Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยานิพนธ์การศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์

วิทยานิพนธ์การศึกษาและพัฒนากระบวนการใช้ประโยชน์จากผักตบชวาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์

Published by มนชัย สว่างแจ้ง, 2020-10-13 21:46:31

Description: STUDY AND DEVELOPMENT OF THE UTILIZATION PROCESS OF WATER HYACINTHS TO DESIGN PRODUCTS

Keywords: ออกแบบผลิตภัณฑ์,กระบวนการใช้ประโยชน์

Search

Read the Text Version

36 2.3.1 การขึน้ รปู แผ่น (Web formation) เป็น ขัน้ ตอนการกระจายและโรยเส้นใยลงบนวัสดุ รองรับ เพื่อทำให้เป็นแผ่น (web) โดยเส้นใยที่ใช้อาจอยู่ใน รูปเส้นใยโดยตรง (เทคนิคดราย-เลด (dry- laid) และเว็ตเลด (wet-laid)) หรือทำการขึ้นรูปเส้นใย จากเม็ดพลาสติกแล้วจึงโรยขึ้นรูปเป็นแผ่น (เทคนิค การปั่นหลอม (melt spinning)) เส้นใยที่ใช้สำหรับ เทคนิคดราย-เลด และเว็ต-เลด ส่วนใหญ่ จะเปน็ เส้นใยส้ันโดยใชล้ มและน้ำ (ตามลำดับ) เป็นตวั กลาง ในการกระจายเสน้ ใยลงบนวัสดุเพ่ือข้ึนรูป เป็นแผน่ นอนวูฟเวน สว่ นเทคนิคการปนั่ หลอมมีวธิ กี ารคือ ใช้ เส้นใยยาวท่ขี ึ้นรูปจากเม็ดพลาสติกท่ีถูก หลอมเหลว และอัดผ่านหัวฉีดจะถูกโรยอย่างต่อเนื่องลงบน สายพานที่เคลื่อนที่เพื่อขึ้นรูปเป็นแผ่น นอนวูฟเวน 2.3.2 การยึดเส้นใยในแผ่น (Bonding process) เป็นขั้นตอนการยึดตรึงเส้นใยในแผ่นไว้ ด้วยกันเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของแผ่น สามารถ ทำได้โดยวิธีต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่อลักษณะและความ แข็งแรงของแผน่ นอนวฟู เวนที่ได้ 2.3.2.1 วธิ ีการเชือ่ มยดึ ความรอ้ น (Thermal bonding) เชน่ ใชล้ กู กลิ้งร้อน (hot calendars) และลมร้อน (hot air) เพื่อให้บางส่วนของเสน้ ใย (หรือเมด็ กาวพลาสตกิ ) มีการหลอม และ ยึดติดกัน ภายหลังทำให้เย็นตัวลง การใช้ลูกกลิ้งร้อนจะทำให้ แผ่นนอนวูฟเวนที่ได้มีลักษณะเป็นแผ่น แบนที่มีความ แข็งแตกต่างกัน ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่ สัมผัสของลูกกลิ้งร้อนบนแผ่น นอนวฟู เวน หากลกู กลิง้ ที่ใช้เปน็ ลกู กล้ิงเรยี บซึง่ สมั ผสั นอนวฟู เวนทว่ั ทัง้ แผ่นกจ็ ะทำใหไ้ ด้แผ่น นอนวูฟเวนท่ี แบนเรียบ มีความแข็งแรงสงู หากใช้ลกู กล้ิงที่มีพื้นท่ี สัมผัสนอ้ ยลง เช่น เป็นลายนูนก็จะ ทำใหม้ ีการยึด ตรึงเสน้ ใยเฉพาะตำแหน่ง นอนวูฟเวนท่ีได้กจ็ ะมี ความฟมู ากขน้ึ มสี ัมผัส และการโค้งงอ ที่ดีขึ้น แต่ ความแข็งแรงน้อยลง เช่นเดียวกับในกรณีที่ใช้ลม ร้อนแทนการใช้ลูกกลิ้งจะทำให้ได้แผ่น นอนวูฟเวนที่มี ลักษณะฟูมากขึ้น มีสัมผัสความนิ่มและโค้งงอได้มาก ขึ้น แต่ความแข็งแรงก็น้อยลง เชน่ กัน ดังนน้ั เทคนคิ ทเ่ี ลอื กใชจ้ งึ ขนึ้ อยกู่ ับลักษณะและสมบตั ิของนอนวูฟเวนท่ตี ้องการ 2.3.2.2 วิธกี ารเช่อื มยดึ ดว้ ยเคมี (Chem ica l bonding) เชน่ ใชก้ าวท้ังในรูปของ สารละลายกาว โฟมกาว หรือสเปรย์กาว ในการเชื่อมยึดเส้นใย นอนวูฟเวนท่ีทำการยึดดว้ ยสารละลาย กาวจะมี ลักษณะเป็นแผ่นเรียบแบนและแข็ง ในขณะที่นอนวูฟเวนที่ใช้โฟมกาวหรือสเปรย์กาวจะมี ความหนาฟู มีความนมุ่ และคนื ตัวไดด้ ี 2.3.2.3 วธิ ีการเชอ่ื มยึดด้วยกระบวนการทางกล (Mechanical bonding) เช่น การ ปกั ด้วยเขม็ ปัก (needle punching) และการปักดว้ ยเข็มน้ำ (hydroentanglement) เปน็ ตน้ นอนวูฟ เวนที่ใช้ เทคนิคปักดว้ ยเข็มปกั ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเปน็ แผ่น หนาและแข็ง มีความแข็งแรงสูง ในขณะ ทน่ี อนวูฟเวนทใ่ี ชเ้ ข็มนำ้ ในการยึดเส้นใยจะมีความนิม่ คลา้ ยผ้า

37 2.3.3 การตกแต่งสำเร็จ (Finishing process) เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มลักษณะและ สมบัติพิเศษอื่น ๆ ให้แผ่นนอนวูฟเวน เช่น การย้อม สี เพิ่มความนุ่ม กลิ่นหอม สัมผัสความนูน สมบัติ หนว่ งไฟ ป้องกันไฟฟ้าสถิต เปน็ ต้น ซ่ึงสามารถ ทำได้โดยวธิ ีทางกายภาพและทางเคมี 2.3.4 ประเภทของนอนวูฟเวน มีหลากหลาย ประเภทขึ้นอยู่กับการเลือกใช้เทคนิคในการ ขน้ึ รปู แผน่ และเทคนคิ การยึดเส้นใยในแผน่ ในที่น้จี ะขอยกตวั อย่างของนอนวฟู เวนบางประเภทดังนี้ 2.3.4.1 ดราย-เลดนอนวฟู เวน (Dry-laid nonwovens) เปน็ กลุม่ ของนอนวูฟเวนที่ มีการขึ้นรูป แผ่นจากเส้นใยสั้น (เช่น เส้นใยธรรมชาติและเส้นใย ประดิษฐ์) โดยทำการกระจายเส้นใย สั้นให้มีความสม่ำเสมอแล้วโรยกระจายลงบนสายพานเพื่อขึ้นรูป เป็นแผ่นนอนวูฟเวน อาจมีขั้นตอน การสางเสน้ ใย (carding) เพอ่ื ทำใหเ้ ส้นใยมคี วามสม่ำเสมอและจดั เรียงตัวดีขนึ้ แลว้ จึงทำการยึดเส้นใย ในแผ่นด้วย เทคนิคต่าง ๆ เช่น การยึดเชื่อมด้วยความร้อน การ ยึดเชื่อมด้วยเคมี การปักด้วยเข็มปัก (needle punch) และการปักด้วยเข็มน้ำ (hydroentanglement) นอนวูฟเวนแบบ ปักด้วยเข็มปัก (needle-punched nonwoven) ก็ จัดอยู่ในกลุม่ นีเ้ ชน่ กันโดยมีการใช้งานใน พรมรองพนื้ และฉนวนบุ ผนงั ในรถยนต์ สิง่ ทอธรณี (geotextiles)1 ฉนวน และผิวลกู เทนนิส เปน็ ตน้ 2.3.4.2 เวต็ -เลดนอนวฟู เวน (Wet-laid nonwovens) เป็นกลุ่มของนอนวูฟเวนทีม่ ี การขนึ้ รูป จากเส้นใยส้นั ซงึ่ มีขนาดส้ันกว่าที่ใช้ในดราย-เลดนอนวูฟเวน เส้นใยที่ใชอ้ าจเป็นชนิดอินทรีย์ และอนินทรยี ์ เช่น เสน้ ใยแกว้ ก็ได้ ในการผลติ จะ ทำการกระจายเส้นใยในนำ้ แลว้ จงึ โรยลงบนสายพาน ตะแกรงเพื่อขึ้นรูปเป็นแผ่นนอนวูฟเวน นอนวูฟเวน ประเภทนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกระดาษคือ มี โครงสร้างที่แน่น (ความหนาแน่นสูง) มีสมบัติเด่น คือ การดูดซับที่ดี การยึดเส้นใยในแผ่นส่วนใหญ่ใช้ เทคนิคการเชือ่ มยึดดว้ ยเคมี และการเช่อื มยึดด้วย ความร้อน ปัจจุบันใชก้ ารปกั ด้วยเขม็ นำ้ ดว้ ย ตัวอย่าง การใช้งาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับเช็ด ทำความสะอาด (wipes) กระดาษกรองกาแฟ (coffee filter) ไส้กรอง แผ่นแยกในแบตเตอร่ี (battery separator) เปน็ ตน้ 2.3.4.3 สปันบอนด์นอนวูฟเวน (Spunbond nonwovens) เปน็ กลมุ่ นอนวฟู เวนที่ มีการขึ้นรูป เส้นใยจากเม็ดพลาสติกโดยตรง โดยการหลอมเม็ด พลาสติกด้วยเครื่องหลอมอัดรีด (extruder) แล้ว ทำการอัดพอลิเมอร์หลอมผ่านหัวฉีดเส้นใยเพื่อให้เป็น เส้นใยยาวต่อเนื่องโรยลงบน สายพานเพอื่ ข้ึนรูปเปน็ แผ่น ดังนน้ั นอนวฟู เวนประเภทน้ีจึงทำ จากเสน้ ใยประดษิ ฐเ์ ท่าน้ันไม่สามารถใช้ เส้นใย ธรรมชาติในการขึ้นรูปได้ พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้ ได้แก่ พอลิโพรพิลีน พอลิเอสเทอร์ ไนลอน และ พอลิยูรีเทน เทคนิคที่ใช้ในการยึดเส้นใยในแผ่นส่วนใหญ่ เป็นเทคนิคการเชื่อมยึดด้วยความร้อน การเชื่อมยึด ด้วยเคมี และการปักด้วยเข็มน้ำ นอนวูฟเวนในกลุ่ม นี้มีลักษณะที่หลากหลายตั้งแต่เบา บางและโค้งงอได้ ไปจนถึงแผ่นที่หนาหนักและแข็ง ในกรณีที่ทำการยึด เส้นใยด้วยเทคนิคการปักด้วย เข็มน้ำ นอนวฟู เวนทไ่ี ด้ จะเรยี กวา่ สปนั เลซ (spunlace) ซึ่งมีลักษณะอ่อน นม่ิ และโค้งงอคล้ายผ้ามาก ที่สุด ตัวอย่างการใช้งาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อม อนามัยภัณฑ์และการแพทย์ (ชุดผ่าตัดของแพทย์

38 หน้ากากอนามัย วัสดุเช็ด ทำความสะอาด) และบรรจุภัณฑ์(ซองบรรจุแผ่นซีดี ซองบรรจุเครื่องมือ แพทย)์ เปน็ ตน้ 2.3.4.4 เมลตโ์ บลนนอนวูฟเวน (Meltblown nonwovens) เป็นกลุ่มนอนวูฟเวนอีก กลุ่มหนึ่งที่มี การขึ้นรูปเสน้ ใยจากเม็ดพลาสติกโดยตรงเช่นเดียว กับสปันบอนด์นอนวูฟเวน แต่มีความ แตกต่างคือ เส้นใยจะมีลักษณะเล็กละเอียดในระดับนาโนเมตรไมโครเมตร แต่ไม่เป็นเส้นยาวต่อเนื่อง ทงั้ นี้ เนอ่ื งจากพอลิเมอรห์ ลอมจากเคร่ืองหลอมอดั รดี จะ ถูกสง่ ผ่านไปยงั หวั ฉีดซ่งึ ถกู ออก แบบให้มลี มร้อนอยู่ รอบรขู องหวั ฉีด ทำให้พอลิเมอรห์ ลอมที่ไหลผา่ นรู ของหวั ฉีดถูกพ่นกระจายด้วยลม ร้อนที่มีความเร็วสูง เส้นใยจึงมีขนาดเล็กละเอียด แต่เนื่องจากเส้นใยไม่มี โอกาสที่จะไหลผ่านรูของ หัวฉีดอย่างต่อเนื่อง และถูก ดึงยืดเป็นเส้นใยยาวเหมือนในกรณีของสปันบอนด์ ทำให้เส้นใยของ นอนวูฟเวนแบบเมลต์โบลนน้ีไม่มี ความแขง็ แรง และเสน้ ไมย่ าวต่อเนื่อง เส้นใย ละเอียดจะถูกพ่น และ เย็นตัวบนสายพานเป็นแผ่น นอนวูฟเวน เทคนิคที่ใช้ในการยึดเส้นใยในแผ่นส่วน ใหญ่เป็นเทคนิคการ เชือ่ มยดึ ด้วยความรอ้ น การ เชือ่ มยึดดว้ ยเคมี และการปักด้วยเข็มน้ำ แผ่นนอนวฟู เวนแบบเมลตโ์ บลนนี้ มีความแข็งแรงน้อยจงึ ต้อง ใช้งานร่วมกับวสั ดุหรือนอนวูฟเวนชนิดอื่น และจาก สมบัติเส้นใยที่มขี นาด เล็กละเอียดมากจึงมักใช้ในงาน กรอง เช่น ไส้กรอง แผ่นกรองในหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ด้าน การแพทย์ และฉนวน เป็นตน้ เมลต์โบลนลงบนแผน่ สปันบอนด์ จากนน้ั แผน่ คอมโพสิตท่ีได้จะถูกส่งต่อ ตามสายพานไปยงั ระบบ สปันบอนดท์ ีส่ องเพ่ือทำการข้นึ รูปแผ่นลงบนชนั้ ของแผ่น สปันบอนด์-เมลต์โบ ลน ก่อนที่แผ่นคอมโพสิตสปันบอนด์-เมลต์โบลน-สปันบอนด์ (SpunbondMeltblown-Spunbond, SMS) จะถูกทำใหย้ ึดติด กันมากขนึ้ โดยการรีดผา่ นลูกกลิ้งรอ้ น 2.4 ศึกษาขอ้ มลู เกี่ยวกบั การออกแบบ 2.4.1 ความหมายของการออกแบบ การออกแบบมีมานานตั้งแต่ได้มีการสร้างงานศิลปะขึ้น เดิมเป็นหลักเกณฑ์สำหรับใช้เป็น พื้นฐานสำหรับงานสร้างสรรค์ทั่วไป หลักของการออกแบบมิได้มีหลักเกณฑ์ตายตัว แต่เป็นเพียง แนวทางของความคิดสำหรับนักออกแบบ เพ่ือสร้างสรรค์งานศลิ ปะใหม้ ีรูปแบบตามท่ีได้จินตนาการไว้ การออกแบบโดยเฉพาะเก่ียวกับการสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ งานนนั้ จะตอ้ งมาจากความ ม่งุ หมายท่ีวางไว้ การออกแบบ หมายถึง การจัดระเบยี บ หรือวางผังอย่างตัง้ ใจสำหรบั ทวี่ ่าง เร่ืองราวหรือ กิจกรรมตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ การเสนอแนะเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น (Baxter, 1995)

39 การออกแบบ หมายถึง กระบวนการคิดค้นข้ามสาขาวิชา ซึ่งมนุษย์ค้นหา นอกจากเพื่อ สร้างความพึงพอใจให้ตนเองแลว้ ยังเพื่อความต้องการของคนอืน่ ๆ การออกแบบเป็นสาขาที่เกีย่ วกับ ประสบการณ์ ความชำนาญ และความรู้ ซึ่งสะท้อนถึงความเอาใจใส่ต่อการปรับเปลี่ยน สภาพแวดล้อมให้เป็นไปตามความต้องการทางด้านวัตถุและจิตใจ เฉพาะอย่างยิ่งมันเกี่ยวข้องกับการ จัดเรื่องการจัดองค์ประกอบ ความหมาย คุณค่าและจุดมมุ่งหมายในเงื่อนไขที่มนุษย์กำหนดขึ้น (Horold, 1974) การออกแบบเป็นแนวความคิดที่ซับซ้อน มันเป็นทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ของ กระบวนการนั้น ๆ ในลกั ษณะท่เี ป็นรปู รา่ ง รปู แบบ และความหมายของสิง่ ของท่ีถกู ออกแบบขึน้ มา การออกแบบ เป็นการรู้จักวางแผนจัดขั้นตอนและรู้จักเลือกใช้วัสดุ วิธีการเพื่อทำตามที่ ต้องการนั้น โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบ และคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตามความคิด สร้างสรรค์ เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา เช่น เราจะทำเก้าอี้นั่งสักตัว เราต้องวางแผนไว้ เป็น ขั้นตอน โดยเริ่มเลือกวัสดุว่าจะใช้อะไร วิธีการต่อยึด คำนวณสัดส่วนการใช้ให้เหมาะสม ความ แข็งแรง สีสัน เปน็ ต้น การออกแบบ หมายถงึ การปรบั ปรงุ แบบ ผลงานหรอื สง่ิ ต่าง ๆ ทมี่ อี ยูแ่ ล้วให้เหมาะสม ให้ มีความแปลกความใหม่เพิ่มขึ้น เช่น เก้าอี้เราสร้างเสร็จและใช้ไปนาน ๆ เกิดการเบื่อหน่ายในรูปทรง เราก็จัดการปรับปรุงให้รูปแบบใหม่ให้สวยกว่าเดิม แปลกกว่าเดิม แต่ความเหมาะสม ความ สะดวกสบายเหมือนเดมิ หรือดีกว่าเดมิ เปน็ ต้น การออกแบบ หมายถงึ การรวบรวมหรอื การจัดองค์ประกอบท้งั ที่เปน็ 2 มิติ และ 3 มิติ เข้ากันด้วยอย่างมีหลักเกณฑ์ ในการนำองค์ประกอบของการออกแบบมาจัดรวมกัน ผู้ออกแบบ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยและความงามอันเป็นคุณลักษณะสำคัญจะพึงมีของการออกแบบ การ ออกแบบเป็นศิลปะของมนุษยเ์ นื่องจากเป็นการสรา้ งค่านยิ มทางความงาม ตอ้ งสนองคุณประโยชน์ทาง กายภาพให้แก่มนษุ ย์ การออกแบบเป็นวิชาที่ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการวิเคราะห์ การสร้างสรรค์และการปรับปรุง ผลติ ภณั ฑ์เพอ่ื การผลิตเป็นจำนวนมาก ใหไ้ ด้รูปร่างที่ถูกต้องแนน่ อนก่อนท่ีจะลงทนุ จำนวนมากเพื่อจัด อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมอื การผลิต และผลิตไดใ้ นราคาพอสมควรท่ีผ้ซู อื้ พอจะซื้อได้ การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คือ การวิเคราะห์หาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ใช้ สอยของผลิตภัณฑ์ ข้อมูลเกี่ยวกับการตลาด แล้วนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อผลิตเป็นจำนวนมาก ใหอ้ ยูใ่ นความนยิ มของตลาดในราคาพอสมควร เฟอร์นิเจอร์ หมายถึง เครื่องตกแต่งบ้านพักอาศัยหรืออาคาร มีประโยชน์ใช้สอย มีความ สะดวกสบายในการใช้ เป็นต้น เฟอร์นิเจอร์เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทผลิตภัณฑ์อุปโภค ได้แก่ โต๊ะ อาหาร โต๊ะทำงาน ตู้ใส่เสื้อผ้า ตู้เครื่องเสียง เตียงนอน กล่องเก็บของ เก้าอี้ หิ้งหนังสือ และชั้น วางของ เป็นต้น

40 2.4.2 หลักการออกแบบทั่วๆไป การออกแบบทั่ว ๆ ไปโดยเฉพาะทางด้านผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นักออกแบบจะต้อง พจิ ารณาในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้ 2.4.2.1 หน้าที่ใช้สอย (Function) การออกแบบเหมาะกับการใช้งานสามารถทำ หนา้ ทไ่ี ด้หรือไม่ วตั ถปุ ระสงค์จะต้องเหมาะกับประโยชนก์ ารใช้สอยและการใชง้ าน 2.4.2.2 ความปลอดภัย (Safety) ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้และ ผเู้ กี่ยวข้องด้วย 2.4.2.3 ความทนทาน (Durability) ต้องสนองตอ่ หน้าท่ไี ดเ้ ปน็ เวลานานตามทีค่ ิดไว้ คือ สิ่งที่สร้างจะต้องแข็งแรงด้วย บ่อยครั้งการใช้วัสดุหนักเกินไปเมื่อนำเอาชิ้นส่วนมาประกอบเข้า ดว้ ยกนั จะไดง้ านทห่ี นกั มากเกินไป และดูไมเ่ หมาะต่อการใช้งาน 2.4.2.4 การประหยัด (Economic) สามารถที่จะผลิตได้ในระบบการเศรษฐศาสตร์ หมายความว่า จะต้องใช้วัสดุอยา่ งประหยัดและเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับงานโดยที่ราคาไม่แพง มัน จะเป็นการสูญเปล่าที่จะนำสิ่งของให้มีความทนทานมากกว่าหน้าที่ของมัน ความต้องการของงาน ทางด้านการประหยดั นนั้ ต้องการวสั ดทุ ีห่ าได้ง่าย ผลติ ไดง้ ่าย และสามารถถอดประกอบเขา้ ด้วยกนั ได้ 2.4.2.5 วสั ดุ (Material) ต้องเลือกใช้วสั ดุทเี่ หมาะสมกับงาน มีความทนทานและ ประหยัด โลหะแต่ละชนิดมีความเหมาะสมในการนำไปใช้งานต่างกันไป มีความสวยงามในตัวมันเอง เช่น ทองแดง ทองเหลือง สแตนเลท และอะลูมิเนียม ต่างก็มีพื้นผิวงามตามธรรมชาติ ก่อน นำ โลหะมาใชท้ ่านต้องแนใ่ จวา่ วิธีการที่ไม่ยุ่งยาก การขนึ้ รปู ทำให้โคง้ ทำรูปรา่ งและเชอ่ื มสะดวกและงา่ ย 2.4.2.6 โครงสร้าง (Construction) วธิ ีการทำโครงสร้างของเฟอร์นเิ จอร์แตล่ ะชนดิ ควรทำให้เหมาะกับงาน มีความทนทาน ประหยัดและใช้วัสดุที่เหมาะสม และการออกแบบนี้เป็น อมตะที่เรารู้จักการเลือกใช้วิธงี ่ายๆ ในการทำจะทำให้มีความเหมาะสมกว่าวิธีการยุ่งยาก และควรจะ เป็นวิธกี ารที่เหมาะสมแกว่ สั ดุท่ใี ชด้ ้วย 2.4.2.7 ความสะดวกสบายในการใช้ (Ergonomic) หมายถึง ต้องคำนึงถึงสัดส่วน ทเี่ หมาะสมในการใชง้ าน ขนาดความสูง และการออกแบบนเี้ ป็นอมตะ 2.4.2.8 ความสวยงาม (Beauty) เมอ่ื มันมีรูปร่างและขนาดเหมาะกบั การใช้งาน ขนาดความสงู กว้าง ยาว และขดี จำกัดของประกอบการออกแบบ เช่น การหยบิ ใช้คล่อง 2.4.2.9 ลักษณะเฉพาะ (Personality) อาจจะได้คะแนนสูงในเรื่องของคุณภาพ แต่จริง ๆ แล้ว ยังขาดในเรื่องลักษณะเฉพาะของมัน การมีลักษณะเฉพาะจะมีความรู้สึกกับนัก ออกแบบท่ีเขาได้ทำการออกแบบขนึ้ มาดว้ ยตนเอง มีลกั ษณะเป็นอสิ ระเพอ่ื จะไดแ้ สดงว่า นกั ออกแบบ ไดว้ ิเคราะหป์ ญั หาอยา่ งจริงจงั ซ่งึ เปน็ การเพ่ิมคณุ ภาพของงาน 2.4.2.10 กรรมวิธีการผลติ (Production) เม่อื ทำการออกแบบแล้วสามารถจะทำ การผลติ ได้งา่ ย การผลติ โครงการทที่ ำในโรงปฏิบตั งิ านแตล่ ะชิน้ ส่วนควรใชร้ ว่ มกันไดเ้ ปน็ อย่างดี

41 2.4.2.11 การซอ่ มบำรุงรักษา (Easy of Maintenance) เมอื่ นำไปใชง้ านได้รบั ความเสียหาย ควรสามารถแก้ไขและซ่อมแซมได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเมอ่ื มีการชำรดุ เสยี หาย ค่าบำรุงรักษา และการสึกหรอตำ่ 2.4.2.12 การขนสง่ (Transportation) นักออกแบบตอ้ งคำนงึ ถงึ ความปลอดภัย การขนส่ง จะต้องขนส่งสะดวก จะตอ้ งคำนงึ ถึงการขนส่งทางบก ทางนำ้ หรือทางอากาศ ต้องบรรจุ หบี หอ่ ที่จะไมท่ ำใหผ้ ลติ ภณั ฑ์เสียหาย ตลอดจนการพจิ ารณารถขนสง่ มีขนาดกว้าง ยาว และสูง 2.4.3 หลักการออกแบบดา้ นความสวยงาม 2.4.3.1 พ้ืนฐานทางศิลปะ ความสวยงามของเฟอร์นเิ จอรน์ ั้น ยอ่ มหมายถึง รูปทรง (Form) สวยงาม สสี นั (Color) สวยงาม มีลวดลาย (Pattern) และพื้นผิว (Texture) สวยงาม การออกแบบให้เกิดความ สวยงามนั้น เป็นศิลปะ (Art) ไม่สามารถใช้มาตราส่วน หรือหน่วยวัดใด ๆ มาวัดกำหนดได้ ซึ่งต่าง จากการออกแบบทางด้านประโยชน์ สามารถคำนวณหรือกำหนดเป็นมาตราส่วนได้ เช่น กำหนด ความสูง ความกว้าง ความยาว กำหนดให้ใช้นั่งกี่คนก็สามารถคำนวณน้ำหนักของคนคูณด้วยจำนวน คนนั่ง ก็จะได้น้ำหนักรวมเพื่อกำหนดขนาดสัดส่วนและการวางโครงสร้างของเฟอร์นิเจอร์นั้น ๆ ได้ รวมความแล้ว ความสวยงามของรูปทรง สีสัน และลวดลายนั้นวัดกันด้วยความรู้สึกของมนุษย์เป็น สำคัญ ฉะนั้นจะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวของนักออกแบบเป็นสำคัญ องค์ประกอบท่ี สำคัญคือต้องมีประสบการณ์ มีระยะเวลาในการฝึกฝนจึงจะเป็นผู้สร้างออกแบบรูปทรง สี สัน ลวดลายได้สวยงามและมีคุณค่าแต่ก่อนจะถึงขั้นที่จะออกแบบได้ดีนั้นนักออกแบบทุกคนก็ต้องเรียนรู้ หลักพ้ืนฐานทางศลิ ปะเหมอื น ๆ กัน คือ (1) ความกลมกลนื (Harmony) หมายความว่า ในการออกแบบอะไรก็ แล้วแต่จะมีองค์ประกอบหลายๆ ส่วนประกอบเข้าด้วยกันจำเป็นจะต้องทำให้ส่วนต่างๆ นั้นมีความ กลมกลืนกันไม่ควรจะขัดแย้งกันจึงจะเกิดความสวยงาม แต่หลักการในข้อนี้มิได้หมายความว่าต้อง กลมกลืนกันทั้งหมด ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความน่าเบื่อ คล้ายกับการพูด พูดอะไรก็พูดตามกัน พูด เหมอื นกันไปหมด ถ้าเป็นเชน่ น้กี จ็ ะน่าเบื่อ นา่ จะมีคนพูดขดั บา้ งตามบ้าง ก็จะมรี สชาตชิ วี ิตชีวา การ ออกแบบในด้านความกลมกลืนกันกเ็ ชน่ กนั ไม่ควรกลมกลนื ทั้งหมด อาจมกี ารขดั แย้งบ้าง แต่ควรจะ เป็นสัดส่วนพอเหมาะพอควร สิ่งนี้จะต้องทดลองกระทำจึงจะเข้าใจ จะกำหนดเป็นทฤษฎีตายตัว เหมือนกนั ไม่ได้ เพราะความสวยงามนัน้ ถกู วดั ด้วยความรู้สึกนกึ คิดของมนุษย์เป็นหลกั ใหญ่ ความกลมกลืนกันนัน้ อาจเกดิ ขนึ้ ได้ในหลายลักษณะ เชน่ (1.1) กลมกลนื กนั ด้วยรปู แบบ (Style) (1.2) กลมกลืนกันด้วยเส้น (Line) (1.3) กลมกลนื กนั ด้วยลักษณะผิว (Texture) (1.4) กลมกลนื กนั ด้วยสีสนั (Color)

