Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมเล่มค่ายวิทย์

รวมเล่มค่ายวิทย์

Published by bbo_ chaleawkit, 2021-05-17 04:39:55

Description: รวมเล่มค่ายวิทย์

Search

Read the Text Version

ห น้ า | 190 - หินชนวน หินแปรเนื้อละเอียดมาก เกิดจากการแปรสภาพของหินดินดาน ด้วยความร้อนและความกดอัดทาให้แกร่ง และเกิดรอยแยกเป็นแผ่นๆ ขึ้นในตัว โดยรอยแยกน้ีไม่จาเป็นต้องมี ระนาบเหมือนการวางชนั้ หินดนิ ดานเดมิ หนิ ชนวนสามารถแซะเปน็ แผน่ ใหญ่ - หินชีตส์ หินแปรมีเนื้อเป็นแผ่น เกิดจากการแปรสภาพบริเวณไพศาลของ หินชนวน แรงกดดันและความร้อนทาใหผ้ ลกึ แรเ่ รยี งตัวเป็นแผ่นบาง ๆ ขนานกัน ภาพวัฏจักรการเกดิ หนิ ทง้ั สามประเภท บทสรปุ ของวัฏจักรหนิ แมกมาในช้ันแมนเทลิ แทรกตวั ขึ้นสเู่ ปลือกโลก เนอ่ื งจากมอี ุณหภูมิสงู ความหนาแนน่ ต่า แรงดันสงู แมกมาท่ีตกผลึกภายในเปลือกโลกกลายเปน็ หนิ อัคนแี ทรกซอน (มีผลกึ ขนาดใหญ่) ส่วนแมกมาท่ีเยน็ ตวั บนพ้นื ผิว กลายเปน็ หินอัคนพี ุ (มีผลกึ ขนาดเล็ก) หนิ ทุกชนิดเมือ่ ผุพงั สกึ กร่อน จะถูกพัดพาให้เปน็ ตะกอน ทับถม และ กลายเป็นหินตะกอน หินทุกชนิดเมื่อถูกกดดนั หรอื ทาให้รอ้ น เน้ือแรจ่ ะตกผลกึ ใหม่ กลายเปน็ หินแปรหินทุกชนดิ เม่ือหลอมละลาย จะกลายเป็นแมกมา เม่อื มันแทรกตัวขน้ึ สู่เปลือกโลก จะเยน็ ตวั ลงกลายเปน็ หนิ อคั นี แร่ (Mineral) แร่ (Mineral) เป็นสารอนินทรียท์ เี่ กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุ 1 ชนิด หรอื ตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไป เรียงประกอบกันเปน็ รปู ผลึก (ดงั น้ันแร่จงึ มสี ถานะเปน็ ของแข็งเท่านั้น) ตวั อยา่ งเช่น เพชร เป็นแรซ่ ึ่งประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุคารบ์ อน แรค่ วอตซ์ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุซลิ กิ อนและธาตอุ อกซิเจน เนอื่ งจากแร่จงึ มีองคป์ ระกอบทางเคมีคงท่ี จึงมีคุณสมบัตทิ างฟสิ ิกสเ์ ฉพาะตัว เช่น มลี ักษณะ รูปรา่ ง สี ความวาว ความแขง็ รอยแยก และผิวแตก เปน็ ตน้

ห น้ า | 191 แร่ประกอบหิน หนิ คือ มวลของแขง็ ทป่ี ระกอบไปด้วยแร่ชนิดเดยี วกัน หรือหลายชนิดรวมตวั กันอยู่ตามธรรมชาติ เนอ่ื งจากองคป์ ระกอบของเปลือกโลกส่วนใหญเ่ ปน็ สารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ดงั น้นั หนิ สว่ นใหญ่มัก ประกอบดว้ ยแรต่ ระกลู ซลิ ิเกต นอกจากนนั้ ยังมแี รต่ ระกูลคารบ์ อเนต เน่ืองจากบรรยากาศโลกในอดีตสว่ นใหญเ่ ป็น คาร์บอน ไดออกไซด์ นา้ ฝนละลายแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพน้ื ดนิ และ มหาสมทุ ร ส่ิงมชี วี ิตอาศัยคารบ์ อนสร้างธาตอุ าหารและรา่ งกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือก เม่ือ ตายลงทบั ถมกันเปน็ หนิ ตะกอน หนิ ส่วนใหญบ่ นเปลือกโลกจงึ ประกอบด้วยแร่ตา่ ง ๆ ดังนี้ 1. หมูแ่ ร่ซลิ ิเกต ได้แก่ - เฟลด์สปาร์ (Feldspar) เป็นกลุ่มแร่ที่มีมากกว่าร้อยละ 50 ของเปลือกโลกเป็นแร่ท่ีมี มากท่ีสุดในเปลือกโลก และเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของหินหลายชนิด เฟลด์สปาร์มีองค์ประกอบหลักเป็น อะลมู ิเนียมซลิ ิเกต รปู ผลึกหลายชนดิ เม่ือเฟลด์สปาร์ผุพังจะกลายเปน็ อนภุ าคดินเหนยี ว (Clay minerals) - ควอตซ์ (SiO2) เป็นซิลิกอนไดออกไซต์บริสุทธ์ิมีรูปผลึกทรงหกเหล่ียมยอดแหลม (ชาวบา้ นเรียกว่า หินเขย้ี วหนมุ าน) มมี ากเป็นลาดบั ท่ีสองรองจากเฟลด์สปาร์ พบได้ท่วั ไปในเแผ่นธรณีทวปี แต่หา ได้ยากในแผ่นทวีปมหาสมุทรและแมนเทิล เมื่อควอตซ์ผุพังจะกลายเป็นอนุภาคทราย (Sand) ควอตซ์มีความ แข็งแรงมาก สามารถขูดแกว้ เป็นรอย - ไมกา (Mica) เป็นกลุ่มแร่ซ่ึงมีรูปผลึกเป็นแผ่นบาง มีองค์ประกอบเป็นอะลูมิเนียมซิลิ เกตไฮดรอกไซด์ มีอยู่ท่ัวไปในเปลือกทวีป ไมกามีโครงสร้างเดียวกับแร่ดินเหนียว (Clay mineral) ซึ่งเป็น องคป์ ระกอบสาคัญของดนิ - แอมฟิโบล (Amphibole group) มีลักษณะคล้ายเฟลด์สปาร์ แต่มีสีเข้ม มีองค์ ประกอบเป็นอะลูมิเนียมซิลิเกตไฮดรอกไซด์ที่มีแมกนีเซียม เหล็ก หรือแคลเซียมเจือปนอยู่ มีอยู่แต่ในเปลือกทวปี ตวั อย่างของกลมุ่ แอมฟโิ บลท่ีพบเห็นทว่ั ไปคือ แรฮ่ อรน์ แบลนด์ ซ่งึ อยูใ่ นแกรนติ - ไพรอกซีน (Pyroxene group) มีสีเข้ม มีองค์ประกอบท่ีเป็นแมกนีเซียมและเหล็กซิ ลิเกตอยู่มาก มลี ักษณะคล้ายแอมฟโิ บล มอี ยู่แต่ในเปลือกโลกมหาสมุทร 2. หมแู่ รค่ ารบ์ อเนต ได้แก่ - แคลไซต์ (Calcite) เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เป็นองค์ประกอบหลักของ หินปูนและหินอ่อน โดโลไมต์ (Dolomite) ซึ่งเป็นแร่คาร์บอเนตอีกประเภทหน่ึงที่มีแมงกานีสผสมอยู่ CaMg (CO3) 2 หมูแ่ ร่คาร์บอเนตทาปฎิกิริยากบั กรดเปน็ ฟองฟูใ่ หแ้ ก๊สคาร์บอนไดออกไซตอ์ อกมา

ห น้ า | 192 ใบความร้สู าหรบั ผ้รู บั บริการ เรือ่ ง กาเนดิ โลก เม่อื ประมาณ 4,600 ลา้ นปมี าแลว้ กลุ่มกา๊ ซในเอกภพบริเวณน้ี ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลงิ มชี อ่ื ว่า “โซ ลารเ์ นบิวลา” (Solar แปลว่า สรุ ยิ ะ, Nebula แปลว่า หมอกเพลงิ ) แรงโนม้ ถ่วงทาให้กลุ่มก๊าซยบุ ตวั และหมุนตัว เป็นรปู จาน ใจกลางมีความรอ้ นสงู เกิดปฏิกิรยิ านิวเคลียรแ์ บบฟิวชนั่ กลายเป็นดาวฤกษท์ ี่ชอื่ ว่าดวงอาทติ ย์ สว่ น วัสดุท่ีอยรู่ อบ ๆ มีอุณหภมู ติ ่ากวา่ รวมตัวเปน็ กลุม่ ๆ มีมวลสารและความหนาแนน่ มากข้ึนเป็นช้นั ๆ และ กลายเป็นดาวเคราะหใ์ นที่สุด ภาพกาเนดิ ระบบสุริยะ โลกในยุคแรกเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่าชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุ หนัก เช่น เหล็ก และนิเกิล จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก ขณะท่ีองค์ประกอบซ่ึงเป็นธาตุเบา เช่น ซิลิกอน ลอยตัว ข้ึนสู่เปลือกนอก ก๊าซต่าง ๆ เช่น ไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามแทรกตัวออกจากพ้ืนผิว ก๊าซ ไฮโดรเจนถูกลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ทาลายให้แตกเป็นประจุ ส่วนหนึ่งหลุดหนีออกสู่อวกาศ อีกส่วนหนึ่งรวมตัว กับออกซิเจนกลายเป็นไอน้า เม่ือโลกเย็นลง เปลือกนอกตกผลึกเป็นของแข็ง ไอน้าในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้าฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร สองพันล้านปีต่อมาการ ววิ ัฒนาการของสิง่ มีชีวิต ไดน้ าคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการสงั เคราะห์แสง เพือ่ สร้างพลงั งาน และใหผ้ ลผลิตเปน็ ก๊าซออกซิเจน ก๊าซออกซิเจนท่ีลอยขึ้นสู่ช้ันบรรยากาศช้ันบน แตกตัวและรวมตัวเป็นก๊าซโอโซน ซึ่งช่วยป้องกัน อันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเล็ต ทาให้ส่ิงมีชีวิตมากขึ้น และปริมาณของออกซิเจนมากขึ้นอีก ออกซิเจนจึงมี บทบาทสาคัญต่อการเปลี่ยนแปลงบนพ้นื ผิวโลกในเวลาต่อมา ดงั ภาพที่ 1 ภาพกาเนดิ ระบบสรุ ิยะ

ห น้ า | 193 โครงสร้างและส่วนประกอบของโลก เปลอื กโลก (crust) เปน็ ชั้นนอกสดุ ของโลกท่ีมคี วามหนาประมาณ 60-70 กิโลเมตร ซงึ่ ถือว่าเป็นชัน้ ท่ีบาง ทีส่ ดุ เมื่อเปรียบกบั ช้นั อน่ื ๆ เสมอื นเปลอื กไขไ่ กห่ รือเปลือกหวั หอม เปลอื กโลกประกอบไปดว้ ยแผ่นดนิ และแผ่นนา้ ซง่ึ เปลอื กโลกส่วนทีบ่ างท่ีสุดคือสว่ นที่อยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนเปลือกโลกท่ีหนาทีส่ ุดคือเปลือกโลกสว่ นทีร่ องรับทวีปท่ี มเี ทอื กเขาที่สงู ท่สี ดุ อยดู่ ว้ ย นอกจากนเ้ี ปลือกโลกยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชัน้ คือ ชนั้ ทีห่ น่งึ : ช้นั หนิ ไซอลั (sial) เปน็ เปลอื กโลกช้นั บนสดุ ประกอบด้วยแรซ่ ิลิกาและอะลูมินาซึง่ เปน็ หนิ แกรนติ ชนดิ หนึ่ง สาหรับบริเวณผิวของช้ันน้ีจะเป็นหินตะกอน ชน้ั หินไซอลั น้ีมเี ฉพาะเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวปี เทา่ นั้น สว่ นเปลอื กโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรจะไม่มีหนิ ชั้นนี้ ชน้ั ทีส่ อง: ชนั้ หนิ ไซมา (sima) เปน็ ช้นั ทอี่ ยใู่ ตห้ ินชัน้ ไซอัลลงไป สว่ นใหญเ่ ปน็ หนิ บะซอลต์ประกอบด้วยแร่ ซิลิกา เหลก็ ออกไซด์และแมกนีเซยี ม ช้ันหนิ ไซมาน้ีห่อห้มุ ท่ัวทัง้ พื้นโลกอยู่ในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งตา่ งจากหินชั้น ไซอลั ท่ีปกคลุมเฉพาะสว่ นทเี่ ปน็ ทวปี และยังมีความหนาแนน่ มากกว่าชั้นหนิ ไซอัล ภาพโครงสรา้ งภายในของโลก แมนเทลิ แมนเทิล (mantle หรอื Earth’s mantle) คือชั้นทอี่ ย่ถู ัดจากเปลือกโลกลงไป มีความหนาประมาณ 3,000 กโิ ลเมตร บางส่วนของหินอยใู่ นสถานะหลอมเหลว เรียกวา่ หินหนืด (Magma) ทาใหช้ ั้นแมนเทิลนีม้ ีความ ร้อนสูงมาก เน่ืองจากหนิ หนดื มีอุณหภูมิประมาณ 800 – 4300 °C ซงึ่ ประกอบดว้ ยหินอัคนเี ปน็ สว่ นใหญ่ เช่น หนิ อัลตราเบสิก หนิ เพริโดไลต์ แกน่ โลก ความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลย่ี คือ 5,515 กก./ลบ.ม. ทาใหม้ นั เป็นดาวเคราะห์ทีห่ นาแน่นทส่ี ดุ ใน ระบบสรุ ยิ ะ แต่ถา้ วัดเฉพาะความหนาแน่นเฉลีย่ ของพื้นผวิ โลกแล้ววดั ไดเ้ พียงแค่ 3,000 กก./ลบ.ม. เท่าน้ัน ซึ่งทา ใหเ้ กิดข้อสรุปวา่ ตอ้ งมีวัตถอุ ่ืน ๆ ที่หนาแนน่ กว่าอยู่ในแก่นโลกแน่นอน ระหว่างการเกิดขึน้ ของโลก ประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแลว้ การหลอมละลายอาจทาให้เกดิ สสารทีม่ คี วามหนาแนน่ มากกวา่ ไหลเข้าไปใน แกนกลางของ โลก ในขณะท่ีสสารทม่ี ีความหนาแน่นน้อยกว่าคลุมเปลือกโลกอยู่ ซึ่งทาให้แก่นโลก (core) มี องค์ประกอบเปน็ ธาตุเหล็กถึง 80%, รวมถงึ นกิ เกิลและธาตุทม่ี นี า้ หนักทีเ่ บากว่าอน่ื ๆ แต่ในขณะทีส่ สารทม่ี ีความ หนาแน่นสูงอื่น ๆ เช่นตะกั่วและยเู รเนียม มีอย่นู ้อย

