Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยานิพนธ์การศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์

วิทยานิพนธ์การศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์

Published by มนชัย สว่างแจ้ง, 2020-10-13 21:46:31

Description: STUDY AND DEVELOPMENT OF THE UTILIZATION PROCESS OF WATER HYACINTHS TO DESIGN PRODUCTS

Keywords: ออกแบบผลิตภัณฑ์,กระบวนการใช้ประโยชน์

Search

Read the Text Version

136 เป็นกระบวนการใช้ประโยชนใ์ นลกั ษณะการอัดขน้ึ รปู ด้วยความร้อน เพอื่ ผลิตจานจากใบผักตบชวา ที่มีความกว้าง 25 X 35 เซนติเมตร ขึ้นไป โดยใช้ความรอ้ นที่ 155 องศา เซลเซียส ในการไล่ความชื่น สำหรับส่วนประกอบของจานชัน้ ที่ 1 และชั้นที่ 3 จะเป็นใบผักตบชวา ส่วนชั้นที่ 2 จะเป็นเยื่อสโนหางไก่แผ่นบางเพื่อใช้เป็นชั้นป้องกันการรั่วซึมของน้ำเมื่อไปใช้งาน สามารถล้างและทำความสะอาดได้ มีการจดั จำหน่ายทีใ่ บละ 5 บาท ขน้ั การวเิ คราะหเ์ พ่ือสรุปผล ขอ้ ดี วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุธรรมชาติ ไมม่ ีการใชก้ าวหรือสารเคมใี นกระบวนการอัด ประสานด้วยความร้อน สามารถล้างและทำความสะอาดได้ ไม่มีสเี จือปน น้ำหนักเบา ข้อเสีย เน่ืองจากมีขนาดเล็กและนำ้ หนักเบาจึงไม่เหมาะที่จะใส่อาหารในปรมิ าณ มากๆ เน่ืองจากเป็นวสั ดุท่ีธรรมชาติทงั้ หมดอาจจะมีอายกุ ารใช้งานที่นอ้ ยและจำกัด เพราะสามารถ ยอ่ ยสลายได้งา่ ย เมื่อเปรียบเทยี บกบั วัสดปุ ระเภทแก้ว กระเบ้อื ง เซรามกิ หรือพลาสติก (2) กระบวนการใชป้ ระโยชน์จากตน้ ภาพท่ี 4.16 การลงพ้ืนท่ีเพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูล ท่ีมา : มนชัย สว่างแจ้ง

137 สำหรับกระบวนการใช้ประโยชน์จากตน้ จะเปน็ ในรปู แบบของการแปร สภาพเป็นเส้นใย จากนั้นนำเสน้ ใยที่ได้จากการตีด้วยเครือ่ งตีแล้ว ไปตากให้แห้งสนิทแล้วนำไปส่งเข้า กระบวนการระบบอุตสาหกรรมสิ่งทอโดยการผสมกับใยฝ้ายในอัตราส่วน 80 : 20 คือ เส้นใยฝ้าย 80% ต่อ เส้นใยผักตบชวา 20% ซึ่งผักตบชวา 1 ตัน จะได้เส้นใย 1 กิโลกรัม เมื่อได้เส้นใย 1 กิโลกรมั จะสามารถนำไปทอผ้าได้ 3 เมตร ราคาเสน้ ดา้ ยตอ่ มว้ น มว้ นละ 2500 บาท ภาพที่ 4.17 การลงพ้ืนทีเ่ พ่ือเกบ็ รวบรวมข้อมลู ท่ีมา : มนชยั สวา่ งแจ้ง สำหรับกากใยที่เหลือจากกระบวนการเข้าเครื่องตีเส้น ดังในภาพจะถูก นำไปต้ม โดยใช้ระยะเวลาในการต้มประมาณ 1 วัน เมอ่ื ผ่านการต้มแลว้ จะถูกนำไปสู่กระบวนการทำ กระดาษสา ซึ่งกระดาษสานี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 10 บาทต่อ 1 แผ่นขนาด A4 ซึ่งกลายเป็น สนิ คา้ ส่งออกไปจดั จำหน่ายยงั ตา่ งประเทศได้ ขั้นการวเิ คราะหเ์ พอ่ื สรุปผล ขอ้ ดี เส้นด้ายสามารถนำไปใชใ้ นการตัดเยบ็ เปน็ ชดุ หรือเสื้อผา้ ได้ ข้อเสีย เสื้อผา้ หรือชดุ ทีไ่ ด้ขาดสีสนั ต์และลวดลายทเ่ี ปน็ เอกลักษณป์ ระจำท้องถ่ิน (3) กระบวนการใชป้ ระโยชนจ์ ากราก สำหรบั กระบวนการใชป้ ระโยชน์จากราก จะเปน็ ในรปู แบบของการนำไปทำ ปยุ้ หมกั ชีวภาพมปี ระโยชน์กับการนำไปใช้ในทางการเกษตร ปลูกพืช ทำใหไ้ ด้ผลผลิตที่ดี ไมเ่ ปน็ อันตรายต่อผใู้ ชส้ ภาพแวดลอ้ มธรรมชาติหรอื ส่งิ มีชีวติ

