Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ สถาบันการเรียนรู้กองทุนหมูบ้านและชุมชนเมือง (2557)

หลักสูตรการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ สถาบันการเรียนรู้กองทุนหมูบ้านและชุมชนเมือง (2557)

Published by RMUTL Knowledge Book Store, 2020-07-23 00:43:28

Description: องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุน ระบบสวัสดิภาพ สวัสดิการ การพัฒนาอาชีพ สำหรับดำเนินการฝึกอบรมให้กับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้ดำเนินการขับเคลื่อนสถาบันการเรียนรู้กองทุนหมูบ้านและชุมชนเมือง

Keywords: บัญชี, กฎหมาย, การบริหารจัดการ, การสร้างอาชีพ,สถาบันการเรียนรู้กองทุนหมูบ้านและชุมชนเมือง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

Search

Read the Text Version

2.3 ระวังความคลาดเคลอื่ นหรือความผิดพลาดของการวัด เม่ือจะใชเ้ ครือ่ งมอื ชนิดใด ตอ้ ง ระวงั ความบกพร่องของเคร่ืองมอื หรือวธิ ีการวดั 2.4 ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง เช่น คะแนนที่เกิดจาการสอนต้องแปลผลให้ถูกต้อง สมเหตุสมผลและมคี วามยุตธิ รรม 2.5 ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า จุดประสงค์สาคัญของการวัดก็คือ เพ่ือค้นและพัฒนา สมรรถภาพของผู้เรียน ต้องพยายามค้นหาผู้เรียนแต่ละคนว่า เด่น-ด้อยในเรื่องใด และหาแนวทาง ปรับปรงุ แกไ้ ขแตล่ ะคนใหด้ ขี ึน้ 3. ขั้นตอนการวัดทางการศกึ ษา 3.1 ระบจุ ดุ ประสงคแ์ ละขอบเขตของการวดั วา่ วดั อะไร วัดใคร 3.2 นยิ ามคุณลกั ษณะทตี่ อ้ งการวดั ใหเ้ ปน็ พฤติกรรมท่วี ัดได้ 3.3 กาหนดวิธกี ารวัดและเครื่องมือวดั 3.4 จดั หาหรือสรา้ งเครอื่ งมือวัด ดังเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยคือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และมี การวดั พฤติกรรมด้านต่างๆ 6 ด้าน คือ 1) ความร้คู วามจา (Knowledge) ความรู้ความจา หมายถึง ความสามารถของสมองท่เี ก็บ สะสมเรอ่ื งราวตา่ งๆ หรอื ประสบการณ์ท้งั ปวง ท่ีตนได้รับร้มู า 2) ความเข้าใจ (Comprehension) หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ความจาไป ดัดแปลงปรับปรุง เพื่อให้สามารถจับใจความ หรือเปรียบเทียบ ย่นย่อเร่ืองราว ความคิด ข้อเท็จจริง ต่างๆ 3) การนาไปใช้ (Application) หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ ความเข้าใจใน เร่ืองราวใดๆ ไปใชใ้ นสถานการณ์จรงิ ในชวี ติ ประจาวันหรือในสถานการณท์ ีค่ ลา้ ยคลึงกัน 4) การวิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง การแยกแยะพิจารณาดูรายละเอียดของสิ่งต่างๆ หรือเร่ืองราวต่างๆ 5) การสังเคราะห์ (Synthesis) หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานเรื่องราวหรือส่ิง ตา่ งๆ ต้ังแต่ 2 ชนดิ ข้นึ ไปเข้าดว้ ยกนั เพ่ือสร้างเปน็ เร่ืองราวใหม่ 6) การประเมินค่า (Evaluation) หมายถึง การวินิจฉัย หรือตีราคา เรื่องราว ความคิด เหตุการณต์ า่ งๆ โดยสรปุ เป็นคุณคา่ ว่า ด-ี เลว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทท่ีผู้สอนสร้างมีหลายแบบ แต่ท่ีนิยมใชม้ ี 6 แบบดังนี้ 1. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คาถาม แล้วใหผ้ ู้เรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรแู้ ละเขยี นขอ้ คดิ เหน็ ของแตล่ ะคน หลักสตู รการบรหิ ารจัดการ การเรียนรู้ สถาบันการเรียนรู้กองทุนหม่บู ้านและชุมชน 143

2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบท่ีมี 2 ตัวเลือกแต่ ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมอื นกัน-ตา่ งกนั เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคา (Completion test) เป็นข้อสอบท่ีประกอบด้วยประโยค หรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเตมิ คาหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างท่ีเว้นไว้น้ันเพอื่ ให้มี ใจความสมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ ง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ (Short answer test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบ แบบเติม คา แต่แตกต่างกันท่ีข้อสอบแบบตอบสั้นๆเขียนเป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคาเป็น ประโยคหรอื ข้อความท่ยี งั ไมส่ มบูรณ์) แล้วให้ผตู้ อบเขยี นตอบ คาตอบที่ต้องการจะสน้ั และกะทัดรดั ได้ ใจความสมบรู ณ์ไมใ่ ชเ่ ป็นการบรรยายแบบ ขอ้ สอบอตั นัยหรือความเรียง 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่าหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุดแล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแตล่ ะข้อความในชุดหน่ึงจะคู่กับคาหรือ ข้อความ ใดในอกี ชดุ หนึง่ ซ่งึ มคี วามสัมพันธ์กนั อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ตามท่ีผ้อู อกขอ้ สอบ กาหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) คาถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนาหรือคาถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะ ประกอบดว้ ยตัวเลือกท่ีเปน็ คาตอบถูกและตวั เลือกลวง ปกติจะมีคาถามท่ีกาหนดให้พิจารณา แล้วหา ตัวเลือกที่ถูกต้องมากท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่นๆและคา ถามแบบเลือกตอบท่ีดีนิยมใช้ ตัวเลือกที่ใกล้เคยี งกนั หลกั การเขยี นข้อสอบวดั พฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสยั มีดงั นี้ 1. ข้อสอบอัตนยั หรือความเรียง (Subjective or Essay Test) 1. เขยี นคาชแี้ จงเกี่ยวกบั วิธีการตอบให้ชัดเจนและกาหนดเวลาให้ตอบนานพอสมควร 2. ควรเขียนคาถามให้ชัดเจน และควรใช้คาถามให้ใช้ความคิด เช่น จงอธิบาย จงวเิ คราะห์ 3. เลือกถามเฉพาะจุดทส่ี าคัญของเรอ่ื ง 4. คาถามแตล่ ะข้อมีความยากงา่ ยไม่เท่ากัน 2. ขอ้ สอบแบบกาถูก-ผดิ (True - false Test) 1. เขยี นคาถามให้รดั กมุ สัน้ ๆ 2. ควรเขยี นคาถามด้วยภาษาง่ายๆ ชัดเจนตรงไปตรงมา 3. ควรออกข้อสอบให้มขี ้อถกู กบั ข้อผิดจานวนใกลเ้ คียงกัน 4. หลักการให้คะแนนไมค่ วรใช้วธิ หี ักคะแนนหรือติดลบในข้อที่ตอบผดิ 3. ขอ้ สอบแบบเติมคา (Completion Test) 1. ไม่ควรใช้ข้อความหรือประโยคจากหนังสือแล้วตัดคาบางคา หรือบางข้อความ ออกมาใช้เป็นคาถาม 144 สานกั งานกองทนุ หมบู่ า้ นและชุมชนเมืองแห่งชาติ

2. คาตอบทตี่ ้องการใหเ้ ตมิ หรือทีถ่ กู จะตอ้ งเปน็ คาตอบที่เฉพาะเจาะจงไมต่ คี วามไดห้ ลายนยั 3. แต่ละข้อความให้เติมแห่งเดยี วตอนท้ายของประโยคหรือข้อความ แต่ถ้าจาเป็นอาจ เว้นให้เติมส่วนอ่ืน 4. ตาแหนง่ ทเ่ี ตมิ ต้องเปน็ จุดสาคญั จรงิ ๆ 4. ข้อทดสอบแบบตอบสั้นๆ (Short Answer Test) 1. คาตอบที่ต้องการมักจะส้นั เป็นคาเดียว วลีเดียว หรือประโยคส้ันๆ 2. คาตอบที่ไดต้ ้องเปน็ ประเภทตายตวั แน่นอน 3. มกั จะเป็นคาถามทถี่ ามเก่ยี วกับ ศัพท์ กฎ นิยาม ทฤษฎี หลกั การ 5. ข้อสอบแบบจบั คู่ (Matching Test) 1. ตวั เลือกตอ้ งมีจานวนมากกวา่ ตวั ยนื 2-4 ข้อ 2. ตวั ยืนควรจะมี จานวน 5-15 ข้อ ถ้าตัวยืนมีจานวนน้อยเกินไปจะจับคู่หาคาตอบได้ ง่ายมาก 3. ขอ้ ความในแต่ละชุดต้องเป็นเอกพนั ธ์ 4. ตัวยนื ในแตล่ ะขอ้ มีโอกาสจับคู่กับตวั เลือกทุกข้อ 5. ขอ้ สอบในชุดตวั ยนื และตวั เลอื กทกุ ข้อต้องอยูใ่ นหนา้ เดยี วกนั 6. ต้องระบุความสัมพันธ์ของข้อความท้ังสองชุดให้ชัดเจน โดยเขียนคาชี้แจงว่าจะให้ จับค่โู ดยยึดความสมั พันธแ์ บบใด 7. รูปแบบของข้อสอบจับคู่ สว่ นใหญ่จะให้ผู้ตอบนาอักษร หน้าข้อความทางขวามือไป ใสใ่ น วงเลบ็ หน้า ขอ้ ความทาง ด้านซา้ ยมอื ทค่ี ดิ ว่าสัมพนั ธ์กนั 6. ขอ้ สอบเลอื กตอบ (Multiple Choice Test) 1. เขยี นตอนนาใหเ้ ปน็ ประโยคคาถามสมบรู ณ์ อาจใส่เครื่องหมายปรัศนี (?) 2. เนน้ เร่อื งจะถามใหช้ ดั เจนและตรงจุดไม่คลุมเครอื 3. ควรถามในเร่อื งทีม่ คี ณุ คา่ ตอ่ การวดั 4. หลีกเลี่ยงคาถามปฏิเสธ 5. อย่าใชค้ าฟมุ่ เฟือย 6. เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพนั ธ์ 7. ควรเรียงลาดบั ตัวเลขในตัวเลือกต่างๆ 8. เขียนตัวเลือกใหอ้ สิ ระขาดจากกนั 9. ควรมีตัวเลือก 4-5 ตวั 10. อยา่ แนะคาตอบ หลักสูตรการบริหารจัดการ การเรยี นรู้ สถาบนั การเรียนรู้กองทุนหมบู่ า้ นและชมุ ชน 145

ลกั ษณะและประเภทการประเมนิ ผล 1. ลักษณะการประเมนิ ทางการศกึ ษา การประเมินทางการศึกษามลี ักษณะ ดังน้ี 1.1. เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงควร ทาการประเมินอยา่ งต่อเนอื่ ง เพอื่ นาผลการประเมินไปปรบั ปรงุ กระบวนการเรียนการสอน 1.2. เป็นการประเมินคุณลักษณะหรือพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าบรรลุตาม จดุ ประสงคห์ รือไม่ 1.3. เป็นการประเมินในภาพรวมทั้งหมดของผู้เรียน โดยการรวบรวมข้อมูลและประมวล จากตัวเลขจากการวดั หลายวธิ แี ละหลายแหล่ง 1.4. เป็นกระบวนการเก่ียวขอ้ งกับบุคลหลายกลมุ่ ทั้งผู้สอนรู้ ผู้เรียน ผนู้ าชุมชน ผู้บริหาร สถาบนั การเรียนร้ฯู และอาจรวมถงึ คณะกรรมการตา่ งๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง 2. ประเภทของการประเมินทางการศึกษา การประเมินแบง่ ไดห้ ลายประเภท ข้ึนอยูก่ บั เกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการแบง่ ดงั น้ี 2.1. แบ่งตามจดุ ประสงคข์ องการประเมนิ การแบ่งตามจุดประสงค์ของการประเมนิ แบง่ ไดด้ งั นี้ 2.1.1 การประเมินก่อนเรียน หรือก่อนการจัดการเรียนรู้ หรือการประเมินพื้นฐาน (Basic Evaluation) เป็นการประเมนิ ก่อนเรม่ิ ต้นการเรียนการสอนของแตล่ ะบทเรยี น 2.1.2 การประเมินเพือ่ พัฒนา หรอื การประเมนิ ยอ่ ย (Formative Evaluation) เป็น การประเมินเพอื่ ใชผ้ ลการประเมนิ เพ่ือปรับปรุงกระบวนการจดั การเรยี นรู้ ประเมินระหวา่ งการจัดการ เรียนการสอน 2.1.3 การประเมินเพื่อตัดสินหรือการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นการประเมนิ เพื่อตัดสินผลการจดั การเรียนรู้ เป็นการประเมินหลงั จากผูเ้ รียนไดเ้ รียนไปแล้ว 2.2. แบ่งตามการอ้างองิ การแบ่งประเภทของการประเมนิ ตามการอา้ งอิงหรอื ตามระบบของการวดั แบง่ ออกเป็น 2.2.1 การประเมินแบบองิ ตน (Self-referenced Evaluation เป็นการประเมินเพ่ือ ปรับปรุงตนเอง (Self Assessment) เช่น ประเมินโดยการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนและหลัง เรียนของตนเอง 2.2.2 การประเมินแบบอิงกลุ่ม (Norm-referenced Evaluation) เป็นการประเมิน เพือ่ พจิ ารณาว่าผ้ไู ด้รบั การประเมนิ แต่ละคนมีความสามารถมากน้อยเพยี งใด เม่ือเปรยี บเทยี บกบั กลุม่ 2.2.3 การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-referenced Evaluation) เป็นการนา ผลการสอบที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ได้แก่ มาตรฐานการเรยี นรู้ 146 สานกั งานกองทุนหมบู่ า้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชาติ

2.3. แบ่งตามผู้ประเมนิ 2.3.1 การประเมินตนเอง (Self Assessment) หรือการประเมินภายใน (Internal Evaluation) เพอื่ นาผลการประเมินมาพฒั นาหรอื ปรับปรุงตนเอง 2.3.2 การประเมินโดยผู้อ่ืนหรือการประเมินภายนอก (External Evaluation) เพ่ือ ยนื ยนั การประเมนิ ภายใน หลักการและขัน้ ตอนประเมนิ ทางการศึกษา 1. หลกั การประเมินทางการศึกษา หลกั การประเมินทางการศึกษาโดยทวั่ ไปมดี งั นี้ 1.1 ขอบเขตการประเมินต้องตรงและครอบคลุมหลักสูตร 1.2 ใชข้ ้อมูลจากผลการวดั ที่ครอบคลมุ จากการวดั หลายแหลง่ หลายวิธี 1.3 เกณฑ์ท่ีใช้ตัดสินผลการประเมินมีความชัดเจน เป็นไปได้ มีความยุติธรรม ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตร 2. ขั้นตอนในการประเมนิ ทางการศึกษา การประเมินทางการศึกษามขี ัน้ ตอนทสี่ าคัญ ดงั นี้ 2.1. กาหนดจุดประสงค์การประเมิน โดยให้สอดคล้องและครอบคลุมจุดประสงค์ของ หลักสูตร 2.2. กาหนดเกณฑเ์ พือ่ ตคี า่ ข้อมูลท่ีไดจ้ ากการวดั 2.3. รวบรวมขอ้ มลู จากการวัดหลายๆ แหล่ง 2.4. ประมวลและผสมผสานขอ้ มูลต่างๆ ของทุกรายการท่ีวัดได้ 2.5. วนิ จิ ฉัยช้ีบง่ และตดั สนิ โดยเทยี บกบั เกณฑท์ ่ีตัง้ ไว้ (ประเมนิ ผล) การวัดและประเมินผลจะต้องสอดคล้องกันทั้งวิธีการ เคร่ืองมือ และเกณฑ์การวัด และประเมนิ ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้ ตัวอย่าง ความสอดคล้องกนั ของวิธีการวัด เครอ่ื งมอื การวดั และเกณฑก์ ารวัดและประเมนิ สิ่งที่ต้องการวัด วธิ กี ารวัด เครอื่ งมือการวัด เกณฑก์ ารวัด (ยดึ จุดประสงค์การเรียนร้)ู คะแนน 1.บอกสว่ นประกอบ ทาแบบทดสอบ แบบทดสอบ คะแนนผ่านการประเมิน จักรยานได้ (ความร)ู้ รอ้ ยละ70ขึ้นไป 2.ถบี จักรยานได้โดยไมล่ ม้ ปฏบิ ตั ิการถบี จกั รยาน แบบประเมินพฤติกรรม คะแนนผา่ นการประเมิน (ทกั ษะ) รอ้ ยละ70ขน้ึ ไป 3.มีมารยาทในการถบี การสังเกต ตารางประมาณคา่ คะแนนผา่ นการประเมิน จกั รยาน (เจตคติ) เฉลีย่ ระดบั ดีขน้ึ ไป หลักสูตรการบริหารจดั การ การเรยี นรู้ สถาบนั การเรยี นรู้กองทนุ หมู่บ้านและชุมชน 147

2.5.1 วธิ กี ารวัดและประเมิน 1) ทดสอบ 2) สังเกตพฤตกิ รรมการรว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 3) ประเมินผลงาน 2.5.2 เครือ่ งมือวัดและประเมนิ 1) แบบทดสอบ 2) แบบสงั เกตพฤติกรรมการรว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3) แบบประเมนิ ผลงาน 2.5.3 เกณฑว์ ดั และประเมนิ ตวั อย่าง การวดั ผลสมั ฤทธจิ์ ากแบบทดสอบ 80% ขนึ้ ไป = ดี 70 - 79 = ดี 60 - 69% = เกอื บดี 50 – 59% = ปานกลาง 50% = ผา่ น 148 สานกั งานกองทนุ หม่บู ้านและชุมชนเมืองแหง่ ชาติ

ตวั อยา่ งแบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม กลมุ่ ท่ี ...................... สมาชกิ ภายในกลมุ่ 1. ......................................... 2. ........................................................... คาชีแ้ จง ให้ทาเครื่องหมาย  ในช่องทต่ี รงกบั ความเป็นจรงิ คณุ ภาพการปฏิบตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ ท่ี รายการพฤติกรรม ดี ปาน พอใช้ ปรับปรงุ กลาง 1 มกี ารปรึกษาและวางแผนร่วมกันก่อนทางาน 2 มีการแบง่ หนา้ ทอ่ี ย่างเหมาะสม 321 0 3 มกี ารปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน 4 มีการให้ความชว่ ยเหลือกัน 5 ผลงานเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนด 6 ผลงานเสรจ็ ทันตามกาหนดเวลา 7 ผลงานมีความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ 8 ผลงานแสดงถงึ การนาความรู้ทีไ่ ด้มาประยกุ ต์ใช้ 9 สามารถใหค้ าแนะนากลุ่มอ่ืนได้ 10 การจดั วสั ดุ อปุ กรณ์ เรียบรอ้ ย หลงั เลิกปฏิบัติงาน รวม ลงชื่อ .............................................ผ้ปู ระเมนิ .........../............/.......... เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤตกิ รรมหรอื ผลงานทชี่ ดั เจนถอื วา่ ดี ให้ 3 คะแนน พฤตกิ รรมหรือผลงานเทยี บเท่าคนทวั่ ไป ถือวา่ ปานกลาง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมหรือผลงานต่ากวา่ คนทั่วไป ถือว่า พอใช้ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 21-30 ดี 11-20 พอใช้ 0-10 ปรบั ปรงุ หลักสตู รการบรหิ ารจดั การ การเรยี นรู้ สถาบนั การเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ้านและชุมชน 149

เอกสารอา้ งองิ ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2549). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพศ์ นู ยส์ ง่ เสรมิ วิชาการ. มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น. (2557). “หลากหลายรูปแบบการสอน”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งท่ีมา www.stjohn.ac.th/polytechnic/stpoly/ (1 ตุลาคม 2557). 150 สานักงานกองทนุ หม่บู า้ นและชุมชนเมืองแหง่ ชาติ



ส่วนท่ี 5 เน้ือหาวิชาการถ่ายทอดความรขู้ องวิทยากร ความหมายและคุณลักษณะของวทิ ยากร 1. ความหมายของวทิ ยากร วทิ ยากร หมายถึง ผ้ทู ่มี ีความรู้ ความสามารถ ในภาษาอังกฤษเรียกวิทยากรว่า Resource Person วิทยากรมาจาก วทิ ยา แปลวา่ ความรู้ กร แปลวา่ มอื หรอื ผู้ถอื วทิ ยากรก็คือ ผู้ทรงไว้ซ่ึงความรคู้ วามสามารถ น่ันก็คือ บุคคลที่เป็นวิทยากรได้จะตอ้ งเป็น ผูม้ ีความรู้ และความสามรถในการทาให้ผู้อ่นื มคี วามรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งน้นั ๆ ตามท่ตี นต้องการ วิทยากร = ผรู้ ู้ + ผูม้ ีความสามารถในการทาให้ผูอ้ ่ืนมคี วามรคู้ วามเขา้ ในเรือ่ งน้ันๆ 2. คณุ ลักษณะของวทิ ยากร 2.1 ลักษณะของวิทยากรท่ปี ระสบความสาเร็จ 2.1.1 บุคลิกดี บุคลิกดีมีชัยไปกว่าคร่ึง เพราะฉะน้ันผู้เป็นวิทยากร จะต้องมี บุคลิกภาพที่ดี นา่ เชื่อถือ 2.1.2 มีความกระตอื รือล้น แสดงออกได้จาก ความคล่องตวั ก้าวเดนิ อย่างมั่นใจเต็มฝีก้าว มกี ารแสดงออกอย่างเชือ่ มั่น จะช่วยให้ผฟู้ ังตื่นตัว ใจจดจ่อ ติดตามและคล้อยตามได้ 2.1.3 สนใจร่วมมือ คือ สนใจในภารกิจของผู้ฟัง โดยใช้ข้อมูลของผู้เรียนมาเป็น ประโยชน์ในการถ่ายทอด โดยการรู้เน้ือหา ยกตัวอย่าง หรือรายละเอียดที่เป็นเรื่องใกล้ตัวของคนฟัง ทาให้ผ้ฟู ังเกดิ การยอมรบั 2.1.4 ใช้สื่อช่วยสอน ในการท่ีจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลท่ีเราต้องการ สื่อสารอยู่ โดยการถ่ายทอดนั้น หากผู้ถ่ายทอดได้ใช้เคร่ืองมือต่างๆ ท่ีจะให้ผู้ฟังได้รับรู้ในหลายๆ ชอ่ งทาง ย่อมจะทาให้มปี ระสิทธิภาพในการรบั รูไ้ ดม้ ากข้ึน 2.1.5 ไม่ออ่ นประสบการณ์ วิทยากรที่ดี ควรมีความรู้และประสบการณ์ตรง ในเรื่อง ท่ีตนกาลังจะถ่ายทอดไปสู่ผู้ฟัง คนเราส่วนใหญ่ในวงการฝึกอบรม ย่อมอยากฟังประสบการณ์หรือ เทคนิคของผู้ถ่ายทอด เพื่อเปน็ สูตรสาเร็จ ดังน้ัน ผู้ถ่ายทอดที่ดคี วรมีประสบการณห์ รือความสาเรจ็ ใน งานมาเสนอสผู่ ฟู้ งั เพ่ือเพิ่มพลงั ในงาน 2.1.6 การงานสาเรจ็ ดี ข้อนี้เชื่อมโยงจากข้อที่แล้ว คือ คนเราส่วนใหญ่ไม่มีใครอยาก ฟงั คนที่ไม่มีชอื่ ทุกคนอยากฟังคนเก่ง คนดี คนที่เป็นเลิศ เพราะฉะน้ัน วิทยากรที่ประสบความสาเร็จ จากงานอ่นื ๆ มามาก ยอ่ มมแี ต่คนอยากฟัง 152 สำนกั งำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

2.1.7 มีความสามารถในการถ่ายทอด คือ มีความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ หลักการ ประสบการณ์ และวิธีการ โดยใช้คาพูด รูปภาพ ตัวอักษร ให้ผู้ฟัง ต้ังใจ สนใจ เข้าใจ ประทบั ใจ หรอื บนั เทงิ ใจควบค่กู ันไป ซ่ึงย่อมอาศยั ลีลา เทคนคิ ต่างๆ ให้สอดคลอ้ งและกลมกลนื 2.1.8 ถอดหัวใจคนเรียน คือ รู้จักเอาใจคนเรียนมาใส่ไว้ในใจผู้สอนว่า หลักการ เรียนรู้ของผู้คนเป็นอย่างไร จะสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้และรับรู้ได้อย่างไร ซึ่งหมายความว่า วทิ ยากร จะต้อง รู้เขา รเู้ รา รูว้ ่าคนฟังคอื ใคร ชอบอะไร 2.1.9 เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมได้ คือ พัฒนาบคุ ลากร หรือฝกึ อบรมกต็ าม วตั ถปุ ระสงค์ โดยส่วนใหญ่เรามุ่งที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเรียน คนฟังใหเ้ กิดความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Understanding) ความสามารถ (Skill) เจตคติ (Attitude) และจริยธรรม (Habit) ในการทางานที่ดี ดงั น้ันจงึ เป็นความท้าทายของผูถ้ า่ ยทอดวา่ ทาอยา่ งไร 2.1.10 ไม่หลงตัวเอง ส่วนใหญ่ผู้ที่หลงตัวเองมักจะออกเวทีในการถ่ายทอดมานาน พอสมควร ซง่ึ จะแสดงออกในลกั ษณะตา่ งๆมากมาย 2.2 บคุ ลิกภาพของวทิ ยากร บคุ ลิกภาพของผถู้ ่ายทอดโดยสรปุ ประกอบด้วย 2.2.1 บคุ ลิกภาพทางกาย 1) รปู กาย มีความกระตือรอื รน้ มสี ง่า น่าเช่อื ถอื แสดงท่าทีท่ีเปน็ มิตร 2) การแตง่ กาย สะอาด เรียบรอ้ ย เหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน/อาชีพหรอื ธุรกิจ 3) กริ ยิ าท่าทาง มคี วามเชอื่ ม่นั เป็นกันเอง เป็นมติ ร/สารวม และใหเ้ กียรติผูฟ้ ัง 2.2.2 บคุ ลกิ ภาพทางอารมณ์ 1) ย้ิมแย้ม จะชว่ ยเสรมิ สร้างบรรยากาศในการถา่ ยทอด 2) ควบคุมอารมณ์ ไม่โกรธหรืออารมณฉ์ นุ เฉยี วเมือ่ ถูกซักถาม 3) มอี ารมณข์ นั จะช่วยลดความตงึ เครยี ดในการฟงั และ ช่วยเพ่มิ ความสนกุ สนาน 2.2.3 บุคลิกภาพทางสังคม 1) มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความสามารถเข้ากับผู้อ่ืนได้ดี ปรับตัวได้ดี สามารถสร้าง มนุษยสัมพนั ธ์ทด่ี กี ับผู้ฟงั ได้ 2) มีน้าใจ รว่ มมือ ชว่ ยเหลือ พร้อมใหค้ าแนะนา คาปรึกษาหารอื 2.2.4 บุคลกิ ภาพทางปัญญา 1) ความรู้ดี ยอมรับฟังความคิดของผู้เข้าอบรม สามารถถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ใหเ้ หมาะสมกบั ความสามารถของผู้ฟงั ได้ 2) มเี หตุผล ไมย่ ดึ มน่ั ถือมนั่ หรือถือตวั จนเกินไป สรุป บุคลิกภาพของวทิ ยากรตอ้ งมี 10 ดี คือ 1. รปู กายดี ไดแ้ ก่ ทรงผม ใบหน้า การยืน เดิน 2. แต่งกายดี ไดแ้ ก่ สะอาด เรยี บร้อย เหมาะสม 3. กิรยิ าท่าทางดี ได้แก่ มศี ิลปะในการแสดงออก หลักสตู รกำรบริหำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมู่บ้ำนและชมุ ชน 153