42 (2) จังหวะ (Rhythm) หมายถงึ การวางสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ให้เกดิ เปน็ องคป์ ระกอบของสิ่งต่างๆ ทดี่ ำเนินการออกแบบนน้ั ใหเ้ กิดเป็นจังหวะในตัวของมันเอง เป็นจังหวะต่อ สิ่งอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งจะมีผลให้งานที่ออกแบบมีความรู้สกึ ว่ามีการเคลื่อนที่ มีการหยุดนิ่ง และ ทำให้เนื้อที่ว่าง (Space) มีส่วนสัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ ของชิ้นงานที่ออกแบบนั้น ก็คงไม่แตกต่างไป จากจังหวะของดนตรีนัก อาจจะทำให้มีทั้งจังหวะช้าจังหวะเร็วหรือมีหลายจังหวะรวมกันอยู่ก็ได้ ทำ ให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกได้หลายแบบเมื่อได้ฟังเมื่อได้เห็น เป็นต้น จังหวะก็คล้ายคลึงกับความกลมกลนื คอื สามารถกระทำใหเ้ กดิ ได้หลายลักษณะ เช่น (2.1) จงั หวะของเสน้ (2.2) จังหวะของสีและลวดลาย เปน็ ต้น ฉะนั้นงานออกแบบจะต้องมีจังหวะท่ีดีจึงจะส่งผลในด้านสวยงาม (3) ความสมดลุ (Balance) หมายถงึ การเท่ากันในองคป์ ระกอบของสงิ่ ท่ี ออกแบบนั้น งานออกแบบจำเป็นต้องออกแบบให้มีความสมดุลกันจึงจะเกิดความสวยงามได้ ความ สมดุลสามารถสรา้ งให้เกดิ ความสมดุลได้ 3 วธิ ี คอื (3.1) ความสมดลุ แบบสองขา้ งเทา่ กันทกุ ประการ (Symmetry Balance) หมายถึง ความสมดุลที่มีจุดแบ่งกลาง ตัวอย่างเช่น นำคนยืนหันหน้าตรงแล้วผ่าแบ่งคน ออกเป็นสองส่วนจากศีรษะถึงปลายเท้า จะเห็นได้ว่า ทั้งส่วนทางซ้ายมือและส่วนทางขวามือจะมี ความสมดุลเทา่ กนั ทุกประการ เปน็ ต้น (3.2) ความสมดุลโดยที่สองข้างไมเ่ ท่ากนั (Asymmetry Balance) หมายถึง ความสมดุลเกิดจากเมื่อแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วก็ยังเกิดความสมดุลทั้งที่ทั้งสองข้างไม่ เท่ากนั ดงั ในหวั ข้อท่ี 1) แตเ่ กดิ จากความสมดุลกนั โดยอาศัยปรมิ าตร นำ้ หนัก ขนาด รูปทรง และ อ่ืน ๆ นำมาจดั วางคละเคล้ากัน แตด่ ูด้วยสายตาแลว้ เกดิ ความสมดลุ กนั ได้ (3.3) ความสมดลุ แบบมีจุดหนุน (Rotate Balance) หมายถึง การสมดุลที่เริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางแล้วกระจายไป โดยรอบอาจจะไม่สมดุลเฉพาะส่วนที่อยู่ตรงข้าม กับจุดหมุนเท่านั้น ถ้าหากใช้วิธีแบ่งออกเป็นสองส่วนแบบซ้าย-ขวา หรือบน-ล่าง จะไม่สมดุลกัน เหมือนความสมดลุ ในขอ้ (3.1) (4) ความเน้น (Emphasis) หมายถงึ ในงานออกแบบจำเป็นต้องสร้าง จุดเด่น (Interesting Point) ต้องสร้างให้เห็นจุดประสงค์ของผูอ้ อกแบบว่ามีวัตถปุ ระสงค์ท่ีจะให้เหน็ ส่วนใดอยา่ งไร ให้สามารถถ่ายทอดไปยังผู้ดู ผ้พู บเห็นได้ งานนั้นจึงจะเข้าถึงหลักการออกแบบให้เกิด ความสวยงามได้ การเน้นก็เช่นเดียวกนั กับหัวขอ้ อื่นๆ ท่กี ล่าวข้างตน้ คือ สามารถเน้นได้หลายลกั ษณะ เชน่ (4.1) การเน้นดว้ ยเส้น (4.2) การเนน้ ดว้ ยรปู ทรง (4.3) การเน้นดว้ ยสีสัน ลวดลาย

43 (4.4) การเนน้ ดว้ ยขนาด ปริมาตร เป็นต้น (5) สดั สว่ น (Proportion) หมายถงึ การสร้างความสมั พันธก์ ันระหว่าง ความกว้าง ความยาว ความสูงให้พอเหมาะ จึงจะทำให้สิ่งที่จะออกแบบนั้นมีสัดส่วนที่ดีและมีความ สวยงาม ตัวอย่างเช่น คนที่มีความสงู มาก ๆ หรือคนที่เตีย้ มาก ๆ เราก็ยอมรบั ว่าบุคคลทั้งสองกล่มุ นีม้ ี รูปทรงไม่สวยงามเลย เป็นเพราะความสัมพันธ์ของความกว้าง ความยาว ความสูง ไม่สัมพันธ์กัน เทา่ ทค่ี วรนั่นเอง (6) เอกภาพ (Unity) หมายถงึ การออกแบบช้ินงานให้มคี วามสัมพันธ์ คล้องจองกันต่อเนื่องกันไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะดูส่วนใด ๆ ของชิ้นงานก็สามารถจินตนาการ ส่วนอื่นๆ ของชิ้นงานว่าเป็นแบบใดอย่างไรก็คือ การออกแบบที่ไม่เป็นหัวมังกุท้ายมังกรนั่นเอง งาน ออกแบบนน้ั จงึ จะก่อให้เกดิ ความสวยงามตามหลกั ของศิลปะอยา่ งสมบรู ณ์ สรุปไดว้ ่า พน้ื ฐานทางศิลปะทงั้ 6 ประการดังกล่าวข้างตน้ นบั ว่ามีความ สำคัญต่อนักออกแบบทุกสาขาที่จะต้องศึกษาให้แตกฉาน เพื่อเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์ ผลงานที่ดีออกสูส่ ายตาประชาชน โดยข้อเท็จจรงิ แล้วศลิ ปะน้ันยากท่ีจะหามาตรฐานอันใดมาวัดความ ถูกต้องเหมาะสมได้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและค่านิยมได้ ศิลปะเป็นศาสตร์ที่ไม่ สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ ฉะนั้นในทางออกที่ดีไม่ควรยึดถือกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดนัก เพราะอาจจะถูกบงั คบั ใหอ้ ยู่ในขอบเขตหรือวงทจี่ ำกัดเกนิ ไป จะทำใหไ้ ม่สามารถที่จะหนอี อกไปจากรูป แบบเดิมที่นักออกแบบรุ่นก่อน ๆ ได้ยึดถือรูปแบบเดิมนี้มาแล้ว ควรพยายามใช้ความคิดริเริ่ม ใช้ ประสบการณ์ ใช้ความสามารถที่มีอยู่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่และดีกว่า โดยให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เป็น ตัววัดความคิดและรูปแบบว่าเหมาะสมหรือไม่ ไม่ควรให้เกิดความยุ่งเหยิงและสลับซับซ้อนจนเกินไป ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้นำมาประกอบกัน จึงจะสามารถสร้างสรรค์ความสวยงามให้แก่ชิ้นงานที่จะ ออกแบบใหม่ 2.4.4 หลกั การออกแบบด้านประโยชน์ใช้สอย 2.4.4.1 องคป์ ระกอบสำคัญทท่ี ำให้ผลติ ภัณฑข์ ายดี ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่สามารถขายได้ดีและเป็นที่ต้องการของลูกค้านั้นย่อมจะต้องประกอบด้วย องคป์ ระกอบท่สี ำคญั 3 ประการ คอื (1) ประโยชนใ์ ช้สอยดี หมายถึง การนำผลติ ภัณฑ์นนั้ ๆ ไปใช้งาน ผลติ ภณั ฑน์ ัน้ จะตอ้ งสนองความต้องการในหน้าทใ่ี ชส้ อยนั้น ๆ ได้ครบถว้ น และเกดิ ความสะดวกความ สบายแกผ่ ูใ้ ช้ (2) รูปทรงสีสนั ต้องสวยงาม เปน็ การสนองความตอ้ งการของผูใ้ ช้ ทางดา้ นจิตใจ ทางความรูส้ กึ ฉะนนั้ ตอ้ งสร้างรูปทรงของผลิตภัณฑ์ให้มคี วามสวยงาม การตกแต่งสผี วิ ให้มลี วดลายสสี ันจงึ จะเปน็ ท่ตี อ้ งการของผซู้ อื้ ใช้

44 (3) ราคาต้องประหยัด ถ้าผลิตภัณฑม์ คี ณุ สมบัตดิ ีเด่นดังกลา่ วใน หัวข้อที่ 1-2 แล้ว ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ย่อมเป็นที่ต้องการของผู้ใช้อย่างแน่นอน แต่องค์ประกอบท่ี สำคัญอีกประการหนึ่ง คือเรื่องราคาที่จะเป็นด่านสุดท้ายในการตัดสินใจซื้อ ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นมี ประโยชน์ใช้สอยดีจรงิ รูปทรงสีสันลวดลายสวยถูกใจจรงิ และราคายังถูกจริง ๆ แล้วผลิตภณั ฑ์น้ัน ๆ ย่อมขายได้และขายดอี ย่างแนน่ อน หรืออย่างนอ้ ยราคาควรสมดุลกับคุณภาพของผลติ ภัณฑน์ ้นั จึงจะ เกิดความยุตธิ รรมกบั ท้ังผขู้ ายและผูซ้ ือ้ สำหรบั ขอ้ ท่ี 1 และ 2 เปน็ ปัญหาทส่ี ามารถสร้างสรรค์และแกไ้ ขไดโ้ ดย อาศัยนักออกแบบและหลักการทางการออกแบบ ส่วนหัวขอ้ ที่ 3 นั้นเป็นปัญหาโดยตรงของทางดา้ น การตลาดการจัดจำหนา่ ยและการโฆษณาประชาสมั พันธ์ ฉะนั้นต่อไปจะขอกล่าวถึงเฉพาะที่เกี่ยวขอ้ ง กับการออกแบบโดยตรงเทา่ นนั้ 2.4.5 การออกแบบโครงสร้างสำหรับเฟอรน์ เิ จอร์ ในการออกแบบเฟอรน์ ิเจอรน์ ั้น โครงสรา้ งเฟอรน์ เิ จอร์เปน็ ส่วนทสี่ ำคญั มากในการรับ นำ้ หนักความแขง็ แรงของเฟอรน์ เิ จอร์นั้น จดุ ตอ่ หรอื ขอ้ ตอ่ ยดึ เป็นจดุ ทีช่ ีบ้ ง่ ให้ทราบถงึ ความแข็งแรง ของโครงสรา้ งในการออกแบบโครงสร้างเฟอรน์ ิเจอร์ควรที่จะพิจารณาสิง่ ตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 2.4.5.1 คุณสมบัติทางกายภาพและทางกลของวัสดทุ ี่ใชก้ บั โครงสร้างของ เฟอร์นิเจอร์ 2.4.5.2 นำ้ หนักของเฟอร์นิเจอรท์ ีท่ ำการออกแบบ รวมทั้งแรงหรอื น้ำหนกั ทม่ี า กระทำต่อเฟอร์นิเจอร์ 2.4.5.3 วิธีการดำเนนิ การออกแบบโครงสรา้ งเฟอร์นเิ จอร์ 2.4.5.4 การออกแบบข้อตอ่ ยึดของโครงสรา้ ง โดยใชก้ ารยึดทางกลและการยึด ติดกันด้วยกาว 2.4.5.5 ขนาดสดั ส่วนของมนษุ ย์กบั เฟอร์นเิ จอร์ 2.4.5.6 การกำหนดมาตรฐานของเฟอร์นิเจอร์ 2.4.5.7 การทดสอบมาตรฐานอย่างถาวรของเฟอร์นเิ จอร์ 2.4.5.8 อน่ื ๆ 2.4.6 หลักการออกแบบโครงสร้าง 2.4.6.1 การออกแบบโครงสร้างตอ้ งใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ มุ่งหมายท่ีต้องการนำไปใช้ เชน่ การออกแบบโครงสร้างของโต๊ะเขยี นหนงั สือ โครงสรา้ งของโตะ๊ เขยี นหนังสือควรพอเหมาะกับผู้ท่ี จะใช้ ถา้ เป็นโตะ๊ และเก้าอส้ี ำหรับเด็กโครงสร้างของโต๊ะก็ต้องเลก็ ไปตามส่วน ส่วนประกอบอื่น ๆ ของ โครงสร้างก็ต้องสนองความต้องการของผู้ใช้เช่นเดียวกัน คือ ต้องมีลิ้นชักขนาดและจำนวนตามท่ี ต้องการใช้ มีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอกับหน้าที่ใช้สอย มีขนาดและส่วนสัดสัมพันธ์กับการใช้และ หน้าท่ี

45 2.4.6.2 การจัดสว่ นประกอบโครงสร้างของเฟอร์นเิ จอร์ไดง้ ดงาม เชน่ มีความ สมดุลในรูปทรงมีส่วนสัดเฟอร์นิเจอร์ที่งดงาม มีการเน้นให้เกิดจุดเด่นตามส่วนสำคัญที่ต้องการแสดง และมีช่วงจังหวะของส่วนต่าง ๆ ของเฟอร์นิเจอร์กลมกลืนกัน รวมทั้งการใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสมกับ รปู ลักษณะจนเกดิ ความงามทีส่ มั พันธ์กนั อย่างดีกบั หนา้ ทใ่ี ชส้ อย 2.4.6.3 การจัดส่วนประกอบของโครงสร้างใหม้ ีความแขง็ แรงในการรับน้ำหนัก และแลดูใช้ความรู้สึกเข้มแข็ง มีความปลอดภัยในการใช้สอยทั้งในด้านการรับน้ำหนักและทางด้าน รูปทรง กล่าวคือ โครงสร้างมีความแข็งแรงแล้วรูปทรงของโครงสร้างก็ต้องมีความปลอดภัยในการใช้ ดว้ ย เชน่ ไมม่ เี หลย่ี มมุมแหลมคมทจี่ ะก่อใหเ้ กิดอนั ตรายจากการใชไ้ ด้ 2.4.6.4 การออกแบบโครงสรา้ งต้องมคี วามเหมาะสมสมั พันธ์กับสถานท่แี ละ สภาพของสังคมนั้นกล่าวคือ โครงสร้างมีขนาดส่วนสัดเข้ากับห้องที่ใช้แล้ว โครงสร้างนั้นก่อให้เกิด รปู ทรงท่ีเหมาะสมกับ สภาพภมู อิ ากาศและวัฒนธรรมที่ดงี าม 2.4.6.5 การออกแบบโครงสร้างใหม้ คี วามเหมาะสมกบั วัสดแุ ละเคร่ืองมือในการ ผลิต กล่าวคือ ถ้าใช้เครื่องจักรในการผลิต โครงสร้างที่ออกแบบควรจะเรียบง่าย มีความเหมาะสม กับการใช้เครอื่ งทนุ่ แรง เปน็ ต้น 2.4.7 หนา้ ท่ขี องนักออกแบบ หน้าทีข่ องนกั ออกแบบที่จะทำการออกแบบและพัฒนาเฟอรน์ ิเจอร์พอทีจ่ ะสรุปได้ 2 ประการคือ 2.4.7.1 หนา้ ท่อี อกแบบให้เฟอรน์ เิ จอร์มปี ระโยชนใ์ ช้สอยดที ี่สดุ แล้วพจิ ารณาถึง ความสวยงาม การจัดรปู ร่าง ตกแต่งผิว สีสัน และการสร้างโครงร่างข้ันตอนของเฟอรน์ เิ จอร์ ซึ่งต้อง มีการระบุรูปแบบพื้นฐานว่าตรงไหนเป็นส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนไหนเป็นมุม ตรงไหนควรที่จะเจาะรู การให้ขนาดความยาว ประเมินน้ำหนักความแข็งแรง ตลอดจนวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ว่าควรจะมี คณุ สมบตั อิ ยา่ งไร เปน็ ตน้ 2.4.7.2 เมอื่ กำหนดรูปร่างโดยละเอียดแลว้ ในชน้ั นจี้ ะตอ้ งพจิ ารณาว่าจะทำ อย่างไรจึงจะผลิตขึ้นได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด หากออกแบบแล้วผลิตได้ยาก หรือต้นทุนการผลิตสูง ฝ่ายผลติ แมจ้ ะพยายามควบคุมหรือหาทางลดตน้ ทุนก็คงจะทำให้ได้เฉพาะในขอบเขตทีจ่ ำกัด ในทางปฏิบตั ิการออกแบบและพฒั นาเฟอร์นิเจอร์ จะทำให้ทุกคนทกุ ฝ่ายพอใจได้ ยากดูง่ายๆ ในกรณีของสินค้าซึ่งยังอยู่ในระหว่างการออกแบบและการผลิต ซึ่งยังไม่ถึงมือผู้บริโภค มกั จะมีการขดั แย้งกันระหวา่ งแผนกขายและแผนกผลติ แผนกขายตอ้ งการใหเ้ ฟอร์นเิ จอร์มีแบบต่าง ๆ มากมาย เพื่อที่จะเสนอให้ลูกค้าเลือก และต้องการให้มีเฟอร์นิเจอร์หลายๆชนิด ในขณะเดียวกัน แผนกผลิตต้องการให้เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตโดยเสียต้นทุนต่ำที่สุด และไม่ชอบผลิตเฟอร์นิเจอร์หลายๆ ชนิด เพราะต้นทุนจะสูงและใช้เวลามากในการส่งมอบงาน ต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่มีแบบแตกต่างกัน น้อยที่สุดและผลิตเป็นจำนวนมาก ๆ เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมาตรฐานจะต้องไม่ทำต้นแบบบ่อย ๆ เป็นต้น ในกรณีนี้เพื่อยุติข้อขัดแย้ง นักออกแบบและนักพัฒนาเฟอร์นิเจอร์จะทำการประนีประนอม โดยทำ

46 การออกแบบเฟอร์นเิ จอรใ์ ห้มสี ่วนต่าง ๆ แตกต่างกันเพียงเลก็ นอ้ ย และทำให้เฟอรน์ เิ จอรแ์ ลดูมีหลาย แบบทแี่ ตกตา่ งกันไป เชน่ การออกแบบรปู ทรงรปู รา่ งเหมือนกนั แต่การให้สีท่ีตา่ งกนั เปน็ ตน้ 2.4.8 คุณสมบัติของนกั ออกแบบ คณุ สมบัติของผูส้ ร้างสรรค์งานออกแบบจะตอ้ งเปน็ ผ้ทู ี่มคี ณุ สมบตั ทิ ี่ดี เพอื่ ใหง้ านสร้างสรรค์ ที่ผลิตออกมาสสู่ ังคมเปน็ ไปในทางท่ีดีทงั้ ทางด้านจิตใจและทางดา้ นวตั ถุ จำแนกไดด้ งั น้ี 2.4.8.1 เปน็ ผูท้ ่มี ที ัศนคติในงานออกแบบ จะต้องเปน็ ผทู้ ่ีมคี ุณสมบตั ทิ ด่ี ี เพือ่ ให้ งานสรา้ งสรรค์ทผ่ี ลิตออกมาสสู่ งั คมเปน็ ไปในทางท่ดี ีท้งั ทางดา้ นจติ ใจและทางด้านวตั ถุ 2.4.8.2 เปน็ ผ้ทู ม่ี ปี ระสบการณ์ ปฏบิ ตั ิงานจนเปน็ ที่นยิ มในสังคมปัจจุบัน และเป็น ผู้ท่ีมคี วามสามารถในการสร้างสรรคง์ านท่ดี ีในอนาคตโดยไมห่ ยดุ น่ิง 2.4.8.3 เป็นผทู้ มี่ คี วามคิดสรา้ งสรรคง์ านใหม่ เชอื่ มนั่ ในตนเอง โดยไม่ลอกเลียน แบบจากผู้ใดเข้าใจในหลักของความเป็นจริง และมีเสรีภาพในทางความคิดจะทำให้การออกแบบมี ลักษณะที่แตกตา่ งกนั ออกไปหลายๆ แบบ 2.4.8.4 เปน็ ผทู้ ม่ี ีความสนใจงานสร้างสรรค์ในยุคต่าง ๆ กนั เพ่อื ศึกษาถึงงาน ออกแบบในแต่ละยุค จะมองเห็นความงดงามและทัศนคติของผู้ออกแบบนั้น ๆ เพื่อเป็นบทเรียน ทำ ใหง้ านสร้างสรรคเ์ จรญิ รดุ หน้ากวา้ งขวางยง่ิ ข้ึน 2.4.8.5 เปน็ ผ้เู ข้าใจสภาพแวดล้อมของสงั คมและความต้องการของประชาชน ทง้ั น้เี พือ่ การออกแบบให้เปน็ ไปตามความตอ้ งการของสงั คมและความต้องการของประชาชน 2.4.8.6 เปน็ ผทู้ ี่มีความเขา้ ใจลึกซึ้งในธรรมชาติ ซ่ึงมคี วามสำคญั อยา่ งยิง่ ในการท่ี มนุษย์ได้รับความบันดาลใจจากธรรมชาติ ได้แก่ สภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ได้แก่ สัตว์ทุกชนิด พืชพันธุ์ต่าง ๆ ต้นไม้ ลำธาร หิน กรวด ทราย แม่น้ำ ลำคลอง ฯลฯ ลักษณะรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิด จากสภาพแวดล้อมและส่ิงมชี ีวติ จะมีอทิ ธพิ ล และเปน็ ส่ือในทางความคิดของผู้ออกแบบด้วย 2.4.8.7 เป็นผู้ทีศ่ กึ ษาถึงคุณสมบตั ขิ องผลติ ภัณฑ์ใหม่ ๆ ของวสั ดเุ พ่อื นำมาใชใ้ น การออกแบบให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า เพื่อให้บังเกิดความงดงามและการใช้สอยท่ี สะดวกสบายและมคี ณุ ภาพดี 2.4.8.8 เปน็ ผูท้ ่ีเขา้ ใจขั้นตอนของการออกแบบตามจดุ มุ่งหมาย และสามารถ แกป้ ัญหาในการออกแบบได้ทกุ ขน้ั ตอนจนงานออกแบบนน้ั ๆ เสรจ็ เรียบรอ้ ยทุกประการ 2.4.9 ชนิดของการออกแบบ ชนดิ ของการออกแบบ (Kinds of Design) เฟอรน์ ิเจอร์มีหลายลักษณะ เชน่ มีลกั ษณะ เหมือนธรรมชาติ มีลักษณะเหลี่ยมกลม หรือแสดงเพียงเส้นขอบเขต ผู้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ จำเปน็ ตอ้ งมีความรู้ในการเลือกหรอื ใช้ลกั ษณะแบบให้เหมาะสมกับหนา้ ที่ใชส้ อย

47 2.4.9.1 การออกแบบท่มี ีรปู ลกั ษณะคลา้ ยธรรมชาติ (Natural Designs) แบบ ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายธรรมชาติ หรือเลียนแบบจากธรรมชาติ เช่น ดัดแปลงมาจากรูปร่างลักษณะ และทา่ ทางของรูปคน การออกแบบชนดิ น้เี หมาะสำหรบั ต้องการจะให้เฟอรน์ ิเจอรง์ ามแบบธรรมชาติ 2.4.9.2 การออกแบบท่มี ีรปู ทรงเรขาคณติ เป็นรปู เหล่ยี มกลมตามแบบเรขาคณิต เช่น มีลักษณะเป็นรูปเหลี่ยมกลม ความงามเกิดจากความสัมพันธ์ในรูปลักษณะ แบบเฟอร์นิเจอร์ ชนิดนี้เหมาะสำหรับไม่ต้องการแสดงเนื้อเรื่องตามรูปลักษณะ แต่ต้องการให้แลดูงดงามในการจัด รปู ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทางเรขาคณิต 2.4.9.3 การออกแบบที่มีรูปทรงตามระเบียบนิยม (Conventional Designs) การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ตามแนวนี้ ส่วนมากนิยมการออกแบบแสดงเส้นขอบของรูปทรง (Outline Form) ซึ่งรูปทรงอาจจะเหมือนธรรมชาติหรือเป็นนามธรรมก็ได้ นอกจากนั้นยังนิยมออกแบบ โครงสร้างของเฟอร์นิเจอร์ให้งดงาม เป็นการช่วยตกแต่งไปในตัว เช่น การออกแบบเก้าอี้นั่งพักผ่อน ของโทเน็ท ซึ่งมีรูปทรงงดงามตามระเบียบนิยมและมโี ครงสรา้ งชว่ ยในการตกแต่งด้วย 2.4.9.4 การออกแบบท่ีมรี ปู ทรงเป็นนามธรรม (Abstract Designs) การ ออกแบบชนิดนไ้ี ม่ยดึ รูปทรงของธรรมชาติ หากแตต่ ้องการแสดงถึงความงามในการจดั รูปทรงเสน้ ช่วย จังหวะ ช่องว่าง พื้นผิว และสีเป็นสำคัญ การออกแบบชนิดนี้ส่วนมากใช้ในการตกแต่งที่ต้องการให้ แลดูมีความงามน่าสนใจ เป็นการออกแบบท่ีใช้รูปทรงเรขาคณิตมาก ความงามท่ีเห็นได้ชัด คือ การ ใช้รูปทรงเพื่อสร้างสรรค์รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ให้มีลักษณะงดงามคล้ายประติมากรรมนามธรรมที่มี หนา้ ทใี่ ชส้ อยดว้ ย การออกแบบชนิดนี้มักจะใช้กับเฟอร์นิเจอร์ที่มีหน้าที่ในการตกแต่งเป็นสำคัญ เฟอร์นิเจอรแ์ บบน้ีจะประกอบดว้ ยเส้นขอบเขต การใชเ้ ส้น ช่องวา่ ง คณุ คา่ รปู ทรง พื้นผวิ ให้สัมพันธ์ กลมกลืนกบั มวลท่ีมีลกั ษณะเปน็ นามธรรม และมสี ่วนสัดสมั พันธ์กนั จนเกดิ ดลุ ยภาพท่ีงดงาม 2.5 ศึกษาขอ้ มลู เกี่ยวกบั กระบวนการพฒั นา R&D การวิจัยและพัฒนาเป็นกระบวนการในการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Product)โดยทำการทดสอบในสภาพจริงและดำเนินการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลายๆ รอบ จนได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดังนั้น เป้าหมายหลักหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนา คือ ผลิตภัณฑ์ นัน่ เอง ความหมายของการวจิ ัยและพัฒนา ไดม้ ผี ูใ้ หค้ วามหมายของการวิจยั และพัฒนา ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2540 : 5) ได้กล่าวว่าการวิจัยและพัฒนา หมายถึง การวิจัยที่มุ่งนำเอา ความรู้จากการวิจัยบริสทุ ธไ์ ปวิจัยต่อโดยพัฒนาเป็นเทคนิคหรือวิธีการทีส่ ามารถนำไปใช้แก้ปัญหาและ ทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงนำไปเผยแพร่ใช้ในวงกว้างเพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น ส่วน วัญญา วิศาลาภรณ์(2540 : 24) ได้กล่าวว่าจุดประสงค์ของการวิจัยและพัฒนาไม่ใช่อยู่ที่