138 ปจั จยั ที่มผี ลต่อการดำเนินงาน คุณนาถลดา เข็มทอง ผู้คิดริเริ่มการนำผักตบชวามีใช้ให้เกิดประโยชน์ได้กล่าวถึง สภาพปัญหาในสังคมยุคปัจจุบันว่า ปัจจุบันเราพบมากปัญหาที่เกิดขึ้นจากผักตบชวาซึ่งพบมากใน หลายพื้นที่ ซึ่งแต่ละพื้นที่กม็ ีปัญหาที่ต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและวิถีชุมชน ในปัจจุบันค่อนข้าง ยากสำหรับการเก็บผักตบชวา เพราะปัจจัยที่สำคัญมากคือ กลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานดังกล่าวก็ ไม่ใช่คนไทยเพราะคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันมองไม่เห็นถึงคุณค่าของผักตบชวา ฉะนั้นแรงงานที่ สำคัญจึงมาจากกลุ่มแรงงานตา่ งชาติท่เี ข้ามาทำงานในปะเทศไทยและในบางพ้นื ที่คือกลุ่มชาวบ้านที่มี อายุตั้ง 60 ปีขึ้นไปเพศหญิง เช่น ชาวกัมพูชา ชาวพม่า เป็นต้น ซึ่งในการเก็บผักตบชวาต่อครั้งจะมี คา่ ใช้จา่ ยท่กี ิโลกรัมละ 2 บาท ด้วยเหตุนี้ผักตบชวาจึงเป็นเพียงวัชพืชที่ก่อปัญหามากกว่าก่อประโยชน์ให้สังคม เพราะถูกมองข้ามจากคนในสังคมส่วนมาก แต่กลับมีกลุ่มคนเพียงเล็กน้อยที่เร่งเห็นประโยชน์และ คุณคา่ ในตัวของผกั ตบชวาทีธ่ รรมชาตไิ ด้สรา้ งขึ้น ปัจจัยท่ีมผี ลต่อการเกบ็ ผักตบชวา 1. เครอื่ งมอื และอปุ กรณไ์ มเ่ อ้ืออำนวยตอ่ การเก็บ 2. ในการเก็บมีความเสีย่ ง หากเปน็ แม่น้ำลำคลองสายใหญม่ ีความลกึ มาก อาจทำ ให้เกดิ ความเส่ยี งจมนำ้ ถึงเสียชีวติ ได้ 3. อันตรายจากสตั วม์ ีพิษเช่น งู หรอื สตั วน์ ำ้ เช่น ปิง 4. อำนาจหนา้ ท่ไี ม่ตรงกับสายงาน ผักตบชวาจึงถกู มองขา้ ม เพราะสังคมมองว่าเปน็ ความรบั ผิดชอบของหน่วยงาน หรือคนกลมุ่ ใดกลุ่มนงึ 4.1.7 การวิเคราะหข์ ้อมลู ผลิตภัณฑ์ขา้ งเคียงท่ีเกดิ จากกระบวนการผลติ ลกั ษณะต่าง ๆ สำหรับการดำเนินงานวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ข้างเคียงท่ี เกิดจากกระบวนการผลิตลักษณะต่าง ๆ เพื่อเป็นการศึกษาผลิตภัณฑ์และตั้งเป้าหมายในการพัฒนา ทั้งกระบวนการผลิตและรูปแบบผลิตภัณฑ์ โดยมีพื้นฐานมากจากวัสดุผักตบชวา ซึ่งผู้วิจัยได้ ดำเนนิ การวิเคราะห์ผลติ ภณั ฑข์ า้ งเคยี งดังน้ี

139 ตารางท่ี 4.13 การวิเคราะหผ์ ลติ ภัณฑป์ ระเภทเครือ่ งแตง่ กาย Product จดุ แข็ง จุดอ่อน โอกาส ความเสีย่ ง Strengths Weaknesses Opportunities Threats กระบวนการท่ี กลมุ่ ชุมชนไม่ ค่อนข้างระเอียด กลมุ่ ชุมชนมที กั ษะ สามารถผลิต เป็นสนิ ค้าประจำ และปราณตี ฝมี อื ในการทอผา้ เส้นด้ายด้วยตวั เอง ท้องถ่นิ ได้ สร้าง รวมถึงตน้ ทุนสงู ไดด้ ว้ ยตนเอง ได้ จำเป็นจะตอ้ ง เอกลกั ษณ์ อตั สามารถตัดเยบ็ ใช้กระบวนการใน ลักษณ์ของกลมุ่ ทำใหต้ ัว และออกแบบชดุ ระบอุตสาหกรรม ชมุ ชน สามารถตอ่ ผลิตภณั ฑม์ รี าคา เครื่องแตง่ กายได้ เป็นผผู้ ลติ ซ่ึงมี ยอดเป็นสินคา้ สูงตาม จึงอาจไม่ ต้นทนุ ในการผลิต เปน็ ทนี่ ยิ มของ สง่ ออกได้ กลุ่มคนใน ค่อนข้างสงู ทอ้ งตลาด ภายในประเทศ สรุป : จากการวิเคราะห์ข้อมลู ความเปน็ ไปไดข้ องผลติ ภัณฑ์ประเภทเคร่ืองแตง่ กาย มแี นวโน้มสูงท่ีตัว ผลติ ภัณฑจ์ ะเหมาะสมแกก่ ารจดั จำหน่ายในท้องตลาดยังต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เช่นในแทบ ทวีปยุโรปและอเมริกา ทั้งนี้ปัจจัยที่เป็นผลก็จากกำลังในการซื้อขายของกลุ่มคนในประเทศมีน้อย และไม่นิยมเนื่องจากกลุ่มคนในประเทศส่วนใหญ่ยังยึดติดกับค่านิยมและความเชื่อกับรูปแบบ ผลติ ภัณฑ์เดมิ ๆ ทไี่ ด้จากเสน้ ใยฝ้าย นนุ่ ลนิ ิน ปอ ขนแกะ ใยไหม ไนลอน พอลิเอสเทอร์ อะคลิโลไน ไตรด์ และเรยอน ตารางท่ี 4.14 การวิเคราะหผ์ ลิตภัณฑป์ ระเภทภาชนะใส่อาหาร Product จุดแขง็ จุดอ่อน โอกาส ความเสีย่ ง Strengths Weaknesses Opportunities Threats อายุการใชง้ านอาจ ผลติ ภณั ฑ์ลักษณะ ความตอ้ งการ นี้เปน็ ที่นิยมมาก ของทอ้ งตลาด เป็นวัสดุจาก นอ้ ยเพราะยอ่ ย ในกลมุ่ ตลาดตา่ ง ในประเทศนอ้ ย ประเทศ ฉะน้นั ดังน้นั การจัด ธรรมชาติ ไมม่ ี สลายได้งา่ ย ชอ่ งทางในการจดั จำหน่ายใน หนา่ ยควรมุง่ ไปท่ี ประเทศอาจ สารเคมหี รือกาวใน ลักษณะทาง ท้องตลาดใน ส่งผลทำให้ รายได้ท่ีไดจ้ า กระบวนการอดั ขน้ึ กายภาพบาง ทำให้ ต่างประเทศ การจำหนา่ ย รูปด้วยความรอ้ น ไม่ควรใสอ่ าหารใน นอ้ ยตาม สีทไ่ี ดเ้ ป็นสี ปริมาณทมี่ าก และ ธรรมชาติ น้ำหนัก อาหารท่ใี ส่ไม่ควร เบา ต้นทนุ ในการ เป็นประเภทนำ้ ผลติ น้อย เพราะอาจเกดิ การ รั่วซึม