4. วาจาดี ได้แก่ การนาเสนอ ใช้สื่อ-สอ่ื สารดี 5. อารมณ์ดี ไดแ้ ก่ ยม้ิ แยม้ ควบคุมอารมณ์ กนั เอง 6. มนษุ ยสัมพันธ์ดี ได้แก่ ปรับตัวดี อารมณข์ ัน 7. จิตใจดี ได้แก่ ให้คาแนะนา ปรกึ ษา ไมห่ วงวิชา 8. ความรดู้ ี ได้แก่ ถา่ ยทอดอย่างเป็นระบบ 9. หลกั การดี ได้แก่ มีเหตผุ ล ใชห้ ลักวิชา 10. อดทนดี ได้แก่ การอดทนตอ่ พฤติกรรมของคน 2.3 คุณลกั ษณะของวทิ ยากรยุคใหม่ 2.3.1. ใชเ้ ทคโนโลยีใหม่ คือใช้เทคโนโลยี เคร่ืองมือ หรือสื่อช่วยถ่ายทอดที่เหมาะสม กบั เน้อื หา บุคคล เวลา โอกาส สถานที่ บรรยากาศ ฯลฯ 2.3.2. เข้าใจง่าย คือ ถ่ายทอดแล้วผฟู้ ังรับได้เขา้ ใจง่าย 2.3.3. ไดเ้ นือ้ หา คือ มเี นอื้ หาเหมาะสมข้อมลู ดี 2.3.4. พาสนุก คือ มอี ารมณส์ อดแทรกอยบู่ า้ ง 2.3.5. ปลกุ ความคดิ คือผู้ฟงั คดิ ตาม ไดค้ ดิ ได้ทบทวน 2.3.6. พชิ ติ ปญั หา คือ ช่วยเข้าใจปญั หาที่ยงั คาใจใหท้ ะลุปรโุ ปรง่ 2.3.7. สามารถเปลี่ยนพฤติกรรม คือ ทาใหผ้ ู้รับเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ ความสามารถ ทศั นคติ หรอื จรยิ ธรรมขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ หรอื หลายๆ ข้อ 2.3.8. นาประโยชน์ คือ ผู้รับ ผู้เรียน ได้รับประโยชน์ต่อตัวเอง การงาน องค์กร หรือ ความสาเร็จตา่ งๆ 2.3.9. ไมเ่ ป็นโทษเปน็ ภยั คือ ถา่ ยทอดส่ิวท่ไี ม่เป็นพษิ เป็นภัย ส่วนรวม 2.3.10. ตื่นไวข่าวสาร คือ การศึกษาได้การเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้ถ่ายทอด จะต้องเปิดสมอง รับรู้เรียนรู้ข้อมูลตลอดเวลาผู้ถ่ายทอดท่ีดี ต้องแสวงหาความรู้ รู้จริงในสิ่งท่ีจะ ถ่ายทอด กระตือรือร้นสนใจในการนาเสนอเน้ือหาสาระ สู่ผู้ฟังท่ีอยู่เบื้องหน้า มีลีลาพูดบรรยาย หรือ ถ่ายทอดที่ใช้ส่ือเป็นเครื่องมือ หรือมีศิลปะในการแสดง แล้วก็ไม่แล้งน้าใจ ต้องอยู่ในสถานะของผู้ให้ จิตใจตอ้ งเปน็ ธรรม และมีพฤติกรรมในการปฏบิ ัตทิ ่สี อดคล้องกับเน้ือหาสาระที่พูดออกไป พร้อมท้ังใส่ ใจในการพัฒนาแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพ่ือเติมเช้ือไฟให้สมองมีพลัง สร้างความสมหวังในการเป็น วทิ ยากรทด่ี ีท่สี ดุ 154 สำนักงำนกองทนุ หม่บู ้ำนและชมุ ชนเมืองแห่งชำติ

ศลิ ปะการพูด เรืองวิทย์ นนทภา(2557)ไดก้ ล่าวถึงศลิ ปะการพดู ไว้ดังน้ี มนุษย์ส่ือสารดว้ ยเสียงต้ังแต่แรกคลอด เดก็ แรกเกดิ จะตอ้ งร้องไห้ เพือ่ ใหป้ อดทางาน อวัยวะ ทุกสว่ นทางานประสานกนั อยา่ งมหัศจรรย์ เสียงรอ้ งไห้ของลูกสร้างความผกู พัน แม่-ลกู อย่างนา่ อัศจรรย์ ทกั ษะการสอื่ สารของมนษุ ย์ เร่ิม ฟงั -พดู -อ่าน-เขียน เป็นกระบวนการเรียนรทู้ ่สี าคญั ต่อการ พฒั นาชวี ิตของมนุษย์ การพูดอาจจาแนกตามวตั ถปุ ระสงค์ไว้ 3 ประการคือ 1. การใหข้ ้อมลู (Informative) 2. การชกั ชวน จูงใจ ให้คล้อยตาม (Persuasive) 3. การบันเทิง (Entertainment) 1. หลักการพูดต่อท่ชี มุ ชน 11 ประการ หลกั การพดู ต่อท่ีชมุ ชน มี 11 ประการ ดงั น้ีคือ 1.1 พูดเรือ่ งทร่ี ้ดู ี 1.2 มีการเตรียมตวั การเตรยี มตัวมี 2 อยา่ ง คือ 1.2.1 ร้เู ขา 1.2.2 รู้เรา รเู้ ขา รเู้ รา เปน็ คากล่าวของซนุ วูทวี่ ่า ร้เู ขา รู้เรา รบรอ้ ยครั้งชนะร้อยครั้ง 1.3 เชอ่ื มนั่ ในตนเอง 1.4 แต่งกายเหมาะสมเรียบร้อย 1.5 ปรากฏกายอยา่ งกระตือรอื รน้ จงทาตวั กระตอื รือร้นแลว้ จะกระตือรอื รน้ ไปเอง 1.6 ใช้ท่าทางประกอบการพูดใช้ท่าทางแบบไหน เช่น เราจะใช้ไมโครโฟน เราต้องยืนห่าง จากไมโครโฟน โดยเท้า 2 ข้าง ไม่ห่างไม่เกินคืบ เราจะรู้สึกวา่ มั่นคงการเคลื่อนไหวกายส่วนบนจะง่าย และสะดวกอย่ายืนชดิ เพราะจะทาให้ลาตัวท่อนล่างไม่มั่นคงอย่ายืนถ่าง น่าเกลียด หากยืนพูด 5 นาที ทิ้งน้าหนักลง 2 เท้า พอๆ กัน อย่าพักขาหากพูดนานๆ อยากจะพักบ้างก็เป็นเร่ืองธรรมดา ไม่ว่ากัน มือทั้ง 2 ข้าง ทงิ้ ข้างตัวลงธรรมดา 1.7 สบสายตาเป็นเร่ืองท่ีสาคัญคาว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ” หมายความว่าผู้พูด จะตอ้ งสบตากับผฟู้ ังส่ายหนา้ ไปสา่ ยหน้ามา 1.8 พดู ภาษาเดยี วกนั กบั ผูฟ้ ัง 1.9 กล่ันจากความจริงใจ 1.10 ให้ตัวอย่างอารมณ์ขันเช่น การสื่อสาร “อย่าทาข่อย” / พยาบาลกับคุณหมอ / ครกู ับนกั เรยี น ล้วนมเี รอ่ื งขาขัน มากมาย 1.11 หมั่นฝึกหัดหมายความว่า วันพรุ่งนี้เราจะพูดคุณก็เตรียมตัวคืนน้ีได้เลย และฝึกหัดพูด กบั เพอื่ นร่วมหอ้ ง เพื่อให้เพอ่ื นตาหนกิ ็จะดี จะได้หาทางปรบั ปรงุ แก้ไขต่อไป หลกั สูตรกำรบริหำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมบู่ ้ำนและชมุ ชน 155

2. บันได 13 ขั้นทางลัดสู่ความสาเร็จในการพูด การพูดเป็นเรื่องสาคัญสาหรับการดาเนินชีวิตใน ปจั จุบนั ไม่วา่ จะเป็นทางดา้ นการทางาน การเข้าสังคมและการดาเนินชวี ิต ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการ พดู ทั้งสนิ้ บันได 13 ขัน้ เป็นเพียงแนวทางท่จี ะให้ผู้พูดประสบความสาเร็จในการพูดเท่าน้นั จะมากหรอื น้อยข้ึนอยู่กับว่าผู้พดู เอาจรงิ เอาจังกับบันไดแตล่ ะขนั้ แค่ไหน ผู้พดู มีความเข้าใจบนั ไดแตล่ ะขั้นแค่ไหน ผู้พูดมีความสามารถในการประยุกต์ใช้บันไดทั้ง 13 ขั้น กับประสบการณ์ของตนได้มากเท่าไร ผู้พูดมี ประสบการณ์ในการข้นึ เวทหี รือมชี ัว่ โมงบนิ มากหรอื น้อย การพูดแต่ละครั้ง จะต้องใช้บันไดทั้ง 13 ขั้น พร้อมๆ กัน ไม่ใช่ใช้ครั้งละข้ันหรือสอง-สามขั้น เท่านั้นถ้าท่านใช้บันได 13 ข้ัน ในการพูดทุกครั้ง รับรองได้ว่าท่านจะประสบความสาเร็จอย่างน้อย 50% เลยทีเ่ ดียว บันไดขน้ั ที่ 1 เตรียมให้พรอ้ ม (preparation) ไม่มีนักเดินเรือคนไหน ท่ีจะเดินเรือไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย โดยปราศจาก เขม็ ทิศ ไม่มีนักพูดคนใด ท่ีจะประสบความสาเร็จในการพูดได้อย่างประทับใจโดยปราศจากการ เตรียม นอกเสยี จาก ฟลคุ ดังน้นั การพูดของเราทุกครั้งจะต้องมีการเตรียมการพูดซงึ่ จะต้องเตรยี ม 2 สว่ น ดว้ ยกนั คอื 1. เรื่องที่จะพูด หมายถึง เราจะไปพูดในโอกาสอะไร หรือได้รับเชิญให้ไปพูดเร่ืองอะไร ก็ เตรียมข้อมูลของเรื่องให้ตรงกับโอกาสหรือหัวข้อนั้น เช่น งานแต่งงาน การสั มมนา การขาย การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ซ่ึงข้อมูลในส่วนนี้ จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เราค้นคว้ามาแล้วเป็นอย่างดี (ยกเว้นคาโคลงคากลอนหรือส่วนประกอบในการพดู เราอาจจะแต่งขนึ้ มาเองได้) 2. ข้อสนับสนุน หรือ ข้ออ้างอิง เป็นส่วนที่จะทาให้สาระของเรามีน้าหนักและมีความ น่าเชื่อถือมากขึ้น ข้อสนับสนุนดังกล่าวน้ีได้แก่ ตัวเลข สถิติ หลักวิชา ข้อวิจัย ทฤษฎี อุปมาอุปมัย สุภาษติ คาพงั เพย หรือคาสอนในศาสนา เช่น พระมหาธรี ราชเจา้ ทรงนพิ นธไ์ ว้ในพระราชนพิ นธ์เวนิ สวานิช ว่า “อันลิ้นคนน่ิงไม่ดี ท่ีควรน่ิงน้ันมีแตล่ ิ้นโค…..” หรือ ดังคาท่ีพระพทุ ธเจ้าตรัสว่า “ทาดีไดด้ ี ทาช่วั ไดช้ ่วั ” เปน็ ตน้ บนั ไดขัน้ ที่ 2 ซกั ซอ้ มใหด้ ี (practice) การกระทาใดๆ ก็ตามถึงแม้จะมีการวางแผนเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากขาดการ ซกั ซ้อมและฝึกฝนใหเ้ กิดความชานาญแลว้ ก็ยากทจ่ี ะประสบความสาเรจ็ ดงั ท่ตี ั้งเปา้ หมายไว้ การพูดก็เช่นกัน ถึงแม้เราจะมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากขาดการซักซ้อมที่ดี ก็จะเป็นอุปสรรคที่จะทาให้เราไม่ประสบความสาเร็จในการพูดก็ได้การซักซ้อมจึงเป็นส่ิงท่ีมี ความสาคัญสาหรับนักพูดทุกคน การซักซ้อมการพูด เพ่ือให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมชาติควร คานึงถึงส่ิงตอ่ ไปนค้ี อื 156 สำนกั งำนกองทุนหมบู่ ้ำนและชุมชนเมอื งแห่งชำติ

1. ทาความเขา้ ใจกับเร่ืองทีเ่ ตรียมไว้ 2. พยายามจาขอ้ ความสาคญั ทจี่ ะพดู ใหข้ น้ึ ใจ (กรณีที่จะตอ้ งออกไปพูดสด) 3. พยายามควบคมุ จงั หวะการพูดใหค้ งที่ไม่เร็วหรอื ชา้ เกินไป 4. จังหวะในการพดู จะตอ้ งหยดุ เม่ือจบประโยค อยา่ หยุดในขณะทีย่ ังไมจ่ บประโยคเพราะจะทา ให้ข้อความหรือความหมายผิดไป เชน่ “ผมระลึกถึงบญุ ….คุณอาจารย์อยู่เสมอ” “ยานี้ดี กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภยั เบยี ดเบียน” เปน็ ตน้ 5. การซ้อมการพูดจะต้องซ้อม ใหเ้ หมอื นกับพูดจริงบนเวที ในสถานการณ์จรงิ ทกุ ประการ 6. ประการสดุ ท้าย คอื จับเวลาในการพดู เพ่อื ที่จะคานวณเวลาในการพดู ใหเ้ หมาะสม บนั ไดขั้นที่ 3 ทา่ ทีให้สงา่ (dignity) บุคลิกภาพดี มีชัยไปกว่าครึ่ง คงไม่มีใครปฏิเสธคากล่าวน้ีได้ เพราะบุคลิกภาพท่ีดีสามารถ สรา้ งความประทบั ใจครัง้ แรก (First Impression) ให้แก่ผูท้ ่ีพบเหน็ ได้ สาหรับนักพูดแล้ว ท่าทีหรือบุคลิกภาพถือว่าเป็นเรื่องที่สาคัญมาก เพราะบุคลิกภาพในการ ปรากฏตัวที่ดีและสง่าผ่าเผยของผู้พูด สามารถท่ีจะสร้างความน่าเช่ือถือความเคารพ ความศรัทธา ใหก้ บั ผ้พู ดู และเรื่องทพ่ี ูดได้ การปรับปรุงบุคลกิ ภาพเบือ้ งตน้ ให้น่าประทบั ใจมีหลายประการคอื 1. องอาจสงา่ ผ่าเผย ไมจ่ อ๋ ง ไม่หงอย ไม่ซึมเซาเซื่องซมึ และมีความม่นั ใจในตนเอง 2. ใบหน้าเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงถึงความเป็นมิตร ความเต็มใจและความปรารถนาดี ท่ีไดม้ าพูด 3. ตาเป็นประกายแจ่มใส ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดังน้ันดวงตาเป็นส่ือกลางท่ีสามารถ ถา่ ยทอดความรสู้ กึ ได้ ดวงตาของผพู้ ดู จึงมีอิทธิพลตอ่ ผู้ฟัง เพราะความรู้สกึ ของผพู้ ูดสามารถสือ่ ถึงผู้ฟงั ได้ 4. กระตือรือร้นกระฉับกระเฉง การปรากฏตัวของผู้พูดจะต้องกระตือรือร้น ไม่เฉ่ือยชา ยืดยาด อืดอาด เพราะผู้พูดเป็นเป้าสายตาให้กับผู้ฟัง ดังน้ันกริยาอาการของผู้พูดย่อม มีอิทธิพลต่อ ผู้ฟังดว้ ย บนั ไดขน้ั ที่ 4 หน้าตาให้สขุ ุม (appropriate face) ใบหน้า เป็นส่วนที่ได้รับความสนใจจากผู้ฟัง เพราะมีส่วนสาคัญอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ หน้า แววตา และปาก การแสดงออกของส่วนใดส่วนหน่ึงบนใบหน้า จึงสามารถทาให้ผู้ฟังสังเกตเห็นได้ อย่างงา่ ยดาย สีหน้า เป็นการแสดงออกที่มีส่วนสาคัญในการพูด เพราะสีหน้าของผู้พูดสามารถแสดงถึง ความนา่ เช่ือถือและอารมณ์ของผพู้ ูดได้ การทาหน้าตาให้สุขุม หมายถึง การแสดงสีหน้าหรือการตหี น้าให้สอดคล้องกับเร่ืองราวท่ีพูด อย่างเช่น หลกั สูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทุนหม่บู ำ้ นและชมุ ชน 157

