สมรรถนะหลกั ของผู้บริหารสถานศกึ ษาท่ีส่งผลตอ่ การบริหารงานวิชาการ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาสูป่ ระชาคมอาเซียนสงั กดั สำนกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา มธั ยมศึกษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม วิทยานิพนธ์ ของ ลดาวัลย์ รงุ่ เรอื ง เสนอต่อบัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเพ่อื เป็นส่วนหนึ่งของการศกึ ษา ตามหลักสตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา ตลุ าคม 2563 ลขิ สิทธิ์เปน็ ของมหาวิทยาลยั ราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง
THE CORE COMPETENCY OF THE SCHOOL ADMINISTRATORSAFFECTING THE ACADEMIC ADMINISTRATION OF SCHOOLADMINISTRATORS TO ASEAN UNDER THE SECONDARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE 9 NAKHON PATHOM PROVINCE THESIS BY LADAWAN RUNGRUANG Presented in Partial fulfillment of the requirements for the Master of Education Program in Educational Administration
October 2020 Copyright by Muban Chom Bueng Rajabhat University
ชอื่ วิทยานิพนธ์ (ก) ชอื่ ผวู้ ิจัย สมรรถนะหลักของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาทสี่ ง่ ผลตอ่ การบริหารงานวชิ าการ หลักสูตร ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาส่ปู ระชาคมอาเซียน สังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนท่ี อาจารยท์ ป่ี รึกษา การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ปที ่สี ำเรจ็ การศกึ ษา นางสาวลดาวัลย์ รงุ่ เรอื ง คำสำคัญ ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชวน ภารงั กลู 2563 สมรรถนะหลกั ของผบู้ ริหาร,การบริหารงานวชิ าการ,ประชาคมอาเซียน บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา 1) สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา 2) การบรหิ าร งานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อ การบริหารงานวชิ าการของผู้บริหารสถานศึกษาสูป่ ระชาคมอาเซียนสังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษา มัธยมศึกษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 45 คน ครูจำนวน 268 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบแบง่ ชนั้ ภมู ิ เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชือ่ ม่ันเท่ากับ .97 สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอย พหคุ ณู แบบข้นั ตอน ผลการวิจัยพบวา่ 1. สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านการบริการที่ดี ด้านการทำงาน เป็นทมี และดา้ นการมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ 2. การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ด้านการพัฒนาระบบประกัน คุณภาพภายในสถานศึกษา ด้านการแนะแนวการศึกษา ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนา แหล่งเรียนรู้ ด้านการประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษาอื่น ด้านการ พัฒนาหลักสูตร ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการสง่ เสริมและสนับสนุนงานวชิ าการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบนั อ่ืนทจี่ ดั การศึกษา 3. สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา ในด้านการบริการท่ีดี (X2) ด้านการทำงานเป็นทีม (X4) และด้านการพัฒนาตนเอง (X3) ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ได้อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยตัวแปรท้ังสามตัวส่งผลต่อร่วมกันพยากรณ์การบริหารงานวิชาการ
(ข) ได้ร้อยละ 57.90 มีค่าสัมประสิทธ์ิในการทำนาย เท่ากับ 58.30 และความคลาดเคลื่อนมาตรฐานใน การทำนายเท่ากบั 0.26 สามารถเขียนสมการพยากรณใ์ นรูปคะแนนดบิ ดังนี้ ���̂��� = 1.262 + 0.237 (X2) + 0.253 (X4) + 0.217(X3) สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ ���̂��� = .320 ������(X4) +311 ������(X2) + .280 ������(X3)
(ค) THESIS TITLE THE CORE COMPETENCY OF THE SCHOOL ADMINISTRATORS AFFECTING THE ACADEMIC ADMINISTRATION OF SCHOOL ADMINISTRATORS TO ASEAN UNDER THE SECONDARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE 9 NAKHON PATHOM PROVINCE RESEARCHER MISS LADAWAN ROONGLUANG CURRICULUM MASTER OF EDUCATION PROGRAM IN EDUCATIONAL ADMINISTRATION ADVISOR ASST. PROF. DR.CHUAN PARUNGGUL GRADUATION YEAR 2020 KEYWORDS CORE COMPETENCY, ACADEMIC ADMINISTRATION, ASEAN COMMUNITY ABSTRACT The objectives of this research were to study: 1) the core competency of school administrators 2) the academic administration of school administrators, and 3) the core competency of school administrators affecting the academic administration to ASEAN community under The Secondary Educational Service Area office 9 Nakhon Pathom Province,The sample group was comprised of 45 directors and 268 teachers, selected by using the stratified random sampling. The instrument for data collection was a 5 rating scale questionnaire with reliability at .97 The research results were as follows: 1. The overview and all aspects of the core competency of school administrators were at a high level. Regarding ascending mean to descending mean; they were self- development, service mind, team work and achievement motivation. 2. The overview and all aspects of the academic administration of school administrators to ASEAN community were at a high level. Regarding ascending mean to descending mean; they were development of internal quality assurance system in
(ง) school, educational guidance, educational supervision, development of learning center, cooperation in development of academic administration with other schools, development institutions. 3. The core competency of school administrators in terms of service mind (X 2), team work (X4) and self-development (X3) affected the academic administration to ASEAN communit under The Secondary Educational Service Area Office 9 Nakhon Pathom Province, with statistical significance at .01. All these three aspects could be used to predict the academic administration with 57.90% (R2 = 58.30) accuracy with standard error at 0.26. Quantitative and predictive equations can be written as follows. ���̂��� = 1.262 + 0.237 (X2) + 0.253 (X4) + 0.217(X3) ���̂��� = .320 ������(X4) +311 ������(X2) + .280 ������(X3)
ประกาศคุณูปการ วิทยานิพ นธ์น้ีสำเร็จลงได้ด้วยดีด้วยความมีเมตตาและความเอื้ออาทรจากคณาจารย์แล ะ เจ้าหน้าที่คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงทุกท่าน ตลอดจนผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง โดยเฉพาะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชวน ภารังกูล ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ อาจารย์ ดร.นิมิตร มงั่ มที รัพย์ และ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พรศักดิ์ สุจริตรกั ษ์ กรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ท่ีได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจอบรมส่ังสอน และ ให้คำแนะนำในการปรับปรงุ ส่ิงท่ีบกพร่องอันเป็นประโยชน์ต่อ คุณภาพของวิทยานิพนธ์ ซ่ึงผู้วิจัยรู้สึกซาบซ้ึงในความกรุณาอย่างย่ิงและขอกราบขอบพระคุณเป็น อยา่ งสงู ไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ยนต์ ชุ่มจิต ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง ที่ให้ความเมตตาช่วยตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เช่น การอ้างอิง การเขียน บรรณานุกรม การใชภ้ าษา รูปแบบการพมิ พ์ และข้อบกพรอ่ งอ่นื ๆ เพ่อื ช่วยให้งานวจิ ัยฉบับน้ีมีความ สมบูรณย์ ่งิ ขนึ้ ขอกราบขอบพระคุณผู้เช่ียวชาญประกอบดว้ ย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พรศกั ด์ิ สจุ ริตรักษ์ ดร. ธีระพร อายุวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนภาวนาภิมณฑ์พิทยา และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมคิด ดวงจักร์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ท่ีกรุณาเสียสละเวลาอันมีค่ายิ่งเพื่อให้ การตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละขั้นตอนเพ่ือให้ได้ข้อเสนอแนะในการ ปรบั ปรุงและพฒั นาเครื่องมือวจิ ัยจนได้เครอ่ื งมอื ทีม่ คี ุณภาพสำหรับการทำวิจยั ครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้อำนวยการและครูอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ท่ีได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์ในการให้ข้อมูลในการ ตอบแบบสอบถามตลอดจนเพื่อน ๆ หลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษารุ่น ที่ 24 ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เจ้าหน้าที่ห้องสมุด มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร และเจ้าหน้าทีห่ อสมุดแหง่ ชาติ ทีไ่ ดก้ รุณาอนุเคราะห์ให้ ความช่วยเหลอื ในการค้นหาหนังสอื เอกสารรวมถึงวิทยานพิ นธท์ เี่ กี่ยวขอ้ ง คุณคา่ ท้ังหมดท่ีเกิดข้ึนจากวิทยานพิ นธเ์ ล่มนี้ ผวู้ ิจัยนอ้ มรำลึกและบูชาพระคุณแกบ่ ุพการีของ ผ้วู ิจัย และบูรพาจารยท์ ุกท่านท่ีอยู่เบ้ืองหลังในการวางรากฐานการศึกษาใหก้ ับผู้วจิ ัยต้ังแต่อดตี จนถึง ปัจจุบนั ลดาวัลย์ รุง่ เรอื ง
สารบญั หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย.........................................................................................................................(ก) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ....................................................................................................................(ค) ประกาศคณุ ปู การ............................................................................................................................(จ) สารบัญ.............................................................................................................................................(ฉ) สารบัญตาราง..................................................................................................................................(ฌ) สารบญั ภาพประกอบ.......................................................................................................................(ฐ) บทที่ 1 บทนำ.............................................................................................................................1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา.......................................................................1 วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย..............................................................................................4 ขอบเขตของการวิจัย.....................................................................................................4 ความสำคญั ของการวจิ ัย................................................................................................6 นยิ ามศัพท์เฉพาะ...........................................................................................................6 นยิ ามปฏิบตั ิการ............................................................................................................6 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย................................................................................................9 สมมตฐิ านการวิจยั .......................................................................................................10 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง....................................................................................11 เอกสารทเี่ กีย่ วข้องกับหลักการ แนวคิด และทฤษฎี…………...........................…………12 แนวคิดและทฤษฎีเกีย่ วกับสมรรถนะหลักของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา...........................12 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกบั การบริหารงานวิชาการของสถานศกึ ษา...........................26 แนวคิดเกีย่ วกบั การบริหารจัดการเรยี นรสู้ ปู่ ระชาคมอาเซยี นของโรงเรียน มธั ยมศกึ ษา........................................................................................................65 ขอ้ มูลพืน้ ฐานพน้ื ทีท่ ำวจิ ยั ..........................................................................................68 งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง.....................................................................................................70 งานวจิ ัยในประเทศ............................................................................................70 งานวิจยั ตา่ งประเทศ..........................................................................................77
(ช) สารบัญ (ต่อ) บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย..................................................................................................79 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง............................................................................................79 ประชากร................................................................................................................79 กลุม่ ตวั อย่าง...........................................................................................................79 ตวั แปรท่ีศึกษา...............................................................................................................80 เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั .................................................................................................81 การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย........................................................82 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………….....................…........……83 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ิท่ีใช้ในงานวิจัย............………...............….....……………83 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล..................................................................................................85 สัญลกั ษณ์ทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู .............................................................................85 การวิเคราะห์ข้อมลู ........................................................................................................86 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................86 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ...........................................................................108 สรปุ ผลผลการวจิ ัย .................................................................................................108 อภิปรายผลการวิจัย.....................................................................................................109 ขอ้ เสนอแนะ................................................................................................................115 ขอ้ เสนอแนะในการนำผลวิจยั ไปใช้ได้...................................................................115 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป.........................................................................118 บรรณานกุ รม...........................................................................................................................119 ภาคผนวก.................................................................................................. ..............................132 ภาคผนวก ก เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย.....................................................................................133 ภาคผนวก ข หนงั สือประสานงานวิจัย.....................................................................................142 ภาคผนวก ค.............................................................................................................................147 ภาคผนวก ง..............................................................................................................................154
(ซ) สารบัญ (ตอ่ ) ประวัตยิ ่อผวู้ ิจัย หน้า ภาคผนวก จ...............................................................................................................160
สารบญั ตาราง ตารางท่ี หนา้ 1 จำนวนโรงเรียน อำเภอและขนาด ........………………………..............…………...........……........………68 2 จำนวนประชากร และกลมุ่ ตัวอย่าง สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีมธั ยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม ....................................................................................................................80 3 จำนวนและรอ้ ยละสถานภาพส่วนตวั ของผู้ตอบแบบสอบถาม………………...………....…………....….87 4 ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานระดบั สมรรถนะหลักผู้บรหิ ารสถานศึกษา ที่ส่งผลตอ่ การบริหารงานวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศึกษาสูป่ ระชาคมอาเซียน สังกัดสำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐมในภาพรวม………..…88 5 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั สมรรถนะหลกั ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ท่ีสง่ ผลตอ่ การบรหิ ารงานวชิ าของผบู้ ริหารการสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซียน สงั กดั สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม ในดา้ นการมงุ่ ผลสัมฤทธิ์……………………………………………………………………….......….....……….89 6 ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับสมรรถนะหลกั ผู้บริหารสถานศึกษา ที่สง่ ผลตอ่ การบริหารงานวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สปู่ ระชาคมอาเซียน สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ในดา้ นการบริการทดี่ ี ………………………………………………………………………………………...…...90 7 ค่าเฉลีย่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานและระดับสมรรถนะหลักผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ที่ส่งผลตอ่ การบริหารงานวิชาการของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซียน สงั กดั สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ในด้านการพัฒนาตนเอง …………………………………………………………………………………….……91 8 ค่าเฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับสมรรถนะหลักผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ท่ีสง่ ผลต่อการบริหารงานวิชาของผูบ้ ริหารการสถานศกึ ษา ส่ปู ระชาคมอาเซียน สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ในด้านการทำงานเป็นทมี …………………………………………………………………………..…………...…92 9 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและระดบั การบรหิ ารดา้ นวชิ าการของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา สูป่ ระชาคมอาเซียน สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม โดยภาพรวม …………………………………………………………………………………….……………...……..93
(ฎ) สารบญั ตาราง (ต่อ) หน้า ตารางท่ี 10 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบริหารด้านวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สู่ประชาคมอาเซียน สังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม ในดา้ นการพฒั นาหลกั สตู ร…………………………………………………………...……………..…………94 11 คา่ เฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารดา้ นวิชาการของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ในด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้………………………………………………………….……………95 12 คา่ เฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบริหารด้านวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สปู่ ระชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ในดา้ นการวดั ผลประเมนิ ผลและเทยี บโอนผลการเรยี น................................................... 96 13 ค่าเฉลย่ี สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานและระดับการบริหารดา้ นวิชาการของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซยี น สงั กัดสำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ในด้านการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา……………………………………….……………………97 14 ค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารดา้ นวิชาการของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา สปู่ ระชาคมอาเซียน สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม ในด้านการพฒั นาสื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา……………………………………98 15 คา่ เฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับการบริหารด้านวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา สู่ประชาคมอาเซียน สงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม ในด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้……………………………………………………………………………….99 16 ค่าเฉลี่ย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั การบรหิ ารด้านวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สู่ประชาคมอาเซยี น สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ในดา้ นการนเิ ทศการศกึ ษา............................................................................................. 100 17 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารดา้ นวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สูป่ ระชาคมอาเซยี น สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ในดา้ นการแนะแนวการศึกษา………………………………………………………………………………101 18 ค่าเฉล่ยี ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบริหารดา้ นวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สูป่ ระชาคมอาเซยี น สังกัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม ในดา้ นการพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา………………………………………102
(ฎ) สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หนา้ 19 ค่าเฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารดา้ นวิชาการของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซียน สงั กดั สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม ใน ดา้ นการสง่ เสริมความรู้ดา้ นวิชาการแก่ชมุ ชน.....................................................................103 20 ค่าเฉลยี่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและระดบั การบรหิ ารด้านวชิ าการของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซยี น สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม ในดา้ นการประสานความรว่ มมือในการพฒั นางานวิชาการกับสถานศกึ ษาอื่น....................104 21 ค่าเฉล่ยี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารด้านวิชาการของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา สู่ประชาคมอาเซียน สงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ใน ดา้ นการการสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ งานวชิ าการแกบ่ ุคคล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงานและ สถาบนั อน่ื ท่ีจดั การศกึ ษา………………………………………………………………………………………..105 22 การวเิ คราะห์สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศกึ ษาท่ีสง่ ผลต่อการบริหารงาน วชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม .................................................................106
สารบญั ภาพประกอบ ภาพประกอบท่ี หนา้ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย.....................................................................................................10 2 แบบจำลองภเู ขานำ้ แขง็ ......................................................................................................12 3 เป้าหมายการพฒั นาสู่ประชาคมอาเซียน............................................................................66 4 แนวคดิ การศกึ ษาสู่ประชาคมอาเซียน.................................................................................67
บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน โดยการศึกษาเป็นกลไกใน การปลูกฝังค่านิยม แนวความคิด ความเข้าใจกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นรากฐาน สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอาเซียนและเศรษฐกิจโลก โดยในแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Blueprint for ASEAN socio- cultural community–ASCC Blueprint) ได้กำหนดให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเป้าหมาย สำคัญอันดับแรกในการเสริมสร้างวิถีชีวิตท่ีดีของประชากรในภูมิภาค ด้วยการให้ความสำคัญกับ การศึกษาและการสร้างโอกาสทางการศึกษา การลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเรียนรู้ ตลอดชีวิต การส่งเสริมการจ้างงานท่ีเหมาะสม การส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศ การอำนวยความ สะดวกในการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงประยุกต์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2548, 3) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตราท่ี 6 บัญญัติว่า การจัดการศึกษา ต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2547, 5) การศึกษาเป็นกระบวนการที่ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน อีกท้ังส่งผลเก้ือกูลต่อ การพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงในทุก ๆ ด้านของประเทศ เช่นเดียวกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ท่ีมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปญั ญา มคี วามสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบ อาชีพ ซ่ึงถือเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประ สงค์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, 4 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2545-2559 มีเจตนารมณ์มุ่งพัฒนาชีวิตให้ เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมในการ ดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข” และพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมท่ีมีความ เขม้ แข็ง และมดี ุลยภาพ 3 ด้าน คือ เป็นสังคมคุณภาพ สงั คมแห่งภมู ิปญั ญาและการเรยี นรู้ และสังคม สมานฉันท์และเอ้ืออาทรต่อกัน การปฏิรูปการศึกษามุ่งปฏิรูป 4 ด้าน คือ 1) ปฏิรูปด้านสถานศึกษา 2) ปฏิรูปครู 3) ปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน (เป็นจุดเน้น) 4) ปฏิรูประบบการบริหารการจัด การศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ, 2549, 3-8)
2 ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาเป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะทำให้สถานศกึ ษาสามารถนำนโยบายการปฏริ ูป การศึกษาสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมและการจัดการศึกษาสามารถประสบผลสำเร็จตาม เป้าหมายและวตั ถุประสงค์ในการปฏิรปู การศกึ ษาได้ จึงอาจกล่าวไดว้ า่ คุณภาพและประสิทธิภาพของ สถานศึกษาจะสัมพันธ์และแปรผันไปตามผู้บริหารสถานศึกษาน่ันเองและสมรรถนะของผู้บริหาร คือ เงือ่ นไขแห่งความสำเร็จอันเป็นปจั จัยภายในองค์การที่มกี ารเปลี่ยนแปลง โดย สมรรถนะของผูบ้ ริหาร จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงท้ังในระดับปัจเจกบุคคลและองค์การ (ชาญชัย อาจินสมาจาร, 2540, 10) นอกจากนั้นสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการปฏิบตั ิงานของผู้บริหารคือ บทบาทและหน้าที่ เพราะว่า ผู้บริหารมีบทบาทและหน้าท่ีในการวางแผนการกำหนดวัตถุประสงค์เลือกภารกิจและทำหน้าที่เป็น ผ้นู ำของผู้บังคับบัญชาโดยเป็นจดุ รวมแหง่ พลังร่วมของบุคลากรในสถานศึกษา สถานศึกษาทดี่ นี ั้นการ ปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถบริหารสถานศึกษาตาม แนวทางการจดั การศกึ ษาไดเ้ ป็นอยา่ งดีอีกท้ังผู้บรหิ าร สถานศกึ ษาต้องเป็นผนู้ ำการปฏริ ูปการศึกษาท่ี มีประสิทธิภาพและจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองและเทคโนโลยีทำให้ ผู้บริหารสถาน ศึกษาต้องมีความก ระตือรือร้น และ พัฒ น าตน เองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาคว ามรู้ ความสามารถและทักษะหรือท่ีเรียกวา่ สมรรถนะ (competencies) ของบุคคลเป็นสิง่ จำเป็นสำหรับ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาที่เตรยี มรบั การเปลีย่ นแปลง เพอ่ื ให้การจัดการศกึ ษาบรรลเุ ป้าหมาย มาตรฐานวชิ าชพี ทางการศึกษาได้กำหนดมาตรฐานการปฏิบตั งิ านของผู้บรหิ ารศกึ ษา ต้อง ปฏิบัติงาน ตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, 2548, 56) ดังนี้ 1) ปฏิบัติ กิจกรรมทางวิชาการเก่ียวกับ การพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศกึ ษา 2) ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดย คำนึงถึงผลที่เกดิ ขึ้นกับการพัฒนาของบุคลากร ผู้เรยี น และชุมชน 3) มุ่งมั่นพฒั นาผ้รู ่วมงานให้ สามารถปฏบิ ัตไิ ด้เกดิ ผลจริง 4) พัฒนาแผนงานขององค์การให้สามารถปฏิบตั ิได้เกิดผลจรงิ 5) พัฒนา และใช้นวัตกรรมการบริหารจนเกิดผลงานทีม่ ี คณุ ภาพสงู ข้ึนเปน็ ลำดับ 6) ปฏบิ ัติงานขององคก์ ารโดย เน้นผลถาวร 7) รายงานผลการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาได้อย่างเป็นระบบ 8) ปฏิบัติตนเป็น แบบอย่างท่ีดี 9) ร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานอ่ืนอย่าง สร้างสรรค์ 10) แสวงหาและใช้ข้อมูล ข่าวสารในการพัฒนา 11) เปน็ ผนู้ ำและสรา้ งผนู้ ำ ปัจจุบนั พบว่า หนว่ ยงานและนักวิชาการต่าง ๆ ได้ให้ความสำคญั และกำหนดแนวทางใน การดำเนินงานเก่ียวกับการมีสมรรถนะในองค์การ เพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์การ อาทิ สำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น (2551, 12) ได้จัดสัมมนาเรื่อง สมรรถนะของ ข้าราชการ และได้มีการกล่าวถึงการกำหนดสมรรถนะหลักและสมรรถนะประจำกลุ่มงานขึ้นเพราะ เช่ือว่าการ กำหนดสมรรถนะดังกล่าวจะส่งผลให้ข้าราชการผู้น้ันมีผลปฏิบัติงานดีและส่งผลให้องค์การบรรลุ เป้าประสงคท์ ี่ตอ้ งการ สำนักงานคณะกรรมการขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (2551, 7-8) ได้มีแนวทางการประเมินคุณภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคคลากรทางการศึกษาให้มี
3 วทิ ยาฐานะและเล่อื นวทิ ยฐานะได้ต้องผ่านการประเมนิ 3 ด้าน คอื ด้านท่ี 1 วินัย คณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ด้านท่ี 2 คุณภาพการปฏิบัติงานโดย พิจารณาจากสมรรถนะในการ ปฏิบตั ิงาน คือ พิจารณาจากสมรรถนะหลกั และสมรรถนะประจำสายงาน สว่ นด้านท่ี 3 ผลงานที่เกิด จากการปฏิบัติงานในหนา้ ท่ี เป็นต้น จะเห็นได้วา่ สมรรถนะเปน็ เครื่องมือชนดิ หนึง่ ทีน่ ำมาเปน็ พืน้ ฐาน ในการจดั ทำระบบหรือวางแนวทางในการพัฒนาทรัพยากร บคุ คลขององค์การใหส้ อดคล้องกบั กลยุทธ์ และเป้าหมายในการดำเนินการขององค์การและนำมาใช้กับการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อให้มี ประสิทธภิ าพ นอกจากนย้ี ังเป็นเครื่องมือช่วยในการแปลงวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ วัฒนธรรม องค์การ และยุทธศาสตรต์ า่ ง ๆ ขององค์การมาสู่กระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยเปน็ พ้ืนฐาน สำคญั ของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ขององค์การ เช่น การสรรหาและคดั เลือก บุคลากรการพัฒนาบคุ ลากร การประเมินผล การปฏิบัติงาน การพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพ การ วางแผนการสืบทอดตำแหน่ง และการจา่ ยผลตอบแทน เปน็ ตน้ สมรรถนะจึงมคี วามสำคัญอยา่ งยงิ่ ต่อ การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลท่ีอยู่ในตำแหน่งผู้บริหาร สถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาจำเปน็ ตอ้ งมีสมรรถนะในการปฏบิ ตั ิงานและคุณลักษณะทเ่ี อ้ือตอ่ การ จัดการศึกษา (ธีระ รุญเจริญ, 2545, 49) และผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้นำสำคัญในการกำหนด นโยบาย เป้าหมายตลอดจนวิธีดำเนินงานของสถานศึกษาเพื่อให้การบริหารสถานศึกษาบรรลุผล สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบายของรัฐที่กำหนดไว้และต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติงานด้าน ต่าง ๆ ของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผลต่อการศึกษาซ่ึงการบริหาร สถานศึกษาจะดำเนินไปด้วยดีและวัตถุประสงค์ข้ึนอยู่กับบุคลากรหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้บริหาร สถานศึกษาขั้นพื้นฐานต้องเป็นผู้มีสมรรถนะเพียงพอเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม (สำเภา นร สงิ ห์, 2546, 159–60) สอดคลอ้ งกับ เทื้อน ทองแก้ว (2550, 10) กล่าวว่าสมรรถนะ (competency) เป็นปัจจัยในการทำงานท่ีเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่องค์การโดยเฉพาะการเพ่ิมขีด ความสามารถในการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพราะ สมรรถนะเป็นปัจจัยช่วยให้พัฒนาศักยภาพของ บุคลากรเพอ่ื ใหส้ ่งผลไปสู่การพฒั นาองค์การ องค์การตา่ ง ๆ จึงพยายามเอาสมรรถนะมาใชเ้ ปน็ ปัจจัย ในการบรหิ ารองคก์ ารในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น การบรหิ ารงานบุคคลการบริหารงานวชิ าการการพัฒนางาน บรกิ าร หรอื การพฒั นา ภาวะผ้นู ำของผ้บู รหิ าร ดงั ท่ี กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2546, 9-11) กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2555 มาตรา 4 วรรค 5 ได้บัญญัติให้สถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานหมายถึงสถานศกึ ษาท่ีจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มาตรา 9 (2) บัญญัติถึงหลักการจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักการ กระจายอำนาจไปสู่เขตพ้ืนท่กี ารศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ทง้ั นี้ มาตรา 39 กำหนดว่า ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านวชิ าการ งบประมาณ
4 การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการ และสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และสถานศกึ ษาในเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาโดยตรง จากความเป็นมาและความสำคญั ดงั กล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศกึ ษาสมรรถนะหลัก ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มัธยมศึกษาเขต 9 เพ่อื ใชเ้ ปน็ ข้อมูลและแนวทางในการพฒั นากระบวนการบริหารจัดการสถานศึกษา ซ่ึงถือเป็นปัจจัยหลักท่ีส่งผลต่อคุณภาพการจัดการศึกษาโดยตรง และเป็นกำลังหลักในการพัฒนา ประเทศชาติให้เจริญ ก้าวหน้า โดยมุ่งหวังให้ผู้บริหารการศึกษา เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงด้าน ความรู้ ความสามารถ เจตคติ ทักษะ และวิธกี ารในการทำงานของผู้บรหิ ารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 9 ใหอ้ ยู่ในระดับท่ีสงู ขน้ึ ต่อไป วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย การวิจยั ครั้งนี้ผูว้ จิ ัยต้องการศึกษา ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม 2. เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัด สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 9 จงั หวดั นครปฐม 3. เพ่ือศึกษาสมรรถนะหลักผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของ ผู้บริหารสถานศึกษาสปู่ ระชาคมอาเซียน สังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 9 จังหวัด นครปฐม ขอบเขตการวิจยั การวิจัยคร้ังน้ี มุ่งศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงาน วชิ าการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม โดยกำหนดขอบเขตวิจัย ดงั นี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครั้งนี้ได้แกผ่ ู้บรหิ ารและครูสงั กัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึก ษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2559 จาก 29 โรงเรียน จำแนกตามที่ตั้งของ อำเภอจำนวน 7 อำเภอ ไดแ้ ก่ อำเภอเมืองนครปฐม อำเภอกำแพงแสน อำเภอดอนตูม อำเภอนครชัย ศรี อำเภอบางเลน อำเภอสามพราน และอำเภอพทุ ธมณฑล ประกอบด้วยผบู้ ริหาร(ผอู้ ำนวยการ/รอง
5 ผอู้ ำนวยการ/หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู) 242 คน และครูจำนวน 1,456 คน รวมทั้งสิ้น 1,698 คน (สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9, 2559, 7-12) 1.2 กล่มุ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ีได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 9 จงั หวัดนครปฐม จำนวน 45 คน และครูจำนวน 268 คน ไดจ้ ากการเปิด ตาราง เครจซ่ีและมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, 607-610 อ้างถึงใน ภรณ์ทิพย์ ป้ันก้อง, 2559, 90-95) ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) ได้จำนวนกลุ่ม ตวั อยา่ งจำนวน 313 คน 2.1 ตัวแปรต้น คือ สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบดว้ ยสมรรถนะของ ผบู้ รหิ าร 4 ดา้ น ดงั นี้ 2.1.1 การมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2.1.2 การบริการทดี่ ี 2.1.3 การพัฒนาตนเอง 2.1.4 การทำงานเปน็ ทีม 2.2 ตวั แปรตาม คือ การบริหารด้านวิชาการของผบู้ ริหารสถานศึกษา สงั กัดสำนักงานเขต พ้ืนทก่ี ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม จำนวน 12 ดา้ น ดงั นี้ 2.2.1 การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา 2.2.2 การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 2.2.3 การวดั ผล ประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน 2.2.4 การวิจยั เพือ่ พฒั นาคุณภาพการศึกษา 2.2.5 การพัฒนาสอ่ื นวตั กรรมและเทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษา 2.2.6 การพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ 2.2.7 การนิเทศการศึกษา 2.2.8 การแนะแนวการศกึ ษา 2.2.9 การพัฒนาระบบประกนั คณุ คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา 2.2.10 การสง่ เสรมิ ความรูด้ ้านวชิ าการแก่ชุมชน 2.2.11 การประสานความร่วมมอื ในการพฒั นางานวิชาการกับสถานศึกษาอื่น 2.2.12 การสง่ เสรมิ และสนบั สนุนงานวิชาการแก่บคุ คล ครอบครัว องคก์ ร หน่วยงาน และสถาบันอนื่ ทจี่ ัดการศกึ ษา 3. ระยะเวลาที่ศึกษา ดำเนนิ การวจิ ยั พ.ศ. 2559-2560
6 ความสำคญั ของการวจิ ยั การวิจัยครง้ั นี้ผูว้ ิจยั ต้องการศึกษา ดงั น้ี 1. ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เปน็ แนวทางในการพัฒนาศักยภาพของ บุคลากรและสถานศกึ ษาให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสทิ ธิผลในการจดั การศึกษา 2. สถานศกึ ษานำผลการวจิ ัยคร้งั นี้ไปปฏิบตั ิเพอ่ื พฒั นาสถานศึกษาเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 3. สำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 9 สามารถนำผลการวจิ ัยไปใชป้ ระกอบการ วางแผนพัฒนาและกำหนดนโยบายของผู้บรหิ ารในการบริหารงานดา้ นวิชาการสถานศึกษาให้เปน็ ไป ตามจดุ มงุ่ หมายของการจดั การศกึ ษาที่สัมพนั ธก์ ับกลมุ่ ประชาคมอาเซยี น นยิ ามศพั ท์เฉพาะ สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และทักษะหรือคุณลักษณะที่ เหมาะสมจำเป็นในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซ่ึงประกอบด้วยการมุ่ง ผลสัมฤทธิ์ การบรกิ ารที่ดี การพฒั นาตนเอง และการทำงานเป็นทมี การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา หมายถึง การดำเนินงานของสถานศึกษาในเรื่อง การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เพื่อให้สำเร็จตามวตั ถุประสงค์ของโรงเรยี น ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา หมายถงึ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาจังหวดั นครปฐม จากโรงเรยี นในสงั กัดสำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 9 ประกอบด้วยผ้อู ำนวยการ รอง ผู้อำนวยการสถานศกึ ษา และหัวหน้ากลุม่ สาระวชิ าตา่ ง ๆ นิยามปฏบิ ตั กิ าร สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะที่เหมาะสม ของผู้บริหารทางด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง และการทำงานเป็นทีม ใน การปฏบิ ตั ิงานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลแบง่ ออกเป็น 4 ด้าน ซึ่งมีรายละเอียด ดงั น้ี 1. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ หมายถงึ ผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้มีคุณภาพถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีการกำกับตดิ ตาม ประเมนิ ผล และมีการพฒั นาผลงานให้มคี ณุ ภาพอย่างตอ่ เนอ่ื งใหบ้ รรลุ เป้าหมายท่ีกำหนด 2. การบริการท่ีดี หมายถึง ผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 9 มี ความตั้งใจในการจัดรูปแบบและปรับปรุงระบบบริการใหม้ ีประสิทธิภาพเพ่ือตอบสนองความต้องการ ของผู้เรยี น ครู ผ้ปู กครองและผ้มู ีสว่ นได้ส่วนเสยี ในการจดั การศกึ ษา
7 3. การพัฒนาตนเอง หมายถึง ผบู้ ริหารสงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 9 มีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ติดตามองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ในวงวิชาการและวิชาชีพเพ่ือ พัฒนาตนเองและพัฒนางาน 4. การทำงานเป็นทีม หมายถึง ผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 มีการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุนเสริมแรง ให้กำลังใจแก่เพ่ือนร่วมงาน การปรับตัวเข้ากับ บุคคลอื่น หรือแสดงบทบาทผูน้ ำ ผตู้ ามไดอ้ ย่างเหมาะสม การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การปฏิบัติงานต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนการสอน ตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลมากที่สุด ประกอบด้วย กระบวนการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาประกอบด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอนผลการ เรียน 4) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือ การศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การ พัฒนาระบบประกันคุณคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษาอ่ืน 12) การส่งเสริมและ สนบั สนุนงานวิชาการแกบ่ คุ คล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน ซ่ึงมีรายละเอียด ดังนี้ 1. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา หมายถึง วิเคราะห์เอกสารหลักสูตรการศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน พ.ศ. 2544 สาระแกนกลางของกระทรวงศึกษาธกิ าร ข้อมลู สารสนเทศเกยี่ วกับสภาพปัญหา และความต้องการของสังคม ชุมชนและท้องถ่ิน วิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพ่ือจัดทำโครงสร้าง หลักสูตร และสาระทีก่ ำหนดให้มใี นหลักสตู รสถานศกึ ษา 2. การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การส่งเสริมให้ครจู ัดทำแผนการเรียนรู้ตามสาระ และหน่วยการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญส่งเสรมิ ให้ครูจดั กระบวนการเรยี นรู้ตามกลมุ่ สาระและ หน่วยการเรียนโดยเน้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจดั เนื้อหาสาระและ กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผเู้ รียน 3. การวัดผลประเมินและเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง การกำหนดระเบียบแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับการวดั ผลประเมนิ ผลของสถานศึกษาส่งเสริมใหค้ รจู ดั ทำแผนการวดั ผล และประเมินผลแต่ละ รายวิชาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา สาระการเรียนรู้หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ และการจัดกิจรรมการเรียนรู้ 4. การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา หมายถึง การศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับการ บริหารการจัดการ และการพัฒนาคุณภาพงานวิชาการในภาพรวมของสถานศึกษา ส่งเสริมให้ครู ศึกษา วเิ คราะห์ วิจัย เพอื่ พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ในแต่ละกล่มุ สาระการเรยี นรู้
8 5. การพัฒนาส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หมายถึง การศึกษา วิเคราะห์ ความจำเป็นในการใช้สอ่ื และเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนการสอน จดั หาส่ือและเทคโนโลยีเพื่อใช้ ในการจดั การเรียนการสอน และพัฒนางานดา้ นวิชาการ 6. การพัฒนาแหลง่ การเรียนรู้ หมายถึง การสำรวจแหล่งการเรียนรู้ท่ีเกีย่ วข้องกับการพัฒนา คุณภาพการศึกษาท้ังในสถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น ในเขตพื้นที่การศึกษาใกล้เคียง จัดทำเอกสาร เผยแพรแ่ หลง่ การเรียนรู้ใหแ้ ก่ครู สถานศกึ ษาอื่น บุคคล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน และสถาบันอืน่ 7. การนิเทศการศึกษา หมายถึง การจัดระบบการนิเทศงานวิชาการและการเรียนการสอน ภายในสถานศึกษา ดำเนินการนิเทศงานวิชาการ การเรียนการสอน ในหลายรูปแบบเหมาะสมกับ สถานศกึ ษา 8. การแนะแนวการศกึ ษา หมายถึง การจัดระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชพี ภายใน สถานศึกษา โดยเชอื่ มโยงกบั ระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน และกระบวนการเรียนการสอน ดำเนินการ แนะแนวการศกึ ษาโดยความรว่ มมือของครทู กุ คนในสถานศึกษา 9. การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษา หมายถึง การจดั ระบบโครงสร้าง องค์กร ให้รองรับการจัดระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กำหนดเกณฑ์การประเมิน เป้าหมายความสำเร็จของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาและตัวชี้วัดของกระทรวงเป้าหมาย ความสำเร็จของเขตพื้นที่การศึกษา หลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคณุ ภาพการศึกษาใหบ้ รรลุตามเปา้ หมาย 10. การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน หมายถึง การศึกษาสำรวจความต้องการ สนับสนุนงานวิชาการแก่ชุมชน จัดให้ความรู้เสริมสร้างความคิด และเทคนิคทักษะทางวิชาการ เพ่ือ การพฒั นาทักษะวชิ าชพี และคณุ ภาพของประชาชนในชุมชน 11. การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษาอ่ืน หมายถึง การ ประสานความร่วมมือช่วยเหลือในการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และองค์กร ปกครองทอ้ งถ่นิ ทั้งทจี่ ัดการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานและระดับอดุ มศกึ ษา 12. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและ สถาบันอ่ืนท่ีจัดการศึกษา หมายถึง การสำรวจและศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษา ความต้องการ ใน การได้รบั การสนับสนุนด้านวิชาการของบุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันสังคมอ่ืน ๆ รวมท้ังการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครวั องค์กร หนว่ ยงานและสถาบนั อื่น ๆ ทีจ่ ัดการศึกษา
9 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดสมรรถนะหลักของผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (2548, 46-51) ซ่ึงประกอบด้วย 1) ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2) ด้านการบริการท่ีดี 3) การพัฒนาตนเอง 4) การทำงานเป็นทีม และใช้แนวคิดการบริหารด้าน วชิ าการของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546, 32) 12 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1) การพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 3) การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอน ผลการเรียน 4) การวิจยั เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาส่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือ การศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การ พัฒนาระบบประกันคุณคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษาอ่ืน 12 ) การส่งเสริมและ สนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา โดยนำ แนวคดิ ดังกลา่ วเป็นแนวทางในการศึกษาวิจยั ในครง้ั น้ี ดังภาพประกอบท่ี 1
สมรรถนะหลักของผบู้ รหิ าร 10 1. ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2. ด้านการบริการท่ีดี การบรหิ ารดา้ นวิชาการของสถานศึกษา 3. การพฒั นาตนเอง 1. การพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา 4. การทำงานเปน็ ทมี 2. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3. การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอนผล การเรียน 4. การวิจัยเพอ่ื พฒั นาคุณภาพการศึกษา 5. การพัฒนาสอื่ นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือ การศึกษา 6. การพฒั นาแหล่งเรียนรู้ 7. การนิเทศการศึกษา 8. การแนะแนวการศึกษา 9. การพัฒนาระบบประกนั คุณคณุ ภาพภายใน สถานศกึ ษา 10. การสง่ เสรมิ ความรูด้ า้ นวชิ าการแก่ชุมชน 11. การประสานความร่วมมือในการพัฒนางาน วชิ าการกบั สถานศกึ ษาอ่ืน 12. การสง่ เสริมและสนบั สนุนงานวิชาการแก่ บุคคล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงานและ สถาบนั อ่ืนที่จัดการศึกษา ภาพประกอบที่ 1 แนวคิดสมรรถนะหลกั ของผูบ้ ริหาร ทม่ี า : สำนกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (2548, 46-51) สมมติฐานการวิจัย เพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย ผวู้ จิ ยั จงึ กำหนดสมมติฐานของการวิจัย ดังนี้ 1. สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จงั หวดั นครปฐม อย่ใู นระดบั มาก 2. การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขต พ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม อยู่ในระดับมาก 3. สมรรถนะหลักผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร สถานศึกษา สู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัด นครปฐมในทางบวก
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกยี่ วขอ้ ง ในการศึกษาวิจัยเรื่องสมรรถนะหลักของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของ ผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ผู้วิจยั ได้ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง ซงึ่ มีประเดน็ ทีจ่ ะนำเสนอ ดงั น้ี เอกสารท่ีเกยี่ วขอ้ งกับหลักการ แนวคิด และทฤษฎี 1. แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา 1.1 แนวคิดและทฤษฎีเกยี่ วกับสมรรถนะ 1.2 ความหมายของสมรรถนะหลัก 1.3 ความสำคัญของสมรรถนะ 1.4 องค์ประกอบของสมรรถนะ 1.5 ประเภทของสมรรถนะ 1.6 ประโยชน์ของสมรรถนะ 1.7 สมรรถนะหลกั ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา 1.8 สมรรถนะของผูบ้ รหิ ารในการเตรยี มความพรอ้ มเพ่อื เข้าสปู่ ระชาคมอาเซยี น 1.9 บทบาทของผู้บริหารในการนำระบบสมรรถนะหลักมาใช้ 2. แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกบั การบริหารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ 2.2 ความหมายของการบริหารงานวิชาการ 2.3 ความสำคัญของการบรหิ ารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา 2.4 หลกั ของการบรหิ ารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา 2.5 การบริหารงานวชิ าการในโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา 3. แนวคดิ เกยี่ วกับการบริหารจดั การเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซยี นของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา 3.1 การบริหารจัดการเรียนรสู้ ปู่ ระชาคมอาเซียนของโรงเรียนมธั ยมศึกษา 3.2 การติดตามผลการดำเนนิ งานเตรียมความพรอ้ มในการเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน 4. ขอ้ มลู พ้นื ฐานพ้ืนทท่ี ำวิจัย 4.1 สถานศกึ ษาสังกัดสำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวดั นครปฐม งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง 1. งานวิจยั ในประเทศ
12 2. งานวิจยั ต่างประเทศ เอกสารท่เี ก่ียวข้องกบั หลักการ แนวคดิ และทฤษฎี 1.แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับสมรรถนะหลกั ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา 1.1 แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั สมรรถนะ สุกญั ญา รัศมีธรรมโชติ (2548, 7-9)กล่าวถึงแนวคิดเก่ยี วกบั สมรรถนะ (competency) มักอธบิ าย ด้วย โมเดลน้ำแข็ง (iceberg model) ซ่ึงอธิบายว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคล เปรียบเทียบได้กับ ภเู ขาน้ำแขง็ ดงั ภาพประกอบที่ 2 ภาพประกอบที่ 2 แบบจำลองภูเขาน้ำแขง็ (The Iceberg Model) McClelland. ทีม่ า : ชชู ัย สมิทธิไกร (2550, 29) จะเหน็ ว่า สว่ นทเ่ี ห็นและพัฒนาไดง้ ่ายคอื ส่วนทอี่ ยู่เหนอื น้ำ น่ันคอื องค์ความรแู้ ละทกั ษะ ต่าง ๆ ท่ีบุคคลมีอยู่และส่วนใหญ่ท่ีมองเห็นได้ยากอยู่ใต้ผิวน้ำ ได้แก่ แรงจูงใจ อุปนิสัย ภาพลักษณ์ ภายใน และบทบาทที่แสดงออกต่อสังคม ส่วนที่จมใต้น้ำมีผลต่อพฤติกรรมในการทำงานของบุคคล อยา่ งมากและเป็นส่วนทพี่ ัฒนาได้ยาก ส่วนทีอ่ ยูเ่ หนอื น้ำ สามารถสงั เกตเห็นได้ 1. ทักษะ (skill) หมายถึง สงิ่ ที่บุคคลรู้และสามารถทำได้เป็นอย่างดี เช่น ทักษะการอ่าน ทกั ษะการฟัง ทกั ษะการทำงาน เป็นตน้ 2. ความรู้ (knowledge) หมายถึง สิ่งท่ีบุคคลรู้และเขา้ ใจในหลักการ แนวคิดเฉพาะด้าน เชน่ มีความรู้ ดา้ นการเงิน การบญั ชี กฎหมาย เป็นตน้ ส่วนท่ีอยู่ใตน้ ้ำ สังเกตเห็นได้ยาก 1. บทบาททางสังคม (social role) หมายถึง สิ่งที่บุคคลต้องการสื่อให้บุคคลอื่นในสังคม เหน็ วา่ ตัวเขามบี ทบาทอย่างไรต่อสงั คม เชน่ ชอบชว่ ยเหลือผอู้ ่ืน
13 2. ภาพพจน์ที่รับรู้ตัวเอง (self-Image) หมายถึง ภาพพจน์ท่ีบุคคลมองตัวเองว่าเป็น อยา่ งไร เชน่ เปน็ ผู้นำ ผู้เช่ียวชาญ หรือ เปน็ ศิลปิน เปน็ ตน้ 3. อุปนิสัย (trait) หมายถึง ลักษณะนิสัยใจคอของบุคคลที่เป็นพฤติกรรมถาวรเช่น เป็น คนใจดี ใจรอ้ น เป็นคนอ่อนนอ้ มถ่อมตน โอบอ้อมอารี เป็นต้น 4. แรงจูงใจ (motive) หมายถึง พลังขับเคลื่อนที่เกิดจากภายในจิตใจของบุคคลท่ีส่งผล กระทบตอ่ การกระทำ เชน่ เป็นคนท่ีมีความตอ้ งการผลสำเร็จ การกระทำที่แสดงออกถึงความม่นุ ม่นั สู่ ความสำเรจ็ ตลอดเวลา 1.2 ความหมายของสมรรถนะหลัก พารี (Parry, 1997, อ้างถึงใน สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ, 2548, 48) ให้ความหมายของ สมรรถนะวา่ หมายถึง กลุ่มของความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (skills) และคุณลักษณะ (attributes) ที่ เกี่ยวข้องกัน ซึ่งมีผลกระทบต่องานหลักของตำแหน่งงานหน่ึง ๆ โดยกลุ่มความรู้ ทักษะ และ คุณลักษณะดังกล่าว สมั พันธก์ บั ผลงานของตำแหน่งงานนนั้ ๆ และสามารถวดั ผลเทยี บกับมาตรฐานที่ เปน็ ท่ียอมรับ และเปน็ สิ่งทสี่ ามารถเสรมิ สรา้ งขนึ้ ได้ โดยผ่านการฝกึ อบรมและการ แมคคลีแลนด์ (McClelland, 1993 อ้างถึงใน สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ, 2548, 49) ซึ่งจัด ว่าเป็นให้คำจำกัดความของสมรรถนะไว้ว่าเป็นบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในปัจเจกบุคคล ซ่ึง สามารถผลักดันให้ปัจเจกบุคคลนั้นสร้างผลการปฏิบัติงานท่ีดีหรือตามเกณฑ์ท่ีกำหนดในงานท่ีตน รบั ผดิ ชอบ สเป็นเซอร์ (Spencer, 1993, อ้างถึงใน กาญจนา ทองทั่ว, 2545, 7) ให้ความหมายของ สมรรถนะไวว้ ่า หมายถงึ คุณลกั ษณะทีอ่ ยูภ่ ายในของบุคคล ซึง่ มีผลตอ่ การปฏิบัตงิ านที่มปี ระสิทธิภาพ และการปฏิบตั ิทด่ี ีเย่ียม เดชา เดชะวฒั นะไพศาล (2543, 12) ไดใ้ ห้คำจำกดั ความไว้วา่ สมรรถนะ หมายถงึ ทกั ษะ ความรู้ และความสามารถหรือพฤตกิ รรม (skill, knowledge and attributes) ของบุคลากรทจี่ ำเป็น ในการปฏบิ ตั ิงานใดงานหนึ่ง วันทนา กอวัฒนสกุล (2543,10-14) ได้กล่าวว่า สมรรถนะ คือความสามารถท่ีอยู่ในตัว บคุ คล ท่ีจะคิดค้นและหรอื ทำอะไรก็ตามใหส้ มั ฤทธผ์ิ ลในเร่อื งนั้น ๆ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2547, 54) ใหค้ วามหมายของสมรรถนะไว้ ว่า หมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ทำใหบ้ ุคลากรในองค์การปฏิบัติงานได้ผลงานโดดเด่นกว่าคน อื่น โดยบุคลากรเหล่านี้ แสดงคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าเพ่ือร่วมงานอ่ืน ใน สถานการณ์ทห่ี ลากหลายกว่า และไดผ้ ลงานดีกวา่ ผู้อ่ืน อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ (2547, 61) ให้ความหมายของสมรรถนะว่า หมายถึง คุณลักษณะ ของบุคคล ซ่ึงได้แก่ ความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณสมบัติต่าง ๆ อันได้แก่ค่านิยม จริยธรรม
14 บุคลิกภาพ คุณลักษณะทางกายภาพ และอ่ืน ๆ ซึ่งจำเป็นและสอดคล้องกับความเหมาะสมกับ องค์การ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ต้องสามารถจำแนกได้วา่ ผูท้ ี่จะประสบความสำเร็จในการทำงานได้ต้องมี คณุ ลักษณะเด่น ๆ อะไร หรือลักษณะสำคัญๆอะไรบ้าง หรอื กลา่ วอีกนัยหน่ึงคือ สาเหตุท่ที ำงานแล้ว ไม่ประสบความสำเรจ็ เพราะขาดคณุ ลักษณะบางประการคืออะไรเป็นต้น ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสด์ิ (2548, 67) ได้อธิบายความหมายของสมรรถนะว่าหมายถึง คุณลักษณะ เชน่ ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ ทกั ษะ ทัศนคติ ความเชือ่ ตลอดจนพฤติกรรม ของบคุ คลทจ่ี ะสามารถปฏบิ ตั งิ านให้ประสบความสำเร็จ ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2549, 54) กล่าวว่า สมรรถนะ คือ ความสามารถหรือสมรรถนะ ของผู้ดำรงตำแหน่งงานที่งานน้ัน ๆ ต้องการคำว่าสมรรถนะนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะพฤติกรรมแต่จะ มองลึกไปถงึ ความเชอ่ื ทัศนคติ อุปนสิ ัยสว่ นลกึ ของตนด้วย จีระ งอกศิลป์ (2550, 3) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะไวว้ ่า หมายถงึ คุณลักษณะเชิง พฤติกรรมท่ีเป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะอ่ืน ๆ ที่ทำให้บุคคลสามารถ สร้างผลงานไดโ้ ดดเด่นกวา่ เพอ่ื นร่วมงานอน่ื ๆ ในองคก์ ร สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556, 3) ให้ความหมายของ สมรรถนะไว้ว่า หมายถึง ความรู้ ทักษะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ แ ล ะ คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ท่ี จ ำ เป็ น ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง าน ใน วิ ช า ชี พ ให้ บ ร ร ลุ ผ ล อ ย่ า ง มี ประสิทธิภาพ สมรรถนะจึงเป็นส่ิงจำเป็นอย่างย่ิงต่อการปฏิบัติงานวิชาชีพให้บรรลุผลอย่างมี ประสทิ ธิภาพตามความต้องการขององค์การทางการศึกษายุคปฏิรปู การศกึ ษา จากความหมายดังกล่าว พอกล่าวสรุปได้ว่าสมรรถนะ คือ ทักษะ สมรรถนะ ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ แรงจูงใจ หรือคุณลักษณะที่เหมาะสมของบุคคลท่ีจะสามารถปฏิบัติงาน ให้ ป ร ะ ส บ ผ ล ส ำ เร็ จ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เมิ น ส ม ร ร ถ น ะ เป็ น ก า ร ป ร ะ เมิ น บุ ค ค ล ที่ มี คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ห รื อ ความสามารถ 1.3 ความสำคญั ของสมรรถนะ สำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น (2550, 62-64) กล่าวถึง สมรรถนะมบี ทบาท นำไปประยุกตใ์ ชใ้ นสำนัก-ศนู ย-์ และสถาบนั ตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. สมรรถนะนำไปใช้ในขบวนการสรรหาและเลือกสรร ภาครัฐมักเน้นที่ระดับแรกบรรจุ ซง่ึ ส่วนใหญ่เป็นการสรรหาจากภายนอกภาครัฐ โดยหลักการแล้ว กระบวนการสรรหาและเลือกสรร เร่ิมด้วยข้อมูลเก่ียวกับงาน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์งาน หรืออาจใช้ข้อมูลการวิเคราะห์งานที่มีอยู่ แล้วทบทวนปรับปรุง จากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อกำหนดเก่ียวกับงาน เพ่ือนำไปออกแบบวิธีการสรรหา และเลือกสรรท่ีเหมาะสม ถ้าใช้โมเดลภูเขาน้ำแข็งในการเปรียบเทียบ พบว่า นอกเหนือจากความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการทำงานแล้ว กระบวนการเลือกสรรควรต้องให้ความสำคัญส่วนท่ีอยใู่ ต้น้ำท่ี แสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมให้มากข้ึน เทคนิคท่ีใชใ้ นการคัดเลือกส่วนน้ีมักเน้นท่ีการสัมภาษณ์
15 แบบท่ีเน้นพฤติกรรม หรือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เพ่ือค้นหาลักษณะของพฤติกรรมของ ผู้สมัครที่สอดคล้องกับคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้สำหรับตำแหน่งนั้น ๆ ระบบการ สัมภาษณ์ควรต้องทำแบบมีหลักฐานตรวจสอบได้ คือ มีการบันทึกคำถามที่ถาม-คำตอบท่ีได้-และ คะแนนทใ่ี หใ้ นการสมั ภาษณ์ เพื่อความโปรง่ ใสและตรวจสอบไดใ้ นกรณที ่มี กี ารร้องเรียนเกิดขน้ึ 2. สมรรถนะนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนา เป็นการเน้นข้อมูลเก่ียวกับงานท่ีจาก วิเคราะห์งานเชน่ กนั เพื่อกำหนดความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอืน่ ๆ ที่จำเป็นตอ่ การ ทำงานให้ประสบความสำเร็จ จากน้ันจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์หาความจำเป็นในการพัฒนา สำหรบั ข้าราชการรายบุคคลต่อไป ดงั นั้นสมรรถนะเน้นคุณลักษณะเชงิ พฤติกรรม ดังจะเห็นจากการ ฝึกอบรมจึงอาจใช้สถานการณ์จำลองหรือการเล่นบทบาทสมมุติ ซึ่งเป็นรูปแบบการฝึกอบรมที่เน้น พฤติกรรม โดยข้อมูลท่ีนำมาใช้เป็นกิจกรรมในการฝึกอบรม เป็นข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ เหตกุ ารณ์สำคญั ในงานที่ได้จากข้าราชการที่ปฏบิ ตั งิ านทด่ี ี 3. สมรรถนะนำไปใช้ในการบริหารผลงาน กระบวนการบริหารผลงานประกอบดว้ ย 1) การวางแผน/มอบหมายงาน 2) การตดิ ตามการปฏิบัตงิ าน 3) การประเมินผลการปฏิบัตงิ าน และ 4) การพัฒนาผลการปฏิบัติงาน การประเมินสมรรถนะจัดเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการ ปฏิบัติงาน เนื่องจากแนวคิดผลการปฏิบัติงานในปัจจุบันนอกจากงานที่มอบหมายแล้ว ยังรวมถึง พฤติกรรมในการทำงาน หรือท่ีเรียกว่าสมรรถนะอีกด้วย หัวใจสำคัญของการบริหารผลงาน คือ การ ให้รางวัลกับผลงานทด่ี ี เพ่ือจงู ใจให้เกิดผลงานท่ีดตี ่อไป ในขณะเดียวกันผู้ที่ยงั ไม่สามารถสร้างผลงาน ท่ีดีก็จะได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาเพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานท่ีดีต่อไป และการประเมิน สมรรถนะท่ีแท้จริงคือการประเมินพฤตกิ รรม โดยเฉพาะอย่างย่ิงพฤติกรรมท่ีแสดงออกเป็นประจำใน ก ารท ำงาน (typical performance) ไม่ ใช่ก ารป ระ เมิ น คว ามสามารถสูงสุด (maximum performance) ดังนั้นกระบวนการประเมินจึงเป็นหัวใจสำคัญของการประเมิน ไม่ใช่แบบประเมิน การประเมินพฤติกรรมหากไม่ได้ดำเนนิ การตามขบวนการทเี่ หมาะสม แบบประเมินท่ีดีอาจไม่ชว่ ยให้ ประเมินได้ถกู ต้อง ในทางกลบั กันหากกระบวนการประเมินแบบประเมินง่าย ๆ จะช่วยใหป้ ระเมินได้ ถูกต้อง ดังน้ันจึงให้ความสำคัญกับกระบวนการประเมิน ในขณะเดียวกันก็พิจารณาแบบประเมินท่ี เหมาะสมทใ่ี ช้กบั หน่วยงานดว้ ย นิศารัตน์ รวมวงษ์ (2549, 17-18) ให้ความสำคัญกบั สมรรถนะ เนื่องจากนกั วชิ าการดา้ นการ บริการได้ค้นพบว่าสมรรถนะเป็นปัจจัยสำคัญท่ีสุดในการพัฒนาองค์กร ดังน้ี 1) ความสำคัญต่อ ผู้บริหารองค์กร (1) ทำให้ทราบถึงทักษะ คุณลักษณะ ท่ีต้องการของบุคลากรในองค์กร (2) ใช้เป็น ข้อมลู พ้ืนฐานในการพจิ ารณา สรรหา คัดเลอื กบุคลากร ใหต้ รงกับคณุ สมบตั ิและตำแหน่งงานนัน้ ๆ (3) ช่วยใหอ้ งค์กรสามารถประเมนิ จุดแข็ง และจุดอ่อนของศักยภาพของทรพั ยากรในองค์กรเพอ่ื ใชใ้ น การกำหนดแผนกลยุทธ์ท้งั ในระยะสั้นและระยะยาวได้ (4) ใช้เช่ือมโยงกลยุทธ์กับรปู แบบการพัฒนา
16 องค์กร (5) สามารถวัดผลงานได้ชัดเจน 2) ความสำคัญต่อพนักงาน (1) ช่วยกำหนดบทบาท หน้าที่ การปฏิบัติงานแต่ละตำแหน่งงาน ตามความคาดหวังขององค์กร (2) มีมาตรฐานในการวัดทักษะ ความสามารถของแตล่ ะตำแหนง่ งานได้ชัดเจน (3) ระบจุ ดุ แข็ง จุดออ่ น ของพนักงานจากการประเมิน ตลอดจนแผนการพัฒนาตนเองได้ (4) ช่วยให้พนักงานเข้าใจถึงเส้นทางในด้านความก้าวหน้าของสาย งาน (5) ชว่ ยกระตุ้นในด้านการพัฒนาตนเอง ณรงคว์ ิทย์ แสนทอง (2547, 11) กลา่ วถึง ความสำคัญของสมรรถนะ ดังน้ี 1) ชว่ ยสนับสนุน วิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ขององค์กร 2) ใช้เป็นกรอบในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร 3) เป็น เครื่องมือในการบรหิ ารงานด้านทรัพยากรมนุษย์ (1) ใช้ในการคดั เลือกบุคคลเขา้ ทำงาน (2) ใช้ในการ พัฒนาฝึกอบรม (3) ใช้ในการเลื่อนระดับปรับตำแหน่ง (4) ใช้ในการโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่การงาน (5) ใช้ในการประเมินผลการปฏิบตั ิงาน (6) ใชใ้ นการบรหิ ารผลตอบแทน จากการศึกษา ความสำคัญของสมรรถนะ กล่าวโดยสรุปได้ว่า สมรรถนะมีความสำคัญใน ตัวตนของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้เห็นได้ถึงทักษะ ความรู้ ความสามารถท่ีสามารถถ่ายทอดออกมาให้ เห็นในการปฏิบัติงานทม่ี ศี ักยภาพน้ันเอง หากองค์กรสามารถจัดสรรคนให้ตรงกบั ความสามารถความ ถนัดของแต่ละบุคคลจะเพมิ่ ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านได้ดยี ิ่งขนึ้ 1.4 องคป์ ระกอบของสมรรถนะ แมคคลีแลนด์ (McClelland, 1993 อ้างถึงใน สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ, 2548, 49) แบ่ง สมรรถนะออกเป็น 5 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นความรู้ knowledge และทักษะ skills ในขณะท่ี องค์ประกอบสว่ นที่เหลอื คือ self-concept คือ ทัศนคติ ค่านิยมและความเห็นเก่ียวกับภาพลักษณะ ของตนเอง รวมท้ัง trait คือ บุคลิกลักษณะประจำของแต่ละบุคคล และ Motive คือ แรงจูงใจหรือ แรงขบั ภายในของแตล่ ะบุคคล ซึ่งเปน็ สงิ่ ท่พี ฒั นายาก เพราะเป็นส่ิงทีซ่ ่อนอยู่ภายในตวั บุคคลและส่วน นี้นักวิชาการบางท่านเรียกว่า “soft skills” นอกจากนี้แล้ว แมคคลีแลนด์ ยังได้อธิบายความหมาย ขององค์ประกอบสมรรถนะทั้ง 5 สว่ น ประกอบด้วย 1. ทักษะ skills คือ สิ่งท่ีบุคคลกระทำได้ดี และฝึกปฏิบัติเป็นประจำจนเกิดความชำนาญ เช่น ทักษะของหมอฟันในการอดุ ฟันโดยไมท่ ำให้คนไขร้ ูส้ ึกเสียวเส้นประสาท หรอื เจบ็ 2. ความรู้ knowledge คือ ความรู้เฉพาะด้านของบุคคล เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ความรู้ ดา้ นการบริหารต้นทนุ เปน็ ต้น 3. ทัศนคติ ค่านิยม และความเหน็ เก่ียวกบั ภาพลักษณะของตน หรือสิ่งที่บคุ คลเช่ือว่าตนเอง เป็น self-concept เช่น self-confidence คนที่มีความเช่ือมั่นในตนเองสูงจะเชื่อว่าตนเองสามารถ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ เป็นตน้ 4. บุคลกิ ลักษณะประจำของแต่ละบคุ คล (trait) เปน็ สิ่งท่ีอธิบายถงึ บุคคลนั้น เชน่ เขาเปน็ คน ทน่ี า่ เช่อื ถอื และไวว้ างใจได้ หรือเขามีลักษณะเป็นผนู้ ำ เป็นตน้
17 5. แรงจูงใจหรือแรงขับภายใน (motive) ซ่ึงทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่มุ่งไปสู่ส่ิงที่เป็น เป้าหมายของเขา เช่น บุคคลท่ีมุ่งผลสำเร็จ (achievement orientation) มักชอบตั้งเป้าหมายที่ท้า ทาย และพยายามทำงานให้สำเร็จตามเปา้ ท่ีตง้ั ไว้ ตลอดจนพยายามปรบั ปรุงวิธีการทำงานของตนเอง ตลอดเวลา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2552, 12) ได้กำหนดองค์ประกอบของ สมรรถนะว่าประกอบด้วย คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมท่ีเป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ/ความสามารถ และคุณลักษณะอื่น ๆ ท่ีทำให้บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นในองค์กร กล่าวคือ การที่บุคคล จะแสดงสมรรถนะใดสมรรถนะหนง่ึ ได้ มกั จะตอ้ งมีองค์ประกอบทัง้ ความรู้ ทกั ษะ/ความสามารถ และ คณุ ลักษณะอ่นื ๆ ตัวอย่างเช่น สมรรถนะการบริการที่ดีซึ่งอธบิ ายว่า สามารถใหบ้ ริการที่ผู้รบั บรกิ าร ต้องการได้ นั้น หากขาดองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ ความรู้ในงานหรือทักษะที่เกี่ยวข้อง เชน่ อาจต้อง หาขอ้ มูลจากคอมพวิ เตอร์ และคุณลักษณะของบุคคลที่เป็นคนใจเย็น อดทน ชอบช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว บคุ คลก็ไม่อาจจะแสดงสมรรถนะของการบรกิ ารทดี่ ดี ้วยการให้บรกิ ารทผ่ี ู้รับบรกิ ารต้องการได้ จากแนวคดิ ดังกล่าวสามารถกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ ่า องค์ประกอบของสมรรถนะประกอบด้วย 5 องค์ประกอบคือ ความรู้ ทักษะ ความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง บุคลิกลักษณะประจำตัวของบุคคล และ แรงจูงใจ 1.5 ประเภทของสมรรถนะ สำหรบั การจดั แบง่ ประเภทของสมรรถนะนัน้ มีนกั วิชาการหลายทา่ นให้ใหท้ รรศนะที่แตกตา่ ง กันออกไป สเป็นเซอร์ (Spencer, 1993, 9-13, อ้างถึงใน กาญจนา ทองทั่ว, 2545, 16-19) กล่าวถึง คณุ ลกั ษณะท่ีสำคัญของสมรรถนะไว้วา่ จะต้องประกอบไปด้วยคณุ ลกั ษณะท่จี ำเป็น 5 ลักษณะ คอื 1. ความรู้ (knowledge) เป็นขอบเขตของข้อมูลเน้ือหาเฉพาะด้านของบุคคล เช่น ความรู้ ของศัลแพทย์ จะเกย่ี วกับเส้นประสาทกลา้ มเน้ือภายในรา่ งกายมนุษย์ เปน็ ต้น 2. ทักษะ (skill) เป็นความสามารถในการปฏิบัติงานท้ังทางร่างกาย ความคิด และจิตใจของ บคุ คลในระดบั ท่ีสามารถคิดวิเคราะห์ ใช้ความรู้ในการกำหนดเหตุและผล หรือวางแผนในการจัดการ และในขณะเดยี วกันก็ตระหนักในความซบั ซ้อนของขอ้ มูลได้ 3. แรงจูงใจ (motive) เป็นสิ่งท่ีบุคคลต้องการหรือคิดตรงกันในการกระทำ ซึ่งเป็นแรงขับ หรือเลือกพฤติกรรมที่แสดงออก หรือเป้าหมาย และทำให้ถอยห่างไปจากสิ่งอ่ืน ๆ เช่น แรงจูงใจใน ความสำเร็จต่อเป้าหมายที่ท้าทาย จะทำให้บุคคลเกิดความรับผิดชอบเพื่อความสำเร็จ และต้องการ ข้อมูลย้อนกลบั จากการกระทำ 4. ลักษณะนิสัย (traits) เป็นลักษณะนิสัยทั่วไปที่จะตอบสนองต่อข้อมูล หรือสถานการณ์ที่ เผชญิ โดยสามารถพิจารณาไดจ้ ากความสามารถในการเรียนรู้ ความกระตอื รอื ร้นการรว่ มมือ เป็นต้น
18 5. อัตตมโนทัศน์ (self-concept) เป็นทัศนคติ ค่านิยม หรือความคิดฝันของบุคคล ซึ่งส่ิง เหล่าน้จี ะทำให้เกดิ ปฏกิ ิรยิ าต่อแรงจูงใจและทำนายถึงพฤติกรรมของสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้ ณรงค์วทิ ย์ แสนทอง (2547, 104) ทำการแบ่งสมรรถนะออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. สมรรถนะหลัก (core competency) หมายถึง บุคลิกลกั ษณะของคนที่สะทอ้ นให้เห็นถึง ความรู้ ทักษะ ทศั นคติ ความเชอ่ื และอปุ นิสยั ของคนในองค์การโดยรวมทจี่ ะชว่ ยสนับสนุนใหอ้ งคก์ าร บรรลเุ ป้าหมายตามวสิ ัยทัศน์ได้ 2. สมรรถนะตามสายงาน (job competency) หมายถงึ บุคลิกลักษณะของคนท่ีสะท้อนให้ เห็นถึงความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ความเช่ือ และอุปนิสัยที่จะช่วยส่งเสริมให้คนน้ัน ๆ สามารถสร้าง ผลงานในการปฏิบัติงานตำแหน่งน้ัน ๆ ไดส้ งู กว่ามาตรฐาน 3. สมรรถนะส่วนบุคคล (personal competency) หมายถึง บุคลิกลักษณะของคนที่ สะทอ้ นให้เห็นถึงความรู้ ทักษะทศั นคติ ความเช่ือ และอปุ นิสัยท่ีทำให้บคุ คลนั้นมคี วามสามารถในการ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้โดดเด่นมากกว่าคนท่ัวไป เช่น สามารถอาศัยอยู่กับแมงป่องหรอื อสรพษิ ได้ เปน็ ต้น ซง่ึ เรามักจะเรียกสมรรถนะส่วนบุคคลวา่ ความสามารถพิเศษส่วนบคุ คล สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2550, 2) แบ่งสมรรถนะออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สมรรถนะหลัก (core competency) และสมรรถนะในงาน (function competency) ดงั น้ี 1. สมรรถนะหลัก (core competency) เป็นคุณสมบัติของข้าราชการหรือพนักงานทุกคน ต้องมีเพ่ือใหบ้ รรลุความสำเรจ็ ขององค์กร เช่น ความรู้เก่ยี วกบั องค์กร ความซ่ือสัตย์ ความใฝ่รู้ ความ รบั ผดิ ชอบ ความคิดเชอื่ มโยง 2. สมรรถน ะใน งาน ห รื อ สมรรถน ะท่ี เก่ี ย วกั บ งาน (function competency, job competency) เป็นสมรรถนะท่ีเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานด้านนั้น ๆ พึงมี เพื่อให้งานน้ันสำเรจ็ และได้ผล ผลติ ตามที่ตอ้ งการ แบ่งออกเปน็ สองลักษณะ คอื 2.1 สมรรถนะร่วมทุกตำแหน่งในกลุ่มงาน (common function competency) เป็น คุณลักษณะท่ีบุคคลในทุกตำแหน่งในกลุ่มงานเดียวกันต้องมี เช่น กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล บุคลากร และนักพัฒนาทรัพยากรบุคคล ต้องมี คุณลกั ษณะเหมอื นกนั คือมคี วามรู้พนื้ ฐานระบบการบรหิ ารทรัพยากรบคุ คล 2.2 สมรรถนะเฉพาะตำแหน่งงาน (specific function competency) เป็นคุณลักษณะ เฉพาะของแต่ละตำแหน่งในกลุ่มงานน้ัน ๆ เช่น กลุ่มงานทรัพยากรบคุ คล ตำแหนง่ เจ้าหน้าทวี่ ิเคราะห์ งานบุคคล ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างและแผนอัตรากำลัง ตำแหน่งบุคลากรต้องมี ความรูค้ วามสามารถเก่ยี วกบั การสัมภาษณ์ เปน็ ต้น จริ ประภา อัครบวร (2549, 68) กล่าวว่า สมรรถนะในการตำแหน่งหน่งึ ๆ จะประกอบไป ด้วย 3 ประเภท ไดแ้ ก่
19 1. สมรรถนะหลัก (core competency) คอื พฤตกิ รรมที่ดที ี่ทกุ คนในองค์การตอ้ งมี เพื่อ แสดงถงึ วัฒนธรรมและหลักนิยมขององค์การ 2. สมรรถนะบริหาร (professional competency) คอื คณุ สมบัติความสามารถด้านการ บริหารที่บุคลากรในองค์การทุกคนจำเป็นต้องมีในการทำงาน เพ่ือให้งานสำเร็จ และสอดคล้องกับ แผนกลยุทธ์ วิสยั ทศั น์ ขององคก์ าร 3. สมรรถนะเชิงเทคนิค (technical competency) คือ ทักษะด้านวิชาชีพที่จำเป็นใน การนำไปปฏิบัตงิ านใหบ้ รรลุผลสำเร็จ โดยจะแตกต่างกันตามลักษณะงาน โดยสามารถจำแนกได้ 2 ส่วนย่อย ได้แก่ สมรรถนะเชิงเทคนิคหลัก (core technical competency) และสมรรถนะเชิง เทคนิคเฉพาะ (specific technical competency) 1.6 ประโยชนข์ องสมรรถนะ ณรงคว์ ทิ ย์ แสนทอง (2547, 68) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องสมรรถนะไวด้ ังต่อไปนี้ 1. ชว่ ยสนับสนนุ วสิ ัยทัศน์ ภารกจิ และกลยุทธ์ขององคก์ ร สมรรถนะท่ีเป็นหลักหรือท่ีเรียกกัน วา่ core competency นั้นจะช่วยในการสร้างกรอบแนวคิด พฤติกรรม ความเช่ือ ทัศนคติ ของคน ในองค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับวิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ขององค์กร และสมรรถนะที่ เปน็ หลกั เปรียบเสมือนตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าใหเ้ ปา้ หมายตา่ ง ๆ บรรลุเป้าหมายได้ดแี ละเรว็ ยงิ่ ขนึ้ 2. การสร้างวัฒนธรรม (corporate culture) ถ้าองคก์ รใดไม่ไดอ้ อกแบบวฒั นธรรมโดยรวม ขององค์กรไว้ อยู่ไปนาน ๆ พนกั งานหรือบุคลากรจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรข้ึนมาเองโดยธรรมชาตซิ ึ่ง วัฒนธรรมองค์กรทเ่ี กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาตินี้ อาจจะมีบางอยา่ งสนับสนนุ หรอื เอือ้ ต่อการดำเนินธรุ กิจ ขององค์กร แต่วัฒนธรรมบางอย่างอาจจะเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเติบโตขององค์กร ดังน้ัน สมรรถนะจึงมีประโยชน์ต่อการกำหนดวัฒนธรรมองค์กรกล่าวคือ ช่วยสร้างกรอบการแสดงออกทาง พฤติกรรมของคนในองค์กรโดยรวมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของ องค์กรให้บรรลุเปา้ หมายไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน ช่วยใหเ้ ห็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรใน ภาพรวมขององคก์ รได้ และยงั ชว่ ยปอ้ งกันไมใ่ ห้เกดิ วัฒนธรรมองคก์ รตามธรรมชาติที่ไมพ่ งึ ประสงค์ได้ 3. เป็นเครื่องมือในการบริหารงานดา้ นทรพั ยากรมนุษย์ 3.1 การคัดเลือกบุคลากร (recruitment) สมรรถนะมีประโยชน์ในการคัดเลือกบุคลากร ไดแ้ ก่ ชว่ ยใหก้ ารคดั เลือกคนเข้าทำงานถูกตอ้ งมากข้ึน เพราะคนบางคนเก่ง มคี วามรู้ความสามารถสูง ประสบการณ์ดี แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับลักษณะการทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ หรือไม่เหมาะสมกับ ลกั ษณะของวฒั นธรรมองคก์ รได้ นำไปใช้ในการออกแบบคำถามหรือแบบทดสอบ ลดการสูญเสยี เวลา และค่าใช้จ่ายในการทดลองงาน ช่วยลดการสูญเสียเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาฝึกอบรม พนักงานใหมท่ ่ีมีความสามารถไม่สอดคลอ้ งกับความต้องการของตำแหน่งงาน และช่วยป้องกันความ
20 ผิดพลาดในการคัดเลือก เพราะหลายครงั้ ทผ่ี ู้ทำหน้าที่คดั เลือก มปี ระสบการณ์น้อยตามผ้สู มัครไม่ทัน หรืออีกนยั หนึ่งก็คอื ถกู ผสู้ มคั รหลอกนนั้ เอง 3.2 การพฒั นาและฝึกอบรม (training and development) สมรรถนะมปี ระโยชนใ์ นการ พัฒนาและฝึกอบรม ได้แก่ นำมาใช้ในการจัดทำเส้นทางความก้าวหน้าในการพัฒนาและฝึกอบรม Training road map ช่วยให้ทราบว่าผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ จะต้องมีความสามารถท่ีเขามีจริงห่างกัน มากน้อยเพียงใด เพ่ือนำไปใช้ในการจัดทำแผนพัฒนาความสามารถส่วนบุคคล (individual development plan) ตอ่ ไป 3.3 การวางแผนการพัฒนาผู้ดำรงตำแหน่งใหส้ อดคล้องกบั เสน้ ทางความกา้ วหน้าในอาชีพ ด้วยการนำเอาสมรรถนะของตำแหน่งงานท่สี ูงข้นึ ไปมาพัฒนาบุคลากรในขณะทเ่ี ขายังดำรงตำแหน่ง งานที่ต่ำกวา่ 3.4 การเลื่อนระดับปรับตำแหน่ง (promotion) สมรรถนะมีประโยชน์ในการเล่ือนระดับ และปรับตำแหน่ง คือ ใช้ในการพิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง หรือ ระดับท่ีสูงข้ึนไป โดยพิจารณาทั้งเรื่องของความสามารถในงาน (technical competencies) และความสามารถทั่วไป (general competencies) เช่น ด้านการบริหารจัดการ ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้านระบบการ คิด และยังช่วยปอ้ งกันความผิดพลาดในการเล่อื นระดับ ปรับตำแหน่งเหมอื นอดีตท่ีผา่ นมาดงั คำกล่าว ที่ว่า “ได้หัวหน้าแย่ ๆ มาหนึ่งคน และสูญเสียผู้ปฏิบัติงานเก่ง ๆ ไปอีกหนึ่งคน” ซึ่งหมายถึง การท่ี องค์กรพิจารณาเลื่อนตำแหน่งคนจากคุณสมบัติท่ีว่าคน ๆ น้ันทำงานเก่งในตำแหน่งเดิมอยู่มานาน ผลงานดีตลอด ซื่อสัตย์สุจริตแล้วตอบแทนเขาโดยการเลื่อนตำแหน่งงานให้สูงขึ้น ท้ัง ๆ ที่ผู้ที่ได้รับ การเล่ือนตำแหนง่ น้ันเขาไม่มคี วามสามารถในการปกครองคนเลย 3.5 การโยกย้ายตำแหน่งหน้าท่ี (rotation) สมรรถนะมีประโยชน์ในการโยกย้ายตำแหน่ง หน้าท่ี โดยชว่ ยให้ทราบวา่ ตำแหนง่ ท่ีจะย้ายไปน้ัน จำเป็นต้องมีสมรรถนะอะไรบ้าง แล้วผู้ที่จะย้ายไป หรอื ไมม่ ีสมรรถนะอะไรบา้ ง และยังช่วยลดความเส่ียงในการปฏิบตั ิงานเพราะถา้ ย้ายคนท่ีมีสมรรถนะ ไมเ่ หมาะสมไป อาจจะทำใหเ้ สยี ทง้ั งานกำลงั ใจของผูป้ ฏิบัติงาน 4. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (performance appraisal) สมรรถนะมีประโยชน์ในการ ประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ดงั น้ี 4.1 ช่วยให้ทราบว่าสมรรถนะเร่ืองใดจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้สูงกว่า ผลงานมาตรฐานทั่วไป 4.2 ชว่ ยในการกำหนดแผนพัฒนาความสามารถส่วนบคุ คล 5. การบริหารผลตอบแทน (compensation) สมรรถนะมีประโยชน์ในการบริหาร ผลตอบแทน ดังนี้
21 5.1 ชว่ ยในการกำหนดอัตราวา่ จา้ งพนักงานใหม่ วา่ ควรจะไดร้ ับผลตอบแทนท่ีเหมาะสม กบั ระดบั ความสามารถไมใ่ ชก้ ำหนดอัตราจา้ งเร่ิมต้นด้วยวุฒกิ ารศึกษาเหมอื นอดตี ท่ีผ่านมาก 5.2 ช่วยในการจ่ายผลตอบแทนตามระดับความสามารถที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช้จ่ายผลตอบแทน ตามอายุงาน หรอื จำนวนปีทีผ่ ่านมาท่เี พิ่มขน้ึ เหมือนสมยั ก่อน 1.7 สมรรถนะหลกั ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา สมรรถนะหลัก คือ คุณลักษณะร่วมของข้าราชการพลเรือนไทยทั้งระบบ เพ่ือหล่อหลอม ค่านิยมและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ร่วมกัน ประกอบด้วยสมรรถนะ 4 สมรรถนะ คือ (สำนักงาน คณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา, 2548, 46-51) 1. การม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิ (achievement motivation) การมุ่งผลสัมฤทธ์ิ (achievement motivation) หมายถึง ความมุ่งม่ันที่จะทำงานใน ความรับผดิ ชอบให้บรรลุเป้าหมายตามตัวช้ีวดั ของหน่วยงานและองค์กรใหห้ รอื ใหเ้ กินมาตรฐานท่ีมีอยู่ โดยมาตรฐานนี้อาจะเป็นผลการปฏบิ ตั ิงานท่ผี า่ นมาของตนเอง หรือเกณฑ์วัดผลสัมฤทธิ์ท่ีสว่ นราชการ กำหนดขนึ้ รวมถงึ การสร้างสรรคพ์ ัฒนาผลงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานตามเป้าหมาย 2. การบริการท่ีดี (service mind) หมายถงึ ความเต็มใจและความพยายามในการใหบ้ รกิ าร เพ่ือสนองความต้องการของผู้ใช้บริการเพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้บริการและหน่วยงานอื่นท่ี เกี่ยวข้อง 3. การพัฒนาตนเอง (expertise) หมายถงึ การศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ ติดตามองค์ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงวชิ าการ 4. การทำงานเป็นทีม (teamwork) หมายถึง ความเข้าใจที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นมีส่วนร่วม ในทีมงาน หน่วยงาน หรือองค์กร และความสามารถในการสร้างและดำรงรักษาสัมพันธภาพการ กำหนดสมรรถนะของผ้ปู ฏิบัติงาน สมรรถนะการทำงานเป็นทมี หมายถึง ความตงั้ ใจอย่างแท้จรงิ (genuine intention) ท่ีจะรว่ มมือทำงานกับผ้อู ื่น เป็นสว่ นหน่งึ ของทีม และทำงานรว่ มกัน คำว่า “ทีม” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นทีมที่ต้ังอย่างเป็นทางการ แต่เป็นบุคคลที่มีระดับ ตำแหน่งแตกต่างกัน และมาจากส่วนงานต่าง ๆ ที่มาทำงานร่วมกันเพ่ือแก้ไขปัญหา หรือทำงาน โครงการด้วยกัน บทบาทของการทำงานเป็นทีมไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าทีม หรือผู้ท่ีมีอำนาจหน้าท่ี อย่างเป็นทางการ แม้แต่คนที่มีอำนาจอยา่ งเปน็ ทางการแต่ร่วมมอื ทำงาน หรือทำหน้าท่ีเปน็ ผู้ประสาน ทีม (group facilitator) ก็แสดงสมรรถนะการทำงานเป็นทีม ผู้บริหารที่เก่ง ๆ จะแสดงท้ังสมรรถนะ การทำงานเป็นทีม และสภาวะผู้นำการทำงานเป็นทีมอาจเรียกในชื่ออื่น ๆ ได้แก่การบริหารจัดการ กลุ่ม (group management) การสนับสนุน กลุ่ม (group facilitation) การแก้ไขข้อขัดแย้ง
22 (conflict resolution) การจัดสาขา (managing branch climate) การจูงใจผู้อื่น (motivating others) 1.8 สมรรถนะของผู้บริหารในการเตรียมความพร้อมเพื่อเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2553, 24-38) ได้สร้างแบบประเมิน สมรรถนะครูโดยนำแนวคิดของแมคคลีแลนด์ (McClelland) นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาใชป้ ระเมินผู้บริหารของไทย โดยแบง่ สมรรถนะออกเปน็ 2 ด้าน ดังน้ี 1. สมรรถนะหลัก (core competency) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ คอื สมรรถนะท่ี 1 การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน (working achievement motivation) หมายถึง ความมงุ่ ม่ันในการปฏิบตั ิงานในหน้าท่ีให้มคี ุณภาพ ถกู ตอ้ งครบถ้วนสมบูรณ์ มี ความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ โดยมีการวางแผนกำหนดเป้าหมาย ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน และ พฒั นาปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพและผลงานอย่างต่อเน่ือง ประกอบด้วยตัวบ่งชี้ดังน้ี ตัวบ่งช้ีท่ี 1 ความสามารถในการวางแผน การกำหนดเป้าหมาย การวิเคราะห์ สังเคราะหภ์ ารกิจงาน ตัวบ่งชท้ี ่ี 2 ความม่งุ มน่ั ในการปฏิบัตหิ นา้ ทใี่ หม้ ีคณุ ภาพ ถูกต้องครบถ้วนสมบรู ณ์ ตัวบ่งชท้ี ่ี 3 ความสามารถในการตดิ ตามประเมินผลการปฏิบัติงาน ตัวบง่ ชี้ท่ี 4 ความสามารถในการพฒั นาการปฏบิ ัติงานใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพอยา่ งต่อเนื่อง สมรรถนะท่ี 2 การบริการท่ีดี (service mind) หมายถึง ความต้ังใจและความเต็มใจใน การให้บริการ และการปรับปรุงระบบบริการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความ ต้องการของผ้รู ับบริการ ประกอบดว้ ยตวั บง่ ชด้ี ังน้ี ตวั บ่งช้ีที่ 1 ความตงั้ ใจและเตม็ ใจในการใหบ้ รกิ าร ตวั บง่ ชีท้ ่ี 2 การปรบั ปรุงระบบบริการใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ สมรรถนะที่ 3 การพัฒนาตนเอง (self-development) หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ ติดตามและแลกเปล่ียนเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางวิชาการและวิชาชีพ มีการสร้างองค์ ความรู้และนวัตกรรมเพ่อื พฒั นาตนเองและพฒั นางาน ประกอบด้วยตวั บง่ ชีด้ ังนี้ ตัวบ่งช้ีท่ี 1 การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ติดตามองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางวิชาการและ วิชาชพี ตวั บ่งช้ีท่ี 2 การสรา้ งองคค์ วามรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาองคก์ รและวชิ าชีพ ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3 การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสรา้ งเครือข่าย สมรรถนะท่ี 4 การทำงานเป็นทีม (team work) หมายถึงการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุน เสริมแรงใหก้ ำลังใจแกเ่ พื่อนร่วมงาน การปรบั ตัวเข้ากับผอู้ ื่นหรือทีมงาน แสดง บทบาทของการเป็นผู้นำหรือผู้ตามได้อย่างเหมาะสมในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อสร้างและดำรง
23 สัมพั น ธภาพ ของสมาชิก ตลอ ดจน เพ่ื อพั ฒ น าก ารจัดก ารศึ กษ าให้ บ รรลุ ผลสำเร็จตาม เป้ าหม าย ประกอบดว้ ยตัวบ่งช้ดี งั น้ี ตวั บ่งช้ีท่ี 1 การใหค้ วามร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อนร่วมงาน ตัวบ่งช้ีท่ี 2 การเสริมแรงใหก้ ำลังใจเพื่อร่วมงาน ตัวบ่งชที้ ี่ 3 การปรบั ตัวเข้ากับกลมุ่ คนหรอื สถานการณ์ที่หลากหลาย ตัวบง่ ชี้ท่ี 4 การแสดงบทบาทผูน้ ำหรือผู้ตาม ตวั บ่งชท้ี ี่ 5 การเข้าไปมสี ่วนร่วมกบั ผู้อน่ื ในการพัฒนาการจดั การศึกษาให้บรรลผุ ล สำเรจ็ ตามเป้าหมาย สมรรถนะท่ี 5. จริยธรรมและจรรยาบรรณวชิ าชีพครู (teacher’s ethics and integrity) หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนถูกต้องตามหลักคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครู เป็น แบบอย่างท่ีดีแกผ่ เู้ รียนและสังคม เพื่อสรา้ งความศรทั ธาในวชิ าชีพครู ประกอบดว้ ยตัวบ่งชี้ดังน้ี ตัวบ่งช้ีท่ี 1 ความรกั และศรทั ธาในวิชาชพี ตวั บง่ ชที้ ่ี 2 มีวนิ ยั และความรับผดิ ชอบตอ่ วิชาชีพ ตัวบ่งชี้ที่ 3 การดำรงชวี ิตทีเ่ หมาะสม 2. สมรรถนะประจำสายงาน (functional competency) ประกอบดว้ ย 6 สมรรถนะคอื สมรรถนะที่ 1 การบริหารหลักสตู รและการจัดการเรียนรู้ (curriculum and learning management) หมายถงึ ความสามารถในการสรา้ งและพัฒนาหลกั สตู ร การออกแบบการเรยี นรอู้ ย่าง สอดคล้องและเป็นระบบ จัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ใช้และพัฒน าสื่อนวัตกรรม เทคโนโลยี และการวัดประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลสูงสุด ประกอบด้วยตัวบง่ ชีด้ ังน้ี ตัวบ่งชี้ที่ 1 การสร้างและพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับ หลกั สูตรแกนกลางและทอ้ งถิ่น ตัวบ่งชท้ี ี่ 2 ความร้คู วามสามารถในการออกแบบการเรยี นรู้ ตัวบ่งชท้ี ี่ 3 การจดั การเรียนร้ทู ่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตัวบง่ ชท้ี ่ี 4 การใช้และพฒั นาสื่อนวตั กรรมเทคโนโลยีเพ่อื การจัดการเรยี นรู้ ตัวบง่ ช้ีที่ 5 การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะท่ี 2 การพัฒนาผู้เรียน (student development) หมายถึง ความสามารถใน การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การพัฒนาทักษะชีวิต สุขภาพกายและสุขภาพจิต ความเป็น ประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเป็นไทย การจัดระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรยี นเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มี คณุ ภาพ ประกอบด้วยตัวบ่งช้ี ดงั ตอ่ ไปน้ี ตัวบง่ ชที้ ่ี 1 การปลกู ฝังคณุ ธรรมจริยธรรมใหก้ ับผ้เู รยี น
24 ตัวบง่ ชี้ท่ี 2 การพัฒนาทักษะชวี ติ และสุขภาพกาย สุขภาพจิตผเู้ รยี น ตัวบ่งชี้ที่ 3 การปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเป็นไทยให้แก่ ผูเ้ รียน ตัวบง่ ชี้ที่ 4 การจดั ระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน สมรรถนะท่ี 3 การบรหิ ารจัดการช้ันเรียน (classroom management) หมายถึง การจัด บรรยากาศการเรียนรู้ การจัดทำขอ้ มูลสารสนเทศและเอกสารประจำชั้นเรียน/ประจำวิชา การกำกับ ดูแลช้ันเรียน/รายวิชา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีความสุข และความปลอดภัยของผู้ เรียน ประกอบด้วยตวั บ่งช้ีดงั น้ี ตัวบ่งชี้ที่ 1 จดั บรรยากาศท่ีส่งเสรมิ การเรียนรู้ ความสขุ และความปลอดภยั ของผู้เรยี น ตวั บง่ ชี้ที่ 2 จัดทำข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจำชัน้ เรยี น/ประจำวิชา ตวั บง่ ชท้ี ี่ 3 กำกบั ดแู ลชั้นเรียนรายชั้น/รายวชิ า สมรรถนะที่ 4 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน (analysis & synthesis & classroom research) หมายถึง ความสามารถในการทำความเข้าใจ แยกประเด็นเป็น ส่วนย่อย รวบรวม ประมวลหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบและนำไปใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน รวมท้ังสามารถวิเคราะห์องค์กรหรืองานในภาพรวมและดำเนินการแก้ไขปัญหาเพ่ือพัฒนางานอย่าง เป็นระบบ ประกอบด้วยตวั บ่งชด้ี ังต่อไปนี้ ตัวบ่งชี้ท่ี 1 การวเิ คราะหร์ ายการพฤตกิ รรม ตวั บ่งชี้ท่ี 2 การสังเคราะห์รายการพฤตกิ รรม ตัวบง่ ชี้ท่ี 3 การวจิ ัยเพ่ือพฒั นาผ้เู รียน สมรรถนะท่ี 5 ภาวะผู้นำ (leadership) หมายถึง คุณลักษณะและพฤติกรรมของครูที่แสดง ถงึ ความเก่ียวข้องสัมพันธ์ส่วนบคุ คล และการแลกเปลีย่ นเรียนรซู้ ึ่งกันและกันทง้ั ภายในและภายนอก ห้องเรียนโดยปราศจากการใช้อิทธิพลของผู้บริหารสถานศึกษา ก่อให้เกิดพลังแห่งการเรียนรู้เพ่ือ พัฒนาการจดั การเรียนรู้ให้มีคณุ ภาพ ประกอบดว้ ยตัวบง่ ชี้ดงั ต่อไปน้ี ตัวบ่งช้ีที่ 1 วุฒิ ภาวะความเป็น ผู้ใหญ่ ที่เหมาะสมกับความเป็น ครู (adult development) ตัวบง่ ช้ที ่ี 2 การสนทนาอย่างสรา้ งสรรค์ (dialogue) ตัวบ่งชี้ที่ 3 การเปน็ บุคคลแห่งการเปลย่ี นแปลง (change agency) ตวั บ่งชที้ ่ี 4 การปฏิบตั ิงานอย่างไตรต่ รอง (reflective practice) ตัวบ่งชี้ที่ 5 การม่งุ พฒั นาผลสมั ฤทธผิ์ เู้ รียน (concern for improving pupil achievement)
25 สมรรถนะที่ 6 การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจัดการเรียนรู้ (relationship & collaborative-building for learning management) หมายถึง การประสาน ความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างเครือข่ายกับผู้ปกครอง ชุมชนและองค์กรอ่ืน ๆ ท้ัง ภาครฐั และเอกชนเพ่ือสนบั สนนุ สง่ เสรมิ การจัดการเรยี นรู้ ประกอบด้วยตวั บง่ ช้ดี ังน้ี ตวั บ่งชี้ท่ี 1 การสร้างความสัมพันธ์และความรว่ มมือกับชุมชนเพ่ือจัดการเรียนรู้ ตวั บง่ ช้ที ่ี 2 การสร้างเครอื ขา่ ยความร่วมมือเพือ่ การจัดการเรียนรู้ 1.9 บทบาทของผ้บู ริหารในการนำระบบสมรรถนะหลกั มาใช้ ประกอบ กุลเกล้ียง(2548, 39-45) ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้บริหารในการนำระบบ สมรรถนะหลักมาใชไ้ วด้ งั น้ี 1. ศกึ ษาแนวคิด หลักการ เกี่ยวกับระบบสมรรถนะให้เขา้ ใจอย่างลึกซ้ึง 2. ใหข้ ้อมูลกับคณะท่ีปรกึ ษาฯ หรือคณะทำงานในการกำหนดสมรรถนะองค์กรสมรรถนะ หลัก และสมรรถนะตามสายวชิ าชีพ (core & functional competency) 3. ร่วมจัดทำการเทียบวัดสมรรถนะหรือมาตรฐานของความสมารถของผู้ดำรงตำแหน่ง (job competency mapping) ของผู้ใตบ้ ังคับบัญชา 4. ประเมินสมรรถนะของตนเองและสมรรถนะของผ้ใู ต้บงั คับบญั ชา 5. ร่วมกำหนดแนวทางในการนำระบบสมรรถนะไปใช้ในการบริหารทรัพยากรบคุ คลด้าน ตา่ ง ๆ เชน่ การสรรหาและคดั เลอื ก และการวางแผนความกา้ วหนา้ ฯลฯ 6. ให้ความเห็นในการกำหนดแนวทางการพัฒนาบุคลากรตามระบบสมรรถนะ (competency development roadmap) 7. สื่อสารและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับระบบสมรรถนะแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาดูแล และช่วย พัฒนาสมรรถนะของผใู้ ต้บังคับบญั ชา สรุปประโยชน์ของสมรรถนะที่ผวู้ ิจัยนำมาทำการวิจัยในครง้ั นี้ ประโยชน์ของสมรรถนะเป็นการนำระบบสมรรถนะไปใช้ในการบริหารทรัพยากรบคุ คลใน องค์กรมีประโยชน์ต่อบคุ ลากร ผูบ้ ริหาร หน่วยงาน ผ้บู ริหารระดบั สูง และฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ดงั น้ี 1. ชว่ ยให้ผู้บรหิ ารระดบั หน่วยงานทราบถึงสมรรถนะ (ความรู้ ทกั ษะ และคุณลักษณะ) ที่ บคุ ลากรในหน่วยงานของตนเองจำเป็นต้องมีเพ่ือให้การปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้นประสบความสำเร็จ และบรรลุเปา้ หมาย 2. เป็นข้อมูลพนื้ ฐานในการวางแผนการพัฒนาบุคลากรในหนว่ ยงานของตนเป็นรายบคุ คล 3. ใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาสรรหาและคัดเลือกบุคลากรของหน่วยงานให้ตรงกับ คณุ สมบตั ขิ องตำแหนง่ งานนน้ั ๆ
26 ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2547) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องสมรรถนะไวด้ งั ตอ่ ไปนี้ ช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธข์ ององค์กร สมรรถนะท่ีเป็นหลักหรือท่ีเรียก กนั ว่า core competency นน้ั จะช่วยในการสรา้ งกรอบแนวคดิ พฤติกรรม ความเช่ือ ทัศนคตขิ องคน ในองค์กรให้เป็นในทิศทางเดยี วกันกับวิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ขององค์กร และสมรรถนะท่ีเป็น หลกั เปรยี บเสมือนตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ าให้เปา้ หมายตา่ ง ๆ บรรลุเป้าหมายได้ดแี ละเร็วยงิ่ ขึน้ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร (corporate culture) ถ้าองค์กรใดไม่ได้ออกแบบวัฒนธรรม โดยรวมขององค์กรไว้ อยู่ไปนาน ๆ พนักงาน หรือบุคลากรจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรข้ึนมาเองโดย ธรรมชาติซึง่ วัฒนธรรมองค์กรท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ อาจจะมีบางอย่างสนับสนุนหรือเอ้อื ต่อการ ดำเนินธุรกิจขององค์กร แต่วัฒนธรรมบางอย่างอาจจะเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเติบโตขององค์กร ดังนั้นสมรรถนะจึงมีประโยชน์ต่อการกำหนดวัฒนธรรมองค์กร กล่าวคือ ช่วยสร้างกรอบการ แสดงออกทางพฤติกรรมของคนในองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน ช่วยให้ เห็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในภาพรวมขององค์กรได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวัฒนธรรม องค์กรตามธรรมชาตทิ ี่ไมพ่ ึงประสงค์ได้ 2. แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกับการบรหิ ารงานวิชาการของสถานศึกษา 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกบั การบรหิ ารงานวิชาการ แนวคิดบริหารวิชาการสอดคล้องตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 วา่ ด้วย การบรหิ ารวิชาการ เป็นงานที่เก่ียวข้องกับกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษา โดยเฉพาะเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพการ เรียนการสอนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพในการเรียน ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นผู้นำทาง การศึกษาการบริหารงานวิชาการจะประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพได้ ขึ้นอยู่กับ ความสามารถเฉพาะตน มคี วามเชย่ี วชาญในการบริหารสถานศกึ ษาในทกุ ๆ ด้าน ขอบข่ายภารกิจ 1. การพฒั นาหลกั สูตรและกระบวนการเรยี นรู้ 2. การจัดการเรยี นรู้ 3. การบริหารกลุ่มสาระการเรยี นรู้และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 4. การส่งเสรมิ คณุ ภาพการจดั การศึกษา 5. การส่งเสริมพฒั นาส่ือการเรียนการสอน 6. การพฒั นาหอ้ งสมดุ และแหล่งเรียนรู้ 7. การวัดและประเมนิ ผล ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2556, 3-4) ความสำเร็จของสถานศึกษาอยู่ท่ีการบริหารงาน วิชาการ ซ่ึงงานวิชาการมีขอบข่ายกว้างขวางในด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยทั่วไป
27 สถานศกึ ษาท่ีจัดการศึกษาที่ใช้ร่วมกัน โดยทวั่ ไปหลกั สูตรจดั โดยส่วนกลางดงั น้ี ขอบขา่ ยของงานด้าน วชิ าการจะครอบคลุมต้ังแตก่ ารวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ การจดั ดำเนนิ การเกี่ยวกับการเรยี น การสอน การจดั บริการการสอน และการจดั การวัดและประเมินผล รวมทั้งการตดิ ตามผล ขอบข่ายการบรหิ ารงานวิชาการ ประกอบด้วยงานดังนี้ 1. การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ เป็นการวางแผนเก่ยี วกบั การพัฒนาหลกั สตู รและการ นำหลักสูตรไปใช้ การจัดการล่วงหน้าเกี่ยวกับการเรียนการสอน เช่น แผนปฏิบัติงานวิชาการ โครงการสอน บันทกึ การสอน 2. การจัดดำเนินงานเก่ียวกับการเรียนการสอน เพ่ือให้การสอนในสถานศึกษาดำเนินไป ด้วยดี และสามารถปฏิบัติได้ จึงต้องมีการจัดการเรียนการสอน เช่น การจัดตารางสอน การจัดช้ัน เรียน การจดั ครเู ข้าสอน การปรับปรุงการเรียนการสอน และการฝกึ งาน 3. การจัดบริการเก่ียวกับการเรยี นการสอน เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก และการ ส่งเสริมการจัดหลักสูตร และโปรแกรมการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ เช่น การจัดส่ือการ เรียนการสอน การจัดหอ้ งสมดุ และการนเิ ทศการสอน 4. การวัดและประเมินผล กระบวนการเพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในด้านการตรวจสอบและ วเิ คราะหผ์ ลการเรยี น 2.2 ความหมายของการบริหารงานวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2549, 84) ได้ให้ความหมายงานวิชาการว่า หมายถึง งานบรหิ ารปรับปรงุ พฒั นาท่เี กี่ยวกับการเรยี นการสอนใหเ้ กดิ ผลดีสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร กมล ภู่ประเสริฐ (2547, 6) ได้ให้ความหมายของงานวิชาการว่า หมายถึง การบริหารท่ี เก่ียวขอ้ งกับการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา อนั เป็นเปา้ หมายสูงสดุ ของภารกิจสถานศกึ ษา จันทรานี สงวนนาม (2551, 56) ได้ให้ความหมายของงานวิชาการว่า หมายถึง เป็นการ บรหิ ารกิจกรรมทุกชนิดในสถานศกึ ษาซึ่งเกีย่ วข้องกับการปรับปรุงพฒั นาการเรียนการสอน ใหเ้ กิดผล ตามเป้าหมายของหลกั สตู ร อย่างมปี ระสิทธิภาพ สุรศักดิ์ ทิพย์สุบรรณ์ (2550, 21) หมายถึง การบริหารกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษา ซ่ึง เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน การปรับปรุง และการพัฒนาการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมี ผลสมั ฤทธิ์และมคี ุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ตามจดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร ปราณี ชมพูทอง (2552, 18) หมายถึง การดำเนินงานทุกอย่างในสถานศึกษาเพ่ือให้บรรลุ ภารกิจหลักของสถานศึกษา เป็นการบริหารกิจกรรมทุกอย่างท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการ การพัฒนา และการปรับปรุงคุณภาพของการเรียนการสอน เพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โดยมี
28 ผลสัมฤทธ์ิด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะกระบวนการ ตลอดจนคุณลักษณะที่พึงประสงค์ อันจะ สง่ ผลตอ่ ประโยชนส์ งู สดุ ของผเู้ รียน จากความหมายของนักวิชาการท่ีกล่าวมา การบริหารงานวิชาการเป็นงานท่ีสำคัญสำหรับ ผบู้ ริหารสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นงานท่ีจะต้องปรับปรุงคณุ ภาพการเรียนการสอน ซึ่งเป็น จุดมุ่งหมายหลักของสถานศึกษาและเป็นเครื่องช้ีความสำเร็จ และความสามารถของผู้บริหาร การ บริหารวิชาการ หมายถึง การบริหารกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษา หรือ โรงเรียนเก่ียวกับการ ปรับปรงุ พัฒนาการเรียนการสอนให้ได้ผลดี และมีประสทิ ธิภาพท่ีสุดเพราะเป็นหน้าท่ีของสถานศึกษา ทุกแห่ง คือ การใหค้ วามรู้ทางดา้ นวชิ าการแก้ผู้เรยี น 2.3 ความสำคญั ของการบริหารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา การบริหารวิชาการเป็นงานหลักของสถานศึกษาที่มีความสำคัญย่ิง เป็นงานหัวใจหลักของ สถานศึกษา โรงเรียนจะมีคุณภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับงานวิชาการเป็นสำคัญ ส่วนงานอ่ืน ๆ เป็นงาน ส่งเสรมิ การบริหารงานวชิ าการให้มีคุณภาพและช่วยอำนวยความสะดวกแก่งานวิชาการ อดศิ ร เนาวนนท์ และ สมพงษ์ สงิ หะพล (2547, 45) กลา่ วถงึ ความสำคัญของการบรหิ ารงาน วชิ าการว่า เป็นงานหลักและเป็นหัวใจของภารกจิ ของโรงเรียน ส่วนงานอื่น ๆ สนับสนุนให้งานหลักน้ี ดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ โดยที่งานวิชาการมีเป้าหมายสำคัญเพ่ือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนตาม เจตนารมณ์ของหลกั สูตรทก่ี ำหนดขึ้น ปรยี าภรณ์ วงศ์อนุตรโรจน์ (2550, 20) กล่าวว่า งานวิชาการเป็นงานหลักของสถานศึกษา ส่วนงานอื่น ๆ เป็นงานเสริมงานวิชาการให้บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา ผู้บริหารและบุคลากรใน สถานศกึ ษาจะต้องให้ความสำคัญกับงานวชิ าการเป็นลำดบั แรก ตอ้ งมีความตระหนักมีความเข้าใจใน วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา และจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนท่ีจัดให้นักเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเป็น คนมคี ณุ ภาพตามต้องการ ปราณี ชมพูทอง (2552, 45) งานวิชาการเป็นงานหลักที่มีความสำคัญต่อสถานศึกษาทุก ระดับ เพราะเป็นงานท่ีบ่งชี้ถึงศักยภาพความสามารถในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งเป็นงานท่ี สำคัญของผู้บริหารและบุคลากรในสถานศึกษาที่ต้องประสานความร่วมมือ เพื่อให้การจัดการศึกษา บรรลุเป้าหมาย เป็นการยอมรับในคุณภาพ ประสิทธิภาพ มาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลไปสู่ความ เจริญก้าวหนา้ ของสถานศกึ ษา ดังนั้นอาจกล่าวสรุปได้ว่า งานวิชาการถือว่าเป็นหัวใจของการบริหารการศึกษา เพราะ จุดมุ่งหมายของสถานศึกษาก็คือ การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ซ่ึงข้ึนอยู่กับงานวิชาการท้ังสิ้น งาน วชิ าการเป็นกิจกรรมการจัดการเก่ียวกับงานด้านหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ แบบเรียน งานการ เรียนการสอน งานสื่อการเรียนการสอน งานวดั ผลและประเมินผล งานห้องสมุด งานนิเทศการศกึ ษา
29 งานวางแผนการศึกษา และงานประชุมอบรมทางวิชาการ เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุจุดหมายของ การศึกษาท่ีกำหนดไว้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 2.4 หลกั ของการบรหิ ารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา ชุมศกั ดิ์ อินทร์รักษ์ (2549, 9) ไดก้ ลา่ วถึง หลักการบรหิ ารงานวชิ าการที่สำคัญ ๆ ดงั นี้ 1. หลักการพัฒนาคุณภาพ (quality management) เป็นการบริหารเพ่ือนำไปสู่ความเป็น เลิศทางวชิ าการ องค์ประกอบของคุณภาพที่เป็นตัวชี้วัดคอื ผลผลติ และกระบวนการเป็นปัจจัยสำคัญ ทีท่ ำให้บุคลากรและผู้รับบริการได้รบั ความพึงพอใจ พัฒนาศักยภาพเป็นที่ยอมรบั ของสังคมในระดับ สากลมากขึ้น โดยอาศัยกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่ การควบคุมคุณภาพ การ ตรวจสอบคณุ ภาพและการประเมินผล 2. หลักการมีส่วนร่วม (participation) การปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการบริหารได้ พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยหลักการมีส่วนร่วม การเสนอแนะและการพัฒนาในงาน วิชาการ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย จึงอาจดำเนินงานในรูปของคณะกรรมวิชาการโดยมี เป้าหมายนำไปสู่การพัฒนา คุณภาพได้มากขึ้น การมีส่วนร่วมต้องเริ่มจาก การร่วมคิด ร่วมทำและ ร่วมประเมนิ ผล 3. หลักการ 3 องคป์ ระกอบ (3-es) ไดแ้ ก่ ประสิทธภิ าพ ประสทิ ธิผล ประหยดั 3.1 หลักประสิทธภิ าพ (efficiency) หมายถึง การปฏิบัติตามแผนท่ีกำหนดไว้เป็นไปตาม ข้ันตอนและกระบวนการ มีปัญหาและอุปสรรคขณะดำเนินการก็สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ การมี ประสิทธิภาพเน้นไปท่ีกระบวนการ (process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ทำให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์มากทสี่ ดุ 3.2 ห ลั ก ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล (effectiveness) ห ม าย ถึ ง ได้ ผ ล ผ ลิ ต (outcome) ต าม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะเพิ่มข้ึน รวมทั้งการคำนึงถึงผลประโยชน์ทไี่ ด้รับ อย่างไรก็ตามมักใช้สองคำนี้ควบคู่กันคือมีประสิทธภิ าพและ ประสิทธผิ ล 3.3 หลักประหยัด (economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย การลงทุนน้อย การใช้กำลัง หรือแรงงานน้อย โดยไม่ตอ้ งเพ่ิมทรัพยากรการบริหาร แต่ได้ผลผลิตตามที่คาดหวัง ดังนั้นการลงทุน ทางวิชาการจงึ ตอ้ งคำนึงหลกั ความประหยดั ดว้ ยเช่นกัน 4. หลักความเป็นวิชาการ (academics) หมายถึง ลักษณะที่ครอบคลุมเน้ือหาสาระของ วิชาการ ได้แก่ หลักการพัฒนาหลักสูตร หลักการเรียนรู้ หลักการสอน หลักการวัดผลประเมินผล หลักการนิเทศการศึกษา และหลักการวิจัย เป็นต้น หลักการเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ ก่อใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงและสร้างสรรค์
30 กล่าวโดยสรปุ ว่า หลักการบริหารงานวิชาการเป็นแนวคิดเพื่อให้การปฏิบัติบรรลุสู่สำเร็จ ในการบริหารงานวิชาการ ดังน้ันในการบริหารงานวิชาการ ผู้บริการต้องใชท้ ้ังหลักประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล โดยคำนึงถึงคุณภาพของเป้าหมายคือ ผู้เรียนเป็นหลัก นอกจากน้ีต้องคำนึงบุคลากรซ่ึง เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการบริหาร โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหาร ให้การส่งเสริม สนบั สนนุ และดูแลเอาใจใส่ ด้วยความยตุ ิธรรมและเสมอภาค 2.5 การบริหารงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา งานวิชาการมีความสำคัญและเป็นภารกิจหลักในการบริหารงานวิชาการท่ีจะต้องวาง ระบบงานอย่างเป็นข้ันตอนท่ีชัดเจนและมีความเกี่ยวเน่ืองกับหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน โดยตรง อันเป็นหัวใจหลักของสถานศึกษาสมิทธ์ และคนอ่ืน ๆ (Smith & Others, 1961 อ้างถึงใน ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2556, 1-2) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการเป็นส่ิงสำคัญอันดับแรกของ โรงเรยี นทม่ี ีบทบาทสำคัญต่อผูบ้ ริหารในการนำไปบรหิ ารจัดการในการเรียนการสอน ให้บรรลุเปา้ หมาย และเกิดประสิทธิภาพ สูงสดุ ในการศึกษา ดงั ที่ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2556, 3-4) กล่าวไว้วา่ การบริหารงานวิชาการจะประกอบดว้ ย งานต่อไปนี้ คือ การวางแผนเก่ียวกับการบริหารวิชาการ การจัดดำเนินงานเก่ียวกับการเรียนการสอน การบริหารจัดการเก่ียวกับการเรียนการสอน และ การวัดและประเมินผล ส่วน จันทรานี สงวนนาม (2551, 145) กล่าวถึงกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการบริหารงานวิชาการไว้ว่า ควรประกอบด้วยกิจกรรม ดังต่อไปน้ี คือ หลักสูตร และการบริหารหลักสูตร การวิจัยในช้ันเรียน การสอนซ่อมเสริม การจัด กิจกรรมเสริมหลักสูตร การนิเทศภายในสถานศึกษา และ การประกันคุณภาพการศึกษาสำหรับ สำนักงานการคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน (2546, 33-38) กำหนดขอบข่ายงานด้านการบริหาร วิชาการไว้ 12 งาน ประกอบดว้ ย 1. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) การวิจัยวิเคราะห์เอกสารหลักสตู รการ สาระแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ 2) นิเทศการใช้หลักสูตร 3) ติดตามและประเมินผลการใช้ หลกั สตู ร 4) ปรบั ปรงุ และพัฒนาหลักสูตรตามความเหมาะสม 2. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน 2) ส่งเสริมให้มี การพัฒนาครู เพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสม 3. การวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) กำหนดระเบียบ แนว ปฏิบัติเกี่ยวกับการวัดผล และประเมินผลของสถานศึกษา 2) พัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลให้ได้ มาตรฐาน 3) ส่งเสริมให้ครูดำเนินการวัดผล และประเมินผลการเรียนการสอน โดยเน้นการประเมิน ตามสภาพจรงิ
31 4. การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการวิจัย ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้ครูศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ใน แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2) ประสานความร่วมมือในการวิจัย วิเคราะห์ วิจัยตลอดจนการเผยแพร่ผลงานการวิจัยหรือพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน และงาน วชิ าการกับสถานศกึ ษา บุคคล ครอบครัวองค์กร หนว่ ยงาน และสถาบนั อืน่ 5. การพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) สำรวจแหล่งเรียนรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนา คุณภาพการวิจัยท้ังในสถานศึกษาชุมชน ท้องถ่ิน ในเขตพ้ืนที่การวิจัย และเขตพ้ืนท่ีการวิจัยใกล้เคียง 2) สง่ เสริมสนับสนุนให้ครูใช้แหลง่ เรยี นรทู้ ั้งในและนอกสถานศกึ ษาในการจดั การเรียนรู้ 6. การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการวิจัย ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้ครูผลิต และพัฒนาสื่อ นวัตกรรมการเรียนการสอน 2) ประเมินผลการพัฒนาการใช้ส่ือ และนวัตกรรม เทคโนโลยเี พื่อการวิจัย 7. การนิเทศการวิจัย ประกอบด้วย 1) การจัดระบบนิเทศงานวิชาการและการเรียนการสอน ภายในสถานศึกษา 2) ประเมนิ ผลการจัดระบบและกระบวนการนิเทศการวิจัยในสถานศกึ ษา 8. การแนะแนวการวิจัย ประกอบด้วย 1) การจัดระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพ ภายในสถานศึกษาโดยเชื่อมโยงกับกระบวนการเรียนการสอน 2) ดำเนนิ การแนะแนวการวิจัยโดยความ ร่วมมือของผู้ปฏบิ ตั กิ ารสอนทุกคน ในสถานศกึ ษา 9. การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) จัดระบบ โครงสร้างองค์กรให้รองรับการจัดระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) กำหนดเกณฑ์การ ป ร ะ เมิ น เป้ าห ม า ย ค ว า ม ส ำเร็ จ ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า ต า ม ม า ต ร ฐ า น ก า ร ศึ ก ษ าแ ล ะ ตั ว ช้ี วั ด ข อ ง กระทรวงศึกษาธิการ เป้าหมายความสำเร็จของเขตพ้ืนที่การศึกษา หลักเกณฑ์และวิธีประเมินของ สำนกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา 10. การส่งเสริมความรู้ทางวิชาการแก่ชุมชน ประกอบด้วย 1) การวิจัยสำรวจความต้องการ สนับสนุนงานวิชาการแก่ชุมชน 2) ส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชน ท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางวิชาการของสถานศึกษาและส่งเสริมให้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างบุคคล ครอบครวั ชุมชนและท้องถน่ิ 11. ประสานความรว่ มมือชว่ ยเหลอื ในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาของรัฐ 12. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแกบ่ ุคคล ครอบครวั องค์กร หน่วยงาน และสถาบัน อนื่ ที่จัดการศึกษา ดังรายละเอยี ดแต่ละด้าน ตอ่ ไปนี้ การพฒั นาหลักสูตรของสถานศกึ ษา หัวใจสำคัญของการศึกษา สิ่งที่สำคัญท่ีสุดท่ีผู้บริหารควรคำนึงถึงคือ หลักสูตร เพราะ หลักสูตรเป็นแม่แบบที่จะเป็นตัวชี้นำสู่ความสำเร็จของการจัดการศึกษา หรือเป็นตัวกำหนดทิศทาง ของการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ หลักสูตรจึงมีความสำคัญอย่างย่ิงต่อการจัดการศึกษา ซ่ึง ปรียาพร
32 วงศ์อนุตรโรจน์ (2556, 38-39) กล่าวไว้ว่ามี 3 ประการคือ 1) ทำให้การศึกษาดำเนนิ ไปสู่เป้าหมายท่ี วางไว้ 2) ทำให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล และ 3) หลักสูตรเป็นตัวกำหนด กรอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอน เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเนื้อหา กำหนดกิจกรรม การเรียนการสอน กำหนดวิธีการวัดและประเมินผล เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนจัด ประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้เปน็ ไปตามทีห่ ลักสูตรกำหนด ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงศ์ (2539, 1) กล่าวว่า นอกจากน้ีหลักสูตรยังทำให้ผู้บริหารมีแนวทาง ในการใช้หลักสูตรคือ 1) ผู้บริหารโรงเรียนจะจัดและบริหารหลักสูตรอย่างไรจึงจะเป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และ 2) จะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างไรที่ทำให้การเรียนการสอน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เน่อื งจากหลกั สูตรมีความสำคญั และจำเป็นดังกล่าวในการจัดการศึกษา ผ้บู ริหารโรงเรียนจึงต้องมีความรู้และความเข้าใจในเร่ืองของหลักสูตร เช่น สาระสำคัญของหลักสูตร การจดั กจิ กรรมตามหลกั สูตร และการพัฒนาหลักสูตร เปน็ ตน้ สถานศึกษาจงึ ตอ้ งให้ความสำคญั ของการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา ดังที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2550, 35) กล่าวไว้ว่า พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 27 วรรค 2 กำหนดให้สถานศึกษามีหน้าที่ในการจัดทำสาระ ของหลักสูตร ในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาในชมุ ชนและสังคม ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ มีคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ โดยจัดใหผ้ ู้เรียนได้เรียนร้จู ากชวี ิตจริงของตนเองเป็นการเรียนรู้ทเ่ี กิดประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และดำรงชวี ิตอยา่ งเป็นสขุ จึงมีความจำเป็นอย่างยง่ิ ที่ตอ้ งมีการพัฒนาหลักสูตรในสถานศกึ ษา ซ่ึงหลักสูตรมีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการบริหารในโรงเรียน เพราะงานวิชาการเป็นงานหลักของโรงเรียน ผู้บริหารต้องใช้ หลักสูตรเป็นตัวกำหนดนโยบายทิศทางเดินตลอดท้ังแนวปฏิบัติทางด้านวิชาการ และต้องสามารถ บรกิ ารหลักสตู รใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดล้อม ในเรอื่ งเดียวกันน้ี จอหน์ และวิลเลียม (John & William, 1979, อ้างถึงใน บุญชม ศรีสะอาด, 2552, 19) กล่าวไว้ว่า การพัฒนาหลักสูตรหมายถึงการจัดทำเอกสารเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือจัดทำใหม่ การ พัฒนา หลกั สตู รอาจหมายถึงการจดั ทำเอกสารอ่นื ๆ สำหรบั นักเรียนด้วย กลิคแมน และคณะ (Glickman & Others, 2001, 344-345, อ้างถึงใน ปฏิวัติ แก้วรัตนะ, 2558, 18-19) ไดก้ ลา่ ววา่ การพัฒนาหลักสูตรของผู้บริหารจะดูไดจ้ ากองคป์ ระกอบต่อไปน้ี 1) นักเรียนควรเรียนรู้เร่ืองอะไรบ้าง 2) ควรจะลำดับข้ันตอนเน้ือหาของการเรียนอย่างไร 3) จะ ประเมินผลการเรียนของนักเรียนอย่างไร และสำหรับการตัดสินใจที่จะพัฒนาหลักสูตรของผู้บริหาร น้ันจะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของรัฐบาล ค่านิยมของชุมชน ความต้องการของชุมชน สภาพ เศรษฐกิจในปัจจุบัน เง่ือนไขทางสังคมในอนาคต แต่ในที่สุดการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
33 พัฒนาหลักสูตรนน้ั ก็จะเปน็ ผลมาจากการตัดสินใจในด้านปรัชญาท่ีเกย่ี วกับวัตถุประสงค์ของโรงเรยี น เช่น ปรัชญาสารตั ถนิยม (essentialist philosophy) จะยึดหลักว่า การเรียน จะเกิดขน้ึ ต้องเป็นผล มาจากการทำงานอย่างหนัก ตอ้ งรู้จักนำไปใชแ้ ละสร้างวินัยในตนเอง จะเน้นการเรียนด้วยการท่องจำ ครูจะเป็นผู้ให้ นักเรียนจะเป็นผู้รับ ในขณะที่ ปรัชญาประสบการณ์นิยม (experimentalism philosophy) หลักสูตรจะเน้นกิจกรรมทางสังคม การเรียนรูแ้ บบร่วมมือกันส่วนปรชั ญาภววาทนิยม (existentialist philosophy) หลักสูตรจะเน้นความสำคัญของบุคคลมากกว่าสังคม เน้นการ ดำรงชีวิตปัจจบุ ัน ความรับผดิ ชอบ และเสรีภาพ ส่วนการจัดการเรียนการสอนน้ันจะให้นักเรยี นเป็น ผู้ลงมือปฏิบัติ ครูเป็นเพียงผู้แนะนำเท่านั้น สำหรับรูปแบบของหลักสูตรน้ันมีหลายประเภท เช่น หลักสูตรท่ีกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) กำหนดวัตถุประสงค์ 2) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 3) กำหนดวิธีการประเมินผล กล่าวโดยสรุปได้ว่า หลักสูตรคือการจัดมวลประสบการณ์ท่ีมีความสำคัญต่อการบริหารงาน วิชาการอย่างยิ่ง เป็นการกำหนดทิศทางในการปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ โดยที่ต้องนำมา วิเคราะห์ใหเ้ หมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง รวมถึงค่านิยมของสมัยนั้น ๆ ซ่ึงจะเป็น หลักสูตรแบบใดก็ต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ ผู้บริหารจึงควรมีความเข้าใจหลักสูตรอย่างถ่องแท้ หลักสูตรเป็นตัวกำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางของการจัดการศึกษา โดยหลักสูตรจะกำหนดหลักการ และจุดมุ่งหมายของการศึกษา โครงสร้างของหลักสูตร การจัดหลักสูตร สาระและมาตรฐานการ เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดผลการเรียนรู้ หลักสูตรจึงมีความสำคัญที่ ผเู้ ก่ียวข้องกบั การจดั การศึกษาต้องศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตรอย่างดีจงึ สามารถจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาผู้เรียนได้ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรท่ีกำหนดไว้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เป็น หลักสูตรท่ีกำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนต้ังแต่ชั้นการจัดการศึกษาท้ังใน ระบบ นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยกำหนดโครงสร้างท่ีเป็นในแต่ละช่วงช้ันและเมื่อ เรียนจบขั้นพ้ืนฐานแล้ว สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจึงต้องนำโครงสร้างของหลักสูตรพื้นฐาน ไปจัดทำ เป็นหลักสูตรของสถานศึกษา โดยคำนึงถงึ สภาพปัญหา ความพรอ้ มเอกลักษณ์ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ทั้งนี้ตอ้ งจดั ทำรายวิชาในแต่ละกลมุ่ เรียนตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการและความแตกต่างระหวา่ งบุคคลได้ สถานศึกษามีภาระหน้าที่ในการจัดการศึกษาตาม หลักสูตรให้เป็นไปตามหลักการ จุดมุ่งหมาย สาระการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติการเรียนรู้ และระดับพัฒนาการของผู้เรียนในช่วงการศึกษาเรียนในช่วงการศึกษาภาคบังคับซึ่งในแต่ละช่วงช้ัน น้ันมีการพัฒนาทักษะที่แตกต่างกันไป ท้ังน้ีการท่ีจะสามารถทำให้นักเรียนเข้าใจถึงสภาพความเป็น จริงและทำให้หลักสูตรน่าสนใจย่ิงขึ้น คือ หลักสูตรบูรณาการ เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. 2544 เปน็ หลักสูตรการศึกษาของประเทศมจี ุดประสงค์ที่จะพัฒนาคณุ ภาพของผู้เรียน ให้เป็นคนดีมีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพ่ิม
34 ศกั ยภาพของผู้เรียนให้สงู ข้ึน สามารถดำรงชีวิตรว่ มกับผู้อน่ื อย่างมคี วามสขุ บนพ้ืนฐานของความเป็น ไทยและความเป็นสากล รวมทั้งมีความสามารถในการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อตามความ ถนัด ความสนใจ และความสามารถของแต่ละบุคคลและการสอนแบบบูรณาการจะสอนให้ได้ผลดี ต้องพัฒนาหลักสูตรบูรณาการใช้ด้วยจึงจะสมบูรณ์และถ้าจะให้หลักสูตรบูรณาการได้ผลดีและ สมบูรณ์ที่สุด ควรพัฒนาโดยใช้รูปแบบ webbed แบบใยแมงมุม เพราะเป็นการบูรณาการเน้ือหา สาระการเรียน รู้โดยเป็น การบูรณาการเนื้อหาสาระท่ีสัม พันธ์ หรือคล้ายคลึงกัน เข้าใน หัวข้อเร่ือง เดียวกันกับการพัฒนาหลักสูตรรูปแบบนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากครูผู้สอนทุกคน เพ่ือช่วยกัน ระดมสมองและแสดงความคิดเห็น ในการพัฒนาหลักสูตรบูรณาการต้องอาศัยความร่วมมือจากครูผู้สอนทุกคนและใช้เวลา ทำงานร่วมกันในระยะแรกมากสักหน่อย เพราะจะเป็นการมองภาพรวมกว้าง ๆ นับต้ังแต่การตั้ง หัวข้อเรื่องและการพิจารณาเลือกเนื้อหาสาระจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เข้ามาบูรณาการ ภายใตห้ ัวข้อเรอื่ งในการพัฒนาหลักสตู รนี้ผเู้ ขยี นมีข้อเสนอแนะท่ีสามารถทำได้ง่าย ๆ และสอดคล้อง กับบริบทต่าง ๆ ภายในโรงเรียน คือ 1) ขั้นเตรียม ผู้บริหารโรงเรียนควรจัดอบรม เพื่อเสริมสร้าง ความร้คู วามเข้าใจเร่อื งการสอน และการพัฒนาหลักสตู รแบบบูรณาการให้แก่ คณะครูก่อน เพื่อให้ เกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการสอนแบบบูรณาการ และเห็นแนวทางในการ ดำเนนิ การร่วมกนั มีความเข้าใจตรงกัน การจัดอบรมนี้ควรเป็นการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร เพราะคณะ ครูจะได้มีทกั ษะในการทำงานมากข้นึ ซึ่งในการจดั อบรมน้ีจะจดั ภายในโรงเรียนเดยี่ วหรอื จัดรวมเป็น กลมุ่ โรงเรยี นก็ได้แลว้ แตค่ วามพร้อมของทางโรงเรียน วางแผนเรือ่ งระยะเวลาในการพัฒนาหลกั สูตร จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณท่ีจำเป็น เอกสารหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรสถานศึกษาของ กลุม่ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระในระดับช้ันต่าง ๆ เพือ่ เป็นข้อมูลในการพัฒนาหลกั สูตรบรู ณาการ 2) ข้ันพัฒนาหลักสูตร หลังจากที่ศึกษาระบวนการพัฒนาหลักสูตรแล้ว ให้คณะท่ีทำการสอนกลุ่ม สาระการเรียนรู้ ทง้ั 8 กลุ่ม ในชน้ั ท่ีปฏิบัติการพฒั นาหลักสตู รบูรณาการ ร่วมกันวางแผนเร่ืองเวลา ที่จะใช้ทำการสอนในแต่ละหัวข้อเรอื่ งกอ่ นว่าจะสอนหัวข้อเรอ่ื งละกี่วัน เช่น 3 วัน 5 วัน หรือกว่ี ันก็ได้ หรือจะไม่เท่ากันก็ได้ ตามแต่ความเหมาะสมหรือความต้องการของครู แต่ผู้เขียนมีข้อสังเกตให้ว่า การจัดเวลาสอนแต่ละหัวข้อเรือ่ งนั้น ถ้าจัดสอน 5 วัน คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ จะทำให้สะดวกต่อ การบริหารจัดการเรื่องวันเวลา และง่ายต่อการจำจะยุ่งยากมากกว่า และต่อมาคือ การต้ังหัวข้อ เรอื่ ง คณะครรู ะดมสมองช่วยกันตั้งหัวข้อเร่ืองละควรมีจำนวนทพ่ี อเหมาะกับจำนวนวันหรือสปั ดาห์ท่ี สอน เชน่ ใน 1 ภาคเรียนมเี วลาเรยี นประมาณ 20 สัปดาห์ ช่วงต้นภาคเรียนอาจจะมีวนั สอนนอ้ ย และต้องเตรียมนักเรียน ช่วงปลายภาคเรียนอาจต้องเวน้ ไว้สำหรับการวดั และประเมินผลปลายภาค ดงั น้นั อาจต้องเว้นเวลาช่วงต้นและปลายภาคเรียนไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงเหลือเวลาสำหรับการ
35 จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนประมาณ 18 สัปดาห์ ถ้าเป็นเช่นนคี้ รูอาจตั้งหวั ขอ้ เร่ือง 18 หวั ข้อหรือ ตง้ั ไวเ้ กนิ เผอื่ เลอื กใชก้ ไ็ ด้ ดังน้ัน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจึงถือว่าเป็นการนำหลักสูตรเดิมมาพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพยิ่งข้ึน โดยการบูรณาการรายวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาตาม สภาพความเป็นจริงและเพ่ิมศักยภาพของนักเรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพของผู้เรยี นให้สูงขึ้น สามารถดำรงชวี ติ ร่วมกบั ผู้อืน่ อยา่ งมีความสขุ การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ ในเรอ่ื งความหมายของการเรียนรู้นนั้ นักวชิ าการไดใ้ หค้ วามหมายไว้หลากหลาย ดงั เชน่ ลำดวน เกษตรสุนทร (2543, 48) ได้ให้ความหมายการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมค่อนข้างถาวร อันเน่ืองจากประสบการณ์เป้าหมายของการเรียนรู้ต้องการให้ผู้เรียนดี เก่ง และมีความสุข พยอม วงศ์สารศรี (2545, 70) กล่าวว่า การเรียนรู้ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอัน เน่ืองจากประสบการณ์หรือกิจกรรมที่จัดข้ึน และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงนี้จะต้องเป็นพฤติกรรมที่ คอ่ นขา้ งถาวร ไม่ใชเ่ ปน็ พฤติกรรมที่เกิดจากผู้เรยี นมีวุฒิภาวะหรอื ได้รับยาเสพติดหรือไดร้ ับอบุ ตั ิเหตุ ครอนบัค (Cronbach, 1973, อ้างถึงใน ศิริพร อัจฉริยโกศล, 2550, 48) ได้กล่าวว่า การ เรียนรู้คือการแก้ปญั หาซึ่งจะต้องประกอบด้วยสิ่งต่อไปน้ี สถานการณ์ (situation) คือ สิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศรอบตวั ผู้เรียนลักษณะประจำตัวของบุคคล ได้แก่ ความสามารถ ความถนดั ความ สนใจ และความพร้อมของผู้เรียน อันจะมีส่วนช่วยให้การเรียนบรรลุผลสำเร็จ ความมุ่งหมาย (goal) คอื การทราบจุดหมายของส่ิงท่ีจะเรียน การแปลความ (interpretation) เป็นการทำตัวเอง เข้าไปอยูใ่ นสถานการณ์เพื่อแปลความหมายของส่ิงท่ีพบ เพ่ือช่วยให้เกิดการแก้ปัญหา การกระทำ (action) หมายถึง การตอบสนองตอ่ สถานการณ์ท่ีพบหลังจากแปลความหมายแล้ว ผลการปฏิบัติ (consequence) คือ ผลท่ีได้รับจากการกระทำ ถ้าเป็นผลดีก็สามารถจะนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ ใกล้เคียงกันได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าผลที่ได้รับล้มเหลว บางคนอาจจะแก้ไขปรับปรุงวิธีการ ตอบสนอง เพ่ือใหไ้ ด้วิธีทดี่ ที ่ีสดุ หรือบางคนอาจจะลม้ เลิกความหวงั เดิมเสีย ฮิลการ์ด (Hilliard, 1975, อ้างถึงใน อ้างถึงใน สมพร พรหมจรรย์, 2540, 13) กล่าวว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำให้พฤติกรรมเปล่ียนไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝน และ ประสบการณท์ ่ีได้รบั แต่มิใชผ่ ลจากการตอบสนองที่เกดิ ขึน้ จากธรรมชาติ กล่าวโดยสรุป การเรียนรู้ หมายถึง การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม อันเนื่ องมาจาก ประสบการณ์ และพฤติกรรมนั้นจะต้องเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรประกอบกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2543, 55-57) ไดก้ ำหนดแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ ในมาตรา 24 ไวด้ ังน้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177