89 2) ผลลัพธเ์ ชิงคณุ ภาพ (1) เกิดกิจกรรมร่วมกันในชุมชน ส่งผลให้ประชาชนในชุมชนมีความสามัคคีกัน เพื่อทำให้ โครงการที่เกิดขึ้นภายในตำบลบ้านเลนสำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น เกิดเป็นความเข้มแข็ง ภายในชุมชน (2) สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตำบลบ้านเลน ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถนำอาชพี ไปตอ่ ยอดได้เองเพือ่ ความยัง่ ยืน หรอื เปน็ วิชาความรู้เพอื่ สอนผู้อ่ืนสืบ ต่อไปได้ (3) สรา้ งทักษะในการทำงานแก่คณะผู้จดั ทำโครงการ U2T ท้งั นี้ ความสำเรจ็ เกดิ จากการวางแผนงานระดับมหาวิทยาลยั อว.สว่ นหน้า ตลอดจนความเข้าใจใน บรบิ ทพน้ื ท่ีเปน็ อยา่ งดีของคณะทำงาน และความไว้ใจกันระหวา่ งคณะทำงาน เทศบาลปราสาททอง เทศบาลบาง ปะอนิ และชุมชน จึงเกิดเป็นความรว่ มมือกนั ในการพฒั นาชมุ ชนอย่างเป็นระบบ 3) ผลการเปลย่ี นแปลงทเี่ กิดขน้ึ ต่อกลมุ่ เปา้ หมายที่เขา้ มาร่วมกจิ กรรม (1) ประชาชนมีงาน มรี ายได้ สามารถชว่ ยพัฒนาคณุ ภาพชีวิตแก่ประชาชนไดม้ ากขึ้น (2) ประชาชนและคณะผูด้ ำเนนิ โครงการเตม็ ใจให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกนั มี ความ สามคั คีกนั ตลอดจนมีนำ้ ใจเอื้อเฟอ้ื เผื่อแผ่กนั (3) ประชาชนได้ความรู้ในการสร้างรายได้ และได้ทราบถึงช่องทางขาย เพื่อเป็นแนวทางต่อ ธุรกิจต่อไปในอนาคต และนอกจากนี้ยังทราบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกคา้ และทำใหผ้ ลิตภัณฑ์เปน็ ท่ีดึงดูดความสนใจแกล่ กู คา้ ได้ 4) ผลการเปลย่ี นแปลงในระยะยาว “ทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อรวมแผนงาน และดึงศักยภาพของชุมชนออกมา” ในโครงการพัฒนา เส้นทางการทอ่ งเที่ยวโดยชุมชนสร้างสรรค์ของชมุ ชนตำบลบ้านเลน คณะผู้จดั ทำโครงการมกี ารดำเนินโครงการ โดยผา่ นการปรึกษากับทางเทศบาลในพ้ืนท่ีที่ดแู ลตำบลบ้านเลน เพือ่ ทราบถงึ จุดมุ่งหมายที่ตอ้ งการร่วมกัน แล้ว อาศัยข้อดขี องโครงการ คือ ทรัพยากรมนุษย์ ความรู้ ทกั ษะ และความสามารถ เขา้ ไปชว่ ยพฒั นาต่อให้เกิดเป็น รูปเป็นร่างมากขึ้น โดยการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโครงการนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา และสอดคลอ้ งกับแผนการพฒั นาการท่องเท่ยี วระดบั ทอ้ งถ่นิ ของเทศบาลตำบลบางปะอนิ และ เทศบาลตำบลปราสาททอง ซ่งึ เปน็ เทศบาลท่ีดูแลพ้ืนท่ตี ำบลบา้ นเลน หรอื พืน้ ที่ในการทำงานของโครงการน้ี ใน ดา้ นของการสง่ เสรมิ การท่องเท่ยี วประวัติศาสตร์ และการประชาสัมพนั ธ์เชงิ รุกด้านการทอ่ งเท่ยี ว จึงเป็นร่องรอย สำคัญในการนำโครงการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างสรรค์ของชุมชนตำบลบ้านเลนไปสู่ความ ยั่งยืน
90 การบรหิ ารจดั การโครงการ เทคนคิ วธิ กี ารบริหารจัดการทที่ ำใหก้ ารขับเคลื่อนโครงการของทา่ นประสบความสำเร็จ การ “สร้าง ความเข้าใจให้ลึกซึ้ง” มีความเข้าใจชุมชน มีพื้นฐานของการทำงานร่วมกับชุมชนเป็นทุนเดิม เมื่อเข้าใจบริบท ชมุ ชนจะสามารถเห็นปัญหาทเี่ กิดข้ึนต่อชมุ ชน และสามารถแกไ้ ขได้โดยนำเอาองค์ความร้เู ขา้ ไปปิดช่องว่าง และ พัฒนาศักยภาพในชุมชน ใหเ้ กิดเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถพึง่ พาตนเองได้ รูปแบบการประสานงาน การประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน หรือภาคีอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน “เนน้ คนในพื้นที่” รูปแบบการประสานงานจะใช้คนในพื้นที่เป็นสื่อกลาง ในการคัดเลอื กคณะทำงานจะรับสมคั ร ประชาชนในพื้นทซ่ี ึ่งเทศบาลและชุมชนรู้จักเป็นอยา่ งดี เพือ่ ใหเ้ กิดความไวใ้ จกนั ภายในชมุ ชน จึงทำให้การทำงาน เป็นไปอย่างดี นอกจากนี้หัวหน้าโครงการก็ยังเป็นคนในพื้นที่ ทั้งนี้คณะทำงานมีส่วนที่ทำหน้าที่ประสานงาน โดยเฉพาะ จึงทำให้สะดวกต่อการดำเนินงานและคล่องตัวมากขึ้น ส่วนการประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัย เครือข่ายภูมภิ าค และ อว. ส่วนหน้า มีกระบวนการประสานแบบส่งต่อผ่านหัวหน้าตำบล เพื่อลดความซ้ำซ้อน ของงาน (กนกพร ภาคีฉาย, 2564) ข้อจำกัดในการบรหิ ารโครงการ 1) “ความเข้าใจของหน่วยงานในพื้นท่ี” โครงการ U2T เข้าไม่ถึงหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ คือ เทศบาลในปกครองของพ้ืนที่นั้น ๆ คณะผู้ทำงานโครงการจึงจำเป็นต้องมีการพดู คุย ทำความเข้าใจ อธิบายให้ ชัดเจนรว่ มกัน เพ่ือการทำงานจะไปในทิศทางเดยี วกนั และราบรืน่ 2) “เน้นรับคนในพื้นที่เป็นคนทำงาน” ในเรื่องการจ้างงาน ไม่สามารถรับได้ทุกคน ผู้ดำเนิน โครงการจำเปน็ ต้องมีการคัดเลือกบคุ คลที่มีความพร้อมทางดา้ นศักยภาพมากทส่ี ดุ และเหมาะกับตำแหนง่ งานนน้ั ๆ นอกจากนี้ด้านการจ้างงาน มีความไม่แน่นอนในตำแหน่งงาน เนื่องจากกลุ่มบัณฑิตเมื่อได้งานประจำอ่ืน ๆ อาจมกี ารโยกย้ายในภายหลงั จึงต้องมีการรับตวั สำรองสำหรับตำแหน่งงานนน้ั ๆ เผอื่ ไว้ 3) “การแก้ไขปัญหาเร่งด่วน” ในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันในชุมชน เช่น การทดลองเส้นทาง ท่องเทย่ี ว มคี วามจำเปน็ ตอ้ งใช้พ้ืนท่ีในการรองรบั นักทอ่ งเทยี่ วกอ่ นเร่มิ กจิ กรรมทอ่ งเท่ียวชุมชน ซึ่งพื้นที่ต่าง ๆ มี ความจำเปน็ ตอ้ งขออนุญาตหลายภาคสว่ น จงึ เกิดเปน็ ความลา่ ช้า แตท่ างคณะผู้จดั ทำโครงการมีศักยภาพในการ วางแผน และตดิ ตอ่ บุคคลในพ้ืนที่เพ่ือแก้ไขสถานการณเ์ ร่งด่วนได้ 4) กฎระเบยี บท่ีเป็นอุปสรรคตอ่ การดำเนนิ งานและแนวทางแกไ้ ข ด้านการเงิน มักมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเงิน คือ ต้องมีการสำรองจ่ายก่อน จากนั้นรอเบิกที หลัง ซึ่งใช้เวลาคอ่ นข้างนานในการดำเนินเรือ่ ง สำหรับแนวทางแก้ปัญหาในเบื้องต้น หากเป็นไปได้ควรมีเงินมา สำรองไว้กอ่ นแลว้ ทำเร่อื งเบิกจ่ายในภายหลัง จะช่วยลดภาระในดา้ นการเงินของผูด้ ำเนนิ โครงการได้ (กนกพร ภาคฉี าย, 2564) การบรหิ ารจดั การงบประมาณ การวางแผนงบประมาณ คณะผู้จัดทำโครงการได้ปฏิบัติตามแบบฟอร์มในระบบ Excel มีการปรับ และวางแผนตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ ทั้งนี้ มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ คือ การเบิกจ่ายมี การสำรองจา่ ยเงินของทางผูจ้ ัดทำโครงการก่อน แลว้ รอเบกิ ทีหลงั แตเ่ ปน็ สิ่งทีท่ างคณะทำงานและมหาวิทยาลัย สามารถดำเนินการแก้ไขไดอ้ ยา่ งราบรนื่ (กนกพร ภาคีฉาย, 2564)
91 การบรหิ ารจัดการดา้ นการจ้างงาน 1) ผลการดำเนนิ งาน ปัญหาอปุ สรรค และวธิ กี ารแกไ้ ข เน้นการจ้างงานให้ตรงกับความสามารถกับบุคคลนั้น ๆ เพื่อความราบรื่นในการดำเนินงาน และ เพื่อสร้างความมั่นใจแกค่ ณะผูท้ ำงานเอง โดยจ้างงานบุคคลในพื้นที่ โดยการเล็งเห็นและดึงศักยภาพของแตล่ ะ บุคคลที่เหมาะกับตำแหน่งงานออกมา เช่น บุคคลที่เคยประกอบอาชีพในบริษัททัวร์ สามารถจัดให้ทำงานใน แผนการท่องเท่ียวได้ เปน็ ตน้ หากมีการลาออก สามารถเรียกตัวสำรองของตำแหน่งงานนัน้ ๆ เข้ามาทำงานได้ เพื่อให้การดำเนนิ งานเป็นไปอยา่ งราบรื่น โดยการจา้ งงานมีการเปิดรับสมคั ร 2 ชอ่ งทาง ชอ่ งทาง offline และ ชอ่ งทาง online ซึ่งทางคณะ ผู้จัดทำโครงการเปิดคดั เลือกบุคคลในพื้นที่ เพื่อความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในเรื่องของ ความไว้ใจที่ชุมชนมีให้กับคณะทำงาน มีการคัดเลือก 3 กลุ่ม กลุ่มประชาชน กลุ่มบัณฑิต และกลุ่มนักศึกษา คณะกรรมการมาจากอาจารย์ส่วนกลาง 2 ท่าน แต่ได้สิทธิ์ 1 สิทธิ์ เทศบาลตำบลปราสาททอง 2 ท่าน และ เทศบาลตำบลบางปะอิน 2 ท่าน 2) ข้อเสนอแนะตอ่ การจ้างงานท่จี ะนำไปสู่ความยัง่ ยนื ของพื้นที่ ทางคณะผู้ทำงานโครงการระบุว่าควรจ้างงานแก่บุคคลผู้มีความรู้จักบริบทพื้นที่ของชุมชนเป็น อย่างดี เนื่องจากประชาชนพื้นที่จะมีข้อมูลชุมชน ข้อมูลสถานที่ ข้อมูลทรพั ยากรบคุ คลมากกวา่ บุคคลภายนอก พื้นที่ และที่สำคัญคือประชาชนในพื้นที่จะมีความรัก และหวงแหนทรัพยากรในชุมชน เหมาะสมแก่การเป็น ผู้ปฏิบัติงานสืบต่อไป เพอื่ ความยั่งยนื (กนกพร ภาคีฉาย, 2564) “การเลอื กคน ใหเ้ ลอื กคนในพนื้ ที่ ท่ีรพู้ ้ืนทจี่ ริง ๆ ไมใ่ ชแ่ คม่ ที ะเบียนบา้ นอยู่ในพื้นท่ี กับเลือกคนที่ มปี ระสบการณแ์ ละมศี กั ยภาพ” “น้องท่ที ำโครงการ U2T มีพ่อแม่ทำงานแผนกพัฒนาสมั มาอาชีพในเทศบาล ก็ให้ติดตอ่ พ่อแม่ได้ใน ฐานะลกู คนนึง เราต้องดวู า่ ใครสวมหมวกไดห้ ลายใบ จะให้ใครทำหนา้ ท่อี ะไร” (การสัมภาษณเ์ ชิงลึกคณะทำงานในพน้ื ท่ี, ธันวาคม 2564)
92 รปู ที่ 3-1 กลยุทธก์ ารบริหารโครงการพ้ืนทีต่ ำบลบ้านเลน ทม่ี า: กนกพร ภาคฉี าย (2564) ปจั จยั หรอื เงอื่ นไขท่ที ำใหพ้ ้ืนท่ีประสบความสำเรจ็ 1) ทรัพยากรบุคคล เช่น ผ้นู ำชุมชน ปราชญช์ าวบ้าน ผปู้ ระกอบการ และชาวบา้ นในชุมชน เป็น ตน้ 2) สถานท่ีทอ่ งเทย่ี วทด่ี ี เชน่ พระราชวังบางปะอนิ วดั นิเวศธรรมประวตั ิ ประภาคารบา้ นเลน ศาล เจา้ พ่อทา้ ยเกาะ และบา้ นศิลปนิ OTOP ตน้ หลิวปัน้ จิ๋วดินไทย เปน็ ตน้ 3) ข้อดีของโครงการ U2T กล่าวคือ การจ้างงานในพื้นที่ ส่งผลให้บุคลากร หรือคณะผู้ดำเนิน โครงการ มีความรู้ความเข้าใจบริบทภายในพ้นื ที่เป็นอย่างดี รวมถงึ การได้รับความไวว้ างใจจากประชาชนภายใน พื้นท่ีท่ีดำเนินโครงการ สง่ ผลให้การดำเนนิ งานเป็นไปอยา่ งราบรน่ื ท้ังนเี้ พือ่ เชือ่ มต่อทรัพยากรทีภ่ ายในชุมชนมีอยู่ แล้วเข้าด้วยกันโดยผา่ นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันภายในโครงการ จึงเกิดเปน็ การสร้างงาน สรา้ งอาชพี สืบต่อไป “ชุมชนมีศักยภาพ แต่ขาดคนท่ีเชือ่ มโยง ต้องเป็นคนที่เข้าใจข้อจำกัดพืน้ ที่แล้วพอดตี นรูข้ ้อจำกดั ของพน้ื ท่ี และรู้วา่ ตอ้ งสอดแทรกตรงไหน” “เรามีคน เรามีของ เรามีปราชญ์ท่ีสามารถถ่ายทอดได้ เรื่องพิกัดเรามีท้ังสถานรี ถไฟ และทางนำ้ เราแทบไม่ตอ้ งทำอะไรเลย เราแคเ่ อาทุกอยา่ งมาเชอ่ื มกัน” (การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ คณะทำงานในพืน้ ที่, ธนั วาคม 2564)
93 รปู ท่ี 3-2 ยอ้ นรอยเสน้ ทางส่คู วามสำเรจ็ ของพื้นท่ตี ำบลบา้ นเลน
94 พื้นทต่ี ำบลบา้ นหอย อำเภอประจนั ตคาม จงั หวดั ปราจนี บรุ ี คณะทำงานโครงการ: ผศ.ดร.ปกรณ์เกยี รต์ิ เศวตเมธิกลุ และคณะ มหาวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี บริบทของชมุ ชนพน้ื ตำบลบา้ นหอย อำเภอประจนั ตคาม จงั หวดั ปราจนี บรุ ี สภาพทั่วไปของพื้นที่ตำบลบ้านหอย เดิมอำเภอประจันตคาม ตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2376 สมัย พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซงึ่ ในสมยั น้นั มีการยกทัพไปตีกับเมอื งอ่ืน ๆ และมีการนำคน อพยพมาตั้งกองรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้านใหญ่ ในพื้นที่ประจันตคาม จึงเป็นทีม่ าของเมืองประจันตคาม เมื่อจดั ตั้ง เป็นเมืองแล้ว ได้มีเกิดศึกญวณมาตีเมืองพนมเปญ ทางฝั่งไทยได้มีการยกทัพเข้าช่วยเหลือ ขับไล่ชาวญวณ หลงั จากสู้รบเสร็จศึกไดเ้ ดนิ ทางมาพกั ทัพในพ้นื ท่ีตำบลบา้ นหอย เนือ่ งจากในสมยั นน้ั พ้นื ท่ีเป็นหนองขนาดใหญ่ ท่ี มีหอยมากมายหลายชนิด กำลังพลที่มาพักจึงได้นำหอยเหล่านั้นมาประกอบอาหาร และทิ้งเปลือกหอยไว้เต็ม พนื้ ท่ี ต่อมามีคนอพยพเขา้ มาอาศยั ในพนื้ ที่ จงึ เรียกหนองน้ำนัน้ ว่า “หนองหอย” มผี ูค้ นเขา้ กอ่ รา่ งสรา้ งบ้านเรือน มาอยู่เรื่อยมา จนกลายเป็นชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแนน่ ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านว่า “บ้านหนองหอย” แต่ ภายหลังหนองนำ้ ใหญ่ตื้นเขนิ จึงเปน็ ช่ือหมบู่ ้านจากบา้ นหนองหอย มาเป็น “บ้านหอย” และใชช้ ือ่ บา้ นหอย เป็น ช่ือตำบล จึงเป็นทม่ี าของ “ตำบลบา้ นหอย” ในปัจจุบัน ภายในชุมชนมีสถานศึกษา จำนวน 4 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านหอย โรงเรียนวัดเกาะมะไฟ ศูนย์ อบรมเด็กกอ่ นเกณฑว์ ัดเกาะมะไฟ และศนู ย์พัฒนาเด็กเล็กวัดบา้ นหอย สถานพยาบาล จำนวน 2 แหง่ คือ สถานี อนามัยบา้ นหอย และสถานีอนามัยเกาะแดง และศาสนสถาน จำนวน 5 แหง่ คอื วัดบา้ นหอย วดั หนองชาติ วัด คลองคลำ้ วัดเกาะแดง และวัดเกาะมะไฟ (องค์การบริหารสว่ นตำบลบ้านหอย, 2564) ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพจักสานสุ่มไก่ ด้วยไม้ไผ่ ขายกล้วยฉาบ ในบางฤดูกาล และเคย เพาะเหด็ แต่ไมป่ ระสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงเหลือเพียงการจักสานสมุ่ ไก่ และผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ที่มีการทำ อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าภายในพื้นที่นิยมปลูกไผ่ มีต้นไผ่จำนวนมาก เพราะสภาพดินเหมาะแก่การปลูกไผ่ได้ดี และสามารถสร้างรายได้ตลอดปี แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการจักสานสุม่ ไก่ เปน็ เพียงการจกั สานสุ่มไก่แบบธรรมดาทั่วไป ราคาขายจึงมรี าคาถกู รายไดจ้ ากการขายจงึ ไมค่ อ่ ยมี และประสบปญั หากับการขาย ทไ่ี ม่คอ่ ยมคี นเขา้ มาซ้ือมาก นัก อาจเพราะทั้งอุปสรรคในการสั่งซือ้ อุปสรรคในการจัดส่ง และผลิตภัณฑ์ไม่มีความดึงดูดใจ (การสัมภาษณ์ อาจารยป์ กรณเ์ กยี รติ์ เศวตเมธกิ ุล, 2564)
