93 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ครอบครัว พบว่า ทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวด เกล้า ผ่านเกณฑ์การจดั ตั้งของสานกั งานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว (Lampang Provincial Public Health Office, 2017) ดังนั้น การถอดบทเรียนการจัดบริการทีมหมอครอบครัวและบทบาทพยาบาล วิชาชีพในทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า จะ เป็นการอธิบายเก่ียวกับการจัดรปู แบบบริการในทีมหมอครอบครวั ทีผ่ ่านเกณฑ์และบทบาทพยาบาลวิชาชีพในการ ปฏิบัติงานตามรูปแบบของทีมหมอครอบครัวนี้ ผลของการศึกษาอาจใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการกาหนดแนว ปฏิบัตกิ ารพยาบาลของพยาบาลวชิ าชีพในการทางานรว่ มกบั ทีมสหวิชาชีพได้เหมาะสมยิง่ ขน้ึ วัตถปุ ระสงค์ 1) เพือ่ ศึกษารปู แบบการจัดบริการทมี หมอครอบครวั ในศนู ยส์ ุขภาพชุมชนเขตเมอื ง โรงพยาบาลสง่ เสริม สขุ ภาพตาบลบา้ นศรหี มวดเกลา้ 2) เพื่อศึกษาบทบาทพยาบาลวชิ าชพี ในทมี หมอครอบครวั ตามรูปแบบการจัดบริการทีมหมอครอบครัว ในศูนย์สขุ ภาพชมุ ชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบา้ นศรีหมวดเกลา้ ขอบเขตกำรวจิ ยั ขอบเขตงานวจิ ัยน้ี เพอ่ื ศกึ ษารูปแบบการจัดบริการทีมหมอครอบครวั และบทบาทพยาบาลวิชาชีพในศูนย์ สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่าง เดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ.2563 วิธีดำเนินกำรวิจยั การวิจัยน้ีเป็นวิจัยคุณภาพโดยใช้การถอดบทเรียน มุ่งค้นหาความรู้ที่ฝังลึก (tacit knowledge) จากการ ปฏิบัติให้ผู้ท่ีมีความรู้อธิบายความจริงและความรู้ที่ซ่อนในตัวตนท้ังในสภาวะจิตใต้สานึกหรือจิตสานึก ภายใต้ บริบทที่เฉพาะเจาะจงทั้งในประเด็น เน้ือหาและตัวละครที่เก่ียวข้องในกระบวนการดาเนินงานและผลที่ได้มี ความจาเพาะสูง (Phlainoi, 2019) มีการดาเนินการ 4 ข้ันตอน คือ 1) การออกแบบแผนการถอดบทเรียน เพื่อ ค้นหาประเด็น เนื้อหาท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดรูปแบบการบริการทีมหมอครอบครัว บทบาทพยาบาลวิชาชีพและ กาหนดคาถามสาหรับการสัมภาษณ์ 2) ดาเนินการสัมภาษณ์พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในทีมหมอครอบครัว 3) ถอดบทสัมภาษณ์เพื่อสกัดบทเรียนจากประสบการณ์การทางานของพยาบาลวิชาชีพ และ4) การเขียนรายงาน การถอดบทเรียน การตรวจสอบและยนื ยนั กับกลมุ่ ผทู้ ีม่ ีส่วนร่วมและเผยแพร่บทเรยี นสู่สาธารณะ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
94 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง การดาเนินการศกึ ษาวจิ ัยน้ี มพี ้ืนท่ดี าเนินการหลกั คอื โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า และผู้ให้ข้อมูลหลัก (key informants) คือ พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้าน ศรีหมวดเกลา้ และเปน็ สมาชกิ ทมี หมอครอบครัว จานวน 5 คน เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นกำรวจิ ัย ประกอบด้วย 1. แนวคาถามในการสมั ภาษณ์ประเด็นรูปแบบการจัดบรกิ ารทีมหมอครอบครัวและบทบาทพยาบาลวชิ าชพี ทพ่ี ฒั นาจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ัยประเด็นที่เกีย่ วข้อง 2. เครื่องบนั ทึกเสยี ง 3. รายงานการดาเนินงานคลนิ ิกหมอครอบครวั . กำรตรวจสอบคณุ ภำพเคร่ืองมอื การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือด้วยการทดสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเหมาะสมด้านภาษาโดย ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ทา่ น ทม่ี ีความเชย่ี วชาญในการปฏิบัตงิ านด้านการพยาบาลปฐมภูมิ อาจารย์พยาบาลสาขา การพยาบาลอนามัยชุมชนและผู้มีความเช่ียวชาญด้านวิจัยคุณภาพ เมื่อได้รับข้อเสนอแนะ ผู้วิจัยดาเนินการ ปรับปรุงข้อคาถามและทดลองสัมภาษณ์กับตัวแทนกลุ่มตัวอย่างท่ีปฏิบัติงานในทีมหมอครอบครัว จานวน 1 คน ก่อนนาไปใชจ้ รงิ กำรวเิ ครำะหข์ ้อมูล ข้อมูลท่ีถูกบันทึกในเครื่องบันทึกเสียงจะถูกถอดเทปแบบคาต่อคาและเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูล ก่อนนามา วเิ คราะหโ์ ดยการวเิ คราะห์เชงิ เน้ือหา (content analysis) มีการจดั ทาดัชนีขอ้ มูล จดั กลมุ่ ข้อมูล วเิ คราะหป์ ระเด็น และพิสูจน์บทสรุป ส่วนการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเช่ือถือ ใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation technique) โดยตัวแทนผู้ให้ข้อมูล พยาบาลวิชาชีพและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นผู้ ตรวจสอบข้อมูลตามคาถามวิจัยเพ่ือรับรองความถูกต้องและความน่าเช่ือถือของข้อมูล สถิติท่ีใช้ในการวิจัย ดังนี้ ข้อมูลท่วั ไป เช่น เพศ สถานภาพสมรส ระดบั การศกึ ษา วิเคราะห์โดยการใชส้ ถติ ิเชิงพรรณนา เช่น ความถีแ่ ละร้อย ละ เปน็ ตน้ กำรพิทักษส์ ิทธิกลุ่มตัวอย่ำงและจริยธรรมกำรวิจยั โครงร่างวิจัยน้ีผ่านการรับรองจากคณะกรรมการประเมินผลจริยธรรมการวิจัยของวิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี นครลาปาง เลขท่ี 003/2562 วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2562 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
95 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผลกำรวิจัย ผใู้ ห้ข้อมูลในครัง้ นี้ ประกอบดว้ ย พยาบาลวิชาชพี ทผ่ี ่านการอบรมเวชปฏบิ ตั ทิ ่ัวไป (การรกั ษาโรคเบ้อื งต้น) จานวน 5 คน ท้ังหมดเป็นเพศหญิงและมีอายุระหว่าง 46 ถึง 54 ปี โดยมีอายุเฉล่ีย 51 ปี สถานภาพสมรส จบ การศึกษาระดับปริญญาตรแี ละผ่านการอบรมหลักสตู รการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการพยาบาลเวชปฏบิ ัติทั่วไป (การรักษาโรคเบ้ืองต้น) ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้าและเป็นสมาชิกทีมหมอ ครอบครวั มากกว่า 5 ปี สว่ นใหญ่ผ่านการอบรมหลักสตู รผจู้ ดั การรายกรณีหรอื case manager ผลการวิจัย ดังน้ี รูปแบบการจัดบริการทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรี หมวดเกล้า ดาเนินการตามแนวทางการดาเนินงานคลินิกหมอครอบครัว สาหรับหนว่ ยบริการ ปี พ.ศ.2559 เร่ิมตน้ จัดต้ังเครือข่ายบริการปฐมภูมิ (Primary Care Cluster) จังหวัดลาปาง เมื่อปี พ.ศ. 2560 โดยขึ้นทะเบียนกับ สานักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว ใช้ช่ือว่าเครือข่ายบริการปฐมภูมิชมพูและปรับการ จัดบริการในหน่วยบริการ 3 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดโครงสร้าง (structure) 2) การจัดบุคลากร (staff) และ3) การ จดั ระบบ (system) ดงั นี้ ก. การจัดโครงสร้าง (structure) โดยการรวมหน่วยบรกิ ารปฐมภูมิในพนื้ ทีใ่ กล้เคยี ง 3 แห่ง ไดแ้ ก่ 1) ทมี หมอครอบครัวโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า 2) ทีมหมอครอบครัวโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตาบลบ้านฟ่อน และ 3) ทมี หมอครอบครวั โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลบ้านกลว้ ยแพะกล้วยมว่ ง รวม ประชากรท่ีต้องดูแลรับผิดชอบ 29,672 คน จดั ต้งั เป็นเครือขา่ ยบริการปฐมภมู ิชมพู (Primary Care Cluster) สาหรับทีมหมอครอบครัวโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า แบ่งพ้ืนท่ีรับผิดชอบเป็น 4 หมวด และกาหนดใหม้ บี ุคคลากรสาธารณสุขรับผิดชอบคนละหมวด พยาบาลวชิ าชพี ทา่ นหนึง่ กล่าววา่ ตนเองรบั ผดิ ชอบ ดูแลสุขภำพประชำชนในหมู่บ้ำนหนึ่งหมบู่ ้ำน ข. การจดั บุคลากร (staff) เพอื่ ใหก้ ารปฏิบัตงิ านเป็นไปตามเกณฑ์ในการจัดต้ังทีมหมอครอบครัว (a family care team) เร่ิมจากผู้ท่ีปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพท่ีผ่านการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเวชปฏิบัติท่ัวไป (การรักษาโรคเบ้ืองต้น) นักวิชาการ สาธารณสุข ทันตภิบาล เป็นสมาชิกและทาหน้าท่ีในทีมหมอครอบครัวน้ี แต่เน่ืองจากยังขาด แพทย์เวชปฏิบัติ ครอบครัว ทันตแพทย์ เภสัชกร เจ้าพนักงานเภสัชกรรม แพทย์แผนไทยและนักกายภาพบาบัด ท้ังน้ีเพ่ือให้การ จัดตั้งทีมหมอครอบครัวครบตามเกณฑ์ที่เน้นการบริการปฐมภูมิโดยใช้ความชานาญของแต่ละวิชาชีพทางานอยา่ ง บูรณาการ จึงต้องอาศัยการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยคาสั่งนายอาเภอและการสนับสนุนบุคคลากรจาก ผู้อานวยการโรงพยาบาลลาปางในการจัดตั้งทีมหมอครอบครัวให้ครบตามเกณฑ์ โดยพยาบาลวิชาชีพเล่าว่า ทีม หมอครอบครัว เริ่มประมำณ 3-4 ปีแล้วค่ะ ถ้ำพูดถึงลักษณะงำนของพยำบำลก็จะไม่ต่ำงจำกเดิม แต่ว่ำถ้ำมีทีม หมอครอบครัวก็จะมีแพทย์ออกมำให้บริกำร โดยเฉพำะในวันที่มีคลินิกจะทำให้กำรรักษำครอบคลุมมำกย่ิงข้ึน วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
96 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) เพรำะว่ำจะมีแพทย์มำและสะดวกกับผู้รับบริกำร ก็จะไม่ต้องรีเฟอร์ คนไข้ก็จะได้รับบริกำรท่ีมีคุณภำพเหมือนกัน แต่ว่ำสะดวกและคนไข้ก็พึงพอใจมำกข้ึน จะเห็นได้ว่าทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า เป็นทีมหมอครอบครัวหน่ึงในเครือข่ายบริการปฐมภูมิชมพู จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ.2560 ทมี สหวชิ าชพี ประกอบดว้ ยแพทยเ์ วชศาสตร์ครอบครวั 1 คน พยาบาลวิชาชีพทีผ่ ่านการอบรมหลักสูตร การพยาบาลเวชปฏิบัตกิ ารรกั ษาท่ัวไป 5 คน นักวชิ าการสาธารณสขุ 1 คน ทันตภิบาล 1 คน นักกายภาพบาบัด1คน และได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลลาปางโดยการจัดบุคคลากรมาปฏิบัติงานเป็นทีมสหวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ เวชปฏิบัติครอบครัว โดยมีทันตแพทย์และเภสัชกรหมุนเวียนมาปฏิบัติงานเป็นบางคร้ังและมีแพทย์เวชปฏิบัติ ครอบครัวเปน็ หวั หน้าทีมหมอครอบครัว ค. การจัดระบบ (System) หมายถึงระบบบริการและการจัดการโดยเน้นแบบ บริการ ทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี โดยการบริการทุกคน หมายถึงการจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชน ทุกกลมุ่ วัยตั้งแตเ่ ร่ิมตั้งครรภ์ถึงวัยสงู อายุ บริการทุกอยา่ ง หมายถงึ การบรกิ ารครบทกุ มิติทางสขุ ภาพทงั้ การส่งเสริม สุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟ้ืนฟูสภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ให้บริการทุกที่ หมายถึงการ ทางานท้ังในและนอกสถานบริการสุขภาพโดยเฉพาะการทางานเชิงรุกให้บริการที่บ้านและในชุมชน ด้วยการ ผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยี เช่น application line และ telemedicine ในการทางานร่วมกันกับทมี สหวิชาชีพ และผู้รับบริการโดยการให้คาปรึกษาหรือสอบถามปัญหาสุขภาพ ซึ่งเรียกว่า บริการทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี โดย พยาบาลยกตัวอย่างว่า กำรที่เรำดูแลผู้ป่วยก็จะทำงำนร่วมกัน กำรวำงแผนกำรเย่ียมบ้ำนก็จะมีเกณฑ์ บำงรำย เยี่ยมทุกอำทิตย์ ทุกเดือน ปีละ 1 คร้ัง 2 ครั้ง เช่น คนไข้กลุ่มสีแดงก็อำจจะไปเยี่ยมทุกวันก็ได้ค่ะขึ้นอยู่กับปัญหำ ของคนไข้ สาหรับการดูแลยึดหลักผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (patient-centered care) ซ่ึงเน้นการบริการตามความ ต้องการของประชาชนและจัดบริการในชุมชน (community-based care) และให้การบริการพยาบาลด้วยหัว ใจความเป็นมนุษย์ (humanized care) โดยการให้การพยาบาลท่ีเน้นการดูแลด้วยความเมตตากรุณาดุจญาติมิตร เช่นคากล่าวว่า จำกกำรที่เป็นหมอครอบครัว เรำจะลงชุมชนมำกข้ึน เรำจะรู้จักคนไข้มำกข้ึน รู้จักสิ่งแวดล้อมของ คนไข้และถ้ำคนไข้มีปัญหำเรำก็สำมำรถท่ีจะให้คำแนะนำคนไข้ได้ถูก เพรำะว่ำเรำจะรู้จักคนไข้ รู้จักพื้นฐำน ครอบครัว พ้ืนฐำนกำรกินกำรนอนของคนไข้ เม่อื อธบิ ายรปู แบบบริการทสี่ าคญั ยึดหลัก ดงั นี้ 1) การบรกิ ารผสมผสานในสถานบริการโดยบริการท่เี นน้ การรักษาโรคเบ้ืองตน้ และครอบคลมุ ถึงการส่งเสริมป้องกันและฟ้ืนฟู ได้แก่ การจัดบริการคลินิกเด็กดี คลินิกวัยรุ่น คลินิกโรคเร้ือรัง คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบาบัดและคลินิกให้คาปรึกษาทางสุขภาพ เช่นพยาบาลเล่าว่าในการบริการคลินิกเด็กดี ให้บริการ ประเมนิ พัฒนาการตามวัยและเรื่องของวัคซนี กลุม่ เด็กและวคั ซนี มำตรฐำนท่ัวไปในกล่มุ เดก็ 2) การบรกิ ารต่อเนือ่ งถงึ บ้าน (homeward) โดยมกี ิจกรรมเย่ียมบ้าน บรกิ ารทาหตั ถการและการให้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
97 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) บริการดูแลระยะยาว หรือ Long-term care และการสนับสนุนให้ครอบครัว หรือผู้ดูแล (care giver) ร่วมดูแล สุขภาพผู้ป่วยโดยพยาบาลกล่าวว่า ส่วนของงำนท่ีเน้นในงำน มอค.(หมอครอบครัว) คือ งำนเย่ียมบ้ำนเชิงรุกใน กลุ่มต่ำงๆ เช่น กลุ่มผู้ป่วยติดเตียงในพื้นท่ีที่ตัวเองรับผิดชอบ คนไข้โรคเรื้อรัง ผู้สูงอำยุและผู้พิกำร คนไข้จิตเวช คนไขว้ ัณโรค คะ 3) การบริการเชิงรกุ ในชุมชน เป็นการส่งเสรมิ สขุ ภาพกลมุ่ ประชากรในชุมชน ไดแ้ ก่ การตรวจคดั กรอง โรคแทรกซ้อนทางตาและเท้าจากโรคเบาหวาน การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และการตรวจคัดกรองมะเร็งปาก มดลูก การส่งเสริมการออกกาลังกายและการจัดอาหารปลอดภัยในชุมชนโดยพยาบาลกล่าวว่า มอค. เรียกได้ว่ำ เป็นทกุ อย่ำงในชมุ ชน งำนส่งเสรมิ สุขภำพ งำนควบคุมปอ้ งกนั โรค งำนประสำนตำ่ งๆ ในชุมชนและในเรอื่ งของกำร ฝกึ อบรมโครงกำรในชุมชนและเป็นทป่ี รึกษำในเรื่องของกำรแก้ไขปัญหำชมุ ชนโดยของบประมำณของ รพ.สต. ค่ะ 4) การสร้างเครือข่ายและการมสี ่วนรว่ ม เป็นการจดั ทาแผนสขุ ภาพรว่ มกับชมุ ชน การสนับสนนุ ชมรม สขุ ภาพในชุมชนโดยอธบิ ายวา่ ตอ้ งเรม่ิ ตง้ั แต่กำรทำแผนชุมชน ลงทำงำนร่วมกบั ทมี สหวิชำชีพใน รพ.สต. ตง้ั แต่ทำ แผน วเิ ครำะห์ข้อมลู ร่วมกันว่ำปัญหำชุมชนในเขตของเรำจริงๆ แลว้ มันคอื อะไร และเรำจะเดินไปพร้อมๆ สเต็กโฮ เดอร์ตำ่ งๆ ไดอ้ ยำ่ งไร ไมใ่ ช่ปลอ่ ยใหแ้ ต่ รพ.สต. ทำเชิงรุกแต่ฝำ่ ยเดยี ว 5) การรับข้อมูลใหค้ าปรกึ ษา เป็นการใช้เทคโนโลยี เชน่ application line หรือ telemedicine ใน การใหบ้ ริการเพ่อื ให้ข้อมูลสุขภาพและใหค้ าปรึกษาแก่ประชาชน โดยพยาบาลเล่าวา่ ถ้ำเป็นกจิ กรรมกำรพยำบำล โดยตรงเป็นภำวะปกติ เรำก็จะทำกำรสอนได้เลย แต่ถ้ำอย่ำง เช่น คนไข้ข้อติด บำงครั้งญำติคนไข้อำจจะมีควำมรู้ ว่ำกินยำตัวน้ีจะทำให้เท้ำบวมตึง ถ้ำเป็นผู้ป่วยสูงอำยุอำจจะไม่ใช่สำเหตุน้ี เรำจึงต้องขอคำปรึกษำคุณหมอก่อน และอธิบำยให้คนไข้ฟัง ให้คนไข้ปฏิบัติตำม เรำติดต่อหมอได้ตลอด ส่วนใหญ่เรำจะติดต่อขอคอนเซำท์ทำง LINE เรำจะมีกำรสง่ ขอ้ ควำมไปกอ่ น ถำ้ คณุ หมอสะดวกก็จะตอบมำเลยค่ะ 2. สาหรับบทบาทพยาบาลวิชาชีพในทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาล สง่ เสริมสุขภาพตาบลบา้ นศรหี มวดเกลา้ พยาบาลให้บริการตรวจรักษาในคลินิกโรคเร้ือรังโดยดูแลผู้ปว่ ยในหมู่บ้าน ท่ีตนเองรับผิดชอบ ทาให้พยาบาลมีโอกาสดูแลผู้ป่วยกลุ่มเดิม การประเมินภาวะสุขภาพได้ข้อมูลที่น่าเช่ือถือ เน่ืองจากเกิดความศรัทธาและไว้วางใจกันในการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยพยาบาลเล่าว่า เมื่อก่อนเห็นคนไข้เยอะ มำก วนั อังคำรเตม็ พฤหสั คลินิกกเ็ ตม็ อย่ำงนี้คนไขก้ ็จะไมล่ ดสกั ที พอหลังจำกนนั้ ปรบั ใหม่มคี ลินิกทกุ วนั ตำม มอค. ของตัวเองจะรับ มอค. เปน็ วนั จนั ทร์ ส่วนวนั อังคำรก็จะเปน็ พยำบำลอกี คนหน่ึง อย่ำงของวันจันทรข์ องตวั เองที่รับ คนไข้ 700 กว่ำคน ก็รู้สึกว่ำจำได้หมดค่ะ เรำจะลิสต์ไว้ว่ำคนน้ีได้มำครั้งแรก คนน้ีต้องไปลดเรื่องอำหำรไขมันจำก lab อย่ำงนี้ค่ะ ทำให้เรำรู้สึกมันได้คุณภำพมำกข้ึนดีกว่ำที่เรำไปทำแบบเดิม กำรบันทึกประวัติผู้ป่วยก็จะมีสมุด บันทึกเปน็ เล่มและตวั เองก็เป็นเล่ม สว่ นตัวกจ็ ะมีช่อื เลน่ ของทุกคน จะตอ้ งมีคนไข้นัดของตวั เอง และตอนนเ้ี รำเก็บ ข้อมูลไวใ้ นคอมพวิ เตอร์คีย์เอง เรำกจ็ ะมำรค์ ให้เรำจำได้ แล้วเรำกจ็ ะบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ เลม่ นอกจากน้ีผ้ปู ว่ ยได้ประโยชน์ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
98 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) อยา่ งมากในการมารับบริการตามเวลาท่ีนัดหมาย สะดวก รวดเรว็ ลดการแออดั โดยพยาบาลกล่าวว่า เรำพบคนไข้ รับยำท่ีโรงพยำบำล คนไข้เปน็ โรคควำมดนั เบำหวำน รักษำที่โรงพยำบำล มำตลอดและทำนยำทีโ่ รงพยำบำล และ ลำ่ สดุ โรงพยำบำล ปรบั ยำใหค้ นไข้และคนไข้มีอำกำรใจส่ันและขำบวม คนไข้กม็ ำหำเรำ เรำก็วดั ควำมดันเสร็จและ เป็นวันที่เหมำะพอดี ทำงเรำได้ส่งต่อให้หมอตรวจหมอได้ปรับยำให้คนไข้ใหม่ ถ้ำวันน้ันหมอไม่มำเรำก็ปรับยำเอง ไม่ได้ คนไข้ก็จะต้องกลับไปที่โรงพยำบำล และช่วงน้ีเป็นช่วงโควดิ คนไข้ไม่สะดวกที่จะไปโรงพยำบำล ก็เลยมำหำ เรำเพรำะมีอำกำร นอกจากนี้พยาบาลวิชาชีพให้บริการแบบผสมผสานโดยมีการจัดทาสมุดประจาตัวผู้ป่วยโรค เรื้อรัง เพื่อใช้เป็นสมุดบันทึกการนัดและใชข้ ้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วยในการแลกเปลย่ี นเรียนรู้เกี่ยวกับโรคเร้ือรัง และการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม สาหรับบทบาทการจัดการรายกรณีอย่างบูรณาการและต่อเน่ือง พยาบาล วิชาชีพมกี ารนากระบวนการพยาบาลมาใช้ในการดูแลผู้ป่วย โดยเรมิ่ จากเม่อื มีผูป้ ่วยส่งต่อมารับการรักษาต่อท่ีบ้าน ข้อมูลผู้ป่วยจะส่งผ่านทางระบบสารสนเทศ ได้แก่ ระบบ Continuous Of Care (COC) และ Thai refer จาก โรงพยาบาลแม่ข่าย อาสาสมัครสาธารณสุขจะสอบถามผู้ป่วยเม่ือกลับถึงบ้านและแจ้งไปที่โรงพยาบาลส่งเสริม สขุ ภาพตาบลบา้ นศรหี มวดเกลา้ หลงั จากนั้นทีมเยีย่ มบา้ นและอาสาสมัครสาธารณสขุ จะเข้าเย่ียมบา้ นเพือ่ ประเมิน อาการเบื้องตน้ และนาข้อมูลท่ีได้ประชุมร่วมกับทมี หมอครอบครวั เพือ่ วางแนวทางในการดแู ลรักษา สาหรบั ผ้ปู ว่ ย ท่จี าเป็นตอ้ งทาหัตถการ เชน่ การดแู ลการให้อาหารทางสายยาง การดแู ลผปู้ ่วยให้ออกซเิ จนทบ่ี ้าน การดูแลผปู้ ่วย ที่ใส่สายสวนปัสสาวะ การดูแลทางโภชนาการและการดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา พยาบาลเจ้าของไข้ทา หน้าท่ีหลักในการปฏิบตั ิการพยาบาลและการทาหัตถการน้ีตามระยะเวลาท่ีกาหนดและถ้าผู้ป่วยและญาติต้องการ คาปรึกษาหรือสอบถามปัญหาสุขภาพหรือการดูแลผู้ป่วย จะใช้ช่องทางในการติดต่อส่ือสารกับทีมหมอครอบครัว โดยการใช้ line application หรือร่วมกับการใช้ช่องทาง telemedicine ในการขอรับคาปรึกษาจากแพทย์เวช ศาสตร์ครอบครวั และทีมสหวิชาชพี อื่นๆ การบรกิ ารเยี่ยมบา้ นเชิงรกุ เปน็ การดูแลผ้ปู ่วยตามกลมุ่ ตา่ งๆ ได้แก่ ผปู้ ่วยติดเตียง ผู้ป่วยโรคเรอ้ื รัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยวัณโรคและผู้ป่วยจิตเวช โดยพยาบาลเล่าว่า ถ้ำพยำบำลไปเย่ียมไข้ เรำก็จะนัดกันไปเป็น ทีม 3 คน คนที่เป็นหัวหนำ้ ทมี คือ มอค.บำ้ นน้นั เพรำะจะรู้ข้อมลู เยอะท่สี ดุ และเรำกจ็ ะไปชว่ ยกนั ดูแล โดยทมี หมอ ครอบครัวจัดลาดบั การเยี่ยมบ้านตามลกั ษณะผู้ป่วยตามประเภทผู้ปว่ ยสแี ดง สเี หลืองและสีเขยี ว สาหรับผู้ปว่ ยกล่มุ สีแดงเป็นกลุ่มที่ทีมหมอครอบครัวต้องเข้าเยี่ยมบ้านทันที พยาบาลได้เล่าถึงการเย่ียมบ้านผู้ป่วยติดเตียงหลังจาก ภาวะ Stroke ซ่ึงเป็นผู้ป่วยติดเตียงมาเกือบปี พยาบาลได้เย่ียมบ้านให้ความรูใ้ นการทากายภาพบาบัดและติดตาม เย่ียมบ้านผู้ป่วยทุกเยน็ ก่อนเลิกงานร่วมกับตัวแทนผูส้ ูงอายุ ผู้นาชุมชนและประธาน อสม. จนผู้ป่วยสามารถลุกน่งั ลุกเดินและช่วยเหลือตัวเองได้ การเย่ียมบ้านอย่างต่อเนื่องเป็นการพยาบาลตามบริบทของผู้ป่วยหรือ patient- centered care โดยเล่าว่า ผูป้ ่วยตดิ เตียง เพศชำยอำยุ 16 ปี ประสบอบุ ัติเหตุจำกมอเตอร์ไซค์ เข้ำรบั กำรรักษำท่ี โรงพยำบำลประจำจังหวัดและได้รับกำรส่งต่อให้ทีมหมอครอบครัว ประกอบด้วย แพทย์เวชศำสตร์ครอบครัว พยำบำลวิชำชีพ นักกำยภำพบำบัดและอำสำสมคั รสำธำรณสุขประจำหมู่บ้ำน ลงเย่ียมบ้ำนและเข้ำไปดูแลเก่ียวกับ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