140 สรุป : จากการวิเคราะห์ข้อมูลความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ประเภทภาชนะใส่อาหาร ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ลกั ษณะนี้ยังไม่เป็นทีน่ ิยมของกลุ่มประชากรส่วนมาก เพราะกลุ่มประชากรยังยึดติดการใช้ งานจากวัสดุประเภทกล่องโฟม พลาสติก เมื่อเปรียบเทียบแล้วตน้ ทุนน้อยกว่าการผลิตสามารถทำได้ ในปรมิ าณทม่ี ากกวา่ และรวดเรว็ กวา่ วัสดธุ รรมชาติ ตารางท่ี 4.15 การวเิ คราะห์ผลิตภัณฑป์ ระเภทกระดาษสา Product จดุ แขง็ จุดอ่อน โอกาส ความเสีย่ ง Strengths Weaknesses Opportunities Threats เป็นผลติ ภณั ฑท์ ีไ่ ด้ ผวิ ไมร่ าบเรยี บ สามารถตอ่ ยอด ใช้ระยะเวลาใน จากกระบวน เป็นแพค็ เกจ กระบวนการผลติ สำหรบั ห่อสนิ ค้า การผลติ จากวสั ดุ นาน ธรรมชาติ สีสนั ต์ ได้ ธรรมชาติ สรุป : จากการวิเคราะห์ข้อมูลความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ประเภทกระดาษสา ในเชิงของการต่อ ยอดอาจจะต้องเพิม่ ในเรื่องของสสี ันต์ ลวดลาย เพ่อื ทำให้เกิดความนา่ สนใจใหม้ ากยงิ่ ข้นึ ตารางท่ี 4.16 การวิเคราะห์ผลติ ภณั ฑ์ประเภทจกั สาน Product จดุ แขง็ จุดออ่ น โอกาส ความเส่ยี ง Strengths Weaknesses Opportunities Threats ความสวยงามทไี่ ด้ ไม่มลี วดลาย และสี มีโอกาสใชเ้ ปน็ ใช้ระยะเวลาใน จากความปราณีต สันตท์ ีช่ ว่ ยทำให้ สินคา้ ประจำ การผลิตนาน ลวดลายที่เกิดจาก เกดิ ความนา่ สนใจ ชมุ ชนได้ สรา้ ง หากตอ้ งผลติ ใน การจักรสาน ความ รายได้ใหก้ ับกลมุ่ จำนวนหรอื ทนทาน สามารถ ชุมชน เปน็ สินคา้ ปริมาณท่ีมาก ทสี่ ามารถจดั อาจทำไดช้ า้ ใช้งานไดน้ าน จำหน่ายไดท้ ้งั ใน และต่างประเทศ สรุป : จากการวิเคราะห์ข้อมูลผลิตภัณฑ์ประเภทจักสานพบว่ามีทั้งข้อดีและเสีย ข้อดีคือผลิตภัณฑ์มี ความสวยงาม ละเอียดประณีต มีลวดลายที่เกิดจากการจักรสานชัดเจน ข้อสำคัญคือเป็นวัสดุ ธรรมชาติ สำหรับข้อเสียคือหากมีความต้องการผลิตในจำนวนที่มากจะต้องระยะเวลาในการผลิต ค่อนข้างมากและจะต้องใช้แรงงานในการผลิตมาก ทำให้สูญเสียทั้งระยะเวลาและต้นทุนค่าแรงใน กระบวนผลติ

141 4.1.8 การวิเคราะห์ข้อมลู ตัวเช่อื มประสานจากกาวแปง้ เปยี ก สำหรับงานวิจัยการศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวา เพื่อ ออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์ผลตัวเชื่อมประสานสำหรับกระบวนการ อัดกระถาง เพื่อนำมาดำเนินการเปรียบเทียบถึงความเหมาะสมในด้านการอัดประสาน ซึ่งจากการ ทดลองผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์และสรุปได้ดงั น้ี 4.1.8.1 กระบวนการตัวเช่อื มประสานจากแป้งมันสำปะหลงั (1) วัสดุและอปุ กรณ์ แป้งมนั สำปะหลงั หม้อ ทับพี เทอรโ์ มมเิ ตอร์ เหยอื กนำ้ ขนาด 1 ลติ ร นำ้ สะอาด เครอ่ื งชง่ั น้ำหนกั ดจิ ติ อล ตารางท่ี 4.17 แสดงอัตราสว่ นผสมตัวเช่ือมประสานจากแปง้ มนั สำปะหลัง (กาวแปง้ เปียก) ลำดบั วัตถดุ ิบ อัตราส่วน / หนว่ ย รปู ภาพ 1. แป้งมันสำปะหลัง 500 กรมั 2. น้ำสะอาด 1 ลิตร

142 – 100 องศาเซลเซียส (2) ขนั้ ตอนและวธิ ีการดำเนินการ ดว้ ยนำ้ สะอาดปกติ (2.1) นำหม้อต้มน้ำสะอาดปรมิ าณ 1 ลิตรใหเ้ ดือดจัดท่ีอณุ หภมู ิ 90 (2.2) ชัง่ ตวงน้ำหนกั แปง้ มนั สำปะหลงั 500 กรัม จากนั้นให้ละลาย ภาพท่ี 4.18 ภาพการทดลองกาวแป้งเปียก ท่ีมา : มนชัย สว่างแจ้ง (2.3) นำนำ้ แปง้ มันสำปะหลงั เทผสมในน้ำเดือดจากนั้นใชท้ ับพคี นให้ ได้ความเหนยี วหนดื จนจบั ตวั เป็นกอ้ นเดยี วกัน ใหส้ ังเกตทีส่ จี ะขนุ่ ๆ เล็กน้อยถือวา่ ใชไ้ ด้ 4.1.8.2 กระบวนการตวั เช่อื มประสานจากพลาสติกรีไซเคิล 7 ชนดิ สำหรับงานวิจัยการศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวา เพื่อ ออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเปรียบเทียบการย่อยสลายของพลาสติกรีไซเคิลทั้ง 7 ชนิด เพื่อทำการวเิ คราะหแ์ ละสรุปผลในเชงิ วิทยาศาสตร์การย่อยสลายพลาสติก โดยมอี งค์ประกอบสำคัญ ของการย่อยสลายคือสารละลายอะซีโตน (Acetone)และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งจากการทดลอง ผวู้ จิ ยั สามารถวเิ คราะหแ์ ละสรปุ ไดด้ งั น้ี (1) วสั ดุ ขวดนำ้ อัดลม ขวดแชมพู สายยาง ถงุ หูห้ิว

143 ถุงขนมปงั แก้วนำ้ นมเปร้ยี วยาคลู ท์ กลอ่ งโฟม กลอ่ งพลาสติกใส ถงุ นำ้ ยาลา้ งจาน/ถงุ น้ำยาปรบั ผ้านนุ่ (2) ข้นั ตอนและวธิ กี ารดำเนินการ ภาพท่ี 4.19 ข้นั ตอนและวิธีการดำเนนิ การขนั้ ท่ี 1 ทีม่ า : มนชยั สว่างแจง้ (2.1) ดำเนินการเก็บตวั อย่างวสั ดุพลาสตกิ ซึ่งก่อนนำมาทดลองควร ทำความสะอาดและย่อยใหม้ ีขนาดเล็กโดยใชว้ ธิ กี ารตัดหรอื หนั่