95 ตารางที่ 4-1 จำนวนประชากรและครวั เรือนตำบลบา้ นหอย จำนวนประชากร จำนวนครวั เรอื น (คน) (ครวั เรอื น) ลำดบั หม่บู า้ น 356 123 458 120 1 หมู่ท่ี 1 บ้านหอย 491 148 2 หม่ทู ่ี 2 บา้ นเนินทบั ชา้ ง 589 171 3 หมู่ที่ 3 บ้านใหม่ 255 99 4 หมทู่ ่ี 4 บา้ นหนองชาติ 399 94 5 หมูท่ ่ี 5 บ้านโคกบา้ น 420 122 6 หมู่ที่ 6 บา้ นคลองคล้ำ 787 187 7 หมทู่ ่ี 7 บา้ นเกาะแดง 431 118 8 หมู่ท่ี 8 บา้ นโคกขเี้ หล็ก 413 92 9 หมู่ท่ี 9 บา้ นเกาะมะไฟ 4,599 1,274 10 หมู่ที่ 10 บ้านเกาะตะเภา รวม ทม่ี า: ปกรณ์เกียรต์ิ เศวตเมธกิ ุล (2564) ทง้ั นี้ จากการศึกษาขอ้ มูลของชมุ ชนของคณะทำงาน พบว่าชุมชนมีศกั ยภาพในด้านตา่ ง ๆ ดงั ตาราง ตารางที่ 4-2 ศักยภาพของของตำบลบ้านหอย ตน้ ทนุ ชมุ ชน รายละเอยี ด ทุนมนษุ ย์ ชาวบ้านตำบลบา้ นหอย ท่สี ว่ นใหญม่ ีองคค์ วามรู้ในการจกั สานส่มุ ไก่ ทุนทรัพยากรธรรมชาติ ตน้ ไผ่ ไดแ้ ก่ ไผเ่ ลี้ยง ไผต่ ง ไผ่รวก ไผป่ ล้องนวล ไผส่ ีสุก ไผ่เขยี ว ทุนกายภาพ สถานท่สี ว่ นกลางของชุมชน มีสรูปทไี่ ม่สามารถใชง้ านได้ ทุนสังคม ลกั ษณะการรวมกลมุ่ เปน็ การรวมกลมุ่ กนั อยา่ งหลวม ๆ ไมเ่ ป็นทางการ ไมม่ ีผู้นำ กลุ่ม ทุนการเงนิ ไม่พบขอ้ มูล ที่มา: ปกรณ์เกยี รต์ิ เศวตเมธกิ ลุ (2564) สำหรับจุดเด่นของพื้นที่ตำบลบ้านหอยมีความโดดเด่นด้านทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและ สภาพแวดลอ้ ม ภายในชมุ ชนมที รัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ต้นไผ่ ทมี่ ีจำนวนมาก ด้วยสภาพพืน้ ทที่ ีเ่ หมาะกับการ ปลกู ตน้ ไผ่ เช่น ไผ่เล้ยี ง ไผ่ตง ไผร่ วก ไผป่ ล้องนวล ไผ่สีสุก ไผ่เขยี ว เปน็ ต้น นอกจากน้ี ยงั ได้มกี ารริเริ่มทดลอง ปลูกไผพ่ ันธุ์อ่ืนๆ เพม่ิ เติม คอื ไผ่มันหมู ไผซ่ างหมน่ ซงึ่ เปน็ ไผท่ ่เี หมาะกับการนำมาจักสาน หรอื ใช้ประโยชน์ได้ ทกุ สว่ น ทง้ั ลำตน้ และหน่อไผ่ และทนุ ทางมนุษย์ ทชี่ าวบ้านส่วนใหญ่มีองค์ความรู้ดา้ นภมู ิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการ จักสานส่มุ ไก่ และผลติ ภัณฑ์จกั สานไมไ่ ผต่ า่ ง ๆ
96 ในด้านจุดอ่อนของพื้นที่ความเป็นอยู่ของชาวบ้านส่วนใหญ่ยังขาดองค์ความรู้เรื่องการขาย ผลิตภัณฑ์สุ่มไก่ เพราะปัจจุบันจากการศึกษาพืน้ ที่ตำบลของคณะทำงานโครงการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี ในทมี ของอาจารย์ปกรณ์เกียรต์ิ เศวตเมธิกลุ นน้ั พบวา่ ชาวบ้านมอี งค์ความรู้เรื่องการจักสาน การ ทำสุ่มไก่ แต่ไมไ่ ด้มีองค์ความรู้เร่ืองการเพ่ิมมูลค่า การทำแผนธรุ กิจ การทำการตลาด ที่ทำอยูเ่ ป็นเพียงการจัก สานสมุ่ ไก่แบบธรรมดา แลว้ จดั สง่ ตามรายการสั่งซอื้ ซงึ่ ไม่สามารถกำหนดราคาไดเ้ อง เพราะพอ่ คา้ ท่ีเขา้ มารับซ้ือ จะกำหนดราคาจา่ ยให้ อีกทั้งกิจกรรมการจักสานสุ่มนี้ เป็นการรวมกลุ่มแบบหลวม ๆ “ไม่ใช่การรวมกลุ่ม แต่ เป็นการเข้ามาทำรว่ มกัน ไมไ่ ด้มีผู้นำกลมุ่ ใด ๆ” ทงั้ น้ี ปัญหาและข้อจำกัดของพื้นที่ คือ ชุมชนส่วนใหญ่ที่ทำจักสานสุ่มไก่ ขาดความรู้ เป็นการทำ ตามออร์เดอร์ไปวัน ๆ และพอเข้าสำรวจพ้ืนที่เพ่อื ทำโครงการ คอื ไมม่ พี น้ื ทส่ี ว่ นกลางท่ีเหมาะสมกับการทำการ โครงการและการรวมตัวกัน ด้วยปัญหานี้ทางคณะทำงานโครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในทีมของอาจารย์ปกรณ์เกียรต์ิ เศวตเมธิกุล จึงต้องวางแผนการดำเนินงานให้เปน็ ระบบแบบแผนชดุ ใหญ่ เพือ่ ยกระดบั ตั้งแตต่ ้นนำ้ จนถงึ ปลายน้ำ การดำเนนิ กจิ กรรมของพนื้ ทช่ี มุ ชนตน้ แบบ การดำเนินกจิ กรรมระยะที่ 1 : การดำเนินกิจกรรมการยกระดับกระบวนการผลิต ประกอบด้วย 5 กิจกรรม คือ 1) การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างแรงบันดาลใจ การพัฒนาทักษะอาชีพ และยกระดับ กระบวนการผลิตสมุ่ ไกพ่ รเี มยี ม 2) การจดั อบรมเชิงปฏิบัติการ หวั ขอ้ “การป้องกนั มอด - แมลง และการรกั ษาคุณภาพของไผ่ใน กระบวนการเพาะปลกู ” 3) กระบวนการเตรียม และอาบน้ำยาธรรมชาติป้องกันมอด – แมลงและเชื้อรา ประกอบด้วย การพัฒนาเครื่องมืออาบน้ำยาธรรมชาติป้องกันมอด - แมลงเชื้อรา และจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “กระบวนการเตรียม และอาบนำ้ ยาธรรมชาตปิ ้องกันมอด – แมลงและเช้อื รา” 4) กระบวนการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ และการเตรียมไผเ่ ส้นจักสาน ประกอบดว้ ย การพัฒนา เคร่อื งมือเตรียมวัตถุดิบไผ่เส้น การพัฒนาเครือ่ งมือ และกระบวนการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบไผ่เส้น และการ จดั อบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ หวั ข้อ “กระบวนการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดบิ และการเตรียมไผเ่ สน้ จกั สาน” 5) การจดั อบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร หัวขอ้ “การออกแบบลวดลาย และเทคนิคการจักสานสุม่ ไก่เกรดพรี เมยี ม” ซึ่งในกิจกรรมนี้คณะทำงานโครงการเน้นการปูพื้นฐานทักษะให้แก่ชาวบ้าน ตามที่อาจารย์ปกรณ์ เกยี รติ์ เศวตเมธกิ ุล กลา่ วว่า “การเข้ามาทำกิจกรรมน้ีเป็นกิจกรรมแรกทีไ่ ด้ทำแบบนี้ ไมร่ ูจ้ ักพื้นที่เลย และต้อง เขา้ มาทำงานในพน้ื ที่ จึงเลือกท่ีจะเข้าประสานงานกับผู้ใหญ่บา้ นก่อน และหนว่ ยงานทอ้ งถ่ิน โดยเข้าไปนำเสนอ โครงการ บอกวัตถุประสงค์ แผนการดำเนินงาน โดยเน้นผลลัพธ์ที่ไดจ้ บั ต้องได้ เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้ามามีส่วน ร่วมให้มากทีส่ ุด และเห็นวา่ ทางโครงการของเราทำจริง” เมื่อชมุ ชนยอมรบั และยอมเขา้ รว่ มโครงการแล้ว แม้จะ เริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ กอ่ น การทำงานจงึ ต้องเข้าไปศึกษาข้อมูลพน้ื ทีพ่ ร้อมวิเคราะห์ไปดว้ ย ว่าจะแก้ไขปัญหา และ
97 ส่งเสรมิ ดา้ นไหน จึงเหน็ ว่าชาวบ้านส่วนใหญจ่ กั สานสมุ่ ไก่เป็นอาชพี เลยจับกจิ กรรมตรงนี้เขา้ มาสง่ เสริมและเพิ่ม มลู คา่ ใหส้ ุม่ ไก่ โดยขยายผลกจิ กรรมไปเรอ่ื ย ๆ ผลทไ่ี ดร้ บั ในชว่ งแรก คือ ชาวบา้ นมีความรู้เพมิ่ มากขึ้น และเหน็ โอกาสสร้างรายได้เพ่ิมจากการจัก สารสุ่มไกม่ ากกว่าท่ีเคยทำอยู่ เพราะเหน็ รายไดท้ ี่รับจากการยกระดับสุ่มไก่นั้นว่าไดร้ ายได้จริง ถึงแม้จะมีต้นทุน ในวัสดอุ ปุ กรณอ์ ยู่บ้าง แต่มองว่าส่มุ ไก่จะเพิม่ มลู ค่าได้ ต้องเจาะกลุม่ เป้าหมายที่มีกำลงั ซ้ือสงู คือ กลุ่มไก่ชน ที่ เขาตอ้ งการสุ่มไก่ดี ๆ พรีเมยี ม ไปครอบไก่ให้ดูมสี งา่ ราศี จึงเรมิ่ ทำ เร่ิมคิด วา่ จะทำยงั ไงใหส้ ่มุ ไกธ่ รรมดา เป็น ส่มุ ไก่แบบพรเี มยี ม และขายได้กำไรมากกว่าหลายเทา่ ตวั จงึ ไดว้ ธิ กี ารสรา้ งมาตรฐานและคุณภาพผลติ ภัณฑ์ส่มุ ไก่ ลายข้าวหลามตัดและลายชะลอม และการยกระดับกระบวนการผลิตให้สุม่ ไก่สามารถเก็บได้นานกว่าปกติ ด้วย การแช่น้ำยาปอ้ งกันมอด แมลง เชอ้ื รา (คำโฆษณา “สมุ่ ไก่พรเี ม่ยี มลายขา้ วหลามตัด ปลอดเชอ้ื รา มอด-แมลง”) นอกจากนี้ ยังมีการพฒั นาเครือ่ งผา่ ไมไ้ ผ่ และเครือ่ งจกั ตอก เพอื่ ชว่ ยทนุ่ แรงในกระบวนการผลิตอีกด้วย รปู ที่ 4-1 การดำเนนิ กิจกรรมระยะท่ี 1
98 การดำเนินกิจกรรมระยะที่ 2 : การพัฒนามัคคุเทศก์และการพัฒนาศูนยก์ ารเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คอื 1) การจัดอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร “ การพฒั นาศนู ย์เรยี นรแู้ ละแหลง่ ท่องเทย่ี วนวัตวถิ ีชุมชน” 2) การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และเทคนิคการนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่การ จำหนา่ ยเชิงพาณิชย์” ในกจิ กรรมน้ี เปน็ กิจกรรมเพม่ิ เติมท่มี องถงึ การพัฒนาในระยะยาว เพราะจะพฒั นาตำบลบ้านหอย ให้เกดิ ศูนย์การเรยี นรู้วสิ าหกจิ ชุมชน การขยายผลสู่การจดมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชุมชน (มผช.) ผลิตภัณฑ์จักสาน จากไผ่ด้วย และขยายไปส่กู ารทำการท่องเทยี่ วนวตั วิถีรว่ มกับพ้นื ทต่ี ำบลข้างเคยี ง ผลการดำเนนิ การทไี่ ด:้ จากกจิ กรรมแรกชาวบ้านเห็นช่องทาง และความเปน็ ไปได้ จงึ มีการเข้ารว่ ม กิจกรรมกันมากข้ึน กลุ่มเกิดการขยายตัว เกิดการพฒั นาทักษะในด้านต่าง ๆ โดยมีการจัดตัง้ “วิสาหกิจชมุ ชน หัตถกรรมจักสานไผ่ ตำบลบ้านหอย” และยื่นจดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ผลิตภัณฑ์จักสานไผ่ ซ่ึง ได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหอย สำนักงานเกษตรอำเภอประจันตคาม สำนักงาน พฒั นาชมุ ชนอำเภอประจันตาม และสำนกั งานมาตรฐานอุตสาหกรรมจงั หวดั ปราจีนบุรี รปู ที่ 4-2 การดำเนนิ กจิ กรรมระยะท่ี 2
99 การดำเนินกิจกรรมระยะที่ 3: การพัฒนาส่งเสริมการขายออนไลน์ (Online) ประกอบด้วย 2 กจิ กรรม คือ 1) การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การวิเคราะห์สถานภาพเศรษฐกิจในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับ รายไดส้ ุ่มไก่พรีเมียม 2) การจดั อบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร “เทคนิคการพัฒนาสอ่ื ประชาสมั พันธ์ออนไลน์” เมื่อเห็นว่าชาวบ้านเริ่มมีความรู้ในการทำสุ่มไก่พรีเมียม แล้วจึงเพิ่มองค์ความรู้เรื่องช่อ งทางการ ประชาสัมพันธส์ นิ คา้ ให้แกช่ าวบา้ น เพอ่ื ใหเ้ ป็นท่ีรู้จักมากขน้ึ ขยายตลาดเพ่ิมมากขึ้น ผลการดำเนินการที่ได้: ชาวบ้านมีความรูเ้ รื่องการทำแผนธุรกิจ การตลาด การขายสุ่มไก่ยังไงให้ ขายได้ราคาสูง และขายได้อย่างต่อเนื่อง จะทำยังไงให้มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกเดือน ซึ่งเป็นการก้าวข้ามไปสู่การ ยกระดบั ท่สี รา้ งความยงั่ ยืน โดยมกี ารรว่ มกนั พัฒนาสอ่ื โซเชียลมีเดยี เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน (FB page: “U2T RMUTT บ้านหอย ปราจีนบุรี”) เพื่อสร้างการรับรูเ้ กี่ยวกับผลิตภัณฑข์ องตำบลบ้านหอยในวงกวา้ ง และการสรา้ ง สื่อการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนากันเองภายในชุมชน และเว็บจำหน่ายสินค้าผ่าน ออนไลน์ (www.banhoishop.com) อกี ทงั้ มคี วามร่วมมือกบั ภาคเอกชน คอื บริษทั วงศ์ไผ่ จำกดั ในการร่วม แลกเปลย่ี นเรียนรูแ้ ละสร้างความร่วมมอื ในลักษณะคูค่ ้า (Partner) ด้วย รปู ที่ 4-3 การดำเนินกจิ กรรมระยะท่ี 3
100 รปู ที่ 4-4 ผลิตภณั ฑท์ เ่ี กิดขนึ้ จากการพัฒนา กลมุ่ เปา้ หมายทเี่ กย่ี วขอ้ ง แบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ คือ 1) กลุ่มที่เกีย่ วข้องกับการดำเนินงานส่วนงานบรหิ ารโครงการ ได้แก่ กลุ่มอาจารย์ กลุ่มนักศึกษา และกลุม่ บณั ฑติ จบใหม่ 2) กล่มุ ที่ได้รับการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มประชาชน หรือกลมุ่ ชาวบา้ นตำบลบ้านหอย การมสี ว่ นรว่ ม ในด้านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะทางานโครงการ มหาวิทยาลัย ชุมชน และหน่วยงานปกครองทอ้ งถน่ิ มรี ายละเอยี ดดงั ตาราง ตารางที่ 4-3 การมสี ว่ นร่วมในการดาเนินโครงการ การมสี ว่ นรว่ ม รายละเอยี ด ผศ.ดร.ปกรณ์เกยี รต์ิ เศวตเมธิกุล เปน็ ผ้รู ับผิดชอบโครงการฯ วางแผนการดำเนนิ การ และบริหาร และคณะ โครงการหลกั ในภาพรวม สำนักงานเกษตรอำเภอประจนั ตคาม ชว่ ยส่งเสรมิ การปลูก อนรุ ักษ์ และเพาะพนั ธไุ์ ผ่ ประชาชนทว่ั ไป (คนในชุมชนและคน เปน็ ผ้ปู ฏิบัตงิ านจกั สานสมุ่ ไก่พรีเมยี ม ต้งั แต่กระบวนการปลูก ในชุมชนใกลเ้ คยี ง) จนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์จดั จำหนา่ ย และผลติ ภณั ฑอ์ นื่ ๆ ทที่ ำ มาจากไมไ่ ผ่ บัณฑิตจบใหม่ ชว่ ยงานบริหารโครงการ ตดิ ต่อประสานงาน เกบ็ รวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆ ผนู้ ำชมุ ชน (ผู้ใหญ่บ้าน) เปน็ ผ้รู บั ประสานงานเร่ิมแรกระหวา่ งทางโครงการกบั ชาวบา้ นใน ชุมชน และใหใ้ ชพ้ นื้ ท่ีสว่ นตนสรา้ งศูนย์การเรียนรู้วสิ าหกิจชมุ ชน หัตถกรรมจักสานไมไ้ ผ่ ตำบลบา้ นหอย
101 การมสี ว่ นรว่ ม รายละเอยี ด องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลบา้ นหอย ช่วยสนับสนนุ สถานท่ี ข้อมูลพน้ื ท่ี ตดิ ตอ่ ประสานงานกบั หน่วยงาน ตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง การบรหิ ารจดั การโครงการ วธิ กี ารบรหิ ารโครงการ คณะทำงานโครงการแบง่ การบริหารโครงการออกเปน็ 3 ส่วน คือ 1) การบรหิ ารโครงการส่วนกลาง โดยเป็นทางมหาวิทยาลยั ตน้ สังกดั ทเี่ ปน็ ผูร้ บั ผิดชอบในการสร้าง ระบบการจ้างงาน การรับสมัครงาน การรับงานจากหน่วยงาน จาก อว. ส่วนหน้า แล้วคอยกระจายงานให้ อาจารย์แต่ละโครงการที่รับผิดชอบในส่วนของพนื้ ที่ 2) การบริหารโครงการที่ทำงานร่วมกับตำบล โดยการบริหารงานนี้ทาง อาจารย์ปกรณ์เกียรติ์ เศวตเมธิกุล เป็นผู้รับผิดชอบภาพรวมท้ังหมด ตั้งแต่การคัดเลือกคณะอาจารย์ผู้เข้ามาร่วมทำงาน การคัดเลอื ก พื้นที่ การคัดเลือกบัณฑิตจบใหม่ และการคัดเลือกนักศึกษา ตลอดจนการวิเคราะห์และวางแผนดำเนินงาน ติดตามประเมินผล ตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ โดยจะจัดสรรคนให้เหมาะกับงาน โดยจะแบ่งคนตามส่วน งาน เช่น บัณฑิตจบใหม่ จะมีกลุ่มที่รับทำงานประสานงานเรื่องการเงินทุกอย่าง กลุ่มนักศึกษาจะช่วยเหลือใน การเก็บข้อมูลพื้นที่ กลุ่มอาจารย์จะรับผิดชอบแต่ละกิจกรรม ส่วนกลุ่มประชาชนหรือชาวบ้าน เป็นกลุ่มที่ได้รับ การพัฒนาและดำเนนิ งานในพืน้ ที่ 3) การบริหารกิจกรรม ซึ่งทางอาจารย์ปกรณ์เกียรติ์ เศวตเมธิกุล และคณะ เป็นผู้คัดเลือกทีม ทำงานให้เข้ารับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมย่อย ซึ่งจะมีอาจารย์ท่านอืน่ ๆ เป็นหัวหน้าในการดูแลแต่ละกิจกรรม ยอ่ ย มีการชแ้ี จงลักษณะกิจกรรมและผลทคี่ าดว่าจะได้รบั แตล่ ะกิจกรรมให้อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบแต่ละกิจกรรมย่อย อยา่ งชดั เจน อีกทั้ง มกี ารตดิ ตามและประเมินผล และการสนับสนุนการดำเนินงานทุกกิจกรรมยอ่ ย
