มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 193 (a,b)1 (a,b)(g,h) (a,b)1 (a,b) (g,h) (1,0) (g, h) (g,h) ดังนน้ั (e,f ) (g,h) เพราะฉะนนั้ จะมี (e,f ) เพยี งคู่เดียวเทา่ นัน้ ท่ที าให้ (a,b)(e,f) (c,d) ทฤษฎบี ท 7.15 สาหรับคอู่ นั ดับ (a,b) , (c,d) และ (e,f ) ใด ๆ ใน 1) ถา้ (a,b) (e,f ) (c,d) (e,f ) แลว้ (a,b) (c,d) 2) ถ้า(e,f ) (a,b) (e,f ) (c,d) แลว้ (a,b) (c,d) พสิ จู น์ ให้ (a,b) , (c,d) และ (e,f ) เปน็ คูอ่ ันดับใด ๆ ใน 1) สมมติ (a,b) (e,f ) (c,d) (e,f ) จะได้วา่ (a,b) (e,f )((e,f )) (c,d) (e,f )((e,f )) (a,b) (e,f ) ((e,f ) (c,d) (e,f ) ((e,f ) (a,b)(0,0) (c,d) (0,0) ดังนนั้ (a,b) (c,d) 2) จากข้อ 1) และทฤษฎบี ท 7.4 เราจะไดว้ า่ ถ้า (e,f ) (a,b) (e,f ) (c,d) แลว้ (a,b) (c,d) ทฤษฎบี ท 7.16 สาหรับคอู่ ันดับ (a,b) , (c,d) และ (e,f ) ใด ๆ ใน โดยที่ (e,f ) (0,0) 1) ถ้า (a,b)(e,f ) (c,d)(e,f ) แล้ว (a,b) (c,d) 2) ถ้า (e,f )(a,b) (e,f )(c,d) แล้ว (a,b) (c,d) พิสจู น์ ให้ (a,b) , (c,d) และ (e,f ) เปน็ คู่อันดบั ใด ๆ ใน โดยที่ (e,f ) (0,0) จากทฤษฎบี ท 7.10 จะมี (e,f )1 . 1) สมมติ (a,b)(e,f ) (c,d)(e,f ) จะได้วา่ (a,b)(e,f )(e,f )1 (c,d)(e,f )(e,f )1 (a,b) (e,f )(e,f )1 (c,d) (e,f )(e,f )1 (a,b)(1,0) (c,d)(1,0) ดงั นน้ั (a,b) (c,d) 2) จากข้อ 1) และทฤษฎบี ท 7.4 เราจะได้ว่า ถา้ (e,f )(a,b) (e,f )(c,d) และ (e,f ) (0,0) แล้ว (a,b) (c,d)
194 7.2 จานวนเชิงซอ้ น (Complex Numbers) จากสมการ x2 1 0 จะได้ว่า x2 1 นั่นคือ x 1 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็น สมการที่ไม่มีคาตอบท่ีเป็นจานวนจริง ทานองเดียวกัน พิจารณาสมการ x2 4 จะได้ว่า x 4 น่ันคือ x 4(1) 4 (1) ซ่ึงจะเห็นได้ว่าสามารถเขียนอยู่ในรูปของ ผลคูณของ 1 ได้ เพราะฉะน้ัน เราจึงกาหนดให้ i 1 ทาให้ได้สมบัติ i2 1 ดังนั้น i จึงเปน็ คาตอบของสมการ x2 1 0 จะเห็นได้ว่า i ไม่ใช่จานวนจริง เราเรียกว่า “จานวนจินตภาพ” (Imaginary number) ดงั น้ัน สาหรับจานวนจริง a และ b เรากาหนดให้จานวนท่อี ยใู่ นรปู a bi คือจานวนเชงิ ซ้อน หรือ a bi (a,b) นน่ั เอง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทนิยาม 7.17 จานวนเชงิ ซอ้ น (0,1) เขยี นแทนดว้ ย i เรียกว่า “จานวนหนึง่ หน่วยจินตภาพ” จากบทนิยาม 7.17 สมมติ i (0,1) จะได้วา่ ii (0,1)(0,1) (00 11,0110) (1,0) ดังนั้น ถ้า i (0,1) แลว้ ii (1,0) จากหัวข้อ 7.1 เราได้ศึกษาสมบัติของคู่อันดับใน ดังน้ัน เมื่อเรากาหนดให้ เซต ของจานวนเชิงซอ้ น (Complex numbers) เขียนแทนด้วยสญั ลักษณ์ โดยท่ี เม่ือ z จะไดว้ ่า จะมี (a,b) โดยท่ี z (a,b) เพราะว่า (a,b) (a 0,b 0) ดังนั้น (a,b) (a 0,0 b) (a,0) (0,b) (a,0) (b,0)(0,1) (a,0)(b,0)i ทา ให้ z (a,b) a bi น่ันเอง บทนยิ าม 7.18 จานวนเชิงซอ้ นศูนย์ เขยี นแทนดว้ ย 0 คือ (0,0) หรอื 0 0i ใน บทนิยาม 7.19 ให้ z (a,b) เปน็ จานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ จานวนเชิงซ้อน z กาหนดโดย z (a,b) (a,b) a (b)i บทนิยาม 7.20 จานวนเชิงซอ้ นหน่งึ เขยี นแทนด้วย 1 คอื คู่อนั ดับ (1,0) หรือ 1 0i ใน บทนิยาม 7.21 ให้ z (a,b) เป็นจานวนเชิงซอ้ นใด ๆ ซ่ึง z 0 จานวนเชงิ ซ้อน z1 a2 a b2 , b a2 b2 บทนยิ าม 7.22 ให้ z1 และ z2 เปน็ จานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ z1 z2 z1 (z2 )
