ใบงำนท่ี 5 เวลา นาที สื่อกำรเรียนกำรสอน จุดประสงค์ 1. เพ่ือให้กลมุ่ ได้ตระหนักในความสาคัญของส่ือ 2. เพอื่ ให้กลุม่ ได้วิเคราะห์แผนการเรยี นในการกาหนดและเลือกส่ือ รูปแบบ รา่ งแบบบนั ทกึ การสือ่ สารทางเดียวและสองทาง ภาพการสือ่ สารทางเดียว ภาพการสือ่ สารสองทาง หลกั สตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทุนหมบู่ ้ำนและชมุ ชน 43
ตำรำงวเิ ครำะห์ส่อื กำรเรยี น สื่อที่ใช้ จำนวน (ชอ่ื ส่อื ลักษณะของสอื่ ) จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ กจิ กรรมกำรเรยี น ขั้นนา ขนั้ สอน ขั้นสรปุ วัสดแุ ละอปุ กรณ์ 1. แบบฟอร์มบนั ทกึ การสอื่ สารทางเดยี วและสองทาง ขนั้ ตอน 1. ให้สมาชิกในกลุ่มเลือกตัวแทนออกมาทาหน้าที่สื่อสารกับสมาชิกในห้องอบรม โดย วิทยากรกาหนดกตกิ าใหส้ ือ่ สารรปู แรกแบบทางเดยี วและรปู ทส่ี องให้ ส่ือสารสองทาง 2. วทิ ยากรเฉลยภาพต้นฉบบั และถามสมาชกิ ผรู้ บั สารว่ามีใครเขียนถูกจานวนเทา่ ใด 3. วิทยากรเปรียบเทยี บใหเ้ หน็ ความแตกต่างการสอื่ สารแบบทางเดยี วและการสอ่ื สารสองทาง 4. แต่ละกลุ่มนาแผนการเรียนมาวิเคราะห์ เลือกส่ือและแนวทางการใช้ส่ือตามกิจกรรมการ เรียนรู้ 5. ท่ีประชมุ ชมฝกึ ออกแบบสอ่ื สไลดจ์ ากแผนการเรียน 6. แต่ละกลุ่มนาเสนอสือ่ สไลดจ์ ากแผนการเรียน ผลลัพธจ์ ากกิจกรรม 1. ได้รายการสื่อตามแผนการเรยี น 2. ได้วิธกี ารเตรยี มส่อื และแนวทางการใช้สอื่ ข้อแนะนา เน่ืองจากศักยภาพแต่ละกลุ่มหรือองค์กรแตกต่างกัน ดังนั้น ควรคานึงถึงความเหมาะสม ความเปน็ ไปได้ ในการเลือกและการใชส้ ือ่ 44 สำนักงำนกองทนุ หมบู่ ำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ
แบบประเมินผลงำนกำรปฏบิ ัตงิ ำนกลุม่ ชือ่ ชน้ิ งำน.................................................................รำยวิชำ........................................................ ผ้สู อนหรอื ผปู้ ระเมนิ บันทึกคะแนนทส่ี ังเกตไดจ้ ำกผลงำนในตำรำงตำมระดับคุณภำพ 4 ชอ่ ง ชื่อกลมุ่ ผลงำนควร ผลงำนพอใช้ ผลงำนปำนกลำง ผลงำนดี ปรบั ปรุง(1) (2) (3) (4) 1. 2. 3. 4. 5. รำยระเอยี ดกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน: หนว่ ยกำรเรยี นที่ 4 เร่ืองกำรสอนและกำรประเมนิ ผล ข้นั ตอน วธิ กี ำร 1. บอกจดุ ประสงค์ : ผูด้ าเนนิ การบอกจุดประสงค์ของ 1. อธบิ ายประกอบแผนภาพหรือสไลด์ กจิ กรรม 2. แบง่ กลมุ่ ตามผลงานที่จัดทาแผนการเรยี น และ 2.เข้ากล่มุ เดมิ ตามผลงานแผนการเรียน แตล่ ะกลุ่ม ปรับปรุงแผนการเรียน ร่วมกันศกึ ษาแผนการเรียนและช่วยกันปรับปรงุ ให้ สมบรู ณ์ 3. เตรียมการสอน แต่ละกลมุ่ จัดหาและเตรยี มสอื่ ท่ีจะ 3 สมาชกิ แต่ละกล่มุ ตีความในขั้นตอนการสอน จดั หา ใช้ในขั้นตอนการสอน พรอ้ มแบบประเมนิ ผลการ จดั ทาส่ือ เพอ่ื ใช้ในการสอน พร้อมกาหนดการ สอน ประเมนิ ผลการสอน ทาการซ้อมสอน 4. ทดลองสอน แต่ละกลุ่มส่งตวั แทนเปน็ ผู้สอนตาม 4. ตัวแทนกลมุ่ ออกมาทาการสอนตามแผนการจัดการ แผนการเรยี นและใหผ้ รู้ ่วมอบรมทาหนา้ ทเ่ี ปน็ เรยี นรู้แตล่ ะข้นั ตอน ต้ังแต่ข้ันนาด้วยการพดู จูงใจให้ ผเู้ รยี นและผูป้ ระเมนิ จนครบทุกกลมุ่ โดยให้จบั คู่ อยากเรียนรู้ พร้อมทบทวนความรู้เดมิ ข้นั การสอนหรอื ประเมินผลการสอน นาเสนอความร้ใู หมใ่ หเ้ ปน็ ทเี่ ขา้ ใจและเช่อื มโยงความรู้ เดิม เปดิ โอกาสให้มีการแลกเปลย่ี นความร้คู วามเข้าใจ กับสมาชิกร่วมกนั สรุปผลการเรียนรู้ และให้มีการปฏิบัติ หรอื แสดงผลงานจากการเรยี นกบั อภิปรายแนว ทางการประยกุ ต์ใช้ความรู้ทีเ่ รียน 5. ประเมนิ ผลการสอน แตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการ 5. กล่มุ ทเี่ ป็นค่ทู ดลองผลัดเปลยี่ นกนั ออกมาสะท้อนผล ประเมนิ การสอนกลุ่มทเ่ี ป็นคขู่ องกลุ่มตน การประเมนิ การสอน และวิทยากรใหข้ ้อสงั เกต 6. สรุปการสอนและการนาเสนอ 6. วิทยากรทาการอภปิ ราย และสรุปหลกั การ และ วธิ กี าร สอนทด่ี ีลงบนกระดาษปรูฟ๊ หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทนุ หมู่บ้ำนและชุมชน 45
สถานที่ : ห้องประชมุ ฝกึ อบรม วนั เวลา : ช่วงบ่ายวนั ที่ 3 ของการประชุม ใชเ้ วลา 3 ช่ัวโมง สอ่ื วสั ดุ อุปกรณ์ 1. สื่อ ไดแ้ ก่ แผนการเรยี น สอ่ื การเรยี น 2. วสั ดุ ได้แก่ กระดาษปรู๊ฟ ภาพ บัตรคา 3. อุปกรณ์ ไดแ้ ก่ เครอื่ งคอมพวิ เตอรโ์ น้ตบุ๊ก และเครือ่ งฉาย LCD 4. กลอ้ งถา่ ยภาพ 5. กล้องวดิ ีโอ ความคาดหวัง 1. ผู้ร่วมอบรมเรยี นรหู้ ลักการสอนหรอื นาเสนอ 2. ผรู้ ว่ มอบรมได้รบั ประสบการณ์จาลองในการสอน 3. เช่ือม่นั ในศกั ยภาพตนเอง และใส่ใจทีจ่ ะไปพัฒนาทักษะการสอนตอ่ การประเมนิ ผล 1. แบบประเมนิ ผลการสอน 2. การสงั เกตการร่วมกิจกรรม คาแนะนา 1. กรณีการสอนบางเร่อื งอาจจะนานกว่าการสอนความรู้ เชน่ การสอนทกั ษะปฏบิ ัติ วทิ ยากรควรแนะนาวิธีการสอนแบบสาธิต หรอื การให้เหน็ ของจริงอาจต้องใชแ้ หลง่ เรียนรู้ 2. วิทยากรแนะนาให้ผรู้ ว่ มอบรมนาทักษะการใช้สื่อมาประกอบการสอน 46 สำนักงำนกองทุนหม่บู ำ้ นและชมุ ชนเมืองแหง่ ชำติ
ใบงำนท่ี 6 เวลา นาที กำรสอนและกำรประเมนิ ผล จดุ ประสงค์ 1. เพอ่ื ให้สมาชิก ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมไดแ้ ปลงแผนการเรียนสกู่ ารสอน 2. เพอ่ื ฝกึ ทกั ษะการสอน รปู แบบหอ้ งเรียน ตารางวิเคราะหก์ ารสอน เนือ้ หา กิจกรรมการเรียน ส่อื การเรยี น การวดั ผล การสอน การสอน ประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วสั ดุและอปุ กรณ์ 1. ส่ือการเรียน 2. คอมพิวเตอร์และเครอื่ งฉาย ข้ันตอน 1. ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันวิเคราะห์แผนการเรียนและออกแบบการสอนหรือ การนาเสนอตาม จุดประสงคโ์ ดยระบวุ ธิ สี อน ขั้นตอน วิธีการตามตารางวิเคราะห์ 2. ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมาสอนหรือนาเสนอ สมาชิกผู้ร่วมประชุมและวิทยากรสะท้อนผล การสอนเพอื่ พัฒนาจากแบบประเมนิ ผลการสอน ผลลพั ธจ์ ากกจิ กรรม 1. เกิดทกั ษะการสอนหรือการนาเสนอ 2. เกดิ ความมน่ั ใจในการสอนหรือการนาเสนอ หลักสตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมบู่ ้ำนและชุมชน 47
ข้อแนะนา ทักษะการสอนหรือการนาเสนอส่ิงท่ีสามารถฝึกฝนได้ ดังน้ันบรรยากาศที่เป็นมิตร มีส่วนเสรมิ สรา้ งความมั่นใจแก่ผสู้ อนหรอื นกั จัดการเรยี นรไู้ ด้ แบบประเมินผลกำรสอน ชอื่ ผสู้ อน(นกั จดั การเรียนร)ู้ ........................................................สถาบนั การเรียนรู้…………………………… หน่วยการเรียนรู้ท.่ี .................................แผนการเรียนเร่ือง…………………………………………………………… ด้ำนท่ี พฤติกรรมกำรสอน ระดบั คุณภำพ ข้อสงั เกต 54321 1 การนาเข้าสู่บทเรียน 2 การดาเนนิ การสอน 3 การยกตวั อย่าง 4 การอธิบายและเลา่ เรือ่ ง 5 การใช้คาถาม 6 การใช้สอ่ื การสอน 7 การแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ 8 การเสรมิ สรา้ งบรรยากาศการเรยี น 9 การเสริมความสนใจและเสรมิ กาลงั ใจผู้เรียน 10 การสรุปบทเรียนและการประเมินผล 48 สำนกั งำนกองทนุ หม่บู ำ้ นและชุมชนเมอื งแหง่ ชำติ
แผนกำรเรียนที่ 4 วิชำกำรถำ่ ยทอดควำมรขู้ องวิทยำกร ชนั้ เรียนกองทนุ หมบู่ ้ำน…………………………………. เวลา 6 ช่วั โมง สำระสำคญั จุดประสงค์ เนื้อหำ กิจกรรมกำร สอื่ กำรสอน กำรวัดผล เรียนกำรสอน รายวิชาน้ี เพื่อให้ผเู้ รียนมี 1.คุณลักษณะ ขนั้ นำ 1.วดี ทิ ัศน์ สงั เกตจาก ผบู้ รหิ ารและ พฤตกิ รรม ของวิทยากร ปฐมนเิ ทศการ 2.สไลด์ ชน้ิ งานผลการ ผู้สอนหรอื ต่อไปนี้ 2.ศิลปะการพดู เรยี นรายวิชา 3.เอกสาร สนทนากลมุ่ วทิ ยากรตอ้ งมี 1.บอก 3.การนาเสนอ ด้วยสไลด์การ เนื้อหาวชิ าฯ และแบบ ความเข้าใจและ คุณลกั ษณะของ 4.การถา่ ยทอด สอนรายวชิ า ประเมนิ สามารถบอก วิทยากรได้ ความร้ขู อง ขนั้ สอน คณุ ลกั ษณะของ 2.สามารถพูด วทิ ยากร -ชมวดี ทิ ศั น์และ วิทยากรทดี่ ี ตามหลักศลิ ปะ บรรยายสรปุ พูดตามหลัก การพูดได้ สาระสาคัญด้วย ศิลปะการพูดได้ .3.สามารถ สไลด์ .จัดทาแผนการ จัดทาแผนการ -เข้ากล่มุ ฝกึ นาเสนอได้ นาเสนอได้ ปฏบิ ตั ติ าม ตลอดจน 4.สามารถ ใบงานรายวิชา ถา่ ยทอดความรู้ ถ่ายทอดความรู้ -นาเสนอผลการ ที่กาหนดได้ ทีก่ าหนดได้ สนทนากลุ่ม ได้ เพราะเปน็ ขนั้ สรุป รายวชิ าทเ่ี ป็น วิทยากรและ เครอ่ื งมอื สาคญั ผเู้ รยี นรว่ ม ของสถาบันการ อภปิ รายและ เรยี นรู้ฯ สรปุ ขนั้ วัดผล ประเมนิ จากผล การนาเสนอ ชน้ิ งานรายวชิ า หลักสูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชุมชน 49
รำยระเอยี ดกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน: วิชำกำรถำ่ ยทอดควำมร้ขู องวทิ ยำกร ขน้ั ตอน วธิ ีกำร 1. บอกจุดประสงค์ : ผ้ดู าเนนิ การบอกจุดประสงคข์ อง 1. อธบิ ายประกอบสไลด์ กิจกรรม 2.ชมวีดทิ ศั น์ศลิ ปะการพดู 2.ชมวีดทิ ศั น์เพื่อเรยี นรู้ศิลปะการพดู ทีด่ ี 3. อธบิ ายหลกั การและวิธีการวชิ าการถ่ายทอดความรู้ 3. วทิ ยากรใชส้ ไลดเ์ ปน็ สอื่ อธิบายการถา่ ยทอดความรู้ ของวิทยากร ของวทิ ยากร 4. มอบหมายภาระงานศลิ ปการพดู ให้สมาชิกทุกคน 4. สมาชกิ แตล่ ะคนเขียนบทพูด(script)ตามหลกั การ 5. แบง่ กลุม่ ปฏบิ ัติการจดั ทาแผนงานสถาบันการเรยี นรู้ 5. แบ่งกลุ่มตามทีมงานจากพ้ืนท่ี และมอบหมาย เพ่อื การนาเสนอ ใหจ้ ดั ทาแผนงานสถาบนั การเรยี นรเู้ พือ่ การนาเสนอ ตามโจทยท์ วี่ ทิ ยากรกาหนด 6. นาเสนอแผนงานตอ่ ที่ประชมุ 6. วทิ ยากรให้ตวั แทนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอ เพอื่ รับการอนมุ ัติ แผนงานเพื่อใหผ้ ู้อบรมมสี ่วนรว่ มในการใหค้ วามเห็น และพิจารณาอนมุ ัติ 7. สรุปหลกั การและวธิ ีการการถ่ายทอดความรู้ของ 7. วทิ ยากรเปดิ เวทีอภปิ รายเพอื่ ใหท้ ปี่ ระชมุ รว่ ม วิทยากร สรปุ หลกั การ สถานท่ี : ห้องฝึกอบรม วนั /เวลา : วันที่ 4ของการประชุม ใช้เวลาประมาณ 6 ช่ัวโมง ส่อื วสั ดุ อปุ กรณ์ 1. สื่อ ได้แก่ สไลด์ วดี ที ศั น์ 2. วัสดุ ไดแ้ ก่ กระดาษปรฟู๊ และปากกาสี 3. อุปกรณ์ ได้แก่ คอมพวิ เตอร์โน้ตบุก๊ และเครื่องฉาย LCD 4. กลอ้ งบันทกึ ภาพ 5. กล้องวิดีโอ ผลท่ีคาดหวงั 1. ผู้ร่วมอบรมเห็นความสาคัญของวชิ าการถา่ ยทอดความรขู้ องวิทยากร 2. ผู้ร่วมอบรมเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ฝึกปฏิบัติการการเตรียมการพูดและ การถ่ายทอดความร้ขู องวิทยากร 50 สำนักงำนกองทุนหม่บู ้ำนและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ
ใบงำนท่ี 7 กำรนำเสนอเพือ่ กำรถ่ำยทอดควำมรขู้ องวิทยำกร เวลา นาที จุดประสงค์ 1. เพื่อให้สมาชิก ผู้เข้ารว่ มประชุมไดร้ ับประสบการในการพดู การสอนหรือการนาเสนอ 2. เพ่อื ฝึกทักษะการสอนหรือการนาเสนอ รปู แบบหอ้ งเรียน ตารางวิเคราะห์การนาเสนอ เร่ือง............................................ จดุ ประสงคก์ าร เนือ้ หา กิจกรรมและ ส่อื การวดั ผล นาเสนอ ขนั้ ตอนการนาเสนอ ประเมินผล วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ 1. สือ่ การเรียน 2. คอมพิวเตอร์และเครอ่ื งฉาย ขน้ั ตอน 1. ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันวิเคราะห์แผนการนาเสนอและออกแบบแผนงานเพื่อนาเสนอ การนาเสนอตามจดุ ประสงคต์ ามเนอื้ หา ข้นั ตอน/วิธีการตามตารางวเิ คราะห์ 2. ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอ สมาชิกผู้ร่วมประชุมและวิทยากรสะท้อนผล การนาเสนอเพือ่ พัฒนาจากแบบประเมนิ ผลการนาเสนอ ผลลพั ธ์จากกิจกรรม 1. เกดิ ทกั ษะการการนาเสนอ 2. เกิดความมัน่ ใจในการนาเสนอ หลักสูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ้ำนและชมุ ชน 51
ขอ้ แนะนา ทักษะการสอนหรือการนาเสนอสิ่งท่ีสามารถฝึกฝนได้ ดังน้ันบรรยากาศที่เป็นมิต ร มีสว่ นเสริมสรา้ งความมน่ั ใจแก่ผูส้ อนหรอื นกั จัดการเรียนรูไ้ ด้ แบบประเมินผลกำรนำเสนอ ช่ือผสู้ อน(นกั จดั การเรียนร)ู้ .....................................................สถาบนั การเรยี นรู้……………………………… หน่วยที่..................................แผนการนาเสนอเรื่อง…………………………………………………………………….. ด้ำนท่ี พฤติกรรมกำรสอน ระดับคณุ ภำพ ข้อสงั เกต 54321 1 การนาเข้าสเู่ รื่องทีน่ าเสนอ 2 การดาเนนิ การนาเสนอ 3 การยกตัวอย่าง 4 การอธิบายและเล่าเรอ่ื ง 5 การใช้คาถาม 6 การใชส้ ื่อ 7 การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 8 การเสริมสร้างบรรยากาศ 9 การเสริมความสนใจและเสริมกาลงั ใจผู้ฟงั 10 การสรปุ 52 สำนักงำนกองทนุ หมูบ่ ำ้ นและชุมชนเมืองแห่งชำติ
ส่วนท่ี 2 เนอ้ื หาวชิ าการบริหารจัดการ แนวคิดและหลักการการบริหารจัดการสถาบันการเรยี นรฯู้ การกระจายอานาจหน้าที่ในการจัดการเรียนรู้ของสานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ให้กับสถาบันการเรียนรู้ฯในพื้นท่ี จาเป็นอย่างย่ิงที่องค์กรที่จะจัดตั้งขึ้น สามารถดาเนินงานบรรลุ เป้าหมายและวัตถุประสงค์ควรจะมีแนวคิดและหลักการในการบริหารจัดการ ในประเด็นสาคัญ ตอ่ ไปนี้ 1. องค์การสถาบันการเรียนรู้ องค์การ (Organization) คือโครงสร้างท่ีได้จัดต้งั ข้ึนตามกระบวนการ โดยมีการจัดบุคคล ให้เข้ามาทางานร่วมกันในฝ่ายตา่ งๆ เพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ โดยท่ัวไป องค์การจะ มีองค์ประกอบหรือโครงสร้างที่สาคัญ ได้แก่ การกาหนดทิศทาง การจัดรูปองค์การ การบริหาร ทรัพยากรในองค์การ การพัฒนาองค์การ และการสร้างความสมั พนั ธ์ กับองค์การอน่ื 1.1 การกาหนดทิศทางองคก์ าร อ ง ค์ ก า ร ทุ ก อ ง ค์ ก า ร จ ะ มี ก า ร ก า ห น ด ทิ ศ ท า ง ห รื อ ภ า ร ห น้ า ที่ ท่ี มี ต่ อ สั ง ค ม การดาเนินงานจะไปถึงทิศทางที่กาหนดไว้ไดห้ รือไม่ ส่วนหน่ึงขึ้นอยู่กับการกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และผลลัพธ์ ท่ีต้องการไว้อย่างชัดเจน ทาให้คนในองค์การรับรู้ร่วมกัน และเกิดความผูกพันกับสิ่งท่ี กาหนดไว้ และมสี าระสาคัญคอื 1.1.1 การกาหนดวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ (Vision) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจินตนาการ สภาพท่ีพึงปรารถนาในอนาคตขององค์การที่มีความเป็นไปได้ วิสัยทัศน์ท่ีดีจะเป็นทั้งอุดมคติ (Ideal) และเป็นสิ่งที่ดีเลิศ (Unique) ถ้าวิสัยทัศน์เป็นอุดมคติจะแสดงให้ทราบถึงมาตรฐานที่ท้าทาย และ ทางเลือกท่ีชัดเจนของค่านิยมเชิงบวก (Positive Values) ถ้าวิสัยทัศน์เป็นสิ่งท่ีดีเลิศด้วย จะแสดง และดลบันดาลใจ (Inspire) ให้เกิดความภาคภูมิใจในสภาพองค์การที่จะเป็นไป ในอนาคตที่แตกต่าง จากองค์การอ่ืน ในการเขียนวิสัยทัศน์นั้นภาษาท่ีใช้เป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญ คาท่ีเขียนต้องผสมผสาน ระหว่าง สิ่งท่เี ปน็ ไปไดจ้ รงิ และส่งิ ทส่ี รา้ งสรรค์ สามารถปฏบิ ัตไิ ด้ แสดงความมงุ ม่นั และความเช่ือมั่นว่า วิสัยทัศน์จะสาเร็จได้ 1.1.2 การกาหนดพันธกิจ พันธกิจ (Mission) คือ ขอบเขตของงานท่ีสอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ และอยู่ในขอบเขตภารกิจขององค์การ พันธกิจเป็นส่ิงท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้ ท้ังในเชิง ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ 54 สำนกั งำนกองทนุ หมูบ่ ้ำนและชุมชนเมอื งแหง่ ชำติ
