Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมเล่มค่ายวิทย์

รวมเล่มค่ายวิทย์

Published by bbo_ chaleawkit, 2021-05-17 04:39:55

Description: รวมเล่มค่ายวิทย์

Search

Read the Text Version

ห น้ า | 140 บนั ทกึ ผลหลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. จานวนเนือ้ หากบั จานวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การเรยี งลาดบั เนื้อหากบั ความเขา้ ใจของผู้รบั ริการ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. การนาเข้าส่บู ทเรียนเน้ือหาแต่ละหัวข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. วิธกี ารจัดกจิ กรรมการเรยี นรกู้ บั เนื้อหาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมนิ ผลกับวัตถุประสงคใ์ นแต่ละเนื้อหา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลการเรยี นร้แู ละผูร้ ับบรกิ าร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผ้จู ักิจกรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 141 ใบความรู้สาหรับผจู้ ัดกจิ กรรม เรอ่ื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ ประวัติของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสง กล้องจุลทรรศน์ (microscope) คือ เครื่องมือท่ีประกอบด้วยเลนส์นูน (convex lens) หรือส่ิงที่ทา หน้าที่คล้ายเลนส์นูนขยายภาพวัตถุให้มีขนาดใหญ่ข้ึนจนสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กของวัตถุน้ันได้ กล้อง จุลทรรศน์อย่างง่ายประกอบด้วยเพียงส่วนฐาน ส่วนที่ใช้วางหรือยึดวัตถุ และส่วนที่เป็นเลนส์นูนขยายภาพวัตถุ ในทางชีววิทยา กล้องจุลทรรศน์เป็นเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการดภู าพขยายของโครงสรา้ งต่างๆ ของตวั อย่างทางชีววิทยา ท่ีต้องการศึกษา เช่น เซลล์ของส่ิงมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) คือ กล้องจุลทรรศน์ท่ี ใช้แสงจากแหล่งกาเนิดแสงต่างๆ เช่น แสงอาทิตย์ หรือหลอดไฟ เพื่อส่องผ่านวัตถุที่ต้องการศึกษา ถือเป็น เครื่องมือท่ีช่วยให้เราสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กท่ีตาเปล่ามองไม่เห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้อง จุลทรรศนแ์ บบใช้แสงท่ีนิยมใช้ในการศึกษาชีววิทยาพื้นฐานในโรงเรยี นหรือมหาวิทยาลัย คอื กล้องจลุ ทรรศน์แบบ ใชแ้ สงเชงิ ประกอบ (compound light microscope) ซ่งึ มเี ลนส์หลายอนั ประกอบกันเปน็ ระบบเลนส์เชิงประกอบ (compound lens system) ทท่ี าหน้าที่รว่ มกนั ในการขยายภาพวตั ถุ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ชนดิ นี้ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน พัฒนามาจากต้นแบบกลอ้ งจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชงิ ประกอบตัวแรกท่ีประดิษฐ์ข้ึนโดย Christopher Cock (คริส โตเฟอร์ ค็อก) เม่ือกว่า 300 ปีมาแล้ว ซึ่ง Robert Hooke (โรเบิร์ต ฮุก) ได้นาไปใช้ในการส่องดูโครงสร้างของไม้ คอร์ก จนพบโครงสร้างเป็นช่องเล็ก ๆ ซ่ึงเป็นท่ีมาของ คาว่าเซลล์ ต่อมาแอนทอน วาน เลเวนฮุก (Antoine van Leeuwenhoek) ได้พัฒนาเลนส์ท่ีมีประสิทธิภาพมากและนามาประกอบเป็นกล้องจุลทรรศน์ท่ีทาให้เกิดการ ค้นพบสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหลายชนิดในน้า ดังนั้นกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบจึงเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญ ในการศึกษาชีววิทยานับแต่น้ันมา ถือเป็นเคร่ืองมือ ท่ีทาให้เกิดความรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการขึ้นมากมาย ยกตวั อยา่ งเช่น ความรเู้ ร่ืองเซลลข์ องส่งิ มีชีวติ ภาพที่ 1 กล้องจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สงท่ี Robert Hooke ใชใ้ นการส่องดูโครงสร้างของไม้คอร์ก จนพบโครงสร้างเปน็ ชอ่ งเล็ก ๆ ซึง่ เป็นท่ีมาของคาว่าเซลล์

ห น้ า | 142 ส่วนประกอบและหลกั การทางานของกล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง กลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงเปน็ เครอ่ื งมือทีช่ ว่ ยให้เราสามารถศึกษาวัตถหุ รือโครงสร้างขนาดเล็กท่ีตาเปล่า มองไม่เหน็ ภาพท่ี 2 กล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงเชงิ ประกอบที่ใชใ้ นการศกึ ษาชวี วิทยา ในโรงเรยี น หรอื มหาวทิ ยาลัยในปัจจบุ นั กลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใช้แสงท่ใี ชก้ ันในปจั จบุ ันสว่ นใหญเ่ ป็นแบบเชิงประกอบ ซงึ่ จะสามารถทางานได้โดยมี สว่ นประกอบพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ 1. แหลง่ กาเนดิ แสง (light source) แหล่งกาเนดิ แสงโดยทัว่ ไปจะเปน็ หลอดไฟให้แสงสว่าง ตดิ อยู่ทฐี่ าน ของกล้องจุลทรรศน์ ภาพที่ 3 ตาแหน่งของแหลง่ กาเนิดแสง เป็นหลอดไฟอยูบ่ ริเวณฐานของกล้องจลุ ทรรศน์

ห น้ า | 143 2. Condenser (คอนเดนเซอร์) Condenser คือเลนส์ท่ีทาหน้าที่รวมแสงจากแหล่งกาเนิดแสง ให้ส่องผ่านวัตถุ ท่จี ะศกึ ษา ภาพท่ี 4 ตาแหน่งของ condenser ซ่งึ เปน็ เลนส์รวมแสงจากหลอดไฟอยขู่ ้างใต้บริเวณช่องวา่ งทแี่ สงส่องผา่ น ขน้ึ มายังวตั ถุ 3. เลนสใ์ กลว้ ัตถุ (objective lens) เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ เป็นเลนส์ที่ทาหน้าท่รี บั แสงท่สี อ่ งผ่านวตั ถุ แลว้ ขยายภาพขนึ้ ตามกาลังขยายของเลนสภ์ าพ ภาพท่ี 5 ตาแหน่งของเลนส์ใกล้วตั ถุ อยู่เหนือ condenser 4. เลนส์ใกล้ตา (ocular lens) เลนส์ใกล้ตา อาจเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า eyepiece lens (อายพีซ เลนส์) เป็นเลนส์ที่อยู่ส่วนบนสุดของ กลอ้ งทาหน้าที่รบั และขยายภาพจากเลนสใ์ กลว้ ัตถุ ภาพที่ 6 ตาแหน่งของเลนส์ใกล้ตา อยู่ดา้ นบนสดุ ของกลอ้ งจลุ ทรรศน์

ห น้ า | 144 ภาพท่ี 7 ส่วนประกอบพ้ืนฐานทงั้ หมดของกลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงเชงิ ประกอบ ภาพที่เห็นเม่ือผู้ศึกษามองผ่านเลนส์ใกล้ตาของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงนี้ จะเป็นภาพท่ีขยายขนาดขึ้น และเป็นภาพเสมอื นหัวกลับ กลบั ซา้ ยเปน็ ขวา ภาพท่ี 8 ภาพตัวอักษรเมื่อมองผา่ นเลนสใ์ กลต้ าของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสง เปน็ ภาพเสมือนหัวกลับ กลับซา้ ยเปน็ ขวา

ห น้ า | 145 วธิ กี ารใช้งานกลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สงท่ถี กู ตอ้ ง การใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงที่ถูกต้อง จะทาให้เราสามารถทาการศึกษาชีววิทยาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ขั้นตอนการใช้งานมีดังนี้ 1. เมื่อจะใช้งานกล้องจุลทรรศน์ ให้เปิดสวิตช์ไฟที่อยู่บริเวณฐานของกล้อง แล้วปรับความเข้มแสงให้อยู่ ระดบั ปานกลาง ภาพท่ี 9 การเร่ิมใช้งานกล้องจลุ ทรรศน์โดยการเปิดสวิตช์ไฟ แลว้ ปรับความเข้มแสงบริเวณฐานของกลอ้ ง (ภาพลา่ ง) จนกระท่ังสังเกตเห็นแสงไฟสว่างขึ้นมาจนถึงบรเิ วณ condenser (ภาพบน) 2. นาตัวอย่างท่ีต้องการศึกษา ซ่ึงโดยท่ัวไปจะอยู่บนสไลด์แก้ว วางลงบนแท่นวางสไลด์ เลื่อนให้ตาแหนง่ ของตัวอยา่ งอยตู่ รงกลางของชอ่ งว่างที่แสงจะผา่ นขน้ึ มา ภาพที่ 10 การนาสไลด์แก้ววางลงบนแทน่ วางสไลด์ (ภาพซา้ ย) แล้วเลอื่ นให้ตาแหน่งของตัวอย่างอยตู่ รงกลาง ชอ่ งว่างที่แสงส่องผ่านขึ้นมาจากcondenser (ภาพขวา)

ห น้ า | 146 3. เร่มิ จากการใช้เลนส์ใกล้วัตถุกาลังขยายต่าสุด ภาพที่ 11 การหมุนเปลี่ยนเลนส์ใกล้วัตถุ เป็นเลนสท์ ี่มกี าลังขยายตา่ สุดของกล้องจลุ ทรรศน์ โดยการจับบริเวณ แปน้ หมนุ เปลยี่ นเลนส์ (ลกู ศรช้ี) 4. หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้แท่นวางสไลด์เลอ่ื นขึ้นจนถึงตาแหน่งสงู สุด สังเกตว่าจะไม่สามารถเล่ือนขึ้น ต่อไปไดอ้ กี 5. มองผ่านเลนส์ใกล้ตา แล้วค่อย ๆ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้สไลด์ค่อย ๆ เลื่อนลง จนกระท่ังเห็นภาพ 6. ปรับใหภ้ าพคมชัด โดยหมนุ ปมุ่ ปรับภาพละเอียดอีกเลก็ น้อย ภาพท่ี 12 การหมนุ ปุ่มปรับภาพหยาบ (ภาพซ้าย) และปุ่มปรบั ภาพละเอยี ด (ภาพขวา) ของกล้องจลุ ทรรศน์ 7. ระยะระหว่างสไลด์ตัวอย่างและเลนส์ใกล้วัตถุท่ีเห็นภาพชัดเจนน้ี เรียกว่าระยะโฟกัสของเลนส์ หาก ต้องการจะศึกษาวัตถุบนสไลด์ให้ละเอียดมากข้ึน สามารถหมุนเปล่ียนเลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีกาลังขยายสูงขึ้นลาดับ ถดั ไปมาใช้ได้เลย โดยไมต่ ้องเลอ่ื นแทน่ วางสไลด์ลง 8. ปรับระยะโฟกสั โดยการหมุนป่มุ ปรับภาพละเอียดเลก็ นอ้ ย กจ็ ะเหน็ ภาพชัดเจน

ห น้ า | 147 ภาพท่ี 13 ระยะโฟกัสของเลนส์ คือระยะห่างระหว่างวตั ถุบนสไลด์แกว้ กบั ตวั เลนสใ์ กลว้ ัตถเุ ม่ือหมนุ ปุ่มปรับภาพจนผ้ใู ชส้ ามารถมองเห็นภาพชดั ที่สุดผา่ นเลนสใ์ กลต้ า ส่วนประกอบอื่นๆ ท่ีช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางานของกล้อง ซ่ึงมีความสาคัญรองลงมาจาก ส่วนประกอบพื้นฐาน ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ควรสอนให้นักเรียนรู้จัก ได้แก่ ฐาน สวิตช์ไฟ ปุ่มปรับความเข้มแสง แท่นวางวตั ถุ ไดอะแฟรม และปมุ่ ปรบั ภาพ ซึ่งประกอบดว้ ยปุ่มปรบั ภาพหยาบ และปุ่มปรบั ภาพละเอยี ด แทน่ วางสไลด์ สวติ ชไ์ ฟ ไอริส ไดอะแฟรม ปุ่มปรบั ความเข้มแสง ปมุ่ หมนุ เลือ่ นสไลด์ ปุ่มปรบั ภาพหยาบ ฐาน ปุ่มปรับภาพละเอียด ภาพที่ 14 ส่วนประกอบอน่ื ๆ ของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงท่ีควรทราบ