99 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) กำรฟ้นื ฟสู ภำพโดยเฉพำะกำรเคลอ่ื นไหว อำกำรผปู้ ่วยหลงั จำกไดร้ บั กำรบำบัดโดยกำรเยย่ี มบำ้ นจำกผู้ป่วยนอนติด เตียงเดินไม่ได้ ขณะนี้สำมำรถชว่ ยเหลือตนเองไดบ้ ้ำง ขยบั มำเขน็ รถเข็นเองไดแ้ ลว้ ช่วยเหลอื ตวั เองในเรอื่ งของกำร ขบั ถ่ำยได้ดขี น้ึ ไมเ่ ปน็ ภำระของครอบครัวเพรำะวำ่ ครอบครัวนม้ี ีแค่ยำยและฐำนะไม่คอ่ ยดี รวมถงึ สุขภำพจิตก็ดีขึ้น เนอื่ งจำก ชว่ ยเหลือตวั เองไดด้ ีข้ึน เคลือ่ นไหวดว้ ยตวั เองได้ ทำให้คนไข้สุขภำพจิตดีขน้ึ โดยในช่วงแรกพยำบำลเข้ำ ไปดูคนไข้ใส่สำยสวนปัสสำวะ กำรขับถ่ำย ร่ำงกำยท่อนล่ำงจะชำไม่มีควำมรู้สึกต้องใส่แพมเพิร์สกลำยเป็นปัญหำ ของครอบครัว เน่ืองจำกคนไข้ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับยำยท่ีมีโรคประจำตัว พยำบำลเย่ียมบ้ำนดูแลท้ังหมด ได้แก่ กำรใส่สำยสวนปัสสำวะ นำส่งิ ของท่ีไดร้ ับบริจำค เชน่ แพมเพริ ส์ และผ้ำปรู องไปให้ กำรดแู ลใส่สำยใหอ้ ำหำร ทำงจมูกรวมถึงให้คำแนะนำกำรให้อำหำรทำงสำยยำและกำรดูแลเร่ืองจิตใจเนื่องจำกคนไข้เป็นวัยรุ่นคนไข้ยัง ยอมรับไม่ได้จำกท่ีร่ำงกำยปกติที่ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่ำงและต่อมำชีวิตได้เปลี่ยนไปเลย คนไข้กลำยเป็นภำระ ของครอบครัวเป็นภำระของยำย คนไข้มีอำกำรเครียด ทำงเรำได้ไปเย่ียมตลอด จนคนไข้มีอำกำรดีขึ้นและได้ไป ตรวจตำมนัดของโรงพยำบำล ตลอดจนอำกำรคนไข้ดีขึ้นและต่อมำก็จะมีหน่วยงำนเข้ำมำดูแลผู้ได้รับผลกระทบ จำกอุบัติเหตุจรำจรได้ลงมำเย่ียม เมื่อคนไข้อำกำรดีขึ้นได้ส่งคนไข้ไปฟื้นฟูที่โรงพยำบำลเวชชำรักษ์ลำปำงไปอยไู่ ด้ หลำยเดือนเหมอื นกัน การสร้างเสริมป้องกันโรคในชุมชน พยาบาลวิชาชีพได้รับผิดชอบคนละหมู่บ้าน ทาหน้าท่ีเป็นผู้จัดการ สุขภาพประจาหมู่บา้ นในการจัดมหกรรมสุขภาพ “ตลาดนัดรักษ์สุขภาพ” และกิจกรรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรม เน้นที่พฤติกรรมออกกาลังกาย การรับประทานอาหาร การจัดการอารมณ์ การลดหรืองดการสูบบุหรี่และการด่ื ม สุรา นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมและประชาชนสามารถจัดการสุขภาพตนเองโดยการส่งเสริมให้เกิด ความรอบรู้ทางสุขภาพหรือ health literacy โดยพยาบาลได้กล่าวว่าจริงๆ ก็เน้นงำนซ่อมเยอะ แต่ถ้ำทำงำน ด้วยสหวิชำชีพแล้ว ให้ชุมชนมีส่วนร่วมคิด เพรำะว่ำก็ต้องขับเคล่ือนไปทั้งแนวรำบแนวด่ิงจะต้องไปพร้อมๆกัน ท้ังหมด ที่สำคัญคือกำรท่ีชุมชนมี health literacy ช้ีให้เห็นปัญหำให้คดิ ว่ำตรงนี้ถ้ำไม่แก้ไขสุดท้ำย ส่ิงที่จะมำเจอ คือตัวเขำเองกับลูกกับหลำนเขำ ให้เขำรู้สึกตระหนักและลุกมำร่วมมือต่อสู้กันในชุมชน คือเขำต้องเป็นคนตื่นตัว ตระหนักซ่ึงตรงน้ี อย่ำงเขตเรำก็เห็นได้ชัดในตอนน้ีปรำกฏว่ำบำงส่ิงบำงอย่ำงเรำไม่ต้องสั่งกำร บำงอย่ำงเรำก็ทำ หนำ้ ท่ขี อง รพ.สต. หลำยๆอย่ำงตอนนีเ้ รำถอยมำเป็นทป่ี รกึ ษำ คนทจี่ ะจุดประกำยปรำกฏวำ่ เปน็ ชมุ ชน การประสานงานกับองค์กรอ่ืน เป็นบทบาทหนึ่งของพยาบาลวิชาชีพในการทางานแบบภาคีเครือข่าย รว่ มกบั หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง เชน่ การขอรับบรจิ าคแพมเพริ ส์ และการจดั ต้ังกองทนุ แพมเพิรส์ การขอรบั บรจิ าคเงิน เยี่ยวยาแก่ผู้ป่วยติดเตียง การประสานงานในการปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ การประสานงานเพ่ือขอรถ รับส่งผู้ป่วยโดยพยาบาลวิชาชีพได้กล่าวว่า ถ้ำเรำมีแค่ในชุมชน เรำจะต้องประเมินก่อนว่ำคนไข้มีปัญหำเรื่อง อะไรบ้ำง อย่ำงเร่ืองของกำรพยำบำลเรำสำมำรถให้กำรดูแลรักษำแก้ไข ในเรื่องของครอบครัวท่ีมีปัญหำเร่ือง เศรษฐกจิ เรำไมไ่ ด้ทำงำนคนเดยี ว เรำยงั มีเครอื ข่ำยท่จี ะประสำนไปทำงผ้นู ำชุมชนเทศบำล เพอ่ื วำ่ เรำจะมีอะไรบ้ำง ในกำรช่วยเหลือคนไข้ทมี่ ีปญั หำในชมุ ชน ไดใ้ ช้เจ้ำหนำ้ ท่ีเครอื ข่ำยในกำรแกไ้ ขเหมือนกัน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
100 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) อภิปรำยผล จากการศึกษาน้ีพบว่า 1) รูปแบบการจัดบริการทีมหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านศรีหมวดเกล้า มีการดาเนินงานตามเกณฑ์การจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว สาหรับหน่วยบริการ (2559) โดยจัดตั้งเครือข่ายบริการปฐมภูมิชมพู (Primary Care Cluster) ประกอบด้วยทีม หมอครอบครัว 3 ทีม ให้การดูแลประชากร 29672 คน โดยทีมหมอครอบครัวศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบลบา้ นศรีหมวดเกล้า มกี ารปรบั โครงสรา้ ง (structure) โดยมกี ารทางานแบบบูรณา การและต่อเนื่องด้วยทีมสหวิชาชีพ (staff) และให้บริการแบบ บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกท่ี ทุกเวลาด้วย เทคโนโลยี และ 2) พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าท่ีต่างๆ ดังน้ี (1) การตรวจรักษาโรคในการวิจัยนี้ พยาบาลวิชาชีพได้ยกตัวอย่างการให้บริการตรวจรกั ษาโรคในคลินกิ โรคเร้ือรัง (2) การจัดการรายกรณีทั้งน้ีรวมถงึ การจัดระบบการส่งต่อและดูแลต่อเน่ืองโดยใช้ระบบสารสนเทศในการนาส่งข้อมูลผู้ป่วยหลังจากกลับมาจาก โรงพยาบาล พยาบาลวิชาชีพจะประเมินสภาพผูป้ ่วยเบอ้ื งต้นโดยทางานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสขุ ที่อยู่ในเขต รับผิดชอบ และนาข้อมูลผู้ป่วยมาเสนอในการประชุมวางแผนการเย่ียมบ้านร่วมกับทีมหมอครอบครัวก่อนที่จะ ให้บริการเย่ียมบ้านพร้อมกัน (3) การเย่ียมบ้านเชิงรุก เป็นการทางานอย่างบูรณาการและต่อเนื่องร่วมกับทีมส ห วชิ าชพี ในทีมหมอครอบครัว โดยส่งเสริมให้ผูด้ ูแลและสมาชิกในชุมชนร่วมกนั ดูแลผู้ป่วย (4) การสรา้ งเสริมป้องกัน โรคในชุมชน โดยการสง่ เสรมิ การจดั การสุขภาพตนเองและ (5) การประสานงานกบั องค์กรอนื่ เพอ่ื ช่วยเหลือผ้ปู ว่ ย การปฏิบัติหน้าท่ีของพยาบาลวิชาชีพนี้เป็นบทบาทของพยาบาลวิชาชีพตามที่ Suwannasaeng & Yingyoud (2020) อธิบายว่าบทบาทพยาบาลวิชาชีพในคลินิกหมอครอบครัวมี 7 ด้าน ประกอบด้วย 1) การ จัดการรายกรณี 2) การตรวจรักษาโรคเบื้องต้น 3) การดูแลครอบครัวผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้ายที่บ้าน 4) การ สรา้ งเสรมิ ปอ้ งกนั และฟน้ื ฟสู ภาพ 5) การเปน็ ทป่ี รกึ ษาและประสานงานท้องถน่ิ 6) การจดั ระบบการสง่ ต่อและดูแล ต่อเน่ือง และ7) การเสริมสร้างพลังอานาจ เม่ือเทียบกับการศึกษาของ Sritragool & Nuntaboot (2021) ที่ระบุ ว่าพยาบาลเวชปฏิบัติทางานตามบทบาทที่กฎหมายกาหนดรับผิดชอบในการบริการสุขภาพด้านการส่งเสริม สุขภาพ การรักษาพยาบาล การฟ้ืนฟูสภาพและการสนับสนุนบริการสุขภาพ ในการศึกษาน้ีพยาบาลวิชาชีพได้ ทางานตามบทบาทท่ีกฎหมายกาหนดโดยทาหน้าท่ีตรวจรักษาโรคเบ้ืองต้น ใหบ้ รกิ ารเยีย่ มบา้ นตามบทบาทวิชาชีพ และทางานร่วมกับแพทย์เวชศาสตรครอบครัว นกั กายภาพบาบัด โดยใชร้ ะบบสารสนเทศทีม่ ีอยู่ เชน่ application line และ telemedicine ในการปรึกษาและตอบปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน และใช้ระบบ continuous of care และ Thai refer ในการสง่ ตอ่ ข้อมูลผู้ปว่ ย รวมถงึ ให้บริการเยีย่ มบ้านอยา่ งตอ่ เน่ืองจนอาการผู้ปว่ ยติดเตยี งดีข้ึน ก า ร จั ด บ ริ ก า ร ใ น ที ม ห ม อ ค ร อ บ ค รั ว น้ี เ ป็ น ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ด้ ว ย ที ม ส ห วิ ช า ชี พ ยึ ด ชุ ม ช น เ ป็ น ฐ า น (community based care) และผ้ปู ่วยเป็นศูนยก์ ลาง (patient-centered care) โดยมีการใช้ระบบสารสนเทศใน การเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อใช้ในการวางแผนการเยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่องหลังจากกลับจากโรงพยาบาล มีการทางาน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
101 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ประสานกบั ชมุ ชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ในการรว่ มมือกันทางานดแู ลผ้ปู ่วยในชุมชน และมีการสนับสนุน การจัดการสุขภาพตนเองโดยการส่งเสริมความรอบรู้เกี่ยวกับโรคเร้ือรังแก่ผู้ป่วยในคลินิกโรคเร้ือรังสอดคล้องกับ การจัดบริการคลินิกหมอครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยโรคเร้ือรังในจังหวัดกาแพงเพชรซ่ึงใช้หลักการจัดบริการแบบ บูรณาการและยดึ ประชาชนเปน็ ศนู ยก์ ลางเช่นกนั (Kumsuk & Katsomboon, 2022) ขอ้ เสนอแนะในกำรนำผลวจิ ัยไปใช้ ผลการศึกษาน้ีเป็นประโยชน์ต่อการกาหนดแนวทางการจัดต้ังทีมหมอครอบครัว ในการจัดบริการในหน่วย บริการ 3 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดโครงสร้าง (structure) 2) การจัดบุคลากร (staff) และ3) การจัดระบบ (system) และการปฏิบัติการพยาบาลตามบทบาทพยาบาลวิชาชีพในการปฏิบัติงานตามที่สภาการ พยาบาลและกฎหมาย กาหนดในทีมหมอครอบครัว ข้อเสนอแนะในกำรศึกษำวิจัยครง้ั ต่อไป การศึกษาวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาบทบาทวิชาชีพอื่นในทีมสหวิชาชีพ เพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการ ทางานร่วมกันของทมี สหวชิ าชพี ในทมี หมอครอบครวั เอกสำรอำ้ งอิง Constitution of the Kingdom of Thailand. (2560). Cabinet and Royal Gazette Publishing Office, Bangkok. (in Thai) Junprasert, S. (2014). Community nurse practitioner and primary health care in Thailand. Thai Journal of Nursing and Midwifery, 1(1); 57-65. (in Thai) Kumsuk, S., & Katsomboon, M. (2022). Comparison of Integrated People-centered Care for Chronic Care Patients of Kamphaeng Phet Hospital and Khlong Khlung Hospital Primary Care Cluster, Kamphaeng Phet Province. Journal of Community Development and Life - Quality, 10(1); 117-127. (in Thai) Lampang Provincial Public Health Office. (2017). Annual Report: Executive Summary. Lampang: Lampang Provincial Public Health Office. (in Thai) Ministry of Public Health. (2559). Primary Care Cluster: Guideline for Implementation. Nonthaburi: Ministry of Public Health. (in Thai) Nursing Division. (2018). Guideline for Nursing Care Management in Primary Care Cluster. Nonthaburi: Nursing Division, Office of Permanent Secretary. (in Thai) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
102 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) Phlainoi, S. (2019). Lesson Learned and Knowledge Management (7thed.) Bangkok: Thailand Health Academy. (in Thai) Sawanasaeng N., & Yingyoud, P. (2020). Primary Care Cluster: Concept and Management of Registered Nurses’ Roles. Thai Journal of Nursing Council, 35(1);5-17. (in Thai) Sritragool R., & Nuntaboot, K. (2021). The Practice of Nurses Practitioners In the context of Primary Health Care Thailand. Research and Development Health System Journal, 14(2); 265-279. (in Thai) Strategy and Planning Division. (2016). Strategy on primary care network development supporting the Constitution of the Kingdom of Thailand 2016 (2017-2026). Nonthaburi: Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health. (in Thai) Thailand Nursing and Midwifery Council. (2017). Missions of Nursing in Primary Care Cluster. Nonthaburi: Thailand Nursing and Midwifery Council. (in Thai) The Permanent Secretary Office. (2562). Primary Health System Act. Nonthaburi: Ministry of Public Health. (in Thai) World Health Organization. 2019. Sustainable Development Goals. Geneva: World Health Organization. วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
The Quality of Life for Dependent Elderly in Patunnakure Subdistrict Municipality Arisa Saokaew 1* (Received: January 24, 2021, Revised: March 18, 2022, Accepted: March 28, 2022) Abstract This mixed method study aimed to examine the quality of life and caring guideline of dependent elderly people in Patunnakure Subdistric Municipality, Tambon Patun, Maetha, Lampang. The population consisted of 25 elderly people who were dependent on the long-term health care service program for the elderly. World Health Organization Quality of Life (WHOQOL) – BREF that translated to a Thai version used as semi-structured interview. Data gathered between October and December 2021. Descriptive statistics and thematic analysis were used to conduct analysis and manage data. Although the overall quality of life for dependent elderly people is at a moderate level (μ = 3.32, ������ = 0.57), the quality of life for individuals was at the lowest, including satisfaction with sexual life, acceptance of self- appearance, and either working at house or living at hospital (μ = 1.88, ������ = 0.78), (μ = 1.18 ������ = 0.53), (μ = 1.00 ������ = 0.00). Five themes emerged from the administration of caring guidelines: 1) healthcare professionals, village health volunteers, and caregivers were educated regarding physical therapy and routine healthcare, 2) orthosis tools needed for aids preparation, 3) regular house visits required consistency and continuality, 4) local government promoted community activities, and 5) the local governments and private government needed to relentlessly support. To improve the quality of life and value for dependent elderly people and those who were caregivers, healthcare networks, local government, and community administration should collaborate as a compatible and practical team. Keywords: Quality of life; Elderly people with dependency * Registered nurse,Professional level, Patunnakure Subdistrict Municipality 1Corresponding author: [email protected] Tel: 0897597705 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
คุณภาพชวี ติ ของผูส้ งู อายทุ ่ีมีภาวะพึ่งพงิ เทศบาลตาบลปา่ ตันนาครัว อารษิ า เสาร์แก้ว1* (วนั ท่รี ับบทความ : 24 มกราคม 2564 , วันแกไ้ ขบทความ: 18 มีนาคม 2565, วนั ตอบรบั บทความ: 28 มีนาคม 2565) บทคดั ย่อ การวจิ ัยแบบผสมผสาน วัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษาคณุ ภาพชีวติ และกาหนดแนวทางการดูแลคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว ตาบลป่าตัน อาเภอแม่ทะ จังหวัดลาปาง ประชากร คือ ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสาหรับผู้สูงอายุและบุคคลอ่ืนท่ีมี ภาวะพึ่งพิง จานวน 25 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม พัฒนามาจากเคร่ืองมือชี้วัดคุณภาพชีวิตของ องค์การอนามัยโลกชุดย่อ (ฉบับภาษาไทย) และแบบสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ เชิงพรรณนา ข้อมลู เชงิ คุณภาพดว้ ยการวิเคราะห์ประเด็นร่วม ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมระดบั คุณภาพชวี ิตผสู้ ูงอายทุ ี่มีภาวะพึ่งพงิ อย่ใู นระดบั ปานกลาง (µ = 3.32, ������ = 0.57) และคุณภาพชีวิต ระดับน้อยท่ีสุด ได้แก่ ความพอใจในชีวิตทางเพศ การยอมรับรูปร่างหน้าตา และ ทางานหรือมชี ีวติ อย่ไู ด้ในแตล่ ะวันแม้ว่าจะจาเป็นต้องไปรับการรักษาพยาบาล (µ=1.88������ =0.78),(µ= 1.������ =0.53), (µ = 1.00, ������ = 0.00) ตามลาดับ สาหรับการกาหนดแนวทางในการดูแลคุณภาพชีวิต ได้แก่ 1) การวางแผนให้ ความรเู้ รือ่ งการทากายภาพบาบดั และการดแู ลด้านสุขภาพอย่างสมา่ เสมอโดยบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหมู่บา้ น ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สงู อายุที่มภี าวะพ่ึงพิง 2) จัดหากายอปุ กรณ์ช่วยดา้ นการเคล่ือนไหวท่ี เหมาะสม 3) ออกเย่ียมบ้านอย่างสม่าเสมอท้ังบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ผ้นู าชมุ ชน 4) ให้องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ ส่งเสริมกจิ กรรมใหผ้ ้สู ูงอายุท่ีมี ภาวะพงึ่ พิงมีสว่ นรว่ มในชุมชน เช่น การทาบุญ การจดั กจิ กรรมพบปะซึ่งกนั และกนั 5) ผสานความรว่ มมือระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอ่ืนท่ีเก่ียวข้องทั้งในและนอกชุมชนในการช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย การ ซ่อมแซมบ้าน รวมถงึ สนบั สนุนการฝึกอาชพี ท่ีเหมาะสม ดังนั้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตในการดูแลผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ควรทางานร่วมกันแบบภาคีเครือข่ายท้ัง องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ บคุ ลากรทางการแพทย์ และกลุ่มองค์กรในชุมชนอยา่ งต่อเน่อื ง เพื่อใหม้ ีระดบั คุณภาพ ชีวติ ทีด่ ี แก่ผสู้ งู อายทุ ีม่ ภี าวะพง่ึ พงิ ในชุมชนต่อไป คาสาคญั : คุณภาพชีวติ ; ผูส้ งู อายุทม่ี ภี าวะพึ่งพงิ * พยาบาลวิชาชีพ ชานาญการ,เทศบาลตาบลปา่ ตนั นาครวั จงั หวัดลาปาง 1ผู้ประพันธบ์ รรณกิจ : [email protected] โทรศัพท:์ 0897597705 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