144 ภาพที่ 4.20 ขน้ั ตอนและวิธกี ารดำเนินการขั้นท่ี 2 ทีม่ า : มนชัย สว่างแจ้ง (2.2) ดำเนินการชั่งตวงน้ำหนักตัวอย่างวัสดุด้วยเครื่องชั่งน้ำหนัก ดิจิตอล โดยกำหนดอัตราส่วนน้ำหนักที่ 5 กรัม จากนั้นนำไปใส่ไว้ในขวดโหลแก้วที่เตรียมไว้ โดย จะตอ้ งแยกพลาสตกิ เปน็ 7 ชนดิ โดยแยกตามชนดิ ของพลาสตกิ รไี ซเคลิ ภาพท่ี 4.21 ขน้ั ตอนและวิธีการดำเนินการขัน้ ที่ 3 ทม่ี า : มนชยั สว่างแจ้ง (2.3) จากนัน้ นำสารเคมที ีใ่ ช้ในการย่อยสลายใสล่ งไป ซงึ่ การทดลอง ครั้งนี้ผู้วิจัยกำหนดสารเคมีเป็น 2 ชนิดได้แก่ สารเคมีอะซีโตนและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 โดยใช้ใน ปริมาณ 50 ml

145 ภาพท่ี 4.22 ขนั้ ตอนและวิธีการดำเนินการข้นั ที่ 4 ท่ีมา : มนชัย สว่างแจง้ (2.4) ทำการสงั เกตปฏิกริ ยิ าทางเคมีและจดบนั ทกึ ผลการทดลอง

(3) ตารางการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสตกิ รีไซเคลิ โดยใชส้ ารละลายอ ตารางที่ 4.18 การวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสตกิ ชนิดโพลเี อทลิ ีน เทอร์ฟะธาเลต (P (Acetone) ชนดิ พลาสตกิ ปริมาณสารละลาย น้ำหนัก/กรมั นำ้ หน อะซีโตน (Acetone) กอ่ นทดลอง หลังท 50 ml 5 กรัม 5 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) ไม่ส Terephthalate : PETE) ได้ในเวลาที่กำหนด ผู้วิจัยมสี มมุตฐิ านเน่ืองจากลักษณะทาง ด้วยการใชอ้ ณุภมู คิ วามรอ้ น

146 อะซีโตน (Acetone) และ น้ำมันแกส๊ โซฮอล์ 95 Polyethylene Terephthalate : PETE) โดยใชส้ ารละลายอะซโี ตน นัก/กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ชว่ั โมง 24 ช่วั โมง กรัม สามารถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีน เทอร์ฟะธาเลต (Polyethylene งกายมีความหนาและแขง็ แรง ทนทานตอ่ ฤทธิ์ท่ีมสี ถานะเป็นกรดแต่อาจย่อยสลายได้

ตารางที่ 4.19 ตารางการวเิ คราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสติกชนดิ โพลีเอทิลีนความหนาแ (Acetone) ชนดิ พลาสตกิ ปรมิ าณสารละลาย น้ำหนกั /กรัม น้ำหน อะซีโตน (Acetone) ก่อนทดลอง หลงั ท 50 ml 5 กรมั 5 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) ไม่ส Polyethylene : HDPE) ได้ในเวลาที่กำหนด ผู้วจิ ยั มีสมมตุ ิฐานเนอื่ งจากลักษณะทาง แต่อาจย่อยสลายได้ดว้ ยการใชอ้ ณุภูมคิ วามรอ้ น

147 แน่นสงู (High-density Polyethylene : HDPE) โดยใช้สารละลายอะซีโตน นัก/กรัม ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ช่วั โมง 24 ช่วั โมง กรมั สามารถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (High-density งกายมีความหนาและแข็งแรง ทนทานต่อสารเคมีทีอ่ อกฤทธ์ิกัดกร่อนมีสถานะเป็นกรด

ตารางท่ี 4.20 ตารางการวิเคราะห์การยอ่ ยสลายพลาสตกิ ชนดิ โพลีไวนิลคลอไรด์ (Pol ชนิดพลาสติก ปรมิ าณสารละลาย นำ้ หนัก/กรัม น้ำหน อะซโี ตน (Acetone) ก่อนทดลอง หลังท 50 ml 5 กรมั 21 อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซโี ตน (Acetone) ไม่สาม ได้ในเวลาท่กี ำหนด แตพ่ บว่ามกี ารเปลีย่ นแปลงลกั ษณะทางกายโดยมลี ักษณะท่ีพองตัว

148 lyvinyl Chloride : PVC) โดยใช้สารละลายอะซโี ตน (Acetone) นกั /กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ชั่วโมง 24 ช่วั โมง กรมั มารถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคลิ ชนดิ โพลีไวนลิ คลอไรด์ (Polyvinyl Chloride : PVC) วชนิ้ ใหญ่ขึน้ นำ้ หนกั เพ่ิมมากขึน้ และออ่ นตัวลงมาก แตไ่ ม่ถงึ กับย่อยสลายไป

ตารางที่ 4.21 ตารางการวเิ คราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสติกชนิดโพลีเอทลิ นี ความหนาแ (Acetone) ชนิดพลาสติก ปริมาณสารละลาย น้ำหนกั /กรมั น้ำหนัก อะซโี ตน (Acetone) ก่อนทดลอง หลงั ทด 50 ml 5 กรัม 4.7 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) ไม่ส Polyethylene : LDPE) ได้ในเวลาที่กำหนด แตพ่ บว่ามีการเปล่ยี นแปลงลักษณะทางก

149 แนน่ ต่ำ (Low-density Polyethylene : LDPE) โดยใชส้ ารละลายอะซีโตน ก/กรัม ลกั ษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ ดลอง 1 ชวั่ โมง 24 ช่ัวโมง กรัม สามารถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density กายคือวสั ดุมีนำ้ ลดลงไป 0.3 กรัม และมีความบางลงจากเดิม

ตารางที่ 4.22 ตารางการวเิ คราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสตกิ ชนดิ โพลโี พรพลิ นี (Polypro ชนดิ พลาสติก ปริมาณสารละลาย น้ำหนัก/กรมั นำ้ หน อะซโี ตน (Acetone) ก่อนทดลอง หลัง 50 ml 5 กรัม 5 อภปิ รายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) ไม่สาม ทก่ี ำหนด ผู้วจิ ยั มีสมมตุ ฐิ านเนอ่ื งจากลักษณะทางกายมคี วามหนาและแข็งแรง ทนทาน

150 opylene : PP) โดยใชส้ ารละลายอะซีโตน (Acetone) นกั /กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ งทดลอง 1 ช่วั โมง 24 ชว่ั โมง กรัม มารถยอ่ ยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลโี พรพิลนี (Polypropylene : PP) ได้ในเวลา นต่อฤทธท์ิ มี่ ีสถานะเปน็ กรดแต่อาจย่อยสลายไดด้ ้วยการใช้อณภุ มู ิความรอ้ น

ตารางที่ 4.23 ตารางการวิเคราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสตกิ ชนิดโพลสี ไตรนี (Polystyre ชนิดพลาสติก ปริมาณสารละลาย นำ้ หนัก/กรัม นำ้ หนกั อะซโี ตน (Acetone) กอ่ นทดลอง หลังท 50 ml 5 กรัม สถานะข อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) สา ยาคลู ศเ์ ปลีย่ นแปลงลักษณะทางกายโดยใช้ระยะเวลา 2–3 นาทขี น้ึ อยู่กบั จำนวนปริม ได้ในทนั ที เบ้อื งตน้ ผวู้ จิ ัยมีสมมุตฐิ านเนอ่ื งจากพลาสติกชนดิ นี้มีมวลความหนาแนน่ ตำ่ แ

151 ene : PS) โดยใชส้ ารละลายอะซีโตน (Acetone) ลักษณะทางกายภาพ 24 ช่วั โมง ก/กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ช่วั โมง ของเหลว ามารถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) โดยขวดนม มาณของวัสดทุ ี่ใช้ทดลอง สว่ นกลอ่ งโฟมจะเปล่ียนแปลงลกั ษณะทางกายเป็นของเหลว และไม่สามารถทนทานต่อการสารเคมที ี่ออกฤทธก์ิ ดั กร่อนมีสถานะเปน็ กรดได้

ตารางท่ี 4.24 ตารางการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสติกชนดิ พลาสติกอน่ื ๆ (Other ชนิดพลาสติก ปรมิ าณสารละลาย นำ้ หนกั /กรมั นำ้ ห อะซีโตน (Acetone) ก่อนทดลอง หล 50 ml 5 กรัม 5 อภปิ รายผลการทดลอง : จากการทดลองพบวา่ สารละลายอะซีโตน (Acetone) ไม่สาม มีการออ่ นลง มลี กั ษณะคดและงอตัวแตน่ ำ้ หนักเทา่ เดิมไม่มกี ารเปลย่ี นแปลงแค่อย่างใด

r) โดยใชส้ ารละลายอะซีโตน (Acetone) 152 หนกั /กรัม ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ 24 ชั่วโมง ลังทดลอง 1 ชั่วโมง 5 กรัม มารถยอ่ ยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดอนื่ ๆ (Other) ได้ในเวลาทก่ี ำหนด แต่พบว่าวัสดุ ด

ตารางที่ 4.25 ตารางการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสตกิ ชนิดโพลีเอทิลีน เทอร์ฟะธา ชนดิ พลาสตกิ ปริมาณน้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ น้ำหนัก/กรัม น้ำหน 95 กอ่ นทดลอง หลังท 50 ml 5 กรมั 5 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ไม่สามาร Terephthalate : PETE) ได้ในเวลาทก่ี ำหนด ผู้วิจัยมีสมมตุ ิฐานเนอื่ งจากลกั ษณะทาง

153 าเลต (Polyethylene Terephthalate : PETE) โดยใชน้ ำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 นัก/กรัม ลักษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ช่วั โมง 24 ช่ัวโมง กรัม รถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีน เทอร์ฟะธาเลต (Polyethylene งกายมีความหนาและแข็งแรง ทนทานต่อฤทธท์ิ ี่มีสถานะเปน็ กรด

ตารางท่ี 4.26 ตารางการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสติกชนดิ โพลีเอทิลีนความหนาแ ชนิดพลาสตกิ ปรมิ าณน้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ น้ำหนัก/กรมั นำ้ หน 95 กอ่ นทดลอง หลงั ท 50 ml 5 กรมั 5 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ไม่สามาร Polyethylene : HDPE) ไดใ้ นเวลาท่กี ำหนด ผู้วิจัยมีสมมตุ ิฐานเนือ่ งจากลักษณะทาง แตอ่ าจย่อยสลายได้ด้วยการใชอ้ ณภุ มู ิความรอ้ น

154 แน่นสงู (High-density Polyethylene : HDPE) โดยใชน้ ำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 นกั /กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ชว่ั โมง 24 ชว่ั โมง กรัม รถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (High-density งกายมคี วามหนาและแขง็ แรง ทนทานต่อสารเคมีท่ีออกฤทธิ์กดั กร่อนมีสถานะเป็นกรด

ตารางที่ 4.27 ตารางการวเิ คราะห์การยอ่ ยสลายพลาสตกิ ชนดิ โพลไี วนิลคลอไรด์ (Pol ชนดิ พลาสติก ปริมาณน้ำมันแกส๊ โซฮอล์ น้ำหนัก/กรัม นำ้ หน 95 ก่อนทดลอง หลงั ท 50 ml 5 กรมั 6 ก อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ไม่สามารถย่อย เวลาทก่ี ำหนด แต่พบวา่ มีการเปลยี่ นแปลงลักษณะทางกายโดยมลี ักษณะท่ีพองตวั ชิ้นใ

155 lyvinyl Chloride : PVC) โดยใชน้ ำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 นกั /กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ ทดลอง 1 ชว่ั โมง 24 ชัว่ โมง กรัม ยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride : PVC) ได้ใน ใหญ่ขน้ึ นำ้ หนักเพมิ่ ข้นึ มา 1 กรัม และไม่ย่อยสลาย

ตารางที่ 4.28 ตารางการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสตกิ ชนิดโพลเี อทิลนี ความหนาแ ชนดิ พลาสตกิ ปริมาณนำ้ มนั แกส๊ โซฮอล์ นำ้ หนกั /กรัม น้ำหนกั 95 ก่อนทดลอง หลังทด 50 ml 5 กรัม 5 กร อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ไม่สามาร Polyethylene : LDPE) ได้ในเวลาทก่ี ำหนด แต่พบวา่ มีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะทางก

156 แนน่ ต่ำ (Low-density Polyethylene : LDPE) โดยใชน้ ้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ 95 ก/กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ ดลอง 1 ชวั่ โมง 24 ชัว่ โมง รมั รถย่อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density กายคอื มคี วามบางลงจากเดิม

ตารางท่ี 4.29 ตารางการวิเคราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสติกชนดิ โพลโี พรพิลีน (Polypro ชนิดพลาสตกิ ปริมาณน้ำมันแกส๊ โซฮอล์ นำ้ หนกั /กรัม น้ำหนกั 95 ก่อนทดลอง หลังทด 50 ml 5 กรมั 5 กร อภปิ รายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่านำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 ไมส่ ามารถย่อยส ผู้วิจยั มีสมมุติฐานเน่อื งจากลักษณะทางกายมีความหนาและแขง็ แรง ทนทานต่อฤทธท์ิ

157 opylene : PP) โดยใช้น้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ 95 ลักษณะทางกายภาพ 24 ช่ัวโมง ก/กรมั ลักษณะทางกายภาพ ดลอง 1 ชวั่ โมง รมั สลายพลาสตกิ รีไซเคิลชนิดโพลโี พรพิลนี (Polypropylene : PP) ได้ในเวลาที่กำหนด ที่มีสถานะเป็นกรดแต่อาจย่อยสลายได้ด้วยการใชอ้ ณภุ ูมิความร้อน

ตารางที่ 4.30 ตารางการวิเคราะหก์ ารย่อยสลายพลาสติกชนดิ โพลสี ไตรีน (Polystyre ชนดิ พลาสตกิ ปริมาณน้ำมนั แกส๊ น้ำหนัก/กรมั นำ้ หนกั / โซฮอล์ 95 ก่อนทดลอง หลงั ทด 50 ml 5 กรมั สถานะขอ อภิปรายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 สามารถย่อ เปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายโดยใช้ระยะเวลา 4–6 นาทีขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณข ในทันที เบ้ืองต้นผวู้ ิจยั มีสมมตุ ิฐานเนอ่ื งจากพลาสตกิ ชนิดนีม้ มี วลความหนาแนน่ ต่ำแล

ene : PS) โดยใชน้ ำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 158 /กรมั ลักษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ ดลอง 1 ช่วั โมง 24 ชั่วโมง องเหลว อยสลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) โดยขวดนมยาคูลศ์ ของวัสดุที่ใช้ทดลอง ส่วนกล่องโฟมจะเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายเป็นของเหลวได้ ละไม่สามารถทนทานต่อการสารเคมีทอ่ี อกฤทธกิ์ ดั กร่อนมีสถานะเป็นกรดได้

ตารางที่ 4.31 ตารางการวเิ คราะหก์ ารยอ่ ยสลายพลาสตกิ ชนิดพลาสตกิ อื่น ๆ (Other ชนิดพลาสตกิ ปรมิ าณนำ้ มันแกส๊ โซฮอล์ 95 น้ำหนกั /กรมั นำ้ ห ก่อนทดลอง หล 50 ml 5 กรัม 5 อภปิ รายผลการทดลอง : จากการทดลองพบว่าน้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ 95 ไม่สามารถยอ่ ยส ลง มีลักษณะคดและงอตวั แตน่ ำ้ หนกั เทา่ เดิมไม่มีการเปล่ียนแปลงแค่อย่างใ

r) โดยใช้นำ้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 159 หนกั /กรมั ลกั ษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ 24 ช่ัวโมง ลังทดลอง 1 ช่วั โมง 5 กรัม สลายพลาสติกรีไซเคิลชนิดอ่ืน ๆ (Other) ได้ในเวลาทีก่ ำหนด แตพ่ บวา่ วัสดุมีการอ่อน

160 4.1.8.3 การวเิ คราะห์เพื่อเปรยี บเทียบผลสรปุ จากผลกระบวนการทดลองการวิเคราะห์การย่อยสลายพลาสติกชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) โดยใช้สารละลายอะซีโตน (Acetone) และการวเิ คราะห์การย่อยสลายพลาสติก ชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) โดยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ผู้วิจัยพบว่าการใช้สารละลายอะซี โตน (Acetone) และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 สามารถย่อยสลายพลาสติกประเภทโพลีสไตรีน (Polystyrene) หรือพีเอส (PS) ได้ดีกว่าการย่อยพลาสติกรีไซเคิลประเภทอื่น เนื่องจากพลาสติก ประเภทนี้มีลักษณะทางกายภาพมีมวลความหนาแน่นต่ำ อ่อนตัว มีความหยืดหยุ่น จึงสามารถย่อย สลายได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นของเหลวที่มีสถานะเหนียวหนืด มีสีขาวขุ่นและไม่มีกลิ่น ซึ่งเป็น คุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับกาวประสานชนิดอื่น ๆ ในขณะเดียวกันพลาสติกรีไซเคิลประเภทอื่น ที่มี ลักษณะมวลความหนาแน่นสูงและทนทานต่อสารเคมีทีม่ ีสถานะเป็นกรด จึงสามารถทนต่อฤทธิ์การ กัดกรอ่ นของสารละลายอะซโี ตน (Acetone) และน้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ 95 ได้ และเมื่อดำเนินการเปรียบเทียบการย่อยสลายระหว่างสารละลายอะซีโตน (Acetone) และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95ในการย่อยสลายพลาสติกชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) จะเห็นได้ว่าสารละลายอะซีโตน (Acetone) สามารถทำการย่อยสลายพลาสติกชนิดนีไ้ ด้ดีกว่า น้ำมัน แกส๊ โซฮอล์ 95 4.1.8.4 การวิเคราะห์ข้อมลู เกย่ี วกบั สารละลายอะซโี ตน (Acetone) ภาพท่ี 4.23 ภาพตวั อย่างสารละลายอะซีโตน (Acetone) ที่มา : มนชัย สวา่ งแจง้

161 อะซิโตน (Acetone) เป็นสารตัวทำละลายอนิ ทรีย์ระเหยงา่ ยทีไ่ ม่มีกลุ่มฮาโลจเี นต เต็ต ใช้มากในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมสำหรับใช้เป็นตัวทำละลายสารต่างๆ สามารถ ผลติ และสกดั ไดจ้ ากธรรมชาติ และการสงั เคราะห์ทางเคมจี ากปโิ ตรเลียม (1) ประโยชน์ (1.1) ในภาคอตุ สาหกรรมมักใช้เป็นตวั ทำละลายในกระบวนการ ผลติ ในภาคอตุ สาหกรรม เช่น อตุ สาหกรรมเคมี ผลิตยา ผลิตสี หมึกพมิ พ์ น้ำมันขัดเงา กาว แลคเกอร์ เครื่องสำอาง และอตุ สาหกรรมพลาสติก และยงั เปน็ สารต้ังตน้ ในการผลติ พลาสตกิ หลายชนิด เชน่ โพ ลคี าร์บอเนต โพลียรู ีเทน และเรซิ่น เป็นตน้ (1.2) ห้องปฏิบตั กิ ารมกั ใช้อะซิโตนสำหรับเป็นตวั ทำละลายในการ เตรียมสารเคมีหรือใช้เป็นสารทำละลายสำหรับการสกดั สารอินทรียจ์ ากพืชหรอื สัตว์ (2) อนั ตรายตอ่ สุขภาพ (2.1) ระบบหายใจ การสดู ดมหรือหายใจเอาอะซโิ ตนเข้าสู่ระบบ หายใจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ มีอาการไอ แน่นหน้าอก เวียนศรีษะ ปวดหวั (2.2) ทางผวิ หนัง เมือ่ สัมผสั ทางผวิ หนงั จะทำให้ผิวหนังถูกทำลาย ผวิ หนงั แดง อกั เสบมอี าการปวดแสบปวดรอ้ น (2.3) สมั ผัสกบั ตา เม่ือมกี ารสัมผัสกบั ตาจะทำใหต้ าระคายเคือง น้ำตาไหล มีอาการตาแดง และปวดตา (2.4) การกลืนกนิ การกลนื กินเข้าสู่ระบบทางเดนิ อาหารจะทำให้ รู้สึกคลน่ื ไส้ อาเจียน วิงเวยี นศรีษะ ปวดหวั (2.5) ผู้ปฏบิ ัตงิ าน และผู้ท่อี ยู่ใกล้เคียงขณะปฏบิ ตั ิงาน ควรสวมถุง มือยางรองเทา้ บทู ผ้าปิดจมกู แว่นตาปอ้ งกนั สารเคมี และสวมใส่เสื้อผา้ ใหม้ ิดชดิ ทุกคร้ัง (3) การเก็บรักษา (3.1) ควรเก็บในภาชนะที่ปดิ บรรจมุ ดิ ชดิ จัดเกบ็ ในบรเิ วณท่แี หง้ เยน็ มีการระบายอากาศท่ีดี (3.2) ควรเกบ็ ในภาชนะทท่ี ำจากกแก้ว หลีกเลี่ยงการเก็บในภาชนะ ท่ีทำดว้ ยโลหะ ใยสงั เคราะห์ และพลาสตกิ (3.3) ควรเกบ็ ใหห้ า่ งจากแหลง่ ความร้อน แสงแดด เปลวไฟ และ สารที่เขา้ กนั ไม่ได้ (3.4) อณุ หภูมสิ ถานท่ีเกบ็ ไมค่ วรเกิน 30 องศาเซลเซียส

162 4.1.9 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลกระบวนปุ๋ยหมักชีวภาพจากผกั ตบชวา วัตถดุ บิ หลัก ภาพที่ 4.24 ภาพผกั ตบชวาบดแห้ง ทม่ี า : มนชัย สว่างแจ้ง สว่ นประกอบ ขยุ มะพรา้ ว แกลบดำ มลู วัว มลู ไส้เดือน หวั เชื้อจลุ นิ ทรีย์ (EM) นำ้ สะอาด 1 ลติ ร

163 อุปกรณ์ ถุงมือ ถุงปยุ๋ /กระสอบ อุปกรณ์การเกษตร ตราชงั่ ดิจิตอล ขวดน้ำขนาด 1 ลติ ร ภาชนะ สลิ่งยาขนาด 10 มิลลลิ ติ ร สตู รท่ี 1 ผักตบชวาแบบบด รูปภาพ ตารางที่ 4.32 แสดงอัตราสว่ นผสมผกั ตบชวาแบบบด ลำดับ วัตถดุ ิบ อัตราสว่ น / หนว่ ย 1. ผักตบชวาแบบบดแหง้ 500 กรัม 2. หวั เช้ือจุลินทรีย์ (EM) 50 มิลลลิ ติ ร 3. น้ำสะอาด 5 ลติ ร

164 สูตรที่ 2 แบบบดหมกั ผสมแกลบ ตารางท่ี 4.33 แสดงอัตราส่วนผสมผกั ตบชวาแบบบดหมกั ผสมแกลบ ลำดบั วัตถุดิบ อตั ราส่วน / รูปภาพ หน่วย 1. ผักตบชวาแบบบดแหง้ 500 กรัม 2. ขุยมะพร้าว 500 กรัม 3. แกลบดำ 500 กรมั 4. หวั เชอื้ จุลินทรยี ์ (EM) 50 มิลลิลติ ร 5. นำ้ สะอาด 5 ลิตร สูตรที่ 3 แบบบดหมกั ผสมมูลสัตว์ ตารางที่ 4.34 แสดงอัตราส่วนผสมผักตบชวาแบบบดหมกั ผสมมลู สัตว์ ลำดบั วัตถดุ ิบ อัตราสว่ น / รูปภาพ หนว่ ย 1. ผกั ตบชวาแบบบดแหง้ 500 กรัม 2. มลู วัว 500 กรมั 3. มลู ไสเ้ ดือน 500 กรัม 4. หวั เช้ือจลุ ินทรีย์ (EM) 50 มลิ ลลิ ติ ร 5. น้ำสะอาด 5 ลิตร สตู รที่ 4 แบบบดหมกั ผสมรวม ตารางท่ี 4.35 แสดงอัตราส่วนผสมผกั ตบชวาแบบบดหมักผสมรวม ลำดับ วัตถุดบิ อัตราสว่ น / รปู ภาพ หนว่ ย 1. ผกั ตบชวาแบบบดแหง้ 500 กรมั 2. ขยุ มะพร้าว 500 กรัม 3. แกลบดำ 500 กรมั 4. มลู ววั 500 กรมั 5. มลู ไสเ้ ดือน 500 กรมั 6. หวั เชอ้ื จลุ นิ ทรีย์ (EM) 50 มิลลลิ ติ ร 7. น้ำสะอาด 5 ลิตร

165 ขั้นตอนและวิธีการหมกั ปุ๋ย 1. ดำเนนิ การจดั เตรียมวัสดุและอุปกรณต์ ่าง ๆ ให้ครบถ้วน จากนนั้ นำวัตถุดบิ และส่วนประกอบ สำคัญในการหมกั มาชัง่ น้ำหนักดว้ ยตราชง่ั ดจิ ิตอล โดยกำหนดนำ้ หนักของวัตถดุ บิ ในอัตราสว่ นท่ีเทา่ ๆ กันคอื ปริมาณ 500 กรมั ดังภาพประกอบต่อไปนี้ ภาพท่ี 4.25 นำผกั ตบชวาบดแหง้ มาช่ังนำ้ หนักดว้ ยตราชั่งดจิ ิตอล ท่ีมา : มนชยั สวา่ งแจ้ง 2. ดำเนินการตวงหวั เช้อื จลุ นิ ทรีย์ (EM) ดว้ ยสล่ิงยาขนาด 10 มลิ ลลิ ิตร โดยกำหนดอัตราส่วนทต่ี ้อง ใช้ปรมิ าณ 50 มิลลลิ ิตร แล้วนำไปผสมเขา้ กับน้ำสะอาดปริมาณ 5 ลติ รดังภาพประกอบตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 4.26 การตวงหัวเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ์ (EM) ทมี่ า : มนชยั สวา่ งแจง้

166 3. ดำเนินการผสมวัตถดุ ิบและหัวเช้อื จุลนิ ทรีย์ (EM) ด้วยวธิ กี ารคลกุ เคล้าเขา้ ดว้ ยกัน เม่ือวตั ถุดบิ และหัวเช้อื จลุ นิ ทรีย์ (EM) รวมถงึ ส่วนประกอบสำคัญตา่ ง ๆ นัน้ รวมเขา้ กันดแี ลว้ จงึ จะตักใส่กระสอบ ดังภาพประกอบต่อไปนี้ ภาพท่ี 4.27 กระบวนการหมักปุ๋ย ท่ีมา : มนชยั สว่างแจ้ง 4. ดำเนินการหมักไวเ้ ป็นระยะเวลา 7 วันหรือ 1 สัปดาห์ ระหว่างน้ันในทุก ๆ วัน ใหด้ ำเนินการกลบั ดา้ นของกระสอบทุกวัน

167 4.1.10 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลกระบวนการผลติ กระถางเพาะปลูกจากผักตบชวา ตารางท่ี 4.36 แสดงอัตราส่วนผสมผักตบชวากับกาวแป้งเปียก (จากแปง้ มันสำปะหลัง) ลำดบั วัตถดุ ิบ/กาวประสาน อตั ราส่วน / รูปภาพ หนว่ ย(กรัม) 1 ผกั ตบชวา 200 กรัม 2 กาวแปง้ เปยี ก (จากแปง้ 100 กรมั มนั สำปะหลัง) ตารางท่ี 4.37 แสดงอัตราสว่ นผสมผักตบชวากบั กาวพลาสติกชนดิ โพลสี ไตรนี (Polystyrene : PS) ท่ไี ด้จากสารละลายอะซโี ตน (Acetone) ลำดับ วตั ถดุ ิบ/กาวประสาน อตั ราส่วน / รปู ภาพ หนว่ ย(กรัม) 1 ผกั ตบชวา 200 กรมั 2 กาวพลาสตกิ ชนดิ โพลสี 100 กรมั ไตรนี ขนั้ ตอนการทดลอง ภาพท่ี 4.28 กระบวนการเตรียมวสั ดุ ที่มา : มนชยั สว่างแจ้ง

168 1. ดำเนินการเตรยี มผกั ตบชวาบดแหง้ ทีผ่ า่ นกระบวนการหมกั ปยุ๋ เรียบร้อยแลว้ นำมาชง่ั ในอตั ราส่วน 500 กรัม จากนั้นผสมกบั กาวประสานแลว้ คกุ เคลา้ เข้าด้วยกนั ภาพท่ี 4.29 ภาพกระบวนอัดลงแมพ่ มิ พ์ ท่มี า : มนชยั สว่างแจ้ง 2. นำวสั ดุที่ผ่านการคกุ เคลา้ เข้ากับกาวประสานเป็นทีเ่ รียบรอ้ ยแลว้ มาอดั ลงแม่พมิ พ์ตามรูปทรงที่ เตรยี มไว้ ภาพท่ี 4.30 ภาพการตากวสั ดุ ทมี่ า : มนชยั สว่างแจง้ 3. เมอ่ื ทำการอดั ลงแม่พิมพ์เรยี บรอ้ ย ให้นำไปตากแดดประมาณ 1 – 3 วันจนแห้งสนิทแลว้ จงึ นำมา แกะออกจากแม่พิมพ์ แลว้ นำมาประกอบเข้าดว้ ยกัน

169 ภาพท่ี 4.31 ภาพกระถางตน้ ไม้จากผักตบชวา ทีม่ า : มนชยั สวา่ งแจง้ 4. จะไดก้ ระถางตน้ ไมจ้ ากผกั ตบชวาทผ่ี า่ นกระบวนการหมักปยุ๋ เหมาะสำหรับเพาะปลกู ตน้ ไม้ เมื่อ ยอ่ ยสลายสารอาหารทจ่ี ากผักตบชวาจะเป็นประโยชนต์ ่อการเจริญเตบิ โตของพชื ชนดิ ต่าง ๆ จากกระบวนกระบวนการผลิตกระถางเพาะปลูกจากผักตบชวา ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษา ตัวแปรที่ได้จากกาวเชื่อมประสาน 2 ลักษณะคือกาวแป้งเปียก (จากแป้งมันสำปะหลัง) และกาว พลาสติกชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) ที่ได้จากสารละลายอะซีโตน (Acetone) พบว่ากาว แป้งเปยี ก (จากแปง้ มนั สำปะหลัง) จะทำใหช้ ิ้นงานมลี ักษณะไม่คงสภาพ ใชร้ ะยะเวลาในการคงสภาพ มาก คอื 1 สัปดาห์ แต่ชนิ้ งานจะยอ่ ยสลายได้ง่าย และไมท่ ำลายสิง่ แวดล้อม สารอาหารท่ีพืชจะได้รับ จากปยุ๋ ผกั ตบชวาทำได้ดี สำหรับกาวพลาสติกชนิดโพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) ให้ผลลัพท์ ด้านการแห้งและคง สภาพได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ระยะเพียง 1 – 2 ชั่วโมง พื้นผิวไม่มีการหดตัวแต่อย่างใด มีลักษณะ ราบเรียบ มีความทนทานและน้ำหนักเบา แต่จะย่อยสลายตามอายุการใช้งานของพลาสติกซึ่งจะใช้ ระยะเวลาทนี่ านกว่ากาวแปง้ เปียก (จากแปง้ มนั สำปะหลงั ) และพืชอาจไม่ไดร้ ับสารอาหารผักตบชวา

170 4.1.11 การวิเคราะหข์ ้อมูลกระบวนการผลิตแผน่ วัสดทุ ดแทนจากผักตบชวา ตารางที่ 4.38 แสดงอัตราส่วนผสมผกั ตบชวากบั กาวแป้งเปยี ก (จากแปง้ มันสำปะหลงั ) ลำดบั วัตถดุ บิ /กาวประสาน อัตราส่วน / รูปภาพ หนว่ ย(กรมั ) 1 ผกั ตบชวา 500 กรัม 2 กาวแป้งเปยี ก (จากแปง้ 500 กรมั มันสำปะหลัง) ตารางที่ 4.39 แสดงอัตราสว่ นผสมผกั ตบชวากับกาวพลาสตกิ ชนดิ โพลสี ไตรีน (Polystyrene : PS) ทไ่ี ด้จากสารละลายอะซีโตน (Acetone) ลำดับ วตั ถุดิบ/กาวประสาน อตั ราสว่ น / รปู ภาพ หน่วย(กรัม) 1 ผักตบชวา 500 กรมั 2 กาวพลาสตกิ ชนดิ โพลสี 500 กรมั ไตรีน ข้นั ตอนการทดลอง ภาพท่ี 4.32 การเตรยี มวสั ดุ ทม่ี า : มนชยั สว่างแจง้

171 1. ดำเนนิ การเตรียมวัสดุโดยการชั่งน้ำหนกั 5000 กรมั จากน้นั ผสมกับกาวประสานแล้วคกุ เคล้าเข้า ด้วยกนั ภาพท่ี 4.33 กระบวนการอักวัสดลุ งแมพ่ ิมพ์ ท่มี า : มนชัย สวา่ งแจ้ง 2. นำวัสดุที่ผ่านการผสมกับกาวประสานแล้ว ทำมาอัดขึ้นรูปในแม่พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 20 X 20 เซนติเมตร แล้วตากแดดไว้ประมาณ 1 – 3 วัน เพื่อใหแ้ หง้ สนิทแลว้ จงึ จะนำไปใช้ประโยชน์ ภาพที่ 4.34 แผ่นวสั ดจุ ากผักตบชวา ทมี่ า : มนชยั สว่างแจ้ง