102 รปู ที่ 4-1 กลยทุ ธก์ ารบรหิ ารโครงการพื้นทีต่ ำบลบา้ นหอย รปู แบบการประสานงาน 1) การประสานงานระหวา่ งชมุ ชนและภาคอี นื่ ๆ เริ่มแรก อาจารย์ปกรณ์เกียรติ์ เศวตเมธิกุล เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับชุมชน เนื่องจากไม่เคยรู้ พนื้ ทีต่ ำบลน้ีมากอ่ น จงึ เริ่มจากการประสานกับผู้ใหญ่บ้าน และหนว่ ยงานทอ้ งถิ่น เพอื่ หาข้อมูลและให้ช่วยเหลือ ในการประสานงานกับชาวบา้ นคนอนื่ ๆ เมื่อเริ่มรูจ้ กั และประสานงานได้แลว้ จะมอบหน้าท่ีให้อาจารย์ผูร้ บั ผดิ ชอบในแต่ละกิจกรรม เป็นผู้ ดำเนนิ งานในส่วนที่ไดร้ ับผิดชอบ และทางอาจารย์ปกรณ์เกยี รต์ิ เศวตเมธกิ ุล คอยเป็นผู้ประสานงานในภาพรวม สนับสนุน และติดตามประเมินผลในแต่ละกิจกรรมย่อย เพื่อให้สอดคล้องตามแผนแม่บท (Master Plan) ของ ภาพรวมของโครงการ 2) การประสานงานระหวา่ งมหาวิทยาลยั เครอื ขา่ ยภมู ภิ าค และ อว. สว่ นหนา้ มหาวิทยาลยั ต้นสงั กดั เป็นผู้รบั งานจาก อว. ส่วนหน้า แล้วมาแจกงานให้กับอาจารย์ที่รับผิดชอบ โครงการในพน้ื ท่ีแต่ละตำบล
103 ปัญหาอปุ สรรคและขอ้ จำกดั ของการบรหิ ารโครงการทแ่ี ละแนวทางการแกไ้ ข 1) ขอ้ จำกดั ของโครงการในการเบกิ จ่ายงบประมาณ วัสดุ และรายจ่ายบางส่วน ทำใหต้ อ้ งถวั เฉล่ีย งบประมาณไปสว่ นอื่น ๆ ทดแทน 2) การจัดสรรงบประมาณและการตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่ายล่าช้า แก้ไขคือ แจ้งให้ทุกคนท่ี ร่วมทำงานได้รบั ทราบวงเงินงบประมาณแตล่ ะกิจกรรมยอ่ ยอย่างชดั เจน และวางแผนการใชเ้ งนิ อย่างรอบคอบ 3) บางผลิตภัณฑ์ท่ีเขา้ มาใหม่ ชาวบ้านบางคนไม่มีประสบการณใ์ นการทำ ทำให้ต้องมารว่ มเรียนรู้ กนั ใหม่ โดยเริม่ การเรียนรจู้ ากชาวบ้านที่มีประสบการณใ์ นการทำงานมาก่อนแล้ว ผลสำเรจ็ ทเ่ี กดิ ข้นึ จากโครงการ 1) เปา้ หมายหรอื ความคาดหวงั ของโครงการ ▪ เกิดการรว่ มกลุม่ ของชาวบ้านภายในพื้นที่ ▪ เศรษฐกิจฐานรากทม่ี คี วามมั่นคง เรื่องรายได้ ▪ การตอ่ ยอดในระดบั จังหวดั โดยมีการเชญิ พ้นื ทตี่ ้นแบบไปใหค้ วามรู้ต่ออำเภออ่ืน ๆ ภายใน จังหวัด ▪ การได้จดวสิ าหกจิ ชมุ ชน และมาตรฐานผลติ ภัณฑช์ มุ ชน (มผช.) 2) ผลผลติ ตามเปา้ หมายหรอื ความคาดหวงั ของโครงการ ผลการดำเนินงานเป็นไปตามความคาดหวังที่ตั้งไว้ในใจ และมีผลการดำเนินงานที่เกินความ คาดหวัง คือ การที่มีสื่อ เข้ามาช่วยประชาสัมพันธ์ให้ ช่วยถ่ายทำและนำไปเสนอ ทำให้ชุมชนบ้านหอย และ มหาวิทยาลยั ตลอดจนโครงการ U2T เปน็ ท่รี ู้จกั ในวงกวา้ ง และการได้รับคำเชิญจากหน่วยงานระดับจังหวัด ให้ เข้าไปใหค้ วามรู้ หรอื เลา่ รายละเอยี ดของโครงการที่ทำ 3) ผลการเปลยี่ นแปลงทเี่ กิดขนึ้ ตอ่ กลมุ่ เปา้ หมายทร่ี ว่ มกจิ กรรม ▪ มาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชมุ ชน เพอ่ื ใหเ้ ป็นไปตามวัตถปุ ระสงคท์ โี ครงการกำหนดเอาไว้ ▪ วิสาหกจิ ชมุ ชนท่เี ข็มแข็ง ▪ เกิดชือ่ เสยี งของพ้ืนท่ี ออกส่ือโทรทัศน์ ออนไลน์ ▪ วางแผนกิจกรรมการท่องเทย่ี วในเฟสท่ี 2 4) ผลการเปลยี่ นแปลงทม่ี รี อ่ งรอยวา่ จะเกดิ ขน้ึ ในระยะยาว ▪ ผลกระทบวงกว้างในระดับชุมชน (การวิเคราะห์ความยั่งยืน ว่าโครงการนี้มีแนวโน้มจะมี ความยงั่ ยนื หรือไม่ เช่น การเช่ือมต่อโครงการไปกบั การดำเนินงานของ อปท. หรือ การไป เชื่อมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เข้าไปทำงานในพื้นที่ หรือแม่แต้การพัฒนาหลักสูตรหรือการ ทำงานของมหาวิทยาลัยเอง ที่วางแผนว่าจะทำงานร่วมกบั ชุมชนไปในระยะยาว) ▪ มีการประสานงานในระดับจงั หวัด เพื่อให้เกิดการสอดคล้องเชิงนโยบาย เพื่อให้หน่วยงาน อื่น สามารถดำเนินตามภารกิจของทั้งหน่วยงานร่วมกับการบูรณาการของกิจกรรมของ โครงการท่เี กิดขน้ึ ได้ ▪ มีการสรา้ งกล่มุ วสิ าหกิจชุมชนเกิดข้นึ แสดงให้เห็นถงึ การรวมกลุ่มอาชีพที่เป็นทางการ และ มคี วามม่นั คง
104 ปจั จยั หรือเงือ่ นไขทีท่ ำใหพ้ น้ื ท่ปี ระสบความสำเรจ็ 1) ประสบการณ์ของอาจารย์ ผศ.ดร.ปกรณ์เกียรติ์ เศวตเมธิกุล และคณะทำงาน มีการวาง แผนการทำงานอยา่ งเป็นระบบ ชดั เจน ครอบคลมุ “เหน็ ผลจริง จบั ตอ้ งได้” และมองถึงการพัฒนาต่อในอนาคต 2) การช่วยเหลือจากผ้ใู หญ่บ้าน ท่ีชว่ ยประสานงาน และให้พ้ืนทสี่ ่วนตวั ดำเนนิ กิจกรรม และสร้าง ศนู ย์การเรียนรแู้ ละการใหค้ วามรว่ มมอื ของหนว่ ยงานภาครฐั ในพ้นื ท่ี 3) การวางแผนงานแม่บท (Master Plan) ที่เป็นระบบ ชัดเจน มีการดำเนินงาน การติดตามงาน การประเมินผลอย่างต่อเน่ือง 4) คุณสมบัติของชาวบ้านในพื้นที่ท่ีมีความรู้ภมู ปิ ัญญาเรื่องจักสาน การมุ่งมั่นที่ตั้งใจพัฒนาพื้นท่ี รว่ มกนั รปู ที่ 4-2 ยอ้ นรอยเส้นทางสคู่ วามสำเร็จพืน้ ทต่ี ำบลบ้านหอย
105 พน้ื ทต่ี ำบลในเวยี ง อำเภอเมืองน่าน จังหวดั น่าน คณะทำงานโครงการ: ดร.ปณั ฑติ า ตันวฒั นะ, ดร.วัชราภรณ์ สนุ สนิ , ผศ.ดร.วรภัทร์ องิ คโรจนฤ์ ทธ์ิ และ ดร.วไิ ล ลักษณ์ นยิ มมณรี ัตน์ มหาวทิ ยาลยั : สถาบันวจิ ยั สภาวะแวดลอ้ ม และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริบทของชุมชนพืน้ ท่ตี ำบลในเวยี ง สภาพท่วั ไปของชุมชนตำบลในเวียง เปน็ ตำบลหนึ่งตัง้ อยูใ่ นเขตอำเภอเมอื งน่าน จงั หวดั น่าน มกี าร ปกครองแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลเมือง (เทศบาลเมืองน่าน) ภายในตำบลเป็นที่ตั้งของ ส่วนราชการ สถานศึกษา สถานพยาบาล และเป็นศูนย์กลางความเจริญของจังหวัดน่าน (ปัณฑิตา ตันวัฒนะ และคณะ, 2564) ตำบลในเวียง มีเขตการปกครองทั้งหมด 31 ชุมชน ประกอบไปด้วย 1) ชุมชนบ้านช้างค้ำ 2) ชุมชนบา้ นมิ่งเมอื ง 3) ชุมชนบ้านศรพี ันต้น 4) ชุมชนบา้ นอภยั 5) ชมุ ชนบ้านพวงพะยอม 6) ชมุ ชนบ้านมณเฑยี ร 7) ชมุ ชนบ้านไผเ่ หลอื ง 8) ชุมชนบา้ นหัวขว่ ง 9) ชุมชนบ้านมงคล 10) ชมุ ชนบ้านภูมนิ ทร์–ท่าลี่ 11) ชมุ ชนบ้าน พญาภู 12) ชมุ ชนบา้ นดอนศรเี สรมิ 13) ชุมชนบ้านสวนหอม 14) ชุมชนบา้ นหวั เวยี งใต้ 15) ชุมชนบา้ นสวนตาล 16) ชุมชนบ้านดอนแกว้ 17) ชุมชนวัดอรญั ญาวาส 18) ชุมชนบ้านเมอื งเล็น 19) ชุมชนบ้านท่าช้าง 20) ชุมชน บ้านพระเกิด 21) ชมุ ชนบา้ นพระเนตร 22) ชุมชนบ้านช้างเผือก 23) ชมุ ชนบ้านสถารส 24) ชุมชนบ้านมหาโพธ์ิ 25) ชมุ ชนบา้ นเชียงแขง็ 26) ชุมชนบา้ นนำ้ ลอ้ ม 27) ชมุ ชนบา้ นประตูปลอ่ ง 28) ชมุ ชนคา่ ยสุริยพงษ์ 29) ชุมชน บ้านดอนสวรรค์ หมู่ 8 ตำบลผาสงิ ห์ 30) ชุมชนบ้านฟา้ ใหม่ หมู่ 9 ตำบลผาสงิ ห์ และ 31) บ้านสวนหอม หมู่ 3 ตำบลผาสิงห์ ข้อมูลด้านประชากร จากข้อมูลในปี 2563 ตำบลในเวียงมีประชาชน จำนวน 19,506 คน โดย แบ่งเปน็ ชาย 9,677 คน หญงิ 9,829 คน จำนวนบ้าน 10,772 หลังคาเรอื น สำหรับจุดเด่น ศักยภาพ ความเข้มแข็งของชุมชน ชุมชนมีสถานที่ท่องเที่ยวมีความสวยงาม มี เอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในเชิงสถาปัตยกรรมและเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งกล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวถือเป็นกลไกหลัก สำคัญในการขับเคล่ือนเศรษฐกิจของเมืองนา่ น ขณะเดียวกันผูน้ ำในระบบการปกครองและภาคสว่ นของชุมชนที่ ให้ความร่วมมือ อำนวยความสะดวก แก่คณะผูว้ ิจัยเปน็ อยา่ งดี ส่งผลใหก้ ารทำงานเป็นไปอยา่ งราบร่นื ในส่วนของข้อจำกัดหรือปญั หาของชุมชน พบว่า พื้นที่ในเวียงมีลักษณะเป็นชุมชนเมือง ไม่ค่อยมี การรวมกลุ่มทำเรื่องเก่ียวกับสนิ คา้ OTOP มากนัก เน่ืองจากชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพข้าราชการ ค้าขาย รับจ้างท่ัวไป ส่งผลใหไ้ ม่ได้มวี สิ าหกจิ ชุมชนมากเท่ากับพื้นที่ตำบลอน่ื ๆ และถงึ แมว้ า่ จะมีนกั ท่องเที่ยวเดนิ ทางมา เท่ยี วในจังหวดั น่านจำนวนมาก แตน่ ักท่องเท่ียวมกั จะแวะท่องเทย่ี วในตัวเมอื งนา่ นเพยี งวันเดยี วโดยไม่พักค้างคืน ส่วนมากจะเดินทางผา่ นไปท่องเท่ียวยงั สถานท่ที อ่ งเทยี่ วทางธรรมชาติในอำเภออน่ื ๆ มากกว่า ความเข้มแข็งของผู้นำชุมชน ภาคีของชมุ ชน และประสบการณ์การทำงานของคณะทำงาน พบว่า คณะทำงานโครงการฯ มีประสบการณ์ในการทำโครงการเก่ียวกับการทอ่ งเทีย่ วมาก่อน เมือ่ ปี พ.ศ.2563 ที่ชื่อว่า “เท่ยี วกรีน กนิ คลนี เสพศลิ ป์ เมอื งน่าน” และโครงการอน่ื ๆ สง่ ผลใหม้ ีความรู้ความชำนาญในพื้นที่ที่ได้รับเป็น ทุนเดมิ และสามารถนำขอ้ มลู ความรูท้ ไี่ ด้จากการทำโครงการกอ่ นหน้ามาปรบั ใชต้ อ่ ยอดได้ ประกอบกับมีความไว้ เนื้อเช่อื ใจจากชุมชนเป็นทุนเดิม สง่ ผลใหช้ าวบา้ นเต็มใจให้ความร่วมมอื ในการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ
106 การดำเนนิ กจิ กรรมของพ้ืนทีช่ มุ ชนตน้ แบบ คณะทำงานโครงการกล่าววา่ สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบนั ประกอบกับประกาศ พระราชกำหนดกู้เงินฉุกเฉินที่กล่าวเน้นให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสเป็นพิเศษ จึงนำไปสู่การสร้าง กิจกรรมเกี่ยวกับ “การท่องเที่ยว” และ “ความปลอดภัย” มาผสานกัน จนเกิดเป็น “การท่องเที่ยวปลอดภัย” ขึ้นมา โดยกระบวนการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลอดภัยในพื้นที่ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน ประกอบดว้ ย 2 กิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 การจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่บริการชุมชน อัน ประกอบดว้ ย ถนนคนเดนิ สถานทีท่ ่องเทยี่ ว เช่น วัด พพิ ธิ ภณั ฑ์ และ ตลาด จากการที่คณะทำงานโครงการได้ลงสำรวจพื้นที่ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของวัด พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตินา่ น ตลาด ถนนคนเดิน รถรางของเทศบาลเมอื งน่าน รวมไปถึง รถรางของทางชุมชน ทต่ี งั้ อยูใ่ นเขตพื้นท่ีตำบลในเวยี ง ท้งั หมด 36 แห่ง พบว่า แนวทางด้านการรักษาความปลอดภยั สำหรับผู้เขา้ มาใช้ บรกิ ารในสถานท่มี รี ะดับของมาตรฐานการดูแลรักษาความปลอดภัยไมเ่ ท่ากันตามแต่สภาพบริบทของสถานที่นั้น ๆ ที่จะเอื้ออำนวย (ปัณฑิตา ตันวัฒนะ, 2564) จนมีการเก็บรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในด้านการรักษาความ ปลอดภัย เพื่อนำไปสู่การหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่สามารถทำอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้ พร้อมทั้งยกระดับ มาตรฐานการดูและรกั ษาความปลอดภยั ท่ีเพ่มิ มากข้นึ รปู ท่ี 5-1 การสำรวจมาตรฐานความปลอดภยั ในสถานท่ที ่องเทย่ี วและพนื้ ท่ีบรกิ ารชุมชน ท่ีมา: กระบวนการส่งเสรมิ การทอ่ งเท่ยี วปลอดภัยในพืน้ ทีต่ ำบลในเวียง อ.เมอื งนา่ น จ.นา่ น (2564) ด้านการจัดทำมาตรฐานและคู่มือการปฏิบัติเพื่อการท่องเที่ยวปลอดภัยด้านสุขอนามัยภายใต้ มาตรฐานความสะอาดปลอดภัย ป้องกันโรคไวรสั โคโรนา 2019 เน่ืองจากหนงึ่ ในคณะทำงาน ไดแ้ ก่ ดร. วัชารา ภรณ์ สุนสิน สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานร่วมกับศูนย์ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SHECU) โดยมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ดา้ นอาชีวอนามัยและความปลอดภัย จึงนำเอาความร้ปู ระสบการณ์ทมี่ มี าปรับใช้ต่อยอดกับกิจกรรมน้ี โดยจะเน้น เร่ืองของมาตรฐานการท่องเท่ียวปลอดภัยในพ้ืนทต่ี า่ ง ๆ เป็นหลกั โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ในเมือง ได้แก่ วัด พิพิธภัณฑ์ ตลาด รถราง เพราะสถานท่ีเหล่านี้มีนักทอ่ งเที่ยวจำนวนมาก นำไปสู่การจัดทำ มาตรฐานความปลอดภยั ในสถานที่ท่องเท่ยี วและพ้ืนท่ีบริการต่าง ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานให้สามารถรับมือกับ ปัญหาโรคระบาดในปัจจุบันได้ดีมากขึ้น ทางคณะทำงานโครงการจึงได้รวบรวมเกณฑม์ าตรฐานด้านสุขอนามยั
107 เพื่อป้องกันโรคระบาดแก่คนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว โดยได้ใช้เกณฑ์มาตรฐานของ SHA (Safety & Health Administration) ทก่ี ระทรวงสาธารณะสขุ และกระทรวงการทอ่ งเท่ยี วได้จัดทำขึ้นมาใชอ้ ้างอิงเพื่อเป็นแนวปฏิบัติท่ี เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ประกอบการ เชน่ จดั ใหม้ กี ารลงทะเบียนผู้เข้าร่วมกิจกรรมผ่านระบบไทยชนะ หรือระบบ อื่น ๆ จัดให้มีการคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิของผู้ให้บริการรวมถึงผู้รับบริการ หรือมีการเตรียมเจล แอลกอฮอล์ที่มคี วามเขม้ ขน้ 70% ขึ้นไปไว้ในบรเิ วณพนื้ ท่สี ่วนกลาง เปน็ ตน้ ทงั้ น้ี ทางคณะทำงานโครงการยังได้ ทำการรวบรวมไวเ้ พือ่ นำมาประกอบเป็นสว่ นหนึ่งของการร่างเกณฑ์มาตรฐานการท่องเทีย่ วปลอดภัยในภายภาค หนา้ ตอ่ ไป (ปัณฑิตา ตนั วัฒนะและคณะ, 2564) รปู ที่ 5-2 การจดั ทำมาตรฐานและคู่มอื การปฏบิ ตั ิเพ่อื การทอ่ งเทีย่ วปลอดภยั ด้านสุขอนามัย ท่มี า: กระบวนการสง่ เสรมิ การท่องเที่ยวปลอดภัยในพื้นทตี่ ำบลในเวียง อ.เมอื งนา่ น จ.น่าน (2564) นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมให้ความรู้ในการพัฒนาทักษะอาชพี สำหรบั คนในชุมชนพ้ืนท่ีตำบลใน เวียง เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปลอดภัยด้วยที่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมอาชีพของชาวบ้าน ได้แก่ การจัดทำ หน้ากากผ้าทำมอื จากชุมชน ซงึ่ มีการนำเอาผ้าทอ้ งถน่ิ ของจังหวัดน่านมาใชเ้ พอ่ื เพม่ิ มูลค่าให้กบั ผลติ ภัณฑ์ ท้ังยัง เป็นความร่วมมือจากทีมและชาวบ้านในการนำเอาความรู้ดา้ นการเย็บปักถักร้อยมาใช้ และมกี ารนำเอาของทีไ่ ด้ ไปแจกเป็นของทีร่ ะลึกในงานกจิ กรรมอื่น ๆ ภายในโครงการ พร้อมทั้งมีสต๊ิกเกอร์แปะบนผลิตภณั ฑ์เพื่อบอกว่า หน้ากากผ้านี้ทำมาจากชุมชนไหน อันเป็นการส่งเสริมการสร้างอาชีพในชุมชนด้วย อย่างไรก็ตาม คณะทำงาน โครงการกลา่ วว่า “กิจกรรมน้ีเหมือนเปน็ กิจกรรมแลกเปล่ยี นความรู้มากกว่า” เนือ่ งจากชาวบ้านมคี วามรู้และประ การณก์ ารทำหน้ากากผ้ามากกวา่ คณะผ้ดู แู ลโครงการ จนเกิดเปน็ การแลกเปล่ยี นความรซู้ ึ่งกันและกนั รปู ที่ 5-3 การจดั อบรมการพัฒนาทักษะอาชีพให้แก่คนในชมุ ชน ท่ีมา: กระบวนการสง่ เสริมการท่องเที่ยวปลอดภยั ในพืน้ ทตี่ ำบลในเวียง อ.เมอื งน่าน จ.นา่ น (2564)