ห น้ า | 148 ส่วนประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ 1. ฐาน (Base) เป็นสว่ นทีใ่ ชว้ างบนโต๊ะ ทาหนา้ ทีร่ บั นา้ หนักทงั้ หมดของกล้องจุลทรรศน์ มรี ูปร่าง ส่เี หลี่ยมหรือวงกลม ทฐ่ี านจะมีปมุ่ สาหรับปิดเปดิ ไฟฟา้ 2. แขน (Arm) เป็นส่วนเชอ่ื มตวั ลากล้องกับฐาน 3. ลากลอ้ ง (Body tube) เปน็ ส่วนที่ปลายดา้ นบนมเี ลนส์ตา สว่ นปลายด้านลา่ งตดิ กบั เลนสว์ ตั ถุ ซง่ึ ตดิ กบั แผน่ หมนุ ได้ เพอ่ื เปล่ียนเลนส์ขนาดตา่ งๆ 4. ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทาหนา้ ทปี่ รับภาพโดยเปลยี่ นระยะโฟกสั ของเลนส์ ใกลว้ ตั ถุ (เล่อื นลากล้องหรอื แทน่ วางวตั ถขุ น้ึ ลง) เพ่ือทาให้เหน็ ภาพชดั เจนมากขึ้น 5. เลนส์ใกลว้ ตั ถุ (Objective lens) เป็นเลนส์ที่อยใู่ กลก้ บั แผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกตติ ิด กับแป้นวงกลมซ่งึ มี ประมาณ 3-4 อัน แตล่ ะอนั มกี าลงั บอกเอาไว้ เชน่ 4x , 10x , 40x และ 100x เปน็ ตน้ ภาพท่ี เกดิ จากเลนส์ใกลว้ ตั ถุเป็นภาพจรงิ หวั กลับ 6. ปมุ่ ปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ทาหนา้ ทป่ี รับภาพ ทาใหไ้ ด้ภาพท่ีชดั เจนมากขนึ้ 7. เลนสใ์ กล้ตา (Eye piece) เปน็ เลนส์ทอ่ี ยู่บนสดุ ของลากล้อง โดยท่ัวไปมกี าลงั ขยาย 10x หรือ 15x ทาหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทาให้เกิดภาพท่ีตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพทไ่ี ด้เปน็ ภาพเสมือนหัวกลบั 8. เลนส์รวมแสง (Condenser) ทาหน้าทีร่ วมแสงให้เข้มข้นึ เพอ่ื สง่ ไปยังวตั ถุที่ตอ้ งการศกึ ษา 9. จานหมุน (Revolving Nosepiece) ใช้สาหรับหมนุ เพ่อื เปลย่ี นกาลังขยายของเลนสใ์ กล้วัตถุ 10. ไอริส ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใตเ้ ลนสร์ วมแสง ทาหนา้ ที่ปรับปรมิ าณแสงให้เขา้ สเู่ ลนสใ์ น ปรมิ าณท่ีตอ้ งการ 11. แทน่ วางวัตถุ (Speciment stage) เปน็ แทน่ ใชว้ างแผ่นสไลด์ทต่ี ้องการศกึ ษา 12. ท่ีหนีบสไลด์ (Stage clip) ใช้หนบี สไลด์ให้ตดิ อยู่กบั แท่นวางวตั ถุ ในกล้องรนุ่ ใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพือ่ ควบคมุ การเล่ือนสไลด์ใหส้ ะดวกขนึ้ การใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์ 1. การจบั กลอ้ งและเคลือ่ นย้ายกลอ้ ง ตอ้ งใชม้ ือหนงึ่ จับที่แขนและอีกมอื หนึง่ รองท่ีฐานของกล้อง 2. ต้ังลากล้องให้ตรง 3. เปดิ ไฟเพื่อใหแ้ สงเข้าลากล้องได้เต็มท่ี 4. หมนุ เลนส์ใกล้วตั ถุ ให้เลนสท์ ี่มกี าลงั ขยายต่าสุดอย่ใู นตาแหนง่ แนวของลากล้อง 5. นาสไลด์ทจี่ ะศึกษามาวางบนแทน่ วางวัตถุ โดยปรับให้อยู่กลางบรเิ วณท่แี สงผ่าน 6. ค่อยๆหมุนปุ่มปรบั ภาพหยาบให้กล้องเล่อื นข้นึ ช้าๆเพอ่ื หาระยะภาพ แต่ต้องระวงั ไม่ให้เลนสใ์ กล้ วตั ถุกระทบกับสไลดต์ ัวอย่าง เพราะจะทาให้เลนสแ์ ตกได้ 7. ปรบั ภาพให้ชดั เจนขึน้ ดว้ ยปุม่ ปรบั ภาพละเอยี ด ถ้าวัตถุทศี่ กึ ษาไมอ่ ยูต่ รงกลางใหเ้ ล่ือนสไลดใ์ ห้มา อยตู่ รงกลาง 8. ถ้าตอ้ งการใหภ้ าพขยายใหญ่ข้นึ ใหห้ มุนเลนส์ใกล้วตั ถทุ ่มี ีกาลงั ขยายสูงกว่าเดมิ มาอยใู่ นตาแหนง่

ห น้ า | 149 แนวของลากลอ้ ง จากน้นั ปรับภาพให้ชัดเจนด้วยปุ่มปรบั ภาพละเอยี ดเท่านนั้ หา้ มปรับภาพดว้ ยปุม่ ปรบั ภาพหยาบ เพราะจะทาให้ระยะของภาพหรือจดุ โฟกัสของภาพเปลี่ยนไป 9. บนั ทึกกาลงั ขยายโดยหาได้จากผลคณู ของกาลงั ขยายของเลนสใ์ กล้วัตถุกับกาลังขยายของเลนส์ ใกล้ตา วธิ ีคานวณหากาลงั ขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ กาลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ คานวณได้จากผลคูณของกาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ กับกาลังขยาย ของเลนสใ์ กลต้ า ดงั น้ี สตู รกาลงั ขยายของกล้อง = กาลังขยายของเลนสใ์ กล้ตา × กาลงั ขยายของเลนสใ์ กลว้ ัตถุ สตู รการหากาลงั ขยายของภาพ = ขนาดของภาพ ขนาดของวัตถุ การระวังรักษากลอ้ งจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์เป็นเคร่ืองมือที่มีราคาสูงและมีความซับซ้อนในการใช้งาน ผู้ใช้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและสามารถนาไปใช้งานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ข้อ ควรระวังมดี งั น้ี 1. การยกกล้องเพื่อเคลื่อนย้าย ให้ใช้มือหนึ่งจับท่ีแขนของกล้อง อีกมือหนึ่งใช้รอง ที่ใต้ฐาน ปรับให้ตรง และยกกลอ้ งในลักษณะต้งั ตรง เพอื่ ปอ้ งกนั การเลื่อนหลดุ ของเลนส์ใกลต้ า 2. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ต้องไม่เปียก เพราะอาจทาให้แท่นวางวัตถเุ ปน็ สนมิ และทาให้เลนส์ใกล้วัตถุ ชนื้ อาจเกดิ ราท่ีเลนสไ์ ด้ 3. ขณะท่หี มนุ ปรับภาพหยาบเพอื่ เลอ่ื นเลนสใ์ กล้วัตถุลงใกลแ้ ผ่นสไลด์ ใหค้ อย มองด้านข้างของเลนส์ใกล้ วตั ถุไมใ่ หช้ นแผ่นสไลด์ 4. อย่าปรบั กระจกของกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ห้รับแสงจากดวงอาทติ ย์โดยตรง 5. การมองภาพในกล้องจลุ ทรรศนค์ วรลืมตาท้งั 2 ข้าง 6. การหาภาพเรม่ิ ต้นดว้ ยเลนสใ์ กลว้ ัตถุท่ีมีกาลังขยายต่าสุดกอ่ นเสมอ 7. เมื่อใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกาลังขยายสูง การปรับภาพให้ชัดเจนจะต้องหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เทา่ น้นั 8. ห้ามใชม้ ือแตะเลนส์ การทาความสะอาดเลนส์ให้ใช้กระดาษเช็ดเลนสเ์ ท่านนั้

ห น้ า | 150 การเกบ็ กลอ้ งจลุ ทรรศน์เมอ่ื ใช้งานเสรจ็ แลว้ ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1. นาวัตถทุ ศ่ี กึ ษาออกจากแท่นวางวัตถุ 2. ใช้ผ้านุ่มท่ีแห้งและสะอาดทาความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะ ส่วนเลนส์และ กระจกใช้กระดาษเช็ดเลนส์ เทา่ น้ัน 3. เลื่อนทีห่ นีบสไลด์ให้ขนานกนั 4. ปรับกระจกเงาให้อยูใ่ นแนวด่ิงต้ังฉากกบั ตัวกล้อง เพื่อไมใ่ หฝ้ ุ่นเกาะ 5. หมุนเลนส์ใกลว้ ตั ถทุ ี่มีกาลังขยายตา่ สดุ ให้ตรงกับลากล้อง และเล่ือนใหอ้ ยู่ ในระดบั ต่าสุด 6. เกบ็ เลนส์ใกลต้ าเขา้ กล่อง แลว้ ปดิ กระบอกเลนส์ใกลต้ าเพื่อกันฝุ่นเข้า 7. ใชผ้ ้าคลมุ ไวเ้ มือ่ เลิกใชง้ าน หรือเกบ็ ใสก่ ลอ่ งหรอื ตู้ใหเ้ รียบร้อย 8. อย่าเก็บกลอ้ งจุลทรรศนไ์ ว้ในที่ชื้น เพราะจะทาให้เลนส์ขน้ึ รา

ห น้ า | 151 ใบความรสู้ าหรับผจู้ ัดกจิ กรรม เร่ือง เซลล์ เซลล์ คอื หน่วยทเ่ี ลก็ ท่ีสดุ ของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยไซโทพลาซึม (Cytoplasm) ที่ล้อมรอบด้วย เยื่อหุ้ม เซลล์ภายในมีนิเคลียส ส่วนเซลล์พืชมีผนังช้ันหนึ่งเป็นสารพวกเซลลูโลส เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างของเซลล์ ประกอบด้วยส่วนหอ่ หุม้ เซลล์ นวิ เคลยี ส และออร์แกเนลล์ต่างๆ การคน้ พบเซลล์ หลกั ฐานเร่ืองเซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมชี วี ิตนี้ ค่อยๆพัฒนาข้ึนมาในช่วงเวลาเกือบสองศตวรรษ ไม่ เป็นทป่ี รากฏหลักฐานว่าใครเป็นผคู้ น้ พบเซลล์เปน็ คนแรก เริ่มต้งั แตก่ ารตั้งใช้ชอ่ื เซลลเ์ ปน็ ครัง้ แรก ปี ค.ศ.1665 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ Robert Hooke ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ ชนิดเลนส์ ประกอบ ตรวจดูไม้คอร์กที่ฝานบางๆพบว่าไม้คอร์กประกอบด้วยช่องเล็กๆ มากมายและเขาได้เรียกช่องเล็กๆ ว่า เซลล์ (cell) ปี ค.ศ.1672 Anthony Van Leeuwenhoek ชาวเนเธอร์แลนด์ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์กาลังขยาย 300 เทา่ ศึกษาเซลลข์ องสิ่งมชี ีวิตต่างๆเช่นเม็ดเลือดขาว เซลล์สบื พนั ธ์ ปี ค.ศ.1833 Robert Brown ชาวองั กฤษเป็นผู้เสนอคาว่านวิ เคลียส เป็นคนแรกโดยศึกษาจาก เซลลพ์ ืช และ ได้วางพน้ื ฐานของนิยามทว่ี า่ เซลลท์ ่มี ีนิวเคลยี สเป็นหนว่ ยพื้นฐานของส่งิ มีชวี ติ ทุกชนดิ ปี ค.ศ. 1838 Matthias Jacob Schneider นักพฤกษศาสตร์ชาวเยออรมัน ศึกษาเน้ือเย่ือพืช ชนิด ต่าง ๆ แลว้ สรุปไดว้ ่า เน้อื เย่อื พืชทกุ ชนดิ ประกอบดว้ ยเซลล์ ปี ค.ศ.1839 Theodor Schwann นักสัตววิทยาชาวเยอรมัน ได้ศึกษาเนื้อเย่ือสัตว์หลายๆชนิดแล้ว สรุปว่าเน้ือเยื่อสัตว์ทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์ ทั้งสองจึงร่วมกันตั้งทฤษฎีเซลล์ (Cell theory) ว่า \"All animals and plants composed of cells and products\" หมายความว่า \"สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์และ ผลติ ภณั ฑ์ของเซลล์\" และเซลล์เป็นหน่วยพืน้ ฐานของสง่ิ มชี ีวิตทท่ี าหนา้ ที่ได้ ปี ค.ศ.1858 Rudolf virchaw เป็นผู้เสนอว่าส่ิงมีชีวิตต้องเกิดมาจากสิ่งมีชีวิต หรือไบโอเจเนซิส (biogenesis)ไม่ได้เกิดขึ้นเองธรรมชาติท่ีเคยเช่ือกันมาดังนั้นเซลล์ทุกชนิดเกิดมาจากเซลล์เก่าที่มี อยู่แล้วโดย ขบวนการแบง่ เซลล์ สรปุ ทฤษฎขี องเซลล์ 1. สิ่งมีชวี ติ ทกุ ชนิดประกอบด้วยหนึง่ เซลล์หรอื หลายเซลล์ 2. เซลล์เปน็ หน่วยพนื้ ฐานของส่งิ มีชวี ิตท่ีทาหน้าทไ่ี ด้ 3. เซลลท์ กุ ชนิดเกดิ มาจากเซลล์เกา่ ท่มี อี ย่แู ลว้

ห น้ า | 152 โครงสรา้ งของเซลล์ 1. สว่ นทหี่ อ่ หมุ้ เซลลม์ ี 2 ชนดิ คอื 1.1 ผนังเซลล์ (cell wall) พบในเซลลพ์ ืช ประกอบด้วยเซลลูโลส ทาหน้าทเ่ี พ่มิ ความแข็งแรงและป้องกัน อนั ตรายใหแ้ กเ่ น้ือเย่อื พชื 1.2 เยือ่ หมุ้ เซลล์ (plasma membrane หรือ cell membrane) เป็นส่วนท่ีหอ่ หุ้ม ของเหลวท่ีอยู่ภายใน โดยท่ัวไปเยอ่ื หุ้มเซลล์มีคุณสมบัติเปน็ เย่ือเลือกผ่าน (semipermeable membrane) ซ่ึงยอมให้สารบางชนิดแพร่ ผ่านเข้าออกได้ 2. นิวเคลียส เป็นศูนย์กลางควบคุมการทางานของเซลล์ โดยทางานร่วมกับไซโทพลาซึม และยังควบคุมลักษณะ ของสง่ิ มีชีวติ ประกอบด้วย 2.1 เย่ือหุ้มนวิ เคลยี ส ทาหน้าทีห่ ้มุ นิวเคลยี สและควบคมุ การผ่านเข้าออกของสารภายในนวิ เคลียส 2.2 นิวคลโี อลสั ทาหน้าท่สี รา้ งไรโบโซม 2.3 โครมาทิน ทาหน้าทีถ่ า่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 3. ออรแ์ กเนลลท์ ีส่ าคัญ จะมโี ครงสร้างและหนา้ ท่แี ตกตา่ งกนั เช่น 3.1 ร่างแหเอนโดพลาสมิก เรติคิวลัม ทาหน้าท่ีสร้างและขนส่งโปรตีนออกไปนอกเซลล์และลาเลียงสาร ภายในเซลล์ 3.2 ไรโบโซม ทาหน้าทสี่ ังเคราะห์โปรตีน 3.3 กอลจิ บอดี ทาหน้าท่ีสะสมและขนส่งโปรตีน 3.4 ไมโดคอนเดรีย ทาหน้าท่ีผลิตสารทม่ี ีพลงั งานสูงให้กับเซลล์ 3.5 คลอโรพลาสต์ ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ แหลง่ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชและโพรติสตบ์ างชนิด 3.6 เซนทริโอล ทาหน้าทคี่ วบคุมรปู ร่างและการเคล่อื นไหวของไซโทพลาซมึ ในเซลล์ 3.7 ไลโซโซม ทาหน้าที่ย่อยสารและส่ิงแปลกปลอมทีเ่ ขา้ ส่เู ซลล์ 3.8 แวควิ โอล ทาหน้าที่สะสมสารต่างๆ