48 การสร้างหรือทดสอบทฤษฎีแต่อยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในโรงเรียน ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนา เช่น อุปกรณ์การฝึกอบรม อุปกรณ์การเรียน สื่อการเรียน ระบบการจัดการ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมานั้นจะต้องตรงกับความต้องการที่มีรายละเอียด โดยเฉพาะ เมอื่ พัฒนาผลติ ภัณฑ์ข้ึนแล้วจะต้องนำไปทดลองใช้และปรับปรุงจนถึงระดับทีม่ ีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล และสุภาพ ฉัตราภรณ์ (2543 : 174 -174) ที่ กลา่ ววา่ การวจิ ยั และพัฒนาเป็นการวิจัยท่ีมจี ุดหายเพื่อสรา้ งหรือคน้ หาแนวคดิ แนวทาง วิธีปฏิบัติหรือ ส่งิ ประดษิ ฐ์ท่นี ำไปใชเ้ พื่อพัฒนากลุ่มคน หน่วยงานหรือองคก์ ร จุดหมายปลายทางทีค่ าดหวังจึงเป็นการ มงุ่ ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงดา้ นตา่ ง ๆ เช่น แนวคดิ พฤตกิ รรม วิธปี ฏบิ ตั ทิ ี่คาดวา่ จะดขี ึน้ จึงมักเกี่ยวข้อง กับการทดลองตัวอย่างของงานวิจัยและพัฒนา เช่น การพัฒนาหลักสูตรการเรียน ซึ่งผลที่ได้จากการ วิจัยอาจจะอยู่ในรูปของหลักการ โครงสร้างและแนวทางของหลักสูตร ชุดฝึกอบรมครู สื่อและชุดการ เรียน แนวทางการประเมินและระบบในการบริหารจัดการหลักสูตร สิ่งเหล่านี้ได้มีการทดสอบด้วย กระบวนการวจิ ยั เพอ่ื ยืนยนั ประสทิ ธภิ าพแลว้ จากความหมายที่กล่าวมาสรุปได้ว่าการวิจัยและพัฒนา หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้า อย่างมีระบบมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ซึ่งมี 2 ลักษณะ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทสื่อวัสดุอุปกรณ์ (Material) และผลิตภัณฑ์ประเภทวิธีการหรือกระบวนการ (Process) โดยดำเนินการทดสอบในสภาพจริงและทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลายๆ รอบ จนได้ ผลิตภัณฑ์ท่มี ีคณุ ภาพ เพ่ือนำไปใช้ในการพัฒนากลุ่มคน หน่วยงานหรอื องค์การให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น กระบวนการวจิ ยั และพฒั นา มขี ้ันตอน ดงั นี้ 1. การสำรวจ สังเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ เป็นการดำเนินการวิจัยเชิงสำรวจ (Surveyresearch) หรือการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสภาพ ปัญหาความต้องการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ รวมทั้งลักษณะที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการให้พัฒนา ผลการดำเนินการในขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้สอดคล้องเหมาะสมกับความ ต้องการของกลมุ่ เปา้ หมายท่จี ะใช้ผลติ ภัณฑท์ ี่พัฒนาขน้ึ 2. การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นการดำเนินการโดยการนำความรูแ้ ละผลการวิจัยทีไ่ ด้ จากขั้นตอนที่ 1 มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเริ่มจากการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการกำหนด วัตถุประสงค์เฉพาะของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดวิธีที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และทรัพยากรท่ี ต้องการเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในด้านกำลังคน งบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ และระยะเวลา หลังจากนั้นจึงดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีลักษณะหรือรูปแบบตาม ความต้องการของ กลุ่มเป้าหมาย ส่วนผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนามลี ักษณะอย่างไรหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มีอะไรบ้าง จะขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ในขั้นตอนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้จะต้องใช้บุคลากรที่มีความ เช่ียวชาญเฉพาะทางในการสรา้ งผลิตภัณฑแ์ ตล่ ะชนดิ 3. การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ เมื่อสร้างผลิตภัณฑ์เสร็จแล้วจะต้องนำไปตรวจสอบความ เหมาะสมและประสิทธภิ าพของผลิตภัณฑ์ ถ้าหากผลการตรวจสอบความเหมาะสมและประสิทธิภาพยัง

49 ไมเ่ ปน็ ท่ีพงึ พอใจหรือมีบางส่วนท่ีไมส่ มบรู ณจ์ ะต้องดำเนนิ การปรับปรุงแก้ไขจนกระทัง่ ผลติ ภัณฑ์มีความ เหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับการทดลองใช้ผลติ ภณั ฑ์จะดำเนนิ การ ดังนี้ 3.1 การทดลองกบั กลมุ่ เปา้ หมายขนาดเล็ก เป็นการทดลองเบ้อื งตน้ โดยมี วตั ถุประสงค์เพื่อรวบรวมผลประเมนิ เชิงคณุ ภาพเบ้ืองต้นของผลิตภัณฑ์ มักนิยมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ใน โรงเรียน 1 - 3 โรง เด็กนักเรียน6 - 12 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยสังเกต สัมภาษณ์ สอบถาม แล้วนำ ข้อมลู ไปวิเคราะห์เพอ่ื ปรบั ปรงุ รูปแบบของผลิตภณั ฑ์ 3.2 การทดลองกับกลุ่มเปา้ หมายขนาดใหญ่ เป็นการนำผลติ ภณั ฑ์ไปทดลองกบั กล่มุ เป้าหมายที่มีขนาดใหญ่ หรือเรียกว่ากลุ่มนำร่อง (Pilot group) ซึ่งได้แก่การนำไปใช้ในโรงเรียน 5-15 โรง มีจำนวนนักเรียน30 - 100 คน โดยมีการทดสอบก่อนและหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ นำผลที่ประเมิน เปรียบเทียบกับวตั ถปุ ระสงคห์ รือกลุม่ ควบคุมท่เี หมาะสม วัตถุประสงค์หลักของการทดลองใชผ้ ลิตภัณฑ์ ในกลุม่ ขนาดใหญ่ เพอ่ื ตอ้ งการที่จะบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์ท่พี ัฒนาขึ้นเปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของการพัฒนา หรือไม่ ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการดำเนินการของขั้นตอนนี้จะใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental design) แลว้ นำผลการวจิ ัยมาแก้ไขปรบั ปรุงผลิตภัณฑ์ 3.3 การทดลองความพรอ้ มนำไปใช้ หลังจากปรับปรุงรูปแบบผลติ ภัณฑจ์ นมคี วาม มั่นใจในด้านคุณภาพ ผู้วิจัยจึงนำรูปแบบไปทดลองใช้ เพื่อตรวจสอบความพร้อมสู่การปฏิบัติ โดย นำไปใช้ในโรงเรียน 10 - 30โรง นักเรียน 40 - 200 คน รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และสังเกต เพื่อตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้นมีความพร้อมที่จะนำไปใช้ในโรงเรียนได้หรือไม่ เพียงใด แล้วนำสารสนเทศท่ีได้จากข้ันตอนน้ีมาแก้ไขปรับปรงุ ผลิตภัณฑ์ เชน่ คู่มือในการใช้ผลิตภัณฑ์มี ความชดั เจนหรือไม่ เปน็ ตน้ การดำเนนิ การในขัน้ ตอนน้เี ป็นการประเมนิ ผลการใช้ผลติ ภณั ฑ์ในภาพรวม ทั้งหมด ซึ่งจะประเมินทั้งตัวผลิตภัณฑ์กระบวนการใช้ผลิตภัณฑ์ ผลที่ได้รับจากการใชผ้ ลติ ภัณฑป์ ัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ เป็นต้น ผลที่ได้จากการประเมินจะนำไปสู่การตัดสินใจปรับปรุงผลิตภัณฑ์นั้นๆ หากพิจารณาแล้วพบว่าไม่คุ้มค่าหรือเสี่ยงอันตรายก็จะยุติการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น แต่ถ้าหากผลการ ประเมินพบว่าผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้เป็นอย่างดีก็จะนำไปสู่การดำเนินการขั้นต่อไป คือการจดลขิ สทิ ธ์ิ การเผยแพร่ และการประชาสัมพนั ธ์ในวงกวา้ ง 4. การเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ เป็นการนำผลการวิจัยและผลิตภัณฑ์ไปเผยแพร่ เช่น การ นำเสนอในที่ประชุมสัมมนาทางวิชาการหรือวิชาชีพ การตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ การ ติดต่อกับหน่วยงานทางการศึกษาเพื่อจัดทำผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาเผยแพร่ไปในโรงเรียนต่างๆ หรือ ติดต่อกับบรษิ ัทเพือ่ ผลติ จำหน่ายและเผยแพรใ่ นวงกว้างต่อไป การประเมินผลิตภณั ฑ์ทางการศกึ ษา 1. กระบวนทัศนก์ ารประเมนิ ผลิตภณั ฑ์ทางการศึกษามี 13 ประการ ดังน้ี (Scriven. 1967 อา้ งถึงในWorthen and Sauder. 1987 : 88 - 90)

50 1.1 ความจำเป็น ได้แก่ จำนวนคนท่จี ะไดร้ ับผลกระทบ ความสำคญั ในทางสงั คมและ หลักฐานแสดงความตอ้ งการจำเปน็ 1.2 การตลาด แผนการนำผลิตภณั ฑไ์ ปจำหน่าย ขนาดของตลาด (Market share) และความสำคัญของตลาดทีค่ าดหวงั 1.3 ผลประกอบการจากการทดลอง หลกั ฐานแสดงถงึ ประสทิ ธิผลของผลิตภัณฑ์ 1.4 ผลประกอบการจากผบู้ ริโภคจรงิ 1.5 ผลประกอบการจากการเปรยี บเทียบกับคูแ่ ข่ง 1.6 ผลประกอบการในระยะยาว เชน่ 1 เดือน หรือ 1 ปี หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ 1.7 ผลข้างเคียงทีเ่ กิดขน้ึ 1.8 ผลประกอบการในเชิงกระบวนการ ซง่ึ ไดแ้ ก่ หลกั ฐานยนื ยนั ผลของผลิตภณั ฑต์ าม คำพรรณนาสรรพคุณ ความเป็นเหตุเป็นผลตามที่กล่าวอ้าง และความสอดคล้องกับเกณฑ์ด้านศีลธรรม จรรยา 1.9 ความเปน็ เหตเุ ป็นผลของผลทเี่ กดิ ขึ้นจากการใช้ผลติ ภัณฑซ์ ่ึงแสดงถึงหลกั ฐาน ของประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง การศึกษา ย้อนหลงั หรือการวิจัยเชงิ สหสัมพนั ธ์ 1.10 ผลประกอบการในเชงิ ความมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิ กล่าวคือ มีหลกั ฐานในเชิงสถิติ ที่แสดงถึงประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ โดยใช้เทคนิควิเคราะห์ที่เหมาะสม ระดับนัยสำคัญและการแปล ความหมายอยา่ งถูกต้อง 1.11 ผลประกอบการในเชงิ ความสำคัญทางการศกึ ษา กล่าวคือ ความสำคัญทางการ ศึกษาท่ีเป็นผลจากการตดั สนิ ใจโดยผเู้ ชย่ี วชาญ ผลการตดั สินใจจากการวเิ คราะหร์ ายข้อและคะแนนดิบ ที่วัดได้ ผลข้างเคียงผลในระยะยาว และการเปรียบเทียบคะแนนที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการใช้ผลิตภัณฑ์ ทางการศกึ ษาดังกล่าวอย่างสมเหตุสมผล 1.12 ค่าใชจ้ า่ ยและประสทิ ธิผล แสดงโดยการวเิ คราะห์คา่ ใชจ้ ่ายอันเปน็ ผลการตดั สนิ ของผ้เู ช่ยี วชาญ และการเปรยี บเทียบค่าใชจ้ ่ายกับคูแ่ ข่งขันในการพัฒนาผลติ ภัณฑ์ดังกล่าว 1.13 การบริการหลงั การขาย โดยพจิ ารณาจากแผนบรกิ ารหลังการขายและการ พัฒนาการอบรมพนักงานประจำการ การให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและการศึกษาการใช้ ผลิตภัณฑ์ใหมต่ ลอดจนศกึ ษาข้อมลู เก่ยี วกับผู้บรโิ ภค 2. การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาที่เป็นหลักสูตรระบบการวิเคราะห์เอกสาร หลักสูตร (Thecurriculum materials analysis system : CMAS) ประกอบด้วยขั้นตอน 6 ประการ ดงั น้ี (Morrisett & Stevens.1967 อา้ งถงึ ใน สมหวัง พิธิยานวุ ัฒน์. 2541 : 246) 2.1 บรรยายคณุ ลกั ษณะของผลติ ภัณฑ์ ไดแ้ ก่ สอ่ื วสั ดุอุปกรณ์ เวลาท่ตี อ้ งการ สไตล์ คา่ ใชจ้ า่ ยข้อมูลประกอบการทมี่ ีอยู่ เนอ้ื หาวิชา เอกลักษณ์ของหลกั สูตร

51 2.2 วิเคราะห์หลักการและเหตผุ ล ตลอดจนวตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สูตรโดยการบรรยาย และประเมินหลักการและเหตุผลของหลักสูตร วัตถุประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร และวัตถุประสงค์เชิง พฤตกิ รรม 2.3 พจิ ารณาเง่ือนไขในการใชผ้ ลติ ภัณฑ์ ได้แก่ คณุ ลกั ษณะของนกั เรียน นักศึกษา สมรรถภาพของครูอาจารย์ คุณลักษณะของโรงเรียนและชุมชน การจัดหลักสูตรและหลักสตู รท่ีใช้อยู่ใน ปัจจุบัน 2.4 พจิ ารณาเนอื้ หาสาระของหลักสูตรท้ังในด้านพุทธิพสิ ยั ทักษะพสิ ยั และจิตพิสัย 2.5 พจิ ารณาดา้ นการเรียนการสอนและกลยทุ ธก์ ารสอนทีใ่ ชใ้ นหลักสูตร โดยกล่าวถงึ ความเหมาะสมของกลยทุ ธ์การสอน รูปแบบ วิธีการ สอ่ื และกระบวนการเรียนการสอนแบบต่าง ๆ 2.6 การตัดสินคณุ ค่าโดยรวม โดยพิจารณาให้ครอบคลมุ ทงั้ ขอ้ มลู เชงิ บรรยายอ่ืน ๆ รายงาน และประสบการณท์ ใี่ ชห้ ลกั สูตร ผลการทดลองใชห้ ลักสตู รและข้อแนะนำตา่ ง ๆ 3 การประเมินผลิตภัณฑป์ ระเภทส่อื การเรยี นการสอน กระบวนการประเมินผลติ ภณั ฑส์ ื่อ การเรยี นการสอนมี 2 ขั้นตอน ดงั น้ี (วชิราพร อัจฉรยิ โกศล.2536 : 13-31) 3.1 การตรวจสอบโครงสรา้ งภายในส่อื ซึง่ ประกอบดว้ ย 3.1.1 ลักษณะสือ่ ประกอบดว้ ย ลักษณะเฉพาะตามประเภทสอื่ มาตรฐานการ ออกแบบมาตรฐานทางเทคนคิ วธิ ี และมาตรฐานความมีสนุ ทรยี ข์ องส่อื 3.1.2 เนื้อหาสาระ โดยอาศยั ผเู้ ชีย่ วชาญอย่างนอ้ ย 3 คนเป็นผ้ตู รวจสอบเนอ้ื หา สาระที่ปรากฏในสื่อ โดยแสดงความเห็นเพื่อการปรับปรุงในส่วนที่ควรปรับปรุงหรือให้ความเห็นชอบ เพือ่ ดำเนนิ การตอ่ ไป 3.2 การตรวจสอบคณุ ภาพส่อื โดยปกติดำเนนิ การโดยทดลองใชส้ อื่ กับตวั แทน กลมุ่ เป้าหมายในสภาพการณจ์ ริง ซ่ึงแบง่ เป็น 3 ขั้นตอนคอื 3.2.1 การทดสอบหนึ่งตอ่ หนึง่ 3.2.2 การทดสอบกลุ่มเล็ก 3.2.3 การทดสอบกลุ่มใหญ่ โดยเปรียบเทียบผลการทดลองใช้สื่อกับเกณฑ์มาตรฐาน กล่าวคือ สื่อการเรียนการสอนที่ ประเมินมีคุณภาพมาตรฐานในระดับ 90/90 ในที่นี้ 90 ตัวแรกหมายถึงคะแนนรวมเฉลี่ยของกลุ่มคิด เป็นร้อยละ 90 ส่วน90 ตัวหลังหมายถึงร้อยละ 90 ของผู้เรียนทบี่ รรลุวตั ถปุ ระสงคแ์ ตล่ ะข้อของส่ือการ เรยี นการสอน ลักษณะของการวจิ ยั และพัฒนา มีลักษณะสำคญั ดงั น้ี 1. เป็นการนำความรู้หรอื ความเข้าใจใหมท่ ีส่ ร้างขึ้นมาพัฒนาเป็นตวั แบบใช้งาน เป็นการทำ วิจัยเพื่อแสวงหาหรือสร้างสรรค์ภูมิปัญญาใหม่แล้วทำการพัฒนาด้วยการคิดค้นต่อยอดความรู้ความ เข้าใจดัง กล่าวให้อยู่ในรูปต้นแบบการพัฒนาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างได้ เช่น ผลผลิต กระบวนการหรือการบริการใหม่ๆ ท่ีตอบสนองความต้องการจำเป็นของผใู้ ชแ้ ละสังคม

52 2. เป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เนื่องจากจุดแข็งของการวิจัยและ พัฒนามี 3 กระบวนการหลัก ได้แก่ การวิจัย การพัฒนา และการเผยแพร่ ดังนั้น การศึกษาค้นคว้า เพื่อให้ได้ความรู้หรือความเข้าใจในแง่มุมใหม่สำหรับนำไปพัฒนาผลิตภณั ฑ์ และถ่ายทอดไปสู่ผูใ้ ช้ในวง กว้าง จึงต้องกระทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ที่กล่าวว่า “อย่างเป็นระบบ” เป็นการดำเนินงานท่ี เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการวิจัยและพัฒนา ส่วนที่กล่าวว่า “อย่างต่อเนื่อง” เป็นกระบวนการ ดำเนินงานที่จะต้องกระทำติดต่อกันโดยใช้ระยะเวลาในการทำกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา และ เผยแพร่ผลผลิตไปสผู่ ูใ้ ช้อย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรมค่อนขา้ งยาวนานมาก 3. มีการดำเนินงานวิจัยอย่างเป็นวัฏจักรด้วยวิธการที่เชื่อถือได้ การทำการวิจัยและพัฒนา ทุกขั้นตอนจะต้องกระทำอย่างพิถีพิถันภายใต้การกำกับตดิ ตาม และตรวจสอบซ้ำหลายครั้งเพื่อให้เกิด ความมั่นใจว่าผลผลิตขั้นสุดท้าย (End of product) ของกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่อยู่ในรูปของ ผลิตภัณฑม์ คี วามถกู ตอ้ งและเชื่อถือได้ตรงตามระดบั มาตรฐานก่อนการเผยแพรไ่ ปสผู่ ้ใู ชห้ รอื สงั คม 4. มักใช้วิธีการผสมผสานวิธีการเชิงปริมาณและชิงคุณภาพในการวิจัย การวิจัยและพัฒนา โดยทว่ั ไปนกั วิจยั มกั ใช้การผสมผสานวธิ ีการเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพตามฐานคติที่อยู่ภายใต้กระบวน ทัศน์แบบปฏิบัตินิยม / ประโยชน์นิยมเป็นหลัก เช่น ผสมผสานวิธีการเชิงปริมาณ ได้แก่ การวิจัยเชิง สำรวจในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ และการวิจัยเชิงทดลองใน ขั้นตอนทดสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การศึกษาเฉพาะกรณีใน ข้นั ตอนการเผยแพร่ผลติ ภัณฑส์ กู่ ลุ่มผใู้ ชห้ รอื ชุมชนใดชุมชนหน่งึ 5. มุ่งเน้นการตอบสนองต่อผู้ต้องการใช้ผลการวิจัยและพัฒนา จุดเน้นสำคัญของการวิจัย และพัฒนาคือการดำเนินการวจิ ยั ท่ีจะตอ้ งตอบสนองความต้องการของบคุ คล หรือกลุ่มบุคคลผู้ประสงค์ จะนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นวิทยาการสมัยใหม่ไปใช้งาน และ/หรือประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาที่มีอยู่ใน หน่วยงาน องค์การหรือชุมชน ดังนั้น ในการออกแบบการวิจัยและพัฒนา นักวิจัยมักกำหนดให้ผู้ทีค่ าด ว่าจะนำผลการวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์มสี ่วนรว่ มในการกำหนดเป้าหมายของการวจิ ัยและพฒั นา ต้ังคำถาม หรือโจทย์การวิจัย รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณ เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างความรู้สึก เป็นหุ้นส่วนในการทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักวิจัยแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อการยอมรับและการนำ ผลิตภัณฑไ์ ปใช้อกี ดว้ ย 6. ผลของการวจิ ัยและพัฒนาท่ีมีคุณค่าและมลู คา่ สูงสามารถจดทะเบียนเป็นสทิ ธิบตั รได้ ผล ของการวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะท่ีอยู่ในรูปผลติ ภณั ฑท์ เ่ี ป็นภูมปิ ัญญาที่เกิดจากการสร้างสรรคแ์ ละการ ลงทนุ ลงแรงของนักวิจัย อาจจะมคี ุณคา่ (Value) และมูลค่า (Worth) เชิงพาณิชยห์ รือเปน็ ประโยชน์ใน แง่การทำกำไรสูง นักวิจัยสามารถจดทะเบียนเพื่อคุ้มครองสิทธิ์ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ และพระราชบัญญัติสิทธบิ ัตรท้งั ในประเทศและนานาชาติได้

53 ข้อดีและขอ้ จำกดั ของการวิจัยและพัฒนา 1. ข้อดขี องการวิจัยและพัฒนา 1.1 ทำให้ได้ผลติ ภัณฑซ์ ่ึงนำไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรหรอื องค์การ การวิจัยและ พัฒนามีเปา้ หมายเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิตภณั ฑ์นีเ้ ปน็ เสมือนเครื่องมือท่ีใช้ในการพัฒนาบุคลากรให้มี คุณภาพและพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของ บคุ ลากรและองค์การ 1.2 ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ท่ีมคี วามหมายและตรงกับความตอ้ งการของผใู้ ช้ เนื่องจาก กระบวนการวิจัยและพัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้ที่คาดหมายว่าจะนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ประโยชน์เข้ามามีส่วน ร่วมในการกำหนดเป้าหมายโจทยก์ ารวิจัย และสนบั สนนุ การวจิ ัย ดงั น้นั จงึ มีแนวโน้มทเี่ ป็นไปไดส้ งู ท่ีจะ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความหมายเชื่อมโยงกับสภาพวิถีการดำเนินชีวิตและการทำ งานอย่างสอดคล้อง กลมกลืน รวมทัง้ ตอบสนองความตอ้ งการจำเปน็ ในการใช้งานของผใู้ ชอ้ ย่างแทจ้ รงิ 1.3 มสี ่วนส่งเสรมิ ชอื่ เสยี งและรายไดแ้ ก่นักวิจัยผู้สร้างสรรคง์ านวิจยั ในการทำวจิ ยั และ พัฒนาถ้าผู้วิจัยใช้ความรู้และภูมิปัญญาของตนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางสั งคมและมี มูลค่าทางการตลาดก็จะมีส่วนส่งเสริมให้ผู้วิจัยมีชื่อเสียงและรายได้จากการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือ สิทธิบตั รในผลิตภัณฑ์ทีไ่ ดพ้ ฒั นาขน้ึ 2. ข้อจำกัดของการวจิ ยั และพัฒนา การวิจัยและพัฒนาจะใช้ระยะเวลา พลังสติปัญญาและจิตใจ รวมทั้งค่าใช้จ่ายจำนวนมาก การวิจัยประเภทนี้ส่วนมากมักต้องการระยะเวลาในการทำวิจัย รวมทั้งบุคลากรทางการวิจัยที่มี สติปัญญาดีเยี่ยม มีจิตใจที่มุ่งมั่นและทุ่มเทต่อการทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องใช้ งบประมาณในการลงทุนค่อนขา้ งสูง ตัวอย่างงานวจิ ยั และพฒั นา งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู โรงเรียนประถมศึกษา (ชีวิน จนิ ดาโชติ. 2547) วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตาม สภาพจริงของครูโรงเรยี นประถมศึกษา 2. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงของครูโรงเรียน ประถมศกึ ษา 3. เพื่อทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงของครูโรงเรียน ประถมศกึ ษา 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงของ ครโู รงเรียนประถมศึกษา ดา้ นความรูค้ วามเข้าใจ ความคดิ เห็นและความสามารถในการประเมินผลตาม สภาพจริงในโรงเรยี นประถมศกึ ษา