1. ถ้าเป็นการพูดในเรื่องท่ีเศร้า สีหน้าควรเศร้าตามเน้ือเรื่องด้วย มิฉะนั้นจะแสดงถึง ความรู้สึกในทางตรงข้ามทันที อาทิ ถ้ากล่าวแสดงความเสียใจแต่สีหน้าไม้เศร้ากลับยิ้มหรืออมย้ิม จะ แสดงถึงความเยาะเยย้ ในการสูญเสียนั้นทนั ที 2. ถ้าเป็นการพูดในเรื่องท่ีสนุกสนาน ปิติใจหรือมีความสุข ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้าท่ี สนกุ สนาน ใบหน้าเบกิ บานยมิ้ แยม้ พร้อมจะทาให้ผฟู้ งั ยิม้ และเบกิ บานตามผู้พูดได้ ส่ิงสาคัญ !!การแสดงออกทางสีหน้าในการพูด ผู้พูด…จะต้องแสดงออกถึงความรู้สึกจริงใจ และเต็มใจทไ่ี ดม้ าพูด บนั ไดขนั้ ที่ 5 ทักทปี่ ระชุมไมว่ กวน (greeting) การทักทายกันถือว่าเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันตามมารยาทในสังคม ซ่ึงนอกจากจะเป็นการ แสดงถึงความสนิทสนมแล้ว ยังแสดงถึงการให้เกียรติซ่ึงกันและกันอีกด้วยในหลักการพูดก็เช่นกัน ก่อนที่ผ้พู ดู จะพูด จะต้องทกั ทายผ้ฟู ังหรอื ทีเ่ รียกวา่ ทักท่ปี ระชุม ก่อนเช่นกัน ผูพ้ ดู จะต้องทักทายผู้ฟงั กอ่ นการพดู มฉิ ะน้นั แล้วจะถอื ว่าเปน็ การผดิ มารยาทในการพดู นอกจากการวิจัยพบว่า การทักที่ประชุมท่ีเหมาะสมและนิยมใช้ในการพูด คือ หลัก 2-4 หมายถึงการแบ่งส่วนของผู้ฟังเพ่ือทักทายออกเป็น 2 ส่วนถึง 4 ส่วนโดยเรียงตามอาวุโส ตามยศตาม ตาแหน่ง หน้าทหี่ รอื ตามลาดับความสาคญั 1. การทักทายผู้ฟังโดยเป็นแบ่งเป็น 2 ส่วนเช่น \"ท่านประธานในพิธีและแขกผู้มีเกียรติที่ เคารพ ทกุ ทา่ น\" 2. การทักผู้ฟังโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนเช่น \"ท่านประธานในพิธี ท่านคณะกรรมการจัดงาน และ แขกผ้มู เี กยี รตทิ ี่เคารพทกุ ทา่ น\" 3.การทักผู้ฟงั โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน เช่น “ท่านประธานในพธิ ี ท่านคณะกรรมการจัดงาน ท่าน สมาชกิ และแขกผูม้ เี กียรตทิ เ่ี คารพทกุ ท่าน \" เปน็ ต้น บนั ไดขั้นท่ี 6 เร่มิ ต้นให้โน้มน้าว (persuasive start) ปัจจัยที่จะพัฒนาให้การเริ่มต้นการพูดน่าสนใจและเร้าใจตามหลักทฤษฎีการพูดของสถาบัน การพูดแบบการทตู มดี ้วยกนั 7 ปจั จัย คือ 1. พาดหัวข่าวเป็นการเริ่มต้นท่ีมีลักษณะเหมือนการพาดหัวข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ อาทิ \"ในปัจจุบันนี้มนี กั ศึกษาไดเ้ สียกนั อย่างโจ๋งคร่ึม ภายในโรงจอดรถ” 2. กล่าวคาถามเป็นการกล่าวขึ้นต้นโดยการกล่าวคาถามแก่ผู้ฟัง เช่น \"ท่านเคยคิดบ้างไหม ครบั วา่ ทาไมฟา้ แลบถึงตอ้ งมากอ่ นฟา้ ร้อง?\" 3. ความสงสัยเป็นการขนึ้ ต้นท่ีสร้างความสงสยั ใหผ้ ู้ฟัง อาทิ \"ท่านเช่ือไหมครับว่าในปัจจุบันมี คนจองโลงศพล่วงหน้าไว้สาหรับคนตายสัปดาห์ละ 5 โลง?” 158 สำนกั งำนกองทุนหมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

4. ให้ร่ืนเริงเป็นการเริ่มต้นที่สร้างความขบขันให้กับผู้ฟัง เช่น เมื่อคืนผมฝันแปลก หมอดู ทานายว่า ผมจะไดล้ าภสัตว์สี่เท้าสองเท้า แต่ต้องระวงั หนอ่ ย เพราะมันอาจจะมาทีละเท้า ก็ได้ 5. เชิงกวีเป็นการข้ึนต้นโดยนาเอาคาโคลงคากลอนมาข้ึนต้น เพราะเป็นคาที่ทาให้รู้สึกลึกซึ้ง กนิ ใจได้ อาทิ \"การสรา้ งคนใหม้ คี ณุ ภาพจะต้องเรม่ิ ทแ่ี ม่ แก้ทีพ่ อ่ กอ่ ทลี่ กู ปลูกท่คี รู…….\" เปน็ ต้น 6. มีตัวอย่างคือการนาเอาตัวอย่างท่ีเกิดขึ้น มากล่าวนาร่องแล้วโยงเข้าหาเรื่องท่ีจะพูด เช่น \"เมื่อผมขึน้ เวทใี หม่ๆ มีคนบอกวา่ ในเวลาเพยี ง 2 นาที ผมมคี า เออ้ อ้า ถงึ 20 ครงั้ แตเ่ ดย๋ี วน้ผี มไม่มเี ลย บนั ไดขน้ั ท่ี 7 เร่ืองราวให้กระชับ (tight content) ในส่วนของเน้ือเร่ือง เป็นอีกส่วนหน่ึงที่สามารถสร้างความประทับใจในตัวผู้พูดได้ เพราะ วัตถปุ ระสงคข์ องผ้ฟู ัง ต้องการทีจ่ ะได้รับสารประโยชนจ์ ากผูพ้ ดู หลักในการเตรยี มเรอื่ งให้กระชบั และเป็นทน่ี ่าติดตามของผฟู้ ัง ตามทฤษฎขี องสถาบนั ฯ มีอยู่ 5 ประการ คอื 1. เรียงลาดับหมายถึงการเรียงลาดับเรื่องราวในการพูดให้เป็นเร่ืองเป็นราว โดยอาจจะยึด หลกั จากก่อนไปหลงั หรอื จากอดีตถงึ ปัจจุบัน 2. จับประเด็นคือการพูดถึงเร่ืองใดจะต้องอยู่ในประเด็นเดียว ไม่พูดหลายประเด็นเพราะจะ ทาใหผ้ ฟู้ งั สบั สน 3. เน้นความสาคัญหมายถึงในการพูด ผู้พูดจะต้องเน้นถึงความสาคัญในเรื่องท่ีพูด อาทิ การ กล่าวแสดงความยินดใี นงานแต่งงาน จะตอ้ งกลา่ วถึงความสาคัญของการใช้ชีวติ คู่ เป็นตน้ 4. บีบค้ันอารมณ์คือเรื่องที่จะพูดจะต้องดาเนินเร่ืองโดยให้ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วมและน่าติดตาม เชน่ พดู เร่ืองรักชาติ จะตอ้ งมถี อ้ ยคากระตนุ้ ให้ผู้ฟงั เกิดความรกั ชาตเิ ป็นระยะๆ ตลอดการพดู 5. เหมาะสมเวลาผู้พูดจะต้องคานวณเวลาให้เหมาะสม ไม่ควรจบการพูดก่อนเวลาหรือหลัง เวลามากเกินไป เพราะจะทาให้ผูฟ้ งั เบ่ือได้ บันไดขนั้ ที่ 8 ตาจบั ทีผ่ ูฟ้ ัง (eyes control) ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ จากคากล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า ดวงตาเป็นส่ือที่สามารถ ถา่ ยทอดความรสู้ ึก ระหวา่ งผูพ้ ดู ไปยังผูฟ้ งั ได้ ดวงตาหรือแววตาของผูพ้ ูดจงึ มีอทิ ธิพลตอ่ ผู้ฟงั ดังน้ัน การพดู ที่จะประสบความสาเร็จ จะตอ้ งอาศัยโครงสร้างของการพดู ท่ีถูกหลักถกู เกณฑแ์ ล้ว ผู้พูดจะตอ้ งใชด้ วงตาอย่างมปี ระสิทธิภาพ หลักเกณฑ์ในการใช้ดวงตาให้มปี ระสิทธภิ าพมีอยู่ 5 ประการ คือ 1. สบตาผ้ฟู งั ตลอดการพดู 2. สบตาผู้ฟังอย่างท่ัวถึง แต่ไม่ใช่แบบพัดลม คือจากซ้ายไปขวาหรือจากขวาไปซ้าย จะต้อง เป็นในลกั ษณะ สบตาเปน็ จดุ ๆ ซ้ายบา้ ง ขวาบา้ ง หนา้ บ้าง หลงั บา้ ง เปน็ ตน้ หลกั สตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชุมชน 159

3. สบตาผู้ฟังแบบตาชนตา กล่าวคอื ไม่ใชเ่ ปน็ เพียงการมองผ่านๆเหมือนกับคนเหม่อ จะตอ้ ง ใหต้ าชนตาแต่ไมใ่ ชจ่ อ้ งตา 4. ในลักษณะท่สี บตาจะต้องใส่ความปรารถนาดี และความจริงใจลงในดวงตา เพอื่ สื่อถงึ ผฟู้ ังด้วย 5. ใส่ความรู้สึกของเร่ืองที่พูดลงในดวงตาในขณะท่ีพูด เช่น กล่าวแสดงความยินดี นอกจาก ถ้อยคาแสดงความยนิ ดแี ลว้ แววตาจะตอ้ งแสดงถงึ ความยินดีด้วย บันไดขัน้ ท่ี 9 เสยี งดงั ใหพ้ อดี (appropriate sound) เสียงเป็นองค์ประกอบท่ีสร้างความสาเร็จในการพูด การใช้เสียงที่เหมาะสมและมี ประสิทธภิ าพ จะทาให้ผฟู้ งั ได้ยินชดั เจนและตดิ ตามการพูดอย่างตอ่ เนื่อง ในการพูดทุกครั้ง ผู้พูดจะต้องสามารถควบคุมระดับความดังของเสียงของตนเองได้ (ในกรณี ทีไ่ ม่สามารถควบคุมความดังของเคร่อื งเสียงได้ หลักในการควบคุมระดบั ความดงั ของเสียง มอี ยู่ 3 ประการคอื 1. การพูดบนบนเวที ผู้พูดจะต้องเปล่งเสียงให้ดังกว่าปกติ (เสียงท่ีพูดคุยธรรมดา) ประมาณ ครึ่งเท่าหรือ 1 เท่า แต่ถ้าเป็นคนที่เสียงดัง หรือไมค์โครโฟนท่ีมีความไวเสียงก็เปล่งเสียงเพิ่มขึ้นเพียง คร่ึงเทา่ ก็พอ 2. ระยะห่างระหว่างไมค์โครโฟนกับปากผู้พูดควรห่างประมาณ 1 ฝ่ามือ (ประมาณ 4 น้ิว) แล้วแต่ความไวของไมค์โครโฟน สาเหตุที่ต้องคานึงถึงความห่างระหว่างปากกับไมค์โครโฟน ก็เพื่อ ปอ้ งกันเสียงลมทจ่ี ะไปกระทบไมคโ์ ครโฟน ทาใหเ้ กิดความราคาญต่อผูฟ้ ังได้ 3. เสยี งของผ้พู ูดจะตอ้ งดังชัดทุกถอ้ ยทกุ คา สว่ นใหญ่มักจะหายไปในลาคอตอนท้ายประโยค บันไดขน้ั ที่ 10 อย่าใหม้ เี อ้อ อ้า (avoiding refuse) การพูดทุกครั้ง ถ้อยคาท่ีไม่จาเป็นหรือคาซ้าซากที่ไม่มีความหมายและไม่เก่ียวข้องกับการพูด ซ่ึงสร้างความราคาญให้กับผู้ฟัง เราจัดว่าเป็น ขยะของถ้อยคา ซึ่งผู้พดู ควรตัดออกจากการพูดให้หมด สิน้ คาต่างๆ เหล่านีไ้ ด้แก่ 1. คา อ่า เอ้อ อ้า เป็นคาท่ีไม่มีความหมาย อีกท้ังยังสามารถทาให้การพูดเสียความหมายได้ อีกด้วย โปรดจาไว้ว่าเอ้อเสียเวลาอ้าเสียอนาคตเช่น ดิฉันอ้า..รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งท่ีอ้า.. ได้รับอ้า.. ฉันทานุมัตอิ ่า..ใหม้ า..อ้า..สาธิตการอ้า..จัดดอกไมอ้ ้า..ประดับแจกัน ! 2. คารับท้ายประโยค ไดแ้ ก่คา นะครับ, นะคะ, นะฮะ ใช้ตอ่ เม่ือผู้พดู ต้องการที่จะ หยุดความ, เน้นความ, ย้าความ เท่าน้ัน เช่น ขอให้ทุกคนจาไว้ให้ดี นะครับว่า อย่าถามว่าประเทศไทยจะให้อะไร แก่เราบ้าง แต่ขอให้ถามตัวของเราเองเสมอว่าไดใ้ ห้อะไรแก่ประเทศชาติบ้าง…เปน็ ต้น ถ้าหากไม่หยุด ไม่เน้น ไม่ย้า อย่าใช้เพราะจะทาให้เปน็ ทร่ี าคาญตอ่ ผฟู้ งั ได้! 160 สำนกั งำนกองทนุ หมู่บ้ำนและชมุ ชนเมืองแห่งชำติ

3. เนี่ย เนีย้ เงี่ยเง้ีย เปน็ อกี คาทีไ่ มม่ ีความหมายแต่มกั จะใช้ติดกันเปน็ ประจา เช่น การแต่งงาน ของบ่าวสาวในคร้ังเน้ีย พวกเราก็มารวมกันอยู่ท่ีเน่ีย เพื่อท่ีจะอวยพรให้การแต่งงานของบ่าวสาวเน่ีย ไดม้ ีความสุขอย่างเงยี้ ตลอดไป นานเท่านาน ขยะถ้อยคาควรตัดให้หมดเพือ่ ถอ้ ยคาท่สี วยงาม บันไดขน้ั ที่ 11 ดเู วลาใหพ้ อครบ (on time) เวลาเป็นส่วนประกอบอีกส่วนทีส่ ร้างความประทับใจให้เกดิ ขึน้ กับผฟู้ งั ได้ เพราะการพูดในแต่ ละคร้ัง ถ้าผู้พดู มีการคานวณเวลาท่ีเหมาะสม จะทาให้ผู้ฟงั รู้สึกว่าไดร้ ับสารประโยชน์จากการพูดของ เราอยา่ งเตม็ ที่ การคานวณเวลาจึงเป็นส่วนท่ีผู้พูดไม่ควรจะละเลย ควรมีการวางแผนล่วงหน้าเพ่ือให้จบตรง ตามเวลาท่ีกาหนด หรอื ถ้าไมม่ ีเวลากาหนด ผู้พูดจะตอ้ งคานวณเวลาทเี่ หมาะสมเอง การพูดท่ีไม่มีเวลากาหนดตายตัวมีอยู่มาก คือ การกล่าวในโอกาสต่างๆ การกล่าวขอบคุณ เป็นต้น เวลาที่เหมาะสมสาหรับการกล่าวในโอกาสต่างๆ อาทิ การกล่าวแสดงความยินดี เสียใจ การกล่าวอวยพรในงานพิธีต่างๆ การกล่าวขอบคุณ เป็นต้น เวลาที่เหมาะสมสาหรับการกล่าวใน โอกาสต่างๆ น้ี จากการวิจยั พบว่า ควรอยใู่ นช่วงเวลาประมาณ 3-5 นาที เทา่ นน้ั ส่วนการพูดที่มีเวลากาหนดตายตัว คือ การพูดในเชิงวิชาการ เช่น การบรรยาย การสัมมนา การโต้วาที การอภิปราย เป็นต้น จากการวิจัยพบว่าเวลาการพูดที่เหมาะสม ไม่ควรจบก่อนหรือหลัง เวลาท่ีกาหนดเกิน 15 นาที (ถ้าพูดต้ังแต่ 1 ชวั่ โมงขึ้นไป) เพราะถ้าจบก่อน 15 นาที ผู้ฟังจะดูถูกผู้พูด ได้ว่าไม่ได้เตรียมมาหรือเตรียมมาน้อย แต่ถ้าจบเกินกว่า 15 นาที ผู้ฟังอาจเกิดความเบ่อื หน่าย ทาให้ ความประทับใจลดน้อยลงไปได้ บันไดขน้ั ท่ี 12 สรปุ จบให้จบั ใจ (impressive conclusion) การสรุป เป็นส่วนสุดท้ายของการพูด หรือเรียกว่า การปิดการพูด (closing Speech) เป็น ส่วนที่จะสร้างความประทับใจให้เกิดกับผู้ฟัง ถ้าผู้พูดมีการสรุปจบที่ประทับจิตติดใจผู้ฟัง ก็ทาให้ผู้ฟัง อยากจะฟังอีกในโอกาสข้างหน้า แต่ถ้าสรุปจบไม่ประทับใจ ผู้ฟังก็คงจะฟังการพูดของเราในครั้งน้ี เพียงครัง้ เดียวเท่าน้นั การสรปุ ให้ประทบั จิตติดใจผ้ฟู ังมหี ลักอยู่ 5 ปะการ คอื การจบแบบ 1. สรุปความ เป็นการกล่าวสรุปตามเรื่องท่ีผู้พูดได้พูดมาตลอดการบรรยาย มีลักษณะคล้าย ยอ่ ความ เพ่อื ยา้ ความทรงจาถึงหลักสาคญั ๆ 2. ตามคมปาก เป็นการสรุปโดยใช้คาโคลง คากลอน สุภาษิต คาพังเพย หรือคากล่าวท่ีมี คณุ คา่ มีความหมายของบคุ คลสาคญั ๆ ทีเ่ ก่ยี วกบั เร่ืองท่พี ูด ฝากไว้กบั ผฟู้ งั 3. ฝากให้คิด เป็นการสรุปโดยฝากข้อคิดลอยๆ เพื่อให้คนฟังกลับเอาไปคิดเป็นการบ้านใน ลกั ษณะทใ่ี หแ้ งค่ ดิ คติเตอื นใจ เปน็ ต้น หลักสตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทุนหมบู่ ้ำนและชุมชน 161

4. สะกิดชักชวน เป็นการสรุปโดยการชกั ชวนให้ผู้ฟังได้ทาตามส่ิงท่ีผู้พูดเสนอ มักจะมีวลีท่ีว่า \"ถงึ เวลาแล้วทีพ่ วกเราทุกคนควร……….\" 5. สานวนขบขัน เป็นการทิ้งท้ายโดยสร้างความขบขันให้กับผู้ฟัง แต่ต้องเป็นเร่ืองท่ีสร้าง ความขบขันจรงิ ๆ ไม่ใชเ่ ปน็ แบบ ตลกฝืด! บนั ไดข้ันท่ี 13 ยม้ิ แยม้ แจม่ ใสตลอดการพดู (happiness) ในการแสดงการพูด ผู้พูดจะต้องพูดด้วยอาการท่ีย้ิมแย้มแจ่มใสตลอดการพูด หมายถึง การ พดู ที่ผ้พู ูดรู้สึก - ยินดี ท่ีได้มาพูดในครั้งน้ี - เตม็ ใจ เป็นการพูดอย่างเตม็ ใจไมไ่ ด้โดนบังคบั ใหม้ าพูด - ดใี จ ที่ได้รบั เกียรตใิ หข้ ้นึ มาพูด - จรงิ ใจ คือการพดู ด้วยความจริงใจและปรารถนาดี - ตั้งใจ ที่จะมาพูดอย่างเต็มใจและเตรยี มตัวท่จี ะมาพูดเป็นอย่างดี - สุขใจ มีความสุขใจท่ไี ด้มาพูดในครัง้ นี้ - และจนสุดหัวใจ เปน็ การพูดโดยทมุ่ เททั้งกายและใจ เพื่อท่ีจะให้ผู้ฟัง ไดร้ บั ประโยชนม์ ากที่สดุ 3. ข้อควรคานึงของการพูดทดี่ ี จากแนวคิดดังกลา่ วพอจะสรปุ ได้ว่าการนักพดู ทด่ี ตี อ้ งคานึงถึงสง่ิ สาคัญตอ่ ไปนี้ 3.1 คุณลกั ษณะของนกั พูด 3.1.1 บุคลิกภาพ 3.1.2 มคี วามรอบรู้ 3.1.3 ไหวพรบิ ปฏภิ าณ 3.1.4 รา่ เรงิ สนุกสนาน 3.1.5 นา้ เสียงไพเราะ 3.2 ส่ิงเกย่ี วขอ้ งเมือ่ ต้องพดู 3.2.1 การแตง่ กาย 3.2.2 อริยาบถ 3.2.3 สายตา 3.2.4 นา้ เสยี ง 3.2.5 ภาษา 3.2.6 ไมโครโฟน 162 สำนกั งำนกองทนุ หมู่บ้ำนและชมุ ชนเมืองแห่งชำติ

3.3 ขั้นตอนของการพูด/การนาเสนอ 3.3.1 ปฏิสันถาร 3.3.2 เปดิ ฉาก หรอื เกริ่นนา 3.3.3 เขา้ เนอ้ื หา 3.3.4 สรุปจบ 3.3.5 อาลา 3.4 ความสาเรจ็ ของการพดู 3.4.1 เน้ือหา 50 % 3.4.2 บคุ ลิกภาพ 10 % 3.4.3 จิตวิทยาการพูด 20 % 3.4.4 ศิลปะการแสดง 20 % 3.5 การเตรยี มการพดู 3.5.1 วิเคราะห์ผูฟ้ งั 3.5.2 เลอื กเร่อื ง 3.5.3 เขียนโครงเรื่อง 3.5.4 หาขอ้ มูลเสริม 3.5.5 ซกั ซอ้ ม 3.6 โครงของการพูด 3.6.1 ส่วนนา 10 % 3.6.2 ส่วนเนือ้ หา 75 % 3.6.3 ส่วนสรุป 15 % 3.7 หลักการพูด 3 สบาย 3.7.1 ฟงั สบายหู 3.7.2 ดูสบายตา 3.7.3 พาสบายใจ หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมบู่ ำ้ นและชมุ ชน 163

การนาเสนอของวิทยากร 1. การวางแผนการนาเสนอ การนาเสนอ มีองค์ประกอบสาคัญท่ีต้องพิจารณาสาหรับการวางแผนก่อนการนาเสนอ ไดแ้ ก่ 1.1 จุดมงุ่ หมายของการนาเสนอ จะต้องกาหนดออกมาให้ชดั เจนว่าการนาเสนอครั้งน้ัน มีวัตถุประสงค์อะไร เช่น ต้องการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ต้องการโน้มน้าวใจ ต้องการให้การศึกษา หรอื เพือ่ ใหค้ วามบันเทิงประกอบกับจุดประสงค์อน่ื ซึง่ จาแนกออกได้ดงั น้ี 1.1.1 เพ่ือใหข้ ้อมลู ข่าวสาร หรือบอกขา่ ว เช่น 1) ใหข้ ่าวคืบหนา้ หรือรายงานความกา้ วหน้า 2) เพอ่ื ทบทวนหรือขยายสาระเดมิ 3) เพ่อื บอกขา่ วใหม่ ซง่ึ อาจไมต่ อ้ งมขี ้อเสนอเพ่อื อนุมัติ 1.1.2 เพอื่ โนม้ น้าวใจ 1) เพื่อขายงานหรือขายความคดิ 2) เพื่อเปล่ียนใจ โดยมเี จตนาหรอื ข้อเสนอเพื่ออนมุ ัติ 1.1.3 เพื่อให้การศกึ ษา เกิดการเรยี นรู้ในสง่ิ ใหม่ 1.1.4 เพื่อความบันเทิง ซึ่งมักจาเป็นในการเสริมวัตถุประสงค์อ่ืนไม่ให้เคร่งเครียด เกนิ ไป ให้การจรรโลงใจ เพลดิ เพลนิ วัตถุประสงค์ของการนาเสนอในการเรียนรู้ จะใช้ส่วนผสมของวัตถุประสงค์หลักทั้ง 4 ประการ และสว่ นใหญ่จะเนน้ วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหก้ ารศกึ ษา เกดิ การเรียนรูใ้ นส่ิงใหม่ 1.2. เนื้อหาสาระ ในการนาเสนอ ต้องวิเคราะห์และจัดระบบว่าสาระในการนาเสนอคือ อะไร มีขอบเขตและขอบข่ายแค่ไหนมีรายละเอียดอะไร โดยปกติจะต้องจัดทาโครงร่าง เนื้อหาสาระ (content outline) อย่างเป็นระบบมรี ายการหัวขอ้ ชัดเจน และมรี ายละเอียดสมบูรณ์ที่จะนาเสนอ 1.3 การวิเคราะห์กลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย ซึ่งได้แก่กลุ่มผู้เข้ารับการอบรม จะต้องทาการ วเิ คราะห์ให้ละเอยี ดว่าเป็นใคร มีคุณลักษณะอย่างไร ทั้งทางดา้ นประชากรศาสตร์ ทางจิตวิทยา และ มีสไตล์การเรยี นรู้อยา่ งไร 1.4 การกาหนดกลยุทธใ์ นการนาเสนอ จงึ ประกอบไปดว้ ย 1.4.1 แนวการนาเสนอ 1.4.2 สถานท่ี 1.4.3 กาหนดเวลา 1.4.4 ขนาดของกลุ่มและธรรมชาติของ กลมุ่ ผฟู้ งั เป็นรายบคุ คล กลุม่ เลก็ หรือ กลุ่มใหญ่ 1.4.5 สื่อ วสั ดุ อุปกรณห์ รือชิ้นงานเพอ่ื การนาเสนอ 1.5 การวัดและการประเมนิ ผลการนาเสนอ จะตอ้ งกาหนดแนวทาง เครอ่ื งมือการวัดผล การนาเสนอ เพือ่ การประเมินผลความสาเร็จหรอื ล้มเหลวในการนาเสนอ 164 สำนกั งำนกองทุนหมบู่ ้ำนและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

จากองค์ประกอบสาคัญ 5 ประการ ในการวางแผนการนาเสนอ สิ่งที่ผู้นาเสนอจะต้อง เตรียมการในการนาเสนอพอสรปุ ได้ดงั นี้ 1. จุดมงุ่ หมายในการนาเสนอต้องกาหนดใหช้ ดั เจน 2. เนอื้ หาสาระต้องรวบรวมจัดระบบและวางโครงเรอื่ งพร้อมรายละเอียด 3. วิเคราะห์ผ้ฟู งั หรอื ผู้รับทกุ ด้าน 4. เลือกวิธกี ารหรอื กลวธิ กี ารนาเสนอใหเ้ หมาะสม 5. พิจารณาในเรือ่ งขนาดของกลุ่มผรู้ ับว่าเปน็ กลมุ่ เล็ก กลมุ่ ใหญห่ รอื รายบุคคล 6. เตรียมสถานที่ ต้องปราศจากเสยี งรบกวน พร้อมสิ่งอานวยความสะดวก ครบครัน 7. กาหนดเวลาท่ีเหมาะสมในการนาเสนอ สั้น-ยาว และชว่ งเวลา เช้าหรือบ่าย 8. ส่ือ วสั ดุ อปุ กรณแ์ ละช้ินงานในการนาเสนอ ตอ้ งเตรยี มใหพ้ ร้อม 9. เตรียมเคร่ืองมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลในการนาเสนอ เพ่ือการปรับปรุงและ พัฒนางาน เช่น แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์หรือแบบทดสอบทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการวาง แผนการนาเสนอ 2. ประเภทของการเสนอ ถา้ แบ่งตามการสอ่ื สาร โดยท่วั ไปการเสนองานจะมี 2 ประเภท คือ 2.1 การนาเสนอแบบเป็นทางการ (formal presentation) จะเป็นรูปแบบการนาเสนอ แบบเต็มรูปหรือครบองค์บุคคล มีกาหนดการชัดเจน วัสดุ อุปกรณ์ ส่ือและช้ินงานพร้อมตามสถานที่ วัน เวลาทก่ี าหนดล่วงหน้า 2.2 การนาเสนอแบบไม่เป็นทางการ (informal presentation) จะเป็นรูปแบบการ นาเสนอที่ไม่เน้นพิธีการแต่จะเป็นขั้นตอนย่อยๆ ในการเสนอ เพ่ือให้การดาเนินงานสามารถปฏิบัติ ตอ่ เนือ่ งไปไดไ้ ม่ขาดตอนหรือหยดุ ชะงกั และทิ้งชว่ งเวลานานเกนิ ไป 3. การสรา้ งความน่าเชอื่ ถอื ของผู้นาเสนอ สง่ิ ท่ีผู้นาเสนอจะต้องมี คอื 3.1 ความรู้ ความชานาญหรอื การแสดงออกซึ่งความเปน็ มอื อาชีพ 3.2 ความน่าไว้วางใจซึ่งข้ึนอยู่กับประโยชน์ที่ผู้รับจะได้รับความคล้ายคลึงกันกับผู้รับและ แนวทางการเพมิ่ ความน่าเช่อื ถือของวทิ ยากรไดแ้ ก่ 1. เสนอความคดิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ 2. ความคิดท่นี าเสนอต้องสามารถพิสูจนใ์ ห้เหน็ จริงได้ 3. มหี ลกั ฐานขอ้ มลู ประกอบการอา้ งองิ 4. วิเคราะหข์ อ้ เสนอทกุ แง่ทกุ มุมให้ลกึ ซงึ้ 5. พยายามชใ้ี ห้เห็นความคลา้ ยคลงึ กนั ระหว่างผู้นาเสนอและผู้รบั 6. รู้จักควบคุมอารมณ์ เผชิญปญั หาอยา่ งกล้าหาญไม่แสดงอารมณ์ 7. มีไหวพริบและไวต่อความรู้สึกของผู้อ่ืน สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่ กระทบกระเทอื นความรสู้ กึ ของผฟู้ ังหรือผู้รับการนาเสนอ หลักสูตรกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทุนหมู่บ้ำนและชุมชน 165

8. มคี วามเป็นมิตรในการนาเสนอ 9. รู้จักถ่อมตนในบางโอกาส 10. มีความจริงใจ 4. เทคนิคการนาเสนอ สมพงษ์ บุญเลิศ (2549: 120 - 129) ได้เสนอแนวคิดและวิธีการของการนาเสนอไว้ว่า เทคนิคการนาเสนอ ข้ึนอยู่กับรูปแบบการนาเสนอว่าเลือกใช้แบบเผชิญหน้า เห็นหน้าค่าตากัน ซึ่งมี แนวทางและวิธีปฏิบัตดิ ังน้ี 4.1 หลักการนาเสนอ ซึ่งรูปแบบก็คือ การพูดต่อหน้าชุมชนแบบหน่ึงนั่นเอง ลักษณะการ นาเสนอเป็นท้ังแบบทางการและไม่เป็นทางการ แต่ข้อจากัดของการนาเสนอก็คือเวลา ดังน้ันการ นาเสนอแบบน้ีจะดาเนินไปด้วยความเร่งเร้า ราบร่ืนและมีชีวิตชีวา สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังยอมรับ และเกดิ การเรยี นรูไ้ ดง้ า่ ย ซึง่ จะต้องมหี ลกั การคือ 4.1.1 สรา้ งความสนใจและจูงใจ (motivation) ตลอดเวลาของการนาเสนอ 4.1.2 ใหค้ วามเข้าใจทกุ ขนั้ ตอน (understanding) 4.1.3 ให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม (participation) เช่น มีการซักถามหรือแสดงความคิดเห็น ระหว่างการนาเสนอ 4.1.4 เสนอสิง่ ท่เี ป็นประโยชน์หรือใชไ้ ดจ้ รงิ (application) สาหรบั งานของผฟู้ ัง 4.2 ขอ้ ปฏบิ ัติในการนาเสนอ 4.2.1 เทคนคิ การเตรียมความพรอ้ ม 1) เตรียมตัวและซักซ้อมใหม้ ่ันใจทส่ี ุด 2) ซ้อมจริงในสภาพทจี่ ะนาเสนอเพอื่ ให้เกดิ ความคนุ้ เคย 3) จับเวลาในการซ้อมเพ่อื จะได้ทราบว่าควรตดั ทอนหรอื เพ่ิมเติมอะไร 4) จดบนั ทกึ ช่วยเฉพาะหวั ข้อ เวลานาเสนอ 4.2.2 เทคนิคการทาให้ผูฟ้ งั ประทับใจ 1) ไมแ่ สดงอาการประหม่า ตื่นเตน้ จนผ้ฟู งั ขาดความเลอื่ มใส 2) ต้องตัง้ ใจ กระตือรอื รน้ และกระฉับกระเฉงในการนาเสนอ 3) แต่งกายสง่างาม ยมิ้ แย้ม แสดงท่าทางประกอบพองาม อิรยิ าบถตา่ งๆ เปน็ ธรรมชาติ 4.2.3 เทคนคิ การพดู 1) ใช้คาพูดใหเ้ หมาะสมกบั ผูฟ้ ัง เช่น การศกึ ษา ความรู้ ตาแหน่งหน้าที่ และภูมิหลงั 2) ระดบั เสยี งควรเนน้ เสียงสูง ต่าบ้าง 3) ใช้คาพดู ง่ายๆ ชัดถ้อยชัดคา ไม่พดู ขัดกนั ในเนื้อหา 4) ใช้เสียงให้ดังชดั เจน ไมด่ งั หรอื คอ่ ยเกินไป 5) ใช้คา ขอ้ ความ สานวนมาเสริมใหเ้ กดิ มโนภาพ 6) จับประเดน็ และเนน้ ส่ิงที่ควรเนน้ 166 สำนักงำนกองทุนหมู่บำ้ นและชุมชนเมืองแห่งชำติ

7) จาส่วนนา ส่วนเนื้อความ และส่วนสรุปมากล่าวย้าเพื่อสร้างความ ประทับใจ 4.2.4 เทคนิคเพิ่มคณุ คา่ ในการนาเสนอ 1) ไมน่ าเสนอหวั ขอ้ หรือเรื่องทีผ่ ู้นาเสนอไมร่ อบรู้ 2) ไม่ตง้ั ปัญหาถามแตต่ อบคาถามผู้ฟงั ถาม 3) นาเสนอเฉพาะประเดน็ สาคัญ ยกเว้นกรณีผฟู้ งั ต้องการรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ 4) ใหด้ ขู องจรงิ หรือของจาลองประกอบถา้ มีและท่ีเตรยี มมาเพื่อนาเสนอ 5) รักษาเวลาในการนาเสนอ 6) ใช้โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการนาเสนออย่างมืออาชีพ โดยเลือกให้เหมาะสม กบั ผฟู้ ัง วัตถปุ ระสงค์ เรอื่ งราว วธิ ีการนาเสนอท้ังระบบ สรุปการนาเสนอ คือการสื่อสารรูปแบบหน่ึงและในการส่ือสารเพ่ือการหวังผลให้ผู้ฟัง เกิดการรับรู้และเรียนรู้ ดังน้ันเทคนิคสาคัญของการนาเสนอแบบเผชิญหน้าที่ ผู้นาเสนอจะต้องปฏิบัติได้ อย่างมืออาชพี กค็ ือ 1. ใชส้ ายตาที่กล้าแขง็ และอ่อนโยน จับตามองผูฟ้ ังอย่างจริงใจและมนั่ คง 2. มที ่าทางการทรงตวั ดี ยนื ตรงและเคล่อื นไหวอยา่ งสบายๆ เป็นธรรมชาติ 3. ออกทา่ ทางประกอบอยา่ งเปน็ ธรรมชาตมิ ีการผ่อนคลายและเปน็ ธรรมชาติ 3. มีบุคลิกภาพดีแตง่ กายเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและใหเ้ กยี รตผิ ู้ฟงั 5. เสยี งพดู มนี า้ เสียงหลากหลายและทรงพลัง 6. ใช้ภาษาคาพูดมีการเว้นวรรคอย่างเหมาะสมชัดเจนมีประสิทธิภาพและไม่ใช้คาที่ไม่ เปน็ ภาษา เชน่ เอ้อ อา้ 7. ดึงผูฟ้ งั ใหเ้ ขา้ มามีสว่ นรว่ ม รกั ษาความสนใจและความรสู้ กึ การมสี ่วนร่วมของผ้ฟู ัง 8. ใช้อารมณ์ขนั อยา่ งมีประสิทธิผล สามารถสร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผพู้ ูดกบั ผฟู้ งั 9. เปน็ ตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติไมเ่ สแสรง้ 4.3 การนาเสนอด้วยโสตทัศนูปกรณ์ การใชโ้ สตทัศนูปกรณ์ประกอบการนาเสนอ จะสร้าง ความนา่ สนใจและความรู้ ความเขา้ ใจ สามารถโนม้ น้าวใจไดม้ ากกวา่ การพดู อยา่ งเดยี ว เพราะให้ทัง้ ภาพ และเสียง มีความสมจริงสมจงั การใช้โสตทัศนปู กรณป์ ระกอบการนาเสนอมีแนวปฏิบัติ ดงั นี้ 4.3.1 โสตทัศนูปกรณ์ประเภทงานกราฟิคส์ เช่น ภาพโฆษณา ภาพร่าง ภาพถ่าย ภาพเขียน ในการนาเสนอส่ือเหล่านี้จะต้องนาเสนอในช่วงเวลาท่ีกาหนดเท่าน้ัน หากยัง ไม่ถึงเวลาควร เก็บซ่อนไว้ก่อนและสร้างความสนใจและชวนให้ติดตามมากกว่าการนามาจัดแสดงพร้อมกันทีเดียว ขณะนาเสนอต้องแสดงให้ทุกคนได้เห็นได้ยินกันท่ัวถึง ข้อมูลส่วนใดท่ียังไม่กล่าว ถึงควรปิดหรือบังไว้ กอ่ นและนาเสนอตามลาดบั ข้ันตอน พรอ้ มเปิดโอกาสใหผ้ ูฟ้ ังมีสว่ นรว่ ม ซกั ถามหรอื แสดงความคิดเหน็ หลักสูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทนุ หม่บู ้ำนและชุมชน 167

4.3.2 โสตทัศนูปกรณ์ประเภทเครื่องเสียง เช่น ระบบขยายเสียง เทปเสียง แผ่น บันทึกเสียงหรืออื่นๆ ต้องจัดเตรียมและซักซ้อมล่วงหน้า เม่ือถึงเวลาสามารถเปิดให้ฟังได้ทันที ระดับ เสยี งพอดี ไมเ่ บาหรอื ดังจนเกนิ ไป และไม่มเี สยี งรบกวน 4.3.3 โสตทศั นูปกรณ์ประเภทเครื่องฉาย 1) เครื่องฉายภาพ ควรเตรียมล่วงหน้าและผลิตด้วยระบบท่ีดีที่สุด สามารถ สร้างความสนใจและให้ข้อมูลได้ชัดเจน ติดตั้งระบบฉายในห้องท่ีนาเสนอในตาแหน่งท่ีถูกหลักการ ไม่ บังคนฟัง ภาพชัดเจนและใช้เคร่ืองอย่างมืออาชีพ หากไม่ใช้เครื่องประกอบการพูดต้องปิดเครื่องทันที ไมค่ วรเปิดเครือ่ งติดต่อกันเวลานานๆ 2) เคร่ืองเล่นวีดิทัศน์ เพ่ือฉายตัวอย่างภาพยนตร์หรือตัวอย่างงาน จะต้อง เตรยี มและทดสอบการฉาย เม่ือถงึ เวลาสามารถนาเสนอไดท้ นั ที คณุ ภาพของภาพและเสียงควรจะดีไม่ วา่ จะเลอื กใช้ระบบใดก็ตาม 3) เครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์เพ่ือการนาเสนอที่ค่อนข้าง ทันสมัยในปัจจุบัน เพราะให้ท้ังภาพและเสียงที่เรียกว่า สื่อผสม (multimedia) จะต้องมีการจัดทา ซอฟท์แวร์ (software) เพือ่ การนาเสนอล่วงหนา้ และทดสอบกอ่ นการนาเสนอจริงจนม่ันใจ 4) การใช้กิจกรรมหรือสถานการณ์จาลองประกอบการนาเสนองาน เช่น การ จัดตกแตง่ สถานที่ให้เป็นบรรยากาศที่สอดคล้องกับสภาพจริง มีการจัดแสดงและการแสดงประกอบก็ เป็นการใช้สื่ออีกประเภทหนง่ึ ทเ่ี สริมสรา้ งบรรยากาศของการนาเสนอใหน้ ่าสนใจ 168 สำนักงำนกองทุนหมบู่ ำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

การถ่ายทอดความรูข้ องวิทยากร 1. ส่งิ ท่ีวิทยากรต้องร้แู ละต้องมี 1.1 สง่ิ ทว่ี ิทยากรต้องรู้ 1.1.1 จติ วิทยาการเรียนรแู้ ละจิตวทิ ยาผู้ใหญ่ 1.1.2 จิตวิทยาของการใชเ้ สียง 1.1.3 หลักการเรยี นรแู้ บบวิทยากรเปน็ ศนู ยก์ ลาง 1.1.4 หลักการเรยี นรู้แบบผ้เู รยี นเป็นศูนยก์ ลาง 1.1.5 เทคนิคการถา่ ยทอดแบบตา่ งๆ 1.2 สง่ิ ทว่ี ิทยากรตอ้ งมี 1.2.1 ทัศนคติทีด่ ีตอ่ การเป็นวิทยากร 1.2.2 วินัย คณุ ธรรม จรยิ ธรรม 1.2.3 บคุ ลกิ และพฤติกรรมทเ่ี ปน็ ตน้ แบบได้ 1.2.4 ความร้คู วามเขา้ ใจในศาสตร์ สาขา/งานทจ่ี ะสอนเป็นอย่างดี 1.2.5 ทักษะในงานและทกั ษะการสื่อสาร 1.2.6 จิตวิทยาและศลิ ปะการพูดเพือ่ การถา่ ยทอด 1.2.7 ความเปน็ นักคิด (Thinker) 2. จติ วิทยาทวี่ ิทยากรควรร้ใู นการสอนผู้ใหญ่ Malcolm Knowles (1975) ไดก้ ล่าวถึงการสอนผู้ใหญ่ควรสรา้ งบรรยากาศท่ีส่งเสริมการ เรียนรู้ ให้อิสระ สร้างความไว้วางใจ ให้เกียรติ เคารพกฎเกณฑ์ทุกคนมีส่วนร่วม สภาพแวดล้อมทาง กายภาพทีเ่ อื้ออานวย 2.1 อารมณ์และความรู้สึก Kidd, (1975)ได้กล่าวถึง อารมณ์และความรู้สึกในการสอน ผใู้ หญว่ ่าควรใชอ้ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ ทางบวก เชน่ รัก เคารพ ชนื่ ชม เป็นมิตร สนใจ เหน็ ใจ สนบั สนุน มากกว่าอารมณ์และความรู้สึกทางลบอย่างออ่ น เชน่ ความกลัว ความสงสัย ความฉงนใจหรืออารมณ์ ความรู้สึกทางลบอย่างรุนแรง เช่น โกรธ เดือดดาล พยาบาท เคียดแค้น ชิงชัง ไม่ยอมรับ เพราะ ผู้ ใ ห ญ่ ต่างจ าก เ ด็ก ท้ั งใ น เรื่ อ งแ นว คิด เก่ี ย วกั บต น เอ ง ( Self-Concept) ประ ส บก า ร ณ์ (Experience)ความพร้อมในการเรียน( Readiness to Learn)และมุมมองด้านเวลา( Time Perspectives) Knowles( 1978) 2.2 การรบั รู้เพ่อื การเรียนรู้ (Human Perception) ไมว่ า่ จะเป็นการเห็น (Seeing) การ ได้ยินไดฟ้ ัง (Hearing and Listening) การสมั ผสั (Touching) การไดก้ ล่นิ (Smelling) และการรับ รส (Tasting) จนมีคากลา่ ววา่ หากไดย้ ินจะลมื (We hear, we forget) การได้เห็นจะจดจา (We see, we remember) การไดท้ าจะเขา้ ถึงใจ (We do, We Understand) หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมูบ่ ำ้ นและชมุ ชน 169

2.3 เรือ่ งจรงิ ของมนษุ ย์ ทต่ี ้องตระหนกั 2.3.1 มนษุ ย์ทกุ คนมีศักดิ์ศรี 2.3.2 มนษุ ย์ทกุ คนชอบอิสระ 2.3.3 มนษุ ย์ทกุ คนมคี วามคิด 2.3.4 มนุษย์ทกุ คนต้องการการยอมรบั 2.3.5 มนุษย์ทกุ คนมลี กั ษณะเฉพาะตวั 2.3.6 มนุษย์ทุกคนมสี ทิ ธป์ิ กป้องตนเอง 2.4 อุปสรรคการเรยี นรู้ (Learning Barriers) 2.4.1 ตัวผู้เรียนเอง เช่น ประสบการณ์เดิม เจตคติ เร่ืองส่วนตัวและครอบครัว เงื่อนไขและเปา้ หมายของการมาเรียน การปรบั ตวั ฯลฯ 2.4.2 สิ่งแวดล้อม เช่น สถานท่ี อุปกรณ์ จังหวะเวลา ข่าวสารข้อมูล หลักสูตร ค่าใชจ้ า่ ย ฯลฯ 2.4.3 ผสู้ อน เช่นไมม่ คี วามร้คู วามสามารถ ไม่มีคณุ ธรรม ฯลฯ 2.5 จิตวิทยาการใช้เสียง สูง กลาง ตา่ หนกั เบาสนั้ ยาว เร็ว ชา้ ลว้ นมผี ลตอ่ การเรียนรู้ 3. การสอนผู้ใหญ่ (Adult Teaching) คือ การใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ให้ผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่เกิดการเรียนรู้ และบรรลุตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการสอนนั้นๆวิธีการสอนมหี ลายวิธี อาทเิ ช่น 3.1 การบรรยาย (Lecture) 3.2 กรณศี กึ ษา (Case Study) 3.3 การสาธติ (Demonstration) 3.4 การแสดงบทบาท (Role Play) 3.5 สถานการณ์จาลอง (Simulation) 3.6เกม (Game) ฯลฯ 170 สำนกั งำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

3.1 การบรรยาย (Lecture) 3.1.1 วัตถปุ ระสงค์ บอกเล่าหรอื อธบิ ายเนื้อหาในเวลาจากัด 3.1.2 วิธีการ บอกเล่าหรืออธิบายตามขั้นตอนเน้ือหาที่ได้เตรียมไว้ ง่ายและสะดวก กับคนหลายๆ กลมุ่ หลายๆ ขนาด 3.1.3 การประเมินความสาเร็จ แบบประเมิน, ถาม-ตอบ, สังเกต 3.2 กรณศี กึ ษา (Case Study) 3.2.1 วัตถุประสงค์ สอนเนอื้ หา เนน้ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ข้อเท็จจริง 3.2.2 วธิ กี าร เสนอเหตุการณ์อย่างสนั้ ๆ เฉพาะเรื่อง แล้วให้ผเู้ รียนวเิ คราะหเ์ ด่ยี วหรือกลุ่ม แลว้ นาผลมาอภิปรายแลกเปลีย่ น และสรุปเป็นความรูร้ ว่ มกัน 3.2.3 การประเมินความสาเรจ็ การมีส่วนร่วม การนาไปใช้ 3.3 การสาธิต (Demonstration) 3.3.1 วัตถุประสงค์ ใหเ้ กิดการเรียนรู้แบบลึกซึ้ง ปฏิบตั ิได้ 3.3.2 วิธกี าร ผสู้ อนเป็นผูป้ ฏิบัติใหผ้ ้เู รียนชม แล้วให้ผเู้ รียนปฏิบตั ติ ามจนสามารถทาได้ 3.3.3 การประเมินความสาเรจ็ การอธิบายขน้ั ตอนและการลงมอื ปฏิบตั ิ 3.4 การแสดงบทบาท (Role Playing) 3.4.1วตั ถุประสงค์ เกดิ ประสบการณใ์ นการเรยี น จาได้ 3.4.2 วิธีการ แสดงบทบาทตามที่ได้รับในเหตุการณ์ใดๆที่ผู้สอนสมมติข้ึน โดยไม่มี สครปิ ต์ 3.4.3 การประเมนิ ความสาเรจ็ การรว่ มกจิ กรรม และอภปิ ราย 3.5 สถานการณ์จาลอง (Simulation) 3.5.1 วตั ถุประสงค์ เกดิ ความรคู้ วามเข้าใจในปัญหาต่างๆ 3.5.2 วิธีการ กาหนดบทบาทให้ผู้เรียนแสดงตามท่ีกาหนดในสถานการณ์โดยมีการ เตรียมสครปิ ตแ์ ละแสดงตามเงือ่ นไขทก่ี าหนด 3.5.3 การประเมนิ ความสาเร็จ การมีส่วนรว่ ม และความเขา้ ใจในสถานการณ์ 3.6 เกม (Game) 3.6.1 วัตถุประสงค์ เกดิ การเรียนรแู้ ละสนุกสนาน 3.6.2 วธิ ีการ อธิบายกฎกติกา ดาเนินการตามขั้นตอนและสรุปผลเชื่อมโยงกับเน้ือหา สาระทีจ่ ะสอน 3.6.3 การประเมนิ ความสาเรจ็ การมสี ่วนรว่ มถามตอบ อภิปราย และการมีส่วนรว่ มในเกม หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทุนหมบู่ ้ำนและชมุ ชน 171

4. การเตรียมการสอนท่ีมีประสทิ ธภิ าพ หน้าที่วิทยากรคือสรา้ งการเรียนรู้ให้เกิดกับผู้เรียนดว้ ยวิธีการต่างๆ ให้ผู้เรียนเกิดความร(ู้ K) ความเข้าใจ(U) เกิดทักษะ(S)และเกิดทัศนคติ(A)ท่ีดีต่อการเรียนรู้นั้นดังน้ันต้องมีการเตรียมการสอน ดังนี้ 4.1 เตรยี มเน้อื หา ศึกษารายละเอียดของเนื้อหาและจัดทาแผนการสอน หรือ แผนการเรียน 4.2 เตรยี มสอ่ื /อุปกรณ์ เอกสารประกอบการสอน/ส่อื การสอนตา่ งๆ 4.3 เตรียมวิธกี าร/เทคนิค วิธีที่เหมาะสมกับวัตถปุ ระสงค/์ ผเู้ รียน 4.4 เตรยี มสถานที่ จัดใหเ้ หมาะสมกบั วธิ ีการท่จี ะใช้ 4.5 เตรยี มตวั เอง สารวจบคุ ลิกภาพ / ศกึ ษาผูเ้ รยี น 4.6 เตรียมผู้เรียน กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความพรอ้ มและ ความสนใจทจี่ ะเรียน 5. ทักษะสาคัญและการพฒั นาทกั ษะของวทิ ยากร 5.1 ทักษะสาคญั ของวทิ ยากร 5.1.1 ทักษะเชิงกระบวนการ หมายถึงความสามารถท่ีจะออกแบบกระบวนการ จดั กระบวนการให้ไปสู่เป้าหมายไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ 5.1.2 ทกั ษะบุคคล หมายถึง ความสามารถของบุคคลทใี่ ชใ้ นการนาการเรียนรู้และการ ประชุมของกลุ่มซึ่งอาจรวมถึงเทคนิค ลีลา น้าเสียงและศิลปะการแสดงออกหน้าเวทีเพื่อให้กลุ่มสนใจ เตม็ ใจ ที่จะบรรลเุ ปา้ หมายการเรียนรรู้ ว่ มกันอย่างมีประสทิ ธิภาพ 5.1.3 เทคนคิ กระต้นุ ผ้เู รยี น 5.1.4 แบง่ กลุ่ม สนทนา ระดมสมอง 5.1.5 ใหม้ กี ารนาเสนอ 5.1.6 ร่วมทากจิ กรรมการเรยี นรู้ 5.1.7 Workshop หรือ Case study 5.1.8 เกม 5.1.9 ปรับเปลยี่ นรปู แบบ/สถานที่ 5.1.10 เปลีย่ นส่ือ เช่น จากภาพ เปน็ เสียง 5.2 แนวทางพัฒนาทักษะของวิทยากร 5.2.1 มองสงิ่ ต่างๆ ในมมุ มองใหม่เสมอๆ 5.2.2 ชอบเรยี นรู้ ขยายความสนใจและประสบการณ์หลากหลายเรือ่ งราว 5.2.3. มีชวี ิตชีวา สนุกและมคี วามสุขกับสงิ่ ทถ่ี ่ายทอด นาเสนอ 5.2.4. ไม่ได้พดู ถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา 5.2.5. เปน็ นกั ฟงั และนักต้งั คาถามที่ดี 5.2.6. รบั รู้ เขา้ ใจอารมณ์ความรู้สึก และมีส่วนรว่ มกบั สิง่ ทีค่ นอ่นื พูด 172 สำนกั งำนกองทุนหมบู่ ำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

5.2.7. มีอารมณ์ขนั แต่ไมท่ าให้ผู้ฟงั อบั อายขายหนา้ 5.2.8. มีสไตล์การพดู /นาเสนอท่ีเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั 6. สอ่ื และการใช้สอื่ ของวทิ ยากร วิทยากรต้องมีความรู้ส่ือประเภทต่างๆ ความหมาย ความสาคัญ การสร้างและการใชส้ ่ือ ประเภทต่างๆ การใช้ อักษร หนังสือ ภาพ สิ่งของ สื่อกับสีสัน การมีสื่อ กับ ไม่มีส่ือ ข้อความในส่ือ จังหวะการใชส้ ื่อในทีน่ ี้จะให้ข้อเสนอ การออกแบบสไลด์ซง่ึ เป็นสื่อท่ีผลิตง่าย ใช้สะดวก ประหยัด โดย มีข้อควรคานงึ ดงั น้ี 6.1 หน่งึ สไลดห์ นึง่ ความคดิ 6.2 สน้ั กระชับ อา่ นเขา้ ใจงา่ ย จาได้ น่าสนใจ ไม่ตอ้ งมากสไลด์ 6.3 เนื้อหาไม่ควรเกิน 8 บรรทัด 6.4 ตัวหนังสอื ใหญ่ชดั เจนพอที่คนอยู่ดา้ นหลังสดุ มองเห็น 6.5 สพี ืน้ หลังไม่ฉูดฉาด ลวดลายมากเกนิ ไป 6.6 สตี วั อักษรควรตัดกบั สพี ้ืนหลงั 6.7 ใส่ภาพประกอบทเี่ หมาะสมกับเนอื้ หา 6.8 ควรมกี ารอา้ งอิงท่ีมาของสถติ ิ บทความ ฯ 7. เทคนคิ การเตรยี มตวั ทดี่ ขี องวิทยากร 7.1 กอ่ นการฝกึ อบรม ก่อนท่ีจะมีการฝึกอบรมเกดิ ขน้ึ วิทยากรจะต้องมภี ารกจิ ในการเตรยี มตัว เพราะวิทยากร จะต้องทราบล่วงหน้าว่าตนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องใดดังนั้นในข้ันตอนนี้ วิทยากรควรจะ ดาเนินการเตรียมการเพื่อการถ่ายทอดและเปล่ียนทัศนคติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม การเตรียมการท่ีดี ย่อมสาเร็จไปแล้วครึง่ หนึ่ง เพราะจะทาใหว้ ิทยากรเกิดความม่ันใจในการฝึกอบรม และเมื่อมปี ัญหาต่างๆ เกดิ ขน้ึ ย่อมแกป้ ัญหาได้อย่างเหมาะสม การเตรียมการในขั้นน้เี กย่ี วข้องกับ 7.1.1 การประสานงานกับหน่วยงานท่ีจะฝึกอบรม เพื่อขอข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ ตอ่ การฝกึ อบรม ไดแ้ ก่ หลักสตู ร กลมุ่ ผ้เู ข้ารับการฝึกอบรม เอกสารประกอบ วัสดอุ ปุ กรณต์ ่างๆ 7.1.2 การเขียนแผนการฝกึ อบรม ข้อมูลต่างๆ ที่ไดจ้ ากหน่วยงานจะเป็นประโยชน์ต่อ การเขียนแผนการฝึกอบรม แผนการฝึกอบรมเป็นแนวทางสาหรับวิทยากรวา่ จะถ่ายทอดและเปล่ียน พฤตกิ รรมโดยใช้สอื่ และเทคนคิ การฝกึ อบรมอย่างไร เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกับผู้เขา้ รว่ มอบรม 7.1.3 การเตรียมอุปกรณ์ ส่ือต่างๆ วิทยากรควรจะเตรียมอุปกรณ์และส่ือต่างๆ เช่น ไฟลน์ าเสนอ กระดาษ ฯลฯ ใหเ้ รียบร้อย เหมาะสมกับฐานะของวิทยากร 7.2 ระหวา่ งการฝึกอบรม เมื่อวิทยากรมาถึงสถานที่จัดฝึกอบรม ควรตรวจสอบสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีได้ จัดเตรียมไวแ้ ละสอบถามขอ้ มลู ตา่ งๆ เชน่ บรรยากาศในการฝกึ อบรม ใครเป็นผู้นากล่มุ วทิ ยากรคนกอ่ นๆ พูดเกย่ี วกับอะไร ฯลฯ เม่ือถึงเวลาการฝึกอบรม จะตอ้ งดาเนินการตา่ งๆ ทส่ี าคญั ได้แก่ หลกั สูตรกำรบริหำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทุนหมูบ่ ำ้ นและชมุ ชน 173

7.2.1 การถ่ายทอดความรู้ ควรมีความสามารถในการถ่ายทอด โดยอาศัยเทคนิคและ ใชส้ อ่ื อปุ กรณ์ต่างๆ ให้เป็นประโยชน์ 7.2.2 การเป็นศูนย์กลาง ในการแลกเปล่ียนประสบการณ์และความคิดเห็น วิทยากร จะต้องคอยกระตุ้นให้ผู้รับการฝึกอบรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็น รวมถึงต้องคอยชี้แนะ สรุปประเด็นและนาเสนอแนวทางทเ่ี หมาะสมด้วย 7.2.3 การเสริมสร้างบรรยากาศ วิทยากรจะต้องสร้างบรรยากาศท่ีเหมาะสมต่อการ เรียนรู้ ทั้งด้านกายภาพ ได้แก่ อุปกรณ์ สื่อให้เหมาะสม และด้านจิตภาพ หมายถึง ผู้เข้ารับการ ฝกึ อบรม มคี วามสนใจท่ีจะเรียนรอู้ ยู่ตลอดเวลา 7.2.4 การมีมนุษยสัมพันธ์ วิทยากรจะต้องอาศัยหลักการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ เพ่ือ เป็นการช่วยลดช่องวา่ งวทิ ยากรกับผู้เข้ารบั การฝกึ อบรม จะทาให้ผูเ้ ขา้ รับการฝึกอบรมประทบั ใจ 7.2.5 การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาบางอย่างวิทยากรสามารถรู้ หรือคาดเดาได้ ล่วงหน้า แต่ปัญหาบางอย่าง เป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหน้า ไม่สามารถคาดการณ์ได้ วิทยากรมือ อาชีพจะตอ้ งสามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือบรรเทาใหล้ ดน้อยลง 7.3 หลงั การฝึกอบรม อาจจะกระทาไดโ้ ดย 7.3.1 การประเมินผลการอบรม วิทยากรควรจะขอข้อมูล จากผู้จัดฝึกอบรม นอกเหนือจากประเมินโดยการสังเกต เพ่ือจะไดท้ ราบผลการปฏิบัติงานของตน และนามาใช้ปรับปรุง แกไ้ ขในโอกาสตอ่ ไป 7.3.2 การเขา้ ร่วมกิจกรรมตา่ งๆตามความจาเปน็ วทิ ยากรควรเข้าร่วมกจิ กรรมต่างๆ ตามทีเ่ ห็นสมควร เชน่ การมอบวฒุ ิบัตร การเล้ยี งสังสรรค์ระหวา่ งผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรม 7.3.3 การติดตามผลการฝึกอบรม ต้องติดตามดูว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ได้นา ความรู้ที่ได้ฝึกฝนมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์มากน้อยเพยี งใด พร้อมทงั้ ให้คาแนะนาแก่เขาเทา่ ท่ีจาเป็น 174 สำนักงำนกองทุนหมบู่ ้ำนและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ

กล่าวสรุปหน้าทก่ี ารเตรยี มตัวของวทิ ยากร คอื 1. เตรียมตัวมาพร้อม คือ เตรียมตัว เตรียมกายและใจ เตรียมเอกสาร เนื้อหาสาระ ส่ือการอบรม และเตรียม คาตอบไวล้ ่วงหนา้ 2. ซักซ้อมมาดี ตอ้ งเปน็ ผูม้ ปี ระสบการณ์ในการทางานพอสมควร มีประวตั ิ และผลการทางานดี เพือ่ จะได้ สามารถประยกุ ตท์ ฤษฎกี ับการปฏบิ ตั ิเขา้ ดว้ นกันได้เปน็ อย่างดี 3. ทา่ ทสี ง่างาม บุคลิกลักษณะควรเป็นผู้มีลักษณะที่สามารถโน้มน้าวความเช่ือถือจากผู้อ่ืนได้ พูดจา ฉะฉานเข้าใจงา่ ย และแสดงความเชื่อม่ันในส่ิงที่ตนพดู 4. ใชว้ าจาให้เหมาะสม สามารถท่ีจะร่วมงานกับคนอ่ืนได้เปน็ อย่างดี เพราะงานฝึกอบรมตอ้ งเกี่ยวข้องกับคนเป็น จานวนมาก วิทยากรจงึ ตอ้ งใชค้ าพดู ท่ฟี ังสบายหู ดูสบายตา และพาสบายใจ แกผ่ ูเ้ ขา้ อบรม 5. เริ่มตน้ ใหโ้ นม้ นา้ วใจ มีเทคนิคการจูงใจให้กับผู้เข้ารับการอบรม โดยการรู้จักโน้มน้าวผู้ฟังการอบรมในการ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยคากลอน บทกวี คาคม หรอื คารมต่างๆ เป็นตน้ 6. เสนอเรอื่ งราวใหก้ ระชับ โดยการให้ความรู้แก่ผู้ฟัง โดยเลือกเน้ือหาสาระท่ีเหมาะสม ไม่เยิ่นเยื้อ ให้สอดคล้องกับ ลักษณะของผ้ฟู งั 7. ตาจบั ที่ผอู้ บรม ในเร่ืองน้ีผู้อา่ นสามารถศึกษาได้ ในบทบาทท่ีว่าดว้ ยเรื่องบคุ ลิกภาพท่ีดจี ะช่วยเพิ่มสีสันได้ อย่างไร คือ เวลาใหว้ ิชาการสายตาของวทิ ยากรผู้ถ่ายทอด จะตอ้ งมองผู้ฟังอยา่ งทั่วถงึ 8. ผสมผสานเทคนคิ ใหม่ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมแบบผสมผสาน คือ เทคนิคท่ียึดตัววิทยากรเป็นศูนย์กลาง เทคนคิ ยดึ ตัวผเู้ ขา้ อบรมเป็นศูนยก์ ลาง เทคนคิ เน้นบทบาทเฉพาะบคุ คล และเทคนคิ ใช้ส่อื ตา่ งๆ 9. ใชเ้ วลาให้พอครบ ให้ใช้เวลาพอดี และสอดคล้องกับเนื้อหาที่มีอยู่ ไม่ควรใช้เวลาเกินเลยไปกว่า 30 นาที ของการฝึกอบรมในแตล่ ะคร้งั ยกเวน้ ถา้ ภารกจิ ของผเู้ ข้าร่วมอบรมยงั ไม่เสรจ็ ส้นิ 10. สรปุ จบประทบั ใจ หลักการสรุปจบมีแนวทางคือ มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอย สัมพันธ์กับเน้ือเรื่อง หวั ขอ้ เรอื่ งกะทัดรัด ไมเ่ ย่นิ เยอ้ และเขา้ ประเดน็ สู่จดุ สรปุ ลงท้าย หลกั สตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมบู่ ้ำนและชมุ ชน 175

หัวข้อสาหรับการฝกึ พูด ให้สัมมนาสมาชิกในห้องนี้ จับฉลากเพอื่ ให้ไดห้ วั ข้อสาหรับการฝึกพดู แต่ละคน โดยให้เวลาใน การนาเสนอ ประมาณ 3-5 นาที 1. กล่าวต้อนรบั คณะผูม้ าเยอื นหน่วยงาน หรอื หม่บู า้ นของท่าน 2. กลา่ วรายงานการจัดงาน OTOP ของชมุ ชน 3. กล่าวเปดิ งานการจดั OTOP ของชมุ ชน 4. นาเสนอโครงการศิลปาชพี ของชุมชนต่อคณะกรรมการจดั สรรทุน 5. นาเสนอโครงการประมงหมบู่ า้ นตอ่ อธบิ ดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 6. นาเสนอโครงการกองทนุ เงนิ ออมของหมบู่ า้ น เสนอตอ่ ชาวบ้าน 7. นาเสนอโครงการกาจัดขยะของหมบู่ ้าน เสนอตอ่ องค์การบริหารสว่ นจงั หวัด 8. นาเสนอโครงการร้วั กนิ ได้ เกษตรยงั่ ยืน นาเสนอตอ่ เกษตรจงั หวดั 9. นาเสนอโครงการปลูกตน้ กล้าวัฒนธรรมของชมุ ชน เสนอต่อสานกั งานวัฒนธรรมจงั หวัด 10. นาเสนอโครงการสขุ ภาพดที ่ัวหน้า ประชาสขุ ใจ เสนอต่อ สาธารณสขุ จงั หวัด 11. นาเสนอโครงการรา้ นค้าชุมชน เสนอตอ่ พาณิชยจ์ ังหวดั 12. นาเสนอโครงการการจดั ต้ังกลุม่ ศลิ ปหัตถกรรมชุมชน เสนอตอ่ พัฒนาการจังหวัด 13. นาเสนอโครงการเกษตรอนิ ทรยี ์ เสนอตอ่ กรมสง่ เสริมการเกษตร 14. นาเสนอโครงการอาสาป้องกันตนเองของหมู่บา้ น นาเสนอ กระทรวงมหาดไทย 15. นาเสนอโครงการมคุเทศน้อย นาเท่ียวแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เสนอต่อ สานักงานเขต พ้ืนทีก่ ารศกึ ษาในจงั หวัด 16. นาเสนอโครงการฌาปนกิจสงเคราะหช์ ุมชน เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย 17. นาเสนอโครงการป้องกนั ภัยแล้งประจาปี เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย 18. นาเสนอโครงการห้องสมุดประจาบ้าน เสนอตอ่ กระทรวงศึกษาธกิ าร 19. นาเสนอโครงการจักรยานยืมไปโรงเรยี นของน้องหนู เสนอต่อ กระทรวงศกึ ษาธิการ 20. นาเสนอโครงการออมวันละบาท ของนักเรียนในชุมชน เสนอต่อคณะกรรมการหมู่บ้าน และธนาคารออมสนิ 21. นาเสนอโครงการช่างชนบท เสนอต่อกรมอาชวี ศึกษา 22. นาเสนอโครงการกีฬาตา้ นยาเสพติด เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย 23. นาเสนอโครงการเกษตรเพ่ืออาหารกลางวันของโรงเรียน เสนอต่อสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษา 24. นาเสนอโครงการสุขภาพดไี ม่มีขาย ถ้าอยากไดต้ ้องออกกาลงั กาย เสนอตอ่ สสส. 25. นาเสนอโครงการหมู่บา้ นศลี ๕ นาเสนอต่อ สานกั งานพทุ ธศาสนาประจาจังหวัด 26. นาเสนอโครงการประปาหมบู่ า้ น เสนอต่อกระทรวงสาธารณะสุข 27. นาเสนอโครงการไฟฟ้าโซลา่ ร์เซลของชมุ ชน นาเสนอ การไฟฟ้าฝ่ายผลติ แห่งประเทศไทย 176 สำนกั งำนกองทนุ หมบู่ ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

28. นาเสนอโครงการธรรมะสวัสดี เสนอตอ่ สานกั งานพุทธศาสนาแห่งชาติ 29. นาเสนอโครงการดแู ลผสู้ งู อายุในชมุ ชน เสนอต่อ สานักงานสาธารณะสขุ จงั หวดั 30. นาเสนอโครงการแจง้ เตอื นภยั พบิ ตั ิในชมุ ชน เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย 31. นาเสนอโครงการการแปรรปู ผลิตผลทางการเกษตร เสนอต่อ อตุ สาหกรรมจังหวดั 32. นาเสนอโครงการปอ้ งกนั โรคมาลาเรยี ของชุมชน เสนอตอ่ ระทรวงสาธารณะสขุ 33. นาเสนอโครงการป้องกนั โรคไข้เลือดออกของชมุ ชน เสนอตอ่ กรมควบคมุ โรค 34. นาเสนอโครงการสร้างรายได้เสรมิ ภาคครัวเรอื น เสนอตอ่ กรมพัฒนาชมุ ชน 35. นาเสนอโครงการเลย้ี งลกู ด้วยนมแม่ เสนอต่อ สาธารณะสุขจงั หวดั 36. กล่าวในนามตัวแทนชุมชนแสดงความยนิ ดตี ้อนรบั ผู้ว่าราชการจงั หวดั ในการยา้ ยมาใหม่ 37. กล่าวในนามตวั แทนชมุ ชนแสดงความเสียใจในงานศพต่อญาติผูส้ ูญเสียบดิ า/มารดา 38. กล่าวในนามตัวแทนชุมชนแสดงจดุ ยนื ในการตอ่ ต้านการยบุ โรงเรียนขนาดเลก็ 39. กล่าวในนามชุมชนแสดงจุดยืนในการไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากผู้มีอิทธิพลฮุบท่ี สาธารณะประโยชน์ 40. กล่าวในนามตัวแทนชุมชนแสดงความยินดีท่ีหมู่บ้านได้รับรางวัลหมู่บ้านดีเด่นจาก กระทรวงมหาไทย 41. สถานการณส์ มมุติอืน่ ๆ เอกสารอ้างอิง เรอื งวิทย์ นนทภา.(2557). ศิลปะการพดู และการนาเสนอ. เอกสารประกอบการบรรยายวิชาวชิ าการ ถ่ายทอดความรู้ของวิทยากรหลักสูตรหลักการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการ ถา่ ยทอดความรูข้ องวิทยากร สถาบนั การเรียนรกู้ องทุนหมูบ่ ้านและชุมชนเมอื ง. สมพงษ์ บุญเลิศ.(2549).หลักการโฆษณา (Principle of Advertising) .เชียงใหม่: คณะวิทยาการ จัดการมหาวิทยาลยั ราชภัฎเชยี งใหม.่ หลกั สตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชน 177

ภาคผนวก ก สไลดร์ ายวชิ าในหลกั สตู ร

1. วิชาการบริหารจัดการสถาบันการเรยี นรู้ สถบ. ก-2 สำนกั งำนกองทุนหมู่บ้ำนและชมุ ชนเมอื งแหง่ ชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชมุ ชน ก-3

ก-4 สำนกั งำนกองทนุ หม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชมุ ชน ก-5

ก-6 สำนกั งำนกองทนุ หม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชมุ ชน ก-7

ก-8 สำนกั งำนกองทนุ หม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชมุ ชน ก-9

ก-10 สำนกั งำนกองทุนหม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

2. การพัฒนาตนเอง พฒั นาอาชีพ และพฒั นาชมุ ชน หลักสตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ้ำนและชมุ ชน ก-11

ก-12 สำนกั งำนกองทุนหม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ้ำนและชมุ ชน ก-13

ก-14 สำนกั งำนกองทุนหม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ

หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ้ำนและชมุ ชน ก-15