ห น้ า | 194 เกินกว่าที่จะผสานรวมเขา้ กับธาตุทีเ่ บากวา่ ได้ และทาใหส้ สารเหลา่ นั้นคงท่ีอยู่บนเปลอื กโลก แก่นโลกแบ่งได้ ออกเปน็ 2 ชนั้ ไดแ้ ก่ แก่นโลกชนั้ นอก (outer core) มีความหนาจากผวิ โลกประมาณ 2,900 – 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตเุ หลก็ และนิกเกิลในสภาพทหี่ ลอมละลาย และมคี วามร้อนสงู มีอุณหภูมิประมาณ 6200 – 6400 มีความหนาแนน่ สัมพัทธ์12.0 และส่วนน้มี ีสถานะเป็นของเหลว แก่นโลกชนั้ ใน (inner core) เป็น สว่ นท่ีอยใู่ จกลางโลกพอดี มีรัศมีประมาณ 1,000 กิโลเมตร มี อุณหภมู ิประมาณ4,300–6,200 และมีความกดดันมหาศาล ทาให้ส่วนนี้จงึ มสี ถานะเป็นของแข็ง ประกอบดว้ ยธาตุ เหล็กและนิกเกลิ ท่ีอยใู่ นสภาพที่เป็นของแขง็ มคี วามหนาแน่นสัมพัทธ์ การเปล่ียนแปลงของเปลือกโลก เปลือกโลกมิได้เป็นแผน่ เดยี วต่อเนือ่ งตดิ กนั ดังเช่นเปลอื กไข่ หากแตเ่ หมือนเปลือกไขแ่ ตกร้าว มีแผน่ หลาย แผน่ เรยี งชดิ ติดกันเรียกวา่ “เพลต” (Plate) ซ่ึงมีอย่ปู ระมาณ 20 เพลต เพลตที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่ เพลตแปซิฟกิ เพลตอเมรกิ าเหนือ เพลตอเมริกาใต้ เพลตยูเรเซีย เพลตแอฟรกิ า เพลตอนิ โด-ออสเตรเลีย และเพลตแอนตาร์กตกิ เปน็ ต้น เพลตแปซิฟิกเป็นเพลตทใ่ี หญท่ สี่ ดุ และไมม่ ีเปลือกทวปี กินอาณาเขตหนึ่งในสามของพ้นื ผิวโลก เพลตทุก เพลตเคลอ่ื นตวั เปลีย่ นแปลงขนาดและรูปร่างอยตู่ ลอดเวลา ภาพการเคลอื่ นตัวของเพลต เพลตประกอบด้วยเปลือกทวีปและเปลือกมหาสมทุ รวางตวั อยบู่ นแมนเทลิ ช้ันบนสุด ซึง่ เปน็ ของแขง็ ในชั้น ลิโทสเฟียร์ ลอยอยู่บนหินหนืดร้อนในช้ันแอสทีโนสเฟียร์อีกทีหนึ่ง หินหนืด (Magma) เป็นวัสดุเนื้ออ่อนเคล่ือนที่ หมุนเวียนด้วยการพาความร้อนภายในโลก คล้ายการเคลื่อนตัวของน้าเดือดในกาต้มน้า การเคลื่อนตัวของวัสดุใน ชั้นแอสทีโนสเฟียร์ทาให้เกิดการเคลื่อนตัวเพลต (ดูภาพที่ 27) เราเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า “ธรณีแปรสัณฐาน” หรอื “เพลตเทคโทนิคส์” (Plate Tectonics) การพาความร้อนจากภายในของโลกทาให้วัสดุในช้ันแอสทีโนสเฟียร์ (Convection cell) ลอยตัวดันพื้น มหาสมุทรขึ้นมากลายเป็น “สันกลางมหาสมุทร” (Mid-ocean ridge) หินหนืดร้อนหรือแมกม่าซึ่งโผลข้ึนมาผลัก พ้ืนมหาสมุทรให้เคลื่อนที่ขยายตัวออกทางข้าง เนื่องจากเปลือกมหาสมุทรมีความหนาแน่มากกว่าเปลือกทวีป ดงั นั้นเม่อื

ห น้ า | 195 เปลือกมหาสมุทรชนกับเปลือกทวีป เปลือกมหาสมุทรจะมุดตัวต่าลงกลายเป็น “เหวมหาสมุทร” (Trench) และ หลอมละลายในแมนเทลิ อีกครง้ั หนึ่ง มวลหินหนืดท่ีเกิดจากการรไี ซเคลิ ของเปลือกมหาสมุทรท่จี มตวั ลง เรียกวา่ “พลตู อน” (Pluton) มีความ หนาแนน่ น้อยกวา่ เปลือกทวีป จึงลอยตัวแทรกขึ้นมาเป็นแนวภูเขาไฟ เช่น เทอื กเขาแอนดีสทางฝัง่ ตะวันตกของ ทวีปอเมรกิ าใต้ รอยตอ่ ของขอบเพลต (แผน่ เปลือกโลก) - เพลตแยกจากกัน (Divergent) เมื่อแมกม่าในช้ันแอสทีโนสเฟียร์ดันตัวขึ้น ทาให้เพลตจะขยายตัวออก จากกัน แนวเพลตแยกจากกันส่วนมากเกิดขึ้นในบรเิ วณสนั กลางมหาสมุทร (ภาพที่ 28) - เพลตชนกัน (Convergent) เมื่อเพลตเคล่ือนที่เข้าชนกัน เพลตที่มีความหนาแน่นสูงกว่าจะมุดตัวลง และหลอมละลายในแมนเทิล ส่วนเพลตท่ีมีความหนาแน่นน้อยกว่าจะถูกเกยสูงข้ึนกลายเป็นเทือกเขา เช่น เทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการชนกันของเพลตอินเดียและเพลตเอเชยี เทือกเขาแอพพาเลเชียน เกิดจากการชนกนั ของเพลตอเมรกิ าเหนือกบั เพลตแอฟรกิ า - รอยเลื่อน (Transform fault) เป็นรอยเล่ือนขนาดใหญ่ มักเกิดขึ้นในบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นบริเวณชายฝ่ัง เช่น รอยเลื่อนแอนเดรียส์ ที่ทาให้เกิดแผ่นดินไหวในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา เกดิ จากการเคลือ่ นทส่ี วนกันของเพลตอเมริกาเหนือและเพลตแปซิฟิก ภาพรอยตอ่ ของเพลต ผลท่ีเกดิ จากการเปลย่ี นแปลงของเปลือกโล)ก เมือ่ ภมู ปิ ระเทศเปล่ยี นแปลง เช่น เกิดแผ่นดนิ ไหวอย่างรนุ แรง เกดิ ภูเขาไฟระเบิด ผิวโลกบางส่วนอาจ แยกตัวออก บางส่วนอาจเกดิ การถล่มถลายและยุบตัวลง หนิ หนืดที่ไหลออกจากปลอ่ งภูเขาไฟกจ็ ะเผาไหมส้ ิง่ ต่าง ๆ ที่อยู่ในบรเิ วณท่ีหนิ หนืดน้ันไหลผ่าน ผลการศึกษาทางธรณวี ิทยาทาใหเ้ ราทราบว่าโลกกาลงั เปล่ียนแปลงตลอดเวลาก่อใหเ้ กิดความเดือดร้อน แกม่ นุษย์และสิง่ มชี วี ติ อ่นื ได้อย่างรวดเรว็ เราจาเปน็ ตอ้ งศึกษาและทาความเข้าใจกับกระบวนการเปล่ยี นแปลง ของเปลือกโลกเพ่อื จะได้เตรียมท่จี ะรับการเปลี่ยนแปลงของเปลอื กโลกทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต

ห น้ า | 196 ใบความรสู้ าหรับผู้รับบริการ เร่อื ง หินและการจาแนกหนิ หนิ (Rocks) หิน คอื มวลของแข็งทป่ี ระกอบไปด้วยแรช่ นิดเดยี วกนั หรือหลายชนิดรวมตัวกนั อยตู่ ามธรรมชาตเิ น่ืองจาก องค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ดังน้ันเปลือกโลก ส่วนใหญ่มัก เป็นแร่ตระกูลซิลิเกต นอกจากน้ันยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็น คาร์บอนไดออกไซด์ น้าฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิง่ มีชวี ติ อาศัยคาร์บอนสร้างธาตอุ าหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซลิ ิกาสร้างเปลือก เมื่อตายลงทับถม กนั เป็นตะกอน หนิ ส่วนใหญ่บนเปลอื กโลกจงึ ประกอบดว้ ยแร่ต่าง ๆ 1. วัฎจักรหิน นักธรณีวิทยาแบ่งหินออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการเกิดคือ หินอัคนี หิน ตะกอน และหินแปร เม่ือหินหนืดร้อนภายในโลก (Magma) และ หินหนืดร้อนบนพ้ืนผิวโลก (Lava) เย็นตัวลง กลายเป็น “หินอัคนี” ลมฟ้าอากาศ น้า และแสงแดด ทาให้หินผุพังสึกกร่อนเป็นตะกอน ทับถมกันเป็นเวลานาน หลายล้านปี แรงดันและปฏิกิริยาเคมีทาให้เกิดการรวมตัวเป็น “หินตะกอน” หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “หิน ช้ัน” การเปล่ียนแปลงของเปลือกโลกและความร้อนจากแมนเทิลข้างล่าง ทาให้เกิดการแปรสภาพเป็น “หิน แปร” กระบวนการเหล่าน้ีเกิดขึ้นเป็นวงรอบเรียกว่า “วัฏจักรหิน” (Rock cycle) อย่างไรก็ตามกระบวนการไม่ จาเป็นต้องเรียงลาดับ หินอัคนี หินชั้น และหินแปร การเปล่ียนแปลงประเภทหินอาจเกิดขึ้นย้อนกลับไปมาได้ ข้นึ อยู่กบั ปจั จยั แวดล้อม ตามทีแ่ สดงในภาพท่ี 31 ภาพวฏั จกั รหนิ 2. ประเภทของหิน นักธรณีวทิ ยาแบง่ หนิ ออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการเกิดคอื หินอัคนี หนิ ตะกอน และหินแปร รายละเอียดดังน้ี 2.1 หินอัคนี (Igneous rocks) หนิ อัคนี เป็นหนิ ที่เกิดจากการแขง็ ตวั ของหินหนดื (Magma) จากชัน้ แมนเทิลทโ่ี ผล่ขึ้นมา เราแบง่ หนิ อคั นตี ามแหลง่ ท่ีมาออกเป็น 2 ประเภท คอื (1) หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เป็นหินที่เกดิ จากหินหนดื ทเ่ี ยน็ ตัว ลงภายในเปลอื กโลกอย่างชา้ ๆ ทาให้ผลกึ แรม่ ีขนาดใหญ่ และเนอ้ื หยาบ ได้แก่

ห น้ า | 197 - หินแกรนิต (Granite) เป็นหินอัคนีแทรกซอนท่ีเย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอย่างช้า ๆ จึงมีเนื้อหยาบ ซ่งึ ประกอบดว้ ยผลกึ ขนาดใหญ่ของแร่ควอตซ์สีเทาใส แรเ่ ฟลดส์ ปารส์ ีขาวขนุ่ และแรฮ่ อร์น เบ ลนด์ หนิ แกรนติ แขง็ แรงมาก ชาวบา้ นใช้ทาครก เช่น ครกอา่ งศิลา ภเู ขาหินแกรนิตมักเตีย้ และมียอดมน เนือ่ งจาก เปลอื กโลกซ่งึ เคยอย่ชู น้ั บนสกึ กร่อนผุพงั เผยให้เหน็ แหล่งหินแกรนิตซ่ึงอยู่เบอ้ื งลา่ ง - หินไดออไรต์ (Diorite) เป็นหินอัคนีแทรกซอน กาเนิดอยู่ใต้ผิวโลกเกิดจากหินหนืด เย็นตัวเป็นหินอยู่ใต้พืน้ ผิวโลก เนอื้ หยาบ ผลึกแรใ่ หญค่ ่อนขา้ งสม่าเสมอ มีสีคล้าอาจถึงดาเพราะปรมิ าณแรส่ ีเข้มมี มากข้ึนใช้เป็นหินก่อสร้างแทนหินแกรนิต เพราะว่ามีค่ากาลังวัสดุสูง เนื้อหยาบ ความพรุนต่า มีการยึดติดกับยาง มะตอยสูง - หินแกบโบร (Gabbro) เป็นหินอัคนีบาดาลสีเข้มถึงดา และประกอบด้วยแร่ไพรอก ซีน (Pyroxene;สีดาเส้ียนสั้น) แร่ฟันม้าชนิดแพลจิโอเคลส(Plagioclase) เป็นส่วนใหญ่และอาจมีแร่โอลิ-วีน (Olivine;สีเขียวใส) อยู่บ้าง พบไม่มากนักบนเปลือกโลกส่วนทวีป แต่จะพบอยู่มากในส่วนล่างของเปลือกสมุทร (Oceanic crust) เมืองไทยพบอยนู่ อ้ ยมากเป็นแนวเทอื กเขาเตี้ย ๆ - หินเพริโดไทต์ (Peridotite) หินชนิดนี้เป็นหินต้นกาเนิดของเพชร โดยมากประกอบ ไปด้วยแร่จาพวกไพร็อกซินและออลิวิน หินดูไนต์ (Dunite) ประกอบไปด้วยแร่ออลิวันเกือบท้ังหมดมีคุณสมบัติ ทางเคมีคือเปน็ ด่างจัดมาก ภาพแหล่งกาเนดิ หิน (2) หนิ อัคนีพุ (Extrusive ingneous rocks) บางทีเรยี กว่า หินภูเขาไฟ เป็นหนิ หนืดที่ เกดิ จากลาวาบนพน้ื ผวิ โลกเย็นตวั อย่างรวดเรว็ ทาให้ผลกึ มีขนาดเลก็ และเนอื้ ละเอยี ด ได้แก่ - หินบะซอลต์ (Basalt) เป็นหนิ อคั นพี ุ เนือ้ ละเอียด เกิดจากการเยน็ ตัวของลาวา มีสี เข้มเน่ืองจากประกอบด้วยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแร่โอลิวีนปนมาด้วย เนื่องจากเกิดขึ้นจากแมกมาใต้ เปลือกโลก หนิ บะซอลตห์ ลายแหง่ ในประเทศไทยเปน็ แหลง่ กาเนิดของอัญมณี (พลอยชนดิ ต่างๆ) เน่ืองจากแมกมา ดันผลึกแร่ซ่งึ อยลู่ กึ ใตเ้ ปลือกโลก ใหโ้ ผล่ข้ึนมาเหนือพ้ืนผวิ - หินไรโอไลต์ (Ryolite) เป็นหินอัคนีพุซึ่งเกิดจากการเย็นตวั ของลาวา มเี นื้อละเอียด ซึ่งประกอบด้วยผลึกแร่ขนาดเล็ก มีแร่องค์ประกอบเหมือนกับหินแกรนิต แต่ทว่าผลึกเล็กมากจนไม่สามารถ มองเหน็ ได้ สว่ นมากมสี ชี มพู และสีเหลือง

ห น้ า | 198 - หนิ แอนดีไซต์ (Andesite) เป็นหินอัคนีพุซึ่งเกิดจากการเยน็ ตวั ของลาวาในลักษณะ เดยี วกบั หนิ ไรโอไรต์ แตม่ ีองค์ประกอบของแมกนีเซียมและเหลก็ มากกวา่ จงึ มีสเี ขยี วเขม้ - หินพมั มิซ (Pumice) เป็นหนิ แกว้ ภูเขาไฟชนดิ หน่ึงซึ่งมีฟองก๊าซเล็กๆ อยู่ในเนื้อ มากมายจนโพรกคล้ายฟองน้า มีสว่ นประกอบเหมอื นหนิ ไรโอไลต์ มนี ้าหนักเบา ลอยน้าได้ ชาวบ้านเรียกว่า หินส้ม ใชข้ ดั ถูภาชนะทาให้มผี ิววาว - หินออบซเิ ดียน (Obsedian) เป็นหนิ แก้วภูเขาไฟซึง่ เยน็ ตวั เรว็ มากจนผลึกมขี นาด เลก็ มาก เหมือนเน้ือแกว้ สดี า หนิ ออบซิเดียน 2.2 หนิ ตะกอน (Sedimentary rocks) แม้วา่ หนิ จะเปน็ ของแข็ง แต่มันก็ไมส่ ามารถดารง อยไู่ ด้อยา่ งถาวร หนิ เมื่อถกู แสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้า หรอื ถูกกระแทก ก็แตกเป็นก้อนเลก็ ๆ หรือผุกร่อน เสอ่ื มสภาพลง เศษหนิ ที่ผพุ ังทั้งอนภุ าคใหญ่และเลก็ ถูกพัดพาไปสะสมอัดตวั กัน เป็นชน้ั ๆ เกิดความกดดันและ ปฏกิ ริ ิยาเคมีจนกลับกลายเป็นหนิ อีกคร้ัง หนิ ท่เี กิดใหม่นเี้ ราเรยี กว่า “หนิ ตะกอน” หรือ “หินชน้ั ”ปจั จยั ท่ที าให้ เกิดหินตะกอนหรือหนิ ชน้ั มีดังตอ่ ไปนี้ - การผุพัง (Weathering) คือ การท่ีหินผุพงั ทาลายลง (อยกู่ ับท)ี่ ด้วยกรรมวิธีตา่ งๆ จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมท้งั การกระทาของต้นไม้ แบคทเี รยี ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ มี การเพ่ิมอุณหภมู ิและลดอณุ หภมู ิสลับกนั เปน็ ตน้ - การกรอ่ น (Erosion) หมายถงึ กระบวนการทท่ี าให้สารเปลือกโลกหลดุ ละลายไป หรือกร่อนไป (โดยมีการเคลื่อนทก่ี ระจดั กระจายไปจากที่เดิม) โดยมตี น้ เหตคุ ือตัวการธรรมชาติ ซง่ึ ได้แก่ ลมฟ้า อากาศ กระแสน้า ธารน้าแข็ง การครูดถู ภายใต้อทิ ธิพลของแรงโน้มถ่วง - การพัดพา (Transportation) หมายถึง การเคลอื่ นที่ของมวลหนิ ดิน ทราย โดย กระแสน้า กระแสลม หรือธารน้าแขง็ ภายใตแ้ รงดึงดูดของโลก อนภุ าคขนาดเล็กจะถูกพัดพาให้เคลื่อนท่ีไปได้ไกล กว่าอนุภาคขนาดใหญ่ ภาพการคัดขนาดตะกอนด้วยการพัดพาของน้า - การทับถม (Deposit) เกิดขึ้นเม่ือตวั กลางซ่งึ ทาใหเ้ กิดการพดั พา เช่น กระแสน้า กระแสลม หรอื ธารนา้ แขง็ อ่อนกาลังลงและยตุ ิลง ตะกอนท่ีถกู พดั พาจะสะสมตวั ทบั ถมกนั ทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลงทางอุณหภูมิ ความกดดนั ปฏิกิรยิ าเคมี และเกิดการตกผลกึ หนิ ตะกอนทอี่ ยูช่ ้นั ลา่ งจะมคี วาม หนาแนน่ สูงและมีเนื้อละเอยี ดกวา่ ช้นั บน เน่ืองจากแรงกดดันซ่ึงเกิดขึน้ จากนา้ หนักตวั ทับถมกนั เป็นชนั้ ๆ (หมาย