54 วธิ ีดำเนินการวิจยั การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครูโรงเรียน ประถมศึกษาเปน็ การวิจยั และพฒั นา โดยมีข้นั ตอนการวิจัย ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัย สำรวจข้อมูลพื้นฐานเรื่องหลักสูตรฝึกอบรม และการประเมินผลตาม สภาพจริงของครวู ชิ าการโรงเรียนประถมศกึ ษา จำนวน 436 คน หัวหนา้ การประถมศกึ ษาอำเภอ สังกดั สำนักงานการประถมศึกษาจงั หวัดกาญจนบุรี อำเภอละ 1 คน รวม 13 คน และผเู้ ช่ียวชาญด้านการวัด และประเมินผลตามสภาพจริงจำนวน 13 คน รวมทั้งหมด 452 คน นำมาเป็นข้อมูลในการพัฒนา หลกั สูตร ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา พัฒนาโครงร่างของหลักสูตรภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยผู้วิจัย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการฝึกอบรม และด้านการวัดและ ประเมินผล ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย ทดลองใช้หลักสูตร คือการนำหลักสูตรที่พัฒนาไปทดลองใช้กับครู วชิ าการโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดกาญจนบรุ ี จำนวน 41 คน โดย ฝกึ อบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ขนั้ ตอนที่ 4 การพัฒนา ประเมนิ ผลและปรบั ปรุงหลักสูตร เป็นขั้นตอนการประเมินผลการใช้ หลักสูตรในระหว่างการใช้หลักสูตรโดยทดสอบความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้หลักสูตรด้วย แบบทดสอบ และสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้หลักสูตร รวมไปถึงการติดตามผลหลังการฝึกอบรม ด้วยแบบสอบถามผ้เู ข้ารบั การอบรม โดยทั้ง 4 ขัน้ ตอน สรุปผลการวจิ ยั การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับ ครูโรงเรียนประถมศึกษา โดยมีผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ตามขั้นตอนการวิจยั สรุปไดด้ ังน้ี 1. ผลการศึกษาขอ้ มูลพ้ืนฐานสำหรบั การพัฒนาหลักสตู รฝึกอบรม เรอ่ื ง การประเมินผลตาม สภาพจริงสำหรับครูโรงเรียนประถมศึกษา พบว่า นโยบาย แนวคิด ทฤษฎีการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้ต้องตอบสนองเป้าประสงค์ของหลักสูตร สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของสังคม โดยประเมินให้ สอดคล้องกับหลักสูตรประเมินเพื่อปรับปรุงแก้ไขการเรียนการสอน ประเมินความสามารถของผู้เรียน ทั้งระดับคุณภาพและความสามารถ การประเมินต้องสะท้อนให้เห็นการปฏิบัติจริงในสภาพการณ์จริง หรือคล้ายจริงโดยใช้เทคนิควิธีการเครื่องมือที่เหมาะสมและหลากหลาย หลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การ ประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาที่พัฒนาขึ้นต้องให้การฝึกอบรมตามรูปแบบ เชิงปฏิบัติการ ให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ร่วมกิจกรรมอย่างหลากหลาย ทั้งศึกษาเอกสาร ถามตอบ ฝึก ปฏิบัตจิ ริง นำเสนอผลงาน เพอื่ วพิ ากษว์ ิจารณ์รว่ มกนั และสรปุ ผลสามารถนำไปใช้วัดผลประเมินผลกับ นักเรียนได้โดยตรง ควรมีรูปแบบการวัดผลประเมินผลการอบรมที่ชัดเจนสื่อที่ใช้ในการอบรมควรเป็น สื่อที่ทันสมัย ระยะเวลาในการฝึกอบรม 3 วันและนำไปทดลองใช้ที่โรงเรียนของตนประมาณ 1 เดือน การติดตามผลการฝึกอบรมอยา่ งน้อยภาคเรียนละ 1 ครงั้ โดยใชก้ ระบวนการนเิ ทศ

55 2. ผลการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม พบว่า หลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตาม สภาพจริงสำหรบั ครูโรงเรียนประถมศึกษา มสี าระประกอบด้วย หลักการ จดุ มุง่ หมาย โครงสร้างเนื้อหา คำแนะนำการใช้หลักสูตรฝึกอบรม กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อ และการวัดประเมินผล ซึ่งมีเนื้อหา จำนวน 6 หน่วยคือ 1)พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่เกี่ยวข้องกับการวัดและ ประเมินผล 2) ความหมาย หลักการและลักษณะสำคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง 3) เทคนิค วิธีการ และเครื่องมือการประเมินผลตามสภาพจริง 4) การจัดทำแบบประเมินค่า (Rubric) 5) ธรรมชาติ/ลักษณะเฉพาะของกลุ่มสาระการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ และการประเมินผล 6) การ ประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ภาคทฤษฏีเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในหลักการ องค์ประกอบของการประเมินผลตามสภาพจริง และภาคปฏิบัติเกี่ยวกับความสามารถในการ ประเมินผลตามสภาพจริง โดยใช้แบบฝึกใบงานและการรายงานสรุปผลจากชิ้นงาน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมี ความเห็นว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมโดยเสนอแนะให้สรุปใบความรู้ให้สั้นและกระชับ และตัดสาระ หน่วยที่ 7 เรื่องภาระงานออกเนื่องจากปรากฏอยู่ในหน่วยที่ 4, 5 และ 6 แล้ว พร้อมเสนอให้เน้นการ ปฏบิ ตั จิ ริงตามสภาพจรงิ ในทุกขั้นตอนของการฝึกอบรม 3. ผลการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู โรงเรียนประถมศึกษา โดยการนำหลักสูตรฝึกอบรมไปทดลองใช้กับครูโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 41 คน เป็นเวลา 3 วัน โดยดำเนินการทดสอบ ความรู้ความเข้าใจก่อนการฝึกอบรม(Pre - test) การดำเนินการอบรม ทดสอบความรู้ความเข้าใจหลัง การฝึกอบรม (Post - test) พร้อมทั้งสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการเรียนรู้และความเหมาะสมของ หลกั สตู รฝึกอบรม โดยใหค้ รูวิชาการนำความรู้ท่ีได้ไปปฏบิ ัติ 1 เดือน และทำการประเมินความสามารถ ในการประเมินผลตามสภาพจริง พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมทุกคนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาหาความรู้จากใบความรู้ เอกสารประกอบการฝึกอบรมมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องเกณฑ์การประเมินคุณลักษณะ ความสามารถในการปฏิบัติโดยมีบรรยากาศ ความเป็น กนั เอง สนุกสนานทีจ่ ะเรยี นรู้ และพบว่าในหน่วยท่ี 2 ความหมาย หลกั การ และลกั ษณะสำคญั ของการ ประเมินผลตามสภาพจริง ใช้เวลาในการศึกษาใบความรู้ค่อนข้างมาก และการนำเสนอผลงานท่ี คล้ายกันในหลายกลุ่มทำให้เสียเวลา และเอกสารบางอย่างมีไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้เข้า รับ การฝกึ อบรม เชน่ ตวั อยา่ งแฟม้ สะสมงาน เป็นต้น 4. ผลการประเมนิ ความรคู้ วามเข้าใจ เร่อื ง การประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครูโรงเรียน ประถมศึกษาพบว่า ความรู้ความเข้าใจ เรื่อง การประเมินผลตามสภาพจริงก่อนและหลังการฝึกอบรม แตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ 01 โดยความรูค้ วามเขา้ ใจ เรอื่ งการประเมินผลตามสภาพ จรงิ สำหรับครโู รงเรียนประถมศกึ ษาหลังการฝึกอบรมสูงกวา่ ก่อนการฝกึ อบรม ผลการเรยี นรขู้ องตนเอง ของผู้เขา้ อบรมหลังเสร็จส้ินการฝึกอบรม พบว่า มคี ่าเฉลย่ี อย่ใู นระดบั มาก ไดแ้ ก่ ความหมาย หลักการ และลกั ษณะสำคัญของการประเมินผลตามสภาพจริงและพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผล ความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตร พบว่า ในภาพรวมเห็นว่าหลักสูตร

56 ฝึกอบรมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากความคิดเห็นที่อยู่ในระดับมากเป็นลำดับต้นๆ ได้แก่ เนื้อหา และ เอกสารประกอบการฝึกอบรม ส่วนความคิดเห็นที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเป็นลำดับสุดท้ายคือ ระยะเวลาในการฝึกอบรม และการติดตามผลการฝึกอบรมความสามารถในการประเมินผลตามสภาพ จริงพบวา่ ในภาพรวมครวู ชิ าการมีความสามารถในการประเมนิ ผลตามสภาพจริงอยใู่ นระดับพอใช้ ไดแ้ ก่ มีเครื่องมือในการประเมินผล และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดี แต่แผนการจัดการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมินผลและชิ้นงาน แฟ้มสะสมงานอยู่ในระดับพอใช้ ซึ่งพบว่ายังขาดการมีส่วนร่วมของ นักเรียนในการจัดทำแผนการเรียนรู้ การกำหนดประเด็นและเกณฑ์การประเมินผลและการร่วม วางแผนกำหนดชนิ้ งาน แฟม้ สะสมงาน สรปุ การวิจัยและพัฒนา หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมี 2 ลักษณะ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทส่ือวัสดอุ ุปกรณ์ และผลติ ภณั ฑ์ประเภทกระบวนการหรือวธิ ีการ โดยดำเนนิ การทดสอบในสภาพจรงิ และทำการปรับปรุง ผลิตภัณฑ์หลายๆรอบ จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากลุ่มคน หน่วยงานหรือ องค์การให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กระบวนการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 1) การสำรวจ สังเคราะห์ สภาพปัญหาและความต้องการ 2) การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3) การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่ง ดำเนินการทดลอง 3 ครั้ง ได้แก่ การทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก การทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย ขนาดใหญ่ และการทดลองความพร้อมนำไปใช้ และ4) การเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ การวิจัยและพัฒนามี ลกั ษณะสำคญั ไดแ้ ก่ เป็นการนำความรูห้ รือความเข้าใจใหม่ทสี่ ร้างข้นึ มาพัฒนาเป็นตัวแบบใชง้ าน เป็น การศึกษาค้นคว้าอย่างเปน็ ระบบและต่อเนื่อง มกี ารดำเนินงานวิจยั อย่างเป็นวฏั จกั รด้วยวธิ กี ารที่เช่ือถือ ได้ มักใช้วิธีการผสมผสานวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในการวิจัยมุ่งเน้นการตอบสนองต่อผู้ ต้องการใชผ้ ลการวิจัยและพัฒนา นอกจากนี้ ผลของการวจิ ัยและพัฒนาท่ีมคี ุณค่าและมูลค่าสูงสามารถ จดทะเบยี นเป็นสทิ ธบิ ัตรได้ 2.6 ศึกษาข้อมลู เก่ยี วกับทฤษฎคี วามพึงพอใจ จากการศึกษาค้นคว้างานเอกสารและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ และมี ผวู้ จิ ยั หลายทา่ น ได้ให้ความหมายแนวคิดและทฤษฎี ไวด้ ังน้ี โวลแมน (Wolman) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก (Feeling) มี ความสุขเม่ือไดร้ ับผลสาเรจ็ ตามความมงุ่ หมายทีต่ ้องการหรือตามแรงจงู ใจ วรูม (Vroom) ไดก้ ลา่ วว่า ทศั นคตแิ ละความพงึ พอใจในส่งิ หนงึ่ สามารถใชแ้ ทนกันได้ เพราะ ทั้งสองคานี้หมายถึง ผลที่ได้จากการที่บุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น ทัศนทคติด้านบวกจะแสดงให้ เห็นถงึ สภาพความพึงพอใจในสง่ิ นนั้ และทัศนคตดิ ้านลบจะแสดงใหเ้ หน็ ถึงสภาพความไม่พงึ พอใจ

57 มอร์ส (Morse) ได้กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถลดความตึง เครยี ดของบุคคลใหน้ ้อยลงได้ ถ้าความตงึ เครียดมมี ากก็จะทาให้เกดิ ความไม่พอใจ ซงึ่ ความตึงเครียดน้ีมี ผลมาจากความต้องการของมนุษย์ หากมนุษย์มีความต้องการมากก็จะเกิดปฏิกิริยาเรียกร้อง แต่ถ้า เมื่อใดความต้องการไดร้ ับการตอบสนอง ก็จะทาให้เกดิ ความพอใจ โทมัส และ เอิร์ล (Thomas & Eart) ได้ให้แนวคิดความพึงพอใจว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้กันอยู่ เพื่อทราบผลของการให้บริการที่ดีเลิศทาให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจเป็นสิ่งที่ บริษัทเชื่อว่ามีคุณค่าและควรให้ความเข้าใจในความต้องการและปัญหาของลกู ค้าในการให้บริการด้าน สุขภาพ ผู้บริหารขององค์กรจึงต้องมีความรับผิดชอบในการปรับปรุงคุณภาพให้เกิดประสิทธิผลและ ใหผ้ ลดอี ย่างตอ่ เน่ือง ฮินชอว์ และ แอ๊ทวูด (Hinshaw and Atwood) ได้ให้แนวคิดว่า ความพึงพอใจของ ผู้รับบริการเป็นความคิดเห็นของผู้รับบริการที่ได้รับจากผู้ให้บริการ และจัดเป็นเกณฑ์ประเมินด้าน ผลลัพธ์ด้วยและเป็นระดับของความสอดคล้องระหว่างความคาดหวังของผูร้ ับบริการในอุดมคติกับการ รับร้ขู องผูม้ ารบั บริการทีไ่ ด้ รับตามความเป็นจริง สาหรับนักวิจัยทางพฤติกรรมได้ให้ความหมายของคาว่า ความพึง พอใจในบริการเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติของคนที่เกิดจากประสบการณ์ท่ี ผู้รับบริการเข้าไปใชบ้ ริการในสถานที่ให้บริการนั้นๆ และประสบการณ์นั้นได้เป็นไปตามความคาดหวัง ของผู้รับบริการมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันทฤษฎีความตอ้ งของ Maslow (มาสโลว)์ เป็นนกั วิจยั วิทยาชาวอังกฤษ ไดส้ ร้างทฤษฎีความต้องการตามลาดบั ขั้นสมมตฐิ านอยู่ 2 ประการ คือ 1. มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ความต้องการที่ได้รับการ ตอบสนองแล้ว ก็จะไม่เป็นแรงจูงใจสาหรับพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการ ตอบสนองเท่าน้ันจงึ จะมอี ทิ ธิพลจงู ใจตอ่ ไป 2. ความต้องการของคนมีลักษณะเป็นลาดับขั้นจากต่ำไปหาสูงตามลาดับความสำคัญใน เมื่อความต้องการขั้นต่ำได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการขั้นสูงก็จะตามมา มาสโลว์ได้แบ่งลาดับ ความต้องการของมนษุ ย์ออกเป็น 5 ลาดับ ดังนี้ 2.1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) ความต้องการทางด้าน ร่างการเป็นความต้องการเบื้องต้นเพื่อความอยู่รอด เช่น ความต้องการในเรื่องอาหาร น้า ที่อยู่อาศัย เครอ่ื งนุ่งห่ม ยารกั ษาโรค ความต้องการพกั ผอ่ นและความต้องการทางเพศ ฯลฯ ความตอ้ งการทางด้าน ร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนก็ต่อเมื่อ ความต้องการทางด้านร่างการยังไม่ได้รับการ

58 ตอบสนองเลย ในด้านนี้โดยปกติแล้วองค์กรทุกแห่งมักจะตอบสนองความต้องการของแต่ละคนด้วย วิธีการทางอ้อม คือ การจ่ายเงินค่าจา้ ง 2.2 ความตอ้ งการความปลอดภยั หรอื ความมัน่ คง (Security or Safety Needs) ถา้ หากความต้องการทางดา้ นร่างกายไดร้ ับการตอบสนองตามสมควรแลว้ มนุษยก์ จ็ ะมีความตอ้ งการในข้ัน ต่อไปที่สูงขึ้น ความต้องการทางด้านความปลอดภัยหรือความม่ันคงต่างๆ ความต้องการทางด้านความ ปลอดภัยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการป้องกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ รา่ งกาย ความสูญเสยี ทางด้านเศรษฐกิจ ส่วนความม่ันคงนั้น หมายถงึ ความตอ้ งการความมั่นคงในการ ดารงชีพ เช่น ความมัง่ คงในหนา้ ท่กี ารงานและสถานะทางสงั คม 2.3 ความตอ้ งการทางดา้ นสังคม (Social or Belongingness Needs) ภายหลังจากที่ ได้รับการตอบสนองในสองข้ันดังกล่าวแล้วก็จะมีความต้องการสูงขน้ึ คือ ความตอ้ งการทางสังคมจะเร่ิม เป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมของคน ความต้องการทางด้านนี้จะเป็นความตอ้ งการเกี่ยวกับการอยู่ ร่วมกัน และการได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นและมีความรู้สึกว่าตนเองนั้นเปน็ ส่วนหนึ่งของกลุ่มทาง สังคมเสมอ 2.4 ความต้องการที่จะมีฐานะเดน่ ในสงั คม (Esteem or Status Needs) ความ ต้องการขั้นต่อมาจะเป็นความต้องการที่ประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้คือ ความมั่นใจในตัวเองในเรื่อง ความสามารถ ความรู้ และความสำคัญในตัวเอง รวมตลอดทั้งความต้องการที่จะมีฐานะเด่นเป็นท่ี ยอมรับของบุคคลอื่น หรือต้องการที่จะให้บุคคลอื่นยกย่องสรรเสริญในความรับผิดชอบในห น้าที่การ งาน การดำรงตำแหนง่ ทีส่ ำคัญในองคก์ ร 2.5 ความต้องการทจ่ี ะได้รับความสำเรจ็ ในชวี ติ (Self-actualization or Self- Realization) ลาดับขน้ั ตอนความต้องการที่สูงสดุ ของมนุษย์กค็ ือ ความตอ้ งการทีจ่ ะประสบความสำเร็จ ในชีวิตตามความนึกคิด หรือความคาดหวังทะเยอทะยานใฝ่ฝันที่จะได้รับผลสำเร็จในสิ่งอันสูงส่งใน ทศั นะของตน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทฤษฎีของมาสโลว์ ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีความต้องการ 5 ประการเม่ือ ความต้องการอย่างใดอย่างหน่ึงได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการสิ่งอื่น ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาอีกความ ตอ้ งการ ทั้ง 5 ขั้น จะมีความสำคัญกับบุคคลมากน้อยเพียงใดการตอบสนองตามลาดับขั้นของ Maslow มีข้อสังเกตเกี่ยวกับความต้องการของคนที่มีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาจะประกอบไป ดว้ ย 2 หลกั การ คอื 1. หลักการแห่งความขาดตกบกพร่อง (The Deficit Principle) ความขาดตกบกพร่องใน ชีวิตประจำวันของคนท่ีไดร้ ับอยู่เสมอ จะทาให้ความต้องการทีเ่ ป็นความพอใจของคนไมเ่ ป็นตัวจูงใจให้ เกดิ พฤติกรรมในดา้ นอื่น ๆ อกี ตอ่ ไป คนเหลา่ นี้กลบั จะเกดิ ความพอใจในสภาพท่ีตนเป็นอยู่ ยอมรบั และ พอใจความขาดแคลนตา่ ง ๆ ในชีวติ โดยถือว่าเป็นเรอ่ื งธรรมดา

59 2. หลักการแห่งความเจริญก้าวหน้า (The Progression Principle) กล่าวคือลาดับขั้นของ ความต้องการทั้ง 5 ระดับ จะเป็นไปตามลาดับที่กำหนดไว้จากระดับต่ำไประดับสูงกว่าและความ ต้องการของคนในแตล่ ะระดับจะเกิดขึน้ ได้ดตี ่อเม่อื ความต้องการของระดับที่ตำ่ กวา่ ได้รบั การตอบสนอง จนเกดิ ความพึงพอใจแล้วนั้น จะเห็นว่า ความตอ้ งการสิ่งหนงึ่ ส่ิงใดแลว้ ไม่ได้รบั การตอบสนองความรู้สึก ขาดแคลนของมนุษย์ทุกคนก็จะเกิดขึ้นและก็ต้องพยายามแสวงหามาให้ได้ เว้นแต่จะมีอุปสรรคแล้วทา ให้เกิดความท้อถอยต่ออุปสรรคนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคนได้รับการตอบสนองความต้องการอยู่ในระดับ หนงึ่ แล้วอย่างสมบูรณ์ กต็ ้องการจะได้รับการตอบสนองความต้องการอีกในระดบั สูงกว่าแต่มีข้อจากัดที่ เป็นอุปสรรค ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ หรือไม่สำเร็จตามความต้องการ สิ่งนี้จะทาให้คนเรา หยุดแสวงหา ท้อถอย และจะยอมรับสภาพไม่มีการดิ้นรนอีกต่อไปในทิศทางตรงกันข้ามถ้าความ ต้องการในระดับต่ำกว่าในแต่ละระดับได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ คนก็จะเกิดความต้องการในขั้น ต่อไปอีกจนกระทั่งบรรลุถึงความต้องการระดับสูงสุด คือ การได้รับความสำเร็จในชีวิต ( Self- actualization) ทฤษฎีความพึงพอใจของ Shelley ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าด้วยความรู้สึกสองแบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกในทางบวก และความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกทุกชนิดของมนุษย์จะตกอยู่ในกลุ่ม ความรู้สึกสองแบบนี้ ความรู้สึกทางบวก คือ ความรู้สึกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทาให้เกิดความสุข เป็น ความรู้ที่แตกต่างจากความรู้สึกทางบวกอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับ ความสุข สามารถทาให้เกดิ ความสขุ หรือความรู้สึกทางบวกเพิ่มขึน้ อีก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความสุขเป็นความรูส้ กึ ทสี่ ลบั ซบั ซอ้ นและความสขุ น้มี ผี ลต่อบคุ คลมากกวา่ ความร้สู ึกทางบวกอ่ืน ๆ ความรู้สกึ ทางลบ ความรู้สึกทางบวก และความสขุ มีความสัมพันธ์กนั อย่างสลับซับซ้อนและ ระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้ เรียกว่า ระบบความพอใจ โดยความพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือ ระบบความพึงพอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกว่าทางลบ ความพอใจสามารถแสดงออกมาในรูปของ ความรูส้ ึกทางบวกแบบต่าง ๆ ได้ และความร้สู กึ ทางบวกนยี้ งั เปน็ ตัวชว่ ยใหเ้ กิดความพอใจแกม่ นุษย์ สิ่งที่ทาให้เกิดความรู้สึกหรือสร้างให้เกิดความพอใจมนุษย์ ได้แก่ ทรัพยากร (Resource) หรือสิ่งเร้า (Stimuli) การวิเคราะห์ระบบความพึงพอใจจะเป็นการศึกษาว่า ทรัพยากรหรือสิ่งเร้าแบบ ใดเป็นที่ต้องการที่จะทาให้เกิดความพอใจและความสุขแก่มนุษย์ ความพอใจจะเกิดได้สภาพแวดล้อม ทางกายภาพก็เป็นทรัพยากรของระบบความพึงพอใจอย่างหน่ึง ดงั น้ันการออกแบบสภาพแวดล้อม คือ การตัดสนิ ใจว่าควรจัดการทรัพยากรที่เก่ียวกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่มีอยอู่ ยา่ งไรให้เกิดความพึง พอใจได้ ความพึงพอใจในเชิงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะในลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับการ ใหบ้ ริการทีป่ ระกอบไปด้วยบุคคลสองฝ่าย คอื ฝ่ายแรก ได้แก่ ผ้มู อี ำนาจหนา้ ทใ่ี นการบรกิ าร ฝ่ายทส่ี อง ได้แก่ ผู้รับบริการ การศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการนั้น Herbert A. Simon เห็นว่างานใดจะมี ประสทิ ธภิ าพ

60 สูงสุดนั้น สามารถพิจาณาได้จากความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนาเข้า (Input) กับผลผลิต (Output) ที่ได้รับออกมาโดยพจิ ารณาจากผลผลิตลบด้วยปัจจยั นาเขา้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการบริหารรัฐกจิ ก็ต้องบวกความพึงพอใจของผูร้ ับบรกิ ารด้วย จากผ้วู จิ ัยไดก้ ล่าวมาขา้ งต้นแม้วา่ จะมผี ู้ให้ความหมายของคาวา่ “ความพงึ พอใจ” ตา่ งกันไป แต่สรปุ ได้รว่ มกนั วา่ ความพงึ พอใจเปน็ ความรสู้ ึกของบคุ คลทมี่ ีต่อเร่ืองใดเรือ่ งหนึง่ ในเชงิ การประเมินค่า ซึ่งจะเห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจนี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทัศนคติอย่างแยกกันไม่ออก สาหรับ แนวความคิดเกี่ยวกับทัศนคตินั้นค่อนข้างจะมีผู้ศึกษากันอย่างกว้างขวางในองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ดงั น้ี 1. องคป์ ระกอบด้านความรสู้ กึ (Affective Component) เป็นลักษณะทางความร้สู กึ หรอื อารมณ์ของบุคคล องคป์ ระกอบทางความรสู้ ึกนี้มี 2 ลกั ษณะ คอื ความรูส้ กึ ทางบวก ไดแ้ ก่ ชอบ พอใจ เหน็ ใจ และความรสู้ ึกทางลบ ได้แก่ ไม่ชอบ ไมพ่ อใจ เปน็ ต้น 2. องค์ประกอบด้านความคิด (Cognitive Component) คือ การที่สมองของบุคคลรับรู้ และวนิ ิจฉัยข้อมลู ต่าง ๆ ท่ไี ด้รับเกดิ ความรู้ความคิดเกยี่ วกบั วัตถุบุคคลหรือสภาพข้ึน องค์ประกอบทาง ความคดิ เกีย่ วข้องกบั การพิจารณาทม่ี าของทัศนคตอิ อกมาว่าถูกหรือผิดดหี รือไมด่ ี 3. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavior Component) เป็นความพร้อมที่จะกระทา หรอื พร้อมทีจ่ ะตอบสนองต่อท่ีมาของทัศนคติ อัลเดอเฟอ (Alderfer) ได้ขยายทฤษฎีมาสโลวโ์ ดยพจิ ารณาถึงวิธกี ารท่บี ุคคลมีปฏิกิริยาเมื่อ เขาสามารถและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตน โดยพัฒนาหลักความก้าวหน้าในความพึง พอใจ (Satisfaction-progression principle) เพื่ออธิบายถึงวิธีการที่บุคคลมีความก้าวหน้ากับลาดับ ขั้นความต้องการเมื่อตอบสนองความต้องการในระดับต่ำกว่าได้ และในทางตรงข้ามของการถดถอย – ความตึงเครียด (Frustration – regression principle) เพื่ออธิบายว่าเมื่อบุคคลที่ยังมีความตึงเครียด ในการพยายามที่จะตอบสนองในระดบั ต่ำกวา่ ทฤษฎี ERG ระลึกว่าบุคคลสามารถเปลี่ยนไปในระดับสูง ขึ้นและต่ำลงของระดับความต้องการขึ้นกับว่าเขาสามารถตอบสนองความต้องการในระดับต่ำลงหรือ ความตอ้ งการในระดบั สูงข้นึ ได้หรือไม่ ความพึงพอใจและแนวทางการเสริมสร้างความพึงพอใจในการบริการไว้ว่า ความพึงพอใจ ของผู้รับบริการและผู้ให้บริการต่างมีความสำคัญต่อความสำเร็จของการดาเนินงานบริการ ดังนั้น การ สร้างความพึงพอใจในการบริการจาเปน็ จะต้องดาเนินการควบคู่กันไปทง้ั ต่อผูร้ ับบริการและผู้ให้บริการ ดังนี้ 1. การตรวจสอบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการอย่าง สมำ่ เสมอ 2. การกำหนดเปา้ หมายและทิศทางขององคก์ รใหช้ ดั เจน 3. การกำหนดกลยุทธก์ ารบริการท่ีมปี ระสิทธิภาพ 4. การพฒั นาคณุ ภาพและความสมั พันธใ์ นกลุม่ พนกั งาน