108 อย่างไรก็ดี คณะทำงานโครงการยังมกี ิจกรรมเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปลอดภยั และ รับมือกบั โรคระบาดที่เกดิ ขึ้น เช่น การนำสเปรย์แอลกอฮอล์ไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพ้ืนท่ี การช่วยทำความ สะอาด ทงั้ ในสว่ นของวัด ตลาด โรงเรยี น โดยรว่ มมอื กบั ทางเทศบาลเมอื งนา่ น เปน็ ตน้ ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับ การลงสำรวจเพ่อื ใชเ้ กณฑ์มาตรฐานการท่องเท่ียวปลอดภยั เพอ่ื เกบ็ ขอ้ มูลการดำเนินงานตามแนวทางมาตรฐาน ความปลอดภยั (แบบ Checklist ด้านความปลอดภยั ) กิจกรรมรวบรวมและนำเสนอข้อมลู ผลการดำเนินงานตาม คมู่ อื แนวทางยกระดับมาตรฐานความปลอดภยั และกิจกรรมจัดการอบรมให้ความรู้และข้อปฏิบัติในการสร้างและ ยกระดบั มาตรฐานความปลอดภัยดา้ นการทอ่ งเทีย่ วและด้าน สขุ อนามัยต่อผูป้ ระกอบการในสถานทีท่ ่องเที่ยวและ พื้นที่บริการชุมชน การใช้รถราง และการสื่อสารแนวทางการปฏบิ ัติที่มปี ระสิทธิภาพ สำหรับผู้เข้ามาใช้บริการ เป็นต้น (ปัณฑิตา ตันวัฒนะและคณะ, 2564) รวมไปถึงมีการจัดประชุมเพื่อฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเกณฑ์ มาตรฐานความปลอดภัย ทั้งในส่วนของวดั พิพิธภัณฑ์ ตลาด รถราง และจากเทศบาล ซึง่ คณะทำงานโครงการ กลา่ วว่า “ในอนาคตคาดว่าทางเทศบาลเมืองน่านสามารถนำขอ้ มลู ตรงนไี้ ปใชเ้ พ่อื สง่ เสรมิ การท่องเท่ียวปลอดภัย ได”้ (วัชราภรณ์ สุนสนิ , 2654) รปู ที่ 5-4 เกณฑม์ าตรฐานการท่องเท่ยี วปลอดภัย “ตลาดการทอ่ งเทย่ี ว” ท่มี า: กระบวนการส่งเสริมการทอ่ งเทยี่ วปลอดภัยในพื้นทีต่ ำบลในเวยี ง อ.เมอื งนา่ น จ.น่าน (2564) กิจกรรมท่ี 2 การออกแบบพ้ืนทีแ่ ละเส้นทางแหลง่ ท่องเที่ยวปลอดภัย จากการเน้นถงึ การทำกิจกรรมเกยี่ วกบั การทอ่ งเทีย่ วปลอดภยั ดังทค่ี ณะทำงานโครงการไดก้ ล่าวมา ขา้ งต้น คณะทำงานโครงการไดเ้ ลง็ เหน็ ว่าความสำคญั ของแสงสวา่ งยามคำ่ คืนสามารถสร้างความปลอดภัยในการ ใช้ชีวิตและเป็นแรงดึงดูดด้านการท่องเที่ยวได้ โดยร่วมกับ ผศ.ดร.วรภัทร์ อิงคโรจน์ฤทธิ์ คณะสถาปัตยกรรม
109 ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย หนึ่งในคณะทำงานโครงการฯ ผ้มู คี วามเชย่ี วชาญเกี่ยวกับการออกแบบการแสง สวา่ ง ซ่ึงเคยทำโครงการวิจัยการออกแบบแสงสวา่ งในโบราณสถานและวัดต่าง ๆ ของจงั หวัดน่านในยามค่ำคืนไว้ จึงมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็สามารถนำโครงการที่เคยทำมาต่อยอดได้ โดยออกแบบเป็นโมเดล สามมิติจำลองภาพการให้แสงสว่างในทางสถาปัตยกรรม กล่าวคือ ก่อนมีการติดตั้งจัดไฟ สถานที่มีความมืด อย่างไร เปรียบเทียบกับภายหลังเมื่อมีการนำไฟมาติดตั้งจัดวางแล้ว สถานที่สถาปัตยกรรมนั้นมีความสว่าง อย่างไร ประกอบกับเมือ่ ทางคณะทำงานโครงการนำเอาเคร่ืองมือวัดแสงมาใช้ตรวจสอบ พบว่า ค่อนข้างมดื ซึ่ง อาจจะส่งผลต่อความปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยที่ต่ำกว่ามาตรฐานเกี่ยวกับทางลาด ทางสำหรับผู้พิการ ทางเดนิ ห้องน้ำ เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม เน่ืองด้วยขอ้ จำกดั ด้านงบประมาณทไี่ มส่ ามารถสรา้ งทางลาดได้ท้ังหมด ในพื้นที่ คณะทำงานโครงการจงึ ตดั สินใจนำเอาประเด็นมิติความปลอดภัยทางดา้ นแสงสว่างมาใชเ้ ปน็ หลกั พรอ้ ม ท้งั กลา่ ววา่ “อยา่ งนอ้ ยหากมีแสงสวา่ งเพียงพอ ชาวบา้ นสามารถมองเหน็ ได้มากข้ึน ก็จะช่วยสร้างความปลอดภัย ในการเดิน ใชช้ วี ติ ได้มากขึ้น จึงอยากสรา้ งความสว่าง 2 มิติ ไดแ้ ก่ 1) สวา่ งให้สวย และ 2) สวา่ งให้ปลอดภัย” อันนำไปสกู่ ารเกดิ กิจกรรม “ล่องนา่ นยามแลง Nan Nakhon Night Tram” ขนึ้ คณะทำงานโครงการกล่าวว่า นอกจากจะเป็นการสร้างความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการส่งเสริม ท่องเทย่ี วในเวลากลางอีกดว้ ย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักทอ่ งเทย่ี วพักในเมอื งอย่างนอ้ ย 1 คืน อันเป็นการขับเคลอ่ื น เศรษฐกิจภายในตัวเมืองเชน่ กนั ซึง่ มขี ั้นตอนการทำกิจกรรมดังนี้ 1) สำรวจพ้นื ทแี่ ละสถานทท่ี อ่ งเทยี่ วของตำบลในเวยี ง การสำรวจลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ เช่น ถนน ทางเท้า กำแพง เสาไฟ รวมไปถึงการมีแสง สว่างบริเวณเขตหัวแหวนเมืองเก่าน่านโดยเทยี บกบั เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดตา่ ง ๆ รปู ท่ี 5-5 การสำรวจลกั ษณะทางกายภาพของพน้ื ที่ บรเิ วณเขตหัวแหวนเมอื งเก่านา่ น ที่มา: กระบวนการส่งเสรมิ การท่องเทย่ี วปลอดภัยในพ้นื ที่ตำบลในเวยี ง อ.เมอื งน่าน จ.นา่ น (2564) 2) ศกึ ษาเกณฑม์ าตรฐาน การทอ่ งเที่ยวปลอดภยั การศึกษาเกณฑ์มาตรฐานการทอ่ งเทย่ี วปลอดภัยจากคมู่ ือการจัดทำสง่ิ อำนวยความสะดวกสำหรับ นกั ท่องเทยี่ ว กลุ่มคนพกิ าร และผสู้ ูงอายุ ในสถานประกอบการท่องเท่ียวและแหลง่ ท่องเท่ียวแต่ละประเภท และ แนวทางการจัดทำต้นแบบของสถานที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ โดยกรมการ ทอ่ งเที่ยว กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกฬี า ซึง่ ทางคณะทำงานโครงการได้ใช้เกณฑ์มาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวทาง
110 ประวัติศาสตร์ ในการสำรวจทั้งหมด 9 แห่ง ได้แก่ 1) วัดภูมินทร์ 2) วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร 3) พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาตนิ ่าน 4) วดั ไผเ่ หลือง 5) วัดหัวข่วง 6) วัดมง่ิ เมอื ง 7) วดั ศรพี ันต้น 8) วดั มงคล และ 9) วัดกู่คำ (ปณั ฑิตา ตนั วัฒนะ, 2564) 3) ออกแบบพ้นื ท่ีแหลง่ ทอ่ งเท่ียวปลอดภยั โดยอิงจากหลักการมาตรฐานความปลอดภัย และอัตลักษณ์ของเมืองน่าน โดยนำเสนอในรูปของ แบบจำลอง ดงั น้ี รปู ท่ี 5-6 แบบจำลองหรือตน้ แบบการออกแบบพนื้ ท่ีแหลง่ ท่องเทย่ี วปลอดภัย ท่ีมา: กระบวนการส่งเสริมการทอ่ งเทีย่ วปลอดภยั ในพื้นท่ีตำบลในเวียง อ.เมอื งนา่ น จ.นา่ น (2564) รปู ที่ 5-7 กราฟแสดงคา่ ความสอ่ งสว่าง (iluminance) หนว่ ยลักซ์ (lux) บรเิ วณทางเทา้ ทมี่ า: กระบวนการสง่ เสรมิ การท่องเทย่ี วปลอดภยั ในพ้นื ทต่ี ำบลในเวยี ง อ.น่าน จ.นา่ น (2564)
111 รปู ที่ 5-8 ภาพตัวอยา่ งการจำลองภาพแสงสว่าง บริเวณกำแพง เขตหัวแหวนเมอื งเก่านา่ น ทม่ี า: กระบวนการสง่ เสริมการทอ่ งเทีย่ วปลอดภัยในพ้ืนที่ตำบลในเวียง อ.นา่ น จ.นา่ น (2564) รปู ที่ 5-9 ภาพตัวอย่างการจำลองภาพแสงสวา่ งบรเิ วณกำแพงเขตหัวแหวนเมอื งเกา่ นา่ น ที่มา: กระบวนการส่งเสริมการทอ่ งเทยี่ วปลอดภัยในพน้ื ท่ตี ำบลในเวยี ง อ.เมอื งน่าน จ.นา่ น (2564) 4) ประชุมระดมความคดิ เห็นผูม้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งกับการท่องเทีย่ วปลอดภัย คณะทำงานโครงการได้ร่วมประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ปลอดภัย เพือ่ หารือกจิ กรรม “ล่องน่านยามแลง Nan Nakhon Night Tram” ท้งั ภาครัฐและภาคประชาชน 5) จัดทำต้นแบบแผนทเ่ี ส้นทางแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วปลอดภยั คณะทำงานโครงการได้จัดทำเส้นทางรถราง เพอ่ื ชมไฟตามสถานทท่ี อ่ งเท่ียวยามค่ำคืน 6) จดั ทำต้นแบบกจิ กรรมนำเทยี่ วรถรางกลางคนื ตามแผนท่เี ส้นทางแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วปลอดภยั คณะทำงานโครงการกล่าวว่า การจัดกิจกรรม “ล่องน่านยามแลง Nan Nakhon Night Tram” ตั้งแตว่ ันที่ 11 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 และ วันที่ 18 – 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 เวลา 18.00 น. เป็น การจัดทำต้นแบบกจิ กรรมนำเที่ยวรถรางกลางคืนตามแผนทีเ่ สน้ ทางแหล่งท่องเทีย่ วปลอดภัย โดยใช้วิธีการจอง
112 รอบนั่งรถรางชมเมืองได้ในเพจ Facebook : เที่ยวน่านปลอดภัย Nan Safe Tourism โดยจำกัดรอบละไม่เกิน 25 คนต่อรอบ ซ่งึ ถา้ หากนักท่องเท่ียวสามารถจองทนั นักท่องเทย่ี วจะได้ต๋ัวท่มี ีชอื่ แบบไฟลอ์ อนไลน์ เม่ือมาถึงก็ สามารถแสดงต๋ัวท่นี ่งั ผา่ นทางโทรศัพทไ์ ด้เลย ท้งั น้ี คณะทำงานโครงการไดม้ กี ารเชญิ วิทยากร อาจารย์ สมเจตน์ วิมลเกษม ผู้ซึ่งเป็นปราชญ์ท้องถิ่นของเมืองน่าน มาให้ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวัดที่รถรางนั่งผ่าน ขณะเดยี วกันทางคณะทำงานโครงการได้มกี ารตรวจสอบความเรียบรอ้ ยของการติดตั้งไฟตามพ้ืนทใ่ี นระยะเวลาที่ เกิดขนึ้ แบบทันที โดยทีมงาน U2T มกี ารขีร่ ถมอเตอร์ไซค์นำหนา้ รถรางไปก่อนเพอื่ คอยไปดแู ลความเรยี บร้อยของ เสน้ ทางและไฟท่ีจัดแสดง กอ่ นท่ีทางรถรางจะขับไปถึงสถานท่ที ่องเท่ียวนนั้ ๆ ตารางท่ี 5-1 ผลการดำเนินกจิ กรรม “ล่องน่านยามแลง Nan Nakhon Night Tram” วัน/เดอื น/ปี จำนวนการ จำนวนการ จำนวนการ จำนวนผทู้ ี่ จำนวนท่ีนง่ั หมายเหตุ สำรองทน่ี งั่ ยนื ยนั สทิ ธิ์ ยกเลกิ ทน่ี งั่ Walk in จรงิ บน สำรองทนี่ งั่ ณ วนั งาน หนา้ งาน รถราง 11/พ.ย./2564 61 61 - - 61 คณะผู้วา่ ราชการ จงั หวัดเลย 12/พ.ย./2564 19 19 2 - 17 รอบปฐมฤกษ์ 13/พ.ย./2564 27 17 8 11 20 บุคคลทว่ั ไป 14/พ.ย./2564 25 20 9 6 17 บุคคลทวั่ ไป 18/พ.ย./2564 23 20 - 4 24 บุคคลท่วั ไป 19/พ.ย./2564 66 21 - 1 22 บุคคลทว่ั ไป 20/พ.ย./2564 55 18 4 6 20 บคุ คลทั่วไป 21/พ.ย./2564 20 16 4 9 21 บุคคลท่วั ไป รวม 296 192 27 37 202 หมายเหต:ุ จำกดั จำนวนคนน่งั รถรางรอบละไม่เกิน 25 คนตอ่ รอบ ท่ีมา: กระบวนการส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วปลอดภยั ในพืน้ ท่ีตำบลในเวยี ง อำเภอเมอื งน่าน จ.นา่ น (2564) 7) เสน้ ทางกจิ กรรมนำเท่ียวรถรางกลางคนื จากกิจกรรม “ล่องน่านยามแลง Nan Nakhon Night Tram” คณะทำงานโครงการได้จัดทำ ตน้ แบบกิจกรรมนำเท่ยี วรถรางกลางคืน ตามแผนทีเ่ สน้ ทางแหล่งท่องเทย่ี วปลอดภัย โดยเส้นทางกจิ กรรมนำเท่ียว รถรางกลางคนื เริ่มต้นจากบริเวณหน้าโรงเรยี นจุมปีวนิดาภรณ์ เทศบาลบ้านภูมินทร์ วัดมิ่งเมือง วัดศรีพันต้น กำแพงเมอื งเก่าน่าน วัดสวนตาล วัดหัวเวยี งใต้ วัด พระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง (จดุ จอดที่ 1) วดั พระธาตุ ช้างค้ำวรวิหาร และจุดสุดท้าย ซุ้มลีลาวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน (ตามลำดบั ) ซึ่งคณะทำงานโครงการ กล่าวว่า บริเวณกำแพงเมืองเก่าน่านแต่เดิมมืดมาก และก่อนที่จะตดิ ไฟประดับได้ต้องดำเนินการย่ืนเร่ืองขอกับ กรมธนารักษ์ และกรมศิลปากรก่อน เพื่อที่จะติดตั้งไฟโดยไม่รบกวนโบราณสถาน พร้อมทั้งยังใช้ไฟแบบโซลา เซลล์เพือ่ ประหยดั พลงั งาน และมีการของอนญุ าตพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตนิ า่ นกอ่ นตดิ ตงั้ ไฟดว้ ย อันแสดงให้เห็น ถงึ การปฏบิ ตั ิงานภายใต้ความถกู ตอ้ งของกฎระเบยี บในแต่ละสถานท่ี
113 ต่อมาเมื่อนักท่องเที่ยวนั่งรถชมเมืองเสร็จ ทางคณะทำงานโครงการได้มีการเก็บความเห็น คำแนะนำจากทางเทศบาล เพื่อทำแบบสอบถาม ทั้งยังรวบรวมส่งให้ทางเทศบาลพิจารณาอีกครั้งว่า การ ปฏบิ ัติการแบบแผนไหนมคี วามเหมาะสมทสี่ ุด เนือ่ งจากระยะเวลาในการนง่ั รถรางแตล่ ะรอบจะใช้เวลาไม่เท่ากัน โดยมีตั้งแต่ 1 - 2 ชั่วโมง พร้อมทั้งพิจารณาจุดท่องเที่ยวด้วยว่าจุดไหนควรให้นกั ท่องเที่ยวลงไปเดินชมได้หรอื เพียงแค่น่ังรถชมเฉย ๆ ส่วนในด้านของเรื่องเลา่ ทางคณะทำงานโครงการกล่าววา่ “ได้มีการมอบหมายใหท้ าง ทมี ถอดเทปทผ่ี ู้มคี วามรคู้ วามเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวตั ิศาสตร์ โบราณสถาน เมอื งน่านไว้ให้แก่เทศบาล เพ่ือเป็น การสร้างนกั เล่าเรอื่ งเพม่ิ ขน้ึ สืบตอ่ ไป” อนั แสดงให้เหน็ ถึงการสร้างความย่งั ยืนให้กบั กิจกรรม และการสร้างอาชีพ ใหแ้ ก่ชุมชนเพ่ือสรา้ งราย คุณภาพชวี ิตทีด่ ีได้สืบต่อไป รปู ที่ 5-10 ตวั อยา่ งตน้ แบบแผนทเี่ สน้ ทางแหล่งท่องเท่ียวปลอดภัย ท่มี า: กระบวนการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ วปลอดภยั ในพนื้ ทตี่ ำบลในเวียง อ.เมอื งน่าน จ.นา่ น (2564) อยา่ งไรกต็ าม ทางคณะทำงานโครงการกลา่ วว่า “กจิ กรรมล่องนา่ นยามแลงยงั ไมไ่ ดม้ ีการสง่ มอบให้ ทางเทศบาลอย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นก็ได้มีการวางแผนไว้ว่าจะส่งมอบหมายการดำเนินงานให้แก่เทศบาล เมอื งนา่ นภายในเดอื นธันวาคม ปี พ.ศ.2564 และในชว่ งจัดกจิ กรรมช่างไฟของทางเทศบาลก็เป็นคนติดต้ังไฟเอง ภายใต้การกำกบั ดแู ลของทางคณะทำงานโครงการ ทำให้ไม่น่ามปี ญั หาในภายหลงั หากมอบหมายงานให้เทศบาล เป็นคนดูแลอย่างเป็นทางการในอนาคต” เนื่องจากผู้ดูแลติดตั้งไฟได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากทาง คณะทำงานโครงการเปน็ ทเ่ี รียบรอ้ ย สำหรับกลุม่ เป้าหมายที่เกย่ี วขอ้ งในแต่ละกิจกรรมแสดงดังตาราง