105 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) บทนา ปัจจุบันประเทศไทย ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว โดยสถิติของผู้สูงอายุพบว่าประชากรสูงอายุ เพ่ิมข้ึน จาก 4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 6.80 ในปี 2537 เพ่ิมเป็น 10 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.90 ในปี 2557 และคาดว่าจะเพ่ิมเป็น 20.50 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 32.10 ในปี 2583 National Health Security Office, Ministry of Public Health, (2016) และในปี 2558 กระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ จานวน 6,394,022 ล้านคน พบว่ามีกลุ่มติดสังคมประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 79.00 และเป็นผู้สูงอายุทีม่ ี ภาวะพึ่งพงิ กลุ่มติดบ้าน ตดิ เตยี งทีจ่ าเป็นตอ้ งไดร้ ับการสนับสนุนการบริการสขุ ภาพและสังคม ประมาณ1.30ลา้ นคน คิดเป็นร้อยละ 21 (National Health Security Office, Ministry of Public Health, 2016) และในเทศบาล ตาบลป่าตันนาครัว มีจานวนผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงเพ่ิมจานวนขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ. 2561 , 2562 และ 2563 จานวน 16,25 และ 47 ราย ตามลาดับ ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงส่วนใหญ่มักพบปัญหาคุณภาพชีวิต เช่น ความ ผิดปกติของร่างกาย ขาดความรู้ในการดูแลสขุ ภาพของตนเอง มีความกังวลกลัวการถูกทอดท้ิงกลัวไม่มีผดู้ ูแล กลวั การไม่มีอาชีพที่เลี้ยงตนเองได้ และมีปัญหา ในการเข้าร่วมสังคมกับผู้อื่น Jongrat et al.,(2019) ซ่ึงในปี 2559 รัฐบาลได้เล็งเห็นว่าผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง ทั้งกลุ่มติดบ้าน ติดเตียงให้ได้รับการดูแลท่ีเหมาะสมตามชุดสิทธิ ประโยชน์ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสานักงานหลักประกันสุขภาพได้กาหนดข้ึน และให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเป็นผ้บู รหิ ารจัดการใหก้ ารบริการทางการแพทย์ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รวมทั้งฟื้นฟูสภาพ ของผูส้ ูงอายกุ ล่มุ ตดิ บ้านติดเตยี ง (National Health Security Office, Ministry of Public Health, 2016) นอกจากนี้ในกลุ่มผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงส่วนใหญ่มักพบปัญหาคุณภาพชีวิต ซึ่งองค์การอนามัยโลก World Health Organization (1997) ได้ให้ความหมายของคณุ ภาพชีวิตไวว้ า่ คณุ ภาพชวี ติ เป็นการรบั รขู้ องบุคคล ภายใต้บริบททางวัฒนธรรมและคุณค่าที่คนผู้นั้นอาศัยอยู่ ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมาย ความคาดหวัง มาตรฐานและส่ิงที่เกี่ยวข้องของบุคคลผู้นั้นเป็นมโนทัศน์หลายมิติท่ีประสานการรับรู้ของบุคคลใน ด้านสุขภาพ รา่ งกาย ดา้ นสภาวะจิตใจ ระดับความเป็นอสิ ระไม่ตอ้ งพึ่งพา ดา้ นความสัมพันธ์ทางสงั คม ดา้ นความเช่ือส่วนบคุ คล และความสมั พันธก์ ับสิ่งแวดลอ้ ม และมกี ารศึกษาวจิ ยั เกย่ี วกบั คุณภาพชวี ติ ผูส้ ูงอายุทม่ี ภี าวะพงึ่ พิง จากการทบทวน วรรณกรรม พบว่า คุณภาพชวี ติ ของผสู้ ูงอายุท่ีมภี าวะพ่ึงพิง ด้านร่างกายจะมีปัญหาเกีย่ วกบั การขาดความรู้ในเรื่อง การดูแลสุขภาพ เพราะส่วนใหญ่ไม่เชื่อและปฏิบัติตามคาแนะนาของบุคลากรทางการแพทย์ ด้านจิตใจ มักจะมี ปัญหาเร่ืองของความวิตกกังวล ห่วงใยลูกหลาน กลัวการถูกทอดท้ิง ตลอดจนมีความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว หมด กาลังใจหรือเศรา้ บอ่ ยๆ ในด้านสมั พนั ธภาพทางสงั คม ผู้สงู อายทุ ีม่ ภี าวะพ่ึงพิงสภาพร่างกายไมเ่ อื้อต่อการประกอบ อาชีพ ทาให้มีปัญหาเข้ารว่ มกิจกรรมตา่ งๆ ในชุมชน และในด้านส่ิงแวดล้อม พบว่า การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม สาหรับผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงเป็นเรื่องท่ีดาเนินการได้ยุ่งยาก เนื่องจากความไม่พร้อมของเศรษฐกิจภายใน ครัวเรือน วัสดุอุปกรณ์ต่างไม่มีความพร้อม Jongrat et al.,(2019) การเปล่ียนแปลงด้านร่างกายของผู้สูงอายุใน ทุกระบบ ทาให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประเมินตนเองมีสุขภาพไม่แข็งแรง และเป็นสาเหตุสาคัญท่ีทาให้ผู้สูงอายุไม่ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
106 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) สามารถหาเล้ียงตนเองได้ รู้สึกลดคุณค่าของตนเอง ทาให้คุณภาพชีวิตของตนเองลดลง (World Health Organization,2018) ผสู้ ูงอายยุ งั มีการเปลย่ี นแปลงด้านจิตใจและอารมณข์ องผสู้ ูงอายุ มคี วามท้อแท้ ซมึ เศร้า กลวั การถกู ทอดทิ้ง มผี ลตอ่ การดารงชวี ติ ของผสู้ ูงอายุ และ ส่งผลโดยตรงตอ่ ระบบบรกิ ารสุขภาพของผูส้ ูงอายุ สว่ นการ เปลี่ยนแปลงดา้ นสังคม ผสู้ ูงอายุ มกี ารปฏิสัมพนั ธก์ บั สังคมลดลง เน่อื งจากภาระหนา้ ท่แี ละบทบาททางสังคมลดลง ทาให้ผู้สูงอายุปรับตัวค่อนข้างยาก ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุลดลงด้วย ซ่ึงจากการท่ีผู้สูงอายุที่มีภาวะ พ่ึงพิงในด้านต่างๆ ดังกล่าวจึงมีความจาเป็นท่ีหน่วยงานต่างๆ ในชุมชนควรให้ความสาคัญและศึกษาถึงสภาพ ปัญหาของแต่ละพ้ืนที่ เพอ่ื นาไปสแู่ นวทางในการชว่ ยเหลอื ท่ีแตกตา่ งกนั ออกไป (Changmai ,2007) สาหรับเทศบาลตาบลปา่ ตันนาครัว เปน็ สงั คมกึง่ เมืองก่งึ ชนบท ทาใหผ้ ้สู ูงอายทุ ่มี ภี าวะพึ่งพงิ ตามโครงการ จัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสาหรับผู้สูงอายุและบุคคลอื่นท่ีมีภาวะพ่ึงพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว พบผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงฯ ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาในการเคล่ือนไหว ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ต้องมีผู้ดูแล ซึ่ง บางครัง้ ผดู้ ูแลอาจจะไมไ่ ดอ้ ย่ดู แู ลตลอดเวลาและไม่ได้เอาใจใส่อยา่ งเพยี งพอ จนอาจทาให้ผสู้ งู อายุมีความเศร้า หด หู่ และน้อยใจ ที่เป็นภาระแก่ผู้ดูแลทาให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุลดลง จนส่งผลทาให้เกิดปัญหาและความ ต้องการ ในการช่วยขเหลือเพื่อทาให้คุณภาพชีวิตของตนเองดีข้ึน ในการศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะ พ่ึงพิง สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ด้านได้แก่ ด้านสุขภาพกาย ด้านจิตใจ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม และด้าน สิ่งแวดล้อม (Mahatnirunkul et al.,2002) กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว ซ่ึงได้ รับผิดชอบ การจัดบริการดูแลระยะยาวสาหรับผ้สู ูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ในเขตเทศบาลตาบลป่าตันนาครัว ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านนาคตและบา้ นอว้ น เพื่อดูแลผู้สงู อายุที่ไดร้ ับการประเมินเข้าสู่การรับบริการ ดังกล่าว โดยมผี ู้จัดการระบบ (Care Manager) ทาหน้าที่วางแผนการดแู ล และผู้ดแู ล (Care Giver) ทาหนา้ ทด่ี แู ล ผู้สูงอายุ และมีหน้าที่ควบคุม และติดตามการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งได้ดาเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน พบว่า เริ่มมีจานวนผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงจานวนเพ่ิมขึ้น ในปี 2561, 2562 และ 2563 ตามลาดับ จานวน 16 , 25 และ 47 ราย (Municipal district Patunnakure, 2021) และผ้สู ูงอายุทีอ่ ยตู่ ดิ บ้าน ตดิ ตียงอาจมี คุณภาพชีวิตท่ีลดลงจากเดิม ซึ่งจากที่ผู้วิจัยได้ดูแลผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงในพื้นที่ พบว่าผู้สูงอายุมีปัญหาด้าน ร่างกาย เคลื่อนไหวค่อนข้างลาบาก ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย มักบ่นว่าเบ่ือ และกลัวเป็นภาระของลูกหลาน ทาให้ อยากมรี ายได้เปน็ ของตนเอง เพอ่ื เพม่ิ รายได้ใหค้ รอบครวั ลดการเป็นภาระใหแ้ กล่ กู หลาน ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเก่ียวกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีภาวะพ่ึงพิง ในพ้ืนที่เทศบาล ตาบลปา่ ตนั นาครัว อาเภอแม่ทะ จงั หวดั ลาปาง เพอ่ื นาผลการวิจยั มาวางแผนในการดแู ลท่ีเหมาะสมต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้าน สาธารณสุขสาหรบั ผู้สงู อายุและบุคคลอนื่ ทมี่ ภี าวะพ่งึ พิง เทศบาลตาบลป่าตนั นาครวั วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
107 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) 2. เพอื่ กาหนดแนวทางการดูแลคุณภาพชวี ติ ของผ้สู ูงอายุทีม่ ีภาวะพึ่งพิง ตามโครงการจัดบริการดูแลระยะ ยาวด้านสาธารณสุขสาหรับผู้สูงอายแุ ละบคุ คลอื่นท่ีมีภาวะพงึ่ พงิ เทศบาลตาบลปา่ ตันนาครวั ขอบเขตการวิจยั การวจิ ัยคร้ังนี้ มีขอบเขตการศึกษา 4 ดา้ น คือ 1) ดา้ นเนือ้ หา มงุ่ ศกึ ษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่มี ีภาวะ พ่ึงพิงตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสาหรับผู้สูงอายุและบุคคลอื่นที่มีภาวะพ่ึงพิง เทศบาล ตาบลป่าตนั นาครัว และกาหนดแนวทางการศกึ ษาแบบผสมผสาน ทัง้ เชิงปริมาณและคุณภาพ 2) ด้านกล่มุ ตวั อยา่ ง ได้แก่ ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ในเขตเทศบาลตาบลป่าตนั นาครัว ท่ีสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ 3) ด้านพื้นที่ คือ ใน เขตเทศบาลตาบลปา่ ตนั นาครวั อาเภอแม่ทะ จังหวัดลาปาง 4) ดา้ นระยะเวลาระหวา่ งเดือนตลุ าคม-ธนั วาคมพ.ศ.2564 วิธดี าเนนิ การวิจัย รูปแบบการวิจัย รูปแบบการวิจัยคร้ังนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) มีการเก็บข้อมูล ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยระยะท่ี 1 ดาเนินการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณก่อน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา สภาพการอยู่อาศัย แหล่งทม่ี าของรายได้ จานวนรายได้ โรคประจาตวั และจานวนสมาชิกใน ครัวเรือน และระดับคุณภาพชีวิตในแต่ละด้าน และในระยะท่ี 2 เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยมีการ สัมภาษณ์ เชิงลึกกับผู้สูงอายุที่มีภาวะพ่ึงพิง จานวน 25 คน เพ่ือตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้และนา ข้อมูลเชิงคุณภาพมาใช้เสริมและสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณโดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานในรูปแบบเชิงอธิบาย เป็นลาดบั (Sequential Explanatory) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ คือ ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง ตาม โครงการจัดบรกิ ารดูแลระยะยาวด้านสาธารณสขุ สาหรับผู้สูงอายแุ ละบุคคลอ่นื ทม่ี ีภาวะพึ่งพิง เทศบาลตาบลปา่ ตัน นาครวั จานวน 25 คน ซง่ึ มเี กณฑก์ ารคัดเลือก คอื เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) 1) ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ท่ีมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้าน สาธารณสขุ สาหรบั ผู้สงู อายุและบุคคลอ่ืนทีม่ ีภาวะพึง่ พิง เทศบาลตาบลปา่ ตนั นาครัว 2) เป็นผูส้ งู อายทุ ่ีมีภาวะพึ่งพิงท่ีสามารถสื่อสารกับผู้อน่ื ได้ และผวู้ จิ ยั เป็นผ้อู ่านคาถามให้ผ้สู ูงอายุที่มีภาวะ พง่ึ พิงเปน็ ผู้ตอบ เกณฑ์การคดั ออก (Exclusion criteria) 1) ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ออกจากโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวฯ ด้วยเหตุผลการเสียชีวิต หรือ อาการดีข้นึ และผ้สู ูงอายุที่มภี าวะพ่งึ พงิ ทไ่ี มส่ ามารถสื่อสารได้ 2) เป็นผ้สู งู อายทุ ่ีมีภาวะพึ่งพิงที่ได้รบั การวินิจฉยั เปน็ โรคทางสุขภาพจติ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
108 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั เครื่องมือทใี่ ช้ในการศึกษาเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ครง้ั นี้ ประกอบด้วย แบบสอบถาม ซง่ึ ผูว้ จิ ัยได้พฒั นาจากเคร่ืองมือช้ีวดั คุณภาพชีวติ ขององคก์ ารอนามัยโลกชดุ ยอ่ ฉบับ ภาษาไทย (Mahatnirunkul et al., 2002) โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา สภาพการอยู่อาศัย แหลง่ ท่มี าของรายได้ จานวนรายได้ โรคประจาตัว และจานวนสมาชิกในครวั เรือน สว่ นท่ี 2 ขอ้ มลู คุณภาพชวี ิต โดยเครื่องมือช้ีวดั คุณภาพชีวิตขององคก์ ารอนามัยโลกชุดย่อ ฉบบั ภาษาไทย (WHOQOL BREF THAI) แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านร่างกาย 2.ด้านจิตใจ 3.ด้านสัมพันธภาพทาง สังคม 4.ด้านสิ่งแวดล้อม จานวน 26 ข้อ โดยด้านร่างกายเป็นคาถามข้อท่ี 1-8 ด้านจิตใจเป็นคาถามข้อท่ี 9-14 ด้านสัมพันธภาพทางสงั คมเป็นคาถามข้อท่ี 15-17 และด้านสิ่งแวดล้อมเปน็ คาถามข้อที่ 18-26 แบบสอบถามเป็น แบบมาตรา ส่วนประเมินค่าแบบลิเคิร์ทสเกล (Likert , 1970) 5 ระดับ โดยมีระดับความคิดเห็นที่เก่ียวข้องในการ ใหค้ ะแนนและแปลความหมาย ดังน้ี 5 หมายถึง มีคณุ ภาพชีวิตอยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ 4 หมายถึง มคี ุณภาพชวี ติ อยู่ในระดับมาก 3 หมายถงึ มคี ณุ ภาพชวี ิตอยใู่ นระดับปานกลาง 2 หมายถึง มคี ุณภาพชวี ิตอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถงึ มีคุณภาพชวี ติ อย่ใู นระดบั นอ้ ยทีส่ ุด เกณฑ์การแปลความหมายของระดับคะแนนแปลผลโดยใช้ค่าเฉล่ียของผลคะแนนตามเกณฑ์ใน การวเิ คราะห์ ตามแนวคดิ ของ Likert Rating Scales มีรายละเอยี ดคะแนนเฉลยี่ ดงั น้ี ค่าเฉลี่ย 4.50 ถงึ 5.00 หมายความวา่ มคี ุณภาพชีวติ อยใู่ นระดบั มากที่สุด คา่ เฉลย่ี 3.50 ถึง 4.49 หมายความว่า มคี ุณภาพชวี ิตอยใู่ นระดับมาก ค่าเฉลย่ี 2.50 ถงึ 3.49 หมายความวา่ มีคุณภาพชีวติ อยใู่ นระดับปานกลาง ค่าเฉล่ยี 1.50 ถึง 2.49 หมายความว่า มคี ณุ ภาพชวี ิตอยู่ในระดับน้อย คา่ เฉลีย่ 1.00 ถึง 1.49 หมายความวา่ มคี ณุ ภาพชีวิตอยู่ในระดบั นอ้ ยทส่ี ุด แบบสมั ภาษณ์กง่ึ โครงสรา้ ง สาหรับแบบสมั ภาษณเ์ ชิงลึก ผวู้ ิจัยจะนาไปสัมภาษณ์เชงิ ลกึ กบั กลุม่ ผสู้ ูงอายุที่ มีภาวะพึ่งพิง โดยประกอบด้วยแนวคาถามจานวน 5 ข้อ ซ่ึงเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและแนวทางที่ กลมุ่ ผสู้ งู อายทุ ม่ี ภี าวะพึ่งพิงตอ้ งการไดร้ บั ความช่วยเหลอื การตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมอื ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบสอบถามจากเครื่องมือชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อฉบับภาษาไทย Mahatnirunkul et al.,.(2002) และได้นาไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 3 ท่าน ตรวจสอบและได้ค่าความสอดคล้อง ระหว่างขอ้ คาถามกับวัตถปุ ระสงค์ (IOC) เท่ากับ 0.83 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
109 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยใช้สัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาก (Cronbach's Alpha Coefficient) สาหรับการตรวจสอบความเช่ือมัน่ ของเคร่ืองมือผวู้ ิจัยได้นาเคร่ืองมือไปสอบความเชื่อมั่นในพน้ื ท่ีตาบลใกล้เคียงซ่ึง มลี ักษณะคลา้ ยคลึงกบั กลมุ่ ประชากรที่ศึกษาจานวน 10 คน ไดค้ ่าความเชือ่ ม่ันของเครอื่ งมือเท่ากบั 0.74 สาหรับแบบสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง ผู้วิจัยได้นาให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบประเด็นคาถาม เพ่ือดูความ ครอบคลุม ความเหมาะสมของเนอ้ื หา และภาษา การพทิ กั ษ์สทิ ธิ์กลุ่มตวั อย่างและจรยิ ธรรมวิจัย ผู้วิจัยได้ดาเนินการตามข้ันตอนของจริยธรรมการวิจัยทุกขั้นตอน โดยเลือกประชากรตามคุณสมบัติที่ กาหนดไว้ ไดท้ าการชี้แจงวัตถุประสงค์การวจิ ัย แจง้ การพทิ ักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง โดยแจ้งให้ทราบว่า โครงการวิจัย น้ีได้ผ่านการพิจารณารับรองคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดลาปางแล้ว เลขที่ 080/2564 รวมทงั้ แจง้ ใหถ้ ึงประโยชน์ท่จี ะเกิดขึน้ จากการวจิ ยั สิทธท์ิ ่จี ะบอกเลิกการเขา้ ร่วมการวจิ ัยเมื่อใดก็ ได้ รวมถึงการเก็บขอ้ มูลเปน็ ความลบั ตลอดการวิจัยและจะเปิดได้เฉพาะในรูปการสรุปผล การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1.ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงแบน มาตรฐาน แปลผลคะแนนคณุ ภาพชวี ิต 2. ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ วเิ คราะห์ด้วยการวิเคราะหป์ ระเด็นร่วมแบบวิเคราะหส์ าระข้อมูล ผลการวจิ ยั ผลการศึกษาระยะท่ี 1 : ข้อมูลทั่วไปและระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ตามโครงการ จดั บริการดูแลระยะยาวดา้ นสาธารณสุขสาหรับผู้สงู อายแุ ละบคุ คลอื่นท่ีมีภาวะพึง่ พิง เทศบาลตาบลปา่ ตันนาครวั ตารางท่ี 1 ข้อมลู ทว่ั ไปของผสู้ งู อายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงตามโครงการจดั บริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสขุ ฯ (n= 25) ขอ้ มูลท่ัวไป จานวน ร้อยละ 1. เพศ 6 24 ชาย 19 76 หญิง 3 12 2. ชว่ งอายุ 2 8 60 – 65 ปี 6 24 66 – 70 ปี 2 8 71 – 75 ปี 3 12 76 – 80 ปี 6 24 81 – 85 ปี 3 12 86 – 90 ปี 90 ปี ข้นึ ไป วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
110 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางท่ี 1 ข้อมูลทัว่ ไปของผสู้ ูงอายุที่มภี าวะพ่งึ พิงตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสขุ ฯ ( n= 25) (ตอ่ ) ข้อมูลทั่วไป จานวน ร้อยละ 3. ระดับการศกึ ษา 9 36.00 ไม่ได้รับการศกึ ษา 16 64.00 ประถมศึกษา 3 12.00 4. สภาพการอยู่อาศัยรว่ มกันกับ 5 20.00 ผอู้ ่ืนของผู้สูงอายุ 13 52.00 4 16.00 อยู่คนเดียว อยรู่ ่วมกับสามี/ภรรยา 5 20.00 อยู่รว่ มกบั ลูก/หลาน 20 80.00 อยู่ร่วมกับสามีหรอื ภรรยา และลูก/หลาน 18 72.00 5. แหล่งทม่ี าของรายได้ 7 28.00 หนว่ ยงานของรฐั (เบี้ยยังชีพ) หน่วยงานของรัฐ (เบ้ียยงั ชีพ) และ 6 24.00 ของบุคคลอ่นื (เงินของคู่สมรส ลกู 9 36.00 หลาน ญาต)ิ 5 20.00 6. รายไดต้ อ่ เดอื น 4 16.00 1 4.00 < 7,000 บาท ≥ 7,000 บาท 3 12.00 7. โรคประจาตวั 8 32.00 ไม่มีโรคประจาตวั 10 40.00 มจี านวน 1 โรค 4 16.00 มีจานวน 2 โรค มจี านวน 3 โรค มีจานวนมากกวา่ 3โรคขนึ้ ไป 8. จานวนสมาชิกในครวั เรอื น อยู่คนเดียว 1 – 2 คน 3 – 4 คน 4 คนขึน้ ไป วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
111 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง ในเขตเทศบาลตาบลป่าตันนาครัว ส่วนใหญ่เปน็ เพศหญิง ร้อยละ 76.00 มีช่วงอายุ 71-75 ปี, 86 – 90 ปี ร้อยละ 24.00 ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับ ประถมศึกษา ร้อยละ 64.00 ผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมกับลูก/หลาน ร้อยละ 52.00 แหล่งที่มาของรายได้จาก หน่วยงานของรัฐ (เบี้ยยังชีพ) และจากบุคคลอ่ืน (คู่สมรส/ลูก/หลาน) ร้อยละ 80.00 รายได้เฉลี่ยน้อยกว่า 7,000 บาท ร้อยละ 72.00 มีโรคประจาตัวมากกว่า 1 โรค ร้อยละ 76.00 จานวนสมาชิกในครัวเรือน จานวน 3-4 คน ร้อยละ 40.00 ตารางท่ี 2 ระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว โดยชุดระดับคุณภาพชีวิต ขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบบั ภาษาไทย (WHOQOL – BREF - THAI) คณุ ภาพชีวิต ระดบั คุณภาพชวี ิต (จานวน(คน) / รอ้ ยละ) นอ้ ยทสี่ ุด น้อย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ µ ������ ระดบั ด้านร่างกาย 1. สามารถทาในสงิ่ ท่ี 5 5 8 7 0 2.68 1.11 นอ้ ย ตอ้ งการแม้วา้ จะมีการ (20.00) (20.00) (32.00) (28.00) เจ็บปวดตามร่างกาย (ปวดหวั ปวดท้อง ปวดตามตวั ) 2. มกี าลังเพยี งพอท่ีจะทา 2 18 4 1 0 2.16 0.64 น้อย สงิ่ ต่างๆ ในแตล่ ะวนั ไหม (8.00) (72.00) (16.00) (4.00) (ทงั้ เรื่องงาน การดาเนิน ชีวติ ประจาวนั ) 3. พอใจกับการนอนหลบั 0 1 12 12 0 3.44 0.58 ปาน (4.00) (48.00) (48.00) กลาง 4. รู้สกึ พอใจท่สี ามารถทา 1 11 12 1 0 2.52 0.65 น้อย อะไรๆ ผ่านไปไดใ้ นแต่ละวนั (4.00) (44.00) (48.00) (4.00) 5.ทางานหรือมชี ีวิตอยูไ่ ด้ใน 8 13 3 1 0 1.88 0.78 นอ้ ย แตล่ ะวัน แม้ว่าจะ (32.00) (52.00) (12.00) (4.00) ทส่ี ุด จาเปน็ ตอ้ งไปรบั การ รักษาพยาบาล วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
112 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางที่ 2 ระดับคณุ ภาพชวี ติ ของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง เทศบาลตาบลปา่ ตันนาครัว โดยชุดระดบั คณุ ภาพชีวิต ขององค์การอนามยั โลกชุดยอ่ ฉบบั ภาษาไทย (WHOQOL – BREF - THAI) (ต่อ) คณุ ภาพชีวิต ระดับคณุ ภาพชีวติ (จานวน(คน) / รอ้ ยละ) น้อยที่สดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากที่สดุ µ ������ ระดับ 6. พอใจกบั ความสามารถในการ 2 15 8 0 0 2.24 0.60 นอ้ ย ทางานไดอ้ ยา่ งที่เคยทามา (8.00) (60.00) (32.00) 7.สามารถไปไหนมาไหน 5 13 7 0 0 2.08 0.70 นอ้ ย ดว้ ยตนเองได้ดี (20.00) (52.00) (28.00) 8.พอใจกบั สุขภาพในตอนน้ี 0 8 10 7 0 2.96 0.79 น้อย (32.00) (40.00) (28.00) ด้านจิตใจ 9. รู้สกึ พึงพอใจในชีวิต เชน่ 0 9 11 5 0 2.84 0.75 น้อย มีความสุข ความสงบ มี (36.00) (44.00) (20.00) ความหวงั 10.มีสมาธิในการทางาน 1 17 7 0 0 2.24 0.52 น้อย ต่างๆดี (4.00) (68.00) (28.00) 11.รู้สึกพอใจในตนเอง 0 18 7 0 0 2.28 0.46 น้อย (72.00) (28.00) 12. ยอมรับรูปรา่ งหน้าตา 5 18 7 0 0 1.18 0.53 นอ้ ย ของตนเอง (20.00) (72.00) (28.00) ทส่ี ุด 13. รู้สึกเหงา เศรา้ หดหู่ 2 2 10 11 0 3.20 0.91 ปาน สน้ิ หวงั วติ กกังวล (8.00) (8.00) (40.00) (44.00) กลาง 14. รสู้ ึกว่าชวี ิตทีม่ ี 0 13 10 2 0 2.56 0.65 นอ้ ย ความหมายมากน้อยเพียง (52.00) (40.00) (8.00) ดา้ นสมั พันธภาพทางสงั คม 15. พอใจต่อการผกู มติ ร 1 7 11 6 0 2.88 0.83 นอ้ ย หรอื เขา้ กบั คนอ่ืนอยา่ งที่ (4.00) (28.00) (44.00) (24.00) ผ่านมา วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