ห น้ า | 153 เซลลส์ ตั ว์ 1. นวิ คลโี อลสั (Nucleolus) 8. เอนโดพลาสมิก เรติควิ ลมั แบบผวิ เรียบ 2. นิวเคลียส (Nucleus) (SmoothEndoplasmic reticulum) 3. โรโบ โซม (Ribosome) 4. เวสิเคิล (Vesicle) 9. ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) 5. เอนโดพลาสมิก เรตคิ วิ ลมั แบบผิวขรุขระ 10. แวคิวโอล (vacuole) 11. ไซโตพลาซมึ (Cytoplasm) (Rough Endoplasmic reticulum) 12. ไลโซโซม (lysosome) 6. กอลจแิ อปพาราตัส (Golgi apparatus) 13. เซนทรโิ อล (Centriole) 7. ไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton เซลล์พืช

ห น้ า | 154 โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ ตารางสรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ เซลล์พืช เซลลส์ ตั ว์ 1. โดยทว่ั ไปมีลกั ษณะเป็นเหลีย่ ม 1. สว่ นใหญม่ ลี ักษณะกลมหรือรี 2. มีผนงั เซลล์อยภู่ ายนอกเย่ือห้มุ เซลล์ 2. ไม่มีผนังเซลล์ มเี ฉพาะเยื่อหมุ้ เซลล์ 3. มีคลอโรพลาสต์ 3. ไม่มีคลอโรพลาสต์ 4. ไมม่ เี ซนทรโิ อล 4. มีเซนทริโอล 5. มแี วคิวโอลขนาดใหญ่ 5. มีแวควิ โอลขนาดเล็ก 6. ไมม่ ีไลโซโซม 6. มีไลโซโซม

ห น้ า | 155 ใบความรสู้ าหรับผจู้ ดั กจิ กรรม เรอื่ ง การทาสไลด์ อปุ กรณ์ 1. แผน่ สไลด์ 2. ตัวอยา่ ง เช่น สาหร่ายหางกระรอก เยื่อกระพ้งุ แก้ม 3. นา้ 4. หลอดหยด 5. เครื่องมือตัดแต่งตวั อย่าง เช่น มีดผ่าตดั ใบมดี คีมคีบ เหลก็ ปลายแหลมสาหรบั เข่ียตัวอยา่ ง วิธีการเตรยี มสไลด์สด 1. หยดนา้ 1 -2 หยดด้วยหลอดหยดลงบนแผน่ สไลด์ 2. เดด็ ตัวอย่างเชน่ ใบสาหร่ายหางกระรอกใบยอดสุดวางบนหยดนา้ บนสไลด์ 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ โดยวางทามุม 45 องศากับแผน่ สไลด์แล้ววางลง ระวงั อย่าให้มีฟองอากาศ 4. นาไปตรวจใต้กล้องจลุ ทรรศน์ ดว้ ยกาลังขยาย 10 X 4 5. ถ่ายภาพเซลลท์ ่ีพบเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์ 6. ทดลองซ้า ตามข้อ 1-5 ดว้ ยตัวอย่างอื่นๆ 8. ให้น้าจากแหล่งน้าหยดลงบนสไลดแ์ ละปดิ ดว้ ยกระจกปิดสไลด์ โดยวางทามมุ 45 องศา กบั แผน่ สไลด์ และทาตามข้อ 4 – 5

ห น้ า | 156 ใบความรสู้ าหรับผรู้ ับบรกิ าร เร่อื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ ประวัติของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสง กล้องจุลทรรศน์ (microscope) คือ เคร่ืองมือที่ประกอบด้วยเลนส์นูน (convex lens) หรือส่ิงที่ทา หน้าท่ีคล้ายเลนส์นูนขยายภาพวัตถุให้มีขนาดใหญ่ข้ึนจนสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กของวัตถุน้ันได้ กล้อง จุลทรรศน์อย่างง่ายประกอบด้วยเพียงส่วนฐาน ส่วนท่ีใช้วางหรือยึดวัตถุ และส่วนท่ีเป็นเลนส์นูนขยายภาพวัตถุ ในทางชวี วทิ ยา กลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ ป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการดภู าพขยายของโครงสรา้ งต่างๆ ของตวั อยา่ งทางชีววิทยา ที่ต้องการศึกษา เช่น เซลล์ของส่ิงมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) คือ กล้องจุลทรรศน์ท่ี ใช้แสงจากแหล่งกาเนิดแสงต่างๆ เช่น แสงอาทิตย์ หรือหลอดไฟ เพื่อส่องผ่านวัตถุที่ต้องการศึกษา ถือเป็น เครื่องมือท่ีช่วยให้เราสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กที่ตาเปล่ามองไม่เห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้อง จลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงท่ีนิยมใช้ในการศึกษาชีววิทยาพ้ืนฐานในโรงเรียนหรือมหาวทิ ยาลัย คอื กล้องจลุ ทรรศน์แบบ ใชแ้ สงเชงิ ประกอบ (compound light microscope) ซ่งึ มีเลนส์หลายอนั ประกอบกันเปน็ ระบบเลนสเ์ ชิงประกอบ (compound lens system) ที่ทาหน้าท่รี ่วมกันในการขยายภาพวัตถุ กล้องจุลทรรศน์ชนดิ นที้ ี่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน พัฒนามาจากต้นแบบกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชงิ ประกอบตัวแรกที่ประดิษฐ์ข้ึนโดย Christopher Cock (คริส โตเฟอร์ ค็อก) เม่ือกว่า 300 ปีมาแล้ว ซึ่ง Robert Hooke (โรเบิร์ต ฮุก) ได้นาไปใช้ในการส่องดูโครงสร้างของไม้ คอร์ก จนพบโครงสร้างเป็นช่องเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่มาของ คาว่าเซลล์ ต่อมาแอนทอน วาน เลเวนฮุก (Antoine van Leeuwenhoek) ได้พัฒนาเลนส์ที่มีประสิทธิภาพมากและนามาประกอบเป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ทาให้เกิดการ ค้นพบสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหลายชนิดในนา้ ดังนั้นกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบจึงเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญ ในการศึกษาชีววิทยานับแต่น้ันมา ถือเป็นเครื่องมือ ท่ีทาให้เกิดความรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการขึ้นมากมาย ยกตัวอยา่ งเช่น ความรู้เร่อื งเซลล์ของสง่ิ มชี วี ิต ภาพท่ี 1 กลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใช้แสงที่ Robert Hooke ใช้ในการสอ่ งดโู ครงสร้างของไม้คอร์ก จนพบโครงสรา้ งเป็นช่องเลก็ ๆ ซงึ่ เปน็ ท่มี าของคาวา่ เซลล์

ห น้ า | 157 ส่วนประกอบและหลกั การทางานของกล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง กลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงเปน็ เครอ่ื งมือทีช่ ว่ ยให้เราสามารถศึกษาวัตถหุ รือโครงสร้างขนาดเล็กท่ีตาเปล่า มองไม่เหน็ ภาพท่ี 2 กล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงเชงิ ประกอบที่ใชใ้ นการศกึ ษาชวี วิทยา ในโรงเรยี น หรอื มหาวทิ ยาลัยในปัจจบุ นั กลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใช้แสงท่ใี ชก้ ันในปจั จบุ ันสว่ นใหญเ่ ป็นแบบเชิงประกอบ ซงึ่ จะสามารถทางานได้โดยมี สว่ นประกอบพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ 1. แหลง่ กาเนดิ แสง (light source) แหล่งกาเนดิ แสงโดยทัว่ ไปจะเปน็ หลอดไฟให้แสงสว่าง ตดิ อยู่ทฐี่ าน ของกล้องจุลทรรศน์ ภาพที่ 3 ตาแหน่งของแหลง่ กาเนิดแสง เป็นหลอดไฟอยูบ่ ริเวณฐานของกล้องจลุ ทรรศน์

ห น้ า | 158 2. Condenser (คอนเดนเซอร์) Condenser คือเลนส์ท่ีทาหน้าที่รวมแสงจากแหล่งกาเนิดแสง ให้ส่องผ่านวัตถุ ท่จี ะศกึ ษา ภาพท่ี 4 ตาแหน่งของ condenser ซ่งึ เปน็ เลนส์รวมแสงจากหลอดไฟอยขู่ ้างใต้บริเวณช่องวา่ งทแี่ สงส่องผา่ น ขน้ึ มายังวตั ถุ 3. เลนสใ์ กลว้ ัตถุ (objective lens) เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ เป็นเลนส์ที่ทาหน้าท่รี บั แสงท่สี อ่ งผ่านวตั ถุ แลว้ ขยายภาพขนึ้ ตามกาลังขยายของเลนสภ์ าพ ภาพท่ี 5 ตาแหน่งของเลนส์ใกล้วตั ถุ อยู่เหนือ condenser 4. เลนส์ใกล้ตา (ocular lens) เลนส์ใกล้ตา อาจเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า eyepiece lens (อายพีซ เลนส์) เป็นเลนส์ที่อยู่ส่วนบนสุดของ กลอ้ งทาหน้าที่รบั และขยายภาพจากเลนสใ์ กลว้ ัตถุ ภาพที่ 6 ตาแหน่งของเลนส์ใกล้ตา อยู่ดา้ นบนสดุ ของกลอ้ งจลุ ทรรศน์

ห น้ า | 159 ภาพท่ี 7 ส่วนประกอบพ้ืนฐานทงั้ หมดของกลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงเชงิ ประกอบ ภาพที่เห็นเม่ือผู้ศึกษามองผ่านเลนส์ใกล้ตาของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงนี้ จะเป็นภาพท่ีขยายขนาดขึ้น และเป็นภาพเสมอื นหัวกลับ กลบั ซา้ ยเปน็ ขวา ภาพท่ี 8 ภาพตัวอักษรเมื่อมองผา่ นเลนสใ์ กลต้ าของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสง เปน็ ภาพเสมือนหัวกลับ กลับซา้ ยเปน็ ขวา

ห น้ า | 160 วธิ กี ารใช้งานกลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สงท่ถี กู ตอ้ ง การใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงที่ถูกต้อง จะทาให้เราสามารถทาการศึกษาชีววิทยาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ขั้นตอนการใช้งานมีดังนี้ 1. เมื่อจะใช้งานกล้องจุลทรรศน์ ให้เปิดสวิตช์ไฟที่อยู่บริเวณฐานของกล้อง แล้วปรับความเข้มแสงให้อยู่ ระดบั ปานกลาง ภาพท่ี 9 การเร่ิมใช้งานกล้องจลุ ทรรศน์โดยการเปดิ สวิตช์ไฟ แลว้ ปรบั ความเข้มแสงบริเวณฐานของกลอ้ ง (ภาพลา่ ง) จนกระท่ังสังเกตเห็นแสงไฟสวา่ งข้นึ มาจนถึงบรเิ วณ condenser (ภาพบน) 2. นาตัวอย่างท่ีต้องการศึกษา ซ่ึงโดยทั่วไปจะอยู่บนสไลด์แก้ว วางลงบนแท่นวางสไลด์ เลื่อนให้ตาแหนง่ ของตัวอยา่ งอยตู่ รงกลางของชอ่ งว่างที่แสงจะผา่ นขน้ึ มา ภาพที่ 10 การนาสไลด์แก้ววางลงบนแท่นวางสไลด์ (ภาพซ้าย) แล้วเลอื่ นให้ตาแหน่งของตัวอย่างอยตู่ รงกลาง ชอ่ งว่างที่แสงส่องผ่านขึ้นมาจากcondenser (ภาพขวา)

ห น้ า | 161 3. เร่มิ จากการใช้เลนส์ใกล้วตั ถกุ าลงั ขยายต่าสดุ ภาพที่ 11 การหมนุ เปลยี่ นเลนสใ์ กล้วัตถุ เป็นเลนสท์ ม่ี ีกาลังขยายตา่ สุดของกล้องจลุ ทรรศน์ โดยการจับบริเวณ แปน้ หมุนเปลี่ยนเลนส์ (ลกู ศรช้ี) 4. หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้แท่นวางสไลด์เล่ือนขึ้นจนถึงตาแหน่งสงู สุด สังเกตว่าจะไม่สามารถเล่ือนขึ้น ต่อไปไดอ้ กี 5. มองผ่านเลนส์ใกล้ตา แล้วค่อย ๆ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้สไลด์ค่อย ๆ เลื่อนลง จนกระท่ังเห็นภาพ 6. ปรับใหภ้ าพคมชัด โดยหมนุ ปมุ่ ปรบั ภาพละเอียดอีกเลก็ นอ้ ย ภาพท่ี 12 การหมนุ ปุ่มปรับภาพหยาบ (ภาพซา้ ย) และปุ่มปรบั ภาพละเอียด (ภาพขวา) ของกล้องจลุ ทรรศน์ 7. ระยะระหว่างสไลด์ตัวอย่างและเลนส์ใกล้วัตถุท่ีเห็นภาพชัดเจนน้ี เรียกว่าระยะโฟกัสของเลนส์ หาก ต้องการจะศึกษาวัตถุบนสไลด์ให้ละเอียดมากขึ้น สามารถหมุนเปลี่ยนเลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีกาลังขยายสูงขึ้นลาดับ ถดั ไปมาใช้ได้เลย โดยไมต่ ้องเลือ่ นแท่นวางสไลดล์ ง 8. ปรับระยะโฟกัส โดยการหมนุ ปมุ่ ปรับภาพละเอียดเล็กนอ้ ย กจ็ ะเห็นภาพชัดเจน

ห น้ า | 162 ภาพท่ี 13 ระยะโฟกสั ของเลนส์ คอื ระยะห่างระหว่างวัตถุบนสไลดแ์ ก้วกบั ตวั เลนส์ใกล้วัตถเุ มื่อหมนุ ปมุ่ ปรบั ภาพจนผูใ้ ชส้ ามารถมองเห็นภาพชดั ทส่ี ุดผ่านเลนส์ใกลต้ า ส่วนประกอบอื่นๆ ท่ีช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางานของกล้อง ซ่ึงมีความสาคัญรองลงมาจาก ส่วนประกอบพ้ืนฐาน ส่วนประกอบอ่ืน ๆ ท่ีควรสอนให้นักเรียนรู้จัก ได้แก่ ฐาน สวิตช์ไฟ ปุ่มปรับความเข้มแสง แทน่ วางวตั ถุ ไดอะแฟรม และปมุ่ ปรับภาพ ซึง่ ประกอบด้วยปุ่มปรบั ภาพหยาบ และปุ่มปรับภาพละเอยี ด แท่นวางสไลด์ สวติ ช์ไฟ ไดอะแฟรม ปุ่มปรบั ความเข้มแสง ป่มุ หมุนเล่อื นสไลด์ ปุ่มปรบั ภาพหยาบ ฐานกล้อง ปุ่มปรับภาพละเอียด

ห น้ า | 163 สว่ นประกอบของกล้องจุลทรรศน์ 1. ฐาน (Base) เป็นสว่ นท่ใี ช้วางบนโตะ๊ ทาหน้าทรี่ บั น้าหนักทงั้ หมดของกล้องจลุ ทรรศน์ มรี ูปร่าง ส่ีเหล่ียมหรอื วงกลม ทฐี่ านจะมีปมุ่ สาหรับปิดเปดิ ไฟฟ้า 2. แขน (Arm) เป็นส่วนเช่ือมตวั ลากลอ้ งกบั ฐาน 3. ลากล้อง (Body tube) เป็นสว่ นทีป่ ลายด้านบนมเี ลนส์ตา ส่วนปลายดา้ นล่างติดกับเลนสว์ ัตถุ ซง่ึ ตดิ กบั แผน่ หมนุ ได้ เพอ่ื เปลย่ี นเลนสข์ นาดตา่ งๆ 4. ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทาหน้าท่ีปรับภาพโดยเปลีย่ นระยะโฟกัสของเลนส์ ใกล้วตั ถุ (เลอ่ื นลากล้องหรอื แท่นวางวัตถขุ น้ึ ลง) เพือ่ ทาใหเ้ ห็นภาพชดั เจนมากขึ้น 5. เลนสใ์ กล้วัตถุ (Objective lens) เปน็ เลนส์ท่อี ยู่ใกลก้ บั แผ่นสไลด์ หรอื วัตถุ ปกตติ ิด กับแปน้ วงกลมซึ่งมี ประมาณ 3-4 อนั แต่ละอนั มกี าลังบอกเอาไว้ เช่น 4x , 10x , 40x และ 100x เป็นต้น ภาพที่ เกิดจากเลนสใ์ กลว้ ัตถุเป็นภาพจรงิ หวั กลับ 6. ปุ่มปรบั ภาพละเอยี ด (Fine adjustment) ทาหน้าที่ปรบั ภาพ ทาใหไ้ ด้ภาพท่ชี ดั เจนมากขนึ้ 7. เลนสใ์ กล้ตา (Eye piece) เป็นเลนสท์ ่ีอยู่บนสุดของลากลอ้ ง โดยท่ัวไปมกี าลงั ขยาย 10x หรอื 15x ทาหน้าที่ขยายภาพท่ีได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ข้ึน ทาให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพทไี่ ดเ้ ปน็ ภาพเสมือนหวั กลบั 8. เลนส์รวมแสง (Condenser) ทาหนา้ ทรี่ วมแสงใหเ้ ข้มขึ้นเพือ่ ส่งไปยงั วตั ถุทต่ี อ้ งการศกึ ษา 9. จานหมนุ (Revolving Nosepiece) ใชส้ าหรับหมนุ เพอ่ื เปล่ยี นกาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ 10. ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสง ทาหน้าทป่ี รับปรมิ าณแสงใหเ้ ข้าสูเ่ ลนสใ์ น ปรมิ าณทีต่ ้องการ 11. แท่นวางวตั ถุ (Speciment stage) เป็นแท่นใชว้ างแผน่ สไลดท์ ี่ต้องการศกึ ษา 12. ทหี่ นบี สไลด์ (Stage clip) ใชห้ นีบสไลด์ให้ติดอยูก่ บั แทน่ วางวัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพอื่ ควบคมุ การเล่ือนสไลดใ์ หส้ ะดวกขึน้ การใชก้ ล้องจุลทรรศน์ 1. การจับกล้องและเคล่ือนย้ายกลอ้ ง ต้องใชม้ ือหนึ่งจับทแ่ี ขนและอีกมอื หนง่ึ รองท่ีฐานของกล้อง 2. ตัง้ ลากล้องใหต้ รง 3. เปิดไฟเพ่อื ใหแ้ สงเขา้ ลากล้องไดเ้ ต็มที่ 4. หมนุ เลนสใ์ กล้วัตถุ ให้เลนส์ท่มี ีกาลงั ขยายตา่ สดุ อยู่ในตาแหน่งแนวของลากลอ้ ง 5. นาสไลด์ที่จะศึกษามาวางบนแท่นวางวัตถุ โดยปรับให้อยู่กลางบรเิ วณทแ่ี สงผ่าน 6. ค่อยๆหมนุ ปุม่ ปรบั ภาพหยาบให้กล้องเล่ือนขนึ้ ช้าๆเพือ่ หาระยะภาพ แต่ต้องระวังไมใ่ หเ้ ลนสใ์ กล้ วตั ถกุ ระทบกับสไลดต์ ัวอยา่ ง เพราะจะทาใหเ้ ลนส์แตกได้ 7. ปรับภาพให้ชัดเจนข้ึนด้วยปุ่มปรับภาพละเอียด ถ้าวัตถุที่ศึกษาไม่อยู่ตรงกลางให้เลื่อนสไลด์ให้มาอยู่ ตรงกลาง 8. ถ้าตอ้ งการใหภ้ าพขยายใหญข่ ้ึนใหห้ มุนเลนสใ์ กลว้ ัตถทุ ม่ี ีกาลงั ขยายสงู กวา่ เดิมมาอยู่ในตาแหน่ง

ห น้ า | 164 แนวของลากลอ้ ง จากนั้นปรบั ภาพใหช้ ดั เจนด้วยปุ่มปรับภาพละเอียดเท่านั้น หา้ มปรบั ภาพดว้ ยปุม่ ปรบั ภาพหยาบ เพราะจะทาใหร้ ะยะของภาพหรือจุดโฟกสั ของภาพเปล่ียนไป 9. บนั ทกึ กาลงั ขยายโดยหาได้จากผลคณู ของกาลงั ขยายของเลนสใ์ กล้วัตถุกบั กาลังขยายของเลนส์ ใกลต้ า วิธคี านวณหากาลังขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ กาลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ คานวณได้จากผลคูณของกาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ กับกาลังขยาย ของเลนสใ์ กล้ตา ดงั นี้ สูตรกาลังขยายของกล้อง = กาลังขยายของเลนสใ์ กลต้ า × กาลังขยายของเลนส์ใกลว้ ัตถุ สูตรการหากาลังขยายของภาพ = ขนาดของภาพ ขนาดของวตั ถุ การระวงั รักษากล้องจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์เป็นเคร่ืองมือที่มีราคาสูงและมีความซับซ้อนในการใช้งาน ผู้ใช้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายและสามารถนาไปใช้งานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ข้อ ควรระวงั มีดังน้ี 1. การยกกล้องเพ่ือเคลื่อนย้าย ให้ใช้มือหน่ึงจับท่ีแขนของกล้อง อีกมือหน่ึงใช้รอง ท่ีใต้ฐาน ปรับให้ตรง และยกกล้องในลกั ษณะตงั้ ตรง เพือ่ ป้องกนั การเลอ่ื นหลุดของเลนส์ใกล้ตา 2. สไลดแ์ ละกระจกปิดสไลด์ต้องไม่เปียก เพราะอาจทาให้แท่นวางวัตถุเปน็ สนมิ และทาให้เลนส์ใกล้วัตถุ ชนื้ อาจเกิดราทีเ่ ลนสไ์ ด้ 3. ขณะทหี่ มนุ ปรบั ภาพหยาบเพื่อเล่อื นเลนส์ใกล้วตั ถลุ งใกล้แผ่นสไลด์ ให้คอย มองด้านข้างของเลนส์ใกล้ วตั ถไุ ม่ใหช้ นแผ่นสไลด์ 4. อย่าปรับกระจกของกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ห้รับแสงจากดวงอาทติ ยโ์ ดยตรง 5. การมองภาพในกล้องจลุ ทรรศนค์ วรลืมตาท้งั 2 ข้าง 6. การหาภาพเร่ิมตน้ ดว้ ยเลนส์ใกล้วัตถุทมี่ ีกาลงั ขยายต่าสดุ กอ่ นเสมอ 7. เมื่อใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกาลังขยายสูง การปรับภาพให้ชัดเจนจะต้องหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เทา่ น้นั

ห น้ า | 165 8. ห้ามใชม้ อื แตะเลนส์ การทาความสะอาดเลนส์ให้ใชก้ ระดาษเชด็ เลนสเ์ ท่าน้นั การเกบ็ กลอ้ งจุลทรรศน์เมอ่ื ใชง้ านเสรจ็ แลว้ ควรปฏิบตั ิดังน้ี 1. นาวัตถทุ ่ศี กึ ษาออกจากแท่นวางวัตถุ 2. ใช้ผ้านุ่มทแ่ี ห้งและสะอาดทาความสะอาดสว่ นทีเ่ ป็นโลหะ ส่วนเลนสแ์ ละ กระจกใชก้ ระดาษเชด็ เลนส์ เทา่ นนั้ 3. เลือ่ นทหี่ นบี สไลด์ใหข้ นานกัน 4. ปรบั กระจกเงาใหอ้ ย่ใู นแนวดงิ่ ต้ังฉากกับตัวกลอ้ ง เพอ่ื ไมใ่ ห้ฝ่นุ เกาะ 5. หมุนเลนส์ใกลว้ ตั ถุทมี่ กี าลังขยายต่าสดุ ให้ตรงกับลากล้อง และเล่ือนให้อยู่ ในระดับตา่ สุด 6. เก็บเลนสใ์ กล้ตาเขา้ กล่อง แล้วปิดกระบอกเลนสใ์ กลต้ าเพอ่ื กันฝ่นุ เข้า 7. ใช้ผา้ คลมุ ไว้เม่อื เลิกใช้งาน หรอื เก็บใสก่ ลอ่ งหรอื ตใู้ ห้เรียบร้อย 8. อย่าเกบ็ กล้องจลุ ทรรศน์ไวใ้ นที่ชื้น เพราะจะทาใหเ้ ลนสข์ ึน้ รา

ห น้ า | 166 ใบความรู้สาหรับผู้รบั บรกิ าร เรื่อง เซลล์ โครงสรา้ งของเซลล์ 1. ส่วนที่หอ่ หมุ้ เซลล์มี 2 ชนิด คอื 1.1 ผนังเซลล์ (cell wall) พบในเซลล์พืช ประกอบด้วยเซลลูโลส ทาหน้าท่ีเพ่ิมความแข็งแรงและ ปอ้ งกันอนั ตรายใหแ้ ก่เนอ้ื เยอื่ พืช 1.2 เย่ือหุ้มเซลล์ (plasma membrane หรือ cell membrane) เป็นส่วนท่ีห่อหุ้ม ของเหลวที่อยู่ ภายใน โดยทั่วไปเย่ือหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน (semipermeable membrane) ซ่ึงยอมให้สารบาง ชนิดแพรผ่ ่านเข้าออกได้ 2. นิวเคลยี ส เป็นศูนยก์ ลางควบคมุ การทางานของเซลล์ โดยทางานรว่ มกับไซโทพลาซึม และยังควบคมุ ลกั ษณะ ของ ส่ิงมีชีวติ ประกอบด้วย 2.1 เยือ่ หุ้มนวิ เคลียส ทาหน้าทหี่ มุ้ นวิ เคลียสและควบคุมการผา่ นเขา้ ออกของสารภายในนวิ เคลยี ส 2.2 นิวคลโี อลัส ทาหนา้ ท่สี รา้ งไรโบโซม 2.3 โครมาทิน ทาหนา้ ที่ถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 3. ออร์แกเนลล์ท่สี าคญั จะมีโครงสร้างและหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั เช่น 3.1 รา่ งแหเอนโดพลาสมิก เรติคิวลมั ทาหนา้ ท่สี ร้างและขนส่งโปรตีนออกไปนอกเซลลแ์ ละลาเลียงสาร ภายในเซลล์ 3.2 ไรโบโซม ทาหน้าทสี่ ังเคราะหโ์ ปรตนี 3.3 กอลจิ บอดี ทาหน้าท่สี ะสมและขนส่งโปรตีน 3.4 ไมโดคอนเดรยี ทาหน้าทีผ่ ลิตสารทีม่ พี ลังงานสูงให้กับเซลล์ 3.5 คลอโรพลาสต์ ทาหนา้ ท่ีเป็นแหล่งสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพชื และโพรตสิ ตบ์ างชนิด 3.6 เซนทรโิ อล ทาหน้าที่ควบคุมรปู รา่ งและการเคลอ่ื นไหวของไซโทพลาซึมในเซลล์ 3.7 ไลโซโซม ทาหนา้ ทย่ี ่อยสารและสิง่ แปลกปลอมทเ่ี ข้าส่เู ซลล์ 3.8 แวคิวโอล ทาหนา้ ที่สะสมสารต่าง ๆ

ห น้ า | 167 เซลลส์ ตั ว์ 1. นวิ คลโี อลสั (Nucleolus) 8. เอนโดพลาสมิก เรติควิ ลมั แบบผวิ เรียบ 2. นิวเคลียส (Nucleus) (SmoothEndoplasmic reticulum) 3. โรโบ โซม (Ribosome) 4. เวสเิ คิล (Vesicle) 9. ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) 5. เอนโดพลาสมิก เรตคิ วิ ลมั แบบผิวขรุขระ 10. แวคิวโอล (vacuole) 11. ไซโตพลาซมึ (Cytoplasm) (Rough Endoplasmic reticulum) 12. ไลโซโซม (lysosome) 6. กอลจิแอปพาราตัส (Golgi apparatus) 13. เซนทรโิ อล (Centriole) 7. ไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton เซลล์พืช