ห น้ า | 199 เหต:ุ การทบั ถมบางคร้งั เกิดจากการระเหยของสารละลาย ส่วนที่เป็นน้าระเหยไปในอากาศทิง้ สารที่เหลือให้ตก ผลึกไว้เช่นเดียวกับการทานาเกลือ) - การกลบั คนื เปน็ หิน (Lithification) เมอ่ื เศษตะกอนทบั ถมกันจะเกิดโพรงขึ้นประมาณ 20 – 40% ของเนือ้ ตะกอน นา้ พาสารละลายเข้ามาแทนที่อากาศในโพรง เมอื่ เกิดการทับถมกันจนมีน้าหนักมาก ข้ึน เนื้อตะกอนจะถูกทาให้เรียงชิดติดกันทาให้โพรงจะมีขนาดเล็กลง จนน้าท่ีเคยมีอยู่ถูกขับไล่ออกไป สารท่ี ตกคา้ งอยทู่ าหน้าทเี่ ป็นซเี มนต์เช่อื มตะกอนเข้าด้วยกันกลับเปน็ หนิ อกี ครง้ั ภาพขนั้ ตอนท่ตี ะกอนกลับคนื เปน็ หิน นกั ธรณีวิทยาจาแนกหนิ ตะกอนตามลกั ษณะการเกิดออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1 หินตะกอนอนุภาค (Clastic rocks) ได้แก่ - หินกรวดมน (Congromorate) เป็นหินเนื้อหยาบเกิดจากตะกอนซึ่งเป็นหิน กรวด ทราย ที่ถูกกระแสน้าพัดพามาอยู่รวมกัน สารละลายในน้าใต้ดินทาตัวเป็นซิเมนต์ประสานให้อนุภาคใหญ่เล็ก เหลา่ น้ี เกาะตัวกันเปน็ ก้อนหนิ - หินทราย (Sandstone) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดปานกลาง เกิดจากการทับถมตัว ของทราย มอี งค์ประกอบหลกั เปน็ แร่ควอรตซ์ คนโบราณใช้หนิ ทรายแกะสลัก สรา้ งปราสาท และทาหนิ ลับมดี - หินดินดาน (Shale) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดมาก เนื่องจากประกอบด้วยอนุภาค ทรายแปง้ และอนภุ าคดนิ เหนียวทบั ถมกันเปน็ ชน้ั บาง ๆ ขนานกนั เมอ่ื ทบุ หนิ จะแตกตวั ตามรอยชนั้ (ฟอสซิลมีอยู่ ในหินดนิ ดาน) ดนิ เหนียวที่เกดิ ดินดานใช้ทาเครอื่ งป้ันดินเผา 2. หินตะกอนเคมี (Chemical sedimentary rocks) ได้แก่ - หินปูน (Limestone) เป็นหินตะกอนคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของตะกอน คาร์บอเนตในท้องทะเล ทั้งจากสารอนินทรีย์ และซากส่ิงมีชีวิต เช่น ปะการัง และกระดองของสัตว์ทะเล ซ่ึงถับ ถมกันภายใต้ความกดดันและตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์จึงทาปฏิกิริยากับกรด หินปูนใช้ทาเป็นปูนซิเมนต์ และ ใชใ้ นการก่อสรา้ ง - หินเชิร์ต (Chert) หินตะกอนเนื้อแน่น แข็ง เกิดจากการตกผลึกใหม่ เน่ืองจากน้าพา สารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทาให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เนื้อหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้ท้องทะเล เนอ่ื งจากแพลงตอนท่ีมเี ปลือกเปน็ ซิลิกาตายลง เปลอื กของมนั จะจมลงทบั ถมกัน หินเชิรต์ จึงปะปะอยูใ่ นหนิ ปนู 3. หินตะกอนอินทรยี ์ (Organic sedimentary rocks) ได้แก่

ห น้ า | 200 - ถ่านหนิ (Coal) เกิดจากการทบั ถมของซากพืชทย่ี งั ไม่เน่าเปื่อยไปหมดเนอ่ื งจาก สภาวะออกซเิ จนตา่ สภาวะเชน่ นเ้ี กดิ ตามหว้ ยหนองคลองบึง ในแถบภูมิอากาศแบบเสน้ ศูนยส์ ูตร การทับถมทา ใหเ้ กดิ การแรงกดดนั ทีจ่ ะระเหยขบั ไลน่ ้าและสารละลายอ่ืนๆออกไป ยง่ิ มีปริมาณคารบ์ อนมากข้ึนถ่านหนิ จะยิ่งมี สดี า ลิกไนต์ (Lignite) เปน็ ถ่านหินคุณภาพปานกลาง มมี ากท่เี หมอื งแม่เมาะ จ.ลาปาง แอนทราไซต์ (Anthracite) เปน็ ถ่านหนิ คุณภาพสูง ตอ้ งนาเข้าจากตา่ งประเทศ หมายเหตุ นา้ มันและกา๊ ซเช้ือเพลงิ เกดิ จากการทบั ถมของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในทะเล เช่น ไดอะตอม (Diatom) และสาหรา่ ยเซลล์เดยี ว (Algae) เกดิ ตะกอนใต้มหาสมุทร ตะกอนโคลนเหลา่ นี้ขาดการไหลถา่ ยเทของ น้า การเน่าเปื่อยผุพงั จึงหยุดส้ินก่อนเนื่องจากออกซเิ จนหมดไป ตะกอนทถ่ี ูกทับถมไว้ภายใตค้ วามกดดันและอณุ ภมู ิสูง เปน็ เวลานานหลายร้อยลา้ นปจี งึ กลายเป็นนา้ มนั (Oil) 3. หนิ แปร (Metamorphic rocks) หินแปร คือ หินทแ่ี ปรสภาพไปจากโดยการกระทา ของความรอ้ น แรงดนั และปฏิกิรยิ าเคมี หินแปรบางชนดิ ยังแสดงเคา้ เดิม บางชนดิ ผดิ ไปจากเดิมมากจนต้อง อาศยั ดูรายละเอียดของเนอื้ ใน หรือสภาพสิง่ แวดล้อมจงึ จะทราบทม่ี า อยา่ งไรกต็ ามหินแปรชนดิ หนึง่ ๆ จะมี องค์ประกอบเดยี วกันกับหนิ ต้นกาเนดิ แต่อาจจะมกี ารตกผลึกของแรใ่ หม่ เช่น หนิ ชนวนแปรมาจากหินดินดาน หินออ่ นแปรมาจากหนิ ปูน เป็นตน้ หินแปรสว่ นใหญเ่ กิดข้ึนในระดับลึกใตเ้ ปลอื กโลกหลายกิโลเมตร ทซี่ ึ่งมีความ ดนั สูงและอยู่ใกล้กลบั หนิ หนดื รอ้ นในชนั้ แอสทีโนสเฟยี ร์ แต่การแปรสภาพในบริเวณใกล้พ้ืนผิวโลกเน่ืองจาก สงิ่ แวดล้อมโดยรอบ นกั ธรณวี ิทยาแบ่งการแปรสภาพออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) การแปรสภาพสมั ผสั (Contact metamorphism) เปน็ การแปรสภาพเพราะ ความรอ้ น เกิดขน้ึ ณ บรเิ วณที่หนิ หนดื หรอื ลาวาแทรกดนั ขนึ้ มาสมั ผสั กบั หนิ ท้องท่ี ความรอ้ นและสารจากหิน หนดื หรอื ลาวาทาให้หินท้องที่ในบริเวณน้นั แปรเปลย่ี นสภาพผดิ ไปจากเดมิ เช่น - หนิ อ่อน แปรสภาพมาจากหินปูน เนื้อละเอยี ดถึงหยาบ โดยการแปรสัมผัส ที่มอี ุณหภูมิสงู จนแรแ่ คลไซต์หลอมละลายและตกผลึกใหม่ ทาปฏกิ ิรยิ ากบั กรดทาให้เกดิ ฟองฟู่ หนิ อ่อนใช้เปน็ วสั ดุตกแต่งอาคาร 2) การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamophic) เป็นการแปรสภาพของ หินซงึ่ เกดิ เป็นบรเิ วณกว้างใหญไ่ พศาลเนือ่ งจากอุณหภมู แิ ละความกดดัน โดยปกติการเปรสภาพแบบนี้จะไม่มี ความเกี่ยวพันกบั มวลหินอัคนี และมกั จะมี “รว้ิ ขนาน” (Foliation) จนแลดูเปน็ แถบลายสลับสี บดิ ยว้ ยแบบลกู คลืน่ ซ่งึ พบในหินชีสต์ หนิ ไนส์ ทั้งนเ้ี ปน็ ผลมาจากการการตกผลึกใหม่ของแรใ่ นหนิ ทั้งน้ีริ้วขนานอาจจะแยกออก ไดเ้ ป็นแผน่ ๆ และมีผวิ หนา้ เรยี บเนยี น เช่น - หนิ ไนซ์ หนิ แปรเนอ้ื หยาบ มีรว้ิ ขนาน หยักคดโคง้ ไม่สมา่ เสมอ สเี ข้มและ จางสลับกัน แปรสภาพมาจากหินแกรนิต โดยการแปรสภาพบรเิ วณไพศาล ที่มอี ุณหภูมสิ งู จนแรห่ ลอมละลาย และตกผลกึ ใหม่ (Recrystallize) - หนิ ควอรต์ ไซต์ หินแปรเนอ้ื ละเอยี ด เน้ือผลึกคล้ายน้าตาลทราย มีสเี ทา หรือ สีนา้ ตาลอ่อน แปรสภาพมาจากหินทราย โดยการแปรสภาพบรเิ วณไพศาลทมี่ ีอุณหภูมิสูงมาก จนแร่ควอรตซ์ หลอมละลายและตกผลึกใหม่ จึงมีความแข็งแรงมาก

ห น้ า | 201 - หนิ ชนวน หินแปรเนอ้ื ละเอยี ดมาก เกดิ จากการแปรสภาพของหินดนิ ดาน ดว้ ยความร้อนและความกดอัดทาให้แกรง่ และเกดิ รอยแยกเป็นแผ่นๆ ขน้ึ ในตัว โดยรอยแยกนี้ไม่จาเปน็ ต้องมี ระนาบเหมือนการวางชนั้ หินดินดานเดิม หนิ ชนวนสามารถแซะเป็นแผน่ ใหญ่ - หินชีตส์ หนิ แปรมเี นอื้ เปน็ แผ่น เกิดจากการแปรสภาพบริเวณไพศาลของ หนิ ชนวน แรงกดดันและความรอ้ นทาใหผ้ ลกึ แรเ่ รยี งตัวเป็นแผ่นบาง ๆ ขนานกัน ภาพวฏั จักรการเกดิ หนิ ท้งั สามประเภท บทสรุปของวัฏจกั รหนิ แมกมาในชนั้ แมนเทลิ แทรกตัวขึน้ ส่เู ปลือกโลก เน่อื งจากมีอุณหภมู สิ ูง ความหนาแน่นตา่ แรงดันสงู แมกมาท่ีตกผลึกภายในเปลือกโลกกลายเปน็ หินอัคนีแทรกซอน (มผี ลึกขนาดใหญ่) ส่วนแมกมาทเ่ี ยน็ ตวั บนพ้นื ผิว กลายเปน็ หนิ อัคนพี ุ (มีผลึกขนาดเล็ก) หินทกุ ชนิดเม่ือผุพัง สึกกร่อน จะถกู พัดพาให้เป็นตะกอน ทับถม และ กลายเปน็ หินตะกอน หินทกุ ชนิดเม่อื ถกู กดดัน หรอื ทาให้ร้อน เน้ือแร่จะตกผลกึ ใหม่ กลายเปน็ หินแปร หนิ ทุก ชนดิ เม่ือหลอมละลาย จะกลายเป็นแมกมา เม่ือมันแทรกตัวข้ึนสูเ่ ปลือกโลก จะเย็นตวั ลงกลายเป็นหินอคั นี แร่ (Mineral) แร่ (Mineral) เปน็ สารอนนิ ทรยี ์ท่ีเกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุ 1 ชนดิ หรือ ต้งั แต่ 2 ชนิดขน้ึ ไป เรียงประกอบกันเป็นรูปผลึก (ดงั นัน้ แร่จงึ มีสถานะเป็นของแข็งเทา่ นั้น) ตัวอย่างเช่น เพชร เป็นแร่ซึง่ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตคุ าร์บอน แรค่ วอตซ์ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตซุ ลิ กิ อนและธาตุ ออกซิเจน เนือ่ งจากแรจ่ งึ มีองคป์ ระกอบทางเคมคี งที่ จงึ มีคณุ สมบัติทางฟิสิกส์เฉพาะตัว เชน่ มลี ักษณะ รูปรา่ ง สี ความวาว ความแขง็ รอยแยก และผิวแตก เปน็ ต้น

ห น้ า | 202 แร่ประกอบหิน หนิ คือ มวลของแขง็ ท่ปี ระกอบไปด้วยแรช่ นิดเดียวกัน หรือหลายชนิดรวมตัวกนั อยตู่ ามธรรมชาติ เน่ืองจากองค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญเ่ ป็นสารประกอบซลิ ิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ดังนัน้ หินส่วนใหญ่มกั ประกอบดว้ ยแร่ตระกูลซลิ ิเกต นอกจากนนั้ ยังมแี ร่ตระกลู คารบ์ อเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เปน็ คาร์บอนไดออกไซด์ นา้ ฝนละลายแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพ้ืนดินและมหาสมทุ ร ส่ิงมชี ีวติ อาศยั คาร์บอนสรา้ งธาตุอาหารและรา่ งกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลอื ก เมื่อตายลงทับถม กันเป็นหนิ ตะกอนหินสว่ นใหญบ่ นเปลอื กโลกจงึ ประกอบด้วยแร่ต่าง ๆ ดังนี้ 1. หมแู่ ร่ซิลิเกต ได้แก่ - เฟลด์สปาร์ (Feldspar) เปน็ กลุ่มแร่ทมี่ ีมากกวา่ ร้อยละ 50 ของเปลือกโลกเป็นแรท่ มี่ ี มากที่สดุ ในเปลอื กโลก และเป็นองคป์ ระกอบส่วนใหญข่ องหนิ หลายชนิด เฟลด์สปารม์ อี งคป์ ระกอบหลักเปน็ อะลูมเิ นียมซลิ ิเกต รปู ผลึกหลายชนดิ เมอื่ เฟลดส์ ปาร์ผุพังจะกลายเป็นอนภุ าคดนิ เหนยี ว (Clay minerals) - ควอตซ์ (SiO2) เป็นซิลิกอนไดออกไซต์บรสิ ทุ ธ์มิ รี ูปผลกึ ทรงหกเหล่ียมยอดแหลม (ชาวบา้ นเรยี กว่า หินเขีย้ วหนุมาน) มมี ากเปน็ ลาดับท่สี องรองจากเฟลดส์ ปาร์ พบไดท้ ัว่ ไปในเแผ่นธรณที วปี แตห่ า ไดย้ ากในแผน่ ทวีปมหาสมุทรและแมนเทิล เมื่อควอตซผ์ ุพังจะกลายเปน็ อนุภาคทราย (Sand) ควอตซ์มคี วาม แข็งแรงมาก สามารถขดู แกว้ เป็นรอย - ไมกา (Mica) เปน็ กลมุ่ แร่ซ่งึ มรี ูปผลึกเป็นแผ่นบาง มีองค์ประกอบเป็นอะลมู เิ นียมซลิ ิ เกตไฮดรอกไซด์ มีอยู่ทวั่ ไปในเปลือกทวปี ไมกามีโครงสรา้ งเดยี วกบั แร่ดินเหนยี ว (Clay mineral) ซึง่ เปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของดิน - แอมฟิโบล (Amphibole group) มลี ักษณะคลา้ ยเฟลดส์ ปาร์ แต่มสี ีเข้ม มีองค์ ประกอบเปน็ อะลมู ิเนยี มซิลเิ กตไฮดรอกไซด์ที่มีแมกนเี ซยี ม เหลก็ หรือแคลเซียมเจือปนอยู่ มอี ยู่แต่ในเปลอื กทวปี ตัวอยา่ งของกลุ่มแอมฟโิ บลท่ีพบเห็นทั่วไปคือ แร่ฮอรน์ แบลนด์ ซ่งึ อยู่ในแกรนติ - ไพรอกซีน (Pyroxene group) มสี ีเข้ม มอี งค์ประกอบท่เี ป็นแมกนเี ซยี มและเหล็กซิ ลิเกตอยู่มาก มีลักษณะคล้ายแอมฟิโบล มีอยู่แต่ในเปลือกโลกมหาสมุทร 2. หม่แู รค่ ารบ์ อเนต ไดแ้ ก่ - แคลไซต์ (Calcite) เปน็ แคลเซยี มคาร์บอเนต (CaCO3) เป็นองค์ประกอบหลกั ของ หินปนู และหนิ อ่อน โดโลไมต์ (Dolomite) ซง่ึ เปน็ แร่คาร์บอเนตอีกประเภทหนง่ึ ทมี่ ีแมงกานีสผสมอยู่ CaMg (CO3) 2 หมู่แรค่ าร์บอเนตทาปฎิกิริยากับกรดเปน็ ฟองฟู่ให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซต์ออกมา

ห น้ า | 203 ใบกิจกรรมท่ี 1 เรื่อง โครงสร้างภายในโลก วตั ถุประสงค์ เมอ่ื สนิ้ สดุ แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้น้ีแลว้ ผรู้ บั บรกิ ารสามารถ 1. วิเคราะห์ข้อมูลและอภิปรายเก่ียวกับโลก 2. สืบค้นข้อมูลและอภิปรายการกาเนิดโลกและการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก เนอ้ื หา 1. กาเนิดโลก - โครงสร้างภายในโลก - ส่วนประกอบของโลก คาช้ีแจง ใหผ้ ูร้ ับบรกิ ารเตมิ คาตอบลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง กจิ กรรมที่ 1 จากรปู จงระบุว่า ตาแหนง่ ที่ลกู ศรชี้ หมายถงึ ส่วนประกอบใดของโลก

ห น้ า | 204 กิจกรรมท่ี 2 จากภาพ ให้เตมิ พยัญชนะ ก-ฎ ลงในช่องวา่ งใหส้ มั พันธ์กบั สว่ นประกอบของโลก (ก) เปลือกโลก หนา 0-70 กโิ ลเมตร (ข) เนือ้ โลก (ค) แก่นโลก (ง) ภาคพื้นทวีป (จ) ธรณีภาค (ฉ) ฐานธรณีภาค (ช) แกน่ โลกทเ่ี ปน็ ของแข็ง (ซ) แกน่ โลกที่เปน็ ของเหลว (ฌ) แก่นโลกชั้นนอก (ญ) แกน่ โลกชนั้ ใน (ฎ) ลกึ จากผวิ โลกลงไป 6,370 กิโลเมตร

ห น้ า | 205 ใบกิจกรรมท่ี 2 เร่ือง หนิ และการจาแนกหิน วตั ถุประสงค์ 1. สังเกตและจาแนกหินโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ จากลักษณะท่ีสังเกต 2. ศึกษาวิธีการจาแนกหินของนักธรณีวิทยาและอภิปรายเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกหิน ของตนเอง 3. สารวจและอภิปรายองค์ประกอบของหิน เนื้อหา หินและการจาแนกหิน คาช้ีแจง ให้ผ้รู ับบริการทาการทดลองจาแนกหินประเภทต่าง ๆ โดยใช้วสั ดุและอปุ กรณ์ท่ีกาหนดให้ ปฏิบตั ิตาม วธิ กี ารทดลอง และบนั ทึกผลการทดลองลงในตาราง วสั ดแุ ละอุปกรณ์ 1. ตวั อย่างหนิ 3 ประเภท 2. แผน่ ภาพเร่ืองวฏั จกั รหิน 3. แผ่นภาพหนิ ชนดิ ต่าง ๆ 4. แว่นขยาย 5. สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ (กรดเกลือ) เจอื จาง 6. กระจกสาหรบั ขูด 7. ใบกิจกรรมการศึกษาลักษณะของหนิ 8. ตารางบันทึกผลการทดลอง วิธีการทดลอง 1. ใช้กระดาษหนงั สอื พิมพ์สาหรบั ปูโตะ๊ กันเป้อื น และแจกตวั อยา่ งหนิ พร้อมอปุ กรณ์ทดลองให้ผู้รบั บริการ กลุ่มละ 1 ชดุ 2. ให้ผู้รับบรกิ ารศกึ ษาคุณสมบตั ิของหนิ ทลี ะก้อน และกรอกข้อมลู ลงบนใบกิจกรรมการจาแนกหิน 3. ให้ผู้รบั บรกิ ารสันนิษฐานว่า ตัวอย่างหนิ แต่ละก้อนเปน็ หินประเภทใด (หนิ อคั นี หนิ ตะกอน หรือหนิ แปร) 4. ในกรณที สี่ ันนิษฐานว่าเป็นหินแปร ใหน้ กั เรียนต้ังสมมติฐานวา่ แปรสภาพมาจากหนิ เบอร์อะไร 5. แจกแผนภาพหนิ 6. ให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ตรวจสอบวา่ สมมติฐานประเภทของหินจานวนกี่กอ้ น 7. ผสู้ อนสรุปกิจกรรมโดยการให้ความรโู้ ดยใช้สไลด์ “วฏั จกั รหนิ ” อธิบายการเกิดหินแต่ละชนดิ โดย ยกตวั อยา่ งก้อนหนิ ที่อยู่บนโต๊ะทดลองทลี ะก้อน ข้อควรระวงั ระวงั อันตรายจากน้ากรด ในกรณที นี่ ักเรยี นถูกนา้ กรด ใหร้ ีบไปล้างน้าโดยดว่ น โดยการเทน้าสะอาดให้ ไหลผ่านบริเวณทถ่ี ูกกรด

ห น้ า | 206 ภาพวฏั จกั รหิน ตวั อยา่ งภาพหนิ 12 ชนดิ

ห น้ า | 207 ตารางบันทึกผลการทดลอง “การจาแนกหิน” ตวั อย่างหิน เนอ้ื หนิ สี รอยขนาน ทา ความแข็ง สันนษิ ฐาน สันนษิ ฐานวา่ (หยาบ, ละเอียด) ร้วิ หยัก ปฏิกิริยา (ขูดระจก ว่าเป็นหิน เป็นหนิ แปรมา กบั กรด เป็นรอย) ประเภท จากหิน (อัคนี, ตะกอน, แปร) (หินชนิด) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 คาถามหลงั การทดลอง 1. สรปุ การเกดิ หนิ ตามวัฏจักรหนิ ได้อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………….............… 2. นกั ธรณีวิทยาแบง่ หินตามลักษณะการเกิดได้ 3 ประเภท อะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 208 แนวการตอบกิจกรรมการเรียนรู้ ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื ง โครงสรา้ งภายในโลก คาชีแ้ จง ให้ผู้รบั บริการเติมคาตอบลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง ใบกจิ กรรมท่ี 1.1 จากรูป จงระบุวา่ ตาแหนง่ ทล่ี กู ศรชี้ หมายถึง สว่ นประกอบใดของโลก เปลอื กโลก เนอื้ โลก แกน่ โลก กจิ กรรมท่ี 1.2 จากภาพ ให้เตมิ พยญั ชนะ ก-ฎ ลงในชอ่ งว่างใหส้ ัมพนั ธก์ บั สว่ นประกอบของโลก (ก) เปลือกโลก หนา 0-70 กโิ ลเมตร (ข) เนือ้ โลก (ค) แก่นโลก (ง) ภาคพ้ืนทวปี (จ) ธรณภี าค (ฉ) ฐานธรณภี าค (ช) แก่นโลกทเ่ี ปน็ ของแข็ง (ซ) แก่นโลกทีเ่ ป็นของเหลว (ฌ) แกน่ โลกช้นั นอก (ญ) แก่นโลกชนั้ ใน

ห น้ า | 209 (ฎ) ลกึ จากผวิ โลกลงไป 6,370 กิโลเมตร ง ก ฉ จ ฌ ข ค ญฏ ซ ช

ห น้ า | 210 ใบกิจกรรมที่ 2 เร่ือง หินและการจาแนกหนิ คาช้ีแจง ให้ผู้รับบรกิ ารทาการทดลองจาแนกหินประเภทต่าง ๆ โดยใช้วสั ดแุ ละอุปกรณ์ทีก่ าหนดให้ ปฏบิ ตั ติ าม วธิ ีการทดลอง และบันทกึ ผลการทดลองลงในตาราง ตารางบันทึกผลการทดลอง “การจาแนกหนิ ” เนอ้ื หนิ รอยขนาน ทา ความแขง็ สนั นษิ ฐานวา่ สนั นษิ ฐานว่า (หยาบ, ละเอยี ด) ,รวิ้ หยกั ปฏกิ ิรยิ า (ขูดระจก ชอ่ื ตวั อย่างหนิ สี กับกรด เปน็ รอย) เป็นหนิ (อคั นี, เปน็ หินแปรมา - 1. หินแกรนิต - - ตะกอน, แปร) จากหินชนิดใด - 2. หินไรโอไลต์ เนอื้ หยาบ เทาใส, - - หินอัคนแี ทรก - ขาวข่นุ รูพรนุ 3. หนิ บะซอลต์ เนือ้ ละเอยี ด เหลือง รพู รนุ - - ซอน 4. หนิ พัมมิช ,ชมพู - - 5. หนิ กรวดมน เนื้อละเอยี ด เทาเข้ม - - - หินอคั นพี ุ - 6. หินทราย ฟองน้า ขาวจาง - - - 7. หินดินดาน เนอ้ื หยาบ นา้ ตาลดา ชัน้ ขนาน - - หินอัคนีพุ - นา้ ตาล กนั หินอัคนพี ุ - เนอ้ื ละเอยี ด นา้ ตาล - เกิดฟองฟู่ - หนิ ตะกอน - เนอ้ื ละเอียด ริ้วขนาน - - หินตะกอน - - - - หนิ ตะกอน - 8. หนิ ปนู เนื้อละเอยี ด ขาว,เทา - - - หนิ ตะกอน - 9. หนิ ไนส์ เนอ้ื หยาบ เขม้ ,จาง - เกดิ ฟองฟู่ - หนิ แปร หนิ แกรนิต 10. หนิ ควอร์ตไซต์ เนอ้ื ละเอยี ด เทา,นา้ ตาล หินแปร หนิ ทราย ออ่ น 11. หนิ ชนวน เน้ือละเอยี ด เทา-ดา หินแปร หนิ ดินดาน 12. หนิ อ่อน เน้ือละเอยี ด-หยาบ นา้ ตาล , หินแปร หินปูน เหลอื ง คาถามหลงั การทดลอง 1. สรุปการเกิดหิน ตามวัฏจักรของหินคือ แมกมาในช้ันแมนเทิล แทรกตัวขึ้นสู่เปลือกโลก เน่ืองจากมีอุณหภูมิ สูง ความหนาแน่นต่า แรงดันสูง แมกมาที่ตกผลึกภายในเปลือกโลกกลายเป็นหินอัคนีแทรกซอน (มีผลึก ขนาดใหญ่) ส่วนแมกมาท่ีเย็นตัวบนพื้นผิวกลายเป็นหินอัคนีพุ (มีผลึกขนาดเล็ก) หินทุกชนิดเมื่อผุพัง สึก กรอ่ น จะถกู พดั พาให้เป็นตะกอน ทบั ถม และกลายเปน็ หนิ ตะกอน หนิ ทกุ ชนิดเมอ่ื ถูกกดดัน หรือทาให้ร้อน เนอ้ื แร่จะตกผลกึ ใหม่ กลายเป็นหินแปร หนิ ทุกชนิดเม่อื หลอมละลาย จะกลายเป็นแมกมา เมือ่ มนั แทรกตัว ขึ้นสเู่ ปลอื กโลก จะเยน็ ตวั ลงกลายเป็นหินอัคนี

ห น้ า | 211 2. นักธรณีวทิ ยาแบ่งหนิ ตามลกั ษณะการเกิดได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1. หินอัคนี 2. หนิ ตะกอนหรือหินชั้น 3. หนิ แปร ที่มา : ศูนยก์ ารเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรโ์ ลกและดาราศาสตร์ (2556 : ออนไลน์ )

ห น้ า | 212 ฐานการเรียนรู้ท่ี 7 เรื่อง นักสืบสายน้า ประกอบด้วยแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ี 7 เร่ือง นกั สบื สายน้า จานวน 2 ช่วั โมง

ห น้ า | 213 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี 7 เร่ือง นักสืบสายน้า เวลา 2 ชั่วโมง แนวคดิ น้า เป็นทรัพยากรท่ีสาคัญต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และส่ิงมีชีวิตทุกชนิด มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จาก แหล่งน้าธรรมชาติ เพ่ือการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม การประมง การอุตสาหกรรม และการคมนาคม ใน ลานา้ จะมีส่ิงมชี วี ิตหลายชนิดอาศัยอยู่ เมือ่ เราศึกษาค้นควา้ ทดลอง จะพบวา่ สัตว์นา้ จดื ท่ีไม่มกี ระดูกสนั หลังขนาด เลก็ สามารถใชเ้ ป็นดชั นีบ่งช้คี ณุ ภาพของน้าได้ดว้ ย วัตถุประสงค์ เมื่อสน้ิ สดุ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรนู้ ีแ้ ล้ว ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธิบายความหมาย และประโยชน์ของแหลง่ นา้ 2. ทดลองใช้สตั วน์ า้ จดื ที่ไม่มีกระดกู สันหลงั ขนาดเลก็ เป็นดชั นีบ่งช้ีคณุ ภาพนา้ 3. ตรวจคณุ ภาพของแหล่งน้า 4. เหน็ ความสาคญั ของแหล่งน้า เนอื้ หา 1. แหลง่ น้า 1.1 ความหมาย และประโยชนข์ องแหล่งน้า 1.2 ปญั หาของแหลง่ น้า 1.3 ผลกระทบของนา้ เสยี ต่อสง่ิ แวดลอ้ ม 1.4 การอนรุ ักษแ์ หล่งน้า 2. การใช้สตั วน์ ้าจดื ทไี่ มม่ ีกระดูกสนั หลงั ขนาดเลก็ เปน็ ดัชนบี ่งช้คี ุณภาพนา้ 2.1 ความหมายของดชั นคี ุณภาพนา้ 2.2 ตัวอยา่ งสัตว์ทไ่ี ดร้ ับผลกระทบจากคณุ ภาพน้า 2.3 การตรวจวัดคุณภาพน้าทางชีวภาพ 3. การตรวจคณุ ภาพน้า 3.1 ทาไมต้องตรวจคุณภาพนา้ 3.2 คณุ ภาพนา้ บอกอะไร

ห น้ า | 214 ขั้นตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นตอนท่ี 1 กิจกรรมการเรยี นรูป้ ระสบการณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้รับบริการและแนะนาตนเองกับผู้รับบริการ รวมทั้งชี้แจงวัตถุประสงค์ของฐาน การเรยี นรทู้ ี่ 7 เรอ่ื ง นกั สบื สายนา้ ไดแ้ ก่ (1) อธบิ ายความหมาย และประโยชน์ของแหลง่ น้า (2) ทดลองใช้สตั ว์นา้ จืดที่ไมม่ ีกระดูกสันหลงั ขนาดเล็ก เป็นดัชนบี ่งชี้คณุ ภาพนา้ (3) ตรวจคณุ ภาพของแหลง่ น้า (4) เหน็ ความสาคญั ของแหลง่ นา้ 2. ผู้จัดกิจกรรมซักถามประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการเกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะเรียนรู้ โดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามจานวน 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นท่ี 1 “ทา่ นทราบหรอื ไมว่ ่า แหล่งนา้ คอื อะไรและมีประโยชน์อยา่ งไร จงอธิบายมาพอเข้าใจ” ประเด็นท่ี 2 “ท่านทราบหรือไม่ว่า มีสัตว์น้าจืดที่ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก อะไรบ้างที่สามารถเป็น ดัชนีบง่ ชคี ณุ ภาพน้าได้” ประเด็นที่ 3 “ท่านทราบหรือไม่ว่า สัตว์น้าจืดที่ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก สามารถเป็นดัชนีบ่งชี คุณภาพน้าได”้ 3. ผู้จดั กจิ กรรมและผู้รับบรกิ ารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสรุปส่ิงทีไ่ ดเ้ รียนรู้ร่วมกัน ขน้ั ตอนที่ 2 กจิ กรรมการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ทท่ี า้ ทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกจิ กรรมเชอ่ื มโยงเน้ือหาในขน้ั ตอนที่ 1 เร่อื ง แหลง่ น้า การใช้สัตวน์ า้ จดื ทไ่ี ม่มกี ระดกู สนั หลังขนาดเล็ก เป็นดัชนีบง่ ชีค้ ุณภาพนา้ และการตรวจคณุ ภาพนา้ 2. ผ้จู ดั กจิ กรรมบรรยายเร่ือง แหล่งนา้ การใช้สตั วน์ ้าจืดท่ไี ม่มกี ระดูกสันหลังขนาดเล็ก เป็น ดชั นีบ่งช้ีคุณภาพน้า และการตรวจคณุ ภาพน้า ตามใบความรู้สาหรบั ผู้จดั กิจกรรมเร่ือง นักสบื สายน้า 3. ให้ผู้รับบริการเป็นรายบุคคลปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมเรื่อง นักสืบสายน้า โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 3.1 สงั เกตสีของนา้ และลักษณะทั่วไปของแหล่งนา้ ในฐานการเรยี นรู้ เร่อื ง นกั สบื สายนา้ 3.2 หาค่าความเป็นกรด – เบส (pH) ของนา้ โดยใช้กระดาษยูนเิ วอรแ์ ซลอินดิเคเตอร์ และวัด อณุ หภูมิ (C) ของน้า โดยใช้เทอรโ์ มมิเตอร์ 3.3 วัดความขนุ่ ใสของน้า โดยใช้เซคดิ ิสก์ ท้ังนี้ ผรู้ ับบรกิ ารจะตอ้ งบันทกึ ผลการทดลอง ลงในใบกจิ กรรม ดงั กลา่ ว 4. แบง่ ผูร้ บั บริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 8 คน โดยใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ สารวจ สตั ว์นา้ จดื ทไ่ี มม่ ีกระดูกสันหลัง ขนาดเล็กท่ีอาศัยอยู่ริมฝ่ังแหล่งน้า ในฐานการเรียนรู้ เรื่อง นักสืบสายน้า หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มนาน้าจืดท่ีไม่มี กระดกู สันหลังขนาดเลก็ ทีส่ ารวจได้ มาวเิ คราะห์ชนิดของสัตว์ โดยนาสตั วท์ ่สี ารวจไดม้ าวางไวใ้ นจานเพาะเชื้อ แล้ว นาแว่นขยายส่องดูรายละเอียดของสัตว์น้าจืดท่ีไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก มาวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับคู่มือ

ห น้ า | 215 จาแนกพันธ์ุสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในบึงและลาธารไทย พร้อมลงตารางคะแนนวัดคุณภาพน้า ลงในใบกิจกรรมที่ ไดร้ ับมอบหมาย หลงั จากนน้ั ให้แต่ละกลมุ่ รวมคะแนน นับจานวนสตั วน์ า้ จดื ท่ไี ม่มกี ระดกู สนั หลงั ขนาดเล็กทสี่ ารวจได้ มา หาค่าดัชนคี ุณภาพนา้ ตามตารางความหมายของดชั นคี ณุ ภาพนา้ ในใบกิจกรรมทไี่ ด้รบั มอบหมาย 5. ผู้จัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการสรปุ สงิ่ ทไี่ ด้เรียนรรู้ ว่ มกัน ขน้ั ตอนที่ 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผู้รับบริการในแต่ละกลุ่มตามข้ันตอนท่ี 2 ยกตัวอย่างสถานการณ์ของแหล่งน้าใกล้ตัว หรือ สถานการณ์ของแหล่งน้าในชุมชน สังคม ที่มีมลภาวะเป็นพิษ และระบุสาเหตุ พร้อมท้ังแนะนาแนวทางในการ ตรวจสอบคณุ ภาพนา้ 2. ผู้แทนของผู้รบั บรกิ ารของแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการเรียนรู้ของกลุ่ม 3. ให้ผู้รับบริการตอบคาถามโดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเดน็ “ท่านจะนาความรู้ เร่ือง นักสบื สายน้า ท่ีเก่ยี วกบั ปัญหาและการใช้ประโยชน์ของน้า พรอ้ มอธบิ ายวิธีการ แกไ้ ขปัญหาคณุ ภาพของนา้ ไปประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวันอย่างไร” 4. ผจู้ ดั กิจกรรมและผรู้ บั บรกิ ารสรปุ ส่ิงทไ่ี ด้เรียนรรู้ ว่ มกัน ส่ือ วัสดอุ ุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กิจกรรม เรอื่ ง แหลง่ นา้ 2. ใบความรูส้ าหรบั ผรู้ ับบรกิ าร เรอื่ ง แหลง่ นา้ 3. ใบกจิ กรรมเรื่อง แหลง่ น้า 4. แหลง่ น้า ในฐานการเรยี นรู้ 5. กระดาษยนู เิ วอรแ์ ซลอนิ ดิเคเตอร์ 6. เทอรโ์ มมิเตอร์ 7. เซคดิ ิสก์ 8. คู่มือจาแนกพันธุ์สตั วไ์ มม่ ีกระดกู สันหลังในบึงและลาธารไทย 9. ตารางคะแนนวดั คุณภาพนา้ 10. ตารางความหมายของดัชนคี ุณภาพนา้ การวัดและประเมนิ ผล 4. สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความตั้งใจ และความสนใจของผรู้ ับบริการ 5. ชิ้นงาน/ผลงาน

ห น้ า | 216 บันทกึ ผลหลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการใชแ้ ผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 11. จานวนเนือ้ หากบั จานวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตุผล .......................................................................................................... ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................ 12. การเรียงลาดบั เน้ือหากับความเข้าใจของผู้รับบริการ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................................... ............. 13. การนาเขา้ สูบ่ ทเรียนกับเนื้อหาแตล่ ะหัวข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตุผล ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ 14. วธิ ีการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้กับเนือ้ หาในแต่ละขอ้ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตุผล ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 15. การประเมนิ ผลกบั วตั ถปุ ระสงค์ในแต่ละเนือ้ หา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................................................... ............................................................... ............. ผลการเรยี นรู้ของผรู้ บั บริการ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ของผจู้ ดั กิจกรรม ............................................................................................................................................ ................................. .................................................................................................. ............................................................... ............ ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................

ห น้ า | 217 ใบความรู้สาหรับผู้จดั กจิ กรรม เรอ่ื ง แหล่งน้า วตั ถุประสงค์ 1. อธิบายความหมาย และประโยชนข์ องแหล่งน้า 2. ทดลองใช้สตั วน์ ้าจดื ที่ไม่มีกระดกู สันหลงั ขนาดเลก็ เปน็ ดัชนีบง่ ช้คี ณุ ภาพน้า 3. ตรวจคุณภาพของแหลง่ น้า 4. เห็นความสาคญั ของแหล่งน้า เน้ือหา 1. แหลง่ นา้ 1.1 ความหมาย และประโยชน์ของแหล่งน้า 1.2 ปัญหาของแหลง่ น้า 1.3 ผลกระทบของนา้ เสียต่อสง่ิ แวดล้อม 1.4 การอนรุ ักษ์แหลง่ น้า 2. การใช้สตั วน์ า้ จืดทีไ่ ม่มกี ระดูกสนั หลงั ขนาดเล็ก เปน็ ดชั นีบง่ ชี้คุณภาพนา้ 2.1 ความหมายของดัชนคี ุณภาพน้า 2.2 ตัวอยา่ งสตั วท์ ไี่ ด้รบั ผลกระทบจากคุณภาพน้า 2.3 การตรวจวัดคุณภาพน้าทางชีวภาพ 3. การตรวจคณุ ภาพน้า 3.1 ทาไมต้องตรวจคุณภาพนา้ 3.2 คุณภาพน้าบอกอะไร

ห น้ า | 218 ใบความรู้ เรอ่ื ง แหลง่ นา้ โลกของเราประกอบข้ึนด้วยพ้ืนดินและพื้นน้า โดยส่วนท่ีเป็นผืนน้านั้น มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และ เปน็ พนื้ ดิน 1 ส่วน (25%) น้ามคี วามสาคญั อย่างยิ่งกบั ชวี ิตของพืชและสตั วบ์ นโลกรวมทั้งมนุษย์เราดว้ ย น้าเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เร่ือย ๆ ไม่มีวันหมดส้ิน เมื่อแสงแดดส่องมาบนพ้ืนโลก น้าจากทะเล และมหาสมทุ รกจ็ ะระเหยเป็นไอน้าลอยข้นึ สู่เบื้องบนเน่อื งจากไอน้ามีความเบากว่าอากาศ เม่อื ไอน้าลอยสู่เบื้องบน แลว้ จะไดร้ บั ความเยน็ และกลัน่ ตัวกลายเป็นละอองนา้ เล็ก ๆ ลอยจับตวั กนั เป็นกลุ่มเมฆ เมื่อจบั ตัวกันมากขึ้นและ กระทบความเย็นก็จะกล่ันตัวกลายเป็นหยดน้าตกลงสู่พื้นโลก น้าบนพ้ืนโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้าอีกเม่ือได้รับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไอน้าจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกล่นั ตัวเปน็ หยดน้ากระบวนการเชน่ น้ี เกิดข้นึ เปน็ วัฏจักร หมุนเวยี นต่อเนือ่ งกันตลอดเวลา เรยี กว่า วัฏจกั รน้าทาให้มีนา้ เกิดขึ้นบนผวิ โลกอยสู่ ม่าเสมอ นา้ ของเหลวท่ีเกิดจากการรวมตัวกันของก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซออกซิเจน น้า เป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ มีการหมุนเวียนเคลื่อนท่ีจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และเปลี่ยนแปลงจากสถานะหน่ึงไปเป็นอีก สถานะหนงึ่ เชน่ เปน็ ของแข็ง ของเหลว เปน็ ตน้ การหมุนเวียนเปลย่ี นไปของน้านีเ้ รยี กว่า วฎั จกั ร ของน้า น้า เป็นทรัพยากรที่สาคัญยิ่งต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และส่ิงมีชีวิตทุกชนิด มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จาก แหล่งน้า เพ่ือการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม การประมง การอุตสาหกรรม การคมนาคม ประเทศไทยเป็น ประเทศที่ใช้ทรัพยากรจากแหล่งน้าอย่างมหาศาล คือทรัพยากรประมง ได้แก่ ทรัพยากรสัตว์น้า เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นตน้ ประโยชน์ของแหล่งนา้ น้าเป็นแหล่งกาเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้าได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ายังมีความ จาเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซ่ึงมีความสาคัญอย่างย่ิงในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้า ได้แก่ นา้ เป็นสิง่ จาเป็นทเ่ี ราใช้สาหรบั การด่ืมกิน การประกอบอาหาร ชาระร่างกาย ฯลฯ นา้ มีความจาเป็นสาหรับ การเพาะปลูกเล้ียงสัตว์ แหล่งน้าเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้าอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหารในการ อตุ สาหกรรม ตอ้ งใชน้ า้ ในขบวนการผลิตใช้ลา้ งของเสียใช้หลอ่ เครื่องจักรและระบายความรอ้ น ฯลฯ ปัญหาของแหล่งน้า 1. ปัญหาการมีน้าน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเน่ืองจากการตัดไม้ทาลายป่า ทาให้ปริมาณ น้าฝนน้อยลง เกิดความแหง้ แลง้ เสยี หายต่อพืชเพาะปลกู และการเลีย้ งสตั ว์ 2. ปัญหาการมีน้ามากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทาให้เกิดน้าท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้าง ความเสยี หายแกช่ ีวิตและทรัพย์สนิ 3. ปัญหาน้าเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทาให้เกิดน้าเสีย ได้แก่ น้าท้ิงจากบ้านเรือน ขยะมูล ฝอยและสิ่งปฏิกูลท่ีถูกท้ิงสู่แม่น้าลาคลอง น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม น้าฝนพัดพาเอาสารพิษท่ีตกค้างจาก แหลง่ เกษตรกรรมลงสแู่ ม่นา้ ลาคลอง น้าเสยี ท่เี กิดขน้ึ นีส้ ่งผลเสียหายท้ังต่อสุขภาพอนามัย เปน็ อันตรายต่อสัตว์น้า และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทาให้ไม่สามารถนาแหล่งน้าน้ันมาใช้ประโยชน์ได้ท้ังการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอตุ สาหกรรม

ห น้ า | 219 ผลกระทบของนา้ เสยี ต่อสิ่งแวดล้อม เปน็ แหลง่ แพรร่ ะบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บดิ ท้องเสยี เปน็ แหลง่ เพาะพันธุ์ของแมลงนาโรคตา่ ง ๆ ทาให้เกดิ ปัญหามลพิษต่อดิน น้า และอากาศ ทาใหเ้ กิดเหตรุ าคาญ เช่น กลน่ิ เหมน็ ของน้าโสโครก ทาใหเ้ กิดการ สูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพท่ไี ม่นา่ ดู เช่น สภาพนา้ ท่ีมีสดี าคลา้ ไปด้วยขยะ และสง่ิ ปฏิกูล ทาใหเ้ กิดการสญู เสยี ทางเศรษฐกจิ เชน่ การสญู เสยี พนั ธุ์ปลาบางชนดิ จานวนสัตวน์ ้าลดลง ทาให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงระบบนเิ วศใน ระยะยาว การอนุรักษแ์ หล่งน้า น้ามคี วามสาคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจงึ ควรชว่ ยแก้ไขปัญหานา้ เสียหรือการสูญเสียทรพั ยากรน้า ด้วยการอนุรกั ษ์นา้ ดงั น้ี 1. การใช้นา้ อย่างประหยดั การใชน้ ้าอย่างประหยัดนอกจากจะลดคา่ ใชจ้ ่ายเกี่ยวกบั ค่าน้าลงไดแ้ ล้ว ยงั ทา ให้ปรมิ าณน้าเสียที่จะท้ิงลงแหล่งนา้ มีปรมิ าณน้อย และป้องกันการขาดแคลนนา้ ไดด้ ว้ ย 2. การสงวนน้าไวใ้ ช้ ในบางฤดูหรอื ในสภาวะที่มีน้ามากเหลือใชค้ วรมกี ารเกบ็ นา้ ไวใ้ ช้ เช่น การทาบ่อเกบ็ น้า การสร้างโอ่งน้า ขุดลอกแหลง่ นา้ รวมทั้งการสร้างอ่างเกบ็ นา้ และระบบชลประทาน 3. การพฒั นาแหล่งนา้ ในบางพ้ืนที่ท่ีขาดแคลนนา้ จาเปน็ ท่ีจะต้องหาแหลง่ น้าเพ่ิมเตมิ เพื่อให้สามารถมี น้าไว้ใช้ ท้งั ในครวั เรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนานา้ บาดาลข้ึนมาใชก้ าลังแพรห่ ลายมาก ขึ้นแตอ่ าจมปี ญั หาเรื่องแผ่นดินทรดุ 4. การป้องกันนา้ เสีย การไม่ทงิ้ ขยะและส่ิงปฏกิ ลู และสารพิษลงในแหลง่ น้า นา้ เสียที่เกิดจากโรงงาน อตุ สาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบาบัดและขจัดสารพษิ กอ่ นท่ีจะปลอ่ ยลงสู่แหล่งน้า 5. การนาน้าเสยี กลับไปใช้ น้าทีไ่ มส่ ามารถใชไ้ ด้ในกจิ การอย่างหนง่ึ อาจใช้ไดใ้ นอกี กจิ การหน่ึง เชน่ น้าท้งิ จากการลา้ งภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดตน้ ไม้ได้ โดยปัจจุบนั แหล่งน้าธรรมชาติลดนอ้ ยลงไป โดยเฉพาะตามเมอื งใหญ่ เพราะมีการดดั แปลงสภาพไปใชใ้ น กิจการอืน่ ๆ เช่น ถมคลองทาถนน อาคารบ้านเรอื น โรงงานอตุ สาหกรรม เป็นต้น นอกจากนน้ั แหล่งนา้ ท่ีเหลืออยู่ หลายแห่งถกู ทาลายคณุ ภาพของนา้ โดยการท้ิงสารเคมี โลหะมพี ิษ น้ามนั ส่ิงปฏกิ ลู ต่างๆ หรอื มีการระบายน้าจาก บา้ นเรือน โรงงานอตุ สาหกรรม ลงส่แู ม่นา้ จากบ้านเรือน จากโรงงานลงสแู่ หลง่ น้าในจานวนมากเกนิ ขนาด ทาให้ แหล่งนา้ อยใู่ นสภาพไมเ่ หมาะสมทีจ่ ะนามาใช้ เพราะนา้ เปน็ พิษและเน่าเสยี ทาให้เกดิ อนั ตรายต่อสง่ิ มีชีวติ ที่อาศยั อยูใ่ นแหล่งน้าทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเรยี กว่า เกิดมลภาวะทางน้า (Water Pollution) มลพิษทางนา้ (Water Pollution) “มลพิษ” หมายความวา่ ของเสีย วัตถุอันตรายและมลสารอื่นๆ รวมทงั้ กากตะกอนหรอื สง่ิ ตกค้างจากสงิ่ เหลา่ นั้น ทถี่ กู ปล่อยทิง้ จากแหล่งกาเนิดมลพิษ หรือท่ีมอี ยู่ในสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติ ซ่ึงกอ่ ให้เกิดผลกระทบต่อ คณุ ภาพ ส่ิงแวดล้อมหรือภาวะท่ีเปน็ พิษภัยอนั ตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ และใหห้ มายความรวมถึง รงั สี ความร้อน เสยี ง แสง กลิ่น ความสน่ั สะเทือนหรอื เหตรุ าคาญอนื่ ๆ ทเี่ กิดหรือถูกปลอ่ ยจากแหลง่ กาเนิดมลพิษ ด้วย “ภาวะมลพิษ” หมายความว่า สภาวะทีส่ ง่ิ แวดล้อมเปลี่ยนแปลงหรือปนเปื้อนโดยมลพิษ ซ่งึ ทาให้ คณุ ภาพของส่ิงแวดล้อมเสื่อมโทรมลง เช่น มลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศ และมลพิษในดนิ

ห น้ า | 220 “น้าเสยี ” หมายความวา่ ของเสีย ท่ีอยใู่ นสภาพเป็นของเหลว รวมทั้งมลสารที่ปะปน หรือปนเป้ือนอยู่ใน ของเหลวนัน้ ดังนั้น มลพิษทางน้า หมายถึง สภาพน้าที่เสื่อมคุณภาพ น้าจะมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากสภาพธรรมชาติ เน่ืองจากมสี ารมลพิษเข้าไปปะปนอยู่มาก น้าในสภาพเช่นน้ไี ม่เหมาะต่อการดารงชวี ติ ของสัตวน์ ้า ไมเ่ หมาะต่อการ บริโภคและอุปโภคของมนุษย์ เช่น น้าที่มีสีผิดปกติ มีกลิ่นเหม็นน้าท่ีมีสารเคมีท่ีเป็นพิษหรือเชื้อโรคปะปนอยู่ รวมท้งั น้าทมี่ ีอณุ หภมู สิ งู ผิดปกติ มลพิษทางน้า เป็นปัญหาทางน้ามีสาเหตุสาคัญมาจากการน้าท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรม ซ่ึงเป็นน้าเสีย จากข้ันตอนและกระบวนการผลิต การล้าง ขบวนการ หล่อเย็น เป็นต้น แม้ว่าจะมีกฎหมายบังคับให้โรงงาน อุตสาหกรรมต้องบาบัดน้าทิ้งเหล่าน้ีก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้าธรรมชาติก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลไม่สามารถ ควบคุมได้อย่างท่ัวถึง การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนเขตเมืองเช่น กรุงเทพมหานคร ท่ีมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นทุกครัวเรือนปล่อยน้าท้ิงสู่แหล่งน้าธรรมชาติโดยตรง มิได้ผ่านขบวนการกาจัดใดๆ นอกจากน้ี ยังมีการทิ้งขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงสู่แม่น้าลาคลองอันเป็นการเพ่ิมความสกปรกให้กับแหลง่ นา้ ต่างๆ อีกดว้ ย การใชส้ ตั ว์หนา้ ดินเป็นดัชนีบง่ ชค้ี ุณภาพน้า \"สัตว์เล็กน้าจืด\" หรือตัวอ่อนแมลงน้าที่อาศัยอยู่ตามก้อนหิน พ้ืนทรายใต้ท้องน้า ซ่ึงใช้เป็นตัวบ่งช้ี คณุ ภาพน้าด้วยวธิ ีทางชีวภาพได้ โดยประเมินรว่ มกบั ลกั ษณะทางกายภาพอ่ืนๆ ของสายน้า เชน่ ลกั ษณะความคด เค้ยี ว สี อุณหภูมิและความเรว็ ของนา้ เป็นกจิ กรรมท่เี นน้ ให้ผู้เรียนมสี ่วนรว่ มในการลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรรม ความหมายของดัชนคี ณุ ภาพน้า คะแนน 7.6-10 น้าสะอาดมาก คะแนน 5.1-7.5 นา้ สะอาด คะแนน 2.6-5.0 นา้ คุณภาพพอใช้ได้ คะแนน 1.0-2.5 น้าสกปรก คะแนน 0 น้าเนา่ (ไม่มีสตั ว์อยู่เลย)

ตารางคะแนนวัดคุณภาพนา้ ห น้ า | 221 ชื่อสตั ว์ ตัวอ่อนแมลงเกาะหิน คะแนน ตวั อ่อนชีปะขาวตัวแบน 10 ตัวอ่อนชปี ะขาวเหงือกแฉก 10 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าอยู่ในปลอกเม็ดกรวดทราย 10 ตัวอ่อนแมลงหนอนปลอกนา้ ไมอ่ ยู่ในปลอก (ยกเว้นซิโก)้ * 10 มวนจานปากยาว 10 ตัวออ่ นแมลงชา้ งกรามโต 10 กงุ้ นา้ ตก 9 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าอยใู่ นปลอกใบไม้ 8 ตวั ออ่ นแมลงปอ 7 ตวั ออ่ นแมลงปอเข็ม 6 หอยหมวกเจ๊กน้าจดื 6 หอยกาบนา้ จดื 6 หอยเจดีย์ 6 มวนวน 6 มวนกรรเชียง 5 มวนนา้ อืน่ ๆ 5 ดว้ งน้าตัวเตม็ วยั 5 หนอนด้วงน้า 5 หนอนตวั แบน 5 หนอนแมลงวนั (ยกเวน้ แมลงวนั ดอกไม้ & ริน้ น้าจดื ) 5 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าซโิ ก้ 5 ตัวอ่อนชีปะขาวว่ายน้า 5 ตวั ออ่ นชีปะขาวกระโปรง 5 กงุ้ ฝอย 4 ตัวอ่อนแมลงช้างปกี ลาย 4 4

ห น้ า | 222 ช่อื สัตว์ คะแนน หอยฝาเดียวอื่นๆ 3 หอยกาบเมลด็ ถั่ว 3 เหาน้า 3 ปูลาหว้ ย 3 ปลิง 3 หนอนแมลงวนั ดอกไม้ 3 หนอนร้นิ นา้ จดื 2 ไสเ้ ดือนน้า 1 คะแนนรวม จานวนประเภทสตั ว์ ค่าดชั นีคณุ ภาพนา้ สรุปคณุ ภาพน้า เปน็ ................................................................................................ .................................................... วธิ ีใช้ตารางวัดคณุ ภาพนา้ การให้คะแนนเพ่ือประเมินค่าคุณภาพน้า โดยใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยในน้าเป็นดัชนีช้ีวัดนี้ เป็นการประเมินคุณภาพนา้ ในส่วนปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า เมอ่ื พบสัตว์ในข้อไหนกต็ าม (แม้เพยี งตัวเดียว) ให้กรอกคะแนนของประเภทสัตว์ลงในช่องทางขวามือ โดยนับสัตว์แต่ละประเภทได้เพียงครั้งเดียว และไม่นับสัตว์ ที่ไม่อยู่ในตาราง เมื่อบันทึกคะแนนของสัตว์ที่พบครบหมดแล้ว ให้รวมคะแนนท้ังหมด แล้วหารคะแนนรวมด้วย จานวนประเภทสัตว์ท่ีบันทึกได้ในตาราง การหารเฉลี่ยคะแนนน้ีจะช่วยลดความผิดพลาดท่ีอาจเกิดข้ึนได้จากการ เกบ็ ตัวอย่างสตั วห์ รือปจั จยั อื่นๆ ผลลพั ธ์ที่ได้ คอื คา่ ดชั นคี ุณภาพน้า

ห น้ า | 223 ตวั อยา่ งสัตว์ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากคณุ ภาพนา้ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท 1. พวกท่ีได้รับผลกระทบมากท่ีสุด เป็นพวกท่ีมีเหงือก แมลงพวกนี้ในระยะตัวอ่อนหายใจด้วยเหงือก จึงต้องใช้ออกซเิ จนในนา้ โดยตรง ชปี ะขาว แมลงเกาะหิน หนอนปลอกนา้ 2. พวกทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบรองลงมา เป็นพวกทสี่ ามารถใช้ออกซิเจนจากอากาศหรือเกบ็ กกั อากาศไว้กบั ตัว แมลงพวกน้ีหายใจโดยใช้ออกซเิ จนในอากาศได้โดยตรง มวนแมงป่องน้า จิงโจน้ า้ ด้วงดิง่ ตัวอ่อนยุง

ห น้ า | 224 1. พวกท่ไี ด้รับผลกระทบนอ้ ยท่ีสุด เปน็ พวกที่มีความสามารถในการจับออกซิเจนในน้า ดงั น้นั จงึ สามารถทนอยไู่ ด้ในนา้ ท่ีมีปริมาณออกซิเจนละลายต่ามาก หนอนรนิ้ นา้ จืด ไสเ้ ดือนนา้ หอยฝาเดยี ว กุง้ ฝอย การตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ทางชีวภาพ เป็นการนาสิง่ มีชวี ิตมาเปน็ ตัวชีว้ ดั คุณภาพน้า เช่น แบคทเี รีย แพลงกต์ อนพืช แพลงกต์ อนสตั ว์ สาหร่าย ขนาดใหญ่ พืชนา้ ปลา และสัตว์หน้าดนิ ที่ไม่มีกระดกู สันหลัง เป็นตน้ สง่ิ มีชวี ติ ท่นี ิยมใช้เป็นตัวช้ีวัดคุณภาพน้าตัว หนง่ึ คอื การใชส้ ตั ว์หนา้ ดนิ มาใช้เปน็ ตวั ชีว้ ดั คณุ ภาพนา้ เนื่องจาก มีความไวต่อการเปล่ยี นแปลงของสง่ิ แวดล้อม หรอื สภาวะทางน้าโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงสารมลพษิ ท่ีปนเปอ้ื นอยใู่ นแหลง่ นา้ การตรวจคุณภาพน้า ทาไมตอ้ งตรวจคุณภาพน้า สตั วน์ ้าจาเป็นต้องอาศยั ในการดารงชวี ติ คณุ สมบัตนิ า้ จะแตกต่างกันตามสภาพแวดลอ้ มและทต่ี งั้ ต่างกัน เช่น แมน่ ้า ลาธารคลอง จะมีคณุ สมบตั ิของน้าแตกต่างจาก หนอง บงึ อา่ งเก็บน้า ซ่งึ เปน็ แหลง่ นา้ นิ่งรวมถงึ บาดาล ทม่ี คี ณุ สมบตั แิ ตกตา่ งจากแหลง่ น้าผวิ ดินอื่นๆ การตรวจวัดคณุ ภาพจึงเปน็ ส่ิงสาคัญ เพ่ือท่จี ะได้ปรับปรงุ ให้อยูใ่ น สภาพทเ่ี หมาะสมกับการอยู่อาศยั ของสตั วน์ ้า ซ่งึ เปน็ ปจั จยั สาคญั ในการเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้าและการดารงชีวิตของ มนุษยใ์ ห้ประสบความสาเร็จ คุณภาพน้าบอกอะไร อณุ หภมู นิ ้าควรอยู่ในชว่ ง 23-32 องศาเซลเซยี ส วิธงี ่ายๆ คือสมั ผสั ดว้ ยมอื นา้ จะต้องไม่ร้อยหรือเยน็ จนเกนิ ไป ถา้ น้าเยน็ มากปลากนิ อาหารน้อยลง ควรลดปริมาณนา้ ในบ่อและลดปริมาณอาหารลง ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ควรอยู่ระหว่าง 6.5-9 การเปล่ียนแปลงของ pH ท่ีเกิดขึ้นจะทาให้คุณสมบัติ ของน้าเปล่ียนไปและมีผลต่อความเปน็ พิษของสารบางชนิดได้ เช่น ความเป็นพิษของแอมโมเนยี มากข้ึนหรอื ลดลง ได้ ความขุ่น ตะกอนดินทแ่ี ขวนลอยอยใู่ นน้า ถา้ ปริมาณมากเกินไปจะเปน็ ตวั ขวางก้ันไมใ่ หแ้ สงสว่างลงไปได้ ลึก ทาให้พืชและแพลงกต์ อนไม่สามารถสังเคราะหแ์ สงได้ ส่งผลใหป้ ริมาณอาหารธรรมชาติในบอ่ ลดลง ความโปรง่ ใส ควรมีคา่ ระหว่าง 30-60 เซนติเมตร ถ้าพบวา่ ในนา้ ของบ่อเป็นสเี ขียวจัด ควรเปล่ยี นถา่ ย น้าเพอ่ื ลดความเข้มข้นของสีน้าลง สาหรับบอ่ ทีม่ ีน้าใส ควรเตมิ ปยุ๋ ลงในบ่อเพ่ือเพ่ิมธาตุอาหารให้กบั พืชและ แพลงกต์ อนพืช ให้สามารถเจริญเติบโตเพิ่มจานวนขน้ึ

ห น้ า | 225 ใบความร้สู าหรับผู้รบั บรกิ าร เร่ือง แหลง่ นา้ วัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมาย และประโยชนข์ องแหลง่ น้า เนอื้ หา 2. ทดลองใช้สัตว์น้าจดื ท่ีไมม่ ีกระดูกสนั หลงั ขนาดเลก็ เป็นดชั นีบ่งช้คี ณุ ภาพน้า 3. ตรวจคณุ ภาพของแหล่งน้า 4. เหน็ ความสาคญั ของแหลง่ น้า 1. แหล่งนา้ 1.1 ความหมาย และประโยชน์ของแหลง่ น้า 1.2 ปญั หาของแหล่งนา้ 1.3 ผลกระทบของนา้ เสียต่อส่งิ แวดล้อม 1.4 การอนรุ ักษแ์ หล่งน้า 2. การใช้สตั วน์ ้าจืดทไ่ี ม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เป็นดัชนบี ่งช้ีคุณภาพนา้ 2.1 ความหมายของดชั นีคุณภาพนา้ 2.2 ตัวอยา่ งสตั ว์ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากคุณภาพน้า 2.3 การตรวจวดั คุณภาพน้าทางชีวภาพ 3. การตรวจคณุ ภาพน้า 3.1 ทาไมต้องตรวจคุณภาพน้า 3.2 คุณภาพน้าบอกอะไร

ห น้ า | 226 ใบความรู้ เรอ่ื ง แหลง่ น้า โลกของเราประกอบข้ึนด้วยพื้นดินและพื้นน้า โดยส่วนที่เป็นผืนน้านั้น มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และ เปน็ พนื้ ดิน 1 สว่ น (25%) น้ามคี วามสาคญั อย่างยิ่งกบั ชีวิตของพืชและสตั วบ์ นโลกรวมทัง้ มนุษย์เราดว้ ย น้าเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพ้ืนโลก น้าจากทะเล และมหาสมทุ รก็จะระเหยเป็นไอน้าลอยข้นึ สู่เบื้องบนเน่อื งจากไอน้ามีความเบากวา่ อากาศ เมื่อไอน้าลอยสู่เบื้องบน แลว้ จะไดร้ บั ความเย็นและกลัน่ ตัวกลายเป็นละอองนา้ เล็ก ๆ ลอยจบั ตวั กนั เปน็ กลุ่มเมฆ เมื่อจบั ตวั กันมากขึ้นและ กระทบความเย็นก็จะกล่ันตัวกลายเป็นหยดน้าตกลงสู่พ้ืนโลก น้าบนพ้ืนโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้าอีกเม่ือได้รับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไอน้าจะรวมตวั กันเป็นเมฆและกล่นั ตัวเปน็ หยดน้ากระบวนการเช่นนี้ เกดิ ข้นึ เปน็ วัฏจักร หมุนเวยี นต่อเน่อื งกันตลอดเวลา เรยี กว่า วัฏจกั รน้าทาใหม้ ีนา้ เกิดขึ้นบนผวิ โลกอยสู่ มา่ เสมอ นา้ ของเหลวท่ีเกิดจากการรวมตัวกันของก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซออกซิเจน น้า เป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ มีการหมุนเวียนเคลื่อนท่ีจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และเปล่ียนแปลงจากสถานะหน่ึงไปเป็นอีก สถานะหนงึ่ เช่น เปน็ ของแข็ง ของเหลว เปน็ ตน้ การหมุนเวียนเปลี่ยนไปของน้านเ้ี รยี กว่า วัฎจักร ของนา้ น้า เป็นทรัพยากรท่ีสาคัญยิ่งต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และส่ิงมีชีวิตทุกชนิด มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จาก แหล่งน้า เพ่ือการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม การประมง การอุตสาหกรรม การคมนาคม ประเทศไทยเป็น ประเทศที่ใช้ทรัพยากรจากแหล่งน้าอย่างมหาศาล คือทรัพยากรประมง ได้แก่ ทรัพยากรสัตว์น้า เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นตน้ ประโยชน์ของแหล่งนา้ น้าเป็นแหล่งกาเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้าได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ายังมีความ จาเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซ่ึงมีความสาคัญอย่างย่ิงในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้า ได้แก่ นา้ เป็นส่ิงจาเปน็ ที่เราใช้สาหรบั การด่ืมกิน การประกอบอาหาร ชาระร่างกาย ฯลฯ นา้ มคี วามจาเป็นสาหรับ การเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้าเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้าอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหารในการ อตุ สาหกรรม ต้องใช้นา้ ในขบวนการผลติ ใช้ลา้ งของเสียใชห้ ลอ่ เครือ่ งจักรและระบายความร้อน ฯลฯ ปัญหาของแหล่งน้า 1. ปัญหาการมีน้าน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเน่ืองจากการตัดไม้ทาลายป่า ทาให้ปริมาณ น้าฝนน้อยลง เกดิ ความแหง้ แลง้ เสยี หายต่อพชื เพาะปลกู และการเลย้ี งสตั ว์ 2. ปัญหาการมีน้ามากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทาให้เกิดน้าท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้าง ความเสียหายแกช่ ีวติ และทรัพย์สนิ 3. ปัญหาน้าเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุท่ีทาให้เกิดน้าเสีย ได้แก่ น้าทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูล ฝอยและสิ่งปฏิกูลที่ถูกท้ิงสู่แม่น้าลาคลอง น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม น้าฝนพัดพาเอาสารพิษท่ีตกค้างจาก แหลง่ เกษตรกรรมลงสูแ่ ม่นา้ ลาคลอง น้าเสยี ทเ่ี กิดขน้ึ นีส้ ่งผลเสียหายท้ังต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้า และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทาให้ไม่สามารถนาแหล่งน้าน้ันมาใช้ประโยชน์ได้ท้ังการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอตุ สาหกรรม

ห น้ า | 227 ผลกระทบของน้าเสยี ตอ่ สิ่งแวดล้อม เปน็ แหลง่ แพรร่ ะบาดของเชื้อโรค เช่น อหวิ าตกโรค บดิ ท้องเสยี เป็นแหลง่ เพาะพันธุ์ของแมลงนาโรคตา่ ง ๆ ทาให้เกดิ ปัญหามลพิษต่อดิน น้า และอากาศ ทาใหเ้ กดิ เหตรุ าคาญ เช่น กล่ินเหมน็ ของน้าโสโครก ทาใหเ้ กิดการ สูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพท่ไี ม่นา่ ดู เช่น สภาพน้าท่มี สี ดี าคลา้ ไปด้วยขยะ และสง่ิ ปฏิกูล ทาใหเ้ กดิ การสญู เสยี ทางเศรษฐกจิ เชน่ การสญู เสยี พนั ธุ์ปลาบางชนิดจานวนสัตวน์ ้าลดลง ทาให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงระบบนิเวศใน ระยะยาว การอนุรักษ์แหลง่ น้า น้ามคี วามสาคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรชว่ ยแก้ไขปัญหาน้าเสยี หรือการสูญเสียทรัพยากรน้า ดว้ ยการอนุรกั ษ์นา้ ดงั น้ี 1. การใช้นา้ อย่างประหยดั การใชน้ ้าอยา่ งประหยัดนอกจากจะลดคา่ ใช้จา่ ยเกีย่ วกบั ค่าน้าลงได้แล้ว ยงั ทา ให้ปรมิ าณน้าเสียที่จะท้ิงลงแหล่งนา้ มีปรมิ าณน้อย และป้องกันการขาดแคลนนา้ ไดด้ ว้ ย 2. การสงวนน้าไวใ้ ช้ ในบางฤดูหรอื ในสภาวะที่มีน้ามากเหลอื ใชค้ วรมกี ารเกบ็ นา้ ไวใ้ ช้ เช่น การทาบ่อเกบ็ น้า การสร้างโอ่งน้า ขุดลอกแหลง่ นา้ รวมทั้งการสรา้ งอา่ งเกบ็ นา้ และระบบชลประทาน 3. การพฒั นาแหล่งนา้ ในบางพ้ืนทีท่ ี่ขาดแคลนนา้ จาเปน็ ท่ีจะตอ้ งหาแหลง่ น้าเพม่ิ เตมิ เพ่ือให้สามารถมี น้าไว้ใช้ ท้งั ในครวั เรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพยี ง ปัจจุบันการนานา้ บาดาลข้ึนมาใชก้ าลังแพรห่ ลายมาก ขึ้นแตอ่ าจมปี ญั หาเรื่องแผ่นดินทรดุ 4. การป้องกันนา้ เสีย การไม่ทงิ้ ขยะและสิง่ ปฏิกลู และสารพษิ ลงในแหลง่ น้า น้าเสียที่เกิดจากโรงงาน อตุ สาหกรรม โรงพยาบาล ควรมกี ารบาบัดและขจัดสารพษิ กอ่ นท่ีจะปลอ่ ยลงสู่แหล่งน้า 5. การนาน้าเสยี กลับไปใช้ น้าทีไ่ มส่ ามารถใช้ได้ในกจิ การอย่างหนง่ึ อาจใช้ไดใ้ นอีกกจิ การหน่ึง เชน่ น้าท้งิ จากการลา้ งภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดต้นไม้ได้ โดยปัจจุบนั แหล่งนา้ ธรรมชาติลดนอ้ ยลงไป โดยเฉพาะตามเมอื งใหญ่ เพราะมีการดัดแปลงสภาพไปใชใ้ น กิจการอืน่ ๆ เช่น ถมคลองทาถนน อาคารบ้านเรอื น โรงงานอตุ สาหกรรม เป็นตน้ นอกจากนน้ั แหลง่ นา้ ทีเ่ หลืออยู่ หลายแห่งถกู ทาลายคณุ ภาพของนา้ โดยการท้งิ สารเคมี โลหะมพี ิษ น้ามัน ส่งิ ปฏิกูลต่างๆ หรอื มีการระบายน้าจาก บา้ นเรือน โรงงานอตุ สาหกรรม ลงส่แู ม่นา้ จากบ้านเรอื น จากโรงงานลงสู่แหลง่ น้าในจานวนมากเกินขนาด ทาให้ แหล่งนา้ อยใู่ นสภาพไมเ่ หมาะสมทีจ่ ะนามาใช้ เพราะน้าเปน็ พิษและเน่าเสยี ทาให้เกิดอันตรายต่อสง่ิ มีชวี ิตที่อาศยั อยูใ่ นแหล่งน้าทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเรยี กวา่ เกิดมลภาวะทางน้า (Water Pollution) มลพิษทางนา้ (Water Pollution) “มลพิษ” หมายความวา่ ของเสีย วัตถุอนั ตรายและมลสารอื่นๆ รวมทงั้ กากตะกอนหรอื สิง่ ตกคา้ งจากสงิ่ เหลา่ นั้น ทถี่ กู ปล่อยทิง้ จากแหลง่ กาเนิดมลพิษ หรอื ท่มี ีอยู่ในสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติ ซึ่งกอ่ ให้เกดิ ผลกระทบต่อ คณุ ภาพ ส่ิงแวดล้อมหรือภาวะที่เปน็ พิษภัยอนั ตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ และใหห้ มายความรวมถึง รงั สี ความร้อน เสยี ง แสง กลิ่น ความสน่ั สะเทือนหรือเหตรุ าคาญอนื่ ๆ ทเี่ กิดหรือถูกปลอ่ ยจากแหลง่ กาเนิดมลพิษ ดว้ ย “ภาวะมลพิษ” หมายความว่า สภาวะทสี่ งิ่ แวดล้อมเปลี่ยนแปลงหรือปนเป้ือนโดยมลพิษ ซ่งึ ทาให้ คณุ ภาพของส่ิงแวดล้อมเสื่อมโทรมลง เช่น มลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศ และมลพิษในดนิ

ห น้ า | 228 “น้าเสยี ” หมายความวา่ ของเสยี ท่ีอย่ใู นสภาพเป็นของเหลว รวมทง้ั มลสารทปี่ ะปน หรือปนเป้ือนอยู่ใน ของเหลวนัน้ ดังนั้น มลพิษทางน้า หมายถึง สภาพน้าที่เสื่อมคุณภาพ น้าจะมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากสภาพธรรมชาติ เน่ืองจากมสี ารมลพิษเข้าไปปะปนอยู่มาก นา้ ในสภาพเชน่ นี้ไม่เหมาะต่อการดารงชวี ติ ของสัตวน์ ้า ไมเ่ หมาะต่อการ บริโภคและอุปโภคของมนุษย์ เช่น น้าที่มีสีผิดปกติ มีกล่ินเหม็นน้าท่ีมีสารเคมีท่ีเป็นพิษหรือเชื้อโรคปะปนอยู่ รวมท้งั น้าทมี่ ีอณุ หภมู สิ งู ผิดปกติ มลพิษทางน้า เป็นปัญหาทางน้ามีสาเหตุสาคัญมาจากการน้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ซ่ึงเป็นน้าเสีย จากข้ันตอนและกระบวนการผลิต การล้าง ขบวนการ หล่อเย็น เป็นต้น แม้ว่าจะมีกฎหมายบังคับให้โรงงาน อุตสาหกรรมต้องบาบัดน้าทิ้งเหล่าน้ีก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้าธรรมชาติก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลไม่สามารถ ควบคุมได้อย่างท่ัวถึง การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนเขตเมืองเช่น กรุงเทพมหานคร ท่ีมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นทุกครัวเรือนปล่อยน้าท้ิงสู่แหล่งน้าธรรมชาติโดยตรง มิได้ผ่านขบวนการกาจัดใดๆ นอกจากน้ี ยังมีการทิ้งขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงสู่แม่น้าลาคลองอันเป็นการเพ่ิมความสกปรกให้กับแหล่ง นา้ ต่างๆ อีกดว้ ย การใชส้ ตั ว์หนา้ ดนิ เป็นดัชนีบง่ ช้คี ณุ ภาพน้า \"สัตว์เล็กน้าจืด\" หรือตัวอ่อนแมลงน้าท่ีอาศัยอยู่ตามก้อนหิน พ้ืนทรายใต้ท้องน้า ซ่ึงใช้เป็นตัวบ่งช้ี คณุ ภาพน้าด้วยวธิ ีทางชีวภาพได้ โดยประเมนิ รว่ มกับลักษณะทางกายภาพอนื่ ๆ ของสายนา้ เช่น ลกั ษณะความคด เค้ยี ว สี อุณหภูมิและความเรว็ ของนา้ เป็นกจิ กรรมทเี่ น้นใหผ้ ้เู รยี นมีสว่ นรว่ มในการลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรรม ความหมายของดัชนคี ุณภาพนา้ คะแนน 7.6-10 น้าสะอาดมาก คะแนน 5.1-7.5 นา้ สะอาด คะแนน 2.6-5.0 น้าคณุ ภาพพอใช้ได้ คะแนน 1.0-2.5 น้าสกปรก คะแนน 0 น้าเนา่ (ไม่มีสตั ว์อยู่เลย)

ตารางคะแนนวัดคุณภาพนา้ ห น้ า | 229 ชื่อสตั ว์ ตัวอ่อนแมลงเกาะหิน คะแนน ตวั อ่อนชีปะขาวตัวแบน 10 ตัวอ่อนชปี ะขาวเหงือกแฉก 10 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าอยู่ในปลอกเม็ดกรวดทราย 10 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกนา้ ไมอ่ ยู่ในปลอก (ยกเว้นซิโก)้ * 10 มวนจานปากยาว 10 ตัวออ่ นแมลงชา้ งกรามโต 10 กุง้ นา้ ตก 9 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าอยใู่ นปลอกใบไม้ 8 ตวั ออ่ นแมลงปอ 7 ตวั ออ่ นแมลงปอเข็ม 6 หอยหมวกเจ๊กน้าจดื 6 หอยกาบนา้ จดื 6 หอยเจดีย์ 6 มวนวน 6 มวนกรรเชียง 5 มวนนา้ อืน่ ๆ 5 ด้วงน้าตัวเตม็ วยั 5 หนอนด้วงน้า 5 หนอนตวั แบน 5 หนอนแมลงวนั (ยกเวน้ แมลงวนั ดอกไม้ & ริน้ น้าจดื ) 5 ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าซโิ ก้ 5 ตัวอ่อนชีปะขาวว่ายน้า 5 ตวั ออ่ นชีปะขาวกระโปรง 5 กงุ้ ฝอย 4 ตัวอ่อนแมลงช้างปกี ลาย 4 4

ห น้ า | 230 ช่อื สัตว์ คะแนน หอยฝาเดียวอื่นๆ 3 หอยกาบเมลด็ ถั่ว 3 เหาน้า 3 ปูลาหว้ ย 3 ปลิง 3 หนอนแมลงวนั ดอกไม้ 3 หนอนร้นิ นา้ จดื 2 ไสเ้ ดอื นน้า 1 คะแนนรวม จานวนประเภทสตั ว์ ค่าดชั นีคณุ ภาพนา้ สรุปคณุ ภาพน้า เปน็ ...................................................................................................... .............................................. วธิ ีใช้ตารางวัดคณุ ภาพนา้ การให้คะแนนเพ่ือประเมินค่าคุณภาพน้า โดยใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยในน้าเป็นดัชนีช้ีวัดนี้ เป็นการประเมินคุณภาพนา้ ในส่วนปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า เมอ่ื พบสตั วใ์ นข้อไหนก็ตาม (แม้เพยี งตัวเดียว) ให้กรอกคะแนนของประเภทสัตว์ลงในช่องทางขวามือ โดยนับสัตว์แต่ละประเภทได้เพียงครั้งเดียว และไม่นับสัตว์ ที่ไม่อยู่ในตาราง เมื่อบันทึกคะแนนของสัตว์ที่พบครบหมดแล้ว ให้รวมคะแนนทั้งหมด แล้วหารคะแนนรวมด้วย จานวนประเภทสัตว์ท่ีบันทึกได้ในตาราง การหารเฉลี่ยคะแนนนี้จะช่วยลดความผิดพลาดท่ีอาจเกิดข้ึนได้จากการ เกบ็ ตัวอย่างสตั วห์ รือปจั จยั อื่นๆ ผลลพั ธ์ที่ได้ คอื คา่ ดชั นคี ุณภาพน้า

ห น้ า | 231 ตวั อยา่ งสัตว์ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากคณุ ภาพนา้ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท 1. พวกท่ีได้รับผลกระทบมากท่ีสุด เป็นพวกท่ีมีเหงือก แมลงพวกนี้ในระยะตัวอ่อนหายใจด้วยเหงือก จึงต้องใช้ออกซเิ จนในนา้ โดยตรง ชปี ะขาว แมลงเกาะหิน หนอนปลอกนา้ 2. พวกทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบรองลงมา เป็นพวกทสี่ ามารถใช้ออกซิเจนจากอากาศหรือเกบ็ กกั อากาศไว้กบั ตัว แมลงพวกน้ีหายใจโดยใช้ออกซเิ จนในอากาศได้โดยตรง มวนแมงป่องน้า จิงโจน้ า้ ด้วงดิง่ ตัวอ่อนยุง

ห น้ า | 232 1. พวกท่ไี ด้รับผลกระทบนอ้ ยท่ีสุด เปน็ พวกที่มีความสามารถในการจับออกซิเจนในน้า ดงั น้นั จงึ สามารถทนอยไู่ ด้ในนา้ ท่ีมีปริมาณออกซิเจนละลายต่ามาก หนอนรนิ้ นา้ จืด ไสเ้ ดือนนา้ หอยฝาเดยี ว กุง้ ฝอย การตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ทางชีวภาพ เป็นการนาสิง่ มีชวี ิตมาเปน็ ตัวชีว้ ดั คุณภาพน้า เช่น แบคทเี รีย แพลงกต์ อนพืช แพลงกต์ อนสตั ว์ สาหร่าย ขนาดใหญ่ พชื นา้ ปลา และสัตว์หน้าดนิ ที่ไม่มีกระดกู สันหลัง เป็นตน้ สง่ิ มีชวี ติ ท่นี ิยมใช้เป็นตวั ช้ีวัดคุณภาพน้าตัว หนง่ึ คอื การใชส้ ตั ว์หนา้ ดนิ มาใช้เปน็ ตวั ชีว้ ดั คณุ ภาพนา้ เนื่องจาก มีความไวต่อการเปล่ยี นแปลงของสง่ิ แวดล้อม หรอื สภาวะทางน้าโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงสารมลพษิ ท่ีปนเปอ้ื นอยใู่ นแหล่งนา้ การตรวจคุณภาพน้า ทาไมตอ้ งตรวจคุณภาพน้า สตั ว์น้าจาเป็นต้องอาศยั ในการดารงชวี ติ คณุ สมบัตนิ า้ จะแตกต่างกันตามสภาพแวดลอ้ มและทต่ี ง้ั ต่างกัน เช่น แม่น้า ลาธารคลอง จะมีคณุ สมบตั ิของน้าแตกต่างจาก หนอง บงึ อา่ งเก็บน้า ซ่งึ เปน็ แหลง่ นา้ นิ่งรวมถงึ บาดาล ทม่ี คี ณุ สมบตั แิ ตกตา่ งจากแหลง่ น้าผวิ ดินอื่นๆ การตรวจวัดคณุ ภาพจึงเปน็ ส่ิงสาคัญ เพ่ือทจ่ี ะได้ปรับปรงุ ให้อยูใ่ น สภาพทเ่ี หมาะสมกับการอยู่อาศยั ของสตั วน์ ้า ซ่งึ เปน็ ปจั จยั สาคญั ในการเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้าและการดารงชีวิตของ มนุษยใ์ ห้ประสบความสาเร็จ คุณภาพน้าบอกอะไร อณุ หภมู นิ ้าควรอยู่ในชว่ ง 23-32 องศาเซลเซยี ส วิธงี ่ายๆ คือสมั ผสั ดว้ ยมอื นา้ จะตอ้ งไม่ร้อยหรือเยน็ จนเกนิ ไป ถา้ น้าเยน็ มากปลากนิ อาหารน้อยลง ควรลดปริมาณนา้ ในบ่อและลดปริมาณอาหารลง ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ควรอยู่ระหว่าง 6.5-9 การเปล่ียนแปลงของ pH ท่ีเกิดขึ้นจะทาให้คุณสมบัติ ของน้าเปล่ียนไปและมีผลต่อความเปน็ พิษของสารบางชนิดได้ เช่น ความเป็นพิษของแอมโมเนยี มากข้ึนหรอื ลดลง ได้ ความขุ่น ตะกอนดินทแ่ี ขวนลอยอยใู่ นน้า ถา้ ปริมาณมากเกินไปจะเปน็ ตวั ขวางก้ันไม่ใหแ้ สงสว่างลงไปได้ ลึก ทาให้พืชและแพลงกต์ อนไม่สามารถสังเคราะหแ์ สงได้ ส่งผลใหป้ ริมาณอาหารธรรมชาติในบอ่ ลดลง ความโปรง่ ใส ควรมีคา่ ระหว่าง 30-60 เซนติเมตร ถ้าพบวา่ ในนา้ ของบ่อเป็นสเี ขยี วจัด ควรเปลย่ี นถา่ ย น้าเพอ่ื ลดความเข้มข้นของสีน้าลง สาหรับบอ่ ทีม่ ีน้าใส ควรเตมิ ปยุ๋ ลงในบ่อเพ่ือเพ่ิมธาตุอาหารให้กบั พืชและ แพลงกต์ อนพืช ให้สามารถเจริญเติบโตเพิ่มจานวนขน้ึ

ห น้ า | 233 ใบกจิ กรรม เรื่อง แหล่งน้า วัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมาย และประโยชน์ของแหล่งนา้ 2. ทดลองใช้สัตวน์ า้ จืดท่ีไมม่ ีกระดกู สันหลงั ขนาดเล็ก เป็นดัชนีบง่ ช้ีคุณภาพนา้ 3. ตรวจคณุ ภาพของแหล่งน้า 4. เหน็ ความสาคัญของแหลง่ นา้ เนื้อหา 1. แหล่งน้า 1.1 ความหมาย และประโยชน์ของแหลง่ น้า 1.2 ปญั หาของแหลง่ นา้ 1.3 ผลกระทบของน้าเสียต่อส่ิงแวดล้อม 1.4 การอนุรักษแ์ หล่งนา้ 2. การใช้สตั วน์ ้าจืดที่ไม่มกี ระดกู สนั หลงั ขนาดเล็ก เป็นดัชนบี ่งชคี้ ณุ ภาพน้า 2.1 ความหมายของดชั นีคุณภาพนา้ 2.2 ตัวอยา่ งสตั วท์ ีไ่ ด้รบั ผลกระทบจากคุณภาพนา้ 2.3 การตรวจวัดคุณภาพนา้ ทางชีวภาพ 3. การตรวจคุณภาพน้า 3.1 ทาไมต้องตรวจคุณภาพนา้ 3.2 คุณภาพนา้ บอกอะไร คาชีแ้ จง ใหผ้ รู้ ับบริการดาเนนิ การ ดงั นี้ 1. แบ่งกลุ่มผู้รบั บรกิ ารออกเป็น 5 กลุ่ม 2. ให้ผรู้ บั บริการแตล่ ะกลมุ่ ช่วยกนั ค้นหาสตั ว์เล็กนา้ จดื สัตว์หนา้ ดนิ ท่ไี ม่มีกระดกู สันหลัง รมิ ฝัง่ แหล่งน้า 3. เม่อื ไดส้ ตั วต์ ัวอย่างมารว่ มกันวิเคราะห์ชนิดของสตั ว์ โดยใชน้ าสัตว์ตัวอยา่ งทีไ่ ด้มาใส่ไวใ้ นจานเพาะเช้ือ นา แว่นขยายสอ่ งดรู ายละเอียด แลว้ ใหน้ ามาวิเคราะห์ 4. เปรียบเทยี บกับคู่มือจาแนกพนั ธส์ุ ตั ว์ไม่มีกระดูกสนั หลงั ในบึงและลาธารไทย พร้อมลงตารางคะแนนวัด คุณภาพนา้ 5. รวมคะแนน นบั จานวนสัตวต์ วั อย่างทไี่ ด้ หาคา่ ดชั นคี ุณภาพนา้ ตามตารางความหมายของดชั นีคุณภาพน้า

ห น้ า | 234 1. ผลการศึกษาลกั ษณะทั่วไปของแหลง่ น้า ลาดบั ที่ คุณลักษณะของน้า ผลการศกึ ษา 1 สีของน้า คะแนน 2 ลักษณะทวั่ ไปของแหล่งน้า 10 3 ความเปน็ กรด-เบส (pH) 10 4 อณุ หภูมิ ( C ) 10 5 ความขนุ่ ใส 10 10 2.ผลการศึกษา “กจิ กรรมนกั สบื สายนา้ ” 10 ตารางคะแนนวดั คุณภาพนา้ 9 8 ช่ือสัตว์ 7 6 ตวั อ่อนแมลงเกาะหิน 6 6 ตวั อ่อนชปี ะขาวตวั แบน 6 6 ตัวออ่ นชปี ะขาวเหงอื กแฉก 5 5 ตัวออ่ นแมลงหนอนปลอกน้าอยูใ่ นปลอกเมด็ กรวดทราย 5 5 ตัวอ่อนแมลงหนอนปลอกน้าไม่อยูใ่ นปลอก (ยกเวน้ ซิโก้)* มวนจานปากยาว ตัวออ่ นแมลงชา้ งกรามโต กงุ้ นา้ ตก ตวั อ่อนแมลงหนอนปลอกน้าอยู่ในปลอกใบไม้ ตัวอ่อนแมลงปอ ตวั อ่อนแมลงปอเขม็ หอยหมวกเจ๊กน้าจืด หอยกาบน้าจดื หอยเจดยี ์ มวนวน มวนกรรเชยี ง มวนน้าอน่ื ๆ ด้วงนา้ ตัวเต็มวยั

ห น้ า | 235 ชอ่ื สัตว์ คะแนน หนอนดว้ งนา้ 5 หนอนตัวแบน 5 หนอนแมลงวัน (ยกเวน้ แมลงวันดอกไม้ & ร้นิ น้าจืด) 5 ตัวออ่ นแมลงหนอนปลอกน้าซโิ ก้ 5 ตวั ออ่ นชปี ะขาวว่ายน้า 5 ตวั อ่อนชีปะขาวกระโปรง 4 กงุ้ ฝอย 4 ตวั ออ่ นแมลงช้างปกี ลาย 4 หอยฝาเดยี วอื่นๆ 3 หอยกาบเมล็ดถวั่ 3 เหานา้ 3 ปูลาหว้ ย 3 ปลงิ 3 หนอนแมลงวนั ดอกไม้ 3 หนอนรน้ิ นา้ จืด 2 ไส้เดอื นนา้ 1 คะแนนรวม จานวนประเภทสัตว์ คา่ ดัชนคี ณุ ภาพนา้ สรปุ คุณภาพน้า เป็น ............................................................................................................................. ....................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห น้ า | 236 ฐานการเรียนรทู้ ่ี 8 เรื่อง ระบบนเิ วศ ประกอบด้วยแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 8 เร่ือง นักสืบสายนา้ จานวน 2 ชัว่ โมง

ห น้ า | 237 แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 8 เรอ่ื ง ระบบนเิ วศ เวลา 2 ช่ัวโมง แนวคดิ ระบบนเิ วศ เป็นองค์ความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์แขนงหนึง่ ท่ีศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยูข่ องสงิ่ มีชวี ิต แหลง่ ท่ี อย่อู าศยั ของส่ิงมชี วี ติ ต่าง ๆ ความหลากหลายทางชวี ภาพทั้งบนบกและแหลง่ นา้ ในระบบนเิ วศ สงิ่ มชี ีวิตตา่ ง ๆ อยู่ รว่ มกนั มที ้ังพ่ึงพาอาศยั กันอย่างเปน็ ระบบในสถานะเปน็ ผูผ้ ลติ ผ้บู รโิ ภค และผยู้ ่อยสลาย ดงั น้ันเม่อื ระบบใดระบบ หน่ึงถูกกระทบจากปัจจยั ภายนอก ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบอน่ื ๆ ด้วย ดังน้นั การศกึ ษาระบบนิเวศจะทาใหเ้ ข้าใจ ถึงระบบนิเวศน้ัน ๆ เพื่อหาทางปอ้ งกันไมใ่ ห้ระบบนิเวศเสยี หาย วัตถุประสงค์ เมื่อส้นิ สุดแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูน้ แี้ ล้ว ผรู้ ับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายความหมายของระบบนิเวศ 2. จาแนกประเภทของระบบนเิ วศ 3. สามารถสารวจระบบนิเวศท้งั ในแหล่งนา้ และบนบกได้ เนอ้ื หา 1. ความหมายของระบบนเิ วศ 2. ประเภทของระบบนเิ วศ 2.1 ระบบนเิ วศตามธรรมชาติ 2.1.1 ระบบนเิ วศบนบก 2.1.2 ระบบนเิ วศในน้า 2.2 ระบบนเิ วศทม่ี นษุ ย์สร้างข้นึ ข้นั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กจิ กรรมการเรียนรปู้ ระสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Expeience) 1. ผจู้ ัดกจิ กรรมทักทายและแนะนาตนเองแกผ่ ู้รับบริการ และช้แี จงวตั ถุประสงค์ของฐานการเรยี นรู้ ท่ี 8 เร่อื ง ระบบนิเวศ ได้แก่ (1) อธิบายความหมายของระบบนิเวศ (2) จาแนกประเภทของระบบนิเวศ (3) สารวจระบบนเิ วศทัง้ ในแหล่งน้าและบนบก 2. ผู้จดั กจิ กรรมซักถามประสบการณ์เดิมของผูร้ ับบริการเก่ยี วกบั เรื่องท่จี ะเรยี นรู้ โดยส่มุ ผูร้ บั บรกิ ารจานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถาม จานวน 3 ประเดน็ ดงั น้ี ประเด็นที่ 1 “ระบบนิเวศหมายถงึ อะไร ” ประเด็นท่ี 2 “ระบบนิเวศมีกีป่ ระเภท”

ห น้ า | 238 ประเด็นท่ี 3 “ใครเคยสารวจระบบนเิ วศท้งั ในแหล่งนา้ และบนบกบา้ ง” 3. ผู้จดั กิจกรรมผรู้ บั บริการแลกเปลย่ี นความคดิ เห็น และสรปุ สิ่งที่ได้เรยี นรู้รว่ มกนั ข้ันที่ 2 กจิ กรรมการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรท์ ่ที า้ ทาย ( C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงเนื้อหาในขั้นตอนที่ 1 เร่ือง ความหมาย การจาแนกประเภทระบบนิเวศ สามารถ สารวจระบบนิเวศในแหลง่ นา้ และบนบก 2. ผู้จัดกจิ กรรมบรรยาย เร่อื ง ความหมาย การจาแนกประเภทระบบนิเวศ การสารวจระบบนิเวศในแหลง่ น้า และบนบก ตามใบความรสู้ าหรับผจู้ ดั กจิ กรรม เรือ่ ง ระบบนิเวศ 3. แบ่งผู้รบั บริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 8 คน โดยให้แตล่ ะกลุ่มสารวจ ระบบนิเวศแหลง่ น้าและบนบกใน บริเวณที่กาหนด ว่ามีกลุ่มส่ิงมีชีวิตใดบ้าง และมีปริมาณมากน้อยเพียงใด ในฐานการเรียนรู้ เรื่อง ระบบนิเวศ หลังจากน้ันใหแ้ ตล่ ะกล่มุ นาผลการสารวจมาสรปุ ผลการสารวจ ลงในใบกจิ กรรมท่ีได้รับมอบหมาย 4. หลังจากน้ันผู้รับบรกิ ารและผู้จัดกจิ กรรมสรุปสิ่งไดเ้ รยี นรู้ร่วมกัน ขั้นตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจาวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ใหผ้ รู้ บั บรกิ ารในแต่ละกล่มุ ตามขน้ั ตอนที่ 2 ยกตัวอยา่ ง สิง่ มชี วี ิตท่ีพบในแหล่งน้าและบนบกในบรเิ วณท่ี อยอู่ าศัย ว่าพบสง่ิ มชี วี ิตใดบา้ งท่ีนอกเหนือจากทีส่ ารวจ 2. ผู้แทนของผรู้ บั บรกิ ารของแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลการเรียนรขู้ องกล่มุ 3. ใหผ้ ูร้ ับบรกิ ารตอบคาถามโดยสมุ่ ผูร้ บั บรกิ าร จานวน 3 – 5 คน ตามความสมคั รใจ ใหต้ อบคาถามใน ประเดน็ “ท่านจะนาความรู้ เร่อื ง ระบบนิเวศ ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวันอย่างไร” 4. ผ้จู ดั กิจกรรมและผูร้ ับบริการสรุปส่งิ ทไ่ี ด้เรยี นรรู้ ว่ มกนั สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 1. ใบความร้สู าหรบั ผจู้ ัดกจิ กรรม เร่ือง ระบบนเิ วศ 2. ใบความร้สู าหรบั ผรู้ บั บริการ เร่อื ง ระบบนิเวศ 3. ใบกิจกรรม เร่ือง ระบบนิเวศ 4. แวน่ ขยาย 5. กล้องสอ่ งทางไกล 6. กระดาษยูนเิ วอร์แซลอินดิเคเตอร์ 7. เทอรโ์ มมิเตอร์ การวัดและการประเมนิ 1. สงั เกตพฤติกรรมการมสี ่วนร่วม ความตัง้ ใจ และความสนใจของผ้รู บั บริการ 2.ชิน้ งาน/ผลงาน

ห น้ า | 239 บนั ทกึ ผลหลังการจักกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการใช้แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จานวนเน้ือหากบั จานวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... 2. การเรียงลาดบั เน้ือหากบั ความเข้าใจของผู้รับบริการ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตุผล ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 3. การนาเขา้ สู่บทเรียนกับเนื้อหาแต่ละหัวข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล .................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................. ..................................................................... 4. วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับเนอื้ หาในแตล่ ะข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล ........................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ......................................... 5. การประเมินผลกับวัตถุประสงค์ในแต่ละเน้ือหา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................................... ............. ผลการเรียนรู้ของผู้รับบริการ ................................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ................................................ ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ของผจู้ ดั กจิ กรรม ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................................................. ............ ข้อเสนอแนะ ....................................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook