Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมเล่มค่ายวิทย์

รวมเล่มค่ายวิทย์

Published by bbo_ chaleawkit, 2021-05-17 04:39:55

Description: รวมเล่มค่ายวิทย์

Search

Read the Text Version

ห น้ า | 90 1. พลังงานไฟฟา้ ปัจจุบนั ไฟฟา้ เป็นปจั จัยสาคัญในการดารงชีวติ ประจาวัน จะเหน็ ได้ว่าไฟฟ้าเป็นพลงั งานชนดิ หน่งึ ท่มี นุษย์ นามาใช้ประโยชน์ไดห้ ลายอย่าง ในด้านการพฒั นาเศรษฐกิจ การเพม่ิ ผลผลิต ทงั้ เกษตรกรรมและอุสาหกรรมท่ี สามารถกระจายรายได้ และขยายขีดความสามารถในการแข่งขันในด้านการผลิตและการขายสินค้า ซึ่งเป็น เป้าหมายสาคัญในการพฒั นาเศรษฐกิจ สถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในปัจจบุ นั มแี นวโน้มใช้พลังงานเพ่มิ มากขน้ึ แต่แหล่งที่มาของการผลติ พลงั งานเรม่ิ ลดลง จึงจาเป็นต้องมีการนาพลงั งานทดแทนมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอกับความ ต้องการของประชาชนในอนาคต 1.1 ความหมายของไฟฟา้ ตามศัพทบ์ ัญญัตขิ องราชบณั ฑติ ยสถานให้คานิยามของไฟฟ้า คือ การเคล่ือนท่ีของอเิ ล็กตรอนหรือ พลงั งานรปู หนง่ึ ซ่ึงเก่ยี วข้องกับการแยกตัวออกมา หรือโปรตอน หรืออนุภาคอน่ื ทมี่ ีสมบัติแสดงอานาจคล้ายคลึง กับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดพลังงานอนื่ เช่น ความร้อน แสงสว่าง การเคล่อื นท่ี 1.2 ความสาคญั ของไฟฟ้า ไฟฟา้ เปน็ พลงั งานชนดิ หนึ่งท่ีมนษุ ยน์ ามาใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลายอยา่ ง นอกจากจะให้แสงสวา่ งเวลาคา่ คนื แล้ว ยังให้ความรอ้ นในการหงุ ต้มและรีดผา้ ใช้ในการหมนุ มอเตอร์ เช่น เคร่ืองดูดฝุ่น เคร่ืองป่นั และเครอ่ื งทา ความเยน็ ไฟฟ้าจงึ มคี วามสาคญั และจาเป็นตอ่ การดารงชีวิตของคนเรา ปัจจบุ นั ไฟฟ้าเป็นปจั จยั สาคัญท่ีสุดปัจจยั หน่งึ สาหรับการดารงชวี ิตประจาวันของชนในชาติ การส่ือสาร การคมนาคม การใหค้ วามรู้ การศกึ ษา และการมสี ว่ นร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย ซ่ึงเป็นเง่ือนไขสาคัญต่อ การมนุษยชนจะเกิดขน้ึ และมปี ระสทิ ธภิ าพไม่ได้ถ้าขาด “ไฟฟา้ ” “ไฟฟา้ ”เปน็ ตวั แปรสาคัญในการพฒั นาเศรษฐกจิ การเพ่ิมผลผลิตทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ ทันสมยั การกระจายรายได้ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในดา้ นการผลติ และการขายสนิ ค้า ซงึ่ เป็น เปา้ หมายสาคัญในการพัฒนาเศรษฐกจิ 1.3 ประเภทของไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.3.1 ไฟฟา้ สถิต (Static electricity หรือ Electrostatic Charges) ไฟฟา้ สถิต คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าบวกและลบที่คา้ งอยู่บนพื้นผวิ วสั ดมุ ีไมเ่ ท่ากนั และไม่ สามารถทจ่ี ะไหลหรือถ่ายเท่ไปทอี่ น่ื ๆ ได้เนื่องจากวสั ดุน้นั เปน็ ฉนวนหรือเป็นวัสดุทไี่ ม่นาไฟฟา้ จะแสดง ปรากฏการณใ์ นรูปการดึงดดู การพลกั กนั หรือเกิดประกายไฟ เกดิ ขนึ้ ได้จากการเอาอาพนั ถกู ับผ้าขนสัตว์แล้วแทง่ อาพันจะดูดวตั ถเุ บาๆ ได้ ดงั เห็นได้จากในชวี ติ ประจาวนั ของเรา สามารถพบไฟฟ้าสถิตได้เสมอ เช่น เมือ่ เรานา มือเข้าไปใกล้จอโทรทัศน์ท่ีเพิ่งปิดใหมๆ่ หรอื เมอื่ เราหวีผมเส้นผมมกั จะชตู ามหวีขนึ้ มาด้วย หรือการที่เรานาไม้ บรรทัดพลาสตกิ มาถูที่ผมของเราจากนน้ั ไม้บรรทัดจะมีพลังสามารถท่ีจะดดู เศษกระดาษชิ้นเลก็ ๆ ได้ เราเรียก พลังงานเหล่านวี้ ่า ไฟฟ้าสถติ ปรากฏการณ์การเกิดไฟฟ้าสถิตในธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า เรา สามารถประโยชน์จากไฟฟ้าสถติ ได้หลายอย่าง เช่น ทาให้เกดิ ภาพบนจอโทรทัศน์ ทาให้เกิดภาพในเครอ่ื งถ่าย เอกสาร เครื่องเอกซเรย์ ชว่ ยในการพ่นสีรถยนต์ จนถงึ การทางานของไมโครชพิ ในเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ เป็นต้น

ห น้ า | 91 1.3.2 ไฟฟา้ กระแส ไฟฟ้ากระแส คือ การไหลของอเิ ลก็ ตรอนภายในตวั นาไฟฟ้าจากทห่ี นึ่งไปอีกท่หี นงึ่ เช่น ไหลจาก แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้าไปสู่แหล่งท่ีต้องการใช้กระแสไฟฟ้า ซ่ึงก่อให้เกิดแสงสว่าง เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวดความ ต้านทานสงู จะกอ่ ให้เกิดความร้อน เราใช้หลกั การเกิดความร้อนเช่นน้มี าประดิษฐ์อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เตาหุงต้ม เตารีดไฟฟ้า เป็นต้น ไฟฟ้ากระแสแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ (1) ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current หรอื DC) เป็นไฟฟา้ ที่มีทศิ ทางการไหลไปทางเดียวตลอดระยะเวลาท่ีวงจรไฟฟ้าปิด กลา่ วคือ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขว้ั บวกภายในแหล่งกาเนิดผ่านตัวต้านทาน หรือโหลดผ่านตัวนาไฟฟ้าแล้วย้อนกลบั เขา้ แหล่งกาเนดิ ที่ขั้วลบเป็นทางเดยี วเช่นน้ตี ลอดเวลา แหล่งกาเนดิ ทเ่ี รารู้จักกันดี เช่น ถา่ นไฟฉาย ไดนาโม เป็นต้น ไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทท่ี 1 ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทสม่าเสมอ (Steady DC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ทไ่ี หลอย่างสมา่ เสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทนไี้ ด้มาจากแบตเตอรี่ หรือถ่านไฟฉาย ภาพไฟฟ้ากระแสตรงสม่าเสมอ ประเภทท่ี 2 ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทไม่สมา่ เสมอ (Pulsating DC) เป็นไฟฟ้า กระแสตรงทเ่ี ป็นช่วงคลื่นไม่สมา่ เสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงชนิดนไ้ี ด้มาจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง หรือวงจร เรียงกระแส ภาพไฟฟ้ากระแสตรงไม่สม่าเสมอ คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสตรง 1. กระแสไฟฟ้าไหลไปทศิ ทางเดยี วกนั ตลอด 2. มีค่าแรงดันหรือแรงเคลื่อนเป็นบวกอยู่เสมอ 3. สามารถเกบ็ ประจุไว้ในเซลล์ หรือแบตเตอร่ีได้

ห น้ า | 92 ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสตรง 1. ใช้ในการชบุ โลหะต่างๆ 2. ใช้ในการทดลองทางเคมี เช่น การนาน้ามาแยกเป็นออกซเิ จน และไฮโดรเจนเป็นตน้ 3. ใช้เช่อื มโลหะและตัดแผ่นเหล็ก 4. ทาให้เหลก็ มีอานาจแม่เหล็ก 5. ใช้ในการประจุกระแสไฟฟ้าเขา้ แบตเตอร่ี 6. ใช้ในวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์ 7. ใช้เป็นไฟฟ้าเดินทาง เช่น ไฟฉาย (2) ไฟฟ้ากระแสสลบั (Alternating Current หรอื AC) เป็นไฟฟา้ ท่ีมีการไหลกลบั ไปกลบั มา ทั้งขนาดของกระแสและแรงดนั ไม่คงท่ี เปล่ียนแปลง อยู่เสมอ คือ กระแสจะไหลไปทางหน่ึงก่อน ต่อมาก็จะไหลสวนกลบั แล้วก็เริ่มไหลเหมือนครง้ั แรก ภาพการเกิดคล่ืนของไฟฟ้ากระแสสลับ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกาเนดิ ไปตามลกู ศรเส้นทึบ เริ่มตน้ จากศูนย์ แล้วค่อยๆ เพิ่มขน้ึ เรอ่ื ยๆ จนถงึ จุดสูงสดุ แล้วมันจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นศูนย์อกี ต่อจากนน้ั กระแสไฟฟ้าจะไหลจากแหล่งกาเนดิ ไปตาม ลูกศรเส้นประลดลงจนถึงจดุ ต่าสุด แล้วคอ่ ยเพ่ิมข้ึนจนถึงศนู ย์ตามเดิมอกี เม่ือเป็นศูนย์แล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไป ทางลกู ศรเส้นทึบอีกเปน็ ดังนเ้ี รอ่ื ยไป การที่กระแสไฟฟ้าไหลไปตามลกู ศร เส้นทบึ ด้านบนครง้ั หนึง่ และไหลไปตาม เส้นประดา้ นล่างอกี คร้ังหน่ึง เวียนกว่า 1 รอบ (Cycle) ความถ่ี หมายถงึ จานวนลกู คล่ืนไฟฟ้ากระแสสลบั ที่เปลี่ยนแปลงใน 1 วินาที กระแสไฟฟ้า สลับในเมอื งไทยใช้ไฟฟ้าท่ีมีความถี่ 50 เฮริ ตซ์ ซ่งึ หมายถงึ จานวนลกู คล่ืนไฟฟ้าสลับทเี่ ปลี่ยนแปลง 50 รอบ ใน เวลา 1 วนิ าที คุณสมบัตขิ องไฟฟ้ากระแสสลบั 1.กระแสไฟฟ้าและคา่ แรงดันมีการเปลีย่ นแปลงขนาดและทศิ ทางบวกลบตามเวลา 2. สามารถควบคมุ ความถ่ีให้คงท่ไี ด้ตลอดเวลา 3. สามารถแปลงแรงดันให้สูงขนึ้ หรอื ตา่ ลงไดต้ ามต้องการโดยการใช้หม้อแปลง ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสสลบั 1. ใช้กับระบบแสงสว่างได้ดี 2. ใช้กับเครอื่ งใช้ไฟฟ้าที่ตอ้ งการกาลังมากๆ 3. ใช้กับเคร่อื งอานวยความสะดวกและอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เกือบทกุ ชนิด

ห น้ า | 93 1.4 การกาเนิดของไฟฟ้า แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้าในโลกน้ีมีหลายวธิ ีท้งั ทเ่ี กิดโดยธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เป็นต้น และท่ีมนุษย์ ไดค้ ้นพบการกาเนิดพลังงานไฟฟ้าทส่ี าคญั ๆ มีดงั น้ี 1.4.1 ไฟฟา้ ที่เกิดจากการเสยี ดสขี องวัตถุ เป็นไฟฟ้าทเ่ี กดิ ขึน้ จากการนาวตั ถุต่างกนั 2 ชนดิ มาขัดสีกนั เช่น จากแทง่ ยางกับผ้าขนสัตว์ แทง่ แกว้ กับผ้าแพร แผ่นพลาสติกกบั ผ้า และหวีกบั ผม เป็นต้น ผลของ การขดั สดี ังกล่าวทาให้เกดิ ความไม่สมดุลขึ้นของประจไุ ฟฟ้าในวัตถทุ ัง้ สองเนอื่ งจากเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าวตั ถุ ทัง้ สองจะแสดงศกั ย์ไฟฟ้าออกมาต่างกัน วตั ถชุ นดิ หนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดง ศกั ย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา เกดิ เป็นไฟฟา้ สถิต ภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าทีเ่ กิดจาการเสยี ดสขี องวตั ถุ 1.4.2 ไฟฟา้ ทเ่ี กดิ จากการทาปฏกิ ริ ยิ าทางเคมี โดยการนาโลหะ 2 ชนิดทแ่ี ตกต่างกัน เช่น สงั กะสีกับทองแดงจุ่มลงในสารละลายอเิ ล็กโทรไลท์โลหะท้งั สองจะทาปฏิกริยาเคมีกับสารละลายอเิ ลก็ โทรไลท์ ปฏิกริ ยิ าทางเคมแี บบน้ี เรยี กว่า โวลตาอกิ เซลล์ เช่น แบตเตอรี่ และถ่านอลั คาไลน์ (ถา่ นไฟฉาย) เป็นต้น แบตเตอรี่ ถ่านอัลคาไลน์ 1.5 โวลต์ ถ่านอลั คาไลน์ 9 โวลต์ ภาพอุปกรณ์ไฟฟา้ ท่ีเกดิ จากการทาปฏกิ ิรยิ าทางเคมี 1.4.3 ไฟฟา้ ทีเ่ กดิ จากความร้อน โดยการนาแทง่ โลหะหรือแผ่นโลหะต่างชนดิ กนั มา 2 แทง่ เช่นทองแดงและเหล็ก นาปลายข้างหนงึ่ ของโลหะทั้งสองต่อติดกันโดยการเช่ือมหรือยดึ ด้วยหมุดปลายท่ีเหลืออีก ด้านนาไปต่อกับมเิ ตอร์วดั แรงดัน เม่ือให้ความร้อนท่ีปลายด้านต่อตดิ กันของโลหะท้ังสอง ส่งผลให้เกิดการ แยกตัวของประจุไฟฟ้าเกดิ ศักย์ไฟฟ้าข้นึ ท่ปี ลายด้านเปิดของโลหะ แสดงค่าออกมาท่ีมเิ ตอร์