61 5. การนากลยทุ ธก์ ารสรา้ งความพึงพอใจตอ่ ผรู้ บั บริการไปปฏบิ ตั ิและประเมนิ ผล เมือ่ ความ พึงพอใจมีความสำคัญสูงมากต่อการบริการ ดังนั้นผู้ประกอบการบริการจะต้องทาความเข้าใจต่อ ลกั ษณะและองคป์ ระกอบความพึงพอใจอย่างถี่ถ้วน ดังน้ี 5.1 ความพงึ พอใจเปน็ การแสดงออกทางอารมณแ์ ละความรสู้ ึกในทางบวกของบุคคล ตอ่ สง่ิ หนง่ึ ส่ิงใดในการรับบรกิ าร ซงึ่ บคุ คลจะรบั รูร้ ปู แบบของการบริการและคุณภาพของการบริการโดย ใช้ประสบการณ์ที่ได้รับด้วยตนเอง หรือจากการอ้างอิงใดๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น คาบอกเล่า ของกลุ่มเพื่อน โฆษณา เป็นต้น ในการประเมินสิ่งที่ได้รับจากการบริการ หากการบริการเป็นไปตาม ความตอ้ งการของผู้รับบริการกจ็ ะก่อใหเ้ กิดความพึงพอใจในบริการนั้น 5.2 ความพงึ พอใจเกดิ จากการประเมินความแตกต่างระหวา่ งส่ิงท่คี าดหวงั กับสิ่งที่ได้รับ จริงในสถานการหนึ่ง ในการใช้บริการนั้นบุคคลย่อมมีข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ (Reference) เช่น ประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้จากการเรียนรู้ คาบอกเล่าของกลุ่มเพื่อน ข้อมูลจากธุรกิจบริการแบบ เดียวกัน เป็นต้น จึงเกิดความคาดหวังต่อสิ่งที่ควรจะได้รับจากการบริการ (Expectation) ซึ่งจะมี อิทธิพลแก่ผู้รับบริการในการที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินสิ่งที่ได้รับจริง ในกระบวนการบริการ (Performance) หากการบริการเป็นไปตามท่ีคาดหวงั ย่อมเกิดการยืนยันความถูกต้อง (Confirmation) ต่อการบริการและเกดิ ความพงึ พอใจในบริการแตถ่ ้าบริการที่ได้รับไม่เป็นไปตามคาดหมายก็จะเกิดการ ยนื ยนั ความไมถ่ ูกตอ้ ง (Disconfirmation) ทาให้เกิดความไมพ่ งึ พอใจในบริการ 5.3 ความพงึ พอใจเปล่ยี นแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจยั แวดลอ้ มและสถานการณท์ ี่ เกิดขึ้น เนื่องจากในแต่ละช่วงเวลาบุคคลย่อมมีความคาดหวังต่อการบริการแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ที่ได้มาระหว่างเวลานั้น จึงทาให้เกณฑ์ประเมินความพึงพอใจมีการ เลอ่ื นขน้ึ – ลง ตลอดเวลา สง่ ผลใหก้ ารเปรียบเทียบสิง่ ทไ่ี ดร้ บั กบั ส่ิงที่คาดหวังเปล่ียนแปลงตามไปดว้ ย ความพึงพอใจน้นั เปน็ กระบวนการทเ่ี กิดขึน้ จากการรับรู้ การประเมินคุณภาพของการ บริการอันเป็นสิ่งที่ผู้รบั บริการคาดหวังวา่ จะได้รับจากการให้บริการ โดยที่ความพึงพอใจในการบริการ ของผู้รับบรกิ ารจะข้นึ อย่กู ับองคป์ ระกอบ 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. การรับรู้คณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์บรกิ าร อันเป็นสิง่ ท่ีผู้ใหบ้ รกิ ารไดส้ ญั ญาว่าจะให้ โดยผู้รับบริการมีความคาดหวงั ต่อคุณภาพของผลิตภณั ฑ์บรกิ ารว่าจะได้รับอย่างน้อยตามท่ีผู้ให้บริการ ได้สัญญาไว้ ความมากน้อยของคุณภาพของสิ่งที่ได้รับจะเป็นตัวกำหนดถึงระดับความพึงพอใจของ ผรู้ บั บริการนน่ั เอง 2. การรับรู้คุณภาพของการนาเสนอบริการ ซึ่งผู้ให้บริการจะนาเสนอผ่านการแสดงออก ตา่ ง ๆ ในกระบวนการบรกิ าร โดยผู้รับบริการจะประเมินว่าผู้ให้บริการนนั้ ได้บรกิ ารอยา่ งเหมาะสมมาก น้อยเพียงใดรวมทั้งความสะดวกในการเข้าถึงบริการ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้ให้บริการตาม บทบาทหน้าท่ี ความรบั ผิดชอบต่องาน การใชภ้ าษาในการสือ่ สาร และการปฏบิ ตั ิตนในการให้บริการว่า ผู้ให้บริการมีความเต็มใจและจริงใจเพียงใด ในการให้บริการรับรู้เหล่านี้จะช่วยให้ผู้รับบริการประเมิน คณุ ภาพการบรกิ ารได้อยา่ งมเี หตแุ ละผล ซงึ่ นาไปส่คู วามพึงพอใจในการรบั บริการ

62 บาร์นาร์ด (Barnard) กล่าวถึง สิ่งจูงในหรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการ ปฏิบัตงิ านไว้ ดังนี้ 1. สิ่งจงู ใจท่เี ป็นวัตถุ ไดแ้ ก่ เงิน วัสดอุ ปุ กรณ์ อาคารสถานที่ ฯลฯ 2. สงิ่ จงู ใจเก่ยี วกับโอกาส เชน่ โอกาสเก่ียวกบั ความมชี อื่ เสียง ความมีอทิ ธพิ ลโดยการได้รับ ตำแหน่งดี ๆ เป็นตน้ 3. สง่ิ จงู ใจเกยี่ วกบั สภาพความชว่ ยเหลือการได้รับบริการตา่ ง ๆ 4. ความสามารถขององค์การท่ีจะใหค้ วามพึงพอใจแกบ่ ุคคลโดยเปิดโอกาสใหแ้ สดงอุดม คตโิ ดยเสรีเพอื่ กระตนุ้ ให้บคุ คลเกิดความภูมิใจในฝมี ือ และมีโอกาสไดร้ บั สวสั ดกิ ารตา่ ง ๆ 5. สิ่งจูงใจเกยี่ วกบั ผ้รู ่วมงานการมีความสมั พันธ์ฉันท์มิตรกับบุคคลในหน่วยงานความ ผูกพนั และการไดม้ ีสว่ นร่วมกบั กิจกรรมขององค์การ 6. ส่ิงจงู ใจเก่ียวกับสภาพการทางานที่เป็นอย่ตู ามปกตปิ ระจาวนั 7. สิง่ จงู ใจเกี่ยวกับความมน่ั คงปลอดภัยทางสังคม 8. มีความมน่ั คงในการทางานและการมีหลักประกนั ให้อยู่ดกี นิ ดี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน ได้ให้ความหมายของคาวา่ “ความพงึ พอใจ” หมายถงึ พอใจชอบใจ ชริณี เดชจินดา ไดก้ ล่าววา่ ความพงึ พอใจหมายถงึ ความร้สู กึ หรอื ทศั นคตทิ ่ีมตี ่อสิง่ ใดส่ิงหน่ึง หรือปจั จัยต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง ความร้สู ึกพอใจจะเกิดข้นึ เมื่อความต้องการของบุคคลไดร้ บั การตอบสนอง หรอื ลดลงหากความต้องการนั้นไม่ได้รบั การตอบสนอง ศริ ิวรรณ เสรีรตั น์ ได้กลา่ วไวว้ า่ ความพงึ พอใจของลูกค้าเป็นระดับความรูส้ ึกของผู้รับบริการ ซงึ่ ประกอบด้วย ดงั นี้ 1. ความพอใจของความสะดวกทไ่ี ดร้ บั จากการบรกิ าร 2. ความพอใจตอ่ การประสานงานผบู้ ริการ 3. ความพอใจตอ่ การตอ้ นรบั และการเอาใจใส่ของผใู้ หบ้ รกิ าร 4. ความพอใจกับข้อมูลข่าวสารทีไ่ ด้รบั 5. ความพอใจตอ่ คณุ ภาพบริการ 6. ความพอใจต่อการใช้บรกิ ารต่อการมใชจ้ ่ายในการบริการ ในพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักธรรมในโลกธรรม 8 ซึ่งในส่วนท่ีทาให้เกิดความพึงพอใจ ของมนุษย์เรียกว่า “อิฏฐารมณ์” ได้แก่ ลาภ ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องปลื้มใจต่าง ๆ เช่น ทรัพย์สิน เงิน ทอง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ยศ ได้แก่ ยศถาบันดาศักดิ์ ตำแหน่ง หน้าที่การงานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญตรา ปริญญาบัตรต่าง ๆ สรรเสริญ ได้แก่ เกียรติยศ ชื่อเสียงการเป็นที่เคารพ ยกย่องนับถือ และการเป็นที่รักของบุคคลอื่น สุข ได้แก่ ความพึงพอใจ ความ เพียงพอ ความปลื้มปีติ และความสมหวังทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการได้ลาภ ยศ สรรเสริญ 16

63 อเนก สุวรรณบัณฑิต และภาสกร อดุลพัฒนากิจได้กล่าวถึง ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจ ของผู้รับบริการเป็นสิ่งที่ผู้รับบริการจะแสดงออกในทางบวกหรือลบต่อสิ่งที่ได้รับจากการบริการ และ การนาเสนอการบริการโดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้คาดหวังไว้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามปัจจัย แวดล้อมและสถานการณท์ ่เี กดิ ข้นึ ในระหว่างการบริการ ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์บริการ ในการนาเสนอการบริการจะต้องมีผลิตภัณฑ์บริการที่มีคุณภาพและ ระดับการให้บริการที่ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ โดยผู้ให้บริการจะต้องแสดงให้ผู้รับบริการ เห็นถึงความเอาใจใส่ และจริงใจต่อการสร้างเสริมคุณภาพของผลิตภัณฑ์บริการที่จะส่งมอบให้แก่ ผูร้ บั บริการ 2. ราคาค่าบริการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการเกิดจากการประเมินคุณภาพและรูปแบบ ของการบริการเทียบกับราคาค่าบริการที่จะต้องจ่ายออกไป โดยผู้ให้บริการจะต้องกำหนดราคา ค่าบริการทีเ่ หมาะสมกับคุณภาพของการบริการ และเปน็ ไปตามความเตม็ ใจทจ่ี ะจ่าย (Willingness to Pay) ของผู้รับบริการ ค่าบริการจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายและเจตคติต่อราคา ของกลมุ่ ผรู้ ับบรกิ ารอกี ดว้ ย 3. สถานที่บริการ ผู้ให้บริการจะต้องมองหาสถานที่ในการให้บริการที่ผู้รับบริการสามารถ เข้าถึงได้โดยสะดวก มีสถานที่กว้างขวางเพียงพอและต้องคำนึงถึงการอานวยความสะดวกแก่ ผู้รับบริการในทุกด้าน เช่น การมีสถานที่จอดรถ หรือการให้บริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งทาให้ ประเดน็ ด้านสถานท่ใี หบ้ ริการลดลงไปได้ เปน็ ต้น 4. การส่งเสริมแนะนาบริการ ผู้ให้บริการจะต้องให้ข้อมูลข่าวสารในเชิงบวกแก่ผู้รับบริการ ทั้งในด้านคุณภาพการบริการและภาพลักษณ์ของการบริการผ่านทางสื่อตา่ งๆ เพื่อให้ผู้รับบริการได้นา ขอ้ มูลเหล่านไี้ ปชว่ ยประเมินเพ่อื ตดั สนิ ใจใชบ้ รกิ ารต่อไป 5. ผใู้ หบ้ ริการ จะตอ้ งตระหนักตนเองวา่ มีส่วนสำคญั ในการสร้างให้เกดิ ความพึงพอใจในการ บริการของผู้รับบริการ โดยในการกาหนดกระบวนการจัดการ การวางรูปแบบการบริการจะต้อง คำนึงถึงผู้รับบริการเป็นสำคัญ ทั้งแสดงพฤติกรรมบริการและเสนอบริการที่ลูกค้าต้องการด้วยความ สนใจเอาใจใสอ่ ย่างเต็มท่ดี ้วยจิตสานึกของการบริการ 6. สภาพแวดล้อมของการบริการ ผู้ให้บริการจะต้องสร้างให้เกิดความสวยงามของอาคาร สถานที่ ผ่านการออกแบบตกแต่ง การแบ่งพื้นที่อย่างเหมาะสมลงตัวสร้างให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีของ องค์กรผู้ใหบ้ รกิ ารและส่ือภาพลกั ษณเ์ หล่านอี้ อกไปสู่ผรู้ ับบรกิ ารอกี ด้วย 7. กระบวนการบริการ ผู้ให้บริการต่างมุ่งหวังให้เกิดความมีประสิทธิภาพของการจัดการ ระบบการบริการเพื่อเพิ่มความคล่องตวั และความสามารถในการสนองตอบต่อความต้องการของลูกคา้ ได้อย่างถูกต้อง มีคุณภาพ โดยการนาบุคลากร เทคโนโลยีเข้ามาร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ บรกิ ารและหวงั ตอ่ ประสทิ ธผิ ลท่ีจะเกิดขนึ้ ตอ่ ผู้รบั บรกิ าร ความพงึ พอใจของผ้รู บั ริการนั้นสามารถแบง่ ออกได้เปน็ 2 ระดบั ด้วยกนั คอื

64 1. ความพึงพอใจทีต่ รงกบั ความคาดหวงั เป็นส่งิ ทผี่ ้ใู ห้บรกิ ารจะตอ้ งจดั ใหม้ ีตามความ คาดหวังของผู้รับบริการและระวังไม่ใหเ้ กิดสิ่งที่ต่ำกว่าความคาดหวังนั้นได้ เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สกึ ยินดี และมคี วามสุขในการมารับบรกิ ารนนั้ ๆ 2. ความพึงพอใจท่เี กินความคาดหวัง เปน็ สิ่งท่ีผูใ้ ห้บรกิ ารมุ่งหวงั ท่จี ะสร้างให้มเี กินกว่าความ คาดหวังของผู้รบั บริการ เพื่อให้ผู้รับบริการมคี วามรู้สึกปลาบปลื้มใจหรอื ประทับใจในบริการทีไ่ ด้รบั ซ่งึ เกนิ ความคาดหวงั ทตี่ งั้ ใจไว้ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจคือ ความรู้สึกพอใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อความต้องการของมนุษย์ ได้รับการตอบสนองทั้งทางด้านรา่ งกายและจิตใจกจ็ ะเกิดความพอใจ ชอบใจ เกิดเป็นทัศนคติด้านบวก ที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น และทัศนคติด้านลบที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความไม่พึง พอใจ ความพึงพอใจเป็นองค์ประกอบด้านความรู้สึกของทัศนคตซิ ึ่งไม่จาเป็นต้องแสดงหรอื อธิบายเชงิ เหตุผลเสมอไปก็ได้ ดังนั้น ความพึงพอใจจึงเป็นเพียงปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่ แสดงผลออกมาในลักษณะของผลลัพธ์สุดท้ายของขบวนการประเมินโดยบ่งบอกถึงทิศทางของผล ประเมินวา่ จะเปน็ ไปในลักษณะทิศทางบวก หรือทศิ ทางลบหรือไมม่ ีปฏิกิรยิ า คือ เฉยๆ ตอ่ สงิ่ เร้าหรอื ส่ิง กระตนุ้ นั้นกไ็ ด้ 2.7 ศกึ ษาข้อมูลเกยี่ วกบั ความคิดสรา้ งสรรค์ “การคิดนั้นอาจคิดได้หลายอย่าง จะคิดให้วัฒนะ คือ คิดแล้วทำให้เจริญงอกงามก็ได้ จะคิด ใหห้ ายนะ คอื คิดแลว้ ทำให้พินาศฉิบหายก็ได้ การคิดใหเ้ จรญิ จึงตอ้ งมีหลักอาศยั หมายความวา เม่อื คิด เรื่องใด สิ่งใด ต้องตั้งใจให้มั่นคงในความเป็นกลางไม่ปล่อยให้อคติอย่างหนึ่งอย่างใดครอบงำ ให้มีแต่ ความจริงใจ ตางตามเหตุผลที่ถูกต้องและเป็นธรรม” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีคำกล่าวที่ว่าลกั ษณะของการคดิ ที่ดี ควรมีลักษณะ ลึก กว้างไกล และสร้างสรรค์ คำว่า ลึก หมายถึง สิ่งที่มิใช่เพียงสัมผัส มีความเป็นไปได้และมีความชัดเจน กว่าง เป็นการสร้างภาพที่มีมุมมอง อันเกดิ จากการวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ อย่างรอบครอบ ไกล เปน็ การมองไปข้างหน้าในระยะยาว โดย คำนึงถึงสิ่งอันพึงปรารถนา ส่วนคำว่า สร้างสรรค์ นั้น เป็นการพิจารณาเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์เป็นเคร่ืองมือท่ีต้องใชอ้ ยู่เป็นประจำของมนุษย์และมีพลังอำนาจมาก ที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดเสมอ ดังน้ัน บุคคลจึงไม่เพียงแต่ต้องมีความเข้าใจในกระบวนการของความคิด สร้างสรรค์เทา่ น้ัน แต่ยังตอ้ งการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนให้เป็นประโยชน์ รวมท้งั ตองการให้ได้ชื่อ ว่าเป็นผ้ทู ม่ี คี วามคิดสรา้ งสรรค์เพ่มิ มากขึ้นดว้ ย

65 2.7.1 ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ นักจิตวิทยาหลายท่านที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ได้ให้คำจำกัดความของ ความคิดสรา้ งสรรค์ไวด้ ังน้ี บารอน และเมย์ (Baronand May,1960) ได้ให้คำจำกัดความว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็น ความสามารถของมนุษย์ที่จำนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ เกิดผลผลิตใหม่ๆทางเทคโนโลยี รวมทั้งความสามารถใน การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งสิ่งแปลกใหม่ ดังเช่น โทมัส เอดิสัน ค้นพบหลอดไฟฟ้า นำไปสู่เครื่องใช่ไฟฟ้า นานาชนิด ซง่ึ งานประดษิ ฐ์คิดค้นของเขาเป็นตวั อยา่ งทด่ี ีของงานที่มลี ักษณะความคิดสร้างสรรค์ น้ันคือ แปลกใหม่ แตกตา่ งจากทเ่ี คยปรากฏ และยงั เป็นประโยชนอ์ ยา่ งมหาศาลต่อชาวโลกอกี ดว้ ย อีริค ฟรอมม์ (Eric From,1963) อธิบายว่า ความคิดสร้างสรรค์หมายถึงความสามารถของ บุคคลที่จะสังเกตเห็น รับรู้ เข้าใจ และมีปฏิกิริยาตอบสนอง (Creativity is the ability to see or to aware and to respond) ตัวอย่าง เช่น เมื่อมองเห็นสิ่งที่สวยงาม คนเราก็จะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใน ความงาม มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่น การกล่าววาจาเป็นคม การเขียนเป็นภาพ การเขียนเป็นคำประพันธ์ เช่นเดียวกับนักประดิษฐ์ เจมส์วัต สังเกตเห็นไอน้ำเดือดทำให้ฝากาต้มน้ำเผยอทำให้เขาคิดค้น เครื่องจกั รไอน้ำได้สำเร็จ นวิ ตัน มองเห็นผลแอ็ปเปนิ้ หลน่ ลงสู่พนื้ ทำใหส้ ามารถคิดค้นทฤษฎีแรงดึงดูด เข้าส่ศู ูนย์กลางของโลกได้ เป็นต้น ทอร์รานซ์ (Torrance,1965) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการที่มนูษย์รู้สกึ ว่ามี ช่องว่างหรือบางส่วนที่ขาดหายไป แล้วรวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมุติฐานเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นแล้วทำ การทดสอบสมมุติฐานหาความสัมพันธ์ของผลที่จะเกิดขึ้น รวมถึงปรับปรุงและทดสอบสมมติฐานใหม่ อกี คร้ัง จนได้ผลเป้นท่ีพงึ พอใจ กิลฟอรด์ (Guilford, 1967) มีความเหน็ ว่า ความคดิ สร้างสรรค์เปน็ ลกั ษณะความคิดอเนกนัย (Divergent Thinking) คือความคิดหลายทิศทาง หลายแง่ หลายมุม คิดได้กวางไกล ลักษณะความคิด อเนกนัยนำไปสู่การประดษิ ฐ์สิ่งแปลกใหม่ รวมถึงการคดิ ค้นพบวิธกี ารแกป้ ญั หาไดส้ ำเรจ็ 2.7.2 ลักษณะความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์เป็นลักษณะความคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) คือการคิด หลายๆ แง่หลายๆทาง คิดให้มากที่สุดเท่าที่จะนึกได้ เป็นการมองปัญหาในแนวกว้างเหมือนกับ แสงอาทติ ย์ทีแ่ ผร่ ัศมีออกรอบด้าน คนทมี่ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์นน้ั จะเป็น 1. มคี วามคดิ รเิ รมิ่ (Originality) คือมีความคิดทีแ่ ปลกใหม่ตา่ งจากความคดิ ธรรมดา ของคนทว่ั ๆ ไป 2. มคี วามคดิ ยดื หยุ่น(Flexibility) คอื มีความสามารถในการคดิ หาคำตอบได้หลาย ทศิ ทางหลายแง่หลายมมุ

66 3. มคี วามคดิ คล่องแคล่ว(Fluency) คอื สามารถคิดหาคำตอบได้อยา่ งคล่องแคลว่ วอ่ งไว รวดเรว็ และได้คำตอบมากท่ีสดุ ในเวลาท่จี ำกดั 4. มีความคดิ ละเอียดลออ(Elaboration) คอื การคิดได้ในรายละเอยี ดเพ่ือขยายหรือ ตกแต่งความคิดหลักใหไ้ ด้ความหมายท่ีสมบูรณ์ย่ิงขึ้น 2.7.3 กระบวนการคิดสรา้ งสรรค์(Creative process) กระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ คอื วธิ คี ิดหรอื กระบวนการทำงานของสมองที่มีข้นั ตอนต่าง ๆ ใน การคิดแกป้ ัญหาจนสำเร็จ ซ่งึ มหี ลายแนวคดิ เช่น Wallas ได้เสนอว่ากระบวนการของความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการคิดสิ่งใหม่ๆโดยการลอง ผิดลองถูก ประกอบด้วย 4 ขนั้ ตอนคือ 1. ขน้ั เตรียมการ คอื การขอ้ มูลหรอื ระบุปญั หา 2. ขั้นความคดิ กำลังฟักตวั คือการอยู่ในความสบั สนวุ่นวายของขอ้ มูลท่ีได้มา 3. ขั้นความคิดกระจ่างชัด คือขั้นที่ความคิดสับสนได้รับการเรียบเรียงและเชื่อมโยงเข้า ดว้ ยกนั ทำใหเ้ ห็นภาพรวมของความคิด 4. ขนั้ ทดสอบความคิดและพสิ จู น์ให้เหน็ จริง คอื ขน้ั ท่ีรับความคิดเหน็ จากสามข้ันแรกข้างต้น มาพสิ ูจนว์ า่ จริงหรอื ถกู ต้องหรือไม่ Hutchinson มีความคิดคล้าย ๆ กันว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นกระบวนการเชื่อมโยง ความรทู้ มี่ อี ยู่เข้าดว้ ยกัน อนั จะนำไปสู่การแกป้ ัญหาใหม่ที่คดิ ใช้เวลาการคิดเพียงส้ันๆอย่างรวดเร็วหรือ ยาวนานก็อาจเปน็ ไปได้ โดยมีลำดบั การคิดดงั น้ี 1. ขั้นเตรียมเป็นการรวบรวมประสบการณ์ มีการลองผิดลองถูกและตั้งสมมุติฐานเพ่ือ แกป้ ัญหา 2. ขน้ั ครนุ่ คดิ ขดั ข้องใจ เป็นระยะที่มีอารมณเ์ ครียด อันสืบเนื่องจากการครุ่นคิด แต่ยังคิดไม่ ออก 3. ขั้นของการเกิดความคิด เป็นระยะที่เกิดความคิดในสมอง เป็นการมองเห็นวิธีแก้ปัญหา หรอื พบคำตอบ 4. ขั้นพิสูจน์ เป็นระยะการตรวจสอบประเมินผลโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อดูคำตอบที่คิด ออกมานน้ั เปน็ จริงหรอื ไม่ 2.7.4 การฝึกหรอื การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์มีแหล่งกำเนิดมาจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือ พันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอด มา ส่วนที่สองคือสภาพแวดล้อมและการพัฒนา เช่น การอบรม การฝึกฝน เป็นต้น ซึ่งการฝึกหรือการ พฒั นาความคิดสรา้ งสรรคอ์ าจกระทำได้ดงั น้ี

67 ออสบอร์น (Osborn,1957) ได้เสนอวิธีการในการฝึกพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ท่ี เรยี กวา่ “การระดมสมอง(Brain Storming)” เปน็ กระบวนการทีใ่ ช้กับกลุ่มไมเ่ กิน 10 คน มหี ลักปฏิบัติ ดงั น้ี 1. ประวิงการตัดสินใจ รับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นๆ นั้นคือเมื่อบุคคลใดในกลุ่มเสนอ ความคิดเห็นขึ้นมา จะไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์ หรือตัดสินความคิดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิดดี มี คุณภาพหรือมปี ระโยชนน์ ้อยกต็ าม 2. ให้อิสระทางความคิด ยอมรับความคิดที่แต่ละบุคคลในกลุ่มเสนอขึ้นมา สนับสนุน ความคดิ ทีแ่ ปลกใหม่ ไมซ่ ้ำกบั ความคิดเดมิ มีสาระ มปี ระโยชน์ 3. ส่งเสริมปรมิ าณความคดิ ยิ่งมีปริมาณความคิดมากก็ยิ่งทำให้ฐานข้อมลู ด้านความคิดมาก ข้ึนตามไปด้วย 4. ประมวลความคิดและปรุงแต่งความคิด โดยการพิจารณาตัดสินร่วมกันภายในกลุ่ม รวบรวมความคิดที่ได้การเสนอไว้แล้ว นำมาจัดเรียงลำดับความคิดตามคุณค่าของความคิดเห็นภายใต้ ขอ้ จำกดั ของความคดิ นน้ั เพอื่ ให้ได้ขอ้ สรปุ ออกมา กอร์ดอน (Gordon,1961) ไดพ้ ัฒนาวธิ ีการซิเน็ตตกิ ซ์ ข้นึ มาเพอ่ื สนบั สนนุ การใช้วิธอี ปุ มาใน การกระตุน้ ใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์ ดงั นี้ 1. อุปมาตนเอง (Personal analogy) เป็นการคิดที่ใส่ตัวเองลงไปโดยตรงกับสถานการณ์ที่ ต้องการแก้ไข นั้นคือ เมื่อเกิดปัญหาก็ให้ใส่ตัวเองลงไปในปัญหานั้น ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าต้องการให้ เครือ่ งจักรทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ใหน้ ึกเสียวา่ ตัวเราเปน็ เครื่องจักรนนั้ กจ็ ะทำใหท้ ราบทันทีว่า ต้องการได้รับการปฏิบัติเช่นไร เช่น การดูแลเอาใจใส่ การตรวจเช็คสภาพ แหล่งพลังงานหล่อเลี่ยง อณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสม เป็นตน้ 2. อุปมาโดยตรง (Direct analogy) การกระตุ้นให้ตัวเราเองค้นหาสิ่งอืน่ ที่แกป้ ัญหาที่กำลงั ประสบอยู่ การไดเ้ ห็นวิธแี กป้ ญั หาของคนอื่น อาจชว่ ยใหเ้ ราคดิ วิธีแกป้ ญั หาของตนเองได้ 3. อุปมาสัญลักษณ์ (Symbolic analogy) การใช้จิตนาการที่ดูเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น การ์ตนู เพือ่ กระตนุ่ ใหเ้ กิดความคดิ สร้างสรรค์ 4. อุปมาคิดฝัน (Fantasy analogy) การทำให้จิตนาการให้กว้างไกลหลุดจากโลกของความ เป็นจริง อาจกระตุ้นใหพ้ บวิธีแกป้ ญั หาได้ 2.7.5 ความหมายของการวิเคราะหก์ ารออกแบบ (Design Analysis Definition) ความหมายของการวิเคราะห์การออกแบบ มาจากการคำสองคำรวมกันกันคือ คำที่ว่าการ วิเคราะหท์ ี่มคี วามหมายวา่ การรวบรวมขอ้ มูลแล้วนำมาพิจารณาตีความจำแนกแยกแยะใหเ้ หมาะสมกับ