114 ตารางท่ี 5-2 ตารางแสดงกลุม่ เปา้ หมายของแตล่ ะกจิ กรรมในพน้ื ท่ตี ำบลในเวยี ง กจิ กรรม กลมุ่ เปา้ หมาย ผขู้ ับเคลอ่ื นปฏบิ ตั กิ ารในพน้ื ที่ กิจกรรมท่ี 1 : การจัดทำ กลมุ่ ผู้บริการการท่องเที่ยว - เทศบาลเมอื งน่าน มาตรฐานความปลอดภยั วดั พิพิธภณั ฑ์ ตลาด - สำนักงานพน้ื ท่ีพิเศษ 6 (อพท.6) สถานท่ีท่องเท่ียวและพน้ื ท่ี รถราง - วดั ภมู ินทร์ บริการชมุ ชน - วดั ช่างค้ำ - วัดหวั ขว่ ง - วดั ม่ิงเมอื ง - วดั ศรีพนั ตน้ - ตลาดถนนคนเมือง มง่ิ เมอื งดีเบส - ถนนคนเดนิ กาดขว่ งเมืองนา่ น - รถรางเทศบาลเมืองนา่ น - รถรางบ้านภมู ินทรท์ า่ ล่ี - รถรางบ้านมิ่งเมอื ง - รถรางบา้ นดอนแก้ว - รถรางบา้ นพระเกิด - รถรางบ้านมณเฑียร - รถรางบา้ นประตปู ลอ่ ง - รถรางบ้านศรีบุญเรือง - รถรางบ้านศรีพันตน้ - รถรางบ้านเชียงแขง็ - รถรางบ้านสวนตาล - รถรางบ้านอรญั ญาวาส กิจกรรมที่ 2 : การออกแบบ กล่มุ ผบู้ ริการการทอ่ งเที่ยว - เทศบาลเมืองน่าน พ้ืนที่และเส้นทางแหลง่ วดั พิพธิ ภณั ฑ์ ตลาด - สำนักงานพนื้ ทพ่ี เิ ศษ 6 (อพท.6) ท่องเทย่ี วปลอดภัย รถราง - การทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สำนกั งานนา่ น - รถราง ทีม่ า: กระบวนการสง่ เสริมการทอ่ งเท่ยี วปลอดภัยในพนื้ ทีต่ ำบลในเวียง อ.เมอื งนา่ น จ.นา่ น (2564)
115 ทัง้ นี้ ภาคสว่ นท่เี ขา้ มามบี ทบาทและใหค้ วามร่วมมอื ในโครงการ ไดแ้ ก่ 1) ภาครฐั (1) เทศบาลเมืองนา่ น ทางคณะทำงานโครงการกลา่ ววา่ นายกเทศมนตรีเมืองนา่ น กล่าววา่ ยินดใี ห้ความร่วมมอื กับคณะวิจยั ฯ ในการดำเนนิ การจดั กจิ กรรม “ลอ่ งน่านยามแลง Nan Nakhon Night Tram” ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2564 พร้อมใหข้ ้อเสนอแนะ ในการจัดกิจกรรม เช่น ช่วงเวลาการดำเนินกิจกรรม การประสานงานต่าง ๆ การ จัดเตรียมสถานที่ และเน้นย้ำวิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 (ปัณฑิ ตา ตนั วัฒนะ, 2564) (2) องคก์ ารบริหารการพัฒนาพ้นื ท่ีพิเศษเพอ่ื การทอ่ งเท่ียวอย่างย่งั ยืน สำนักงานพน้ื ที่พิเศษ 6 (อพท.6) ทางคณะทำงานโครงการกล่าวว่า นาย ธรรมนูญ ภาคธูป ผู้จัดการสำนักงาน พืน้ ทพี่ ิเศษ 5 (อพท.5) ปฏบิ ัตหิ น้าทใี่ นตำแหนง่ ผูจ้ ัดการสำนกั งานพื้นท่ีพเิ ศษ 6 (อพท.6) กลา่ วว่า กจิ กรรม “ล่องนา่ นยามแลง Nan Nakhon Night Tram” ในช่วงเดือนตลุ าคม– พฤศจกิ ายน 2564 ตามเสน้ ทางการท่องเทยี่ วปลอดภยั เป็นกิจกรรมที่นา่ สนใจ โดยเฉพาะ การเพิ่มแสงสว่างตามสถานที่ทอ่ งเที่ยว ทำให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวในยามค่ำคืน อีกทั้งให้ขอ้ เสนอแนะใน การทำเส้นทางท่องเที่ยวปลอดภยั เช่น การสำรวจสถิติการเกดิ อาชญากรรมกอ่ น – หลัง เพื่อนำข้อมูลมา พัฒนาให้เกิดการปลอดภยั มากขึ้น และการ จัดทำมาตรฐานความปลอดภยั ในภายภาคหน้าต่อไป (3) การท่องเที่ยวแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สำนักงานน่าน ทางคณะทำงานโครงการกล่าวว่า นายโยธิน ทบั ทิมทอง ผู้อำนวยการ การทอ่ งเท่ยี วแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานน่าน กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางการท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนา่ นได้ดำเนินจดั เส้นทางรถรางกลางคนื เรยี บรอ้ ยแลว้ แต่พบปัญหาเร่อื งแสงสวา่ งตามสถานที่ทอ่ งเท่ียวต่าง ๆ ไม่เพียงพอ อีกทั้งให้ข้อเสนอแนะการเพิ่มกิจกรรมอื่น ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยว เช่น การจัดการแสดงแสงเสียง (Light & Sound) หรือการแสดงศิลปะวัฒนธรรม เพื่อเพ่ิม จำนวนนักท่องเทยี่ วในสถานทท่ี อ่ งเทีย่ วต่าง ๆ มาก 2) ประชาชนในพ้ืนทตี่ ำบลในเวยี ง 3) คณะดำเนนิ โครงการ ผลสำเรจ็ ที่เกดิ ขึ้นจากโครงการ 1) ผลผลิตของโครงการ (1) เกิดการจ้างงาน 19 ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น ประชาชน 4 ตำแหน่ง บัณฑิต 10 ตำแหนง่ และนกั ศกึ ษา 5 ตำแหน่ง (2) การสรา้ งอาชพี จ้างงานชาวบา้ นเพิ่มข้นึ เชน่ ช่างติดตงั้ ไฟ คนขับรถราง คนทำหน้ากาก ผ้าอนามัย คนจัดกระสวยดอกไมส้ ำหรับไหว้พระจากกิจกรรมชมเมือง เป็นต้น ส่งผลให้ ชุมชนมคี ุณภาพชวี ิตท่ดี ขี ้ึน เพิ่มรายได้
116 (3) การทอ่ งเทยี่ วปลอดภัย (4) นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองมากขึน้ อันเป็นการช่วยขับเคล่ือนเศรษฐกิจการทอ่ งเท่ยี ว ในเมืองน่าน (5) เกิดเส้นทางท่องเท่ียว โดยเฉพาะเส้นทางทอ่ งเที่ยวยามคำ่ คืนจากรถราง (6) ยกระดับผลิตภัณฑ์ จากการนำผ้าท้องถิ่นของจงั หวัดนา่ นมาทำเป็นหนา้ กากอนามยั (7) การนำขยะมารไี ซเคิลเพือ่ เพิ่มมลู ค่า ได้แก่ การนำกลอ่ งนมมารีไซเคิลเปน็ ต๋วั รถราง (8) ยกระดับมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวปลอดภัย เพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยแก่ นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทั้งด้านกายภาพของสถานที่ และด้านการป้องกันโรคระบาด พร้อม ทั้งจัดทำคู่มือแนะนำการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย อย่างน้อย 1 ฉบับ และจัดทำคู่มอื การ ปฏิบัติเพื่อการท่องเที่ยวปลอดภัยด้านสุขอนามัยภายใต้มาตรฐานความสะอาดปลอดภยั ปอ้ งกันโรคโคโรนา 2019 (9) นกั ท่องเทยี่ วไดร้ ับของท่รี ะลกึ จากการมาเท่ียวตามสถานที่ท่องเท่ียวและน่ังรถรางชมเมือง ได้แก่ หนา้ กากผา้ สเปรยแ์ อลกอฮอล์รปู รถราง เป็นต้น (10) กิจกรรม Covid week ให้ความรู้เกีย่ วกับการสรา้ งความปลอดภัยดา้ นการป้องกันโรคโค โรนา 2019 2) ผลการเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ขนึ้ ตอ่ กลมุ่ เปา้ หมายทเ่ี ข้ามาร่วมกิจกรรม (1) ประชาชนมีงาน รายได้เพิ่มข้ึน ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชนในชมุ ชน ได้ จากการดำเนินกิจกรรม เช่น คนขบั รถรางตอนกลางคืน คนทำหน้ากากผา้ อนามัย คน จัดทำกระสวยดอกไม้ นักเล่าเรือ่ งแนะนำประวัตศิ าสตร์ สถานที่ท่องเท่ียวบนรถราง เป็น ต้น (2) ประชาชนและคณะผู้ดำเนินโครงการมีความเต็มใจและให้ความร่วมมือในการดำเนิน กิจกรรม การทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี ส่งผลให้การทำกิจกรรมราบรื่น อันนำไปสู่ ความสำเรจ็ ในทา้ ยสุด (3) ประชาชนไดร้ ับความรู้เกี่ยวกบั การท่องเที่ยวปลอดภัย การป้องกนั ตวั จากโรคระบาด 3) ผลการเปล่ยี นแปลงในระยะยาว ทางคณะทำงานโครงการกล่าววา่ ในกรณขี องตำบลในเวียงมีตน้ ทนุ ทางพืน้ ทแ่ี ละงานวจิ ยั ท่สี ามารถ ตอ่ ยอดได้ เนื่องจากจุฬาฯ มีอีกหลายโครงการท่ีดำเนินการอยใู่ นจงั หวดั นา่ น ท้งั น้ี กรณีกิจกรรมล่องนา่ นยามแลง กับเรื่องกจิ กรรมมาตรฐานความปลอดภัย ทงั้ 2 กจิ กรรมดังกลา่ วสามารถทำให้กิจกรรมยั่งยนื ได้ เนือ่ งจากความ เป็นไปได้ที่ทางเทศบาลจะนำไปสานต่อ เพราะทางเทศบาลได้มีการจัดกิจกรรมรถรางตอนกลางวันเป็นปกตอิ ยู่ แล้ว เพียงแค่เพิ่มรอบตอนกลางคืนเพิ่มเพื่อดำเนินกิจกรรมนี้ พร้อมทั้งทบทวนระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการจัดการเพิ่มขึ้น ซึ่งหากทำกิจกรรมต่อไปได้จะสามารถเพิ่มการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับ ประชาชนในคณะทำงานโครงการที่อยากทำงานกิจกรรมตรงนีต้ อ่ ไปได้ อันเป็นการสร้างความยั่งยืนในการสรา้ ง งานดว้ ย
117 ทั้งนี้ ทางคณะทำงานโครงการกล่าวว่า นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ได้อยู่ในช่วงดำเนินการเสนอ แผนงานเข้าสภาเทศบาลเมืองน่าน เพื่อของบประมาณมาจัดกิจกรรมล่องน่านยามแลงต่อไปในอนาคต ซ่ึง คณะทำงานโครงการกล่าวว่า “การที่นายกฯ เห็นด้วยกับการดำเนินการกิจกรรมล่องน่านยามแลงนี้ ถือเป็น ความสำเร็จด้านความยั่งยืนในระยะยาวก็ว่าได้” กล่าวคือ เป็นหลักฐานที่สามารถรับประกันได้ว่าในอนาคต กจิ กรรมนีจ้ ะได้รับการจดั ทำและดแู ลเป็นอยา่ งดี อยา่ งไรก็ตาม สง่ิ ทจี่ ะต้องทำเพือ่ ใหเ้ กิดความย่งั ยนื ได้อีกข้อหนึ่ง คอื การตอ้ งทำให้กิจกรรมมีความสมำ่ เสมอ เปน็ ประจำ เพ่ือที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม้ าเทย่ี ว เชน่ จัดกิจกรรม ทุกวนั ศกุ ร์ - อาทิตย์ เปน็ ต้น การบรหิ ารจัดการโครงการ เทคนิควิธีการบริหารจัดการที่ทำให้การขับเคลื่อนโครงการประสบความสำเร็จ ในด้านการ มอบหมายงาน เวลามอบหมายงานและตรวจสอบงานของคนในทีม ผู้ดูแลโครงการจะทำตารางใน Excel เพื่อ บอกวา่ 20 คนในทีม มีงานในแตล่ ะเดือนตอ้ งทำอะไรบ้าง พรอ้ มกำหนดวันสง่ และชอ่ งทางการสง่ งาน จนคนใน คณะทำงานโครงการมีพัฒนาการจึงมอบหมายให้ทำตารางกันเอง และเม่ือคนในคณะทำงานโครงการส่งงานครบ ผู้ดูแลโครงการจะตรวจสอบงานพร้อมทั้งบอกคำแนะนำให้ไปแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาด ถือเป็นช่องทางการ ตรวจสอบความก้าวหนา้ ของการทำงาน และเป็นการตรวจสอบความถกู ต้องกันเองภายในคณะทำงานโครงการ กนั เอง และจะมกี ารจัดประชมุ คณะทำงานโครงการเดอื นละคร้งั เพื่อคุยเกี่ยวกับข้อเสนอแนะหลงั การเก็บขอ้ มลู ด้านความสามารถในการเก็บขอ้ มูล 400 ชดุ รวม 31 ชุมชน ขนั้ แรกแบง่ คนในทมี 20 คนต่อพื้นที่ เพอ่ื หาจำนวนแบบสอบถามทีแ่ ต่ละคนตอ้ งทำ ซึ่งความได้เปรยี บคอื คณะทำงานโครงการเปน็ คนในพื้นที่ ทำให้มี ความชำนาญในพื้นที่ แม้ว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 จะทำให้ลงพื้นที่ไม่ได้ แต่ คณะทำงานโครงการได้แก้ไขปัญหาโดยอาศัยวิธีการโทรถาม อสม. ในพื้นที่แทน ซึ่งใช้วิธีการคือหลังจากเก็บ ข้อมูลของ อสม. ในแต่ละพื้นที่ได้แล้วในเบื้องต้น จึงโทรไปถาม อสม. ว่ามีชาวบ้านคนใดที่สะดวกตอบ แบบสอบถาม แล้วจึงดำเนนิ การขอเบอร์โทรศพั ท์มาติดตอ่ เอง ทำใหไ้ ดข้ ้อมูลจำนวนสม่ำเสมอทุกเดือน สำหรับความเชี่ยวชาญของผู้ช่วยในการทำงานที่สามารถปฏิบัติงานร่วมกันได้ในพื้นที่ ๆ ได้รับ มอบหมาย ทำใหส้ ามารถตดิ ต่อกับชุมชนในพื้นท่ไี ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว กล่าวคือ นักวจิ ัยท้องถนิ่ มสี ว่ นช่วยอย่างมากใน การดำเนนิ งานไดอ้ ยา่ งราบร่ืน โดยเฉพาะผู้ช่วยทเ่ี คยทำงานร่วมกันมากอ่ นหนา้ ท่ีจะไดท้ ำโครงการ U2T เป็นส่วน สำคัญที่ทำให้งานราบรื่น เนื่องจากมีการทำงานที่เข้าขากัน ไม่ต้องใช้เวลาเรยี นรู้วิธีร่วมงานกัน และไม่ต้องใช้ เวลาเรยี นร้งู านมาก เน่ืองจากมีพืน้ ฐานการทำงานมากอ่ น รูปแบบการประสานงาน การประสานงานระหว่างมหาวิทยาลยั กับชุมชน หรอื ภาคีอืน่ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเน้น การทำงานรว่ มกับคนในพ้ืนท่ี ตง้ั แต่การประกาศรบั สมคั รคณะวจิ ัยเพ่ือมาดำเนินโครงการ โดยจะรบั สมคั รเฉพาะ ประชาชนในพ้ืนท่ีเทา่ นน้ั เพ่อื ให้เกดิ ความเชีย่ วชาญ ความสะดวกในการทำงาน เนอ่ื งจากเป็นคนในท้องท่ี ทั้งยัง เพื่อเป็นการสร้างความไว้ใจกันภายในชุมชน นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานกับภาคส่วนการปกครองส่วน ท้องถิ่น ผ่านการร่วมประชุมระดมความคิดเห็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปลอดภัย เพื่อหารือในการทำ กิจกรรมกบั หนว่ ยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น เทศบาลเมืองนา่ น องคก์ ารบรหิ ารการพัฒนาพืน้ ที่พิเศษเพื่อการท่องเท่ียว
118 อย่างยง่ั ยืน สำนักงานพื้นที่พิเศษ 6 (อพท.6) การท่องเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สำนกั งานนา่ น เป็นตน้ และ ภาคส่วนชุมชนทีเ่ กย่ี วข้อง จงึ ทำให้สะดวกต่อการดำเนนิ งาน และส่งผลใหก้ ารทำงานเป็นไปอย่างราบรนื่ การประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัย เครือข่ายภูมิภาค และ อว.ส่วนหน้า สป.อว. ไม่มีรูปแบบ แผนงานการส่ังงานที่ชัดเจน ทั้งยังไม่มีการสั่งงานที่แจ้งลว่ งหน้า และไม่มกี ารสื่อสารการให้ข้อมูลที่ชดั เจน เช่น ไม่มีการบอกกำหนดงานที่ชัดเจน ทำให้ทีมไม่สามารถวางแผนการทำงานได้ อันแสดงให้เห็นถึงปัญหาการไม่มี แบบแผนในการสั่งงาน ประกอบกับไม่มีช่องทางการสั่งงานที่เปน็ ทางการ อันทำให้เกิดความยากลำบากในการ สอ่ื สาร และเสาะหาเอกสารในภายหลัง เนอื่ งจากไม่มกี ารแบ่งหมวดหมู่ของงานเอกสาร อยา่ งไรก็ตาม เนอื่ งจาก มีการสั่งการจากหลายสว่ น กล่าวคือ เวลาได้รับมอบหมายงานท้ัง 2 ส่วน จากทาง สป.อว. และแม่ข่าย ทำให้ สับสนเวลาต้องสง่ งานวา่ ตอ้ งส่งใหฝ้ ่ายไหน หรอื ผา่ นชอ่ งทางไหน กรณีปัญหาตัวเลขจำนวนการเก็บแบบสอบถามที่บางพื้นที่เก็บมากน้อยไม่เท่ากัน และนำไปสู่ คำถามต่อมา คือ ข้อมูล Big Data ที่เก็บเหล่านั้น เทศบาลเมืองน่านได้รับหรือไม่ ใครเป็นคนถือข้อมูลส่วนนี้ แล้วทาง สป.อว. จะเปน็ คนส่งให้หรอื ทางคณะทำงานโครงการในเวยี งต้องเป็นคนส่งเอง รวมไปถึงอีกปัญหาหน่ึง คือ ความอึดอัดใจในการเก็บข้อมูล เนอ่ื งจากการเก็บข้อมลู คำถามสัมภาษณ์คอ่ นข้างมคี วามเป็นส่วนตัว และไม่ มีการขอจริยธรรม ประกอบกับการเก็บข้อมูลที่มีความถี่เกินไป ส่งผลให้ชาวบ้านไม่อยากที่จะตอบคำถาม แบบเดมิ บอ่ ย ๆ เพราะมองวา่ รบกวนเวลาสว่ นตวั ในส่วนของข้อเสนอแนะตอ่ การเชื่อมประสานการทำงานรว่ มกันในระยะต่อไป พบว่า คณะทำงาน โครงการมองวา่ บทบาทของ อว.สว่ นหนา้ มไี ด้ แตค่ วรความจำกัดความและกำหนดบทบาทให้ชัดเจน ขณะที่ใน ส่วนของแมข่ ่าย คณะทำงานโครงการมองวา่ มีการดำเนินงานที่ดี เพียงแต่ไม่มอี ำนาจพอในการรับฟังปัญหาหรือ สะทอ้ นปญั หาไปสู่การแก้ไข เชน่ ผู้ดแู ลโครงการเคยแนะนำประเด็นเรอื่ งกรณกี ารเกบ็ ขอ้ มูล Big Data ทุกเดือน ซง่ึ มองวา่ มนั ไมไ่ ด้เห็นนยั การเปล่ยี นแปลงของขอ้ มูลมากนกั ทั้งยงั เป็นการเพ่ิมภาระและคา่ ใชจ้ ่าย แตเ่ ม่ือแจ้งไป ทางแม่ขา่ ยกลบั ไม่ไดน้ ำเอาคำแนะนำไปปรับแก้ไข ขอ้ จำกัดในการบริหารจดั การโครงการ เนื่องจากโครงการที่ดำเนินงานมีงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารจำนวนมาก ทำให้ต้องแบ่งเวลามา ทำงานเอกสารและงานอื่น ๆ ที่พึ่งได้รับมอบหมายเพิ่มขึ้นมา จากเดิมตอนแรกที่คิดว่าแค่ดำเนินการเกี่ยวกับ กิจกรรมการทอ่ งเที่ยวเป็นหลกั เพยี งเท่านั้น โดยหากสามารถเปลีย่ นระบบการรายงานเอกสารไดก้ ็จะดี เนอื่ งจาก ใชป้ ริมาณกระดาษเยอะมาก เช่น รายงานการปฏิบตั ิงานของ 20 ตำแหน่ง ของทีมในแต่ละเดอื น รายงานการเงนิ ทุกเดอื น เปน็ ตน้ โดยแนวทางแกไ้ ขทีท่ างคณะทำงานโครงการเสนอแนะคือลดจำนวนงานเอกสารลง นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานด้านการเงินได้แก่ ปญั หาการเบกิ จา่ ยเงนิ คอื ต้องมีการนำเงินส่วนตัวมาสำรองจา่ ยก่อนในบางครั้ง เนอื่ งจากเงนิ ทนุ เข้ามาในระบบ ชา้ จากน้ันจงึ รอนำรายการค่าใชจ้ ่ายไปเบกิ ในภายหลัง ซงึ่ ใชร้ ะยะเวลาคอ่ นขา้ งนานในการ อีกทั้งระบบเงินกู้ใช้ ยาก กลา่ วคือ ไม่มคี วามชดั เจนของเอกสารการดำเนินการ เช่น การขออนมุ ัติการดำเนินโครงการ หรือประเด็น การจดั ซอ้ื จดั จ้าง ที่ทาง สป.อว. เขยี นกำหนดมาเลยวา่ สามารถจ้างคนในพ้ืนทที่ ำผลติ ภณั ฑ์ได้ ซึ่งนา่ จะหมายถึง การสร้างผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นตน้ แตก่ ระนัน้ จากที่คณะทำงานโครงการได้กล่าวมาข้างต้นว่า ตำบลในเวียงไม่ มกี ารทำผลิตภณั ฑ์ ทางผดู้ แู ลโครงการจงึ แก้ไขปัญหาส่วนนี้ โดยการนำเงนิ สว่ นนี้ไปใชจ้ า้ งคนติดไฟตามสถานที่
