กลยโคุทรงธกาส์ รวง่ ิจยัเสรมิ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ผสู้ งูการอท�ำ งาานขอยง ไุ ทย 1 โดย ส�ำ นกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนุนวิชาการ 1 – 12 ส�ำ นกั งานปลัดกระทรวงการพฒั นาสังคมและความม่นั คงของมนุษย์
โครงการวิจัยกลยทุ ธ์สคณง่ ะเผสู้ดร�ำ ิมเนกินกาารรวทจิ �ำ ยั งานของผสู้ งู อายไุ ทย คณะท่ปี รกึ ษาโครงการ นางสาวสุภาภรณ์ ณ นคร ผอู้ ำ�นวยการสง่ เสริมและสนับสนุนวิชาการ 12 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชยั ศรีสุชาต ิ ผอู้ ำ�นวยการสถาบนั เสรมิ ศึกษาและทรพั ยากรมนุษย์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย คณะผวู้ จิ ยั นางสาวเปรมจติ ศริ ิวฒั นะตระกูล ส�ำ นกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ 1 นางสาวปทุมมา ไชยบญุ ส�ำ นักงานสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วิชาการ 1 นางวรรทณา นวลยอ่ ง สำ�นกั งานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 นายพนมศกั ย์ สขุ ทอง ส�ำ นกั งานสง่ เสรมิ และสนับสนุนวชิ าการ 2 นางนิศานาถ ศรสี ังวร ส�ำ นักงานส่งเสริมและสนบั สนุนวชิ าการ 3 นางสาวพนิดา แน่นอุดร ส�ำ นักงานส่งเสรมิ และสนับสนนุ วชิ าการ 3 นางสาวพีรภาว์ ลิมปนวัสส์ สำ�นกั งานส่งเสริมและสนับสนนุ วชิ าการ 4 นายสหศกั ด์ิ ฤทธ์ิรักษา ส�ำ นักงานส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชาการ 4 นางสาวอารยา จา่ โนนสูง สำ�นกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 5 นางสาวณภัทร แสวงผล ส�ำ นกั งานส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 5 นายสรุ เดช คิดรัมย ์ สำ�นักงานสง่ เสรมิ และสนับสนนุ วิชาการ 6 นายเศรษฐศกั ด์ิ มลู ดามาตย์ ส�ำ นกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวชิ าการ 6 นางสาวชฎารตั น์ ไชยสงิ ห ์ สำ�นกั งานสง่ เสริมและสนับสนนุ วิชาการ 7 นางปุญชิดา ปญั ญาม ี สำ�นักงานส่งเสริมและสนับสนนุ วชิ าการ 7 นายร่งุ ธรรม เหลียววฒั นกิจ สำ�นักงานส่งเสรมิ และสนับสนุนวิชาการ 8 2 นางสาวภัทรภร พลอยสีงาม ส�ำ นกั งานส่งเสริมและสนับสนุนวชิ าการ 8 นางสาวสธุ ิศา วรรณบรู ณ์ สำ�นกั งานสง่ เสรมิ และสนับสนุนวิชาการ 9 นางวมิ ลทพิ ย์ พันชน สำ�นักงานส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 9 นางสาวภารำ�พึง อริยะ สำ�นกั งานสง่ เสรมิ และสนับสนนุ วชิ าการ 10 นางลาวลั ย์ วนั ชยั สำ�นักงานสง่ เสรมิ และสนบั สนุนวชิ าการ 10 นางกลุ วดี เมอื งจนี ส�ำ นักงานสง่ เสรมิ และสนับสนุนวชิ าการ 11 นางสาวทิพวดี มะฮง ส�ำ นกั งานส่งเสริมและสนบั สนุนวิชาการ 11 นางสาวนพรตั น์ กอวัฒนากุล สำ�นักงานส่งเสรมิ และสนับสนุนวชิ าการ 12 นางสาวศลี ยิ า สุขอนันต์ ส�ำ นกั งานส่งเสรมิ และสนับสนุนวิชาการ 12 พมิ พท์ ี่ : ไอควิ มีเดีย 089-4660752 จดั พมิ พ์และเผยแพร่ : ส�ำ นักงานปลัดกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนุษย ์ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์ ถนนสงขลา-เกาะยอ ตำ�บลพะวง อ�ำ เภอเมืองสงขลา จงั หวัดสงขลา 90100 โทรศพั ท์/โทรสาร 074-330222, 074-330280, 074-330228 E-mail : [email protected]
คำ�นำ� โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 3 การเข้าสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทยเป็นพัฒนาการท่ีเปล่ียนแปลงไปตามกระแสโลก ซ่ึงไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทย เท่านัน้ แตย่ ังรวมถงึ ประเทศอื่นๆ ในทวปี เอเชยี เช่น ญี่ปนุ่ สงิ คโปร์ ท่ไี ด้มีการก�ำ หนดแนวทางรองรับสถานการณ์ดังกลา่ วไว้ อยา่ งเปน็ ระบบ และภายใตส้ ถานการณเ์ ดยี วกนั นที้ �ำ ใหป้ ระเทศไทยไดม้ กี ารก�ำ หนดนโยบายและมาตรการในการรองรบั สงั คม สงู อายทุ ม่ี แี นวโนม้ ของผสู้ งู อายเุ พม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ ใหผ้ สู้ งู อายมุ คี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ แี ละคงไวซ้ งึ่ คณุ คา่ ของการเปน็ ศนู ยก์ ลาง ความศรทั ธาของครอบครัว นโยบายและมาตรการต่างๆ ท่ีได้มีการดำ�เนินการในเบ้ืองต้น คือ การจัดสวัสดิการท่ีเหมาะสมให้กับผู้สูงอายุ แต่ใน ปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำ�นวนไม่น้อยท่ียังมีศักยภาพและสามารถท่ีจะทำ�งานได้ในประเภทงานที่เหมาะสม หน่วยงานภาครัฐจึงมี นโยบายในการสง่ เสรมิ การท�ำ งานของผสู้ งู อายุ รวมทงั้ เตรยี มความพรอ้ มส�ำ หรบั ผทู้ จ่ี ะเขา้ สวู่ ยั สงู อายุ เพอ่ื ใหก้ ารท�ำ งานด�ำ เนนิ ไปไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ นอกจากจะเปน็ การเพมิ่ ก�ำ ลงั แรงงานเพอ่ื เสรมิ มติ ทิ างเศรษฐกจิ แลว้ การท�ำ งานของผสู้ งู อายยุ งั เชอ่ื มโยง ถึงมิตดิ า้ นสุขภาพในการส่งเสริมใหผ้ ูส้ ูงอายุได้ออกกำ�ลงั กาย พัฒนาระบบความคดิ ความจ�ำ และการมสี ่วนรว่ มในสงั คม การถ่ายทอดนโยบาย และมาตรการต่างๆ สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ต้องอาศัยการเช่ือมโยงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ บริบทของพื้นทแี่ ละกลไกการขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏบิ ตั ิ ดงั น้นั สำ�นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 – 12 (สสว. 1 - 12) ในฐานะหนว่ ยงานสว่ นกลางทตี่ ง้ั อยใู่ นภมู ภิ าค รบั ผดิ ชอบพนื้ ทรี่ ะดบั เขตตามการแบง่ เขตของกระทรวงการพฒั นาสงั คม และความมน่ั คงของมนษุ ยท์ ง้ั 12 เขตทว่ั ประเทศ จงึ ด�ำ เนนิ การศกึ ษาวจิ ยั โครงการ “กลยทุ ธส์ ง่ เสรมิ การท�ำ งานของผสู้ งู อายไุ ทย” เพอ่ื ศกึ ษาสถานการณก์ ารท�ำ งานของผสู้ งู อายใุ นปจั จบุ นั ทศั นคตแิ ละความตอ้ งการการสนบั สนนุ การท�ำ งาน ซงึ่ จะน�ำ ไปสกู่ าร กำ�หนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการทำ�งานระดับพื้นที่ที่สอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ระดับชาติ และนำ�ไปสู่การขับเคลื่อน ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามความตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมาย สง่ เสรมิ การท�ำ งานใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนอื่ งและสรา้ งคณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ไี ด้ อยา่ งยง่ั ยนื ส�ำ นกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 – 12 ขอขอบคณุ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศภุ ชัย ศรีสชุ าติ ทไี่ ด้กรณุ าเปน็ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการวจิ ัย “กลยุทธ์ส่งเสรมิ การท�ำ งานของผู้สงู อายไุ ทย” และหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ โครงการวจิ ยั ดงั กลา่ วน้ี จะเปน็ ประโยชน์ต่อการดำ�เนนิ งานของหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้องรวมถึงผู้ท่สี นใจไมม่ าก กน็ ้อย และหากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ทีน่ ้ี สำ�นักงานสง่ เสรมิ และสนับสนุนวชิ าการ 1 – 12 สิงหาคม 2562
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 4 บทคัดย่อ โครงการวจิ ยั กลยทุ ธส์ ง่ เสรมิ การท�ำ งานของผสู้ งู อายไุ ทย มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาสถานการณก์ ารท�ำ งานและลกั ษณะ การท�ำ งานของผใู้ หญแ่ ละผสู้ งู อายไุ ทยในปจั จบุ นั เพอื่ ศกึ ษาทศั นคตแิ ละความตอ้ งการการสนบั สนนุ ดา้ นการท�ำ งานของผใู้ หญ่ และผู้สูงอายุไทย รวมทั้งเพ่ือกำ�หนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการทำ�งานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุไทย โดยมีเป้าหมายสำ�คัญคือ ส่งเสรมิ ให้ผ้ใู หญแ่ ละผู้สงู อายุมีงานท�ำ เพอ่ื การพ่ึงพาตนเองได้อยา่ งตอ่ เน่อื งและยั่งยืน โครงการวิจยั ชิ้นน้ีใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวธิ ี ซงึ่ ประกอบด้วย การวิจัยเชิงเอกสาร การวจิ ัยเชงิ ปริมาณ และการวิจยั เชิงคณุ ภาพท่มี กี ารใชท้ ง้ั วธิ กี ารสนทนากลุม่ และการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ ส�ำ หรับการวิจยั เชิงปรมิ าณ กลุ่มตัวอยา่ งในการวจิ ยั คือ ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 55 – 65 ปี โดยเป็นแรงงานนอกระบบหรือผู้ท่ีว่างงาน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการวจิ ยั สว่ นการสนทนากลมุ่ กลมุ่ เปา้ หมายคอื ตวั แทนของหนว่ ยงานทม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การสง่ เสรมิ การท�ำ งานของผใู้ หญ่ และผู้สูงอายใุ นพ้นื ท่ี เช่น สำ�นักงานพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย์จังหวัด (พมจ.) แรงงานจังหวดั ตัวแทนจากองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน และสมาชิกชมรม/สมาคมผู้สูงอายุ สำ�หรับการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญเก่ียวกับ ดา้ นแรงงานและผู้สูงอายุซ่ึงเปน็ ผู้เชี่ยวชาญและนกั วิชาการจากสถาบันการศึกษา/หน่วยงานต่างๆ
ผลการวจิ ัย พบวา่ สถานการณก์ ารท�ำ งานของผสู้ ูงอายุในปัจจุบนั มแี นวโนม้ เพม่ิ สูงขนึ้ อย่างตอ่ เนือ่ ง และสว่ นใหญเ่ ปน็ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย แรงงานนอกระบบท่ีจบการศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือต่ํากว่า อาชีพส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกรรม รับจ้าง ค้าขาย ซ่ึงเป็นอาชีพท่ีไม่ม่ันคงและมีรายได้ไม่แน่นอน เป็นการทำ�งานโดยไม่มีทักษะและสมรรถนะอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผู้สูงอายุ 5 ท่ียากจนมีจำ�นวนค่อนข้างมาก เหตุผลสำ�คัญในการทำ�งานอย่างต่อเน่ืองของกลุ่มตัวอย่างคือ การมีภาระที่ต้องดูแลบุคคล ในครอบครวั มรี ายไดไ้ มเ่ พยี งพอตอ่ คา่ ใชจ้ า่ ยในครอบครวั และตอ้ งการใชเ้ งนิ เลย้ี งดตู นเอง ซง่ึ เปน็ เหตผุ ลในเชงิ เศรษฐกจิ เปน็ หลกั แหลง่ รายไดห้ ลักสว่ นใหญม่ าจากการท�ำ งาน รองลงมาคือ เบ้ียยังชีพผู้สูงอายุ บตุ ร และคู่สมรส กลุม่ ตวั อยา่ งสว่ นใหญ่มรี ะดับ คะแนนของทัศนคติในเชิงบวกต่อการทำ�งานของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะทัศนคติด้านเศรษฐกิจและการทำ�งาน และเม่ือเปรียบ เทียบปจั จยั ต่างๆ ทเี่ ก่ียวข้อง พบว่า ผสู้ ูงอายุ (60 – 65 ป)ี มีระดบั คะแนนของทศั นคติท่ีสูงกว่าผู้ใหญ่ (55 – 59 ปี) ผู้ท่ียงั คง ทำ�งานอยู่ในปจั จบุ ันและเคยมีประสบการณท์ ำ�งานเมอื่ 5 ปที แี่ ลว้ มรี ะดับคะแนนของทศั นคติมากกวา่ ผทู้ ไ่ี ม่ไดท้ ำ�งานและผูท้ ี่ ไม่มีประสบการณเ์ ชน่ กัน ส่วนความต้องการการสนบั สนนุ การทำ�งาน พบว่า กลุ่มตัวอยา่ งสว่ นใหญ่ต้องการสวัสดกิ ารด้านการ รักษาพยาบาล รองลงมาคือสวัสดิการและความม่ันคงด้านรายได้และการประกอบอาชีพ อันดับสามคือการปรับปรุงสภาพ แวดล้อมให้เหมาะสมกบั การทำ�งาน ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณทำ�ให้สามารถจำ�แนกกลุ่มตัวอย่างได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ทำ�งานอยู่ในปัจจุบัน และ ตอ้ งการท�ำ งานตอ่ เนอ่ื ง กลมุ่ ทป่ี จั จบุ นั ท�ำ งาน แตต่ อ่ ไปไมต่ อ้ งการท�ำ งาน และกลมุ่ ทไ่ี มไ่ ดท้ �ำ งาน แตอ่ นาคตตอ้ งการทจี่ ะท�ำ งาน จากการศึกษาในเชิงคุณภาพทำ�ให้ทราบถึงเหตุผลของความต้องการทำ�งานในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่มแรกมีความจำ�เป็นในด้าน เศรษฐกจิ เปน็ หลกั และมคี วามพรอ้ มดา้ นสขุ ภาพ กลมุ่ ทส่ี องสว่ นใหญม่ ปี ญั หาดา้ นสขุ ภาพ และครอบครวั ไมต่ อ้ งการใหท้ �ำ งาน ส่วนกลุ่มที่สามมีความจำ�เป็นท่ีจะต้องทำ�งานเนื่องจากมีภาระในครอบครัวมากข้ึน หรือถูกทอดท้ิงให้อยู่ตามลำ�พัง ประเภท ของงานที่เหมาะสมได้แก่ งานท่ีไม่เน้นการใช้สมรรถนะหรือกำ�ลังแรงงาน รวมท้ังงานท่ีมีความยืดหยุ่นในด้านของเวลา และ สถานท่ี สว่ นปจั จยั หนนุ เสรมิ ในการท�ำ งานไดแ้ ก่ ผสู้ งู อายทุ ม่ี ที กั ษะ/ประสบการณ์ และสามารถเรยี นรกู้ ารท�ำ งานใหมๆ่ ทไ่ี มเ่ กนิ ความสามารถได้ ภาครฐั ทม่ี นี โยบายเออ้ื ตอ่ การท�ำ งาน และการมสี ว่ นรว่ มของภาคสว่ นตา่ งๆ ปจั จยั ทเ่ี ปน็ อปุ สรรค ไดแ้ ก่ ผสู้ งู อายุ ทมี่ ปี ญั หาดา้ นสขุ ภาพ การขาดฐานขอ้ มลู ดา้ นผสู้ งู อายุ ผลติ ภณั ฑจ์ ากผสู้ งู อายยุ งั ไมส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของตลาด และ การบูรณาการระหว่างหนว่ ยงานขาดความเป็นเอกภาพ ในส่วนของการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เช่ียวชาญ/นักวิชาการ ในประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุ ผเู้ ชยี่ วชาญ/นกั วชิ าการมคี วามเหน็ ทสี่ อดคลอ้ งกนั ในดา้ นของการสง่ เสรมิ เชงิ คณุ ภาพ เชน่ การพฒั นาทกั ษะความรแู้ ละสง่ เสรมิ ช่องทางการตลาด แต่มีความคิดเหน็ ทแี่ ตกต่างกันในด้านการสง่ เสริมเชงิ ปริมาณ เนอื่ งจากแรงงานนอกระบบทเี่ ปน็ ผใู้ หญ่และ ผสู้ ูงอายสุ ามารถกำ�หนดอายกุ ารท�ำ งานได้ด้วยตนเอง และมีจำ�นวนทมี่ ากเพยี งพอจึงไม่จำ�เป็นที่จะตอ้ งสง่ เสรมิ ในเชงิ ปริมาณ แนวทางการส่งเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุที่เหมาะสมคือ การเตรียมความพร้อมในด้านสุขภาพและทักษะของผู้สูงอายุ การจัดการดา้ นขอ้ มูลและสง่ เสริมการท�ำ งานแบบบรู ณาการ ผลจากการประมวลข้อมูลท้งั หมดน�ำ มาสกู่ ารก�ำ หนดกลยทุ ธ์ในการสง่ เสริมการท�ำ งาน 5 กลยทุ ธค์ อื 1. จดั ทำ�ฐานข้อมูลของผู้สงู อายแุ ละกลไกในระดับพน้ื ที่ 2. สรา้ งคา่ นยิ มในการส่งเสรมิ การท�ำ งานของผสู้ ูงอายุ 3. ส่งเสริมการบูรณาการด้านการทำ�งานของผูส้ งู อายุ 4. ส่งเสริม พฒั นาอาชีพให้ครบวงจร เพ่ือการขับเคล่ือนการดำ�เนนิ งานด้านผู้สูงอายุ 5. พัฒนาระบบความคุม้ ครองในการทำ�งานของผู้สูงอายุ ส�ำ หรบั ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เตมิ เพอ่ื การพฒั นางานไดแ้ ก่ การเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ สรา้ งหลกั ประกนั และความมน่ั คงดา้ น การเงินโดยเร่ิมตน้ ตัง้ แตว่ ยั แรงงาน การส่งเสริมใหผ้ ูท้ ที่ ำ�งานในระบบมีการท�ำ อาชพี เสรมิ เพอ่ื เพมิ่ รายไดค้ วบค่กู ันไป เพื่อใหม้ ี ทักษะและประสบการณ์ที่ทำ�ให้สามารถทำ�งานได้อย่างต่อเน่ือง และควรมีการนำ�กลยุทธ์ที่กำ�หนดไปทดลองปฏิบัติในพื้นท่ีๆ ค่อนขา้ งจะมีความพรอ้ ม กอ่ นที่จะมีการขยายผลไปยังพ้นื ทีอ่ ่นื ๆ
Abstract This strategic research for promoting work among Thai elders is conducted to explore work and its characteristics among Thai adults and elders, investigate Thai adults and elders’ attitudes toward work and the need for work supports, and propose work promotion strategies for Thai adults and elders. Ultimately, this research aims to promote consistently self-reliant and sustainable careers among Thai adults and elders. Various research methods are employed in this research. These are document research, quantitative โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย research and qualitative research which includes focus-group discussions and in-depth interviews. Research sample groups for the quantitative research using questionnaires are Thai adults and elders with the age between 55 – 65 years who are informal labors or unemployed. Participants in the focus-group discussions are representatives from various local agencies which are responsible for promoting work among local adults and elders such as provincial Social Development and Human Security offices, provincial labor offices, local administrative officers and local elders’ clubs. Lastly, in-depth interviews are conducted with experts in labor and elder from various agencies and educational institutions. The results show that work of Thai elders is currently increasing. Most of them are informal labors with primary or lower education. Their occupations are mostly farmers, manual labors and merchants. Since these occupations are unskilled and unstable, many of Thai elders are stuck in poverty. The main reason for doing these occupations is economical – they need to take care of their families and themselves when their incomes are insufficient. Most of their income sources are from jobs, elderly welfare, their children and spouses. Most of the sample groups have positive attitude towards elderly work especially economic attitude and work attitude. When comparing several relevant factors, the elders (60 – 65 years) 6 have higher attitude scores than the adults (55 – 59 years); and those who are working or have more than 5 years of experience have better attitude scores than those who have never worked or those who are unemployed. Regarding to the need for work supports, most of the sample groups state that they need medical welfare, income and job security, and better workplace environment. In the quantitative research, there are 3 sample groups: 1) currently working and still wish to continue working, 2) currently working but wish not to continue working, and 3) those who do not work but wish to work in the future. The results reveal reasons to work in each sample group. The first group still wish to work because their health was still good, and they have certain economic reasons. The second group wish not to continue working due to certain health conditions and their families do not want them to work anymore. The third group wish to work in the future because they have more family burden, or they were neglected. The suitable work for these elders is the one that is not performance or labor demanding. The work must also be flexible in time and place. Supporting factors for elderly work are skills/experience of the elders, ability to learn new work which is not beyond their capabilities, work-promotion policies from the government and participations from various state agencies. For the obstacles in elderly work,
they are health problems, lack of elderly database, low market demand for elderly-made products and โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย lack of integration among government agencies. Experts and scholars from in-depth interviews agree in work quality promotion such as labor 7 upskilling and market expansion, while they have different opinions in work quantity promotion since there are vastly amounts of Thai adults and elders who are informal labors that can set their own work duration. The appropriate work promotion policies are preparing elders’ health conditions and skills, database management and improving integration among state agencies. Therefore, this research proposes 5 strategies to promote elderly work: > Setup local elderly databases > Create the value which promotes elderly work > Promote agency integration regarding to elderly work > Promote and develop comprehensive careers for elders > Improve work protection for elders Additional recommendations for the work development are building financial security and stability since the early working age, promoting second jobs in order to gain skills and experience for the work continuity, and implementing these five strategies in pilot areas before further implementation.