113 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางที่ 2 ระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว โดยชุดระดับคุณภาพชีวิต ขององคก์ ารอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย (WHOQOL – BREF - THAI) (ต่อ) คณุ ภาพชวี ติ ระดับคณุ ภาพชีวิต (จานวน(คน) / รอ้ ยละ) นอ้ ยที่สดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ µ ������ ระดบั 16.พอใจกบั การช่วยเหลอื ท่ี 2 11 8 4 0 2.56 0.87 น้อย เคยได้รับจากเพื่อนๆ (8.00) (44.00) (32.00) (16.00) 17.พอใจในชวี ติ ทางเพศ 25 0 0 0 0 1.00 0.00 นอ้ ย ของทา่ น (100.00) ทสี่ ุด ด้านสิ่งแวดลอ้ ม 18. รูส้ ึกวา่ ชวี ติ มีความ 0 5 15 5 0 3.00 0.65 ปาน ม่นั คงปลอดภยั ดีในแต่ละวนั (20.00) (60.00) (20.00) กลาง 19. พอใจกบั สภาพ 0 5 12 8 0 3.12 0.73 ปาน บ้านเรือนที่อย่ตู อนน้ี (20.00) (48.00) (32.00) กลาง 20. มเี งินพอใชจ้ า่ ยตาม 2 4 16 3 0 2.80 0.76 น้อย ความจาเปน็ (8.00) (16.00) (64.00) (12.00) 21. พอใจที่จะสามารถไปใช้ 0 15 10 0 0 2.40 0.50 น้อย บรกิ ารสาธารณสขุ ได้ตาม (60.00) (40.00) ความจาเป็น 22. ไดร้ เู้ ร่ืองราวข่าวสารที่ 1 7 11 6 0 2.88 0.83 น้อย จาเป็นในชวี ติ แต่ละวันกน้ (4.00) (28.00) (44.00) (24.00) 23. มโี อกาสได้พกั ผ่อน 0 5 17 3 0 2.92 0.57 น้อย คลายเครียดมาก (20.00) (68.00) (12.00) 24. สภาพแวดล้อมต่อ 0 4 18 3 0 2.96 0.54 น้อย สุขภาพของท่าน (16.00) (72.00) (12.00) 25. พอใจกบั การเดนิ ทาง 0 22 2 1 0 2.04 0.35 น้อย ไปไหนมาไหน (การ (88.00) (8.00) (4.00) คมนาคม) 26. คิดวา่ คุณภาพชวี ิต 0 9 9 7 0 2.92 0.81 นอ้ ย ความเปน็ อยู่ในขณะน้ี (36.00) (36.00) (28.00) โดยรวม 3.32 0.57 ปาน กลาง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
114 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) จากตารางที่ 2 ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมของระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง เทศบาล ตาบลป่าตันนาครัว อยู่ในระดับปานกลาง (µ = 3.32 , ������ = 0.57) โดยมีระดับคุณภาพท่ีอยู่ในระดับน้อยที่สุด 3 ประเด็นได้แก่ ข้อที่ 17 พอใจในชีวิตทางเพศของท่าน, ข้อที่ 12 ยอมรับรูปร่างหน้าตาของตนเอง และ ข้อที่ 5 ทางานหรือ มีชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวัน แม้ว่าจะจาเป็นต้องไปรับการรักษาพยาบาล โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานดงั นี้ (µ = 1.00 , ������ = 0.00), (µ = 1.18 , ������ = 0.53) และ (µ = 1.88 , ������ = 0.78) ตามลาดบั สาหรบั ระดบั คณุ ภาพชวี ิตที่อยูใ่ นระดับนอ้ ย 3 ประเดน็ ไดแ้ ก่ ขอ้ ที่ 7 สามารถไปไหนมาไหนดว้ ยตนเองได้ ดี , ข้อท่ี 25 พอใจกับการเดินทางไปไหนมาไหน (การคมนาคม) , ข้อท่ี 21 พอใจที่จะสามารถไปใช้บริการ สาธารณสุขได้ตามความจาเปน็ โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานดังน้ี (µ = 2.08 , ������ = 0.70) , (µ = 2.04 , ������ = 0.35), (µ =2.40 , ������ = 0.50) ตามลาดบั ผลการศกึ ษาระยะที่ 2 : กาหนดแนวทางการดูแลคณุ ภาพชีวิตของผูส้ ูงอายทุ ่ีมภี าวะพึง่ พิง ตามโครงการจัดบริการ ดแู ลระยะยาวด้านสาธารณสุขสาหรบั ผ้สู ูงอายแุ ละบุคคลอนื่ ทีม่ ีภาวะพง่ึ พงิ เทศบาลตาบลป่าตนั นาครวั จากการสมั ภาษณแ์ บบเจาะลกึ (In – depth Interview) เก่ียวกบั คุณภาพชวี ิตของผูส้ งู อายทุ ีม่ ภี าวะพ่ึงพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว พบว่า 1. ดา้ นรา่ งกาย 1.1 สภาพร่างกายทั่วไป ประเด็นร่วมที่พบคือ ผู้สูงอายุต้องพึ่งพิงสมาชิกในครอบครัว และ มีปัญหาใน การเคลอื่ นไหวและการส่อื สาร ดงั มขี อ้ มลู ของผู้ใหส้ ัมภาษณ์ที่ว่า “ปวดขาและปวดทอ้ งบางครง้ั ” (ผสู้ งู อายุคนที่ 1) “ขาทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถเหยียดได้ พยายามเหยียดแลว้ จะปวด” (ผู้สูงอายุคนที่ 2) “ปวดเข่าท้ัง 2 ข้าง ทาให้เดิน ลาบาก ทาให้ใช้ชีวิตไม่ปกติ” (ผู้สูงอายุคนที่ 3) “ขาข้างซ้ายอ่อนแรง ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย” (ผู้สูงอายุคนที่ 8) “ขา 2 ข้างไม่มีแรง เดินไม่ได้ ไม่มีความรู้เร่ืองการกายภาพ แต่เคลื่อนไหวด้วยการเขยิบ” (ผู้สูงอายุคนท่ี 9) “มีแผล บริเวณกน้ เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 2 ซม. ลาบากในการทาแผล” (ผสู้ งู อายุคนที่ 10) “ปวดขา 2 ข้างบางครัง้ ทานยาแก้ ปวดอาการดีข้ึน” (ผู้สงู อายคุ นท่ี 12) “มีปวดเม่ือยตามข้อต่างๆ เวลาขยบั ตวั มากๆ”(ผู้สูงอายุคนท่ี 14) “ขา 2 ข้างไม่ มแี รง ขบั ถ่าย ใสแ่ พมเพิรส์ ทาให้ส้ินเปลืองคา่ ใช้จา่ ย ไมอ่ ยากเปน็ ภาระลูก” (ผ้สู งู อายคุ นที่ 16) “หทู งั้ 2 ข้าง ได้ยิน ไม่ค่อยชัดเจนทาให้สื่อสารลาบาก” (ผู้สูงอายุคนที่ 21) และ “เดินลาบากบ้าง มีปวดข้อ และเข่าบางครั้ง” (ผู้สูงอายุ คนที่ 22 และคนท่ี 25) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะท่ี 1 ท่ีพบว่า คุณภาพชีวิตด้านร่างกายที่อยู่ในระดับน้อย ในข้อ 1) สามารถทาในสิ่งที่ต้องการแม้วา้ จะมีการเจ็บปวดตามร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้องปวดตามตัว และ ข้อ 2) มี กาลังเพยี งพอในการทาสิง่ ต่างๆ ในแตล่ ะวัน และข้อ 7 สามารถไปไหนมาไหนดว้ ยตนเองได้ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
115 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) 1.2 ความต้องการช่วยเหลือด้านร่างกาย ประเด็นร่วมที่พบคือ ความต้องการเรื่องค่าใช้จ่าย การทา กายภาพบาบัด และความช่วยเหลือเก่ียวกับอุปกรณ์กายภาพบาบัดที่ช่วยให้เคล่ือนไหวร่างกายได้ดีขึ้น รวมถึงคน ดูแลด้านสุขภาพ เช่น อสม. ดังมีข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ท่ีว่า “อยากได้ยาสามัญประจาบ้าน เวลาเจ็บ ปวด เล็กๆน้อยๆ รักษาเองได้” (ผู้สูงอายุคนที่ 1 , คนที่ 2 และคนที่ 3)“อยากได้ไม้สี่ขาหรือรถเข็น เพ่ือช่วยในการเดนิ จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 8) “อยากให้มีกิจกรรมดูแลเข่า พอกเข่า ลดอาการปวดเข่าได้บ้าง” (ผู้สูงอายุคนท่ี 3 , คนที่ 22 และคนท่ี 25) “อยากได้รถเข็นน่ัง อยากออกไปข้างนอก” (ผู้สูงอายุคนที่ 12) “อยาก ได้อุปกรณ์ช่วยเดิน คือไม้สี่ขา” (ผู้สูงอายุคนที่ 14) “อยากมีความรู้เรอ่ื งการทากายภาพ จะได้ทาให้ตัวเองไดบ้ า้ ง” (ผู้สูงอายุคนที่ 9) “อยากให้มีคนมาทาแผลทุกวัน” (ผู้สูงอายุคนที่ 10) “อยากได้เพิมเพิร์สฟรีบ้าง เพื่อลดภาระ ค่าใชจ้ ่ายของลูกได้” (ผู้สูงอายคุ นท่ี 16) “อยากได้รถเขน็ นั่ง เพอ่ื จะไปท่ีต่างๆ ไดบ้ า้ ง” (ผูส้ งู อายุคนท่ี 22) “อยากได้ ไมค้ ้ายัน หรือไมส้ ่ขี า เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดินได้สะดวก” (ผสู้ ูงอายคุ นท่ี 24) และ “อยากให้ อสม. มา”(ผ้สู ูงอายคุ นที่ 25) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะที่ 1 ที่พบว่า คุณภาพชีวิตด้านร่างกายท่ีอยู่ในระดับน้อยในข้อ 4) รู้สึกพอใจที่สามารถทาอะไรๆ ผ่านไปได้ในแต่ละวัน และ ข้อ 5) ท่ีอยู่ในระดับน้อยท่ีสุด ที่ระบุว่า ทางานหรือมี ชีวติ อยไู่ ดใ้ นแต่ละวนั แมว้ ่าจะจาเป็นต้องไปรับการรักษาพยาบาล 2. ดา้ นจติ ใจ 2.1 สภาพจิตใจทั่วไป ประเด็นร่วมท่ีพบคือ เบื่อ เครียด กังวล ท้อแท้ เหงา ขาดกาลังใจ ดังมีข้อมูลของ ผู้ให้สัมภาษณ์ที่ว่า “เบ่ือ ไม่อยากทาอะไรเลย” (ผู้สูงอายุคนท่ี 1) “มีอาการเบ่ือบางคร้ัง บางคร้ัง ก็เฉยๆ” (ผสู้ ูงอายคุ นท่ี 2) “ไมม่ ีเบ่ือ อยู่บ้านคนเดยี วเวลากลางวนั กฟ็ งั วทิ ยุ ฟงั ข่าว” (ผสู้ งู อายคุ นท่ี 3) “สภาพจติ ใจดี ไม่มี อาการเหงา ไม่เบ่ือ” (ผู้สูงอายุคนท่ี 5) “เบื่อบางครั้ง อยู่บ้านกัน 2 คน แค่สามีภรรยา บางคร้ังก็ทะเลาะกันบ้าง” (ผู้สูงอายุคนท่ี 6) “มีอาการเหงา เหมือนถูกทอดทิ้ง เพราะลูกอยู่ไกล” (ผู้สูงอายุคนท่ี 10) “อยู่บ้าน 2 คนกับ ภรรยา มีเหงาบางครั้ง” (ผู้สูงอายุคนที่ 12) “อยู่บ้านเฉยๆ มีเบื่อบ้าง แต่ลูกอยู่ด้วยตลอด หายเบ่ือได้บ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 13) “ไม่เหงา ไม่เศร้าใช้ชีวิตให้ปกติ ตามสภาพของเรา” (ผู้สูงอายุคนที่ 14) “จิตใจดี ไม่เหงา ไม่ เบอื่ ชนิ กับการอยบู่ ้านเฉยๆ แลว้ ” (ผสู้ ูงอายุคนท่ี 15) “มเี บ่ือบางครง้ั เพราะทะเลาะกบั ลกู ทอ่ี ยู่ด้วย ไม่ค่อยได้คุย กัน แต่จะมีเพ่ือนบ้าน มาเที่ยวหาบา้ ง เลยไม่ค่อยเหงา” (ผู้สูงอายุคนท่ี 16) “เครียด เพราะเดินไม่ได้ ไม่ได้หาเงนิ ค่าใช้จ่ายไม่พอใช้ลูกหาเงินคนเดียว แต่ใช้กันท้ังบ้านมีหลายคน” (ผู้สูงอายุคนท่ี 17) “เครียด กังวลเก่ียวกับการ อาการป่วย ไม่ดีข้ึนเลย” (ผู้สูงอายุคนท่ี 18) “ไม่เหงา ไม่เบ่ือ ชินกับการนอนแบบนี้แล้ว” (ผู้สูงอายุคนท่ี 19) “สภาพจิตใจดี ไม่เครียด มีเบื่อบ้าง เพราะอยู่บ้านเฉยๆ” (ผู้สูงอายุคนที่ 20) “เหงา เบื่อบางครั้ง เพราะไม่มีคน ดูแล อยู่คนเดียว” (ผู้สูงอายุ คนที่ 22) “สภาพจิตใจดี ไม่เหงา มีเพื่อนบ้านคุยด้วย” (ผู้สูงอายุคนที่ 23) “มีอาการ หลงลืมบ้าง แต่อยู่บา้ นไม่เหงา” (ผู้สูงอายุคนท่ี 24) และ “ไม่เบอ่ื ไม่เหงา อยบู่ ้านเฉยๆ” (ผสู้ ูงอายุคนที่ 25) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
116 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ซ่ึงสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะท่ี 1 ที่พบว่าคุณภาพชีวิตด้านจิตใจที่อยู่ในระดับน้อยคือ ข้อ 9) รู้สึกพงึ พอใจในชีวิต เช่น มคี วามสุข ความสงบ มีความหวัง และขอ้ 11) ร้สู ึกพอใจในตนเอง และท่อี ยู่ในระดับปาน กลาง ขอ้ 13 ระบุว่า รสู้ ึกเหงา เศร้า หดหู่ ส้ินหวงั วติ กกงั วล 2.2 ความต้องการช่วยเหลือด้านจิตใจ ประเด็นร่วมท่ีพบคือ ต้องการกาลังใจจากบุคคล รอบข้าง ดังมี ข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ท่ีว่า “มีหลานๆ อยู่ด้วย อาการเบ่ือ ดีขึ้นบ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 1) “มี อสม. และ อาสาสมคั รบริบาลท้องถ่ิน มาเยยี่ มบา้ ง อาการเบื่อลดลง” (ผสู้ ูงอายุคนท่ี 2) “อยากให้มหี มอการเยี่ยมบา้ นบ่อยๆ เผ่อื จะไดป้ รกึ ษาเร่ืองสุขภาพ และคลายเหงา” (ผสู้ งู อายคุ นท่ี 6) “การผอ่ นคลาย ทาให้ไมเ่ บ่อื โดยการฟงั วทิ ยุ ฟงั ข่าวสารต่างๆ” (ผู้สูงอายุคนที่ 8 และคนท่ี 9) “มี อสม. มาเย่ียมรู้สึกดีข้ึน อยากให้มาเย่ียมตลอด” (ผู้สูงอายุคนที่ 12) “อสม. และ อาสาสมัครบรบิ าลท้องถ่ินมาเยี่ยมรู้สกึ ดี ไม่ค่อยเหงา” (ผู้สูงอายคุ นที่ 19) “อสม. และอาสาสมัคร บริบาลท้องถ่ิน ดูแลดี อยากให้ดูแลแบบนี้ตลอด” (ผู้สูงอายุคนท่ี 20) “อยากให้มีกิจกรรมรวมกลุ่มบ้าง อยาก พบปะเพือ่ นๆ พดู คุยกนั บ้าง” (ผู้สงู อายุคนท่ี 21) และ “อสม. ดแู ลดี อยากใหด้ แู ลแบบนตี้ ลอด” (ผ้สู งู อายคุ นที่ 25) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะที่ 1 ที่พบว่าคุณภาพชีวิตด้านจิตใจในข้อ 14) ที่อยู่ในระดับปาน กลาง ที่ระบุว่า รู้สึกวา่ ชวี ติ ทา่ นมีความหมายมาก 3. ดา้ นสมั พันธภาพทางสังคม 3.1 สัมพันธภาพทางสังคมทั่วไป ประเด็นร่วมท่ีพบคือ ต้องการการมีปฏิสัมพันธ์จากบุคคลในชุมชน ดังมี ข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ที่ว่า “อยู่คนเดียวตอนกลางวัน เพราะลูกไปทางาน แต่ไม่เหงา เพราะมีเพ่ือนบ้านมาเทีย่ ว หาบ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 5) “อยู่กัน 2 คนกับสามี ลูกไม่มี ไม่มีคนดูแลตอนกลางวัน ญาติอยู่ไกลไม่ได้มาเย่ียม” (ผู้สูงอายุคนที่ 9) “อยู่คนเดียว รู้สึกเหงา เหมือนถูกทอดทิ้ง ลูกอยู่ไกล แต่โทรศัพท์มาหาตลอด” (ผู้สูงอายุคนที่ 10) “ลูกหลานไม่ค่อยมาหาเพราะอยู่ไกล เหงาบ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 11) “ญาติไม่ค่อยมาเย่ียม ไม่มาดูแลเลย” (ผสู้ ูงอายุคนท่ี 12 และคนที่ 22) “มญี าตแิ ละเพ่ือนบ้านคุยดว้ ย ชว่ ยเหลือและดแู ลเป็นอยา่ งดี” (ผูส้ งู อายคุ นที่ 23) และ “ญาต/ิ ลกู หลานดแู ลดี” (ผู้สูงอายุคนที่ 24) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะที่ 1 ที่พบว่า คุณภาพชีวิตด้านสัมพันธภาพทางสังคมในข้อ 15) ท่ีอยู่ในระดับน้อยท่ีระบุว่า พอใจต่อการผูกมติ รหรอื เข้ากบั คนอ่ืนอยา่ งที่ผา่ นมา” และข้อ 16) ทร่ี ะบวุ ่า ท่านพอใจกบั การ ช่วยเหลือทเ่ี คยได้รบั จากเพือ่ นๆ 3.2ความต้องการช่วยเหลอื ดา้ นสมั พนั ธภาพทางสังคม ประเด็นร่วมท่พี บคือ อย่คู นเดยี ว เหมอื นถูกทอดทิ้ง , ญาติ/ลูกไม่ได้ดูแล และอยากให้มีการดูแลด้านสุขภาพที่บ้าน เช่น ให้ความรู้ ตรวจเย่ียม ดังมีข้อมูลของผู้ให้ สัมภาษณ์ที่ว่า“อยากให้มีกิจกรรมท่ีให้ความรู้ และมีการพบปะ ตามหมู่บ้านบ้าง เผ่ือจะได้เข้าร่วมและทากิจกรรม เท่าที่จะทาได้” (ผู้สูงอายุคนท่ี 5 และคนที่ 10) และ “อยากให้มี อสม. มาดูแลตลอด เพราะมีคนมาดูแลมาสนใจ และมคี วามสาคญั ” (ผูส้ ูงอายคุ นท่ี 9) วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
117 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะท่ี 1 ท่ีพบว่า คุณภาพชีวิตด้านสัมพันธภาพทางสังคมในข้อ 15) ทอ่ี ย่ใู นระดบั น้อยทรี่ ะบุวา่ พอใจตอ่ การผกู มติ รหรือเขา้ กบั คนอ่ืนอย่างท่ีผ่านมา 4. ด้านสิง่ แวดล้อม 4.1 สภาพแวดล้อมทว่ั ไป ประเดน็ รว่ มที่พบคือ รายได้ไม่เพยี งพอ และสภาพบา้ นไม่ม่ันคง ไมส่ ะอาด ดังมี ข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ท่ีว่า “รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย บางคร้ังมีการยืมจากเพื่อนบ้านบ้าง” (ผู้สูงอายุคนที่ 2) “มีอาการเหนอ่ื ยบอ่ ย เดนิ ทางไป รพ. ลาบาก ตอ้ งขอรถ อปพร. ไปสง่ บอ่ ยๆ” (ผู้สูงอายคุ นที่ 6) “บ้านทอี่ ยู่เป็น บ้านของตนเอง มคี วามม่นั คง แต่เงนิ ไม่พอใช้” (ผู้สงู อายุคนท่ี 8) “สภาพบ้านค่อนข้างเก่า ไม่ม่นั คง หลงั คาสังกะสี บางทมี ีฝนรว่ั ” (ผสู้ ูงอายุคนที่ 9) “บ้านมนั่ คงดี ภายรอบบา้ นเป็นตน้ ไม้ รม่ รื่นดี” (ผู้สูงอายุคนท่ี 10) “อยากออกไป นอกบ้านบ้าง บ้านหลังน้ีอยู่คนเดียว แต่บ้านลูกก็อยู่ใกล้ๆลูกมาหาตลอด” (ผู้สูงอายุคนท่ี 11) “เงินเบ้ียยังชีพไม่ค่อย พอใช้ เพราะรายจ่ายทางสังคมค่อนข้างมาก” (ผู้สูงอายุคนท่ี 12) “อยู่บ้านของตนเอง ม่ันคงแข็งแรง ปลอดภยั ดี” (ผู้สูงอายุคนท่ี 13) “เงินที่มี ไม่ค่อยเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย เพราะอยู่ด้วยกันหลายคน” (ผู้สูงอายุคนที่ 14) “บ้านที่ อาศัยอยู่ แข็งแรง ปลอดภัยดี” (ผู้สูงอายุคนท่ี 15) “รายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว เพราะได้แต่เบี้ย ยังชีพผู้สูงอายุและผู้พิการเท่าน้ัน” (ผู้สูงอายุคนที่ 20) และ “อยู่บ้านคนเดียว บ้านรกไม่ค่อยสะอาด ไม่มีคนช่วย ทาความสะอาด เพราะเราไมส่ ามารถทาได้ นานๆหลานจะมาใหค้ รงั้ หนง่ึ ” (ผสู้ ูงอายุคนท่ี 22) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะท่ี 1 ท่ีพบว่า คุณภาพชีวิตด้านส่ิงแวดล้อมในข้อ 19) ที่อยู่ใน ระดับปานกลาง ที่ระบุว่า ท่านพอใจกับสภาพบ้านเรือนท่ีอยู่ตอนนี้ และข้อ 20) ที่มีระดับคุณภาพชีวิตในระดับ น้อย ทร่ี ะบวุ า่ มเี งินพอใชจ้ า่ ยตามความจาเป็น 4.2 ความต้องการช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นร่วมที่พบคือ อยากมีรายได้เพิ่ม และอยากให้ ซ่อมแซมบ้าน ให้มั่นคง และสะอาด ดังมีข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ท่ีว่า “อยากได้เบ้ียผู้สูงอายุและผู้พิการเพ่ิม เพ่ือ จะได้มีรายได้เพ่ิมข้ึน เพียงพอกับรายจ่าย” (ผู้สูงอายุคนที่ 2) “อยากได้ออกซิเจนไว้ที่บ้าน โดยไม่เสียเงินเวลาเติม เพราะเวลาเหน่อื ยจะไดน้ ามาใสห่ ากไมด่ ีขน้ึ คอ่ ยไป รพ.ลดภาระการไปรพ.” (ผู้สงู อายุคนที่ 6) “อยากใหม้ กี ารซ่อมแซม บ้านให้บ้าง ทาให้มั่นคง แข็งแรง หลังคาไม่รั่วซึม” (ผู้สูงอายุคนท่ี 9) และ“อยากให้ อสม. และอาสาสมัครบริบาล มาช่วยดแู ลสิง่ แวดลอ้ มภายในบ้านและอยากใหเ้ ทศบาลฯมาช่วยทาความสะอาดบา้ นให้” (ผ้สู ูงอายคุ นที่ 22) ซ่ึงสอดคล้องกับข้อมูลเชิงปริมาณในระยะที่ 1 ท่ีพบว่า คุณภาพชีวิตด้านส่ิงแวดล้อมในข้อ 19) ท่ีอยู่ใน ระดับปานกลาง ที่ระบุว่า พอใจกับสภาพบ้านเรือนท่ีอยู่ตอนน้ี และข้อ 20) ที่มีระดับคุณภาพชีวิตในระดับน้อย ที่ ระบวุ ่า มเี งินพอใช้จา่ ยตามความจาเป็น สาหรับแนวทางการดูแลคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาว ด้าน สาธารณสุข สาหรับผ้สู งู อายแุ ละบุคคลอืน่ ทม่ี ีภาวะพึ่งพงิ เทศบาลตาบลปา่ ตันนาครวั จากการสัมภาษณ์พบว่า 1. ดา้ นร่างกาย ผู้ให้ขอ้ มูลดังน้ี “วางแผนการดูแลด้านสุขภาพของผ้สู ูงอายุที่มภี าวะพ่ึงพิง อยา่ งสมา่ เสมอ โดยบคุ ลากรทางการแพทย/์ อสม./ผดู้ ูแลผสู้ ูงอายทุ ี่มภี าวะพง่ึ พิง (CG)” (ผ้สู ูงอายุคนท่ี 3 , 22 และ 25) “ใหค้ วามรู้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
118 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) เรื่องการดูแลสุขภาพและการทากายบาบัดสาหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง” (ผู้สูงอายุคนที่ 9 และ 10) และ“การ จดั หากายอุปกรณช์ ่วยดา้ นการเคลอ่ื นไหวท่เี หมาะสมสาหรบั ผู้สงู อายุทมี่ ีภาวะพึง่ พิง”(ผสู้ ูงอายุคนท่ี 8,12,14และ24) 2. ด้านจิตใจ ผู้ให้ข้อมูลคือ “การออกเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงอย่างสม่าเสมอ ทั้งบุคลากรทาง การแพทย์ เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อสม. ผู้นาชุมชน เพ่ือให้กาลังใจและดูแลสุขภาพจิตแก่ผ้สู ูงอายุ ฯ” (ผ้สู ูงอายุคนที่ 2 และ 6) 3. ด้านสัมพันธภาพทางสังคม ผู้ให้ข้อมูลคือ “ส่งเสริมกิจกรรมให้ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง ได้มีส่วนร่วมใน ชมุ ชน” (ผ้สู ูงอายคุ นท่ี 5 , 9 และ 10) 4. ด้านส่ิงแวดล้อม ผู้ให้ข้อมูลคือ “ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย การซ่อมแซมบ้าน” (ผู้สูงอายุคนที่ 6, 9 และ 22) และ “สนบั สนุนการฝกึ อาชพี ที่เหมาะสม” (ผ้สู ูงอายคุ นท่ี 2) อภปิ รายผล 1. ระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข สาหรับผู้สูงอายุและบุคคลอื่นท่ีมีภาวะพ่ึงพิง เทศบาลตาบลป่าตันนาครัว โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ซ่ึง จาก ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตท่ีอยู่ระดับน้อยท่ีสุด ได้แก่ ความพอใจในชีวิตทางเพศ การยอมรับรูปร่าง หนา้ ตา และทางานหรอื มชี ีวิตอยู่ได้ในแต่ละวันแม้วา่ จะจาเป็นตอ้ งไปรับการรักษาพยาบาล (µ = 1.88 ������= 0.78), (µ = 1.18 ������ =0.53), (µ = 1.00 ������ = 0.00) ตามลาดบั เหตุที่เป็นเชน่ นี้เพราะผ้สู ูงอายุส่วนใหญ่มีปัญหาทางการ เคลื่อนไหว ไม่สามารช่วยเหลือตนเองได้ บางรายมีปัญหาเร่ืองข้อติด นอนติดเตียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนเอง จึงส่งผลให้คุณภาพชวี ิตของตนเองในเรื่องการยอมรับรูปร่างหน้าตาของตนเอง รวมถึงความสามารถในการทางาน หรือมีชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวัน แม้ว่าจะจาเป็นต้องไปรับการรักษาพยาบาลนั้นอยู่ในระดับน้อยท่ีสุด ซ่ึงสอดคล้องกับ การศึกษาในเรอ่ื งภาวะสุขภาพและคุณภาพชวี ิตผ้สู งู อายุท่มี ภี าวะพึง่ พงิ ของ Jongrat et al., (2019) พบวา่ ผู้สงู อายุ มปี ญั หาด้านจติ ใจมากท่สี ุดในเร่ืองความวิตกกังวล กลวั ลกู หลานทอดทิ้ง กงั วลวา่ จะไม่มีคนดูแล หว่ งรูปร่างหน้าตา ของตนเอง ตลอดจนมีความรู้สกึ เหงา และโดดเด่ียว นอกจากน้ีการที่ไม่สามารถเคล่ือนไหวร่างกายหรือเดินทางไป ไหนมาไหน ได้ด้วยตนเองส่งผลให้คุณภาพชีวิตด้านร่างกาย ในเร่ืองความสามารถในการทาในส่ิงต่างๆ ท่ีต้องการ แมว้ า่ จะมีการเจ็บปวดตามรา่ งกาย, ความรู้สึกพอใจในการทาสิ่งตา่ งๆ ให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน , ทางานหรือมีชีวิต อยู่ได้ในแต่ละวันแม้ว่าจะจาเป็นต้องไปรับการรักษาพยาบาล รวมถึงสามารถไปไหนมาไหนด้วยตนเองได้อยู่ใน ระดับน้อยตามมาด้วย สอดคล้องกับการศึกษาในเรื่องภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงของ Jongrat et al., (2019) พบว่า คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิงจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในทางที่ เสื่อมทาให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคเรื้อรัง เกิดการเปล่ียนแปลงภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่เช่ือมโยงทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ความสามารถในการทากิจกรรมและบทบาททางสังคมลดลง ต้อง พ่ึงพาผู้อื่นมากข้ึน ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามกาลเวลา ทาให้เกิดการทรุดโทรมของ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
119 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) อวัยวะต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีระดับคุณภาพชีวิตในเรอ่ื งของความสามารถในการทางานในชีวติ ประจาวันท่ีลดลงตาม ไปด้วย สาหรับคุณภาพชีวิตด้านสัมพันธภาพทางสังคม ผู้สูงอายุมีความพอใจต่อการผูกมิตรหรือเข้ากับผู้อ่ืน มี ความพอใจกับการช่วยเหลือท่ีเคยได้รับจากเพ่ือน อยู่ในระดับน้อย ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาในเร่ืองการพัฒนา คณุ ภาพชวี ิตผสู้ ูงอายุ ของ Jongrat et al.,(2019) พบวา่ เมอื่ เข้าสู่วัยชราจากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออานวยต่อการ ประกอบอาชีพเหมือนเช่นในช่วงวัยทผ่ี ่านมา อาจมปี ัญหาในการเข้ารว่ มสังคมบ้าง จนถึงข้ันไมเ่ ข้าร่วมกิจกรรมทาง สังคมเลย และคุณภาพชีวิตด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพึ่งพิง สภาพแวดล้อมต่อสุขภาพ พอใจท่ีจะ สามารถไปใช้บรกิ ารสาธารณสุขได้ตามความจาเป็น อยู่ในระดับน้อย ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในเรื่องการพฒั นา คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ของ Jongrat et al., (2019) ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะยังอยู่บ้านของตนเอง แต่ด้วยสภาพ ร่างกายท่ีเปลี่ยนแปลงไปทาให้การไปใช้บริการสาธารณสุขค่อนข้างลาบาก ส่วนการจัดสิ่งแวดล้อมทั้งภายในแ ละ ภายนอกบา้ นควรให้เออ้ื ตอ่ การดแู ลรกั ษาผู้สงู อายุท่มี ีภาวะพ่งึ พงิ 2. แนวทางการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิง ตามโครงการจัดบริการดูแลระยะยาว ด้าน สาธารณสขุ สาหรบั ผสู้ งู อายแุ ละบคุ คลอ่ืนทีม่ ีภาวะพึ่งพิง เทศบาลตาบลปา่ ตนั นาครวั ดงั น้ี 2.1 ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงฯ เชิงปริมาณด้านร่างกายอยู่ในระดับน้อย ท่ีระบุว่า สามารถทาในส่ิงท่ีต้องการ แม้ว่าจะมีการเจ็บปวดตามร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดตามตัว และ อย่ใู นระดับนอ้ ยท่ีสดุ ทร่ี ะบุวา่ ทางานหรอื มีชวี ิตอยู่ได้ในแตล่ ะวนั แม้ว่าจะจาเปน็ ต้องไปรบั การรักษาพยาบาล และ ผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่า ผสู้ งู อายุทีม่ ีภาวะพง่ึ พงิ สามารถทาในสิง่ ที่ต้องการได้นอ้ ย เพราะมกี ารเจบ็ ปวดตาม ร่างกาย ทาให้มีปัญหาในการเคล่ือนไหวร่างกายตามมาจึงมีความจาเป็นต้องมีความรู้เร่ือง การทากายภาพบาบัด และการดูแลสุขภาพท่ัวไปจากผู้ท่ีมีความรู้โดยบุคลากรทางการแพทย์ และกระตุ้นการทากายภาพบาบัดอย่าง สม่าเสมอจากกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขในชมุ ชน จึงควรมกี ารวางแผนการดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีภาวะ พึ่งพิงอย่างสม่าเสมอโดยบุคลากรทางการแพทย์/อสม./ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (CG) รวมทั้งให้ความรู้เร่ือง การดูแลสุขภาพและการทากายภาพบาบัด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Boonyaratkalin (2018) พบว่า บุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทในการดูแลระยะยาวสาหรับผู้สูงอายุในชุมชน ได้แก่ การประเมินผู้สูงอายุท่ีมี ภาวะพ่ึงพิงอย่างต่อเนื่อง มีการส่งเสริมความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง การจัดการโรคท่ีเหมาะสมและการ ประเมนิ ผลการดูแล ใหค้ วามรดู้ า้ นสุขภาพและใหก้ ารปรึกษา รวมท้งั ประสานงานกบั ผู้ร่วมงานอน่ื ๆ ในพ้ืนท่ี 2.2 ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตเชงิ ปริมาณด้านรา่ งกายอยู่ในระดับน้อยท่ีระบุว่า สามารถทาในสง่ิ ที่ต้องการ แม้ว่าจะมีการเจ็บปวดตามร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดตามตัว , มีกาลังเพียงพอในการทาส่ิง ต่างๆ ในแต่ละวนั , สามารถไปไหนมาไหนดว้ ยตนเองได้ และอยู่ในระดบั น้อยทส่ี ุด ที่ระบุว่าทางานหรือมีชีวติ อยู่ได้ ในแตล่ ะวัน แมว้ ่าจะจาเป็นต้องไปรบั การรักษาพยาบาล และผลการศึกษาเชิงคณุ ภาพพบวา่ ความสามารถไปไหน มาไหนด้วยตนเองได้น้อยจึงมีความต้องการอุปกรณ์ช่วยในการเคล่ือนไหวที่เหมาะสมสาหรับตนเอง ซึ่งการจัดหา กายอุปกรณ์ ที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเคล่ือนไหวที่สามารถทาให้ผู้สูงอายุไปทากิจกรรมต่างๆ ได้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
120 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) นอกเหนือจากการอยู่แต่เพียงในบ้านของตนเองหรือสามารถเดินทางไปรับการรักษาได้โดยการมีกายอุปกรณ์ที่ ช่วยเหลือในกิจกรรมดงั กล่าว จงึ ควรจดั หากายอุปกรณ์ช่วยดา้ นการเคลอ่ื นไหวทเี่ หมาะสมสาหรับผสู้ งู อายุท่ีมีภาวะ พึ่งพิง ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการศึกษาของ Yapradit et al.,(2020) พบว่า ชุดบริการอุปกรณ์ทางการแพทย์ท่ี ผู้สูงอายุต้องการ เช่น อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน ที่นอนลม เคร่ืองผลิตออกซิเจน เป็นต้น และการจัดบริการอุปกรณ์ และการศึกษาของ Charoenwong et al., (2019) พบว่า ความต้องการของผู้สูงอายุที่มีภาวะพ่ึงพิงได้แก่ การ สนับสนนุ อุปกรณเ์ คร่อื งชว่ ยเหลอื ในการเคล่ือนไหว รวมท้ังการศกึ ษาของ Chaiyachen (2021) พบวา่ แนวทางใน การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สงู อายุด้านร่างกายให้ดีขึ้น ควรเน้นให้ความรู้ในเรื่องการดูแลสขุ ภาพที่ดี ด้านการบริโภค ท่ีดี การเตรียมความพร้อม ในการเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ การจัดกิจกรรมออกกาลังกายเพื่อสุขภาพ จัดให้มีหน่วยงาน ดูแลเรื่องความเจ็บป่วย และอุปกรณ์ ด้านการแพทย์ให้เพียงพอต่อการเข้ารับบริการของประชากรในวัยผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ซ่ึงจะช่วยท้ังการป้องกันและการรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงมีความสามารถในการใช้ชีวิตประจาวันได้อย่างปกติสุขรวมท้ังช่วยให้ผู้สูงมีความพร้อมในการเข้า ร่วมกจิ กรรมต่างๆ ในสงั คมได้ 2.3 ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตเชิงปริมาณด้านจิตใจอยู่ในระดับน้อย ระบุว่ารู้สึกพึงพอใจในชีวิต เช่น มีความสุข ความสงบ มีความหวัง และรู้สึกพอใจในตนเอง รวมท้ังอยู่ในระดับปานกลาง ระบุว่า รู้สึกเหงา เศร้า หดหู่ ส้ินหวัง วิตกกังวล และผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีอาการเบื่อ เครียด กังวล ท้อแท้ เหงา และขาดกาลังใจ ทาให้มีความต้องการกาลังใจจากบุคคลรอบข้าง ดังนั้นการมีกิจกรรมเย่ียม บ้านอย่างสม่าเสมอโดยบุคลากรทางแพทย์ กลุ่มองค์กรภายในชุมชน เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมี ส่วนช่วยส่งเสริมกาลังใจ ให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่า มีพลังในการดาเนินชีวิตได้ต่อไป จึงควรมีการออกเยี่ยมบ้าน ผูส้ ูงอายุทม่ี ีภาวะพง่ึ พิงอย่างสม่าเสมอ ท้ังบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหนา้ ท่ีองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ อสม. ผู้นา ชุมชน เพื่อให้กาลังใจและดูแลสุขภาพจิตแก่ผู้สูงอายุฯ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Kanyakan et al., (2019) พบว่า กิจกรรมท่ีมีความสาคัญ คอื การเยี่ยมบา้ นและการดูแลสุขภาพทัง้ กลุ่มภายนอกและภายใน ไดแ้ ก่ กลมุ่ เพ่ือน บ้าน กลุ่มผู้นา กลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มองค์กรและสถาบันในชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกลุ่มเจ้าหน้าที่ ของรัฐ และสอดคล้องกับการศึกษาของ Charoenwong et al., (2019) พบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะพ่ึงพิงมีความ ต้องการเพ่ือนคยุ คลายเหงา เพราะเป็นผสู้ งู อายุท่มี ปี ญั หาด้านการเคลื่อนไหวไม่สามารถออกบ้านไปไหนมาไหนได้ 2.4 ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตเชิงปริมาณด้านสัมพันธภาพทางสังคมอยู่ในระดับน้อยท่ีระบุว่า พอใจต่อการผูกมิตรหรอื เข้ากบั คนอ่ืนอย่างทีผ่ ่านมา และพอใจกับการชว่ ยเหลือทเ่ี คยไดร้ ับจากเพื่อนๆ และผลการศึกษาเชิง คุณภาพ พบว่า ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงอยู่คนเดียวเหมือนถูกทอดทิ้งและต้องการการมีปฏิสัมพันธ์จากบุคคลใน ชมุ ชน ดังน้ันองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ควรมีการส่งเสริมกิจกรรมใหผ้ ู้สงู อายุที่มีภาวะพง่ึ พิงได้มสี ่วนรว่ มในชุมชน เช่น การทาบุญ การจัดกิจกรรมพบปะซึ่งกันและกัน ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของ Sawatphol et al., (2017) พบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงท่ีสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง จะมีการจับกลุ่มสนทนา มีการรวมกลุ่มตาม วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
121 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ธรรมชาติ เช่น กลุ่มเพื่อนท่ีอยู่ใกล้กัน มีการพบปะพูดคุยกัน ชุมชนควรสนับสนุนในรูปแบบกิจกรรมสงเคราะห์ มอบสิ่งของให้กับผู้สูงอายุที่มีภาวะพ่ึงพิงท่ีบ้าน สวัสดิการอ่ืนๆ และนอกจากน้ีการส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรม ต่างๆ แกผ่ ้สู ูงอายกุ ถ็ อื เปน็ หนงึ่ ในพนั ธกิจหรือหน้าที่ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ ดา้ นการดูแลผูส้ ูงอายุทม่ี ภี าวะ พึ่งพิง คือให้อุดหนุนค่าใช้จ่ายสาหรับการดูแลระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพ้ืนที่ จากประกาศ คณะกรรมการกระจายอานาจใหแ้ ก่องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ พ.ศ. 2561 (Gazette,2018) และเทศบาลมีหน้าท่ี ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จากพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และแก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2562 2.5 ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตเชิงปริมาณด้านส่ิงแวดล้อมอยู่ในระดับปานกลาง ระบุว่า ท่าน พอใจกับสภาพบ้านเรือนที่อยู่ตอนนี้ และอยู่ในระดับน้อยระบุว่า มีเงินพอใช้จ่ายตามความจาเป็น และผล การศกึ ษาเชงิ คุณภาพพบวา่ ผู้สงู อายุที่มภี าวะพ่ึงพิงมีต้องการรายได้เพ่ิม และซ่อมแซมบ้านให้เอ้ือต่อการดารงชีวิต ของผู้สูงอายุท่ีมี ภาวะพ่ีงพิง ดังน้ันควรมีการผสานความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่น ที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกชุมชนในการช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย การซ่อมแซมบ้าน รวมถึงสนับสนุนการฝึกอาชีพที่ เหมาะสม ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ Jongrat et al. , (2019) พบว่า การดูแลผู้สงู อายุที่มีภาวะพึง่ พงิ นอกจาก ครอบครัวจะเป็นผู้ดูแลหลัก กลไกสาคัญท่ีต้องทาร่วมกันคือ องค์กรท่ีทางานในท้องถ่ินท่ีสาคัญ ได้แก่ องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน เครือข่ายบริการด้านสุขภาพระดับอาเภอและชุมชน ให้ดูแลอย่างต่อเน่ืองและทั่วถึง และ นอกจากนก้ี ารส่งเสริมใหม้ ีการปรับปรุงสภาพบา้ นหรือสิ่งแวดล้อม ยังถอื เป็นการพฒั นาสภาพบริบทที่เก่ียวข้องกับ ผูส้ ูงอายทุ ีม่ ีภาวะพึง่ พิงใหม้ ีคุณภาพชวี ิตท่ีดีขนึ้ ซง่ึ สอดรับกบั แนวนโยบายยุทธศาสตร์ของกรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถ่ิน พ.ศ. 2560 – 2569 ท่ีว่า ร่วมส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาระบบบริการรองรับสังคมผู้สูงอายุ และสังคม แห่งการเกื้อกูลอย่างเท่าเทียมของท้องถ่ิน ตามแนวทางดังนี้ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะตาม ภารกิจองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ให้พร้อมรับสังคมผู้สูงอายุ การสร้างและปรับปรุงบ้านท่ีเอ้ือต่อการใช้ชีวิตของ คนพิการ และผูส้ ูงอายใุ นทอ้ งถิน่ Department of Local Administration . (2017) ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ยั ไปใช้ 1. ผูส้ งู อายุทม่ี ีภาวะพ่ึงพงิ ทั้งหมดอาศยั อยภู่ ายในหมบู่ ้านของตนเอง การดูแลควรเริม่ ต้นจากบุคคลภายใน ชมุ ชน ดังน้นั ควรให้คนในชุมชนร่วมกันดูแลผู้สูงอายุ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ เปน็ ผ้ปู ระสานงานหน่วยงานที่ เก่ียวข้อง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ร่วมดแู ลอย่างต่อเน่ือง ซึ่งเป็นการดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และสัมพันธภาพ ทางสังคมดว้ ย 2. องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินควรมีการจัดกิจกรรมเพ่ือให้ผู้สูงอายุท่ีมีภาวะพ่ึงพิงได้มีการรวมกลุ่ม หรือ พบปะกบั บคุ คลในชุมชนบ้าง เพื่อลดปญั หาดา้ นจติ ใจ และมกี ารเพิ่มสมั พันธภาพทางสงั คม ใหผ้ ้สู ูงอายุรสู้ ึกมีคณุ ค่า ทางสงั คม วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
122 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) 3. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรประสานงานกับหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เพื่อหากิจกรรม/งานที่เหมาะสม กบั ผู้สงู อายทุ ่ีมีภาวะพ่งึ พิง เพอื่ เพ่ิมรายได้ใหแ้ กผ่ สู้ งู อายุและครอบครวั ได้ ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครง้ั ตอ่ ไป 1. ผู้สูงอายุท่ีอยู่ในภาวะพึ่งพิงมีแนวโน้มเพิ่มข้ึน หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องควรหาแนวทางท่ีเหมาะสมในการ ปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ ู้สงู อายุทยี่ งั แขง็ แรงตอ้ งเจ็บป่วยและกลายเปน็ ผูส้ ูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 2. การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพ่ึงพิงโดยครอบครัว เป็นบทบาทหน้าท่ีของผู้ดูแลหลักและสมาชิกใน ครอบครัว ควรมีการส่งเสริมให้ผู้ดูแลหลักมีการเตรียมความพร้อม เพ่ิมศักยภาพในครอบครัวและช่วยแบ่งเบา ภาระและผลกระทบของผดู้ แู ลหลักให้สามารถดแู ลกจิ วตั รประจาวนั ของผูส้ ูงอายทุ ่ีอยู่ในภาวะพง่ึ พิงไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. การบรกิ ารสุขภาพ และอปุ กรณ์การชว่ ยเหลือที่จาเป็น มขี อ้ จากัดทางงบประมาณ ควรมีการทางานเชงิ รุก ให้ประชาชนกลุ่มตา่ งๆ โดยการส่งเสริมสุขภาพและการปอ้ งกันไม่ให้เกิดภาวะพ่ึงพงิ กับประชาชนกลุ่มอ่นื ๆ เอกสารอา้ งอิง Boonyaratkalin P. (2018). Long-term Care for the Dependent Elderly in the Community: The Nurse’s Role. Thai Red Cross Nursing Journal.11(1), 56-57. (in Thai) Chaiyachen J. (2021). Quality of Life Development for the Elderly People in Tambon Thathongmai,Kanchanadit District, Suratthani Province. Narkbhutparitat Journal Nakhon Si Thammarat Rajabhat University. 13(1), 210-211. (in Thai) Charoenwong S., el al. (2018). Dependent Elders in a Southern Rural Muslim Community: Current Situation of Care and Needs for Long-Term Care. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health. 5(2), 243-244 . (in Thai) Department of Local Administration. (2017). Department of Local Government Strategy 2017- 2026. Retrieved. (2021, Decembe 11) from www.dla.go.th.(in Thai). Gazette. (2018). Notification of The Decentralization Committee for Local Government Re: Define the business in the interests of the local people as the authority and duties of the local authority. Care for elderly people with dependency. Retrieved. (2021, Decembe 11) from www.ratchakitcha.soc.go.th.(in Thai) Jongrat K., el al. (2019). Health condition and Quality of Life of Elderly people with dependency at Municipal district Thung Song, Nakhon Si Thammarat Province. Journal of Health Science. 28(6),1017-1018 . (in Thai) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
123 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) Kayakan K , Kosalvitr T , Bunyaniwarawat N. (2019) . Integrated Community-Based Long Term Model Using Community Participation for Dependent Elders at Dongbang Promoting Hospital in Mueang District.Ubon Ratchathani Province.Journal of Humanities & Social Sciences. 17(1),15-16. (in Thai). Mahatnirunkul S., el al. (2002). WHOQOL-BREF-THAI. Chiangmai. Department of Mental Health. Retrieved. (2021, Decembe 11) https://www.dmh.go.th. (in Thai) Sawatphol C., el al. (2017). Care for Elderly Dependents in the Northeast of Thailand. Journal of MCU Peace Studies. 5(1),402-403 . (in Thai) Yapradit P, Kongtaln O. (2019). The Development of a Long Term Care Service for Dependent Elders in Nongsim Sub-district, Borabue, Mahasarakham Province. Songklanagarind Journal of Nursing.40(3), 59-60. (in Thai) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
Effects of ASSIST-Linked Brief intervention for Alcohol Screening on Moderate Risk Drinking Behaviors in People Living with Human Immunodeficiency Virus at the Antiretroviral Drugs Clinic of, Ko-Kha Hospital, Lampang Province Pannita Maharaj 1* (Received: November 14, 2021, Revised: February 25, 2022, Accepted: April 1, 2022) Abstract Hazardous alcohol use is common among people living with HIV ( PLHIV) and may decrease antiretroviral therapy (ART) adherence. This study was a quasi-experimental study with pre-posttest two groups design. This study was aimed to compared alcohol consumption behavior before and after receiving the ASSIST-linked brief intervention and between the experimental group and the control group. It also examined the relationship between the ASSIST-linked brief intervention and the antiretroviral therapy adherence in PLHIV. The samples consisted of 100 PLHIV aged 20-60 years old, had moderate risk behaviors and took antiretroviral drugs regularly. The samples were equally divided into a control group and an experimental group. An experimental group received the ASSIST-linked brief intervention on moderate risk drinking, while a control group received the routine nursing care. The instrument for collecting data was the Alcohol, Smoking and Substance Involvement Screening Test ( ASSIST) developed by WHO. Data were analyzed by using descriptive statistics, analysis of paired t-test and independent t-test and also binary logistic regression analysis. The study revealed that after intervention for 16 weeks: The experimental group had significantly lower mean score of drinking behaviors than before the intervention. (p-value < .001) The experimental group had significantly lower mean score of drinking behaviors than the control group. ( p-value < . 001) The experimental group had the opportunity to take antiretroviral drugs more than 95% for 3.76 times when compared to the control group (p-value = .008) It could be seen that the ASSIST-linked brief intervention can be effective for modifying behavior in PLHIV and increasing antiretroviral therapy adherence. Keywords: ASSIST-linked brief therapy; Drinking behaviors; People living with HIV *Medical Physician, Senior Professional Level Department of Internal Medicine Ko-Kha Hospital 1Corresponding author: [email protected] โทร 098 995 0565 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
ผลของการใหก้ ารบาบดั แบบส้ันท่ีเช่อื มต่อจากการคดั กรองด้วย ASSIST ตอ่ พฤตกิ รรมการ ดื่มแอลกอฮอลแ์ บบเสย่ี งปานกลางของผตู้ ิดเชื้อเอชไอวี ณ คลินกิ ยาตา้ นไวรัส โรงพยาบาลเกาะคา พัณณิตา มหาราช 1* (วนั ท่ีรบั บทความ : 14 พฤศจกิ ายน 2564 , วันแกไ้ ขบทความ: 25 กุมภาพนั ธ์ 2565, วันตอบรับบทความ: 1 เมษายน 2565) บทคัดย่อ การด่ืมแอลกอฮอล์แบบเส่ียงพบได้ท่ัวไปในผู้ติดเช้ือเอชไอวี ซ่งึ นามาสู่ความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส ที่ลดลง การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างก่อนและหลังได้รับการบาบัดแบบส้ันท่ีเชอ่ื มต่อจากการคดั กรองด้วย ASSIST และระหว่างกลมุ่ ทดลองกบั กล่มุ ควบคมุ รวมถึงศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างการบาบดั แบบส้ันทีเ่ ช่ือมต่อจากการคัด กรองดว้ ย ASSIST กับความร่วมมือในการกนิ ยาตา้ นไวรัสของผู้ตดิ เชื้อเอชไอวี กลุม่ ตัวอย่างคือผูต้ ิดเช้ือเอชไอวีอายุ ระหว่าง 20-60 ปี ท่ีด่ืมแอลกอฮอล์แบบเส่ียงปานกลางและกินยาต้านไวรัสเป็นประจา จานวน 100 คน แบ่งเป็น กลมุ่ ทดลอง 50 คน ท่ีไดร้ ับการบาบดั แบบสั้นท่ีเชื่อมตอ่ จากการคัดกรองดว้ ย ASSIST และกลุม่ ควบคุม 50 คน ซึ่ง ได้รับการแนะนาตามปกติ เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบคัดกรองประสบการณ์การด่ืมสุรา สูบ บุหร่ี และใช้สารเสพติดขององค์การอนามัยโลก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา, ทดสอบความแตกต่าง ด้วยสถิติ paired t-test และการทดสอบค่าทีที่เป็นอิสระจากกัน (Independent t-test) และวิเคราะห์หา ความสัมพันธโ์ ดยการวิเคราะหก์ ารถดถอยโลจสิ ตกิ แบบไบนารี (Binary logistic regression analysis) ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ หลังทดลองในสัปดาห์ท่ี 16 ลดลงอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value < .001) กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ต่ากว่า กลุ่มควบคุม ณ สปั ดาห์ท่ี 16 หลงั ทดลองอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (p-value < .001) และกลุ่มทดลองมโี อกาสให้ ความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส มากกว่าร้อยละ 95 ของปริมาณที่ได้รับ 3.70 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่ม ควบคมุ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ (p-value = .008) ผลการศึกษาสามารถนาการบาบดั แบบส้ันตามผลคดั กรอง ASSIST ไปใช้ เพอื่ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมของผู้ ติดเชอ้ื เอชไอวที ี่ดื่มแอลกอฮอลแ์ บบเส่ียงปานกลางและเพิ่มความร่วมมือในการกนิ ยาตา้ นไวรัสของผูต้ ดิ เช้ือเอชไอวี คาสาคัญ: การบาบัดแบบสัน้ ตามผลคดั กรอง ASSIST; พฤตกิ รรมการด่ืมแอลกอฮอล์; ผูต้ ดิ เชือ้ เอชไอวี * นายแพทยช์ านาญการพเิ ศษ กลมุ่ งานอายรุ กรรม โรงพยาบาลเกาะคา 1ผปู้ ระพนั ธบ์ รรณกิจ [email protected] โทร 098 995 0565 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
126 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) บทนา ไวรัสเอชไอวี ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) เป็นเชื้อไวรัสที่เม่ือ เขา้ สู่ร่างกายของมนุษย์แล้ว จะมุ่งไปทาลายเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว ซ่ึงเมด็ เลือดขาวในร่างกายทาหน้าที่ในการกาจัดสิ่ง แปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนาไปทาลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทาลาย จึงทาให้ผู้ป่วยท่ีได้รับ เชื้อเอชไอวีมีภูมิคุ้มกันต่าลง จนในท่ีสุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเช้ือโรคภายนอก โดยไวรัสเอชไอวีสามารถติดต่อได้ผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้เข็มฉีดยา ร่วมกัน การติดเช้ือเอชไอวี แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ 1) ระยะติดเชื้อเอชไอวี อาการช่วงแรกจะคล้ายเป็นไข้หวัด ท่ัวไปและเมื่อเจาะเลือดไปตรวจทางห้องปฏิบัติการจะพบปริมาณไวรัสที่สูงมาก 2) ระยะสงบ เป็นระยะท่ีไม่มี อาการ ระยะน้ีเชื้อไวรัสค่อยๆทาลายเม็ดเลือดขาวและทาให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่าลงไปเร่ือยๆ หากไม่ได้รับการ รักษาจะใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี ก่อนจะพัฒนาเข้าสู่ระยะเอดส์ และ 3) ระยะเอดส์ (AIDS:Acquired Immunodeficiency Syndrome) เป็นระยะท่ีภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องอย่างรุนแรงจนทาให้ร่างกายไม่ สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อน และมักมีอาการติดเช้ือท่ีรุนแรงมาก มีโอกาสเสียชีวิตสูง ในช่วงที่มี เชือ้ เอชไอวอี ยใู่ นร่างกายแต่ยังไม่มีอาการป่วย (ระยะที่ 1 และ 2) เรียกวา่ เป็นผู้ตดิ เช้อื เอชไอวี เพราะร่างกายยงั มี ภูมิคุม้ กันที่ควบคมุ หรอื จดั การกับเช้ือโรคท่ีเข้าสู่รา่ งกายได้อยู่ และเม่ือภมู ิคุ้มกันถูกทาลายเหลอื จานวนนอ้ ย จนไม่ สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ ทาให้ป่วยด้วยเช้ือโรคนั้นๆ (ระยะที่ 3) เรียกว่า ‘เริ่มมีภาวะ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง’ และผู้ท่ีอยู่ในระยะน้ีจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยเอดส์ เมื่อผู้ติดเช้ือเอชไอวีได้รับการ วินิจฉัยว่าอยู่ในระยะที่1ถึงระยะที่2 คือ ระยะติดเช้ือและไม่มีอาการ แพทย์จะเร่ิมให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาต้าน ไวรัสทันทีเพื่อลดปริมาณไวรัสให้ต่าทส่ี ุด ทาใหไ้ วรสั เอชไอวสี ่งผลต่อเม็ดเลอื ดขาวและภมู ิตา้ นทานของรา่ งกายน้อย ท่ีสุด หากกินยาต้านไวรัสสม่าเสมอก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติควบคู่ไปกับการระวังไม่แพร่เช้ือไวรัสให้ผู้อื่น เพิ่มเติม แต่หากผู้ติดเช้ือเอชไอวีได้รับการวินิจฉัยล่าช้าหรือรับประทานยาต้านไวรัสไม่สม่าเสมอ จนร่างกายเข้าสู่ ระยะสุดท้าย คือ ระยะเอดส์ จะเป็นการรกั ษาโรคตดิ เชื้อแทรกซ้อนเป็นหลัก ควบคไู่ ปกับการให้ยาตา้ นไวรัส ซึ่งใน ระยะนี้ร่างกายจะอ่อนแอมากและมีโอกาสเสียชีวิตสูง ดังน้ัน การคัดกรองคนท่ีมีปัจจัยเส่ียงต่อการติดเช้ือเอชไอวี การได้รับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที และการให้ความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่าเสมอ จึงเป็น ยุทธศาสตรส์ าคญั ในการรักษาและควบคุมการแพรร่ ะบาดของโรคเอดส์ (World Health Organization, 2016) ด้วยเหตุผลท่ีกล่าวมาข้างต้น โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ได้ประกาศยุทธศาสตร์ 90- 90 -90 โดยมีเป้าหมายให้ผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ีมีชีวิตอยู่ได้รับการวินิจฉัยอย่างน้อย ร้อยละ 90 ผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ี ได้รับการวินิจฉัยได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างน้อย ร้อยละ 90 และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัส สามารถควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสได้สาเร็จอย่างน้อย ร้อยละ 90 ภายในปี ค.ศ.2020 (UNAIDS, 2016) ในปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป้าหมายของโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติไม่สามารถทาได้สาเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง ระยะเวลานี้มีการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID – 19 ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั่วโลก (The World Bank, 2021) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
127 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) และยังส่งผลต่อการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก (Jiang, Zhou, & Tang, 2020) ย่ิงไปกว่าน้ัน แอลกอฮอล์ยังเป็นสารเสพติดท่ีมีการใช้อย่างแพร่หลายท่ัวโลก (Peacock et al., 2021) และอาจเป็นอุปสรรค สาคัญในการดาเนนิ งานให้ถึงเปา้ หมายดังกล่าว (Lipira et al., 2020) โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมอ่ื ผนวกกับสถานการณ์ ของ COVID–19 ในขณะนี้ (The Lancet, 2020) การดื่มแอลกอฮอล์สามารถแบ่งการดม่ื ออกได้เป็น 3 ระดับ ตามปริมาณแอลกอฮอล์ท่ีดื่มเข้าไปและความ เสี่ยงต่อปัญหาที่เกิดข้ึน (Center for Alcohol Studies, 2011) คือ 1) การด่ืมแบบเส่ียงต่อการเกิดอันตรายน้อย (low risk) หมายถึง การดื่มไมเ่ กิน 2 ด่ืมมาตรฐานต่อวันซึง่ เทียบเท่ากับเบียร์ 1.5 กระป๋อง หรือเหล้า 40 ดีกรี 50 มิลลิลิตร 2) การด่ืมแบบเส่ียงต่อการเกิดอันตรายสูง (hazardous drinking) หมายถึงการด่ืมแอลกอฮอล์ใน ลกั ษณะท่ีทาให้ผู้ดื่มเสี่ยงที่จะเกิดผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ ซ่ึงการดื่มแบบเสี่ยงนเ้ี ปน็ การดม่ื ทมี่ ากกวา่ 2 มาตรฐาน แต่ไม่ เกิน 4 มาตรฐานต่อวัน เทียบเท่ากับเบียร์ 4.5 กระป๋องหรือเหล้า 40 ดีกรี 150 มิลลิลิตร นอกจากน้ีการดื่มมาก แบบเมาหัวราน้า (binge drinking) คือการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากติดต่อกันในระยะเวลาอันส้ัน (ภายใน 2- 3 ช่ัวโมง)ในโอกาสหรือเหตุการณ์คร้ังเดียวกัน โดยดื่มตั้งแต่ 3 แก้วขึ้นไปต่อคร้ัง และ 3) การดื่มแบบอันตราย (harmful drinking) หมายถึงการด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจ เป็นการด่ืมมากกว่า 4 ดม่ื มาตรฐานต่อวนั การท่ีถูกสังคมตีตราว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับการใช้แอลกอฮอลใ์ นการแก้ไขปัญหาในชวี ิต ทาให้พบการด่ืมแอลกอฮอล์แบบอันตรายได้มากในผู้ติดเช้ือเอชไอวี (Wardell, Shuper, Rourke, & Hendershot, 2018) จากการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้าในหลายศูนย์การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าร้อยละ 27 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตราย ร้อยละ 34 มีพฤติกรรมการด่ืม แอลกอฮอล์แบบเมาหัวราน้า (Duko, Ayalew, & Ayano, 2019) ขณะท่ีผลการศึกษาจากกลุ่มประเทศรายได้ต่า ถึงปานกลาง พบพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตรายอย่างแพร่หลาย ร้อยละ 20 – 46 (Lunze et al., 2017) สาหรับประเทศไทย พบว่า การด่ืมแอลกอฮอล์แบบอันตรายในผู้ติดเช้ือเอชไอวี ร้อยละ 18.7 (Musumari et al., 2017) การดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทาให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงการรักษาล่าช้าและขาดการดูแลสุขภาพของ ตนเอง (Abaynew, Deribew, & Deribe, 2011) ลดความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส (Tran, Nguyen, Do, Nguyen, & Maher, 2014) เพิ่มพฤติกรรมทางเพศท่ีไม่ปลอดภัยและการใช้สารเสพติดแบบฉีดอันเป็นการเพ่ิม ความเส่ียงในการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปยังผู้อ่ืน (Li et al., 2017) นอกจากนี้แล้วยังทาให้ระบบภูมิคุ้มกัน ทางานได้แย่ลงและเชื้อเอชไอวีมีการตอบสนองต่อยาต้านไวรัสลดลง (Malbergier, Amaral, & Cardoso, 2015) อย่างไรก็ดีทั้งๆที่เราทราบถึงผลลัพธข์ องการดื่มแอลกอฮอล์ท่มี ีผลต่อสุขภาพของผู้ติดเช้ือเอชไอวีและสังคม แตใ่ น ปัจจุบันยังคงไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมชดั เจน ในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีท่ีมีการด่ืมแอลกอฮอล์เหล่าน้ี (Hasin et al., 2013) แนวทางการช่วยเหลือผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ีประสบปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล์มีด้วยกัน 3 ระดับ คือ การ ดูแลช่วยเหลือในระดับปฐมภูมิ โดยการใช้วิธีการต่างๆในการควบคุมส่ิงแวดล้อมไม่ให้เอื้อต่อการดื่มแอลกอฮอล์ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
128 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ระดับทุติยภูมิจะเน้นที่การค้นหา (early detection) และวินิจฉัยผู้มีปัญหาจากการด่ืมแอลกอฮอล์ต้ังแต่ในระยะ เริ่มต้น ซ่ึงแนวทางการช่วยเหลือในระดับนี้ที่พบว่าสามารถนามาปฏิบัติได้ผลดี คือการใช้เคร่ืองมือคัดกรอง ภาวการณ์ต่อการดื่มแอลกอฮอล์วา่ ดื่มแบบเสี่ยงน้อย แบบเส่ียงปานกลาง หรอื แบบเส่ยี งสูง และให้การบาบัดแบบ สั้น (brief intervention) แก่กลุ่มด่ืมแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลาง ส่วนระดับตติยภูมิคือการรักษาผู้ทีม่ ีภาวะติด แอลกอฮอลห์ รอื กลุม่ เส่ยี งสูง (Trova, Paparrigopoulos, Liappas, & Ginieri-Coccossis, 2015) การด่ืมแอลกอฮอล์แบบอันตรายในคนปกติท่ัวไป เป็นรูปแบบการด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีเพ่ิมความเส่ียงต่อการ เกิดผลลพั ธ์ท่ีอันตราย ได้แก่ ปัญหาสุขภาพทางกาย ปัญหาสุขภาพทางจิต และปัญหาสงั คม (Teferra et al., 2016) ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์ในลกั ษณะนี้จะให้การช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการโดยการให้การบาบัดแบบสั้น ซ่ึงใช้ระยะเวลา นอ้ ยกว่า 30 นาทใี นแต่ละครัง้ มีการบาบดั ตงั้ แต่ 1 ถึง 6 คร้ัง เพอื่ ป้องกันการพฒั นาปัญหาการดื่มแอลกอฮอลจ์ าก การด่มื แอลกอฮอลแ์ บบเสี่ยงปานกลางจนกลายเป็นการดมื่ แบบเส่ียงสงู (Moyer, 2013) มีหลายการศกึ ษาในอดีต ท่ีทาการศึกษาถงึ ประสิทธิภาพของการบาบัดแบบสัน้ ในผู้ติดเชือ้ เอชไอวที ่ีดื่มแอลกอฮอล์ การศกึ ษาสว่ นใหญ่ทาใน กลุ่มประเทศท่ีมรี ายไดส้ ูงและอยใู่ นภมู ิภาคอเมริกาเหนอื ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถึงประสิทธิภาพของการให้การบาบัดแบบ ส้ัน (Hasin et al., 2013) แต่มีบางการศึกษาท่ีไม่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในประเด็นดังกล่าว (Chander, Hutton, Lau, Xu, & McCaul, 2015) ผลการศึกษาดังกล่าวไม่สามารถนามาอ้างองิ ใช้ในประเทศไทยได้ เนอ่ื งจาก มีบริบทในการศึกษาที่แตกต่างกันและยังไม่เคยมีการศึกษาถึงประเด็นน้ีมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้นในบทบาท ของแพทย์เวชกรรมป้องกันท่ีปฏิบัติงานในคลินิกยาต้านไวรัส จึงต้องการศึกษาการลดพฤติกรรมการ ด่ืม แอลกอฮอล์แบบเส่ียงปานกลางในผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ีรับยาต้านไวรสั เป็นประจา ณ คลินิกยาต้านไวรัสโรงพยาบาล เกาะคา โดยการให้การบาบัดแบบสั้นที่เช่ือมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST (ASSIST linked brief intervention) ซึ่ ง ถู ก พั ฒ น า โ ด ย อ ง ค์ ก า ร อ น า มั ย โ ล ก ( Assanangkornchai, Arunpongpaisal, & Kittirattanapaiboon, 2013) โดย ASSIST เป็นคายอ่ ของ Alcohol, Smoking, and Substance Involvement Screening Test หรือแบบคัดกรองประสบการณ์ในการใช้ยาสูบ สุรา และสารเสพติดตัวอื่นๆ เช่น กัญชา โคเคน ยาบ้า ยากล่อมประสาท ยาหลอนประสาท สารระเหย ฝิ่นและยาอ่ืนๆ ที่มีบุคลากรสุขภาพเป็นผู้คัดกรอง ซ่ึงมี จุดเด่นที่ผู้ให้บริการสามารถส่งมอบการบาบัดแบบสั้นได้สาเร็จในครั้งเดียว โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 - 15 นาที เหมาะสมกับบริบทของคลินิกยาต้านไวรัสท่ีมีผู้มารับบริการเป็นจานวนมาก ทาให้ผู้รับบริการตระหนักถึงปัญหา การด่ืมแอลกอฮอล์ของตนเอง มีการแบ่งปันความรู้และให้ผู้รับบริการมีส่วนร่วมตลอดจนรับผิดชอบในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดว้ ยตวั เอง ปัจจุบันยังไม่พบรายงานการศึกษาถึงประสิทธิผลของการบาบัดแบบส้ันท่ีเชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST ในผู้ติดเช้ือเอชไอวีที่มีพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของประเทศไทย ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการศึกษาคร้ัง น้ีก็เพ่ือที่จะประเมินถึงประสิทธิผลของการให้บาบัดแบบส้ันที่เชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST ในผู้ติดเชื้อ เอชไอวีท่ีด่ืมแอลกอฮอล์แบบเส่ียงปานกลาง และเพ่ือทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบาบัดแบบสั้นท่ีเช่ือมต่อ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
129 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) จากการคัดกรองด้วย ASSIST และความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสของผู้ติดเชื้อเอชไอวีท่ีมีพฤติกรรมการด่ืม แอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลาง เมื่อเราคานึงถึงจานวนผู้รับบริการจานวนมากท่ีคลินิกยาต้านไวรัส จึงมีความ จาเป็นต้องพัฒนาการช่วยเหลือท่ีส้ัน สามารถทาได้ในครั้งเดียวและง่ายต่อการนาไปปฏิบัติเพ่ือลดการด่ืม แอลกอฮอลใ์ นกลุ่มผตู้ ดิ เชอ้ื เอชไอวี วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการดมื่ แอลกอฮอลข์ องผตู้ ดิ เช้อื เอชไอวที ่ีมพี ฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์แบบเสยี่ ง ปานกลาง กอ่ นและหลังไดร้ บั การบาบดั แบบส้นั ทเี่ ชือ่ มตอ่ จากการคัดกรองดว้ ย ASSIST 2. เพ่อื เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการดืม่ แอลกอฮอล์ของผู้ติดเชอ้ื เอชไอวที ี่มีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบ เส่ียงปานกลาง หลังการทดลองระหวา่ งกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ 3. เพอ่ื ศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหว่างการบาบัดแบบสน้ั ท่ีเชือ่ มต่อจากการคดั กรองดว้ ย ASSIST กบั ความ รว่ มมือในการกนิ ยาต้านไวรสั ของผตู้ ดิ เช้อื เอชไอวที ่ีมีพฤตกิ รรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบเสีย่ งปานกลาง สมมติฐานการวจิ ยั 1. คะแนนพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีพฤติกรรมด่ืมแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปาน กลาง หลังไดร้ ับการบาบัดแบบส้นั ทีเ่ ช่ือมต่อจากการคัดกรองดว้ ย ASSIST ตา่ กว่ากอ่ นการได้รับการบาบัด 2. คะแนนพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของผู้ติดเช้ือเอชไอวีที่มีพฤติกรรมด่ืมแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปาน กลาง ในกลุ่มทดลองตา่ กว่ากลุม่ ควบคุม 3. การบาบัดแบบสั้นท่เี ช่ือมตอ่ จากการคัดกรองดว้ ย ASSIST มีความสมั พนั ธก์ ับความร่วมมือในการกินยา ตา้ นไวรสั ของผู้ตดิ เชอื้ เอชไอวที ีม่ ีพฤตกิ รรมการด่มื แอลกอฮอลแ์ บบเส่ยี งปานกลาง ขอบเขตการวิจยั การวิจยั ครง้ั นี้เป็นการวิจยั ก่ึงทดลองแบบสองกลุ่มคือกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ทาการวัดกอ่ นและหลัง การทดลอง โดยกลุ่มทดลองได้รับการบาบัดแบบส้ันท่ีเช่ือมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST เพื่อลดพฤติกรรมการ ด่มื แอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลางตามทผี่ ู้วิจัยกาหนด ส่วนกลุ่มควบคมุ ได้รบั การใหบ้ รกิ ารตามปกตินน่ั คือประเมิน พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ แจ้งผลการประเมนิ และให้คาแนะนาเพือ่ ลดการดม่ื แอลกอฮอล์ แจง้ นัดหมายทง้ั กลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมกลับมาประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์และความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส ใช้ เวลาในการติดตามกลุ่มตัวอย่าง 16 สัปดาห์ โดยมีประชากรท่ีศึกษาคือผู้ติดเช้ือเอชไอวีที่รับยาต้านไวรัสเป็น ประจาและมีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบเส่ียงปานกลางจานวน 250 คน โดยเร่ิมทาการวิจัย ตั้งแต่เดือน มนี าคม ถึง เดอื นสิงหาคม พ.ศ.2564 ณ คลนิ ิกยาตา้ นไวรสั โรงพยาบาลเกาะคา จงั หวัดลาปาง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
130 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) วธิ ีดาเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากร คือ ผตู้ ิดเชอื้ เอชไอวอี ายรุ ะหวา่ ง 20-60 ปี ท่ีมคี ะแนนพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ แบบเส่ยี ง ปานกลาง (The Alcohol, Smoking and Substance Involvement Screening Test : ASSIST) คา่ คะแนน เฉลย่ี ระหว่าง 11-26 คะแนน ที่รับยาต้านไวรสั เปน็ ประจา ณ คลินิกยาตา้ นไวรัสโรงพยาบาลเกาะคา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ีกินยาต้านไวรัสเป็นประจาและมีพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์แบบ เสี่ยงปานกลาง ท่ีเข้ารับการรักษา ณ คลินิกยาต้านไวรัส โรงพยาบาลเกาะคา มีอายุระหว่าง 20-60 ปี มีคะแนน พฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ ระหว่าง 11-26 คะแนน และได้รับยาต้านไวรัสมานานไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยกลุ่ม ตัวอย่างทุกคนไดท้ ราบถึงวัตถุประสงค์การวิจยั ข้ันตอนการทาวิจัย การปฏบิ ตั ติ น ประโยนท์ ่ีจะได้รับในการเขา้ รว่ ม วจิ ัย การนาข้อมูลไปใช้ ความมีอิสระในการเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการวจิ ัยและได้ลงนามยินยอมเข้าร่วมการวิจัย กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย โดยคานวณจากโปรแกรม STATA เวอร์ชัน12 และได้นาการศึกษาของ Joseph, Das, Sharma, & Basu (2014) มาร่วมกาหนด โดยกาหนดค่าแอลฟาเท่ากับ 0.05 ค่าอานาจการ ทดสอบเท่ากับ 0.8 ได้ขนาดตัวอย่างในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 46 คน อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกัน ปัญหากลุ่มตัวอย่างออกจากการศึกษาก่อนกาหนด ผู้วิจัยจึงทาการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเพิ่มเป็นกลุ่มละ 50 คน รวมจานวน 100 คน นากลุ่มตัวอย่างมาจับคู่ (paired matching) ด้วยเกณฑ์ เพศ อายุต่างกันไม่เกิน 5 ปี ระยะเวลาในการกินยาต้านไวรัส ความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส และคะแนนพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ ระดับเดยี วกนั เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ประกอบด้วย 1.เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทดลอง คือ การบาบัดแบบส้ันที่เชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST 10 ขั้นตอน ขอ งอ งค์ ก ารอน ามั ยโล ก (Assanangkornchai, Arunpongpaisal, & Kittirattanapaiboon, 2013) ซึ่ ง ประกอบด้วย 1) Asking ถามผู้ป่วยว่าสนใจจะทราบคะแนนแบบสอบถามของตนเองหรือไม่ 2) Feedback ให้ คะแนนเฉพาะตัวแก่ผปู้ ว่ ย 3) Advice ให้คาแนะนาวิธกี ารลดความเส่ียงจากการใช้แอลกอฮอล์ 4) Responsibility ให้ผู้ป่วยรับผิดชอบในการตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง 5) Concerned ถามผู้ป่วยว่ารู้สึกกังวลกับคะแนนของตนเอง มากน้อยเพียงไร 6) Good things ให้ช่ังน้าหนักข้อดีของการใช้แอลกอฮอล์ 7) Less good things ให้ชั่งน้าหนัก ขอ้ ไม่ค่อยดีของการใช้แอลกอฮอล์ 8) Summarize and reflect สรุปและสะท้อนคาพูดของผู้ป่วยโดยเน้นที่ “ข้อ ไม่ค่อยดี” 9) Concerned ถามผู้ป่วยว่ากังวลกับ“ข้อไม่ค่อยดี” มากน้อยเพียงไร และ 10) Take-home materials ให้เอกสารคู่มือกลับบ้านเพื่อเสริมการบาบัดแบบส้ัน โดยผู้ให้การบาบัดแบบสั้นเป็นพยาบาลวิชาชีพ ประจาคลินิกยาต้านไวรัส ที่เข้ารับการอบรมการให้คาปรึกษาและการบาบัดเพ่ือเสริมสร้างแรงจูงใจในผู้ป่วยที่มี ปญั หาสขุ ภาพจิตจากแอลกอฮอล์ ทาการบาบัดจานวน 1 คร้ังๆละ 15 นาที ร่วมกับการบาบัดตามปกติ ไดแ้ ก่ การ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
131 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ประเมินอาการ การให้คาแนะนาแบบส้ัน จานวน 1 คร้ังๆละ 10 นาที ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การ แสดงความช่ืนชม ความพยายามที่จะลดหรือเลิกด่ืมแอลกอฮอล์ 2) การใช้คาถามสร้างแรงจูงใจในการลดหรือเลิก ด่มื แอลกอฮอล์ เช่นการถามเก่ียวกบั ผลกระทบของพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ การถามเก่ียวกับความพยายามที่ จะลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงท่ีผ่านมา 3) การให้ข้อมูลในการลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นข้อมูลท่ี จาเป็น มคี วามรวบรดั และให้ทางเลือกแกผ่ รู้ ับบริการ 2.เครือ่ งมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ประกอบดว้ ย 2.1 ข้อมูลทัว่ ไปของผู้ปว่ ยท่ีด่ืมแอลกอฮอล์แบบเส่ียงปานกลาง ไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ สมรส ระยะเวลาในการด่ืม จานวนรายการยาต้านไวรสั ที่กินเป็นประจา และความร่วมมือในการกนิ ยาต้านไวรสั 2.2 แบบคดั กรองประสบการณ์การดืม่ สุรา สบู บหุ ร่ี และใช้สารเสพตดิ : คมู่ อื เพื่อใชใ้ นสถานพยาบาลปฐม ภมู ิ (The Alcohol, Smoking and Substance Involvement Screening Test:ASSIST) : manual for use in primary care ขององค์การอนามัยโลก (Assanangkornchai, Arunpongpaisal, & Kittirattanapaiboon, 2011) โดยให้บคุ ลากรสขุ ภาพเป็นผสู้ อบถามผมู้ ารับบรกิ าร แบบคัดกรอง ASSIST สามารถคัดกรองผู้ใช้สารเสพติดได้หลาย ประเภท สาหรบั การศึกษาน้ีใชค้ ดั กรองการด่ืมแอลกอฮอล์ในผู้ติดเชอื้ เอชไอวี สามารถประเมนิ พฤติกรรมการดมื่ แอลกอฮอลต์ ามระดบั ความเส่ยี งออกเปน็ 3 ระดบั ได้แก่ ระดับความเสย่ี งต่า ระดบั ความเสยี่ งปานกลางและระดับ ความเสี่ยงสูง แบบคัดกรอง ASSIST ประกอบดว้ ย 7 คาถาม มีคา่ คะแนนระหว่าง 0 – 39 แบบคัดกรองนีม้ คี วาม ไว (sensitivity) เทา่ กับ รอ้ ยละ 96 และความจาเพาะ (specificity) เท่ากบั รอ้ ยละ 88 ในการคัดแยกพฤติกรรม การด่ืมแอลกอฮอลต์ ามระดบั ความเสีย่ งของกลุ่มตัวอยา่ ง (Nima, Rakpanusit, Arttanuchit, Porji & Hayeye, 2016) โดยคาถามข้อท่ี 1 สอบถามว่าในชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี เคยดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ หากไม่เคยดื่มหรือ หยุดด่ืมต้ังแต่ 1 ปีขึ้นไปให้ยุติการประเมิน หากเคยด่ืมแอลกอฮอล์ให้ทาการประเมินต่อ คาถามข้อท่ี 2 สอบถาม ความถ่ีของการด่ืมแอลกอฮอล์ในช่วง 3 เดือนท่ีผ่านมา โดยมีค่าคะแนนระหว่าง 0 - 6 คาถามข้อท่ี 3 สอบถาม ความต้องการด่ืมแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมีค่าคะแนนระหว่าง 0 – 6 คาถามข้อที่ 4 สอบถามปัญหาสุขภาพ ครอบครัว กฎหมาย ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมีค่า คะแนนระหว่าง 0 – 7 คาถามข้อท่ี 5 สอบถามการไม่สามารถทากิจกรรมที่เคยทาได้ตามปกติ เนื่องจากการดื่ม แอลกอฮอลใ์ นช่วง 3 เดือนท่ผี ่านมา โดยมีค่าคะแนนระหว่าง 0 – 8 คาถามขอ้ ที่ 6 สอบถามความเป็นห่วงของคน รอบข้างต่อการดมื่ แอลกอฮอล์ตลอดชวี ิตท่ีผ่านมา โดยมีค่าคะแนนระหว่าง 0 – 6 คาถามข้อที่ 7 สอบถามความ ลม้ เหลวในการควบคมุ การดื่มแอลกอฮอลต์ ลอดชีวิตที่ผา่ นมาโดย มีค่าคะแนนระหว่าง 0 – 6 จากน้ันแบง่ คะแนน จดั กลุ่มพฤตกิ รรมการดมื่ แอลกอฮอล์ออกเป็น 3 ระดับ คอื คะแนน 0 - 10 คะแนน หมายถงึ กล่มุ ทดี่ ืม่ แบบเสี่ยงตา่ (Lower risk) คะแนน 11 - 26 คะแนน หมายถึง กล่มุ ทด่ี ื่มแบบเสีย่ งปานกลาง (Moderate risk) คะแนน 27 คะแนนขึน้ ไป หมายถงึ กลุ่มทดี่ มื่ แบบเสีย่ งสูง (High risk) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
132 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) 2.3 แบบบันทึกการนับเม็ดยาต้านไวรัส โดยเภสัชกรเป็นผู้นับเม็ดยาที่คงเหลือของผู้มารับบริการเมื่อมา พบแพทย์ตามนัด และบันทึกลงในแบบบันทึกการนับเม็ดยาในแต่ละครั้งท่ีมารับบริการ หากมีความร่วมมือในการ กินยาต้านไวรัสมากกว่าหรือเท่ากับ ร้อยละ 95 หมายถึง มีความสม่าเสมอในการกินยาต้านไวรัส หากมีความ รว่ มมอื นอ้ ยกว่า ร้อยละ 95 หมายถงึ ไมม่ ีความสม่าเสมอในการกินยาต้านไวรสั (Department of Disease Control, 2020) การตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมือ แบบคัดกรองประสบการณ์การดื่มสุรา สูบบุหร่ี และใช้สารเสพติด (The Alcohol, Smoking and Substance Involvement Screening Test : ASSIST) ข อ งอ งค์ ก า ร อ น า มั ย โล ก (Assanangkornchai, Arunpongpaisal,& Kittirattanapaiboon, 2011) ผู้วิจัยนาไปทดสอบหาความเช่ือมั่นกับผู้ติดเช้ือเอชไอวีท่ีมี ลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง ที่คลนิ ิกยาต้านไวรัสของโรงพยาบาลสบปราบ จงั หวัดลาปาง จานวน 30 คน ได้ ค่าสัมประสทิ ธอิ์ ลั ฟาของครอนบาค (Conbrach’s alpha Coefficient) เท่ากับ 0.85 ขน้ั ตอนการวจิ ัย ขั้นตอนท่ี 1: ขนั้ ตอนเตรยี มการทดลอง 1. ผู้ศึกษารวบรวมเอกสารและจัดเตรียมเอกสารทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู 2. เตรียมตัวผู้ให้การบาบัดแบบสั้นซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพประจาคลินิกยาต้านไวรัส โดยให้เข้ารับการ อบรม การใหค้ าปรึกษาและการบาบดั เพ่อื เสรมิ สรา้ งแรงจูงใจในผู้ปว่ ยทีม่ ปี ัญหาสขุ ภาพจิตจากแอลกอฮอล์ ข้ันตอนท่ี 2: ขน้ั ดาเนินการทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1.กลมุ่ ทดลอง จะไดร้ บั การบาบดั แบบสนั้ ซึง่ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนหลัก 10 ข้ันตอนจากผู้ให้บริการ สปั ดาหท์ ี่ 1 ผู้ศกึ ษาไดด้ าเนินการ ดังนี้ ผศู้ กึ ษาแจ้งวตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาและแปลผล ระดับคะแนนพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมให้การบาบัดแบบส้นั และนัดหมายเพอ่ื เกบ็ รวบรวม ข้อมลู หลังการทดลอง สัปดาห์ที่ 16 ผู้ศึกษาได้ดาเนินการ ดังน้ี ผู้ศึกษาประเมินพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของกลุ่ม ทดลอง พร้อมแจ้งผลประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ให้กลุ่มทดลองแต่ละคนรับทราบ และแจ้ง ส้ินสุดการศึกษา 2. กลมุ่ ควบคมุ จะไดร้ ับคาแนะนาตามปกตจิ ากผใู้ ห้บรกิ าร สัปดาห์ท่ี 1 ผู้ศึกษาได้ดาเนินการ ดังนี้ ผู้ศึกษาแจ้งวัตถุประสงค์ของการศึกษา และแปลผล ระดับคะแนนพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ พร้อมให้ข้อมูลเร่ืองการลดการด่ืมแอลกอฮอล์ และนัดหมาย เพื่อเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลงั การทดลอง สัปดาห์ท่ี 16 ผู้ศึกษาได้ดาเนินการ ดังน้ี ผู้ศึกษาประเมินพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของกลุ่ม ควบคุม พร้อมแจ้งผลประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ให้กลุ่มควบคุมแต่ละคนรับทราบ และแจ้ง สน้ิ สดุ การศึกษา วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
133 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) การดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู มขี ้นั ตอนการดาเนนิ การทดลองในกล่มุ ทดลองและ กลุ่มควบคุม โดยสรปุ ดังแสดงในภาพท่ี 1 ผ้ตู ดิ เชอื้ เอชไอวีทม่ี ีพฤตกิ รรมดมื่ แอลกอฮอลแ์ บบเสยี่ งปานกลาง 100 คน กลมุ่ ทดลอง 50 คน กลุม่ ควบคุม 50 คน คร้ังท่ี 1 สปั ดาห์ท่ี 1 คร้งั ที่ 1 สปั ดาหท์ ี่ 1 1) ชีแ้ จงวัตถปุ ระสงค์อธบิ ายขน้ั ตอนการศกึ ษา, เกบ็ 1) ช้แี จงวัตถปุ ระสงคอ์ ธบิ ายข้ันตอนการศึกษา, รวบรวมข้อมลู ทวั่ ไป เกบ็ รวบรวมข้อมูลทั่วไป 2) ประเมินพฤติกรรมการด่มื แอลกอฮอล์ 2) ประเมินพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ 3) ประเมินความรว่ มมือในการกนิ ยาตา้ นไวรัส 3) ประเมนิ ความรว่ มมอื ในการกินยาต้านไวรัส 4) ใหก้ ารบาบัดแบบสนั้ 4) ให้ข้อมูลเร่ืองการลดปรมิ าณการดืม่ ครั้งที่ 2 สัปดาหท์ ี่ 16 คร้งั ที่ 2 สปั ดาหท์ ่ี 16 ติดตามประเมนิ ผล ติดตามประเมนิ ผล 1) ประเมินพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ 1) ประเมนิ พฤติกรรมการดมื่ แอลกอฮอล์ 2) ประเมนิ ความรว่ มมือในการกินยาตา้ นไวรัส 2) ประเมินความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส 3) ยตุ บิ ริการ 3) ยุติบรกิ าร ภาพที่ 1 ข้ันตอนการดาเนินการทดลองในกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคมุ การวเิ คราะหข์ ้อมลู บรรยายลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างด้วยสถิติพรรณนา โดยข้อมูลที่เป็นค่านามนับได้ (categorical variable) รายงานเป็นความถ่ีหรือร้อยละ ส่วนข้อมูลท่ีเป็นค่าต่อเน่ือง (continuous variable) รายงานเป็นค่า Mean±SD สาหรับการเปรียบเทียบข้อมูลที่เป็นค่าต่อเนื่องใช้ t-test แบบ paired t-test ในการเปรียบเทียบ คะแนน ASSIST ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง และใช้ t-test แบบ independent t-test ในการ เปรียบเทียบคะแนน ASSIST หลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และใช้ Binary logistic regression เพื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการบาบัดแบบส้ันท่ีเชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST และ ความร่วมมอื ในการกินยาต้านไวรสั ของกลุม่ ตัวอย่าง การพทิ ักษ์สทิ ธิ์กลมุ่ ตัวอย่างและจริยธรรมการวิจัย การศึกษาวิจัยคร้ังน้ีผ่านการรบั รองจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวิจัยเก่ียวกบั มนษุ ย์ วทิ ยาลยั พยาบาล บรมราชชนนี นครลาปาง เอกสารการรบั รองเลขที่ E 2564-020 เมื่อวันท่ี 3 มีนาคม พ.ศ.2564 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
134 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผลการวจิ ัย ตารางที่ 1 แสดงจานวนและรอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ งจาแนกตามลกั ษณะสว่ นบุคคล การดม่ื และการกนิ ยา ขอ้ มูลทั่วไป กล่มุ ทดลอง(n=50) กลมุ่ ควบคุม(n=50) จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) รอ้ ยละ เพศ 36 72.00 14 28.00 ชาย 36 72.00 7 14.00 หญิง 14 28.00 3 6.00 24 48.00 อายุ 8 16.00 16 32.00 20-29 ปี 17 34.00 30-39 ปี 4 8.00 24 48.00 9 18.00 40-49 ปี 21 42.00 50-59 ปี 17 34.00 18 36.00 19 38.00 สถานภาพ 5 10.00 8 16.00 โสด 18 36.00 คู่ 20 40.00 5 10.00 หม้าย/หยา่ /แยก 12 24.00 5 10.00 40 80.00 การศกึ ษา 32 64.0 ประถมศึกษา 18 36.00 18 36.0 มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 23 46.00 16 32.0 34 68.0 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 6 12.00 ปริญญาตรี 3 6.00 ระยะเวลาทด่ี มื่ แอลกอฮอล์ 4 8.00 1-5 ปี 3 6.00 6-10 ปี 43 86.00 10 ปขี นึ้ ไป 32 64.0 18 36.0 จานวนยาตา้ นไวรัสท่กี ินต่อหน่ึงวนั 1 เม็ด 2 เมด็ ขนึ้ ไป ความร่วมมือในการกินยาตา้ นไวรสั กอ่ นการทดลอง < ร้อยละ 95 14 28.0 ≥ ร้อยละ 95 36 72.0 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
135 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) จากตารางท่ี 1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เปน็ เพศชายรอ้ ยละ 72.00 และเพศหญงิ รอ้ ยละ 18.00 จานวนเทา่ กันทง้ั สองกลุ่ม อายุส่วนใหญ่อยใู่ นช่วง 40 - 49 ปี มีสถานภาพคู่มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 40.00 ในกลุ่มทดลอง และร้อยละ 48.00 ในกลุ่มควบคุม มีระดับ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 46.00 และ 38.00 ตามลาดับ โดยมีระยะเวลาที่ด่ืม แอลกอฮอล์มากท่ีสุด 10 ปีขึ้นไปทั้งสองกลุ่ม พบในกลุ่มทดลองรอ้ ยละ 86.00 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 80.00 ใน สว่ นของปริมาณยาตา้ นไวรัสท่ตี ้องกนิ พบว่าร้อยละ 64.00 ของทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกินยา 1 เมด็ ต่อวัน สาหรบั ความรว่ มมือในการกินยาตา้ นไวรสั กอ่ นการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมส่วนใหญ่มีความร่วมมือใน การกินยาต้านไวรัสมากกว่าร้อยละ 95 ของปริมาณที่ได้รับ โดยพบในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมร้อยละ 72.00 และ 68.00 ตามลาดบั ตารางท่ี 2 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ ที ของพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ ระหว่าง กอ่ นและหลังการทดลอง รายละเอียดคาถาม ช่วง ค่าเฉลี่ยกอ่ น ค่าเฉล่ยี หลัง t- p- คะแนน ทดลอง ทดลอง test value 1.ความถี/่ จานวนการดื่มแอลกอฮอลใ์ นชว่ ง 3.42±0.81 2.22±0.76 14.85 <.001 3 เดือน (Q2) 0-6 3.62±0.64 1.80±1.57 12.33 <.001 2. อยากด่ืมแอลกอฮอล์มากๆ (Q3) 0-6 4.14±0.35 0.64±1.48 21.24 <.001 3. มีปญั หาสขุ ภาพ/สงั คม/กฎหมายจากการ 0-7 ด่ืมแอลกอฮอล์ (Q4) 1.50±2.32 0.50±1.52 3.50 <.001 4.ไมส่ ามารถทากจิ กรรมที่เคยทาไดต้ ามปกติ 0-8 เนือ่ งจากการดมื่ แอลกอฮอล์ (Q5) 1.56±1.94 0.36±0.98 5.71 <.001 5.ความกังวลของคนรอบข้างต่อพฤติกรรม 0-6 การดื่มแอลกอฮอล์ (Q6) 1.62±2.11 0.48±1.26 5.48 <.001 6.ความพยายามในการเลกิ หรือลดการด่ืม 0-6 17.02±4.55 5.60±3.47 19.91 <.001 แอลกอฮอล์ด้วยตนเอง (Q7) 0-39 คะแนนรวมจากทุกคาถาม จากตารางท่ี 2 พบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับการบาบัดแบบสั้น มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ ก่อนเริ่มการทดลองและหลังการทดลอง 16 สัปดาห์ เท่ากับ 17.02±4.55 คะแนน และ 5.60±3.47คะแนน วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
136 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตามลาดับ เมื่อเปรยี บเทยี บดว้ ยสถิติ paired t-test พบวา่ คา่ เฉล่ยี คะแนนพฤติกรรมการดืม่ แอลกอฮอล์ (ASSIST) หลังการทดลอง แตกต่างจากคา่ เฉล่ยี คะแนนกอ่ นทดลองอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (p-value < 0.001) ตารางที่ 3 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ ที ของพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ของกลุ่มตัวอย่าง รายละเอียดคาถาม ชว่ ง ค่าเฉล่ีย คา่ เฉลีย่ t-test p- คะแนน คะแนน คะแนน value กลมุ่ ทดลอง กลุ่มควบคมุ 1.ความถ่/ี จานวนการดื่มแอลกอฮอลใ์ นช่วง 3 0-6 2.22±0.76 2.98±0.71 -5.14 <.001 เดอื น (Q2) 0-6 1.80±1.57 3.28±0.91 -5.79 <.001 2. อยากดม่ื แอลกอฮอลม์ ากๆ (Q3) 3. มีปัญหาสขุ ภาพ/สงั คม/กฎหมายจากการ 0-7 0.64±1.48 3.06±1.71 -7.57 <.001 ด่มื แอลกอฮอล์ (Q4) 4.ไม่สามารถทากจิ กรรมท่เี คยทาไดต้ ามปกติ 0-8 0.50±1.52 1.80±2.42 -3.21 .002 เน่ืองจากการดืม่ แอลกอฮอล์ (Q5) 5.ความกังวลของคนรอบข้างตอ่ พฤตกิ รรม 0-6 0.36±0.98 1.08±1.58 -2.74 .008 การดม่ื แอลกอฮอล์ (Q6) 6.ความพยายามในการเลกิ หรือลดการดื่ม 0-6 0.48±1.26 1.14±1.70 -2.20 .003 แอลกอฮอล์ด้วยตนเอง (Q7) คะแนนรวมจากทุกคาถาม 0-39 5.60±3.47 13.34±3.46 -11.17 <.001 จากตารางท่ี 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์ (ASSIST) หลังการทดลอง ของกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุม เท่ากับ 5.60±3.47 คะแนน และ 13.34±3.46 คะแนน ตามลาดับ เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ Independent t-test พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลอง มี ค่าเฉล่ียคะแนนของพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ (ASSIST ) ต่ากว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ p-value <.001 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
137 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางท่ี 4 แสดงความสมั พันธร์ ะหว่างการใหก้ ารบาบดั แบบสั้นท่ีเชื่อมต่อจากการคัดกรองดว้ ย ASSIST และความ รว่ มมือในการกนิ ยาต้านไวรัส รอ้ ยละความร่วมมอื ในการกินยา ปจั จยั น้อยกว่าร้อยละ 95 มากกวา่ รอ้ ยละ 95 OR(95%CI) p-value การบาบดั แบบส้ัน (n=26 ) (n = 74) ได้รบั การบาบดั แบบส้นั 7 43 3.76 (1.41-10.05) .008 ไมไ่ ดร้ บั การบาบดั แบบสน้ั 19 31 จากตารางที่ 4 พบว่า การใหก้ ารบาบัดแบบสั้นที่เชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST เป็นปัจจัยท่ีสมั พนั ธ์กับ การท่ีผู้ติดเช้ือเอชไอวีมีความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสมากกว่าร้อยละ 95 ของปริมาณท่ีได้รับอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ โดยผูต้ ิดเชอ้ื เอชไอวีที่ได้รบั การบาบัดแบบสั้นมีโอกาสให้ความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสมากกว่ารอ้ ยละ95ของ ปริมาณที่ได้รับ ถึง 3.76 เท่า เม่ือเปรียบเทียบกับผู้ติดเช้ือท่ีไม่ได้รับการบาบัดแบบส้ัน (OR = 3.76 ; 95% CI 1.41 - 10.05 ; p = .008) อภิปรายผล จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของการบาบัดแบบสั้นท่ีเชื่อมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST ในการลดพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลางของผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการบาบัดแบบส้ันที่เช่ือมต่อจากการคัดกรองด้วย ASSIST ท่ีมีต่อการ เพ่ิมขึ้นของความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสของผู้ติดเช้ือเอชไอวีที่มีพฤตกิ รรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปาน กลางด้วยเช่นกัน ทั้งน้ีเน่ืองจาก การบาบัดแบบส้ันที่ใช้ในการศึกษานี้อิงตามหลักการของการบาบัดเพื่อ เสริมสร้างแรงจูงใจ ซึ่งพัฒนาโดย Miller & Rollnick (2013) อันเป็นการปฏิสัมพันธ์ท่ียึดผู้รับบริการเป็น ศูนย์กลาง โดยช่วยนาให้ผู้รับบริการได้ค้นหาและแก้ไขความลังเลใจในการใช้แอลกอฮอล์ แรงจูงใจสาหรับการ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จากสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้รับบริการและบุคลากรสุขภาพ หลักการสาคัญของการสร้าง แรงจงู ใจคือ การทบ่ี ุคลากรสุขภาพแสดงความเขา้ ใจเห็นใจผ้รู ับบริการ ซึ่งประกอบดว้ ยท่าทีที่ยอมรับและไม่ตดั สิน ว่าถูกหรือผิด พยายามเข้าใจมุมมองของผู้รับบริการและขจัดอคติที่ใช้คาเรียกว่า”ขี้เหล้า”สิ่งสาคัญคือ หลีกเล่ียง การตาหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้รับบริการโดยตรง นอกจากนี้การมีทักษะการฟังอย่างต้ังใจและสะท้อนความที่ อธิบายหรือขยายความรู้สึกประสบการณ์และความคิดของผู้รับบริการที่ซ่อนอยู่เป็นพื้นฐานของการแสดงความ เข้าใจเห็นใจ การท่ีบุคลากรสุขภาพมีความเข้าใจเห็นใจจะเป็นส่วนสาคัญท่ีทาให้ผู้รับบริการตอบสนองต่อการ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
138 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) บาบัดได้ดี (Korcha, Polcin, Evans, Bond, & Galloway, 2015) สอดคล้องกับผลการศึกษาของ O’Donnell et al., (2014) ซ่ึงทาการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systemic review) จานวน 24 การศึกษา ตั้งแต่ปี ค.ศ.2002 ถึง 2012 ซึ่ง พบว่า การบาบัดแบบส้ันมีประสิทธิภาพในการลดการด่ืมแอลกอฮอล์ สาหรับผู้ท่ีดื่ม แอลกอฮอล์แบบอันตรายในสถานบริการปฐมภูมิ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในกลุ่มนักด่ืมแอลกอฮอล์เพศชายในวัย กลางคน และยังได้ผลดีในนักด่ืมเพศหญิง นักดื่มที่มีโรคร่วมและได้ผลทุกกลุ่มชาติพันธ์ไม่จากัดว่าเป็นนักด่ืมท่ี อาศยั อยู่ในประเทศพฒั นาแล้วหรอื กาลงั พัฒนากต็ าม หากพิจารณาประเด็นประสิทธิผลของการบาบัดแบบส้ันท่ีมีต่อความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัส ท่ีพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญเนื่องจาก ผู้ติดเช้ือเอชไอวีจาเป็นต้องกินยาอย่างถูกต้อง ครบถ้วน สม่าเสมอ และตรงเวลา เพื่อควบคุมจานวนเช้ือไวรัสเอชไอวีในร่างกายให้อยู่ในปริมาณต่าที่สุดและเพิ่มระดับ ภูมิคุ้มกัน เมื่อผู้ติดเช้ือเอชไอวีสามารถลดปริมาณการด่ืมแอลกอฮอล์ ทาให้โอกาสท่ีจะลืมกินยาต้านไวรัสลดลง เน่ืองจากไม่มีอาการมึนเมาและทาให้มีสติสัมปชัญญะในการกินยาอย่างถูกต้อง ผลการศึกษาครั้งน้ีสอดคล้องกับ ผลการศึกษาของ Go et al., (2020) ซ่ึงทาการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized control trial) ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีชาวเวียตนามที่มีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตรายจานวน 440 คน พบว่า การบาบัด แบบสั้นมีประสิทธิผลในการเพิ่มร้อยละของการไม่ด่ืมแอลกอฮอล์และลดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเวลาผ่านไป สบิ สองเดอื นได้อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ การศึกษาของเราแสดงให้เห็นถงึ ประสทิ ธิผลของการให้การบาบัดแบบส้ันท่เี ช่ือมตอ่ จากการคัดกรองด้วย ASSIST ท่ีช่วยลดพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลางของผู้ติดเช้ือเอชไอวีได้อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ โดยมีจุดเด่นท่ีสามารถทาให้สาเร็จได้ในคร้ังเดียวไม่ต้องนัดหมายผู้มารับบริการหลายครั้งเหมาะที่จะนาไป ประยุกต์ใช้ในการบริการผู้ป่วยตามปกติและเหมาะสมในบริบทท่ีมีทรัพยากรอย่างจากัด (Braithwaite et al., 2014) อย่างไรก็ตามการศึกษาในครั้งน้ีมีข้อจากัดอยู่หลายประการ อาทิเช่น การบาบัดแบบสั้นถูกส่งต่อโดย พยาบาลวิชาชีพท่ีผ่านการอบรมการบาบัดฟ้ืนฟูผู้ดื่มแอลกอฮอล์ ในขณะท่ีคลินิกยาต้านไวรัสส่วนใหญ่ไม่มี ผู้ชานาญการในด้านน้ีอาจส่งผลต่อการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง นอกจากน้ีการท่ีผู้เข้าร่วมการศึกษาอาจ หลงลืมในพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ท่ีผ่านมาของตนเองหรือมีความกังวลในการเปิดเผยพฤติกรรมการ ดื่มแอลกอฮอล์ท่ีแท้จริงของตนเองให้ผู้ให้บริการทราบ ส่งผลให้การรายงานปริมาณหรือความถี่ในการดื่ม แอลกอฮอล์ต่ากว่าความเป็นจริง พบในการศึกษาของสาธารณรัฐยูกันดาก่อนหน้านี้ (Muyindike et al., 2017) สาหรับข้อจากัดในประเด็นการประเมินคะแนน ASSIST ก็มีความน่าสนใจว่ามีความเหลื่อมล้าในการประเมิน หรือไม่ เน่ืองจากช่วงคะแนนในการวินิจฉัยว่ามีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์แบบเสี่ยงปานกลางเป็นช่วงคะแนนที่ กวา้ งคือ 11 ถึง 26 คะแนน ในส่วนของการวัดผลลัพธท์ างคลนิ ิกการศึกษาของเรากม็ ีข้อจากดั เช่นกนั เน่ืองจากเรา ศึกษาเพียงความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสของผู้ติดเช้ือเอชไอวีซ่ึงเป็นการวัดผลทางอ้อม อย่างไรก็ตามการที่ ผู้ใหบ้ รกิ ารถามคาถามส้นั ๆหรือแจกแผ่นพับเก่ียวกับการดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมได้ผลในการลดการดื่มแอลกอฮอล์ใน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
139 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและอาจจาเป็นท่ีจะต้องปฏิบัติในลักษณะนี้ทุกครั้งที่ผู้รับบริการมารับบริการตามนัดหมาย เพื่อ เสริมพลงั ในการลดการด่ืมแอลกอฮอล์ จงึ เป็นประเด็นท่ีน่าสนใจสาหรับการศกึ ษาในอนาคต การศึกษาในคร้ังน้ี ถือว่าเป็นการบุกเบิกในการให้การบาบัดแบบสั้นที่เชื่อมต่อจากการคัดกรองด้ วย ASSIST แก่ผู้ติดเชอื้ เอชไอวีที่มีพฤติกรรมการดมื่ แอลกอฮอลแ์ บบเส่ียงปานกลาง โดยการศึกษาคร้ังน้ีพบว่าการให้ การบาบดั แบบส้ันมีประสทิ ธิผลทาใหผ้ ู้ตดิ เชื้อเอชไอวมี ีคะแนน ASSIST ลดลงและเพิ่มโอกาสในการกินยาต้านไวรัส มากกว่าร้อยละ 95 ของปริมาณท่ีได้รับอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เมื่อติดตามผู้ติดเชื้อเป็นระยะเวลานาน 4 เดอื น ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ัยไปใช้ - ควรนาเสนอผลการศึกษาต่อผู้บริหารเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการให้การ บาบัดแบบสั้นที่เช่ือมต่อจากการคัดกรองด้วยASSIST ท่ีคลินิกยาต้านไวรัส หรืออาจขยายผลการดาเนินงานไปยัง คลินิกโรคเร้ือรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซ่ึงผู้รับบริการอาจมีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์แบบ เสย่ี งแอบแฝงอยู่ เนอ่ื งจากการบาบัดแบบสน้ั ท่เี ช่อื มต่อจากการคัดกรองด้ว ASSIST มจี ดุ เด่นท่ีสามารถทาให้สาเร็จ ได้ในครั้งเดียวไม่ต้องนัดหมายผู้มารับบริการหลายคร้ังเหมาะที่จะนาไปประยุกต์ใช้ในการบริการผู้ป่วยตามปกติ และเหมาะสมในบรบิ ททม่ี ีทรัพยากรอย่างจากัด - ควรมกี ารพัฒนาศกั ยภาพพยาบาลวิชาชพี ท่ีประจาอย่ทู ่ีคลนิ ิกยาตา้ นไวรัสและคลินิกโรคเรื้อรงั ทุกคน ให้ ผา่ นการอบรมการใหค้ าปรึกษาและการบาบดั เพอ่ื เสรมิ สร้างแรงจูงใจในผปู้ ่วยที่มีปญั หาสขุ ภาพจติ จากแอลกอฮอล์ ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาวจิ ัยคร้ังต่อไป - ควรขยายระยะเวลาการศึกษาให้ยาวนานกว่านี้ เน่ืองจากการศึกษาน้ีใช้ระยะเวลาการศึกษาเพียง 16 สัปดาห์ อาจเป็นระยะเวลาที่ส้ันเกินไปในการติดตามการคงอยู่ของพฤติกรรมของผู้รับบริการ นอกจากนี้รูปแบบ ของการศึกษาควรจะเป็นการศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized control trial) เพ่ือที่จะสามารถนา ผลการศกึ ษามาประยกุ ตใ์ ช้ในสถานการณ์จรงิ ต่อไป - ควรมีการปรับช่วงคะแนน ASSIST ในการคัดกรองให้แคบลง เพื่อความแม่นยาในการจาแนกพฤติกรรม การดม่ื แอลกอฮอล์ของผ้ตู ดิ เช้อื เอชไอวี ว่ามคี วามเสย่ี งระดบั ใด - ควรมีการศึกษาวิจัยในรูปแบบอ่ืน เช่น การวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อหาแนวทางท่ีเหมาะสมในการ เสรมิ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรมการดม่ื แอลกอฮอล์ของผตู้ ดิ เช้ือเอชไอวี วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
140 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) เอกสารอ้างอิง Abaynew, Y., Deribew, A., & Deribe, K. (2011). Factors associated with late presentation to HIV/AIDS care in South Wollo Zone Ethiopia: a case-control study. AIDS research and therapy, 8, 8. Retrieved (2021,August,8) from https://doi.org/10.1186/1742-6405-8-8 Assanangkornchai, S., Arunpongpaisal, S., & Kittirattanapaiboon, P. (2013). The ASSIST-linked brief intervention for hazardous and harmful substance use: manual for use in primary care. (2nd ed.). Nonthaburi, Thailand: Kunathai.(in Thai) Assanangkornchai, S., Arunpongpaisal, S., & Kittirattanapaiboon, P. (2011). The Alcohol, Smoking and Substance Involvement Screening Test (ASSIST): manual for use in primary care. Nonthaburi, Thailand: Kunathai.(in Thai) Braithwaite, R. S., et al. (2014). How inexpensive does an alcohol intervention in Kenya need to be in order to deliver favorable value by reducing HIV-related morbidity and mortality? Journal of acquired immune deficiency syndromes (1999), 66(2), e54–e58. Retrieved (2021, August,19) from https://doi.org/10.1097/QAI.0000000000000140 Center for Alcohol Studies. (2011). A decades of center for alcohol studies, status knowledge for alcohol consumption control. Nonthaburi: The Graphico Systems. (in Thai) Chander, G., Hutton, H. E., Lau, B., Xu, X., & McCaul, M. E. (2015). Brief Intervention Decreases Drinking Frequency in HIV-Infected, Heavy Drinking Women: Results of a Randomized Controlled Trial. Journal of acquired immune deficiency syndromes. 70(2), 137–145. Retrieved (2021, July,8) from https://doi.org/10.1097/QAI.0000000000000679 Churchill, S., Pavey, L., Jessop, D., & Sparks, P. (2016). Persuading People to Drink Less Alcohol: The Role of Message Framing, Temporal Focus and Autonomy. Alcohol and Alcoholism. 51(6), 727–733. Retrieved (2021,August,27) from https://doi.org/10.1093/alcalc/agw033 Department of Disease Controll. (2020). Thailand National Guidelines on HIV/AIDS Treatment and Prevention 2017. Nonthaburi, Thailand: Author. (in Thai) Duko, B., Ayalew, M., & Ayano, G. (2019). The prevalence of alcohol use disorders among people living with HIV/AIDS: a systematic review and meta-analysis. Substance abuse treatment, prevention, and policy, 14(1), 52. Retrieved (2021,September,4) from https://doi.org/10.1186/s13011-019-0240-3 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
141 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) Go, V. F., et al. (2020).Effect of 2 Integrated Interventions on Alcohol Abstinence and Viral Suppression Among Vietnamese Adults with Hazardous Alcohol Use and HIV: A Randomized Clinical Trial. The Journal of the American Medical Association, 3(9), e2017115. Retrieved (2021, August,1) from https://doi.org/10.1001/jamanetworkopen.2020.17115 Hasin, D. S., et al. (2013). Reducing heavy drinking in HIV primary care: a randomized trial of brief intervention, with and without technological enhancement. Addiction (Abingdon, England), 108(7), 1230–1240. Retrieved (2021, September,13) from https://doi.org/10.1111/add.12127 Jiang, H., Zhou, Y., & Tang, W. (2020). Maintaining HIV care during the COVID-19 pandemic. The lancet. HIV, 7(5), e308–e309. Retrieved (2021, August,8) from https://doi.org/10.1016/S2352-3018(20)30105-3 Joseph, J., Das, K., Sharma, S., & Basu, D. (2014). Assist-linked alcohol screening and brief intervention in Indian workplace setting: result of a 4-month follow up. Indian Journal of Social Psychiatry. 30(3-4), 80-86. Korcha, R. A., Polcin, D. L., Evans, K., Bond, J. C., & Galloway, G. P. (2015). Intensive Motivational Interviewing for Women with Alcohol Problems. Counselor (Deerfield Beach, Fla.), 16(3), 62–69. Li, L., et al. (2017). Alcohol Use, HIV Treatment Adherence, and Sexual Risk Among People with a History of Injecting Drug Use in Vietnam. AIDS and behavior, 21(Suppl 2), 167–173. Retrieved (2021, August,8) from https://doi.org/10.1007/s10461-017-1860-0 Lipira, L., et al. (2020). Patterns of alcohol use and associated characteristics and HIV-related outcomes among a sample of African-American women living with HIV. Drug and alcohol dependence, 206, 107753. Retrieved (2021, August,29) from https://doi.org/10.1016/j.drugalcdep.2019.107753 Lunze, K., et al. (2017). HIV Stigma and Unhealthy Alcohol Use Among People Living with HIV in Russia. AIDS and behavior, 21(9), 2609–2617. Retrieved (2021, August,8) from https://doi.org/10.1007/s10461-017-1820-8 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
142 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) Malbergier, A., Amaral, R. A., & Cardoso, L. D. (2015). Alcohol dependence and CD4 cell count: is there a relationship? AIDS Care, 27(1):54-58. Retrieved (2021, September,3) from https://doi.org/10.1080/09540121.2014.947235. Miller, W. R., & Rollnick, S. (2013). Motivational interviewing: Helping people change. New York, NY: Guilford Press. Moyer, V. A. (2013). Preventive Services Task Force. Screening and behavioral counseling interventions in primary care to reduce alcohol misuse: U.S. preventive services task force recommendation statement. Ann Intern Med, 159(3) 210-218. Retrieved (2021, August,9) from https;//doi.org10.7326/0003-4819-159-3-201308060-00652. Musumari, P. M., et al. (2017). Socio-behavioral risk factors among older adults living with HIV in Thailand. PloS one, 12(11), e0188088. Retrieved (2021, August,9) from https://doi.org/10.1371/journal.pone.0188088. Muyindike, W. R., et al. (2017). Phosphatidylethanol confirmed alcohol use among ART-naïve HIV-infected persons who denied consumption in rural Uganda. AIDS care, 29(11), 1442–1447. Retrieved (2021,August,9) from https://doi.org/10.1080/09540121.2017.1290209 Nima, P., Rakpanusit, T., Arttanuchit, S., Porji, A., & Hayeye, S. (2016). ASSIST-Y linked Islamic BI among substance abuse students of Islamic private schools in three southern border provinces. Al-Hikmah Journal of Fatoni University, 8(16), 109-121. (in Thai) O'Donnell, A., et al. (2014). The impact of brief alcohol interventions in primary healthcare: a systematic review of reviews. Alcohol and alcoholism (Oxford, Oxfordshire), 49(1), 66–78. Retrieved (2021, August,15) from https://doi.org/10.1093/alcalc/agt170 Peacock, A., Leung, J., Larney, S., Colledge, S., Hickman, M., Rehm J., Degenhardt, L. (2018). Global statistics on alcohol, tobacco and illicit drug use: 2017 status report. Addiction, 113(10), 1905-1926. Teferra, S., et al. (2016). Hazardous alcohol use and associated factors in a rural Ethiopian district: a cross-sectional community survey. BMC Public Health 16, 218. Retrieved (2021, August,15) from https://doi.org/10.1186/s12889-016-2911-6 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285