1.1.3 การกาหนดผลลัพธ์ท่ีต้องการ ในขณะท่ีวิสัยทัศน์ขององค์การแสดงให้เห็นถึง ภาพ ขององค์การท่ีมลี กั ษณะค่อนขา้ งจะเป็นนามธรรม พนั ธกิจมีลักษณะเป็นขอบเขตของภารกิจที่จะ ทาส่วนผลลัพธ์ (Outcomes) เป็นสิ่งที่ชี้วัดผลสาเร็จของการดาเนินการตามภารกิจหรือพันธกิจท่ี กาหนดไว้ ผลลัพธ์ส่วนมากจะเขียนในลักษณะที่กว้างไปสู่แคบหรือเฉพาะเจาะจงโดยเรียงลาดับจาก เปา้ ประสงค์ (Goal) ไปวัตถปุ ระสงค์ (Objective) และเปา้ หมาย (Target) ทั้งวิสัยทัศน์ พันธกิจ และการกาหนดผลลัพธ์ที่ต้องการ องค์การจะต้องนาเสนอเนื้อหา สาระที่สอดคล้องสัมพันธ์กันตามลาดับ โดยเริ่มจากวิสัยทัศน์ลงมาสู่พันธกิจ และแปลงพันธกิจ เป็น ผลลพั ธ์ทตี่ ้องการ ซ่ึงจะทาใหม้ ีทิศทางท่ีชดั เจนและเปน็ หลกั ในการดาเนินงาน 2. โครงสร้างองคก์ าร โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) เป็นระบบที่เป็นทางการขององค์การ ซ่ึง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกฎ ระเบียบ งานและอานาจ เพื่อท่ีจะควบคุมบุคคลในองค์การให้ทางาน ร่วมกัน และมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยทั่วไปโครงสร้างองค์การสามารถ นาเสนอในรูปของแผนภูมิองค์การ (Organization Chart : OC) ซึ่งแสดงให้เน้นถึงความสัมพันธ์ของ อานาจหน้าที่ (Authority) และความรับผิดชอบ (Responsibility) ระหว่างตาแหน่งงานต่างๆ ใน องค์การ คือ แสดงให้เห็นวา่ ใครจะต้องทางานอะไรและรายงานใคร หรือใครดแู ลใครนนั่ เอง แนวคิดที่ สาคัญของโครงสร้างองค์การ สามารถสรุปได้ ดงั นี้ 2.1 หลกั การจัดโครงสร้างของสถาบนั การเรยี นรู้ การจัดโครงสรา้ งของสถาบันการเรยี นรอู้ าจยึดหลักของการจดั โครงสร้างสถานศกึ ษา คือ 1. แบง่ งานตามภารกิจ (กลมุ่ ผสู้ อน กลมุ่ ผู้บรหิ าร กลุ่มสนบั สนนุ ) 2. จดั คนใหเ้ หมาะสมกับงาน (ผสู้ อน บคุ ลากรฝ่ายบริหารและสนบั สนุน) 3. เน้นการบริหารแบบมีส่วนร่วม (ระดับบน คือ คณะกรรมการสถาบันการเรียนรู้ ระดับลา่ ง คือ คณะกรรมการในโรงเรียน อนุกรรมตา่ งๆ คณะทางาน และอน่ื ๆ) 4. การกระจายอานาจ (วชิ าการ งบประมาณ บุคคล และการบรหิ ารทวั่ ไป) 5. เน้นหลักประสทิ ธิผล-ประสิทธภิ าพ 6. การสง่ เสรมิ ความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์และนวตั กรรม 7. ใหม้ กี ารยดื หย่นุ ปรับตวั ได้ดี 8. เออ้ื ตอ่ การทางานส่งและสง่ เสรมิ การพฒั นาบุคลากรตามสายงาน 9. เนน้ ระบบที่ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดความร่วมมอื ในการปฏบิ ัตงิ าน 10. สง่ เสรมิ การพัฒนากลยทุ ธก์ ารทางาน หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทุนหมู่บำ้ นและชุมชน 55
ดังตวั อยา่ งโครงสรา้ งขา้ งล่างตามกรอบงานสถานศึกษา ฝ่ายบรหิ าร งานบรหิ าร สถาบันการเรยี นรู้ งบประมาณ คณะกรรมการ สถาบนั การเรยี นรู้ งานบริหารทวั่ ไป งานบริหารวิชาการ งานบริหารบคุ คล ภาพแสดงการจดั โครงสรา้ งสถานศกึ ษาตามกรอบงาน 3. บทบาทหนา้ ที่สาคัญของสถาบนั การเรยี นร้ฯู 3.1 บทบาทของสถาบันการเรยี นรูฯ้ สถาบันการเรียนรฯู้ ควรจะมบี ทบาทหน้าท่ี ดังนี้ 3.1.1 การกาหนดเป้าหมายและทิศทางในการจัดการเรียนรู้ของสถาบันฯ สถาบัน การเรียนรู้ควรจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปความต้องการของชุมชน บุคลากรในสถาบันการเรียนรู้และ ชมุ ชน ต้องร่วมมือกันกาหนดเป้าหมายและทศิ ทางในการจดั การเรียนรู้ของสถาบนั การเรียนรู้ กาหนด คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน โดยร่วมกันวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของชุมชนและ สภาพแวดล้อมในอนาคต พร้อมท้ังร่วมกนั กาหนดวิสยั ทัศนแ์ ละพนั ธกจิ ของสถาบันการเรยี นรู้ 3.1.2 การจัดทาหลักสูตรสถาบันการเรียนรู้ สถาบันการเรียนรู้มีอิสระที่จะกาหนด หลักสูตรการเรียนการสอน ให้เป็นไปตามความต้องการของชุมชนท้องถ่ิน โดยจะต้องดาเนินการ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนของตนเองทั้งหมด ดังน้ันหลักสูตรสถาบันการเรียนรู้ นี้จึงแตกต่าง กันไปตามความพรอ้ มของชุมชนท้องถิ่นทแ่ี ตล่ ะสถาบนั การเรียนรูข้ องแตล่ ะกองทนุ ฯ 3.1.3 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สถาบันการเรียนรู้มีอิสระที่จะจัดแผนการ เรียน กิจกรรมการเรียนการสอน จัดทาส่ืออุปกรณ์และแหล่งการเรียนรู้ของตน ที่สามารถส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้อย่างเต็มตามศักยภาพของแต่ละคน ดังนั้น การร่วมกันกาหนดแนวทางการจัด กิจกรรมการสอนของสถาบันการเรียนรู้ ร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ผู้สอนและชุมชนจึงเป็นสิ่งจาเป็น เพราะจะสามารถประสานงาน ระดมความร่วมมือ และระดมทรัพยากรการเรียนรู้ในท้องถ่ินเข้ามาจัด การศึกษาได้ 56 สำนกั งำนกองทุนหมบู่ ำ้ นและชุมชนเมอื งแห่งชำติ
3.1.4 การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลเป็นอานาจหน้าท่ีของสถาบัน การเรยี นรู้ สถาบันการเรียนรูต้ อ้ งพฒั นาเทคนคิ วธิ ีการวดั ผล ท่สี ่งเสริมพฒั นาการของผู้เรยี น 3.1.5 การจัดการทรัพยากรทางการบริหาร สถาบันการเรียนรู้มีความเป็นอิสระใน การบริหารบุคลากร การเงินและวสั ดุอปุ กรณ์ ดังนั้น สถาบันการเรียนรู้จะตอ้ งจัดระบบการบริหารทม่ี ี คุณภาพตั้งแต่การวางแผน การจัดองค์การ การบริหารบุคคล การส่ังการ การนิเทศติดตามผล และ รายงานผลการดาเนนิ งาน ดงั นี้ 1) การวางแผน สถาบันการเรียนรู้ต้องสร้างระบบการวางแผนงานที่สามารถ วิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของชุมชนท้องถิ่น กาหนดเป็นแผนงานของสถาบันการเรียนรู้ซ่ึง สามารถนาไปสกู่ ารปฏบิ ัติและตดิ ตามผลได้ 2) การจัดองค์การของสถาบันการเรียนรู้ เป็นการจัดโครงสร้างภารกิจของงานให้ ประสานกัน เพอ่ื การดาเนนิ งานบรรลุเปา้ หมายได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 3) การบริหารบุคลากร เป็นการจัดบุคคลเข้าทางานได้เหมาะสมกับภารกิจ มีการ พฒั นาบุคลากรอย่างต่อเน่อื ง 4) การสั่งการ เป็นระบบการตัดสินใจดาเนินการ และต้องแจ้งผลการตัดสินใจ ให้กับบุคลากรในองค์การได้เข้าใจ สามารถดาเนินการได้ สถาบันการเรียนรู้ต้องพัฒนาระบบการ ตดั สินใจ การสือ่ สารขอ้ มลู ทมี่ ีประสิทธภิ าพ 5) การนเิ ทศติดตาม เปน็ ระบบการเข้าไปชว่ ยเหลอื แนะนาใหผ้ ู้สอนและบุคคลากร ได้พัฒนางานให้บรรลุเปา้ หมายตามศกั ยภาพของแตล่ ะบคุ คล 6) การรายงานผล เป็นการรายงานผลการดาเนินงานท่ไี ดป้ ฏบิ ตั ิตามแผนและนอก แผน เพือ่ ใชเ้ ป็นข้อมลู ในการแกไ้ ขปรับปรงุ และวางแผนการดาเนินงานต่อไป 3.2 บทบาทของผบู้ รหิ ารสถาบันการเรียนรู้ บทบาทของผู้บริหารสถาบันการเรียนรู้ ในการบริหารงานทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการ บริหารวิชาการ บทบาทด้านบริหารงานบุคคล บทบาทด้านการบริหารงบประมาณ และบทบาทด้าน การบรหิ ารท่ัวไป โดยแตล่ ะด้านจะประกอบด้วยบทบาทสาคัญหลายประการ ดังนี้ 3.2.1 การบรหิ ารวชิ าการ งานวิชาการเป็นงานหลักหรือเป็นภารกิจหลักของสถาบันการเรียนรู้ ด้วย เจตนารมณ์ท่ีจะให้สถาบันการเรียนรู้ ดาเนินการได้โดยอิสระ คล่องตัว รวดเร็ว สอดคล้องกับความ ต้องการของผู้เรียน สถาบันการเรียนรู้ ชุมชน ทองถ่ิน และการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุก ฝ่าย ซ่ึงจะเป็นปัจจัยสาคัญทาให้สถาบันการเรียนรู้ มีความเข้มแข็งในการบริหารและการจัดการ สามารถพฒั นาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนการวัดผล ประเมินผล รวมท้ังการจัดปัจจัย เกอื้ หนุนการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รยี น ชุมชน ทอ้ งถ่นิ ได้อย่างมคี ุณภาพและมปี ระสิทธิภาพ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทุนหมู่บ้ำนและชุมชน 57
1) วตั ถปุ ระสงค์ (1) เพ่ือให้สถาบันการเรียนรู้ บริหารงานด้านวิชาการได้โดยอิสระคล่องตัว รวดเร็ว และสอดคล้องกบั ความตอ้ งการของผ้เู รยี น สถาบนั การเรยี นรู้ ชุมชน และท้องถนิ่ (2) เพื่อให้การบรหิ ารและการจัดการศึกษาของสถาบันการเรียนรู้ ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพสอดคล้องกับระบบประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนาตนเอง และการประเมิน คุณภาพจากหน่วยงานภายนอก (3) เพ่อื ให้สถาบนั การเรียนรู้ พฒั นาหลกั สูตรและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจน จัดปัจจัยเก้ือหนุนการพัฒนาการเรียนรู้ที่สนองตามความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และท้องถ่ิน โดย ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ ไดอ้ ย่างมคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ (4) เพื่อให้สถาบันการเรียนรู้ ได้ประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษาและของบุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันอื่นๆ อย่าง กว้างขวาง 2) มขี อบข่ายภารกิจ ดังนี้ (1) การพัฒนาหลกั สตู รสถาบนั การเรียนรู้ (2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (3) การวัดผล ประเมนิ ผล และเทียบโอนผลการเรียน(หากสามารถกระทาได)้ (4) การพฒั นาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยเี พือ่ การศึกษา (5) การพฒั นาแหลง่ เรยี นรู้ (6) การส่งเสรมิ ความรดู้ ้านวชิ าการแก่ชมุ ชน (7) การประสานความร่วมมอื ในการพฒั นาวชิ าการกับสถานศึกษาอ่ืน (8) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์การ หนว่ ยงาน และสถาบันอน่ื ทจี่ ัดการศกึ ษา การบริหารงานวชิ าการทัง้ 8 ประการมแี นวทางปฏิบตั ิดังต่อไปนี้ 1. การพัฒนาหลักสูตรสถาบันการเรียนรู้ มแี นวทางปฏิบตั กิ าหนดไว้ดังน้ี 1.1 ศึกษาและถอดบทเรียนความรู้เก่ียวกับสภาพปัญหาและความต้องการของสงั คม ชุมชน และท้องถิ่นเพ่ือจัดการเรยี นรู้ 1.2 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและประเมินสถานภาพสถาบันการเรียนรู้ฯ เพื่อกาหนด วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายรวมท้ัง คณะกรรมการสถาบนั การเรียนรฯู้ 1.3 จดั ทาโครงสรา้ งหลักสูตรและสาระต่างๆ ที่กาหนด ใหม้ ใี นหลกั สตู รสถาบนั การเรียนรู้ฯ ท่ีสอดคล้องกับวสิ ัยทัศน์ เป้าหมายและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยพยายามบูรณาการเน้ือหาสาระ ตามความเหมาะสม 1.4 นาหลักสูตรไปใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน และบรหิ ารจดั การใช้หลักสูตรใหเ้ หมาะสม 58 สำนักงำนกองทุนหม่บู ้ำนและชมุ ชนเมอื งแหง่ ชำติ
1.5 นิเทศการใช้หลกั สูตร 1.6 ตดิ ตามและประเมนิ ผลการใชห้ ลกั สูตร 1.7 ปรับปรุงและพฒั นาหลกั สูตรตามความเหมาะสม 2. การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ มีแนวทางปฏบิ ตั ิกาหนดไว้ดงั น้ี 2.1 ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้โดยเน้น ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ 2.2 ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การ ประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงและการปฏิบัติจริง การผสมผสานความรู้ต่างๆ ให้สมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมท่ีดีงามและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท่ี สอดคล้องกับเน้ือหาสาระ กิจกรรม ท้ังน้ีโดยจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ให้เอื้อต่อการ จัดกระบวนการเรียนรู้ และการนาภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือเครือข่าย ชุมชน ท้องถิ่นมามีส่วนร่วมในการ จดั การเรยี นการสอนตามความเหมาะสม 2.3 จดั ให้มกี ารนเิ ทศการเรียนการสอนแกผ่ ้สู อนในกลุม่ เนื้อหาสาระต่างๆ โดยเน้นการนิเทศท่ี ร่วมมอื ช่วยเหลอื กนั แบบกัลยาณมติ ร เช่น นิเทศแบบเพื่อนช่วยเพอ่ื น 2.4 ส่งเสริมให้มีการพฒั นาผู้สอนเพอื่ พัฒนากระบวนการเรียนรูต้ ามความเหมาะสม 3. การวัดผลประเมนิ ผล มแี นวทางปฏบิ ตั ิกาหนดไว้ดงั น้ี 3.1 กาหนดระเบียบ แนวปฏิบัติเกีย่ วกบั การวัดผลและประเมินผลของสบันการเรยี นรู้ฯ 3.2 ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดทาแผนการวัดผลและประเมินผลแต่ละรายวิชาให้สอดคล้องกับ หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ และการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 3.3 ส่งเสริมให้ผู้สอนดาเนินการวัดผลและประเมินผลการเรียนการสอน โดยเน้นการ ประเมินตามสภาพจริงจากกระบวนการการปฏบิ ตั ิ และผลงาน 3.4 พฒั นาเครื่องมือวดั และประเมินผลใหไ้ ด้มาตรฐาน 4. การพฒั นาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษา มีแนวทางปฏบิ ัติกาหนดไว้ดงั นี้ 4.1 ศึกษา วิเคราะห์ ความจาเป็นในการใช้ส่ือและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนการสอน และการบริหารงานวชิ าการ 4.2 ส่งเสรมิ ให้ผู้สอนผลติ พัฒนาส่อื และนวัตกรรมการเรยี นการสอน 4.3 จัดหาสื่อและเทคโนโลยีเพอ่ื ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนและการพฒั นางานดา้ นวชิ าการ 4.4 ประสานความร่วมมือในการผลิต จัดหา พัฒนาและการใช้ส่ือนวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษา บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงานและสถาบันอื่น 4.5 การประเมนิ ผลการพฒั นาการใชส้ ่อื นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา หลักสูตรกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทุนหมบู่ ้ำนและชมุ ชน 59