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 195 เซตของจานวนเชงิ ซอ้ นประกอบด้วยจานวนและตัวดาเนินการทวิภาค บวก + และคณู (หรือ หรือไม่เขยี นเคร่ืองหมาย) มสี มบัติท่ีเรียกวา่ “สัจพจน์ของจานวนเชงิ ซอ้ น” ดังต่อไปน้ี ให้ z1, z2 และ z3 เป็นจานวนเชงิ ซอ้ นใด ๆ 1. การดาเนินการบวก: ให้ z1 และ z2 เป็นจานวนเชิงซ้อน ผลบวกของ z1 กับ z2 เขียนว่า z1 z2 จะเป็นจานวนเชิงซ้อนจานวนหนึ่งเพียงจานวนเดียว และมีสมบัติ ดงั นี้ 1.1 สมบตั กิ ารเปลย่ี นกลมุ่ : z1 (z2 z3) (z1 z2) z3 1.2 สมบัติการสลับที:่ z1 z2 z2 z1 1.3 มีจานวนเชงิ ซอ้ นศนู ย์ 0 ทม่ี ีสมบตั วิ ่า z1 0 0 0 z1 สาหรบั ทุก จานวนเชงิ ซ้อน z1 เรยี ก 0 ว่าเป็นเอกลักษณ์การบวก 1.4 สาหรบั จานวนจรงิ z1 จะมีจานวนจรงิ a ท่ีมีสมบตั ิว่า z1 (z1) 0 (z1) z1 เรียก z1 ว่าเป็นผกผันการบวกของ z1 2. การดาเนนิ การคณู : ให้ z1 และ z2 เปน็ จานวนเชงิ ซ้อน ผลคูณของ z1 กบั z2 เขียน ว่า z1 z2 หรือ z1 z2 หรือ z1z2 จะเป็นจานวนเชิงซ้อนจานวนหน่ึงเพียงจานวน เดยี วและมีสมบตั ิดงั นี้ 2.1 สมบตั ิการเปล่ียนกลมุ่ : z1 (z2 z3) (z1 z2) z3 2.2 สมบตั ิการสลบั ท่:ี z1 z2 z2 z1 2.3 มีจานวนเชิงซ้อน 1 ท่ีมีสมบัติว่า z1 111 z1 สาหรับทุกจานวน เชิงซ้อน z1 เรียก 1 วา่ เป็นเอกลกั ษณก์ ารคณู 2.4 สาหรับจานวนเชิงซ้อน z1 ท่ไี มใ่ ช่ 0 จะมจี านวนเชงิ ซอ้ น z11 ท่ีมีสมบัติ วา่ z1 z11 1 z11 z1 เรยี ก z11 วา่ ตวั ผกผันการคณู (Inverse) ของ z1 3. สมบัตกิ ารแจกแจง: ให้ z1, z2 และ z3 เป็นจานวนเชิงซอ้ น z1 (z2 z3) z1 z2 z1 z3 หรอื (z1 z2 ) z3 z1 z3 z2 z3 เซตท่ีมีสมาชิกและการดาเนินการสองชนิด ซึ่งมีสมบัติ 9 ข้อดังข้างบนนี้ เราเรียกว่า “สนาม” (Ordered Field) และ”สมบัตคิ วามบริบรู ณ์” (Completeness Axiom) ทฤษฎีบท 7.23 สาหรับจานวนเชิงซอ้ น z1 และ z2 ใด ๆ 1) (z1) z1 2) (z1 z2 ) (z1) (z2 ) 3) z1 0 0 4) (z1 )1 z 5) (z1)z2 z1 (z2 ) (z1 z2 ) พสิ จู น์ ให้ z1 และ z2 เป็นจานวนเชงิ ซอ้ นใด ๆ
196 1) เพราะวา่ (z1)(z1) 0 z (z1) เน่อื งจากผกผนั การบวกของ z1 มีเพยี งจานวนเดยี วเทา่ นั้น คือ z1 ดงั น้ัน (z1) z1 2) (z1 z2 ) ((z1) (z2 )) ((z1 z2 ) (z1)) (z2 ) (z1 (z2 (z1))) (z2 ) (((zz11(((zz11 )))zz22))) ((zz22 ) ) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง(0 z2 )(z2 ) z2 (z2 ) 0 จะไดว้ ่า (z1) (z2 ) เปน็ ผกผันการบวกของ z1 z2 ดงั น้นั (z1 z2 ) (z1) (z2 ) 3) z1 z1 0 z1 1z1 0 z1 (10) z1 1 z1 จะไดว้ ่า z1 0 เป็นเอกลกั ษณ์การบวกของ z1 แต่ 0 เป็นเอกลักษณ์การบวกของจานวนเชิงซ้อนใด ๆ เพียงจานวนเดียวเท่านน้ั เพราะฉะนนั้ z1 0 0 4) (z1 )1 (z1) 1 z(z1) เนอ่ื งจากผกผนั การคูณของ z11 มีเพียงจานวนเดยี วเท่านนั้ คอื z1 ดงั นัน้ (z1 )1 z 5) จะแสดงวา่ (z1)z2 (z1 z2 ) พิจารณา (z1 z2 ) (z1)z2 (z1 (z1))z2 0z2 0 ดงั นน้ั (z1)z2 เป็นผกผันการบวกของ z1 z2 จะได้วา่ (z1)z2 (z1 z2 ) ทานองเดียวกนั เราได้ z1 (z2 ) (z1 z2 ) เพราะฉะนน้ั เราจงึ สรปุ ได้ว่า (z1)z2 z1 (z2 ) (z1 z2 ) ทฤษฎีบท 7.24 สาหรับจานวนเชงิ ซ้อน z1 และ z2 ใด ๆ ถ้า z1 0 แล้ว จะมีจานวนเชงิ ซ้อน z3 เพียงจานวนเดียวเท่านน้ั ทที่ าให้ z1 z3 z2 พสิ ูจน์ ให้ z1 และ z2 เป็นจานวนเชงิ ซอ้ นใด ๆ
197 สมมติ z1 0 เลือก z3 z11 z2 ดังน้ัน z1 z3 z1 z11 z2 z1 z11 z2 1z2 z2 สมมติว่า มจี านวนเชิงซอ้ น z4 ซง่ึ ทาให้ z1 z4 z2 ดังน้นั z3 1z3 z11 z1 z3 z11 z1 z3 z11 z2 z11 z1 z4 z11 z1 z4 1z4 z4 เพราะฉะน้ัน เราจึงสรุปได้วา่ จะมีจานวนเชิงซอ้ น z3 เพยี งจานวนเดียวเทา่ นั้น ทท่ี า ให้ z1 z3 z2 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทฤษฎีบท 7.25 สาหรับจานวนเชิงซ้อน z1 และ z2 ใด ๆ ถ้า z1 z2 0 แล้ว z1 0 หรือ z2 0 พิสูจน์ ให้ z1 และ z2 เป็นจานวนเชิงซ้อนใด ๆ สมมติ z1 z2 0 จะแสดงวา่ z1 0 หรือ z2 0 สมมติ z1 0 จะพิสูจน์ว่า z2 0 เพราะว่า z1 0 ดังนน้ั จะมี z11 0 จาก z1 z2 0 จะได้วา่ z11 z1 z2 z11 0 z11 z1 z2 z11 0 z11 z1 z2 0 1z2 0 z2 0 เพราะฉะนน้ั เราจึงสรุปไดว้ า่ ถา้ z1 z2 0 แลว้ z1 0 หรือ z2 0
198 ทฤษฎีบท 7.26 สาหรบั จานวนเชงิ ซ้อน z1,z2 และ z3 ใด ๆ 1) ถ้า z1 z3 z2 z3 และ z3 0 แลว้ z1 z2 2) ถา้ z1 z2 z1 z3 และ z1 0 แล้ว z2 z3 พสิ จู น์ ให้ z1,z2 และ z3 เปน็ จานวนเชิงซ้อนใด ๆ 1) สมมติ z1 z3 z2 z3 และ z3 0 เพราะว่า z3 0 ดงั น้ันจะมี z31 0 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง z 31 1 จาก z1 z3 z2 z3 จะได้ว่า z1 z3 z2 z3 z 3 z1 z3 z31 z2 z3 z31 z1 1 z2 1 2) พิสูจน์ทานองเดียวกบั 1) z1 z2 บทนิยาม 7.27 ให้ z (a,b) เปน็ จานวนเชิงซอ้ นใด ๆ โดยท่ี a และ b คือจานวนจริง สว่ นจริง (real part) ของ z เขยี นแทนดว้ ย Re(z) คอื a และ ส่วนจินตภาพ (Imagineering part) ของ z เขียนแทนด้วย Im(z) คือ b บทนิยาม 7.28 ให้ z (a,b) เป็นจานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ สงั ยคุ (conjugate) ของ z เขยี นแทนด้วย z คอื จานวนเชงิ ซอ้ น z (a,b) หรอื z a bi บทนิยาม 7.29 ให้ z1 a bi และ z2 c di เปน็ จานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ z1 z2 (a c) (b d)i บทนยิ าม 7.30 ให้ z1 a bi และ z2 c di เป็นจานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ z1 z2 (ac bd) (ad bc)i บทนิยาม 7.31 ใกหา้หzน1ดzza12bzi1แลzะ2z12 c di เป็นจานวนเชิงซ้อนใด ๆ โดยที่ z2 0 ทฤษฎบี ท 7.32 สาหรบั จานวนเชิงซ้อน z1, z2 และ z3 ใด ๆ 1) z1 z2 z1 z2 2) z1 z2 z1 z2 3) (z1) z1
199 4) z1 z1 5) z1 z1 2Re (z1) 6) z1 z1 2Im (z1) พสิ จู น์ ให้ z1 a bi , z2 c di และ z3 e f i เปน็ จานวนเชิงซ้อนใด ๆ 1) จากบทนิยาม 7.28 และ 7.29 เราไดว้ ่า z1 z2 (c di) (e f i) (c e) (di fi) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง (c e)(d f)i (c e) (di fi) (c di) (e f i) ดงั น้ัน z1 z2 z1 z2 z1 z2 2) พิสจู น์ทานองเดยี วกบั 1) 3) จากบทนิยาม 7.28 เราได้ว่า (z) (a bi) (a bi) a bi (a bi) ดงั นนั้ (z1) z1 z 4) จากบทนยิ าม 7.28 เราได้ z a bi a bi a bi z ดังน้ัน z1 z1 5) จากบทนยิ าม 7.28 และ 7.29 เราได้ว่า z1 z1 (a bi) (a bi) (a a) (bi bi) 2a 2Re(z1) ดงั นั้น z1 z1 2Re (z1) 6) พสิ จู น์ทานองเดยี วกับ 5) บทนิยาม 7.33 ให้ z a bi เป็นจานวนเชงิ ซ้อนใด ๆ ค่าสมั บรู ณ์ของ z เขียนแทนดว้ ย z กาหนดโดย z a2 b2
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 200 จากบทนิยาม 7.33 เราจะเห็นได้ว่า เมื่อ z เป็นจานวนเชิงซ้อน แต่ z คือจานวนจริง a2 b2 ซ่ึงหากพิจารณาค่าสัมบูรณ์ของจานวนจริงหมายถึงระยะห่างระหว่างจานวนจริงนั้นกับ ศูนย์ จึงทาให้จานวนจริงบวกกับผกผันของจานวนนั้นมีค่าสัมบูรณ์ที่เท่ากัน ทานองเดียวกัน เมื่อ z เป็นจานวนเชิงซ้อน เราจะพิจารณาค่าสัมบูรณ์ของ z a bi ในระบบพิกัดฉาก โดยให้แกนแนว นองคือค่าของ a และแกนแนวต้ังคือค่าของ b ดังน้ันเมื่อพิจารณาระยะทางของจุด (a,b) กับจุด (0,0) จะพบวา่ มีความยาวของระยะหา่ งระหว่างจดุ สองจุดนีเ้ ทา่ กับ a2 b2 ทฤษฎบี ท 7.34 สาหรบั จานวนเชงิ ซอ้ น z a bi จานวนเชงิ ซอ้ นใด ๆ 1) z 0 2) z 0 ก็ตอ่ เม่ือ z 0 3) z z z 2 4) z z 5) z z พิสจู น์ ให้ z a bi และ z1 c di เป็นจานวนเชิงซ้อนใด ๆ 1) เพราะว่า x2 0 สาหรบั ทุกจานวนจริง x ดังนนั้ a2 b2 0 นน่ั คอื z 0 2) พจิ ารณา z 0 a2 b2 0 a2 b2 0 a2 0 b2 0 a0b0 a bi 0 z0 3) จากบทนยิ าม 7.28 และ 7.30 เราไดว้ ่า z z (a bi)(a bi) (a2 b2 ) (abi bai) (a2 b2 ) a2 b2 2 z2 4) จากบทนิยาม 7.33 จะได้ z (a)2 (b)2 a2 b2 z
201 5) จากบทนิยาม 7.28 และ 7.33 จะได้ z a2 b2 a2 (b)2 a (bi) a bi a bi z มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทฤษฎีบท 7.35 สาหรับจานวนเชิงซอ้ น z1 a bi และ z2 c di ใด ๆ 1) z1 z2 z1 z2 1 z1 2) ถ้า z1 0 แลว้ z11 z1 1 3) ถ้า z2 0 แล้ว z1 z1 z2 z2 พสิ ูจน์ ให้ z1 a bi และ z2 c di เปน็ จานวนเชิงซอ้ นใด ๆ 1) จากบทนยิ าม 7.30 และ 7.33 ได้ว่า z1 z2 (ac bd) (ad bc)i (ac bd)2 (ad bc)2 (ac)2 2(ac)(bd) (bd)2 (ad)2 2(ad)(bc) (bc)2 (ac)2 (bd)2 (ad)2 (bc)2 a2c2 b2d2 a2d2 b2c2 a2c2 a2d2 b2c2 b2d2 a2 b2 c2 d2 a2 b2 c2 d2 z1 z2 2) สมมติ z1 0 ดงั นน้ั จะมี z11 0 ดงั นน้ั z1 z11 z1 z11 10i 12 02
202 1 ดงั น้นั z11 เป็นผกผันการคูณของ z1 นนั่ คอื z11 z1 1 จากบทนยิ าม 7.33 เราจงึ สรปุ ไดว้ า่ z11 z1 1 1 z1 3) สมมติ z2 0 ดังนั้นจะมี z21 0มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง จาก 1) และ 3) จะได้ว่า z1 z1 z 1 z2 2 z1 z21 z1 z2 1 1 z1 z2 z1 z2 ทฤษฎบี ท 7.36 สาหรบั จานวนเชิงซอ้ น z1 a bi และ z2 c di ใด ๆ 1) z1 z2 z2 z1 2 Re (z1 z 2 ) 2 z1 z2 2 z1 2 z2 2 2 Re (z1 z 2 ) 3) z1 z2 z1 z2 4) z1 z2 z1 z2 พิสูจน์ ให้ z1 a bi และ z2 c di เปน็ จานวนเชิงซ้อนใด ๆ 1) พจิ ารณา z1 z2 (a bi)(c di) (ac bd) (ad bc)i และ z2 z1 (a bi)(c di) (ac bd) (ad bc)i ดังนนั้ z1 z2 z2 z1 (ac bd) (ad bc)i (ac bd) (ad bc)i ac bd (ad)i (bc)i ac bd (ad)i (bc)i 2(ac bd) 2 Re (z1 z 2 ) 2) จากทฤษฎบี ท 7.34 จะได้ z1 z2 2 (z1 z2 )(z1 z2 )
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 203 (z1 z2 )(z1 z2 ) z1 z1 z1 z2 z2 z1 z2 z2 z1 2 z1 z2 z2 z1 z2 2 z1 2 2Rez1 z2 z2 2 z1 2 z2 2 2Rez1 z2 3) เพราะวา่ z1 z2 2 z1 2 z2 2 2Rez1 z2 z1 2 z2 2 2 Rez1 z2 z1 2 z2 2 2 z1 z2 z1 2 z2 2 2 z1 z2 z1 2 z2 2 2 z1 z2 z1 z2 2 เพราะฉะน้นั z1 z2 z1 z2 4) เนอ่ื งจาก z1 z1 (z2 z2 ) (z1 z2 ) z2 z1 z2 z2 ดงั น้นั z1 z2 z1 z2 ในทานองเดยี วกนั จะได้ z2 z1 z2 z1 z1 z2 z1 z2 ดงั นั้น z1 z2 z1 z2 z1 z2 นนั่ คือ z1 z2 z1 z2 7.3 จานวนเชิงซอ้ นในระบบพิกัดเชิงขั้ว (Complex Numbers in Polar Coordinate Plane) ให้ z a bi เป็นจานวนเชิงซ้อนใด ๆ เม่ือนาค่าส่วนจริง a และส่วนจินตภาพ b ไป กาหนดพิกัดจุดในระบบพิกัดฉาก โดยมีแกนแนวนอนคือค่าส่วนจริงและแกนแนวตั้งคือค่าส่วนจินต- ภาพ จะไดด้ ังภาพตอ่ ไปน้ี
204 \\ Y (a,b) b r Oa มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง X ภาพท่ี 7.1 จานวนเชงิ ซอ้ น (a,b) ในระบบพิกดั ฉาก จากภาพท่ี 7.1 เราให้ r คือ มอดุลัส โดยที่ r a2 b2 ซึ่งเป็นระยะท่ีจุด z ห่าง จากจุดกาเนิด และ คือ อาร์กิวเมนต์ ของ z ดังนั้นจานวนเชิงซ้อน a bi หรือ (a,b) ใด ๆ สามารถเขียนได้ในรูป r cos i r sin หรือ (r cos,r sin) และเรียกรูปแบบของจานวนเชิงซ้อน น้วี ่า “จานวนเชิงซ้อนในระบบพกิ ัดเชงิ ขัว้ หรือรปู เชงิ ขัว้ ” ต่อไปน้ีจะแสดงทฤษฎีบทที่เก่ียวข้องกบั การดาเนินการคณู หรอื หารของจานวนเชิงซอ้ นใน ระบบพิกัดเชิงข้วั ทฤษฎีบท 7.37 สาหรับจานวนเชงิ ซ้อน z1 r1 (cos1 i sin1) และ z2 r2 (cos2 i sin2 ) ใด ๆ 1) z1 z2 r1r2 [(cos(1 2 ) i sin(1 2 )] z1 r1 2) z2 r2 [(cos(1 2 ) i sin(1 2 )] เมอ่ื z2 0 พสิ ูจน์ ให้ z1 r1 (cos1 i sin1 ) และ z2 r2 (cos2 i sin2 ) 1) พจิ ารณา z1 z2 r1 (cos1 i sin1)r2 (cos2 i sin2 ) r1r2 [(cos1cos2 icos1sin2 isin1cos2 i2sin1sin2 ] r1r2 [(cos1cos2 sin 1sin 2 ) i(cos1sin 2 sin 1cos2 )] r1r2 [(cos(1 2 ) i sin(1 2 )] 2) พิจารณา i sin1 ) z1 r1 (cos1 i sin2 ) z2 r2 (cos2 r1 (cos 1 i sin 1 ) (cos2 i sin 2 ) r2 (cos 2 i sin 2 ) (cos2 i sin 2 )
205 r1 (cos 1 i sin 1 )(cos2 i sin 2 ) (cos 2 )2 (i sin 2 )2 r2 r1 (cos1 i sin1 )(cos2 i sin ) r2 ((cos2 )2 i2 (sin2 )2 ) 2 r1 (cos 1 cos 2 i sin 1 cos2 i cos1 sin 2 i2 sin 1 sin 2 ) r2 ((cos2 )2 (sin 2 )2 ) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงr1(cos cos sin 1 sin 2 i (sin 1 cos2 cos sin )) 1 2 r2 ((cos2 )2 (sin 2 )2 ) 1 2 r1 (cos(1 2 ) i sin(1 2 )) r2 (1) r1 [(cos(1 2 ) i sin(1 2 )] r2 ตวั อยา่ ง 7.38 ให้ z1 cos i sin และ z2 4 (cos 5 i sin 5 ) จงหา 4 4 4 4 1) z1 z2 z1 2) z2 วธิ ที า ให้ z1 cos i sin และ z2 4 (cos 5 i sin 5 ) 4 4 4 4 5 5 1) z1 z2 1 4[(cos( 4 ) i sin( 4 )] 4 4 44[(c0os 3i2) 3 i sin 2 ] 4i 2) z1 1 [(cos( 5 ) i sin( 5 )] z2 4 4 4 4 4 1 [(cos() i sin()] 4 1 4 [(cos() i sin()] 1 (1 i (0)) 4 1 4
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 206 ทฤษฎีบท 7.39 (กนก จุยคาวงศ์, 2549: 67 – 69) ทฤษฎบี ทของเดอมวั ฟวร์ (De Moivre’s Theorem) ถา้ z เปน็ จานวนเชิงซ้อนท่ีเขยี นในรปู เชงิ ขั้ว z r(cos i sin) และ n แลว้ zn rn [cos(n) i sin(n)] พิสูจน์ ในการพิสูจนจ์ ะแยกกรณี n เปน็ จานวนเต็ม ออกเป็น 3 กรณี กรณีท่ี 1 n เป็นจานวนเตม็ บวก จะพสิ ูจน์โดยอาศยั หลกั การอุปนัยทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Induction) กาหนดให้ P(n):[r(cos i sin)]n rn [cos(n) i sin(n)] พจิ ารณา 1) ถ้า n 1 ได้วา่ r(cos i sin) r(cos i sin) เป็นจริง 2) สมมตวิ า่ ประพจน์นเี้ ปน็ จรงิ ท่ี n k กล่าวคือ [r(cos i sin)]k rk [cos(k) i sin(k)] เปน็ จริง จะแสดงว่า ประพจน์นเ้ี ปน็ จริงท่ี n k 1 นัน่ คอื จะแสดงวา่ [r(cos i sin)]k1 rk1[cos(k 1) i sin(k 1)] พจิ ารณา [r(cos i sin)]k1 [r(cos i sin)]k [r(cos i sin)] [rk (cosk i sin k)][r(cos i sin)] rk1[cos(k ) i sin(k )] rk1[cos(k 1) i sin(k 1)] จะได้ P(k) เปน็ จรงิ แลว้ P(k 1) เปน็ จริง โดยอาศยั หลักการอปุ นัยทางคณิตศาสตร์ จะได้ P(n) เปน็ จรงิ สาหรบั ทุก ๆ จานวนเต็มบวก n ดงั นนั้ zn rn [cos(n) i sin(n)] เป็นจริง กรณีท่ี 2 n เปน็ จานวนเตม็ ศนู ย์ จาก z r(cos i sin) z0 [r(cos i sin)]0 z0 r0 (cos i sin)0 z0 1 z0 1(cos0 i sin0)
207 z0 r0 (cos0 i sin0) z0 r0 [cos(0) i sin(0)] นนั่ คือ zn rn [cos(n) i sin(n)] เปน็ จริง เม่ือ n เปน็ จานวนเต็มศนู ย์ กรณที ี่ 3 n เปน็ จานวนเต็มลบ จะได้ n เป็นจานวนเตม็ บวก 1 1 จาก z r(cos i sin) ดังนั้น z r (cos() i sin()) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงจากกรณีที่ 1 จะได้ n 1 [ 1 (cos() i sin())]n z r 1 z n rn (cos(n) i sin(n)) zn rn [cos(n) i sin(n)] เปน็ จรงิ จากกรณี 1 – 3 สรปุ ได้วา่ zn rn [cos(n) i sin(n)] โดยที่ n ตัวอยา่ ง 7.40 จงหาค่าจานวนเชิงซอ้ นต่อไปนี้ (1 i)4 วธิ ที า ให้ z 1 i ดงั น้ัน z (1)2 12 2 1 3 arc tan 1 arc tan( 1) 4 จะได้ว่า z 2 (cos 3 i sin 3 ) 4 4 3 3 ดงั น้ัน z4 ( 2 )4 cos 4 4 i sin 4 4 4 cos3 i sin3 41i0 4 เพราะฉะนัน้ (1 i)4 4 ทฤษฎีบท 7.41 สาหรับจานวนเชงิ ซอ้ น z r(cos i sin) และ n เป็นจานวนเตม็ บวกใด ๆ 11 zn r n cos2 k 2 k n i sin n โดยที่ k 0,1, 2,..., n 1 พสิ จู น์ ให้ z r(cos i sin) และ x เปน็ ค่ารากท่ี n ของ z
208 1 จะได้ xn z หรอื x z n ถา้ z 0 และให้ x r0 (cos0 i sin0 ) เพราะฉะนั้น [r0 (cos0 i sin0 )]n r(cos i sin) และ r0n (cos(n0 ) i sin(n0 )) r(cos i sin ) 1 จะได้ r0n r เพราะฉะนัน้ r0 r n มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงและ n0 2k โดยที่ k 0,1,2,...,n 1 2k เพราะฉะน้นั 0 n 1 n ดงั นัน้ x r n cos2 k i sin 2 k n n 11 นน่ั คือ zn r n cos2 k 2 k n i sin n โดยที่ k 0,1,2,...,n 1 ตวั อย่าง 7.42 จงหารากที่ 5 ของ 1 3i วธิ ีทา ให้ z 1 3i ดังนน้ั r 12 ( 3)2 2 พิจารณา arc tan 3 arc tan( 3) 3 1 4 3 3 จะไดว้ า่ z 2(cos 4 i sin 4 ) ดังนนั้ รากที่ 5 ของ z จะเป็น 1 2 1 34 2 k i sin 34 2 k 5 cos 5 5 z5 โดยที่ k 0,1,2,3,4 3 3 20 20 ถ้า k 0 แล้ว z0 5 2 (cos i sin ) ถา้ k 1 แลว้ z1 5 2 (cos 11 i sin 11 ) 20 20 19 19 ถา้ k2 แล้ว z2 5 2 (cos 20 i sin 20 )
209 ถา้ k 3 แลว้ z3 5 2 (cos 27 i sin 27 ) 20 20 35 35 ถา้ k 4 แลว้ z4 5 2 (cos 20 i sin 20 ) จากตัวอย่าง 7.42 เราได้ว่า 1 1 34 2 k i sin 342 k หาก cos 5 5 z5 25 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เราแทนค่า k 5 จะได้ว่า z5 5 2 (cos 43 i sin 43 ) 5 2 (cos 3 i sin 3 ) ซ่ึงจะเห็น 20 20 20 20 ไดว้ า่ รากท่ี 5 ของจานวนเชิงซ้อน 1 3i จะมเี พยี ง 5 รากท่ีต่างกันเทา่ นั้น บทสรุป จานวนเชิงซ้อนเกิดข้ึนได้จากการต้องการหาคาตอบของปัญหาที่ยังไม่มีคาตอบท่ีเป็น จานวนจริง น่ันคือสมการ x2 1 0 สาหรับจานวนจริง x ใด ๆ นักคณิตศาสตร์พบว่า เม่ือ กาหนดให้ i 1 จะพบว่า i เป็นคาตอบของสมการ x2 1 0 และพบว่าจานวนเชิงซ้อนใด ๆ สามารถเขียนอยใู่ นรูปคอู่ ันดับใน ซ่ึงคือเซตจานวนเชงิ ซ้อน เม่ือจานวนเชิงซ้อนเขียนอยู่ในรูปของคู่อันดับของจานวนจริง สมบัติต่าง ๆ ของจานวน เชิงซ้อนจึงสามารถพิสูจน์ได้โดยการอ้างอิงจากสมบัติของจานวนจริงสาหรับการดาเนินการบวกและ การคูณ เช่น สมบัติปิด สมบัติการสลับท่ี สมบัติการเปล่ียนกลุ่ม เอกลักษณ์การบวก เอกลักษณ์ การคูณ การผกผนั การบวก การผกผนั การคูณ และสมบตั กิ ารแจกแจง เปน็ ต้น จานวนเชิงซ้อนยงั สามารถเขียนอยู่ในรูปของระบบพิกดั เชิงขั้ว ซ่ึงการเขียนให้อยู่ในรูปเชิง ข้ัวนี้ทาใหส้ ามารถหาค่ายกกาลังและรากของจานวนเชงิ ซอ้ นโดยอาศัยทฤษฎบี ทได้ แบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 7 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1) จงพิสจู นว์ า่ สาหรบั จานวนเชงิ ซอ้ น z1, z2 และ z3 ใด ๆ (z1 z2 )z3 z1 z3 z2 z3 2) จงพิสจู น์ว่า ให้ z1, z2 เปน็ จานวนเชิงซ้อนใด ๆ จะมจี านวนเชงิ ซ้อน z3 เพยี งจานวนเดยี วเทา่ นน้ั ท่ีทาให้ z1 z3 z2 3) จงพิสจู น์วา่ ถ้า z1 (a, b) และ z2 (c,d) 0 แลว้ z1 ac bd , bc ad z2 c2 d2 c2 d2 4) จงพสิ ูจน์วา่ ให้ z1,z2 และ z3 เป็นจานวนเชิงซอ้ นใด ๆ ถา้ z1 z2 z1 z3 แล้ว z2 z3
210 5) จงพสิ ูจน์ว่า สาหรบั จานวนเชงิ ซอ้ น z 0 ใด ๆ (z)1 1 z 6) จงพิสจู นว์ า่ สาหรับจานวนเชิงซ้อน z 0 ใด ๆ ( z ) z 2Im (z) 7) ให้ z1 2 4i และ z2 15i จงหา z1 z2 8) จงพสิ จู น์วา่ ให้ z1 และ z2 เปน็ จานวนเชิงซอ้ นใด ๆ z1 z2 z1 z2 9) ให้ z1 1 3 i และ z2 cos 2 i sin 2 จงหา (z1 )5 และ (z2 )3 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง22 3 3 z1 z2 10) ให้ z1 4 (cos 2 i sin ) และ z2 2 (cos i sin ) จงหารากที่ 4 ของ และ 2 4 4 เอกสารอา้ งอิง กนก จุยคาวงศ์ (2549). ทฤษฎีสมการเบือ้ งตน้ . จนั ทบรุ ี : มหาวิทยาลัยราชภฏั ราไพพรรณ.ี กลั ยาณี ไชยวรนิ ทรกลุ (2543). ระบบจานวน. (พิมพค์ ร้ังท่ี 6). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง. ประชุม สุวัตถี (2518). ระบบจานวน. กรงุ เทพฯ : นิยมวทิ ยา. ชะเอม สายทอง (2532). ระบบจานวน. กรงุ เทพฯ : โอ เอส พรน้ิ ต้ิง เฮาส.์ วสันต์ จินดารัตนาภรณ์ (2542). ระบบจานวน. เชียงใหม่ : สถาบันราชภฏั เชียงใหม่. วชิ ัย บุญเจอื (2518). ระบบจานวน. กรงุ เทพฯ : ส. อักษรวิทยา. สมศักดิ์ โพธิวิจิตร (2523). ระบบจานวน. สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ สงขลา. สมสวาท สดุ สาคร (2542). ระบบจานวน. (พิมพค์ รงั้ ท่ี 4). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง. สเุ ทพ จนั ทรส์ มศักด์ิ (2538). ระบบจานวน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สภุ า สจุ ริตพงศ์ (2523). โครงสร้างของระบบจานวน. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . อาพล ธรรมเจรญิ (2553). ระบบจานวน. กรุงเทพฯ : พิทักษก์ ารพมิ พ์.
211มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ ภาคผนวก
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ 212
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 213 เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยบท บทที่ 1 ประวัติและพัฒนาการของจานวน 1) อักษรแรกเร่ิมของประวัติศาสตร์ยุคโบราณ ชาวอียิปต์โบราณเม่ือยุคสมัยมากกว่า 5,400 กว่าปี มาแลว้ มี การส่อื ความหมายของจานวนและตัวเลขต่าง ๆ ดว้ ยอักษรภาพท่ีเรยี กวา่ ไฮโรกลีฟ 2) 4 1 1 1 5 245 4) 4.1) CMLXV = CM L X V = 900 + 50 + 10 + 5 = 965 5) 5.2) 3x18x204 + 10x18x203 + 16x18x202 + 8x18x201 + 4x201 + 10x200 = 8,640,000 + 1,440,000 + 2,880 + 80 + 10 = 10,082,970 บทที่ 2 ความรพู้ ื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ 2) คาอนิยาม (Undefined Term) เป็นคาทไ่ี ม่ต้องให้คาจากัดความ ไม่ตอ้ งอธบิ ายความหมายของคาน้ัน เพิ่มเตมิ เพราะว่าถา้ ใหค้ าจากัดความหรืออธิบายไปจะต้องมีคาจากัดความอื่นอีกต่อไป ย่ิงจะทาให้ สับสนและวกวนกลับมาท่คี าเดมิ อกี เช่น จดุ เซต เปน็ สมาชกิ เสน้ มุม เปน็ ตน้ 3) x2 1 0 เมือ่ x เปน็ จานวนเต็ม เป็นประโยคเปดิ เมือ่ แทน x 1 เราจะไดว้ า่ 12 1 0 มคี า่ ความจริงเป็นจรงิ ดงั นัน้ 12 1 0 เป็นประพจน์ 6) 6.1) A B {2,3,9} 6.5) CB {1,1,3,5,7,9}{1,0,1}{1,0,1,3,5,7,9} 7) 7.4) y ,y2 1 0 มีคา่ ความจริงเปน็ เทจ็ เนือ่ งจาก y ,y2 1 0 y ,y2 1 0 และ y2 0 จะได้ว่า y2 1 0 น่ันคือ y2 1 0 ดงั นน้ั y ,y2 1 0 มคี า่ ความจรงิ เป็นจริง ทาให้ y ,y2 1 0 มีค่าความจรงิ เปน็ เทจ็ เช่น 32 1 0 มีค่าความจริงเปน็ เทจ็ เปน็ ตน้ 7.6) ! x , x x2 มีค่าความจริงเป็นเท็จ เพราะ x 0,1 ทาใหป้ ระโยคเป็นจริง 10) 10.1) ไมเ่ ป็นฟงั ก์ชัน เพราะ (c,c)r1 10.4) ไมเ่ ป็นฟงั กช์ นั เพราะ (0,3),(0,3)r4 แต่ 3 3
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 214 บทที่ 3 จานวนธรรมชาติ 1) 1.1) จากรปู พจิ ารณาไดว้ า่ 2 1*, 4 2* และ 1 4* P1 เปน็ จริง เนอ่ื งจาก 1 P2 เปน็ จรงิ เน่ืองจากสาหรับสมาชิกทุกจดุ มีพจน์ตามหลงั เพยี งตัวเดียวเทา่ น้นั แสดงไดด้ งั น้ี 2 1*, 4 2* และ 1 4* P3 ไมจ่ ริง เพราะวา่ 1 4* P4 เป็นจรงิ เนอ่ื งจาก ถา้ n m แลว้ n* m* 1 4 1* 4* , 1 2 1* 2* , 2 4 2* 4* P5 ไมจ่ รงิ เนอ่ื งจาก ให้ M {1,2,4} จะได้ว่า M 1) 1M 2) มี 1,2,4 สมมติ 1,2,4M 1M 1* 2M 2M 2* 4M 4M 4* 1M แต่ M N 2) 2.1) 4 4 4 3* (4 3)* (4 2* )* [(4 2)*]* ((4 1*)*)* (((4 1)* )* )* ((5* )* )* (6* )* 7* 8 2.4 ) 62 61* 61 6 6 6 ทานองเดยี วกบั 2.1) จะไดว้ ่า 62 6 6 12 3) 3.1) a b* (a b)* (b a)* b a* 5) เนือ่ งจาก 2*1(21) 1 2 13 1*2 (12) 2 2 2 4 ดังน้ัน a*b (ab) b ไม่มีสมบัตสิ ลับท่ี 8) พสิ ูจนไ์ ดจ้ ากทฤษฎีบท 3.14 และ ทฤษฎบี ท 3.15 11) พิสจู น์ จากทฤษฎีบท 3.19 เราได้ว่า 1 b สาหรับทุกจานวนธรรมมชาติ b ใด ๆ เนอื่ งจาก a a จากทฤษฎีบท 3.48 จะพิสูจนว์ ่า ถา้ a c และ b d แล้ว ab cd สมมติให้ a c และ b d ดังนนั้ ab cb และ cb cd จะได้ว่า ab cd สรปุ ได้วา่ ถา้ a c และ b d แล้ว ab cd จากทฤษฎีบท 3.19 เราได้ว่า 1 b สาหรับทุกจานวนธรรมมชาติ b ใด ๆ เนือ่ งจาก a a
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 215 ดังนัน้ ถา้ a a และ 1 b จะได้ว่า a1 ab ถา้ a a และ 1 b จะไดว้ า่ a1 ab เพราะฉะนัน้ a ab บทที่ 4 จานวนเต็ม 1) สมการ m n p จะไม่มีคาตอบของสมการท่ีเป็นจานวนธรรมชาติน่ันเอง ดังนั้นจึงเกิดแนวคิด ในการสรา้ งจานวนเพ่ือใหส้ มการดังกล่าวมคี าตอบ เรยี กว่า “ จานวนเตม็ ” 4) พิสูจน์ จากทฤษฎีบท 4.42 และ 4.48 จะได้ว่า สาหรับจานวนเต็ม A และ B ใด ๆ จะมีจานวน เต็ม C เพียงจานวนเดียวเทา่ นั้นทท่ี าให้ C A B 6) พสิ จู น์ A เป็นจานวนเตม็ บวก กต็ อ่ เมื่อ (A) เป็นจานวนเตม็ ลบ ก็ตอ่ เมือ่ A เปน็ จานวนเตม็ ลบ 7) พิสจู น์ พิจารณา (A B)2 (A B)(A B) (A (B))(A (B)) (A (B))A (A (B))(B) (AA (B)A) (A(B) (B)(B)) (AA A(B)) (A(B) BB) (A2 A(B)) (A(B) B2 ) A2 (A(B) A(B)) B2 A2 2A(B) B2 A2 2ABB2 ทานองเดยี วกนั จะได้วา่ (A B)2 A2 2AB B2 ดงั นน้ั (A B)2 (A B)2 2A2 2B2 10) พสิ จู น์ สมมติ AC BC และ C 0 จะได้ว่า C 0 จากทฤษฎบี ท 4.77 เราได้วา่ A(C) B(C) น่ันคือ (AC) (BC) หรือ (BC) (AC) จากทฤษฎบี ท 4.70 เราได้ AC BC 11) พิสจู น์ ให้ A เปน็ จานวนเตม็ บวกและ B เปน็ จานวนเต็มลบใด ๆ จะได้ B เปน็ จานวนเตม็ บวก ดังน้นั A(B) เป็นจานวนเตม็ บวก เพราะวา่ A(B) (AB)
216 จะได้วา่ (AB) เปน็ จานวนเตม็ บวก เพราะฉะน้นั AB เปน็ จานวนเตม็ ลบ บทที่ 5 จานวนตรรกยะ 1) [3, 5] [6,10],[4, 3] [12, 9],[7, 7] [1,1] และ [1, 9] [2,18] 2) 2.1) [4, 7][4, 7] [0,14] 2.2) [1, 2][3, 4] [3,8] มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2.5) [1,3]([4,8][2,5]) [1,3][36,40] [1,3][9,10] [9,30] [3,10] 4) พสิ จู น์ ให้ b, a 0 พิจารณา [a, b][b, a] [ab, ba] เนื่องจาก (ab)11(ba) ดงั นน้ั [ab, ba] [1,1] นน่ั คอื [a, b][b, a] [1,1] 6) ให้ A 1 และ B 1 จะด้วา่ A B แต่ A2 B2 จงึ สรปุ ได้วา่ เปน็ เทจ็ 8) พสิ จู น์ สมมติ A และ B จานวนตรรกยะใด ๆ โดยท่ี A,B 0 1 1 1 จากทฤษฎบี ท 5.46 จะได้ว่า A B (A B)1 B1 A1 A1 B1 A B 10) พสิ จู น์ สมมติ A และ B จานวนตรรกยะใด ๆ โดยที่ A 0 B 1 เพราะว่า 0 B จากทฤษฎีบท 5.55 จะได้ว่า 0 B และ A 0 จากทฤษฎบี ท 5.56 จะไดว้ ่า 1 0 A 1 1 ดังนน้ั A B บทที่ 6 จานวนจริง 1) จะแสดงวา่ {x | x 0 x2 5} เปน็ ส่วนตดั บวก ให้ x 1 จะไดว้ ่า x2 12 11 1 จะไดว้ า่ x2 5 ดงั น้นั 1{x | x 0 x2 5} จะไดว้ ่า {x | x 0 x2 5} เป็นส่วนตดั บวก 2) พสิ ูจน์ Cr เป็นส่วนตดั ตรรกยะ พิจารณา x Cr x r
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 217 r Cr x {x | y , y Cr x y} x Cr ดังน้นั Cr Cr 5) 5.2) พิสูจน์ ให้ C, D, E และ F เปน็ ส่วนตัด ใด ๆ สมมติ C D จะไดว้ ่า C D หรอื C D เน่ืองจาก C และ D เป็นสว่ นตดั ดงั นัน้ จะมีสว่ นตดั C และ D จากทฤษฎบี ท 6.61 จะไดว้ า่ C ((C) (D)) D ((C) (D)) (C (C)) (D) D ((C) (D)) (C (C)) (D) D ((D) (C)) (C (C)) (D) (D (D)) (C) C0 (D) C0 (C) D C ถ้า C D จะไดว้ ่า C D ดังนัน้ เราจงึ สรปุ ได้วา่ D C 5.4) พิสจู น์ ให้ C, D, E และ F เปน็ สว่ นตัด ใด ๆ สมมติ C D C0 จากทฤษฎีบท 6.67 (2) จะไดว้ า่ D1 C1 ถ้า C D จะได้ว่า C 1 D1 ดงั นนั้ D1 C1 7) พสิ ูจน์ ให้ a และ b สาหรบั จานวนจริงใด ๆ เพราะวา่ a a 0 a ((b) b) (a (b)) b a (b) b ab b นนั่ คือ a a b b จะไดว้ ่า a b a b 9) ให้ A (3,7] เพราะว่า 3 x และ x 7 สาหรับทุก x A จะได้ว่า 3 เปน็ ขอบเขตล่างของ A และ 7 เป็นขอบเขตบนของ A ให้ u เปน็ ขอบเขตล่างของ A จะได้วา่ u 3 ดังน้นั inf A 3 ให้ v เป็นขอบเขตบนของ A
218 จะได้วา่ 7 v ดังนั้น sup A 7 บทท่ี 7 จานวนเชงิ ซ้อน 2) พสิ ูจน์ ให้ z1, z2 เป็นจานวนเชิงซ้อนใด ๆ เลือก z3 z1 z2 ท่ที าให้ z1 z3 z1 (z1 z2 ) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง(z1 (z1)) z2 0 z2 z2 สมมติว่ามีจานวนเชิงซอ้ น z4 ทท่ี าให้ z1 z4 z2 พจิ ารณา z4 0 z4 ((z1) z1) z4 (z1) (z1 z4 ) (z1 ) z2 z3 เราจงึ สรปุ ไดว้ า่ จะมีจานวนเชิงซอ้ น z3 เพียงจานวนเดยี วเทา่ นนั้ ทที่ าให้ z1 z3 z2 3) พิสจู น์ สมมติ z1 (a,b) และ z2 (c,d) 0 c d จะไดว้ ่า z21 c2 d2 , c2 d2 ดังนั้น z1 z1 z21 z2 c d (a, b ) c2 d2 , c2 d2 ac bd , bc ad c2 d2 c2 d2 1 5) พสิ จู น์ ให้ z0 เปน็ จานวนเชิงซอ้ นใด ๆ (z )1 z สมมติ z a bi จะไดว้ า่ z a bi ดังนั้น (z)1 a , (b) (a)2 (b)2 (a)2 (b)2 a , a2 b b2 a2 b2
219 จากทฤษฎีบท 7.23 (5) เราไดว้ ่า 1 ( 1) z 1 (1 z 1 ) 1 z z 1 a b เนื่องจาก z z1 a2 b2 , a2 b2 ดงั น้นั 1 a2 a b2 , b a2 a , (b) a , a2 b b2 z a2 b2 b2 a2 b2 a2 b2 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1 เพราะฉะนน้ั เราจึงสรปุ ไดว้ ่า (z)1 z 8) พิสจู น์ ให้ z1 และ z2 เป็นจานวนเชิงซอ้ นใด ๆ จากทฤษฎีบท 7.34 (4) และ ทฤษฎีบท 7.36 (3) เราได้วา่ z1 z2 z1 (z2 ) z1 z2 z1 z2 ดังนั้น z1 z2 z1 z2 9) ให้ z1 1 3 i และ z2 cos 2 i sin 2 2 2 3 3 จะแปลงจานวนเชงิ ซ้อน z1 ใหอ้ ย่ใู นรบั บพกิ ัดเชงิ ขั้ว เราได้ว่า r1 1 2 3 2 1 3 1 1 2 2 4 4 1 1 2 3 3 arctan 2 arctan 3 2 3 3 ดังนั้น z1 1 cos 2 isin 2 จะไดว้ ่า (z1 )5 15 cos 5 3 isin 5 3 cos 152 isin 15 2 2 2 2 2 จาก z2 cos i sin 3 3 2 2 จะได้ว่า (z2 )3 cos (3) 3 isin (3) 3 cos(2) isin(2)
220 cos(2) isin(2) cos(0) isin(0) 0 i1 i มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228