119 จ้างคนขับรถราง ซอื้ ผ้าทอ้ งถิน่ มาใหค้ นในชมุ ชนปักทำหน้ากากอนามัยแทน ทำให้เปน็ ขอ้ กังวลว่าสามารถนำเงิน ส่วนนี้มาใชด้ ำเนนิ การในลกั ษณะน้ีได้หรือไม่ การบริหารจดั การงบประมาณ วิธีการหรือเทคนิควิธีที่เอื้อให้การบริหารจัดการงบประมาณได้ดี ทางคณะทำงานโครงการได้ใช้ วธิ ีการตรวจสอบเอกสารทางการเงิน ผ่านการอัพโหลดเอกสารการทำงานลงใน Microsoft Teams U2T เพื่อที่จะ สามารถตรวจสอบการทำงานของคนทีมและมหี ลกั ฐานการทำงานที่สามารถตรวจสอบภายในโครงการกันเองได้ ด้วย ในแง่ของปัญหาอุปสรรคมองว่างบประมาณใช้ยาก กล่าวคือ มีข้อห้ามใช้หลายส่วนซึ่งบางอันไม่ สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น ในสถานการณ์การระบาดของโรคโคโรนา 2019 จำเป็นต้องส่งเอกสาร แต่ไม่ สามารถเบิกค่าสง่ เอกสารได้หากใชข้ นส่งเอกชน กล่าวคือ การส่งเอกสารท่ีสามารถเบิกได้ต้องใช้ขนส่งไปรษณยี ์ ไทยเท่านั้น หรือในกรณีการทำงานล่วงเวลา แต่ไม่สามารถเบิกค่าลว่ งเวลาได้ โดยเฉพาะกิจกรรมล่องน่านยาม แลงซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นตอนกลางคืน ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะทำงานล่วงเวลาได้ รวมถึงบางคร้ัง สป.อว.มีงานด่วนเข้ามาทำให้ตอ้ งทำงานในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แทน ดังนั้น เมื่อไม่สามารถเบิกจ่ายค่าทำงาน ลว่ งเวลาได้ ทางคณะทำงานโครงการจงึ แกไ้ ขปญั หาโดยการให้คนในทมี วิจยั หยดุ วนั อืน่ ชดเชยแทน อีกทั้งยงั มีกรณีเบิกค่าโทรศัพท์ไม่ได้ ท่ามกลางสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัสใน ปัจจบุ นั ทำใหไ้ ม่สะดวกลงพน้ื ทจ่ี งึ ใชก้ ารโทรศพั ท์สอบถามแทน ในกรณีของการทำประกนั อุบัติเหตุ หรือประกันโรคโคโรนา 2019 ไมส่ ามารถเบกิ ได้ ซ่ึงคณะทำงาน โครงการแนะนำว่าอยากให้เบิกได้ เนื่องจากเวลาต้องลงไปทำงานด้านการลงพื้นที่นั้นไม่ค่อยปลอดภัยต่อตัว คณะทำงานโครงการ รวมถึงความปลอดภัยจากโรคระบาด ทางคณะทำงานโครงการเป็นฝ่ายประสานงาน ดำเนนิ การให้ทมี ไปฉีดวคั ซนี ของมหาลยั ที่โรงพยาบาลนา่ นเองเช่นกนั สำหรับข้อเสนอแนะตอ่ การบริหารจดั การงบประมาณหรือระบบงบประมาณที่สนับสนุนการทำงาน ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนในระยะยาว คือ เวลากรอกใบข้อเสนอกิจกรรมไปเพื่อของบประมาณ ไม่มีใคร อนมุ ัติขอ้ เสนอของทางคณะวิจยั เน่ืองจาก สป.อว. ออกจดหมายบอกแค่ว่าให้ดำเนินโครงการได้ แต่ไมม่ กี ารตอบ รับข้อเสนอที่ทางทีมวิจัยเสนอการทำโครงการ/กิจกรรมไปว่าให้ดำเนินการภายใต้การจัดการข้อเสนออะไร งบประมาณเท่าไหร่ ทำให้การเงินของสถาบนั โครงการจุฬาฯไมส่ ามารถทำเรื่องเบิกงบประมาณให้ได้ จึงส่งผลให้ ให้การดำเนินการจัดกิจกรรมต้องเบิกกับการเงินของแต่ละโครงการ/สถาบันเอง อย่างไรก็ตาม คณะทำงาน โครงการยงั กล่าวอกี วา่ ทาง สป.อว. กไ็ มม่ ปี ระกาศออกมาอยู่ดี ทำให้เวลาของเบกิ ตามขอ้ เสนอ ทางคณะทำงาน โครงการต้องอ้างองิ จากเอกสารกำหนดขอบเขตงาน เงื่อนไข (TOR) ที่ทาง สป.อว.กำหนด เช่น ไม่มีค่าเคอร์ร่ี เป็นต้น พร้อมทั้งใช้ระเบียบอ้างอิงตามคู่มือการปฏิบัติงานของ สป.อว. และใช้ประกาศของจุฬาฯ ร่วมด้วยใน กรณีทคี่ ู่มือการปฏิบตั งิ านของ สป.อว. ไม่มี เชน่ เรทคา่ วิทยากรไม่มีการกำหนดมา จงึ ใช้การคิดเรทราคาอ้างองิ ตามของจุฬาฯ เป็นต้น การบรหิ ารจดั การด้านการจา้ งงาน คณะทำงานโครงการจัดทำเอกสารการรับสมคั ร ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่มีระบบส่วนกลาง บริหารจดั การให้ ทำใหผ้ ู้ดแู ลโครงการจึงต้องทำใบสมัครเอง โดยอ้างองิ เกณฑ์ท้งั หมดทีท่ าง สป.อว. กำหนดเพ่ือ เป็นคณุ สมบตั ทิ ีต่ อ้ งการรับสมคั รตำแหนง่ ตา่ ง ๆ จากนน้ั จงึ เผยแพร่ลงในเพจเฟซบุ๊กของโครงการฯ เพื่อต้องการ
120 รับสมัครเฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้น ทั้งนี้คณะทำงานโครงการกล่าวว่า ยังทำระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า ผ้สู มคั รมคี ณุ สมบัติครบถว้ นตามตำแหนง่ ทต่ี อ้ งการ จากนนั้ จงึ คัดเลือกมาสอบสัมภาษณ์ โดยมีท้ังสอบสัมภาษณ์ แบบตวั ตอ่ ตัวและแบบออนไลน์ รวมถึงมีการเผยแพรเ่ อกสารการทำงานลงใน Microsoft Teams U2T เพ่อื ทจ่ี ะทำ ให้สามารถตรวจสอบการทำงานของคนทีมและมีหลักฐานการทำงานท่ีสามารถตรวจสอบภายในโครงการกันเอง ไดด้ ว้ ย ไมว่ ่าจะเปน็ รายงานการปฏบิ ตั กิ ารของคนในทมี หรือรายงานเอกสารทางการเงิน นอกจากน้ี ปญั หาท่พี บอกี เร่ือง คอื ทาง สป.อว. ได้กำหนดตำแหนง่ มาเลยตง้ั แตต่ อนรับสมคั ร เช่น ตำแหน่งพัฒนาทกั ษะอาชพี ฝา่ ยวเิ คราะหข์ อ้ มูล เพ่ิมองคค์ วามรู้ เป็นต้น ทั้งน้ผี ู้ดแู ลโครงการได้มกี ารสอบถามไป แล้วในเบื้องต้นว่าในแต่ละตำแหน่งมีหน้าที่ต้องทำอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ทำให้ คณะทำงานโครงการสับสนว่าสามารถให้ตำแหน่งไหนมาช่วยงานได้บ้าง อย่างไรก็ตาม มี 2 ตำแหน่งที่ทาง คณะทำงานโครงการนำมาใช้คือ ตำแหนง่ พฒั นาแหล่งทอ่ งเทย่ี วและตำแหน่งพฒั นามาตรฐานการท่องเที่ยว แต่ ในท้ายท่ีสดุ ก็ให้ทุกคนในคณะทำงานโครงการปฏิบัติดำเนินการท้ัง 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมพัฒนามาตรฐาน ความปลอดภยั ด้านการท่องเที่ยวและกจิ กรรมล่องน่านยามแลง ข้อเสนอแนะต่อการแนวทางการจ้างงาน คณะทำงานโครงการมองว่า เบื้องต้นสามารถปัน้ สมาชิก ในทีมที่มีศักยภาพพอจะเป็นนักวิจัยท้องถิ่นได้ จากการได้ร่วมทำงานในโครงการ U2T แต่กระนั้นก็อาจจะไม่ สามารถทำไดอ้ ย่างสมบูรณ์ทุกพื้นท่ี เนือ่ งจากมองวา่ การเขา้ มาดำเนนิ การในโครงการนไี้ มม่ พี ื้นทใ่ี ห้ไดท้ ดลองการ ลองผิดลองถูก เพราะทุกงานทไ่ี ด้รับมอบหมายลว้ นเป็นงานท่ีต้องใชง้ านจรงิ ๆ จงึ ไม่ใชโ่ ครงการสร้างคนเท่าไหร่ หรอื ก็คอื “ไม่ใช่โปรเจกตฟ์ กั ไข่ทจ่ี ะสรา้ งนักวจิ ยั ทอ้ งถ่ินได้” กลา่ วโดยคณะทำงานโครงการ สำหรับขอ้ เสนอแนะต่อการจา้ งงานทจ่ี ะนำไปส่คู วามยัง่ ยืนของพ้ืนท่ี ควรแกไ้ ขปญั หาการประชาชน ที่ถูกจ้างงานทำงานไม่ตรงกับพื้นที่มอบหมาย โครงการนี้ดำเนินงานในพื้นที่ตำบลในเวียง แต่จะต้องมีสอง ตำแหน่งถูกมอบหมายให้ไปดำเนินงานในอำเภออืน่ ประกอบกับไมไ่ ด้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานโดยตรงกบั การทำงานในระบบการปกครองส่วนท้องถน่ิ ของพืน้ ที่บา้ นเกิดของตน รปู ที่ 5-1 กลยทุ ธก์ ารบรหิ ารโครงการพ้ืนทตี่ ำบลในเวียง
121 ปัจจัยหรอื เง่อื นไขทีท่ ำใหพ้ ืน้ ท่ีประสบความสำเร็จ 1) ทรัพยากรบุคคล เช่น ผู้นำให้ความร่วมมือในการพัฒนา อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ดูแล โครงการ รวมทั้งผ้ปู ระกอบการ และชาวบ้านในชมุ ชน 2) ความสามารถและชำนาญของอาจารย์เจ้าของกิจกรรมในพื้นที่ รวมถึงความสามารถในการ รับมือแกไ้ ขปัญหาทีเ่ กิดข้ึน 3) ความเชี่ยวชาญของผู้ช่วยในการทำงานที่สามารถปฏิบัติงานร่วมกันได้ในพื้นที่ ๆ ได้รับ มอบหมาย กล่าวคือ นกั วิจยั ทอ้ งถิ่นมีส่วนชว่ ยอยา่ งมากในการดำเนนิ งานได้อยา่ งราบร่ืน 4) การมีตน้ ทุนดา้ นข้อมลู พื้นท่ี ทำใหม้ คี วามไดเ้ ปรียบในการพฒั นามากกวา่ ไดร้ บั มอบหมายให้ทำ ในพ้ืนท่ี ๆ ไมร่ ู้จัก 5) การมีตน้ ทุนดา้ นพ้นื ท่ี เนื่องดว้ ยมีการทำงานในพน้ื ทีม่ ากอ่ น สง่ ผลใหช้ ุมชนมีความไว้เน้ือเชื่อใจ ประสานงานกับชมุ ชนไดอ้ ยา่ งสะดวก และชมุ ชนมคี วามเตม็ ใจในการให้ความชว่ ยเหลอื ดำเนินกจิ กรรม รปู ที่ 5-2 ย้อนรอยเสน้ ทางสู่ความสำเร็จพนื้ ท่ีตำบลในเวยี ง
122 พนื้ ที่ตำบลบ้านกิว่ อำเภอแม่ทะ จงั หวัดลำปาง คณะทำงานโครงการ: ผศ.ศรชี นา เจริญเนตร มหาวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ศูนยล์ ำปาง บริบทของชมุ ชนพื้นทต่ี ำบลบ้านกิว่ สภาพพื้นที่ตำบลบ้านกิ่ว ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง อยู่ทางภาคเหนอื ของประเทศไทย โดยในอดีตมีชื่อว่าตำบลกิ่วแก้วทาสะเปาคำ ซึ่งชุมชนได้ถูกเรียกด้วยชื่อนี้มาเป็นระยะเวลานาน แต่ต่อมาได้มี กำนันโดยถือว่าเป็นผู้นำของตำบลในสมัยน้ันช่อื วา่ “ขนุ กิว่ คาม” จงึ ได้มีการเปลีย่ นช่อื จาก “ตำบลกิ่วแก้วทาสะ เปาคำ” เป็น “ตำบลบ้านกิ่ว” (วรดา วัชรพลชัย, 2563) เป็นชุมชนที่มีลกั ษณะกึ่งเมอื งก่ึงชนบท (Semi-Urban, Semi-Rural Society) ตำบลบ้านกิ่วในปจั จุบันประกอบไปด้วย 10 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านกิ่วหลวง บ้านนาต๋ม บ้านแม่เอิบ บ้านนากว้าวก่ิว บา้ นก่วิ ฮอ่ ง บา้ นหวั ทงุ่ บา้ นทา่ กลาง-ท่าใต้ บา้ นท่าเหนือ บา้ นเหล่า และบ้านกว่ิ พฒั นา ซง่ึ คำวา่ “กวิ่ ” ในภาษาพื้นถิ่น ท่มี าจากสภาพของพนื้ ทชี่ มุ ชนทเ่ี ป็นทอี่ ยู่อาศยั มีลักษณะเว้าแหวง่ ไปตามลำหว้ ยแมว่ ะ (วร ดา วชั รพลชยั , 2563; ศูนย์วจิ ัยเพ่อื เพม่ิ ผลผลิตทางเกษตร และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 2548) ซึ่งเนื้อที่ตำบลบ้านกิ่วมีพื้นที่ทั้งหมด 36,953.87 ไร่ คิดเป็นพื้นที่การเกษตรมากถึง 31,087.50 ไร่ มีจำนวน ประชากรจำนวน 3,443 คน โดยทรัพยากรทางธรรมชาติของตำบลบ้านกิ่ว พบว่า มีป่าชุมชนบ้านท่ากลาง ป่า ชุมชนบ้านนากว้าวกิ่ว ที่เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ป่าแม่จางตอนใต้ แหล่งน้ำธรรมชาติ คือ ลำน้ำแม่จาง จึงทำให้ พื้นที่ส่วนใหญ่ตัง้ อยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม และเหมาะสมในการทำการเกษตรกรรม (คณะทำงาน U2T ตำบลบ้านกิ่ว, สมั ภาษณ์ 24 ธันวาคม 2564) รปู ท่ี 6-1 แผนท่ีแสดงตำแหนง่ ทต่ี ัง้ ของตำบลบา้ นก่วิ และพ้นื ที่โดยรอบ ท่ีมา: ดดั แปลงจาก ศนู ยจ์ ัดการกล่มุ ปา่ สงวนแห่งชาตทิ ่ี 68 ป่าแมจ่ างตอนใต้ จงั หวดั ลำปาง (2558)
123 รปู ท่ี 6-2 ลำนำ้ แม่จาง ทม่ี า: บา้ นกวิ่ Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอพั เดท] (เข้าถงึ เมอ่ื 9 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-3 พ้นื ทีท่ ำนาข้าวในชุมชนตำบลบ้านก่ิว ท่มี า: บา้ นก่ิว Feel Good, [เฟซบกุ๊ วิดโี ออพั เดท, Video file] (เขา้ ถงึ เมอ่ื 9 มกราคม 2565) ตำบลบา้ นกว่ิ มพี ้ืนที่ในการทำนามากทสี่ ุด หากเขา้ ส่พู ื้นทีต่ ำบลบ้านก่ิวจะได้เห็นทุ่งนาทอดยาวสุด ลูกหูลูกตา ซึ่งเมื่อเข้าหน้าฝนเกษตรกรหรือชาวนาจะเริ่มการทำนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงปลายปี นอกจากนั้นสภาพพื้นที่ส่วนหนึ่งของตำบลบ้านกิ่วยังมีลักษณะเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านในพื้นท่ี สามารถเก็บเห็ดท่ีขึ้นตามธรรมชาตไิ ด้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดฝู นจะมเี ห็ดจำนวนมาก เช่น เห็ดโคนเล็ก และเหด็ ขมน้ิ ซง่ึ จะขน้ึ ตามป่าชมุ ชนทช่ี าวบ้านช่วยกนั อนุรักษ์ไวส้ ร้างเปน็ แหลง่ อาหารและสรา้ งรายได้จากการเก็บ เห็ดเพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ หากเข้าสู่พ้ืนทีใ่ นช่วงฤดูฝนจะสามารถเห็นร้านค้าขายเหด็ ของชาวบา้ นเปน็ จำนวน มาก (คณะทำงาน U2T ตำบลบ้านก่ิว, สัมภาษณ์ 24 ธนั วาคม 2564) ความอดุ มสมบูรณ์ของธรรมชาตเิ หล่านี้ทำ ให้ชาวบ้านในตำบลบ้านกิว่ สามารถเขา้ ถงึ แหล่งอาหารไดง้ ่าย และมีราคาถูก ทง้ั แหล่งอาหารท่ีมาจากแหล่งน้ำ ป่าชุมชน หรือแม้แต่ข้าวท่ีได้จากการทำนาเป็นจำนวนมาก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็น “ความมั่นคงทาง อาหาร” (food security) ในชุมชนตำบลบา้ นกิ่ว
124 รปู ที่ 6-4 ร้านขายผักพืน้ บ้านในตลาดกาดท่ากลาง ตำบลบา้ นกิ่ว ทีม่ า: กาดท่ากลาง บ้านกว่ิ , [เฟซบุ๊กรปู ภาพอัพเดท] (เข้าถึงเมื่อ 9 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-5 ผักพืน้ บ้านในตลาดกาดท่ากลาง ตำบลบ้านกวิ่ ท่ีมา: ดดั แปลงจาก, กาดท่ากลาง บา้ นกว่ิ , [เฟซบกุ๊ รูปภาพอัพเดท] (เข้าถงึ เม่ือ 9 มกราคม 2565) ในมิติของความเชื่อและศาสนานั้น คนในชุมชนตำบลบ้านกิ่วโดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มี ศาสนาสถานคือวัดทง้ั หมด 6 แห่ง รปู ทป่ี รากฏใหเ้ หน็ คอื เมอ่ื เขา้ สู่วันสำคญั ทางศาสนาจะมีชาวบา้ นจำนวนมาก ไปทำบุญที่วัด ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ (คณะทำงาน U2T ตำบลบ้านกิ่ว, สัมภาษณ์ 24 ธันวาคม 2564) แต่ ศาสนาก็หาใชท่ ั้งหมดของความเชื่อและความศรัทธา ซึ่งจากวรรณกรรมปริทัศน์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ตำบลบ้านกิ่วมี ความหลากหลายทางความเชื่อ มีการนับถือผีบรรพบุรุษ ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้าน มีการเข้าทรง มีการบวชป่า เลี้ยงผีต้นน้ำ ผีปู่ย่า ผีเข้าแฮก หรือในสถานการณ์วิกฤตของโรคโคโรนา 2019 ก็ยังปรากฏความเชื่อพื้นบ้านท่ี