ห น้ า | 94 ภาพการต่ออุปกรณ์ใหเ้ กิดไฟฟ้าจากความร้อน 1.4.4 ไฟฟา้ เกิดจากพลังงานแสงอาทติ ย์ โดยเราสามารถสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) ท่ที าหน้าท่ีเปลี่ยนพลงั งานแสงอาทติ ย์ให้เป็นพลงั งานไฟฟ้า ปัจจบุ ันเคร่อื งใช้ไฟฟ้าหลายชนิดใช้พลังงาน แสงอาทติ ย์ได้ เช่น นาฬิกาข้อมือ เครือ่ งคิดเลข เป็นต้น แต่ค่าใช้จา่ ยในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ค่อน ข่างสูง ภาพเซลล์แสงอาทติ ย์ที่ใชใ้ นการผลติ ไฟฟ้า ณ โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทติ ย์เขือ่ นสริ นิ ธร จังหวดั อุบลราชธานี 4.5 ไฟฟา้ เกดิ จากพลังงานแม่เหลก็ ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าท่ีได้มาจากพลงั งานแม่เหลก็ โดยวิธีการใช้ ลวดตวั นาไฟฟ้าตัดผ่านสนามแม่เหล็ก หรอื การนาสนามแม่เหล็กวิ่งตดั ผ่านลวดตวั นาอย่างใดอย่างหนง่ึ ทง้ั สองวิธีน้ี จะทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในลวดตัวนาน้ัน กระแสท่ผี ลิตได้มีท้งั กระแสตรงและกระแสสลับ ภาพอุปกรณ์ทมี่ ีการใช้ไฟฟา้ ทีเ่ กดิ จากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

ห น้ า | 95 2. ประโยชนแ์ ละผลกระทบของพลังงาน พลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานท่ีสามารถนามาเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอื่น ตามที่เราต้องการใช้ประโยชน์ ไดอ้ ย่างทันที พลงั งานไฟฟ้าเป็นพลังงานท่ีสะอาด ควบคุมได้งา่ ย มปี ระสทิ ธภิ าพสูง และสะดวกในการนาไปใช้ งาน ปัจจบุ ันพลังงานไฟฟ้ามีความจาเป็นอยา่ งมากต่อการพัฒนาประเทศ และต่อการดารงชวี ติ ของมวลมนุษยชาติ และมีแนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้าเพ่มิ ขนึ้ ทุกปีตามอัตราการเพิ่มจานวนประชากร และความเจรญิ เตบิ โตทางด้าน เศรษฐกจิ โดยประโยชน์และผลกระทบของพลังงานไฟฟ้าอาจจาแนกออกเป็นด้านต่างๆ ดงั นี้ 2.1 ด้านคมนาคม 2.1.1 ประโยชน์ของพลงั งานไฟฟ้าด้านคมนาคม รถไฟความเรว็ สูง หรือ ไฮสปีดเรล (high-speed rail - HSR) เป็นรถไฟโดยสารที่ใช้ พลังงานไฟฟ้าเป็นตวั ขับเคลอ่ื นมอเตอร์และมีความเรว็ สูงกว่าความเร็วรถไฟทั่วไป ทาให้การเดนิ ทางมีความสะดวก รวดเรว็ ปลอดภัย และบรกิ ารผู้โดยสารไดม้ ากข้ึน อีกท้งั ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ รถยนต์ไฟฟ้า หลักการทางานท่ัวๆ ไปในรถยนต์ไฟฟา้ จะเรมิ่ ต้นจากพลังงานเคมีถูกเก็บไว้ ในแบตเตอรีซ่ ึง่ แปรรปู เป็นไฟฟ้า และส่งต่อไปยังชุดมอเตอร์ขับเคล่ือนท่จี ะเปลี่ยนไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล ส่งผลให้ รถยนต์สามารถขบั เคล่ือนไปได้ ซง่ึ จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ และมลภาวะทาง เสยี งเหมือนกับรถยนต์ท่ีใช้น้ามันทว่ั ไป ภาพรถยนต์ไฟฟ้า

ห น้ า | 96 จกั รยานไฟฟ้า มีส่วนประกอบหลกั ๆ ในการทางานอยู่ 3 ส่วน คือ มอเตอร์ กล่อง ควบคมุ และคนั เร่ง ใช้ในการเดนิ ทางระยะสัน้ ทดแทนการใช้นา้ มนั ท่แี พงขึ้นทุกวันและกาลงั จะหมดไป ซึ่งเป็น มิตรกับสิง่ แวดล้อม ภาพจักรยานไฟฟ้า จักรยานยนต์ไฟฟา้ หลกั การทางานทว่ั ๆ ไปจะใกล้เคยี งกบั รถยนต์ไฟฟ้าทาให้ประหยัด ค่าใช้จา่ ยในเร่ืองของเช้ือเพลิง เมื่อเทยี บกบั การใช้น้ามัน ทั้งไมก่ ่อให้เกดิ มลพิษทางอากาศและมลภาวะทางเสยี ง ภาพจกั รยานยนต์ไฟฟ้า กระเช้าไฟฟา้ หลกั การท่วั ไปของการขับเคลอื่ นกระเช้าไฟฟ้า จะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็น ตัวขบั เคล่ือนการเคลื่อนท่ีของกระเช้าไปตามสายเคเบิล เพ่ืออานวยความสะดวกในการเดินทางในพ้ืนท่ที ี่ยานพาหนะ ชนดิ อื่นไมส่ ามารถไปถงึ และประหยดั เวลาในการเดินทาง เช่น บนภเู ขาสงู เกาะ หรือข้ามแม่น้า เป็นต้น ภาพกระเช้าไฟฟ้า

ห น้ า | 97 การจัดการจราจร เป็นอกี ตวั อย่างหนึง่ ของการประยุกต์ใช้พลงั งานไฟฟ้าในดา้ นการ คมนาคมสญั ญาณไฟจราจร และระบบไอทีสอ่ื สารระหว่างสี่แยกไปยังศูนย์ควบคุมการจราจร จาเป็นต้องใช้ พลงั งานไฟฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานเดียวทข่ี บั เคล่อื น การคมนาคมทางอากาศ กจ็ าเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่ง พลงั งานสาหรบั หอควบคุมการจราจรสนามบนิ และสญั ญานไฟจราจรทีร่ ันเวย์ (runway) ภาพสัญญาณไฟจราจรทางบก ภาพสัญญาณไฟจราจรทางน้า ภาพสญั ญาณไฟจราจรทางอากาศ

ห น้ า | 98 2.1.2 ผลกระทบทีเ่ กดิ จากพลงั งานไฟฟ้าด้านคมนาคม เม่อื พลังงานไฟฟ้าเกิดขัดข้อง หรือไฟฟ้าดับ จะส่งผลกระทบต่อการคมนาคมเป็นอย่าง มากไมว่ า่ จะเปน็ การคมนาคมทางบก ทางอากาศ และทางน้า ทาให้ผู้คนเดนิ ทางล้าช้า เกิดความวุ่นวาย อาจ ก่อให้เกิดอุบตั เิ หตุ และอาจก่อให้เกิดความเสยี หายในเรื่องของการขนส่งสนิ ค้าไม่ทนั ตามกาหนดเวลา ภาพผลกระทบต่อการการคมนาคมเหตุการณ์ไฟฟา้ ดบั ท่ีเมอื งนิวยอร์ก ประเทศสหรฐั อเมริกาเม่ือปี ค.ศ. 2003 ภาพผลกระทบต่อการการคมนาคมเหตุการณ์ไฟฟา้ ดับ ทาใหก้ ารจราจรตดิ ขัด และเกดิ ความว่นุ วาย ภาพผลกระทบต่อการการคมนาคมท่ีเกิดขึ้นอาจก่อใหเ้ กิดการขนส่งสนิ ค้าไม่ทัน

ห น้ า | 99 2.2 ด้านเศรษฐกิจ 2.2.1 ประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้าด้านเศรษฐกจิ ตน้ ทนุ พลงั งานไฟฟ้ามีผลต่อระบบการผลิตในเร่ืองของต้นทุน หากระบบไฟฟ้า ไมม่ ีความมน่ั คงและต่อเน่ือง จะทาให้การเดินเคร่ืองจักรในระบบการผลติ สนิ ค้าเกดิ ความขดั ข้อง ความเสยี หายท่ี เกิดข้นึ จะมีตน้ ทนุ การผลติ ที่สูงข้ึน ดงั นนั้ พลงั งานไฟฟ้าจะต้องมีความต่อเนอื่ ง มัน่ คงทง้ั ในด้านคุณภาพและราคา ถกู ซง่ึ จะเป็นตวั สะท้อนราคาของสนิ ค้าได้ รายได้ พลงั งานไฟฟ้ามบี ทบาทต่อการขบั เคลอื่ นเศรษฐกิจ เช่น ภาคธุรกจิ หรือ อุตสาหกรรมจาเป็นต้องมสี นิ คา้ และบริการจาหน่ายอย่างต่อเน่อื ง ซึ่งไฟฟ้าก็เปน็ ปจั จยั ท่ีสาคัญในกระบวนการผลติ ทั้งปรมิ าณและคุณภาพของสนิ ค้าอย่างต่อเนื่อง ทาให้เกิดการจ้างงานในภาคประชาชนและมรี ายได้เพมิ่ ข้ึน เป็นต้น ผลผลิต พลังงานไฟฟ้าทาให้กระบวนการผลติ สินค้าและบริการเป็นไปอย่างต่อเน่ือง เช่น โรงงานอุตสาหกรรมสามารถผลิตสนิ ค้าได้อย่างต่อเนื่องไม่มีการชะงักระหว่างกระบวนการผลติ ทาให้ ผลติ ภณั ฑ์ทีผ่ ลิตมีออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และรวมไปถึงธุรกจิ บริการทมี่ ีการใช้ไฟฟ้าเป็นปัจจัยหลกั ก็ สามารถเปิดให้บริการได้ตลอดเวลา เป็นต้น การเพิ่มมลู ค้าใหท้ รัพยากรในท้องถนิ่ พลงั งานไฟฟ้าช่วยพัฒนาสนิ ค้าในท้องถ่ิน ให้มมี ูลค่าและราคาเพิ่มขึ้น เช่น การผลติ บรรจุภณั ฑ์ การแปรรูปสนิ ค้าทางการเกษตร ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าช่วยในการ ทากิจกรรมดังกล่าว เป็นต้น ภาพโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการผลติ อย่างต่อเนอื่ ง ภาพการจ้างงานก่อใหเ้ กิดรายได้ ภาพการแปรรูปผลิตภณั ฑ์การเกษตรในท้องถ่นิ

ห น้ า | 100 2.2.1 ผลกระทบของพลังงานไฟฟ้าด้านเศรษฐกจิ ถ้ากรณีไฟฟ้าขัดข้อง หรอื ไฟดับในวงกว้าง จะทาให้ทุกภาคส่วนเกดิ ความเสียหาย ซงึ่ ส่งผล กระทบต่อด้านเศรษฐกิจโดยตรง เช่น ภาคอุตสาหกรรมจะขาดความต่อเนื่องในระบบการผลติ สินค้า อาจทาให้ สินคา้ เกดิ ความเสียหาย ทาให้ขาดแคลนสนิ ค้า สนิ ค้ามรี าคาสงู ข้นึ มผี ลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ในภาค ประชาชน สนิ ค้าเสยี หาย เหตกุ ารณ์ไฟฟา้ ดบั ระบบผลิตหยุดชะงกั หยดุ การจ้างงาน ภาพผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจทเ่ี กดิ จากไฟฟ้าดับ

ห น้ า | 101 2.3 ด้านอุตสาหกรรม 2.3.1 ประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้าด้านอุตสาหกรรม ปจั จบุ นั การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม ได้มีการใช้ไฟฟ้าอยู่ในระดับที่สงู มาก คดิ เป็นร้อยละ 44 ของการใช้ไฟฟ้าทงั้ ประเทศ เพราะเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสนิ ค้าในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเปน็ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมโลหะ อตุ สาหกรรมยานยนต์ อตุ สาหกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ อตุ สาหกรรมอาหาร เป็นต้น ล้วนจาเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเป็นปจั จยั หลกั ในกระบวนการผลติ ท้งั สิ้น ภาพโรงงานอุตสาหกรรมส่ิงทอ ภาพโรงงานอตุ สาหกรรมยานยนต์และชิน้ ส่วน 2.3.2 ผลกระทบของพลังงานไฟฟ้าด้านอตุ สาหกรรม กระบวนการผลติ สินค้าในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการดาเนนิ การอย่างต่อเนอื่ ง เพื่อ ผลิตสนิ ค้าได้ตามเป้าหมาย และคุ้มคา่ กับการลงทุน ดังน้ันหากเกิดกรณีไฟฟ้าขัดขอ้ ง หรือไฟดับ อาจทาให้ กระบวนการผลิตหยดุ ชะงกั ขาดความต่อเนอ่ื ง และทาให้สินคา้ เกิดความเสยี หาย ส่งผลให้ความเชอ่ื มน่ั ของนัก ลงทนุ ต่างประเทศลดลง นอกจากนี้หากกรณีราคาค่าไฟฟ้าสงู ข้ึนจะส่งผลให้ตน้ ทนุ การผลิตสนิ ค้าสงู ขึ้น ย่อม ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย ทาให้การส่งออกสนิ ค้าไมส่ ามารถแข่งขนั กับตา่ งประเทศได้