5. การพัฒนาแหล่งการเรยี นรู้ มีแนวทางปฏบิ ัติกาหนดไว้ดังน้ี 5.1 สารวจแหล่งการเรียนรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ท้ังในสถาบันการ เรียนรชู้ มุ ชน ทอ้ งถนิ่ 5.2 จัดทาเอกสารเผยแพร่แหล่งการเรียนรู้แก่ผู้สอน สถานศึกษาอ่ืน บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอ่ืนท่จี ดั การศกึ ษาในบรเิ วณใกล้เคยี ง 5.3 จัดต้ังและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้รวมท้ังพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ และประสานความ ร่วมมือสถานศึกษาอน่ื บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบนั สังคมอ่ืนท่ีจัดการศึกษาในการ จัดตั้ง ส่งเสริม พฒั นาแหล่งเรยี นรูท้ ใี่ ช้ร่วมกนั 5.4 ส่งเสรมิ สนบั สนุนใหผ้ สู้ อนใชแ้ หล่งการเรยี นรทู้ ั้งในและนอกสถาบันการเรียนรู้ฯในการ จดั กระบวนการเรยี นรู้โดยครอบคลมุ ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ 6. การสง่ เสริมความรู้ทางวชิ าการแก่ชมุ ชน มแี นวทางปฏบิ ัติกาหนดไวด้ ังน้ี 6.1 การศึกษา สารวจความตอ้ งการ สนับสนนุ งานวิชาการแกช่ ุมชน 6.2 จัดให้ความรู้ เสริมสร้างความคิดและเทคนิค ทักษะทางวิชาการ เพื่อการพัฒนาทักษะ วิชาชีพและคุณภาพชีวติ ของประชาชนในชมุ ชน ทอ้ งถิ่น 6.3 การส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการของ สถานศกึ ษา และทจ่ี ดั โดยบคุ คล ครอบครวั องคก์ ร หน่วยงาน และสถาบนั อืน่ ท่ีจัดการศึกษา 6.4 ส่งเสริมใหม้ ีการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ประสบการณ์ระหวา่ งบคุ คล ครอบครวั ชมุ ชน ท้องถิ่น 7. การประสานความร่วมมอื ในการพัฒนาวชิ าการกับสถานศึกษาและองคก์ รอน่ื มแี นวทาง ปฏิบตั กิ าหนดไวด้ ังนี้ 7.1 ประสานความร่วมมือ ช่วยเหลือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาของรัฐเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ทัง้ ทีจ่ ัดการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานและระดบั อุดมศึกษา 7.2 สร้างเครอื ขา่ ยความรว่ มมือในการพัฒนาวชิ าการกบั องค์กรตา่ งๆ 8. การส่งเสรมิ และสนับสนุนงานวชิ าการแกบ่ ุคคล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน และสถาบนั อ่ืนท่จี ัดการศกึ ษา มีแนวทางปฏิบัตกิ าหนดไวด้ งั นี้ 8.1 สารวจและศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษา รวมท้ังความต้องการในการได้รับการสนับสนุน ด้านวิชาการของบคุ คล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน และสถาบนั สงั คมอื่นท่ีจดั การศกึ ษา 8.2 ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาวิชาการและการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ในการจัด การศกึ ษาของบคุ คล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงาน และสถาบันสงั คมอื่นท่ีจัดการศกึ ษา 8.3 จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน และสถาบันสังคมอนื่ ทจี่ ัดการศึกษา สรุป การบริหารงานวิชาการนั้นว่าเป็นหัวใจสาคัญในการจัดการศึกษา ผู้บริหารจะต้องใช้ ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารงานเน่ืองจาก การบริหารงานวิชาการเป็นกระบวนการดาเนินงาน 60 สำนักงำนกองทนุ หม่บู ำ้ นและชุมชนเมอื งแห่งชำติ
เกี่ยวกับหลักสูตรและการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามที่กาหนดไว้ในจุดมุ่งหมาย ของ หลักสูตร 3.2.2 การบริหารงานงบประมาณ การบรหิ ารงบประมาณของสถาบนั การเรียนรู้ มงุ่ เน้นความเปน็ อสิ ระในการ บริหารจดั การ มคี วามคลอ่ งตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยดึ หลักการบรหิ ารมุ่งเน้นผลสมั ฤทธิใ์ นการ บริหารงบประมาณ 1) วตั ถปุ ระสงค์ (1) เพ่ือให้สถาบันการเรียนรู้ บริหารงานด้านงบประมาณอย่างเป็นอิสระ คล่องตวั โปร่งใส ตรวจสอบได้ (2) เพ่อื ให้ได้ผลผลติ ผลลพั ธเ์ ป็นไปตามข้อตกลงการให้บรกิ าร (3) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่ได้อย่างเพียงพอและมี ประสิทธิภาพ 2) บทบาทด้านการบริหารงบประมาณ ประกอบดว้ ย 7 บทบาทหลกั คือ (1) การจดั ทาและเสนอของบประมาณ (2) การจดั สรรงบประมาณ (3) การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้เงินและ ผลการ ดาเนินงาน (4) การระดมทรัพยากรและการลงทนุ เพอ่ื การจัดการเรยี นรู้ (5) การบรหิ ารการเงิน (6) การบริหารบัญชี (7) การบรหิ ารพสั ดแุ ละสินทรพั ย์ 3.2.3 บทบาทด้านการบรหิ ารงานบุคคล การบริหารงานบุคคลในสถาบันการเรียนรู้ เป็นภารกิจสาคัญที่มุ่งส่งเสริมให้ สถาบันการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติงาน เพ่ือดาเนินการด้านการบริหารงานบุคคลให้เกิดความคล่องตัว มอี ิสระภายใต้กฎหมายระเบียบ เปน็ ไปตามหลักธรรมาภบิ าล บุคลากรทางการศึกษา ได้รบั การพัฒนา มคี วามรู้ ความสามารถ มขี วญั กาลงั ใจ 1) วัตถปุ ระสงค์ (1) เพอ่ื ให้การดาเนินงานดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คลถูกต้อง รวดเรว็ เปน็ ไปตาม หลักธรรมาภิบาล (2) เพื่อส่งเสริมบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และมีจิตสานึกในการ ปฏิบัตภิ ารกจิ ท่ีรบั ผดิ ชอบให้เกดิ ผลสาเร็จ ตามหลกั การแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (3) เพ่ือส่งเสริมให้ผู้สอนและบุคลากร ปฏิบัติงานเต็มตามศักยภาพโดยยึดมั่น ในระเบียบวนิ ัย และจรรยาบรรณ หลักสตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทุนหมู่บ้ำนและชุมชน 61
(4) เพ่ือให้ผู้สอนและบุคลากร ท่ีปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานได้รับการยกย่อง เชิดชูเกียรติ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนเป็น สาคญั ประกอบด้วย 8 บทบาทหลัก คือ การกาหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล การวางแผน บุคลากร การแสวงหาบุคลากร การจัดบุคลากรเข้าทางาน การธารงรักษาบุคลากร การพัฒนา บุคลากร การนิเทศตดิ ตามการทางานของบคุ ลากรและการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากร 3.2.4 การบริหารทั่วไป การบริหารท่ัวไปเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบบริหารองค์การ ให้บริการ บริหารงานอ่ืนๆ บรรลุผลตามมาตรฐาน คุณภาพและเป้าหมายที่กาหนดไว้ โดยมีบทบาทหลักในการ ประสานส่งเสริมสนับสนุนและการอานวยการ ความสะดวกต่างๆ ในการให้บริการการศึกษาทุก รูปแบบ มุง่ พัฒนาสถานศึกษาใหใ้ ช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ส่งเสริมในการบรหิ ารและ การจัดการศึกษาของสถาบันการเรียนรู้ ตามหลักการบริหารงานท่ีมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก โดยเน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของบุคคล ชุมชน และ องค์กรที่เก่ยี วข้อง เพือ่ ให้การจดั การศึกษามปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผล 1) วัตถุประสงค์ (1) เพื่อให้บริการ สนับสนุน ส่งเสริม ประสานงานและอานวยการ ให้การ ปฏบิ ตั งิ านของสถาบันการเรยี นรเู้ ปน็ ไปดว้ ยความเรยี บร้อย มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล (2) เพ่ือประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผลงานของสถาบันการเรียนรู้ ต่อสาธารณชนจะก่อให้เกดิ ความรู้ ความเข้าใจ เจตคตทิ ี่ดี เลอื่ มใส ศรทั ธาและใหก้ ารสนบั สนนุ การจัด การศึกษา 2) มีขอบขา่ ยภารกจิ ดังนี้ (1) การดาเนนิ งานธรุ การ (2) งานเลขานกุ ารคณะกรรมการสถาบันการเรียนรู้ (3) งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (4) การจดั ระบบการบริหารและพฒั นาองค์กร (5) การสง่ เสริมสนบั สนุนด้านวิชาการ งบประมาณ บคุ ลากร บรหิ ารทั่วไป (6) การดแู ลอาคารสถานท่ีและสภาพแวดล้อม 3.3 บทบาทของผสู้ อนและชุมชน การกระจายอานาจการจัดการเรียนรสู้ ู่ท้องถน่ิ ตามแนวคิดและนโยบายของสานกั งาน กองทุนหมบู่ ้านและชุมชนเมอื งในรูปสถาบันการเรียนรู้ มีผลใหผ้ ู้สอนในฐานะทีเ่ ป็นผูจ้ ดั กจิ กรรมการ เรยี นการสอนในสถาบันการเรียนรู้ และมผี ลตอ่ ชมุ ชนที่ตอ้ งเข้ามามบี ทบาทเกย่ี วข้อง และมีสว่ นรว่ ม ในการจดั การเรียนรู้มากขึน้ 62 สำนักงำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชุมชนเมืองแหง่ ชำติ
3.3.1 บทบาทของผู้สอน ผสู้ อนมบี ทบาทในการจัดการเรยี นรู้ ดงั น้ี 1) บทบาทในการพัฒนาหลกั สตู รการเรียนการสอน 2) บทบาทในการจดั หาแหล่งการเรยี นร้ทู ี่หลากหลาย โดยดาเนินการดงั น้ี (1) จัดรวบรวมแหล่งการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และ วาง แผนการใชแ้ หล่งการเรียนร้เู พอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรูใ้ หก้ บั ผ้เู รยี น (2) จัดทาเอกสารบทเรยี นและสอื่ ประกอบการเรียนการสอน 3) ประสานความรว่ มมือระหวา่ งชมุ ชนและทอ้ งถน่ิ ให้เข้ามาช่วยในการจัดการเรยี นรู้ 3.3.2 บทบาทของชมุ ชน ชุมชนมบี ทบาทในการจดั การศกึ ษา ดงั น้ี 1) กาหนดความต้องการในการจัดการศึกษาให้กับสถาบันการเรียนรู้ โดยเข้าไปมี ส่วนร่วมในการกาหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดการศึกษาและจัดทาแผนพัฒนาสถาบัน การเรียนรู้ 2) เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารการศึกษา โดยเข้าไปเป็นคณะกรรมการสถาบัน การเรยี นรู้ 3) ส่งเสริม สนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้ความร่วมมือในการจัด กระบวนการเรียนรู้ร่วมกับสถาบันการเรียนรู้อาทิ เป็นวิทยากร เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์ ตลอดจน สนบั สนนุ ทางดา้ นการเงิน กาลงั คน และวัสดุอุปกรณ์ 4) ตรวจสอบผลดาเนินการจัดการศึกษา โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการประเมินผล และตดิ ตามผลการดาเนินงานของสถาบันการเรยี นรู้ หลกั สูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมูบ่ ้ำนและชมุ ชน 63
แผนและโครงการของสถาบันการเรยี นรู้ 1. ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั แผนยุทธศาสตร์ แผนและโครงการของสถาบนั การเรยี นรู้ควรเปน็ แผนยทุ ธศาสตร์เพราะเป็นองคก์ รท่ีจัดตั้ง ขึ้นเพ่ือสนองตอบนโยบายการพัฒนาประเทศในภาคเศรษฐกิจชุมชนซ่ึงเป็นภารกิจของรัฐบาลในการ ขบั เคลือ่ นการพฒั นาภาคประชาชน แผนยุทธศาสตร์หมายถึง แนวทางในการบรรลุจุดหมายของหน่วยงาน ดังนั้นจุดหมายจึง เป็นสิ่งท่ีสาคัญย่ิงท่ีผู้จัดทาจาเป็นต้องกาหนด จุดหมายของหน่วยงานให้ชัดเจน เพ่ือให้แผน ยทุ ธศาสตรท์ ่ีจัดทาข้นึ ตรงตามความตอ้ งการ และดาเนินไปในทศิ ทางท่ถี กู ต้อง ขั้นตอนแรกในการจดั ทาแผนยทุ ธศาสตร์ คือการกาหนดวสิ ยั ทศั น์ (vision) ให้กับหน่วยงาน วิสัยทัศน์ หมายถึง สิ่งท่ีเราต้องการให้หน่วยงานเป็น ภายในกรอบระยะเวลาหน่ึงๆ โดยการ จัดทาวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน ควรกระทาเมื่อเราวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคของ หน่วยงานเปน็ ท่เี รยี บรอ้ ยแลว้ หน่วยงานต้องมีความเปน็ เลศิ ในด้านใด หรอื ควรมงุ่ เนน้ ไปในทศิ ทางใด ขน้ั ตอนทสี่ องคอื ของการกาหนดพันธกจิ (mission) พันธกิจ หมายถึง กรอบ หรือขอบเขตการดาเนินงานของท้ังหมดหน่วยงานที่ต้องการให้ บรรลตุ ามวิสยั ทศั น์ โดยพิจารณาในภาพรวม ว่าหน่วยงานจกั ตอ้ งดาเนินการในเร่ืองใดบ้าง และเพ่ือให้ หน่วยงานสามารถบรรลุได้ครบถ้วนทุกข้อ การกาหนดพันธกิจ สามารถทาได้โดย นาภารกิจ (หรือ หน้าท่ีความรับผิดชอบ) แต่ละข้อท่ีหน่วยงานได้รับมอบหมายตั้งแต่แรกก่อต้ัง มาเป็นแนวทาง ท้ังนี้ ผ้จู ดั ทาต้องกาหนดให้ชัดเจนว่าพนั ธกจิ แตล่ ะขอ้ มคี วามหมายครอบคลมุ ขอบเขตแคไ่ หน และแตล่ ะขอ้ มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้การจัดทาแผนยุทธศาสตร์ในขั้นตอนตอ่ ไปเปน็ ไปอย่างสะดวกและ ถูกตอ้ ง ขัน้ ตอนที่สาม คอื การกาหนดประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ (strategy issue) ประเด็นยุทธศาสตร์ หมายถึง ประเด็นหลักท่ีต้องคานึงถึง ต้องพัฒนา ต้องมุ่งเน้น ประเด็น ยุทธศาสตร์น้ี สามารถทาได้โดยการนาพันธกิจแต่ละข้อมาพิจารณาว่าในพันธกิจแต่ละข้อน้ัน หน่วยงานต้องการดาเนินการในประเด็นใดเป็นพิเศษ และหลังจากได้ดาเนินการดังกล่าวเป็นท่ี เรียบรอ้ ยแลว้ ต้องการใหเ้ กดิ ผลการเปลีย่ นแปลงในทศิ ทางใด ขน้ั ตอนทส่ี ่ี คือ การกาหนดเปา้ ประสงค์ (goal) ของแผนยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ หมายถึง สิ่งที่หน่วยงานปรารถนาจะบรรลุ โดยต้องนาประเด็นยุทธศาสตร์มา พจิ ารณาว่า หากสามารถดาเนินการจนประสบความสาเร็จตามประเด็นยุทธศาสตร์แต่ละข้อแล้ว ใคร เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ และได้รับประโยชน์อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เป้าประสงค์ของกรมสรรพากร ประการหนึ่ง คือ รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพียงพอในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ จาก ตวั อย่างนี้ ผู้ได้รับประโยชน์ คือ ภาครัฐ โดยได้ประโยชน์คือ สามารถจัดเก็บภาษีได้มากพอท่ีจะนาไป พัฒนาประเทศในดา้ นตา่ งๆ ได้ นั่นเอง ขัน้ ตอนทีห่ ้า คือขั้นตอนของการสรา้ งตัวช้ีวดั (Key Performance Identification) 64 สำนักงำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมืองแห่งชำติ
ตัวช้ีวัด หมายถึง สิ่งที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าหน่วยงานสามารถปฏบิ ัติงานบรรลุเป้าประสงค์ที่วาง ไว้ได้หรือไม่ ขั้นตอนน้ี เราจะต้องพิจารณาหาปจั จัยท่ีเป็นตัวบ่งช้ีดังกล่าว และต้องใช้ถ้อยคาท่ีชัดเจน ท้ังในแง่ของคาจากดั ความและการระบขุ อบเขต เชน่ “จานวนสมาชกิ ท่ีเขา้ รว่ มโครงการในหนึง่ เดือน” เปน็ ตน้ โดยตวั ชว้ี ัดนีจ้ ะถูกนาเป็นหลกั ในการกาหนดค่าเปา้ หมายในลาดบั ตอ่ ไป ขั้นตอนท่ีหก คอื ขัน้ ตอนของการกาหนดคา่ เป้าหมาย (target) ค่าเป้าหมาย หมายถึง ตัวเลข หรือค่าของตัวชี้วัดความสาเร็จ ท่ีหน่วยงานต้องการบรรลุ ขนั้ ตอนน้ี เปน็ ขน้ั ตอนของการกาหนด หรอื ระบวุ ่า ในแผนงานน้นั ๆ หนว่ ยงานต้องการทาอะไร ใหไ้ ด้ เป็นจานวนเท่าไร และภายในกรอบระยะเวลาเท่าใด จึงจะถือว่าบรรลุเป้าหมาย เช่น ต้องผลิตนัก สังคมสงเคราะหเ์ พิ่มเปน็ จานวน 1,250 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี เปน็ ต้น ขัน้ ตอนสดุ ทา้ ย คือ ขั้นตอนของการกาหนดกลยทุ ธ์ (strategy) กลยุทธ์ หมายถึง สิ่งที่หน่วยงานจะดาเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ โดย กลยุทธ์น้ี จะ กาหนดขึ้นจากการพิจารณาปัจจัยแห่งความสาเร็จ (critical success factors) เป็นสาคัญ กล่าวคือ ต้องพิจารณาว่าในการท่ีจะบรรลุเป้าประสงค์ข้อหน่ึงๆ น้ัน มีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความสาเร็จ และ เราจาเปน็ ตอ้ งทาอย่างไร จึงจะไปสจู่ ดุ น้ันได้ หลักสตู รกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทุนหมู่บ้ำนและชุมชน 65
ตวั อย่างแผนยุทธศาสตร์แผนบริหารจัดการเพ่อื ยกระดับคุณภาพโรงเรยี นขนาดเลก็ ปี 2553 – 2555 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาอุดรธานี เขต 1 วสิ ัยทัศน์ โรงเรยี นขนาดเลก็ สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาอุดรธานี เขต 1 จดั การศึกษาอย่างมคี ณุ ภาพ ตามมาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐาน พันธกจิ 1. พฒั นารปู แบบการบรหิ ารและการจัดการศึกษา ทีส่ อดคลอ้ งและเหมาะสมสาหรับโรงเรียน ขนาดเล็ก 2. พฒั นารปู แบบการจัดการเรยี นการสอน ท่ีสง่ ผลดตี ่อการพัฒนาคณุ ภาพโรงเรยี นขนาดเลก็ 3. พัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถ ที่เอือ้ ตอ่ การพฒั นาคุณภาพโรงเรยี นขนาดเล็ก 4. สง่ เสริมการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน ท้องถน่ิ ในการพัฒนาคณุ ภาพโรงเรยี นขนาดเล็ก 5. เสริมสร้างขวญั กาลงั ใจครู ผู้บริหาร และบคุ ลากรทางการศกึ ษาในโรงเรียนขนาดเลก็ เป้าประสงค์ 1. มีรูปแบบการบริหารและการจัดการศึกษา ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของ โรงเรยี นขนาดเลก็ 2. มรี ูปแบบการจัดการเรียนการสอนทีส่ อดคล้องและเหมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรียนขนาดเลก็ 3. ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถ บริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ตามบทบาทหนา้ ทไี่ ดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ 4. ชุมชน ท้องถิ่น ให้ความร่วมมือ และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก อยา่ งเต็มกาลังความสามารถ 5. ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา มขี วญั และกาลังใจในการปฏบิ ัติงาน กลยุทธ์ กลยทุ ธ์ที่ 1 การพฒั นารูปแบบการบรหิ ารและการจัดการศึกษา กลยุทธ์ท่ี 2 การพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนการสอน กลยุทธท์ ่ี 3 การพฒั นาครู ผบู้ รหิ าร และบุคลากรทางการศกึ ษา กลยทุ ธท์ ่ี 4 ส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมของชมุ ชน ท้องถิน่ กลยทุ ธ์ท่ี 5 เสริมสร้างขวัญและกาลงั ใจครู ผบู้ ริหาร และบุคลากรทางการศกึ ษา 66 สำนกั งำนกองทุนหมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแหง่ ชำติ
การดาเนินการกลยทุ ธ์ กลยทุ ธ์ที่ 1 พัฒนารูปแบบการบรหิ ารและการจัดการศกึ ษา วตั ถุประสงค์ โรงเรียนขนาดเล็กมีรูปแบบการบริหารและการจัดการศึกษา ท่ีสอดคล้องและเหมาะสมกับ บริบทของโรงเรียน เป้าหมาย โรงเรียนขนาดเล็กสามารถบริหารและจัดการศึกษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตาม มาตรฐานการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ตวั ช้วี ดั ร้อยละของโรงเรียนขนาดเล็กท่ีบริหารและจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไป ตามมาตรฐานการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน แนวทาง / มาตรการ 1. พัฒนาระบบขอ้ มลู และสารสนเทศเพ่ือการบริหารจดั การ ประกอบด้วย - พัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการบริหารจัดการ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร - พัฒนาให้มีเว็บไซต์โรงเรียนขนาดเล็ก ท่ีมีข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการบริหารและการ จดั การศึกษาทมี่ ีประสทิ ธิภาพ - พัฒนารูปแบบการใช้และแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศของโรงเรียนขนาดเล็ก ทั้งใน สงั กัดและตา่ งสังกัด ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. พฒั นารูปแบบการบรหิ ารและการจัดการศกึ ษาสาหรบั โรงเรียนขนาดเล็กประกอบด้วย - ส่งเสรมิ สนบั สนนุ การพฒั นารูปแบบการบรหิ ารและการจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก - วิจยั และพฒั นารปู แบบการบรหิ ารและการจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก - จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาดูงาน และคัดเลือกโรงเรียนต้นแบบการบริหารจัดการท่ี สอดคล้องและเหมาะสมจากกลยุทธท์ ี่กาหนดสามารถนาไปเขยี นแผนและโครงการตาม รปู แบบทวั่ ไปทป่ี ฏบิ ตั กิ ันดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 2. การวางแผนและแผนงาน 2.1 ความหมายการวางแผน มีผใู้ ห้คาจากัดความของการวางแผนไวห้ ลายลกั ษณะ เช่น การวางแผน คือ การมองอนาคต การเล็งเห็นจุดหมายท่ีต้องการ การคาดปัญหา เหล่าน้ันไวล้ ่วงหน้าไว้อย่างถูกตอ้ ง ตลอดจนการหาทางแกไ้ ขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น การวางแผน เป็น การใช้ความคิดมองจินตนาการตระเตรียมวิธีการต่างๆ เพ่ือคัดเลือกทางที่ดีที่สุดทางหน่ึง กาหนด เปา้ หมายและวางหมายกาหนดการกระทานั้น เพือ่ ให้สาเร็จลลุ ่วงไปตามจุดประสงค์ท่ีตงั้ ไว้ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมบู่ ้ำนและชมุ ชน 67
การวางแผน เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งท่ีเก่ียวกับการกาหนดสิ่งที่จะกระทาในอนาคต การประเมินผลของส่ิงท่ีกาหนดว่าจะกระทาและกาหนดวิธกี ารทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการปฏิบัติ ถ้าจะกล่าว โดยสรุป การวางแผนก็คือการคิดการหรือกะการไว้ล่วงหน้าว่าจะทาอะไร ทาไม ทาที่ไหน เม่ือไร อยา่ งไร และใครทา 2.2 ความสาคัญของการวางแผน ถ้าจะเปรียบเทียบระบบการศึกษากับคน การวางแผนก็เปรียบเสมือนสมองของคน ซึ่งถ้ามองในลักษณะนี้แล้ว การวางแผนก็มีความสาคัญไม่น้อยทีเดียว เพราะถ้าสมองไม่ทางานส่วน อื่นๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา ก็จะทาอะไรไม่ได้ หรือถ้าคนทางานไม่ใช้สมอง คือทางานแบบไม่มี หัวคิด ก็ลองนึกภาพดูก็แล้วกันว่าจะเป็นอย่างไร คนทุกคนต้องใช้สมองจึงจะทางานได้ ระบบ การศึกษาหรือการจัดการศึกษาก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการวางแผน คือ อย่างน้อยต้องมีความคิด การ เตรยี มการว่าจะจดั การศึกษาเพื่ออะไร เพือ่ ใคร อย่างไร 2.3 ประโยชน์ของการวางแผน 2.3.1 การวางแผนเป็นเครื่องช่วยให้มีการตัดสินใจอย่างมีหลักเกณฑ์ เพราะได้มี การศึกษาสภาพเดิมในปัจจุบันแล้ว กาหนดสภาพใหม่ในอนาคต ซึ่งได้แก่ การตั้งวัตถุประสงค์ หรือ เปา้ หมาย แล้วหาลทู่ างท่ีจะทาใหส้ าเรจ็ ตามที่ม่งุ หวงั 2.3.2 การวางแผนเป็นศูนยก์ ลางประสานงาน เช่น ในการจดั การศกึ ษาเราสามารถใช้ การวางแผนเพอ่ื ประสานงานให้สอดคลอ้ งกนั ได้ 2.3.3 การวางแผนทาให้การปฏิบตั ิงานตา่ งๆ เป็นไปโดยประหยัดมีประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ล 2.3.4 การวางแผนเป็นเคร่ืองมือในการควบคุมงานของนักบริหารเพ่ือติดตาม ตรวจสอบการปฏิบตั งิ านของฝา่ ยตา่ งๆให้เปน็ ไปตามนโยบายและเปา้ หมายท่ีต้องการ 2.4 ประเภทของแผน ถา้ จะแบ่งตามระยะเวลาอาจจะแบง่ แผนออกเปน็ 3 ประเภทใหญๆ่ ดงั น้ี คอื 2.4.1 แผนพัฒนาระยะยาว (10 - 20 ป)ี กาหนดเค้าโครงกว้างๆ วา่ ประเทศชาติของ เราจะมีทิศทางพฒั นาไปอย่างไร 2.4.2 แผนพัฒนาระยะกลาง (4 - 6 ปี) แบ่งช่วงของการพัฒนาออกเป็น 4 ปี หรือ 5 ปี หรือ 6 ปี โดยคาดคะเน ว่าในช่วง 4 - 6 ปี นี้ จะทาอะไรกันบ้าง จะมีโครงการพัฒนาอะไร จะ งบประมาณใชท้ รพั ยากรมากนอ้ ยเท่าไร 2.4.3 แผนปฏบิ ตั กิ ารประจาปี (1 ปี) ในการขอตั้งงบประมาณตามแผนพฒั นาประจาปี ปกตมิ กั ไมไ่ ดต้ ามท่ีกระทรวง ทบวง กรมตา่ งๆ ขอไปสานักงบประมาณหรือคณะกรรมาธิการของรัฐสภา มักจะตัดยอดเงินงบประมาณที่ส่วนราชการต่างๆขอไปตามความเหมาะสมและจาเป็นและสภาวการณ์ การเงินงบประมาณของประเทศ ภายหลังทีส่วนราชการต่างๆ ได้รับงบประมาณจริงๆ แล้ว จาเป็นท่ี 68 สำนกั งำนกองทุนหมบู่ ำ้ นและชุมชนเมืองแหง่ ชำติ
จะต้องปรับแผนพัฒนาประจาปีท่ีจัดทาข้ึนเพ่ือใหส้ อดคล้องกับเงินท่ีได้รับอนุมัติ ซึ่งเรียกวา่ แผนปฏิบัติ การประจาปขี ้ึน 3. โครงการ 3.1 ความหมายของโครงการ พจนานกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคาโครงการว่า หมายถึง “แผนหรือเค้าโครงการตามท่ีกะกาหนดไว้” โครงการเป็นส่วนประกอบส่วนหน่ึงในการ วางแผนพัฒนาซึ่งช่วยให้เห็นภาพ และทิศทางการพัฒนา ขอบเขตของงานที่สามารถติดตามและ ประเมินผลได้ โครงการโดยท่ัวไป สามารถแยกได้หลายประเภท เช่น โครงการเพื่อสนองความ ตอ้ งการ โครงการพฒั นาทวั่ ๆ ไป โครงการตามนโยบายเร่งด่วน เปน็ ตน้ 3.2 องค์ประกอบของโครงการ องค์ประกอบพ้ืนฐานในโครงการแต่ละโครงการนั้นควร จะมดี ังนี้ 3.2.1 ชื่อแผนงาน เป็นการกาหนดช่ือให้ครอบคลุมโครงการเดียวหรือหลาย โครงการทีม่ ลี ักษณะงานไปในทศิ ทางเดยี วกันเพ่ือแก้ไขปญั หาหรือสนองวัตถปุ ระสงค์หลักทกี่ าหนดไว้ 3.2.2 ชือ่ โครงการ ใหร้ ะบุชือ่ โครงการตามความเหมาะสม มีความหมายชดั เจนและ เรยี กเหมอื นเดิมทกุ คร้ังจนกวา่ โครงการจะแลว้ เสรจ็ 3.2.3 หลักการและเหตุผล ใช้ช้ีแจงรายละเอียดของปัญหาและความจาเป็นที่ เกิดข้ึนที่จะต้องแก้ไข ตลอดจนชี้แจงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดาเนินงานตามโครงการและ หากเป็นโครงการท่ีจะดาเนนิ การตามนโยบาย หรือสอดคล้องกับแผนจังหวดั หรอื แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ หรือแผนอ่ืนๆ ก็ควรช้ีแจงด้วย ท้ังนี้ผู้เขียนโครงการ บางท่านอาจจะเพิ่มเติม ข้อความว่าถ้าไม่ทาโครงการดังกล่าวผลเสียหายโดยตรง หรือผลเสียหายในระยะยาวจะเป็นอย่างไร เพ่ือใหผ้ ู้อนุมัตโิ ครงการไดเ้ ห็นประโยชนข์ องโครงการกว้างขวางขน้ึ 3.2.4 วัตถุประสงค์ เป็นการบอกให้ทราบว่า การดาเนินงานตามโครงการนั้นมี ความต้องการให้อะไรเกิดข้ึนวตั ถุประสงค์ที่ควรจะระบุไว้ควรเปน็ วัตถุประสงค์ท่ีชดั เจน ปฏิบตั ิไดแ้ ละ วดั และประเมินผลได้ ในระยะหลงั ๆ นน้ี กั เขยี นโครงการทม่ี ผี ู้นิยมชมชอบมักจะเขียนวตั ถุประสงค์เป็น วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม คอื เขียนให้เป็นรูปธรรมมากกว่าเขียนเป็นนามธรรม การทาโครงการหน่ึงๆ อาจจะมีวัตถุประสงค์มากกว่า 1 ข้อได้ และนิยมเขียนวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน-ปฏิบัติได้-วัดได้ เพียง 1-3 ข้อ 3.2.5 เป้าหมาย ให้ระบุว่าจะดาเนินการสิ่งใด โดยพยายามแสดงให้ปรากฏเป็นรูป ตัวเลขหรือจานวนท่ีจะทาได้ภายในระยะเวลาท่ีกาหนด การระบุเป้าหมาย ระบุเป็นประเภทลักษณะ และปรมิ าณ ให้สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์และความสามารถในการทางานของผรู้ ับผิดชอบโครงการ 3.2.6 วิธีดาเนินการหรือกิจกรรมหรือขั้นตอนการดาเนินงาน คืองานหรือภารกิจ ซ่ึงจะต้องปฏิบัติในการดาเนินโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ในระยะการเตรียมโครงการจะ หลักสตู รกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทุนหมบู่ ำ้ นและชมุ ชน 69
รวบรวมกจิ กรรมทกุ อย่างไวแ้ ล้วนามาจัดลาดับว่าควรจะทาสิง่ ใดก่อน-หลัง หรอื พรอ้ มๆ กัน แลว้ เขียน ไวต้ ามลาดบั จนถึงขัน้ ตอนสดุ ทา้ ยที่ทาให้โครงการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ 3.2.7 ระยะเวลาการดาเนินงานโครงการ คือ การระบุระยะเวลาตั้งแต่เร่ิมต้น โครงการจนเสร็จสิ้นโครงการปัจจุบันนิยมระบุ วัน-เดือน-ปี ที่เริ่มต้นและเสร็จส้ิน การระบุจานวน ความยาวของโครงการ เช่น 6 เดือน 2 ปี โดยไม่ระบุเวลาเร่ิมต้น-ส้ินสุด เป็นการกาหนดระยะเวลาที่ ไม่สมบูรณ์ 3.2.8 งบประมาณ เป็นประมาณการค่าใช้จ่ายท้ังส้ินของโครงการ ซึ่งควรจาแนก รายการค่าใช้จ่ายได้อยา่ งชัดเจน งบประมาณอาจแยกออกได้เปน็ 3 ประเภท คือ 1) เงนิ งบประมาณแผน่ ดนิ 2) เงินกแู้ ละเงินชว่ ยเหลือจากตา่ งประเทศ 3) เงนิ นอกงบประมาณอน่ื ๆ เช่น เงนิ เอกชนหรือองคก์ ารเอกชน เป็นตน้ การระบุยอดงบประมาณ ควรระบุแหลง่ ท่ีมาของงบประมาณด้วย นอกจากน้ีหัวขอ้ น้ี สามารถระบุทรพั ยากรอื่นทต่ี อ้ งการ เช่น คน วัสดุ ฯลฯ 3.2.9 เจ้าของโครงการหรือผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นการระบุเพื่อให้ทราบว่า หน่วยงานใดเป็นเจ้าของหรือรับผิดชอบโครงการ โครงการย่อยๆ บางโครงการระบุเป็นชื่อบุคคล ผูร้ ับผิดชอบเป็นรายโครงการได้ 3.2.10 หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เป็นการให้แนวทางแก่ผู้อนุมัติและผู้ปฏิบัติว่า ในการดาเนินการโครงการนน้ั ควรจะประสานงานและขอความร่วมมือกับหน่วยงานใดบ้าง เพื่อบรรลุ วตั ถปุ ระสงคท์ ่ีต้งั ไว้ 3.2.11 การประเมินผล บอกแนวทางว่าการติดตามประเมินผลควรทาอย่างไรใน ระยะเวลาใดและใช้วิธีการอย่างไรจึงจะเหมาะสม ซึ่งผลของการประเมินสามารถนามาพิจารณา ประกอบการดาเนินการ เตรียมโครงการท่คี ล้ายคลงึ หรือเกี่ยวขอ้ งในเวลาต่อไป 3.2.12 ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เมื่อโครงการนั้นเสร็จสิ้นแล้ว จะเกิดผล อย่างไรบ้างใครเป็นผู้ได้รับเรื่องนี้สามารถเขียนทั้งผลประโยชน์โดยตรงและผลประโยชน์ในด้าน ผลกระทบของโครงการด้วยได้ 3.3 ลกั ษณะโครงการที่ดี โครงการท่ดี ีมลี ักษณะดังน้ี 3.3.1 เปน็ โครงการท่สี ามารถแกป้ ัญหาขององค์กรได้ 3.3.2 มีรายละเอียด เนื้อหาสาระครบถ้วน ชัดเจน และจาเพาะเจาะจง โดยสามารถ ตอบคาถามต่อไปน้ไี ดค้ อื 1) โครงการอะไร = ชอ่ื โครงการ 2) ทาไมจงึ ตอ้ งริเริ่มโครงการ = หลักการและเหตุผล 3) ทาเพ่ืออะไร = วัตถปุ ระสงค์ 4) ปริมาณท่ีจะทาเท่าไร = เป้าหมาย 70 สำนักงำนกองทุนหมู่บ้ำนและชุมชนเมืองแหง่ ชำติ
5) ทาอยา่ งไร = วธิ ดี าเนนิ การ 6) จะทาเมอื่ ไร นานเทา่ ใด = ระยะเวลาดาเนินการ 7) ใชท้ รัพยากรเทา่ ไรและได้มาจากไหน = งบประมาณ แหล่งที่มา 8) ใครทา = ผู้รบั ผิดชอบโครงการ 9) ตอ้ งประสานงานกบั ใคร = หน่วยงานทีใ่ หก้ ารสนบั สนนุ 10) บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ = การประเมนิ ผล 11) เมื่อเสรจ็ ส้นิ โครงการแลว้ จะได้อะไร = ผลประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั 3.3.3 รายละเอียดของโครงการดังกล่าว ต้องมีความเก่ียวเนื่องสัมพันธ์กัน เช่น วัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกับหลักการและเหตุผล วิธีดาเนินการต้องเป็นทางท่ีทาให้บรรลุ วัตถปุ ระสงคไ์ ด้ ฯลฯ เป็นตน้ 3.3.4 โครงการท่รี เิ ร่มิ ขน้ึ มาต้องมผี ลอยา่ งน้อยที่สุดอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ในหวั ข้อตอ่ ไปนี้ 1) สนองตอบ สนับสนนุ ต่อนโยบายระดบั จังหวัดหรือนโยบายส่วนรวมของประเภท 2) ก่อให้เกดิ การพัฒนาทัง้ เฉพาะสว่ นและการพฒั นาโดยสว่ นรวมของประเทศ 3) แกป้ ัญหาทเ่ี กิดขึ้นได้ตรงจุดตรงประเด็น 3.3.5 รายละเอียดในโครงการมีพอที่จะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจ และ สามารถดาเนินการตามโครงการได้ 3.3.6 เป็นโครงการท่ปี ฏิบัตไิ ดแ้ ละสามารถตดิ ตามและประเมนิ ผลได้ หลักสูตรกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชน 71