125 หลากหลายในทางคติชนวิทยา (มนต์เทียน วังหล่อ และคณะ, 2553; วรดา วัชรพลชัย, 2563; ธิดารัตน์ วงศ์ จักรติ๊บ และคณะ, 2564) จึงทำให้เห็นว่าชาวบ้านในตำบลบ้านกิ่วมีความหลากหลายขององค์ความรู้ ชุดข้อมูล ประสบการณ์ของแต่ละชว่ งวยั รวมทง้ั เห็นชุดความคดิ ทีเ่ คารพนอบน้อมต่อธรรมชาติ อนั นำมาสู่วิถปี ฏิบัติของคน ในชมุ ชน รปู ที่ 6-6 ประเพณีวนั ออกพรรษาของชาวบา้ นตำบลบ้านกิว่ วดั บ้านก่วิ หลวง (ซ้าย) และวดั ป่าเพมิ่ พนู สามคั คี (ขวา) ในประเพณีทำบุญตกั บาตรเทโวในวันออกพรรษา ที่มา: ดัดแปลงจาก, บ้านกิว่ Feel Good, [เฟซบุก๊ รปู ภาพอัพเดท] (เข้าถึงเมือ่ 9 มกราคม 2565) การเข้าถึงบริการของรัฐในพื้นที่ตำบลบ้านกิ่ว ด้านการศึกษามีโรงเรียนกิ่วประชาวิทยา ตั้งอยู่ใน บ้านกิ่วหลวง เป็นโรงเรียนทีเ่ ปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศกึ ษาถงึ มัธยมศึกษาตอนต้น และบริการด้านสาธารณะ สขุ จะมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก่ิวหลวง โดยเปน็ สถานบริการระดับตำบล ในมติ ิสงั คมนั้น ชุมชน เกิดการย้ายถิ่นออกชั่วคราวของวัยทำงานเพื่อไปทำงานต่างพื้นที่ และการย้ายถ่ินของวัยรุ่นในการไปเรียนนอก พื้นที่ ส่งผลให้ภายในชุมชนเกิดครอบครัวแหวง่ กลาง (skipped generation family) อันเป็นผลจากการย้ายถน่ิ ของพ่อแม่ ในมิติด้านเศรษฐกิจคนในชุมชนสว่ นใหญ่มีหนี้สินจากการทำการเกษตร เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้มี รายไดแ้ ละเงินออมนอ้ ย หากกล่าวถึงในระดับการรวมกลุ่มทางสังคมของคนในชมุ ชน ถอื ได้ว่าตำบลบ้านก่ิวมีกลุ่มวิสาหกิจ ชุมชนที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาโดยพิเคราะห์จากปัญหาชุมชน และความต้องการของคนในพื้นที่ ส่งผลให้วิสาหกจิ ชมุ ชนมีความเข้มแขง็ และเปน็ ต้นแบบท่ดี ีได้ อาทิ “กลุ่มฮกั กรนี ” (Hug Green) ทเ่ี กิดจากตวั แทนของคนรุ่นใหม่ ที่คืนถิ่นสู่บ้านเกิด โดยมีหมุดหมายในการพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง ทั้งการพัฒนาด้านการเกษตร ผลิตภัณฑ์ การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาด้านการตลาด รวมไปถึงเผยแพร่แนวคิดเกษตรอินทรีย์เพื่อความยั่งยืนของ ส่ิงแวดลอ้ ม (วรดา วชั รพลชัย, 2563) “กลุ่มฮักน้ำจาง” ซง่ึ เปน็ กล่มุ วิสาหกิจทีเ่ ข้มแขง็ อีกกลมุ่ หนึง่ โดยเครือข่าย ถึงต่างประเทศ และสามารถติดต่อสื่อสารกับเครือข่ายด้วยสมาชิกในกลุ่ม ที่เกิดจากความพยายามในการ รวมกลมุ่ ของเกษตรกรในชมุ ชน ที่ตง้ั อยู่บนกระบวนทศั น์ในการขบั เคลือ่ นของกลุ่ม ว่าจะตอ้ งคนื ความสมดลุ ใหก้ ับ ธรรมชาติ รักษาวถิ ีดงั้ เดมิ ของชุมชน และคุณภาพชีวติ ของคนในชมุ ชนตอ้ งดีขึ้น (คณะทำงาน U2T ตำบลบา้ นกว่ิ ,
126 สัมภาษณ์ 24 ธันวาคม 2564; บุญฑวรรณ วิงวอน และคณะ, 2564) นอกจากนั้นยังมีกลุ่มการท่องเที่ยวโดย ชุมชน และกลุม่ อ่นื ๆ ในชมุ ชน ดงั นนั้ จดุ เดน่ ของตำบลบา้ นก่ิว การมีทรัพยากรทางธรรมชาตทิ ่ีอดุ มสมบรู ณ์ บริบทแวดลอ้ มชุมชน ตำบลบ้านกิ่ว มีอาณาบรเิ วณทมี่ ีพน้ื ท่ปี า่ แมน่ ้ำ ลำหว้ ย และแหล่งน้ำตามธรรมชาตอิ ่ืน ๆ กอปรกบั มีพนื้ ทใี่ นการ ทำการเกษตรมากกว่า 3 หมืน่ ไร่ สง่ ผลใหพ้ ืน้ ทีต่ ำบลบ้านกิ่วมีแหล่งอาหารในการทำมาหาเล้ียงชีพได้ตลอดท้ังปี รวมถึงการรวมกลมุ่ ของคนในชุมชนท่ีเข้มแข็ง มีศักยภาพในการพ่งึ พาตนเองได้ และถึงแม้ชุมชนบ้านกิ่วจะมีจุด แขง็ และมศี กั ยภาพในการพฒั นา “ชมุ ชนที่เค้ามีความเข้มแข็งอยูแ่ ล้วถ้าเราไมต่ อ้ งพาเค้าไปเค้ากส็ ามารถไปด้วยตวั ของตัวเองได้ แต่ วา่ ตอนน้ีเทา่ ท่ีคดิ ว่าคือชุมชนบา้ นกวิ่ เปน็ ชมุ ชนท่ีเกง่ ” คณะทำงาน U2T ตำบลบ้านกิ่ว (สัมภาษณ,์ 24 ธนั วาคม 2564) แตใ่ นทางตรงกนั ข้ามยงั คงมีข้อจำกดั บางประการของชมุ ชน อนั เน่อื งมาจากปัจจัยภายนอกชมุ ชนท่ี เข้ามาเป็นปัจจัยในการชะงักงันของการขับเคลือ่ นชุมชน เช่น ราคาสินค้าเกษตร การย้ายถิ่นของแรงงาน ซึ่งสง่ิ เหล่าน้ีทำให้สภาพสังคมและเศรษฐกจิ เปล่ยี นไป “คนบ้านกิ่วไม่ค่อยกลับบ้าน...ราคาขา้ วกต็ ่ำ ทีมของเราก็อยากจะทำให้บา้ นกิ่วเป็นบ้าน และต้อง เป็นบ้านที่ทุกคนกลบั มาอยไู่ ด้จรงิ ๆ” คณะทำงาน U2T ตำบลบา้ นก่ิว (สมั ภาษณ,์ 24 ธนั วาคม 2564) จากการสมั ภาษณแ์ ละการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกับพน้ื ที่ ทำให้เห็นว่าชมุ ชนตำบลบ้านก่ิวมีจุด แขง็ คอื ทรพั ยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งอาหารตามธรรมชาตทิ งั้ ในป่า เขา และแม่นำ้ รวมถงึ แหล่ง อาหารท่ีชาวบ้านผลติ เอง เช่น การทำการเกษตร การปลูกพชื ผกั สวนครัว นอกจากน้ันยงั มีความเชื่อท่ียังคงมอง “ธรรมชาติเป็นใหญ่” อันนำมาสู่วิถีปฏิบัติของคนในชุมชน เช่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ การมี พธิ ีกรรมที่เก่ยี วข้องกับธรรมชาติ ถงึ แม้วา่ ในยคุ โลกาภวิ ตั นจ์ ะเกิดการย้ายถ่ินออกของคนในชุมชนไปบา้ ง แต่สงิ่ หน่ึงที่สะท้อนให้เห็น ว่าชุมชนยังคงมีปัจจัยบางอย่างที่สามารถทำให้คนคืนถิ่นนอกจากปัจจัย “พื้นที่” สิ่งนั้นคือ “คนในชุมชน” ท่ี เปรียบเสมอื นเปน็ ฟนั เฟอื งท่ีสำคัญอยา่ งหนึ่งของพน้ื ท่ี ดังน้นั คนในชมุ ชนจงึ อย่ใู นฐานะท่เี ป็นผกู้ ระทำการสำคัญใน พื้นท่ี อันจะนำการรวมกลุ่มทม่ี กี ระบวนทศั น์ในการพฒั นาชุมชนทแี่ ตกต่างกนั ออกไปในรปู แบบอตั ลักษณ์ของกลุ่ม แตก่ ระนน้ั การเกิดกลุ่มในชมุ ชนท่ีมคี วามเข้มแขง็ จงึ เปน็ อีกปจั จยั หน่ึงทจี่ ะสามารถดึงจุดเด่นเชงิ พื้นท่อี อกมาได้ ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงจุดเด่นและข้อจำกัดในพื้นที่ตำบลบ้านกิ่วนั้น จึงได้เกิดข้อคำถามขึ้นว่า เพราะเหตุใดชาวนา ที่เป็นคนทำงานในระบบอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนในสังคม กลับ กลายเป็นว่าคนทำงานเหลา่ นี้ต้องติดกับดักรายได้น้อย และเพราะเหตุใดเมื่อชาวนามีการย้ายถิ่นเพือ่ ทำงานใน พื้นที่เมือง การกลับคืนถิ่นไปทำนาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายแล้วในฐานะ “เรา” ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมจะมี วธิ กี ารใดทจี่ ะตอบคำถามและรเิ ร่มิ แก้ไขปญั หาเหล่าน้ีได้บา้ ง
127 สำหรับการเข้าสู่พื้นท่ีจดั ทำโครงการ การเข้าสู่ชุมชนในเร่ิมต้นก่อนการเกิดโครงการ โดย ผศ.ศรี ชนา เจริญเนตร (อาจารย์ที่รับผิดชอบตำบล) ได้มีโอกาสเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์และศึกษาดูงานจากกลุ่มวิสาหกจิ ชุมชนฮกั กรนี จงึ เปน็ จดุ เร่มิ ต้นของการได้ร้จู กั กลมุ่ ทางสังคมในชมุ ชนตำบลบา้ นก่วิ มากขึ้น การไดร้ ู้จักพื้นทช่ี มุ ชน เบอื้ งตน้ จึงทำใหส้ ามารถเขา้ ใจและรูจ้ ักชมุ ชนไดเ้ พยี งเบือ้ งตน้ เมื่อเกิดโครงการจึงเป็นโอกาสทีด่ ีที่ได้นำคณะทำงานทั้งหมดเข้าไปมีปฏิสมั พันธ์กับชุมชน เข้าไป ปฏิบัติการอย่างมสี ว่ นร่วม เห็นปฏิบัติการในชีวติ ประจำวันในพืน้ ที่ของกลุ่มคนต่าง ๆ ท่ีอยูใ่ นพ้ืนท่นี ั้น การเข้าไป “จมจ่อม” ในพ้ืนทท่ี ำใหค้ ณะทำงานไดเ้ ห็นปรากฏการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ ในฐานะคนในพ้ืนท่ี และถอยออกมามองในฐานะ ทเ่ี ปน็ คนนอกดว้ ยเชน่ กนั ดังน้ันการเข้าสพู่ ้นื ทขี่ องคณะทำงานจงึ มใิ ชก่ ารเขา้ ไปอย่างผิวเผินแต่เข้าไปพิจารณาถึง ปฏิบตั กิ ารต่าง ๆ อย่างลุ่มลกึ โดยใช้วิธกี ารพดู คยุ อย่างไม่เป็นทางการมากนัก เชน่ ชวนคุยเรื่องราวในแต่ละวัน ชวนพดู คุยถงึ ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แตข่ อ้ มูลทมี่ ีรายละเอียดเหลา่ น้ีล้วนสะท้อนและชวนให้ทำความเข้าใจคนใน ชมุ ชนได้งา่ ยข้นึ ทำใหท้ ราบถึงปญั หาและความต้องการตา่ ง ๆ อาทิ ความตอ้ งการของกลมุ่ เกษตรกรพ้นื ท่ี ความ ตอ้ งการจดสินคา้ เกษตรอนิ ทรีย์ และก่อตงั้ วสิ าหกิจ เป็นต้น ดังนัน้ หากคณะทำงานมสี ่วนร่วมกับคนในชุมชน จึง ไมเ่ กินความสามารถท่ีจะทำความเขา้ ใจบรบิ ทของชุมชนและวิเคราะหป์ ญั หา รวมถึงความต้องการของชมุ ชนได้ “พอลงไปเราก็ไปคุยกับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ พอเราคุยไปก็เริ่มรู้จักกับคนในชุมชนมากขึ้น เราก็คุยกัน นอกรอบแลว้ กเ็ ชอ่ื มโยงในสว่ นตา่ ง ๆ ไปน่งั พดู คุยปญั หากนั ” คณะทำงาน U2T ตำบลบ้านกวิ่ (สมั ภาษณ,์ 24 ธนั วาคม 2564) การดำเนินกจิ กรรมของพื้นทช่ี ุมชนตน้ แบบ กอ่ นการดำเนินกิจกรรม คณะทำงานไดใ้ ช้ขอ้ มลู จากการลงพนื้ ท่ี โดยคณะทำงานพบวา่ สงิ่ ท่ีอยู่ใกล้ ตัวชาวบ้าน และชาวบ้านสามารถสร้างผลิตได้มากที่สุด คือ “ข้าว” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าวคือผลผลิตทาง การเกษตรท่ีสำคญั และมผี ลผลิตเพ่ือสร้างรายไดใ้ ห้ประเทศเปน็ จำนวนมหาศาลตอ่ ปี แตช่ นิดพันธุ์ข้าวในชุมชน บ้านกิ่วท่ีสามารถให้ผลผลิตไดอ้ ย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยคือ “ข้าวกำ่ นาสีนวล” ซึ่งไมใ่ ชพ่ ันธุข์ ้าวของตำบลบา้ นกิ่ว แต่เป็นพันธุ์ข้าวที่สามารถปลูกได้ดีในพ้ืนที่ของตำบลบ้านกิ่ว เนื่องจาก ทนแล้ง ทนต่อศัตรูพืช และได้ผลผลติ ที่ เตม็ เม็ดเตม็ หน่วย นอกจากน้นั ข้าวก่ำนาสีนวลยงั ได้คุณค่าทางโภชนาการทีส่ ูงกว่าข้าวชนิดอ่ืน ๆ ดังน้ันแนวคิด การแปรรปู ขา้ วจงึ ถูกริเริ่มจากคนในชมุ ชน ท่ีเสนอว่าการผลิตขา้ วโดยท่ีไมม่ ีผลติ ภณั ฑ์ใหม่ ๆ ก็เหมือนกับการย่ำ อยู่ท่เี ดมิ ดังนัน้ เมื่อแนวคดิ ของคนในพนื้ ทีซ่ ่งึ มีกระบวนทัศนท์ ี่เปลย่ี นแปลง (paradigm ship) เกี่ยวกับข้าว ว่าไม่ อยากใหต้ ิดกบั ดกั เดิม ๆ ดงั นัน้ การเกดิ ผลิตภณั ฑใ์ หม่ ๆ จึงเปน็ อีกหนทางหน่งึ ท่จี ะชว่ ยใหม้ รี ายไดเ้ พม่ิ ข้ึนได้ ซึ่ง ข้อมูลท่ไี ด้จากคนในชมุ ชนทำให้คณะทำงานได้นำมาตอ่ ยอดทางความคิด โดยมอี าจารย์ประจำตำบลคอยควบคมุ และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ กิจกรรมที่โดดเด่นของคณะทำงานในพื้นที่ตำบลบ้านกิ่ว คือ การแปรรูปข้าวก่ำนาสีนวลเป็นแปง้ และใชป้ ระโยชน์จากแปง้ ในการเป็นผลติ ภณั ฑ์ต้ังตน้ ของสินค้าตัวอ่นื ๆ เชน่ เมด็ ไข่มุก เทยี นหอม สบู่ และแป้ง โดว์สำหรับเด็ก นอกจากนั้นยังมีการสร้างผลิตภัณฑใ์ หมเ่ พื่อเป็นการยกระดับผลติ ภัณฑ์ชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์ จากจ้งิ โกร่ง และผลติ ภัณฑจ์ ากผา้ งาขีม้ ่อน ซึง่ จะได้กล่าวต่อไปในส่วนของกิจกรรมท่ีเกดิ ขนึ้ ในพ้นื ที่
128 การเกิดขึ้นของโครงการฯ ทางคณะทำงานได้ออกแบบกรอบแนวคิดในการดำเนินกิจกรรม ซ่ึง ประกอบดว้ ย 4 แนวคิด คือ (1) การดแู ลสขุ ภาวะของคนในชุมชน (2) การสรา้ งเศรษฐกจิ หมนุ เวียนในชุมชน (3) การยกระดับสินค้าอย่างสร้างสรรค์ และ (4) การผลติ สนิ ค้าและผลิตภณั ฑด์ ว้ ยอตั ลักษณ์ชุมชน ทำใหค้ ณะทำงาน ตำบลบ้านก่วิ มีกิจกรรมในโครงการท้ังหมด 11 กจิ กรรม ดังน้ี กิจกรรมที่ 1: การจัดกิจกรรมสัปดาห์ U2TTU สู้ภัยโควิด โดยคณะทำงานตำบลบ้านกิ่ว ภายใต้ โครงการ U2T ได้จัดเตรียมการบรรจุหน้ากากอนามัย กระจังป้องกันใบหน้า (Face Shield) และ เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ (Alcohol Gel) เพื่อเตรียมดำเนินการจัดกจิ กรรม “U2TTU สู้ภัยโควิด” เพื่อส่งเสริมการป้องกนั การ ระบาดของโรคโคโรนา 2019 ซึ่งมีการรณรงค์ในคนในชุมชนรู้จักวิธีการป้องกันและดูแลตนเอง รณรงค์การฉีด วัคซีนสู้ภัยโคโรนา 2019 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และสร้างพื้นที่ปลอดภัยของชุมชนด้วยการแจกจ่ายหน้ากาก อนามัย เจลแอลกอฮอล์ และแผ่นพับความรู้เกี่ยวกบั โรคโคโรนา 2019 ให้กับคนในชุมชน ในพื้นที่ตำบลบา้ นกวิ่ ทงั้ 10 หมบู่ ้าน และมอบอปุ กรณ์ปอ้ งกันใหก้ ับพ้ืนที่ทางสังคม ท่ีเปน็ พืน้ ทใี่ นการรวมตัวและมีปฏิสัมพันธ์ของคน ในชมุ ชน เช่น ตลาดสด วัด โรงเรยี น ผลลัพธ์ที่ได้จากกิจกรรม คือ คนในชุมชนมีความรู้ในการป้องกันโคโรนา 2019 และตระหนักรู้ถึง การสรา้ งมคิ ้มุ กนั หมู่ เชน่ การฉีดวัคซนี การลงทะเบยี นเพ่ือเขา้ ถึงบรกิ ารของรฐั ในวิกฤตโคโรนา 2019 รปู ท่ี 6-7 การบรรจอุ ุปกรณ์ป้องกนั โคโรนา 2019 เช่น หนา้ กากอนามัย และ Face Shield ท่ีมา: บา้ นก่ิว Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอพั เดท] (เข้าถึงเมอื่ 11 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-8 การดำเนนิ กิจกรรมสปั ดาห์ U2TTU สูภ้ ัยโควดิ ทม่ี า: ดัดแปลงจาก, บ้านกิ่ว Feel Good, [เฟซบกุ๊ รูปภาพอัพเดท] (เข้าถงึ เมอ่ื 11 มกราคม 2565)