68 งานน้นั ๆ ตรงกับภาษาองั กฤษวา่ Analysis อีกคำคือคำวา่ การออกแบบ (Design) โครงร่างแบบแปลน รูปลักษณ์ รูปโฉม หรือ ลวดลาย ของสิ่งที่จะจัดทำ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เมื่อนำสองคำมารวมกัน แลว้ เปน็ การวิเคราะห์การออกแบบ ควรจะมีความหมาย เปน็ การจำแนกแยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ของการออกแบบที่เหมาะสมกับกับการใช้งานตามหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยและมีกาละเทสะตาม กาลเวลา 2.7.6 การวเิ คราะห์แนวคิดในการออกแบบ (Conceptual Design Analysis) ความหมายของแนวคิดในการออกแบบ (Conceptual Design Definition) ความหมาย ของแนวคิดในการออกแบบคือ ความคิดรวบยอดหรือมโนคติ ความคิดที่เกิดขึ้นของการออกแบบสิ่งใด ส่งิ หนึง่ โดยรวมแนวคิดจากจุดเลก็ ไปหาจุดใหญ่ เปน็ สิ่งท่กี ำหนดให้ถือเป็นหลักการหรือแนวดำเนินของ โครงร่างแบบแปลน รูปลักษณ์ รูปโฉม หรือ ลวดลาย ของสิ่งที่จะจัดทำ ที่เหมาะสมกับการใช้งานซึ่ง เก่ยี วพันกับเทคโนโลยี ลักษณะเฉพาะที่สำคัญประการหนึ่งของการออกแบบอย่างเป็นระบบคือ การแบ่งกระจาย การทำงานออกจากกันเป็น ขั้นตอนย่อย ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ร่วมงานสามารถมุ่งความสนใจกับงานแต่ละ ขั้นตอน ได้อย่างเต็มที่ ช่วยลดความสับสนในการ คิดค้นแก้ปัญหาในการแบ่งกระจายขั้นตอนการ ออกแบบนั้น เนื่องจากนักออกแบบแต่ละคนเมื่อผ่านประสบการณ์ใน การ ทำงานมาช้านานได้สะสม ความรู้ความชำนาญตลอดจนมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหา หรืออุปสรรค์ขณะลงมือทำงาน จึง พัฒนา ขั้นตอนการทำงานเฉพาะเปน็ ของตัวเองตามความถนัดและความมีประสทิ ธผิ ลด้วยวธิ ีที่ตนได้เรียนร้มู า ดังนั้นตาม สำนักงานออกแบบต่าง ๆ เช่น สำนักงานสถาปนิก นักตกแต่งภายใน และนักออกแบบ อุตสาหกรรม จึงวางแบบแผนการ ทำงานไว้เป็นเสมอื นคูม่ ือปฏิบตั ิงานเพ่ือให้นักออกแบบและเจ้าหนา้ ทฝี า่ ยตา่ ง ๆ ปฏบิ ัตเิ ป็นขน้ั ตอนมีการกำหนดอย่างชดั เจน เกยี่ วกบั ลักษณะผลผลิตทตี่ อ้ งทำส่งในแต่ละ ขั้นตอน และให้ดำเนินไปเป็นลำดับ อย่างเคร่งครัดการทำงานตามแบบแผน อย่างเป็นขั้นตอน มีส่วน ช่วยให้การออกแบบประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดีแต่ละวิธีการแบ่งมีการกระจายการทำงานเป็น ขั้นตอนลักษณะต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการทำงานตามความถนัดและความเคยชินของนักออกแบบเปน็ สำคญั 2.7.7 ทกั ษะกระบวนการคดิ กรอบการพัฒนาทักษะกระบวนการคิด ปัจจุบัน สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ระดมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาการคิดให้แก่ นกั เรยี น จากผทู้ ่ีศกึ ษาเกี่ยวกับการพฒั นาการคิดให้กับนักเรียน ไดก้ รอบความคดิ ในการพัฒนานักเรียน ให้มีความสามารถด้านการคิดอย่างเข้มแข็ง คือ Selfregulation, Applying, Gatheringและ Processing

69 จากที่ได้ศึกษา และสงั เกตการพัฒนากระบวนการคิดใหก้ ับนกั เรยี นพบวา่ กรอบการพฒั นา การคิดข้างบนนี้สามารถพัฒนาให้เป็นหลักการในการพัฒนาการคิดได้ คือ ในการคิดเรื่องอะไรก็ตาม ต้องมีการรวบรวมข้อมูล(Gathering) ให้สอดคล้องกับเรื่องที่คิด และเพียงพอต่อการนำไปใช้ในการ ตัดสินใจดำเนินการต่อไป เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ต้องนำข้อมูลมาจัดกระทำ(Processing) และนำข้อมูลที่ จัดกระทำแล้วไปใช้(Applying) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการคิดที่กำหนดไว้ โดยทุกขั้นตอนของการ คิดตามกรอบน้ี ผู้คิดต้องคิดอย่างรอบคอบและมีคุณธรรม คือมีการควบคุม กำกับตนเองขณะคิด(Self- regulation) ซง่ึ แตล่ ะขน้ั ตอน มีรายละเอยี ดทนี่ า่ สนใจ ดงั น้ี 1. การเก็บรวบรวมข้อมูล(Gathering) อาจจะมีกิจกรรมดังตอ่ ไปนี้บางสว่ นหรอื ท้งั หมด 1.1 กำหนดประเดน็ ท่จี ะรวบรวมขอ้ มลู 1.2 ค้นหาข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มลู หลากหลาย 1.3 เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งท่ีเชื่อถอื ได้ 1.4 บนั ทกึ ข้อมลู ที่เก็บรวบรวม 1.5 เลือกขอ้ มลู ที่ตอ้ งการนำมาใชต้ ามเปา้ หมายการคิด 2. การจัดกระทำขอ้ มลู (Processing) อาจจะมกี ิจกรรมดงั ต่อไปน้ี 1.1 จำแนกข้อมูล 1.2 เปรียบเทียบข้อมูล 1.3 จัดกลุ่ม 1.4 จดั ลำดบั 1.5 สรา้ งขอ้ สรปุ 3. การประยุกตใ์ ช้ความรู้(Applying) อาจจะมีกจิ กรรมดงั ต่อไปนี้ 3.1 ประเมนิ ทางเลอื ก 3.2 เลอื กทางเลือก 3.3 ใช้ความรู้อยา่ งสร้างสรรค์ 3.4 ขยายความรใู้ หร้ จู้ ริงมากขึน้ 3.5 สังเคราะห์ 4. การควบคุม กำกบั ตนเอง(Self-regulation) (คิดอย่างมสี ติ)อาจจะมกี ิจกรรมดงั ต่อไปน้ี 4.1 ตรวจสอบและควบคมุ การคิดของตนเอง 4.2 มีคา่ นิยมท่ีถูกตอ้ ง มีคณุ ธรรม 4.3 สร้างนิสัยการคดิ 4.4 เรยี นร้ดู ้วยตนเอง

70 2.7.8 แนวคดิ เบอ้ื งเกย่ี วกับการออกแบบ 2.7.8.1 พฒั นาการของกระบวนการออกแบบ การออกแบบ (Design) หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากความคดิ ออกมาเป็นผลงาน ที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ เพื่อให้มีความเข้าใจในผลงานร่วมกัน โดยมีคามสำคัญอยู่ หลายประการ กล่าวคือ ในแง่ของ การวางแผน การการทำงาน งานออกแบบจะช่วยให้ การทำงาน เป็นไปตามขั้นตอน อย่างเหมาะสมและประหยัดเวลา ดังนั้น อาจถือว่า การออกแบบ คือ การวางแผน การทำงานก็ได ในแง่ของการนำเสนอผลงานนั้น ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องมีความ เข้าใจ ตรงกันอย่างชดั เจน ดังนัน้ ความสำคัญในด้านน้ี คือ เป็นส่ือความหมาย เพือ่ ความเขา้ ใจระหวา่ งกัน เป็น สิ่งที่ อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับงาน งานบางประเภทอาจมีรายละเอียดมากมายซับซ้อน ผลงาน ออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้พบเห็นมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ผลงาน ออกแบบ คือตวั แทนความคิดของผอู้ อกแบบ ได้ทงั้ หมด การทำงานออกแบบในอดีตท่ีผา่ นมาจงึ อาจจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. วิธีการของช่างฝีมือ (Unselfconscious process) เป็นวิธีการทำงานโดยการลอง ผิด-ลองถูกของช่างฝีมอื ด้วยความคุ้นเคยกับปัญหาในงานของตน ช่างฝีมือจะจัดการ แก้ไขปัญหาอย่าง ได้ผลตรงจุดนั้นโดยการค่อยปรับเปลี่ยน ช่างฝีมือได้รับการฝึกฝนขณะทำงานเป็นลูกมือมาก่อน จึงมี ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการ วัสดุและกรรมวิธีการผลิตสะสมไว้อยู่ในความทรงจำเนื่องจากไม่มีการ บันทึกและ การวาดภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น การพัฒนาในงานออกแบบจึงกินเวลานาน และทำ ให้ยากที่จะเปลยี่ นแปลง ทั้งหมดมักเป็นการค่อยปรับเปลี่ยนไปทลี ะน้อยในระหว่างการทำงาน ข้อดีของ วิธีการทำงานออกแบบในลักษณะน้ี คือ ช่วยให้ช่างสารถจดจำซึมซาบเข้าไปอยา่ งแน่นแฟ้นยากแกก่ าร ลมื เลอื น 2. วธิ ีการของชา่ งเขยี นแบบ (selfconscious process) เป็นวิธีการทำงานที่ใช้แบบ (Drawing) เป็นศูนย์กลางในการคิด การปรับปรุงและการพัฒนาแบบ เนื่องจากในการทำงานออกแบบ ท่ีมคี วามซับซอ้ นและมีขนาดใหญ่มากขน้ึ ความชาญฉลาดและประสบการณ์ ของนักออกแบบ ดงั นั้นกระบวนการออกแบบใหม่ จึงมลี ักษณะทส่ี นับสนนุ ใหผ้ ู้ออกแบบมกี ารคิดทั้ง 2 ลักษณะเกดิ ขึ้นดว้ ยกันคือ 1. การปลอ่ ยให้จติ ใจผอู้ อกแบมีอิสระ ในการสรา้ งความคดิ จนิ ตนาการ การคาดเดา และการเห็นแจ้สำหรับทางเลือกตา่ งๆ ในเวลาใดกไ็ ด้ โดยไมถ่ ูกยดึ ติดหรือครอบงำดว้ ยขอ้ จำกัดใด ๆ 2. การใชว้ ิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลและการแยกแยะ หาความเกี่ยวข้องเปน็ เหตุเป็น ผลตลอด จนการนำข้อมลู มาใชอ้ ธบิ าย และเปรียบเทยี บแนวความคดิ เพื่อหาคำตอบหรือทางออกที่ ถูกต้องเหมาะสมสงู สดุ

71 2.7.8.2 ลกั ษณะสำคัญของกระบวนการออกแบบ กระบวนการออกแบบอยา่ งเป็นระบบ เปน็ วธิ กี ารออกแบบท่ีชว่ ยลดความผิดพลาดใน การทำงาน และมีความ เหมาะสม กับการแก้ปัญหาในงานออกแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะปัญหาที่มี ข้อมูลเป็นปริมาณมาก เป็นโจทย์ที่ต้องการ ผู้ร่วมงาน จากต่างสาขาและเป็นงานออกแบบที่ต้องการ ความรเิ ร่มิ สร้างสรรคใ์ นระดับสูง กระบวนการออกแบ บอยา่ งเป็นระบบ มีลักษณะสำคญั ดังนี้ (1) การพยายามทำให้การออกแบบเป็นวิธกี ารที่เปิดเผย มกี ารทำงานอย่าง เป็นลำดับขั้นตอนเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานเกิดความเข้าใจ และสามารถมีส่วนร่วมในการให้ ขอ้ มูลคำแนะนำ และเสนอนะวธิ ีแกไ้ ขปัญหาแทนท่จี ะเป็นการทำงานของนกั ออกแบบตามลำพงั (2) ให้ความเปน็ อิสระในการสร้างสรรค์ ดว้ ยการแบง่ แยกการทำงาน ออกเป็นขนั้ ตอน เป็นการกระจายงานออกจากกัน เมือ่ ทำงานถึงแต่ละข้นั ตอน ก็สามารถพุ่งความสนใจ จดจ่ออย่เู ฉพาะขั้นตอนนั้น ได้อยา่ งเป็นอสิ ระจากขั้นตอนอ่ืนๆ ลดความสบั สนในการใช้ความคิดต่องาน รวมท้ังหมด (3) การทำงานแมจ้ ะมกี ารแบ่งออกเปน็ ขนั้ ตอน แตใ่ นขณะปฏิบัตนิ ้ันไม่ สามารถแยกแต่ละขั้นตอน อย่างเด็ดขาดจากกัน ขั้นตอนต่าง ๆ มีความต่อเนื่องและคาบเกี่ยวกัน จน บางคร้ังไม่สามารถกำหนดจดุ เรมิ่ ตน้ และจดุ จบของ แต่ละ ข้ันตอนได้อย่างชดั เจน (4) มีระบบการจดบนั ทกึ อยา่ งละเอียดในแต่ละขน้ั ตอน จึงมหี ลกั ฐานบนั ทกึ เกบ็ ไวช่วยใหง้ ่ายต่อการทบทวน ค้นหา ตรวจสอบและแก้ไขเม่อื เกดิ ความผิดพลาด โดยแท้จริงแล้ว ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่หาคำนิยามที่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซนต์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะ แต่ละคนก็มคี วามคิดแต่ละแบบ แต่ละสไตล์หลากหลายกนั ไป แต่มนี ิยาม ที่พอจะใช้อธิบาย ความหมายได้ครอบคลุมก็คือ “ การผนวกส่วนของความคิดลึก ๆ ภายในใจ ประยุกต์ใช้แก้ไขปญั หา แก้โจทย์และเงื่อนไขตา่ ง ๆ ที่มีอยโู่ ดยมีรูปแบบค่อน ขา้ งใหม่ไม่ซ้ำกับส่ิงท่ีมีอยู่ แล้ว และมีคุณค่าในการตอบโจทย์เป้าหมาย หรือสิ่งที่เราต้องการเป็นอย่างดี “ ความคิดสร้างสรรค์ พอจะแบง่ เป็นเกณฑ์เปน็ ระดับได้ ดังน้ี 1. คิดแบบค้นพบ (Discovery) เป็นการคิดที่ไอเดียใหม่ (Original Idea) หรือทฤษฎี ใหม่ เช่น การค้นพบ ทฤษฎีแรงดึงดูดของโลกของ เซอร์ไอแซค นิวตัน หรือทฤษฎีสมดุลยภาพของ จอห์น แนช ซงึ่ เป็นเรอ่ื งยากทค่ี นทว่ั ไป จะคดิ ได้ 2. คิดเชิงนวัตกรรม (Innovative ) เป็นการคิดประยุกต์ที่นำหลักการทาง วิทยาศาสตร์มาผนวกให้เกิดคุณค่าใน การแก้ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น การประดิษฐ์ทวีขึ้นมา โดย นำหลกั การเดนิ ทางของคลืน่ มาประยุกต์เป็นสง่ิ ประดษิ ฐ์ 3. คิดเชิงสังเคราะห์ใหม่ (Synthesis) เป็นความคิดทีน่ ำสง่ิ ที่มีอยูเ่ ดิมมารวบรวม หรือ “ ยำ ” ให้เกดิ ความ คดิ ที่สรา้ งเปน็ สิง่ ใหม่ข้ึนมา 4. คิดแบบดัดแปลง (Mutation) เป็นการนำปัญหาที่มีอยู่มาผนวกกับสิ่งที่มีอยู่ใน ปัจจุบันแล้วเกิดการปรับเปลี่ยน คุณสมบัติของสิ่งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปร่าง รูปทรง เช่น

72 ความคดิ ที่ จะนำเคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ีบ่ ้านมาพกตดิ ตัว เลยปรบั ขนาดกลายมาเปน็ พอ็ กเก็ตพีซี (Pocker PC) ในปัจจุบัน ในการออกแบบกราฟิกนั้นจะต้องใช้ความคิดในข้อที่ 3 และข้อที่ 4 มากที่สุด โดย ความคดิ ที่ว่านีจ้ ะใชใ้ นการคิดและผลติ งานออกแบบออกมาอย่างเป็นข้นั เปน็ ตอน การออกแบบ (Design) คอื ศาสตร์แหง่ ความคิด การแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อสนองต่อ จดุ มุ่งหมายและนำกลบั มาใชง้ านไดอ้ ยา่ งน่าพงึ พอใจ 1. ความสวยงาม (Asthetic) เป็นความพึงพอใจแรกทีค่ นเราสัมผัสไดก้ ่อน มนุษยเ์ รา แต่ละคนต่างมีการรบั รเู้ ร่อื งความสวยงามและความพึงพอใจในเร่ืองของความงามได้ไม่เท่ากนั ความ งามจึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากและไม่มีกฎเกณฑ์การตัดสินใดๆ ทเี่ ป็นตัวกำหนดความแน่ชัดลงไป แต่เชอ่ื วา่ งานท่ีมกี ารจดั องคป์ ระกอบทดี่ ี คนส่วนใหญ่ก็จะมองวา่ สวยงามไดเ้ หมอื นๆ กนั 2. มีประโยชน์ใช้สอยที่ดี (Function) การมีประโยชน์ใช้สอยที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ มากในงานออกแบบทุกประเภท เช่น ถ้าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เกา้ อี้ เก้าอี้นั้นจะต้องนั่งสบาย ถ้า เป็นบ้าน บ้านนั้นจะต้องอยู่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด ถ้าเป็นงานกราฟฟิกสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวหนังสือที่อยู่ในงาน จะต้องอ่านง่าย ไม่ต้องถึงขั้นเพ่งสายตา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นงานออกแบบที่มีประโยชน์ใช้สอยที่ดีได้ เปน็ ตน้ 3. มีแนวความคิดในการออกแบบที่ดี (Concept) แนวความคิดในการออกแบบที่ดี นั้นคอื หนทางความคิดท่ีทำให้งานออกแบบท่ีได้ ตอบสนองต่อความร้สู ึกพอใจ ชน่ื ชม เรื่องนี้บางคนให้ ความสำคัญมาก บางคนให้ความสำคัญน้อย บางคนไม่ให้ความสำคัญให้แค่ 2 ข้อแรกก็พอ แต่เชื่อไหม ว่างานออกแบบ บางครั้งจะมคี ณุ ค่า (Value) มากขน้ึ ถ้าไดอ้ อกแบบงานจากแนวความคดิ ท่ีดี 2.8 ศึกษาข้อมูลเก่ยี วกบั ความเหลอื่ มล้ำของสงั คม ความเหลื่อมล้ำในสังคมด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจนั้นเป็น “ปัญหา” ที่เราต้องหา ทางแก้ไขหรือไม่ และถ้าต้องแก้ควรใช้วิธีอะไร เป็นคำถามที่ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์หรือจุดยืนของคนใน สงั คม ปจั จุบันมสี ำนักคิดใหญส่ ามแหง่ ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายและวิวาทะสาธารณะในกรอบ ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ได้แก่ เสรีนิยม (Liberalism) ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) และสมรรถภาพมนษุ ย์ (Capabilities Approach) ความแตกต่างระหว่างสำนกั คดิ ท้ังสามส่วน ใหญอ่ ย่ทู ี่การให้นำ้ หนกั กับ “เสรภี าพของปจั เจก” และ “ความยตุ ธิ รรมในสังคม” ไม่เทา่ กนั สำนักคดิ ท้งั สามน้มี ีความ “เทา่ เทยี มกนั ทางศลี ธรรม” (Morally Equivalent) กล่าวคอื ไม่มี ชุดหลักเกณฑ์สัมบรู ณใ์ ด ๆ ทจ่ี ะช่วยเราตัดสินไดว้ า่ สำนกั คิดใด “ดกี วา่ ” หรอื “เลวกวา่ ” กัน เนื่องจาก ตา่ งกม็ จี ดุ ยืนทางศีลธรรมด้วยกันทงั้ สิน้ เพยี งแตใ่ ห้น้ำหนักกบั คณุ คา่ หรือคุณธรรมต่าง ๆ ไมเ่ ท่ากัน การ ตดั สินวา่ จะเช่อื หรือประยุกตใ์ ช้แนวคิดของสำนักคิดใดสำนักคดิ หนึ่งจึงน่าจะตั้งอยู่บนการประเมินผลได้ และผลเสียของแต่ละแนวคิด เปรียบเทียบกับสภาพเศรษฐกจิ และสังคมทีเ่ ป็นจริง มากกว่าการใช้มาตร วัดทางศลี ธรรมใด ๆ ท่ีเปน็ นามธรรมโดยไม่คำนงึ ถึงสถานการณจ์ รงิ

73 โดยสามารถสรุปแนวคิดในส่วนที่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของสำนักคิดทั้งสามได้คร่าวๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.8.1 เสรนี ยิ ม (liberalism) นักเสรีนิยมสายคลาสสิก (Classical Liberal) และสายลิเบอทาเรียน (Libertarian) โดยทั่วไปจะไมม่ ีจดุ ยืนเก่ียวกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื่อวา่ รัฐควรปล่อยให้มนุษย์ทุก คนมีเสรีภาพที่จะทำอะไรๆเอง เพราะมองว่าเสรีภาพของปัจเจกคือคุณค่าและคุณธรรมที่สำคัญที่สุด ความยุติธรรมต้องอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพ รัฐมีหน้าที่อำนวยให้เกิด “ความเท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมาย” โดยไม่ต้องสนใจว่าความเท่าเทียมดังกล่าวจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหรือไม่ เพียงใด เนื่องจาก “กลไกตลาด” (ผลรวมของการกระทำโดยเสรีของปัจเจก) คือกลไกที่ดีที่สุดหรือมี ข้อบกพร่องน้อยทีส่ ดุ แล้วในการสร้างประโยชน์สาธารณะ ลุดวิก วอน มิเซส (Ludwig von Mises) นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมคลาสสิกผู้ทรงอิทธิพล เสนอในปี ค.ศ. 1949 ว่านักเสรนี ิยมที่รณรงคค์ วามเท่าเทียมกนั ภายใต้กฎหมายน้นั ตระหนักดวี ่า มนุษย์ เกิดมาไม่เท่าเทียมกัน และความไม่เท่าเทียมกันนี้เองที่เป็นบ่อเกิดของการร่วมมือกันทางสังคมและ อารยธรรม ในความเห็นของพวกเขา ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายไม่ได้ถูกออกแบบมาแก้ไข ขอ้ เท็จจรงิ ของจักรวาลทเ่ี ปลย่ี นแปลงไม่ได้ หรอื เพ่อื กำจัดความไมเ่ ท่าเทียมตามธรรมชาติให้หมดส้ินไป แตใ่ นทางตรงกันขา้ ม ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายถูกออกแบบมาเปน็ เคร่ืองมือท่ีจะรับประกันว่า มนุษยชาติทั้งมวลจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากความไม่เท่าเทียมดังกล่าว ...ความเท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมายนั้นดีเพราะมันตอบสนองความต้องการของทุกคนได้ดีที่สุด ปล่อยให้พลเมืองผู้มีสิทธิเลือกต้ัง ตัดสนิ ใจเองวา่ ใครควรดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง และปลอ่ ยใหผ้ ู้บรโิ ภคตัดสินใจเองว่าใครควรมีอำนาจ กำหนดกิจกรรมการผลติ โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักปรัชญาสายลิเบอทาเรียนผู้โด่งดัง มองว่าสังคมในอุดม คติคือสังคมที่มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพสมบูรณ์ ไม่มีใครถูกใครบังคับไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในเมื่อรัฐ กระจายความมั่งคั่งดว้ ยการบังคับ (โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี) โดยทั่วไปเขาจึงไม่เห็นดว้ ยกับมาตรการ ลดการเหลื่อมล้ำทำนองนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจบางด้านในสงั คมสมัยใหม่ เกิดจากการใช้กำลังบังคับในอดีต (เช่น เจ้าขุนมูลนายในอดีตใช้กำลังทหารริบเอาที่ดินทั้งหมดมาเป็น ของตน) โนซิคก็เห็นว่าการกระจายความมั่งคั่งกลับคืนด้วยอำนาจรัฐ (เช่น ออกกฎหมายเพื่อกระจาย ที่ดินกลับไปอยู่ในมือลูกหลานของผู้ทีเ่ คยถูกริบที่ดินทำกนิ ในอดีต) ก็เป็นสิ่งที่ยุติธรรมและมีความชอบ ธรรม แต่เฉพาะในกรณแี บบนีเ้ ทา่ นัน้ จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักปรัชญาการเมืองผู้ทรงอิทธิพลที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ สอง ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของโนซิค (และของสายลิเบอทาเรียนโดยรวม) ซึ่งเชิดชูเสรีภาพของปัจเจก มากกว่าความยุติธรรมในสังคมมาก รอลส์นำเสนอในหนังสือเรือ่ ง A Theory of Justice (ทฤษฎีความ ยุติธรรม) ว่า คนทุกคนควร “แบกรับโชคชะตาร่วมกัน” ด้วยการช่วยเหลือคนที่ยากจนที่สุดและ