ห น้ า | 168 โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ ตารางสรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ เซลล์พืช เซลลส์ ตั ว์ 1. โดยทว่ั ไปมีลกั ษณะเป็นเหลีย่ ม 1. สว่ นใหญม่ ลี ักษณะกลมหรือรี 2. มีผนงั เซลล์อยภู่ ายนอกเย่ือห้มุ เซลล์ 2. ไม่มีผนังเซลล์ มเี ฉพาะเยื่อหมุ้ เซลล์ 3. มีคลอโรพลาสต์ 3. ไม่มีคลอโรพลาสต์ 4. ไมม่ เี ซนทรโิ อล 4. มีเซนทริโอล 5. มแี วคิวโอลขนาดใหญ่ 5. มีแวควิ โอลขนาดเล็ก 6. ไมม่ ีไลโซโซม 6. มีไลโซโซม

ห น้ า | 169 ใบความรสู้ าหรบั ผ้รู ับบรกิ าร เรือ่ ง การทาสไลด์ อปุ กรณ์ 1. แผ่นสไลด์ 2. ตวั อย่าง เชน่ สาหร่ายหางกระรอก เยอ่ื กระพ้งุ แก้ม 3. นา้ 4. หลอดหยด 5. เคร่อื งมือตัดแตง่ ตวั อยา่ ง เชน่ มีดผา่ ตัด ใบมดี คีมคีบ เหล็กปลายแหลมสาหรบั เข่ียตัวอยา่ ง วธิ กี ารเตรยี มสไลดส์ ด 1. หยดนา้ 1 -2 หยดดว้ ยหลอดหยดลงบนแผน่ สไลด์ 2. เด็ดตัวอยา่ งเชน่ ใบสาหรา่ ยหางกระรอกใบยอดสุดวางบนหยดนา้ บนสไลด์ 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ โดยวางทามมุ 45 องศากับแผ่นสไลด์แล้ววางลง ระวงั อย่าให้มีฟองอากาศ 4. นาไปตรวจใตก้ ล้องจุลทรรศน์ ดว้ ยกาลังขยาย 10 X 4 5. ถา่ ยภาพเซลล์ทีพ่ บเหน็ ภายใตก้ ล้องจลุ ทรรศน์ 6. ทดลองซ้า ตามข้อ 1-5 ดว้ ยตวั อย่างอ่ืนๆ 8. ให้นา้ จากแหล่งนา้ หยดลงบนสไลดแ์ ละปดิ ด้วยกระจกปิดสไลด์ โดยวางทามมุ 45 องศา กบั แผน่ สไลด์ และทาตามข้อ 4 – 5

ห น้ า | 170 ใบกิจกรรม เรื่อง โลกใต้เลนส์ วัตถปุ ระสงค์ 1. บอกสว่ นประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์ 2. สามารถเปรยี บเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ 3. อธิบายวธิ กี ารทาสไลดส์ ด เนอื้ หา 1. กล้องจุลทรรศน์ 2. เซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ 3. การทาสไลดส์ ด คาชแี้ จง : กจิ กรรมที่ 1 เติมส่วนประกอบตา่ งๆ ของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ตามหมายเลขทกี่ าหนดใหถ้ ูกต้อง : กิจกรรมที่ 2 ให้ผู้รบั บริการทาเคร่ืองหมาย ลงในช่องทีถ่ ูกตอ้ ง : กิจกรรมท่ี 3 ใหผ้ ู้รบั บรกิ ารนาตวั อกั ษรทางขวามือมาใสท่ างด้านซา้ ยมือให้มีความสัมพันธก์ ัน

ห น้ า | 171 กจิ กรรมที่ 1 1 23 8 4 9 5 6 10 11 7 12 สว่ นประกอบของกล้องจุลทรรศน์ 1.________________ 2.________________ 3.________________ 4.________________ 5.________________ 6.________________ 7.________________ 8.________________ 9.________________ 10.________________11.________________12.________________ กจิ กรรมท่ี 2 1 ตารางเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ รายการ เซลล์พืช เซลล์สัตว์ รูปรา่ ง  เหล่ยี ม  กลม  เหล่ียม  กลม ผนังเซลล์  มี  ไมม่ ี  มี  ไมม่ ี คลอโรพลาสต์  มี  ไมม่ ี  มี  ไมม่ ี เซนทริโอล  มี  ไมม่ ี  มี  ไมม่ ี แวคควิ โอล  ขนาดใหญ่  ขนาดเลก็  ขนาดใหญ่  ขนาดเล็ก ไลโซโซม  มี  ไมม่ ี  มี  ไม่มี

ห น้ า | 172 กิจกรรมท่ี 3 ส่วนประกอบของเซลล์ ก. นิวเคลียส ข. กอลจิบอดี .....................1. เป็นแหล่งพลังงานภายในเซลล์ ค. ไรโบโซม ......................2. มเี ฉพาะในเซลล์พชื เทา่ นั้น ง. ไมโตคอนเดรีย ......................3. มีลักษณะเป็นถุงในเซลล์พืชมีขนาดใหญ่ จ. แวควิ โอล ......................4. สร้างหรอื สงั เคราะหโ์ ปรตีน ฉ. ผนังเซลล์ ......................5. ขับสารท่ีเป็นผลผลติ ทมี่ าจากส่วนอืน่ เช่น ช. คลอโรพลาสต์ ซ. ไซโตพลาสซมึ ฮอรโ์ มน เอนไซม์ ฌ. เซนทรโิ อล ......................6. ทาหน้าท่สี งั เคราะหด์ ว้ ยแสง ญ. ไลโซโซม ......................7. มีหน้าท่คี วบคุมการทางานภายในเซลล์และ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ......................8. เปน็ ที่อยู่ของออร์แกเนลลต์ ่าง ๆ ......................9. พบเฉพาะในเซลล์สตั ว์ ......................10.เก็บสะสมเอนไซมท์ ่ีเกย่ี วข้องกับการย่อยสลาย สารอนิ ทรยี ต์ า่ ง ๆ

ห น้ า | 173 แนวทางการตอบกจิ กรรมท่ี 1 เร่ือง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ คาชแี้ จง : เติมส่วนประกอบตา่ งๆ ของกล้องจลุ ทรรศน์ ตามหมายเลขที่กาหนดให้ถูกตอ้ ง 8 1 9 2 10 3 11 4 12 5 6 7 ส่วนประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1. เลนสใ์ กลต้ า 2. ลากล้อง 3. แขนกล้อง 4. แทน่ วางวตั ถุ 7. ฐานกล้อง 8. จานหมนุ เลนส์ 5. ปุ่มปรับภาพหยาบ 6. ปุ่มปรับภาพละเอียด 11. เลนสร์ วมแสง 12. ไดอะแฟรม 9. เลนสใ์ กล้วัตถุ 10. ที่หนบี สไลด์

ห น้ า | 174 แนวทางการตอบกจิ กรรมท่ี 2 เรื่อง เซลล์พืชและเซลล์สตั ว์ ตารางเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ รายการ เซลลพ์ ืช เซลลส์ ตั ว์ รปู รา่ ง  เหลย่ี ม  กลม  เหลี่ยม  กลม ผนงั เซลล์  มี  ไม่มี  มี  ไมม่ ี คลอโรพลาสต์  มี  ไมม่ ี  มี  ไม่มี เซนทริโอล  มี  ไมม่ ี  มี  ไม่มี แวคควิ โอล  ขนาดใหญ่  ขนาดเล็ก  ขนาดใหญ่  ขนาดเล็ก ไลโซโซม  มี  ไมม่ ี  มี  ไม่มี

ห น้ า | 175 แนวทางการตอบกิจกรรมท่ี 2 เรือ่ ง สว่ นประกอบของเซลล์ คาชี้แจง : ให้ผู้รับบริการนาตวั อักษรทางขวามือมาใสท่ างดา้ นซา้ ยมือให้มีความสัมพันธ์กัน ..........ง..........1. เป็นแหลง่ พลงั งานภายในเซลล์ ก. นวิ เคลยี ส ..........ฉ..........2. มเี ฉพาะในเซลลพ์ ืชเทา่ นัน้ ข. กอลจบิ อดี ..........จ..........3. มีลักษณะเปน็ ถงุ ในเซลล์พชื มีขนาดใหญ่ ค. ไรโบโซม ..........ค..........4. สร้างหรือสังเคราะหโ์ ปรตีน ง. ไมโตคอนเดรีย ..........ข..........5. ขบั สารทเ่ี ป็นผลผลติ ทมี่ าจากส่วนอนื่ เช่น จ. แวคิวโอล ฉ. ผนังเซลล์ ฮอร์โมน เอนไซม์ ช. คลอโรพลาสต์ ..........ช.........6. ทาหน้าทส่ี ังเคราะห์ด้วยแสง ซ. ไซโตพลาสซึม ..........ก.........7. มีหนา้ ท่ีควบคุมการทางานภายในเซลล์และ ฌ. เซนทริโอล ญ. ไลโซโซม การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม ...........ซ........8. เป็นทอี่ ยขู่ องออร์แกเนลล์ตา่ ง ๆ ...........ฌ........9. พบเฉพาะในเซลลส์ ตั ว์ ...........ญ......10. เก็บสะสมเอนไซม์ที่เก่ียวขอ้ งกบั การย่อยสลาย สารอินทรยี ์ต่าง ๆ

ห น้ า | 176 ฐานการเรยี นรู้ท่ี 6 เรอ่ื ง โลกและการเปลย่ี นแปลง แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ี 6 เรอื่ ง โลกและการเปลย่ี นแปลง จานวน 2 ชวั่ โมง

ห น้ า | 177 แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ี 6 เร่อื ง โลกและการเปลยี่ นแปลง เวลา 2 ชั่วโมง แนวคดิ โลกเกิดข้ึนเม่ือ 4,600 ล้านปีมาแลว้ จากกลมุ่ ก๊าซและธลุ ีต่าง ๆ ทจี่ ับกล่มุ กันตรงกลางจากแรงโน้มถว่ ง ตอนที่โลกเกิดใหม่ ๆ น้ันมีความรอ้ นสูงมาก ต่อมาด้านบนของโลกเย็นตวั ลงเป็นเปลือกโลก ภายในโลกยังคงมี อุณหภูมิสูงมาก โครงสรา้ งโลกแบ่งตามลักษณะมวลสารไดเ้ ปน็ 3 ช้นั คอื ช้ันเปลือกโลก ช้ันเน้อื โลก และช้ันแก่น โลก โลกมีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ตง้ั แตก่ าเนดิ ข้ึนมาจนถงึ ปัจจบุ นั การเปลี่ยนแปลงของโลกเกดิ ขึ้นจาก การเคลอื่ นตัวของเปลือกโลก การกระทาของธรรมชาติ และการกระทาของมนุษย์ทาใหเ้ กดิ ปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทางธรณีวทิ ยาบนผิวโลก วัตถปุ ระสงค์ เมอ่ื สนิ้ สุดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นแ้ี ล้ว ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธิบายการกาเนิดโลก 2. อธิบายการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก 3. สังเกตและจาแนกหินโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ จากลักษณะท่ีสังเกต 4. เห็นความสาคัญของโลกและการเปลี่ยนแปลง เน้ือหา 1. การกาเนิดโลก 1.1 โครงสร้างภายในโลก 1.2 ส่วนประกอบของโลก 2. การเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก 3. หินและการจาแนกหิน ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ตอนที่ 1 กจิ กรรมการเรียนรูป้ ระสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผูจ้ ดั กจิ กรรมทักทายผู้เขา้ รบั บรกิ ารและแนะนาตนเองกบั ผู้รับบริการ และช้ีแจงวตั ถุประสงค์ ของฐานการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง โลกและการเปล่ยี นแปลง ได้แก่ (1) อธิบายการกาเนิดโลก (2) อธิบายการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก (3) สังเกตและจาแนกหินโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ จากลักษณะที่สังเกต (4) เห็นความสาคัญของโลกและการเปลี่ยนแปลง

ห น้ า | 178 2. ผจู้ ัดกจิ กรรมซักถามประสบการณ์เดิมของผรู้ บั บริการเกีย่ วกับเรื่องที่จะเรียนรู้โดยสุ่ม ผู้รับบริการจานวน 3-5 คน ตามความสมัครใจให้ตอบคาถาม จานวน 3 ประเด็นดงั นี้ ประเด็นท่ี 1 “โลกเกิดขน้ึ มาได้อยา่ งไร” ประเดน็ ที่ 2 “เปลือกโลกสามารถเปลี่ยนแปลงไดห้ รือไม่ อยา่ งไร” ประเด็นท่ี 3 “ทา่ นรูว้ ิธีการจาแนกหนิ หรอื ไม่ อย่างไร” 3. ผูจ้ ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการ แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ และสรปุ ส่งิ ที่ไดเ้ รียนรรู้ ว่ มกนั ข้นั ตอนท่ี 2 กจิ กรรมการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตรท์ ท่ี า้ ทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมเช่อื มโยงเน้ือหาในขนั้ ตอนท่ี 1 เรอื่ ง การกาเนิดโลก การเปล่ียนแปลงของ เปลือกโลก และหินและการจาแนกหิน 2. ผู้จดั กจิ กรรมบรรยายเรื่อง การกาเนิดโลก การเปล่ียนแปลงของเปลือกโลก และหินและ การจาแนกหิน ตามใบความรูส้ าหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลงของโลก 3. ผจู้ ัดกจิ กรรมใหผ้ ูร้ บั บริการชมวดิ ที ศั น์ เร่ือง กาเนดิ โลก จากเว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=rpfLhQCHsqA หลังจากนัน้ ผู้จดั กจิ กรรมและผรู้ ับบริการสรุปสิง่ ทีไ่ ด้ เรยี นรูร้ ่วมกัน 4. ผ้จู ดั กจิ กรรมแบง่ กลุ่มผูร้ ับบริการ กล่มุ ละ 5-7 คน (ให้แตล่ ะกลมุ่ เลือกประธาน เลขานุการ และผู้นาเสนอ) 5. ผู้จัดกิจกรรมแจกใบกิจกรรมที่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างของโลก โดยผู้จัดกิจกรรมอธิบายแผน่ จาลองโครงสร้างของโลก และองคป์ ระกอบของโลก และใหผ้ รู้ ับบริการตอบคาถามในใบกจิ กรรมท่ี 1 หลังจากนั้น ผูร้ บั บรกิ ารและผู้จดั กจิ กรรมสรปุ สิง่ ทไี่ ดเ้ รียนรูร้ ว่ มกัน 6. จัดกิจกรรมแจกใบกจิ กรรมที่ 2 เรอื่ ง หนิ และการจาแนกหิน ผจู้ ดั กจิ กรรมนาผรู้ บั บรกิ ารไป ศึกษาทฐี่ านการเรยี นรเู้ รื่องหิน ผจู้ ดั กจิ กรรมชแี้ จงและอธบิ ายขั้นตอนการทากจิ กรรมการทดลอง และแจกตัวอยา่ ง หินเพมิ่ เติม (กรณีไม่มหี ินทจ่ี ดั แสดงอยู่ในฐานการเรียนร)ู้ ใหผ้ ู้รบั บรกิ ารแตล่ ะกลมุ่ พร้อมอุปกรณ์ ได้แก่ แว่นขยาย กรดเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) หลอดหยด กระจกเงา บีกเกอร์ หลังจากน้ันใหท้ าการทดลอง และบันทึกผลการ ทดลองในตารางตามใบกิจกรรมที่ 2 ผู้จัดกิจกรรมควรเดินเข้าไปสงั เกตผรู้ บั บริการแตล่ ะกล่มุ ขณะทากิจกรรม เพือ่ ใช้คาถามกระตนุ้ หรอื ให้กาลงั ใจใหผ้ ูร้ บั บริการทากจิ กรรมได้ครอบคลมุ ส่ิงที่ผจู้ ดั กจิ กรรมอยากใหส้ งั เกต เชน่ จะสงั เกต สารวจ หรอื ทดลองอะไร โดยวธิ ใี ด สงั เกตสี (มสี อี ะไร สเี ดียว หรอื หลายส)ี เนื้อหนิ หยาบหรอื เนื้อหินละเอียด มหี ลายเน้ือ หรอื เนอื้ เดยี ว ผิวมันหรือด้าน วาวเป็นประกายหรอื ไม่ ขูดกับกระจก ดว้ ยเลบ็ เหรยี ญ ตะปู แลว้ เป็นอยา่ งไร 7. ผจู้ ดั กจิ กรรมแจกแผ่นภาพประเภทหนิ และตัวอยา่ งหนิ ใหผ้ รู้ ับบรกิ ารแต่ละกลุ่มศึกษาวิธีการ จาแนกหนิ ของนักธรณีวทิ ยา ช่วยกนั สังเกตหินแต่ละก้อนแลว้ จัดกลมุ่ หินตามเกณฑ์ของนักธรณีวิทยา แล้วบนั ทกึ ผลลงในตารางใบกิจกรรมท่ี 2 หลงั จากน้ัน ใหผ้ ู้รบั บริการอภปิ รายประโยชนข์ องการจาแนกหนิ โดยใชป้ ระเดน็ คาถาม ดังน้ี ประเด็นท่ี 1 “ผรู้ ับบริการมีความคดิ เห็นอยา่ งไรบ้าง เก่ียวกับการจาแนกหิน” ประเดน็ ที่ 2 “การจาแนกหนิ มปี ระโยชน์อยา่ งไร”

ห น้ า | 179 ประเดน็ ที่ 3 “ในหนิ ชนดิ หนึง่ ๆ มีแร่เปน็ องค์ประกอบก่ชี นิด” ประเดน็ ท่ี 4 “หนิ ส่วนมากมีแร่เพียงชนดิ เดยี วหรอื หลายชนิด” ขั้นตอนที่ 3 กจิ กรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ใหผ้ รู้ ับบรกิ ารตอบคาถามโดยส่มุ ผ้รู บั บรกิ าร จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัคร ใจ ให้ตอบคาถามในประเด็น “ท่านจะนาความรู้ เร่อื ง โลกและการเปล่ยี นแปลง ไปประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ติ ประจาวนั อยา่ งไร” 2. ผู้จดั กจิ กรรมและผู้รับบริการสรปุ รว่ มกัน ส่อื วัสดอุ ุปกรณ์ และแหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้สาหรบั ผจู้ ัดกจิ กรรม เรื่อง กาเนิดโลก 2. ใบความรู้สาหรับผรู้ บั บริการ เรอ่ื ง กาเนิดโลก 3. ใบความรู้สาหรบั ผูจ้ ัดกิจกรรม เรอื่ ง หินและการจาแนกหนิ 4. ใบความร้สู าหรับผู้รบั บริการ เร่อื ง กาเนดิ โลก 5. ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื ง โครงสร้างของโลก 6. ใบกจิ กรรมที่ 2 เร่ือง หนิ และการจาแนกหิน 5. วิดิทัศน์/เว็บไซต์ 6. แผน่ ภาพจาลองโครงสรา้ งของโลก 7. แผ่นภาพจาลองตัวตอ่ เปลือกโลก 8. แผน่ ภาพหนิ 9. ตวั อย่างหนิ 10. แวน่ ขยาย 11. ตะปู 12. กระจกเงา 13. หลอดหยด 14. บีกเกอร์ 15. กรดเกลือ 16. บรเิ วณฐานการเรียนรเู้ ร่ือง หนิ การวดั และประเมินผล 1. สงั เกตการณ์มีส่วนร่วมของผรู้ บั บรกิ าร 2. ช้นิ งาน/ผลงาน

ห น้ า | 180 บนั ทกึ ผลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการใชแ้ ผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. จานวนเนอื้ หากับจานวนเวลา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 7. การเรยี งลาดับเน้ือหากับความเขา้ ใจของผูร้ ับบริการ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล ............................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................ ............................................................. ............. 8. การนาเข้าสู่บทเรียนกับเน้ือหาแตล่ ะหวั ข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล ........................................................................................................... ........................................................... ............................................................................................................................. ......................................... 9. วธิ ีการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้กับเน้ือหาในแตล่ ะข้อ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................................... ............. 10. การประเมนิ ผลกับวตั ถุประสงคใ์ นแต่ละเนือ้ หา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตุผล ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ผลการเรียนรู้ของผ้รู บั บริการ ............................................................................................................................. ................................................ .......................................................................................................................................................... ................... ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ของผู้จดั กจิ กรรม ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ขอ้ เสนอแนะ ............................................................................................................................. ....................................................... ....................................................................................................................................................................... ................

ห น้ า | 181 ใบความรู้สาหรบั ผูจ้ ดั กิจกรรม เรื่อง กาเนิดโลก เมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว กลมุ่ ก๊าซในเอกภพบรเิ วณนี้ ไดร้ วมตัวกันเปน็ หมอกเพลงิ มชี ือ่ วา่ “โซ ลาร์เนบวิ ลา” (Solar แปลวา่ สรุ ิยะ, Nebula แปลว่า หมอกเพลงิ ) แรงโน้มถว่ งทาให้กลมุ่ ก๊าซยุบตวั และหมนุ ตัว เป็นรปู จาน ใจกลางมีความรอ้ นสูงเกิดปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี ร์แบบฟวิ ชั่น กลายเปน็ ดาวฤกษ์ท่ีชื่อวา่ ดวงอาทิตย์ ส่วน วัสดุท่ีอยู่รอบ ๆ มีอุณหภูมติ ่ากว่า รวมตวั เป็นกลุ่มๆ มมี วลสารและความหนาแนน่ มากขน้ึ เปน็ ช้ัน ๆ และ กลายเปน็ ดาวเคราะหใ์ นท่ีสุด ภาพกาเนิดระบบสรุ ยิ ะ โลกในยุคแรกเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่าชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุ หนัก เช่น เหล็ก และนิเกิล จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก ขณะที่องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุเบา เช่น ซิลิกอน ลอยตัว ข้ึนสู่เปลือกนอก ก๊าซต่าง ๆ เช่น ไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามแทรกตัวออกจากพ้ืนผิว ก๊าซ ไฮโดรเจนถูกลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ทาลายให้แตกเป็นประจุ ส่วนหน่ึงหลุดหนีออกสู่อวกาศ อีกส่วนหน่ึงรวมตัว กับออกซิเจนกลายเป็นไอน้า เม่ือโลกเย็นลง เปลือกนอกตกผลึกเป็นของแข็ง ไอน้าในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้าฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร สองพันล้านปีต่อมาการ วิวฒั นาการของส่ิงมีชวี ิต ไดน้ าคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการสงั เคราะหแ์ สง เพื่อสร้างพลังงาน และให้ผลผลิตเป็น ก๊าซออกซิเจน ก๊าซออกซิเจนท่ีลอยข้ึนสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน แตกตัวและรวมตัวเป็นก๊าซโอโซน ซ่ึงช่วยป้องกัน อันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเล็ต ทาให้สิ่งมีชีวิตมากข้ึน และปริมาณของออกซิเจนมากข้ึนอีก ออกซิเจนจึงมี บทบาทสาคัญตอ่ การเปลีย่ นแปลงบนพ้นื ผวิ โลกในเวลาต่อมา ดังภาพที่ 1 ภาพกาเนดิ ระบบสรุ ยิ ะ

ห น้ า | 182 โครงสรา้ งและสว่ นประกอบของโลก เปลือกโลก (crust) เป็นช้ันนอกสดุ ของโลกที่มีความหนาประมาณ 60-70 กิโลเมตร ซึง่ ถือวา่ เปน็ ชน้ั ทบี่ าง ท่ีสุดเมือ่ เปรยี บกับชน้ั อ่นื ๆ เสมอื นเปลือกไข่ไก่หรอื เปลือกหัวหอม เปลือกโลกประกอบไปดว้ ยแผ่นดนิ และแผน่ นา้ ซึ่งเปลอื กโลกสว่ นที่บางที่สดุ คือสว่ นทีอ่ ยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนเปลือกโลกทหี่ นาท่สี ดุ คือเปลือกโลกสว่ นทรี่ องรบั ทวีปท่ี มีเทอื กเขาทีส่ ูงทส่ี ดุ อยดู่ ว้ ย นอกจากนเ้ี ปลอื กโลกยังสามารถแบ่งออกเปน็ 2 ช้นั คอื ชั้นทห่ี น่ึง: ช้ันหนิ ไซอลั (sial) เป็นเปลือกโลกชั้นบนสุด ประกอบด้วยแร่ซลิ ิกาและอะลูมนิ าซึง่ เป็น หินแกรนิตชนิดหนงึ่ สาหรบั บรเิ วณผิวของช้ันนีจ้ ะเป็นหนิ ตะกอน ชน้ั หินไซอัลนี้มีเฉพาะเปลอื กโลกสว่ นทเี่ ปน็ ทวีป เท่านน้ั สว่ นเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรจะไมม่ ีหนิ ช้ันน้ี ชน้ั ที่สอง: ช้นั หนิ ไซมา (sima) เปน็ ชัน้ ทีอ่ ยู่ใต้หนิ ชน้ั ไซอลั ลงไป ส่วนใหญเ่ ป็นหินบะซอลต์ประกอบดว้ ยแร่ ซลิ กิ า เหล็กออกไซด์และแมกนีเซยี ม ชน้ั หินไซมานห้ี ่อหมุ้ ทั่วทัง้ พนื้ โลกอยู่ในทะเลและมหาสมทุ ร ซงึ่ ต่างจากหนิ ช้ัน ไซอลั ที่ปกคลุมเฉพาะส่วนท่ีเปน็ ทวปี และยังมีความหนาแน่นมากกว่าช้นั หินไซอัล ภาพโครงสร้างภายในของโลก แมนเทิล แมนเทลิ (mantle หรือ Earth’s mantle) คือชั้นทีอ่ ยถู่ ัดจากเปลอื กโลกลงไป มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางส่วนของหนิ อยใู่ นสถานะหลอมเหลว เรยี กวา่ หินหนดื (Magma) ทาให้ชัน้ แมนเทิลน้มี ีความ รอ้ นสงู มาก เนื่องจากหนิ หนืดมอี ุณหภมู ปิ ระมาณ 800 – 4300 °C ซึ่งประกอบด้วยหินอัคนเี ป็นสว่ นใหญ่ เชน่ หนิ อลั ตราเบสกิ หินเพรโิ ดไลต์ แก่นโลก ความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลีย่ คอื 5,515 กก./ลบ.ม. ทาให้มนั เปน็ ดาวเคราะห์ทห่ี นาแนน่ ที่สดุ ใน ระบบสุริยะ แต่ถา้ วัดเฉพาะความหนาแนน่ เฉลี่ยของพนื้ ผวิ โลกแล้ววัดได้เพียงแค่ 3,000 กก./ลบ.ม. เท่านน้ั ซึ่งทา ใหเ้ กิดข้อสรุปวา่ ตอ้ งมีวัตถอุ ื่น ๆ ทหี่ นาแนน่ กว่าอยู่ในแก่นโลกแน่นอน ระหวา่ งการเกิดข้ึนของโลก ประมาณ 4.5 พนั ล้านปมี าแล้ว การหลอมละลายอาจทาใหเ้ กิดสสารทม่ี คี วามหนาแน่นมากกว่าไหลเข้าไปใน แกนกลางของ โลก ในขณะที่สสารท่มี ีความหนาแน่นน้อยกวา่ คลุมเปลือกโลกอยู่ ซึง่ ทาใหแ้ กน่ โลก (core) มี องค์ประกอบเปน็ ธาตเุ หล็กถงึ 80%, รวมถึงนกิ เกิลและธาตุทีม่ ีนา้ หนักท่ีเบากว่าอ่ืน ๆ แต่ในขณะทสี่ สารที่มีความ หนาแน่นสูงอ่นื ๆ เชน่ ตะก่ัวและยเู รเนยี ม มีอยู่น้อย