บทสรปุ ผบู้ ริหาร โครงการวิจัยกลยุทธ์ส่งเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุไทย เป็นโครงการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่สัดส่วน ของประชากรสูงอายุเพิ่มสูงข้ึนอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในด้านของอัตรากำ�ลังของวัยแรงงานท่ีลดลง และมคี า่ ใชจ้ า่ ยเกยี่ วกบั สวสั ดกิ ารดา้ นการรกั ษาพยาบาลเพม่ิ ขนึ้ ขณะเดยี วกนั โครงการดงั กลา่ วนก้ี ม็ คี วามสอดคลอ้ งกบั นโยบาย ของภาครฐั ในการสง่ เสรมิ ใหผ้ สู้ งู อายมุ สี ว่ นรว่ มในการท�ำ งานมากขน้ึ เนอื่ งจากในปจั จบุ นั ยงั มผี สู้ งู อายทุ ม่ี ศี กั ยภาพและสามารถ ทำ�งานได้ เพ่ือให้ผู้สูงอายุเป็นหน่ึงในก�ำ ลังการผลิตท่ีส�ำ คัญ และยังช่วยเสริมคุณค่า เพิ่มความสามารถในการพ่ึงพาตนเองได้ อกี ทางหนึง่ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย วัตถุประสงค์สำ�คัญของโครงการวิจัยคือ เพื่อศึกษาสถานการณ์การทำ�งานและลักษณะการท�ำ งานของผู้ใหญ่และ ผสู้ งู อายไุ ทยในปจั จุบัน เพอ่ื ศึกษาทัศนคติและความตอ้ งการการสนบั สนนุ ด้านการท�ำ งานของผู้ใหญ่และผู้สงู อายุไทย รวมทั้ง เพื่อกำ�หนดกลยทุ ธใ์ นการส่งเสรมิ การท�ำ งานของผู้ใหญ่และผ้สู งู อายุไทย โดยใชว้ ิธดี �ำ เนินการวจิ ยั แบบผสานวธิ ี ประกอบด้วย การวจิ ยั เชิงเอกสาร การวิจัยเชงิ ปรมิ าณ และการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ โดยใช้วธิ กี ารวจิ ยั เชิงปริมาณเปน็ วธิ กี ารหลกั กลุ่มตัวอย่าง ในการวจิ ยั คือ แรงงานนอกระบบ/ผ้วู ่างงานที่มอี ายรุ ะหวา่ ง 55 – 65 ปี และจำ�แนกใหช้ ดั เจนขน้ึ เปน็ 2 กล่มุ คือ กลุ่มผูใ้ หญ่ (55 – 59 ป)ี และผ้สู งู อายุ (60 – 65 ป)ี เพอื่ เปน็ การเตรียมความพรอ้ มส�ำ หรับวัยก่อนสูงอายุ และสง่ เสริมการท�ำ งานของ ผสู้ งู อายุให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตอายุของกลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีก�ำ หนดไว้ถึง 65 ปี เนอื่ งจากพบวา่ ผู้ทีม่ อี ายเุ กนิ 65 ปีข้ึนไป มีอัตราการทำ�งานลดลงอย่างมากเน่ืองด้วยความเส่ือมถอยในด้านของสุขภาพ ส่วนการวิจัยเชิงเอกสารเป็นการศึกษาเพื่อให้ ทราบถึงสถานการณ์การท�ำ งานในปัจจุบนั ของผู้สูงอายุ แนวโนม้ และลกั ษณะการท�ำ งาน สำ�หรับการวิจยั เชิงคณุ ภาพเป็นการ เสริมข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อเติมเต็มงานวิจัยให้สมบูรณ์และมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำ�ไปสู่การกำ�หนดกลยุทธ์ท่ีเหมาะสม กับผู้สูงอายุและบริบทของพ้ืนท่ี กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาด้วยวิธีการสนทนากลุ่มคือ เจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม การทำ�งานของผู้สูงอายุในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และสมาชิกชมรม/สมาคมเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ส่วนการสัมภาษณ์ เชิงลึก เปน็ การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ/นกั วิชาการท่ีมีความรคู้ วามเชย่ี วชาญด้านแรงงานและการท�ำ งานของผูส้ งู อายุ ผลจากการศกึ ษาวจิ ยั พบวา่ สถานการณก์ ารท�ำ งานของผสู้ งู อายมุ แี นวโนม้ เพม่ิ สงู ขนึ้ ตามสดั สว่ นของประชากรสงู อายุ 8 ท่ีเพ่ิมมากขึ้น แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือต่ํากว่า ซึ่งแสดงถึงการทำ�งานท่ีอาศัย ประสบการณ์มากกว่าทักษะความรู้ และอาจไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับประเภท ของงานสว่ นใหญเ่ ปน็ อาชพี เกษตรกรรม รบั จา้ ง และคา้ ขาย ทไ่ี มม่ หี ลกั ประกนั ความมน่ั คงดา้ นรายไดแ้ ละอาชพี อยา่ งเพยี งพอ ข้อมูลจากการวิจัยเชิงเอกสารดังกล่าวสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณท่ีพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังคงทำ�งานอยู่ใน ปจั จบุ นั จากจ�ำ นวนกลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั หมด 3,600 คน มผี ทู้ ย่ี งั ท�ำ งานจ�ำ นวน 2,542 คน หรอื คดิ เปน็ รอ้ ยละ 70.61 และสว่ นใหญ่ อยูใ่ นวยั ผูใ้ หญโ่ ดยมจี �ำ นวน 1,181 คน หรือมคี า่ เท่ากับรอ้ ยละ 81.39 เม่ือจำ�แนกตามเพศพบว่า กล่มุ ตวั อยา่ งเป็นเพศชาย 1,294 คน และเพศหญงิ 2,306 คน ซ่งึ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 35.94 และรอ้ ยละ 64.06 ตามลำ�ดบั เมอื่ เปรยี บเทียบความสมั พนั ธ์ ระหว่างเพศและอายพุ บวา่ ส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญิงวัยสูงอายุ จ�ำ นวน 1,358 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.72 เมอ่ื เทียบโดยใชเ้ กณฑ์ ของอายุและการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่เรียนจบช้ันประถมศึกษาจำ�นวน 1,583 คน คิดเป็นร้อยละ 73.66 เมอ่ื เทยี บสถานภาพสมรสตามชว่ งอายพุ บวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งสว่ นใหญม่ สี ถานภาพสมรสและอยใู่ นวยั สงู อายุ โดยมจี �ำ นวน 1,337 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 62.22 ขอ้ มลู ดา้ นการประกอบอาชพี เมอ่ื เปรยี บเทยี บประเภทของอาชพี กบั ชว่ งอายพุ บวา่ สว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี ดา้ นเกษตร และประมง จ�ำ นวน 951 คน คิดเปน็ ร้อยละ 37.41 และเมอ่ื จ�ำ แนกตามชว่ งอายุ พบวา่ วัยผ้ใู หญ่ส่วนใหญม่ อี าชีพรบั จา้ งทั่วไป จำ�นวน 448 คน หรือคิดเป็นรอ้ ยละ 37.93 ส่วนผู้สงู อายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพดา้ นเกษตร และประมง จำ�นวน 545 คน
คิดเป็นร้อยละ 40.04 เมื่อเทียบชว่ งอายกุ ับประสบการณท์ ำ�งานเมอ่ื 5 ปีที่แลว้ พบวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งทัง้ สองช่วงอายสุ ่วนใหญ่ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย มปี ระสบการณใ์ นการท�ำ งาน โดยมีจำ�นวน 2,960 คน หรอื คดิ เป็นรอ้ ยละ 82.22 เหตุผลสำ�คัญในการทำ�งานเป็นเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก คือ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายท้ังในส่วน 9 ของตนเองและสมาชิกในครอบครัว รวมท้ังชำ�ระหน้ีสิน ส่วนเหตุผลในด้านความพร้อมของสุขภาพ การใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์ หรอื การเข้าสังคม เป็นเหตผุ ลทม่ี คี วามส�ำ คญั รองลงมา แหลง่ รายได้หลักสว่ นใหญ่มาจากการท�ำ งาน รองลงมาคือ รายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บุตร และคู่สมรส มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ผู้สูงอายุท่ีมีเงินรายได้จากบุตรมีแนวโน้มท่ีลดลง และ ในปจั จบุ นั มคี รอบครวั ขา้ มรนุ่ ทมี่ ผี สู้ งู อายอุ าศยั อยกู่ บั หลานมากขนึ้ รวมทงั้ ผสู้ งู อายทุ ถี่ กู ทอดทง้ิ ใหอ้ ยตู่ ามล�ำ พงั ซงึ่ สถานการณ์ ดังกลา่ วนบั เป็นสาเหตสุ ำ�คญั ทที่ �ำ ใหผ้ ู้สูงอายตุ ้องทำ�งานเพื่อให้มรี ายไดเ้ พิ่มมากขึน้ การจดั การรายได้ คา่ ใชจ้ า่ ย และหนสี้ นิ ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง เมอื่ เทยี บรายไดโ้ ดยเฉลยี่ คา่ ใชจ้ า่ ยโดยเฉลยี่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการ ชำ�ระหนี้สนิ โดยเฉลีย่ รวมทัง้ หนี้สนิ รวมโดยเฉลยี่ พบว่ารายได้กบั รายจา่ ยมคี วามไม่สมดุล หน้ีสินรวมโดยเฉลีย่ ยงั ค่อนข้างสงู ซง่ึ นับว่าเปน็ อกี หนึ่งเหตผุ ลสำ�คัญทท่ี �ำ ให้ผ้ใู หญ่และผู้สงู อายยุ งั คงท�ำ งานอยา่ งต่อเนือ่ ง สว่ นการออมเงนิ สว่ นใหญเ่ ปน็ การออมในลกั ษณะของเงนิ ฝาก/สลากออมทรพั ยม์ ากทสี่ ดุ รองลงมาคอื ประกนั ชวี ติ และ สงั หาริมทรัพย/์ อสงั หาริมทรัพย์ กลุ่มตวั อยา่ งทมี่ ีการออมมจี ำ�นวน 2,038 คน หรอื คดิ เปน็ ร้อยละ 56.75 ซึง่ เปน็ สดั ส่วนท่เี กนิ กว่าคร่ึงหนึ่งเพียงเล็กน้อย และมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหนี้สินในแต่ละเดือนท่ีต้องรับผิดชอบ การทำ�งานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ จงึ ยงั คงเป็นไปอย่างต่อเนอื่ ง ทศั นคตใิ นการท�ำ งาน กลมุ่ ตวั อยา่ งสว่ นใหญม่ รี ะดบั คะแนนของทศั นคตเิ ปน็ ไปในเชงิ บวก ทง้ั ในดา้ นเศรษฐกจิ และการ ท�ำ งานทเี่ ป็นการพง่ึ พาตนเองและเสรมิ รายได้ใหค้ รอบครัว ดา้ นครอบครัวทีส่ ่งเสริมให้ผสู้ งู อายุทำ�งานเพื่อสุขภาพและการเขา้ สงั คม และด้านสุขภาพ ท่กี ารทำ�งานจะทำ�ให้ผสู้ ูงอายุมีการบริหารร่างกาย และพัฒนาระบบความคดิ ความจำ� ปัจจัยที่มีผล ตอ่ ทศั นคตใิ นการท�ำ งานของผสู้ งู อายปุ ระกอบดว้ ย ชว่ งอายทุ ผี่ สู้ งู อายมุ รี ะดบั คะแนนของทศั นคตริ วมมากกวา่ วยั ผใู้ หญ่ สถานะ การทำ�งานในปัจจุบัน ผู้ท่ีทำ�งานจะมีระดับคะแนนของทัศนคติสูงกว่าผู้ท่ีไม่ได้ทำ�งาน และประสบการณ์ในการทำ�งาน ผู้ท่ีมี ประสบการณ์ในการทำ�งานเมื่อ 5 ปีท่แี ล้ว จะมีระดับคะแนนของทัศนคตสิ งู กว่าผูท้ ีไ่ ม่เคยมีประสบการณ์ในการท�ำ งาน ความตอ้ งการในการทำ�งานมปี ัจจัยท่เี กยี่ วขอ้ งประกอบดว้ ย เพศ โดยเพศชายมีความตอ้ งการทำ�งานมากกวา่ เพศหญิง ช่วงอายุ วยั ผู้ใหญม่ คี วามต้องการในการทำ�งานมากกว่าผ้สู ูงอายุ การศกึ ษา คนท่ีมีการศกึ ษาจะมีความตอ้ งการในการท�ำ งาน มากกวา่ คนทไ่ี มไ่ ดร้ บั การศกึ ษา ความพกิ าร คนทไ่ี มพ่ กิ ารจะมคี วามตอ้ งการในการท�ำ งานมากกวา่ คนพกิ าร อาชพี คนทปี่ ระกอบ อาชีพอยู่ในปัจจุบันจะมีความต้องการทำ�งานมากกว่าคนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ ประสบการณ์/ทักษะ/ความชำ�นาญ ผู้ท่ีมี ประสบการณ/์ ทกั ษะการท�ำ งานจะมคี วามตอ้ งการในการท�ำ งานทม่ี ากกวา่ ผไู้ มม่ ปี ระสบการณ/์ ทกั ษะ รายได/้ หนสี้ นิ สง่ ผลตอ่ ความต้องการทำ�งานเพ่ือให้มีค่าใช้จ่ายท่ีเพียงพอ แหล่งรายได้หลัก ผู้ท่ีมีรายได้หลักจากการทำ�งานจะมีความต้องการในการ ท�ำ งานมากกว่าผูท้ ม่ี ีรายไดห้ ลกั จากแหลง่ อ่นื ๆ รปู แบบการทำ�งานท่กี ลมุ่ ตัวอยา่ งสว่ นใหญต่ ้องการคือ การท�ำ งานแบบมรี ายได้ โดยมจี �ำ นวนเท่ากบั 1,819 คน หรอื อัตราเท่ากับรอ้ ยละ 92.01 และประเภทของงานทีต่ ้องการท�ำ สว่ นใหญเ่ ป็นงานประเภทเกษตรกรรม รองลงมาคอื งานบรกิ าร และงานฝมี อื ตามลำ�ดบั ความต้องการการสนับสนุนการทำ�งาน การสนับสนุนในเร่ืองสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลเป็นสิ่งท่ีกลุ่มตัวอย่าง ต้องการมากทสี่ ดุ โดยเป็นความต้องการของกลมุ่ ตวั อย่างจำ�นวน 2,992 คน มรี ะดบั คะแนนเฉล่ยี เทา่ กบั 4.38 รองลงมาคือ สวสั ดกิ ารและความมนั่ คงดา้ นรายไดแ้ ละการประกอบอาชพี กลมุ่ ตวั อยา่ งทตี่ อ้ งการการสนบั สนนุ ในดา้ นนม้ี จี �ำ นวน 2,969 คน มคี ะแนนเฉลย่ี เทา่ กบั 4.31 และความตอ้ งการดา้ นการปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มในการท�ำ งานใหเ้ หมาะสมกบั ผสู้ งู อายุ เปน็ ความ ต้องการของกลุม่ ตัวอยา่ งจำ�นวน 2,917 คน โดยมคี ะแนนเฉลีย่ เทา่ กบั 4.20
ความต้องการการสนับสนุนการทำ�งานเพิ่มเติม ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพท่ีเหมาะสมกับความต้องการและบริบทของ พื้นท่ี การสง่ เสริมการทักษะความรเู้ พื่อให้เท่าทนั ต่อสถานการณ์ เชน่ ทกั ษะด้านอาชีพ การบรหิ ารจัดการดา้ นการเงิน เปน็ ตน้ การสนบั สนนุ ทนุ /งบประมาณในการประกอบอาชพี การเขา้ ถงึ แหลง่ เงนิ ทนุ /สนิ เชอื่ ตา่ งๆ การจดั หาชอ่ งทางการตลาด สวสั ดกิ าร ดา้ นการรกั ษาพยาบาลเพม่ิ เตมิ การจดั ท�ำ One Stop Service โดยกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ (พม.) ผลจากการวิจัยเชิงคณุ ภาพโดยการสนทนากลมุ่ พบประเดน็ ทีน่ ่าสนใจเก่ยี วกบั เหตุผลและความตอ้ งการในการทำ�งานระหวา่ ง วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยผู้ใหญ่มีเหตุผลหลักในการทำ�งานบนพ้ืนฐานของความรับผิดชอบภาระในครอบครัวและยังอยู่ใน ก�ำ ลงั แรงงานทม่ี คี วามพรอ้ มดา้ นสขุ ภาพ สว่ นผสู้ งู อายเุ นน้ การท�ำ งานเพอื่ สรา้ งคณุ คา่ หรอื ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชนม์ ากกวา่ การท�ำ งานทใี่ ชส้ มรรถนะ เนือ่ งจากภาวะสขุ ภาพทเี่ สอื่ มถอยลง นอกจากน้ีผลจากการวิจัยเชิงปริมาณยังทำ�ให้สามารถจำ�แนกกลุ่มตัวอย่างตามความต้องการในการทำ�งานได้เป็น 3 กลมุ่ และมกี ารเตมิ เตม็ ดว้ ยการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพเพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามชดั เจนเกย่ี วกบั ความแตกตา่ งของเหตผุ ลการท�ำ งานระหวา่ งกลมุ่ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ซงึ่ ประกอบด้วย กลุ่มท่ที �ำ งานอยูใ่ นปจั จบุ ัน และตอ้ งการท�ำ งานตอ่ ไป มเี หตุผลในด้านเศรษฐกิจและความพรอ้ มดา้ นสขุ ภาพ เป็นหลกั กลุม่ ทท่ี ำ�งานอยู่ในปัจจุบัน แตไ่ ม่ตอ้ งการทำ�งานตอ่ ไป เนื่องจากมปี ญั หาด้านสขุ ภาพ และครอบครัวไม่ต้องการให้ ทำ�งาน และ กลมุ่ ท่ีปัจจุบันไม่ได้ทำ�งาน แต่มีความตอ้ งการทำ�งาน เป็นผู้ทมี่ ีสุขภาพไมแ่ ข็งแรง แต่จ�ำ เป็นต้องหารายไดเ้ พื่อเป็น คา่ ใชจ้ ่ายในครอบครวั อยู่ในครอบครวั ข้ามร่นุ ทมี่ ีผู้สูงอายกุ ับหลาน หรอื ถูกทอดทงิ้ ให้อยตู่ ามล�ำ พัง ประเภทของงานที่เหมาะสมคือ งานท่ีไม่เน้นการใช้สมรรถนะหรือกำ�ลังแรงงาน งานประเภทการถ่ายทอดความรู้/ ภูมิปัญญา งานท่ีมีความสอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น รวมทั้งงานที่มีความยืดหยุ่นทั้งในเรื่องของเวลา และสถานที่ในการ ทำ�งาน การด�ำ เนนิ งานของหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ คณะอนกุ รรมการบรหิ ารจดั การแรงงานนอกระบบทเ่ี กดิ จากความรว่ มมอื ระหวา่ ง 9 กระทรวง มบี ทบาทหน้าทใี่ นการจัดท�ำ แผนงาน ขับเคล่ือนงาน และสนับสนุนการทำ�งานของแรงงานนอกระบบ การดำ�เนินงานระดับจังหวัดในลักษณะของการบูรณาการ เช่น ในพ้ืนท่ีจังหวัดสงขลา โดยมีการจัดทำ�แผนพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ และในส่วนของสำ�นักงานพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) ที่มีการริเริ่มโครงการ Start Up โดยส่งเสริมกลุ่มอาชีพของผู้สูงอายุท่ีมีชื่อว่า “สงขลา แม่ครัวช่อลำ�ดวน” และการพัฒนา “ไกด์ช่อลำ�ดวน” เพือ่ เป็นการสร้างรายได้และสง่ เสริมการเขา้ สงั คมให้กบั ผู้สงู อายุ 10 ปัจจัยที่หนุนเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุ ได้แก่ ตัวของผู้สูงอายุที่มีทักษะ/ประสบการณ์ทำ�งาน และมีความพร้อม ในการเรียนรู้ทักษะการทำ�งานท่ีไม่เกินความสามารถ รวมท้ังนโยบายของภาครัฐและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ใน การสง่ เสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุ ส่วนปัจจยั ที่เปน็ อุปสรรค/ขอ้ จ�ำ กัดของการทำ�งาน ไดแ้ ก่ ปัญหาด้านสขุ ภาพของผู้สูงอายุ การขาดฐานข้อมูลเก่ียวกับทักษะความรู้และความต้องการทำ�งานของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึงทุนสนับสนุนการ ท�ำ งานเนอื่ งจากถกู จ�ำ กดั ดว้ ยระเบยี บ/ขอ้ ปฏบิ ตั บิ างประการ และการบรู ณาการของหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งขาดความเปน็ เอกภาพ การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ ผเู้ ชย่ี วชาญ/นกั วชิ าการ ในประเดน็ เกย่ี วกบั การสง่ เสรมิ การท�ำ งานของผสู้ งู อายุ ในมมุ มองทม่ี คี วาม คดิ เหน็ สอดคลอ้ งกนั คอื การสง่ เสรมิ การท�ำ งานในเชงิ คณุ ภาพ เชน่ การพฒั นาทกั ษะความรู้ การพฒั นารปู แบบการท�ำ งานและ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมท้ังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุ ส่วนมุมมองความคิด ท่ีแตกต่างคือผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการส่วนหน่ึงมีความคิดเห็นว่าควรส่งเสริมในเชิงปริมาณให้ผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมในการ ท�ำ งานมากขน้ึ เพอ่ื ทดแทนก�ำ ลงั แรงงานและผสู้ งู อายสุ ว่ นหนงึ่ ยงั มศี กั ยภาพทส่ี ามารถท�ำ งานได้ ขณะทผ่ี เู้ ชยี่ วชาญ/นกั วชิ าการ อีกส่วนหนึ่งมีความคิดเห็นว่าการทำ�งานของผู้สูงอายุข้ึนอยู่กับความพร้อมและความพึงพอใจ เน่ืองจากแรงงานนอกระบบ สามารถยตุ กิ ารท�ำ งานไดด้ ว้ ยตนเอง และในปจั จบุ นั แรงงานนอกระบบทเ่ี ปน็ ผสู้ งู อายมุ จี �ำ นวนทมี่ ากเพยี งพอ ซงึ่ ควรทจี่ ะไดร้ บั การพฒั นาศกั ยภาพเพือ่ ใหส้ ามารถทำ�งานได้ดีย่งิ ขน้ึ
แนวทางการส่งเสริมการทำ�งานของผู้สูงอายุ ได้แก่ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุโดยเตรียมสุขภาพและ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย วางแผนชีวติ การจดั ทำ�ฐานขอ้ มูลทกั ษะ/คลังปญั ญา/ภมู ปิ ัญญา รวมทั้งฐานขอ้ มลู ประสบการณ์และความต้องการท�ำ งานของ ผู้สูงอายุ การสร้างทัศนคติท่ีดีต่อการทำ�งานของผู้สูงอายุโดยการตระหนักในคุณค่าและส่งเสริมการถ่ายทอดภูมิปัญญา การ 11 พฒั นาทกั ษะความรเู้ พอื่ เพม่ิ ศกั ยภาพในการท�ำ งาน เชน่ ทกั ษะความรตู้ ามพนื้ ฐานเดมิ ทส่ี ามารถตอ่ ยอดได้ การเรยี นรเู้ ทคโนโลยี ทจ่ี �ำ เปน็ และการสรา้ งเทรนเนอรห์ รอื การสง่ ตวั แทนเขา้ รบั การเรยี นรทู้ กั ษะจากภายนอกแลว้ มาถา่ ยทอดสคู่ นในชมุ ชน เปน็ ตน้ การสง่ เสริมการทำ�งานของผู้สงู อายโุ ดยหน่วยงานท่ีเกยี่ วข้อง ท้ังองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ (อปท.) ท่ีควรท�ำ หน้าที่เป็นกลไก ในการประสานงาน และหนว่ ยงานภาครฐั ในการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กลยุทธ์ในการส่งเสริมการทำ�งานของแรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจากการประมวลผลข้อมูลท่ีได้จาก การศกึ ษาวิจัยในขนั้ ตอนต่างๆ ประกอบดว้ ย 5 กลยุทธ์ ดังนี้ 1. จัดท�ำ ฐานขอ้ มูลของผ้สู งู อายแุ ละกลไกในระดบั พืน้ ที่ 2. สร้างค่านิยมในการส่งเสริมการทำ�งานของผ้สู ูงอายุ 3. สง่ เสรมิ การบรู ณาการดา้ นการท�ำ งานของผ้สู ูงอายุ 4. ส่งเสรมิ พฒั นาอาชพี ให้ครบวงจร เพอ่ื การขบั เคลอ่ื นการด�ำ เนินงานด้านผสู้ งู อายุ 5. พฒั นาระบบความคุ้มครองในการท�ำ งานของผสู้ ูงอายุ ส�ำ หรบั ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพอื่ การพฒั นางานไดแ้ ก่ การเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ สรา้ งหลกั ประกนั และความมนั่ คงดา้ น การเงินโดยเร่มิ ตน้ ตั้งแตว่ ัยแรงงาน การสง่ เสริมให้ผทู้ ที่ ำ�งานในระบบมีการท�ำ อาชพี เสริมเพือ่ เพมิ่ รายไดค้ วบค่กู นั ไป เพ่อื ใหม้ ี ทักษะและประสบการณ์ที่ทำ�ให้สามารถทำ�งานได้อย่างต่อเนื่อง และควรมีการนำ�กลยุทธ์ที่กำ�หนดไปทดลองปฏิบัติในพ้ืนที่ๆ คอ่ นขา้ งจะมคี วามพรอ้ ม ก่อนทีจ่ ะมีการขยายผลไปยงั พน้ื ท่ีอืน่ ๆ
คำ�น�ำ 3 บทคัดย่อ 4 บทสรุปส�ำ หรับผบู้ รหิ าร 8 สารบัญ 12 สารบญั ตาราง 14 สารบัญแผนภาพ 15 บทที่ 1 บทน�ำ 17 ความสำ�คัญและที่มาของการวิจัย 19 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย 24 โจทยก์ ารวิจยั 24 นยิ ามศพั ท์ท่สี �ำ คญั 24 ประโยชน์ทีไ่ ด้รบั 25 บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฏี แผนยทุ ธศาสตร์ และเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 27 แนวความคดิ เกี่ยวกับทัศนคต ิ 29 ทฤษฎีเก่ยี วกับการทำ�งาน 36 ทฤษฎเี กี่ยวกับการเกษยี ณอายุ 39 ทฤษฎีเก่ียวกบั การพัฒนาอาชพี ในผู้สูงอายุ 40 รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 49 ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี พ.ศ.2561 – พ.ศ.2580 50 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – พ.ศ.2564) 52 มาตรการขับเคลื่อนระเบยี บวาระแห่งชาติเร่อื งสังคมสูงอายุ (2561) 53 แผนพฒั นาผ้สู ูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2552 54 แผนกลยทุ ธด์ า้ นการทำ�งานของผู้สูงอายุระยะที่ 1 (พ.ศ.2559 – 2563) 58 แผนปฏบิ ัติการดา้ นการบรหิ ารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2560 – 2564 58 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง 59
สารบัญ 67 69 บทท่ี 3 วิธีดำ�เนนิ การวิจัย 72 วิธีดำ�เนินการวจิ ัย 74 เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั 75 การนำ�เสนอขอ้ มูล 77 กรอบแนวคิด 79 บทท่ี 4 ผลการวิจยั 82 ผลการส�ำ รวจขอ้ มลู เชงิ เอกสาร 104 ผลการวจิ ยั เชิงปรมิ าณ 131 ผลการวิจยั เชงิ คุณภาพ 134 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 145 สรุปผลการศกึ ษาวิจยั 150 อภปิ รายผลการวิจยั 153 สรุปความเช่อื มโยงของปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความตอ้ งการในการทำ�งาน 153 และนำ�ไปสกู่ ารก�ำ หนดกลยทุ ธ์เพอ่ื สง่ เสรมิ การท�ำ งานของผู้ใหญ่และผสู้ งู อายุ 154 ขอ้ จำ�กดั ของการศกึ ษา 159 ข้อเสนอแนะเพอ่ื พัฒนาการท�ำ งาน บรรณานกุ รม ภาคผนวก
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย สารบญั ตาราง 46 70 ตารางที่ 2.1 แสดงความสมั พันธ์ของประสิทธภิ าพการทำ�งานของผูส้ งู อายุ 85 ระหวา่ งลักษณะงานกับความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอายุกับศกั ยภาพการทำ�งาน 93 ตารางท่ี 3.1 พนื้ ที่ในการจดั เก็บข้อมลู เชงิ ปริมาณซ่งึ อยใู่ นเขตรบั ผิดชอบของ สสว.ท้งั 12 แห่ง 96 ตารางท่ี 4.1 แสดงจ�ำ นวนสมาชิกในครอบครัว และจ�ำ นวนของสมาชิกทท่ี ำ�งาน 138 ตารางที่ 4.2 แสดงจำ�นวนและร้อยละของคนท่ยี งั ท�ำ งานและคนทไ่ี มไ่ ด้ทำ�งานในปัจจุบัน 151 ตารางที่ 4.3 แสดงการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดียวของเหตผุ ลทต่ี อ้ งการท�ำ งาน ของผสู้ ูงอายจุ �ำ แนกตามทศั นคตติ ่อการทำ�งาน ตารางที่ 5.1 แสดงถึงเหตุผลเกี่ยวกับความพรอ้ ม/ไม่พรอ้ มในด้านต่างๆ ท่สี ง่ ผล ตอ่ ความตอ้ งการในการทำ�งานของกลุ่มตวั อยา่ งวยั ผใู้ หญ่และผสู้ ูงอายุ ตารางท่ี 5.2 กลยทุ ธ์การส่งเสริมการท�ำ งานของผูใ้ หญ่และผู้สงู อายุ และหนว่ ยงานทีร่ บั ผิดชอบ 14
สารบัญแผนภาพ แผนภาพที่ 1.1 แสดงอตั ราส่วนร้อยละของประชากรสงู อายุ พ.ศ. 2548 2559 2564 และ 2574 19 แผนภาพท่ี 1.2 แสดงร้อยละของรายได้ของผู้สูงอายุ จำ�แนกตามแหล่งท่มี า พ.ศ. 2560 22 แผนภาพที่ 4.1 แนวโน้มการทำ�งานของผ้สู งู อายตุ ้ังแตป่ ี พ.ศ.2557 – พ.ศ.2561 80 แผนภาพที่ 4.2 แสดงอตั รารอ้ ยละของผู้สงู อายทุ ีท่ ำ�งานในระบบและนอกระบบ 81 แผนภาพท่ี 4.3 อัตราสว่ นร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง จ�ำ แนกตามเพศและช่วงอายุ 83 แผนภาพท่ี 4.4 อัตราส่วนรอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง จำ�แนกตามเพศและระดับการศกึ ษา 84 แผนภาพท่ี 4.5 อัตราส่วนร้อยละของกล่มุ ตวั อยา่ ง จ�ำ แนกตามชว่ งอายุและระดบั การศึกษา 84 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย แผนภาพที่ 4.6 อัตราส่วนร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง จ�ำ แนกตามชว่ งอายแุ ละสถานภาพสมรส 85 แผนภาพที่ 4.7 อตั ราส่วนร้อยละของกลมุ่ ตวั อย่าง จำ�แนกตามความพิการและช่วงอาย ุ 86 แผนภาพที่ 4.8 อตั ราสว่ นรอ้ ยละของกล่มุ ตวั อยา่ งสูงอายุ จำ�แนกตามประเภทความพกิ าร 87 แผนภาพท่ี 4.9 อัตราส่วนร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจำ�แนกตามชว่ งอายุและอาชพี หลกั 88 แผนภาพท่ี 4.10 อัตราสว่ นรอ้ ยละของกลุม่ ตวั อย่างจ�ำ แนกตามประสบการณท์ ำ�งาน 88 แผนภาพที่ 4.11 อตั ราสว่ นรอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งจำ�แนกตามประเภทของความช�ำ นาญ/ทักษะพิเศษ 89 แผนภาพท่ี 4.12 อตั ราส่วนร้อยละของกลมุ่ ตวั อย่างจ�ำ แนกตามแหล่งรายได้หลกั และช่วงอาย ุ 90 แผนภาพท่ี 4.13 อตั ราสว่ นร้อยละของกล่มุ ตวั อย่างผสู้ ูงอายุทมี่ รี ายไดจ้ ากแหลง่ อื่นๆ 90 แผนภาพท่ี 4.14 ข้อมูลเปรยี บเทยี บรายได/้ คา่ ใชจ้ า่ ย/หนี้สิน จ�ำ แนกตามช่วงอาย ุ 91 แผนภาพที่ 4.15 อัตราสว่ นรอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จ�ำ แนกตามประเภทของการออมเงิน 92 แผนภาพที่ 4.16 อตั ราส่วนร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จำ�แนกตามประเภทของการออมเงนิ 93 แผนภาพที่ 4.17 อัตราส่วนร้อยละของกล่มุ ตัวอย่างจำ�แนกตามเพศ และสถานะการทำ�งาน 94 แผนภาพที่ 4.18 อตั ราส่วนรอ้ ยละของกลุม่ ตวั อย่างจำ�แนกตามอายุ และสถานะการทำ�งาน 94 แผนภาพท่ี 4.19 คะแนนเฉลยี่ ของทัศนคติตอ่ การทำ�งานของผู้สูงอายจุ �ำ แนกตามช่วงอายุ 95 15 แผนภาพท่ี 4.20 คะแนนเฉลย่ี ของทศั นคติต่อการทำ�งานของผู้สูงอายจุ �ำ แนกตามสถานะการท�ำ งาน 96 แผนภาพที่ 4.21 คะแนนเฉล่ียของทศั นคติตอ่ การท�ำ งานของผสู้ งู อายุจำ�แนกตามประสบการณ์ในการทำ�งาน 97 แผนภาพท่ี 4.22 คะแนนเฉลย่ี ของความตอ้ งการในสนับสนุนการทำ�งาน 98 แผนภาพที่ 4.23 คะแนนเฉลีย่ ของความตอ้ งการในสนับสนนุ การทำ�งานจำ�แนกตามอายุ 98 แผนภาพที่ 4.24 คา่ เฉล่ยี ของปัจจยั ทสี่ ง่ ผลต่อความตอ้ งการท�ำ งาน 99 แผนภาพท่ี 4.25 ร้อยละของความตอ้ งการในการทำ�งานจำ�แนกตามช่วงอายุ 100 แผนภาพท่ี 4.26 รอ้ ยละของความต้องการในการท�ำ งานจำ�แนกตามความพิการ 100 แผนภาพที่ 4.27 รอ้ ยละของความตอ้ งการในการทำ�งานจำ�แนกตามประสบการณ์ 101 แผนภาพที่ 4.28 รอ้ ยละของความตอ้ งการในการท�ำ งานจ�ำ แนกตามแหล่งรายไดห้ ลัก 102 แผนภาพที่ 4.29 ร้อยละของความตอ้ งการในการทำ�งานจำ�แนกตามเหตุผลสำ�คญั 102 แผนภาพที่ 4.30 ร้อยละประเภทของงานตามความต้องการของกลุ่มตัวอย่าง 103
16 โครงการวจิ ยั กลยทุ ธ์สง่ เสริมการท�ำ งานของผ้สู งู อายไุ ทย
บทที่ 1 บทน�ำ 17 โครงการวจิ ยั กลยทุ ธ์สง่ เสริมการท�ำ งานของผ้สู งู อายไุ ทย
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย บทที่ 1 บทน�ำ > ความส�ำ คญั และทีม่ าของการวจิ ยั > วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย > โจทย์การวจิ ัย > นยิ ามศัพทท์ สี่ ำ�คญั > ประโยชน์ทไี่ ด้รบั 18
2 บทที่ 1 บทนา 1.1 ความสาคัญและท่ีมาของการวิจยั ปัจจบุ นั ประเทศไทยมีการพฒั นาและความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีอย่างมาก สง่ ผลใหม้ นุษย์เกิด ความสะดวกสบายในด้านต่าง ๆ ตามไปด้วย รวมถงึ การสร้างความคุม้ กันในเรื่องสุขภาพท่ีได้จากการประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆเขา้ มาชว่ ยสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตผุ ลนเี้ องทาใหป้ ระเทศไทยมีสถิติ ประชากรผู้สูงอายุเพ่ิมจานวนมากขึ้นทุกปี จากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2559 (มูลนิธิสถาบันวิจัย และพัฒนาผสู้ ูงอายุไทย, 2559) ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผสู้ ูงอายุ” (aged society) ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2548 จากการที่ ประชากรอายุ 60 ปีข้นึ ไปมสี ดั ส่วนเพ่ิมขึ้นถึงร้อยละ 10 ของประชากรท้ังหมด คาดว่า พ.ศ. 2564 ประเทศไทยจะ กลายเป็น “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” (complete aged society) เมอื่ ประชากรสูงอายสุ ูงถึงร้อยละ 20 และ ประมาณปี พ.ศ. 2574 จะเปน็ “สังคมสูงอายุระดบั สุดยอด” (super aged society) เมอื่ ประชากรสูงอายุเพิ่ม สูงถงึ ร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ขอ้ มูลอตั ราส่วนของประชากรสูงอายุ ดงั แผนภาพที่ 1 ร้อยละ โครงการ ิว ัจยกลยุทธ์ ่สงเสริมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย การคาดการณ์ประชากรสูงอายขุ องประเทศไทยต้ังแต่ ปี พ.ศ.2548 - พ.ศ.2574 30 28 25 สงั คมสงู อายุ 20 สังคมสงู อายุ ระดับสดุ ยอด 20 ปี 2548 16 สงั คมสูงอายุ ปี 2574 19 ผสู้ ูงอายุ 10% อยา่ งสมบูรณ์ ผู้สูงอายุ 28% 15 ปี 2564 ผู้สงู อายุ 20% 10 10 5 0 2559 2564 2574 2548 ปี พ.ศ. 2548, 2559, 2564, 2574 ทม่ี า : มูลนิธิสถาบนั วิจยั และพัฒนาผูส้ ูงอายุไทย (2559) แผนภาพที่ 1.1 อัตราส่วนรอ้ ยละของประชากรสูงอายุ พ.ศ. 2548 2559 2564 และ 2574 สาหรับประเทศไทยการเกษียณอายุได้แบ่งการพิจารณาตามเกณฑ์ หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กาหนดไว้ โดยแยกประเด็นการพิจารณาตามกลุ่ม หรือประเภทบุคคลที่อิงเงื่อนไขของกฎหมาย และลักษณะการ ปฏิบัติงานขององค์กรเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานราชการกาหนดไว้ที่อายุ 60 ปี กลุ่มของผู้ท่ีทางานใน
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 3 ภาคเอกชนก็จะได้รับเงินจากค่าชดเชยจากนายจ้าง เงินกองทุนสารองเล้ียงชีพ (ในกรณีที่สถานประกอบการมี การจัดตั้งกองทุนฯ) และสิทธิประโยชน์ชราภาพจากกองทุนประกันสังคม ซ่ึงข้ึนอยู่กับระยะเวลาในการทางาน และการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน แต่ไม่เกินครึ่งหน่ึงของเงินเดือนสูงสุดท่ีใช้ในการคานวณ (เงินเดือนสูงสุดที่ใช้ ในการคานวณคือ 15,000 บาท สิทธิประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จงึ ไม่เกิน 7,500 บาท) ส่วนกลุ่มผู้ทางานในภาคการเกษตรและกลุ่มแรงงานนอกระบบการเกษียณข้ึนอยู่กับภาวะสุขภาพ และการตัดสินใจของตนเองเป็นหลัก (พัฒนาการวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ, 2559) ผลท่ีเกิดขึ้นน้ีทาให้ระดับรายได้ ของผู้สูงอายุลดลงในทันทีเมื่อเกษียณ ในรายที่เป็นกลุ่มผู้ปฏิบัติงานราชการก็จะได้รับบาเหน็จ หรือบานาญและ ความค้มุ ครองในดา้ นการรักษาพยาบาลจากภาครัฐท่ีอาจเพยี งพอต่อการดารงชวี ิต และได้รับเงินกอ้ นจากกองทุน บาเหน็จบานาญข้าราชการท่ีเป็นไปตามเงอ่ื นไขของระยะเวลาในการรับราชการ และอัตราการเพ่ิมของเงินเดอื น ในระหว่างการรับราชการ ในขณะท่ีกลุ่มของผู้ที่ทางานในภาคเอกชนก็จะได้รับเงินจากค่าชดเชยจากนายจ้าง เงินกองทุนสารองเล้ียงชีพ (ในกรณีท่ีสถานประกอบการมีการจัดตั้งกองทุนฯ) และสิทธิประโยชน์ชราภาพจาก กองทุนประกันสังคม ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการทางานและการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน แต่ไม่เกินคร่ึงหน่ึง ของเงินเดือนสูงสุดท่ีใช้ในการคานวณ (เงนิ เดอื นสูงสุดทใี่ ชใ้ นการคานวณคือ 15,000 บาท สิทธปิ ระโยชนท์ ่ีได้รับ จึงไม่เกิน 7,500 บาท) กลุ่มดังกล่าวนี้อาจประสบปัญหาด้านชีวิตความเป็นอยู่ภายหลังจากการเกษียณอายุ เนอ่ื งจากไมม่ คี วามสามารถในการประกอบอาชีพอ่ืนๆ เพราะมีทกั ษะความรู้ความชานาญเฉพาะด้านในสาขาของ งานที่ทาและอาจมีปัญหาดา้ นสุขภาพ ผลกระทบท่จี ะเกดิ ขึ้นในเชิงเศรษฐกจิ ได้แก่ การทปี่ ระเทศก้าวสสู่ ังคมผูส้ งู อายสุ ่งผลต่อภาคการผลิต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่น การจ้างงานการทดแทนแรงงาน การถ่ายทอดประสบการณ์ หรือการจัดการความรู้ ระหว่างรุ่น เป็นต้น ในขณะที่ภาระทางเศรษฐกิจท่ีเป็นภาคการเงินการคลังของรัฐจะมีมากขึ้น เช่น ค่าใช้จ่าย 20 ด้านการรักษาพยาบาลของประเทศท่ีจะสูงข้ึน รายได้ของรัฐบาลที่จะลดลงจากการท่ีเก็บภาษีได้ลดลง ส่งผลให้ ภาระทางการคลังของประเทศจะเพ่ิมสูงขึ้น รวมถึงระดับความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมอาจลดลงและ ส่งผลต่อระดับการออมและการลงทุนของประเทศ ดังนั้น การสร้างกระบวนการทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพือ่ การยกระดบั ความเป็นอยขู่ องผู้สงู อายุ ในขณะเดยี วกันกเ็ ป็นการรักษาสมดลุ ของระดบั รายได้ทางเศรษฐกิจท่ี เหมาะสม จึงต้องมีการขยายอายุการทางานของแรงงานที่ยังมีความรู้ความสามารถ การส่งเสริมในการประกอบ อาชีพที่มีความหลากหลายและการจัดหางานท่ีเหมาะสมตามศักยภาพและสขุ ภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากความสมัครใจ และวสิ ัยทผ่ี ูส้ ูงอายุจะทาได้ ขณะเดียวกันมีนโยบายและมติคณะรัฐมนตรีท่ีให้ความสาคัญกับด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ ผู้สูงอายุ ในวันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยมี ประเด็นด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง คือ การจ้างงานผู้สูงอายุ เพ่ือสร้างหลักประกัน ความมั่นคงในเร่ืองรายได้ของ ผู้สูงอายุใหส้ ามารถเลย้ี งดูตนเองได้ยาวนานยงิ่ ขนึ้ อน่ึงคณะรัฐมนตรีมมี ติรบั ทราบความเห็นและขอ้ เสนอแนะของ สภาท่ปี รกึ ษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรอ่ื ง \"การสร้างโอกาสการมีงานทาของผู้สงู อายุ\" ดังนี้ ดา้ นการขยาย โอกาสการจ้างงานของภาครัฐ เช่น ควรกาหนดเป้าหมายในการเพ่ิมการจ้างงานผสู้ งู อายุ รวมทั้งการกาหนดอายุ เกษียณที่เหมาะสมตามประเภทอาชีพ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีประสบการณ์ ความสามารถและมีความเช่ียวชาญ
4 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้วให้สามารถทางานต่อไปได้ เป็นต้น ในส่วนของภาคเอกชน ควรมีมาตรการจูงใจแก่ธรุ กจิ 21 ภาคเอกชนท่ีมีคนทางานในวัยสูงอายุ กาหนดแผนงาน โครงการ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักในการ กาหนดเกณฑ์ต่าง ๆ สาหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ และทาให้บริษัทต่าง ๆ เกิดการยอมรับการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น สาหรับการบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าสู่วัยเกษียณและมีความสมัคร ใจจะทางานต่อทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับการพิจารณา จัดโครงการแนะแนวการจ้างงานผู้สูงอายุ ควรรณรงค์ ส่งเสริม ให้ความรู้ต่อสังคมในการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ ท้ังด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนการเตรียมตัวเข้าสงั คม การให้คาปรึกษาเพ่ือการจ้างงาน และการเปิดโอกาสให้มีทางเลือกท่ียืดหยุ่นใน ตาแหน่งงานได้ เป็นตน้ (กรมกจิ การผู้สงู อายุ, 2562) การส่งเสริมการทางานเพ่ือเพ่ิมรายได้ของผู้สูงอายุเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ สามารถพ่ึงพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนา ผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2545–2564) ท่ีมุ่งสร้างจิตสานึกให้คนในสังคมตระหนักถึงผู้สูงอายุในฐานะ บุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและตระหนักถึงความสาคัญของการเตรียมการเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มี คุณภาพ สามารถดารงชีวิตอย่างมีศักด์ิศรี พง่ึ ตนเองได้ตามยุทธศาสตรด์ ้านการส่งเสริมผ้สู ูงอายุในมาตรการท่ี 2.3 มาตรการ สง่ เสริมด้านการทางานและการหารายได้ของผูส้ ูงอายุ (http://www.olderfund.opp.go.th/ content/view/9/204) ดังนั้น การส่งเสริมการทางานของผู้สูงอายุท่ีสอดคล้องกับความต้องการ เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ สุขภาพ และสถานการณ์ตลาดแรงงานและสินค้าทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานในประเทศและต่างประเทศ โดยมีหน่วยงาน ของรัฐและเอกชนให้การสนับสนุนในเรื่องการจัดหาปัจจัยการผลิต การบริหารจัดการและการตลาด และท่ีสาคัญ สามารถสง่ เสริมการมีงานทาผ่านองค์กรทีม่ ีอยูแ่ ล้วเพือ่ สนบั สนุนใหม้ ีแหลง่ งานแก่ผู้สูงอายทุ ีต่ ้องการมีงานทา หากพิจารณาจากขอ้ มูลการสารวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2560 ของสานักงานสถติ ิแห่งชาติ พบวา่ มีจานวนผู้สูงอายุท้ังหมด 11.30 ล้านคน ผู้สูงอายุที่ยังคงทางานอยู่มีจานวน 3.90 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 35.10 เมื่อจาแนกการทางานของผู้สูงอายุตามช่วงวัย พบว่า ผู้สูงอายุวัยต้นที่ยังคงทางานอยู่มีจานวนมากที่สุด เท่ากับ 1.97 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 50.50 รองลงมาคือผู้สูงอายุวัยกลาง จานวนที่ยังทางานอยู่เท่ากับ 0.74 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19.10 และผู้สูงอายุวัยปลายมีจานวนผู้ทีย่ ังทางานอยู่เท่ากับ 0.17 ล้านคน หรือคิดเปน็ ร้อยละ 4.30 การจาแนกประเภทของแรงงานสูงอายุ พบว่า เป็นแรงงานนอกระบบหรือผู้มีงานทาท่ีไม่ได้รับความ คุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทางานจานวน 3.44 ล้านคน หรือเท่ากับร้อยละ 88.30 และเป็น แรงงานในระบบจานวน 0.46 ลา้ นคน หรือคิดเป็นร้อยละ 11.70 ผสู้ ูงอายุจานวน 2.40 ล้านคน หรือเทา่ กับร้อย ละ 61.60 เป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง รองลงมา คือช่วยธุรกิจในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง จานวน 0.78 ล้านคน หรือเท่ากับร้อยละ 20.00 เป็นลูกจ้างเอกชนจานวน 0.48 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.20 เป็นนายจ้างจานวน 0.15 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.80 เปน็ ลูกจา้ งรัฐบาลจานวน 0.09 ล้านคน หรือคิด เป็นร้อยละ 2.20 และเปน็ การรวมกลุม่ นอ้ ยทสี่ ดุ จานวน 7,800 คน หรือคดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.20
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 5 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีแหลง่ รายได้หลักจากบุตร โดยมีจานวน 3.92 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 34.70 รองลงมาคือรายได้จากการทางานจานวน 3.50 ล้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.00 รายได้จากเบ้ียยังชีพของทาง ราชการจานวน 2.26 ล้านคน หรือคิดร้อยละ 20.00 รายได้จากเงินบาเหน็จบานาญจานวน 0.67 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 5.90 รายได้จากคู่สมรสจานวน 0.45 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.00 รายได้จากดอกเบ้ียเงิน ออมและการขายทรัพย์สินจานวน 0.26 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.30 และรายได้จากแหล่งอื่นๆ จานวน 0.17 ลา้ นคน หรอื คิดเปน็ รอ้ ยละ 1.50 สาหรบั เหตุผลสาคญั ที่ทาใหผ้ ้สู ูงอายุยังคงทางานอยู่ อันดับแรกคอื ความพรอ้ มด้านสุขภาพรา่ งกายท่ี แขง็ แรงโดยมีจานวน 1.86 ลา้ นคน หรือคิดเป็นรอ้ ยละ 47.70 รองลงมาคอื ความต้องการในการหารายไดเ้ พ่ือใช้ ในการดารงชีวิตจานวน 1.69 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 43.40 การไม่มีผู้ดูแลแทน ทาให้ต้องทาเป็นอาชีพ ประจาจานวน 0.13 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.40 มีความต้องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์จานวน 0.09 ลา้ นคน หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 2.20 และอันดับสุดท้ายคือต้องการชว่ ยบุตร/สมาชิกในครัวเรือนจานวน 0.04 ลา้ นคน หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 1.00 ในสว่ นของการจาแนกรายได้ตามแหลง่ รายไดข้ องผ้สู งู อายุ แสดงไว้ดงั แผนภาพที่ 2 แหล่งรายไดข้ องผสู้ ูงอายจุ าแนกตามแหล่งทมี่ า แหลง่ อ่นื ๆ ดอกเบยี้ เงนิ ออม ค่สู มรส บาเหน็จบานาญ เบยี้ ยงั ชพี 22 การทางาน บตุ ร 0.00 5.00 10.00 15.00 20.00 25.00 30.00 35.00 40.00 รอ้ ยละ ทมี่ า : สานกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ (2560) แผนภาพที่ 1.2 รอ้ ยละของรายได้ของผู้สงู อายุ จาแนกตามแหลง่ ที่มา พ.ศ. 2560 การส่งเสริมการทางานของผู้สูงอายุเป็นมาตรการสาคัญของภาครัฐในการรองรับสังคมสูงอายุใน ปัจจุบัน แต่จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า แรงงานสูงอายุส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ เนื่องจากเป็นการ ทางานที่สามารถกาหนดอายุการเกษียณของตนเองได้ แต่ปัญหาสาคัญของแรงงานนอกระบบคือการ ไม่มี หลักประกันและความม่ันคงด้านรายได้ การส่งเสริมการทางานจึงควรคานึงถึงการมีคุณภาพชีวิตท่ีดีและมีรายได้ ม่นั คงเพียงพอ หน่วยงานทีม่ คี วามเกย่ี วข้องโดยตรงไดแ้ ก่ กระทรวงแรงงาน ที่มีการดาเนนิ งานด้านการขยายอายุ
6 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย การทางานสาหรับผู้สูงอายุในสถานประกอบการ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มี 23 การดาเนนิ งานดา้ นการสง่ เสริมการจา้ งงานและการประกอบอาชพี ของผู้สูงอายุท่ีทางานนอกระบบ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีการเพิ่มอัตราการจ้างงาน และมี ตาแหน่งงานว่างสาหรับผู้สูงอายุ 1,435 อัตรา มีแรงงานสูงอายุมาใช้บริการ 2,037 อัตรา ได้รับการบรรจุงาน จานวน 869 คน คิดเป็นร้อยละ 42.66 โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพแรงงานด้านการผลิตจานวน 225 คน รองลงมาเป็นแม่บ้าน 131 คน และพนักงานดูแลความปลอดภัย 113 คน ตามลาดับ ในส่วนของหน่วยงานภาครฐั ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดของกรมจัดหางานได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุจานวน 20 คน นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการจ้าง งานของผู้เกษียณอายุราชการจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้รับการบรรจุงาน 20 คน และประกอบอาชีพ อิสระ 51 คน รวมทั้งมีกิจกรรม 1 อาเภอ 1 ภูมิปัญญา โดยจะมีการจา้ งงานผสู้ งู อายุ 60 ปีขนึ้ ไปทมี่ ีความรู้ มีภมู ิ ปัญญาท้องถ่ินในสาขาต่าง ๆ มาถ่ายทอดความรู้ให้คนในชุมชน เพื่อนาความรู้ไปถ่ายทอดและประกอบอาชีพ ต่อไป เป้าหมายคือ ผู้สูงอายุได้รับการจ้างงาน 150 คน กาหนดดาเนินการใน 11 จังหวัดนาร่องคือ นนทบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงราย นครสวรรค์ นครศรีธรรมราช และสงขลา (กรมจัดหางาน, https://www.doe.go.th/prd/main/news/param/site/1/cat/7/sub/0/pull/ detail/view/detail/object id/14752.2561) นอกจากนี้ยังมีการกาหนดมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระ แหง่ ชาติเรือ่ ง “สงั คมสูงอายุ” โดยเป็นความรว่ มมือระหว่างกระทรวงต่างๆ ท่เี กี่ยวข้องในการขบั เคล่อื นมาตรการ 6 Sustainable 4 Change จากการดาเนนิ งานดังกลา่ วแสดงใหเ้ หน็ ว่าหน่วยงานภาครฐั ได้ให้ความสาคัญกับการ จ้างงานผู้สูงอายุมากข้ึน แม้อาจจะยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย แต่อย่างน้อยเป็นการแสดงให้เห็นถึงการ ขับเคล่ือนการดาเนินงานในการเกื้อหนุนและการช่วยเหลือสนับสนุนเพ่ือให้เกิดการพัฒนาและโอกาสด้านการ ทางานแก่ผู้สูงอายเุ พื่อสร้างอาชีพและรายได้ในการดารงชีวิต การกาหนดกลยุทธ์นับเปน็ การใช้เครื่องมือการบริหาร จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการนากลยุทธ์และการส่งเสริมการทางานมาผนวกใช้จะทาให้หน่วยงานในภาค สว่ นต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องตระหนักถงึ ความสาคัญในการส่งเสริมการทางานให้แกผ่ สู้ ูงอายุมากย่ิงข้ึน ด้วยเหตุน้ี สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 - 12 (สสว.1 – 12) กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ได้ตระหนักถึงความสาคัญของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุในปัจจุบันที่หลายคนมี ความพรอ้ มด้านศักยภาพ ความรู้ ความสามารถและสุขภาพ ขน้ึ อยกู่ บั การทางานก่อนท่ีจะเขา้ สู่วัยผู้สงู อายุ ทั้งน้ี การส่งเสริมการทางานเพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตท่ีดี ควรจะเริ่มตั้งแต่กลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่จะก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จนกระทั่งถึงกลุ่มผู้สูงอายุวัยต้นที่มีอัตราการทางานมากท่ีสุด เพ่ือให้การทางานเป็นไปอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะ กลมุ่ ผู้ทท่ี างานนอกระบบซึง่ การทางานไม่ถกู จากัดด้วยอายุ มีรายได้ท่ไี ม่แนน่ อน และอาจได้รบั สวัสดกิ ารอย่างไม่ ทั่วถึง ดังน้ันการสนับสนุนให้มีการทางานเพ่ือหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการดารงชีวิตจึงต้องมีความเข้าใจถึงเหตุผล ความจาเป็น รวมถึงทัศนคติ และความต้องการด้านการทางานของผู้สูงอายุเพื่อเป็นข้อมูลสาคัญในการศึกษาวิจัย “กลยุทธ์ส่งเสริมการทางานของผู้สูงอายุไทย” เพื่อกาหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการส่งเสริมการทางานตาม
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 7 ความต้องการของผู้ใหญ่ที่จะเข้าสู่วัยผู้สูงอายุรวมถึงผู้สูงอายุ ตลอดจนหนุนเสริมให้การทางานเป็นไปอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ อันจะเป็นการวางรากฐานทส่ี าคญั ในการพฒั นาระบบเศรษฐกิจและระบบสงั คมไทยโดยรวมต่อไป 1.2 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 1.2.1 เพ่ือศกึ ษาสถานการณ์การทางานและลักษณะการทางานของผ้ใู หญ่และผสู้ ูงอายุไทยในปัจจุบนั 1.2.2 เพอ่ื ศึกษาทศั นคตแิ ละความต้องการการสนับสนนุ ดา้ นการทางานของผ้ใู หญแ่ ละผู้สูงอายไุ ทย 1.2.3 เพอ่ื กาหนดกลยทุ ธใ์ นการสง่ เสรมิ การทางานของผู้ใหญแ่ ละผู้สูงอายุไทย 1.3 โจทยก์ ารวิจัย 1.3.1 สถานการณ์การทางานของผ้ใู หญ่และผ้สู งู อายุในปจั จุบันเป็นอยา่ งไร 1.3.2 ลักษณะการทางาน ทัศนคติดา้ นการทางานและความตอ้ งการดา้ นรปู แบบการทางานของผ้ใู หญ่ และผู้สงู อายุ เป็นอย่างไร 1.3.3 กลยุทธ์ที่ควรใช้ในการส่งเสรมิ ดา้ นการทางานของผู้ใหญแ่ ละผู้สงู อายุเป็นอย่างไร 1.4 นยิ ามศัพทท์ ่ีสาคัญ 1.4.1 กลยทุ ธ์ในการส่งเสริมด้านการทางาน หมายถงึ แนวทาง/วิธกี ารในการสง่ เสริมให้เกิดการทางาน ที่บรรลุผลตามเป้าหมาย โดยจะต้องมีความเข้าใจถึงสถานการณ์การทางานในปัจจุบัน และเป้าหมายท่ีต้องการให้ เกิดขึน้ ในอนาคตจากน้ันจงึ มีการวิเคราะห์เพื่อกาหนดวิธกี ารทจ่ี ะให้สถานการณ์การทางานเปน็ ไปตามเป้าหมาย 1.4.2 ผู้ใหญ่ หมายถึง ประชากรวัยผู้ใหญ่ท่ีมีอายุ 55 – 59 ปี ที่กาลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลงจาก วัยผ้ใู หญ่ส่วู ัยสูงอายุ 1.4.3 ผ้สู งู อายุ หมายถึง ประชากรผสู้ ูงอายวุ ยั ตน้ ที่มีอายุ 60 - 65 ปี 24 1.4.4 ภาระพึ่งพงิ หมายถงึ การเล้ยี งดสู มาชกิ ในครอบครัว 1.4.5 แรงงานนอกระบบ หมายถงึ ผ้มู ีงานทาท่ีไม่ไดร้ ับความคุ้มครองหรือไมม่ ีหลักประกนั ทางสังคม จากการทางาน 1.4.6 ผู้ว่างงาน หมายถึง ผู้ท่ีปัจจุบันไม่ได้ทางานและไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ณ วันที่เก็บ แบบสอบถาม โดยอาจจะไม่เคยทางานมาก่อนหรืออาจเคยทางานในหน่วยงาน/สถานประกอบการที่นับเป็นใน ระบบก่อนท่ีจะเกษียณอายุตามเกณฑ์ที่หน่วยงาน/สถานประกอบการกาหนด 1.4.7 กลยุทธ์ในการส่งเสริมด้านการทางานของวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หมายถึง แนวทาง/วิธีการใน การส่งเสริมให้ผ้ใู หญ่และผ้สู ูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบหรือผู้ที่ว่างงานมีส่วนร่วมในการทางานเพื่อใหม้ ีรายได้ อย่างต่อเน่อื ง เนอื่ งจากสถานการณ์ปัจจุบนั ประเทศไทยมสี ดั ส่วนของผสู้ ูงอายุเพ่ิมขึน้ และมีแนวโนม้ วา่ ประชากร วัยแรงงานจะมีสัดส่วนลดน้อยลง ซ่ึงจะทาให้ภาวะพึ่งพิงเพ่ิมสูงข้ึน ดังน้ันการกาหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการ ทางานของวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจะเป็นการเสริมรายได้ ลดภาระค่าใช้จ่าย เพ่ิมคุณค่าและความสามารถในการ พ่ึงพาตนเองของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยจะต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์การทางานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุใน ปัจจุบัน จากนั้นจึงมีการกาหนดแนวทาง/วิธีการในการส่งเสริมให้ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมีแรงจูงใจในการทางานได้ อยา่ งตอ่ เน่อื งตามความพร้อมทั้งทางด้านรา่ งกายและจติ ใจรวมทง้ั มีการวเิ คราะหเ์ พ่ือกาหนดกลยุทธ์ทเ่ี หมาะสม
8 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 1.5 ประโยชน์ท่ีได้รบั 1.5.1 ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การทางานและลักษณะการทางานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุไทยใน ปัจจุบัน ด้านรูปแบบและวิธีการทางานซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการกาหนดแนวทางการส่งเสริมการทางานต่อไป ในอนาคต 1.5.2 ได้ข้อมูลที่เก่ียวกับทัศนคติและความต้องการของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุไทยต่อการสนบั สนุนด้าน การทางาน จาแนกตามพื้นฐานของความรู้ ประสบการณ์และลักษณะการทางาน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ต่อความต้องการของผู้ใหญ่และผสู้ ูงอายุไทยทจ่ี ะเปน็ ประโยชน์ต่อการนาไปใช้ในการกาหนดนโยบายการส่งเสริม การทางานต่อไป 1.5.3 ได้กลยุทธ์ในการส่งเสริมการทางานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุซ่ึงจะเป็นฐานข้อมูลสาหรับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องซ่ึงจะนาไปใช้ในการกาหนดยุทธศาสตร์และนโยบาย การทางานต่อไป 25
26 โครงการวจิ ยั กลยทุ ธ์สง่ เสริมการท�ำ งานของผ้สู งู อายไุ ทย
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฏี และเอกสาร งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง 27 โครงการวจิ ยั กลยทุ ธ์สง่ เสริมการท�ำ งานของผ้สู งู อายไุ ทย
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฏี และเอกสาร งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง > แนวคิด และทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องกบั การทำ�งาน > นโยบายและกฎหมายทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการท�ำ งานของผ้สู ูงอายุ > เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 28
บทที่ 2 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย แนวคิดทฤษฏี แผนยทุ ธศาสตร์ และเอกสารงานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง 29 การวิจัยเรื่อง “กลยุทธ์ส่งเสริมการทางานของผู้สูงอายุไทย” เป็นการศึกษาสถานการณ์การทางานของ วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุในปัจจุบัน ตลอดจนทัศนคติและความต้องการในการทางาน เพ่ือกาหนดกลยุทธ์ ในการส่งเสริมการทางานให้กับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุท่ีสอดคล้องกับความรู้ความสามารถและความต้องการ ในการทางาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แนวคดิ ทเ่ี ก่ยี วข้อง 1) แนวคดิ เก่ยี วกบั ทศั นคติ 2.2 ทฤษฎที ่เี กยี่ วขอ้ ง 1) ทฤษเี กย่ี วกับการทางาน 2) ทฤษฎเี ก่ียวกบั การเกษยี ณอายุ 3) ทฤษฎเี กีย่ วกบั การพัฒนาอาชพี ในผู้สูงอายุ 2.3 แผนยุทธศาสตร์ทเ่ี กย่ี วข้อง 1) รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 2) ยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ.2561-2580 3) แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) 4) มาตรการขบั เคลอ่ื นระเบยี บวาระแห่งชาตเิ รื่องสังคมสูงอายุ (2561) 5) แผนพัฒนาผู้สงู อายแุ ห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2545-2564) 6) แผนกลยุทธด์ ้านการทางานของผูส้ ูงอายรุ ะยะที่ 1 (พ.ศ. 2559-2563) 7) แผนปฏิบัตกิ ารด้านการบรหิ ารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2560-2564 2.4 เอกสารงานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง 2.1 แนวคดิ ทเี่ ก่ยี วข้อง 2.1.1 แนวความคดิ เก่ียวกบั ทัศนคติ คาว่า “ทศั นคติ” (attitude) หรือมชี ื่อเรยี กอกี อยา่ งหน่งึ วา่ “เจตคติ” น้ัน เป็นคาที่มีความหมายกวา้ ง และยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่นอนว่านิยามใดเป็นนิยามสากลท่ีทุกคนควรใช้กัน แต่ก็ได้มีผู้ให้นิยามไว้ต่างกัน ตามแนวคดิ ของแตล่ ะคน ซึ่งอาจแตกตา่ งไปในรายละเอียดดงั น้ี Newcomb (1954 อ้างใน จารุวรรณ กันทะนิตย์, 2531) ให้คาจากัดความไว้ว่าทัศนคติ ซึ่งมีอยู่ ในเฉพาะคนน้ันขึ้นกับสิ่งแวดลอ้ ม อาจแสดงออกในพฤติกรรม ซึ่งเป็นไปได้ใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะชอบ หรือ
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 11 พึงพอใจ ซ่ึงทาให้ผู้อ่ืนเกิดความรักใคร่ อยากใกล้ชิดสิ่งน้ันๆ หรืออีกลักษณะหน่ึง แสดงออกในรูปความไม่พอใจ เกลยี ดชัง ไม่อยากใกล้สง่ิ น้ัน Sarnoff (1957 อ้างใน ถวิล ธาราโภชน์, 2538) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ทัศนคติหมายถึง ความต้องการ ทีจ่ ะแสดงปฏิกริ ิยาของความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจในหนว่ ยงาน/สถานประกอบการพึงพอใจต่อสงิ่ ใดสงิ่ หนึง่ Kretch andCrutchifield (1961 อ้างใน ถวิล ธาราโภชน์, 2538) ได้กล่าวถึงทัศนคติว่าหมายถึง ผลรวมของกระบวนการทจี่ ะทาให้เกิดแรงจูงใจอารมณ์ การยอมรบั และการรู้ การคิดซ่ึงกระบวนการดงั กลา่ วน้ีจะ เปน็ ผลมาจากประสบการณข์ องแต่ละบุคคล ธรี วุฒิ เอกะกลุ (2549) กลา่ วถงึ ทัศนคติ ท่ีเชื่อมโยงไปถึงพฤตกิ รรมของบุคคลวา่ ทัศนคติ หมายถึง 1) ความสลับซับซ้อนของความรู้สึก หรือการมีอคติของบุคคล ในการที่จะสร้างความพร้อมท่ีจะ กระทาส่งิ ใดสิ่งหนงึ่ ตามประสบการณ์ของบุคคลนนั้ ที่ได้รบั มา 2) ความโน้มเอยี งท่ีจะมปี ฏิกิริยาต่อส่ิงใดส่ิงหนงึ่ ในทางท่ีดี หรือต่อต้านส่ิงแวดล้อมท่จี ะมาถึงทางหน่ึง ทางใด 3) ในดา้ นพฤติกรรม หมายถึง การเตรียมตวั หรอื ความพรอ้ มทจ่ี ะตอบสนอง ดังนั้น สรปุ ไดว้ า่ ทศั นคติ เป็นความสมั พันธ์ทคี่ าบเก่ียวกันระหว่างความรู้สึกและความเช่ือ หรือการ รับรู้ของบุคคลกับแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมโต้ตอบในทางใดทางหน่ึงต่อเป้าหมาย ทัศนคติน้ันเป็นเรื่องของจิตใจ ทา่ ที ความรสู้ กึ นึกคดิ และความโน้มเอยี งของบุคคลที่มีต่อขอ้ มูลข่าวสารและการเปิดรับทไ่ี ด้รบั มา ซ่ึงเป็นไปได้ท้ัง เชิงบวกและเชิงลบ ทัศนคติมีผลให้มีการแสดงพฤติกรรมออกมาจะเห็นได้ว่าทัศนคติ ประกอบด้วย ความคิดท่ีมี ผลต่ออารมณแ์ ละความรูส้ ึกนน้ั ออกมาโดยทางพฤตกิ รรม องค์ประกอบของทัศนคติ 30 ทัศนคตปิ ระกอบข้ึนดว้ ยองค์ประกอบ 3 สว่ นทสี่ ัมพนั ธ์กัน คือ 1) องค์ประกอบด้านความรู้ (the cognitive component) คือ ส่วนที่เป็นความเชื่อของบุคคลที่ เก่ียวกับส่ิงต่าง ๆ ท่ัวไปท้ังที่ชอบและไม่ชอบ หากบุคคลมีความรู้ หรือคิดว่าสิ่งใดดี มักจะมีทัศนคติท่ีดีต่อสิ่งนั้น แตห่ ากมคี วามรู้มาก่อนว่าสิง่ ใดไม่ดีกจ็ ะมที ัศนคตทิ ่ีไม่ดีต่อสง่ิ นน้ั 2) องค์ประกอบด้านความรู้สึก (the affective component) คือ ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับอารมณ์ที่ เกี่ยวเน่ืองกบั สง่ิ ต่าง ๆ ซ่ึงมผี ลแตกต่างกันไปตามบุคลิกภาพของผ้นู ้นั เป็นลกั ษณะทเ่ี ป็นค่านิยมของแตล่ ะบุคคล 3) องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (the behavioral component) คือ การแสดงออกของบุคคลต่อ ส่ิงหน่ึงหรอื บคุ คลหน่งึ ซงึ่ เปน็ ผลมาจากองค์ประกอบด้านความรู้ ความคดิ และความรู้สึก ดังนั้น การท่ีบุคคลมีทัศนคติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่างกันก็เนื่องมาจากบุคคลมีความเข้าใจ มีความรู้สึก หรือมี แนวความคิดแตกต่างกันนั้นเอง ส่วนประกอบทางด้านความคิด หรือความรู้ความเข้าใจจึงนับได้ว่าเป็น ส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของทศั นคติและสว่ นประกอบนี้จะเก่ียวข้องสัมพันธ์กับความรู้สึกของบคุ คล อาจออกมา ในรปู แบบแตกต่างกนั ทง้ั ในทางบวกและทางลบซงึ่ ข้ึนอยกู่ ับประสบการณแ์ ละการเรียนรู้
12 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ลักษณะสาคญั ของทศั นคติ 31 จารุวรรณ กนั ฑนติ ย์ (2531) กลา่ ววา่ ลกั ษณะสาคัญของทัศนคติประกอบไปด้วย 1) ทศั นคตเิ ปน็ ส่งิ ทเี่ กิดจากการเรยี นรู้ หรอื ประสบการณ์ของแต่ละคนมิใชเ่ ปน็ ส่ิงท่ตี ิดตามมาแต่กาเนิด 2) ทศั นคติเป็นสภาพทางจติ ใจที่มีอิทธิพลต่อการคิดและการกระทาของบุคคลเป็นอันมาก 3) ทัศนคติเป็นสภาพจิตใจที่มีความถาวรพอสมควร ทั้งน้ี เน่ืองจากบุคคลแต่ละคนต่างก็ได้รับ ประสบการณ์และผ่านการเรยี นรมู้ ามาก อย่างไรกต็ ามทศั นคติอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อนั เนือ่ งจากอิทธพิ ลของ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ลักษณะสาคัญของทัศนคติเป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดจากการเรียนรู้และประสบการณ์ ส่งผลต่อ พฤติกรรมที่เป็นไปตามความเชื่อ/ทัศนคติของตนเอง และทัศนคติสามารถเปลี่ยนแปลงได้ข้ึนอยู่กับความมั่นคง ทางจิตใจของบุคคลน้ันๆ หรือได้รับผลกระทบจากสิง่ แวดล้อมตา่ งๆ มากเพียงพอที่จะทาให้เกิดการเปล่ียนแปลง ความคิดความเช่ือจากท่ีตนเองเคยมี ประเภทของทัศนคติ จารวุ รรณ กนั ฑนติ ย์ (2531) บุคคลสามารถแสดงทัศนคติออกได้ 3 ประเภทด้วยกนั คอื 1) ทัศนคติทางเชิงบวกเป็นทัศนคติที่ชักนาให้บุคคลแสดงออกมีความรู้สึก หรืออารมณ์จากสภาพจิตใจ โตต้ อบในดา้ นดีต่อบุคคลอื่น หรือเรอ่ื งราวใดเร่ืองราวหนึง่ รวมท้งั หนว่ ยงานองค์กร สถาบันและการดาเนินกิจการ ขององค์การอน่ื ๆ เชน่ กลมุ่ ชาวเกษตรกร ย่อมมที ัศนคติทางบวก หรือมคี วามรสู้ ึกทดี่ ีต่อสหกรณ์การเกษตรและ ใหค้ วามสนับสนุนรว่ มมอื ดว้ ยการเข้าเป็นสมาชิกและรว่ มในกจิ กรรมตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ เป็นต้น 2) ทัศนคติทางลบหรือไม่ดี หรือทัศนคติท่ีสร้างความรู้สึกเป็นไปในทางเสื่อมเสียไม่ได้รับความเช่ือถือ หรอื ไวว้ างใจ อาจมีความเคลือบแคลงระแวงสงสัย รวมทงั้ เกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เร่อื งราว หรอื ปญั หาใด ปัญหาหน่ึง หรือหน่วยงานองค์การ สถาบันและการดาเนินกิจการขององค์การและอื่น ๆ เช่น พนักงานเจ้าหน้าท่ี บางคนอาจมีทัศนคติเชิงลบต่อบริษัทก่อให้เกิดอคติข้ึนในจิตใจของเขาหรือเธอจนพยายามประพฤติและปฏิบัติ ต่อต้านกฎระเบยี บของบริษัทอยู่เสมอ 3) ทัศนคติท่ีบุคคลไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องราว หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่ง หรือต่อบุคคล หน่วยงาน สถาบัน องคก์ ารและอื่น ๆ โดยสิน้ เชิง เช่น นักศกึ ษาบางคนอาจมีทัศนคตินง่ิ เฉยอย่างไมม่ ีความคิดเห็นต่อปัญหา โต้เถียงเร่อื งกฎระเบยี บวา่ ด้วยเครอื่ งแบบของนกั ศึกษา ทัศนคติทั้ง 3 ประเภทน้ี บุคคลหนึ่งอาจจะมีเพียงประการเดียว หรือหลายประการก็ได้ขึ้นอยู่กับความ มั่นคงในความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือค่านิยมอื่นๆ ท่ีมีต่อบุคคล สิ่งของ การกระทา หรือสถานการณ์ และ ส่งผลตอ่ พฤติกรรมให้เป็นไปตามทัศนคติในเรื่องน้นั ๆ การเกิดทัศนคติ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2543) กล่าวถึงการเกิดทัศนคติวา่ ทัศนคติเป็นสิ่งท่ีเกิดจากการเรียนรู้จากแหล่ง ทัศนคตติ า่ ง ๆ ทม่ี อี ยู่มากมายและแหล่งทท่ี าให้คนเกิดทัศนคติทีส่ าคญั คอื
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 13 1) ประสบการณ์เฉพาะอย่าง เมื่อบุคคลมีประสบการณ์เฉพาะอย่างต่อส่ิงหนึ่งส่ิงใดในทางท่ีดีหรือไม่ดี จะทาให้ผู้น้นั เกดิ ทัศนคตติ ่อสงิ่ นนั้ ไปในทางท่ดี ีหรือไมด่ ี จะทาให้เกดิ ทศั นคติต่อสิง่ น้นั ไปในทศิ ทางทบี่ ุคคลนั้นเคย มปี ระสบการณม์ ากอ่ น 2) การติดต่อสื่อสารจากบุคคลอ่ืน จะทาให้เกิดทัศนคติจากการรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ จากผู้อื่นได้ เช่น เดก็ ทไี่ ดร้ บั การสงั่ สอนจากผู้ใหญ่จะเกิดทัศนคติตอ่ การกระทาต่าง ๆ ตามท่เี คยรับรมู้ า 3) ส่ิงที่เป็นแบบอย่าง การเลียนแบบผู้อื่นทาให้เกิดทัศนคติข้ึนได้ เช่น เด็กที่เคารพเช่ือฟังพ่อแม่จะ เลียนแบบการแสดงท่าชอบ หรอื ไมช่ อบต่อสง่ิ หน่งึ ตามไปดว้ ย 4) ความเก่ียวขอ้ งกบั สถาบนั ทศั นคตหิ ลายอย่างของบุคคลเกดิ ข้ึนเนื่องจากความเกย่ี วข้องกบั สถาบัน เช่น ครอบครัว โรงเรยี น หรอื หน่วยงาน เปน็ ต้น ทัศนคติของแต่ละบุคคลมีที่มาจากประสบการณ์ การเรียนรู้ และข้อมูลที่ได้รับ ทั้งจากประสบการณ์ตรง การอบรมส่งั สอน การเหน็ แบบอย่างจากสภาพแวดล้อมรอบตัว รวมทัง้ ขอ้ มลู ข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ ท่ีได้รบั ซง่ึ สง่ ผลต่อมุมมอง ความคดิ ทงั้ ในเชิงบวกและเชิงลบ การก่อตัวของทศั นคติ ธงชยั สนั ติวงศ์ (2539) กล่าวว่า ทัศนคติก่อตัวเกดิ ข้นึ มาและเปล่ยี นแปลงไปเน่ืองจากปัจจยั หลายประการ ดว้ ยกัน คอื 1) การจูงใจทางร่างกาย ทัศนคติจะเกิดข้ึนเมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกาลังดาเนินการตอบสนองตาม ความต้องการ หรอื แรงผลักดนั ทางรา่ งกาย ตวั บคุ คลจะสรา้ งทศั นคติทด่ี ตี ่อบุคคลหรือสิง่ ของทีส่ ามารถชว่ ยให้เขา มโี อกาสตอบสนองความต้องการของตนได้ 2) ข่าวสารข้อมูล ทัศนคติจะมีพื้นฐานมาจากชนิดและขนาดของข่าวสารที่ได้รับรวมท้ังลักษณะของ 32 แหล่งทมี่ าของข่าวสารดว้ ยกลไกของการเลือกเฟ้นในการมองเห็นและเขา้ ใจปัญหาต่าง ๆ ขา่ วสารข้อมูลบางส่วน ทีเ่ ข้ามาสบู่ ุคคลน้นั จะทาใหบ้ คุ คลนัน้ เกบ็ ไปคดิ และสร้างทัศนคติขนึ้ มาได้ 3) การเข้าเกี่ยวข้องกับกลุ่ม ทัศนคติบางอย่างอาจมาจากกลุ่มต่าง ๆ ที่บุคคลเก่ียวข้องอยู่ท้ังโดยทางตรง และทางอ้อม เช่น ครอบครัว วัด กลุ่มเพ่ือนร่วมงาน กลุ่มกีฬา กลุ่มสังคมต่าง ๆ โดยกลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็น แหล่งรวมของค่านิยมต่าง ๆ แต่ยังมีการถ่ายทอดข้อมูลให้แก่บุคคลในกลุ่มซ่ึงทาให้สามารถสร้างทัศนคติข้ึนได้ โดยเฉพาะครอบครวั และกลมุ่ เพ่อื นร่วมงาน เปน็ กลุ่มท่สี าคัญท่สี ดุ ที่จะเป็นแหลง่ สรา้ งทัศนคติให้แกบ่ ุคคลได้ 4) ประสบการณ์ของคนที่มีต่อวัตถุสิ่งของย่อมเป็นส่วนสาคัญที่จะทาให้บุคคลต่างๆ ตีค่าสิ่งท่ีเขาได้มี ประสบการณม์ าจนกลายเปน็ ทศั นคติได้ 5) ลกั ษณะทา่ ทางหลายประการตา่ งก็มีส่วนทางอ้อมที่สาคญั ในการสรา้ งทัศนคตใิ ห้กบั ตัวบุคคล ปจั จยั ตา่ ง ๆ ของการก่อตัวของทัศนคติเท่าท่ีกล่าวมาข้างต้นนน้ั ในความเป็นจริงจะมิได้มีการเรียงลาดับตาม ความสาคัญแต่อย่างใดเลย ทั้งนี้เพราะปัจจัยแต่ละประการเหล่าน้ี ปัจจัยใดจะมีความสาคัญต่ อการก่อตัวของ ทัศนคติมากหรอื น้อยย่อมสุดแล้วแตว่ ่า การพิจารณาสร้างทัศนคตติ ่อสง่ิ ดังกล่าวจะเกยี่ วข้องกับปจั จยั ใดมากท่สี ดุ
14 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ทศั นคตติ ่อการทางาน 33 โจนาธาน แอล ฟรีด์แมน และคณะ (Jonathan l. Freeman et. Al., 2015) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับทัศนคติ ไว้ว่า “ทัศนคติ หมายถึง ระบบท่ีมีลักษณะม่ันคงอันหน่ึง ซ่ึงประกอบด้วย องค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจ องค์ประกอบด้านความรู้สึก และองค์ประกอบทางด้านแนวโน้มเชิงพฤติกรรมหรือการกระทา” โสภา ชูพิกุลชัย กล่าวถึงทัศนคติว่า “ทัศนคติเป็นการรวบรวมความรู้สึกนึกคิด ความเช่ือ ความคิดเห็น และความจริง รวมท้ัง ความรู้สึกซึ่งเราประเมินค่าส่ิงใดสิ่งหน่ึง ท้ังในทางบวก และทางลบ ซึ่งทั้งหมดจะเกี่ยวพันกัน และจะบรรยายให้ ทราบถึง จุดแกนกลางของวัตถุนั้นๆ ความรู้และความรู้สึกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะก่อใหเ้ กิด พฤติกรรมชนิดใด ชนิดหนึ่งขึ้นสรุปได้ว่า ทัศนคติ เป็นความรู้สึกและความเชื่อหรือการรู้ของบุคคลต่อสิ่งหนึ่งในทางบวกหรือลบ และทาให้บุคคลเกิดแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมโต้ตอบในทางใดทางหนึ่งต่อสิ่งนน้ั หรือเป้าหมายทัศนคติน้ัน ความพอใจ (satisfaction) เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง และเป็นทัศนคติในทางบวกที่บุคคลมีต่องานท่ีทาอยู่ ความพอใจในงานไม่ใช่ เพยี งแค่ความจาเป็นทจ่ี ะต้องทางานน้นั ๆ อาจกล่าวได้ว่า ความพอใจในงานเกดิ ขึน้ เฉพาะตวั บุคคลเพียงคนเดียว หรืออาจเป็นความรู้สึกร่วมกับกลุ่ม ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงแรงจูงใจให้ทางานร่วมกับสมาชิกกลุ่มคนอ่ืนๆ เพื่อให้ บรรลุถงึ เปา้ หมายขององค์กร การมงุ่ เป้าไปที่ความก้าวหน้าเกี่ยวข้องกบั อนาคตและเปา้ หมาย ขณะท่ีความพอใจ ในงานเกี่ยวข้องอยู่กับปัจจุบันและส่ิงท่ีผ่านมาในอดีตเสียมากกว่า คนทางานจะตัดสินระดับความพอใจในงาน ของตนจากประสบการณ์ และสิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนั้นเป็นเกณฑ์ ประเด็นเกี่ยวกับความพอใจในงาน มีผู้ศึกษาวจิ ัยกนั มาเปน็ เวลานานถึงสาเหตทุ ี่มาของความพอใจ และผลที่องค์การและบุคคลจะพึงได้รบั จากความ พอใจในงาน แสดงว่าความพอใจในงานเป็นส่ิงที่มีความสาคัญไม่น้อยต่อท้ังบุคคลและองค์การ อาจสรุป ความสาคญั ได้ดังนี้ 1) ความพึงพอใจช่วยสร้างเสริมคุณภาพชีวิต การได้ทางานที่ตนเองชอบทาให้เกิดความสุขใจ สุขภาพจิตดี และการทางานสร้างความรู้สกึ ในคุณค่าของตน ตลอดจนตอบสนองความต้องการความสาเร็จได้ 2) ความพอใจในงานช่วยป้องกันความห่างเหินจากงาน ถ้าบุคคลไม่พอใจในงาน (dissatisfaction) จะกลายเป็นความขัดแย้งกบั งาน เกดิ ความผิดหวงั (despair) และหา่ งเหิน (alienation) จากงานในท่ีสุด ปจั จยั ท่มี ีอทิ ธิพลต่อความพึงพอใจในการทางาน 1) ปัจจัยด้านบุคคล 1.1) ประสบการณ์ในการทางาน เมื่อบคุ คลทางานมานานจนมีความรู้ความชานาญในงานนั้นมากข้ึน จะเกิดความพงึ พอใจกับงานท่ีทา หรอื พอใจงานใหม่ท่ีใกลเ้ คียงประสบการณ์เดิม 1.2) เพศ เกี่ยวข้องกับลักษณะงานที่ทา รวมท้ังระดับความทะเยอทะยานและความต้องการ ทางด้านการเงิน เพศหญิงมีความอดทน ที่จะทางานที่ต้องใช้ฝีมือ และงานที่ต้องการความละเอียดอ่อนมากกว่า เพศชาย 1.3) กลุ่มสมาชิกในความรับผิดชอบ กลุ่มท่ีทางานด้วยกัน มีผลต่อความพึงพอใจในการทางาน ซ่ึงต้องการความสามารถหลายอย่างประกอบกัน ต้องมีสมาชิกที่มีทักษะในงานหลายด้าน และความสามัคคี ปรองดองกันของสมาชกิ จะนาไปสูค่ วามสาเร็จในการทางาน
15 1.4) อายุ อาจจะมีผลต่อการทางานไม่เด่นชัด แต่อายุก็เก่ียวข้องกับระยะเวลาและประสบการณ์ ในการทางาน ผู้ที่มีอายุมากจะมีประสบการณ์ในการทางานนั้นมาก จะพอใจงานเดิมและไม่ชอบเปลยี่ นงาน 1.5) เวลาในการทางาน งานที่ทาในเวลาปกติ จะสร้างความพึงพอใจในการทางานมากกว่างาน ท่ตี อ้ งทาในเวลาทบี่ ุคคลอ่ืนไม่ตอ้ งทางาน เพราะขดั กับความต้องการเวลาส่วนตัวเพอื่ พกั ผ่อนและสังสรรค์ 1.6) เชาวน์ปัญญา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะงานที่ทา เช่น พนักงานในโรงงานท่ีมีเชาวน์ ปัญญาในระดับสูงแต่ทางานที่เป็นงานประจา มักจะเบ่ือหน่ายงานได้ง่าย และมีทัศนคติท่ีไม่ดีต่อการทางาน ในโรงงานเกดิ ความไม่พอใจเพราะงานไม่ท้าทาย และไมเ่ หมาะสมกับความสามารถ 1.7) การศึกษา มีผลต่อการวิจัยไม่เด่นชัดนัก แต่มักจะขึ้นอยู่กับงานท่ีทาว่าเหมาะสมกับความรู้ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ความสามารถของเขาหรอื ไม่ 1.8) บุคลิกภาพ คนท่ีมีอาการของโรคประสาท เช่น มีความวิตกกังวลสูงมักจะไม่พอใจในการ ทางานมากกว่าคนปกติ 1.9) ระดบั เงนิ เดือน เงินเดือนที่มากพอแก่การดารงชีพตามสภาพ ทาใหบ้ ุคคลไมต่ ้องดิ้นรนมากนัก ที่จะไปทางานเพิ่มนอกเวลาทางาน ดังนั้นผู้ที่มีเงินเดือนสูงจึงมีความพึงพอใจในการทางานมากกว่าผู้ที่มี เงนิ เดอื นต่า 1.10) แรงจงู ใจในการทางาน โดยเฉพาะแรงจูงใจจากความคดิ ส่วนตัวของผูท้ างานเองมคี วามมุ่งม่ัน ความสาเร็จกจ็ ะสร้างความพึงพอใจในการทางาน 1.11) ความสนใจในงานเฉพาะด้าน บุคคลท่ีสนใจในงาน และได้ทางานท่ีตนเองถนัดและพอใจ จะมีความสขุ และพงึ พอใจในการทางานมากกวา่ บุคคลที่ศูนย์กลางของความสนใจในชวี ติ ไม่ได้อยู่ที่งาน 2) ปจั จยั ด้านงาน 34 2.1) ลักษณะงาน ได้แก่ความน่าสนใจ ความท้าทาย ความแปลก โอกาสที่จะได้เรียนรู้และศึกษา งาน โอกาสที่จะทาให้งานน้ันสาเร็จ การรับรู้หน้าท่ีรับผิดชอบ การควบคุมการทางานและวิธีการทางาน การที่ ผู้ทางานมีความรู้สึกต่องานท่ีทาอยู่ว่า เป็นงานที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ท้าทาย สิ่งเหล่าน้ี ทาให้ผู้ปฏิบัติงาน เกดิ ความพงึ พอใจในการทางาน มีความตอ้ งการท่ีจะปฏิบตั งิ านน้ัน ๆ และเกดิ ความผูกพันตอ่ งาน 2.2) ฐานะทางวิชาชีพ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ประมาณคร่ึงหนึ่งของเสมียนพนักงานมีความ พึงพอใจในการทางาน แต่มถี ึงรอ้ ยละ 17 ทพ่ี บวา่ ถ้ามโี อกาสก็อยากเปลย่ี นงาน ในสภาวะทีเ่ ศรษฐกิจดี มีงานให้ เลือกทา จะมีการเปลย่ี นงานบ่อย เพือ่ จะเลื่อนเงินเดือน เลือ่ นฐานะของตนเอง 2.3) ขนาดของหน่วยงาน ความพึงพอใจในการทางานกับขนาดของหน่วยงานแต่ละคนจะแตกต่าง กัน ตามทัศนคติหรือและความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าต้องการความมีศักดิ์ศรีและชื่อเสียง บุคคลนั้นจะพอใจเลือก ทางานกับหน่วยงานใหญ่ แต่ถ้ามุ่งความสัมพันธ์ บุคคลน้ันจะพอใจทางานในหน่วยงานขนาดเล็ก เนื่องจาก หน่วยงานขนาดเล็กพนักงานมีโอกาสรู้จักกัน ทางานคุ้นเคยกันได้ง่ายกว่าหน่วยงานใหญ่ มีความรู้สึกเป็นกันเอง และร่วมมือช่วยเหลือกนั ขวญั ในการทางานดี ทาให้เกิดความพึงพอใจในการทางาน 2.4) ความห่างไกลของบ้านและที่ทางาน การท่ีบ้านอยู่ห่างไกลจากท่ีทางานการเดินทางไม่สะดวก ต้องตน่ื แต่เช้ามดื รถติดและเหนด็ เหนือ่ ยจากการเดินทาง มีผลตอ่ ความพึงพอใจในการทางาน
16 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 2.5) สภาพทางสังคม ในแต่ละท้องถิ่นแต่ละพื้นท่ีมีส่วนสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการทางาน 35 คนทางานในเมืองใหญ่ มีความพึงพอใจในการงาน น้อยกว่าคนที่ทางานในเมืองเล็ก ท้ังนี้เนื่องจากความคุ้นเคย ความใกลช้ ิดระหว่างคนงานในเมืองเลก็ มีมากกว่าในเมืองใหญ่ ทาใหเ้ กดิ ความอบอนุ่ และมคี วามสมั พนั ธ์กัน 2.6) โครงสร้างของงาน หมายถึงความชัดเจนของงาน ที่สามารถอธิบายชี้แจงเป้าหมายของงาน รายละเอียดของงาน ตลอดจนมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ความชัดเจนบอกให้รู้ว่าจะทาอะไร และดาเนินการ อย่างไร ทาให้สะดวกแก่ผู้ปฏบิ ตั งิ าน สามารถป้องกันมใิ ห้เกดิ ความบิดพริ้วในการทางาน และง่ายต่อการควบคุม 3. ปจั จัยด้านการจดั การ 3.1) ความมั่นคงในงาน พนักงานมีความต้องการงานที่มีความแน่นอนม่ันคง บริษัทท่ีประสบ ความสาเรจ็ ในการบรหิ ารงาน เช่น บริษัทในประเทศญ่ีปุ่นตระหนักถงึ ความมน่ั คงของงาน คอื มกี ารจ้างงานตลอด ชีวติ ความมัน่ คงในงานถือเป็นสวสั ดกิ ารอยา่ งหนงึ่ 3.2) รายรับ ฝ่ายบริหารและฝา่ ยจัดการของบริษัทเช่ือมั่นว่า รายรบั ท่ดี ีของพนักงานจะเยียวยาโรค ไม่ พอใจในงานผูเ้ ชย่ี วชาญจากหน่วยงานของรัฐลาออกไปสู่ภาคเอกชนก็เพราะรายรับทดี่ ีกวา่ 3.3) ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันท่ีค่าครองชีพสูง ค่าตอบแทนหรือ รายรับเป็นความสาคัญอันดับแรก นักวิชาการท่ีเปล่ียนงาน เนื่องจากเงินเดือนของหน่วยงานอีกแห่งหน่ึงดีกว่า นอกจากน้ีการได้รับผลประโยชน์เป็นสิ่งชดเชยจะสร้างความพึงพอใจในงานอย่างมาก เช่น การได้รับโบนัส เงนิ สมนาคุณ และเงนิ รางวัล เปน็ ต้น 3.4) โอกาสก้าวหน้า โอกาสท่ีจะมีความก้าวหน้า ในการทางานมีความสาคัญ สาหรบั ทกุ คน ถ้าบุคคล เห็นว่างานนี้ไม่เปิดโอกาสให้ตนก้าวหน้าจะเกิดความไม่พอใจและเปล่ียนงาน และจากการศึกษาพบว่า คนสูงวัย ให้ความสนใจกับโอกาสก้าวหน้าในงานน้อยกว่าคนที่อ่อนวัย อาจเป็นเพราะว่าคนสูงวัยได้ผ่านโอกาสก้าวหน้า มาแล้ว 3.5) อานาจตามตาแหนง่ หนา้ ที่ หมายถงึ อานาจที่หนว่ ยงานมอบใหต้ ามตาแหน่งเพื่อควบคุมสั่งการ ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานให้ปฏิบัติงานท่ีมอบหมายให้สาเร็จ งานบางอย่างมีอานาจตามตาแหน่งที่เด่นชัด งานบางอย่างมอี านาจทไี่ มเ่ ดน่ ชดั ทาให้ผูท้ างานปฏิบตั งิ านยากและอดึ อดั 3.6) สภาพการทางาน ได้แก่การจัดสภาพแวดล้อมในการทางาน เช่น ความสะอาด แสงสว่าง การถ่ายเทอากาศ มีห้องพักผ่อนและการจัดเสียงตามสาย เป็นต้น ถ้าการจัดนั้นเหมาะสม ผู้ทางานเกิดความสุข สบาย จะทาให้เกิดความพอใจในงาน 3.7) เพื่อนรว่ มงาน ความสมั พนั ธ์ที่ดีระหว่างเพ่ือนรว่ มงานทาให้คนเรามีความสุข และพอใจในการ ทางาน 3.8) ความรับผิดชอบงาน เป็นทัศนคติส่วนตัวของบุคคล ผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงจะมีความพอใจ ในการทางานซง่ึ แมจ้ ะเปน็ งานทยี่ ากลาบาก มากกว่าบคุ คลทีม่ คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ งานตา่ 3.9) การนิเทศงาน คือการชี้แนะในการทางานจากหน่วยงานหรือผู้เช่ียวชาญในหน่วยงาน ถ้าผู้นิเทศ มีศลิ ปะ (ใชท้ ฤษฎี Interaction management) ในการช้แี นะจะสร้างความพอใจให้ผูป้ ฏบิ ัติงานท้ังในภาพรวมที่ มตี อ่ องคก์ ารดว้ ย แตถ้ ้าผนู้ เิ ทศชี้แนะด้วยอคติและอารมณ์ข่นุ เคืองจะเกดิ ผลในทางตรงกันขา้ ม
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 17 3.10) การสื่อสารกับผู้บังคับบัญชา ถ้าผู้บังคับบัญชาเปิดโอกาสให้พนักงานมีโอกาสสื่อสารกับตน บ้าง พยายามเข้าใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคิดอะไร จะสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน (หลักของ Thomas Haris : I’m OK , you ’re OK และทฤษฎี Interaction management) การที่พนักงานมีส่วนรับรู้ ในเป้าหมายขององค์การ ปัญหาต่างๆ ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหาตามสมควร แสดงถึงการที่ผู้บังคับบัญชา ยอมรับในคุณค่าและความสามารถของเขา (Maslow : Esteem needs) พนักงานจะรู้สึกพอใจและให้ ความร่วมมอื เตม็ ท่ี 3.11) ความศรัทธาในตัวผู้บริหาร ความประพฤติ ความสามารถ และความตั้งใจ ท่ีผู้บริหารมีต่อ หนว่ ยงาน ทาให้พนกั งานเกิดความศรัทธา (ผนู้ า : ทาตนเป็นตัวอย่าง) ชว่ ยสร้างความพึงพอใจในการทางานและ พนักงานจะทางานอย่างมีประสิทธิภาพ (ข้อมูล : https://www.novabizz.com/NovaAce/Manage/ satisfaction.htm) ทัศนคติต่อการทางานในด้านลกั ษณะงาน Hackman & Oldham (1980) กล่าวว่าคุณลกั ษณะงานจะ ส่งผลไปยังภาวะจิตใจ และภาวะทางจิตใจจะส่งผลต่อความพึงพอใจ และแรงจูงใจในการทางาน ทาให้การ ปฏิบัตงิ านมีประสิทธิภาพสงู รง ภู่พวงไพโรจน์ (2540) กล่าวว่า คุณลักษณะของงาน หมายถึง กลุ่มของคุณสมบัติในมิติต่าง ๆ จานวน 5 มิติ คือ ความหลากหลายทักษะ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของงาน ความสาคัญของงาน ความอิสระในการตดั สินใจในงาน และผลสะท้อนจากงาน ซึง่ จะวัดเป็นระดับความมากนอ้ ยของมิติตา่ ง ๆ ศลินา ทวีวัฒนะกจิ บวร (2548) กลา่ วว่า คุณลักษณะของงาน หมายถงึ กลมุ่ ของคุณสมบัติในมิติต่างๆ เป็นการสรา้ งงานทีม่ ีคุณลกั ษณะทจ่ี ะสร้างเงอื่ นไขใหเ้ กดิ แรงจูงใจในงานอยา่ งสูงเกิดความพึงพอใจในงาน และผล ปฏบิ ตั ิงาน 36 กล่าวโดยสรุปคือ ทัศนคติในการทางาน หมายถึง มุมมอง/ความคิด/ความเชื่อ อันมาจากความรู้ ประสบการณ์ ขอ้ มูลข่าวสารต่างๆ ที่มตี ่อการทางาน โดยสามารถเป็นได้ทั้งทัศนคติในเชงิ บวกและเชงิ ลบอันเกิดมา จากคุณลักษณะของงาน แรงจูงใจและความพึงพอใจในการทางาน ซ่ึงส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการทางานซึ่งผู้ที่มีทัศนคติในเชิงบวกจะมีความพึงพอใจและความต้องการในการทางาน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีทัศนคติเชิงลบจะมีความรู้สึกไม่พึงพอใจและไม่ต้องการท่ีจะทางาน ดังน้ันทัศนคติ/ความพึงพอใจ ในการทางานจงึ เป็นสว่ นสาคัญท่มี ีการกาหนดไวใ้ นกรอบแนวคิดเพื่อให้ทราบถึงทัศนคติที่ส่งผลต่อความต้องการ ในการทางานของผู้ใหญ่และผ้สู ูงอายุ 2.2 ทฤษฎีท่เี กย่ี วขอ้ ง 2.2.1) ทฤษฎีเก่ียวกบั การทางาน คณุ คา่ ของการอาชพี และการมีงานทาในวัยผใู้ หญ่และผู้สูงอายุ ศศพิ ัฒน์ ยอดเพชร (2558) ได้กล่าววา่ การอาชพี และการมีงานทาในวยั ผู้ใหญแ่ ละผู้สูงอายุก่อให้เกิด คุณค่า (value) แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ ลักษณะแรก คุณค่าทางเศรษฐกิจ (Economic value) และ ลกั ษณะทส่ี อง คุณค่าทางสงั คม (social value) โดยมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี
18 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 1) คุณคา่ ทางเศรษฐกจิ หมายถึง คุณคา่ ทีม่ สี ่วนสนบั สนนุ การยกระดับคุณภาพชีวติ จากมิตกิ ารมีฐานะ 37 ทางเศรษฐกิจใหด้ ีขึ้น สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี ลักษณะท่ี 1 การเพม่ิ รายได้ การได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินตรา อาทิ เงินเดือนค่าจ้างที่สามารถสร้างส่วนเกิน (surplus) ให้กับผู้ประกอบการอาชีพ เพ่ือไว้ใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือบริการที่มีความจาเป็น หรือ ความต้องการ ประกอบกับอาจมีส่วนเกินเหลือเพื่อออมไว้เป็นเงินสารอง หรือการลงทุนในอนาคต ตัวอย่างเช่น การทางานในการผลิตผลผลิตทางการเกษตรแล้วจาหน่ายได้เงินมาเป็นส่ือกลางการแลกเปลี่ยน หรือการได้รับ คา่ จ้างรายวนั หรือรายเดือนจากการรบั จา้ งทาการเกษตร เปน็ ตน้ ลักษณะที่ 2การลดรายจา่ ย การไดร้ ับผลตอบแทนอื่น ๆ ทไ่ี มใ่ ชร่ ูปแบบของเงนิ ตรา อาทิการได้รับผลผลติ บางส่วน หรือทง้ั หมด จากการประกอบอาชีพ เพื่อใช้อุปโภค หรือบริโภคในครัวเรือนแทนการต้องใช้เงินเป็นส่ือกลางการแลกเปล่ียน ตวั อยา่ งเชน่ การทางานในการผลิตผลผลติ ทางการเกษตรเพื่อนามาบริโภคในครวั เรือน หรอื เพื่อนาไปแลกเปลี่ยน สนิ คา้ กบั เพ่ือนบ้านหรอื ในชุมชน เป็นต้น คุณค่าทางเศรษฐกิจท่ีเกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุทั้งการเพ่ิมรายได้หรือ การลดรายจ่ายน้ีส่งผลดีต่อภาวะทางเศรษฐกิจของวัยผู้ใหญ่ท่ีมีการทางานอย่างต่อเนื่องในวัยสูงอายุและ การทางานในผูส้ ูงอายุ ดังนี้ 1.1) คุณค่าทางเศรษฐกิจต่อการแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อการบริโภคท่ีจาเป็นเพื่อเสริมสร้างคุณภาพ ชีวิตท่ีดีขึ้น เป็นคุณค่าที่ส่งผลดีโดยตรงต่อการบริโภคสินค้าที่จาเป็น อาทิ อาหาร ยารักษาโรคของผู้สูงอายุใน ระดับปัจเจกบุคคล เน่อื งจากผูส้ งู อายโุ ดยรวมต้องประสบสภาพเศรษฐกิจตกต่า ซึ่งเปน็ ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ ในระดับมหภาคท่ีส่งผลกระทบมาสู่ในระดับจุลภาค ท้ังจากสถานการณ์โครงสร้างประชากร ทาให้วัยแรงงานมี จานวนลดลง ค่าจ้างแรงงานจึงปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ผู้สูงอายุจะสามารถบริโภคสินค้า จาเป็นได้จึงต้องลดปริมาณ หรือคุณภาพลง อีกท้ังผลตอบแทนจากเงินออมลดลง ซ่ึงส่งผลโดยตรงต่อผู้สูงอายุ ที่จาเป็นต้องใช้รายได้ (ดอกเบี้ย) จากเงินออม ทาให้มีความเป็นอยู่ที่ลาบากมากขึ้น ดังนั้น การประกอบ อาชีพที่มีคุณค่าท้ังด้านการเพ่ิมรายได้ หรือการลดรายจ่ายของผู้สูงอายุ จึงทาให้ผู้สูงอายุยังคงได้บริโภคสินค้า ที่จาเปน็ อนั เป็นการสง่ เสรมิ ให้ผสู้ ูงอายุแต่ละรายมคี ุณภาพชีวติ ท่ดี ีขึ้น 1.2) คุณค่าทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนผู้สูงอายุ เป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นและมีความสาคัญต่อการ ลดภาระสมาชิกวัยแรงงานในครอบครัว จากการพ่ึงพาตนเองของผู้สูงอายุอย่างยาวนานท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ เพราะจากการคาดการณ์แนวโน้มประชากรจากอัตราศักยภาพการเก้ือหนุน (potential support ratio) แสดง ให้เห็นว่าในอดีต (พ.ศ. 2503-2533) มีประชากรวัยแรงงาน 10 คน ให้การดูแลผู้สูงอายุ 1 คน แต่ระหว่าง พ.ศ. 2553-2573 อัตราส่วนศักยภาพเก้ือหนุนลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากการมีอัตราประชากร วัยแรงงาน 6 คน ให้การดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ใน พ.ศ. 2553 เหลือเพียงอัตราประชากรวัยแรงงาน 2 คน ให้การ
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 19 ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ใน พ.ศ.2573 จากสถิติดังกล่าวนี้ สะท้อนความหมายได้อีกนัยหนึ่งว่า วัยแรงงาน 1 คน ต้องมีภาระการเล้ียงดูผู้สูงอายุเพ่ิมมากยิ่งขึ้น หากผู้สูงอายุไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เลย ดังนั้น การประกอบ อาชีพของผู้สูงอายุจะเป็นแนวทางหน่ึงท่ีสาคัญที่เข้ามาลดภาระทางเ ศรษฐกิจให้กับวัยแรงงานซึ่งเป็นสมาชิก ในครัวเรอื นของผู้สูงอายไุ ด้อกี ทางหน่ึง 2) คุณคา่ ทางสงั คม เป็นคณุ คา่ ทีม่ ีส่วนสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวติ จากมติ ิการมฐี านะทางสังคม ใหด้ ขี ึน้ ประกอบดว้ ย 2.1) คณุ คา่ ในตวั ผู้สูงอายุ เปน็ การกอ่ ใหเ้ กิดภาพลกั ษณ์และทศั นคติทดี่ ีต่อการทางานของผูส้ ูงอายุ การสร้างการยอมรับในทัศนคติและค่านิยมท่ีส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ การเรียนรู้ตลอดชีวิตการพึ่งพาตนเองให้ นานท่ีสุดเท่าที่จะนานได้ การตอกย้าภาพลักษณ์การมีศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ของผู้สูงอายุผ่านคุณค่าจากการ ทางาน ซ่ึงเม่ือเกิดการส่งเสริมอย่างต่อเนือ่ งจะมีผลทาให้ผสู้ ูงอายุได้รับการยอมรับจนเกิดการส่งเสริมการทางาน และไมถ่ กู กดี กันการจ้างานเน่ืองอายเุ ป็นเกณฑม์ ากย่ิงขึน้ 2.2) การสบื ทอดภมู ปิ ัญญา ผู้สูงอายุเปน็ ทรัพยากรบุคคลท่ีสาคัญด้านการส่ังสมความรู้ในลักษณะ ภูมิปัญญา กล่าวคือ ผู้สูงอายุมีความรู้มิใช่แต่เพียงในระบบการศึกษา หรือความรู้ทางวิชาชีพเท่านั้น แต่เป็น ความรู้ระดับภูมิปัญญาท่ีผ่านการบูรณาการความรู้ท่ีหลากหลายเข้ากับทักษะการดาเนินชีวิตจากประสบการณ์ ชีวิตท่ีผ่านมา ทาให้ภูมิปัญญาจากผู้สูงอายุมีคุณค่าแตกต่างจากองค์ความรู้ท่ัวไป ซึ่งท้ายท่ีสุดแล้ว ภูมิปัญญาที่ ผ่านการสะสมแล้วการถ่ายทอดจะกลายเป็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ได้ในท่ีสุด ถ้าหากนาทุนวัฒนธรรมเหล่านี้มาใช้ ประโยชน์อยา่ งตอ่ เน่ือง จะกอ่ ให้เกิดคุณคา่ ทงั้ ทว่ี ัดไม่ได้ทางเศรษฐกิจและวดั ได้ทางเศรษฐกิจเพิ่มมากยิง่ ขึ้น 2.3) การลดช่องว่างการขาดแรงงานวิชาชีพบางสาขา การขาดแคลนแรงงานในบางสาขาวิชาชีพ 38 ต้องยอมรับว่า อาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกในสังคมหลากหลายด้าน อาทิ สุขภาพ ความม่ันคงด้านต่าง ๆ ตัวอย่างเชน่ การขาดแคลนแรงงานวิชาชีพแพทย์ พยาบาล ในบางสาขาที่เปน็ อยู่ในปัจจบุ ัน หากไม่มีการสง่ เสริม หรือเปิดโอกาสให้แพทย์ที่มีอายุเข้าสู่วัยเกษียณได้ทางาน ทาให้ช่วงเวลาที่ใช้ในการผลิตแรงงานวิชาชีพในสาขา นั้นๆ ใหม่ขาดช่วง เพราะการผลิตแรงงานกลุ่มนี้ต้องใช้ระยะเวลาท้ังการศึกษาผ่านระบบการศึกษาและ ประสบการณ์การปฏิบัติงาน ซ่ึงส่งผลเสียต่อระบบสุขภาพของสมาชิกในสังคม ในทางตรงกันข้าม หากแรงงานวิชาชีพกลุ่มน้ีได้ทางานอย่างต่อเนื่อง จะสามารถทาให้เกิดการวางแผนและผลิตแรงงานวิชาชีพ ทดแทนได้อย่างเพยี งพอในอนาคต ซ่งึ สง่ ผลดตี ่อระบบสขุ ภาพของสมาชกิ ในสังคมได้อยา่ งต่อเน่ือง กล่าวโดยสรุปคือ ทฤษฎีเก่ียวกับการทางาน เป็นการสะท้อนถึงประโยชน์ท่ีผู้สงู อายุจะได้รับจากการ ทางานในกรณีที่ยังมีความพร้อมด้นสุขภาพ ทั้งในด้านของการเพิ่มรายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลตนเอง การลดรายจ่ายเพื่อบริโภคสินค้าที่จาเป็นและมีคุณภาพ การแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจของครอบครัวรวมถึง การสร้างคุณค่าและความสามารถในการพ่ึงพาตนเอง โดยมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต สืบสานภูมิปัญญาและ ประสบการณ์เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อสังคมในการคงไว้ซึ่งจานวนแรงงานท่ีมีคุณภาพ ข้อมูลในส่วนน้ีมีการนาไปใช้ ในกระบวนการพฒั นาเคร่อื งมอื ในการจัดเกบ็ ข้อมูล
20 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 2.2.2) ทฤษฎีเกี่ยวกับการเกษยี ณอายุ 39 ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2558) การเกษียณ คือ การยุติจากงานประจาตามเง่ือนไข กฎระเบียบ ท่ีกาหนด และสุขภาพของบุคคล หรือตามความพึงพอใจทจ่ี ะยุตกิ ารปฏิบัติงานของบุคคลน้ัน ๆ หรือการเกษียณ (Retirement) เป็นภาวะที่บุคคลต้องยุติจากการประกอบอาชีพตามเง่ือนไขที่กาหนด ระเบียบ ข้อปฏิบัติ ภาวะ ทางสุขภาพ หรอื เงอ่ื นไขทีม่ าจากเหตุอน่ื ๆ ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคาว่า การเกษียณอายุ หมายถึง การครบกาหนดอายุรับ ราชการ สิ้นกาหนดเวลารับราชการ หรือทางาน (สืบค้นจากเวปไซด์ http://www.olderfund. opp.go.th/ content/view/9/204 เมอ่ื วันที่ 5 ตุลาคม 2561) เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการเกษียณอายุ ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2558) ได้กล่าวว่า สาหรับประเทศไทย การเกษียณอายุได้แบ่งการพิจารณา ตามเกณฑ์ หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กาหนดไว้ โดยแยกประเด็นการพิจารณาตามกลุ่มหรือประเภทของบุคคล ที่อิงเงื่อนไขของกฎหมาย ลักษณะการปฏิบัติงานขององค์กรและภาวะสุขภาพเป็นหลักสามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม ความหมาย ดงั น้ี 1) กลุ่มผูป้ ฏิบัติงานราชการ การเกษยี ณอายุ คอื การที่ข้าราชการตอ้ งพ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบาเหนจ็ บานาญ ขา้ ราชการ เป็นการออกจากราชการโดยผลของกฎหมาย ในปัจจุบันพระราชบัญญัติบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 แก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 19 ระบุว่า “ข้าราชการซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว เป็นอันพ้นจากราชการเม่ือสิ้นปีงบประมาณท่ีข้าราชการ ผู้น้ันมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์” อย่างไรก็ตามปัจจุบันการกาหนดอายุเกษียณในกลุ่มตาแหน่งท่ีต้องมีความ เชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น ตาแหน่งตุลาการ กฎหมายได้บัญญัติเพิ่มเติมเป็นเกษียณเมื่ออายุ 65 หรือ 70 ปีใน มาตรา 19 ทวิ ดังน้ี “ข้าราชการตุลาการซึ่งดารงตาแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ที่มีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ แล้ว เป็นอันพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณท่ีข้าราชการผู้น้ันมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ เว้ นแต่ ข้าราชการตุลาการที่ได้ผ่านการประเมินแล้วว่ายังมีสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าท่ี ก็ให้รับราชการต่อไปจนสิ้น ปงี บประมาณท่ขี ้าราชการผนู้ ั้นมีอายุครบเจด็ สบิ ปบี รบิ ูรณ์” นอกจากน้ัน ในกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยท่ีมีตาแหน่งทางวิชาการระดับรองศาสตราจารย์ข้ึนไป อาจไดร้ บั การพจิ ารณาใหข้ ยายอายกุ ารทางานไปจนถงึ 65 ปไี ด้ 2) กลมุ่ ผู้ทางานในภาคเอกชน กลุ่มของผู้ที่ทางานในภาคเอกชนก็จะได้รับเงินจากค่าชดเชยจากนายจ้าง เงินกองทุนสารอง เล้ียงชพี (ในกรณีทส่ี ถานประกอบการมีการจัดตั้งกองทุนฯ) และสิทธิประโยชน์ชราภาพจากกองทุนประกันสังคม
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 21 ซ่ึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการทางานและการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนแต่ไม่เกินคร่ึงหน่ึงของเงินเดือนสูงสุดท่ีใช้ ในการคานวณ (เงินเดอื นสูงสุดทใ่ี ชใ้ นการคานวณคอื 15,000 บาท สิทธิประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จึงไม่เกิน 7,500 บาท) 3) กล่มุ ผทู้ างานในภาคการเกษตรและกล่มุ แรงงานนอกระบบ กลุ่มน้ีการเกษียณข้ึนอยู่กับภาวะสุขภาพและการตัดสินใจของตนเองเป็นหลักบางรายเม่ือ สุขภาพไม่เอ้ืออานวยก็อาจจะหยุดงานประจาทันที หรืออาจลดทอนภารกิจต่าง ๆ ลง และรับผิดชอบเท่าท่ีจะ สามารถจะกระทาได้เชน่ กัน กล่มุ แรงงานนอกระบบ การยุติจากงานข้ึนอย่กู ับปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่กล่าวมาเชน่ กัน โดยสรุปแล้ว การเกษียณอายุการทางาน หมายถึง การยุติการทางานท้ังด้วยเกณฑ์อายุตาม เงื่อนไขที่หน่วยงานกาหนด สุขภาพของผู้ท่ีทางาน รวมท้ังความพึงพอใจของผู้ที่ทางาน โดยสามารถจาแนก ลักษณะการเกษียณอายุได้ตามรูปแบบของการทางาน ได้แก่ การปฏิบัติงานในระบบราชการ การทางานใน ภาคเอกชน ซ่ึงสองรูปแบบน้ีจะมีเกณฑ์อายุเป็นตัวกาหนดเวลาในการเกษียณอายุ ส่วนอีกหน่ึงรูปแบบคือ กลุ่ม ผู้ทางานในภาคการเกษตรและกลุ่มแรงงานนอกระบบ กลุ่มนไ้ี ม่มเี ง่ือนไขของอายุเปน็ ตวั กาหนดระยะเวลาในการ เกษียณ หากผู้ทางานยังมีความพึงพอใจและความพร้อมด้านสุขภาพสามารถท่ีจะทางานได้อย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน กลุ่มดังกล่าวน้ีจึงเป็นกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเพ่ือส่งเสริมการทางานของผู้สูงอายุ เน่ืองจากไม่มีเกณฑ์อายุ เปน็ ตัวกาหนดระยะเวลาในการเกษียณ สามารถสง่ เสรมิ การทางานให้เปน็ ไปได้อยา่ งต่อเนอ่ื ง 2.2.3) ทฤษฎีเก่ียวกบั การพฒั นาอาชพี ในผูส้ งู อายุ ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2558) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีการพัฒนาอาชีพ เป็นกลุ่มทฤษฎีท่ีมีรากฐาน การพัฒนาความคิดมาจากศาสตร์ทางสังคมวิทยา โดยเฉพาะด้านจิตวิทยา ซึ่งได้พิจารณาองค์ประกอบความ แตกต่างของแตล่ ะบุคคลไว้ 4 ประการ 40 1) ความแตกต่างทางจิตวิทยา คือ ลักษณะความสนใจท่ีแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน จึงทาให้มี ความสนใจในการประกอบอาชีพแตกต่างกัน 2) ความแตกตา่ งทางบคุ ลิกภาพ คอื ลกั ษณะการแสดงออกทางพฤติกรรมและความคิดของแต่ละ บคุ คลทแ่ี ตกต่างกัน จึงทาให้มคี วามสนใจในการประกอบอาชีพท่แี ตกต่างกัน 3) ความแตกต่างทางสังคมวิทยา คือ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความสนใจท่ีมีอยู่เสมอในมนุษย์ จงึ ทาให้มคี วามสนใจในอาชพี หรือการเปลี่ยนแปลงอาชพี ในชว่ งเวลาต่าง ๆ 4) ความแตกต่างทางการพัฒนาการด้านจิตวิทยา คือ ลักษณะการให้ความสาคัญกับเหตุผลการ ดารงชวี ติ ทแ่ี ตกต่างกัน จึงทาใหม้ คี วามสนใจในการประกอบอาชีพแตกตา่ งกนั จากองค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาข้างต้นน้ี ได้มีกลุ่มนักทฤษฎีด้านการอาชีพนาองค์ความรู้น้ีมา อธิบายพฤติกรรมการอาชีพ จนกลายเป็นทฤษฎีท่ีได้รับความนิยมในการศึกษาและอธิบายการอาชีพในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละทฤษฎีอาจไม่ได้ใช้องค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นมาอธิบายครบทั้ง 4 ประการการศึกษา ทฤษฎีการพัฒนาอาชีพในปัจจุบันนี้ มีการกล่าวถึงกลุ่มทฤษฎีที่นิยมใช้ในการพัฒนาอาชีพ การให้คาปรึกษา อาชีพ การแนะแนวการอาชีพ ตลอดจนการวิจัยทางด้านการอาชีพ สาหรับการเลือกนาทฤษฎีการพัฒนาอาชีพ
22 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย มาประยุกต์ใช้กับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยมุ่งวัตถุประสงค์เพื่อให้วัยผู้ใหญ่สามารถทางานได้อย่างต่อเนื่องและ 41 ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่นั้น ทฤษฎีที่สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมมีดังน้ี (อ้างถึงใน ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2558) 1) ทฤษฎีการพัฒนาอาชีพจากอัตมโนทัศน์แห่งตน (self concept theory ofcareer development) โดนัลด์ ซูเปอร์ (Donald Super) เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีการพัฒนาอาชีพจากอัตมโนทัศน์แห่งตน ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากทฤษฎีอัตมโนทัศน์ของพาร์สัน (Parson’s Self-concept) โดยซูเปอร์ได้นา ความคิดของพาร์สันมาอธิบายกระบวนการเลือกอาชีพและการพัฒนาอาชีพของแต่ละบุคคลว่ามีอิทธิพลมาจาก กระบวนการฝึกปฏิบัติและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับอิทธิพลจากบริบททางสังคมร่วมกับ กระบวนการแลกเปลย่ี นทางความคิดทเี่ กดิ ขน้ึ ระหว่างบุคคลกับสภาพแวดลอ้ ม (Super, 1957) ซูเปอร์ได้กาหนดขั้นตอนการพัฒนาอาชีพ (Super’s conception of life stages and development) แบ่งออกเป็น5 ขนั้ ดังน้ี ข้ันที่ 1 ข้ันการเจริญเติบโต (growth stage) เร่ิมต้ังแต่อายุ 4-14 ปี เป็นขึ้นที่บุคคลอยู่ ในช่วงระยะเวลาวัยเด็กท่ีเร่ิมเรียนรู้ความเป็นตัวของตัวเอง (self-concept) โดยเร่ิมเรียนรู้จากครอบครัวแล้ว ขยายเป็นการเรียนรู้จากสังคม ซึ่งกระบวนการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นจากการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับครอบครัว และสงั คม ข้ันที่ 2 ข้ันการสารวจ (exploration stage) เร่ิมตงั้ แต่อายุ 15-24 ปี เป็นข้ันทบี่ ุคคลต้องการ ทดสอบตนเอง (self-examination) โดยเรียนรู้จากการสวมบทบาทสมมติ การสารวจ หรือทดลอง การประกอบอาชีพเบ้ืองต้น ผ่านโอกาสทางการศึกษาในระดับโรงเรียน หรือผ่านกิจกรรม ตลอดจนงานท่ีทา เป็นคร้งั คราว ข้ันที่ 3 ข้ันการสร้างหลักสร้างฐาน (establishment stage) เริ่มตั้งแต่อายุ 25-43 ปี เป็น ข้นั ทบี่ คุ คลสามารถค้นพบงานท่ีเหมาะสมกับตนเอง ตามทศั นะของซูเปอร์ข้นั การสร้างหลักฐานนี้เป็นช่วงเวลาท่ี สามารถสร้างสรรค์ผลงานทส่ี าคัญทสี่ ุดในชว่ งชวี ติ ขั้นที่ 4 ขั้นการธารงรักษา (maintenance stage) เริ่มต้ังแต่อายุ 44-60 ปีเป็นข้ันท่ีบุคคลได้ ผ่านการทางานจนสามารถมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพเป็นที่เรียบร้อย ดังน้ัน ในข้ันนี้บุคคลจึงมุ่งเน้นการ รกั ษาสถานภาพการทางานในการประกอบอาชพี น้นั ใหย้ าวนานท่ีสดุ ขนั้ ที่ 5 ข้นั ใกลเ้ กษยี ณอายุถงึ การเกษยี ณการทางาน (decline stage) เริ่มต้ังแตอ่ ายุประมาณ 60-65 ปีขึ้นไป เป็นขั้นท่ีซูเปอร์ให้ความเห็นว่า บุคคลจะมีพละกาลังทางร่างกายและจิตใจลดลง จนสามารถ ทางานได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งข้ันการเกษียณการทางาน หรอื ยุตกิ ารงาน แต่ละบุคคลจะมีบทบาทด้านอืน่ ๆ ท่ีไม่เกย่ี วขอ้ งกับการทางานเข้ามาแทนท่ี
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 23 จากเนอ้ื หาทฤษฎีการพัฒนาอาชีพจากอตั มโนทัศน์แหง่ ตน สามารถนามาอธิบายการพัฒนาการ อาชพี ในวยั ผใู้ หญ่และผูส้ ูงอายุ วา่ การอาชพี ของวยั ผู้ใหญแ่ ละผสู้ ูงอายุ เริ่มต้นขน้ึ ต้งั แตใ่ นอดีตแลว้ ผ่านการเรียนรู้ ประสบการณ์โดยเร่ิมจากครอบครัวและสังคม การเรียนรู้ในระบบการศึกษาและการเรียนรู้ จากประสบการณ์ลองผิดลองถูก สารวจความชอบในอาชีพด้วยตนเอง หลังจากน้ัน เม่ือก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาวท่ี ต้องประกอบอาชีพอย่างจริงจังก็จะค้นหาตนเอง เพื่อทางานที่เหมาะสมตลอดจนการมุ่งเน้นการทางานอย่างมี ประสิทธิผลได้อย่างสูงสุดของแต่ละบุคคล เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซ่ึงช่วงอายุอยู่ในขั้นการธารงรักษาน้ันเป็นการ ประกอบอาชีพในการอาชีพที่ตนถนัด หรือได้ทามาอย่างต่อเน่ืองในอดีต เพื่อเป็นการรักษาตาแหน่งในพื้นท่ีของตน จนกระท่ังถึงขั้นท้ายสุด คือ ข้ันใกล้เกษียณถึงการเกษียณการทางาน เป็นช่วงเวลาท่ีบุคคลหน่ึงได้มีบทบาทอ่ืน ๆ ที่ ไม่เกี่ยวข้องกับการทางานเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้หน้าที่ท่ีปฏิบัติน้ันเป็นหน้าที่ที่ได้รับจากบทบาทใหม่ที่ไม่ใช่การ ทางานอีกตอ่ ไป จากทฤษฎีของซูเปอร์ที่ได้กล่าวถึงการพัฒนาการอาชีพทั้ง 5 ข้ันนี้ ซูเปอร์มีข้อสันนิษฐานว่า การเกิดข้ึนของการอาชีพน้ัน เป็นกระบวนการที่ต่อเน่ือง เรียงลาดับตามขั้นอายุ อีกทั้งในบุคคลหน่ึงจะประกอบ อาชีพเพียงสายอาชีพ หรือสายงานเดียวเท่านั้น แล้วจะหยุดทางานเม่ืออายุประมาณ 60-65 ปี จากข้อสันนิษฐาน ของซูเปอร์นี้เอง จึงได้มีกลุ่มนักทฤษฎีในยุคหลังสมัยใหม่ ทาการวิพากษ์และต่อยอดทฤษฎีขั้น การพัฒนาอาชพี ของซูเปอร์ โดยนักทฤษฎกี ลมุ่ น้ีมองขั้นการพฒั นาอาชีพเปน็ กระบวนการทม่ี ีการเปลีย่ นอยู่เสมอ อีกท้งั บทบาทการทางานของแต่ละบคุ คลจะไม่หยุดน่ิงท่ีอายุ 60-65 ปเี ท่านั้น แต่ข้ันการพฒั นาอาชีพกลบั พัฒนา กินเวลายาวนานตลอดช่วงชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าทฤษฎีการพัฒนาอาชีพจากอัตมโนทัศน์แห่งตน ของซูเปอร์ยังเป็นที่นิยมต่อการศึกษาและอธิบายการพัฒนาอาชีพตลอดจนการให้คาปรึกษาด้านอาชีพที่สาคัญ 42 ทฤษฎหี นง่ึ ของโลกตงั้ แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั 2) ทฤษฎกี ารพัฒนาอาชีพยุคหลังสมยั ใหม่ (post-modern approach tocareer development) ทฤษฎีการพัฒนาอาชีพยุคหลังสมัยใหม่ เป็นการต่อยอดทางความคิดจากทฤษฎีขั้นการพัฒนา อาชีพของซูเปอร์ (Super) ท้ัง 5 ข้ัน โดยได้มีการวพิ ากษ์ถึงทฤษฎีดังกล่าววา่ การแบ่งข้ันต่างๆ โดยยึดติดกับ ช่วงอายุและพฤติกรรมทางการงานท่ีเกี่ยวข้องกันแบบตายตัวน้ี เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานว่าปัจจัยทุกอย่าง คงท่ี กล่าวคือ บุคคลแต่ละบุคคลมีการทางานที่เดิมและอาชีพแบบเดิม (Stead and Watson, 1999 อ้างถึง ใน NQF and career advice service) ซึ่งไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันจึงได้เกิดการวิพากษ์ว่า บุคคล มีการพัฒนาอาชีพอย่างต่อเน่ือง ขนั้ การพฒั นาอาชีพของบุคคลในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เก่ียวข้องแต่ละเฉพาะบุคคล แต่ละช่วงชีวิตในแต่ละขั้นเพียงเท่าน้ัน แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนจากการเรียนรู้และ ประสบการณ์ของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปอกี ดว้ ย 3) การเพมิ่ ทกั ษะในการอาชีพและการมีงานทาสาหรับวยั ผใู้ หญแ่ ละผ้สู ูงอายุ ศศิพฒั น์ ยอดเพชร (2558) ไดก้ ลา่ วถึง การเพ่ิมทักษะในการอาชพี และการมงี านทาสาหรับวัย ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ นับเป็นส่วนสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิง เพราะทักษะเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน
24 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ของแรงงานในการทางาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับแรงงานวัยผู้สงู อายุ “ทักษะ” เป็นปัจจัยสาคัญท่ีทาให้ศักยภาพ 43 การทางานของบุคคลเพ่ิมข้ึน โดยเฉพาะแรงงานท่ีทางานอย่างต่อเนื่องเม่ือเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งแตกต่างจาก องค์ประกอบการอาชีพด้าน “สมรรถนะแรงงาน” ซ่ึงเป็นปัจจัยที่ทาให้ศักยภาพการทางานลดลง เมอ่ื แรงงานเข้าสู่วยั สงู อายุ ดังน้ัน การเพิ่มทกั ษะในการอาชีพจึงเป็นการส่งเสริมให้ทงั้ วยั ผู้ใหญ่สามารถทางานได้ อย่างต่อเนื่องเมือ่ เข้าสวู่ ยั สงู อายแุ ละวัยสงู อายุทางานไดอ้ ย่างตอ่ เน่อื งเท่าที่ตนต้องการได้ การเพ่ิมทักษะในการอาชีพและการมีงานทาสาหรับแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกันการเพ่ิมทักษะ ที่ต้องสง่ เสรมิ ให้ผู้ใหญ่และผสู้ ูงอายมุ ีเพ่ิมขึน้ นอกจากมลี ักษณะเฉพาะตามชว่ งวยั แล้วยงั ปรากฏลักษณะเฉพาะที่มี อิทธิพลมาจากบริบทเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของไทยด้วย สาหรับเป้าหมายของการเสนอแนวทางการเพิ่ม ทักษะนี้ เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยมีศักยภาพในการประกอบอาชีพเพ่ิมมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เกิดจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์จากประสบการณ์ ผลการศึกษาวิจัยในสังคมไทยท้ังระดับบุคคล หรือกลุ่มผู้สูงอายุท่ีต้องพบอุปสรรค การประกอบอาชีพจากการขาดทักษะต่าง ๆ จึงมีข้อเสนอต่อการพัฒนาทักษะเพ่ือเพิ่มโอกาสและส่งเสริม ศักยภาพการประกอบอาชพี ในวยั ผใู้ หญ่และผู้สงู อายุ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ทกั ษะทางสงั คม (social skill) ด้านการสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดีในการรวมกลมุ่ จากผลการวิจัยของกศุ ล สนุ ทรธาดา (2553) ทพ่ี บว่าผู้สูงอายมุ ีลักษณะการประกอบอาชีพ ท่ี สาคัญและพบเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะพื้นทีใ่ นเขตชนบท คอื ลักษณะอาชีพแบบรวมกลุ่ม ดังนัน้ หากส่งเสริมให้ วัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุมีทักษะทางสังคม เพ่ือเสริมสร้างสัมพันธภาพท่ีดีในการรวมกลุ่ม ย่อมก่อให้เกิด ความย่ังยนื ของกลมุ่ ทาใหเ้ กิดการประกอบอาชีพในลักษณะแบบรวมกลุ่มได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน 2. ทกั ษะการจดั การความรู้ (knowledge management skill) เป็นทักษะที่มีความสาคัญต่อการสร้างการเรียนรู้และการถ่ายทอดความรู้ระหว่างบุคคล หนว่ ยงาน จากผลการวิจัยของกุศล สนุ ทรธาดา (2553) พบว่า การถอดบทเรยี นดา้ นปัจจัยที่มีผลต่อความสาเร็จ ในการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ จะทาให้เกิดองค์ความรู้ เพ่ือเป็นตัวอย่างที่ดีใหก้ ับกลุ่มอ่ืน ๆ และมีผลต่อการ สร้างความสาเร็จจากการขยายความสาเร็จที่เคยเกิดข้ึนในพื้นที่อื่น ๆ มาแล้ว การถอดบทเรียนนี้ จัดเป็นการ จัดการความรู้รูปแบบหน่ึง ดังนั้น หากวัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุมีทักษะการจัดการความรู้ ย่อมสามารถทาให้เกิด ประโยชน์ต่อการส่งเสริมศักยภาพ เพื่อการประกอบอาชีพในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ทั้งในฐานะผู้ให้ความรู้ หรือ ผู้ถอดบทเรียนและผู้รับองค์ความรู้ หรอื ผ้ศู ึกษาบทเรียนท่ีได้มกี ารนาเสนอไว้ 3. ทักษะการระดมทรพั ยากร (resource mobilization skill) ด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองของไทยในปัจจุบันท่ีมุ่งเน้นแนวทางการกระจายอานาจ จึง ทาให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อกระจายลงสู่กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพ่ือจัดทาโครงการท่ีหลากหลายจากการมี ส่วนร่วมของประชาชน หน่ึงในโครงการท่ีมีการจัดสรรงบประมาณท่ีสาคัญ คือ โครงการส่งเสริมการประกอบ อาชีพให้กับผู้สูงอายุ ดังน้ัน หากวัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ มีทักษะด้านการระดมทรัพยากรก็จะนาทรัพยากร
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 25 หรืองบประมาณมาเป็นทุนในการดาเนินโครงการ ท้ายที่สุดย่อมก่อให้เกิดการส่งเสริมการประกอบอาชีพ ในผสู้ ูงอายไุ ด้มากข้นึ 4. ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ (computer skill) เป็นทกั ษะท่ีวัยผใู้ หญแ่ ละผู้สูงอายุจานวนมากขาดทักษะในการใช้คอมพิวเตอรเ์ พื่อการสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและเข้าถึงบริการบางส่วน หรือท้ังหมด ตลอดจนโอกาสการ ประกอบอาชีพท่ีเพิ่มขน้ึ ในระบบอินเตอร์เน็ตซึ่งต้องประมวลผลผ่านคอมพวิ เตอร์ นอกจากน้ี ยังขาดโอกาสการ เข้าถึงแหล่งทรัพยากรโดยเฉพาะด้านทุน เพราะส่วนมากมักให้ข้อมูลผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต รวมท้ังการ เขียนโครงการเพื่อขอทุน หรือระหว่างการดาเนินโครงการต้องอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสื่อสาร ดังน้ัน การพัฒนาทักษะด้านคอมพิวเตอร์ จะเป็นการเพ่ิมโอกาสท้ังทางตรงและทางอ้อมต่อการประกอบอาชีพของ ผสู้ ูงอายุ 5. ทักษะดา้ นการตลาด (marketing skill) เป็นทักษะที่มีบทบาทต่อการพัฒนาการอาชีพโดยตรง เพราะปัจจุบันทักษะทางด้าน การตลาดเข้ามามีผลต่อการจาหน่ายสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภค ประกอบกับในบริบทสังคมไทยพบว่า การผลิต สินค้าหรือบริการของกลุ่มชุมชน รวมท้ังกลุ่มผู้สูงอายุมีทักษะทางภูมิปัญญา แต่ยังขาดทักษะทางการตลาด จึง ทาใหส้ นิ ค้าทผี่ ลิตออกมาเกิดปัญหาไม่เป็นท่ีต้องการของผ้บู ริโภค ดังนนั้ การมที กั ษะทางดา้ นการตลาด จะสง่ ผล ใหก้ ารประกอบอาชพี ของผูส้ งู อายุสามารถผลิตสินคา้ หรือบรกิ ารทีเ่ ป็นทีต่ ้องการของตลาดและสามารถส่งสินค้า หรือบรกิ ารจาหนา่ ยถึงผู้บรโิ ภคได้ การส่งเสริมทักษะในการทางานของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจะเป็นการเพ่ิมศักยภาพและ 44 ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ทดแทนในส่วนของสมรรถนะที่ลดลงตามวัย ทาให้ก้าวทันต่อการเปล่ยี นแปลง สามารถประกอบอาชีพท่ีเหมาะสมกับบริบทของพื้นท่ี และความต้องการของตลาด ซ่ึงจะช่วยให้การประกอบ อาชีพและสร้างรายได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลในส่วนนนี้ าไปใชก้ าหนดข้อคาถามเชิงปริมาณเพ่ือให้ทราบ ถงึ ทกั ษะ/ความสามารถของผูส้ ูงอายุ รวมถึงความตอ้ งการในการฝกึ อบรมเพื่อเพม่ิ ทักษะในดา้ นต่างๆ 4) แนวทางการส่งเสรมิ การอาชีพและการมีงานทาในผู้สงู อายุ ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2558) ได้กล่าวว่า การส่งเสริมอาชีพและการมีงานทาในผ้สู ูงอายุน้ัน หาก พจิ ารณาแลว้ ทกุ แนวทางจะต้องผ่านการสง่ เสริมการอาชพี ใน 2 รปู แบบหลกั คอื รูปแบบแรก การเข้าสู่อาชีพใหม่ หมายถึง การเริ่มต้นการประกอบอาชีพท่ียังไม่เคยมี ประสบการณ์ตรงในอาชีพน้นั มาก่อน หรอื การเรม่ิ ตน้ อาชพี ใหม่ รูปแบบท่ีสอง การพัฒนาอาชีพเดิม หมายถึง การต่อยอดประสบการณ์การประกอบอาชีพ จากประสบการณ์ตรงทเี่ คยมจี ากการทางานในอดีต ส่วนแนวทางการส่งเสริมการอาชีพและการมีงานทาในผู้สูงอา ยุตามบริบทสังคมไทย จากงานศึกษาวจิ ัยของไทยพบวา่ สามารถสง่ เสรมิ ได้ 2 แนวทางหลัก คือ
26 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย แนวทางท่ี 1 การสง่ เสรมิ การอาชีพและการมีงานทาจากอปุ สงค์การจา้ งงาน 45 แนวทางที่ 2 การสง่ เสริมการอาชพี และการมงี านทาจากอปุ ทานการจา้ งงาน แนวทางท่ี 1 การส่งเสริมการอาชีพและการมีงานทาจากอุปสงค์การจ้างงานหมายถึง การส่งเสริมให้นายจ้างมีอุปสงค์ (demand) หรือมีความต้องการจ้างงานต่อแรงงานลูกจ้างวัยผู้ใหญ่ที่กาลัง มีอายุเข้าสู่วัยสูงอายุให้ได้ทางานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการจ้างงานแรงงานลูกจ้างท่ีมีอายุอยู่ในวัยสูงอายุ หรือเกษียณอายุจากการทางานไปแล้ว จากการพิจารณาสถานการณ์ในประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีอุปสงค์ การจ้างแรงงานสูงอายุน้อย ยืนยันได้จากการท่ีประเทศไทยไม่มีกฎหมาย หรือมาตรการใด ๆ ท่ีออกมาบังคับ หรือสนับสนุนให้นายจ้างมีความต้องการ (อุปสงค์) การจ้างงานผู้สูงอายุ ซึ่งแตกต่างจากประเทศในแถบยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาท่ีมีกฎหมายการห้ามกีดกันการจ้างงานเนื่องจากอายุเป็นเกณฑ์กาหนด นอกจากนี้ ผลการศึกษา ของสมรักษ์ รักษาทรัพย์ กาญจนี กังวานพรศิริ นงนุช อินทรวิเศษ (2553) ได้ยืนยันอีกว่า นายจ้างร้อยละ 80 ไม่ต้องการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ เนื่องจากไม่มีความจาเป็นเพราะยังไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับแรงงานกลุ่มไร้ฝมี ือที่สามารถจ้างจากแรงงานตา่ งชาติได้ อีกทั้งแรงงานต่างชาติยังมีค่าจ้าง ที่ต่ากว่าแรงงานไทย ส่วนกลุ่มแรงงานท่ีมีทักษะในภาวะที่นายจ้างขาดแคลนแรงงาน แล้วต้องเลือกแรงงาน สูงอายใุ ห้ทางาน นายจา้ งมักเลอื กจา้ งแรงงานสงู อายุท่เี คยทางานกับสถานประกอบการตนมาก่อนเกษียณอายุ 5) การส่งเสรมิ อปุ สงคก์ ารจ้างงานด้านเศรษฐกิจ - การออกมาตรการจากภาครัฐเพ่ือสนับสนุนสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ ภาครัฐควร ออกมาตรการท่ีทาให้ผู้ประกอบการ หรือนายจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ท่ีทาให้นายจ้างมีต้นทุนการผลิตลดลง หากจ้างแรงงานสูงอายุ อาทิ มาตรการด้านภาษี การสนับสนุนค่าจ้าง การยกเว้นการสมทบเบี้ยประกันสงั คมจาก นายจ้าง เป็นต้น เน่ืองจากมีผลการวิจัยที่ยืนยันว่า การจ้างแรงงานสูงอายุส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เนื่องจากแรงงานสูงอายุผลิตผลผลิตได้ช้ากว่าวัยแรงงาน อีกทั้งขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ทาให้ต้องมี ตน้ ทุนเพ่อื การฝกึ อบรมเพ่ิมขึ้น นอกจากนผี้ ลการศึกษาของนงนชุ สุนทรเวชกานต์ (อ้างถึงใน จิราวัฒน์ จารุพนั ธ์, 2552) พบว่า ภาคเอกชนไม่ต้องการจ้างแรงงานที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี ซึ่งอยู่ในช่วยวัยผู้ใหญ่ที่ใกล้ เกษียณอายุและวัยผู้สูงอายุเข้าทางาน เพราะลักษณะงานของสถานประกอบการมักไม่เอื้อกับแรงงานสูงอายุ อาทิ งานที่มีลกั ษณะต้องใช้กาลังแรงงานสูง งานแบกหาม เป็นตน้ นอกจากน้ี ภาคเอกชนยงั ไมต่ ้องการแบกรับภาระ คา่ รกั ษาพยาบาลของผู้สูงอายุ ดังน้ัน ภาครัฐควรออกมาตรการทสี่ นบั สนุนสิทธิประโยชนท์ ่ีเหมาะสมกับคา่ ใช้จ่าย ทสี่ งู ข้ึนจากการจ้างแรงงานสงู อายุ - การฝึกอบรมเพ่ือเพ่ิมศักยภาพแรงงานสูงอายุให้เป็นท่ีต้องการของตลาดแรงงานและนายจ้าง การฝึกอบรมเป็นกระบวนการท่ีสามารถเพิ่มศักยภาพด้านฝีมือและทักษะให้กับแรงงานได้ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะ กับแรงงานสงู อายุเปน็ เรื่องทสี่ าคัญอย่างมาก เพราะดว้ ยเง่อื นไขสมรรถนะของร่างกาย (Physical Fitness) ของ แรงงานสูงอายุที่ลดลง จึงส่งผลให้ได้ผลผลิตน้อยกว่าวัยแรงงานโดยเปรียบเทียบ ดังนั้นการฝึกอบรมให้กับ แรงงานสูงอายุเพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้นนี้ จะทาให้สามารถชดเชยสมรรถนะร่างกายที่ลดลงได้ ซึ่งยืนยันได้จาก
27 ผลการศึกษาของสมรักษ์ รกั ษาทรพั ย์ ถวลิ นิลใบและนงนชุ อินทรวเิ ศษ (2551) ทศ่ี ึกษาถึงลักษณะงานที่มี ความเหมาะสมกับผสู้ งู อายุ โดยพิจารณาความสัมพนั ธ์ของลักษณะงานที่มปี ัจจัยด้านทักษะและปัจจัยด้านสมรรถนะ ของรา่ งกาย ร่วมกับศักยภาพการทางานและประสทิ ธิผลการทางานเมื่อเขา้ สูว่ ยั สูงอายุ ดงั สรปุ ไวใ้ นตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 2.1 แสดงความสัมพนั ธข์ องประสทิ ธิภาพการทางานของผสู้ งู อายุระหว่างลกั ษณะงาน กับความสมั พนั ธร์ ะหว่างอายุกบั ศกั ยภาพการทางาน ลกั ษณะงาน ความสมั พันธร์ ะหวา่ งอายแุ ละ ประสิทธิภาพการทางานกบั ศกั ยภาพการทางาน การเพ่ิมขึ้นของอายุ โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย งานที่ใช้ทักษะสงู และใช้แรงงานและ อายสุ งู -ศักยภาพการทางาน ลดลง สมรรถนะมาก ลดลง งานท่ใี ช้ทกั ษะสงู และใชแ้ รงงานและ อายุสงู -ศกั ยภาพการทางาน เพ่มิ ข้นึ สมรรถนะน้อย เพมิ่ ข้นึ งานท่ใี ช้ทกั ษะปานกลางและใช้แรงงานและ อายุสงู -ศักยภาพการทางาน ลดลง สมรรถนะมาก ลดลง งานทใ่ี ชท้ กั ษะปานกลางและใช้แรงงานและ อายุสูง-ศักยภาพการทางาน เป็นกลางไมส่ ามารถตดั สนิ ใจ สมรรถนะน้อย ไมเ่ ปลยี่ น ไดเ้ ด็ดขาด งานที่ใชท้ ักษะน้อยและใช้แรงงานและ อายุสูง-ศักยภาพการทางาน ลดลง สมรรถนะมาก ลดลง งานทใ่ี ชท้ ักษะน้อยและใชแ้ รงงาน อายสุ งู -ศกั ยภาพการทางาน เปน็ กลางไมส่ ามารถตัดสนิ ใจ 46 และสมรรถนะน้อย ไม่เปลี่ยน ไดเ้ ดด็ ขาด ทมี่ า : สมรักษ์ รกั ษาทรัพยแ์ ละคณะ (2551) จากตารางข้างต้นน้ีได้สะท้อนว่า วัยสูงอายุสามารถทางานที่มีลักษณะงานที่ใช้ทักษะสูงและ ใช้แรงงานและสมรรถนะน้อยไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมากข้ึนเมื่ออายเุ พ่มิ สูงขึ้น ซ่งึ สอดคลอ้ งกับผลการศึกษาของ สถิตพงษ์ ธนวิริยะกุล (2556) ท่ีพบว่า ผู้สูงอายุมีประสทิ ธิภาพการทางานท่ีใช้แรงงานลดลง แต่หากเป็นลักษณะ งานท่ีเป็นผู้จัดการระดับบังคับบัญชาน้ันประสิทธิภาพการทางานไม่ลดลง ดังนั้น แนวทางการเพ่ิมศักยภาพของ วัยสูงอายุให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและนายจ้าง จึงเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านฝีมือ หรือทักษะให้กับ แรงงานสูงอายุ เพื่อให้สามารถทางานในลักษณะงานที่ใชฝ้ มี ือ หรือทักษะสูงได้ ตลอดจนการทางานลักษณะเป็น ผู้บงั คบั บัญชาแทนการใช้สมรรถนะแรงงาน 6) การส่งเสริมอุปสงค์การจ้างงานด้านสงั คม - การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ทัศนคติท่ีดีให้เห็นคุณค่าและศักยภาพในการทางานของผู้สูงอายุ การเผยแพร่ทัศนคติที่ดีต่อการทางานของผู้สูงอายุและทาให้เห็นคุณค่าและศักยภาพท่ีแท้จริง ดังผลการศึกษาของ สถิตพงษ์ ธนวิริยะกุล (2556) มีการนาเสนอความหมายในนิยามของคาว่า “ผู้สูงอายุ” ควรแยกนิยามผู้สูงอายุ
28 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย ทางเศรษฐกิจท่ีมีการนิยามอ้างอิงกับอายุตามปีปฏิทิน เพราะมุ่งวิเคราะห์สิทธิสวัสดิการจากการเกษียณการ 47 ทางาน โดยแยกกับนิยามผู้สูงอายุทางสังคมท่ีมีการนิยามไม่อ้างอิงกับอายุตามปีปฏิทิน แต่เน้นการมุ่งวิเคราะห์ การสร้างสรรค์และส่งเสริมคุณค่าเชิงสังคมของผู้สูงอายุ และสะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบันว่า ผู้สูงอายุตาม ปีปฏิทินท่ีมีอายุถึงเกณฑ์เกษียณคือ 60 หรือ 65 ปีน้ัน ยังไม่แก่ชรา แต่ในทางกลับกัน ยังเป็นช่วงวัยท่ีมีสุขภาพดี มีคณุ ค่า มศี ักยภาพในการทางานได้อย่างต่อเน่ือง - การไม่เลือกปฏิบัติเพราะอายุเป็นเกณฑ์ (age discrimination) สืบเนื่องจากการกาหนด ภาพลักษณ์ท่ีไม่ถูกต้องของผู้สูงอายุ ส่งผลให้เกิดการสร้างเส้นเขตแดนของความสูงอายุอยู่ที่อายุ 60 ปี จึงทาให้เกิดการเลือกปฏิบัติด้วยเงื่อนไขของอายุขึ้น โดยเฉพาะด้านการจ้างงาน ในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ ได้มีกฎหมายที่ตราขึ้นเพ่ือห้ามการกีดกันเพราะเงื่อนไขจากอายุเป็นเกณฑ์ แตส่ าหรบั ประเทศไทยยงั ไม่มี ส่วนแนวทางส่งเสริมการประกอบอาชีพโดยไม่เลือกปฏิบัติเพราะอายุเป็นเกณฑ์สาหรับ บริบท เศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบันท่ียังไม่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจนนี้ สามารถเร่ิมได้จากการทางานนอก ระบบที่มีลักษณะอาชีพแบบส่วนบุคคล อาทิ การค้าขาย การเกษตรกรรมและแบบรวมกลุ่ม อาทิ กลุ่มวิสาหกิจ ชุมชนกลุ่มโอทอป (OTOP) เป็นต้น เพราะผู้สูงอายุในฐานะแรงงานสามารถเลือกช่วงอายุท่ีจะเกษียณอายุด้วย ตนเองได้ แนวทางท่ี 2 การส่งเสริมการอาชพี และการมีงานทาจากอุปทานการจา้ งงานหมายถึง การสง่ เสริม ให้แรงงานลูกจ้างสูงอายุมีอุปทาน (supply) หรือมีความต้องการทางานให้กับนายจ้าง อาจกล่าวอีกนัยหน่ึงว่า ผู้สูงอายุตอ้ งการประกอบการอาชีพต่อไปเมื่อเขา้ สูว่ ัยสงู อายุ จากผลการศกึ ษาของสถิตพงษ์ ธนะวิรยิ ะกลุ (2556) พบว่า การท่ผี ูส้ งู อายไุ มไ่ ด้ทางานอย่างต่อเนื่อง ไม่ไดม้ าจากเหตผุ ลดา้ นอุปสงคก์ ารจา้ งงานจากนายจ้างเพียงอย่าง เดียว แต่เกิดจากผสู้ งู อายุไมไ่ ด้ต้องการทางานอีกตอ่ ไป เนื่องจากหลายสาเหตุ อาทิแรงงานลกู จ้างตอ้ งการรับสิทธิ ประโยชน์ชราภาพเมื่ออายุถึงเกณฑ์แรกรับแม้จะยังไม่อายุไม่ถึง 60 ปี เพราะต้องการได้รับเงินก้อนเพื่อนาไปใช้ ประโยชน์ตามเปา้ หมายของตนเอง อาทิ การลงทุนเพ่ือหารายได้ การสง่ ลูกเรยี นให้สงู ขึน้ ฯลฯ นอกจากนี้ ยงั มีเหตุผล ท่สี าคญั อีกประการ คือประเดน็ ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่มักมีความเหน่ือยล้าและเสื่อม ถอยทางร่างกายก่อนถึงเกณฑ์อายุเกษียณ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวน้ีจึงทาให้มีข้อเสนอต่อแนวทางการ ส่งเสรมิ อปุ ทานการจ้างแรงงานสูงอายุ ดังนี้ 7) การสง่ เสริมอุปทานการจ้างงานด้านเศรษฐกจิ - การทบทวนเกณฑ์และผลประโยชน์ที่แรงงานจะได้รับหลังจากเกษียณอายุเพ่ือให้ผู้สูงอายุ ต้องการทางานอยา่ งต่อเนอ่ื ง เกณฑแ์ ละผลประโยชนท์ ่แี รงงานไดร้ บั หลังจากเกษียณอายุการทางาน มีอทิ ธพิ ลต่อ การตดั สินใจช่วงเวลาเกษยี ณใหเ้ รว็ ข้นึ หรือช้าลงได้ ขึน้ อย่กู บั ผลประโยชน์ ความจาเป็นและความตอ้ งการของแต่ ละบุคคล หากการเกษียณท่ีเร็วขึ้นทาให้ได้ผลตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากกว่า โดยเปรียบเทียบกับการ เกษียณท่ีช้าลง หรือยืดอายุการทางานออกไป แรงงานลูกจ้างมักจะเลือกเกษียณจากการทางานทันที ในทาง ตรงกันข้ามหากการเกษียณจากการทางานที่ช้าลง หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง คือ การทางานที่ยาวนานขึ้นทาให้ได้
โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย 29 ผลตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากกว่าโดยเปรียบเทียบในระดับท่ีเหมาะสม หรือพึงพอใจ แรงงาน ลกู จา้ งมกั จะตัดสนิ ใจยืดระยะ - เวลาทางานออกไป ดังน้ัน การพิจารณาผลประโยชน์ท่ีเหมาะสมหากผู้สูงอายุยืดเวลาการ ทางานออกไป จะเป็นการส่งเสริมอุปทานการจ้างงานของผู้สูงอายุได้การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงาน สูงอายุ การฝกึ อบรมให้กบั ผู้สงู อายุให้มีฝีมือ หรอื ทกั ษะเพิ่มข้นึ นอกจากเป็นการส่งเสริมอุปสงค์การจ้างงานแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดอุปทานการจ้างงานด้วย ทาให้ผู้สูงอายุมีความรู้จนเกิดความมั่นใจในการทางาน ซ่ึง ท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดการรับรู้คุณค่าในตนเองและต้องการแสดงศักยภาพของตนเองให้เป็นท่ีประจักษ์ จึงส่งผลให้ผ้สู ูงอายุเกิดอปุ ทานการจ้างงานได้ในที่สดุ 8) การส่งเสรมิ อปุ ทานการจา้ งงานดา้ นสงั คม - การส่งเสริมการจ้างงานแบบยืดหยุ่น การจ้างงานแบบยืดหยุ่น หมายถึงการจ้างงานที่มี ลักษณะการทางานบางเวลา (part time) การส่งมอบงานให้ไปทานอกสถานประกอบการ การสลับสับเปลี่ยน งานท่ีเหมาะสมกับผู้สูงอายุ เน่ืองจากผู้สูงอายุมักมีภาระหน้าที่อ่ืน ๆ ควบคู่ในการดาเนินชีวิตเพื่อการมีคุณภาพ ชีวิตท่ีดี หรือเป็นความต้องการส่วนบุคคลในการทากิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ผู้สูงอายุบางรายต้องเดินทางไปรับ บริการสุขภาพ บริการทางการแพทย์อยู่เสมอ จึงทาให้การทางานแบบเต็มเวลาไม่เอื้อต่อการดูแลสุขภาพของ ผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ด้วยบริบทสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุในต่างจังหวัดท่ีต้องอยู่อาศัยในครัวเรือน แบบข้ามรุ่น (skipped-generation households) หมายถึง ลักษณะครัวเรือนท่ีมีแต่รุ่นปู่ย่าตายายอยู่อาศัย ร่วมกับหลาน สว่ นพ่อแมข่ องหลานน้ันย้ายไปทางานในถิ่นอน่ื ๆ จนแทบไม่มีเวลาได้อาศัยอย่รู ่วมกันในครวั เรือน การอาศัยอยู่กับหลานท่ีอยู่ในวั ยพึ่งพิง ทาให้ต้องมีหน้าท่ีดูแล ดังน้ัน การทางานเป็นบางเวลา การเอ้ือให้ทางานนอกสถานประกอบการ หรือนางานกลับไปทาท่ีบ้าน มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุต้องการ 48 ทางานอย่างต่อเน่อื ง เพราะการทางานไมเ่ ป็นอุปสรรคต่อการทาภาระหน้าที่อื่น ๆ ทจี่ าเปน็ หรือเปน็ หนา้ ท่ีในวัย สูงอายุ - การปรับปรุงและจัดสภาพแวดล้อมการทางานให้เหมาะสมกับการทางานในวัยผู้สูงอายุ สภาพแวดล้อมการทางานทีเ่ หมาะสมไม่เพยี งแต่เปน็ การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับลูกจ้างแรงงานท่ีอยู่ใน วัยสงู อายเุ ท่านนั้ แต่ส่ิงสาคัญยงิ่ คอื การจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีก่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีกับแรงงานลูกจ้างในทกุ ช่วงวัย สภาพแวดล้อมการทางานที่ดมี ีความสัมพันธก์ ับศักยภาพการทางานในปัจจุบนั และอนาคตปัญหาสภาพแวดล้อมที่ เกิดขน้ึ กับแรงงานวยั สูงอายุ จากขอ้ มูลทางสถติ ิของสานักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2555 พบว่า ผ้สู ูงอายสุ ว่ นใหญ่มี ปัญหาในเรื่องอิริยาบถในการทางาน คือ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนลักษณะท่าทาง หรืออิริยาบถในการทางานมากท่ีสุด สาหรับแรงงานในระบบร้อยละ 52.90 ส่วนแรงงานนอกระบบสูงถึงร้อยละ 57.40 สาหรับปัญหาสถานที่ทางานมี ฝุ่นควันและกลิ่น แรงงานในระบบร้อยละ 27.30 ส่วนแรงงานนอกระบบร้อยละ 12.40 นอกจากนี้ ปัญหาแสงสว่าง ไม่เพยี งพอ แรงงานในระบบรอ้ ยละ 27.30 สว่ นแรงงานนอกระบบรอ้ ยละ 13.10 จากปัญหาที่กล่าวมา 3 ประการแรกนี้ ยังพบปัญหาอื่น ๆ อยู่อีกบ้าง แต่เป็นสัดส่วนร้อยละที่ ไม่สูงมากเทา่ 3 ปัญหาแรก กลา่ วคอื สถานทีท่ างานคับแคบ สกปรก อากาศไมถ่ า่ ยเทและเสยี งดงั เป็นต้น
30 โครงการ ิว ัจยกล ุยท ์ธส่งเส ิรมการ ำท�งานของผู้ ูสงอายุไทย การส่งเสริมการประกอบอาชีพสาหรับผู้สูงอายุเป็นไปได้ใน 2 รูปแบบคือ การฝึกอบรมอาชีพ 49 ใหม่ที่ผู้สูงอายุไม่เคยมีทักษะ/ประสบการณ์ และการพัฒนาต่อยอดอาชีพเดิมท่ีผู้สูงอายุมีภูมิปัญญา/ ประสบการณ์ในเร่ืองนั้นๆ โดยเสริมทักษะท่ีสาคัญเพื่อให้การทางานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนแนวทางหลกั สาหรบั ส่งเสรมิ การประกอบอาชีพของผู้สูงอายปุ ระกอบด้วย การส่งเสรมิ ให้นายจ้างมีอปุ สงค์ใน การจ้างงาน โดยภาครัฐมีการกาหนดมาตรการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ท่ีนายจ้างจะได้รับหากมีการจ้างงาน ผู้สูงอายุ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านฝีมือและทักษะทดแทนการใช้สมรรถนะด้านแรงงาน การประชาสมั พันธ์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติทีด่ ีเก่ียวกับแรงงานสงู อายทุ ี่มีทักษะและความสามารถ รวมทั้งการไม่ใช้ เกณฑ์ด้านอายุเป็นข้อจากัดในการทางาน ส่วนอีกแนวทางหน่ึงคือการส่งเสริมด้านอุปทานให้ผู้สูงอายุมี ความต้องการในการทางาน โดยปรับปรุงเกณฑ์ผลประโยชน์ท่ีผู้สูงอายุจะได้รับหากมีการทางานอย่างต่อเนื่อง การฝกึ อบรมเพื่อเพิ่มทักษะและสร้างความมัน่ ใจในการทางานให้กับผสู้ ูงอายุ การส่งเสริมการทางานแบบยืดหยุ่น เพื่อให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของผู้สูงอายุ และการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทางาน ของผู้สูงอายุ ซ่ึงรปู แบบและแนวทางในการส่งเสริมการประกอบอาชีพสาหรบั ผู้สูงอายุใช้เปน็ แนวทางในการกาหนดข้อคาถาม เก่ียวกับความต้องการของผู้สูงอายุ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการกาหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการทางานของ ผ้สู งู อายุ 2.3 แผนยทุ ธศาสตรท์ เ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.3.1 รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 (รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, 2560) บทบญั ญตั ิทบี่ รรจุหลกั การเกย่ี วขอ้ งกับผ้สู ูงอายุ จานวน 2 หมวด ดังนี้ 1) หมวด 3 สิทธเิ สรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 27 วรรคสาม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่อง ถิ่นกาเนิด เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานภาพของบุคคล ฐานะทาง เศรษฐกิจหรือสงั คม ความเชอ่ื ทางศาสนา การศึกษาอบรม หรอื ความคดิ เห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติ แห่งรฐั ธรรมนูญหรือเหตอุ นื่ ใด จะกระทามไิ ด้ วรรคส่ี มาตรการที่รัฐกาหนดข้ึนเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ไดเ้ ช่นเดียวกับบคุ คลอ่ืน หรือเพอ่ื ค้มุ ครองความสะดวกใหแ้ ก่ เด็ก สตรี ผู้สงู อายุ คนพิการ หรือผ้ดู อ้ ยโอกาส ย่อม ไมถ่ ือวา่ เปน็ การเลอื กปฏบิ ัติ มาตรา 48 วรรคสอง บุคคลซึ่งมีอายเุ กนิ 60 ปี และไม่มีรายไดเ้ พียงพอแกก่ ารยังชีพ และบคุ คล ผู้ ยากไรย้ อ่ มมสี ทิ ธิไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื ทีเ่ หมาะสมจากรัฐตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ 2) หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรฐั มาตรา 71 วรรคสาม รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และ ผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรง หรือปฏิบตั อิ ยา่ งไม่เปน็ ธรรม รวมตลอดท้ังให้การบาบัด ฟน้ื ฟูและเยยี วยาผ้ถู ูกกระทาดังกล่าว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174