74 เสียเปรยี บทส่ี ุดในสังคม เพราะทุกคนน่าจะเห็นพอ้ งต้องกนั ไดว้ ่า ถ้าบงั เอิญตวั เองเกดิ มาเปน็ คนจน กจ็ ะ เดือดร้อนมากและอยากให้รัฐยื่นมือช่วย อย่างไรก็ตาม การที่รอลส์เห็นด้วยกับการช่วยเหลือคนที่จน ที่สุด ไม่ได้แปลวา่ เขาคิดว่าความเหลือ่ มล้ำ (ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย) เป็น “ปัญหา” ที่จำเป็น จะต้องไดร้ บั การแก้ไข อันท่จี ริงรอลส์กล่าวว่า ภาวะความเหลอื่ มลำ้ ด้านความมั่งค่งั อาจ “ชอบธรรม” ก็ ได้ ถา้ หากมนั เปน็ ภาวะท่ีปรบั ปรงุ สงั คมโดยรวม รวมถงึ ชวี ิตความเป็นอยูข่ องคนทจ่ี นที่สดุ ในสงั คมด้วย รอลส์ไม่เคยแจกแจงว่าทฤษฎีความยุติธรรมของเขาแปลว่าสังคมควรจัดการกับความเหลื่อมล้ำหรือไม่ อย่างไร นักคิดบางคนตีความว่าข้อเสนอดังกล่าวของรอลส์สนับสนุนระบบทุนนิยมเสรี เนื่องจากตาม ทฤษฎี แม้แต่สมาชกิ ท่ีจนที่สดุ ในสงั คมกย็ ังได้รับประโยชน์จากนวตั กรรมและความเจรญิ ท่ีเกิดในระบบ แตน่ ักคิดคนอน่ื เช่ือว่ามีเพยี ง “รฐั สวสั ดิการ” ทเ่ี ขม้ แขง็ เทา่ นนั้ ท่จี ะทำให้อุดมคติของรอลสเ์ ปน็ จริง มลิ ตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นกั เศรษฐศาสตร์สำนกั เสรนี ยิ มคลาสสิก มองว่ารัฐโดย ธรรมชาตินั้นด้อยประสิทธิภาพกว่าเอกชนและมักจะลุแก่อำนาจ ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากรัฐทำอะไรก็ตาม เพื่อพยายามสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ เมื่อนั้นเสรีภาพทางการเมืองของผู้คนก็จะถูกบั่นทอน เขากล่าวอย่างโด่งดังว่าสังคมที่กำหนดความเท่าเทียมเป็นเป้าหมายเหนือ เสรีภาพจะไม่มีทั้งสองอย่าง สงั คมทีต่ ้งั เป้าหมายทีเ่ สรีภาพก่อนความเทา่ เทียมจะมีท้งั สองอยา่ งคอ่ นข้างสงู 2.8.2 ความยตุ ธิ รรมทางสังคม (Social Justice) นักคิดจำนวนไม่น้อยมองว่าโครงสร้างสังคมทุกสังคมล้วนเป็นผลผลิตของความไม่เท่าเทียม และความอยุติธรรมในอดีตที่สะสมทับถมกันมานานหลายชั่วอายุคน นักเศรษฐศาสตร์ แพทริค ได มอนด์ (Patrick Diamond) และนักสังคมวิทยา แอนโธนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) มองว่าสังคม แบบ “คุณธรรมนิยมสมบูรณ์” (Pure Meritocracy หมายถึงสังคมที่สมาชิกทุกคนเลื่อนฐานะได้ด้วย ความสามารถของตนเองล้วน ๆ ไม่ใช่ด้วยอภสิ ทิ ธิ์หรือเส้นสายใด ๆ ) ที่ปราศจากการกระจายความมั่ง คั่งไม่ใช่สังคมที่พึงปรารถนา เนื่องจากกลุ่มบุคคลที่ประสบความสำเร็จในรุ่นของตัวเองจะกลายเป็ น “ชนชั้น” ที่ฝังรากลึกสำหรับคนรุน่ ตอ่ ไป เก็บความมั่งคั่งที่ตนสะสมเอาไวเ้ ปน็ ทุนสำหรับลูกหลาน เมื่อ เปน็ อย่างนลี้ ูกหลานของคนจนก็จะยิ่งเสียเปรียบคนรวย และความเหล่อื มล้ำกจ็ ะยิ่งถ่างกวา้ งข้ึนเรื่อย ๆ เพียงเพราะพวกเขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน นักคิดที่รณรงค์ความยุติธรรมทางสังคมมองว่า นี่คือ ความอยตุ ธิ รรมทางสังคมทต่ี ้องหาทางบรรเทาหรือกำจัดให้ไดม้ ากที่สดุ นอกจากจะมองว่าสงั คมที่ความเหลื่อมล้ำถา่ งกวา้ งขึ้นเรือ่ ย ๆ คือสังคมที่ไมย่ ตุ ิธรรมแล้ว นัก คิดสำนักน้ียังมองว่า ความมั่งคั่งและความก้าวหน้าทั้งหลายในสังคมไมไ่ ดเ้ กิดจากความสามารถของคน ที่มีฐานะดีเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนสร้างทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เศรษฐีขายหุ้นทำกำไรในตลาดหุ้นได้ก็เพราะระบบสารสนเทศของตลาดหุ้นมีไฟฟ้าใช้ ถ้าหากไฟฟ้านั้นถูกส่งมาจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และถ้าหากการก่อสร้างเขื่อนส่งผลให้ครอบครัว ชาวประมงนับหมื่นครัวเรือนต้องสูญเสียช่องทางทำมาหากินเพราะหาปลาไม่ได้อีกต่อไป ก็กล่าวได้ว่า เศรษฐีเป็น “หน้บี ญุ คณุ ” ชาวประมง

75 ด้วยเหตุน้ี นกั คิดอยา่ งไดมอนด์และกิดเดนส์จึงมองวา่ สงั คมตอ้ งพยายามสร้างความยุติธรรม หรอื บรรเทาความอยุติธรรมทางสงั คมอยา่ งต่อเน่ือง ดว้ ยการกระจายรายได้และความม่ังคั่งให้ตกถึงมือ ประชาชนในวงกว้างที่สดุ เพือ่ “ตอบแทนคนทุกภาคส่วนในสังคมที่มสี ่วนสร้างความมงั่ คั่ง” และดังน้ัน พวกเขาจึงมักจะสนับสนุนแนวคิด “รัฐสวัสดิการ” อย่างเต็มรูปแบบที่จัดสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับ ประชาชนทุกคน ในฐานะ “สิทธิพลเมือง” ที่พึงได้รับอย่างเสมอภาค และไม่สนับสนุน “ระบบ สวัสดิการ” ที่เอกชนมีบทบาทนำและรัฐช่วยเหลือแต่เพียงผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้จริงๆ (ต้องผ่านการ ทดสอบความจำเปน็ (Means-test ก่อน) ในกรอบคดิ ของสำนักเสรีนยิ ม 2.8.3 สมรรถภาพของมนษุ ย์ (Capabilities Approach) อมาตยา เซน (Amartya Sen) นกั เศรษฐศาสตรส์ วัสดกิ ารเจ้าของรางวลั โนเบลเศรษฐศาสตร์ ปี 1998 คือผ้พู ฒั นาแนวคดิ ท่ตี ัง้ อย่บู นสมรรถภาพของมนษุ ย์ (Capabilities) ซง่ึ บางคนก็เรียกแนวคิดนี้ ว่า วิถีการพฒั นามนุษย์ (Human Development Approach) แนวคิดนีม้ องว่าทัง้ ความเหลื่อมล้ำทาง เศรษฐกิจและความยากจนเป็น “การลิดรอนสมรรถภาพ” ของมนุษย์ และมองว่าการเติบโตทาง เศรษฐกิจและรายไดเ้ ป็นเพียง “เคร่ืองมือ” ที่นำไปสูเ่ ปา้ หมาย ไมใ่ ช่ “เป้าหมาย” ในตัวมันเอง แนวคิด นี้แตกต่างจากแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่มองว่า “ความเป็นอยู่ท่ี ดี (well-being) คือการบรรลุ อรรถประโยชน์สูงสุด (maximum utility)” และอรรถประโยชน์สูงสุดจะบรรลุได้เมื่อคนมีรายได้และ ความมั่งคง่ั สูงที่สุด สิ่งที่เซนมองว่าเป็นเป้าหมายของการพัฒนามนุษย์คือ “อิสรภาพ” ซึ่งมีความหมาย ครอบคลุมกว้างกว่าที่ใช้กันทั่วไป เขาเสนอว่า มนุษย์ทุกคนควรมีอิสรภาพที่สำคัญห้าประการด้วยกัน ได้แก่ อิสรภาพทางการเมือง อิสรภาพทางเศรษฐกิจ โอกาสทางสังคม หลักประกันว่าภาครัฐจะมีความ โปรง่ ใส และการคมุ้ ครองความปลอดภัยในชวี ติ และทรพั ยส์ ิน เซนชใี้ ห้เหน็ วา่ เม่อื สมรรถภาพของคนถูกลดิ รอน พวกเขาก็จะขาดอสิ รภาพ และอิสรภาพห้า ประการก็ล้วนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่อาศัยอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมที่มีอาชญา กรชกุ ชุม (ขาดความปลอดภัยในชีวิต) มักจะมีรายได้น้อยมากเม่ือเทียบกบั คนท่ีอาศยั อยู่ในถ่ินปลอดภัย (ขาดอิสรภาพทางเศรษฐกิจ) เพราะไม่กล้าออกจากบ้านไปหางาน, ขนบธรรมเนียมประเพณีในบาง สังคมที่มองว่าผู้หญิงควรทำหน้าที่เป็นแม่บ้านทำให้ผู้หญิงไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีการศึกษา (ขาด โอกาสทางสังคม) ทำให้พวกเธอออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้และทำงานที่ต้องใช้ความรู้ไม่ได้ (ขาด อิสรภาพทางเศรษฐกิจ), สังคมที่ไม่มีกลไกให้คนมีส่วนร่วมทางการเมือง (ขาดอิสรภาพทางการเมือง) เพื่อสร้างระบบ “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” เป็นสังคมทีส่ ุ่มเสี่ยงว่านักการเมืองจะฉ้อราษฏรบ์ งั หลวงอย่างโจ๋งครึ่ม (ขาดหลักประกันความโปร่งใส) เพราะโกงได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับหรือถูก ประชาชนลงมตถิ อดถอน ปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสมรรถภาพและอิสรภาพด้านต่าง ๆ แปลว่ายิ่งสังคมมีความ เหลื่อมล้ำเท่าไร ก็ยิ่งปิดช่องว่างได้ยากขึ้นเท่านั้น เพราะความเหลื่อมล้ำด้านหนึ่งมักจะตอกลิ่มความ

76 เหลื่อมล้ำด้านอื่น ๆ ไปพร้อมกันด้วย ด้วยเหตุนี้ เซนจึงเสนอว่าเป้าหมายของการพัฒนาสังคมและ นโยบายรัฐควรอยู่ที่การเพิ่มทางเลือกในการดำรงชวี ิตให้แกผ่ ู้คน และปรับปรงุ ระดับความเป็นอยู่ที่ดีใน แนวทางที่พวกเขาเลือก ด้วยการเพิ่มอิสรภาพในด้านต่าง ๆ ข้างต้น เพิ่มสมรรถภาพของผู้คนในการใช้ อิสรภาพดังกล่าว (เช่น ด้วยการเพิ่มกลไกที่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมทางการเมือง) และเพิ่ม ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายที่คนแต่ละคนตั้ง (เช่น ด้วยการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ บริการ สาธารณะ และบรกิ ารสาธารณสุข) ระดับการลิดรอนสมรรถภาพของคนท่ีจะ “ใช้” อิสรภาพเหลา่ นี้ เป็นเครื่องวัด “ระดับความ ยากจน” ได้ดีกว่าตัวเลขรายได้ เนื่องจากสามารถพูดถึงแง่มุมของ “ความยากจน” ที่ไม่แสดงในตัวเลข รายได้ ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีรายได้ประชากรต่อหัวสูงกว่ายุโรปก็จริง แต่มีอัตราการเข้าถึง ระบบสาธารณสุขแย่กว่า ส่วนอินเดียมีรายได้ต่อหัวไม่ต่างจากกลุ่มประเทศทางตอนใต้ของทะเลทราย ซะฮาราในทวปี แอฟริกาเท่าไรนกั แตอ่ นิ เดยี มีอตั ราการรู้หนังสือและอัตราการตายของทารกแรกเกิดต่ำ กว่ามาก มุมมองของคนเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำแต่ละด้านว่าอะไรเป็น “ปัญหา” และถ้าเป็นปัญหา ควรแก้ไข “อย่างไร” นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่หยุดนิ่งตายตัว ทว่าผันแปรไปตามการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจและสังคม ยกตัวอย่างเชน่ สมัยที่โทรศัพท์มือถือยังมรี าคาแพงเพราะเทคโนโลยีเพิ่งเกดิ คนที่ จะใช้มอื ถือได้ก็มแี ตช่ นชัน้ กลางระดับบนเท่านน้ั เราจงึ ไม่คดิ วา่ ความเหล่อื มล้ำเร่ืองมือถือเป็น “ปัญหา” ที่ต้องแก้ไข เพราะโทรศพั ทเ์ ปน็ สินคา้ ฟุ่มเฟือย ไมใ่ ชป่ ัจจัยที่จำเป็นตอ่ การดำรงชวี ิต แต่เมอ่ื เวลาผ่านไป มือถือมีราคาถูกลงเพราะเทคโนโลยีก้าวหน้า คนกม็ ีกำลงั ซื้อมากขน้ึ เพราะมีรายได้ดี ขึ้นจากความเจริญทางเศรษฐกิจ ค่านิยมในสังคมก็เปลี่ยนไปเมื่อโลกเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร ปัจจัย เหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากรู้สกึ ว่า การได้ใช้บริการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพไม่ได้เป็นแค่ความต้องการ ของผ้บู รโิ ภคท่มี ีฐานะอีกต่อไป แต่เป็น “สทิ ธิในการได้รับบริการสาธารณะ” ประการหนึ่งซ่ึงรัฐมีหน้าที่ รับประกนั สินค้าอุปโภคบริโภคที่คนมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาในวิถีชีวิตปัจจุบัน รวมท้ัง โทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนไทยส่วนใหญ่อีกต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากการ เติบโตทางเศรษฐกิจของไทยซึง่ สามารถเตบิ โตเฉล่ียถึงร้อยละ 7 ต่อปีเป็นเวลานานกว่า 25 ปี ส่งผลให้ “ความยากจนเชิงสัมบูรณ”์ (Absolute Poverty) ลดลงอย่างตอ่ เนื่องตัง้ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เปน็ ตน้ มา สดั สว่ นคนไทยทีม่ รี ายได้ตำ่ กวา่ 2 เหรียญสหรัฐตอ่ วนั (เสน้ ความยากจนทีธ่ นาคารโลกใชเ้ ป็น มาตรวัดความจนท่ัวโลก) ลดลงจากร้อยละ 26 ในปี พ.ศ. 2535 เหลือร้อยละ 12 ในปี 2549 อย่างไรก็ ตาม ประชากรที่อยู่ในกลุ่ม “เฉียดจน” คือมีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนเพียงเล็กน้อยยังมีจำนวน มาก ถ้าขยับเส้นความยากจนจาก 2 เหรียญต่อวัน เป็น 3 เหรียญต่อวัน (ประมาณ 2,700 บาทต่อ เดือน) คนไทยท่ีอย่ใู ตเ้ สน้ ความยากจนน้กี จ็ ะเพิม่ จากร้อยละ 12 เป็นรอ้ ยละ 29 ทันที ความเจรญิ ทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการขยายตัวของบริการทางการเงิน อาทิ เงินผ่อนและ สินเชื่อส่วนบุคคล ส่งผลให้แม้แต่ประชากรที่มีรายได้เพียง 4,000-5,000 บาทต่อเดือน อย่างเช่นบิดา

77 มารดาของพชิ ยั ก็สามารถมีส่งิ อำนวยความสะดวกสมัยใหมน่ อกเหนือจากปจั จัยสี่ อาทิ โทรศัพท์มือถือ โทรทศั น์ และตู้เยน็ ไดอ้ ยา่ งไมล่ ำบาก (ดแู ผนภูมิ 1 ขัน้ บันไขัน้ บันไดรายไดต้ ่อเดอื น และจำนวนสินคา้ ที่ มใี นครัวเรอื น) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่กล่าวถึงข้างต้นทำให้ปัจจุบัน “ความยากจน สัมพัทธ์” (Relative Poverty) มีน้ำหนักมากกว่า “ความยากจนสัมบูรณ์” (Absolute P:overty) ใน การประกอบสร้างเป็น “ความเหลื่อมล้ำที่คนรู้สึก” (Perceived Inequality) แต่ความเหลื่อมล้ำที่คน รู้สึกนั้นก็ใช่ว่าจะรู้สึกเหมือนกันหมด ในบทความเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมใน สังคมไทย” ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ เดือนพฤษภาคม 2553 รศ.ดร. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ จาก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้อธิบายมุมมองเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำที่แตกต่างกันมาก ระหวา่ งชนชัน้ ไว้อย่างชดั เจนดงั ต่อไปนี้ ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นรากฐานข อง ความขัดแย้งในสงั คมไทย เพยี งแตว่ ่ามุมมองของความเหล่ือมล้ำนี้แตกต่างกันไปตามสถานะและชนชนั้ ชนชัน้ นำและชนช้ันกลางท่ีได้รับผลประโยชนจ์ ากความเหลื่อมล้ำน้ี จะเห็นว่าสังคมไทยรับรู้ เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และรัฐก็พยายามช่วยเหลืออยู่ และมักจะสรุปว่าสภาพความเหลื่อมล้ำก็ดีกว่าเดิมมาก แม้วา่ กลมุ่ น้ีจะมีความปรารถนาดีต่อคนจนอยู่ แตก่ ็เป็นลักษณะของการ “มองลงต่ำ” หรือเป็นการเห็น และช่วยคนจนในรูปแบบของการ “ก้มตัว” ลงไปช่วยเหลือเป็นหลัก รูปแบบการ “ก้มตัว” ลงไป ช่วยเหลือคนจนปรากฏ กค็ อื การ “สงเคราะห”์ เปน็ ครัง้ เป็นคราวไป ในอดีต การ “สงเคราะห์” อาจจะส่งผลดีทางอารมณ์ความรู้สึก ทั้งผู้ “สงเคราะห์” และ “ผรู้ ับการสงเคราะห์” เพราะนอกจากชว่ งเวลาแวบเดยี วของการรับการสงเคราะหแ์ ล้ว ชีวิตของ “ผู้รับ การสงเคราะห์” ไม่ได้พ้องพานเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับ “ผู้สงเคราะห์” เลย ดังนั้น การเป็นคนไร้ ศักดิ์ศรีรอรับของบริจาค จึงเป็นเรื่องที่รับได้ รวมทั้ง “ผู้รับการสงเคราะห์” ก็รู้สึกได้ถึงวาระพิเศษท่ี ไดร้ บั การสงเคราะห์ ที่สำคัญ ความสัมพันธ์ลักษณะนี้คือลักษณะเด่นหนึ่งในความเป็นไทยที่ปลูกฝังกันมา ที่ต้อง เอื้อเฟอื้ เผื่อแผ่กนั และเป็นการเออ้ื เฟอ้ื เผอ่ื แผแ่ บบ “ผใู้ หญ่ - ผู้นอ้ ย” ในชว่ งเวลา 30 ปที ผี่ ่านมา ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกจิ ในชนบท กอ่ ให้เกดิ การประกอบ อาชีพในลักษณะใหม่ ซึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความสามารถในการ ครอบครองสินค้าจำเปน็ ในชีวิตประจำวันเปน็ เรอ่ื งปกตธิ รรมดาไป หากท่านผูอ้ ่านได้มีโอกาสไปเดินเล่น ตามห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มารเ์ ก็ตต่างจังหวดั จะพบเห็นถึงความสามารถในการครอบครองสนิ ค้า อุปโภค-บรโิ ภคขยายตวั มากขึน้ อย่างมากมาย น่ีเปน็ เหตผุ ลว่าทำไมห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ต จงึ ขยายตัวออกหวั เมอื งไกลมากข้ึนตามลำดบั ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจน้ี ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางสังคม อย่างลึกซึ้งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของการให้ความ “สงเคราะห์” ลักษณะเดิมกลายเป็นเรอ่ื งท่ไี มจ่ ำเปน็ และการรบั ของสงเคราะห์เป็นเรอื่ งของการไรซ้ ึ่งศักดศ์ิ รีไป

78 หากสำรวจกันจริง ๆ ในเขตพื้นที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเข้มข้นนั้น หากมีพิธี การให้การสงเคราะห์ จะพบวา่ จำนวนผู้ท่เี ข้ารับการสงเคราะหน์ ้นั น้อยลง และมักจะเป็นการเกณฑ์หรือ ขอร้องจากเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ มากขึ้น แม้ว่าคนในพื้นที่นั้น ๆ อาจจะยังคงมีความยากจน หรือมี รายได้ไม่สูงมากนักก็ตาม ยกเว้นว่าในเขตห่างไกลมาก ๆ หรือในช่วงเวลาวิกฤติภัยธรรมชาติ การรับ ของแจกจึงไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ควรจะรำลึกถึงบุญคุณผู้ให้อีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องไร้ความหมายมาก ขน้ึ ๆ ท่ีสำคญั นอกจากไรค้ วามหมายแลว้ ยงั แฝงไวด้ ว้ ยความรสู้ ึกว่าถูกดูหมิ่นศกั ดศิ์ รอี กี ด้วย กล่าวได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ได้ทำให้เปลี่ยนแปลงลักษณะของความยากจน จากความ “ยากจน - สมบูรณ์” มาสู่ความ “ยากจนเชิงสัมพัทธ์” และความเปลี่ยนแปลงนี้ ได้ทำให้ ความคิดทางดา้ นความสัมพนั ธท์ างสังคมเปลีย่ นแปลงตามไปดว้ ย ความ “ยากจน-สมบูรณ์” ต้องการและยอมรับการสงเคราะห์ แต่ความ “ยากจนเชิงสมั พันธ์” ต้องการ โอกาสและความเทา่ เทยี มกัน ในเขตพื้นที่ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ระบบอุปถัมภ์ในชนบทที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นการจัด ความสัมพนั ธ์ทางสังคมเชิงผู้ใหญ่ - ผนู้ อ้ ยและเปน็ เชิงสงเคราะห์ กต็ อ้ งปรับเปลี่ยนอย่างลึกซ้ึง จากเดิม ที่สามารถเรียกร้องความจงรักภักดีได้ยาวนาน ก็เป็นเพียงแลกเปลี่ยนความจงรักภักดีกันเป็นครั้งๆ ไป จนอาจจะกล่าวได้วา่ ได้สูญเสียลกั ษณะสำคัญของระบบอุปถัมภไ์ ปหมดแลว้ ในขณะที่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจผลักให้ประเทศไทยเข้าสู่กลุ่ม “ประเทศที่มีรายได้ ปานกลาง” ในนิยามของธนาคารโลก ขณะที่ผลประโยชน์ในภาคเกษตรตกอยู่กับพ่อค้าคนกลางและ บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรมากกว่าเกษตรกรรายย่อย ส่งผลให้ประชาชนในชนบทดิ้นรน แสวงหารายได้ทางอื่นนอกภาคเกษตร คนหลายล้านคนย้ายเข้ามาทำงานในตัวเมือง มีรายได้จาก การเกษตรน้อยลงอย่างต่อเน่ือง กรณีของพชิ ัยพบเห็นได้ทั่วไป นั่นคือ ตวั เขายงั มชี ่ืออยู่ในทะเบียนบ้าน ที่โคราชแต่มาทำงานในกรงุ เทพฯ ส่วนบิดามารดาของเขาก็มรี ายได้จากการทำนาน้อยลง มีรายรับจาก เบีย้ ยงั ชพี สำหรบั ผูส้ ูงอายุและเงนิ ทีพ่ ิชัยส่งกลับบ้านมากกว่า ผศ.ดร. อภิชาต สถิตนิรามัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายความ ผลพวงของปรากฏการณน์ ที้ ม่ี ตี อ่ ลกั ษณะของ “ระบบอุปถมั ภ์” ในชนบทวา่ เมื่อเงินได้ส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตร สิ่งนี้อย่างน้อยก็หมายความว่า แหล่งเงินได้ของ ชาวชนบทมีหลายแหล่งมากขึ้น รวมทั้งแหล่งเงินกู้ในระบบ เช่น กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ ธ. ก.ส. ก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นชาวชนบทจึงมีความจำเป็นทีจ่ ะต้องพึ่งพิงผูอ้ ุปถัมภ์ในภาคการเกษตรน้อยลง ด้วย ในอีกด้านหนึ่ง นโยบายประชานิยมหลายแบบก็ทำให้ชาวชนบทไม่จำต้องพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ท้องถ่ิน อกี ตอ่ ไป พดู อีกแบบคอื นโยบายประชานยิ มทำหนา้ ท่ีแทนผอู้ ปุ ถัมภ์ด้ังเดิม ในแงน่ ้ี ชาวชนบทสว่ นใหญ่ จึงกลายเป็นเสรีชนที่หลุดออกจากเครอื ข่ายอุปถัมภ์แบบเดิมๆ แล้ว เขาไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้อง เชอ่ื ฟงั หัวคะแนนอีกตอ่ ไป นอกจากระดับของ “ความยากจนสัมพทั ธ์” (ความเหลื่อมลำ้ ) จะสง่ ผลต่อความรสู้ กึ ว่าภาวะ นี้ “รับไม่ได้” มากกว่าในอดีตแล้ว บรรดา “คนจน” และ “คนเฉียดจน” ในไทย (ร้อยละ 29 ของ

79 ประชากรทั้งประเทศ หรือ 19.6 ล้านคน) ยังมีความไม่มั่นคงในชีวิตสูงกว่าคร่ึงศตวรรษก่อน เนื่องจาก การดำรงชวี ติ ของพวกเขาตอ้ งพึง่ พาอาศัยระบบตลาดมากกวา่ เดิม ย้อนหลงั กลบั ไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 ประเทศไทยยังมปี ่าไม้ราว 171 ลา้ นไร่ หรอื ร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ทั้งประเทศ สภาพแวดล้อมโดยรวมยังอุดมสมบูรณ์ คนในชนบทถึงแม้จะมีรายได้ต่ำก็ยัง สามารถพึ่งพาธรรมชาติได้มาก ทั้งการหาอาหารและนำทรัพยากรมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ใน ครวั เรอื น ทำใหอ้ ยไู่ ดอ้ ย่างไม่ขัดสนถงึ แมจ้ ะมเี งนิ สดนอ้ ยก็ตาม ห้าทศวรรษหลังจากปี 2505 ประชากรไทยเพิ่มขึ้นกว่า 2.3 เท่า ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมถูก ทำลายไปกว่าครึ่งหนึง่ ไม่สามารถเป็นแหล่งยังชีพของผู้คนได้เหมือนเคย ระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ทุนนิยม อุตสาหกรรมและสังคมบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว คนทุกระดับใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ ค่าครองชีพ (เงินเฟ้อ) ก็เพิ่มสูงขึ้นในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้กำลังซื้อที่แท้จริงเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้ท่ี เปน็ ตัวเงนิ ทั้งหมดน้ีหมายความวา่ ถงึ แมค้ นไทยโดยเฉลีย่ จะมีรายได้มากขึ้น “คนจน” และ “คนเฉียด จน” ก็น่าจะมคี วามไมม่ ัน่ คงในชีวติ สงู กว่าสมัยท่ีปยู่ า่ ตายายของพวกเขายังเด็ก 2.9 ศกึ ษาข้อมูลเกยี่ วกับกระบวนการวิจยั แบบมีสว่ นร่วม PAR 2.9.1 การวิจยั แบบมีส่วนรว่ ม (Participatory Action Research-PAR) การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการแบบมสี ่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) นบั เป็นการ วิจัยเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาสังคมและชุมชนที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ บัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสำคัญและกระตุ้นให้ นกั วจิ ัย/นกั ศกึ ษาระดับบัณฑิตศึกษาใชเ้ ป็นรูปแบบในการวิจยั และการทำวทิ ยานพิ นธ์/การค้นคว้าอิสระ เพ่อื ตอบสนองตอ่ โจทยแ์ หง่ การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาทีม่ ุ่งไปท่ีการคน้ หาแนวทางอนั เปน็ รูปธรรมท่ี เกิดจากการระดมสมองในลักษณะของการมีส่วนร่วมของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยปรับเปลี่ยนกระ ทวนทัศน์ของการวิจัยจากรูปแบบดั้งเดิมที่การตั้งประเด็นของปัญหาเริ่มต้นและจบกระบวนการโดย นักวิจัย ซึ่งพบว่างานวิจัยหลากหลายชิ้นมิได้ถูกนำไปเผยแพร่หรือนำไปทดลองใช้หรือถูก “เก็บขึ้น ห้งิ ” อันเป็นการสูญเสยี ท้ังกำลังความคิด งบประมาณและทรัพยากรเวลาอย่างน่าเสียดายย่งิ มาเป็น งานวิจัยที่เริ่มตน้ จากชมุ ชน ชมุ ชนมสี ่วนร่วม ท้ังในมิตขิ องการร่วมกนั เรียนรรู้ ่วมกนั แสวงหาปัญหา และ คิดค้นแนวทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาทีเ่ ปน็ เรื่องอันเปน็ ฉันทามติของชมุ ชน รวมทั้งร่วมรบั ผล ของการพัฒนา โดยมีนักวิจัยภายนอกทำหน้าที่เป็นผู้เอื้ออำนวย หรือวิทยากรกระบวนการร่วมกับ นักวิจัยชุมชนที่เป็นชาวบา้ น ดังนั้น การวิจัยจึงสร้างคุณลักษณะของการเรียนรู้แบบพหุภาคี พร้อมกับ บังเกิดผลพลอยได้ที่เป็นจิตสำนึกตระหนักในปัญหา หน้าที่ และร่วมกันแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ส่งเสริมกิจกรรมกลุ่ม ทำงานร่วมกันทั้งแก้ปัญหา และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ ตาม งานวิจัยเชิงปฏิบัติการซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การมีส่วนร่วมน้ี ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่นักวิจัยผู้มี ประสบการณ์ภาคสนามหลายท่านสะท้อนความเห็นและข้อสังเกตเอาไว้ โดยเฉพาะประเด็นของการ

80 สร้างสว่ นร่วมในกระบวนการวิจยั แต่ละขนั้ ตอนอนั จะเป็นแนวทาง และคำแนะนำที่นา่ สนใจ รวมท้ังช่วย ให้นักวิจยั ทส่ี นใจใช้รปู แบบนใ้ี นการทำวิจัยปัญหาของสังคม เศรษฐกจิ และการเมอื ง โดยเฉพาะการวิจัย เพอื่ พัฒนา (Research and Development) 2.9.2 ระเบียบวธิ ขี องการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม กิจกรรมของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในทัศนะของกมล สุดประเสริฐ มี แตกต่างกนั อยู่สองชุดซึ่งจำแนกได้ดงั นี้ 2.9.2.1 กจิ กรรมการวิจัยปฏิบัติการ หรือการวจิ ยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนร่วมของ ผูป้ ระสานงาน หรือผูอ้ ำนวยการวจิ ัย โดยเป็นกจิ กรรมการแสวงหาความรู้ของนักวจิ ัยตามโครงการการ วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในชุมชนพื้นที่เป้าหมายของผู้วิจัยแต่ละคน โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ของนักวิจัยคือการสร้างรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิภาพ เป็นไปตาม หลักการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ และสามารถที่จะเผยแพร่แก่สังคมได้ โดยรูปแบบของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิผลนั้น จะต้องเป็นรูปแบบที่สามารถแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองเงินทองและก่อให้มีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้ ผลตอบแทนจากการวิจัยคอ่ นข้างสูง 2.9.2.2 กิจกรรมการวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ของชุมชน หรือเรียกว่า กิจกรรมการวิจัยเชิงปฏิบัติการของชุมชน เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความ พยายามในการแก้ไขปัญหาชุมชนของนักวิจัยท่ีปฏบิ ัติการร่วมกันกับชมุ ชน โดยนักวิจัยทำหน้าทีเ่ ปน็ ผู้ ประสานงาน หรือเป็นผู้อำนวยการวิจัย ซึ่งมีบทบาทหลักในการเป็นผู้ช่วยเหลือในกระบวนการวิจัย ตงั้ แต่แรกเรมิ่ และค่อย ๆ ลดการชว่ ยเหลอื ลง และหวังว่าเม่ือดำเนนิ การวจิ ัยไปจนสนิ้ สดุ โครงการแล้ว ประชาชนจะมีความรู้จากการเรียนรู้ร่วมกัน และสร้างพลังที่พอเพียงกระทั่งสามารถแก้ไขปัญหาของ ชมุ ชนไดโ้ ดยลำพังอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มิต้องรอรบั การชว่ ยเหลอื จากภายนอกอีก 2.9.3 การมีส่วนรว่ มในกระบวนการวจิ ยั การมีส่วนร่วม (Participation) เป็นวิธีการ (Means) สำคัญที่จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญประการ หนึ่ง และเป็นสาระสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมรูปแบบ มีสังกัปประการใด นัน้ สามารถพิจารณาได้จากทัศนะของทวีทอง หงษ์วิวัฒน์ ซึ่งมคี วามเห็นวา่ การมีส่วนร่วมเป็นสิทธิ ของประชาชนต่อการตัดสินใจนโยบายที่เกี่ยวกับก ารจัดสรร (Allocation) และการใช้ ประโยชน์ (Utilization) ของทรัพยากรเพื่อการผลิต ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ประชาชนต้องเข้าร่วมใน การวางแผน เพื่อการกินดีอยู่ดี และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เข้าถึงซึ่งการพัฒนาให้คนจน ได้รับ ประโยชน์เพ่อื การผลิต การบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะดว้ ย และการมีส่วนร่วมคือการ ที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ทางการจัดการบริการทางการเมือง เพ่ือ กำหนดความต้องการของชุมชนของตน การมีส่วนร่วมของประชาชนก่อให้เกิดกระบวนการ และ โครงสร้างท่ีประชาชนสามารถทีจ่ ะแสดงออก ซึ่งความต้องการของตน การจัดลำดับความสำคัญ การ

81 เข้าร่วมในการพัฒนา และได้รับประโยชน์จากการพัฒนานั้นโดยเน้นการให้อำนาจในการตัดสินใจแก่ ประชาชนในชนบท และเป็นกระบวนการกระทำที่ประชาชนมีความสมัครใจเข้ามามีส่วนในการ กำหนดการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชนเอง โดยให้ประชาชนได้มีส่วนในการตัดสนิ ใจเพื่อตนเอง ทั้งนี้ โดยมิใช่การกำหนดกรอบความคิดจากบุคคลภายนอก ตามนิยามที่กล่าวถึงนี้ การมีส่วนร่วมทางของ ประชาชน ในฐานะสมาชิกของสังคม ไม่ว่าจะในบริบทของการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองหรือ วัฒนธรรม ย่อมเป็นสิ่งที่แสดงออกให้เห็นถงึ พัฒนาการรบั รู้ และภูมิปัญญาในการกำหนดชีวิตของตน อย่างเป็นตัวของตนเอง ในการจัดการควบคุมการใช้ และการกระจายทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมตามความจำเป็นอย่างสมศักดิ์ศรี นอกจากนี้การที่ประชาชน หรือชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนในการจัดการควบคุมการใช้ทรัพยากร ควบคุมการกระจาย ทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีพทางเศรษฐกิจและสงั คม ทำให้ประชาชนได้พัฒนาการ รับร้แู ละภมู ิปัญญาซง่ึ แสดงออกในรูปของการตัดสินใจในการกำหนดชวี ติ ของตน โดยภาครัฐจะต้องคืน อำนาจในการกำหนดการพัฒนาให้แก่ประชาชน เพ่ือให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ดอ้ ยโอกาสในสังคมได้มี โอกาสในการแสดงความต้องการ แสวงหาทางเลือก หรือเสนอข้อเรียกร้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ ร่วมของกลุ่ม และเป็นผู้มีบทบาทหลักในการดำเนินกิจกรรมพัฒนาชุมชน คือ เป็นผู้กำหนดความ จำเป็นพื้นฐานของชุมชน และเป็นผู้ระดมทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อสนองตอบความจำเป็นพื้นฐานและ บรรลุวตั ถุประสงค์บางประการทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในเชงิ ทฤษฎีแล้ว การมสี ว่ นรว่ มต่อการดำเนนิ กิจกรรมหรือโครงการพัฒนานน้ั มีหลากหลาย มติ ิ สามารถจำแนกออกไดเ้ ปน็ มิติต่าง ๆ ประกอบด้วย มติ ิแรก รว่ มศึกษาและวเิ คราะหป์ ัญหา ซ่ึงเป็น การที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาชุมชน วิเคราะห์ชุมชน ค้นหาปัญหาและสาเหตุของ ปัญหาภายในชุมชนร่วมกัน และมีส่วนในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการด้วย เป็นการ กระตุ้นให้ประชาชนได้เรียนรู้สภาพของชุมชน วิถีชีวิต สังคม ทรัพยากร และสิ่งแวดลอ้ มเพือ่ ใช้เป็น ข้อมูลเบื้องต้นในการจัดทำและประกอบการพิจารณาวางแผนงานวิจัย มิติที่สอง ร่วมวางแผน เป็น การวางแผนการพัฒนาหลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นของชุมชนแล้ว และนำข้อมูลมาวิเคราะห์หา ปัญหา สาเหตขุ องปัญหาเรียบรอ้ ยแล้ว กน็ ำมาอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกันเพือ่ กำหนดนโยบาย และวัตถุประสงค์ของโครงการ การกำหนดวิธีการและแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนกำหนด ทรัพยากรและแหล่งทรัพยากรที่จะใช้เพื่อการวิจัย มิติที่สาม ร่วมดำเนินการ เป็นการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการดำเนินการพัฒนา หรือเป็นขั้นตอนปฏิบัติการตามแผนการวิจัยที่ได้วางไว้ ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน โดยการสนับสนุนด้าน เงินทุน วัสดุอุปกรณ์ และแรงงาน รวมทั้งการเข้าร่วมในการบริหารงาน การประสานขอความ ช่วยเหลือจากภายนอกในกรณีที่มีความจำเป็น มิติที่ส่ี ร่วมรับผลประโยชน์ โดยประชาชนตอ้ งมีส่วน ร่วมในการกำหนดการแจกจ่ายผลประโยชน์จากกิจกรรมการวิจัยในชุมชนในพ้ืนฐานที่เท่าเทียม เสมอ ภาคกนั และมติ ทิ ีห่ า้ เป็นการมสี ่วนรว่ มตดิ ตามประเมินผลการดำเนินงานวิจัย และผลของการพัฒนา จากการดำเนินการไปแล้วว่าสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม่ มีปัญหาอุปสรรค และข้อจำกัดอย่างไร

82 เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทันที และนำข้อผิดพลาดไปเป็นบทเรียนในการดำเนินการ ต่อไป การเปิดให้ประชาชนหรือชาวบ้านที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการวิจัยนั้น นับได้ว่า เปน็ คณุ ค่าโดยแทข้ องการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบนี้ ซ่งึ ก่อให้เกดิ รากฐานแหง่ ความยงั่ ยืนของการพัฒนา ไพโรจน์ ชลารักษ์ อธิบายไว้ว่า หากพิจารณาในรูปของกระบวนการวิจัย การมีส่วนร่วมของ ฝ่ายต่าง ๆ สามารถระบุได้ตามลำดับขั้นหรือกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมได้หลาย ขั้นตอน ซึ่งช่วยให้เห็นบทบาทหน้าทีข่ องผู้เข้ารว่ มการวิจัยแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน และในทางปฏิบัติ แล้ว กระบวนการวิจัยก็ต้องดำเนินไปโดยความร่วมมือกับทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับขั้นตอน ตง้ั แตต่ น้ จนจบสิน้ กระบวนการ ดงั ต่อไปนี้ 1. ขั้นการศึกษาบริบท ในขั้นนี้ นักวิจัยจะทำการกำหนดพื้นที่หรืออาณาบริเวณที่จะ ทำการศึกษาวิจัยเพื่อทำประชาคม โดยมีนักพัฒนาประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ชาวบ้านเข้าร่วม และ ชาวบา้ นเขา้ รว่ มกจิ กรรมการวิจยั 2. ขั้นกำหนดปัญหา ในขั้นตอนนี้ นักวิจัยสรุปคำถามหรือปัญหา รวมทั้งอธิบายเป้าหมาย และวัตถปุ ระสงค์ของการแก้ไขปญั หาใหท้ ุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไดเ้ หน็ ภาพและเกดิ ความเขา้ ใจตรงกัน ส่วน นักพัฒนาทำความเข้าใจประเด็นปัญหาละมองถึงผลของการวิจัยได้อย่างชัดเจน และครอบคลุมส่วน เกี่ยวข้องอื่น ๆ และชาวบ้านได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็น/ความ ต้องการ ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว การวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สอดคล้องกับสภาพจริงที่เกิดขึ้นหรือ สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาที่ประสงค์ได้นั้น ย่อมหลีกไม่พ้นการที่นักวิ จัยจะต้องสร้าง ความสัมพันธ์ดันดีกับประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความตระหนักในบทบาทและ ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัย ขั้นการกำหนดปัญหาร่วมกับชาวบ้านในชุมชน จึง เป็นเรอ่ื งสำคัญที่ผวู้ จิ ัยจะต้องดำเนนิ การใหเ้ กดิ ผลอยา่ งแท้จริง กอ่ นจะเรม่ิ ดำเนินงานในขั้นตอนอ่ืน 3. ขั้นการวางแผนปฏิบัติงานวิจัย ในขั้นตอนนี้นักวิจัยจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานวิจัยให้ ชดั เจน รวมทง้ั ระบุดว้ ยวา่ ผู้มีส่วนเกีย่ วขอ้ งกับการทำวจิ ยั แตล่ ะฝ่ายจะมีส่วนร่วมอะไร และอยา่ งไร เมื่อ ใดบ้าง พร้อมทั้งแผนการปรบั ปรุงหรือปรบั เปลย่ี นวธิ ีการวิจยั ส่วนนกั พัฒนาจะเข้าร่วมปฏิบัติการวิจัย โดยติดตามผลการดำเนินงานวิจัยทุกขั้นตอน และคอยตรวจสอบผลของการดำเนินงานว่ามีสิ่งใดที่ ผิดพลาด หรือไม่เปน็ ไปตามแผนหรือเป้าหมาย หรือมีสิ่งใดที่เกิดแทรกซ้อนข้ึนมาหรือไม่ โดยชาวบา้ น นนั้ จะเข้ามีสว่ นรว่ มลงมือในการปฏิบัตงิ านวิจยั ตามแผน และตรวจสอบผลวา่ พงึ พอใจหรือไม่ 4. ขั้นการติดตาม ตรวจสอบและปรับปรุงรวมทั้งการแก้ไขระหว่างการปฏิบัติงานวิจัย ใน ขั้นนี้ นักวิจัยที่ส่วนร่วมโดยการพิจารณาหาทางปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติการวิจัยแบบมีส่วนร่วม โดย อาศัยข้อมูลจากทุกฝ่าย แล้วนำมาทำการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุ เป้าหมาย โดยนักพัฒนาจะเข้ามีส่วนร่วมด้วยการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานวิจัยและประเมินว่าผลท่ี เกิดขนึ้ เปน็ ไปตามเป้าหมายหรือไม่ เปน็ ตน้ และประชาชนหรือชาวบ้านจะเข้ารว่ มดว้ ยการรับรู้ถึงการ ปรบั เปลย่ี นการปฏิบัติงานตามท่ีนักวิจยั กำหนด รวมทง้ั ใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ (feedback) ทแี่ สดงถึงความ พึงพอใจและความสำเรจ็ ของการดำเนนิ การวิจัย

83 5. ขั้นการสรุปผลการวิจัย ในขั้นตอนนี้ นักวิจัยจะทำการสรุปผลการวิจัย และเรียบเรียง เป็นรายงานการวิจัยออกเผยแพร่ นักพัฒนามีส่วนร่วมด้วยการรับทราบและตรวจสอบประเมิน ผลการวจิ ัยวา่ ประสบความสำเร็จมากน้อยเพยี งใด มปี ัญหาและอุปสรรคอย่างไรบ้าง โดยชาวบ้านเข้ามี ส่วนร่วมด้วยการให้ข้อมูลย้อนกลับผลของการวิจัยว่าพึงพอใจและได้ผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ และ แสดงความคิดเห็นอนื่ ประกอบข้อมลู ด้วยวา่ เพราะเหตุใด Kerlinger (1988) กล่าวว่า“การวิจัยเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสวงหาความรู้ ความจริง ที่ ถูกต้อง เชอื่ ถือได้ ตรวจสอบได้ เกย่ี วกับปรากฏการณต์ ่าง ๆ ในสงั คมดว้ ยวิธีการทางวิทยาศาสตร”์ ส่วนคำว่า เชิงปฏิบัติการ หมายถึง การปฏิบัติงานในกิจกรรมการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการ วิจัยและ คำว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง การเข้าร่วมอยา่ งแข็งขันของกลุม่ บคุ คลในขั้นตอนต่าง ๆ ของ การดำเนินกิจกรรมอยา่ งหนึง่ 2.9.4 สรุปได้วา่ การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม กค็ อื การแสวงหาความรู้ ความจรงิ ทถี่ ูกต้อง เช่ือถือได้ ตรวจสอบได้ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีกลุ่มบุคคลเข้ามาร่วมกันเรียนรู้เพื่อรู้จักตัวเอง ชุมชน สิ่งแวดล้อม ให้เห็นปัญหาของตัวเอง และเห็นทางแก้หรือทางออกจากปัญหา โดยลงมือปฏิบัติจริง ได้ผลจรงิ แกป้ ญั หาได้จริง ซ่งึ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) คือ การวิจัย ค้นว้า และหาความรู้ตาม หลกั การของการวิจยั เชิงวิทยาศาสตร์แบบเดิม ๆ ตา่ งกนั เพียงแต่ว่า PAR นั้นมวี ตั ถุประสงค์มุ่งไปที่การ แก้ปัญหาในการพัฒนา และเป็นการวิจัยที่ดำเนินไปด้วยการมีส่วนร่วมของชมุ ชน ผู้ร่วมงาน รวมทั้งใน กระบวนการวิจัย และในการมีหนุ้ สว่ นใช้ประโยชนข์ องการวจิ ยั ”......กมล สุดประเสรฐิ (2540: 8) ซึ่งสอดคลอ้ งกบั สุภางค์ จนั ทวานชิ (2547: 67) กลา่ ววา่ “การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการแบบมีส่วน ร่วม (PAR) หมายถึง วิธีการที่ให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมวิจัย เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดย อาศยั การมีส่วนรว่ มอยา่ งแข็งขนั จากทุกฝา่ ยทเี่ ก่ียวข้องกับกจิ กรรมการวิจัย นบั ตง้ั แต่การกำหนดปัญหา การดำเนินการ การวิเคราะห์ข้อมลู ตลอดจนหาแนวทางในการแก้ปญั หาหรอื สง่ เสรมิ กจิ กรรม” การวิจยั แบบเดิม (Tradition Research) เป็นการวิจัยทีใ่ ช้ผ้วู ิจัยเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Researcher Center) องค์ความรู้ (Body of knowledge) อยู่ที่นักวิจัยที่เป็นคนนอกชุมชน วิจัยเพื่อรู้ ปัญหาของ คนอื่น ผลการวจิ ยั จงึ ไม่ได้นำไปใช้แก้ปัญหา ส่วนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเป็นการวิจัยโดยคนในชุมชน (Community Center) ร่วมกันเรียนรู้เรื่องชุมชนของตนเอง เห็นปัญหาของตัวเอง เห็นทางออก หรือทางแก้ปัญหา ของชุมชนร่วมกัน และทุกคนในชุมชนร่วมกันแกป้ ญั หาและรบั ผลของการแก้ปญั หารว่ มกัน ซึ่งเป็นการ ปรับปรงุ วิธีการวจิ ยั ด้งั เดิมให้มปี ระสิทธภิ าพยง่ิ ขึ้น

84 การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ เน้นการมองภาพในองค์รวม ให้ความเคารพและใหค้ วามสำคัญแก่คุณค่า ความเปน็ มนษุ ย์ของผู้ถูกวจิ ัย เป็นการศึกษาแบบเจาะลึก และใชร้ ะยะเวลาศึกษายาวนาน สร้างข้อสรุป จากหลักฐานและสง่ิ ทีค่ ้นพบ นำมารวบรวมอธิบายเป็นภาพรวมในเชิงนามธรรมมใิ ชต่ ัวเลขทางสถิติ การวิจัยแบบมีส่วนร่วม เป็นการศึกษาชุมชน โดยให้สมาชิกของชุมชนเช้ามามีส่วนร่วมใน การศกึ ษาและเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทง้ั เป็นผรู้ ่วมวิจัยดว้ ย แต่ไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ และยังไม่มีการ นำไปประยกุ ตแ์ กป้ ญั หา การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นกระบวนการวิจัยที่ผู้วิจัยจะเลือกหรือกำหนดกิจกรรมอย่างใด อย่างหนง่ึ ขึ้นมา ซึ่งผู้วิจยั จะเป็นผู้พิจารณาว่าดีและเหมาะสมแลว้ จากนน้ั ก็นำกจิ กรรมน้ันๆมาทดลอง ปฏิบัติการว่าใช้ได้หรือไม่ตามสมมติฐานของ ผู้วิจัย โดยผู้วิจัยจะกำหนอเกณฑ์ในการติดตามและ ประเมินผล ตลอดจนควบคุมแนวทางการปฏิบัติและนำผลนั้นมาปรับปรุงรูปแบบกิจกรรมการดำเนิน งาน แล้วนำไปทดลองใช้ใหม่จนกว่าจะได้ผลที่ผู้วิจัยพึงพอใจ จากนั้นก็นำไปใช้และเผยแพร่ต่อไป ซึ่ง การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการน้อี าจมสี ่วนรว่ มหรอื ไมม่ สี ว่ นร่วมกไ็ ด้ 2.9.5 แนวคิดพ้ืนฐานของ PAR 1. PAR เป็นกระบวนการทีไ่ ม่หยดุ น่ิง 2. เชื่อว่าทุกคนมศี กั ยภาพท่จี ะร่วมกันเรียนรู้ 3. เริ่มจากความร้สู กึ ของคนท่ีมีต่อปัญหา 4. กระบวนการวจิ ัยตอ้ งทำอย่างต่อเนือ่ ง 2.9.6 วตั ถุประสงคข์ อง PAR 1. เพ่อื ปลกู จิตสำนกึ ให้คนในชมุ ชนตระหนกั ในปัญหา หนา้ ที่ และรว่ มกันแกป้ ัญหา ของตนเอง 2. เพือ่ ใหช้ ุมชนไดเ้ รียนรู้แบบพหุภาคี (Steak Holder) 3. เพื่อใหช้ ุมชนรว่ มกจิ กรรมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง 4. เพอ่ื สง่ เสริมกจิ กรรมกล่มุ และการทำงานร่วมกันแก้ปญั หาและพฒั นาอย่าง ต่อเนอ่ื ง 2.9.7 แนวคิดของการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม กมล สดุ ประเสรฐิ (2540,8-9) ได้กล่าวถงึ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการอย่างมสี ่วนรว่ ม (PAR) ว่ามา จากความเชื่อดังนี้ เชื่อว่า PAR เป็นกระบวนการที่เอนเอียงไปทางประชาธิปไตย เพราะ PAR เป็น กระบวนการทำงานร่วมกัน และ เชื่อว่า PAR ทำให้คนต้องพัฒนาตนเอง และ PAR เกิดจากประชาชน ต้องการแสวงหาความรู้ในการแก้ปัญหาของตนเอง เป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยคนยากจนและด้อย โอกาส ด้วยการวางพืน้ ฐานรว่ มกันระหว่างหนว่ ยงานพฒั นาทัง้ หลายกบั ชุมชน ซ่ึง PAR จะเน้นหนักการ

85 เรียนรู้จากประสบการณ์ เพราะ PAR อาศัยการยอมรับของประชาชนได้สืบทอดต่อเนื่องเป็น ประสบการณห์ ลากหลาย 2.9.8 หลกั การของการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการอย่างมสี ่วนร่วม ให้ความสำคัญและเคารพต่อภูมิความรู้ของชาวบ้าน โดยยอมรับว่าความรู้พื้นบ้าน ตลอดจน ระบบการสร้างความรู้ และกำเนิดความรู้ในวิธีอื่นที่แตกต่างไปจากของนักวิชาการ ปรับปรุง ความสามารถและศักยภาพของชาวบา้ นด้วยการส่งเสรมิ ยกระดบั และพฒั นาความเช่ือมัน่ ในตวั เองของ เขา ให้สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์สถานการณป์ ญั หาของเขาเอง ใหค้ วามรู้ทเี่ หมาะสมกบั ชาวบ้านและคนยากจน โดยใหส้ ามารถได้รับความรทู้ ่ีเกิดขน้ึ ในระบบสังคมของ เขา และสามารถทจี่ ะทำความเข้าใจ แปลความหมาย ตลอดจนนำไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม สนใจปริทัศน์ของชาวบ้าน โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมจะช่วยเปิดเผยให้เห็น คำถามที่ตรงกับปัญหาของชาวบ้าน ปลดปล่อยความคิด การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการอย่างมีส่วนรว่ มจะช่วยให้ชาวบ้านและคนยากจน สามารถใช้ความคดิ เห็นของตนอย่างเสรี 2.9.9 การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการแบบมีสว่ นร่วม สรปุ ไดด้ งั นี้ ใหป้ ระชาชนในชุมชนไดม้ ีโอกาสเขา้ มาเปน็ นักวจิ ยั รว่ มกนั ในการร่วมคิดวางแผนและตัดสินใจ ในการวิจัย ชุมชนจะมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการการวิจัยตั้งแต่การศึกษาชุมชน วิเคราะห์ปัญหา วางแผน ลงมือปฏิบัติ และติดตามประเมินผล การมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนก่อให้เกิดการ พัฒนาท่ีมาจากชุมชนลดการพึ่งพิงจากสังคมภายนอกให้ประชาชนตัดสินใจร่มกัน ชาวบ้านเป็น ศูนย์กลาง พึ่งพาตนเองได้ และจะก่อการสร้างองค์ความรู้จากการผสมผสานความรู้ของนักวิชาการกบั ความรู้พื้นบ้านให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งเป็นการเรียนรูร้ ว่ มกัน รวมทั้งยังเกดิ การผสมผสานความรู้จาก ทฤษฎี (จากนกั วิจยั ) และการปฏบิ ตั ิ (จากชาวบา้ น) เขา้ ดว้ ยกนั ความรู้ทีป่ ระชาชนไดร้ ับจาก PAR เป็น การปฏิบตั ิท่ไี มใ่ ช่การเขา้ ใจเพียงอยา่ งเดียวแตจ่ ะเกิดจากการลงมอื กระทำให้ความเข้าใจ (ดงั้ เดิม) ทเ่ี ปน็ นามธรรมออกมาสู่การปฏิบตั ิที่เป็นรูปธรรม ทง้ั น้จี ะเหน็ ไดว้ ่า PAR นนั้ เป็นการวิจัยท่ีนำไปสู่การพัฒนา ทง้ั วิธกี ารวจิ ัยและการพัฒนามนุษย์อยา่ งแทจ้ รงิ 2.9.10 ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนรว่ ม ชาวบ้าน ประชาชน จะตืน่ ตัว ได้รับการศึกษามากข้ึน สามารถคดิ และวิเคราะหเ์ หตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง การแก้ไขปัญหา การจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ จะมีการกระจายอย่างทั่วถึงและเป็น ธรรม รวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้น และผู้วิจัย นักพัฒนา จะได้ เรียนรู้จากชุมชนได้ประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับชุมชน อันก่อให้เกิดความเข้าใจชุมชนได้ดีข้ึน และเกดิ แนวคดิ ในการพฒั นา ที่ยง่ั ยนื และบูรณาการ ตนเองอยา่ งแทจ้ ริง