ห น้ า | 102 2.4 ด้านคุณภาพชีวิต 2.4.1 ประโยชน์ของพลงั งานไฟฟ้าด้านคุณภาพชวี ิต เคร่อื งอานวยความสะดวกในชวี ติ ประจาวัน พลงั งานไฟฟ้าเป็นปจั จยั หลกั ท่ี อานวยความสะดวกในการดารงชีวติ ของมนุษย์ โดยมเี ครอ่ื งใช้ไฟฟ้า อปุ กรณร์ ะบบสอื่ สาร อปุ กรณ์และเครื่องมือ แพทย์ รวมถึงส่ิงทีใ่ ห้ความบันเทิงในชีวติ ประจาวันล้วนใช้พลังงานไฟฟ้าทัง้ สิน้ และมีแนวโน้มในการใช้พลงั งาน ไฟฟ้าท่เี พม่ิ ข้นึ ทุกปี ตวั อย่างเช่น - เคร่อื งใช้ไฟฟ้า เช่น เตารีด หม้อหุงข้าว ตู้เย็น พดั ลม หลอดไฟ เป็นต้น ภาพเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ภายในบ้าน - ระบบสือ่ สาร ได้แก่ โทรศพั ท์มอื ถอื โทรศัพท์บ้าน อินเตอร์เนต็ ฯลฯ ภาพระบบส่ือสารท่ีจาเป็นต้องใชพ้ ลังงานไฟฟ้า - การแพทย์ ไดแ้ ก่ อุปกรณ์การแพทย์ เครือ่ งมอื แพทย์ ฯลฯ ภาพการใช้ไฟฟา้ สาหรับงานแพทย์

ห น้ า | 103 - การบันเทงิ ได้แก่ โรงภาพยนตร์ คาราโอเกะ ฯลฯ ภาพการใช้ไฟฟา้ สาหรับการบันเทิง 2.4.2 ผลกระทบของพลังงานไฟฟ้าด้านคุณภาพชีวิต ไฟฟ้ามีประโยขน์อย่างมากมายต่อชวี ติ และทรัพย์สนิ รวมไปถึงความเป็นอยู่ของประชาชน เม่ือ เกดิ เหตุการณบ์ างอย่างข้นึ กับไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าดบั อาจส่งผลให้ขาดความสะดวกสบายในการดาเนินชวี ติ รวมไปถึง ความปลอดภยั ในชีวติ และทรัพย์สนิ เพราะอาจเป็นช่องทางให้โจรขโมยหรือผู้รา้ ย สามารถเขา้ มาปล้นหรือทาร้าย เจ้าของทรพั ย์สินได้ ภาพผลกระทบของพลงั งานไฟฟ้าด้านการดารงชวี ิต 2.5 ดา้ นเกษตรกรรม 2.5.1 ประโยชน์ของพลงั งานไฟฟ้าด้านเกษตรกรรม พลังงานไฟฟ้าได้ถูกนามาใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรมมีแนวโน้มเพม่ิ ขน้ึ เนื่องจากมีการเจรญิ เติบโต ของประเทศส่งผลให้ต้องมกี ารพัฒนาสนิ ค้าทางการเกษตรจานวนมาก เช่น การแปรรปู ผลผลติ การบรรจภุ ณั ฑ์ เป็นต้น

ห น้ า | 104 กระบวนการผลิต และการแปรรปู สนิ ค้าการเกษตร ปจั จุบันมีการนาเทคโนโลยี ท่ีทนั สมยั มาใช้ในกระบวนการผลิตและการแปรรปู สนิ ค้าการเกษตร ซง่ึ ต้องใช้พลงั งานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เคร่ืองจักรกลท้งั ระบบ จงึ มีความจาเป็นอยา่ งยิ่งท่ีจะต้องมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างตอ่ เน่ือง เช่น โรงสขี ้าว โรงหบี ออ้ ย เป็นต้น ภาพโรงสขี า้ ว ภาพการแปรรูปทางการเกษตรกรรม การเพาะปลูก ปัจจบุ นั มีการพัฒนาและอนรุ ักษ์พันธุ์พืชให้มคี วามต้านทานโรคโดยใช้เทคโนโลยี ในการตัดแต่งพนั ธกุ รรม และรักษาพันธุ์พืชดั้งเดิม เพอ่ื เพม่ิ ผลผลิตทางการเกษตรกรรม รวมไปถงึ การดแู ลพืชผล ทางการเกษตรต่างๆ เช่น การรดนา้ ด้วยระบบอัตโนมัติ การให้แสงสว่างในเวลากลางคนื กับพชื ท่เี พาะปลูก เป็นต้น จึงจาเป็นต้องใช้พลงั งานไฟฟ้าเป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้กับห้องปฏิบตั ิการ และอปุ กรณ์ ต่างๆ ทเี่ กย่ี วข้อง ภาพการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อเพ่ือสร้างพันธ์ุพชื ใหม่

ห น้ า | 105 ภาพการเพาะปลกู ไม้ดอกโดยใช้พลังงานไฟฟ้าใหแ้ สงสว่างเพอื่ การเจริญเติบโตอย่างต่อเน่ือง การประมง พลงั งานไฟฟ้าได้ถกู นามาใช้ในการประมง อาทิเช่น เป็นแหล่งพลงั งานให้กับเคร่ือง ปมั๊ ออกซเิ จนในบ่ออนบุ าลเพาะเลยี้ งพันธ์ุสตั ว์น้า และใช้ในการทาประมงชายฝั่ง รวมถึงอุตสาหกรรมห้องเย็นทใ่ี ช้ แช่แขง็ ผลผลิตท่ไี ด้มาจากการทาประมง เช่น อาหารทะเลแช่แข็ง เป็นต้น ภาพเครอ่ื งจ่ายออกซเิ จนสาหรบั เพาะเล้ยี งปลาทไี่ ด้จากพลังงานไฟฟ้า ภาพการใช้แสงสว่างจากพลังงานไฟฟ้าในการทาประมงทางทะเล

ห น้ า | 106 การปศุสตั ว์ เน่อื งจากการทาฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่เพื่อการบริโภคภายในประเทศ และ การส่งออก จาเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการให้แสงสว่างและรกั ษาอณุ หภูมิในฟาร์มอย่างต่อเนื่อง ภาพห้องแชแ่ ข็งผลผลติ ทีไ่ ด้จากการประมงโดยอาศยั พลังงานไฟฟ้าสาหรับทาความเย็น ภาพฟาร์มเล้ยี งไก่แบบปิด ภาพฟาร์มเล้ียงหมู

ห น้ า | 107 2.5.2 ผลกระทบของพลังงานไฟฟา้ ด้านเกษตรกรรม ถ้าขาดพลงั งานไฟฟ้า อาจส่งผลให้สนิ คา้ ภาคเกษตรกรรมเสียหาย เช่น ผลผลิตเน่าเสีย พชื ท่ี เพาะเล้ยี งไว้อาจตายได้ หรืออาจทาให้การบรรจุผลติ ภัณฑ์ล่าช้า ภาพไก่ตายเนอื่ งจากขาดพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายใหก้ ับโรงเพาะเลยี้ งแบบปิด 2.6 ด้านบริการ 2.6.1 ประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้าด้านบริการ ภาคธนาคาร/สถาบนั การเงนิ ปจั จุบันภาคธนาคารและสถาบนั การเงินมีการพฒั นา ระบบการให้บริการ และการนาเสนอข้อมลู ด้วยเทคโนโลยที ่ีทนั สมัย เพ่ือให้ทันต่อสถานการณ์ในทกุ ๆ ด้าน ท้ังใน ประเทศ และทั่วโลก ซง่ึ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น อัตราแลกเปล่ยี นเงนิ ตราระหว่างประเทศ ราคาทองคา ราคาน้ามนั และราคาหลกั ทรัพย์ เป็นต้น จาเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นแหล่งจ่ายให้กับระบบไอที ระบบ ออนไลน์ และอุปกรณ์ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ในการอานวยความสะดวกเพอื่ ให้บริการด้านธรุ กรรมของธนาคาร และการซ้อื ขายหลกั ทรัพย์ในตลาดหลกั ทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ภาพห้องค้าหลกั ทรัพย์

ห น้ า | 108 ภาพการให้บริการของธนาคารโดยผ่านเครอ่ื งเบิกจ่ายอัตโนมตั ทิ ่ตี ้องใช้พลงั งานไฟฟ้า การท่องเที่ยวและการโรงแรม เน่ืองจากประเทศไทยเป็นเมืองท่องเทย่ี วทาให้ อตุ สาหกรรมการท่องเทยี่ วเจรญิ เติบโตอย่างรวดเรว็ เพ่ือรองรับนักท่องเท่ียวจากทวั่ โลกจานวนมาก จงึ จาเป็นต้อง ใช้พลังงานไฟฟ้าในธรุ กจิ ทเ่ี ก่ียวเน่อื งกับอุตสาหกรรมการท่องเทย่ี วที่เตบิ โตตามจานวนนักท่องเท่ียวท่ีเพ่มิ ขึน้ ทกุ ปี เช่น โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร/ภัตตาคาร ห้างสรรพสนิ ค้า สถานบนั เทงิ ฯลฯ ภาพการให้บริการของโรงแรมท่ตี ้องอาศยั พลงั งานไฟฟ้าในการให้บรกิ าร ภาพแหล่งท่องเทีย่ วทตี่ ้องอาศัยแสงสว่างจากพลงั งานไฟฟ้า

ห น้ า | 109 2.6.2 ผลกระทบของพลังงานไฟฟ้าด้านบรกิ าร ถ้าไฟฟ้าดบั เพยี งชว่ั ขณะหรือดบั เป็นเวลานาน ย่อมส่งผลต่อการใหบ้ ริการขัดข้อง และทาให้เกดิ ความเสียหายในเรอื่ งของรายได้ลดน้อยลง รวมท้ังภาพลักษณ์การท่องเทย่ี วของประเทศ ภาพเหตุการณ์ไฟฟา้ ดบั ทเ่ี กาะสมุย และเกาะพะงนั ส่งผลให้เกดิ ความเสยี ในด้านการท่องเท่ียว

ห น้ า | 110 3. ประเภทพลังงานท่ผี ลิตกระแสไฟฟ้า 3.1 พลังงานฟอสซิล พลังงานฟอสซิล หมายถึง พลังงานของสารเชื้อเพลิงที่เกิดจากซากพชื ซากสตั ว์ที่ทับถมจมอยู่ใต้พนื้ พภิ พ เป็นเวลานานหลายพนั ล้านปี โดยอาศยั แรงอดั ของเปลือกโลกและความร้อนใต้ผิวโลก มีทงั้ ของแข็งของเหลวและ ก๊าซ ได้แก่ ถ่านหนิ นา้ มัน และก๊าซธรรมชาติ แหล่งพลงั งานนเ้ี ป็นแหล่งพลงั งานท่สี าคัญในการผลิตไฟฟ้าใน ปัจจุบนั สาหรับประเทศไทยได้มกี ารนาเอาพลังงานฟอสซิลมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าประมาณร้อยละ 70 ของแหล่ง พลงั งานทั้งหมด ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะนาพลังงานฟอสซลิ มาใช้เป็นวตั ถดุ ิบ (Fuel) ได้ 3รูปแบบ คือ ถ่านหนิ (Coal) น้ามันปิโตรเลยี ม (Petroleum Oil) และก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) 3.1.1 ถ่านหนิ ถ่านหินเป็นเชอื้ เพลิงประเภทฟอสซลิ (Fossil Fuel) ทอ่ี ยู่ในสถานะของแขง็ เกดิ จากการทบั ถม กนั ของซากพชื ในยุคดกึ ดาบรรพ์ ถ่านหนิ มปี ริมาณมากกว่าเชอ้ื เพลงิ ฟอสซิลชนิดอื่นๆ และมแี หล่งกระจายอยู่ ประมาณ 70 ประเทศทั่วโลก เช่น อนิ โดนเี ซีย ออสเตรเลยี แอฟริกา เป็นต้น จากการคานวณอตั ราการผลติ และ การใช้ถา่ นหนิ ในปัจจบุ ัน คาดว่า ถา่ นหนิ จะมเี พยี งพอต่อการใช้งานไปอีกอย่างน้อย 192 ปี ท้งั นถ้ี ่านหนิ ถูกจาแนก ออกเปน็ 5 ชนดิ ตามอายกุ ารเกิด และคณุ ภาพ ดังน้ี ภาพจาลองการกาเนิดถ่านหิน