ห น้ า | 183 เกนิ กวา่ ทีจ่ ะผสานรวมเขา้ กับธาตุท่เี บากวา่ ได้ และทาให้สสารเหลา่ นั้นคงท่ีอยูบ่ นเปลือกโลก แกน่ โลกแบ่งได้ ออกเปน็ 2 ชั้นไดแ้ ก่ แก่นโลกชน้ั นอก (outer core) มีความหนาจากผวิ โลกประมาณ 2,900 – 5,000 กโิ ลเมตร ประกอบดว้ ยธาตุเหลก็ และนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย และมคี วามร้อนสงู มีอณุ หภูมิประมาณ 6200 – 6400 มีความหนาแนน่ สัมพทั ธ์12.0 และสว่ นน้ีมสี ถานะเป็นของเหลว แกน่ โลกชน้ั ใน (inner core) เป็น ส่วนที่อยู่ใจกลางโลกพอดี มีรัศมปี ระมาณ 1,000 กโิ ลเมตร มี อณุ หภูมปิ ระมาณ4,300–6,200 และมีความกดดันมหาศาล ทาใหส้ ว่ นนี้จึงมสี ถานะเปน็ ของแข็ง ประกอบดว้ ยธาตุ เหล็กและนิกเกิลท่ีอย่ใู นสภาพท่ีเป็นของแขง็ มีความหนาแน่นสมั พัทธ์ การเปลย่ี นแปลงของเปลือกโลก เปลือกโลกมิได้เปน็ แผ่นเดยี วต่อเนื่องติดกนั ดังเช่นเปลอื กไข่ หากแตเ่ หมือนเปลือกไขแ่ ตกร้าว มแี ผ่นหลาย แผน่ เรียงชิดตดิ กันเรยี กวา่ “เพลต” (Plate) ซง่ึ มีอยู่ประมาณ 20 เพลต เพลตทม่ี ีขนาดใหญ่ ไดแ้ ก่ เพลตแปซิฟิก เพลตอเมรกิ าเหนือ เพลตอเมรกิ าใต้ เพลตยเู รเซยี เพลตแอฟรกิ า เพลตอินโด-ออสเตรเลีย และเพลตแอนตาร์กติก เป็นตน้ เพลตแปซิฟิกเปน็ เพลตทใี่ หญ่ทีส่ ุดและไม่มเี ปลือกทวปี กนิ อาณาเขตหน่งึ ในสามของพื้นผวิ โลก เพลตทกุ เพลตเคลอื่ นตวั เปลีย่ นแปลงขนาดและรูปร่างอยู่ตลอดเวลา ภาพการเคลอื่ นตวั ของเพลต เพลตประกอบด้วยเปลือกทวีปและเปลือกมหาสมุทรวางตวั อยูบ่ นแมนเทิลชัน้ บนสุด ซง่ึ เปน็ ของแขง็ ในช้ัน ลิโทสเฟียร์ ลอยอยู่บนหินหนืดร้อนในชั้นแอสทีโนสเฟียร์อีกทีหนึ่ง หินหนืด (Magma) เป็นวัสดุเนื้ออ่อนเคลื่อนท่ี หมุนเวียนด้วยการพาความร้อนภายในโลก คล้ายการเคล่ือนตัวของน้าเดือดในกาต้มน้า การเคลื่อนตัวของวัสดุใน ชั้นแอสทีโนสเฟียร์ทาให้เกิดการเคลอ่ื นตัวเพลต (ดูภาพที่ 27) เราเรียกกระบวนการเช่นน้วี ่า “ธรณีแปรสัณฐาน” หรือ “เพลตเทคโทนิคส์” (Plate Tectonics) การพาความร้อนจากภายในของโลกทาให้วัสดุในช้ันแอสทีโนสเฟียร์ (Convection cell) ลอยตัวดันพ้ืน มหาสมุทรข้ึนมากลายเป็น “สันกลางมหาสมุทร” (Mid-ocean ridge) หินหนืดร้อนหรือแมกม่าซ่ึงโผลขึ้นมาผลัก พื้นมหาสมุทรให้เคลื่อนที่ขยายตัวออกทางข้าง เนื่องจากเปลือกมหาสมุทรมีความหนาแน่มากกว่าเปลือกทวีป ดงั น้นั เมือ่

ห น้ า | 184 เปลือกมหาสมุทรชนกับเปลือกทวีป เปลือกมหาสมุทรจะมุดตัวต่าลงกลายเป็น “เหวมหาสมุทร” (Trench) และ หลอมละลายในแมนเทลิ อีกคร้ังหนึ่ง มวลหินหนืดท่ีเกิดจากการรีไซเคลิ ของเปลอื กมหาสมุทรทจี่ มตัวลง เรียกวา่ “พลตู อน” (Pluton) มีความ หนาแนน่ น้อยกวา่ เปลือกทวีป จึงลอยตัวแทรกขึ้นมาเป็นแนวภเู ขาไฟ เช่น เทอื กเขาแอนดีสทางฝัง่ ตะวันตกของ ทวีปอเมรกิ าใต้ รอยตอ่ ของขอบเพลต (แผน่ เปลือกโลก) - เพลตแยกจากกัน (Divergent) เม่ือแมกม่าในชั้นแอสทีโนสเฟียร์ดันตัวข้ึน ทาให้เพลตจะขยายตัวออก จากกัน แนวเพลตแยกจากกันส่วนมากเกิดขึ้นในบริเวณสันกลางมหาสมทุ ร (ภาพที่ 28) - เพลตชนกัน (Convergent) เมื่อเพลตเคล่ือนท่ีเข้าชนกัน เพลตท่ีมีความหนาแน่นสูงกว่าจะมุดตัวลง และหลอมละลายในแมนเทิล ส่วนเพลตท่ีมีความหนาแน่นน้อยกว่าจะถูกเกยสูงขึ้นกลายเป็นเทือกเขา เช่น เทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการชนกันของเพลตอินเดียและเพลตเอเชีย เทือกเขาแอพพาเลเชียน เกิดจากการชนกนั ของเพลตอเมรกิ าเหนือกบั เพลตแอฟรกิ า - รอยเลื่อน (Transform fault) เป็นรอยเล่ือนขนาดใหญ่ มักเกิดข้ึนในบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นบริเวณชายฝ่ัง เช่น รอยเลื่อนแอนเดรียส์ ที่ทาให้เกิดแผ่นดินไหวในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา เกดิ จากการเคลอ่ื นทส่ี วนกันของเพลตอเมริกาเหนือและเพลตแปซิฟิก ภาพรอยต่อของเพลต ผลท่ีเกดิ จากการเปล่ียนแปลงของเปลือกโล)ก เมือ่ ภมู ปิ ระเทศเปล่ยี นแปลง เช่น เกิดแผน่ ดินไหวอย่างรุนแรง เกิดภูเขาไฟระเบดิ ผวิ โลกบางส่วนอาจ แยกตัวออก บางส่วนอาจเกดิ การถล่มถลายและยุบตัวลง หินหนืดทไ่ี หลออกจากปลอ่ งภเู ขาไฟกจ็ ะเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในบรเิ วณท่ีหนิ หนืดน้ันไหลผ่าน ผลการศึกษาทางธรณวี ิทยาทาใหเ้ ราทราบวา่ โลกกาลงั เปล่ียนแปลงตลอดเวลาก่อใหเ้ กดิ ความเดอื ดร้อน แกม่ นุษย์และสิง่ มชี วี ติ อ่นื ได้อย่างรวดเรว็ เราจาเปน็ ต้องศึกษาและทาความเขา้ ใจกับกระบวนการเปล่ยี นแปลง ของเปลือกโลกเพ่อื จะได้เตรียมท่จี ะรับการเปลยี่ นแปลงของเปลอื กโลกทจี่ ะเกิดข้นึ ในอนาคต

ห น้ า | 185 ใบความร้สู าหรบั ผ้จู ดั กจิ กรรม เรือ่ ง หินและการจาแนกหนิ หนิ (Rocks) หิน คือ มวลของแขง็ ทปี่ ระกอบไปดว้ ยแรช่ นดิ เดยี วกัน หรอื หลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติเนื่องจาก องค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ดังน้ันเปลือกโลก ส่วนใหญ่มัก เป็นแร่ตระกูลซิลิเกต นอกจากน้ันยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็น คาร์บอนไดออกไซด์ น้าฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตอาศยั คาร์บอนสร้างธาตอุ าหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศยั ซิลิกาสร้างเปลือก เมอ่ื ตายลงทับถม กนั เป็นตะกอน หินส่วนใหญ่บนเปลอื กโลกจึงประกอบด้วยแรต่ ่าง ๆ 1. วัฎจักรหิน นักธรณีวิทยาแบ่งหินออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการเกิดคือ หินอัคนี หิน ตะกอน และหินแปร เม่ือหินหนืดร้อนภายในโลก (Magma) และ หินหนืดร้อนบนพื้นผิวโลก (Lava) เย็นตัวลง กลายเป็น “หินอัคนี” ลมฟ้าอากาศ น้า และแสงแดด ทาให้หินผุพังสึกกร่อนเป็นตะกอน ทับถมกันเป็นเวลานาน หลายล้านปี แรงดันและปฏิกิริยาเคมีทาให้เกิดการรวมตัวเป็น “หินตะกอน” หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “หิน ช้ัน” การเปล่ียนแปลงของเปลือกโลกและความร้อนจากแมนเทิลข้างล่าง ทาให้เกิดการแปรสภาพเป็น “หิน แปร” กระบวนการเหล่าน้ีเกิดขึ้นเป็นวงรอบเรียกว่า “วัฏจักรหิน” (Rock cycle) อย่างไรก็ตามกระบวนการไม่ จาเป็นต้องเรียงลาดับ หินอัคนี หินชั้น และหินแปร การเปล่ียนแปลงประเภทหินอาจเกิดข้ึนย้อนกลับไปมาได้ ขนึ้ อยกู่ ับปัจจัยแวดล้อม ตามทีแ่ สดงในภาพท่ี 31 ภาพวัฏจักรหิน 2. ประเภทของหิน นักธรณวี ทิ ยาแบง่ หนิ ออกเปน็ 3 ประเภท ตามลักษณะการเกดิ คอื หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร รายละเอยี ดดังน้ี 2.1 หนิ อัคนี (Igneous rocks) หนิ อัคนี เปน็ หนิ ท่เี กิดจากการแข็งตัวของหนิ หนดื (Magma) จากชัน้ แมนเทลิ ท่โี ผล่ขึน้ มา เราแบง่ หินอัคนตี ามแหลง่ ทม่ี าออกเปน็ 2 ประเภท คอื (1) หนิ อัคนีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เป็นหนิ ท่ีเกิดจากหินหนืดที่เยน็ ตวั ลงภายในเปลือกโลกอย่างชา้ ๆ ทาใหผ้ ลึกแร่มีขนาดใหญ่ และเน้อื หยาบ ได้แก่

ห น้ า | 186 - หินแกรนิต (Granite) เป็นหินอัคนีแทรกซอนที่เย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอย่างช้า ๆ จึงมเี น้ือหยาบ ซึ่งประกอบดว้ ยผลกึ ขนาดใหญ่ของแร่ควอตซส์ ีเทาใส แรเ่ ฟลดส์ ปาร์สขี าวข่นุ และแร่ฮอร์น เบ ลนด์ หนิ แกรนิตแขง็ แรงมาก ชาวบา้ นใชท้ าครก เชน่ ครกอา่ งศิลา ภูเขาหินแกรนติ มักเตย้ี และมียอดมน เนือ่ งจาก เปลอื กโลกซึง่ เคยอย่ชู ้นั บนสกึ กร่อนผพุ งั เผยให้เหน็ แหล่งหินแกรนติ ซงึ่ อยู่เบ้อื งลา่ ง - หินไดออไรต์ (Diorite) เป็นหินอัคนีแทรกซอน กาเนิดอยู่ใต้ผิวโลกเกิดจากหินหนืด เย็นตัวเป็นหินอยูใ่ ต้พื้นผวิ โลก เน้ือหยาบ ผลึกแร่ใหญค่ ่อนข้างสม่าเสมอ มีสีคลา้ อาจถงึ ดาเพราะปรมิ าณแร่สีเข้มมี มากข้ึนใช้เป็นหินก่อสร้างแทนหินแกรนิต เพราะว่ามีค่ากาลังวัสดุสูง เนื้อหยาบ ความพรุนต่า มีการยึดติดกับยาง มะตอยสงู - หินแกบโบร (Gabbro) เป็นหินอัคนีบาดาลสีเข้มถึงดา และประกอบด้วยแร่ไพรอก ซีน (Pyroxene;สีดาเสี้ยนสั้น) แร่ฟันม้าชนิดแพลจิโอเคลส(Plagioclase) เป็นส่วนใหญ่และอาจมีแร่โอลิ-วีน (Olivine;สีเขียวใส) อยู่บ้าง พบไม่มากนักบนเปลือกโลกส่วนทวีป แต่จะพบอยู่มากในส่วนล่างของเปลือกสมุทร (Oceanic crust) เมอื งไทยพบอยู่นอ้ ยมากเป็นแนวเทือกเขาเตย้ี ๆ - หินเพริโดไทต์ (Peridotite) หินชนิดน้ีเป็นหินต้นกาเนิดของเพชร โดยมากประกอบ ไปด้วยแร่จาพวกไพร็อกซินและออลิวิน หินดูไนต์ (Dunite) ประกอบไปด้วยแร่ออลิวันเกือบทั้งหมดมีคุณสมบัติ ทางเคมีคือเปน็ ด่างจดั มาก ภาพแหล่งกาเนดิ หิน (2) หินอคั นีพุ (Extrusive ingneous rocks) บางทเี รยี กว่า หินภูเขาไฟ เปน็ หนิ หนดื ท่ี เกดิ จากลาวาบนพืน้ ผวิ โลกเยน็ ตวั อย่างรวดเร็ว ทาใหผ้ ลกึ มีขนาดเลก็ และเนือ้ ละเอียด ไดแ้ ก่ - หนิ บะซอลต์ (Basalt) เปน็ หนิ อคั นพี ุ เนื้อละเอียด เกิดจากการเย็นตัวของลาวา มีสี เข้มเนื่องจากประกอบด้วยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแร่โอลิวีนปนมาด้วย เน่ืองจากเกิดข้ึนจากแมกมาใต้ เปลือกโลก หนิ บะซอลต์หลายแห่งในประเทศไทยเปน็ แหล่งกาเนดิ ของอัญมณี (พลอยชนดิ ตา่ งๆ) เนอ่ื งจากแมกมา ดนั ผลกึ แร่ซ่ึงอยูล่ กึ ใต้เปลือกโลก ให้โผล่ขึน้ มาเหนือพื้นผวิ - หนิ ไรโอไลต์ (Ryolite) เปน็ หนิ อัคนีพุซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของลาวา มเี น้ือละเอียด ซึ่งประกอบด้วยผลึกแร่ขนาดเล็ก มีแร่องค์ประกอบเหมือนกับหินแกรนิต แต่ทว่าผลึกเล็กมากจนไม่สามารถ มองเห็นได้ สว่ นมากมสี ีชมพู และสเี หลอื ง

ห น้ า | 187 - หินแอนดีไซต์ (Andesite) เป็นหินอัคนีพุซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของลาวาในลักษณะ เดยี วกบั หนิ ไรโอไรต์ แต่มีองคป์ ระกอบของแมกนีเซียมและเหลก็ มากกว่า จงึ มีสเี ขียวเขม้ - หินพัมมิซ (Pumice) เป็นหินแก้วภูเขาไฟชนิดหน่ึงซึ่งมีฟองก๊าซเล็กๆ อยู่ในเน้ือ มากมายจนโพรกคล้ายฟองนา้ มสี ่วนประกอบเหมอื นหินไรโอไลต์ มนี ้าหนกั เบา ลอยน้าได้ ชาวบา้ นเรียกว่า หินส้ม ใชข้ ัดถูภาชนะทาใหม้ ีผิววาว - หินออบซิเดียน (Obsedian) เป็นหินแก้วภูเขาไฟซ่ึงเย็นตัวเร็วมากจนผลึกมีขนาด เล็กมาก เหมือนเน้ือแกว้ สีดา หนิ ออบซิเดยี น 2.2 หนิ ตะกอน (Sedimentary rocks) แม้ว่าหินจะเปน็ ของแขง็ แต่มนั ก็ไมส่ ามารถดารง อยู่ได้อย่างถาวร หินเม่ือถูกแสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้า หรือ ถูกกระแทก ก็แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ หรือผุกร่อน เส่ือมสภาพลง เศษหินท่ีผุพังท้ังอนุภาคใหญ่และเล็กถูกพัดพาไปสะสมอัดตัวกัน เป็นช้ัน ๆ เกิดความกดดันและ ปฏกิ ริ ิยาเคมจี นกลับกลายเป็นหินอกี คร้งั หนิ ที่เกิดใหมน่ เี้ ราเรยี กวา่ “หินตะกอน” หรอื “หินช้นั ”ปัจจัยที่ทาใหเ้ กิด หนิ ตะกอนหรอื หนิ ช้ัน มดี งั ต่อไปน้ี - การผุพัง (Weathering) คือ การทีห่ นิ ผุพังทาลายลง (อยกู่ บั ที)่ ด้วยกรรมวธิ ีตา่ งๆ จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทัง้ การกระทาของต้นไม้ แบคทเี รยี ตลอดจนการแตกตวั ทางกลศาสตร์ มี การเพ่ิมอุณหภูมแิ ละลดอณุ หภูมิสลับกันเป็นต้น - การกร่อน (Erosion) หมายถึง กระบวนการท่ีทาให้สารเปลอื กโลกหลดุ ละลายไป หรอื กรอ่ นไป (โดยมีการเคล่ือนทก่ี ระจัดกระจายไปจากทเ่ี ดิม) โดยมตี ้นเหตุคือตัวการธรรมชาติ ซึง่ ได้แก่ ลมฟ้า อากาศ กระแสนา้ ธารน้าแขง็ การครดู ถู ภายใต้อิทธพิ ลของแรงโน้มถว่ ง - การพดั พา (Transportation) หมายถึง การเคลื่อนที่ของมวลหนิ ดิน ทราย โดย กระแสนา้ กระแสลม หรือธารน้าแข็ง ภายใต้แรงดึงดดู ของโลก อนภุ าคขนาดเล็กจะถูกพัดพาใหเ้ คล่ือนที่ไปไดไ้ กล กวา่ อนภุ าคขนาดใหญ่ ภาพการคัดขนาดตะกอนดว้ ยการพดั พาของน้า - การทับถม (Deposit) เกิดขึ้นเมื่อตัวกลางซ่ึงทาให้เกิดการพัดพา เช่น กระแสน้า กระแสลม หรือธารน้าแข็ง อ่อนกาลังลงและยุติลง ตะกอนท่ีถูกพัดพาจะสะสมตัวทับถมกัน ทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ ความกดดัน ปฏิกิริยาเคมี และเกิดการตกผลึก หินตะกอนท่ีอยู่ชั้นล่างจะมีความ หนาแน่นสูงและมีเนื้อละเอียดกว่าช้ันบน เน่ืองจากแรงกดดันซึ่งเกิดข้ึนจากน้าหนักตัวทับถมกันเป็นช้ันๆ (หมาย

ห น้ า | 188 เหตุ: การทับถมบางคร้ังเกิดจากการระเหยของสารละลาย ส่วนท่ีเป็นน้าระเหยไปในอากาศทิ้งสารท่ีเหลือให้ตก ผลกึ ไว้เช่นเดียวกับการทานาเกลือ) - การกลับคืนเปน็ หิน (Lithification) เมื่อเศษตะกอนทับถมกันจะเกิดโพรงขึ้นประมาณ 20 – 40% ของเนื้อตะกอน น้าพาสารละลายเข้ามาแทนท่ีอากาศในโพรง เม่ือเกิดการทับถมกันจนมีน้าหนักมาก ขึ้น เนื้อตะกอนจะถูกทาให้เรียงชิดติดกันทาให้โพรงจะมีขนาดเล็กลง จนน้าท่ีเคยมีอยู่ถูกขับไล่ออกไป สารที่ ตกค้างอยทู่ าหนา้ ท่ีเป็นซีเมนต์เชือ่ มตะกอนเขา้ ดว้ ยกนั กลับเปน็ หนิ อกี ครงั้ ภาพขัน้ ตอนท่ีตะกอนกลับคนื เป็นหนิ นกั ธรณวี ิทยาจาแนกหนิ ตะกอนตามลกั ษณะการเกิดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. หินตะกอนอนภุ าค (Clastic rocks) ไดแ้ ก่ - หินกรวดมน (Congromorate) เป็นหินเน้ือหยาบเกิดจากตะกอนซึ่งเป็นหิน กรวด ทราย ที่ถูกกระแสน้าพัดพามาอยู่รวมกัน สารละลายในน้าใต้ดินทาตัวเป็นซิเมนต์ประสานให้อนุภาคใหญ่เล็ก เหล่านี้ เกาะตวั กนั เป็นกอ้ นหนิ - หินทราย (Sandstone) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดปานกลาง เกิดจากการทับถมตัว ของทราย มีองค์ประกอบหลกั เปน็ แรค่ วอรตซ์ คนโบราณใช้หินทรายแกะสลัก สร้างปราสาท และทาหินลับมีด - หินดินดาน (Shale) เป็นหินตะกอนเน้ือละเอียดมาก เน่ืองจากประกอบด้วยอนุภาค ทรายแปง้ และอนภุ าคดินเหนียวทบั ถมกนั เป็นชน้ั บาง ๆ ขนานกัน เม่ือทบุ หินจะแตกตัวตามรอยชั้น (ฟอสซิลมีอยู่ ในหินดนิ ดาน) ดินเหนียวที่เกดิ ดนิ ดานใชท้ าเครอื่ งป้นั ดนิ เผา 2. หินตะกอนเคมี (Chemical sedimentary rocks) ไดแ้ ก่ - หินปูน (Limestone) เป็นหินตะกอนคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของตะกอน คาร์บอเนตในทอ้ งทะเล ท้งั จากสารอนนิ ทรยี ์ และซากสง่ิ มชี วี ิต เช่น ปะการงั และกระดองของสัตว์ทะเล ซ่งึ ถับถม กนั ภายใต้ความกดดันและตกผลกึ ใหม่เป็นแร่แคลไซต์จงึ ทาปฏิกริ ิยากับกรด หนิ ปนู ใช้ทาเปน็ ปนู ซิเมนต์ และใช้ใน การกอ่ สรา้ ง - หินเชิร์ต (Chert) หินตะกอนเน้ือแน่น แข็ง เกิดจากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากน้าพา สารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทาให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เน้ือหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้ท้องทะเล เน่ืองจากแพลงตอนท่ีมเี ปลอื กเป็นซลิ ิกาตายลง เปลอื กของมนั จะจมลงทบั ถมกนั หินเชริ ต์ จงึ ปะปะอยู่ในหนิ ปูน 3. หนิ ตะกอนอินทรยี ์ (Organic sedimentary rocks) ไดแ้ ก่

ห น้ า | 189 - ถ่านหิน (Coal) เกิดจากการทับถมของซากพืชที่ยังไม่เน่าเป่ือยไปหมดเนื่องจาก สภาวะออกซิเจนต่า สภาวะเช่นน้ีเกิดตามห้วยหนองคลองบึง ในแถบภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร การทับถมทา ให้เกิดการแรงกดดันที่จะระเหยขับไลน่ ้าและสารละลายอ่ืนๆออกไป ย่ิงมีปริมาณคาร์บอนมากข้ึนถ่านหินจะยง่ิ มี สีดา ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินคุณภาพปานกลาง มีมากที่เหมืองแม่เมาะ จ.ลาปาง แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินคณุ ภาพสูง ตอ้ งนาเข้าจากต่างประเทศ หมายเหตุ น้ามันและก๊าซเช้ือเพลิง เกิดจากการทับถมของส่ิงมีชีวิตเล็กๆ ในทะเล เช่น ไดอะตอม (Diatom) และสาหร่ายเซลลเ์ ดียว (Algae) เกดิ ตะกอนใต้มหาสมุทร ตะกอนโคลนเหล่านีข้ าดการไหลถ่ายเทของ น้า การเน่าเปื่อยผพุ ังจึงหยุดสิ้นก่อนเนื่องจากออกซิเจนหมดไป ตะกอนท่ีถูกทับถมไว้ภายใต้ความกดดนั และอุณ ภมู ิสงู เปน็ เวลานานหลายรอ้ ยล้านปจี งึ กลายเปน็ นา้ มนั (Oil) 2.3 หินแปร (Metamorphic rocks) หนิ แปร คือ หินท่แี ปรสภาพไปจากโดยการกระทา ของความร้อน แรงดัน และปฏกิ ิริยาเคมี หินแปรบางชนิดยังแสดงเคา้ เดิม บางชนิดผิดไปจากเดมิ มากจนต้อง อาศยั ดรู ายละเอียดของเนอื้ ใน หรอื สภาพส่ิงแวดล้อมจงึ จะทราบทม่ี า อย่างไรกต็ ามหินแปรชนดิ หนึง่ ๆ จะมี องค์ประกอบเดียวกันกบั หินต้นกาเนิด แต่อาจจะมีการตกผลกึ ของแรใ่ หม่ เช่น หินชนวนแปรมาจากหนิ ดินดาน หินอ่อนแปรมาจากหินปนู เป็นตน้ หินแปรสว่ นใหญเ่ กดิ ข้ึนในระดบั ลกึ ใต้เปลือกโลกหลายกิโลเมตร ท่ซี ่งึ มีความ ดนั สงู และอยู่ใกล้กลบั หินหนดื รอ้ นในช้นั แอสทโี นสเฟียร์ แต่การแปรสภาพในบรเิ วณใกล้พ้ืนผิวโลกเน่ืองจาก สงิ่ แวดลอ้ มโดยรอบ นักธรณีวิทยาแบ่งการแปรสภาพออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เป็นการแปรสภาพเพราะ ความร้อน เกิดขึ้น ณ บริเวณที่หินหนืดหรือลาวาแทรกดันข้ึนมาสัมผัสกับหินท้องที่ ความร้อนและสารจากหิน หนืดหรอื ลาวาทาใหห้ ินท้องท่ีในบรเิ วณน้ันแปรเปลีย่ นสภาพผดิ ไปจากเดมิ เช่น - หนิ อ่อน แปรสภาพมาจากหินปนู เนอื้ ละเอียดถึงหยาบ โดยการแปรสมั ผัส ท่มี ีอณุ หภมู ิสงู จนแรแ่ คลไซต์หลอมละลายและตกผลึกใหม่ ทาปฏกิ ริ ิยากับกรดทาให้เกดิ ฟองฟู่ หินอ่อนใชเ้ ป็นวัสดุ ตกแตง่ อาคาร 2) การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamophic) เป็นการแปรสภาพของ หินซ่ึงเกิดเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลเนื่องจากอุณหภูมิและความกดดัน โดยปกติการเปรสภาพแบบนี้จะไม่มี ความเก่ียวพันกับมวลหินอัคนี และมักจะมี “ร้ิวขนาน” (Foliation) จนแลดูเป็นแถบลายสลับสี บิดย้วยแบบลูก คลื่น ซึ่งพบในหนิ ชสี ต์ หินไนส์ ท้ังนเ้ี ป็นผลมาจากการการตกผลึกใหม่ของแร่ในหนิ ท้งั นร้ี ิ้วขนานอาจจะแยกออก ได้เปน็ แผ่น ๆ และมีผิวหนา้ เรยี บเนยี น เช่น - หินไนซ์ หินแปรเนื้อหยาบ มีร้ิวขนาน หยักคดโค้งไม่สม่าเสมอ สีเข้มและ จางสลับกัน แปรสภาพมาจากหินแกรนิต โดยการแปรสภาพบริเวณไพศาล ที่มีอุณหภูมิสูงจนแร่หลอมละลาย และตกผลึกใหม่ (Recrystallize) - หินควอร์ตไซต์ หินแปรเนื้อละเอียด เน้ือผลึกคล้ายน้าตาลทราย มีสีเทา หรือ สีน้าตาลอ่อน แปรสภาพมาจากหินทราย โดยการแปรสภาพบริเวณไพศาลท่ีมีอุณหภูมิสูงมาก จนแร่ควอรตซ์ หลอมละลายและตกผลึกใหม่ จึงมีความแขง็ แรงมาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook