Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กาลานุกรม

กาลานุกรม

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2019-08-24 23:26:52

Description: พระพรหมคุณากรณ์
หนังสือ,เอกสาร,บทความ นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

ชมพทู วปี ไดผ้ ู้นำ� ใหม่ โคปาละ ซ่งึ เป็นชาวพทุ ธ แต่ในระบบของ พราหมณเ์ ปน็ คนวรรณะศทู ร ไดต้ ั้งราชวงศป์ าละขึ้น ใน พ.ศ. ๑๒๙๓ (ค.ศ. 750) หลงั จากสิ้นพระเจ้า แถบรัฐพหิ าร และเบงกอลในปัจจบุ ัน (คลมุ ดนิ แดนที่ หรรษวรรธนะแลว้ ชมพทู วปี ระส�่ำระสายนานเกอื บ ๑ เคยเปน็ ของราชาศศางกะด้วย) ศตวรรษ ศูนยอ์ ำ� นาจกระจัดกระจาย ครน้ั ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๒๙๓ ทางด้านตะวนั ออก ในภาวะท่บี า้ นเมืองไร้ กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๒ ไดข้ ยายดนิ แดนไปถงึ กนั ยากพุ ชะ ขอ่ื แป ประชาชน (คนส่วนใหญใ่ นแถบนี้เวลานน้ั ถอื ได้ว่า และตง้ั เมอื งหลวงทปี่ าฏลีบตุ ร เป็นชาวพทุ ธ) ได้ประชุมกันเลือกผู้น�ำท้องถิน่ คนหนงึ่ ช่ือ โคปาละขน้ึ เปน็ กษตั ริย์ของตน พระพทุ ธรูป ศลิ ปะปาละ ยโุ รป ส้ินวงศ์กาหลิฟ เริ่มวงศ์ใหม่ อาหรับท�ำกระดาษได้จากจนี พ.ศ. ๑๒๙๓ (ค.ศ. 750) กาหลฟิ วงศอ์ มุ ยั ยัด พ.ศ. ๑๒๙๔ (ค.ศ. 751) ในยุทธการแหง่ แมน่ ำ�้ ทะเลด�ำ ไซบีเรีย (Umayyad caliphate) ทดี่ ามสั กัส ถกู ชงิ อำ� นาจ ผ้มู ชี ัย ตาลาส (Battle of Talas) แถบเตอร์กสี ถาน ทพั จีน แคทสะเเปลียน ไดต้ ้ังวงศแ์ อบบาสดิ (Abbasid caliphate) ขน้ึ เปน็ วงศ์ พ่ายแพแ้ กท่ ัพมุสลมิ อาหรบั ทำ� ใหจ้ ักรวรรดจิ นี ในอาเซยี เมดิเตทอะเเลรเนยี น ดามัสกัส ใหม่ และได้ให้ก�ำจัดล้างโคตรกาหลฟิ วงศเ์ กา่ หมดสน้ิ (หนี กลางถึงอวสาน เตอรก์ ีสถาน ไปได้ ๑ คน) อยี ปิ ต์ แบกแดด บากเตรีย ตาลาส กูจา มสุ ลมิ อาหรับจับช่างฝีมอื จีนเป็นเชลยไปแบกแดด ช่างจีนนักท�ำกระดาษ ไดท้ ำ� กระดาษใหแ้ กน่ ายมสุ ลมิ ทะเลแดง เมกกะ เปอร์เซยี แคชเมยี ร์ ทิเบต จนี ตรงจงั หวะทจ่ี ะหนนุ ยุคใฝ่วทิ ยาท่ีน่ัน และกวา่ จะถงึ ปี อาหรบั กนั ยากุพชะ ๑๓๓๘ (ค.ศ. 795) อตุ สาหกรรมผลิตกระดาษก็ต้ังมั่นใน แบกแดด จากชาวมุสลมิ วธิ ีทำ� กระดาษก็แพรไ่ ปในอาเซยี อาฟรกิ า อทาหะเรลับ เบองกา่ วอล เขมร ยุโรป อาฟรกิ า 88 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พอ่ื การศึกษาสว่ นตัวเทา่ นัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน

ปาละ ราชวงศพ์ ทุ ธสดุ ท้าย ปาละ+สถานศึกษา น�ำวิทยาสศู่ รวี ิชยั ราชวงศป์ าละ ซง่ึ ล้วนเป็นกษตั ริยช์ าวพุทธ ได้ มหาวิทยาลัยเหลา่ นเี้ จริญตามแบบอย่างของ ส่งเสริมการศึกษาศาสนา ศลิ ปวิทยาและวัฒนธรรมเปน็ นาลันทา ซง่ึ อย่ไู มไ่ กล (โอทนั ตปรุ ะอยหู่ า่ งนาลันทาเพยี ง อย่างย่งิ ราชาองคท์ ่ี ๑ ที่ ๒ ท่ี ๓ และท่ี ๑๐ ได้ต้ังมหา ๖ ไมล)์ วิหาร คอื มหาวิทยาลัยใหมข่ ึ้น พระองคล์ ะ ๑ แห่ง คอื โอทันตปรุ ะ (ราว พ.ศ. ๑๒๘๘) วิกรมศลิ า (พ.ศ. ๑๓๕๓) ตลอดยคุ ปาละ (จบราว พ.ศ. ๑๖๖๓/ค.ศ. 1120) โสมปรุ ะ (พ.ศ. ๑๓๖๓) และชคัททละ (พ.ศ. ๑๖๓๓) น้ี วทิ ยาการและศลิ ปวฒั นธรรมในนามแห่งพระพทุ ธ- ศาสนา ไดแ้ พรจ่ ากชมพทู วปี ไปยงั ศรีวชิ ัย ตามเสน้ ทาง การค้าขาย วกิ รมศลิ า อติ าลี บีแซนทนี ทะเลแคสเปยี น กาหลฟิ แบกแดดใฝว่ ทิ ยา กาหลฟิ ทแี่ บกแดด วงศแ์ อบบาสดิ น้ี (พ.ศ. ๑๒๙๓- ๑๕๙๘=ค.ศ. 750-1055) หันมาสนใจส่งเสรมิ ศิลปวิทยา ทะเลด�ำ พ.ศ. ๑๓๐๕ (ค.ศ. 762) กาหลิฟวงศใ์ หม่ คือ (ราชาฮารูน อัล ราษจิด/Harun al-Rashid ในนิยาย วงศแ์ อบบาสิด ย้ายเมอื งหลวงจากดามัสกัส มาต้งั ที่ อาหรบั ราตรี ก็คอื กาหลิฟ องค์ที่ ๕ แห่งแบกแดด ซึ่ง คอนสแตนตโิ นเปลิซชิ ิลี แบกแดด เร่ิมต้นยคุ ใหม่ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๓๒๙-๕๒ และเปน็ ปราชญ์ ส่งเสริม ดามสั กัส วรรณคด)ี การคา้ ขายกเ็ ปน็ ช่องทางถา่ ยทอดความรู้ เยรซู าเล็มแอบบาสดิทะเลเมดเิ ตอเรเนียน เฮรตั กาบลุ มกี ารแปลผลงานของกรีกเป็นภาษาอาหรบั (โดย อเลกซานเดรยี เฉพาะในช่วงตอ่ จาก พ.ศ. ๑๓๖๒ มีการแปลกันมาก แบกแดด ระยะหน่ึง) นำ� ความรจู้ ากอินเดยี มาใช้และเผยแพร่ แลว้ ชาวมสุ ลิมอาหรบั กพ็ ฒั นาความรู้นน้ั ๆ ขน้ึ อกี ท�ำให้เกิด อียิปต์ มะดนี ะฮ์ อา่ วเปอร์เซีย โอมาน ยคุ ทองของศิลปวทิ ยาอิสลาม เมกกะ ทะเลอาหรับ ในยคุ นี้ แบกแดด และเชยี งอาน ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ๒ มหานครใหญ่ทส่ี ดุ ในโลก ทะเลแดง เยเมน ฮารนู อลั ราษจดิ หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพือ่ การศกึ ษาส่วนตัวเท่านน้ั ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ อ่ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 89

ข) ยุคมสุ ลมิ เข้าครอง มุสลิมอาหรบั ท�ำลายมหาวทิ ยาลยั วลภี ระลอกท่ี 1. มสุ ลิมอาหรับ พ.ศ. ๑๓๑๘ (ค.ศ. 775) ชนมุสลิมอาหรบั ที่มา ครองแควน้ สนิ ท์ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๒๕๕ (ค.ศ. 712) ยกทพั มา ทางเรือเข้าตเี มอื งวลภี สังหารพระเจ้าศลี าทติ ยท์ ่ี ๖ ล้ม ราชวงศไ์ มตรกะ และทำ� ลายลา้ งพระนครพินาศลงโดย ส้ินเชิง โดยการโจมตขี องชนมุสลมิ อาหรับ ท่ที ำ� ลายเมือง วลภนี น้ั มหาวิทยาลัยวลภีกไ็ ด้ถูกท�ำลายลงด้วย เป็น มหาวิทยาลยั พทุ ธศาสนาแหง่ แรกท่ถี ูกทำ� ลาย (ถ้าไมน่ บั ตักสิลา) และพินาศอยา่ งไมเ่ หลอื แมแ้ ตซ่ าก วทิ ยา จากอินเดยี สู่ยโุ รป (มีนักประวตั ิศาสตรก์ ลา่ วว่า ดาราศาสตร์น้นั วิทยาการของชมพทู วปี โดยเฉพาะท่ีเจรญิ สืบตอ่ อนิ เดียรับตอ่ จากเมโสโปเตเมยี และกรกี แล้วเฟ่อื งอยู่ มาราว ๕ ศตวรรษ ในยคุ มหาวทิ ยาลัยนาลันทาและวลภี เพยี งระยะส้นั ๆ จากนั้นก็เบนไปทางโหราศาสตร์ แตใ่ น นับแต่สมยั คุปตะ ถงึ หรรษรชั กาล ได้รบั การถา่ ยทอด ดา้ นคณิตศาสตร์ อินเดียพฒั นาไกลมาก ทเี่ ป็นอยา่ งนี้ สโู่ ลกตะวนั ตกโดยชาวมสุ ลิมอาหรับ ทง้ั คณิตศาสตร์ น่าพจิ ารณาว่า การเหจากดาราศาสตร์ไปหาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ ปรัชญา เช่น เป็นเพราะการหนั ไปนยิ มตนั ตระหรอื ไม่ ส่วนคณิตศาสตร์ อารยภฏั (ชาวอาหรบั เรยี กเพยี้ นเป็น Arjehir) ยังไม่เส่ือม เพราะโหราศาสตร์ก็ตอ้ งคำ� นวณมาก) แห่งปาฏลีบตุ ร ได้แต่งต�ำราชอ่ื อารยภฏีย์ ไว้เมื่อ พ.ศ. ในยุคกาหลฟิ แหง่ แบกแดดน้ี อลั -ขวาริซมิ (al- ๑๐๔๒ โดยประมวลหลกั คณติ ศาสตร์-ดาราศาสตร์ รวม Khwarizmi, ช่อื ของเขาเปน็ ท่มี าของคำ�วา่ Algorithm) ทงั้ ระบบเลขสิบตวั การใชเ้ ลข ๐ ทศนิยม การที่โลกหมุน ทม่ี ชี ว่ งชวี ติ ใน พ.ศ. ๑๓๒๓-๑๓๙๓ ไดเ้ ขยี นตำ�รา นำ�ตวั เลข รอบตัวเอง การคำ� นวณจนั ทรคราส-สรุ ิยคราส พชี คณิต อารบกิ (เดิมคือตวั เลขอนิ เดีย ฝร่ังบดั น้ี จงึ เรยี กใหม่ว่า และเรอื่ งสมการ ตัวเลขฮนิ ด-ู อาระบกิ /Hindu-Arabic numerals) และ อารยภฏั พรหมคุปต์ แห่งอุชเชนี (ชว่ งชวี ติ พ.ศ. ๑๑๔๑- ความรอู้ น่ื ๆ ทางคณติ ศาสตร-์ ดาราศาสตรม์ าเผยแพรร่ วม ๑๒๐๘) กแ็ ตง่ ตำ� ราคณติ ศาสตรไ์ ว้ มอี ยเู่ ลม่ หนง่ึ ชอื่ พชี คณติ ท้งั ไดใ้ หก้ ำ�เนดิ คำ�วา่ Algebra (คำ�เดมิ ของเขาวา่ al-jabr) 90 ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พื่อการศึกษาส่วนตัวเทา่ น้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ต่อ ต้องตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

นาลนั ทายงั อยู่ แต่แพรต่ ันตระ เรม่ิ แตพ่ ระศานตรกั ษติ ต่อดว้ ยพระปทั มสมั ภวะ (ไป ใกลๆ้ กนั องค์หลงั ไป พ.ศ. ๑๒๙๐=ค.ศ. 747) และใน มหาวิทยาลยั นาลันทา และมหาวิทยาลัยอ่นื ๆ ชว่ งต่อมา ก็ไดพ้ ระอาจารยจ์ ากมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เหล่า ของปาละ แม้จะยงั คงอยู่ แต่ในดา้ นการศึกษาพุทธ- นีด้ ้วย ทีเ่ ดน่ มากคือ พระอตีศะ หรือ ทปี งั กรศรชี ญาณ ศาสนา ถอื ไดว้ ่าเกิดความเส่ือมโทรมภายใน โดยเฉพาะ แหง่ วิกรมศิลา ซงึ่ ไปทิเบต ประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐ ความนยิ มลัทธิตนั ตระกำ� ลังแผค่ รอบง�ำ เวลาน้นั นาลันทากลายเป็นศนู ย์กลางการศกึ ษา พทุ ธศาสนาแบบตนั ตระ และมกี ารปฏิบัตติ ามลทั ธพิ ธิ ี ของตันตระ ดังน้นั ตันตระ (รวมทัง้ ไสยศาสตร)์ จึงเฟื่องฟู ไปทัว่ อน่งึ ในชว่ งเวลาน้ี กษัตริยท์ ิเบตไดน้ มิ นต์พระ อาจารยจ์ ากนาลันทาไปสอนและน�ำชาวพุทธในทเิ บต มหาวิทยาลยั นาลนั ทา จะเข้ายคุ เตอร์กเป็นสลุ ตา่ น พุทธศาสนาแบบมหายาน เคยเจรญิ ในภาคใต้ของไทย ในท่สี ดุ ยุคแหง่ วทิ ยาการและสันติจะจบลง กาหลิฟอาหรับท่แี บกแดดจะสิน้ อำ� นาจ เมอ่ื สหุ น่มี ุสลมิ พ.ศ. ๑๓๐๐ (ค.ศ. 757) ในชว่ งเวลานี้ ดินแดน พวกเซลจูกเตอรก์ (Seljuq/Seljuk) จะสยบพวกชีอะฮ์ ทีเ่ ปน็ ภาคใต้ของประเทศไทยปจั จบุ ัน ได้รวมอยู่ในเขต โดยมายึดแบกแดด ใน พ.ศ. ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) และ ของอาณาจักรศรวี ิชยั พุทธศาสนาแบบมหายานจึง ไดส้ ถานะสุลต่าน เปน็ ผคู้ รองอ�ำนาจท่แี ทต้ ่อไป รุง่ เรอื งในดนิ แดนแถบน้ดี ว้ ย ดงั มีเจดยี พ์ ระบรมธาตไุ ชยา และพระบรมธาตนุ ครศรีธรรมราช กบั ทง้ั ปฏิมาของ พระอวโลกิเตศวรโพธิสตั ว์ เป็นตน้ เป็นประจักษ์พยาน พระบรมธาตุไชยา 91 หา้ มซ้อื -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พอื่ การศึกษาส่วนตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน

ภาพพทุ ธประวตั ิบนใบลาน ปาละ กับทิเบต และศรีวิชัย อินเดียค่อยสงบได้ ในยุคแบกแดด ราชวงศป์ าละติดตอ่ กบั ทเิ บต และโดยเฉพาะทั้ง พ.ศ. ๑๓๐๕-๑๕๙๘ (ค.ศ. 762-1055) เป็นยุค การคา้ และการพระศาสนา กับอาณาจกั รศรวี ิชยั มาก กาหลฟิ วงศ์แอบบาสิด ที่แบกแดด ซึ่งมุสลมิ อาหรับยงั มหาวทิ ยาลัยนาลันทา และวกิ รมศิลา กม็ ีบทบาทส�ำคญั เรอื งอ�ำนาจตอ่ เนือ่ งสืบมาตงั้ แตย่ ุคกาหลฟิ ทมี่ ะดีนะฮ์และ ในทางไมตรี เมอ่ื ถึงตอนน้ี การตดิ ต่อกบั เมอื งจีนจึงลดลง ทด่ี ามสั กสั ไป ย้ายมาสนใจด้านทเิ บต ศรีวิชยั ตลอดถึงประเทศทง้ั หลายในอาเซยี อาคเนย์ แต่เน่อื งจากกาหลิฟทแ่ี บกแดดหนั มาสนใจด้าน ศลิ ปวิทยา อกี ทงั้ มีภาระและปญั หาใกล้ตวั ท่ตี อ้ งจดั การ นอกจากการศกึ ษา พระศาสนา และพาณชิ ย์ จึงท�ำใหช้ มพูทวปี ค่อยสงบเพลาจากสงครามเกอื บตลอด ศิลปะแบบปาละ อนั สบื เน่ืองจากพระพทุ ธศาสนา กแ็ พร่ ยคุ แบกแดดนน้ั ความนิยมออกไปด้วย เชน่ การหลอ่ พระพทุ ธรูปและ เทวรูปตา่ งๆ พระบูชาขนาดยอ่ ม และการวาดภาพ พุทธประวตั บิ นใบลาน ฝรงั่ จะฟน้ื จกั รวรรดิโรมัน พ.ศ. ๑๓๑๑-๑๓๕๗ (ค.ศ. 768-814) พระเจา้ ชารล์ ะเมน (Charlemagne) หรอื ชารล์ สม์ หาราช กษัตริยข์ องชนเผ่าแฟรงค์ (เผ่าชนเยอรมนั พวกหน่งึ ซึ่ง เป็นท่มี าของฝรงั่ เศสและเยอรมน)ี รวมอ�ำนาจไดแ้ ละตัง้ มหาอาณาจกั รใหเ้ ป็นการฟืน้ จกั รวรรดโิ รมนั ข้นึ ใหม่ ซ่งึ ยนื ยาวอยู่ได้ ๑๒๕ ปี (พ.ศ. ๑๓๔๓-๑๔๖๘=ค.ศ. 800- 925) แต่กไ็ ด้เปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของ Holy Roman Empire ทีต่ ัง้ ตน้ ในปี 962 (พ.ศ. ๑๕๐๕) จากซ้าย: Emperor Charlemagne บรมพุทโธ 92 หา้ มซอื้ -ขาย อนุญาตให้ใช้เพ่อื การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน

อาหรับหยดุ เตอร์กจะเรม่ิ บุก ศงั กราจารย์ ที่ฮนิ ดูดว้ ยกันก็ระแวง แตค่ วามสงบคงอยไู่ ด้ไม่นานนัก พอถงึ กลางยคุ พ.ศ. ๑๓๓๑-๑๓๖๓ (ค.ศ. 788-820) ชว่ งชีวิต แบกแดดนั้น พวกชนชาตขิ า้ งเคียงชมพูทวีปทางด้าน ของศังกราจารย์ ปราชญ์ฮินดู นิกายไศวะ ผ้ตู ้ังลัทธิ พายพั ท่ีได้รบั อสิ ลามจากมุสลมิ อาหรบั โดยเฉพาะมุสลิม อทไวตเวทานตะ และมงุ่ มน่ั ก�ำจัดพระพุทธศาสนา แต่โดย เตอรก์ กเ็ ริม่ ขยายอำ� นาจแผอ่ ิสลามแทนมุสลิมอาหรบั พืน้ ฐานเดมิ เปน็ ทีย่ อมรับกนั ว่าอาจารยข์ องอาจารยข์ อง ยุคแห่งสงครามจึงจะเรม่ิ ข้ึน เขาไดห้ ลกั ความคิดไปจากพทุ ธศาสนามหายาน และตัว เขาเองกถ็ กู ปราชญฝ์ า่ ยฮนิ ดดู ว้ ยกนั เรยี กวา่ เปน็ “ปรจั ฉนั น- (อินเดียจะเปน็ สนามรบรับศกึ เตอร์กต้งั แต่ พ.ศ. เพาทธะ” คอื เปน็ คนพุทธแอบแฝง (ท�ำนองวา่ ท่โี จมตี ๑๕๔๔ คืออกี ราว ๒๐๐ ปีขา้ งหน้า) พทุ ธศาสนาอยา่ งเต็มทกี่ ็เปน็ ปฏกิ ริ ิยาเพอ่ื แสดงวา่ ตนไม่ ได้เกีย่ วขอ้ งรับอะไรไปจากพุทธศาสนา) ศังกราจารย์ สร้าง “บรมพทุ โธ” ในยคุ ของศรีวิชัย จนี ยกเตา๋ ถึงคราวเซนขน้ึ พ.ศ. ๑๓๒๑-๑๓๙๓ (ค.ศ. 778-850) ประมาณ พ.ศ. ๑๓๘๓ (ค.ศ. 840) ทเ่ี มืองจนี ในราชวงศ์ วา่ ในชว่ งเวลานี้ กษตั รยิ ร์ าชวงศไ์ ศเลนทรแหง่ ชวา ซงึ่ รว่ ม ถงั จกั รพรรดหิ วู่จงขนึ้ ครองราชย์ ทรงถือลทั ธเิ ต๋าอยา่ ง สมยั กับศรีวชิ ัยแหง่ สมุ าตรา ไดส้ ร้างมหาเจดีย์ Borobu- รนุ แรง ถึงกับได้ห้�ำห่นั บีฑาพระพุทธศาสนาเต็มท่ี dur หรือ Barabudur (สันนิษฐานกนั วา่ เพยี้ นจาก “บรม พทุ โธ”) ทช่ี วาภาคกลาง (หา่ งเมอื งจ๊อกจาร์การ์ตาไปทาง ประวตั ิศาสตรจ์ ีนบนั ทกึ ว่า ในช่วง ๒ ปี (พ.ศ. ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ๖๘ กม.) อนั ใหญโ่ ตดงั ภเู ขา เปน็ ๑๓๘๖-๑๓๘๘/ค.ศ. 843-845) หวจู่ งไดย้ ดึ ทดี่ นิ รบิ ทรพั ย์ ศลิ ปะแบบคุปตะหรือหลงั คุปตะ ใชห้ ินภเู ขาไฟสีเทาสรา้ ง สมบัติของวัดท้ังหลายมากมาย ท�ำลายอาราม ๔,๖๐๐ ราว ๒ ลา้ น ตร.ฟุต รูปคลา้ ยปิระมดิ ชัน้ ฐานและลานอีก วดั ทบุ รอ้ื เจดีย์ ๔๐,๐๐๐ องค์ บงั คบั ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ใี ห้ ๕ ชน้ั แรก เป็นรูปส่ีเหล่ยี ม ลาน ๓ ช้ันบน เป็นรูปวงกลม สกึ ๒๖๐,๕๐๐ รปู แม้การท�ำลายจะดำ� เนนิ ไปในเวลา ส้นั แตไ่ ดเ้ ปน็ จุดเริ่มแหง่ ความเส่อื มของพทุ ธศาสนาในจนี Borobudur ถกู ทงิ้ รกรา้ งไปตงั้ แตร่ าว พ.ศ. ๑๕๕๐ สบื ตอ่ มา (คงจะเม่ือชาวพทุ ธหมดไป) จนกระทง่ั นกั โบราณคดี ฮอลนั ดามาปฏิสังขรณ์ในปี ๒๔๕๐-๔ และปฏสิ งั ขรณ์คร้งั พ.ศ. ๑๓๘๘ (ค.ศ. 845) ท่เี มอื งจนี หลังจาก ท่ี ๒ เสร็จใกลๆ้ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทางการไดร้ กุ รานบนั่ ทอนพระพทุ ธศาสนา ปรากฏวา่ พทุ ธ- ศาสนานกิ ายฉาน(เซน)เด่นขน้ึ มาเปน็ นิกายหลักของจนี ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพ่ือการศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้นั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 93

ศังกราจารย์ ก�ำจัดพุทธได้อย่างไร วธิ กี ารของศงั กราจารยใ์ นการกำ� จดั พระพทุ ธศาสนา พบปะแตล่ ะครั้ง มใิ ช่เป็นการมีชวี ิตชมุ ชนอยา่ งท่ศี งั กรา- ทสี่ �ำคญั คือ เขาเทยี่ วถกเถยี งโตว้ าทะไปทั่วทกุ ถ่ินเฉพาะ จารย์ตั้งขึ้นแบบวดั ทวี่ า่ น้ี) นอกเมือง โดยไมย่ อมสอนคนในเมอื งเลย เพราะเวลานนั้ พทุ ธศาสนาแมจ้ ะกำ� ลงั เสอ่ื ม แตย่ งั เขม้ แขง็ ในเมอื ง พร้อมนน้ั ก็ตวี งลอ้ มเมืองด้วยการจัดคณะนักบวช รูปร่างเป็นพระ แตค่ วามรูไ้ มเ่ ปน็ พุทธ ฮนิ ดขู นึ้ ท�ำนองเลียนแบบสงั ฆะในพระพุทธศาสนา โดย เวลาน้ัน พระสงฆ์ในพุทธศาสนามากระจุกกันอยู่ ตง้ั วดั ใหญข่ ึ้นมาใน ๔ ทศิ เรยี กว่า “มัฐ” ตามอยา่ งวัดใน ในเมอื งใหญๆ่ ปลอ่ ยใหช้ นบทถ่ินหา่ งไกลอ่อนแอ พระ พทุ ธศาสนาทเี่ รยี กวา่ “วหิ าร” ซงึ่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษา ไม่มคี วามรู้ วดั ฮนิ ดูทจี่ ัดต้งั โดยเน้นชนบทกม็ กี ำ� ลงั และได้ (ศาสนาพราหมณแ์ ตเ่ ดิมมา ไมม่ คี ณะนกั บวช รบั ความนยิ ม ถงึ กับค่อยๆ เปลย่ี นหรือกลนื วัดพุทธไปเปน็ เพราะพราหมณ์เปน็ คนวรรณะสูงอยบู่ า้ นมีครอบครวั - วดั ฮนิ ดู (ดงั มหี ลกั ฐานชดั เจนซง่ึ ผูน้ �ำฮนิ ดูบอกเองวา่ วัด Shringeri ทรัพย์สมบตั ิ ดงั ทชี่ าวบา้ นรจู้ ักชชู ก เปน็ ตวั อย่าง แมว้ า่ ใน ฮนิ ดูสำ� คญั บางแห่งในปัจจุบันน้ันเดมิ เป็นวดั พทุ ธ) Math พระเวทจะมีค�ำวา่ สังฆะบา้ ง กห็ มายถงึ การมาประชมุ ทัพอิหร่านผา่ นใกล้ จากซ้าย: แต่อนิ เดียยงั ไมเ่ ขา้ ยุคสงคราม กษัตรยิ อ์ อตโต ท่ี ๑ สนั ตะปาปา จอห์นท่ี ๑๒ พ.ศ. ๑๔๑๔ (ค.ศ. 871) กษตั รยิ ม์ ุสลมิ วงศ์ มงกุฎจักรพรรดิ ซาฟฟาหริดที่ตัง้ ตวั ขน้ึ ใหมใ่ นอหิ รา่ น ขยายดินแดนเข้า มาในชมพทู วปี ภาคพายัพ ตัง้ แต่อฟั กานสิ ถานเหนอื ถงึ ปากีสถานตอนใต้ ซ่งึ มุสลมิ อาหรบั เคยเข้ามายึดก่อนแลว้ รวมทงั้ ยึดพามิยานใน พ.ศ. ๑๔๑๔ (=แยง่ จากมุสลิมพวก กอ่ น) เม่อื เกง่ กลา้ ข้นึ กย็ กไปตีแบกแดดใน พ.ศ. ๑๔๑๙ แตแ่ พก้ ลบั มา University of Texas Libraries 94 ห้ามซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พือ่ การศกึ ษาสว่ นตัวเท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน

นารายณ์อวตารแล้ว ศิวะอวตารก็มี และระบบวรรณะกลับฟนื้ คืนมา อนงึ่ นอกจากเทีย่ วโตว้ าทะแล้ว ศังกราจารย์ กับ นอกจากนัน้ พวกไศวะสายศงั กราจารยค์ งได้ ความคิดเรอ่ื งนารายณป์ างพทุ ธาวตาร-มายาโมหะ จากท่ี กมุ ารลิ ะผรู้ ่วมทำ� งานก�ำจัดพทุ ธศาสนา ได้เทีย่ วชกั จูง พวกนิกายไวษณพทำ� ไว้ ในฐานะที่พวกตนเป็นปฏิปกั ษ์กับ กษัตริยแ์ ละผมู้ กี ำ� ลังทรัพย์กำ� ลังอำ� นาจทั้งหลายให้เลิก พวกไวษณพ กเ็ ลยสร้างเรือ่ งพระศวิ ะอวตารข้นึ มา ให้ตี อุปถัมภ์บำ� รุงพทุ ธศาสนา ท้งั พุทธศาสนาและตลี ทั ธิไวษณพไปพร้อมกนั พุทธศาสนาออ่ นแรง รอวนั ถกู ท�ำลาย เขาแตง่ ความเปน็ คัมภีร์ศงั กรทิควชิ ยะว่า เหล่า เทพยดาได้มาร้องทุกขต์ อ่ องค์ศวิ ะพระอศิ วรเปน็ เจา้ วา่ ถงึ ระยะน้ี พทุ ธศาสนาออ่ นกำ� ลงั มากจนจะถกู กลนื พระวิษณไุ ด้เข้าสิงร่างของพระพุทธเจา้ แลว้ ดำ� เนนิ การให้ เข้าไปในศาสนาฮินดู แมแ้ ต่พทุ ธคยา สถานที่ตรัสรู้ กถ็ ูก ประชาชนดูหมน่ิ พราหมณ์ รังเกียจระบบวรรณะ และ ยึดไปเป็นของวดั ฮินดู ยังเหลือรุ่งเรืองอยกู่ เ็ ฉพาะในเขต ละเลิกบชู ายัญ ท�ำใหเ้ หล่าเทพยดาไม่ไดร้ บั เครอ่ื งเซน่ อ�ำนาจของราชวงศป์ าละ ซงึ่ ก็จะสญู สิน้ อ�ำนาจในไม่ชา้ สังเวย ขอใหพ้ ระองค์ชว่ ย พระศวิ ะจึงไดอ้ วตารลงมาเปน็ ศงั กราจารยเ์ พ่อื กู้คำ� สอนของพระเวท ให้การบชู ายัญ กำ� เนิดจกั รวรรดิโรมนั อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ราชาที่เจา้ ทั้งหลายเลือกขนึ้ มา จะเป็นจกั รพรรดิ จนี พมิ พพ์ ระไตรปิฎก ต่อเมื่อโปป๊ /สนั ตะปาปาท่ีกรุงโรมทรงสวมมงกุฎให้ แต่ พว่ งด้วยสรรพตำ� รา พ.ศ. ๑๕๐๕ (ค.ศ. 962) โปป๊ /สนั ตะปาปา จอหน์ กติกานีก้ ็ไมร่ าบรน่ื ถาวร จกั รวรรดนิ เ้ี ปน็ การรวมตัวกนั ที่ ๑๒ ทรงถูกกษัตริย์อิตาลีคุกคาม จึงทรงขอให้กษตั ริย์ ได้เพียงหลวมๆ และมีปญั หามาแตเ่ ร่ิมแรก เนื่องจากการ พ.ศ. ๑๕๑๕-๒๖ (ค.ศ. 972-983) ที่เมืองจนี นกั เยอรมนมี าชว่ ย เมื่อพ้นภัย องค์สนั ตะปาปาจึงประทาน ชกั เยอ่ ยอ้ื อำ� นาจระหว่างศาสนจักรโรมนั คาทอลิก กับ ปราชญ์รว่ มกับชา่ ง ด�ำเนนิ การพมิ พ์พระไตรปฎิ กด้วย รางวัล โดยทรงประกอบพธิ สี วมมงกฎุ ให้กษัตริย์ออตโต ฝ่ายอาณาจกั ร และต่อมารฐั ชาติตา่ งๆในยโุ รปก็พยายาม แมพ่ ิมพไ์ ม้ ๑๓๐,๐๐๐ ชิ้น กว่าจะเสรจ็ ๑๒ ปี แลว้ ต้อง ท่ี ๑ (Otto I) แหง่ เยอรมนีน้นั เปน็ จักรพรรดิแห่งโรมนั ต้งั ตวั ข้ึน ท�ำให้ช่วงหลงั จาก พ.ศ. ๑๘๑๖/ค.ศ. 1273 มา สร้างหอ้ งสมดุ พเิ ศษเก็บรักษาแม่พิมพไ์ ว้ ในการนีพ้ ระ รวมดนิ แดนสว่ นใหญ่ในยโุ รปตอนกลางและอติ าลเี ข้ามา แล้ว จักรวรรดิน้ีมดี นิ แดนหลักเพยี งขอบเขตของราชวงศ์ จกั รพรรดทิ รงอุปถมั ภ์ ท�ำให้ได้พมิ พห์ นังสอื ประมวล อยภู่ ายใตก้ ารปกครองอันเดยี วกันของกษตั ริยเ์ ยอรมัน ฮับสเบอร์ก (Hapsburg) ในออสเตรยี และสเปน ความรู้ตา่ งๆ จ�ำนวนมาก (ต่อไปทเ่ี กาหลี พ.ศ. ๑๗๗๕ ก็ เรียกวา่ เปน็ จกั รวรรดิโรมนั อันศักด์ิสิทธิ์ (Holy Roman จะมกี ารพิมพอ์ ย่างน)้ี Empire; H.R.E.) เหมอื นเป็นการฟื้นจกั รวรรดิโรมัน โบราณข้นึ มาอีกครั้งหนึ่ง จกั รวรรดินย้ี ืนยาวอยไู่ ด้ ๘๔๔ ปี (พ.ศ. ๑๕๐๕-๒๓๔๙=ค.ศ. 962-1806) หา้ มซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพื่อการศกึ ษาสว่ นตัวเท่านนั้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 95

ถึงยคุ ของอาณาจกั รทมฬิ ๑๔๘๕ (ค.ศ. 926-942) ตลอดจนพชิ ิตลังกาทวีปไดห้ มด ปาณฑยะขึน้ เปน็ ใหญ่ ในแดนทมฬิ โจฬะเรืองอำ� นาจ ในระยะ พ.ศ. ๑๕๕๗-๘๗ (ชว่ งค.ศ. 1014-1044) แต่ รวมจาลุกยะ (ตะวนั ตก) เขา้ มาดว้ ยไม่สำ� เร็จ เพราะรบ ระหว่างนี้ พวกปาณฑยะไดแ้ ขง็ เมืองเปน็ อสิ ระ ราว พ.ศ. ๑๔๐๐ (ในช่วง ค.ศ. 850-870) หันไป แพ้ใน พ.ศ. ๑๕๙๗ (ค.ศ. 1054) ออกไป แล้วก็กลับมารบชนะพวกโจฬะใน พ.ศ. ๑๘๐๐ ดูทางแดนทมิฬในอนิ เดียใต้ หลังจากอาณาจักรปัลลวะ (ค.ศ. 1257) และพอถึง พ.ศ. ๑๘๒๒ (ค.ศ. 1279) ทีอ่ ยู่เหนือข้นึ ไปไดเ้ สอ่ื มอ�ำนาจลงราว พ.ศ.๑๓๐๐ และ ต่อมา พ.ศ. ๑๖๑๓ (ค.ศ. 1070) โจฬะกเ็ ลยไป อาณาจกั รโจฬะก็จบส้นิ ลง อาณาจักรทมิฬ โดยเฉพาะปาณฑยะและโจฬะกลบั มี รวมกับจาลกุ ยะ (ตะวนั ออก) ท่ตี ั้งมาแตป่ ี ๑๑๖๘ (ค.ศ. ก�ำลังข้ึนแลว้ อกี ไมช่ า้ นัก อาณาจักรเหล่านก้ี ็แย่งชิงแข่ง 625) กลายเปน็ ราชวงศ์จาลุกยะ-โจฬะ ปลอ่ ยให้จาลกุ ยะ ในท่สี ดุ ปาณฑยะ ซง่ึ มีราชธานีอย่ทู มี่ ทุรา อ�ำนาจกัน ตะวนั ตกอยตู่ อ่ มาจนตกเปน็ ของอาณาจกั รทอี่ ยเู่ หนอื ขนึ้ ไป (ปัจจุบันเรียกวา่ Madurai แต่ในคมั ภรี บ์ าลีรุ่นมหาวงส์ มพี วกยาทพทเี่ ทวครี เี ปน็ ตน้ ใน พ.ศ. ๑๗๓๒ (ค.ศ. 1189) เรียกว่า “มธรุ า”) กเ็ ป็นอาณาจักรฝ่ายใตท้ ย่ี นื ยงอยูไ่ ด้ ถึงราว พ.ศ. ๑๔๐๐ พวกโจฬะเขม้ แข็งถงึ กบั ยงั่ ยนื ทส่ี ดุ ก�ำจัดพวกปลั ลวะลง แลว้ เริม่ เข้าครอบครอง และทั้งชนะ เอาพวกปาณฑยะเขา้ มารวมดว้ ยในช่วง พ.ศ. ๑๔๖๙- พระนอน ที่ศรีลงั กา ส้นิ ยคุ อนุราธปุระ ท่โี ปโลนนะรวุ า พ.ศ. ๑๕๓๕ (ค.ศ. 992; ตวั เลขศักราชเรอื่ ง ศรลี ังกาในหลายกรณี ตำ� ราทง้ั หลายบอกไวต้ ่างกันมาก จึงขอให้ถือโดยประมาณ) กษัตริย์ทมิฬผ้รู ุกรานจากโจฬะ ได้ทำ� ลายเมืองอนุราธปรุ ะ ท�ำให้ลังกายา้ ยเมอื งหลวงไป ตงั้ ท่ปี ุลตั ถปิ ุระ คอื โปโลนนะรวุ า/Polonnaruva ตงั้ แต่ ค.ศ. 1056 ตอ่ มาแต่ราว พ.ศ. ๑๘๐๐ อนรุ าธปุระไดถ้ ูกทง้ิ รา้ งจนปา่ ขึ้นคลุมไปหมด กระทัง่ พ.ศ. ๒๑๗๓ จงึ มชี าว อิตาลคี นหนง่ึ ไปเยือนและเขยี นบรรยายไวใ้ นหนังสอื ของ เขา ครน้ั ถึงราว พ.ศ. ๒๔๓๔ ชาวองั กฤษท่มี าปกครอง อาณานคิ มจงึ ได้ด�ำเนนิ การศกึ ษาและดูแลทางโบราณคดี 96 ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศกึ ษาส่วนตัวเทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น

จากซา้ ย: เทวครี ี พหุพลิ หรอื โคมเตศวร นคิ รนถ์สำ� คัญในศาสนาเชน ยุคแรก (กอ่ นมหาวีระ) เมอ่ื พทุ ธศาสนา ขณะทกี่ าหลฟิ อาหรบั แห่งแบกแดดไม่มงุ่ เน้นท่จี ะ ทง้ั ท�ำลายแย่งอำ� นาจกนั เอง และโดยเฉพาะพวกเตอร์ก จะสญู สน้ิ จากอนิ เดีย ขยายจกั รวรรดนิ น้ั ก็ปรากฏว่า ดินแดนมสุ ลมิ น้อยใหญ่ ไดท้ ำ� ใหพ้ ทุ ธศาสนาถงึ กบั สญู สน้ิ ไปจากอินเดีย ทีเ่ กิดข้นึ จากการแผอ่ �ำนาจในยุคกาหลิฟอาหรบั แห่ง ช่วงท่ี 2. เตอร์ก-สลุ ต่าน มะดนี ะฮแ์ ละดามัสกสั กอ่ นหน้านัน้ ตา่ งกม็ ีพลังปรารถนา พงึ สังเกตว่า ชว่ งต่อไปพวกเตอรก์ จะเปน็ ใหญ่ แรงกล้าทีจ่ ะขยายดินแดนและแผอ่ สิ ลามออกไป ดังน้นั และนยิ มเรียกผปู้ กครองวา่ สุลตา่ น แทนทจี่ ะดำ� รงศักด์ิ ความสงบจงึ คงอย่ไู ม่นาน แลว้ อาณาจกั รมุสลมิ ต่างๆ ก็ เต็มที่เป็นกาหลฟิ ตั้งตวั ขึน้ มาและสงครามก็เกดิ ข้นึ อีก รวมท้ังจะชิงอำ� นาจ จากกาหลฟิ เองด้วย อาณาจักรมุสลิมทแี่ ผข่ ยายในชว่ งนี้พอจะแยกได้ เปน็ ๓ เชอื้ สาย คือ พวกอิหร่าน (ในจกั รวรรดเิ ปอร์เซีย เกา่ ) พวกเตอรก์ และพวกมงโกลหรือพวกเร่รอ่ นจาก อาเซียกลาง ทั้ง ๓ พวกนี้ทงั้ กอ่ ความพินาศตอ่ ชมพูทวีป หา้ มซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพ่อื การศกึ ษาส่วนตัวเท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน 97

เมอื่ พทุ ธศาสนาสญู สนิ้ เตอร์กท�ำสงครามไป กป็ ลน้ ไป จากอนิ เดยี พ.ศ. ๑๕๔๔-๑๕๖๙ (ค.ศ. 1001-1026) ในภาวะ ระลอกท่ี 2. มสุ ลิมเตอรก์ ทอ่ี ินเดียแตกเป็นอาณาจักรเล็กๆ นอ้ ยๆ ไมม่ ศี นู ยร์ วม อ�ำนาจย่งิ ใหญ่ ทัพมสุ ลิมเตอรก์ กร็ กุ เขา้ มา สุลตา่ นมะหะหมดั แห่งฆาซนี คร้ังนั้น สลุ ต่านมะหะหมัดแหง่ ฆาซนปี ฏิญาณว่า จะรุกรบอนิ เดยี เพื่ออสิ ลามหนหน่ึงทกุ ปีไป และไดย้ กทพั เข้าตเี มืองต่างๆ ในอนิ เดยี อย่างตอ่ เนอ่ื ง แมจ้ ะไมค่ รบทกุ ปจี ริง กไ็ ดถ้ งึ ๑๗ ครัง้ การโจมตมี งุ่ ถลม่ วัดส�ำคัญและเทวสถานใหญโ่ ต ทำ� ลายรูปเคารพหรอื (ถ้าเป็นวสั ดุถาวรใหญม่ าก) ทุบให้ เสยี รปู ทรงแล้วยดึ รบิ ทรัพยส์ ินอันมหาศาล ขนไปเมือง ฆาซนี เพอ่ื ใช้ในการขบั เคีย่ วทำ� สงครามในอาเซียกลาง และสรา้ งอาณาจกั รใหย้ ่งิ ใหญ่ เตอรก์ ตง้ั อาณาจักรรุกเขา้ มา ยคุ กาหลฟิ สงบ สุลตา่ นรบรกุ ทะเล กาบุล แคสเปยี น พ.ศ. ๑๕๒๐ (ค.ศ. 977) คนมุสลิมเตอร์ก ชอ่ื โดยเฉพาะโอรส คือ สลุ ต่านมะหะหมัดแห่งฆาซนี เซบูกติคิน (Sebuktigin; เตอร์กเปน็ ชนมีถิน่ เดมิ อยใู่ น ซงึ่ ข้นึ ครองใน พ.ศ. ๑๕๔๑ (ถงึ ๑๕๗๓) เฮรัต ฆาซนา ละฮอร์ อาเซยี กลางและกลายเป็นมสุ ลมิ จากการแผ่อำ� นาจของ เตหะราน อาหรับ) ได้รับแต่งตั้งเปน็ ผู้ปกครองเมืองฆาซนา ได้เปน็ กษตั รยิ ย์ ่งิ ใหญ่ที่สดุ ซง่ึ ทำ� ให้ราชวงศ์น้ี สินท์ ครองอัฟกานสิ ถาน อิหรา่ นสว่ นใหญ่ และอนิ เดยี พายพั ฆาซนาวดิ (Ghasna ปัจจบุ ัน=Ghasni ในอฟั กานิสถาน ใต้ ตลอดแควน้ ปญั จาบ กาบลุ เมอื งหลวงปจั จุบันลงไปราว ๑๒๕ กม.) อาหรับ อา่ ว ทะเลอาหรับ แม้วา่ คงจะด้วยเหตผุ ลทางการเมือง สุลต่านท่าน เปอรเ์ ซีย เซบกู ตคิ ินรบชนะกษตั ริย์ฮินดู ขยายดินแดนมาถึง นย้ี ืนยันความจงรักภกั ดีตอ่ กาหลฟิ แหง่ แบกแดด แตไ่ ด้ เมอื งเปษวาร์ (=ปุรษุ ปรุ ะในสมัยพระเจ้ากนษิ กะ) นำ� ทรัพย์จากสงครามแยง่ ชิงมา สร้างอาณาจกั รให้เจรญิ ดว้ ยศลิ ปะวฒั นธรรมและอลังการจนเทยี บเทียมมหานคร ตง้ั ราชวงศฆ์ าซนาวดิ (Ghaznavid) ซึง่ ยืนยาว แบกแดด กวา่ ๒๐๐ ปี 98 หา้ มซือ้ -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่อื การศึกษาสว่ นตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

เตอรก์ รุก อินเดียไม่อาจตงั้ รบั (Khajuraho) ที่สร้างขนึ้ ในชว่ ง พ.ศ. ๑๕๐๐ เศษ ซึ่งมี ภาพแกะสลกั คน-เทพเสพกามอนั โด่งดงั ท่เี วลานี้นัก ยุทธการใหญ่ครั้งแรกใน พ.ศ. ๑๕๔๔ สลุ ตา่ น ท่องเทย่ี วนิยมไปทัศนาจรกันมาก มะหะหมัดแหง่ ฆาซนยี กทพั มา้ มา ๑๕,๐๐๐ ส่วนฝา่ ย อนิ เดีย กษัตรยิ ์ฮินดนู ามไชย์ปาลแหง่ ปญั จาบ ไดร้ ับก�ำลงั (เทวสถานขชุรโหนี้ เหลอื รอดจากการท�ำลายของ ร่วมรบจากอาณาจักรอนื่ ๆ มที ัพมา้ ๑๒,๐๐๐ ทัพชา้ ง ทพั มสุ ลิมเตอรก์ มาได้ สันนษิ ฐานว่าเพราะสรา้ งไว้ท่หี า่ ง ๓๐๐ และทหารราบ ๓๐,๐๐๐ สรู้ บกนั ท่ใี กล้เมือง ไกล) เปษวาร์ ฝา่ ยอินเดียท่ีมีกำ� ลังพลเหนอื กว่ามากมาย ได้ พ่ายแพอ้ ย่างยับเยิน ทหารตายในทรี่ บ ๑๕,๐๐๐ คือ ภาพแกะสลัก เกือบครึ่งกองทัพ ท่ขี ชรุ โห ทัพหนึ่งทีช่ ว่ ยไชยป์ าลร่วมรบคือกษตั รยิ น์ นั ทะ ซ่งึ ได้ตั้งอาณาจกั รฮินดรู าชวงศจ์ ันเทละข้ึนเมือ่ ราว พ.ศ. ๑๔๕๐-๑๕๐๐ และเปน็ เจ้าของเทวสถาน ขชุรโห ไทยอสี านและภาคกลาง มที ้ังเถรวาท ยโุ รปก�ำจดั คนนอกครสิ ต์ จากซา้ ย: มหายาน และ พราหมณ์ เข้ามาปนกนั ปรางคส์ ามยอดลพบุรี พ.ศ. ๑๕๕๕ (ค.ศ. 1012) รฐั เยอรมนั เรม่ิ กวาดลา้ ง persecution พ.ศ. ๑๕๕๐ (ค.ศ. 1007) ในชว่ งเวลาน้ี (persecution) คนนอกรีตนอกศาสนาคริสต์ อาณาจกั รขอมโบราณเรอื งอำ� นาจ ปกครองถึงดินแดนท่ี เป็นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคกลางของประเทศ ไทยปจั จุบนั โดยตง้ั ละโวห้ รือลพบุรีเปน็ ราชธานแี ถบนี้ พุทธศาสนาแบบมหายานทข่ี อมรับจากศรีวชิ ยั ผสมกบั ศาสนาฮนิ ดู จึงเข้ามาปะปนกับพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทท่ี สืบมาแต่เดมิ มีพระสงฆ์ทง้ั ๒ นกิ าย และภาษาสนั สกฤต กไ็ ดเ้ ข้ามามอี ทิ ธิพลมากในภาษาและวรรณคดีไทยแต่ บดั นน้ั ห้ามซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพือ่ การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 99

เตอร์กนำ� อิสลามสกู่ ลางใจอนิ เดีย มถุรากถ็ กู สลุ ต่านมะหะหมดั ปลน้ ขนทรัพย์ไป แลว้ เผาเมืองท้งิ ใน พ.ศ. ๑๕๖๐-๑ (หลงั ยคุ นเี้ มอื งถกู สรา้ งข้นึ ใหม่ แตก่ ็ถูกปล้นอีก ๔ ครั้ง โดยเฉพาะครัง้ ใหญ่ ใน พ.ศ. ๒๒๑๑ โดยออรงั เซบ กษตั รยิ ร์ าชวงศโ์ มกลุ ที่ ท�ำลายลา้ งวดั ท้ังปวงหมดสิน้ ) สลุ ต่านมะหะหมัดแหง่ ฆาซนี ไดน้ ามวา่ เป็นผ้นู ำ� ธงชยั แห่งอสิ ลามเข้าสูก่ ลางใจของอินเดยี สุลตา่ นมะหะหมดั แห่งฆาซนี พมา่ รวมต้ังอาณาจักร แผ่อาณาเขต พกุ ามจะเปน็ ผ้ชู นะในการศึกสงคราม แตม่ อญก็ชนะใน พุทธศาสนาเถรวาทก็แผ่ขยาย การศึกษา เพราะพกุ ามได้รับเอาวฒั นธรรมตะเลงมาเป็น ของตน ต้งั แต่ภาษา วรรณคดี และศาสนา เปน็ ต้นไป พ.ศ. ๑๕๘๗ (ค.ศ. 1044) พระเจ้าอนรุ ทุ ธมหา- ราช หรอื อโนรธามังช่อ ตั้งอาณาจกั รพกุ าม ปราบมอญ เมอื่ พระเจา้ อนุรทุ ธรวมพม่าแลว้ ไดแ้ ผ่อาณาเขต รวมพม่าเปน็ อันเดยี วได้คร้ังแรก มาถึงลา้ นนา ลา้ นช้าง จดลพบุรแี ละทวาราวดี เป็นเหตุ ใหพ้ ทุ ธศาสนาแบบพกุ ามจากมอญเผยแพร่ในดนิ แดน พระเจา้ อนุรทุ ธแห่งเมืองพกุ ามน้ัน เป็นกษัตริย์ของ เหลา่ น้ดี ว้ ย ชนชาวมรมั มะท่รี นุ แรง นบั ถอื พทุ ธศาสนาแบบตนั ตระ แตไ่ ดเ้ ปลยี่ นพระทยั มานบั ถือพทุ ธศาสนาเถรวาทเมือ่ (พกุ ามเสียแกม่ งโกล คอื จกั รพรรดกิ บุ ไลขา่ น ใน ได้ทรงพบกับพระเถระชาวตะเลง (คือรามญั หรือมอญ) พ.ศ. ๑๘๓๐) แห่งเมอื งสะเทมิ (คือสุธรรมนคร หรือสุธรรมปุระ) นามว่า อโนรธามงั ชอ่ อรหันต์ (ช่อื เดมิ วา่ ธรรมทัสส)ี ตอ่ มา เมื่อพระเจา้ อนรุ ุทธ ไปตเี มอื งสะเทิมได้ ก็ขนพระไตรปิฎกมาเมอื งพุกาม แม้ 100 ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศกึ ษาส่วนตวั เท่านัน้ ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน

จนี ปาละสนิ้ เสนะคือสดุ ทา้ ย ปากีสถาน เนปาล พ.ศ. ๑๖๑๓ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1070) ทาง ตะวันออก ในดนิ แดนที่เป็นสว่ นล่างของแควน้ เบงกอล นวทวีป บงั คลาเทศ ปัจจบุ นั มรี าชวงศเ์ สนะซงึ่ เป็นฮนิ ดู ตั้งอาณาจักรใหมข่ ้นึ ท่ีเมืองนาเทยี (Nadia ปัจจุบัน = นวทวปี /Navadwip/ อนิ เดยี Nabadwip อยู่เหนือเมอื งกัลกัตตาตรงขึ้นไปเพียง ๙๐ กม. หรือจากปัตนะลงไปทางตะวนั ออกเฉียงใต้ ๔๑๐ กม. ตอนแรกเสนะข้นึ ตอ่ อาณาจักรปาละ แต่ต่อมา ได้ต้งั ตัวเปน็ อสิ ระ และอีกไม่ช้า ราว พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ. 1095) อาณาจักรพุทธของราชวงศ์ปาละกส็ ้ินอำ� นาจ และ ราชวงศเ์ สนะได้แผข่ ยายเข้าแทนท่ีทวั่ เบงกอล จนถงึ พิหารตอนเหนือ เทคโนโลย:ี จนี คบื อกี กา้ ว เขา้ แบกแดด โดยอา้ งว่ามาคมุ้ ครองกาหลฟิ ซง่ึ เป็นฝ่าย นิกายสุหนี่ ใหพ้ น้ ภัยจากพวกชอี ะฮ์ แลว้ ไม่ชา้ ก็รบั สถานะ พ.ศ. ๑๕๘๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1045) ทเี่ มือง เป็นสลุ ตา่ น บญั ชาแบกแดด กาหลิฟอาหรบั กส็ น้ิ อำ� นาจ จนี มผี ู้ประดษิ ฐ์ตัวอกั ษรเรียงพมิ พ์ขึน้ ใชเ้ ปน็ ครั้งแรก โดย ใช้ตัวดนิ เผา (ในยโุ รป เพ่ิงมรี ะบบใช้ตวั อกั ษรเรียงพมิ พ์ เกดิ มหาวิทยาลัยในยโุ รป โดยกูเตนเบอร์ก/Gutenberg ประดิษฐข์ ้ึนทเ่ี ยอรมนี ใน ปี ๑๙๙๓/1450) พ.ศ. ๑๖๓๑-๑๗๑๐ (ค.ศ. 1088-1167) มหา- วิทยาลยั แรกของยโุ รป (และโลกตะวนั ตก) เกิดข้ึน คือ อาหรบั ลง เตอรก์ รุง่ ม.โบโลนยา (Bologna ค.ศ. 1088) ม.ปารสี (Paris ราว จากบนซ้าย: ตวั เรียงพิมพ์โลหะ ม.โบโลนยา ม.ปารีส ม.ออกซฟอร์ด ค.ศ. 1150) และม.ออกซฟอรด์ (Oxford ค.ศ. 1167) พ.ศ. ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) ขณะทสี่ ุลตา่ นท่ีฆาซนี เรืองอ�ำนาจข้นึ นน้ั กาหลิฟที่แบกแดดก็ก�ำลังอ่อนแอลงๆ (พงึ เทยี บ มหาวิทยาลยั ในชมพทู วีป โดยเฉพาะ ม.นาลันทา และ ม.วลภี ทเี่ กดิ มาก่อนค่อนสหสั วรรษ ต่อมาในชว่ งท้าย ได้มีชนมุสลมิ เตอรก์ อกี พวกหน่งึ และใกล้จะถกู ทำ� ลายหมดในอกี ไม่ช้า) จากอาเซียกลาง เรยี กว่าเซลจกู (Seljuq หรือ Seljuk) หา้ มซ้ือ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่อื การศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ อ่ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน 101

เสนะ ฟนื้ ฮนิ ดูและระบบวรรณะ และลทั ธติ ันตระแบบฮนิ ดู ขณะทีม่ หาวทิ ยาลยั พทุ ธยคุ นั้นรวมทงั้ นาลนั ทากเ็ น้นตันตระ จึงเปน็ ยุครงุ่ เรืองของ พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ. 1095) ราชวงศ์เสนะของฮนิ ดู ตนั ตระ (ซึง่ ตามหลักฐานพบท่ที เิ บตวา่ เมอื่ ถูกทพั มุสลิม แผอ่ ำ� นาจเขา้ แทนทรี่ าชวงศ์ปาละมากข้ึนๆ (ถอื วา่ ปาละ บกุ กห็ วังจะเอาชนะมสุ ลิมด้วยเวทมนตร)์ สิน้ เมื่อรามปาลสวรรคตใน พ.ศ. ๑๖๖๓) และไดฟ้ ื้นฟู ศาสนาฮินดู โดยเฉพาะท�ำระบบวรรณะทีผ่ อ่ นคลายลงไป นาเทียหรอื นวทวีปน้ี ไดเ้ ป็นศูนยก์ ลางศักดิส์ ิทธ์ิ ในสมยั พทุ ธของปาละใหก้ ลับเข้มขึน้ มา อกี แหง่ หน่งึ ของฮนิ ดู ดงั มสี มญาวา่ เปน็ “พาราณสีแห่ง เบงกอล” ราชวงศเ์ สนะสง่ เสรมิ สถาบนั การศึกษาของฮินดู ในเมืองหลวง ให้เป็นมหาวิทยาลัยนาเทยี หรอื นวทวปี ที่ รุ่งเรืองของฮนิ ดู นาเทยี ศกึ ษาเน้นหนักทางตรรกศาสตร์ ครูเสด: คริสต์-อิสลาม พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ. 1095) โดยการเรียกร้อง ปลกุ เรา้ ของโป๊ปเออร์บนั ที่ ๒ (Pope Urban II) ประเทศ ครสิ ตท์ ง้ั หลายในยโุ รปรวมกำ� ลงั จดั ทพั ยกไปชว่ ยจกั รวรรดิ บีแซนทีนสูม้ สุ ลิมเซลจูกเตอรก์ และกู้แผ่นดินศักด์สิ ทิ ธ์ิ คอื เยรูซาเลม็ คนื จากมุสลิม เปน็ สงครามศาสนาระหวา่ ง คริสต์กบั อิสลาม เรียกวา่ ครูเสด (Crusade=สงคราม “ไมก้ างเขน”) คร้ังแรกฝ่ายครสิ ตย์ ดึ เยรซู าเลม็ ได้ในปี ๑๖๔๒ แต่ ยื้อแยง่ กันไปมา ในทส่ี ุดทางฝ่ายมสุ ลมิ กย็ ดึ คนื กลบั ไป ท�ำ สงครามกนั นาน ๒๐๐ ปี จงึ ยุติใน พ.ศ. ๑๘๓๔ (ค.ศ. 1291) จากซา้ ย: โปป๊ เออรบ์ นั ที่ ๒ Siege of Jerusalem จดุ เริ่มต้นแห่งครเู สดส์ 102 หา้ มซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พอื่ การศึกษาส่วนตัวเท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

Dhakeshwari วหิ ารพระวิษณุ สรา้ งโดยกษตั รยิ ์ แหง่ ราชวงศ์เสนะ อารยธรรมเก่าในแดนท่มี าเปน็ อเมรกิ า พ.ศ. ๑๖๔๓-๒๐๗๕ (ค.ศ. 1100-1532) จักรวรรดอิ ินคา (Inca Empire) เจริญขึน้ มาในอเมรกิ าใต้ (มศี นู ยก์ ลางอย่แู ถวเปรู) นับถือศาสนาบูชาพระอาทติ ย์ และเชื่อวา่ ราชาของตนสืบเชือ้ สายจากพระอาทติ ย์ มี สถาปัตยกรรมทเ่ี จริญไดส้ ร้างถนนและระบบชลประทาน เป็นอนั มาก แตใ่ นทีส่ ดุ ถึงอวสานเพราะการรกุ รานของ สเปน นครวัต อนุสรณ์แห่ง จากซา้ ย: อารยธรรมขอมโบราณ อนิ คา นครวตั พ.ศ. ๑๖๕๖-ราว ๑๖๙๓ (ค.ศ. 1113-c1150) ใน รชั กาลพระเจ้าสรู ยวรมันท่ี ๒ ขอมโบราณสร้างเทวสถาน นครวตั หา้ มซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพอ่ื การศึกษาส่วนตวั เท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น 103

สุลต่านใหม่ ใช้วธิ เี กา่ : รบมา ปล้นไป เร่มิ ยคุ มุสลมิ ครองอนิ เดีย รุก-ท�ำลายลา้ งงา่ ยๆ ไมม่ ีการต่อสู้ พ.ศ. ๑๗๑๖ (ค.ศ. 1173) มฮู ัมหมดั แหง่ ฆรู ์ หนั พ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206) กตุ บุ -อดุ -ดิน แมท่ พั ระหว่างนน้ั แมท่ ัพอีกคนหนึ่งของมูฮมั หมัดแหง่ มาบกุ ทางอนิ เดีย โดยในระยะแรกใชว้ ิธกี ารแบบสุลต่าน ทหารทาสของมูฮมั หมัดแหง่ ฆูร์ เทย่ี วรบอยู่ในอินเดยี เมอื่ ฆูร์ ช่อื บักข์ตยิ าร์ ขัลยี (Bakhtiyar Khalji หรอื Iktiar มะหะหมดั แห่งฆาซนเี มื่อเกือบ ๒๐๐ ปีกอ่ น คือ ยกทัพ เจา้ นายสน้ิ แล้ว ได้ประกาศตั้งตวั เป็นสลุ ต่านแห่งเดลี เร่มิ Khilji) ได้ไปรกุ รบในอินเดีย ภาคตะวันออก มาถล่มเกบ็ กวาดทรพั ย์หนหน่ึงๆ ทุกปี ราชวงศม์ สุ ลมิ แรกที่ปกครองอินเดีย และเป็นราชวงศท์ าส (แมมหลูก/Mamluk [Slave] dynasty) วงศแ์ รก บกั ขต์ ิยาร์ ขัลยี เป็นผดู้ �ำเนนิ การขั้นสดุ ท้ายใน ต่อมา เมอื่ มฮู ัมหมัดยดึ ละฮอร์ ล้มราชวงศ์ฆาซนา การก�ำจดั พระพทุ ธศาสนาใหห้ มดไปจากอนิ เดีย เปน็ การ วิดลง ได้เป็นใหญใ่ นอินเดียเหนือแลว้ แต่ทางดา้ นเมอื ง รบทำ� ลายลา้ งขา้ งเดียว โดยไมม่ ีการตอ่ สู้ ฆรู ์ ยงั มีภาระต้องจัดการกบั เตอร์กกลุ่มอน่ื กเ็ ลยมอบให้ แม่ทพั ชื่อกตุ ุบ-อดุ -ดนิ ดูแลดา้ นน้ี สว่ นตนเองไปรบดา้ น อาเซียกลาง 104 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่อื การศึกษาส่วนตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สิทธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น

พอยคุ มสุ ลิมเร่มิ พทุ ธฯ กร็ า้ ง มหาวิทยาลยั พุทธศาสนาทุกแหง่ ถกู ท�ำลาย หน้าตรงขา้ ม: (โสมปุระถูกพราหมณ์ผู้ครองเมืองเผาไปกอ่ นแลว้ ใน พ.ศ. Qutab Minar พ.ศ. ๑๗๔๑-๑๗๕๐ (ค.ศ. 1198-1207) ๑๕๙๓) เฉพาะแห่งทร่ี ู้เวลาชดั คือ โอทันตปรุ ะถกู ถลม่ จากซา้ ย: บกั ข์ตยิ าร์ ขลั ยี หรือขิลยี ยกกองทพั มสุ ลิมเตอรก์ บกุ เข้า ท�ำลายเผาราบ และวกิ รมศิลาไม่เหลือแมแ้ ตซ่ ากใน พ.ศ. เจดียพ์ ทุ ธคยา มาแถบพหิ ารและเบงกอล ๑๗๔๑ ส่วนชคทั ทละถกู ท�ำลายใน พ.ศ. ๑๗๕๐ ธัมเมกขสถูป เสาอโศก เหตกุ ารณต์ อนน้ี ผเู้ ขียนประวตั ศิ าสตร์ชาวมุสลิม เมือ่ ทัพมุสลิมเตอร์กประสบความสำ� เรจ็ ในการรบ- เอง ได้บันทึกไว้ด้วยความภมู ิใจวา่ ขลั ยีไดเ้ ผาท�ำลาย ท�ำลาย ฆ่าคนที่ไม่ยอมเปลย่ี นศาสนาและพระภิกษุสงฆ์ อาคารสถานที่ ยึดเงนิ ทองทรัพย์สิน และใหค้ นเลือกเอา จนหมดสิน้ เผาวดั และกวาดขนเอาทรัพย์สินไป แลว้ ระหวา่ งอิสลามกับความตาย โดยท�ำการท้ังหมดน้ันเพ่ือ พระพทุ ธศาสนากส็ ญู สิ้นจากชมพูทวีป อสิ ลาม ห้ามซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพื่อการศึกษาสว่ นตวั เทา่ นนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สิทธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น 105

เหลือแตฮ่ ินดู ยังสูก้ ับมสุ ลิมตอ่ ไป แมส้ ลุ ตา่ นและแมท่ พั มสุ ลิมจะครองอนิ เดยี ภาค เหนือไดใ้ นข้ันตน้ นี้แลว้ ก็ยงั มภี าระในการสูร้ บปราบ เมอ่ื ราชวงศ์มุสลิมของสุลต่านแห่งเดลีเร่มิ ต้นใน ปรามพวกฮินดทู ีแ่ ข็งข้อ และขบั เคย่ี วกับมสุ ลมิ ด้วยกนั ไป พ.ศ. ๑๗๔๙ แล้ว กถ็ ือวา่ ประเทศอินเดยี เข้าส่ยู คุ การ อีกหลายร้อยปี จนจบลงดว้ ยการตกเป็นเมืองขน้ึ ของฝร่งั ปกครองของมุสลิม อังกฤษในที่สดุ เรือ่ งราวของพระพุทธศาสนา ทีเ่ จรญิ ร่งุ เรืองใน นักบวชฮนิ ดู อินเดยี มา ๑๗๔๑ ปี ก็จบไปแตบ่ ดั น้ัน ขลั ยีกวาดลา้ งดนิ แดนแถบแคว้นพหิ ารปจั จบุ นั ใน ช่วง พ.ศ. ๑๗๔๑ เสรจ็ แล้วกร็ กุ ตอ่ ลงไปทางเบงกอล ปี ต่อมากเ็ ขา้ นาเทยี กษัตริย์ฮินดลู ักษมณเสนหนีออกจาก วงั ไปหลบซอ่ นในวดั ฮินดู ท่ีสดุ กส็ วรรคตใน พ.ศ. ๑๗๔๕ ราชวงศ์เสนะกถ็ งึ กาลอวสาน เตอรก์ มา ระลอกใหม่ มฮู มั หมดั ไปรบดา้ นอาเซยี กลาง แต่ไม่สำ� เรจ็ ผล ดว้ ยดี และประสบปัญหาต่างๆ ในทส่ี ุดไดถ้ กู ลอบสังหาร พ.ศ. ๑๗๑๖ (ค.ศ. 1173) ชนมสุ ลิมเตอร์กอีก ในพ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206) พวกหน่งึ มีผู้น�ำเรียกวา่ “มฮู ัมหมดั แห่งฆูร์” (Muham- mad of Ghur) ไดต้ ั้งอาณาจักรขน้ึ ทีเ่ มอื งฆูร์ หรอื เฆอร์ (Ghur ปัจจุบัน=Ghowr ในอัฟกานสิ ถานตะวันตกกลาง) มูฮมั หมัดแหง่ ฆูร์ จะครองความเป็นใหญ่ในอาเซยี กลาง แต่ไมส่ �ำเร็จ จึงหันมาบุกทางอนิ เดยี ใน พ.ศ. ๑๗๒๙ (ค.ศ. 1186) มฮู ัมหมัดรกุ เข้ามา ยดึ ละฮอร์ (เมืองหลวงใหมข่ องราชวงศ์ฆาซนาวดิ ของ สุลต่านมะหะหมัด ซงึ่ ยา้ ยมาจากฆาซนา ในพ.ศ. ๑๗๐๓) ท�ำให้ราชวงศ์ฆาซนาวิดจบสิน้ ลง University of Texas Libraries 106 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พ่ือการศึกษาส่วนตวั เท่านนั้ ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น

มหาวทิ ยาลัยฮินดู อยรู่ อดได้ มหาวิทยาลัยพทุ ธศาสนาในฐานะเปน็ สถานศึกษา) จึงหัน มาสง่ เสรมิ อย่างไรก็ตาม นา่ สงั เกตว่าทัพมสุ ลมิ เตอรก์ ไม่ได้ ท�ำลายมหาวทิ ยาลยั นาเทีย (นวทวีป) แต่นาเทียกลับ ได้เป็นศนู ย์กลางการศึกษาทีเ่ จริญรุง่ เรืองในยุคที่มุสลิม ปกครองต่อมาอีกหลายร้อยปี (พ.ศ. ๑๗๔๑-๒๓๐๐=ค.ศ. 1198-1757) ทเ่ี ปน็ อย่างนั้นอาจเปน็ เพราะวา่ นกั รบมสุ ลิมเตอร์ กมาถงึ นาเทยี เมื่อการรบเสร็จสิ้น ไดเ้ วลาทจี่ ะจัดการบ้าน เมอื ง และผู้ปกครองมุสลิมเตอรก์ ไดร้ ับรวู้ า่ มหาวิทยาลัย ท้งั หลายในชมพทู วีปเป็นเกียรตยิ ศของอาณาจกั ร (ดงั ท่ี ในยคุ ท่ฮี ินดูมอี �ำนาจขึ้นแล้ว ราชวงศฮ์ นิ ดูกอ็ ปุ ถัมภ์บำ� รงุ แคทสะเเปลียน ขวาเรซมิด กาบุล รบกนั ทว่ั ท้ังขา้ งนอก ทัง้ ข้างใน ยุคอาหรบั -เตอร์ก มีมงโกลมาต่อ เฮรตั สนิ ท์ ละฮอร์ พ.ศ. ๑๗๕๘ (ค.ศ. 1215) ทางชมพูทวีปภาค จะเห็นว่า ดนิ แดนแถบนี้จนถงึ อาเซยี กลาง ถูก พายัพ ดา้ นเมืองฆรู ์ และฆาซนา ท่ีเป็นฐานเร่มิ แผอ่ �ำนาจ มสุ ลมิ อาหรบั เข้ามาท�ำใหเ้ ปน็ มุสลมิ ก่อน ครนั้ มาตอน เตหะราน การชงิ อ�ำนาจกันดำ� เนนิ ไป เมอ่ื มฮู มั หมดั แหง่ ฆูร์ถกู ลอบ น้ี พวกชนชาตจิ ากอาเซียกลางมเี ตอร์กเป็นตน้ ท่กี ลาย สงั หารใน พ.ศ. ๑๗๔๙ แล้ว กส็ ูร้ บกนั ต่อมา เป็นมสุ ลิมแลว้ ก็กลบั ขยายอำ� นาจแผอ่ ิสลามไปทัว่ แลว้ มุสลมิ เตอรก์ กเ็ ข้าแทนท่มี สุ ลมิ อาหรบั พอถึง พ.ศ. ๑๗๕๘ อาณาจักรฆูร์ ก็ถูกยดึ โดย พวก ขวาเรซม-์ ชาห์ ซงึ่ มีอำ� นาจขนึ้ มาจนได้ครองอิหรา่ น แตส่ ุดท้ายมุสลมิ มงโกลจะเข้ามาเหมอื นปดิ แทนพวกเซลจูกเตอร์ก (Khwarezm-Shah กม็ ีถ่ินเดมิ รายการ ในอาเซียกลาง และกลายเป็นมุสลิมจากการแผอ่ �ำนาจ อาหรบั อา่ วเปอร์เซีย ทะเลอาหรับ ของอาหรับ) Khwarezm Shah 107 Ala Ad Din Mohammed ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่ือการศกึ ษาส่วนตัวเท่าน้นั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน

ตันตระ-ขชรุ โหเตบิ โต สภาพนนั้ กค็ ือ การท่ีคนคงหันมาหมกมุน่ วุน่ วาย อินเดียกถ็ ึงคราวตาย ดา้ นกามารมณ์กันมาก และอ่อนแอลง ดงั ตัวอยา่ ง เทวสถาน ขชรุ โห (Khajuraho) ดังกลา่ วแลว้ ข้างตน้ ท่ี ควรตง้ั ข้อสังเกตไวศ้ ึกษากนั ต่อไปดว้ ยวา่ ลทั ธิ สร้างขน้ึ เมื่อ พ.ศ. ๑๕๐๐ เศษ ในอาณาจักรฮินดขู อง ตนั ตระ ทย่ี กเอาเรอื่ งการเสพกาม ตลอดจนการดืม่ สรุ า ราชวงศจ์ ันเทละ ที่เขา้ รว่ มทำ� สงครามต้านพวกมสุ ลมิ เมรัย ขึ้นมาทำ� ให้มคี วามหมายเชงิ ปรัชญาและศักดิ์สทิ ธ์ิ เตอร์ก และพ่ายแพอ้ ยา่ งยับเยนิ ใน พ.ศ. ๑๕๔๔ พร้อมทง้ั เน้นยำ้� เรื่องเร้นลับ เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ และ พธิ ีกรรมมากมาย ซ่ึงไดเ้ จรญิ ข้ึนๆ ในพทุ ธศาสนา และ ศาสนาฮนิ ดู แล้วแขง่ กันมา เร่มิ แต่ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ จนฟสู ะพรง่ั ในระยะท่พี ทุ ธศาสนาสญู สิน้ ในช่วง พ.ศ. ๑๗๐๐ นน้ั อาจเปน็ พัฒนาการ (หรือหายนาการ) ที่ สอดคล้องกบั สภาพสงั คมอินเดยี เวลาน้ัน เจงกิส ขา่ น ผ่านไหนแหลกนั่น เดลรี อด เจงกสิ ขา่ นไม่เข้า พ.ศ. ๑๗๖๓ (ค.ศ. 1221) เจงกสิ ขา่ น (Genghis ถึงตอนน้ี อาณาจกั รมุสลิมทง้ั หลายทแ่ี ยง่ ชิง Khan) ยกทพั ชนเผา่ เร่รอ่ นจากมงโกเลียบกุ ตะลุยบดขย้ี อ�ำนาจกันมาในดนิ แดนแถบนี้ ตั้งแต่เซลจกู เตอรก์ กระทง่ั อาณาจักรท้ังหลายตัง้ แต่จนี ภาคเหนือลงมา ผ่านอาเซีย ขวาเรซม-์ ชาห์ ก็ทยอยหมดช่ือไปในช่วงใกล้ๆ กัน เป็นอนั กลาง ตลอดดนิ แดนแถบนที้ ีเ่ ป็นอฟั กานสิ ถานปัจจบุ นั ขน้ึ สยู่ ุคใหมข่ องประวตั ิศาสตร์ ทะลุอหิ ร่าน เขา้ ยโุ รปตะวนั ออก จดรสั เซยี ตอนใต้ ทัง้ ท�ำลายบ้านเมอื งและสงั หารผคู้ นอย่างยอ่ ยยบั แหลกลาญ สว่ นทางด้านอนิ เดีย ซงึ่ ไม่ใช่ทางผา่ นของเจงกิส ข่าน มสุ ลมิ เตอรก์ ยังคงอยู่ แตก่ น็ บั วา่ ขึ้นสยู่ ุคใหม่ด้วย ดงั เชน่ พามิยาน (Bamian) เมอื งผ่านสำ� คัญทไี่ ด้ คอื เปน็ ยคุ ทีพ่ ระพทุ ธศาสนาสูญสนิ้ ไปแล้ว กลายเป็นแดนมุสลมิ และใครมีอ�ำนาจก็ยึดเปล่ยี นมือกนั ไป จนถงึ ยคุ อาณาจกั รฆรู ก์ ็ยังรุ่งเรืองอยู่ แตค่ ราวนไ้ี ดถ้ กู ทำ� ลายแบบสนิ้ ซาก พลเมืองถกู สงั หารหมดสนิ้ เจงกิส ขา่ น ห้ามซอื้ -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพอื่ การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ นนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น 108

หนา้ ตรงข้าม: ศรีมหากาลีมาตา เทวสถานขชุรโห ๖๕๑ ปี ทม่ี ุสลิมครองอนิ เดีย ปรุ ุษปรุ ะ แคชเมียร์ นบั แตน่ ี้ อนิ เดยี เขา้ สยู่ คุ จกั รวรรดมิ สุ ลมิ ทย่ี าวนาน ม.สินธุ ละฮอร์ ม.ยมม.ุนคางคา ๖๕๑ ปี เดลี สุลต่านแห่งเดลี เร่ิมด้วยจกั รวรรดมิ สุ ลิมเตอรก์ ของสุลต่านแห่ง เดลี (Delhi Sultanate) ซ่งึ จะปกครองอนิ เดียไป ๓๒๐ คชุ ราต อุชเชนี ประยาค ปี (ชว่ งยิง่ ใหญ่ ๑๙๒ ปี ถงึ พ.ศ. ๑๙๔๑ + ช่วงด้อย พาราณสี อ�ำนาจ ๑๒๘ ปี ถงึ พ.ศ. ๒๐๖๙) ทะเลอาหรบั ยาทวะ ม.นมั มทา โอริสสา อา่ วเบงกอล จนถกู โคน่ และขน้ึ แทนใน พ.ศ. ๒๐๖๙ โดยราชวงศ์ โมกลุ แหง่ จักรวรรดมิ ุสลิมมงโกล เทวคิรี ม.โคทาวรี แลว้ โมกลุ ครองอนิ เดยี เรอื่ ยมาจนตกเปน็ อาณานคิ ม ม.กฤษณะ ขององั กฤษ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) ปาณฑยะ ห้ามซ้อื -ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศกึ ษาสว่ นตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สิทธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 109

หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศึกษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น

๘ ๐ ๐ ปี ท่ี อิ น เ ดี ย ไ ม่ มี พุ ท ธ ศ า ส น า ก) มุสลิมครอง ๖ ศตวรรษ หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พื่อการศึกษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

เกาหลพี มิ พ์พระไตรปฎิ ก พ.ศ. ๑๗๗๕ (ค.ศ. 1232) เกาหลใี นยคุ โกรโี อ ฝ่งั ทะเลด้านตะวันตก) จ�ำยอมให้มงโกลท�ำลายและบังคบั (Koryo period, 918-1392) มีความสัมพนั ธ์ทาง ควบคุมบา้ นเมือง จีน ญ่ีปุ่น วัฒนธรรมใกล้ชิดกับจนี สมยั ราชวงศส์ งุ (Sung period, ระหว่างลี้ภัยที่เกาะกังหว่านั้น กษัตรยิ เ์ กาหลไี ด้ 960-1279) แตม่ ักถกู ชนตา่ งชาติจากมงโกเลยี มารุกราน โปรดใหจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปฎิ กครบชดุ บรบิ รู ณด์ ว้ ยแมพ่ มิ พ์ เกาะกงั หว่า บอ่ ยๆ ไมแ้ กะ กว่า ๘๐,๐๐๐ แผ่น เปน็ งานพมิ พ์ทป่ี ระณีต ในปี ๑๗๗๕ นี้ พวกมงโกลมายำ�่ ยี ทำ� ใหร้ าชสำ� นกั เทียบได้กบั พระไตรปิฎกที่จีนพมิ พใ์ นสมัยราชวงศส์ ุง โกรโี อลภี้ ัยไปอยูท่ ่เี กาะกังหวา่ (Kanghwa Island ทาง (ดู พ.ศ. ๑๕๑๕-๑๕๒๖) เกาะกังหวา่ 112 หา้ มซอ้ื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพอ่ื การศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน

โป๊ปตั้งศาลไต่สวนศรทั ธา เตอรก์ ยึดเยรูซาเลม็ เพอ่ื กำ� จัดลัทธินอกคริสต์ พ.ศ. ๑๗๘๖ (ค.ศ. 1243) พวกเซลจูกเตอร์ก พ.ศ. ๑๗๗๖ (ค.ศ. 1233) โป๊ป/สันตะปาปา (Seljuk Turks) จากอาเซยี กลาง ทม่ี ายึดแบกแดด ล้ม เกรกอรท่ี ี่ ๙ (Gregory IX) โดยร่วมกับจกั รวรรดโิ รมัน กาหลฟิ อาหรับ ขึ้นเป็นสุลตา่ นครองอ�ำนาจกันมาตั้งแต่ ไดต้ ้งั ศาลไตส่ วนศรัทธา (Inquisition) ข้นึ เพ่ือกำ� จัด ปี ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) นั้น ไดแ้ ผอ่ �ำนาจกว้างขวางตั้งแต่ กวาดลา้ ง (persecution) ลทั ธนิ อกรตี และความเช่อื ถือ เปอรเ์ ซยี ไปถงึ อาเซียน้อย (Asia Minor) รวมท้งั แดน ท่ีผิดแผกแตกตา่ งจากขอ้ กำ� หนดของนกิ ายโรมนั คาทอลิก อาหรบั ในตะวนั ออกกลาง ครน้ั ถงึ พ.ศ. ๑๖๑๔ (ค.ศ. 1071) การสอบสวนลงโทษมกี ารทรมาน จ�ำคกุ ไปจนถึงเผา กย็ ึดเยรซู าเลม็ ได้ และตีทพั ของจกั รวรรดบิ ีแซนทนี พ่าย ทั้งเปน็ แพ้ เป็นจุดเริ่มเกดิ สงครามครูเสดส์ (Crusades) ทท่ี พั คริสตจ์ ากยโุ รปยกมาชิงเยรซู าเล็ม ทัพครสิ ตม์ าถงึ พอดีพวกเซลจูกเตอรก์ เรมิ่ เสื่อม ครัง้ แรกฝา่ ยคริสต์ชนะใน พ.ศ. ๑๖๔๒ (ค.ศ. 1099) ต่อ มามุสลิมพวกอืน่ (สุลต่านแหง่ อียปิ ต)์ ยดึ เยรูซาเล็มกลับ คนื ได้ ส่วนพวกเซลจูกเตอร์กแตกเป็นแควน้ เลก็ แคว้น นอ้ ย และแทบถึงอวสานเมอ่ื ทัพมงโกลทีส่ ืบจากเจงกสิ ขา่ นตยี ่อยยบั ในปี ๑๗๘๖ (ค.ศ. 1243) หน้าตรงข้ามกลาง, ขวา: 113 พระไตรปฎิ กเกาหลี หอธรรมท่ี Haeinsa ซ้ายจากบน: โป๊ปเกรกอรท่ี ี่ ๙ Inquisition สลุ ต่านแหง่ อียปิ ต์ หา้ มซ้อื -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พอื่ การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

ไทยต้งั อาณาจักรสโุ ขทยั พทุ ธศาสนา ในรชั กาลท่ี ๕ (บา้ งว่า ที่ ๖) พระมหาธรรมราชา เถรวาทสายลงั กาวงศร์ ุ่งเรอื ง ลไิ ท (ลอื ไท ก็ว่า) ซ่ึงเสวยราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๐–๑๙๒๑/ 1347-1378 ทรงอาราธนาพระมหาสามีสงั ฆราชเมือง พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศ. 1257) ที่ประเทศไทย พอ่ ขุน ลังกานามว่าสุมนะ มาสู่สุโขทัยในปี ๑๙๐๔/1361 ครน้ั ศรีอนิ ทราทิตยป์ ระกาศอิสรภาพไมข่ ้ึนต่อขอม และตั้ง ออกพรรษาแล้ว เสดจ็ ออกผนวชช่วั คราว ณ วดั อรญั ญิก อาณาจกั รสุโขทยั นบั วา่ เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รกท่ีทรงผนวช และทรงพระราชนพิ นธไ์ ตรภูมิพระรว่ ง (เรียกเป็นคำ� บาลี ในรัชกาลที่ ๓ พ่อขนุ รามค�ำแหงมหาราช (ขึ้น วา่ “เตภูมิกถา”, บรรยายการเวน้ ชัว่ ทำ� ดี ใหเ้ จรญิ สูงขึ้น ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๑๘/1275 หรือ ๑๘๒๒/1279, ปี ไปในไตรภมู ิ จนในที่สุดพน้ จากการวา่ ยเวยี นเปลี่ยนแปลง สวรรคตเคยว่า ๑๘๖๐/1317 แตใ่ หมว่ า่ ๑๘๔๒/1299) ในไตรภมู นิ นั้ ขึ้นไปสู่จุดหมายในภูมิที่ ๔ และเนน้ การ ได้แผข่ ยายพระราชอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง ทรง ปกครองโดยธรรมอันไม่ใช้ความรุนแรง) ซ่ึงถอื กนั ว่าเป็น ปกครองราษฎรอยา่ งบดิ ากับบตุ ร ทรงประดษิ ฐต์ ัวอักษร วรรณคดีไทยเล่มแรก ทรงเผดียงพระสงฆเ์ ข้าไปเรียน ไทยในปี ๑๘๒๖ และทรงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราช พระไตรปฎิ กในมหาปราสาท และทรงจดั ระเบยี บคณะสงฆ์ ข้นึ จากเมืองนครศรีธรรมราช มาพำ� นกั ณ วัดอรญั ญิก ตงั้ แบ่งเป็น ๒ ฝา่ ยอย่างลงั กา เป็นคามวาสี กับอรญั วาสี คณะสงฆล์ ังกาวงศ์ พระพุทธศาสนาเถรวาทเปน็ ศาสนา ทรงทำ� นุบำ� รงุ พระพุทธศาสนาอกี มากมาย รวมท้งั โปรด ประจำ� ชาติและรงุ่ เรืองสืบมา พระพุทธสิหงิ ค์ ซึง่ สร้างใน ให้จำ� ลองพระพุทธบาทท่ีเขาสมุ นกฏู ในลังกามาไว้ใน ลังกามาอยทู่ ่ีนครศรธี รรมราช กข็ นึ้ มาประดิษฐาน ณ สโุ ขทยั สรา้ งพระพทุ ธชนิ ราช และพระพุทธชินสหี ์ กรงุ สโุ ขทัยในรัชกาลนี้ (แต่ ชนิ กาลมาลีปกรณ์ ว่า ได้พระ พทุ ธสหิ งิ คม์ าใน พ.ศ. ๑๘๐๐ รชั กาลพอ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย)์ เมื่อพระเจ้าลไิ ทสวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แล้ว พทุ ธศิลปแ์ บบลังกาเรมิ่ เขา้ มาแทนทพี่ ุทธศิลป์แบบ พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชยเ์ ปน็ พระเจา้ ไสยลอื ไท แต่ มหายาน แม้แตพ่ ระมหาธาตุนครศรีธรรมราช ก็แปลงรปู ในปนี ้ันเอง สุโขทัยก็ตกเปน็ ประเทศราชขนึ้ ต่อกรงุ ศร-ี เป็นสถปู แบบลงั กา อยธุ ยา และพระเจา้ ไสยลอื ไทยา้ ยไปครองเมอื งทพี่ ษิ ณโุ ลก จนสวรรคตในปี ๑๙๖๒/1419 (บา้ งวา่ ๑๙๕๒) จากบนซา้ ย: พระพุทธชนิ ราช สโุ ขทัย ศิลาจารึกหลักท่ี ๑ พ่อขนุ รามค�ำแหงมหาราช 114 หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พอ่ื การศึกษาส่วนตวั เทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น

เตอรก์ วงศท์ าส ตงั้ กาหลฟิ อาหรบั เปน็ หนุ่ เพื่อคมุ มุสลมิ อาหรบั ไว้ เพราะพวกแมมหลูกเองท้ังหมด แมมหลูก ตัวเองเปน็ สลุ ต่าน ทัง้ สิน้ ไม่ใช่ชาวอาหรบั (มกั จะเป็นพวกเตอรก์ จากอาเซีย กลาง) และไม่ไดเ้ ป็นมสุ ลมิ มาแตเ่ ดิม บางคนไม่รหู้ รอื แทบ ซเี รียเข้ามาลภ้ี ยั ในอียิปต์ และอารยธรรมมสุ ลิมอาหรบั ก็ พ.ศ. ๑๘๐๔ (ค.ศ. 1261) ทาสชาวเตอร์กที่เปน็ ไมร่ ภู้ าษาอาหรับเลย จึงรอดพ้นความพินาศมาได้ นายทหารในกองทพั มสุ ลมิ ซ่งึ เปน็ ใหญ่ขึน้ มาปกครอง อยี ปิ ตแ์ ละซีเรยี ตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๗๙๓ (ค.ศ. 1250) เมื่อถึง เตอร์ก คอื ผู้พิทกั ษ์อารยธรรมมุสลมิ อียิปตเ์ องเม่ือเปน็ ท่ีตง้ั ราชวงศ์อาหรบั มาหลาย พ.ศ. ๑๘๐๔ (ค.ศ. 1261) ได้ต้งั กาหลฟิ ข้นึ มาใหมท่ ีไ่ คโร ของอาหรับ ศตวรรษ ก็กลายเปน็ ดนิ แดนท่มี วี ฒั นธรรมแบบอาหรับ ในอยี ิปต์ เป็นการสบื แทนกาหลฟิ ในแบกแดด ที่ถูกพวก และเปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ อารยธรรมมสุ ลมิ อาหรบั นน้ั (อยี ปิ ต์ มงโกลท�ำลายไปแลว้ และต่อมากต็ ง้ั ตวั เองเปน็ สลุ ต่าน เนอื่ งจากเชี่ยวชาญในการรบ พวกสุลต่าน เคยเป็นศูนยก์ ลางอารยธรรมกรกี ตั้งแต่ยคุ ราชวงศโ์ ตเลมี) แมมหลูกหรอื ราชวงศ์ทาสเหล่านี้ ไดท้ �ำคุณไว้แก่ สุลตา่ นทเ่ี คยเป็นทาสนั้น สืบวงศก์ ันมา เรยี กว่า อารยธรรมอิสลามอย่างสำ� คัญย่ิง ๒ ประการ คอื โดยนัยน้ี พวกแมมหลูกจงึ เป็นผู้พทิ กั ษ์อารยธรรม ราชวงศท์ าส เปน็ ภาษาอาหรบั วา่ ราชวงศแ์ มมหลกู (Slave อิสลามของอาหรับให้คงอย่เู หลอื รอดมา dynasty/Mamluk dynasty/Mameluke dynasty) ๑. ปกป้องแดนมสุ ลมิ ไว้ในยคุ สงครามครเู สดส์ เปน็ ผู้ครองอ�ำนาจแท้จริง สว่ นองคก์ าหลฟิ เป็นเพยี งเจว็ด จนกระทัง่ สุดท้ายไดข้ ับไล่กองทัพครูเสดส์ของคริสต์ออก สุดทา้ ย พวกแมมหลกู ก็ขับไล่พวกมงโกลออกไป หรอื หนุ่ เชดิ บางทนี ายทพั กถ็ อดถอนหรือถงึ กบั ฆา่ กาหลิฟ ไปจากดินแดนแถบนน้ั จนหมดสิ้น จากปาเลสไตนแ์ ละซเี รียได้ แล้วครองอ�ำนาจตอ่ มา จนถกู ได้ตามใจตวั การใชท้ าสหรอื แมมหลูกเป็นกำ� ลงั ทหารสว่ น รวมเข้าในจกั รวรรดิออตโตมานเตอร์กใน พ.ศ. ๒๐๖๐ สำ� คญั นน้ั เปน็ ลักษณะพเิ ศษของอารยธรรมอสิ ลาม ซง่ึ ๒. ช่วยต้านทัพมงโกลไว้ ทำ� ให้แดนอสิ ลามบาง (ค.ศ. 1517) และเม่อื เตอร์กอ่อนแอลง พวกแมมหลกู ก็ ได้เริ่มขน้ึ ในยคุ กาหลิฟทแ่ี บกแดด ต้งั แตร่ าว พ.ศ. ๑๓๘๐ ส่วนรอดจากการทำ� ลายล้างของพวกมงโกลมาได้ คือ กลบั ฟนื้ ขึ้นมามอี ำ� นาจอกี ระยะหนึ่ง แตใ่ นทส่ี ุดกถ็ ูกก�ำจัด แลว้ ใช้กันทั่วโลกมุสลิม เช่นซอื้ ทาสมาเขา้ เปน็ ก�ำลังรบใน หมดสิ้นใน พ.ศ. ๒๓๕๔ (ค.ศ. 1811) กองทัพ พวกแมมหลูกน้รี บเก่งมาก และเมอื่ นานเขา้ กจ็ ะ ทางดา้ นอนิ เดยี กร็ อดจากการท�ำลายในยคุ ลกู กลายเป็นผู้คมุ อ�ำนาจอย่เู บ้ืองหลงั หรอื ขึน้ ครองอำ� นาจ เจงกิสขา่ น (เดลีถูกท�ำลายโดยตมี ูร์ใน ค.ศ. 1398 หลงั ยคุ เสยี เอง เปน็ อยา่ งน้ที ั้งทางตะวนั ตก คอื สลุ ต่านท่ีอยี ิปต์- ราชวงศท์ าสลม้ ไป ๑๐๘ ปแี ลว้ ) ซเี รยี ซึ่งครองอำ� นาจนานกวา่ ๒๕๐ ปี (พ.ศ. ๑๗๙๓- ๒๐๖๐=ค.ศ. 1250-1517) และตะวนั ออก คอื อนิ เดีย ท่ี สว่ นทางตะวันออกกลาง เมื่ออาณาจักรมสุ ลิมอ่นื ๆ มีราชวงศท์ าสแทรกอยู่ในสายสลุ ตา่ นแหง่ เดลี โดยเร่ิมข้นึ ถูกพวกมงโกลทำ� ลายเรียบราบ แตพ่ วกแมมหลูกต้านมง ใกลๆ้ กนั แตอ่ ยู่สน้ั เพยี งราวศตวรรษเดียว (พ.ศ. ๑๗๔๙- โกลได้ ทำ� ใหอ้ ยี ปิ ตแ์ ละซีเรยี เปน็ ทีพ่ ่ึงของชาวมุสลิมทห่ี นี ๑๘๓๓=ค.ศ. 1206-1290; ที่เดลไี มม่ กี าหลิฟ) การลา้ งผลาญของมงโกลเขา้ มาอาศัย แม้เมอ่ื ต่อมาพวก แมมหลกู ตา้ นไม่ไหว พวกมงโกลยึดซเี รียไดใ้ นปี ๑๘๓๗ ก็ การทพี่ วกแมมหลูกแถบตะวันตกตง้ั กาหลิฟขน้ึ ก็ ยงั มอี ยี ปิ ต์เหลอื รอดอยู่ ชาวมสุ ลิมจงึ หนกี ารพิฆาตจาก หา้ มซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พื่อการศึกษาส่วนตวั เทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 115

เคดาห์ ทะเลจีนใต้ กลนั ตัน จักรวรรดมิ ชปหติ มะละกา ตรังกานู ปะหัง สุมาตรา บอรเ์ นยี ว ชัมพี ปาเลมบัง ทะเลชวา ชวา มชปหิต สมัยกุบไลข่าน พ.ศ. ๑๘๑๗-๒๔ (ค.ศ. 1274-1281) กุบไลขา่ น มีฝร่งั มารบั ราชการเมอื งจีน จกั รพรรดิมงโกลสง่ ทพั เรอื ไปตญี ป่ี ุ่น ๒ ครงั้ แตไ่ มส่ ำ� เร็จ (ครั้งแรกเรือถูกพายพุ ินาศ ครั้งท่ี ๒ เรือ ๔,๐๐๐ ลำ� แพ้ พ.ศ. ๑๘๑๔ (ค.ศ. 1271) มาร์โค โปโล (Marco แก่ญีป่ ุ่น) Polo) ชาวเมืองเวนสี (Venice) ในอติ าลี ออกเดนิ ทาง มายงั ประเทศจีน (คาเธย์/Cathay) โดยเสน้ ทางสายไหม พ.ศ. ๑๘๒๒ (ค.ศ. 1280) กบุ ไลข่านลม้ ราชวงศ์ มาถึงปกั กิง่ ในปี ๑๘๑๘ ไดร้ ับราชการเป็นคนโปรดของ ซอ้ ง รวมจนี และตงั้ ราชวงศห์ ยวน ปกครองทเ่ี มืองหลวง พระเจา้ กบุ ไลขา่ น เดนิ ทางไปทง้ั ใน จนี อนิ เดยี และอาเซยี ใหม่คือปักก่งิ (=เบจงิ ) อาคเนย์ แล้วกลบั ถงึ เวนสี ใน พ.ศ. ๑๘๓๘ (ค.ศ. 1295) คำ� เล่าการเดินทางของเขาเป็นเรือ่ งราวแหลง่ เดยี วท่ีชาว จากซา้ ย: ยุโรปไดร้ ู้จักตะวันออกไกลกอ่ นคริสต์ศตวรรษท่ี 17 มาร์โค โปโล พระเจา้ กบุ ไลขา่ น 116 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พื่อการศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สิทธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน

มชปหติ ค่นั กลาง ต่อศรวี ชิ ัย อำ� นาจขน้ึ มาขม่ ให้ศรวี ชิ ยั เลือนหายไป มาต้ังเมอื งตงั้ อาณาจกั รมุสลิมข้นึ ตามชายฝ่ังทะเลชวา ก่อนเข้ายุคมสุ ลมิ อยา่ งไรกต็ าม มชปหติ ก็เข้มแขง็ อย่ไู ด้ไม่นาน และแผศ่ าสนาอิสลามออกไป พอถงึ พ.ศ. ๒๐๐๐ เศษ เลก็ นอ้ ย จักรวรรดมิ ชปหิตก็ถงึ กาลอวสาน และชนมุสลิม พ.ศ. ๑๘๓๖ (ค.ศ. 1293) เกิดจักรวรรดมิ ชปหิต เพยี งราวศตวรรษเดียวก็ต้องสญู ส้ิน เพราะนอกจากความ กค็ รอบครองดนิ แดนทเ่ี ปน็ ประเทศอินโดนเี ซยี หมดสิน้ กล่าวคอื หลงั จากอาณาจกั รของราชวงศป์ าละ ทเี่ ป็น วุ่นวายภายในแล้ว ถึงเวลานี้ดินแดนแควน้ เบงกอลใน แดนพุทธสดุ ท้ายในชมพทู วีป ถกู มสุ ลมิ เตอร์กท�ำลาย อินเดยี ไดถ้ ูกชนมสุ ลิมเตอร์กเขา้ ครองแล้ว (ราชวงศเ์ สนะ สิ้นเม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๖๖๓/ค.ศ. 1120 แล้วตอ่ มา สิน้ พ.ศ. ๑๗๔๕/ค.ศ. 1202) อาณาจกั รศรวี ิชยั (อนิ โดนเี ซีย-มาเลเซยี ) และพระ พทุ ธศาสนาท่ีนน่ั ก็เส่อื มตามไปดว้ ย โดยเฉพาะในระยะ เม่อื จัดบ้านเมืองเข้าทแี่ ล้ว ถึง พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ พ.ศ. ๑๘๓๖ ไดม้ อี าณาจกั รใหมเ่ กดิ ขน้ึ ในชวาตะวนั ออก ชาวมุสลิมจากเบงกอลกม็ า เชน่ เดียวกบั ชาวมุสลิมอาหรบั อันเป็นอาณาจักรฮนิ ดู มชี ่ือว่าจักรวรรดิมชปหิต (Ma- จากอ่าวเปอร์เซยี ทีค่ า้ ขายสบื กันมา ชาวมุสลมิ เหล่านไี้ ด้ japahit Empire) มิชา้ มินานอาณาจักรฮนิ ดูนีไ้ ดเ้ รือง เตอรก์ ตั้งจกั รวรรดอิ อตโตมาน บูดาเปส ทย่ี ิ่งใหญ่-ยืนยาว เบลเกรด พ.ศ. ๑๘๓๓ (ค.ศ. 1290) เตอรก์ จากอาเซยี กลาง โรม อีกพวกหน่งึ ตอนแรกก็มาเป็นทหารรบั จา้ งอยู่ในกองทพั ของเซลจูกเตอรก์ นนั่ แหละ ต่อมาหลังยุคมงโกลทส่ี ืบจาก โซเฟยี ทะเลดำ� ทะเลแคสเปยี น เจงกสิ ขา่ นผา่ นพน้ แลว้ เตอรก์ สายนค้ี นหนง่ึ ไดต้ งั้ อาณาจกั ร เล็กๆ ขนึ้ มาในสว่ นหน่ึงของอนาโตเลีย (Anatolia=Asia ทรโิ ปลี ทะเลเมเดอิเเตธอนเรสเ์นยี น คอนสแตนตโิ นเปลิ Minor คอื เตอรก์ ภี าคตะวนั ออกทอ่ี ยใู่ นอาเซยี ) เปน็ สลุ ตา่ น อเลกซานเดรยี ไดช้ อื่ วา่ ออสมานที่ ๑ (Osman I) เปน็ ตน้ ราชวงศอ์ อตโตมาน เยดราูซมาสัเลกม็ ัสแบกแดด อาเซีย ซง่ึ ตอ่ มาจะเรอื งอำ� นาจเปน็ จกั รวรรดอิ อตโตมาน (Ottoman Empire) อนั ยง่ิ ใหญ่ และยนื ยาวกวา่ ๖ ศตวรรษ (สน้ิ สลาย อาฟรกิ า ไคโร อ่าวเปอร์เซีย เม่ือสดุ สงครามโลกครั้งที่ ๑ ใน พ.ศ. ๒๔๖๑=ค.ศ. 1918) มะดนี ะฮ์ การแผข่ ยายอาณาเขตในแตล่ ะยุค เมกกะ อาณาเขตดั้งเดมิ , 1300-1359 1359-1451 ทะเลแดง เยเมน 1451-1481 (เมห์เหมด็ ที่ ๒) 1512-1520 (เซลมิ ที่ ๑) จกั รวรรดอิ อตโตมาน 1520-1566 (สไุ ลมาน) 1566-1683 หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพื่อการศกึ ษาสว่ นตวั เท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 117

ยอ้ นทวนความ ก) ยคุ มุสลมิ อาหรับ ในชว่ งเดยี วกันนี้ ระยะปี ๑๒๔๘-๑๒๕๘/705- เส้นทางอิสลามสู่อินเดยี 715 ทัพมสุ ลิมอาหรบั กไ็ ด้บกุ ขน้ึ ไปปราบอาเซยี กลาง น�ำ พอถงึ ปี ๑๑๙๓ (ค.ศ. 650 คอื หลงั พระศาสดา ประชากรแถบนน้ั เข้าสู่อสิ ลาม พ.ศ. ๑๘๓๗ (ค.ศ. 1294) เป็นปเี รม่ิ ตน้ แหง่ การ มูฮมั มัดเสด็จส่สู วรรคเ์ พียง ๑๘ ปี หลงั ส้นิ รชั กาลพระเจ้า ขยายอ�ำนาจของชนมุสลมิ เตอร์ก ลงสทู่ ักษณิ าบถ หรือ หรรษะ ๓ ปี) กองทพั มสุ ลมิ อาหรับกบ็ กุ น�ำอสิ ลามขยาย ฝรงั่ บนั ทกึ ว่า ทพั มสุ ลมิ อาหรบั บกุ ถงึ ไหน ทัพ Deccan คอื ดนิ แดนส่วนลา่ ง หรอื ภาคใต้ของประเทศ เข้ามาถงึ บาลจู สิ ถาน (Baluchistan ในปากีสถาน) เข้าใน อินเดยี แมจ้ ะมีกำ� ลังพลเหนอื กว่ามากมายกย็ ่อยยับ อนิ เดยี ยอ้ นทวนความว่า หลังสน้ิ รัชกาลพระเจา้ หรรษะ เขตแห่งชมพทู วีป แหลกลาญและถูกสังหารอยา่ งผักปลาท่ีน่นั เพราะพวก หรือสีลาทติ ย์ใน พ.ศ. ๑๑๙๐ (ค.ศ. 647) แล้ว อนิ เดียก็ ฮนิ ดู (รวมท้งั ชาวพทุ ธ) มวั เพลนิ กบั ชวี ิตท่สี ขุ สบาย (กลาย ระส�ำ่ ระสาย ประจวบพอดวี ่าศาสนาอสิ ลามได้เกดิ ขนึ้ ที่ ตอ่ มาปี ๑๒๕๕/712 แม่ทัพอาหรับอายุเพียง ๒๐ เปน็ คนอ่อนแอและประมาท) แตอ่ าจเป็นเพราะอีกอย่าง อาหรบั ในตะวนั ออกกลาง แล้วแผข่ ยายมาอยา่ งรวดเรว็ ปี โดยความช่วยเหลือของคนฮินดูนักฉวยโอกาสทีม่ าเขา้ หน่งึ ดว้ ย คอื ทัพมุสลมิ ยกมาแบบสายฟ้าแลบ คาดไม่ถงึ กับศตั รู นำ� ทพั มุสลมิ เพียง ๖,๐๐๐ คน จากบาลจู สิ ถาน และใช้วธิ ฆี า่ ท�ำลายไมเ่ ลือก แบบท่ฝี า่ ยอินเดียไมค่ ุ้นและ บุกเข้ามาบดขยแ้ี ละยึดครองแควน้ สินท์ได้หมด (Sind ตัง้ รับไมท่ ัน แควน้ ลา่ งสดุ เขตปากสี ถานปัจจุบนั มกี าราจีเปน็ เมือง- หลวง ติดแดนอินเดีย) มหาวทิ ยาลยั วลภกี พ็ ินาศในยคุ นี้ จบสงครามครเู สดส์ ท่คี รสิ ต-์ อิสลามรบกนั มา ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๑๘๓๔ (ค.ศ. 1291) สงครามศาสนา ท่ี เรียกว่า ครเู สดส์ ทีช่ าวคริสต์ยกมารบกับมุสลมิ เพื่อ ชงิ เยรซู าเลม็ กลับคืน ซ่งึ ดำ� เนินมาเกือบเต็ม ๒๐๐ ปี (เร่ิม ค.ศ. 1095) รวมทง้ั หมด ๘ ครเู สดส์ จบสิ้นลงโดย เยรซู าเลม็ กอ็ ยใู่ นครอบครองของมุสลิมตามเดิม University of Texas Libraries 118 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพื่อการศึกษาสว่ นตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ต่อ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

ข) ยุคมสุ ลิมเตอรก์ เตอรก์ ลงใต้ ขยายอำ� นาจในทกั ษณิ าบถ ซาอดุ ี อฟั กานสิ ถาน จนี อาระเบยี เดลี เนปาล ต่อมามุสลมิ อาหรับออ่ นกำ� ลังลง และท่ีศนู ย์กลาง จากนนั้ อีกเกอื บ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๑๘๓๗ (ค.ศ. ปากสี ถาน หันไปเนน้ งานดา้ นสงบ พวกเตอรก์ ในอาเซียกลางที่เปน็ 1294) อาลา-อุด-ดิน ขลั ยี (Ala-ud-din Khalji) สลุ ต่าน มุสลิมแลว้ ก็ยกกำ� ลังออกขยายอ�ำนาจแผ่และพิทักษ์ แหง่ เดลนี ำ� ทัพม้า ๘,๐๐๐ ไมต่ อ้ งมีเสบียงเลย ออกจาก การาจี อสิ ลามแทน อินเดยี ภาคเหนือ โดยมุง่ ไปหาเงินทนุ มาใชจ้ ่ายในบ้าน เมืองและขยายกองทัพ ข้ามเทอื กเขาวนิ ธยะ เขา้ สแู่ ดน อนิ เดีย พ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206) หลงั จากเขา้ อินเดีย ทักษณิ าบถ บุกตีเร่อื ยไปในแดน Deccan ตลอดระยะ ภาคเหนอื เผาและฆา่ กราดไปทัว่ ซงึ่ เป็นเหตุสุดท้ายให้ ทาง ๘๐๐ กม. จบลงดว้ ยการพชิ ติ เมืองเทวครี ี ราชธานี ยังต้องการทุนทรัพย์เพม่ิ อกี ดงั นั้น หลังจากขยายดนิ แดน พุทธศาสนาหมดส้นิ จากอนิ เดยี แลว้ กเ็ ริ่มยุคสลุ ต่านแห่ง ของอาณาจักรยาทวะ (ยาทพ) ทีม่ อี ำ� นาจเข้มแข็งที่สุดใน ในภาคเหนอื เสรจ็ ไปอกี ระยะหนง่ึ สลุ ตา่ นกย็ กทพั ลงใตอ้ กี เดลี ทอี่ นิ เดยี ภาคเหนือเปน็ จักรวรรดิมสุ ลมิ เหลือเจา้ อนิ เดียใต้ลงเสรจ็ ในปี ๑๘๓๙ ได้ทนุ ทรพั ยม์ ายังเดลีอยา่ ง โดยมใิ ช่มุ่งไปครอบครองดนิ แดน แต่มงุ่ ขนเอาทรพั ย์มา ฮินดเู พียงหย่อมเล็กหย่อมนอ้ ยท่ีจะตอ้ งปราบตอ่ ไป มากมายมหาศาลแม้จะได้ทรพั ย์ไปมากมายและวางระบบ และปราบพวกกษัตรยิ ฮ์ ินดูใหย้ อมรบั อ�ำนาจเป็นเมอื งขนึ้ เก็บภาษีข้นึ ใหม่อย่างมปี ระสิทธิภาพ แต่สุลตา่ นแหง่ เดลกี ็ เพ่ือสง่ เครื่องราชบรรณาการมาใหเ้ ปน็ ประจ�ำตอ่ ไป เทมาเส็ก ได้ช่อื สิงหปุระ คอื สิงคโปร์ (อกี ราว ๑๐๐ ปตี อ่ จากน้ี เจา้ ปรเมศวรจะหนี จากสมุ าตรามาขน้ึ ทนี่ ี่ ฆา่ เจา้ ผ้คู รองและยึดสงิ คโปร์ แต่ พ.ศ. ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1299) เม่ืออาณาจกั รศรวี ิชยั ถูกสยามหรอื มชปหติ ตามลา่ และท�ำลายเมืองสิงคโปร์ จงึ ทป่ี าเลมบัง บนเกาะสมุ าตรา เส่อื มอ�ำนาจแล้ว ต�ำนาน หนีต่อไปข้นึ ทใ่ี กลป้ ลายแหลมทอง นำ� ความเปน็ มลายู มลายู (หมายถงึ มลายูในถ่นิ เดิมบนเกาะสมุ าตรา) เล่าว่า ไปตงั้ อาณาจกั รมะละกา ทเ่ี ปน็ ตน้ ก�ำเนดิ ของประเทศ เจา้ ผู้หนง่ึ ซ่ึงครองเมืองทนี่ นั่ แลน่ เรอื จากสุมาตรามาขึน้ ท่ี มาเลเซยี ) เกาะเทมาเส็ก/เตมาเสก หรือทมู าสิก/ตมู าสิก (Tema- sek/Tumasik แปลวา่ ดนิ แดนมีนำ้� ล้อมรอบ แต่บางท่าน ว่าอาจเพีย้ นจาก “ธรรมศิกษ”์ ) แลว้ ตั้งเปน็ เมืองโดยเป็น ราชาหรือเจา้ ผูค้ รองคนแรก และตง้ั ชื่อทน่ี น่ั ว่า สิงหปรุ ะ (ต่อมาเพีย้ นเป็นสิงคโปร์) เพราะไดเ้ ห็นสตั วต์ ัวหนึ่งคล้าย ราชสีห์ (แตบ่ างต�ำนานวา่ พระเจ้าราเชนทรที่ ๑ จาก อาณาจักรโจฬะ ได้ตงั้ ชอื่ สงิ หปรุ ะ ต้งั แตม่ าตไี ด้ในปี ๑๕๖๘/1025 แลว้ ) ห้ามซือ้ -ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พอ่ื การศึกษาสว่ นตัวเท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 119

อาณาจกั รทมิฬสิน้ อ�ำนาจ พอถึงปี ๑๘๕๒/1309 สลุ ต่านแห่งเดลปี ราบ สุลตา่ นแหง่ เดลี ใกล้ส้นิ อำ� นาจ เปล่ียนเป็นของมสุ ลมิ อินเดยี ใตไ้ ดห้ มดแล้ว กส็ รา้ งมสั ยดิ ไว้ทีแ่ หลมโคโมรนิ (Cape Comorin) ซ่งึ เป็นส่วนปลายใตส้ ุดของผืนแผน่ ดนิ อย่างไรกต็ าม หลังจากสุลตา่ นอาลา-อดุ -ดนิ ขลั ยี หนั กลบั ไปดดู นิ แดนชาวทมฬิ ในอนิ เดยี ใต้ ทอี่ าณา- อินเดยี เป็นเครอ่ื งหมายวา่ ประเทศอินเดยี ได้เปน็ ดนิ แดน ส้นิ ชีพในปี ๑๘๕๙/1316 แลว้ ไดเ้ กดิ การแยง่ ชิงอ�ำนาจ จักรปาณฑยะได้มชี ยั ชนะอาณาจกั รทแี่ ขง่ อ�ำนาจกันมา ของจักรวรรดมิ สุ ลิมหมดสน้ิ แล้ว เกดิ ราชวงศใ์ หม่ และมคี วามวุ่นวายต่างๆ บางอาณาจักร ทง้ั หมดตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๘๒๒ และครองอำ� นาจสบื มา แตเ่ มอ่ื ก็แขง็ เมือง อีกท้ังพวกมงโกลก็คอยมาตี จนสลุ ต่านถึง ทัพมสุ ลมิ เตอรก์ ลงมาอนิ เดยี เหนอื แลว้ พอถงึ ปี ๑๘๕๐/ กบั มาตง้ั เทวครี ี (Devagiri=Daulatabad) ในภาคใตเ้ ป็น 1310) กองทพั มสุ ลมิ เตอรก์ ของสุลต่านแห่งเดลีก็รุกผา่ น เมืองหลวงที่ ๒ ในปี ๑๘๗๐/ค.ศ. 1327 ทั้งเพ่ือคมุ ภาค ทกั ษณิ าบถเขา้ มา ตเี อาอาณาจกั รปาณฑยะเขา้ ไวใ้ ตอ้ ำ� นาจ ใตท้ ่มี ั่งคัง่ อดุ มสมบรู ณไ์ ว้ และเพ่ือต้งั หลักสูก้ บั พวกมงโกล จากที่มัน่ ซง่ึ ปลอดภัยจากศัตรู (สลุ ตา่ นแหง่ เดลปี กครองปาณฑยะตอ่ มาจนกระทง่ั อาณาจกั รฮนิ ดสู ดุ ทา้ ยทตี่ ง้ั ตวั ขนึ้ มาไดใ้ หมค่ อื วชิ ยั นครเขา้ อย่างไรก็ตาม อำ� นาจสูงสดุ ของสุลตา่ นแหง่ เดลี ครองแทนในปี ๑๙๒๑/1378 ก่อนที่จกั รวรรดิวิชยั นคร คงอย่ไู ด้เพยี งถึงปี ๑๘๗๘/1335 จากน้ันเมอื่ เรอื่ งว่นุ วาย นัน้ เองจะถูก ๔ อาณาจกั รมุสลิมรวมกำ� ลงั กันท�ำลายจบ เกิดขน้ึ เร่อื ยๆ สลุ ต่านกป็ ราบไม่ไหว อาณาจักรตา่ งๆ ก็ ส้นิ ไปในปี ๒๑๐๘/1565 แล้วดินแดนแถบนี้ท้งั ปวงกต็ ก เปน็ อสิ ระแยกออกไปๆ พอถงึ ปี ๑๘๙๔/1351 อนิ เดยี เปน็ ของมสุ ลมิ หมดสน้ิ ) ภาคเหนอื ก็มีแตก่ บฎใหป้ ราบ ภาคใต้ก็หลุดจากอ�ำนาจ ไทยตัง้ อยุธยา ลาวต้ังลา้ นช้าง พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) ทป่ี ระเทศไทย พระเจา้ อทู่ อง (รามาธบิ ดที ี่ ๑) ตั้งกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๖ (ค.ศ. 1353) ท่ีเมอื งลาว เจ้าฟ้างุ้ม ตัง้ อาณาจักรล้านชา้ ง เป็นอิสระจากขอม ครองราชย์ ที่เมอื งหลวงพระบาง ยกพระพุทธศาสนาเถรวาทเปน็ ศาสนาประจ�ำชาติ 120 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพอื่ การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ นั้น ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน

ยอ้ นประวตั ขิ องวิชยั นคร มงโกลมา-เดลมี อด โดยเฉพาะในภาคใตน้ น้ั ไดม้ อี าณาจกั รฮนิ ดเู กิด ตมี รู ์ลงมาจากอาเซยี กลาง แผ่อำ� นาจไปในทตี่ า่ งๆ ขน้ึ ใหมท่ ยี่ ง่ิ ใหญ่ ซงึ่ มปี ระวตั วิ า่ เมอื่ สลุ ตา่ นแหง่ เดลปี ราบ แลว้ พ.ศ. ๑๙๔๑ (ค.ศ. 1398) ตีมรู ์ นำ� ทพั มงโกลมา อาณาจกั รกัมปลิ ลี งในปี ๑๘๗๐/1327 แล้ว ไดน้ �ำตัว บกุ ทำ� ลายล้างเดลีพินาศแหลกลาญ สังหารคนในเดลีไป ขา้ ราชการสองคนพน่ี อ้ ง ชอ่ื หกั กะ และพกุ กะ หรอื หรหิ ระ ๘๐,๐๐๐ ก�ำจัดสุลต่านแหง่ เดลี และวรี พกุ กะ ไปกรงุ เดลี ใหเ้ ปลย่ี นศาสนาเปน็ คนมสุ ลมิ แลว้ ก็ส่งกลบั มาปกครองกัมปลิ ี โดยเปน็ เมอื งข้ึนของสลุ ต่าน แม้เขาจะผา่ นไป ไม่อยยู่ ึดครอง กท็ �ำให้ระบบ สุลต่านแห่งเดลีออ่ นเปล้ียปอ้ แป้ แตพ่ อถึงปี ๑๘๗๙/1336 สองพีน่ ้องไดป้ ระกาศ อิสรภาพไม่ข้นึ ตอ่ เดลี และหันกลับไปเปน็ ฮินดู ต้งั แตน่ ัน้ มา สุลตา่ นแหง่ เดลีก็นับไดว้ ่าถงึ กาลอวสาน อาณาจักรช่อื “วชิ ยั นคร” ขนึ้ มา ซ่งึ เปน็ ดินแดนสุดทา้ ย มีสถานะเหลืออยู่เพยี งเป็นอาณาจักรหน่ึงทีแ่ ยง่ ชงิ อ�ำนาจ ที่ยืนหยดั รกั ษาอ�ำนาจของฮินดสู ว่ นหน่งึ ไว้ใหย้ ืนยงอยู่ กันกับอาณาจกั รอืน่ ๆ ในอินเดียเหนือ ทา่ มกลางพลานภุ าพของมสุ ลมิ ยนื ยาวมาไดอ้ กี กวา่ ๒๐๐ ปี Hampi ในวชิ ัยนคร สว่ นทางด้านกรงุ เดลี เหตกุ ารณย์ ่ิงเสอื่ มทรามลง จนในทีส่ ดุ ก็ถูกพวกมงโกลเขา้ มาทำ� ลายแหลกลาญ พระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศ์ พระเจา้ ลไิ ท ขออาราธนาพระสงั ฆราชสมุ นเถร พรอ้ ม เข้าสู่ล้านนา ดว้ ยพระบรมสารีริกธาตุ ไปยงั ลา้ นนา เป็นการเริม่ ต้น พทุ ธศาสนาแบบลังกาวงศ์ในล้านนา และเพ่อื บรรจุ พ.ศ. ๑๘๙๘–๑๙๒๘ (ค.ศ. 1355/1385) ที่ พระบรมสารีริกธาตุทอี่ ัญเชญิ มานนั้ จึงมีการสร้างพระ อาณาจกั รล้านนา ซงึ่ พระเจา้ เมง็ ราย (พญามงั ราย ก็วา่ ) ธาตุเจดียท์ ว่ี ดั บบุ ผาราม (คอื วดั สวนดอก, เสรจ็ พ.ศ. ทรงเป็นตน้ ราชวงศเ์ ริม่ แต่ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๒ และ ๑๙๑๗) และพระธาตดุ อยสเุ ทพ (เสร็จ พ.ศ. ๑๙๒๗) ทรงสร้างเมอื งเชยี งใหม่เป็นราชธานเี สรจ็ ใน พ.ศ. ๑๘๓๕ (ชือ่ ทต่ี ง้ั วา่ “นพบรุ ศี รนี ครพิงค์เชยี งใหม”่ ) ถงึ บัดน้เี ป็น รชั กาลพระเจ้ากือนาธรรมิกราช ครงั้ หนงึ่ ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๓ พระเจ้ากอื นา (หรอื ตือ้ นา) ทรงสง่ ราชทูตมายัง เจา้ ฟ้างุ้ม 121 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพื่อการศึกษาสว่ นตัวเท่านั้น ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น

มงโกลระลอกใหม่ ย้อนกลับมาบุกอนิ เดยี ในปี ๑๙๔๑ (เจงกสิ ขา่ นไม่ไดเ้ ขา้ เทคโนโลยี: เกาหลีอีกก้าวในการพมิ พ์ ตีหมด อินเดยี จดรัสเซีย อินเดีย) ท�ำลายล้างเดลีราบเรียบ พ.ศ. ๑๙๓๕ (ค.ศ. 1392) ทเ่ี กาหลี มีคน พ.ศ. ๑๙๑๓ (ค.ศ. 1370) ตีมรู ์ หรือ แทมมาเลน ในปีต่อมา ตีมูร์ยกทพั ไปตีซเี รีย แลว้ เขา้ พิฆาตถึง ประดษิ ฐ์ตัวเรียงพิมพ์โลหะข้นึ แล้ววิธกี ารน้ีกแ็ พร่ขยาย (Timur หรือ Timour หรือ Tamerlane หรอื Timur เมอื งองั การา (Ankara ปจั จบุ นั คอื เมอื งหลวงของเตอรก์ ี) ไป และปรากฏวา่ ไปเป็นประโยชน์แก่การพิมพภ์ าษาของ Lenk=Timur the Lame=ตีมูรผ์ ู้กะเผลก) ราชาแหง่ จบั สุลตา่ นของออตโตมานเตอร์กไดใ้ นปี ๑๙๔๕ จาก ยุโรป (มากกว่าพิมพ์ภาษาเกาหลีและจีน เปน็ ต้น) หมู่ชนเตอรก์ -มงโกล จากอาเซยี กลาง ซงึ่ เป็นมสุ ลมิ แลว้ นั้นเขาคดิ การจะเขา้ บกุ จนี แตไ่ ด้สน้ิ ชีพเสยี ในปี ๑๙๔๘ และอา้ งตนวา่ สบื เชอ้ื สายจากเจงกสิ ขา่ น (Genghis Khan; (ค.ศ. 1405) ราชวงศต์ มี หู รดิ (Timurids) ของเขาสบื ยอมรับกันวา่ รบเก่งปานกบั เจงกิสข่าน แตโ่ หดรา้ ยกว่า) อ�ำนาจมาไม่นานกค็ ่อยๆ เลอื นลางไป ตั้งเมืองหลวงทีส่ ะมาร์กานท์ (Samarkand) เมอื่ ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๓ อย่างไรกด็ ี อีกศตวรรษเศษตอ่ มา (พ.ศ. ๒๐๖๙= ค.ศ. 1526) ผสู้ บื สายทา้ ยวงศข์ องตมี รู ์ คอื บาเบอร์ (Babur จากนนั้ ยกทพั แผอ่ ำ� นาจขยายดนิ แดนลงมา พฆิ าต หรอื Baber) จะมากำ� จัดสลุ ตา่ นแหง่ เดลแี ละต้งั ราชวงศ์ ทง้ั กษัตริยแ์ ละราษฎร ผา่ นอัฟกานสิ ถานเขา้ ในตะวนั ออก โมกลุ ขึน้ ครองอินเดียแทนทีส่ บื ตอ่ ไป กลาง ตง้ั แต่อิหร่าน อริ ัก ไปจนถึงเขตรัสเซยี เสร็จแลว้ พกุ าม สยาม ทะเลจีนใต้ สุมาตมระาละปกะาหตังมู าสกิ บอรเ์ นยี ว ปาเลมบงั ชวา จากซ้าย: ตมี ูร์ มะละกา 122 หา้ มซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พือ่ การศกึ ษาสว่ นตัวเท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน

กำ� เนดิ อาณาจกั รมสุ ลิม อานุภาพของจนี คุ้มครองมะละกา แต่ จดุ เริ่มของมาเลเซีย พอโปรตุเกสมา ชอื่ มะละกาก็ลบั หาย พ.ศ. ๑๙๔๖ (ค.ศ. 1403) ทางปลายแหลมมลายู พ.ศ. ๑๙๔๘ (ค.ศ. 1405) หลงั จากเจา้ ปรเมศวร กรงุ ศรีอยุธยาไดส้ ่งกองทัพมาปราบเป็นคราวๆ เกิดอาณาจกั รมะละกา (Melaka เคยเรียก Malacca) ซึง่ ซง่ึ หนจี ากปาเลมบงั ได้น�ำความเป็นมลายูแหง่ สุมาตรา แต่กถ็ กู ตีพ่ายกลับไปทกุ ครั้ง กระทงั่ ในรชั กาลสมเด็จ ถือว่าเป็นตน้ กำ� เนิดประเทศมาเลเซีย และท�ำให้อสิ ลาม มาตงั้ อาณาจกั รทมี่ ะละกาใน ปี ๑๙๔๖ แล้ว เวลาน้นั ทัง้ พระบรมไตรโลกนาถกท็ รงส่งกองทัพมาตี ๒ ครงั้ คร้นั ถงึ เป็นศาสนาของประเทศน้ี มชปหติ และสยามต่างกอ็ ้างอำ� นาจครอบครองท่นี ั่น แต่ ปี 1456 จักรพรรดิจนี ไดท้ รงมอบอิสรยิ ยศ “สลุ ตา่ น” แก่ สยามฝ่ายเดยี วทีม่ ีกำ� ลงั จัดการถงึ ได้ เจ้าปรเมศวรต้อง เจา้ ผ้คู รองมะละกา ปรากฏตอ่ มาว่า อยุธยากับมะละกา แตเ่ ดมิ นนั้ แหลมมลายแู ทบทงั้ หมดอยใู่ นอาณาจกั ร ข้นึ ต่อสยาม แตจ่ ะตง้ั ตัวเปน็ อิสระจงึ ไดห้ นั ไปพ่ึงอ�ำนาจ ได้สงบศึก และส่งราชทตู แก่กนั แต่ในรัชกาลสดุ ทา้ ยของ ศรวี ิชัยมาตลอด ค.ศต. ที่ 9-13 ต่อมา หลังจากศรวี ิชัย จนี มาคมุ้ ครอง โดยเจรจาความฝากคณะทตู จีนที่มาเยือน มะละกา (1488-1511/๒๐๓๑–๒๐๕๔) สงครามก็เกิด เสอ่ื มอำ� นาจแล้ว ในปี ๑๙๔๔ เมื่ออาณาจักรมชปหิต แล้วในปี 1405 ก็ได้ส่งคณะทตู ของตนไปยังราชส�ำนักจีน ขึ้นอกี เพราะสยามถอื ว่ามะละกาอยู่ในเขตอ�ำนาจ แต่ แหง่ ชวาคุกคามปาเลมบังในสมุ าตรา เจา้ ชายฮนิ ดนู ามวา่ และจนี กย็ อมรับสถานะของมะละกา มะละกาบอกวา่ เจา้ ใหญ่ของตนมีแต่พระจักรพรรดจิ นี ปรเมศวรไดห้ นีมาต้งั หลกั ทเี่ กาะตมู าสิก หรอื เตมาเสก เทา่ น้นั กองทัพเรือของอยธุ ยาถกู ตพี ่ายกลบั ไป แตถ่ งึ ปี แต่เวลานน้ั แหลมมลายูตลอดถงึ เตมาเสก อยู่ในเขต เวลานน้ั เปน็ จงั หวะทจ่ี กั รพรรดยิ งุ โล แหง่ ราชวงศ์ 1511 โปรตเุ กสก็มายึดมะละกาได้ คร้ังนน้ั สุลตา่ นส่งทูต อ�ำนาจของสยาม เม่ือเจา้ ปรเมศวรขึ้นมาฆ่าเจา้ ผคู้ รอง หมิงของจนี ตอ้ งการแสดงอ�ำนาจควบคุมนา่ นน�้ำและดนิ ไปขอความช่วยเหลือจากจนี เพ่ือสูก้ บั โปรตุเกส แตพ่ ระ เกาะแลว้ ในปตี อ่ มา กถ็ กู ราชาแหง่ ปะหงั หรอื แห่งปัตตานี แดนแถบนี้ จึงส่งกองเรอื รบใหญ่ มีเรอื ๖๒ ล�ำ ก�ำลงั พล จกั รพรรดิจนี ทรงอา้ งว่าทางกรงุ จีนก�ำลงั มศี ึกกับพวกตาด ซ่ึงอยกู่ ับสยาม ยกก�ำลงั มากำ� จดั จงึ หนตี ่อจนขึ้นมาตง้ั ๒๗,๘๐๐ คน โดยนายพลขันทชี าวมุสลมิ ชอื่ เจงโฮ เปน็ ผู้ ไมอ่ าจชว่ ยได้ มะละกากต็ กเป็นอาณานคิ มของโปรตุเกส อาณาจกั รทม่ี ะละกา ซงึ่ เวลานั้นเป็นหมบู่ ้านชาวประมง บัญชาการ ออกตระเวนแสดงอานภุ าพในปี 1405/๑๙๔๘ แตน่ ัน้ สืบมา จนกระทัง่ พวกดัทช์ (ฮอลนั ดา) มาแยง่ เอา เลก็ ๆ แลว้ กเ็ ขา้ องิ อำ� นาจของจนี เปน็ เกราะกนั สยาม กองเรอื แวะทเี่ มอื งจัมปา สยาม มะละกา ชวา บางเมือง ไปในปี 1641/๒๑๘๔ แล้วมาจบทีอ่ ังกฤษเข้าขดั ในปี ในทีส่ ดุ ได้เขม้ แข็งขึน้ จนกลบั เป็นฝา่ ยรุก เชน่ ตีปะหังได้ ทางใตข้ องอนิ เดีย จนถึงลงั กา แล้วกลบั ถงึ จีนในปี 1407 1795/๒๓๓๘ และเข้าครองเตม็ ตวั โดยรวมทงั้ สิงคโปร์ใน จากสยาม และตอ่ มากข็ ยายดินแดนไปท่วั แหลมมลายู ตอ่ มา ในปี 1409 เจงโฮไดน้ �ำกองทัพเรอื ออกตระเวนเปน็ ปี 1826/๒๓๖๙ เพ่งิ ได้เอกราชในชอ่ื ว่า Federation of ครัง้ ที่ ๒ คราวนไี้ ดน้ �ำเครอื่ งราชอสิ ริยยศทพ่ี ระจักรพรรดิ Malaya เมื่อปี 1957/๒๕๐๐ แล้วรวมตัวกันกอ่ ต้งั เป็น ใน พ.ศ. ๑๙๕๗ (ค.ศ. 1414) เจา้ ปรเมศวร มี จีนพระราชทานมามอบใหแ้ ก่เจ้าปรเมศวร ประกาศให้ มาเลเซยี (ชื่อเตม็ วา่ Federation of Malaysia) ในปี ชนมายุ ๗๐ พรรษา ได้อภเิ ษกสมรสกับเจ้าหญงิ มสุ ลมิ เปน็ พระราชา แตน่ ไ้ี ป มะละกาซง่ึ พยายามแขง็ ขนื ตอ่ สยาม 1963/๒๕๐๖ (แตส่ งิ คโปรถ์ อนตัวออกไปในปี 1965/ เปลย่ี นศาสนาไปเป็นมสุ ลิม และเปลีย่ นพระนามเปน็ อยู่แลว้ ก็เลิกส่งเครอื่ งราชบรรณาการแก่กรุงศรอี ยธุ ยา ๒๕๐๘) สลุ ตา่ นนามวา่ อซิ กนั ดาร์ ชาฮ์ นอกจากประชากรท่ีนั่น ต่อมา เจ้าปรเมศวรได้เดินทางไปคารวะพระจักรพรรดิ สว่ นใหญจ่ ะเปล่ยี นไปเปน็ มสุ ลมิ แล้ว อาณาจักรมะละกา ยงุ โล ทเี่ มอื งจีน ถงึ ๒ ครง้ั (1411 และ 1419) ได้เป็นแหล่งแพร่อิสลามไปในหมูเ่ กาะอินโดนเี ซยี ดว้ ย (มะละกาจะตกเปน็ ของโปรตเุ กสใน พ.ศ. ๒๐๕๔/ค.ศ. 1511) หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพอ่ื การศึกษาส่วนตวั เท่านัน้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลขิ สิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 123

ยคุ อาณานิคม โปรตุเกส เริ่มยุคอาณานิคม ใตไ้ ด้ในปี ๒๐๓๑/1488 ตอ่ ด้วยโคลมั บัสคน้ พบอเมรกิ า พ.ศ. ๑๙๖๑ (ค.ศ. 1418) คนโปรตเุ กสไดช้ อื่ วา่ ในนามของสเปนในปี ๒๐๓๕/1492 จากนั้น ประเทศทง้ั เป็นชาวยุโรปพวกแรกทส่ี ่งเสริมการสำ� รวจและการหา หลายในยโุ รปแถบรมิ ฝ่ังมหาสมทุ รแอตแลนติกส่วนมาก อาณานคิ มทางทะเล โดยเร่มิ แรกไดแ้ ล่นเรอื จากฝัง่ ทะเล กพ็ ากันออกเดนิ เรือแสวงหาอาณานิคม ไดแ้ ก่ ฮอลนั ดา อาฟรกิ าตะวนั ตกไปยงั เกาะปอรโ์ ต แซนโต (Porto Santo (ตง้ั Dutch East India Company ในปี ๒๑๔๕/1602, ในหมเู่ กาะมาเดยี รา/Madeira Islands) ตอ่ นน้ั กว่าจะถงึ Dutch West India Company, ๒๑๖๔/1621) อังกฤษ ปี ๒๐๓๐ เขากไ็ ปถงึ สุดปลายทวปี อาฟริกา (British East India Company, ๒๑๔๓/1600) และ ฝรง่ั เศส (French East India Company, ๒๒๐๗/1664) โปรตเุ กสเปิดทางเดนิ เรอื ทะเลรอบอาฟริกาด้าน จนี พมิ พ์หนังสือสรรพวิทยา พ.ศ. ๑๙๔๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1405) ท่เี มอื ง จีน จกั รพรรดิยุงโล แหง่ ราชวงศห์ มงิ ใหน้ กั ปราชญ์ ค้นคว้า และพมิ พ์หนังสอื ประมวลสรรพวทิ ยา เมอื่ เสร็จมี จ�ำนวนกว่า ๑๒,๐๐๐ เลม่ เปน็ encyclopedia ชดุ ใหญ่ ที่สดุ ที่เคยมี บน: Yongle Encyclopedia ออตโตมานเตอร์ก ขวา: จกั รพรรดยิ ุงโล แผนทด่ี ินแดนทีพ่ บใหม่ หลังถูกมงโกลตี ตั้งตัวได้ใหม่ พ.ศ. ๑๙๕๖ (ค.ศ. 1413) ตมี รู ์รบชนะแลว้ กผ็ ่าน University of Texas Libraries เลยไป พวกออตโตมาน-เตอร์กทแ่ี ทบจะอวสาน กต็ ้ังตัว ขึ้นใหม่ ต่อจากนีก้ ม็ แี ต่ขยายอำ� นาจออกไป จนยงิ่ ใหญ่ ที่สุดในชว่ ง พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๑๐๙ ( ค.ศ. 1520-66) 124 ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาส่วนตวั เท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ิขสิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน

พบพระแก้วมรกต ท่ีเชยี งราย สังคายนาครั้งแรกของประเทศไทย สดุ ทา้ ย ประดษิ ฐานทีก่ รงุ เทพฯ พ.ศ. ๑๙๗๘–๒๐๓๐ (ค.ศ. 1435-1487, บ้างวา่ พ.ศ. ๑๙๗๗ (ค.ศ. 1434, บ้างวา่ ๑๙๗๙/1436) ๑๙๗๕–๒๐๓๑/1432-1488) ท่อี าณาจักรล้านนา เป็น ทีอ่ าณาจักรลา้ นนา ในรชั กาลพระเจา้ สามฝ่งั แกน พระ รชั กาลพระเจา้ ตโิ ลกราช โอรสของพระเจา้ สามฝั่งแกน สถปู ใหญ่เกา่ แก่องค์หนง่ึ ณ เมืองเชยี งราย ตอ้ งอสนบี าต พระองค์เคยทรงผนวชทว่ี ัดปา่ แดงเมื่อปี ๑๙๙๐ ครัน้ พังลง ไดพ้ บพระแก้วมรกต (หนงั สอื รตั นพิมพวงศ์ ถงึ พ.ศ. ๒๐๒๐ ไดท้ รงอุปถัมภ์การสงั คายนาครัง้ แรก ว่า เทวดาสรา้ งถวายพระนาคเสนอรหนั ตเถระ ทเ่ี มือง ของประเทศไทย (นบั ต่อจากทีล่ งั กา เปน็ คร้ังท่ี ๘) ณ วัด ปาตลีบุตร ตอ่ มาไปอยู่ในลงั กาทวีป แลว้ มากัมโพชา โพธาราม หรือวัดเจ็ดยอด เมอื งเชยี งใหม่ ศรอี ยธุ ยา ละโว้ ก�ำแพงเพชร แล้วจึงมาถึงเชียงราย เจ้า เมอื งเชยี งรายจะซ่อนแกศ่ ตั รู จึงเอาปูนทาลงรกั ปิดทอง จากซ้าย: บรรจไุ ว้ในพระเจดีย)์ หลังจากเหน็ องค์จริงและแกะปนู พระแก้วมรกต ออกแล้ว ได้ประดษิ ฐานท่ีวัดพระแก้ว เมืองล�ำปาง จาก วดั เจ็ดยอด น้ัน ได้ไปประดิษฐานที่เมอื งเชยี งใหมใ่ นปี ๒๐๑๑/1468 ต่อมา อญั เชญิ ไปสถิตทเี่ มอื งหลวงพระบางใน พ.ศ. ๒๐๙๕/1552 แลว้ ย้ายไปประดิษฐานที่เมืองเวยี งจันทน์ ในปี ๒๑๐๗/1564 หลังจากนน้ั อัญเชิญมาประดิษฐานที่ โรงพระแกว้ ในพระราชวังเดิม กรงุ ธนบุรี เม่ือปี ๒๓๒๑/ 1778 จนในทส่ี ดุ ณ วันจนั ทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ คำ่� ปี มะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗/1784 ในรชั กาลท่ี ๑ แห่งกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ โปรดฯ ให้อญั เชญิ มาประดษิ ฐานในพระ อุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ จนบัดน้ี หา้ มซือ้ -ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พื่อการศึกษาสว่ นตัวเท่าน้นั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 125

บา้ นเมอื งมั่นคงลงตัวเข้มแข็ง วดั วาเป็น แหล่งการศึกษาของชาวบ้านชาวเมอื ง พ.ศ. ๑๙๙๑–๒๐๓๑ (ค.ศ. 1448-1488) ท่ีกรุง ศรีอยธุ ยา หลงั จากพระเจ้าอ่ทู อง หรอื สมเดจ็ พระรามา- ธบิ ดที ่ี ๑ ขน้ึ เสวยราชยเ์ ปน็ ปฐมกษตั รยิ ใ์ นปี ๑๘๙๓/1350 และสวรรคตในปี ๑๙๑๒/1369 แลว้ ผ่านรชั กาลตา่ งๆ คือ พระราเมศวร (๑๙๑๒ และ ๑๙๓๑–๑๙๓๘) สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขนุ หลวงพะง่ัว (๑๙๑๓– ๑๙๓๑) เจา้ ทองลนั (๑๙๓๑ เพยี ง ๗ วนั ) สมเดจ็ พระราม- ราชาธริ าช (๑๙๓๘–๑๙๕๒) สมเดจ็ พระนครอนิ ทราธริ าช (๑๙๕๒–๑๙๖๗) สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ หรือ เจา้ สามพระยา (๑๙๖๗–๑๙๙๑) มาโดยลำ� ดบั 126 ห้ามซอ้ื -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่ือการศกึ ษาสว่ นตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน

บดั น้ี ๑ ศตวรรษล่วงแลว้ หลงั การตง้ั กรงุ ศร-ี ทรงทำ� สงครามกับพระเจ้าตโิ ลกราช บอ่ ยคร้งั อยา่ งท่ี ในรชั สมยั ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถน้นั อยุธยา เป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พดู ได้สน้ั ๆ วา่ “ไตรโลก” คศู่ ึกกบั “ติโลก” จนใน ไดท้ รงจัดระบบการปกครองแผ่นดนิ น�ำหลกั จตุสดมภ์ ทส่ี ดุ ทางเชียงใหม่ขอเป็นไมตรใี นปี ๒๐๑๗/1474 แต่ ท่มี ีแต่เดิมสมัยพระเจ้าอู่ทอง มาวางใหเ้ ป็นแบบแผน เมอื่ ต้งั อาณาจักรขน้ึ ใหม่ ภารกิจส�ำคญั อยา่ งหน่งึ ในรชั กาลต่อๆ มา ก็มกี ารขดั แยง้ กันอีก จนสุดท้าย ทง้ั รอบคอบยง่ิ ขน้ึ เรมิ่ แต่การปกครองราชธานี แยกเป็นการ คือการจัดการเขตปกครองกบั อาณาจักรข้างเคยี ง เฉพาะ เชียงใหมแ่ ละกรุงศรอี ยุธยา ก็เสยี แก่พระเจ้าบเุ รงนอง ทหาร (มีสมหุ พระกลาโหม) ฝา่ ยหนงึ่ กับการพลเรอื น (มี อย่างยง่ิ กบั สโุ ขทยั ที่เคยครอบครองดนิ แดนแถบน้ันมา แห่งพมา่ ในปี ๒๑๐๑/1558 และ ๒๑๑๒/1569 ตาม สมุหนายก) ทีจ่ ดั เปน็ จตุสดมภ์ (เวยี ง วัง คลงั นา) ฝ่าย ก่อน แตก่ ารน้ีมไิ ดใ้ ชเ้ วลานาน เพียงถงึ ปี ๑๙๒๑/1378 ลำ� ดบั โดยเฉพาะเชียงใหมน่ ้ัน ในทส่ี ดุ พระเจ้าบุเรงนอง หนึ่ง ส่วนการปกครองหวั เมอื ง แบ่งเปน็ หัวเมืองชน้ั ใน ในรัชกาลขนุ หลวงพะงวั่ พระเจ้าไสยลอื ไทยกย็ อมข้นึ ตอ่ ถึงกบั ใหโ้ อรสมาครองในปี ๒๑๒๑/1578 หลังจาก เมืองพระยามหานคร และเมอื งประเทศราช ซึง่ ทง้ั หมด กรุงศรีอยุธยา และดนิ แดนของสโุ ขทยั ได้ถกู แบง่ เปน็ ๒ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชประกาศอสิ รภาพจาก ใช้ระบบเดียวกบั ราชธานี ทรงวางลำ� ดบั ยศขา้ ราชการ (ที่ มณฑล มเี มืองหลวงทพ่ี ษิ ณโุ ลก กับทก่ี �ำแพงเพชร โดย พม่าในปี ๒๑๒๗/1584 และทรงชนะศึกยุทธหตั ถใี น ต่อมาเรยี กว่าบรรดาศกั ด)์ิ เป็น เจ้าพระยา พระยา พระ ใหพ้ ระเจา้ ไสยลือไทยไปครองพษิ ณุโลก คร้นั เม่ือกษัตรยิ ์ ปี ๒๑๓๕/1592 แลว้ ต่อมา ไดท้ รงแกไ้ ขปัญหาดา้ น หลวง ขนุ หมื่น พนั ทนาย พรอ้ มทัง้ ตง้ั พระราชกำ� หนด ท่คี รองพิษณุโลกพระองคต์ ่อมา (คอื พระมหาธรรมราชา เชียงใหม่ ทำ� ให้โอรสของพระเจา้ บเุ รงนอง (มงั นรธาช่อ) ศกั ดนิ า และทรงตงั้ กฎมนเทียรบาลให้รดั กุม ท่ี ๔) สวรรคต ใน พ.ศ. ๑๙๘๑/1438 สมเด็จพระบรม- ทค่ี รองเชียงใหม่ ยอมให้เชยี งใหมข่ ้ึนตอ่ กรงุ ศรีอยุธยา ไตรโลกนาถ ครั้งยังเป็นพระราเมศวร (โอรสของเจ้า ในปี ๒๑๓๘/1595 แต่ในกาลต่อๆ มา ทั้งสองกรุงกม็ ี ในด้านการพระศาสนา ต้ังแต่ตน้ รัชกาล โปรด สามพระยา) ซ่ึงมีพระชนนีเปน็ พระราชธิดาของพระ ปญั หากบั พม่าอีก จนท้งั เชียงใหมแ่ ละกรุงศรีอยุธยา ก็ ให้รอื้ พระราชวังแล้วสร้างวดั ขึน้ พระราชทานนามวา่ วดั มหาธรรมราชา คอื ทรงเปน็ เชอื้ สายทั้งราชวงศ์พระรว่ ง เสียแก่พระเจา้ อังวะแหง่ พมา่ ในปี ๒๓๐๖/1763 และ พระศรสี รรเพชญ์ (น้วี ่าตาม จุลยุทธการวงศ์ คือย้าย และราชวงศอ์ ู่ทอง ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้ไป ๒๓๑๐/1767 ตามลำ� ดับ ครัน้ เม่อื พระเจา้ ตากสิน พระราชฐาน แต่บางต�ำราว่าสรา้ งวัดนนั้ ในวงั ) และคงจะ ครองเมอื งพษิ ณุโลก เป็นอันรวมอาณาจกั รสุโขทัยเดิมเข้า มหาราชทรงตั้งกรงุ ธนบรุ ีในปี ๒๓๑๐ นั้นแลว้ ตอ่ มา ทรงดำ� เนนิ ตามอย่างพระมหาธรรมราชาลไิ ท เม่อื ไดท้ รง กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ สยามประเทศอันเดยี วกนั แมเ้ ม่อื ก็ได้ทรงขนึ้ ไปท�ำศึกชงิ เชียงใหมใ่ หเ้ ปน็ อิสระจากพม่าใน สรา้ งวัดจฬุ ามณีแลว้ จงึ เสด็จออกทรงผนวชทีว่ ัดจฬุ ามณี ขึ้นครองราชยใ์ นปี ๑๙๙๑ แล้ว ก็ประทบั ท่กี รุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๗/1774 เชยี งใหมจ่ ึงได้มเี จ้าเมืองปกครองต่อ น้นั ๘ เดือน ๑๕ วนั (วา่ พ.ศ. ๑๙๙๘ บา้ ง วา่ พ.ศ. เพยี ง ๑๕ ปี แลว้ โปรดใหพ้ ระราชโอรสครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา มา จนในท่ีสุด ถึงรชั กาลที่ ๕ ขึ้นสู่ยุคสมัยใหม่ มกี ารจดั ๒๐๐๘ บา้ ง) อีกทง้ั ต่อมาใน พ.ศ. ๒๐๒๗ ได้โปรดใหพ้ ระ พระองคเ์ สด็จไปประทบั ท่พี ิษณุโลก ๒๕ ปี จนเสดจ็ ระบบการปกครองบา้ นเมอื งใหท้ นั สมยั ล้านนาก็เข้าอยู่ ราชโอรสและพระราชนดั ดาผนวชเป็นสามเณร ประเพณี สวรรคตที่นน่ั ในปี ๒๐๓๑ ในแบบแผนเดียวกบั ดนิ แดนส่วนอื่นทง้ั ปวงในพระราช- บวชเรียนคงตงั้ ต้นจรงิ จังแต่นี้สืบมา ในด้านวรรณคดี ท่ี อาณาจักรไทย ซึ่งได้พฒั นามาจนแบง่ เปน็ จังหวดั ตา่ งๆ เป็นงานใหญ่คอื โปรดใหป้ ระชุมราชบณั ฑติ แต่งหนงั สอื ส่วนทางเชียงใหม่ กม็ ีเรือ่ งขดั แย้งท�ำศกึ กบั อยุธยา ดังทปี่ รากฏในปจั จุบนั มหาชาตคิ �ำหลวง ขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๒๕/1482 มาเรื่อยๆ เช่น ทางอยธุ ยาขดั เคอื งที่เชียงใหม่เขา้ ข้างชว่ ย สโุ ขทยั จนถงึ สมยั ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ได้ หา้ มซือ้ -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพือ่ การศึกษาส่วนตัวเท่านั้น ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลิขสทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 127

เทคโนโลยี: ตะวนั ตกรงุ่ สาง เยอรมนั ก้าวไล่มาในการพิมพ์ เมอ่ื ตะวนั ออกร้างแสง พ.ศ. ๑๙๙๓ (ค.ศ. 1450) ทเี่ ยอรมนี กเู ตนเบอรก์ พ.ศ. ๑๙๙๖-๒๐๗๐ (ค.ศ. 1453-1527) ช่วง (Gutenberg) พมิ พ์หนงั สอื ด้วยตวั เรยี งพิมพ์โลหะเปน็ เวลาทเ่ี รยี กวา่ ยุคคนื ชีพ (Renaissance) ในยุโรป คือ คร้งั แรก (หนงั สือทพี่ ิมพ์คือไบเบลิ ) ผ่านพน้ ยุคมืด โดยมีการฟน้ื ฟูศลิ ปวิทยาการของกรีกและ โรมันโบราณ ทีล่ บั เลือนจมหายไประหว่างเวลา ๑,๐๐๐ จกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ออกล่มสลาย ปีแห่งสมยั กลางน้นั ยโุ รปส้นิ สมยั กลาง ขณะทยี่ ุโรปและอารยธรรมตะวนั ตกกา้ วออก พ.ศ. ๑๙๙๖ (ค.ศ. 1453) หลงั จากจักรวรรดิ จากยคุ มืดคืนชพี ขึ้นมาได้นี้ ชมพูทวปี และอารยธรรม บีแซนทนี (Byzantine Empire) หรือโรมนั ตะวันออก ตะวันออกไดเ้ ริม่ ย่างก้าวลงไปแล้วสู่ความอบั เฉาในยุค ถกู พวกออตโตมานเตอร์กโอบลอ้ มเข้ามาๆ จนสดุ ความ แหง่ ความมืดมน ท้ังจากภยั รกุ รานและลัทธอิ าณานคิ มท่ี สามารถที่จกั รพรรดิคอนสแตนตินท่ี ๑๑ จะรักษาไว้ได้ จะด�ำเนินต่อไป กรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ ก็แตกแก่สุลต่านมูฮมั หมดั ที่ ๒ (ถา้ มองโดยรวมท้งั โลก อาจจะพูดว่า อารยธรรม นีเ้ ปน็ อวสานของจกั รวรรดโิ รมันโบราณ อนั ถือ มนษุ ย์ได้กา้ วสยู่ คุ แห่งการรกุ รานและหำ้� หั่นบีฑา ไม่แบบ เป็นจดุ กำ� หนดการ “สิน้ สุดสมยั กลาง” (Middle Ages, โจ่งแจง้ กแ็ บบแฝงเร้น) ค.ศ. 476-1453) ของยโุ รป นับว่าเขา้ สยู่ ุคสมยั ใหม่ (modern era) จากบน/จากซา้ ย: ไบเบิลของกเู ตนเบอรก์ คอนสแตนตนิ ท่ี ๑๑ กูเตนเบอรก์ Leonardo da Vinci Michelangelo Buonarroti ผ้มู ีชือ่ เสียงในยุคคนื ชีพ 128 ห้ามซอ้ื -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่อื การศึกษาส่วนตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น

ศาลใหญก่ ำ� จดั คนนอกครสิ ต์ ตงั้ ทส่ี เปน ยวิ แยท่ ุกยคุ และทกุ ที่ พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) โดยการรอ้ งขอของ ยวิ เป็นพวกหนึ่งทถี่ ูกกำ� จัด (persecution) อย่าง ราชาและราชนิ ีแหง่ สเปน โป๊ป/สันตะปาปา ซิกซตัส ที่ ๔ รุนแรง ทั้งในสเปนและท่อี ่นื ในยโุ รป ทั้งในแงต่ ่างศาสนา (Sixtus IV) ทรงมอบอ�ำนาจใหต้ ง้ั ศาลไตส่ วนศรัทธาของ แลว้ ต่อมาก็ในแง่เชอ้ื ชาติอกี ผสมทงั้ ทิฐชิ ังยวิ หรอื ลัทธิ สเปน (Spanish Inquisition) ขึ้นเป็นเอกเทศเพ่อื กำ� จดั ต่อต้านยวิ (anti-Semitism) ที่สืบจากความเชอ่ื วา่ พวก กวาดลา้ งคนนอกศาสนา (persecution) ศาลฯ ของ ยิวเปน็ ตัวการให้พระเยซูถูกจับตรงึ ไม้กางเขน เช่น สเปนน้ีขึน้ ชอ่ื วา่ เห้ียมโหดคลง่ั ลทั ธอิ ย่างท่สี ดุ ในปี ๑๘๙๑ ทีบ่ างเมอื งในสวิตเซอร์แลนด์และ คนพวกหนง่ึ ทถี่ กู ฆา่ มาก คอื พวกท่ถี กู หาวา่ เป็น เยอรมนี พวกยิวถกู หาวา่ เป็นพวกแพร่โรคไข้ด�ำ แล้วยวิ แม่มดหมอผี ซ่งึ ถกู ก�ำจดั มากมายตั้งแต่ครสิ ตศ์ ตวรรษ ทุกคนทถี่ ูกหาตวั ไดก้ ถ็ กู ตอ้ นเขา้ ไปในอาคารไม้และเผา ท่ี 14 ถึง 18 (ชว่ ง พ.ศ. ๑๘๕๐-๒๒๕๐) เช่น Spanish คลอกทั้งเป็น เฉพาะท่เี มอื งสตรสั เบอรก์ ในฝร่ังเศสคนยิว Inquisition ที่ใหเ้ อาคนซึ่งถูกกลา่ วหาอยา่ งนี้ไปเผาทงั้ ถูกจบั แขวนคอ กวา่ ๒,๐๐๐ คน หรืออยา่ งในสเปน เมอ่ื เปน็ วนั ละถึง ๑๐๐ คน พ.ศ. ๒๐๓๕ คนยิวถูกขับออกจากประเทศแสนเจด็ หมนื่ คน (แมแ้ ต่หนีภยั การกำ� จดั ทางศาสนาอย่างน้จี าก ยุโรปมาอยู่ในอเมริกาแล้ว คนท่หี นีมากย็ ังหำ�้ หั่นกนั อกี เชน่ ทีเ่ มืองซาเล็ม ในรฐั แมสสาจเู ซทส์ เม่ือปี ๒๒๓๕ กย็ งั มีการจบั คนที่ถกู หาวา่ เป็นแมม่ ดฆ่าเสีย ๒๐ คน) (ในสเปนนน้ั ศาลใหค้ ำ� ว่า “นอกรีต” รวมถงึ ชาว มุสลิมดว้ ย) จากบน: 129 โป๊ป ซกิ ซตสั ท่ี ๔ ยวิ สวดมนต์ในวนั ช�ำระบาป หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พื่อการศึกษาส่วนตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

โคลัมบสั คน้ พบอเมรกิ า พ.ศ. ๒๐๓๕ (ค.ศ. 1492) ครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั และทกุ ส่ิงทุกอย่างทอี่ ย่ซู กี ตะวนั ตก ใหส้ เปนไปครอบ (Christopher Columbus) นกั ส�ำรวจชาวอติ าเลยี น ผู้ ครองได้ทง้ั สนิ้ ทำ� งานใหแ้ ก่ทางการสเปน เดนิ ทางจากยุโรปไปตะวนั ตก โดยเช่ือวา่ เพราะโลกกลม เขากจ็ ะไปถึงอนิ เดียได้ แต่ เนื่องจากดนิ แดนเป็นอันมากที่มาเปน็ ประเทศ กลายเป็นวา่ เขาไดค้ ้นพบทวปี อเมริกา บราซิล (Brazil) อยู่เลยเส้นแบ่งโลกไปทางทิศตะวนั ออก ตอ่ มา โปรตุเกสจงึ เขา้ ครองบราซิลเป็นอาณานิคม (ค.ศ. (ตอ่ มาปี ๒๐๔๒/ค.ศ. 1499 อเมรโิ ก เวสปุซซ/ี 1500-1822 = ๓๒๒ ป)ี บราซิลจงึ เป็นประเทศเดียวใน Amerigo Vespucci ได้นำ� สำ� รวจอเมรกิ าใต้ส่วนเหนือ ละตินอเมรกิ าทพี่ ูดภาษาโปรตเุ กส (ประเทศอืน่ แทบทั้ง อยา่ งกว้างขวางและเขยี นบรรยายการเดนิ ทางไว้ นกั หมดพดู ภาษาสเปน เวน้ เฮตทิ ี่พูดภาษาฝรง่ั เศส) บราซลิ ภมู ศิ าสตรย์ ุโรปชอบใจ เลยตงั้ ชอื่ แผน่ ดนิ ท่คี ้นพบใหม่น้ี เปน็ ประเทศใหญท่ สี่ ุดในละตนิ อเมริกาทัง้ โดยเนอ้ื ท่ี และ ตามชอ่ื ของเขาเปน็ “อเมรกิ า” ประชากร เป็นเกือบครึง่ หนงึ่ ของทวีปอเมรกิ าใต้ (บราซิล มีประชากรมากเปน็ ที่ ๒ ในทวีปอเมริกาทัง้ เหนือและใต้ โป๊ปใหโ้ ปรตเุ กสกบั สเปนแบ่งโลก คอื รองจากสหรฐั อเมริกา และมีอาณาเขตกว้างใหญเ่ ป็น ไปหาเมอื งขึ้นไดค้ นละซีก อนั ดบั ๓ ถัดจาก แคนาดา และสหรฐั ฯ) และเป็นประเทศ ท่ีมีประชากรเปน็ คาทอลกิ มากกว่าประเทศอน่ื ใดในโลก พ.ศ. ๒๐๓๗ (ค.ศ. 1494) สืบเน่ืองจากปญั หา ที่เพ่ิมขนึ้ ในการแขง่ ขนั กนั หาอาณานิคม จนถึงกรณกี าร ในปี ๒๐๕๗/1514 สันตะปาปาลีโอ ที่ ๑๐ ออก เดินทางของโคลมั บสั น้ี ทำ� ใหผ้ ปู้ กครองประเทศโปรตเุ กส พระโองการหา้ มใครอน่ื ผใู้ ดกต็ าม มใิ หเ้ ขา้ ไปยุ่งเกยี่ ว และประเทศสเปน ต้องมาตกลงกันในการแสวงหาผล แทรกแซงกบั สมบัตขิ องโปรตุเกส ประโยชนท์ ่จี ะไมใ่ หข้ ดั แย้งกัน และได้เซ็นสนธิสญั ญา จากซ้าย: โตร์เดซลิ ย่าส์ (Treaty of Tordesillas) อเมรโิ ก เวสปุซซี ครสิ โตเฟอร์ โคลมั บัส ท้ังน้ี โดยโปป๊ /สนั ตะปาปาอเลกซานเดอรท์ ี่ ๖ โป๊ปอเลกซานเดอร์ ที่ ๖ ประทานความชอบธรรมในการแบง่ โลกด้วยการขีดเส้น แผนทีข่ องโคลัมบสั แบง่ ลงในมหาสมทุ รแอตแลนติก ให้ดินแดนในสว่ นที่มใิ ช่ หน้าตรงข้าม: เป็นของชาวคริสต์ แยกออกเปน็ ๒ ซีก ทุกสิง่ ทกุ อย่าง Treaty of Tordesillas ทอี่ ยู่ซกี ตะวันออก ให้โปรตุเกสไปครอบครองได้ทั้งหมด เส้นแบง่ โลก ทีโ่ ป๊ปขีดให้ 130 ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพ่อื การศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน

ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พือ่ การศกึ ษาส่วนตวั เท่านัน้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ิขสทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น 131

โปรตเุ กสเปดิ อนิ เดยี แกก่ ารหาอาณานคิ ม วาสโกดากามา พ.ศ. ๒๐๔๐ (ค.ศ. 1497) วาสโกดากามา (Vasco da Gama) ชาวโปรตุเกส เดนิ เรืออ้อมแหลมกดู๊ โฮป แลว้ ปตี อ่ มา ๒๐๔๑ ก็มาถงึ อินเดีย ได้ชอื่ ว่าเปน็ ผเู้ ปิดถ่ินแดน ตะวนั ออกแกก่ ารคา้ และการจบั จองอาณานคิ มของโปรตเุ กส และเรมิ่ ยคุ แขง่ แยง่ การคา้ และอาณานคิ มระหวา่ งโปรตเุ กส สเปน องั กฤษ และฝร่งั เศส อีกหลายศตวรรษ สองมหาอำ� นาจมสุ ลิม ต่างนกิ าย โปรตเุ กสผพู้ ชิ ติ มะละกา คอื ฝรงั่ ชาตแิ รก สเปนลา่ อาณานคิ มและสมบตั ิ ในอเมรกิ า แข่งอำ� นาจกัน ที่มาผูกสมั พนั ธ์และเปดิ การคา้ กับไทย พ.ศ. ๒๐๕๕ (ค.ศ. 1512) ถึงปีน้ี สเปนซงึ่ เป็น พ.ศ. ๒๐๔๕ (ค.ศ. 1502) ทจ่ี กั รวรรดอิ อตโตมาน พ.ศ. ๒๐๕๔ (ค.ศ. 1511) ที่กรุงศรอี ยุธยา ใน ยโุ รปชาตแิ รกที่มาล่าอาณานคิ มในอเมรกิ า ได้ครอบ หลังจากลม้ จกั วรรดิโรมันตะวนั ออก คอื บแี ซนทีนไดใ้ น รัชกาลสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี ๒ (โอรสของสมเดจ็ ครองเกาะขนาดใหญใ่ นเวสตอ์ ินดีสหมดแล้ว แต่ตอ้ งผิด พ.ศ. ๑๙๙๖ และเขา้ ต้ังเมืองหลวงในคอนสแตนติโนเปิล พระบรมไตรโลกนาถ) ดอู าร์ตี เฟอร์นานเดซ (Duarte หวังเศร้าใจเปน็ ทีส่ ุด เมือ่ พบว่าผนื แผน่ ดินที่นน่ั แทบไมม่ ี แลว้ พวกออตโตมานตอรก์ ทเี่ ป็นมุสลมิ นกิ ายสหุ น่กี แ็ ขง่ Fernandez) น�ำทตู คณะแรกของโปรตุเกสมาเขา้ เฝา้ สมบตั อิ ะไรทีจ่ ะขนเอาไป มแี ต่คนพ้ืนถิน่ ไม่นุ่งผา้ ทลี่ ม้ อ�ำนาจกับจักรวรรดเิ ปอรเ์ ซียทางตะวนั ออก ที่เปน็ มุสลมิ เพอ่ื แจง้ ว่าโปรตุเกสไดเ้ ข้าครอบครองมะละกาแล้ว (ยึดได้ หายตายไปอย่างรวดเร็วเมอ่ื ตดิ ตอ่ เก่ยี วขอ้ งกับคนยุโรป นิกายชีอะฮ์ ต่อแตน่ ้กี ็ท�ำสงครามกันเปน็ ระยะๆ ณ ๑๕ สิงหาคม) กรุงศรอี ยธุ ยาแม้จะถือว่ามะละกาเป็น ดนิ แดนของสยาม แต่เวลาน้ันก�ำลงั มศี กึ หนกั กับเชียงใหม่ ต่อมา พวกสเปนไดข้ ่าวว่า ท่เี ปรู ชาวอินคา เริ่มการคา้ ทาส จงึ มิได้วา่ กลา่ วอันใดตอ่ โปรตเุ กส เพยี งแต่แสดงความ รำ่� รวยมาก แลว้ กไ็ ด้ยินอีกว่า ท่เี มกซิโก พวกแอสเทค จับคนอาฟริกนั ขายสง่ มาอเมรกิ า เหน็ ชอบใหโ้ ปรตเุ กสเข้ามาทำ� การคา้ ท่พี ระนครศรีอยุธยา (Aztec) มีเงินและทองค�ำอุดมสมบรู ณ์ ดังน้นั พอถงึ ปี นครศรธี รรมราช ปตั ตานี มะรดิ (Mergui) และตะนาวศรี ๒๐๖๒/1517 พวกสเปนก็เข้าบุกอาณาจกั รแอสเทค รบ พ.ศ. ๒๐๕๒ (ค.ศ. 1509) เรมิ่ มกี ารคา้ ทาสในทวปี (Tenasserim) อยู่ 2 ปี กพ็ ชิ ิตเสรจ็ เปลี่ยนเมืองหลวงของพวกแอสเทค อเมรกิ า คนอาฟรกิ นั ถกู จบั สง่ มาขายเปน็ ทาสตลอดเวลาราว เป็นเมอื งเมกซิโก (Mexico City) ไดเ้ งินทองมากมาย ๓๐๐ ปี กวา่ สหรฐั จะเลกิ การคา้ ทาสใน พ.ศ. ๒๓๕๑ (ค.ศ. ท�ำให้มจี ินตนาการว่าทางเหนือข้นึ ไปจะมสี มบตั มิ หาศาล 1808) กข็ ายมาเกนิ ๑๐ ลา้ นคน (หลงั จากเลกิ คา้ ทาสแลว้ ๕๗ ปี สหรฐั จงึ ยกเลกิ สถาบนั ทาสสำ� เรจ็ ในปี ๒๔๐๘/1865) การก�ำจดั พวกแอสเทคน้สี �ำเร็จได้ด้วยความช่วย เหลอื ของคนอนิ เดยี นแดงพวกท่เี กลยี ดชาวแอสเทค และ อาศยั โรคฝีดาษชว่ ย 132 หา้ มซ้อื -ขาย อนุญาตให้ใช้เพอื่ การศกึ ษาส่วนตวั เท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น

จนี อาณานคิ มแรกของโปรตเุ กส ในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล พ.ศ. ๒๐๕๓ (ค.ศ. 1510) กษัตริย์มานเู อล อนิ เดยี บังคลาเทศ (Manuel) แหง่ โปรตเุ กสส่งก�ำลงั มายดึ เมืองทา่ สำ� คญั ๆ ต้ังแต่อา่ วเปอร์เซยี จนถงึ อนิ เดยี เปน็ ของตน ทำ� ใหก้ ารค้า กวั แบบเปดิ จบสิ้นไป และในคราวน้ีทอี่ ินเดยี โปรตเุ กสไดต้ ้ัง อาณานิคมที่กวั (Goa) เปน็ ศนู ย์การคา้ และแผศ่ าสนา คริสตน์ กิ ายโรมันคาทอลิก กษัตริย์มานูเอล ที่ ๑ จากเมกซิโก พวกสเปนยอ้ นกลบั ลงมายงั แดนท่ี เบริงท่ไี ซบีเรีย เข้าอลาสกามาสู่ทวปี อเมรกิ าเมอ่ื กว่า กรนี แลนด์ ปัจจบุ นั เปน็ เปรู (Peru) แลว้ ต่อมากร็ ุกเข้าในถิ่นของพวก ๒๐,๐๐๐ ปมี าแลว้ และเป็นชนพวกแรกในอเมรกิ าทม่ี ี อนิ คา (Inca) พอถงึ ปี ๒๐๗๕/1532 กจ็ บั จกั รพรรดอิ นิ คา บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เร่มิ เขยี นตัง้ แต่ราว พ.ศ. ๕๐๐ อเมรกิ าเหนือ Aztec Sun Stone ได้ เมื่อรวบรวมยึดทรัพย์สมบัติได้มากมายแลว้ ปีตอ่ มา =50 BC พบที่กำ� แพงวัง อนสุ าวรยี ์ และเครื่องป้นั ดนิ เผา กส็ �ำเรจ็ โทษจักรพรรดิอนิ คาเสยี และปกครองดนิ แดน เป็นต้น ซ่ึงท�ำให้รปู้ ระวตั ิของราชา และราชนิ ีส�ำคญั มหาสมทุ ร ท้ังหมด แตถ่ ึงปี ๒๐๗๘/1535 จงึ หาท่เี หมาะได้ และตง้ั ตงั้ แต่ยุคน้นั มาจนถงึ ถูกสเปนเข้าครอง แอตแลนติก เมอื งหลวงของตนทีใ่ กลฝ้ ่ังทะเล ชอ่ื วา่ เมอื งลมี า (Lima; ปัจจบุ ันเปน็ เมอื งหลวงของเปรู) แลว้ สเปนกอ็ อกรุกราน อารยธรรมมายารุง่ เรืองสุดในช่วงปี ๘๓๕-๑๔๕๒/ มหาสมทุ ร อเมรกิ าใต้ ชนเจ้าถนิ่ อินเดยี นแดง ขยายดนิ แดนออกไปทกุ ทศิ 292-909 ซ่ึงถอื กนั ว่าเปน็ ยุคคลาสสกิ พวกมายากา้ วหนา้ แปซฟิ กิ อินคา ทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ โดยเฉพาะคำ� นวณปฏิทิน ในท่ีซง่ึ ปจั จุบนั เป็นเมกซโิ กภาคใต้ และ ไดแ้ มน่ ย�ำ มีระบบการเขยี นหนังสอื ทีพ่ ฒั นามาก ระบบ อา่ วเมกซิโก กวั เตมาลา (Guatemala) ซงึ่ อยู่ตอนบนของอเมริกา เกษตรและชลประทานทีซ่ บั ซ้อนมาก มีสถาปตั ยกรรม กลาง ชนเจา้ ถ่ินคือพวกมายา (Maya) ยนื หยัดรกั ษา และประติมากรรมเปน็ ต้น บางอย่างกา้ วหนา้ กว่ายโุ รป แอสเทค มายา ทะเลคาริบเบยี น อสิ รภาพอยไู่ ด้ทนนานกว่าพวกแอสเทคและอนิ คา แต่ ในยคุ เดยี วกนั แตแ่ พย้ โุ รปในด้านเทคโนโลยี ไมไ่ ดพ้ ัฒนา พวกมายาทรดุ โทรมอ่อนก�ำลงั ทงั้ จากความแตกแยก เครอื่ งจกั รทีท่ นุ่ พลงั งาน ไม่รูจ้ กั ใชล้ ้อรถ และไม่ได้ฝึกสัตว์ มหาสมุทรแปซิฟิก ภายในและลม้ ตายมากมายดว้ ยโรคระบาดทีม่ ากบั สเปน ไว้ใชง้ านแทนแรงคน จึงแพพ้ วกยโุ รป อารยธรรมมายา ในท่ีสุดก็ถูกพวกสเปนยึดครองในปี ๒๐๘๕/1542 เริม่ เส่อื มมาแล้วตั้งแตห่ ลังปี ๑๔๕๒ ก่อนถกู สเปนท�ำลาย ในท่สี ุด พวกมายาน้ีเปน็ ชนอินเดียนแดงเกา่ แก่ มีบรรพ- บรุ ุษจากอาเซยี ซ่ึงขา้ มแผ่นดนิ ส่วนเชอื่ มตอ่ ช่องแคบ หา้ มซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศกึ ษาส่วนตัวเทา่ นัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน 133

คุรนุ านัก กาบลุ ปาฏลบี ุตร คดิ จะสมาน ย่ิงเพม่ิ การขดั แยง้ ม.สปินธัญุ จาบละฮอรเ์ ดลี มม.ย.คมงนุคาา เบงกอกลัลกตั ตา โอริสสา พ.ศ. ๒๐๖๓ (ค.ศ. 1520) คุรนุ านกั ตงั้ ศาสนาสกิ ข์ อัครา ประสานศาสนาฮนิ ดู กับอสิ ลาม (แตก่ ลายเปน็ มีศาสนาอกี จกั รวรรดโิ มกลุ ๑ ทจี่ ะต้องมาขดั แยง้ กนั เพม่ิ ขนึ้ ) คุชราต ม.นัมมทา ยคุ บาร์เบอร์ (1530) มุมไบ เพม่ิ ในยุคอักบาร์ (1605) ม.โคทาวรี เพิ่มในยุคออรงั เซบ (1707) ทักษณิ าบถ กวั มทรุ า ฝร่งั พาโรคระบาดไปแพร่ในอเมรกิ า เจา้ ถิ่นตายดัง่ ใบไมร้ ว่ ง พวกสเปนนำ� โรคระบาด เชน่ ฝดี าษ หดั และไอกรน เขา้ ไป พวกคนพนื้ เมอื งและอินเดยี นแดงไม่มีภูมิตา้ นทาน กพ็ ากันล้มตายเป็นใบไมร้ ว่ ง ท่เี มกซโิ ก นบั มารอ้ ยปีจาก ๒๐๖๒ ทส่ี เปนเขา้ ตีนนั้ ประชากรเจ้าถน่ิ เดมิ ลดจาก ๒๕ ล้านเหลือเพียงราว ๑ ล้านคน โรคระบาดจากยโุ รปเหล่านี้ เด๋ียวเกิดทีโ่ น่นเดย๋ี ว เกดิ ทีน่ ี่ โดยเฉพาะฝีดาษ รวมแล้วต้งั แตเ่ ร่ิมพบชาวยโุ รป ฝรั่งวา่ ประชากรอินเดียนแดงลดลง ๙๐% เมือ่ แรกสเปน เข้าไป มชี าวถิ่น ๕๐ ล้านคน เม่อื ถงึ ค.ศต.ท่ี 17 เหลือ เพยี ง ๔ ลา้ นคน ชนพื้นเมอื ง อเมรกิ ัน เผา่ ตา่ งๆ 134 หา้ มซื้อ-ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่ือการศึกษาสว่ นตัวเทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ อ่ ต้องติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น

ระลอกที่ 3. มุสลิมมงโกล คร้ังน้นั บาเบอร์ (Babur หรอื Baber; คำ� อาหรบั จบยุคสุลตา่ นแห่งเดลี =เสือ) เจ้ามสุ ลมิ มงโกล ซึ่งสบื เช้ือสายจากเจงกิสข่าน และจากตมี รู ์ อา้ งสิทธวิ ่าอนิ เดียเปน็ มรดกท่ตี ีมูร์ (Timur) เข้ายคุ มสุ ลมิ มงโกล บรรพบุรุษของเขาได้พชิ ติ ไว้ แลว้ ยกทพั จากอฟั กานิสถาน พ.ศ. ๒๐๖๙ (ค.ศ. 1526) อาณาจักรสลุ ตา่ น เข้ามาก�ำจดั สุลตา่ นแหง่ เดลใี หส้ นิ้ อ�ำนาจไปโดยสนิ้ เชงิ แหง่ เดลี (Delhi Sultanate) ของมุสลมิ เตอร์ก ซ่ึงตั้ง บาเบอร์ ตั้งราชวงศ์ใหม่ขน้ึ ในเดลี เริ่มครอง ขน้ึ เปน็ จกั รวรรดมิ สุ ลิมแรกของอนิ เดียเมอ่ื พ.ศ. ๑๗๔๙ จกั รวรรดโิ มกุล หรอื มุข่าล (Mogul/Mughal Empire) (ค.ศ. 1206) จนกระทัง่ ถูกตีมูร์ (Timur) ท�ำลายลา้ งใน ซึง่ ยงั่ ยืนมาจนอนิ เดียตกเปน็ อาณานิคมของอังกฤษใน ปี ๑๙๔๑ (ค.ศ. 1398) แลว้ ออ่ นเปลี้ยมานาน ได้ถงึ กาล พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) บาเบอร์ อวสาน ในปี ๒๐๖๙ มสุ ลิมเตอร์ก เปอรเ์ ซยี ทางตะวนั ออก และกลมุ่ ประเทศยโุ รปทางตะวนั - อาหรบั ท่ีแบกแดดตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๘๐๑ (ค.ศ. 1258) และ ปกครองมสุ ลมิ อาหรับหมดสน้ิ ตก ซึ่งออตโตมานกำ� ลังคกุ คามเข้ามาใกลใ้ จกลางแลว้ เมื่อถงึ ยคุ ของออตโตมานเตอร์กในบดั น้ี มสุ ลิมเตอรก์ จาก อาเซยี กลาง ก็ได้มาเป็นผูจ้ ดั กิจการศาสนาอิสลาม และ พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517) สลุ ตา่ นเซลมิ ที่ ๑ มสุ ลมิ เตอร์กอาเซยี กลาง ยอ้ นทาง ปกครองชาวมุสลมิ อาหรบั ในตะวนั ออกกลางทั้งหมด (Selim I) แหง่ จกั รวรรดิออตโตมานยึดครองซเี รียและ มาครองมสุ ลมิ อาหรับตะวนั ออกกลาง อยี ิปต์ ลม้ กาหลฟิ แห่งอยี ิปต์ เขา้ ครอบครองดแู ลเมือง สุลตา่ นเซลิม ท่ี ๑ ศกั ดิ์สิทธ์ิ รวมท้ังมกั กะฮ์ และมะดีนะฮ์ในอาระเบยี ถึง ยอ้ นหลงั ไปประมาณ ๘๐๐ ปีกอ่ นโน้น ราว พ.ศ. ตอนน้ีจกั รวรรดมิ สุ ลมิ เตอรก์ ครอบคลมุ อนาโตเลยี ยโุ รป ๑๒๕๐ (ค.ศ. 700) เมอื่ แรกศาสนาอสิ ลามต้งั ข้ึนใหม่ใน ตะวันออกเฉยี งใต้ ดินแดนอาหรับแหง่ ตะวนั ออกกลาง ดินแดนอาหรับ ทพั มุสลิมอาหรบั จากตะวนั ออกกลาง และอาฟรกิ าเหนอื (Middle East) เดินทาง ๓-๔,๐๐๐ กโิ ลเมตร นำ� ศาสนา อิสลามไปเปลยี่ นชนเผ่าต่างๆ ในอาเซยี กลาง (Central ความยิ่งใหญข่ องจักรวรรดิออตโตมานนน้ั พูด Asia) ให้เป็นมสุ ลิม ง่ายๆ กเ็ หมอื นกบั รวม ๒ จกั รวรรดิใหญ่เขา้ ด้วยกัน คอื ทัง้ จกั รวรรดโิ รมันตะวันออก (Byzantine Empire ท่ตี ี จากนัน้ ไมน่ าน ชนชาวอาเซียกลางที่เปน็ มุสลมิ ได้ในปี ๑๙๙๖=ค.ศ. 1453) และจักรวรรดกิ าหลิฟแหง่ แล้ว โดยเฉพาะพวกเตอร์ก กเ็ ปน็ ฝา่ ยน�ำอสิ ลามลงมาแผ่ อาหรับ(Arab Caliphate) ท่เี ข้าครองในบดั น้ี แดนท่จี ะ ขยายอำ� นาจย้อนเข้าไปในแดนอาหรบั ดงั ท่ไี ด้เร่ิมเข้าแทน แขง่ อ�ำนาจกบั จกั รวรรดอิ อตโตมาน เหลือเพียงจกั รวรรดิ หา้ มซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพ่อื การศึกษาสว่ นตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 135

เกดิ โปรเตสแตนต์ ยโุ รปเขา้ ยคุ ปฏิรปู พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๑๐๒ (ค.ศ. 1517-1559) ชว่ ง สำ� คญั อยใู่ นโลกซกี ตะวนั ออก จงึ เปน็ สมบตั ขิ องโปรตเุ กส เวลาทเี่ รยี กวา่ (ยคุ แห่ง) การปฏิรปู (Reformation) ตามท่ีองคพ์ ระสันตะปาปาได้ทรงแบ่งโลกไว้ให้แล้วนน้ั ในยุโรป เน่ืองจากเกดิ ศาสนาครสิ ต์นิกายโปรเตสแตนต์ คราวน้ีเอาใหม่ เขาจะแลน่ เรือออกทางทิศตะวนั ตกไปให้ ในพ.ศ. ๒๐๖๐ ทำ� ให้มกี ารปรบั เปลี่ยนความคดิ ความเชอ่ื ถงึ หม่เู กาะโมลุกกะสน์ น้ั แล้วทนี แี้ หละ จะเปน็ การพิสจู น์ ถือและการปฏบิ ตั ติ ่างๆ ในทางศาสนาและวฒั นธรรม วา่ หมูเ่ กาะโมลกุ กะส์นนั้ อยูใ่ นโลกซกี ตะวนั ตก จงึ ตอ้ ง เปน็ สมบตั ขิ องสเปน พระเจา้ แผ่นดินสเปนกท็ รงตกลง พรอ้ มน้นั ในทางการเมอื ง พวกเจา้ เยอรมนั จำ� นวน หนงึ่ อดึ อัดไม่อยากขึน้ ตอ่ โปป๊ อยู่แล้ว ก็ไดม้ ารต์ นิ ลเู ธอร์ มาเจลแลนออกเรอื ในวนั ที่ ๑๐ ส.ค. ถงึ ทะเล ๒๐ เปน็ จดุ รวมก�ำลงั จงึ แข็งข้อตอ่ โปป๊ และต่อจักรพรรดิ ก.ย. 1519 ไปกนั ๒๗๐ คน ดว้ ยเรอื ๕ ลำ� แล่นลงทาง โรมันอันศักด์สิ ิทธิ์ (Holy Roman Emperor) ท�ำให้มี ฝ่งั อาฟริกา แลว้ ข้ามมหาสมทุ รแอตแลนติก แล่นเลียบ การปราบปรามและรบราฆ่าฟนั กนั อยา่ งรุนแรง ฝ่ังทวปี อเมริกาใต้จนเข้าชอ่ งแคบปลายสุดทวปี (ได้นาม ตามชื่อของเขาว่าชอ่ งแคบมาเจลแลน) ออกทะเลใหญ่ เดินเรือหาทางไปมา ไดช้ อื่ มหาสมุทร ที่เคยเรียกว่าทะเลใต้ (South Sea) แตไ่ ดช้ อ่ื ใหมต่ าม แปซิฟิก อีกท้ังพิสูจน์ว่า โลกนก้ี ลมจริง ท่ีเขาเรยี กวา่ “มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ” (Pacific Ocean, “หว้ งมหรรณพ์อันสงบ”) แล่นมาแวะเกาะกวม (Guam) พ.ศ. ๒๐๖๒-๒๐๖๕ (ค.ศ. 1519-1522) แล้วไปถึงฟิลปิ ปินส์ ตัวเขาเองเสียชีวติ ที่น่นั (๒๗ เม.ย. เฟอรด์ ินานด์ มาเจลแลน (Ferdinand Magellan) เปน็ 1521) คนทเี่ หลือแลน่ เรอื ตอ่ ไปถงึ หมู่เกาะโมลกุ กะส์ แล้ว นักเดนิ เรือชาวโปรตุเกส และทำ� งานใหป้ ระเทศของตนมา เดนิ ทางต่อจนเหลอื เรอื ๑ ลำ� มคี น ๒๑ คน กลบั มาถงึ นาน แตค่ ราวหน่งึ ผิดหวัง จงึ ไปกราบทลู ถวายบริการแด่ สเปน ๘ ก.ย. 1522 รวมใช้เวลา ๓ ปี ผลได้คือเปน็ การ พระเจา้ ชารล์ สท์ ่ี ๑ แห่งสเปน โดยเสนอว่า ตามทถ่ี ือกนั พสิ จู นว์ า่ โลกกลมจริง และรู้วา่ ทวีปอเมริกามิใช่อนิ เดีย มาวา่ หมู่เกาะโมลุกกะส์ (Moluccas) แหลง่ เครอ่ื งเทศ แต่คือดนิ แดนทเี่ ป็น “โลกใหม”่ บนจากซ้าย: มารต์ นิ ลูเธอร์ มาเจลแลน 136 หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่ือการศกึ ษาส่วนตวั เท่านน้ั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ตอ่ ต้องติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น

พระสริ มิ งั คลาจารยแ์ หง่ ลา้ นนา ปราชญ์ ลาจารย์ ยังมี เชน่ พระญาณกิตติ (โยชนาวินยั , โยชนา ไทยทสี่ กุ ใสในมาตรฐานวชิ าการสากล อภธิ รรม เป็นตน้ ) พระรัตนปัญญา (สารตั ถสงั คหะ, ชินกาลมาลีปกรณ์) พระโพธริ งั สี (จามเทวีวงศ์) พ.ศ. ๒๐๖๗ (ค.ศ. 1524) ทีอ่ าณาจกั รล้านนา พระนนั ทาจารย์ (สารตั ถสังคหะ) พระสุวรรณรังสี ในรชั กาลพระเมอื งแกว้ พระสริ มิ งั คลาจารย์ แหง่ วัด (ปฐมสมโพธสิ ังเขป) สนั นิษฐานกนั วา่ ปัญญาสชาดก ก็ สวนขวัญ นครเชยี งใหม่ รจนาคมั ภีร์ มังคลัตถทีปนี ซึ่ง แต่งในยคุ น้ี อธบิ ายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร (ข.ุ ข.ุ ๒๕/๔/๓; ข.ุ สุ.๒๕/๓๑๖/๓๗๖) อนั เป็นพระสูตรสำ� คัญทีแ่ สดงหลกั องั กฤษประกาศไมข่ ้นึ กบั โปป๊ การด�ำเนินชีวิตของพทุ ธกิ ชน และถือเป็นบทสวดหลัก ตัง้ นิกายใหมข่ องตนเอง ของพทุ ธบรษิ ัท โดยประมวลอรรถาธิบายจากอรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า เป็นตน้ มากมาย พรอ้ มทั้งคำ� บรรยายของ พ.ศ. ๒๐๗๗ (ค.ศ. 1534) พระเจ้าเฮนรีท่ี ๘ ท่านเอง น�ำมาแจกแจงอยา่ งละเอียดลออ มรี ะเบียบ เป็น (Henry VIII) ซง่ึ ไมไ่ ดพ้ ระโอรสทจ่ี ะสบื ตอ่ ราชวงศท์ วิ ดอร์ ลำ� ดบั พรอ้ มดว้ ยระบบการอา้ งองิ ทค่ี รบถว้ นชดั เจนแมน่ ยำ� (Tudor) ทรงหาเหตุถือการอภิเษกสมรสกบั พระมเหสวี า่ ปจั จบุ ันใช้เปน็ ตำ� ราเรยี นในหลกั สูตรพระปริยัติธรรม เปน็ โมฆะ เพอ่ื จะทรงมีมเหสีใหม่ จงึ ได้ตดิ ต่อขอใหโ้ ป๊ป แผนกบาลีของคณะสงฆไ์ ทย ส�ำหรับ ป.ธ. ๔-๕ และ ๗ ทรงออกกฤษฎกี าตามนั้น แต่ไมส่ �ำเร็จ พระเจ้าเฮนรีท่ี ๘ (ท่านรจนาคมั ภีรอ์ นื่ อกี ๓ คือ เวสสนั ตรทีปนี จักกวาฬ- จึงประกาศแยกตัวไมข่ ึน้ ต่อโป๊ป/สันตะปาปาท่วี าติกัน ทีปนี และสงั ขยาปกาสกฏีกา) โดยตงั้ ศาสนจกั รองั กฤษ (Church of England) ข้นึ อนั เป็นโปรเตสแตนต์นกิ ายหนง่ึ และกษัตริยอ์ งั กฤษเป็น ตลอดช่วงเวลาตัง้ แตป่ ระมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ประมขุ ศาสนจักรเอง แล้วทรงมีมเหสีองคใ์ หม่และกด ๒๐ จนส้นิ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ เฉพาะอย่างยิ่ง ในรชั กาล ก�ำราบส�ำนักบาทหลวงทั้งหลายต่างๆ นานา พระเมืองแกว้ (พ.ศ. ๒๐๓๘–๒๐๖๘/ค.ศ. 1495-1525) ล้านนาไดเ้ ปน็ ดินแดนแห่งความรุ่งเรอื งของการศกึ ษา มี วรรณคดีภาษาบาลเี กิดขึ้นมาก พระเถระหลายทา่ นเปน็ ปราชญ์นิพนธ์คัมภรี แ์ ละต�ำราไว้ นอกจากพระสิริมังค- บน: พระธาตดุ อยสุเทพ ล่างจากซา้ ย: Pope Clement VII พระเจา้ เฮนรีท่ี ๘ ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พอื่ การศึกษาส่วนตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน 137


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook