ) ช่างนา่ สงสาร - What a shame ! (วอท อะ เชม) ชา่ งนา่ ละอาย การตอบรบั การแสดงความเห็นใจนั้นมักจะพดู ว่า - Thank you for your concern (แธงคก์ ่ิว ฟอร์ ยวั ร์ คันเซนิ ) ขอบคุณสำหรบั ความห่วงใยของคุณ - Thank you . I appreciate it . (แธงค์ก่ิว ไอ แอพพรีชเิ อท อิท) ขอบคุณค่ะ ดฉิ นั ซาบซ้ึงในน้ำใจของคณุ หรอื กลา่ วเพยี งสั้น ๆ ว่า - Thanks. (แธงคส์ ) ขอบคุณ
2. การเหน็ ด้วย (Agreements) รูปประโยคทใี่ ชแ้ สดงการเหน็ ดว้ ยมดี ังน้ี A : Do you agree with me? (ดู ยู อะกรี วธิ มี?) คณุ เหน็ ดว้ ยกับผมไหมครับ B: Yes, I do. (เยส, ไอ ดู) เหน็ ดว้ ยครับ C: I agree with you. (ไอ อะกรี วธิ ย)ู ผมเหน็ ดว้ ยกบั คุณครบั O.K. That could be the best solution for us. (โอเค. แดท คดู บี เดอะ เบสท์ โซลชู นั ฟอร์ อัซ) ครบั นน่ั อาจจะเป็นทางแก้ปัหาทด่ี ที ีส่ ดุ สำหรับเรา I am glad that we share the same point of view. (ไอ แอม แกลด แดท วี แชร์ เดอะ เซม พอยท์ ออฟว วิว) ผมดใี จที่เรามมี ุมมองเหมือนกัน I have no reason to disagree. (ไอ แฮฟว โน รีซัน ทู ดสิ อะกรี) ผมไม่มเี หตุผลท่จี ะไม่เหน็ ด้วยครบั I belive that it is the best way to solve it. (ไอ บีลฟี ว แดท อทิ อิซ เดอะ เบสท์ เวย์ ทู โซลฟว อิท) ผมเช่อื ว่ามนั เปน็ ทางแกป้ ัญหาที่ดีท่สี ุด Your idea is really creative. (ยวั ร์ ไอเดีย อซิ เรียลลี ครเี อทีฟ) ความคิดเหน็ ของคุณสร้างสรรค์มาก 3. การไม่เหน็ ดว้ ย (Disagreements) รปู ประโยคทใ่ี ชแ้ สดงการไมเ่ หน็ ด้วยมีดังนี้ Do you agree with me? (ดู ยู อะกรี วธิ ม?ี ) คณุ เหน็ ดว้ ยกบั ผมไหมครบั No, I don't. (โน, ไอ โดนท.์ ) ไม่เห็นด้วยครับ
I am sorry. I disagree with you. (ไอ แอม ซอรี. ไอ ดิสอะกรี วธิ ย.ู ) ขอโทษนะครบั ผมไมเ่ ห็นด้วยกับคุณ I can't agree anymore. (ไอ แคนท์ อะกรี เอนีมอร์. ) ผมไมส่ ามารถเห็นดว้ ยได้อีกต่อไปแลว้ ) I am afraid I can't agree with you. (ไอ แอม อะเฟรด ไอ แคนท์ อะกรี วธิ ย.ู ) ผมเกรงวา่ จะไมส่ ามารถเห็นด้วยกบั คุณได้ We have opposite views on this. (วี แฮฟว ออพโพสทิ ววิ ซ์ ออน ดสิ .) เรามมี ุมมองตรงขา้ มกันในเรื่องนี้ I don't mean to argue, but I think you had better think again. (ไอ โดนท์ มีน ทู อาร์กิว, บัท ไอ ธิงค์ ยู แฮด เบทเทอะ ธิงค์ อะเกน) ผมไม่อยากจะเถียง แตผ่ มคดิ ว่าคุณน่าจะคิดใหม่นะครบั 4. การกลา่ วชมเชย เม่ือต้องการกล่าวชมเชย จะใชส้ ำนวนต่อไปนี้ - I like your hair. (ไอ ไลท์ ยัวร์ แฮร์) ฉันชอบทรงผมของคุณ - I really like your hair. (ไอ เรียวลิ่ ไลท์ ยวั ร์ แฮร์) ฉันชอบทรงผมของคุณจริง ๆ - What a nice dress ! (วอท อะ ไน้ส เดรส) ชุดชา่ งสวยจรงิ ๆ - You look wonderful. (ยู ลุคค์ วันเดอร์ฟุล) คุณดูดีอยา่ งน่าพิศวงจงั -That’s a lovely shirt. (แธทส์ สะลัฟลิ เช๊ติ ท)์ เสื้อเช้ิตนน่ั น่ารกั จัง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248