ตวั อยา่ งแบบฟอร์มการนาเสนอโครงการ/กจิ กรรม เพ่ือบรรจใุ นแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาสถาบนั การเรยี นรพู้ .ศ.2558-2561(ระยะ 4 ปแี รก) ****************************************** การจัดทาโครงการ/กิจกรรม ใหม้ หี วั ข้อและรายละเอียดตามแนวทางดังตอ่ ไปน้ี ชอื่ โครงการ/กิจกรรม………………………………………………………… 1. โครงการ/กิจกรรมน้ี อยู่ภายใตแ้ ผนยทุ ธศาสตร์การพัฒนาสถาบนั การเรยี นรู้ ใน ประเดน็ ยุทธศาสตร์ เป้าประสงคข์ ้อใด (ระบเุ พียงข้อเดียว/หลายข้อ) ( ) ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ท่ี ...................................................................................... ( ) เป้าประสงคท์ ่ี .................................................................................................. ( ) กลยุทธท์ ่ี .......................................................................................................... 2. ลักษณะโครงการ/กิจกรรม (ตอบเพยี งขอ้ เดยี ว) ( ) พัฒนางานเดิม ( ) งานใหม่ 3. ช่อื /หน่วยงานท่รี ับผดิ ชอบโครงการ/กิจกรรม สว่ นงาน (งาน/......./.........) ........................................................................................ 4. หลักการและเหตุผล .................................................................................................................................... 5. วัตถุประสงค์ 5.1 ............................................................................................................................. 5.2 ............................................................................................................................. 6. ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 6.1 ............................................................................................................................. 6.2 ............................................................................................................................. 7. เป้าหมาย ให้ระบเุ ป้าหมายของการดาเนนิ งาน เปน็ 3 ประเภท โดยให้มคี วามสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์ทกี่ าหนด ทัง้ นี้ใหร้ ะบุชว่ งเวลาที่จะตอ้ งดาเนินการใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายน้ันๆ ( ) เชงิ เวลา ……………………………………………………… ( ) เชิงปริมาณ ……………………………………………………… ( ) เชงิ คณุ ภาพ ……………………………………………………… 8. ตวั ชวี้ ดั ความสาเร็จ 8.1 …………………………………………………………………………… 8.2 …………………………………………………………...…………… 72 สำนักงำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมืองแหง่ ชำติ
9. ระยะเวลาในการดาเนินการ ตัง้ แต่เดอื น ………… ถงึ เดอื น ......……. ปีงบประมาณ พ.ศ. 25........ และ/หรือ ตง้ั แต่เดือน ………… ถึง เดอื น ......……. ปงี บประมาณ พ.ศ. 25........ และ/หรือ ตัง้ แตป่ งี บประมาณ พ.ศ. 25........ ถงึ ปีงบประมาณ พ.ศ. 25...... 10. แผนการดาเนนิ งานโดยสรุป รายละเอยี ดข้นั ตอน ปีงบประมาณ พ.ศ. 25.......... ปีงบประมาณ พ.ศ. 25.......... โครงการ/กิจกรรม 1. .................... ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. 2. .................... 3. .................... 4. .................... 5. .................... 11. ทรพั ยากรทีต่ อ้ งใชใ้ นการดาเนนิ งาน (เฉพาะโครงการที่ต้องใชง้ บประมาณ) ( ) งบประมาณแผน่ ดนิ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 25.......... จานวน ............. บาท ( ) งบประมาณเงินรายได้ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 25.......... จานวน ...........บาท ( ) แหล่งทุนสนับสนนุ อน่ื ๆ (ระบแุ หลง่ ที่มา) .............................................................. ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 25........ จานวน ............................................. บาท การติดตามและประเมนิ ผล 1. กรอบแนวคดิ และเงอ่ื นไขการติดตามและประเมินผลโครงการ 1.1 กรอบแนวคิดการตดิ ตามและประเมนิ ผลโครงการ 1.1.1 เป็นเคร่ืองมือสาคญั ช่วยให้การจัดการโครงการมีประสทิ ธภิ าพมากขึน้ 1.1.2 ชว่ ยให้ทราบปัญหา อุปสรรคสาคญั และหามาตรการแก้ไขได้ทนั การณ์ 1.1.3 ช่วยใหท้ ราบวา่ โครงการบรรลวุ ตั ถุประสงคห์ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 1.1.4 ช่วยในการตัดสินใจวา่ สมควรดาเนินโครงการต่อไปหรือไม่ 1.2 เง่ือนไขความสาเร็จของการติดตามและประเมนิ ผลโครงการ ประกอบด้วย 1.2.1 สร้างความเข้าใจและรสู้ ึกดกี ับผรู้ ับผิดชอบโครงการทจี่ ะประเมนิ 1.2.2 วตั ถุประสงค์ของโครงการท่จี ะประเมนิ ชดั เจนวัดและปฏิบตั ิได้ 1.2.3 มีตัวช้ีวัดหลัก (Key Indicators) ที่แม่นตรง (Valid) และน่าเชื่อถือได้ (Reliable) 1.2.4 มขี ้อมูลสาคญั และจาเป็นเพยี งพอ 1.2.5 ผู้ประเมนิ มคี วามรู้ ความสามารถเหมาะสมกบั เร่ืองทป่ี ระเมนิ 1.2.6 ได้รบั การสนับสนุนอยา่ งจริงจงั จากผู้บรหิ ารระดบั สูง หลกั สตู รกำรบริหำรจัดกำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมู่บ้ำนและชมุ ชน 73
2. การตดิ ตามโครงการ 2.1 ขอบเขตการตดิ ตามโครงการ การติดตามโครงการ (Project Performance Monitoring) คือ กระบวนการวัด ปัจจัยนาเข้า (Inputs) กิจกรรม (Activities) และผลผลิต (Outputs) ของโครงการซ่ึงกระทาเป็น ประจาตามช่วงเวลาต่างๆ ระหว่างนาโครงการไปปฏิบัติ เพื่อระบุปัญหาและอุปสรรคของการดาเนิน โครงการว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ เพื่อหามาตรการแก้ไขได้ ทันการณ์ การติดตามโครงการมี วัตถุประสงคเ์ พอ่ื ระบุปญั หาและอปุ สรรคระหว่างดาเนินโครงการว่าเป็นไปตามแผนหรอื ไม่ เพราะเหตุ ใดและหาทางแกไ้ ขไดท้ นั เหตุการณ์ การจะติดตามอะไรและเม่ือใดนั้นควรกาหนดขอบเขตการติดตาม ความกา้ วหนา้ โครงการในดา้ นตา่ งๆ เชน่ 2.1.1 ตดิ ตามดา้ นการเตรยี มการและการวางแผนโครงการ 2.1.2 ตดิ ตามด้านการดาเนินโครงการ 2.1.3 ตดิ ตามดา้ นการเบิกจา่ ยเงนิ 2.2 วิธกี ารตดิ ตามโครงการ การเตรียมการและวางแผนโครงการ ( Project Preparation and Planning) วตั ถุประสงค์เพ่ือตดิ ตามว่าเปน็ ไปตามแผนหรือไม่ สาเหตุความล่าช้าของโครงการ (ถ้ามี) โดยกาหนด ประเดน็ และวิธกี ารติดตามดังน้ี 1. การวางแผน: เปรยี บเทียบวนั เสร็จจริงกับที่วางแผนไว้ 2. การอนุมตั แิ ผน: เปรยี บเทยี บวันอนุมตั จิ ริงกับที่วางแผนไว้ 3. การจดั ซอ้ื จดั จ้าง: เปรยี บเทียบวันเสรจ็ จริงกับทวี่ างแผนไว้ 4. สาเหตขุ องความล่าช้า: สอบถามผรู้ ับผิดชอบโครงการ/ตรวจสอบจากเอกสาร การดาเนินโครงการ (Project implementation Program) วัตถุประสงค์เพื่อทราบ วา่ ผลผลิตโครงการเป็นไปตามแผนหรอื ไม่ เพราะอะไร โดยกาหนดประเดน็ และวิธีการตดิ ตามดงั นี้ 1. เปรียบเทยี บผลผลติ จรงิ คดิ เป็นร้อยละของผลผลิตตามแผน 2. เปรียบเทียบผลผลติ ระหว่างดาเนนิ การ คดิ เป็นรอ้ ยละของผลผลติ ตามแผน 3. เปรยี บเทยี บผลผลติ ทย่ี กเลกิ คิดเป็นร้อยละของผลผลิตตามแผน 4. การเบิกจ่ายเงินโครงการเป็นไปตามหรือไม่ ถ้าไม่ มีสาเหตุมาจากอะไร โดย เปรียบเทยี บการเบกิ จ่ายเงนิ จริง คดิ เปน็ ร้อยละของการเบิกจา่ ยเงนิ ตามแผน การนาผลการติดตามโครงการไปใช้ประโยชน์ เพื่อจะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของ ความลา่ ช้า และหามาตรการท่เี หมาะสมเพอ่ื ให้การจัดการโครงการมปี ระสิทธิภาพมากยง่ิ ข้นึ 74 สำนกั งำนกองทุนหมู่บ้ำนและชุมชนเมอื งแห่งชำติ
3. การประเมนิ ผลโครงการ 3.1 ขอบเขตการประเมินผลโครงการ การประเมินผลโครงการ (Project Performance Evaluation) มีวัตถุประสงค์เพื่อ ทราบประสิทธิผลและประสิทธิภาพของโครงการ ตลอดจนผลกระทบของโครงการที่มีต่อผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คุณภาพของโครงการและประสิทธิภาพของการบริหารหน่วยงาน การจะ ประเมินผลโครงการอะไรเมื่อใดนั้น สามารถทาได้ในขอบเขตตามหลกั วิชาการ คอื 3.1.1 ประเมนิ ประสิทธผิ ลโครงการ 3.1.2 ประเมนิ ประสทิ ธิภาพโครงการ 3.1.3 ประเมนิ ผลกระทบโครงการ 3.1.4 ประเมนิ ด้านวิธีการของโครงการ (Technical Audit) 3.1.5 ประเมินประสิทธภิ าพการบรหิ ารของหน่วยงาน โดยปกติทั่วไปสามารถประเมินโครงการเมื่อดาเนินการไปแล้วระยะหนึ่ง (คร่ึงอายุ โครงการ และหรือเมอื่ สิน้ สุดโครงการ) 3.2 วธิ กี ารประเมนิ ผลโครงการ การประเมินประสิทธิภาพของโครงการ วัตถุประสงค์เพ่ือทราบว่าค่าใช้จ่ายของ โครงการเป็นไปอย่างประหยัดหรือตามประมาณการที่วางไว้ หรือไม่ โดยเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อ หน่วย (Actual Project Unit Cost) โดยใช้ค่ากลางหรือใช้งบประมาณโครงการ/ผลผลิตโครงการท่ี คาดว่าจะได้รบั สาหรับคา่ ใชจ้ า่ ยตอ่ หน่วยจรงิ จะเป็นคา่ ใชจ้ ่ายโครงการจริง/ผลผลิตโครงการจรงิ การประเมินผลกระทบโครงการ วัตถุประสงค์เพื่อทราบว่าผลกระทบโครงการที่ เกิดขึ้นจริง เป็นไปตามแผนท่ีวางไวห้ รือไม่ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ท้ังทางบวกและทางลบ โดย ทาการสารวจความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้ท่ีได้รับประโยชน์จาก โครงการ (Project Beneficiaries ) การประเมินผลงานด้านวชิ าการของโครงการ (Technical Audit) วตั ถุประสงค์เพ่ือ ทราบว่าโครงการที่ผ่านการประเมินประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และผลกระทบของโครงการมีคุณภาพ ตามมาตรฐานทางวิชาการของสาขาที่เก่ียวข้องหรือไม่ โดยกาหนดประเด็นของการประเมินตาม มาตรฐานทางวิชาการสาขาที่เกี่ยวข้องนั้นๆ และมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เก่ียวข้องเป็นผู้ ประเมิน เช่น งานการฝึกอบรบ (มอบหมายผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรม) เป็นต้น พร้อมท้ังใช้ข้อมูล เอกสารและตรวจสอบผลผลติ โครงการในภาคสนาม การประเมินประสิทธิภาพการบริหารงานของหน่วยงาน วัตถุประสงค์เพ่ือทราบว่า ประสิทธิภาพและการบริหารงานของหน่วยงาน ดาเนินโครงการโดยกาหนดประเด็นและวิธีการ ประเมินโดยใชท้ ฤษฎี หรือตัวแบบเชิงระบบ (System Theory or Model) เป็นกรอบในการประเมนิ โดยพิจารณา สว่ นต่างๆ ดงั นี้ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมูบ่ ้ำนและชุมชน 75
1. ปริมาณและคณุ ภาพของปจั จยั นาเข้า (input) ของโครงการ 2. กระบวนการบริหาร (Administrative Process) 3. ผลลัพธข์ องโครงการ (Project Outcomes or Results) ซ่งึ ประกอบดว้ ย ผลผลติ โครงการและผลกระทบโครงการ โดยมีการประเมินทั้งหน่วยดาเนนิ การสว่ นกลางและในพ้นื ท่ี การนาผลการประเมินไปใชป้ ระโยชน์ ดงั น้ี 1. ปรับแผนการจัดการโครงการท่ีเหลือ/ในอนาคตให้บรรจุวัตถุประสงค์อย่างมี ประสทิ ธภิ าพและเกิดประสิทธผิ ลมากย่ิงข้ึน 2. ปรบั ปรุงคุณภาพของโครงการใหไ้ ด้มาตรฐานทางวิชาการของสาขาท่เี กย่ี วขอ้ ง 3. ปรบั การบริหารของหนว่ ยดาเนนิ โครงการใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากย่งิ ข้นึ 4. ใชป้ ระกอบการพจิ ารณาวา่ สมควรดาเนินโครงการต่อไปหรือไม่ อย่างไร 3.3 การประเมนิ ผลท่ีครบวงจร ประกอบดว้ ยการประเมิน 3 ระยะ คอื 3.3.1 การประเมินผลก่อนเริ่มแผนงานหรือโครงการ ซ่ึงเป็นการประเมินผลความ ต้องการ ความจาเป็น หรือศักยภาพต่างๆ เพื่อกาหนดทิศทางในการพัฒนาตลอดจนเป็นข้อมูลฐาน ก่อนเริม่ โครงการใดโครงการหนง่ึ เพือ่ ใช้เปน็ ข้อมูลเปรียบเทียบเพ่ือแสดงถึงความสาเร็จของการดาเนิน โครงการ ตลอดจนการประเมินความเหมาะสมและความเปน็ ไปได้ของโครงการกอ่ นพจิ ารณาอนุมัติให้ ดาเนนิ การ 3.3.2 การประเมินขณะโครงการดาเนินอยู่ ซ่ึงเป็นการประเมินความก้าวหน้าของ โครงการ โดยเฉพาะด้านการดาเนินงานและผลเบื้องต้นซึ่งสารสนเทศท่ีได้นาไปสู่การปรับปรุงการ ดาเนินงานของโครงการให้มปี ระสทิ ธิภาพและเพิม่ โอกาสความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายทั้งเชิงปริมาณและ คุณภาพภายในกรอบเวลาและทรัพยากรทีก่ าหนดใหม้ ากที่สดุ 3.3.3 การประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ ซึ่งเป็นการประเมินความสาเร็จของ โครงการ โดยประเมินเม่ือสนิ้ สดุ โครงการ และมีการประเมนิ ส้นิ สุดโครงการไประยะหนึ่ง เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี เพ่ือศึกษาความย่ังยืนของผลลัพธ์ตลอดจนการบรรลุจุดหมายในเชิงผลกระทบของโครงการ การประเมนิ ผลในกรณหี ลังนีเ้ รยี กว่า การติดตามผล (follow-up study หรอื tracer study) การประเมินผลมีบทบาทเด่นชดั ในการกาหนดแผนงานหรือโครงการมีบทบาทในการ วางแผนและมีบทบาทในการสรุปและยืนยันประสิทธิภาพของโครงการ ทั้งการประเมินผลและการ กากับงานล้วนมีบทบาทสาคัญต่อการบริหารดาเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือการกากับ งานมีบทบาทสาคัญต่อการตัดสินใจเก่ียวกับปัจจัยและกิจกรรมเป็นสาคัญ และทั้งการกากับงานและ การประเมนิ ผลลว้ นมีบทบาทสาคัญที่จะชว่ ยผลักดันให้เกิดความสาเรจ็ ตามแผนท่ีกาหนดไว้ 3.4 กระบวนการประเมนิ ผลโครงการ ประกอบดว้ ยกระบวนการ 4 ขั้นตอน คอื 3.4.1 การวางแผนการประเมนิ ผลโครงการ 1) รวบรวมข้อมลู ข่าวสาร 2) ปรกึ ษาหารือกับผู้ทเ่ี กย่ี วข้องกับโครงการ 76 สำนักงำนกองทุนหมู่บ้ำนและชุมชนเมอื งแหง่ ชำติ
3) กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการประเมิน 4) กาหนดประเดน็ ขอบเขต และวิธกี าร 5) การจัดทาข้อเสนอโครงการประเมิน 6) การเสนอขออนมุ ัติ 3.4.2 การดาเนินการประเมินผลโครงการ 1) กาหนดตวั ช้ีวัดเคร่ืองมอื และเทคนคิ การรวบรวมขอ้ มลู 2) รวบรวมขอ้ มูล 3) วเิ คราะห์ข้อมลู 4) จัดทารายงานประเมินผล 5) เสนอขอรบั การอนมุ ัติ 3.4.3 การลงขอ้ สรุปและให้ขอ้ เสนอแนะ 1) ปรึกษาหารอื กับผูท้ ่ีมคี วามสาคญั ตอ่ โครงการ 2) จดั ทาข้อสรปุ และขอ้ เสนอแนะ 3) เสนอขอรับการอนมุ ตั ิ 3.4.4. การรายงานและเผยแพรผ่ ลประเมนิ เพ่ือใชป้ ระโยชน์จากผลการประเมินให้มากที่สุด หลักการท่ีสาคัญของการเผยแพร่ผล ประเมินเปน็ บทบาทและความรับผดิ ชอบตามสัญญาการประเมนิ และเป็นหนา้ ท่ขี องผูใ้ หป้ ระเมนิ เมื่อ ผู้ให้ประเมินต้องการให้ผู้ประเมินเผยแพร่ผลประเมินท้ังในรู ปบทความหรือนาเสนอในท่ี ประชุมสัมมนา ผู้ประเมินก็ควรให้ความร่วมมือ หากผู้ประเมินประสงค์ท่ีจะเผยแพร่หรือตีพิมพ์ รายงานการประเมินในรูปแบบใดก็ตาม จะต้องขออนุมัติจากผู้ให้ประเมิน เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ผปู้ ระเมินจงึ จะสามารถดาเนนิ การตีพมิ พห์ รือเผยแพร่ผลประเมนิ ได้ กล่าวโดยสรุปการบริหารจัดการสถาบันการเรียนรู้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ผู้บริหารจะต้องมีความเป็นผู้นา (Leadership) เพื่อนาพาองค์กร และดาเนินการบริหารจัดการ ที่ เป็นกระบวนการโดยการกาหนดทิศทางในการใช้ทรัพยากรท้ังหลาย อันประกอบด้วย คน งบประมาณ วัสดุ เครื่องมือ และวิธีการ อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพ่ือให้บรรลุถึง เป้าหมายขององค์กร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การใช้ทรัพยากรได้อย่าง เฉลียวฉลาดและคุ้มค่า การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผล คือ การตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และมี การปฏิบัติการสาเร็จตามแผนท่ีกาหนดไว้ ดังน้ันผลสาเร็จของการบริหารจัดการจึงจาเป็นต้องมีท้ัง ประสิทธิภาพและประสิทธิผลควบคู่กัน นอกจากน้ี การคานึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ต่อองค์กรล้วนแล้วแตส่ ่งผลตอ่ การบรหิ ารจัดการในองคก์ รทั้งสนิ้ ผู้บริหารทุกคนย่อมต้องการทางานให้สาเร็จ และมีความคิดหลายอย่างที่จะหาวิธีให้ งานบรรลุเป้าหมาย ความคิดของนักบริหารอาจเลื่อนลอยไม่ชัดเจนอาจเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ แต่ ส่ิงท่ีทาให้ความคิดของผู้บริหารเป็นความจริงก็คือแผน หากขาดการวางแผนหนทางท่ีจะบรรลุผลก็ หลกั สูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทนุ หมู่บำ้ นและชุมชน 77
เป็นไปได้ยากในแง่ของการบริหารการวางแผนเป็นส่ิงที่ต้องดาเนินการเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตาม ด้วยหน้าที่การจัดองค์กร การจูงใจ และ การควบคุมการวางแผน มีความสาคัญมากท่ีจะบอกได้ว่า องค์กรจะประสบความสาเร็จใน การแข่งขันกับองค์กรอื่นหรือไม่ แผนเป็นส่ิงท่ีแสดงให้เป็นว่า องค์กรพยายามท่ีจะทาให้ดียิ่งข้ึนกว่าที่กาลังกระทาอยู่ ซึ่งจะสามารถจินตนาการถึงอนาคตว่าจะเชน่ ไรได้บ้าง การมองหาและระบุถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ท่ีจะเกิดขึ้น และการสร้างสมรรถนะความสามารถ เพื่อใช้ให้เป็นทุน และพยายามทาให้ดีกว่าคนอื่น การวางแผนเป็นการตัดสินใจล่วงหน้าก่อนท่ีจะเกิด เหตกุ ารณ์จริง การติดตามและประเมินผลเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลกิจกรรมที่จะให้ผู้บริหาร เห็นภาพรวมของสถาบันการเรียนรู้ฯ ได้ชัดเจนขึ้น ให้ได้ภาพรวมขององค์กรอย่างสมดุลขึ้นโดยการ วัดผลนอกจากการวัดทางด้านการเงินท่ีเป็นผลของการดาเนินงานท่ีเกิดขึ้นมาแล้ว ต้องมีการวัดผล ดว้ ยกระบวนการบริหารงาน การสร้างความพอใจแก่สมาชิกของสถาบันการเรียนรู้ฯ สามารถหาวิธวี ัด และเปรียบเทียบสมรรถนะ เพื่อมองหาโอกาสท่ีจะสร้างวิธีปฏิบัติแนวใหม่อยู่ตลอดเวลา จึงจะเกิด นวัตกรรมและการเรียนรู้ใหม่แก่องค์กร เพื่อเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันและการสร้างอนาคต ให้แก่องค์กรด้วย การวัดผลจะดูท้ังด้านการพัฒนาองค์กร ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน คุณภาพการ ใหบ้ รกิ ารและประสทิ ธิผลตามยทุ ธศาสตร์ทีว่ างไว้ เอกสารอ้างอิง หนูม้วน ร่มแก้ว. (2558). หลักสูตรการบริหารจัดการความรู้สาหรับนักบริหารจัดการความรู้. เอกสาร การบรรยายวิชาการบริหารจัดการสถาบันการเรียนรู้.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง. เชยี งใหม่: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา. ประภาพรรณ รักเล้ียง. (2556). หลักทฤษฎีและปฏิบัติการบริหารการศึกษา. พิษณุโลก: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยพิษณุโลก. วรี วธุ มาฆะศริ านนท์. (2542). องคก์ รเรียนรสู้ ู่องคก์ รอัจฉริยะ. กรงุ เทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท. 78 สำนักงำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแหง่ ชำติ
ส่วนท่ี 3 เนอื้ หาวชิ าการพฒั นาตนเอง พัฒนาอาชีพและพัฒนาชมุ ชน วชิ าน้ีเป็นรายวิชาพื้นฐานทีต่ ้องการให้กลุ่มเป้าหมายผู้เรียนไดม้ ีพืน้ ความร้เู กี่ยวกับการพัฒนา ตนเอง พัฒนาอาชีพและพัฒนาชุมชนเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ส่งเสริมให้การขับเคลื่อนสถาบัน การเรียนรู้ฯสานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะกรรมการกองทุนฯ และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน ได้มีฐานคิดในการพัฒนาอย่างมีหลักการและสามารถใช้ ประโยชน์จากสถาบันการเรียนรู้ฯในการเป็นท่ีพ่ึงของชุมชนอย่างแท้จริง สามารถยกระดับคุณภาพ ชีวติ และชมุ ชนได้ การพัฒนาตนเองและพัฒนาอาชพี 1. แนวคิดการพฒั นาตนเอง 1.1 ความหมายของ การพัฒนาตนเอง (Self-Development) การพัฒนาตนเอง หมายถึง ความต้องการของบุคคล ในการท่ีจะพัฒนาในทุกๆ ด้าน ของตนเอง ได้แก่ความรู้ ความสามารถของตนจากที่เป็นอยู่ให้มีความรู้ มีความสามารถเพิ่มขึ้น เกิด ประโยชน์ตอ่ ตน และหน่วยงาน และเกิดความสาเร็จเป็นการพัฒนาตนเองตามศักยภาพของตนให้ดีขึ้น ท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพ่ือเป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพของสังคม เป็น ประโยชน์ต่อผู้อื่น ตลอดจนเพ่ือการดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข (สานักงาน กศน. สานักงาน ปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ.2554) 1.2 ความสาคญั ของการพัฒนาตนเอง การพฒั นาตนเองมคี วามสาคัญดงั นี้ 1.2.1 เป็นการเตรียมตนเองในด้านต่างๆ เช่น ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม รวมท้ัง สติ ปญั ญาใหส้ ามารถรับกับสถานการณต์ า่ งๆท่ีอาจเกดิ ขึ้นในชีวิตประจาวนั 1.2.2 มีความเข้าใจตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง ทาให้สามารถทาหน้าท่ีตามบทบาท ของตนเองในครอบครวั ชมุ ชน และสงั คมไดอ้ ย่างเต็มกาลงั ความสามารถ 1.2.3 สามารถปรับปรุงการปฏิบัตติ น และแสดงพฤติกรรมให้เป็นท่ียอมรับของบคุ คล รอบข้างในครอบครัว ชุมชน และสังคม 1.2.4 สามารถกาหนดแนวทางการพัฒนาตนเอง ให้พัฒนาไปสู่เป้าหมายสูงสุดของ ชวี ติ ตามที่วางแผนไว้ 1.2.5 เปน็ แบบอยา่ งการพัฒนาของคนในครอบครวั ชมุ ชน และสงั คม 80 สำนักงำนกองทนุ หมู่บ้ำนและชมุ ชนเมืองแหง่ ชำติ
1.2.6 เป็นการเตรียมคนให้มีความพร้อมในการดารงตนให้อยู่ในสังคมอย่างม่ันใจ มีความสขุ และเปน็ กาลงั สาคญั ของการพัฒนาชมุ ชนและสงั คม 1.3 แนวทางในการพัฒนาตนเอง 1.3.1 สารวจตนเอง เพ่ือจะได้ทราบว่าตนเองมีคุณสมบัติที่ดีและไม่ดี อย่างไร บ้าง เพื่อที่จะหาแนวทางการปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีข้ึน การสารวจตนเองอาจทาได้หลายวิธี เช่น การตรวจสอบตนเองดว้ ยเหตแุ ละผลการใหบ้ ุคคลใกลช้ ดิ ช่วยสารวจ ชว่ ยพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา 1.3.2 หาตัวแบบที่ตนเองชื่นชม การปลูกฝังคุณสมบัติท่ีดีงาม เป็นการนาเอา แบบอย่างที่ดีของบุคคลสาคัญท่ี ประทับใจมาเป็นตัวแบบ เพื่อปลูกฝังคุณสมบัติที่ดีให้กับตนเอง ให้ ประสบความสาเร็จ สมหวงั ตามทค่ี าดหวังไว้ 1.3.3 ตั้งเป้าหมายหรือต้ังความหวัง และ การปลุกใจตนเอง การวางแผนท่ีดีควรมี ข้ันตอนที่ชัดเจนและควรกาหนดเวลาที่จะทาได้ในแต่ละขั้นตอน ทั้งในระยะส้ัน และระยะยาวการ ปลกุ ใจตนเองใหม้ ีความเข้มแขง็ ท่จี ะตอ่ สกู้ บั อปุ สรรค ดา้ นตา่ งๆนน้ั มีความจาเป็นย่งิ เพราะเมอื่ ตนเอง มีจิตใจท่ีเข้มแข็งมีความมุ่งมั่นจะสามารถต่อสู้ กับปัญหา และอุปสรรครวมท้ังสามารถดาเนินการ พัฒนาตนเองให้บรรลุเปา้ หมาย 1.3.4 สร้างกาลังกายกาลังใจให้เข้มแข็ง ส่งเสริมตนเอง สร้างกาลังกาย กาลังใจให้ เขม้ แข็ง สรา้ งพลงั ความคิด ทส่ี ามารถปฏิบัตไิ ด้ เช่น การเลน่ กีฬา การออกกาลงั กาย การพักผอ่ น การ ฝึกสมาธิ การเขา้ รบั การฝึกอบรมเรอื่ งทเี่ ราสนใจ เปน็ ตน้ 1.3.5 พัฒนาศักยภาพภายในของตนเองอยา่ งสม่าเสมอ หม่ันฝึกฝนและพฒั นาตนเอง ในการทางานอยู่เสมอ การพัฒนาตนเองสามารถทาได้หลายวิธี เช่น อ่าน หนังสือเป็นประจา ร่วม กิจกรรมต่างๆของชุมชนตามความสนใจ การศึกษาดูงาน การศึกษาต่อ การพบปะเยี่ยมเยียนเพ่ือน หรือผู้ที่รู้จักสนิทสนม การหมุนเวียนเปล่ียนงาน การทางานร่วมกับผู้อื่น การพยายามฝึกนิสัยที่ดีดว้ ย ความสม่าเสมอ การสรา้ งความสมั พันธท์ ่ดี ีกับผูอ้ น่ื ฯลฯ 2. การพฒั นาอาชพี สคู่ วามมั่นคง อาชีพ หมายถึง การทากิจกรรม การทางาน การประกอบการท่ีไม่เป็นโทษแก่สังคม และ มรี ายไดต้ อบแทน โดยอาศยั แรงงาน ความรู้ ทักษะ อปุ กรณ์ เครือ่ งมอื วิธีการ แตกตา่ งกันไป การพัฒนาอาชีพสู่ความมั่นคง หมายถึง การประกอบอาชีพท่ีมีการพัฒนาสินค้าหรือ ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความตอ้ งการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยมี ส่วนครองตลาดได้ตามความต้องการของผู้ผลิต การเกิดย่ังยืนและไม่กลับเป็นอื่น ซึ่งแสดงถึงความ มัน่ คงในอาชีพ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรยี นรู้กองทุนหมูบ่ ้ำนและชมุ ชน 81
2.1 ความสาคญั และความจาเปน็ ของการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาอาชีพมคี วามสาคัญและความจาเปน็ ดังนี้ 1. เพื่อใหม้ ีสนิ คา้ ทดี่ ีตรงตามความต้องการของผูบ้ รโิ ภค 2. เพอื่ ให้ผ้ผู ลติ ได้มีการคิดคน้ ผลิตภณั ฑห์ รอื สินค้าไดต้ ลอดเวลา 3. นานวตั กรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพ่อื ให้สินค้ามคี ุณภาพ ยง่ิ ขึน้ 4. ทาให้เศรษฐกจิ ชมุ ชนและของประเทศดขี ึ้น ข้อควรพิจารณาในการพัฒนาอาชีพ จาเป็นที่จะต้องอาศัยกระบวนการต่างๆมาปรับใช้ให้ อย่างเหมาะสม ได้แก่ด้านกระบวนการผลิต เป็นการบริหารจัดการด้านทุน แรงงาน ที่ดนิ หรือสถานท่ี ให้เกดิ ผลผลิต ทมี่ กี ารพัฒนาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง 1. ผู้ประกอบอาชีพ จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพนั้นๆ รวมถึงทักษะในอาชพี และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาอาชีพของตน นอกจากนี้ยังเป็นผู้รักความก้าวหน้า ไม่ หยุดยิง่ ก้าวทนั กระแสโลก กล้าคดิ กลา้ ทา ทนั สมัย มองโลกในแง่ดี 2. กระบวนการตลาด เป็นการบริหารจัดการ เริ่มตงั้ แตก่ ารศึกษาความต้องการของลูกค้า การกาหนดเป้าหมาย การทาแผนการตลาด การส่งเสริมการขาย การกาหนดราคาขาย การขาย การ ส่งมอบสนิ ค้าให้กับลูกคา้ เพ่ือนาขอ้ มลู มาใช้พฒั นาอาชีพ 3. ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความชาญฉลาด อันเกิดจากพ้ืนความรู้ที่ ผ่านกระบวนการสบื ทอด ปรับปรงุ พัฒนา สะสมมาเป็นเวลานานอย่างเหมาะสม 4. นวตั กรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบตั ิ หรือส่ิงประดิษฐ์ใหม่ หรือเปน็ การพัฒนา มา จากของเดิมท่ีมอี ยู่แล้ว 5. เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้นเพ่ือช่วยในการทางานหรือแก้ปัญหาต่างๆ ตอ้ งพจิ ารณาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม / เทคโนโลยี จากองคป์ ระกอบ 4 ด้าน คอื 1) ความสามารถในการทางาน 2) ประหยัดค่าใชจ้ ่าย 3) ทางานได้รวดเร็ว 4) ไมท่ าลายส่ิงแวดลอ้ ม 6. ปัจจัยการผลิต ได้แก่ เงินทุน วัตถุดิบ แรงงาน สถานที่ ต้องพัฒนาให้มีคุณภาพ มากกว่าเดิม แตกตา่ งและโดดเด่นไปจากค่แู ข่งอนื่ ๆ ในตลาดขณะนั้น 7. โอกาสและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เช่น มีตลาดรองรับนโยบายของรัฐบาลส่งเสริมท่ี จะทาใหธ้ ุรกจิ เจรญิ กา้ วหน้า 82 สำนกั งำนกองทนุ หมบู่ ้ำนและชุมชนเมอื งแหง่ ชำติ
2.2. การพัฒนาอาชีพให้มน่ั คง การที่บุคคลจะประกอบอาชีพ มีการพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความ ต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา มีส่วนครองตลาดได้ตามความต้องการนั้น จะต้องมีองค์ประกอบ ตา่ งๆ ในการพัฒนาอาชพี ให้ม่ันคง ดงั นี้ 2.2.1 ความพรอ้ มในตนเองในการพัฒนาอาชพี ต้องมีความสนใจส่วนตัวซึ่งจะเป็นผลดีในการพัฒนาตนเองและอาชีพ มีการ พัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตลาด การประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาและนวัตกรรม/เทคโนโลยี จาเป็นที่ผู้ประกอบการอาชีพต้องศึกษาข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้เฉพาะเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม เพ่ือรองรับการพัฒนาอาชีพ จาเป็นจะต้องรู้จักเลือกใช้แหล่งท่ีเอื้อต่อการพัฒนาอาชีพได้แก่ แหล่ง เรียนรู้ แหล่งเงินทุน แหล่งวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร แหล่งงาน ตลาด ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนามาปรับใชไ้ ด้อย่างหลากหลาย สาหรับการประกอบอาชีพจาเป็นต้องมีการศึกษา วเิ คราะห์ ใหเ้ ป็นไปตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งผปู้ ระกอบการอาชพี จาเปน็ ต้องพฒั นาตนเองให้ทนั กับการ เปลีย่ นแปลงอยูเ่ สมอ มีความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ ใฝห่ าประสบการณ์ เพอื่ ความสาเร็จในงานอาชพี 2.2.2 มีการฝึกทกั ษะเพือ่ พัฒนาอาชพี กอ่ นทีจ่ ะฝกึ ทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพจะต้องวางแผนการฝึกว่าจะฝึกอยา่ งไร ท่ไี หน เม่ือไร วิเคราะห์ทักษะที่จาเป็นและต้องฝึกอย่างถี่ถ้วน ให้ครอบคลุมทักษะท่ีต้องการฝึกและมองเป็น ภาพรวมของการพัฒนาอาชีพทั้งระบบ และ สามารถวางแผนในการเลือกสถานท่ีฝึกและวิธกี ารฝึกได้ เมื่อได้มีแผนการฝึกทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพแล้ว ต้องดาเนินการฝึกทักษะอาชีพตามแผนที่กาหนดไว้ ควรมกี ารบันทึกองค์ความรเู้ กบ็ ไว้ศึกษาและเมอ่ื ปฏบิ ตั ิเสรจ็ แลว้ ต้องไดค้ วามรู้เพิม่ ข้ึน 2.2.3 มีการทาแผนธุรกจิ เพ่ือการพฒั นาอาชพี การทาแผนธุรกิจเป็นการกาหนดแนวทางในการประกอบอาชีพไว้ล่วงหน้า โดย ผ่านกระบวนการระดมความคิดจากการวเิ คราะห์ชุมชนแลว้ นามากาหนดวสิ ยั ทศั น์ พนั ธกจิ กลยทุ ธใ์ น การดาเนินงาน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพ่อื นาไปสู่ความสาเร็จตามเป้าหมายของแผน ธุรกิจนั้น การวิเคราะห์ชุมชน เพ่ือให้ทราบถึงประเด็นปัญหา และความต้องการที่แท้จริงของชุมชน ดว้ ยการศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลชุมชน โดยวิธีการกลุ่ม ให้สมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ ข้อมลู โดยใชเ้ ทคนคิ SWOT (SWOT Analysis) 1. S (Strengths) จดุ แข็งหรือจุดเดน่ ของชมุ ชน 2. W (Weaknesses) จุดอ่อนหรอื ขอ้ ด้อยของชมุ ชน 3. O (Opportunities) โอกาสทจ่ี ะสามารถดาเนนิ การได้ 4. T (Threats) อุปสรรคหรือปัจจัยท่ีเป็นความเส่ียงของชุมชนท่ีควรหลีกเล่ียงในการ ปฏิบตั ิ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจัดกำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทุนหมู่บ้ำนและชุมชน 83
วิสัยทัศน์ เป็นการกาหนดภาพในการประกอบอาชพี ในอนาคต มีความเป็นไปได้เพอื่ นาไปสูค่ วามสาเรจ็ ของธรุ กิจในทส่ี ดุ พันธกิจ คือ ภาระงานท่ีผู้ประกอบการจะต้องดาเนินการให้เกิดผลสาเร็จ การ วเิ คราะหพ์ นั ธกิจ สามารถตรวจสอบว่าพนั ธกจิ ใดควรทาก่อนหรอื หลงั เปา้ หมายหรอื เป้าประสงค์ เป้าหมายในการพฒั นาอาชีพ อาจกาหนดไวเ้ ปน็ ระยะสั้น หรือระยะยาวกไ็ ด้ เพราะจะส่งผลในการปฏบิ ัติได้ดยี ่ิงขน้ึ กลยทุ ธ์ในการวางแผนพฒั นาอาชีพ ใหส้ าเร็จ 2.2.4 มีการบรหิ ารจัดการความเสย่ี ง เป็นการวิเคราะห์ศักยภาพและการจัดการเกี่ยวกับผลการดาเนินง านท่ีผ่านมา จนถึงปัจจุบันมีสิ่งใดบ้างที่ทาให้เกิดความเส่ียงในการประกอบอาชีพ จะได้จัดการแก้ไขความเสี่ยง เหล่าน้ัน ที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การลงทุนใดท่ีไม่แน่นอนในอัตราผลตอบแทน สูงความเสี่ยงก็จะสูงตาม การจัดการความเสี่ยงเป็นกระบวนการในการวิเคราะห์ ประเมิน ดูแล ตรวจสอบและควบคุมความเส่ียงที่สัมพันธ์กับกิจกรรมหน้าที่และกระบวนการทางาน เพื่อให้งานลด ความเสียหายมากท่ีสุด การบริหารจัดการความเส่ียงต้องทาเป็นประจาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ มรี ูปแบบที่ชัดเจน 2.2.5 มกี ารจัดการการผลติ และบริการ ผู้ประกอบอาชีพต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในเร่ืองการจัดการ การผลิตและการ บริการเป็นอย่างดี ดาเนินงานตามข้ันตอนต่างๆ อย่างต่อเน่ืองทาให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจบน แนวคิดพื้นฐานวา่ เม่ือกระบวนการดผี ลลพั ธ์ท่อี อกมากจ็ ะดีตาม การใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยีในการ ผลิตเปน็ การพัฒนาความสามารถของมนุษย์ ในการแก้ปญั หาและสนองความต้องการอยา่ งสร้างสรรค์ การดาเนินธรุ กิจให้มีการพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง ต้องมีระบบควบคุม การจัดการการผลิตและการบริการ ระบบการควบคุมท่ีนยิ มใชม้ าก ได้แกว่ งจรควบคมุ PDCA (Deming Cycle) มีรายละเอยี ด ดงั น้ี P (Planting) การวางแผน D (Do) การปฏบิ ตั ิ C (Check) การตรวจสอบ A (Action) การปรับปรงุ แกไ้ ขและต้ังมาตรฐานในการทางาน 2.2.6 มกี ารจัดการด้านการตลาด การจัดการการตลาดมีบทบาทสาคญั ในการดาเนินธรุ กิจ ต้องวิเคราะห์ตลาด ก่อน ตัดสินใจลงทุน เพ่ือจะได้ดาเนินธุรกิจไปในทิศทางท่ีถูกต้อง การจัดการการตลาดเป็นการดาเนิน กิจกรรมต่างๆ ด้านธุรกิจต้องมีการวางแผนการผลิต การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การวิจัยตลาด การส่งเสริมการขาย การทาข้อมูลฐานลูกค้า การกระจายสินค้า การกาหนดราคา การจัดจาหน่าย เพ่ือสนองความต้องการ และบริการให้แก่ผู้ซื้อหรอื ผูบ้ ริโภคพอใจ 84 สำนกั งำนกองทนุ หมบู่ ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ
2.3 ขนั้ การพัฒนาอาชพี สู่ความมน่ั คง นอกจากท่ีจะต้องมีองค์ประกอบต่างๆ ในการพัฒนาอาชีพให้ม่ันคง ตามหัวข้อ 2.1 แล้ว ข้นั ตอนในการไปส่กู ารพัฒนาอาชพี ใหม้ คี วามมน่ั คง ควรเริ่มจากข้ันตอน ต่อไปนี้ 2.3.1 คน้ หา แสวงหาโอกาสในการประกอบอาชพี การมองเห็นโอกาสและความสามารถที่จะนาโอกาสน้ันมาประกอบอาชีพท่ี เหมาะสมกับสภาพการณ์ในขณะน้ัน บุคคลสามารถพัฒนาตนเองให้มองเห็นโอกาสในการประกอบอาชีพ ดังนี้ 1) ความชานาญจากงานท่ีทาในปัจจุบัน การงานที่ทาอยู่ในปัจจุบันจะเป็นแหล่ง ความรู้ ความคิดทจ่ี ะช่วยให้มองเหน็ โอกาสในการประกอบอาชพี ได้มาก 2) ความชอบ ความสนใจส่วนตัว หรืองานอดิเรก เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ มองเห็นโอกาส ในการประกอบอาชพี 3) การฟังความคิดเห็นจากแหล่งต่างๆ การพูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับ บคุ คลกลมุ่ ต่างๆ เปน็ แหล่งความรแู้ ละก่อให้เกดิ ความคดิ รเิ รม่ิ เปน็ อยา่ งดี 4) การศึกษา ค้นคว้าจากหนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ การดูวีดีทัศน์ ฟังวิทยุ ดู รายการโทรทศั น์ เปน็ ต้น จะชว่ ยทาใหเ้ กดิ ความรแู้ ละความคิดใหมๆ่ ได้ 5) ข้อมูล สถิติ รายงาน ข่าวสารจากหน่วยราชการและเอกชน รวมท้ังแผนพฒั นา เศรษฐกิจของประเทศ ในการมองหาช่องทางในการประกอบอาชีพ ผู้ท่ีจะมองหาอาชีพ พัฒนาอาชีพ จึงควรให้ความสนใจในขอ้ มูลข่าวสารตา่ งๆ 6) ทรัพยากรรอบๆ ตัว หรือ ในชุมชน ท่ีเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ ทั้งด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่เอื้อต่อการ ประกอบอาชีพ ซ่ึงแต่ละพ้ืนที่แตกตา่ งกัน นอกเหนือไปจากความรู้ ความสามารถท่ีมอี ยู่ 2.3.2 การขับเคลื่อนสกู่ ระบวนการพัฒนาอาชีพและธุรกิจ ภายหลังท่ีได้มีการศึกษาตนเอง และค้นหา แสวงหาโอกาสในการประกอบอาชีพ การขบั เคล่อื นเพอ่ื พฒั นาธรุ กจิ มุ่งเน้นการส่งเสริมการแกป้ ญั หา การแสวงหาความรู้ การบรหิ ารจดั การ ทรัพยากร และ การจัดทาแผนและ การขับเคล่ือนแผน ด้วยกระบวนการผลิต วิเคราะห์ จนบรรลุ ความเข้มแข็งยั่งยืน มีการดารงชีวิตในส่ิงแวดล้อมที่ดีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนพัฒนา อาชีพ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าแผนพัฒนาอาชีพมีทิศทางการพัฒนาถูกต้องมีความเป็นไปได้สูง การพัฒนาอาชีพในชุมชน สิ่งสาคัญที่ต้องวิเคราะห์คือความสามารถ ความรู้ ความชานาญและ เทคโนโลยกี ารผลิตที่หลากหลายเข้าด้วยกนั หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบนั กำรเรียนรู้กองทนุ หมู่บำ้ นและชุมชน 85
2.4 การพัฒนาอาชีพตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2.4.1 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชน ในทุกระดับต้ังแต่ ระดับครอบครัวระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพฒั นาและบริหารประเทศให้ ดาเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความ พอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันใน ตัวท่ีดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปล่ียนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนาวชิ าการตา่ งๆมาใช้ใน การวางแผนและการ ดาเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคน ในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสานึกในคุณธรรม ความ ซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพ่อื ใหส้ มดลุ และพรอ้ มต่อการรองรบั การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกวา้ งขวาง ท้ังดา้ นวตั ถุ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 11 ได้จัดทาขึ้นในช่วงเวลาท่ีประเทศไทยต้องเผชิญกับ สถานการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบ อย่างรุนแรงกว่าช่วงที่ผ่านมา ในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8–10 สังคมไทยได้อัญเชิญหลัก \"ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพยี ง\" ไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ย่างกว้างขวางในทกุ ระดบั ต้ังแต่ระดบั ปจั เจก ครอบครวั ชมุ ชน สังคม จนถึงระดับประเทศ ซ่ึงไดม้ ีส่วนเสรมิ สร้างภมู ิคุ้มกันและช่วยให้สังคมไทยสามารถยืนหยัดอยูไ่ ด้ อย่างม่ันคงท่ามกลางกระแสการเปล่ียนแปลงดังกล่าว ในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ทุกภาคส่วน ในสังคมไทยเห็นพ้องร่วมกันน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานาทางในการ พัฒนาประเทศอย่างต่อเน่ือง เพ่ือมุ่งให้เกิดภูมิคุ้มกันและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่าง เหมาะสม เพื่อให้การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและย่ังยืน และเพ่ือมุ่งสู่ “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสขุ ดว้ ยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภมู ิคุ้มกนั ต่อการเปลย่ี นแปลง” การพฒั นาประเทศในระยะแผนพฒั นาฯ ฉบับท่ี 11 จึงเป็นการนาภูมิคุ้มกันท่มี ีอยู่ พร้อมทั้งเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศให้เข้มแข็งข้ึน เพ่ือเตรียมความพร้อมคน สังคม และระบบ เศรษฐกจิ ของประเทศใหส้ ามารถปรบั ตัวรองรับผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลงได้อย่างเหมาะสม โดย ให้ความสาคัญกับการพัฒนาคนและสังคมไทยให้มีคุณภาพ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากร และได้รับ ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นธรรม รวมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วย ฐานความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นฐานการผลิตและการบริโภคท่ีเป็น มิตรต่อส่ิงแวดลอ้ ม เพื่อประโยชน์สขุ ทยี่ ่ังยนื ของสังคมไทยตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 86 สำนกั งำนกองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชำติ
2.4.2 องค์ประกอบและเง่อื นไขของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง (3 ห่วง 2 เงื่อนไข) 3 องค์ประกอบ และ 2 เงื่อนไข : บันไดสู่เป้าหมายปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) 1. ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดี ไมน่ อ้ ยเกนิ ไปไม่มากเกนิ ไป หรือสุดโต่ง ไปขา้ งใดข้างหน่งึ และตอ้ งไม่เบียดเบยี นตนเองและผู้อนื่ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง ทุกการตัดสินใจ การกระทา การลงทุน ต้องเป็นไป อย่างมเี หตผุ ล คานึงถึงเหตุปจั จยั ทเ่ี กีย่ วข้องและผลที่คาดวา่ จะเกดิ ขน้ึ อย่างรอบคอบ 3. การมีภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมท่ีจะเผชิญผลกระทบ และเปลย่ี นแปลงด้านตา่ งๆ ท่ีอาจเกดิ ข้ึนจากทั้งภายในและภายนอก ท้งั นี้ ตอ้ งมีเงอ่ื นไขสาคญั 2 ประการ 1. มคี วามรู้ คอื มคี วามรอบรู้ รอบคอบ และระมดั ระวังในการนาความรู้ วทิ ยาการ เทคโนโลยตี ่างๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการปฏบิ ตั ิ 2. มีคุณธรรม คือ มีความตระหนัก มีความซ่ือสัตย์ สุจริต มีความอดทน มีความ เพยี รและใช้สติปัญญาในการดาเนนิ ชวี ติ 2.4.3 หลักการปฏบิ ัตขิ องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง กับ ทฤษฎใี หม่/ทฤษฎใี หมท่ างการเกษตร หรอื ทฤษฎีใหม่ 3 ขน้ั ในทางปฏบิ ัตติ ามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 1) ทากินให้พอเพียงเพือ่ เลย้ี งชีพ (Farmland Division for Optimum Benefits) เป็นวิธีจัดสรรท่ีดินของเกษตรกรท่ีเป็นเจ้าของท่ีดินจานวนน้อยประมาณ 15 ไร่ เพ่ือให้สามารถเล้ียง ตนเองได้ (Self-sufficiency) ผลิตอาหารบริโภคเอง เหลอื ขาย ทาใหม้ ีกนิ อิ่ม ไมต่ ดิ หน้ี มเี งินออม โดยแบ่งพ้นื ที่15 ไร่ออกเป็น 4 ส่วนตามอัตราสว่ น 30:30:30:10 % 1. ส่วนแรก 30% ขุดสระไวก้ ักเก็บนา้ ไมต่ ้องพง่ึ ธรรมชาตอิ ยา่ ง เดยี ว 2. ส่วนท่ีสอง 30% ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก สมุนไพร ฯลฯ เพ่ือเป็นอาหาร ประจาวัน หากเหลอื จากการบรโิ ภคจึงนาไปจาหน่าย 3. ส่วนท่ีสาม 30% ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจาวันสาหรับ ครอบครัวใหเ้ พียงพอตลอดปี 4. ส่วนสดุ ทา้ ย 10% เปน็ ทอี่ ยอู่ าศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทางและโรงเรอื นต่างๆ 2) ผลิตขายสู่ตลาดชุมชน (Communal Agriculture) รวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือ สหกรณ์เพือ่ ดาเนินการผลิต หาตลาดร่วมกันเพอ่ื ส่งสนิ ค้าออกขายให้ไดร้ าคาดีและเป็นการลดค่าใช้จ่าย นอกจากการร่วมกันดาเนินการผลิตและหาตลาดแล้ว ยังต้องร่วมกันจัดสวัสดิการทางด้านต่างๆ และ ปัจจัยพ้ืนฐานในการดารงชีวิตให้พอเพียงด้วย รวมตัวกันเป็นองค์กรชุมชน ทาเศรษฐกิจชุมชนใน รูปแบบตา่ งๆ เชน่ เกษตร หัตถกรรม อตุ สาหกรรม แปรรูปอาหาร ทาธรุ กิจ ป๊มั น้ามัน ขายอาหาร ขาย สมนุ ไพร ตัง้ ศนู ยก์ ารแพทยแ์ ผนไทย จัดการทอ่ งเท่ยี วชมุ ชน มกี องทนุ ชมุ ชนหรอื ธนาคารหม่บู า้ น ฯลฯ หลกั สตู รกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หม่บู ำ้ นและชุมชน 87
3) สร้างเครือข่ายระบบธุรกิจชุมชนที่ยั่งยืน (Loan and Credit Outreach)การ ติดต่อประสานงาน เช่ือมโยงธุรกิจเพื่อจัดหาทุนหรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้าน เอกชนมาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายเงินทุนจะได้รับประโยชน์ ร่วมกันคือ เกษตรกรสามารถขายข้าวได้ในราคาสูงโดยไม่ถูกกดราคาและยังสามารถซ้ือสินค้าอุปโภค บรโิ ภคได้ในราคาตา่ เพราะเปน็ การรวมกลุ่มกนั ซอื้ เป็นจานวนมาก แนวคดิ การพัฒนาชุมชน กรอบแนวคิดการพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) มีแนวคิดท่ีต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8-10 โดยยังคงยึดหลักการปฏิบัติตาม “ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคล่ือนให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติท่ีชัดเจนยิ่งข้ึนในทุกภาคส่วน ทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มีการเช่ือมโยง ทุกมิติของการพัฒนาอย่างบูรณาการ ทั้งมิติตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อ สร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนท้ังในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกัน ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมใน กระบวนการพฒั นาประเทศ การพัฒนาชุมชน ( Community Development) เป็นกระบวนการให้การศึกษา (educational process) แก่ประชาชนเพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้ (self–reliance) หรือช่วยตนเอง ได้ (self–help) ในการคิด ตัดสินใจ และดาเนินการแก้ปัญหา ตลอดจนตอบสนองความต้องการของ ตนเอง และส่วนรวม เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกด้านโดยประชาชน มี หน่วยงานอ่ืนๆ ท้ังภาครัฐ และเอกชนเป็นผู้ให้การสนับสนนุ และการพัฒนาจะต้องสอดคล้องกับความ ตอ้ งการของชุมชนและสภาพแวดล้อมเปน็ สาคญั ปรัชญาของการพัฒนาชุมชน ปรัชญาของการพัฒนาชุมชนมาจากหลักการเก่ียวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความแตกต่าง กันท้ังรูปร่าง มันสมอง และจิตใจ มนุษย์จึงไม่มีความเท่าเทียมกัน แตโ่ ดยข้อเท็จจริงมนุษย์ทุกคนจะมี สิทธิและความเสมอภาคในการมีโอกาสท่ีจะกระทาสิ่งต่างๆ สิทธิและโอกาสท่ีจะก้าวหน้า แสดง ความรู้ ความสามารถ การประกอบกิจกรรมต่างๆ ให้พัฒนาขึ้น เป็นตัน แต่โอกาสเหล่าน้ีขึ้นอยู่กับ ภาวะธรรมชาติและภาวะกายภาพของแต่ละบุคคล ดังนั้น มนุษย์จึงย่อมไม่มีสิทธิและเสมอภาคใน ความสาเรจ็ ของชีวิตโดยเทา่ เทยี มกนั (ยวุ ฒั น์ วุฒเิ มธี. 2534 : 4) ปรัชญาของการพัฒนาชุมชนเกิดจากการผสมผสานหลักการดังกล่าวเข้ากับความหมายของการ พฒั นาชมุ ชนทมี่ ุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพและโอกาสในการประสบความสาเร็จในชีวิตของคนมี 5 ประการ คือ 1. บุคคลแต่ละคนมีความสาคัญ ถงึ แม้บคุ คลจะมีความแตกต่างกัน แตท่ ุกคนมีสิทธทิ ี่พึงไดร้ ับ ความยุตธิ รรมและอย่างมเี กยี รตใิ นฐานะทเี่ ป็นมนษุ ยห์ นง่ึ 88 สำนักงำนกองทุนหม่บู ำ้ นและชมุ ชนเมืองแหง่ ชำติ
2. บคุ คลแต่ลุคนมสี ิทธิ เสรภี าพในการกาหนดวิถกี ารดารงชวี ติ ตามความต้องการของตน โดย ไม่ถกู บีบบงั คับจากบคุ คลอ่นื 3. บคุ คลแต่ละคนมีศกั ยภาพหรือพลงั ความรู้ความสามารถในด้านตา่ งๆ ทัง้ ที่เปดิ เผยและแฝง เร้นศักยภาพเหล่านี้มีประโยชน์ต่อบุคคลและชุมชนเป็นอย่างมากถ้ารู้จักนามาใช้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะอย่างยงิ่ พลงั ที่แฝงเร้นอยู่ในบุคคล ซึ่งไม่ถกู นามาใช้ประโยชนม์ ากนกั 4. การพัฒนาศักยภาพของบุคคลและชุมชนเป็นส่ิงทม่ี คี วามสาคัญย่ิงต่อชีวิตของบคุ คลชุมชน และสงั คม โดยสามารถพฒั นาไดด้ ้วยวธิ ีการให้การศกึ ษาและการทางานรว่ มกันเป็นกล่มุ 5. ถา้ มโี อกาสบุคคลแต่ละคนมีความสามารถในการพฒั นาศกั ยภาพ หรือพลังความสามารถของตนได้ โดยสรุป ปรัชญาของการพัฒนาชุมชน : (Philosophy of Community Development) มนุษย์เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา “Man is the center of development” มนุษย์ทุกคนมี ศกั ยภาพ เน้นการช่วยเหลือตนเอง / การพ่งึ พาตนเอง 1. หลักการพัฒนาชุมชน (Principles of Community Development) หลักการของการ พฒั นาชมุ ชน มหี ลักการพอสรปุ ไดด้ ังตอ่ ไปนี้ 1.1 พิจารณาถึงบริบทของชุมชน (Context) เป็นหลักในการเร่ิมงาน บริบทของชุมชน หมายถึง สภาพความเป็นอยู่ในชุมชน ท้ังสภาพความเป็นอยู่ทาง กายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ทรัพยากรในชุมชน การที่นักพัฒนาทราบสภาพความเป็นอยู่ของ ชุมชนก็สามารถท่ีจะวางแผนและดาเนนิ งานพัฒนาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 1.2 ให้ความสาคัญกับคนในชุมชนเป็นหลัก (People - Center Development) การ พัฒนาชุมชนจึงต้องเร่ิมด้วยการให้ความสาคัญกับคนในชุมชนเป็นหลัก ในการพฒั นาโดยให้คนในชุมชน ค้นหาความตอ้ งการและปัญหา (Identify Need and Problem) ของตนเองให้พบ 1.3 การมีส่วนร่วมของประชาชน (Peoples’ Participation) ชักจูงประชาชนให้เข้ามา เกี่ยวขอ้ งและมีส่วนรว่ มด้วยตง้ั แตศ่ ึกษาชมุ ชน วางแผนวางโครงการ ปฏบิ ัติการตามโครงการ และการ ให้มากท่ีสุดเท่าทีจ่ ะทาได้ ทั้งนี้ เน่ืองจากกวา่ ผลของการดาเนินงานพฒั นาน้ันสง่ ผลกระทบโดยตรงต่อ ตวั ประชาชน ควรทจ่ี ะให้ประชาชนเลือกแนวทางในการพฒั นาสภาพความเปน็ อยู่ของตนเอง 1.4 เร่ิมต้นทางานกับผู้นาท้องถิ่น (Local Leader) การทางานกับผู้นาท้องถ่ินเป็น หลักการพัฒนาชุมชนท่ีสาคัญอย่างหนึ่ง การพัฒนาชุมชนจะขยายตัวกว้างออกไปและบรรลุ วัตถุประสงค์ได้ ส่วนหน่ึงขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความสามารถของผู้นาในท้องถิ่น ซ่ึงจะมีท้ังผู้นาที่เป็น ทางการ คือ มีบทบาท ตาแหน่งหน้าท่ี ตามท่ีได้รับแต่งต้ังจากทางราชการ เช่น กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผสส. อสม. ครูในหมู่บา้ นหรือตาบล และผู้นาท่ีไม่เป็นทางการ คือ ผู้นาท่ีคนในหมู่บา้ นให้ความเคารพ นับถือและมีบทบาทในการช้นี าการพฒั นา เช่น เถ้าแก่โรงสี เถ้าแก่ไร่อ้อย คนเฒ่าคนแก่ จ้า พระสงฆ์ เปน็ ตน้ 1.5 การพัฒนาชุมชนตอ้ งค่อยเป็นค่อยไป (Gradualness) การพัฒนาชมุ ชนไมค่ วรเร่งรีบ จนเกินไป ควรดาเนนิ งานแบบคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป ควรคิดถงึ ผลกระทบในการพฒั นาชุมชนในระยะยาว หลักสูตรกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนรู้ สถำบันกำรเรยี นรู้กองทนุ หมบู่ ำ้ นและชุมชน 89
1.6 การพัฒนาชุมชนต้องทาเป็นกระบวนการต่อเน่ือง (Continuity) โครงการใด โครงการหนึ่งที่ดาเนินการตามกระบวนการพัฒนาชุมชนและสาเร็จไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่า งาน พฒั นาชุมชนเสร็จส้ินตามไปด้วย จะต้องมีการเร่ิมทาโครงการใหม่ต่อไปเรอื่ ยๆ ไม่มีท่ีส้ินสุด หรือเรียก ได้ว่า เปน็ กระบวนการทมี่ คี วามต่อเนือ่ ง 1.7 ใช้วิธีดาเนินงานแบบประชาธิปไตย (Democracy) ในการดาเนินงาน การพัฒนา ชุมชนจะต้องนาแบบประชาธิปไตยมาใช้เพ่ือส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักคิดด้วยตนเอง รู้จัก อภิปรายและแลกเปลยี่ นความคดิ เห็น ตลอดจนร่วมกันทางานตามขอ้ ตกลงทไ่ี ดร้ ว่ มกนั กาหนดไว้ 1.8 ใช้หลักการประสานงาน (Coordination) งานพัฒนาชุมชนน้ันมิใช่งานของ หน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึงโดยเฉพาะ เป็นงานท่ีจะต้องร่วมกันรับผิดชอบทุกหน่วยงาน จึงต้องอาศัย การประสานงานเป็นหลักในการดาเนินงาน 1.9 ทาการประเมินผลตลอดเวลา (Evaluation) การประเมินผล เพ่ือให้รู้ว่ามี ความก้าวหน้าเรียนรู้ถึงขอ้ ดี ข้อเสีย ความผิดพลาด และความสาเรจ็ และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน การทางานคร้ังต่อไปได้ ซ่ึงในการประเมินผลน้ันสามารถทาได้ในทุกขั้นตอนของการดาเนินงานและ เม่อื โครงการเสรจ็ สิ้นไปแล้ว 1.10 ทางานกับองค์การที่มีอยู่ในชุมชน (Community Organization) ในชุมชนใดที่มี สมาคม สถาบัน สโมสร หรือองค์กรอน่ื ๆ อยู่ย่อมมีผู้นาขององค์กรน้ันๆ อยู่ดว้ ยหลักการพัฒนาชุมชน ต้องพยายามใช้องค์กรเหล่าน้ีให้เป็นประโยชน์ โดยดึงเอาสมาชิกหรือตัวแทนขององค์กร เข้ามาร่วม ทางาน 1.11 ทางานโดยผ่านกระบวนการกลุ่ม (Grouping Process) การทางานโดยผ่าน กระบวนการกลมุ่ เปน็ หลักการสาคัญ เพราะพลังกลุม่ มอี ิทธิพลเข้มแข็งและมนั่ คงมากกว่าคนๆ เดียว 1.12 สอดคล้องกับนโยบายของชาติ (Policy) การพัฒนาชุมชนซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการ พัฒนาประเทศ ผลการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดข้ึนจะมีผลต่อความเปล่ียนแปลงในระดับชาติเสมอ ฉะนั้น การจัดทาแผนงานหรือกิจกรรมใดๆ จะต้องให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระดับตาบล อาเภอ จังหวัด และสอดคลอ้ งเป็นแนวเดยี วกันนโยบายของชาติ จากหลักการทั้งหลายของการพัฒนาชุมชนที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด อาจสรุปได้ว่า การ พัฒนาชุมชนเป็นกระบวนการที่พยายามที่จะเปล่ียนแปลงแนวความคิดทัศนคติและพฤติกรรมของ ประชาชนในชมุ ชนใหด้ ขี ้นึ กวา่ เดมิ โดยรว่ มมอื กันพัฒนาให้ชุมชนของตนเป็นชมุ ชนที่ดี สรา้ งความรู้สึก รกั และผกู พันตอ่ ชมุ ชนของตน 2. กระบวนการพฒั นาชุมชน กระบวนการพัฒนาชมุ ชนมขี นั้ ตอนมีดังนี้ ดังนี้ 2.1. การศึกษาชุมชน เป็นการเสาะแสวงหาข้อมูลต่างๆ ในชุมชน เช่น ข้อมูลด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง การปกครอง และสภาพความเปน็ อยขู่ องคนในชมุ ชน เพอื่ ทราบปญั หาและ ความต้องการของชุมชนท่ีแท้จริง วิธีการในการศึกษาชุมชนอาจต้องใช้หลายวิธีประกอบกัน ท้ังการ 90 สำนกั งำนกองทุนหม่บู ้ำนและชุมชนเมืองแหง่ ชำติ
สมั ภาษณ์ การสังเกต การสารวจ และการศกึ ษาข้อมลู จากเอกสารตา่ งๆ ที่มีอยู่ในชุมชนด้วย เพอ่ื ใหไ้ ด้ ขอ้ มลู ทตี่ รงกับความเปน็ จริงมากทส่ี ุด การพฒั นาชุมชน จาเป็นตอ้ งอาศัยข้อมลู หลายๆ ดา้ น ภายในของชุมชน ข้อมูลทส่ี าคญั ที่ เกีย่ วขอ้ งกับการพฒั นาชุมชน ทน่ี ักพฒั นาจะต้องศึกษาหาข้อมูล มดี ังน้ี ต่อไปน้ี 1) ขอ้ มูลดา้ นกายภาพและทรพั ยากรธรรมชาติของชุมชน 2) ข้อมลู ด้านเศรษฐกิจของชมุ ชน 3) ขอ้ มูลสังคมและวฒั นธรรมของชมุ ชน 4) ข้อมลู ดา้ นการเมืองการปกครองของชมุ ชน 5) ข้อมูลดา้ นสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนโดยรวมเพอื่ การพัฒนาเชน่ ข้อมูลตนเอง ครอบครัว ชมุ ชนและสงั คมเพ่ือการพฒั นา (1) ข้อมูลตนเอง คือ ข้อมูลความเป็นตัวเราซ่ึงมีส่ิงท่ีแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจาก ผู้อื่นทั้งภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ เช่น ชื่อ – นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด อายุ สัญชาติ เชื้อชาติ สถานภาพ สีผิว รูปร่าง ส่วนสูง น้าหนัก อาชีพ รายได้ และภายในตัวเรา เช่น อารมณ์ บุคลิกลักษณะ ความคิดความรสู้ ึก และความเชอ่ื เปน็ ต้น (2) ข้อมูลครอบครัว เปน็ ข้อมูลของกลุ่มคนตัง้ แต่ 2 คนขึ้นไปท่ีมีความสมั พันธเ์ กี่ยวข้องกนั ทางสายโลหิต การสมรส หรือการรับผู้อื่นไว้ในความอุปการะ เช่น บุตรบุญธรรม คนใช้ ญาติพ่ีน้อง มา อาศยั อยดู่ ว้ ยกนั ในครวั เรือนเดยี วกนั ข้อมูลครอบครัว เช่น จานวนสมาชิกในครอบครัว ข้อมูลตนเองของทุกคนใน ครอบครัว สภาพที่พักอาศัยและสิ่งแวดล้อม ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน รายได้ – รายจ่ายรวมของ ครอบครวั : เดือน ปี เปน็ ตน้ ตัวอย่างข้อมูลครอบครวั ของตนเอง 1. จานวนสมาชกิ ในครอบครัว........................คน 2. หัวหน้าครอบครัว 2.1 ช่อื ................................................อายุ..............ปี 2.2 อาชพี หลกั ......................................รายได้ต่อปี....................บาท 2.3 อาชพี รอง/อาชีพเสรมิ ..............................รายได้ต่อปี............บาท 2.4 รายไดร้ วมต่อป.ี ................................บาท 2.5 การศึกษาสงู สดุ ของหัวหน้าครอบครัว.................................................. 2.6 บทบาทในชมุ ชน (กานนั , ผู้ใหญ่บ้าน, สมาชกิ อบต. ฯลฯ….......……… (3) ขอ้ มลู ชมุ ชนและสงั คม 3.1 ขอ้ มลู ชมุ ชน ชุมชน หมายถึง อาณาเขตบริเวณหน่ึงท่ีมีกลุ่มคนซึ่งมีวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกัน อาศัยอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน มีการตดิ ต่อสื่อสารกันเป็นปกตอิ ย่างต่อเนื่อง มีวัฒนธรรม ความเชื่อ หลกั สูตรกำรบรหิ ำรจดั กำร กำรเรยี นรู้ สถำบันกำรเรียนรู้กองทนุ หมู่บำ้ นและชมุ ชน 91
จารตี ประเพณเี ดียวกัน ใช้สาธารณสถานและสถาบันร่วมกนั ชมุ ชนมีลักษณะหลายประการเหมือนกับ สังคม แต่มีขนาดเล็กกว่า มคี วามสนใจร่วมที่ประสานสัมพนั ธก์ นั ในวงแคบกว่า ข้อมูลชุมชน ประกอบด้วยข้อมูลด้านต่างๆ ดังนี้ คือ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และความเป็นมา ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ – สังคม ข้อมูลด้านการเมืองและการปกครอง ขอ้ มลู ดา้ นศาสนาและวฒั นธรรม และขอ้ มลู ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม เปน็ ตน้ 3.2 ข้อมูลสงั คม สังคม หมายถึง กลุ่มคนมากกว่าสองคนขึ้นไปอยู่อาศัยร่วมกันเป็นเวลาอัน ยาวนานในพื้นที่ที่กาหนด คนในกลุ่มมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกัน มีระเบียบแบบแผนร่วมกันเพ่ือให้ การดารงอยู่เป็นไปด้วยดี มีกิจกรรมร่วมกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมท่ีเหมือนกันเป็นแนวทางในการ ดาเนินชวี ิตอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอย่างสงบสขุ ข้อมูลทางสังคม เช่น ข้อมูลด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี สาธารณสุข อาชญากรรม สาธารณภัย ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ การเมืองการ ปกครอง หนา้ ท่พี ลเมอื ง ประวตั ศิ าสตร์ ภมู ิศาสตร์ เปน็ ต้น 2.2. การวเิ คราะห์ปญั หาชุมชน เป็นให้วเิ คราะหถ์ ึงปญั หาความต้องการและ สภาพท่ีเป็น จริง ผลกระทบ ความรุนแรง และความเสียหายต่อชุมชน กลวิธีที่สาคัญในข้ันตอนน้ี คือ การกระตุ้น ให้ประชาชนได้รู้ เข้าใจ และตระหนักในปัญหาของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ การจัดเวทีประชาคม เพือ่ ค้นหาปญั หาร่วมกันของชุมชน 2.3 การจัดลาดับความสาคัญของปัญหา ในการวเิ คราะห์ปัญหาชุมชน และการจัดลาดับ ความสาคญั ของปัญหา นักพัฒนาอาจใช้เทคนิควธิ ีการตา่ งได้ อาทิ 2.3.1 การประเมนิ โดยให้คา่ นา้ หนกั ของปญั หา แลว้ นามาคิดคะแนนรวม 2.3.2 การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาแบบผังก้างปลา (The Fish Bone) โดยใช้ การวเิ คราะหป์ จั จัยในการบรหิ าร 4 M’s 2.3.3 การวเิ คราะหห์ าสาเหตขุ องปญั หาแบบตรวจสอบรายการ 2.4 การวางแผนแก้ไขปัญหา การวางแผน โครงการ เป็นข้ันตอนให้ประชาชนร่วม ตัดสินใจ และกาหนดโครงการ เป็นการนาเอาปัญหาท่ีประชาชนตระหนัก และยอมรับว่าเป็นปัญหา ของชุมชนมาร่วมกัน หาสาเหตุ แนวทางแก้ไข ในข้ันตอนนี้ คือ การให้ความรู้เก่ียวกับกระบวนการ และ วิธกี ารวางแผน การเขยี นโครงการ โดยใชเ้ ทคนิคการวางแผนแบบให้ประชาชนมสี ่วนร่วม 2.5 การดาเนินงานพัฒนาตามแผนและโครงการ โดยมผี ู้รับผดิ ชอบในการดาเนนิ การตาม แผนและโครงการที่ได้ตกลงกันไว้ กลวิธีท่ีสาคัญในขั้นตอนน้ี คือ การเป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุนใน 2 ลกั ษณะ คอื 2.5.1 เป็นผู้ปฏิบัติงานทางวิชาการ เช่น แนะนาการปฏิบัติงาน ให้คาปรึกษาหารือ ในการแกไ้ ขปญั หาทีเ่ กดิ ข้ึนจากการปฏิบตั ิงาน 2.5.2 เปน็ ผ้สู ง่ เสริมให้ชาวบา้ นเขา้ มามีสว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิงาน 92 สำนกั งำนกองทนุ หมบู่ ำ้ นและชมุ ชนเมอื งแหง่ ชำติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271