129 กจิ กรรมท่ี 2: อบรมให้ความรเู้ ก่ยี วกับโรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 โดยมีกลมุ่ เปา้ หมายคือคนใน ชุมชนตำบลบ้านก่ิว เพือ่ สง่ เสริมการปอ้ งกันการติดเชอ่ื ในชมุ ชนและส่งเสริมการสรา้ งชุมชนปลอดภัยจากการติด เช้อื โคโรนา 2019 นำโดยวิทยากรผู้ใหค้ วามรู้ ไดแ้ ก่ นางสมคดิ หนอ่ คำ ผูอ้ ำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลบ้านกิ่ว และนายชินภัทร กรรเชียง เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน โดยคาดหวังผลลัพธ์ให้ผู้เข้าร่วม กิจกรรมเขา้ ใจและเห็นความสำคัญของการระบาดของโคโรนา 2019 รวมถงึ นโยบายของรฐั ที่ส่งเสรมิ และผลักดัน ใหเ้ กดิ ภมู คิ ุ้มกันหมู่ เพอื่ ปอ้ งกนั การแพร่ระบาด และลดขนาดของความรุนแรงของโรคโคโรนา 2019 รปู ท่ี 6-9 การให้ความร้เู กย่ี วกับโรคโคโรนา 2019 โดยวิทยากรจากรพ.สต.บ้านก่วิ ที่มา: ดัดแปลงจาก, บ้านก่วิ Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเม่ือ 11 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-10 คนในชุมชนท่ีเข้ารว่ มกิจกรรม (ท่มี า: บา้ นก่ิว Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอพั เดท] (เข้าถึงเมือ่ 11 มกราคม 2565) กจิ กรรมท่ี 3: การทำเมด็ ไข่มกุ จากขา้ วกำ่ สนี านวลของตำบลบา้ นกวิ่ เป็นการจัดอบรมเพือ่ ตอ่ ยอด สู่การพัฒนาทักษะการทำไข่มุกจากแป้งข้าวก่ำนาสีนวล โดยมี ผศ.บุศราภา ลีละวัฒน์ อาจารย์สาขาวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รงั สิต ในการให้ความรู้ และน.ส.รัฐนันท์
130 ดิลกกุล เปน็ วิทยากรอบรมการทำเมด็ ไขม่ ุก ซ่ึงผลทีไ่ ด้รับคอื มีองคค์ วามรู้ใหมท่ ส่ี ามารถนำไปพัฒนาสัมมาอาชพี ได้ และไดผ้ ลติ ภัณฑ์รูปแบบใหม่จากการแปรรูปข้าวกำ่ นาสนี วล รปู ที่ 6-11 กิจกรรมอบรมการทำเม็ดไขม่ กุ จากแปง้ ข้าวกำ่ นาสนี วล ที่มา: ดดั แปลงจาก, บา้ นก่ิว Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอพั เดท] (เขา้ ถงึ เมื่อ 11 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-12 ภาพสอื่ ประชาสัมพนั ธก์ จิ กรรม (ซา้ ย) และสอ่ื จัดจำหนา่ ยผลิตภณั ฑ์ชดุ ทำเมด็ ไข่มุก (ขวา) ท่ีมา: ดดั แปลงจาก, บ้านกว่ิ Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอัพเดท] (เข้าถงึ เม่ือ 11 มกราคม 2565) กิจกรรมท่ี 4: การทำเทยี นหอมและสบู่ จากข้าวก่ำนาสนี วลของตำบลบ้านกิ่ว โดยมีวัตถุประสงค์ คือการสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นในรูปแบบใหม่ ซึ่งเป้าประสงค์ยังมีความต้องการให้กลุ่มเกษตรกรและคนใน ชุมชน มีความร้ใู นการแปรรปู ข้าวก่ำนาสีนวล และเรียนรู้วธิ กี ารเพมิ่ อายุการใช้งานให้กับผลติ ภณั ฑ์ รวมถงึ พฒั นา ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ตอบรับกับความทันสมัยเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น และ กิจกรรมนี้ยังช่วยให้กลุ่มเกษตรกรและคนในชุมชน มีทางเลือกในการสร้างอาชีพเพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่ได้รับ คือ ผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรมสามารถมคี วามรู้ในการทำเทยี นหอมและสบู่ ซึ่งในปัจจุบนั คนในชมุ ชนมีการผลิตสบู่และเทียน หอมเพ่ือออกมาจดั จำหน่าย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ทผี่ ่านมา ได้ผลตอบรบั จากกลมุ่ ลูกค้า และนำไปเป็นของขวัญ ในชว่ งเทศกาล
131 รปู ที่ 6-13 กิจกรรมการทำเทยี นหอม (ซา้ ย) และสบู่ (ขวา) จากข้าวกำ่ นาสีนวล ที่มา: ดดั แปลงจาก, บา้ นกิ่ว Feel Good, [เฟซบ๊กุ รปู ภาพอพั เดท] (เข้าถงึ เมื่อ 12 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-14 ภาพสือ่ ประชาสมั พันธ์กิจกรรม และสือ่ จัดจำหนา่ ยผลิตภัณฑ์ ทม่ี า: ดัดแปลงจาก, บา้ นกว่ิ Feel Good, [เฟซบกุ๊ รูปภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเม่อื 11 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-15 เทียนหอมและสบู่ จัดแสดงและจำหน่ายในงานธรรมสุข ณ โรงแรมเทวราช จงั หวดั นา่ น ทม่ี า: ดัดแปลงจาก, บา้ นกว่ิ Feel Good, [เฟซบ๊กุ รปู ภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเม่ือ 12 มกราคม 2565)
132 กิจกรรมที่ 5: อบรมเชิงปฏิบตั ิการเรื่อง “เกษตรปลอดภัย” ด้วยมุ่งเห็นว่าการทำการเกษตรในยุค ปัจจุบนั มีการมุง่ เนน้ การผลติ เพอ่ื การค้าขาย ส่งผลใหเ้ กิดการเร่งรดั โดยการใช้สารเคมี ซงึ่ ส่งผลเสยี ตอ่ ทรพั ยากร ทางธรรมชาติและสภาพแวดล้อม นอกจากนั้นยังส่งผลเสียต่อสุขภาวะของผู้บริโภค ดังนั้นการจัดอบรมเกษตร ปลอดภยั จะวา่ ดว้ ยเรือ่ งการสรา้ งองค์ความรูเ้ กย่ี วกบั เกษตรปลอดภัย ความรู้เร่ืองกลา้ พันธ์ุไม้ ความร้เู บอ้ื งต้นดิน และปุ๋ย และองค์ความรู้ในเรื่องอื่น ๆ เพื่อยกระดับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในตำบลบ้านกิ่วให้มีความ ทันสมัย และปลอดภัยจากสารพิษ ซึ่งในอนาคตอาจมิได้หยุดแค่บนฐานคิด “ความมั่นคงทางอาหาร” และ “ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม” แต่อาจเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในชุมชนตามแนวคิด “อธิปไตยทางอาหาร (Food Sovereignty)” ได้ รปู ท่ี 6-16 ภาพสือ่ ประชาสมั พันธก์ จิ กรรมเกษตรปลอดภัย ทมี่ า: บา้ นกิ่ว Feel Good, [เฟซบ๊กุ รูปภาพอพั เดท] (เขา้ ถึงเมื่อ 12 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-17 ภาพกจิ กรรมการอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการเร่ือง “เกษตรปลอดภัย” ที่มา: ดดั แปลงจาก, บา้ นก่ิว Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอัพเดท] (เข้าถึงเม่อื 12 มกราคม 2565)
133 กิจกรรมที่ 6: อบรมเชิงปฏิบัติการ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism)” มี แนวคิดริเริ่มจากความต้องการให้คนในชุมชนที่มีความสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีปฏิสัมพันธ์และหารือและ เสนอความคิดเห็นต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชน ตำบลบ้านกิ่ว เพื่อวางรากฐานให้ชุมชนพัฒนา สถานท่ที ่องเท่ียวในชมุ ชนที่สามารถดึงดูดนักท่องเทีย่ วได้ และสามารถสรา้ งรายไดใ้ หแ้ ก่ชมุ ชน รวมถงึ มีศักยภาพ ในการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนรูปแบบอื่น ๆ ที่มาจากทุนในชุมชน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ คนในชุมชนมีความ เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชนมากขึ้น ได้แนวทางและการพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชน นอกจากนั้น คณะทำงานตำบลบ้านกิ่วได้เส้นทางท่องเที่ยวในชุมชน “บ้านกิ่ว FEEL GOOD” ในการประชาสัมพันธ์การ ทอ่ งเทีย่ วในชุมชน รปู ที่ 6-18 ภาพสอ่ื ประชาสัมพันธ์กิจกรรมอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการการทอ่ งเท่ียวโดยชุมชน (ที่มา: บา้ นกว่ิ Feel Good, [เฟซบุ๊กรูปภาพอพั เดท] (เขา้ ถึงเมื่อ 12 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-19 ภาพกจิ กรรมการอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารการท่องเทย่ี วโดยชุมชน ณ หอ้ งประชมุ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลบ้านก่ิว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ที่มา: ดัดแปลงจาก, บ้านก่วิ Feel Good, [เฟซบกุ๊ รูปภาพอพั เดท] (เข้าถึงเมอื่ 12 มกราคม 2565)
134 รปู ที่ 6-20 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ วชุมชนตำบลบ้านกว่ิ ทีม่ า: คณะทำงานโครงการ U2T ตำบลบ้านก่ิว (2564) กิจกรรมที่ 7: อบรมการปฏิบัติการเกี่ยวกับการสร้างอาชีพใหม่ “ผลิตภณั ฑ์จิ้งโกร่ง”เกิดจากการ มองเห็นชอ่ งทางในการเพิ่มมูลค่าใหก้ บั จ้ิงโกร่ง ซึ่งเป็นแมลงที่ตัวใหญ่กวา่ จิง้ หรีด ปีกและตัวไม่แขง็ บริโภคงา่ ย เนื่องจากจิ้งโกร่งมีความมันกว่าจิ้งหรีด ทำให้นิยมนำมาประกอบอาหาร ซึ่งในชุมชนบ้านกิ่วมกี ารเพาะเลีย้ งจิ้ง โกร่งเป็นทุนเดิม จึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจิ้งโกร่ง โดยเริ่มจากโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เกีย่ วกับการสร้างอาชีพใหม่ คอื การทำบราวนี่จ้งิ โกรง่ เพือ่ ส่งเสรมิ การอาชีพแบบใหม่และสง่ เสรมิ การเพาะเลย้ี งจิ้ง โกร่งให้เปน็ สินค้าแบบใหมข่ องตำบลบา้ นก่วิ ซง่ึ ผลลัพธ์จากกิจกรรมคอื ไดค้ วามรเู้ ก่ียวกับการเพาะเลยี้ ง การแปร รูป และช่องทางจำหน่าย และในปัจจุบัน (ธันวาคม 2564) ได้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ในชุมชนที่มาจากจิ้งโกร่ง คือ ขา้ วเกรยี บจง้ิ โกรง่ ทมี่ กี ารผลติ และจดั จำหน่ายจากชมุ ชน รปู ท่ี 6-21 ภาพสอื่ ประชาสัมพันธก์ จิ กรรมอบรมเกยี่ วกับการสรา้ งอาชีพใหม่ “ผลติ ภณั ฑ์จิง้ โกรง่ ” ที่มา: บ้านกิ่ว Feel Good, [เฟซบกุ๊ รปู ภาพอพั เดท] (เข้าถงึ เม่อื 12 มกราคม 2565)
135 รปู ท่ี 6-22 ภาพกจิ กรรมการอบรม (ซา้ ย) และผลติ ภณั ฑ์ข้าวเกรียบจ้ิงโกรง่ (ขวา) ทม่ี า: ดัดแปลงจาก, บา้ นกว่ิ Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเมื่อ 12 มกราคม 2565) กิจกรรมที่ 8: อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร “การจดั การขยะในชมุ ชนโดยการใชห้ ลกั 4R” เปน็ การอบรมเชิง ปฏบิ ัตกิ าร บนแนวคิดการสง่ เสรมิ ด้านสง่ิ แวดล้อมและระบบเศรษฐกจิ หมนุ เวียน (Circular Economy) โดนริเริ่ม จากการจัดการขยะในชุมชน โดยการใช้หลัก 4R โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กและเยาวชน โรงเรียนกิ่วประชา วิทยา ได้รับการสนบั สนุนวิทยากรจากเทศบาลเขลางค์นคร จงั หวัดลำปาง โดยจดั ข้ึนในวันท่ี 23 กันยายน พ.ศ. 2564 และผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินกิจกรรม คือ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทและเห็น ความสำคญั รวมท้งั รูว้ ธิ กี ารจัดการขยะจากตน้ ทางเพ่มิ ขน้ึ รปู ท่ี 6-23 ภาพกจิ กรรมการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร การจดั การขยะในชมุ ชนโดยการใช้หลัก 4R (ท่ีมา: ดดั แปลงจาก, บ้านก่ิว Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเม่อื 12 มกราคม 2565) กิจกรรมที่ 9: อบรมให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาวะชุมชน “ส่งเสริมการออกกำลังกายเพือ่ สขุ ภาพของผสู้ งู อาย”ุ เปน็ การสง่ เสรมิ สุขภาวะชมุ ชนโดยมีกลมุ่ เป้าหมายคอื ผสู้ ูงอายุในชุมชน และปฏิเสธไมไ่ ดว้ า่ สังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคมแบบหนึ่ง ดังนั้นคณะทำงานจึงได้เล็งเห็นถึง ประเด็นเรื่องสุขภาวะของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแนวทางพ้ืนฐานท่ีจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายไุ ด้ ส่งผลใหเ้ กิด กิจกรรมการส่งเสรมิ การออกกำลังเพือ่ สขุ ภาพของผู้สูงอายุ เพื่อสรา้ งรา่ งกายที่แข็งแรงและออกกำลังกายโดยใช้ “หนังยางยืดเพื่อสุขภาพ” ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการคือ ผู้สูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น นอกจากนัน้ ยงั ทำใหผ้ ู้สูงอายุไดม้ ปี ฏสิ ัมพันธท์ างสงั คมในชุมชน
136 รปู ที่ 6-24 ภาพส่ือประชาสมั พันธ์กจิ กรรมอบรมใหค้ วามรแู้ ละสง่ เสรมิ การออกกำลงั กายเพ่ือสุขภาพของผู้สงู อายุ (ทีม่ า: บา้ นกวิ่ Feel Good, [เฟซบ๊กุ รปู ภาพอัพเดท] (เข้าถงึ เมอื่ 12 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-25 คนในชมุ ชนท่ีเขา้ รว่ มกจิ กรรม ทม่ี า: บ้านกว่ิ Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอัพเดท] (เขา้ ถึงเมอ่ื 12 มกราคม 2565) กิจกรรมที่ 10: อบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร “การมัดยอ้ มสผี า้ จากสธี รรมชาติ และการประทบั ลายผา้ จาก ธรรมชาตใิ นชมุ ชนบา้ นกว่ิ ” ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ การทำมดั ยอ้ มผ้าด้วยสีธรรมชาติ และการป๊ัมผ้าด้วย ลวดลายพืชพรรณจากชุมชนบ้านก่ิว เพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพและสร้างรายได้จากการยกระดับผลติ ภัณฑ์ของ ชุมชนให้มีคณุ คา่ มากย่ิงขึน้
137 รปู ท่ี 6-26 ภาพสอื่ ประชาสมั พนั ธ์กจิ กรรมการมัดยอ้ มสผี า้ จากสีธรรมชาติ ทมี่ า: บ้านกว่ิ Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอพั เดท] (เข้าถงึ เมือ่ 12 มกราคม 2565) รปู ท่ี 6-27 ภาพจากการดำเนินกจิ กรรม ท่มี า: ดัดแปลงจาก บ้านกิว่ Feel Good, [เฟซบุก๊ รูปภาพอัพเดท] (เขา้ ถงึ เมอื่ 12 มกราคม 2565) กจิ กรรมท่ี 11: โครงการการทอ่ งเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรค์ “กาดหมวั้ ฮ่วมใจ๋ ตลาดจำหนา่ ยของดชี มุ ชน ท่องเทยี่ ว ตำบลบา้ นกิ่ว” กิจกรรมทท่ี ำงานร่วมกนั ระหวา่ งคณะทำงาน U2T ตำบลบา้ นกิว่ กลมุ่ ฮักกรนี และกลมุ่ ฮักน้ำจาง ที่เป็นกลุ่มที่ถือว่ามศี ักยภาพและมีความเข้มแข็งในชุมชน โดยมีกิจกรรมการทำผ้ามัดย้อมและเทียน หอม รวมถึงเสวนาแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นในหวั ขอ้ “การทอ่ งเทีย่ วเพื่อพัฒนาชุมชนโดยมีส่วนร่วมของตำบลบ้าน กว่ิ ” เพือ่ เป็นแนวทางพฒั นาใหช้ มุ ชน กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมในพื้นที่ ที่แสดงให้เห็นภาพรวมตลอดการดำเนินโครงการ เห็น ผลลัพธ์และผลกระทบจากการดำเนินงาน รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ให้ชุมชนแสดงศักยภาพและสิ่งที่ต้องการเสนอ ผลิตภัณฑท์ ่ีมีอยใู่ นชุมชน เชน่ อาหาร วัฒนธรรม ผลติ ภณั ฑ์จากภูมปิ ัญญาชาวบ้าน และผลติ ภณั ฑแ์ ปรรปู ใหม่ท่ี ได้จากการทำโครงการ
138 รปู ที่ 6-28 ภาพส่ือประชาสัมพนั ธ์กิจกรรมกาดหม้วั ฮว่ มใจ๋ ทม่ี า: บา้ นกิว่ Feel Good, [เฟซบุ๊กรปู ภาพอัพเดท] (เข้าถงึ เม่อื 12 มกราคม 2565) รปู ที่ 6-29 ภาพบรรยากาศการดำเนินกิจกรรมกาดหม้ัวฮว่ มใจ๋ ที่มา: ดดั แปลงจาก บา้ นกว่ิ Feel Good, [เฟซบกุ๊ รูปภาพอพั เดท] (เขา้ ถงึ เมอ่ื 12 มกราคม 2565)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214