ห น้ า | 111 ข้อดีของถา่ นหิน มีต้นทุนในการผลติ ไฟฟ้าตา่ กว่าการใช้เชอ้ื เพลิงอื่น เช่น กา๊ ซธรรมชาติ นา้ มนั และพลงั งานหมนุ เวียน และมีปรมิ าณสารองมาก ปัจจบุ ันมเี ทคโนโลยีถ่านหนิ สะอาด (Clean Coal Technology) ทาให้การผลติ กระแสไฟฟ้าจากเช้ือเพลงิ ถ่านหนิ มีประสทิ ธิภาพสงู ข้ึน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยท่ีสดุ ข้อจากดั เนื่องจากการเผาไหม้ถ่านหนิ เป็นสาเหตสุ าคัญของฝนกรดและภาวะโลกร้อน จึงจาเป็น ตอ้ งใช้ระบบควบคมุ มลภาวะทางอากาศที่มรี าคาแพง แต่ถ่านหินกย็ งั คงมีภาพลักษณ์ทน่ี ่ากลวั ในสายตาประชาชน บางส่วนเนื่องจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ต้งั แต่กระบวนการทาเหมือง การขนส่ง รวมทัง้ การเผา ถ่านหิน จะมีการปลดปล่อยก๊าซหลายชนิดท่ีเป็นมลพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) คารบ์ อนมอนนอกไซด์ (CO) คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ฝุ่น และเถ้าลอย ซ่งึ อาจส่งผลกระทบต่อ ส่ิงแวดล้อมและสุขภาพของประชากรที่อาศยั อยู่ใกล้โรงไฟฟา้ ได้ แมว้ า่ การนาถา่ นหินมาผลิตกระแสไฟฟ้าจะมี ผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม แต่เน่อื งจากต้นทนุ การผลิตต่าและมปี ริมาณเชอ้ื เพลิงสารองมาก ถ่านหินจึงยังมีความ จาเป็นในการนามาใช้ แตไ่ ด้มีการนาเอาเทคโนโลยมี าช่วยควบคมุ และกาจัดก๊าซพิษทเ่ี กดิ ขึน้ 3.1.2 นา้ มัน น้ามันเป็นเชอ้ื เพลิงประเภทฟอสซลิ ทีม่ สี ถานะของเหลว เกิดจากซากสัตว์และซากพืชทบั ถมเป็น เวลาหลายล้านปี ส่วนมากมีสดี าหรือสีนา้ ตาล มีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ ปะปนอยู่ และ ในบางคร้ังอาจมีสารอื่นประกอบอยู่ด้วย เช่น กามะถนั ไนโตรเจน ออกซเิ จน เป็นต้น ด้วยเหตนุ ี้นา้ มนั ดิบท่ีขุด ขึ้นมาจากใตด้ นิ ยังไมส่ ามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ทนั ที ต้องมีการนามาแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่างๆ ออกก่อน จงึ จะสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ กระบวนการแยกสารท่ปี นอยู่ในน้ามันดบิ ออก เรยี กว่า การกลัน่ น้ามันดบิ หลงั ผ่านกระบวนการกลัน่ นา้ มันดิบ จะได้ผลติ ภัณฑ์นา้ มันสาเรจ็ รูปชนิดต่างๆ ซง่ึ มคี ณุ สมบตั ิเฉพาะ แตกต่างกนั ไป เช่น นา้ มนั เบนซนิ นา้ มนั ดเี ซล น้ามนั ก๊าด และนา้ มนั เตา เป็นต้น น้ามันท่ีใช้ในการผลิตไฟฟ้ามี 2 ประเภท คือ นา้ มนั เตา ใช้สาหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ท่ีเป็น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนท่ัวไป เช่น โรงไฟฟา้ บางปะกง โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ และ โรงไฟฟ้าราชบุรี เป็นต้น นอกจากนน้ี า้ มันอีกประเภททีน่ ามาใช้ผลิตไฟฟ้า คอื นา้ มันดีเซล ใช้สาหรับโรงไฟฟ้า ขนาดเลก็ โรงไฟฟ้าท่ีใช้นา้ มันดีเซลจงึ มักเป็นโรงไฟฟ้าประเภทความร้อนร่วม โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ สาหรับโรงไฟฟ้า ทใ่ี ช้น้ามนั เป็นเชื้อเพลิงในประเทศไทยได้แก่ โรงไฟฟา้ บางปะกง โรงไฟฟ้าราชบุรี สาหรบั การใช้น้ามนั มาผลติ ไฟฟ้า น้ันมกั จะใช้เป็นเชื้อเพลงิ สารองในกรณีทเ่ี ช้ือเพลงิ หลกั เช่น กา๊ ซธรรมชาติ มปี ัญหาไมส่ ามารถนามาใช้ได้ กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากน้ามัน กรณผี ลติ จากน้ามนั เตา ใช้น้ามนั เตาเป็นเชือ้ เพลงิ ให้ความร้อนไปต้มน้า เพื่อผลิตไอน้าไปหมุน กังหนั ไอนา้ ทตี่ ่ออยู่กบั เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้า กรณีผลติ จากน้ามนั ดเี ซล ใช้น้ามันดเี ซลเป็นเชอื้ เพลงิ มหี ลักการทางานเหมือนกบั เครื่องยนต์ ในรถยนต์ทว่ั ไป ซ่ึงจะอาศัยหลักการสันดาปของนา้ มนั ดเี ซลทถี่ ูกฉดี เข้าไปในกระบอกสูบของเครอ่ื งยนต์ทถ่ี ูกอัด อากาศจนมีอณุ หภูมิสูง ในขณะเดียวกันน้ามนั ดเี ซลทถี่ ูกฉดี เข้าไปจะเกดิ สันดาปกับความร้อนและเกดิ ระเบิดดนั ให้ ลูกสูบเคลือ่ นทลี่ งไปหมนุ เพลาข้อเหว่ียงซง่ึ ต่อกบั เพลาของเครือ่ งยนต์ ทาให้เพลาของเครื่องยนต์หมนุ และทาให้ เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้าซง่ึ ต่อกบั เพลาของเครื่องยนต์ก็จะหมนุ ตามไปด้วย

ห น้ า | 112 ภาพโรงไฟฟ้าทใ่ี ช้น้ามันเป็นเชื้อเพลงิ ขอ้ ดขี องการใช้นา้ มนั ในการผลติ ไฟฟ้า คือ ขนส่งงา่ ย หาซอ้ื ได้งา่ ย และเป็นเช้ือเพลิงที่ไม่ได้รบั การ ต่อต้านจากชุมชน ขอ้ จากัดของการใช้น้ามันในการผลติ ไฟฟ้า คือ ต้องนาเข้าจากตา่ งประเทศ ราคาไม่คงท่ขี ้นึ กับราคา น้ามันของตลาดโลก ทาให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซ่งึ เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน และไฟฟ้าที่ผลิตได้มตี น้ ทุนต่อ หนว่ ยสงู เนอื่ งจากการเผาไหมน้ ้ามนั ในกระบวนการผลติ ไฟฟ้านัน้ จะมกี ารปลดปล่อยกามะถัน ก๊าซซลั เฟอร์ ไดออกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน รวมทั้งฝุ่นละออง ซ่ึงอาจส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพของ ประชากรที่อาศัยอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าได้ จึงได้มกี ารติดตั้งเคร่ือง FGD (Flue Gas Desulfurization) เพื่อลดการ ปล่อยกามะถนั และมีการควบคมุ คุณภาพอากาศให้ไดต้ ามมาตรฐานส่ิงแวดล้อม 3.1.3 ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงประเภทฟอสซลิ ที่มีสถานะเป็นกา็ ซ ซ่งึ เกิดจากการทบั ถมของซาก สตั ว์และซากพชื มานานนบั ล้านปี มคี ณุ สมบัตเิ ป็นเชือ้ เพลิงท่ีให้พลังงานสะอาด เนื่องจากมีการเผาไหม้ได้อย่าง สมบรู ณ์จึงส่งผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมน้อยกว่าเช้อื เพลงิ ฟอสซิลประเภทอน่ื ๆ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนชนดิ หนึ่ง ประกอบด้วยก๊าซมเี ทนประมาณร้อยละ 70 ขน้ึ ไป ภาพตัดขวางแสดงการพบก๊าซธรรมชาติใต้ผิวโลก

ห น้ า | 113 เราสามารถใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คอื ใช้เป็นเชือ้ เพลิงโดยตรง สาหรบั ผลติ กระแสไฟฟ้า และนาไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพอื่ ใช้ประโยชน์ตอ่ ไป เช่น เป็น วัตถุดบิ ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นเชอ้ื เพลงิ ในรถยนต์ เป็นกา๊ ซหงุ ต้มในครวั เรือน เป็นต้น กา๊ ซธรรมชาตทิ ่ใี ช้ใน ประเทศไทย ผลติ ได้เองจากแหล่งในประเทศ ประมาณร้อยละ 60 และนาเขา้ จากเมยี นมาร์ รอ้ ยละ 40 นอกจากนนั้ ปัจจบุ ัน (ปี 2555) ประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติผลติ กระแสไฟฟ้าในสดั ส่วนทส่ี งู มากถงึ ร้อยละ 66.5 ของเช้ือเพลงิ ทีใ่ ช้ในการผลติ ไฟฟ้าทง้ั ส้นิ นับเป็นความเสยี่ งด้านความม่ันคงในการจัดหาพลังงานประกอบกับราคา ก๊าซธรรมชาตทิ ่ไี ม่คงทต่ี ้องผูกติดกับราคาน้ามัน และยังเป็นการเร่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศท่ีมีจากดั ให้ หมดเร็วเกนิ ควร ภาพแทน่ ขดุ เจาะก๊าซธรรมชาติ กระบวนการผลติ ไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กระบวนการผลิตของไฟฟ้าด้วยกา๊ ซธรรมชาติ เรม่ิ ต้นด้วยกระบวนการเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติใน หอ้ งสนั ดาปของกังหนั ก๊าซท่ีมีความร้อนสงู มาก เพื่อให้ไดก้ ๊าซร้อนมาขับกังหนั ซึ่งจะไปหมนุ เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้า จากนั้นจะนากา๊ ซร้อนส่วนทีเ่ หลือไปผลิตไอน้าสาหรบั ใช้ขับเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าแบบกังหันไอน้า สาหรับไอน้าส่วน เหลอื จะมีแรงดันตา่ กจ็ ะผ่านเขา้ สู่กระบวนการลดอุณหภูมิ เพือ่ ให้ไอนา้ ควบแน่นเป็นน้าและนากลบั มาป้อนเขา้ ระบบผลิตใหม่อย่างต่อเน่อื ง โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาตเิ ป็นเชอื้ เพลงิ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าวงั น้อย ในกรณีทไ่ี ม่สามารถใช้ก๊าซธรรมชาตมิ าหมุนกังหันเครื่องกาเนิดไฟฟ้า โรงไฟฟ้าบางแห่งกอ็ อกแบบให้สามารถ ใช้น้ามนั ดเี ซลเป็นเชอื้ เพลงิ แทนได้ เช่น โรงไฟฟา้ บางปะกง โรงไฟฟาราชบรุ ี เป็นต้น ขอ้ ดขี องการใช้กา๊ ซธรรมชาติ คือ เป็นเชอื้ เพลิงปิโตรเลียมทนี่ ามาใช้อย่างมีประสทิ ธภิ าพสงู มีการเผา ไหมส้ มบูรณ์ มีความปลอดภยั ในการใช้งาน เน่ืองจากเบากว่าอากาศจงึ ลอยขนึ้ เมื่อเกิดการร่ัว นอกจากน้ีก๊าซ ธรรมชาตสิ ่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยผลติ ได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนาเข้าพลงั งานเชื้อเพลงิ อ่นื ๆ และประหยัดเงินตราต่างประเทศได้มาก ขอ้ จากัดของการใช้กา๊ ซธรรมชาติ คือ ราคาก๊าซธรรมชาติไม่คงที่ผูกตดิ กับราคานา้ มันซึง่ ผันแปรอยู่ ตลอดเวลา และประเทศไทยใชก่ ๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าในสดั ส่วนท่สี ูงมาก โดยก๊าซธรรมชาติเกอื บร้อยละ

ห น้ า | 114 40 ของกา๊ ซธรรมชาติท่ีนามาผลิตไฟฟ้าเป็นกา๊ ซธรรมชาติท่ีซ้อื จากประเทศเมยี นมาร์ ทาให้เกดิ ความเสยี่ งของ แหล่งพลังงานนอกจากนปี้ ริมาณสารองก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยทีพ่ ิสูจน์แล้วสามารถใช้ได้อีกไมเ่ กิน 10 ปี ภาพโรงไฟฟ้าพระนครเหนอื อาเภอบางกรวย จังหวดั นนทบรุ ี ใชก้ ๊าซธรรมชาตเิ ป็นเช้อื เพลิง 3.2 พลังงานทดแทน พลงั งานทดแทน (Alternative Energy) เป็นพลังงานที่ใช้ทดแทนพลงั งานจากเชื้อเพลงิ ฟอสซิล ซ่งึ จดั เป็นพลังงานหลักทใี่ ช้กันอยู่ทัว่ ไปในปัจจุบัน พลังงานทดแทนท่ีสาคญั สามารถจาแนกประเภทได้ดังนี้ 3.2.1 พลังงานลม ลมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกดิ จากการท่ีพนื้ ที่บนโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทติ ย์ไม่ เทา่ กนั บรเิ วณที่มอี ุณหภมู สิ งู กว่าจะมีความหนาแน่นน้อย เกิดการขยายตวั และลอยตัวสงู ขน้ึ ทาให้อากาศใน บรเิ วณที่เย็นกว่ามีความหนาแน่นมากกว่าจะเคลอ่ื นเข้ามาแทนท่ี เกิดการไหลของอากาศหรือที่เรยี กกันทว่ั ไปว่า กระแสลม มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานลมมานานหลายพนั ปี ในการอานวยความสะดวกสบายแก่ชีวิต เช่น การแล่นเรอื ใบขนส่งสินค้าไปได้ไกลๆ การหมนุ กังหันวิดนา้ ปัจจบุ ันมนุษย์จึงได้ให้ความสาคญั และนามาใช้ ประโยชน์มากขึน้ โดยการนามาใช้ผลติ เป็นพลังงานที่สะอาดไม่ก่อให้เกดิ อันตรายต่อสภาพแวดล้อมและสามารถ นามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไมร่ ู้จกั หมดสิน้ สาหรบั การผลติ กระแสไฟฟ้า จะใช้กงั หันลม เป็นอปุ กรณ์ในการเปล่ียน พลังงานลมเปน็ พลงั งานไฟฟ้า โดยจะตอ่ ใบพัดของกงั หนั ลมเข้ากบั เครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้า เมื่อลมพดั มาปะทะจะทาให้ ใบพัดหมนุ แรงจากการหมุนของใบพัดจะทาให้แกนหมุนที่เชอื่ มอยู่กบั เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้า อยา่ งไรกด็ กี ารผลติ ไฟฟ้า ด้วยพลงั งานลมกจ็ ะข้นึ กบั ความเรว็ ลมด้วย สาหรบั ประเทศไทยมศี ักยภาพพลังงานลมต่า ทาให้ผลติ ไฟฟ้าได้จากัด ไมเ่ ต็มกาลังการผลิตติดตงั้ 3.2.2 พลงั งานน้า นา้ ถือเปน็ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่มี ปี ริมาณมากและมีความสาคัญยิ่งต่อสงิ่ มีชีวิตท้งั หลาย หากน้า มีการเคลื่อนจะมพี ลังงานสะสมอยู่มาก มนุษยจ์ ึงนาเอาพลังงานนม้ี าใช้ประโยชน์ในดา้ นต่างๆมากมาย เช่น มีการ สร้างเข่ือนกกั เก็บนา้ เพอ่ื ใช้ผลิตไฟฟ้า โดยการปล่อยนา้ ให้ไหลลงมาจากอ่างเกบ็ น้าลงไปหมนุ กงั หนั ของเครอ่ื ง

ห น้ า | 115 กาเนิดไฟฟา้ ในโรงไฟฟ้าพลังน้า ซึง่ จะเกิดการเหน่ยี วนาได้พลังงานไฟฟ้าออกมา นา้ ถือเป็นทรพั ยากรหมนุ เวยี น และไม่ก่อให้เกดิ มลภาวะ 3.2.3 พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงานจากดวงอาทิตยจ์ ัดเป็นพลังงานหมุนเวียนทสี่ าคัญที่สดุ เป็นพลังงานสะอาดไม่ทาปฏกิ ิริยา ใดๆ อนั จะทาให้สิ่งแวดล้อมเป็นพษิ ปัจจุบนั ได้มกี ารนาเอาพลังงานจากดวงอาทติ ย์มาใช้ผลิตไฟฟ้ากันอย่าง กว้างขวาง โดยใช้เซลล์แสงอาทติ ย์ (Solar Cell) ซ่งึ เปน็ สงิ่ ประดิษฐ์ทางอิเล็คทรอนิคส์ชนิดหน่ึงทส่ี ามารถเปล่ยี น พลงั งานแสงอาทติ ย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง ส่วนใหญ่เซลล์แสงอาทิตย์ทามาจากสารก่ึงตวั นาพวกซิลิคอน มปี ระสทิ ธิภาพในการเปลย่ี นพลังงานแสงอาทติ ย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้สงู ถึงร้อยละ 22 แมพ้ ลงั งานแสงอาทติ ย์ จะเปน็ พลงั งานสะอาดแต่ก็มีขอ้ จากัดในการผลติ ไฟฟ้า โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้แคช่ ่วงที่มแี ดด 3.2.4 พลังงานชีวมวล พลงั งานชีวมวลเป็นพลงั งานความร้อนท่เี กิดจากการเผาไหม้เช้ือเพลิงที่มาจากชีวมวลหรือส่ิงมีชวี ติ เช่น ไมฟ้ นื แกลบ กากอ้อย เศษไม้ เศษหญ้า เศษเหลือทง้ิ จากการเกษตร เหล่านม้ี าเผาให้ความร้อนในหมอ้ ไอนา้ จนกลายเป็นไอน้าทร่ี ้อนจดั และมคี วามดันสงู ไอน้าจะไปป่ันกงั หันทีต่ ่ออยู่กับเคร่ืองกาเนิดไอนา้ ทาให้เกิด กระแสไฟฟ้าออกมา นอกจากนย้ี ังรวมถงึ กระบวนการเปล่ยี นเชื้อเพลงิ ชีวมวล เช่น มลู สตั ว์ และของเสียจาก โรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลอื กสับปะรดจากโรงงานสับปะรดกระป๋อง หรือ น้าเสียจากโรงงานแป้งมัน ให้เป็นแกส๊ เชอ้ื เพลิง เรียกว่า กา๊ ซชีวภาพ นาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์สาหรับผลติ ไฟฟ้าได้อีกดว้ ย โดยเหตุ ท่ปี ระเทศไทยทาการเกษตรอย่างกว้างขวาง วัสดเุ หลอื ใช้จากการเกษตร เช่น แกลบ ข้ีเล่ือย ชานอ้อย กากมะพร้าว ซง่ึ มีอยู่จานวนมาก (เทียบได้นา้ มนั ดิบปีละไมน่ ้อยกว่า 6,500 ล้านลติ ร) กค็ วรจะใช้เป็นเชอ้ื เพลิงผลติ ไฟฟ้าในเชิง พาณิชย์ได้ 3.2.5 พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลงั งานความร้อนใต้พิภพเป็นพลงั งานความร้อนตามธรรมชาตทิ ีไ่ ด้จากแหล่งความร้อนท่ถี กู กกั เกบ็ อยู่ภายใตผ้ วิ โลก โดยปกติอุณหภมู ใิ ตผ้ วิ โลกจะเพิ่มขึ้นตามความลกึ และเม่ือยิ่งลกึ ลงไปถึงภายในใจกลางของ โลก จะมแี หล่งพลงั งานความร้อนมหาศาลอยู่ ความร้อนท่ีอยู่ใตผ้ วิ โลกนี้มแี รงดันสูงมาก จงึ พยายามท่จี ะดนั ตัว ออกจากผวิ โลกตามรอยแตกต่างๆ แหล่งพลังงานความร้อนใตพ้ ิภพ มกั พบในบริเวณทเ่ี รียกว่า จดุ ร้อน (hot spots) โดยบรเิ วณน้นั จะมคี า่ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามความลึก และมีการไหลหรือแผ่กระจายของความร้อนจาก ภายใต้ผวิ โลกขึน้ มาสู่ผวิ ดนิ มากกว่าปกติประมาณ 1.5 - 5 เทา่ เน่ืองจากในบริเวณดังกล่าวเปลอื กโลกมีการขยับตัว เคลื่อนท่ีทาให้เกิดรอยแตกของชนั้ หนิ ไอน้าจงึ สามารถแทรกตวั ผ่านรอยแตกของช้ันหินขึ้นมาได้ สามารถนาไอน้า เหล่าน้ีไปหมนุ กงั หนั ไอน้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 3.2.6 พลงั งานนวิ เคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลียร์เป็นพลงั งานทีเ่ กิดจากปฏกิ ริ ยิ าทางนวิ เคลียร์ซ่งึ เปน็ กระบวนการแบ่งแยก นวิ เคลียสของธาตหุ นกั บางชนิดแล้วมีการปลดปล่อยพลงั งานความร้อนมหาศาล ความร้อนที่เกิดขึน้ นสี้ ามารถนา มาให้ความร้อนกับน้า จนเดือดกลายเป็นไอน้า ไปหมุนกงั หันไอน้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้สาหรับธาตทุ ่สี ามารถ นามาใช้เป็นเช้ือเพลิงในโรงไฟฟ้าพลงั งานนวิ เคลียร์ คือ ยเู รเนียม-235 ซึง่ เปน็ ธาตุตวั หนึง่ ท่ีมอี ยู่ในธรรมชาติ พลงั งานนวิ เคลียร์ถือเป็นพลงั งานสะอาดเน่ืองจากในการผลติ ไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ไมม่ ีการเผาไหม้

ห น้ า | 116 เช้ือเพลงิ จงึ ไม่มีการปล่อยกา๊ ซที่เป็นอันตรายต่อสขุ ภาพ เช่น กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ แตอ่ ย่างไรก็ดีเช้ือเพลงิ ใช้แล้วจะกลายเป็นกากกัมมันตรงั สีที่ต้องมีการจัดการเป็นพเิ ศษ

ห น้ า | 117 ใบกิจกรรมท่ี 1 เรอ่ื ง สนุกกบั พลงั งาน วตั ถปุ ระสงค์ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั ประเภท และการกาเนิดของไฟฟ้า 2. อธบิ ายประโยชนแ์ ละผลกระทบของพลงั งานไฟฟา้ 3. อธิบายความหมาย และประเภทพลงั งานท่ีผลติ กระแสไฟฟ้า เนอ้ื หา 1. ความหมาย ความสาคัญ ประเภท การกาเนิดของไฟฟ้า 2. ประโยชนแ์ ละผลกระทบของพลงั งานไฟฟ้า 3. ประเภทพลังงานท่ีผลิตกระแสไฟฟ้า วัสดุอุปกรณ์ ใบความรู้สาหรบั ผ้รู ับบริการ คาช้ีแจง กลุม่ ที่ 1 ปฏบิ ตั ิกิจกรรมโดยสรปุ เนอ้ื หา เรอ่ื ง ความหมาย ความสาคัญ ประเภท การกาเนิดของไฟฟ้า กลมุ่ ที่ 2 ปฏิบตั กิ ิจกรรมโดยสรปุ เนอ้ื หา เรื่อง ประโยชน์และผลกระทบของพลงั งานไฟฟ้า กลุ่มที่ 3 ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมโดยสรปุ เน้อื หา เรือ่ ง ประเภทพลังงานทผ่ี ลิตกระแสไฟฟา้ สรปุ ผล ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 118 ใบกจิ กรรมท่ี 2 เร่อื ง โซลาเซลล์ วตั ถปุ ระสงค์ สรปุ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพลังงานแสงอาทติ ย์และกระแสไฟฟา้ เนือ้ หา ปฏบิ ตั ิการทดลองประเภทพลังงานทผ่ี ลติ กระแสไฟฟ้า วัสดอุ ุปกรณ์ 1.ใบความรูส้ าหรับผรู้ บั บรกิ าร 2. สายไฟ 4. แผงโซลาเซลล์ 5. แอมมเิ ตอร์ ขนาด 100 mA 6. มอเตอร์ 7. ใบพัดเล็ก (ใช้สาหรับต่อกับมอเตอร์) คาช้ีแจง ใหผ้ ้รู บั บรกิ ารแต่ละกลุม่ ปฏบิ ัติกิจกรรมตามใบกจิ กรรมเรื่องโซลาเซลล์ โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 1. ตอ่ สายไฟแผงโซลา่ เซลล์กับแอมมิเตอร์ ขนาด 100 mA 2. ใหแ้ ผงโซลา่ เซลล์รบั แสงแลว้ นาหนังสือปิดแผงเซลล์ อ่านค่าแอมมิเตอร์ บันทึกผล 3. เอาหนงั สือออก อ่านคา่ แอมมิเตอร์อีกคร้งั บันทึกผล 4. ใหแ้ ผงโซล่าเซลล์รับแสงอาทิตยแ์ ลว้ อา่ นคา่ แอมมิเตอร์ บนั ทกึ ผล 5. ต่อแผงเซลลก์ บั มอเตอร์ แลว้ นาไปรับแสงอาทติ ยส์ งั เกตการณเ์ ปลย่ี นแปลง ผลการทากจิ กรรม 1. นาหนงั สอื ปดิ แผงเซลลอ์ า่ นคา่ ได้ ...................... mA 2. นาหนังสอื ออกจากแผงเซลล์อา่ นค่าได้ ........... mA 3. นาแผงโซลาเซลล์รับแสงอาทติ ย์อา่ นคา่ ได้ ................. mA 4. ต่อแผงโซลาเซลล์กับมอเตอรแ์ ล้วนาไปรบั แสงอาทิตย.์ ........................................................... สรุปผลการทากจิ กรรม 1. ปริมาณกระแสไฟฟ้าจะมากหรอื น้อยข้ึนอยู่กบั ......................................................... 2. เพราะเหตใุ ดใบพดั จงึ หมุนได้……………………………………………………………..

ห น้ า | 119 ฐานการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง สารเพ่ือชวี ิต ประกอบด้วยแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 4 เร่ือง สารเพอ่ื ชวี ติ จานวน 2 ชั่วโมง

ห น้ า | 120 แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ 4 เรื่อง สารเพอ่ื ชวี ติ เวลา 2 ช่ัวโมง แนวคดิ ในชีวิตประจาวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สารท่ีใช้ใน ชวี ิตประจาวนั จะมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ ซ่งึ สามารถจาแนกเปน็ สารสังเคราะห์ และสารธรรมชาติ เชน่ สารปรงุ รสอาหาร สารทาความสะอาด เคร่ืองสาอาง สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช โดยถ้านาไปใช้ เก็บ หรือ ทาลายทิ้ง อยา่ งไม่ถกู วิธี อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และสง่ิ แวดลอ้ ม หรอื อาจติดไฟทาลายทรพั ยส์ นิ ได้ อย่างไรก็ ตาม ถ้าเรารู้จักใช้ เก็บ และทิ้งผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีอย่างถูกวิธี เราก็จะสามารถป้องกันอันตรายท่ีอาจเกิดข้ึนได้ และ ใช้ผลิตภณั ฑเ์ หล่านไี้ ดอ้ ย่างปลอดภยั วตั ถุประสงค์ เม่อื ส้ินสุดแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูน้ แ้ี ลว้ ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายสารและสมบัตขิ องสาร 2. ทดสอบสารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชวี ิตประจาวนั 3. เห็นความสาคญั ของการเลือกใช้สารในชีวติ ประจาวนั เนื้อหา 1.สารและสมบัตขิ องสาร 1.1 สมบัตทิ ั่วไปของสาร 1.2 สถานะของสาร 2. สารและผลิตภณั ฑ์ของสารทใี่ ช้ในชีวติ ประจาวนั 2.1 สารปนเปอ้ื น 2.2 การเลือกซ้ือ และการเลือกใชส้ าร ข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นตอนท่ี 1 กจิ กรรมการเรยี นร้ปู ระสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้เข้ารับบริการและแนะนาตนเองกับผู้รับบริการ หลังจากนั้นชี้แจงวัตถุประสงค์ ของฐานการเรียนรู้ท่ี 4 เรอ่ื ง สารเพ่อื ชีวิต 2. ผู้จัดกิจกรรมซักถามความรู้พื้นฐานของผู้รับบริการ เร่ืองสารเพื่อชีวิต เกี่ยวกับสารและสมบัติของสาร สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจาวัน โดยการสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ ตอบคาถามในประเด็น “ท่านรู้จักสารและสมบัติของสาร และความสาคัญของการเลือกใช้สารในชีวิตประจาวัน หรือไมอ่ ยา่ งไร”

ห น้ า | 121 3. ผู้จดั กจิ กรรม และผรู้ ับบรกิ ารแลกเปล่ียนความคิดเหน็ และสรุปสิ่งท่ไี ด้เรียนรู้ร่วมกนั ขนั้ ตอนท่ี 2 กิจกรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ที่ทา้ ทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จดั กจิ กรรมเชือ่ มโยงเนื้อหาในขน้ั ตอนที่ 1 เร่อื ง สารและสมบัติของสาร และความสาคัญของการ เลือกใช้สารในชีวิตประจาวัน โดยแบ่งผู้รับบรกิ ารออกเปน็ 3 กลุม่ ให้ปฏบิ ัตติ ามใบกิจกรรม เรื่อง สารและ ผลิตภัณฑ์ของสารทใ่ี ช้ในชวี ิตประจาวนั รายละเอยี ดดงั นี้ กลุ่มท่ี 1 ชุดทดสอบบอแรกซ์ กลมุ่ ท่ี 2 ชดุ ทดสอบฟอรม์ าลิน กลมุ่ ท่ี 3 ชุดทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (สารฟอกขาว) 2. ผู้จัดกิจกรรมแนะนาอุปกรณ์ สารเคมี และขอ้ ควรระวังของแต่ละกิจกรรม 3. ให้ผรู้ บั บรกิ ารทาการทดสอบในแต่ละกลุม่ โดยเวยี นฐาน จนครบทุกฐาน 4. ใหผ้ ู้รับบริการบนั ทกึ ผลการทดสอบ และสรปุ ผลการทดสอบ 5. ผู้จดั กจิ กรรมจะตรวจสอบผลการทดสอบ และเฉลยว่าถูกต้องหรือไม่จากนั้นจะอธิบายประกอบในแต่ ละกจิ กรรม 6. ผู้จัดกจิ กรรมสรปุ สิ่งที่ได้เรยี นรรู้ ่วมกนั ข้ันตอนที่ 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชวี ิตประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผรู้ บั บริการในแตล่ ะกลุ่มตามขัน้ ตอนท่ี 2 ยกตัวอยา่ งสารและผลิตภัณฑ์ของสารทใี่ ชใ้ นชวี ิตประจาวัน พรอ้ มทัง้ แนะนาแนวทางในการเลอื กใช้สารและผลติ ภณั ฑ์ของสารในชีวติ ประจาวัน 2. ให้ผู้รับบริการตอบคาถามโดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามในประเด็น “ท่านจะนาความรู้ เรื่อง สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจาวัน และสามารถป้องกันอันตรายท่ีอาจ เกิดขน้ึ และใช้ผลติ ภัณฑเ์ หล่าน้ไี ดอ้ ย่างปลอดภัยไดอ้ ยา่ งไร” 3. ผู้จดั กิจกรรมและผู้รับบริการสรปุ ส่ิงทไี่ ดเ้ รียนรรู้ ว่ มกัน สือ่ วัสดุอปุ กรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1. ใบความร้สู าหรับผู้จดั กิจกรรม เรอื่ ง สารและสมบัตขิ องสาร 2. ใบความร้สู าหรบั ผรู้ บั บริการ เรอ่ื ง สารและสมบัติของสาร 3. ใบกจิ กรรม เร่ือง สารและผลติ ภณั ฑ์ของสารที่ใช้ในชวี ติ ประจาวัน 4. ชดุ ทดสอบบอแรกซ์ 5. ชดุ ทดสอบฟอร์มาลิน 6. ชุดทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (สารฟอกขาว)

ห น้ า | 122 การวดั และประเมินผล 1. สังเกตความสนใจและการใหค้ วามร่วมมอื ภายในกลุ่ม 2. สังเกตการปฏบิ ตั งิ าน ทักษะการทากจิ กรรม 3. บันทกึ ผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม

ห น้ า | 123 บันทกึ ผลหลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการใช้แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. จานวนเนอื้ หากับจานวนเวลา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การเรยี งลาดบั เนอื้ หากบั ความเข้าใจของผรู้ บั ริการ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. การนาเข้าสบู่ ทเรียนเน้ือหาแตล่ ะหวั ข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. วิธีการจัดกจิ กรรมการเรยี นรกู้ บั เนอื้ หาในแต่ละขอ้  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมินผลกบั วตั ถุประสงค์ในแตล่ ะเน้ือหา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลการเรียนรแู้ ละผ้รู บั บริการ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ของผ้จู ักิจกรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ห น้ า | 124 ใบความรู้สาหรบั ผู้จดั กจิ กรรม เรอ่ื ง สารและสมบัติของสาร สาร หมายถึง ส่ิงทมี่ ีมวล ต้องการท่อี ยู่และสมั ผสั ได้ มีทงั้ สถานะทีเ่ ปน็ ของแขง็ ของเหลว และก๊าซ ตวั อย่างเช่น เงนิ (Ag) และเกลอื แกง (NaCl) เป็นของแข็ง นา้ (H2O) และเอธานอล (C2H5O) เปน็ ของเหลว คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซออกซิเจน (O2) เป็นก๊าซ เป็นตน้ สมบัตขิ องสาร หมายถึง ลักษณะประจาตัวของสาร เช่น สถานะ สี กลิน่ รส การละลาย การนาไฟฟ้า จุด เดือด และการเผาไหม้ เป็นต้น 1. สมบัตขิ องสาร อาจจะนามาแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี ประภทที่ 1 สมบัติทางกายภาพ หมายถงึ สมบัติเฉพาะตัวของสารทีส่ ามารถสังเกตเหน็ ได้งา่ ยจากลกั ษณะ ภายนอก หรอื จากการทดลองง่ายๆ โดยไมเ่ กย่ี วข้องกบั การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ตวั อยา่ งทางกายภาพได้แก่ สถานะ รูปรา่ ง สี กลน่ิ รส การละลาย จดุ เดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น การนาความรอ้ น การนาไฟฟ้า ความรอ้ น แฝง ความถ่วงจาเพาะ เปน็ ต้น ประเภทท่ี 2 สมบตั ิทางเคมี หมายถึง สมบัตเิ ฉพาะตวั ของสารทเี่ กย่ี วข้องกบั การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี เชน่ การเกดิ สารใหม่ การสลายตวั ใหไ้ ดส้ ารใหม่ การเผาไหม้ การระเบิด ความเป็น กรด - เบส ของสาร และการเกิด สนิมของโลหะ เปน็ ตน้ 2. การจดั จาแนกสาร สามารถจาแนกออกเป็น 4 กรณี ไดแ้ ก่ 2.1 การใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ คือ – สถานะที่เปน็ ของแขง็ (Solid) จะมีรูปร่าง และ ปรมิ าตรคงที่ ซ่งึ อนุภาคภายในจะอยชู่ ิดติดกนั เช่น ด่าง ทับทมิ (KMnO4) , ทองแดง (Cu) – สถานะทเี่ ปน็ ของเหลว (Liquid) จะมีรูปร่างตามภาชนะท่ีบรรจุ และ มีปริมาตรที่คงท่ี ซึง่ อนภุ าค ภายในจะอยชู่ ดิ กันน้อยกวา่ ของแข็ง และมีสมบตั ิเป็นของไหล เชน่ นา้ มนั , แอลกอฮอล์ , ปรอท (Hg) ฯลฯ – สถานะที่เป็นก๊าซ (Gas) จะมีรปู ร่าง และปรมิ าตรที่ไม่คงท่ี โดยรูปรา่ ง จะเปลย่ี นไปตามภาชนะทบี่ รรจุ อนุภาคภายในจะอยูห่ ่างกันมากที่สดุ และมสี มบตั ิเปน็ ของไหลได้ เชน่ ก๊าซหงุ ต้ม , อากาศ 2.2 การใชเ้ นื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมสี มบัตทิ างกายภาพของสารทไ่ี ดจ้ ากการสังเกตลกั ษณะความแตกต่าง ของเนื้อสาร ซ่ึงจะจาแนกได้ออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ – สารเนื้อเดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถงึ สารที่มเี นื้อสารเหมอื นกันทุกส่วน ทาให้สารมี สมบตั เิ หมือนกนั ตลอดทุกสว่ น เชน่ แอลกอฮอล์ , ทองคา (Au) , โลหะบัดกรี – สารเน้อื ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีเน้ือสารแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะสว่ น จะทา ใหส้ ารนัน้ มีสมบตั ิ ไม่เหมือนกันตลอดทกุ สว่ น เช่น นา้ อบไทย , น้าคลอง ฯลฯ 2.3 การละลายนา้ เปน็ เกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 3 กลมุ่ คอื – สารทล่ี ะลายน้าได้ เช่น เกลือแกง (NaCl) , ด่างทบั ทิม (KMnO4) ฯลฯ – สารทล่ี ะลายนา้ ไดบ้ ้าง เชน่ กา๊ ซคลอรีน (Cl2) , กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ – สารทีไ่ มส่ ามารถละลายน้าได้ เช่น กามะถนั (S) , เหลก็ (Fe) ฯลฯ

ห น้ า | 125 2.4 การนาไฟฟ้าเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ – สารที่นาไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง (Cu) , นา้ เกลือฯลฯ – สารที่ไมน่ าไฟฟา้ เชน่ หนิ ปนู (CaCO3) , ก๊าซออกซเิ จน ( O2 )

ห น้ า | 126 เรอ่ื ง สารและผลติ ภณั ฑข์ องสารท่ีใชใ้ นชีวิตประจาวนั ในชีวติ ประจาวนั เราจะตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกับสารหลายชนดิ ซึง่ มีสารเคมีเป็นองคป์ ระกอบ เราสามารถจาแนก เป็นสารสงั เคราะหแ์ ละสารธรรมชาติ เชน่ สารปรงุ รสอาหาร สารทาความสะอาด สารกาจดั แมลงและสารกาจดั ศตั รพู ชื เครื่องสาอาง เป็นต้น ในการจาแนกสารเคมีนน้ั ใช้เกณฑ์ตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. สารปรุงแตง่ อาหาร หมายถงึ สารปรุงรสอาหารใช้ใสใ่ นอาหารเพ่ือทาใหอ้ าหารมรี สดีขึ้น หรอื เพิ่ม รสชาตติ ่างๆ เชน่ น้าตาล ใหร้ สหวาน เกลือ นา้ ปลา ให้รสเคม็ น้าส้มสายชู นา้ มะนาว ซอสมะเขอื เทศ ให้รสเปร้ยี ว 2. สารทาความสะอาด หมายถงึ สารที่มีคุณสมบตั ิในการกาจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆา่ เชอ้ื โรค ประเภทของสารทาความสะอาด แบ่งตามการเกดิ ได้ 2 ประเภท คอื 2.1 ได้จากการสังเคราะห์ เช่น นา้ ยาลา้ งจาน สบ่กู ้อน สบ่เู หลว แชมพูสระผมผงซักฟอก สารทา ความสะอาดพ้ืน เป็นตน้ 2.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ น้ามะกรดู มะขามเปยี ก เกลือ เป็นต้น 3. สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีท่ีผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการกาจัด และ ควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีท้ังชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้า ประเภทของสารกาจัดแมลงและสารกาจัด ศัตรพู ชื แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ 3.1 ได้จากการสงั เคราะห์ เช่น สารฆ่ายงุ สารกาจดั แมลง เป็นตน้ 3.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ เปลือกมะนาว เปลือกมะกรดู เปลือกสม้ เปน็ ต้น 4. เครอ่ื งสาอาง หมายถงึ ผลิตภัณฑท์ ใี่ ช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบรา่ งกาย เพื่อใช้ทาความ สะอาดเพ่ือให้เกิดความสดชนื่ ความสวยงาม และเพ่ิมความม่ันใจ ประเภทของเครื่องสาอาง แบง่ เป็น 5 ประเภท คอื 4.1 สาหรับผม เช่น แชมพู ครมี นวด เจลแต่งผม 4.2 สาหรับร่างกาย เชน่ สบู่ ครีม และโลช่ันทาผวิ ยาทาเลบ็ น้ายาดบั กล่ินตัว แป้งโรยตัว 4.3 สาหรบั ใบหน้า เชน่ ครีม โฟมล้างหนา้ แป้งผัดหนา้ ลปิ สติก ดนิ สอเขยี นค้ิว และดินสอเขียนขอบตา 4.4 น้าหอม 4.5 เบด็ เตล็ด เชน่ ครมี โกนหนวด ผา้ อนามัย ยาสฟี นั 5. สารเคมที ่เี ปน็ อนั ตรายแตพ่ บมกี ารปนเปอื้ นในอาหาร อาหารเป็นส่ิงทมี่ ีความจาเปน็ ต่อชวี ติ มนุษย์เรา ทุกคน เพราะเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้ร่างกายมนุษย์เจริญเติบโตและยังทาให้มนุษย์ดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งใน สมัยก่อนอาหารที่เรารับประทานยังไม่มีการผลิตครั้งละปริมาณมากๆเพื่อการค้า จะรับประทานเป็นมื้อ เก็บไว้ อย่างมากก็ข้ามวันเท่านั้น แต่ในปัจจุบันโลกมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารในปริมาณมากๆทาให้มีการ คิดค้นวิธีการต่างๆในการเก็บรักษาอาหารได้นาน รวมท้ังช่วยให้อาหารมีรูปลักษณ์ท่ีดี ทาให้ผู้บริโภคสนใจและ ตอ้ งการเลือกซ้อื โดยมีการนาสารเคมตี ่างๆมาผสมในอาหาร ซึ่งสารเคมีบางอยา่ งเป็นอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย บางชนิด หากบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจถึงแก่ชีวิตได้ พบว่ามีอาหารหลายชนิดที่เรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ว่า มี สารเคมปี นเปื้อนอยู่ โดยสารเคมที ่เี ปน็ อนั ตรายแต่พบมกี ารปนเป้อื นในอาหาร ได้แก่

ห น้ า | 127 5.1 บอแรกซ์ เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า เพ่งเซ เม่งเซ ผงกรอบ ผงกันบูด น้าประสานทอง มีลักษณะ เป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขมเล็กน้อย ใช้ในอุตสาหกรรมการทาแก้วเพื่อให้ทนความรอ้ น ใช้ประสานในการเช่ือม ทอง โดยอาหารที่มักตรวจพบว่ามีบอแรกซ์ เช่น ลูกชิ้น หมูบด ทอดมัน ทับทิมกรอบ ลอดช่อง ผัก ผลไม้ดอง อันตรายตอ่ สขุ ภาพรา่ งกาย เปน็ พษิ ต่อไต และสมอง มีอาการ คอื ออ่ นเพลยี อาเจยี น ปวดหวั เบ่ืออาหาร ท้องรว่ ง เยอื่ ตาอกั เสบ และอาจถึงตายได้ 5.2 สารกันรา (กรดซาลิซิลิค) เป็นกรดมีฤทธิ์ในการยับยั้งจุลินทรีย์ แต่ห้ามใช้กับอาหาร มักใส่ ในอาหารหมักดอง โดยอาหารที่มักตรวจพบว่ามีสารกันรา เชน่ ผัก ผลไม้ดองต่างๆ ปลาส้ม ปลาทูเค็มอันตรายต่อ สขุ ภาพร่างกาย ออ่ นเพลีย วงิ เวียนศรี ษะ มีไขข้ ึน้ สงู หอู อ้ื ผวิ หนังเปน็ ผน่ื แดง 5.3 ฟอรม์ าลนี เรยี กอกี ชอื่ หน่ึงวา่ นา้ ยาดองศพ ใชฆ้ ่าเชือ้ โรค/ดองศพ มกี ล่ินฉุน แสบจมกู โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีฟอร์มาลีน เช่น อาหารทะเลสด ผัก ผลไม้สด สไบนาง (ผ้าขี้ริ้วสีขาว) อันตรายต่อ สขุ ภาพรา่ งกาย ระคายเคอื งระบบทางเดินหายใจ ปวดทอ้ งรนุ แรง ปวดศรี ษะ ชัก ชอ็ ค หมดสติ 5.4 สารฟอกขาว (โซเดยี มไฮโดรซลั ไฟต์) หรอื เรยี กวา่ ผงซักมงุ้ ใช้สาหรบั ฟอกแห อวน ใหข้ าว โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีสารฟอกขาว เช่น ถั่วงอก กระท้อนดอง ขิงซอย ทุเรียนกวน น้าตาลมะพร้าว ยอด มะพร้าว อันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ผิวหนังอักเสบแดง ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บ แน่นหนา้ อก ช็อค หมดสติ

ห น้ า | 128 ใบความรสู้ าหรบั ผูร้ บั บริการ เร่อื ง สารและสมบตั ขิ องสาร สาร หมายถงึ สิง่ ท่มี ีมวล ต้องการท่อี ยู่และสมั ผัสได้ มที งั้ สถานะท่ีเปน็ ของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ ตวั อย่างเชน่ เงนิ (Ag) และเกลอื แกง (NaCl) เป็นของแข็ง น้า (H2O) และเอธานอล (C2H5O) เปน็ ของเหลว คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซออกซเิ จน (O2) เป็นก๊าซ เป็นตน้ สมบัติของสาร หมายถงึ ลกั ษณะประจาตวั ของสาร เช่น สถานะ สี กล่ิน รส การละลาย การนาไฟฟ้า จุด เดือด และการเผาไหม้ เป็นต้น 1. สมบตั ขิ องสาร อาจจะนามาแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังน้ี ประภทที่ 1 สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติเฉพาะตัวของสารทส่ี ามารถสังเกตเหน็ ได้ง่ายจากลักษณะ ภายนอก หรอื จากการทดลองง่ายๆ โดยไมเ่ ก่ียวขอ้ งกับการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ตัวอยา่ งทางกายภาพไดแ้ ก่ สถานะ รปู ร่าง สี กล่ิน รส การละลาย จดุ เดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนน่ การนาความร้อน การนาไฟฟ้า ความรอ้ น แฝง ความถว่ งจาเพาะ เป็นต้น ประเภทท่ี 2 สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบตั เิ ฉพาะตวั ของสารทเี่ ก่ียวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น การเกดิ สารใหม่ การสลายตัวใหไ้ ดส้ ารใหม่ การเผาไหม้ การระเบิด ความเปน็ กรด - เบส ของสาร และการเกิด สนมิ ของโลหะ เปน็ ต้น 2. การจดั จาแนกสาร สามารถจาแนกออกเป็น 4 กรณี ไดแ้ ก่ 2.1 การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ คือ – สถานะท่เี ปน็ ของแขง็ (Solid) จะมรี ูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซ่ึงอนภุ าคภายในจะอยชู่ ิดติดกนั เช่น ดา่ ง ทับทิม (KMnO4) , ทองแดง (Cu) – สถานะท่เี ปน็ ของเหลว (Liquid) จะมรี ปู ร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มปี รมิ าตรท่ีคงท่ี ซงึ่ อนภุ าค ภายในจะอยู่ชดิ กันนอ้ ยกวา่ ของแข็ง และมสี มบัตเิ ปน็ ของไหล เช่น นา้ มัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท (Hg) ฯลฯ – สถานะทเี่ ปน็ ก๊าซ (Gas) จะมรี ูปร่าง และปริมาตรที่ไมค่ งท่ี โดยรูปร่าง จะเปลย่ี นไปตามภาชนะทบ่ี รรจุ อนุภาคภายในจะอย่หู า่ งกนั มากทีส่ ุด และมีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น กา๊ ซหงุ ตม้ , อากาศ 2.2 การใช้เน้อื สารเป็นเกณฑ์ จะมสี มบัตทิ างกายภาพของสารทไี่ ดจ้ ากการสังเกตลักษณะความแตกตา่ ง ของเนื้อสาร ซ่ึงจะจาแนกได้ออกเป็น 2 กลมุ่ คือ – สารเนอ้ื เดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถึง สารทม่ี ีเนือ้ สารเหมอื นกันทุกส่วน ทาให้สารมี สมบตั ิเหมือนกนั ตลอดทุกสว่ น เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคา (Au) , โลหะบดั กรี – สารเน้อื ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารทม่ี ีเน้ือสารแตกต่างกันในแต่ละสว่ น จะทา ให้สารนั้นมสี มบัติ ไม่เหมอื นกันตลอดทกุ ส่วน เชน่ นา้ อบไทย , นา้ คลอง ฯลฯ 2.3 การละลายน้าเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 3 กลุ่ม คือ – สารทีล่ ะลายน้าได้ เช่น เกลือแกง (NaCl) , ดา่ งทับทิม (KMnO4) ฯลฯ – สารทลี่ ะลายน้าไดบ้ า้ ง เช่น กา๊ ซคลอรีน (Cl2) , กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ – สารทไ่ี ม่สามารถละลายนา้ ได้ เชน่ กามะถนั (S) , เหล็ก (Fe) ฯลฯ

ห น้ า | 129 2.4 การนาไฟฟ้าเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ – สารที่นาไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง (Cu) , นา้ เกลือฯลฯ – สารที่ไมน่ าไฟฟา้ เชน่ หนิ ปนู (CaCO3) , ก๊าซออกซเิ จน ( O2 )

ห น้ า | 130 เรือ่ ง สารและผลติ ภณั ฑ์ของสารท่ีใชใ้ นชีวติ ประจาวัน ในชีวติ ประจาวนั เราจะต้องเก่ียวขอ้ งกบั สารหลายชนิด ซึง่ มสี ารเคมีเป็นองคป์ ระกอบ เราสามารถจาแนก เป็นสารสงั เคราะหแ์ ละสารธรรมชาติ เชน่ สารปรุงรสอาหาร สารทาความสะอาด สารกาจัดแมลงและสารกาจดั ศตั รพู ชื เครื่องสาอาง เป็นตน้ ในการจาแนกสารเคมนี นั้ ใชเ้ กณฑ์ต่างๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. สารปรุงแตง่ อาหาร หมายถงึ สารปรงุ รสอาหารใชใ้ ส่ในอาหารเพ่ือทาให้อาหารมรี สดีขน้ึ หรอื เพ่ิม รสชาตติ ่างๆ เชน่ น้าตาล ให้รสหวาน เกลือ น้าปลา ใหร้ สเค็ม นา้ ส้มสายชู น้ามะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรีย้ ว 2. สารทาความสะอาด หมายถงึ สารที่มีคุณสมบตั ใิ นการกาจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเชอ้ื โรค ประเภทของสารทาความสะอาด แบง่ ตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คอื 2.1 ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่น น้ายาล้างจาน สบ่กู อ้ น สบ่เู หลว แชมพสู ระผมผงซักฟอก สารทา ความสะอาดพ้ืน เป็นตน้ 2.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เช่น นา้ มะกรดู มะขามเปยี ก เกลือ เปน็ ต้น 3. สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพ่ือใช้ป้องกันการกาจัด และ ควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้า ประเภทของสารกาจัดแมลงและสารกาจัด ศัตรพู ชื แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื 3.1 ไดจ้ ากการสังเคราะห์ เช่น สารฆา่ ยงุ สารกาจดั แมลง เปน็ ต้น 3.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เช่น เปลอื กมะนาว เปลือกมะกรดู เปลอื กสม้ เป็นตน้ 4. เครอ่ื งสาอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทีใ่ ชท้ า ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบร่างกาย เพ่ือใช้ทาความ สะอาดเพ่ือให้เกดิ ความสดชน่ื ความสวยงาม และเพิ่มความม่ันใจ ประเภทของเคร่ืองสาอาง แบง่ เปน็ 5 ประเภท คือ 4.1 สาหรบั ผม เชน่ แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม 4.2 สาหรบั รา่ งกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชัน่ ทาผวิ ยาทาเล็บ น้ายาดับ กล่นิ ตวั แป้งโรยตวั 4.3 สาหรบั ใบหน้า เชน่ ครีม โฟมล้างหน้า แปง้ ผดั หนา้ ลปิ สติก ดนิ สอเขียนคิ้ว และดนิ สอเขยี นขอบตา 4.4 น้าหอม 4.5 เบด็ เตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามยั ยาสีฟนั 5. สารเคมีท่เี ปน็ อนั ตรายแตพ่ บมกี ารปนเปื้อนในอาหาร อาหารเปน็ ส่งิ ที่มคี วามจาเปน็ ต่อชวี ิตมนุษย์เรา ทุกคน เพราะเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยท่ีช่วยให้ร่างกายมนุษย์เจริญเติบโตและยังทาให้มนุษย์ดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งใน สมัยก่อนอาหารที่เรารับประทานยังไม่มีการผลิตครั้งละปริมาณมากๆเพ่ือการค้า จะรับประทานเป็นม้ือ เก็บไว้ อย่างมากก็ข้ามวันเท่านั้น แต่ในปัจจุบันโลกมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารในปริมาณมากๆทาให้มีการ คิดค้นวิธีการต่างๆในการเก็บรักษาอาหารได้นาน รวมทั้งช่วยให้อาหารมีรูปลักษณ์ท่ีดี ทาให้ผู้บริโภคสนใจและ ตอ้ งการเลือกซ้อื โดยมีการนาสารเคมีต่างๆมาผสมในอาหาร ซึ่งสารเคมีบางอยา่ งเป็นอันตรายตอ่ ร่างกาย บางชนิด หากบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจถึงแก่ชีวิตได้ พบว่ามีอาหารหลายชนิดท่ีเรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ว่ามี สารเคมปี นเปื้อนอยู่ โดยสารเคมีทีเ่ ปน็ อันตรายแตพ่ บมกี ารปนเป้อื นในอาหาร ไดแ้ ก่

ห น้ า | 131 5.1 บอแรกซ์ เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า เพ่งเซ เม่งเซ ผงกรอบ ผงกันบูด น้าประสานทอง มีลักษณะ เป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขมเล็กน้อย ใช้ในอุตสาหกรรมการทาแก้วเพ่ือให้ทนความรอ้ น ใช้ประสานในการเช่ือม ทอง โดยอาหารที่มักตรวจพบว่ามีบอแรกซ์ เช่น ลูกชิ้น หมูบด ทอดมัน ทับทิมกรอบ ลอดช่อง ผัก ผลไม้ดอง อันตรายตอ่ สขุ ภาพรา่ งกาย เปน็ พษิ ตอ่ ไต และสมอง มีอาการ คอื ออ่ นเพลยี อาเจยี น ปวดหวั เบ่ืออาหาร ท้องรว่ ง เยอื่ ตาอกั เสบ และอาจถึงตายได้ 5.2 สารกันรา (กรดซาลิซิลิค) เป็นกรดมีฤทธิ์ในการยับยั้งจุลินทรีย์ แต่ห้ามใช้กับอาหาร มักใส่ ในอาหารหมักดอง โดยอาหารทีม่ ักตรวจพบว่ามีสารกันรา เชน่ ผัก ผลไม้ดองต่างๆ ปลาส้ม ปลาทูเค็มอันตรายต่อ สขุ ภาพร่างกาย ออ่ นเพลีย วงิ เวยี นศรี ษะ มีไข้ข้ึนสูง หูออ้ื ผวิ หนังเปน็ ผ่ืนแดง 5.3 ฟอร์มาลนี เรยี กอกี ช่ือหนงึ่ วา่ นา้ ยาดองศพ ใชฆ้ ่าเชือ้ โรค/ดองศพ มกี ลิ่นฉุน แสบจมกู โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีฟอร์มาลีน เช่น อาหารทะเลสด ผัก ผลไม้สด สไบนาง (ผ้าข้ีร้ิวสีขาว) อันตรายต่อ สขุ ภาพรา่ งกาย ระคายเคอื งระบบทางเดินหายใจ ปวดทอ้ งรนุ แรง ปวดศรี ษะ ชัก ชอ็ ค หมดสติ 5.4 สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซลั ไฟต์) หรอื เรยี กว่า ผงซักมงุ้ ใช้สาหรบั ฟอกแห อวน ใหข้ าว โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีสารฟอกขาว เช่น ถ่ัวงอก กระท้อนดอง ขิงซอย ทุเรียนกวน น้าตาลมะพร้าว ยอด มะพร้าว อันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ผิวหนังอักเสบแดง ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บ แน่นหนา้ อก ช็อค หมดสติ

ห น้ า | 132 ใบกิจกรรม เรือ่ ง สารและผลติ ภัณฑ์ของสารทีใ่ ชใ้ นชวี ิตประจาวัน วตั ถปุ ระสงค์ ทดสอบสารและผลิตภณั ฑ์ของสารทีใ่ ช้ในชีวติ ประจาวัน เนือ้ หา สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั คาชแ้ี จง 1. ชุดทดสอบบอแรกซ์ วสั ดุและอุปกรณ์ 1. กระดาษขมน้ิ 2. ช้อนตักตวั อยา่ ง 3. บกี เกอร์ 4. หลอดหยด 5. จานเพาะเชอื้ 6. น้ายาทดสอบบอแรกซ์ (กรดไฮโดรคลอริค) 7. ตวั อยา่ งอาหารของจริง เชน่ ไสก้ รอก ลกู ชิน้ ปลา วธิ ปี ฏบิ ัติ 1. หนั่ ตัวอย่างเป็นชิ้นเล็กๆ เทา่ หัวไมข้ ีดไฟ 2. ตกั ตัวอย่าง 1 ชอ้ นชาใสบ่ ีกเกอร์ 3. ดดู น้ายาบอแรกซใ์ สใ่ หท้ ่วมตวั อย่าง 4. ใชแ้ ท่งแกว้ คนใหเ้ ขา้ กนั 5. จมุ่ กระดาษขม้นิ ให้เปยี กคร่ึงแผ่น 6. ผ่ึงกระดาษขมนิ้ บนจานเพาะเชื้อใหแ้ ห้ง 7. สังเกตการณเ์ ปลย่ี นสขี องกระดาษขมน้ิ *ข้อควรระวัง* น้ายาทดสอบบอแรกซ์มีสภาพเป็นกรด หากหกเปื้อนมือหรือส่วนใดของร่างกายให้ล้าง ด้วยน้าและฟอกสบู่

8. การอา่ นผล ห น้ า | 133 สีของกระดาษขมิ้น เกณฑ์ตัดสิน กระดาษขมนิ้ เป็นสีแดง พบบอแรกซ์ กระดาษขมน้ิ ไม่เปลย่ี นเปน็ สแี ดง ไม่พบบอแรกซ์ 9. ผลการทดสอบ การบันทกึ ผล ตัวอยา่ ง สีของกระดาษขม้นิ 10. สรปุ ผลการทดสอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 134 2. ชุดทดสอบสารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) วัสดแุ ละอปุ กรณ์ 1. บกี เกอร์ 2. หลอดหยด 3. นา้ ยาทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ 4. ตัวอย่างอาหารของจริง เชน่ ถ่ัวงอก หน่อไมด้ อง ขงิ ซอย วธิ ปี ฏบิ ัติ 1. เทนา้ จากการแชต่ วั อยา่ งปรมิ าณ 5 มิลลลิ ติ ร ใสบ่ ีกเกอร์ 2. หยดนา้ ยาทดสอบโซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์ 1-3 หยด เขยา่ และสงั เกตสี 3. การอ่านผล สขี องสารละลายในถ้วย เกณฑต์ ัดสิน สารละลายเป็นสเี ทา-ดา พบสารฟอกขาว สารละลายเป็นสเี ขยี ว-ฟ้า ไมพ่ บสารฟอกขาว 4. ผลการทดสอบ สขี องสารละลาย การบันทึกผล ตวั อยา่ ง 5. สรุปผลการทดสอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 135 3. ชดุ ทดสอบฟอร์มาลนิ วัสดุและอปุ กรณ์ 1.บีกเกอร์ 2.น้ายาฟอรม์ าลนิ 1 คอื สารละลายฟีนลิ ไฮดราซนี ไฮโดรคลอไรด์ 3. น้ายาฟอรม์ าลนิ 2 คอื สารละลายโพแทสเซียมเฮกซะไซยาโนเฟอเรด 4. นา้ ยาฟอรม์ าลิน 3 คือ สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น 5. ตัวอย่างอาหารของจรงิ เช่น หมกึ สด หมึกกรอบ สไบนางหรือผา้ ขร้ี ้วิ วิธีปฏิบัติ 1. ใส่น้าแชต่ ัวอย่างอาหารลงในหลอดที่ 1 ปรมิ าณ 5 มิลลิลิตร ปิดฝาขวดและเขย่า 2. เทใส่ขวดท่ี 2 ปิดฝาขวดและเขย่าให้เขา้ กัน 3. เทใส่ขวดที่ 3 ปิดฝาขวดและเขยา่ ให้เข้ากัน 4. สงั เกตสีทเี่ กดิ ขึ้น *ขอ้ ควรระวัง* น้ายาทดสอบทง้ั 3 เปน็ กรด ควรหลีกเล่ยี งการสูดดมโดยเปดิ ฝาเทา่ ทีจ่ าเปน็ 5. การอา่ นผล สีของสารละลาย เกณฑต์ ดั สนิ สารละลายเปล่ยี นเป็นโทน สชี มพูถงึ สีแดง (ขึ้นกับปริมาณฟอร์มาลนิ ท่ีเจอื ปนอยู่) พบฟอร์มาลิน สารละลายไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือเปลี่ยนเป็นสีอื่นนอกเหนือจากโทนสี ไม่พบฟอรม์ าลิน ชมพูแดง 6. ผลการตรวจสอบ ตวั อยา่ ง สีของสารละลาย การบันทกึ ผล 7. สรปุ ผลการตรวจสอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 136 ฐานการเรยี นรู้ท่ี 5 เรอื่ ง โลกใตเ้ ลนส์ ประกอบด้วยแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ี 5 เรอื่ ง โลกใตเ้ ลนส์ จานวน 2 ช่ัวโมง

ห น้ า | 137 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ที่ 5 เรือ่ ง โลกใต้เลนส์ เวลา 2 ชั่วโมง แนวคิด โลกใต้เลนส์ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ และวิธีการทาสไลด์สด ซ่ึง กล้องจุลทรรศน์เป็นเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการดูภาพขยายของโครงสร้างตา่ ง ๆ ของตัวอย่างทางชีววิทยาทต่ี ้องการศึกษา เช่น เซลล์สิ่งมีชีวิต เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ซึ่งมีส่วนประกอบสาคัญ 3 ส่วนท่ีเหมือนกัน ได้แก่ เย่ือหุ้มเซลล์ (cell membrane) ไซโทพลาซึม (cytoplasm) และนิวเคลียส (nucleus) ในการจะศึกษาเซลล์พืชและเซลล์สัตว์นั้น ตอ้ งมีการเตรียมสไลด์สดเพ่ือจะนาไปส่องกล้องจุลทรรศน์ ซ่งึ เปน็ พ้นื ฐานในการเตรียมความพร้อมก่อนการเรียนได้ เป็นอย่างดี วัตถปุ ระสงค์ เมือ่ สน้ิ สุดแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แลว้ ผ้รู บั บรกิ ารสามารถ 1. บอกสว่ นประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 2. สามารถเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ 3. อธบิ ายวธิ ีการทาสไลดส์ ด เน้ือหา 1. กลอ้ งจลุ ทรรศน์ 2. เซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ 3. การทาสไลดส์ ด ขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั ตอนที่ 1 กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผจู้ ัดกิจกรรมทกั ทายผูร้ บั บริการและแนะนาตนเองกบั ผู้รบั บริการ รวมท้ังชี้แจงวัตถุประสงคข์ องฐาน การเรยี นรทู้ ่ี 5 เรอ่ื งโลกใตเ้ ลนส์ ได้แก่ (1) บอกส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ (2) สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ (3) อธิบายวิธีการทาสไลด์สด 2. ผู้จัดกิจกรรมซักถามประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะเรียนรู้ โดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 - 5 คน ตามความสมคั รใจ ให้ตอบคาถามในประเด็น จานวน 3 ประเดน็ ดงั น้ี ประเดน็ ท่ี 1 “มีใครเคยใช้กล้องจลุ ทรรศนบ์ ้าง” ประเดน็ ที่ 2 “ท่านคิดวา่ เซลล์พืชและเซลลส์ ัตวม์ ีลักษณะอยา่ งไร” ประเด็นท่ี 3 “มีใครรจู้ กั สไลดส์ ดว่าทาอยา่ งไร” 3. ผ้จู ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการ แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ และสรุปสง่ิ ที่ได้เรียนรรู้ ่วมกนั

ห น้ า | 138 ขน้ั ตอนที่ 2 กจิ กรรมการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ท่ีท้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผจู้ ดั กิจกรรมเช่ือมโยงเนื้อหาในขนั้ ตอนที่ 1 เรือ่ ง กลอ้ งจุลทรรศน์ เซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ และ การทาสไลดส์ ด 2. ผู้จัดกิจกรรมบรรยายเร่ือง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ เซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ รวมทัง้ การทาสไลด์สด ตามใบความรสู้ าหรับผู้ จัดกิจกรรม เร่ือง โลกใต้เลนส์ 3. ใหผ้ รู้ ับบรกิ ารเป็นรายบุคคลปฏิบตั กิ ิจกรรมตามใบกจิ กรรมเร่อื ง โลกใต้เลนส์ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 3.1 ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ 3.2 เปรียบเทยี บความแตกตา่ งของเซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์ 3.3 ส่วนประกอบของเซลล์ 4. แบง่ ผรู้ บั บรกิ ารออกเปน็ กลุ่ม ๆ ละ 6 – 7 คน โดยให้แต่ละกลุ่มทาสไลด์สด เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ เม่ือทาสไลด์สดเสร็จแลว้ ให้นามาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเพ่ือศึกษารายละเอียด แล้วนามาเปรียบเทียบกับใบความรู้ พรอ้ มทงั้ บนั ทกึ ผลการทดลองลงในใบกิจกรรม ดงั กล่าว 5. ผ้จู ัดกิจกรรมและผ้รู บั บรกิ ารสรุปส่ิงท่ีได้เรยี นรรู้ ว่ มกนั ขนั้ ตอนที่ 3 กิจกรรมการสรปุ ผลการนาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผู้รับบริการในแต่ละกลุ่มตามขั้นตอนท่ี 2 ยกตัวอย่างเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ พร้อมทั้งแนะนา แนวทาง ในการใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ และการทาสไลด์สด 2.ผแู้ ทนของผู้รับบรกิ ารของแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลการเรียนร้ขู องกลมุ่ 3. ให้ผู้รับบริการตอบคาถามโดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 - 5 คนตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเด็น “ทา่ นจะนาความรู้ เรอ่ื งโลกใตเ้ ลนส์ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันอยา่ งไร” 4. ผจู้ ดั กิจกรรมและผ้รู ับบริการสรปุ สงิ่ ทไ่ี ด้เรียนรู้รว่ มกนั สอ่ื วัสดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้ 1. ใบความรู้สาหรับผู้จดั กิจกรรมเรอ่ื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ 2. ใบความรู้สาหรับผู้รับบรกิ ารเรอ่ื ง กล้องจลุ ทรรศน์ 3. ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ัดกจิ กรรมเรื่อง เซลล์ 4. ใบความรูส้ าหรับผู้รับบรกิ ารเรือ่ ง เซลล์ 5. ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกจิ กรรมเรื่อง การทาสไลดส์ ด 6. ใบความรสู้ าหรับผู้รับบรกิ ารเรอื่ ง การทาสไลด์สด 7. ใบกิจกรรมเรือ่ ง โลกใต้เลนส์ 8. กล้องจลุ ทรรศน์ 9. แบบจาลองเซลล์พชื เซลลส์ ตั ว์ 10. แผ่นสไลด์และกระจกปิดสไลด์ 11. หลอดหยด (Dropper)

ห น้ า | 139 12. ไอโอดนี 13. สาหรา่ ยหางกระรอก 14. เซลล์เย่ือบุข้างแกม้ 15. ใบมดี โกน 16. ไมพ้ ันสาลี . การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมการมีสว่ นร่วม ความตั้งใจความสนใจของผรู้ บั บริการ 2. ชน้ิ งาน / ผลงาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook