6 บากเตรีย1 7 สังคายนาครง้ั ที่ ๓ และสง่ ศาสนทตู ๑. พระมชั ฌันตกิ ะ ไป กัสมรี -คันธารรฐั ปาฏลบี ตุ ร ๒. พระมหาเทวะ ไป มหงิ สกมณฑล ตกั สลิ า พ.ศ. ๒๓๕ มสี งั คายนา ครัง้ ที่ ๓ ปรารภการทมี่ ี ๓. พระรกั ขติ ะ ไป วนวาสี(รฐั ) อา่ วเบงกอล เดยี รถียม์ ากมายปลอมบวชเขา้ มา เนอ่ื งจากเกิดลาภ ๔. พระโยนกธรรมรักขติ ไป อปรนั ตกะ(รัฐ) อาอณโศาจกักร สักการะในหมูส่ งฆ์อุดมสมบูรณ์ พระอรหนั ต์ ๑,๐๐๐ รปู ๕. พระมหาธรรมรกั ขติ ไป มหารฐั มพี ระโมคคลั ลบี ุตรตสิ สะเถระเป็นประธาน ประชมุ ท�ำ ๖. พระมหารักขิต ไป โยนกรฐั ทะเลอาหรบั 45 ทีอ่ โศการาม เมอื งปาฏลบี ุตร โดยพระเจา้ อโศกมหาราช ๗. พระมัชฌิมะ ไป เทศภาคแห่งหิมวันต์ ทรงอปุ ถมั ภ์ ใชเ้ วลา ๙ เดือน ๘. พระโสณะและอตุ ตระ ไป สวุ รรณภมู ิ 3 8 ๙. พระมหนิ ทะ ไป ตมั พปณั ณทิ วีป (ลังกา) 2 หลงั สงั คายนาแล้ว มีการจดั สง่ พระศาสนทูต ๙ สาย ไปประกาศพระศาสนา (แต่ละแห่งมพี ระภิกษรุ ว่ ม 9 คณะพอครบสงฆท์ ีจ่ ะใหอ้ ปุ สมบท) คือ พุทธศาสนาต้ังมั่นในลังกา อย่างไรกด็ ี สงั คายนาครง้ั นีเ้ ป็นกิจกรรมตามขอ้ ปรารภพิเศษ โดยทวั่ ไปไม่นบั เขา้ ในประวัติสงั คายนา พ.ศ. ๒๓๖ (ฝร่งั นบั =247 BC) ทีล่ งั กาทวีป พระเจ้าเทวานมั ปยิ ตสิ สะครองราชย์ (พ.ศ. ๒๓๖-๒๗๖) ต่อมา พระนางอนุฬา ชายาแหง่ พระกนษิ ฐภาดา ท่ีอนรุ าธปุระ (ไทยนยิ มเรียกกันมาวา่ อนรุ าธบุร)ี ทรงสดบั ของพระเจา้ เทวานัมปยิ ตสิ สะ และสตรใี นราชส�ำนกั ธรรมจากพระมหินทเถระแลว้ ทรงนับถอื และอุปถัมภ์ จ�ำนวนมากปรารถนาจะอปุ สมบท พระมหินทเถระ บำ� รุงพระพทุ ธศาสนาอยา่ งยงิ่ รวมทง้ั สรา้ งมหาวิหาร ท่ี จึงแนะน�ำพระราชาให้สง่ ทตู ไปทูลพระเจ้าอโศก ขอ ได้เป็นศนู ยก์ ลางใหญข่ องพระพทุ ธศาสนาเถรวาทสืบมา อาราธนาพระสงั ฆมิตตาเถรีมาประดษิ ฐานภิกษณุ สี งฆ์ ในลังกาทวีป พระเถรีได้นำ� ก่งิ พระศรีมหาโพธิม์ าปลกู ท่ี ในปนี น้ั มสี งั คายนา ครง้ั ท่ี ๔ ปรารภการประดษิ - อนรุ าธปุระด้วย ฐานพระพทุ ธศาสนาในลังกาทวีป เพือ่ ให้พระพทุ ธศาสนา ตั้งมนั่ และเจรญิ สบื ไป (ตำ� นานวา่ พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รปู พระสังฆมติ ตาเถรี ประชุมกนั ) มีพระมหนิ ทเถระเป็นประธานและเป็นผูถ้ าม เดินทางถึงลังกาทวีป พระอริฏฐะเปน็ ผูว้ ิสชั นา ณ ถปู าราม เมอื งอนรุ าธบุรี โดย พระเจา้ เทวานมั ปยิ ติสสะ พระเจา้ เทวานัมปยิ ตสิ สะทรงอุปถัมภ์ ใชเ้ วลา ๑๐ เดือน เสดจ็ มารบั กิ่งพระศรีมหาโพธ์ิ 38 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพือ่ การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ต้องตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
๙ สาย มีไทยและจนี ด้วย? (สารัตถทีปนี ว่า มหงิ สกมณฑล=อันธกรฐั ; สาสนวงส์ วา่ เทศภาคแหง่ หมิ วนั ต=์ จีนรัฐ คอื ประเทศจนี ; สุวรรณภมู =ิ สุธรรมนคร คือเมอื งสะเทมิ ในพมา่ บางมติวา่ =หริภญุ ชรัฐ บางมติวา่ =สิยามรฐั ; อปรนั ตรัฐ คง=สุนา- ปรนั ตรัฐ; มหารฐั บางมติว่า=สิยามรฐั ) ราชาแหง่ ลงั กาทวปี ครงั้ นนั้ คอื พระเจา้ เทวา- นมั ปยิ ตสิ สะ (พงึ สงั เกตวา่ ใชค้ ำ� นำ� พระนามอยา่ งเดยี วกบั พระเจา้ อโศกมหาราช ท่ีปรากฏในศิลาจารกึ วา่ “เทวา- นมั ปิยปยิ ทสั สี” และต�ำนานว่ามีเช้อื สายศากยะทัง้ สอง พระองค์) พระปฐมเจดีย์ โขตาน จีน พทุ ธศาสนาบนเสน้ ทางสูจ่ ีน ไทย อนิ เดยี 240 BC (โดยประมาณ; ฝรง่ั นบั =พ.ศ. ๒๔๓ เรา นบั =พ.ศ. ๓๐๓) ตำ� นานวา่ โอรสองคห์ นึ่งของพระเจ้า อโศกฯ ได้ตงั้ อาณาจักรขึน้ ท่โี ขตาน (Khotan ปจั จบุ ัน= Hotan ในมณฑลซนิ เกยี งของจีน) ต่อมา นัดดาของ กษัตรยิ ์องคน์ ี้ ไดน้ ำ� พระพทุ ธศาสนาเข้าส่โู ขตาน (บาง ต�ำราว่าพทุ ธศาสนาเข้าส่โู ขตาน 217 BC) และทน่ี น่ั พระพทุ ธศาสนาได้เป็นศาสนาประจำ� ชาติ (จากโขตานน้ี พระพทุ ธศาสนาจะไปส่จู นี ใน พ.ศ. ๖๐๘/ค.ศ. 65) หา้ มซ้อื -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่อื การศกึ ษาส่วนตัวเทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 39
มหาสถูปสาญจี อยู่ในสภาพดที ่สี ุด (Vidisha/Bhilsa) ห่างไปทางตะวนั ตกเฉียงใต้ ๒๓ กม. พระมารดาของเจ้าชายมหนิ ท์ และเจ้าหญงิ สงั ฆมติ ตา ผู้ (ถ้าวดั จากอชุ เชนี ก็มาทางตะวันออก ๑๘๗ กม.) ไดอ้ ุปสมบทและไปประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาในลังกา แม้ว่าตอ่ มาราชวงศ์โมริยะจะสิ้นไปในปี 185 ทวปี ในกาลต่อมา BC (พ.ศ. ๒๙๘) และแม้ว่าถาวรวตั ถมุ ากมายทพ่ี ระเจา้ มหาสถูปสาญจี กับวิทสิ าเทวี อโศกฯ สร้างไวจ้ ะถูกทำ� ลายและพงั พินาศไปแล้วตาม พุทธสถานโดยเฉพาะมหาสถูปสาญจีนี้ คงเปน็ กาลเวลาแทบทง้ั หมด แตม่ ีปชู นียสถานสำ� คญั แห่งหนึ่ง ความสำ� คัญของวิทศิ า คอื เมือ่ กอ่ นครองราชย์ ตวั อย่างทช่ี ว่ ยใหค้ นปจั จุบันมีจินตนาการมองเหน็ ภาพ ซ่งึ ได้ขุดขนึ้ มาให้เห็นในปจั จบุ ันและนบั วา่ เปน็ พุทธสถาน พระเจา้ อโศกฯ ได้มาเป็นอุปราชครองตักสิลา และต่อมา วัดวาอารามทง้ั หลาย ทพ่ี ระเจา้ อโศกได้ทรงสรา้ งไว้ ซ่ึง ทร่ี ักษาไวไ้ ดด้ ีท่ีสุดในอินเดยี คือ สาญจี โดยเฉพาะมหา ครองแควน้ อวันตี ทเี่ มอื งอชุ เชนี (ปัจจุบนั =Ujjain) คร้งั สญู สน้ิ ไปแลว้ สถปู ทบี่ รรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ซ่งึ ค้นพบเม่อื ปี ๒๓๖๑ น้นั ได้อภิเษกกบั พระชายาองคแ์ รก ซ่งึ เปน็ ธดิ าของพอ่ ค้า ชาวศากยะ ทีเ่ มืองวทิ ิศานี้ คอื พระวิทสิ าเทวี ซึง่ เปน็ หลงั ยคุ โมรยิ ะ ราชวงศส์ าตวาหนะ ทรี่ งุ่ เรอื งในยคุ มหาสถูปสาญจนี น้ั จดุ สงั เกตปจั จุบัน คอื อย่ทู าง ตอ่ มา ก็ไดอ้ ปุ ถมั ภ์บ�ำรงุ พทุ ธศาสนาท่สี าญจีน้ีดว้ ย ตะวันออกเฉยี งเหนือของเมืองโภปาล (Bhopal) ห่าง ๓๒ กม. พระเจ้าอโศกฯ ทรงสรา้ งไวใ้ กล้เมืองวิทศิ า หนา้ ตรงข้าม จากซ้าย: ภาพแกะสลักทส่ี าญจี มหาสถูปสาญจี มองโกเลีย กำ� แพงเมอื งจีน อาณาจักรฮั่น อินเดยี ไทย จากซา้ ย: กำ� แพงเมอื งจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ 40 หา้ มซอ้ื -ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศึกษาส่วนตวั เทา่ นัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ิขสิทธิ์ หากประสงค์จะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน
จน๋ิ ซฮี อ่ งเต้ สรา้ งกำ� แพงเมอื งจนี แตร่ าวศตวรรษที่ 4 BC) เพอื่ ปอ้ งกนั การรกุ รานจาก ภายนอก โดยเฉพาะชนเร่ร่อนเผ่าเสียงนุ (Hsiung-nu) 221 BC (ตามฝรงั่ =พ.ศ. ๒๖๒ เรานับ=พ.ศ. ๓๒๒) ท่ีเมืองจีน หลงั จักรพรรดอิ งค์สุดท้ายของราชวงศ์ 206 BC (ฝร่งั นบั =พ.ศ. ๒๗๗ เรานับ=พ.ศ. ๓๓๗) โจพ้นราชสมบัตใิ นปี 256 BC แลว้ แคว้นตา่ งๆ แย่งชิง แมว้ า่ จนิ๋ ซฮี อ่ งเตจ้ ะยงิ่ ใหญ่ แตต่ อ่ มาทรงกอ่ ความเคยี ดแคน้ อ�ำนาจกัน ในท่สี ุด เจ้าแคว้นจิน๋ นอกจากปราบพวกอน่ื แก่ผคู้ น เช่น ก�ำจัดปราชญล์ ัทธขิ งจอื๊ ที่ขัดแย้งและให้เผา ทแี่ ย่งชิงด้วยกนั ๖ แคว้นแล้ว ยงั ผนวกดินแดนจนี ต�ำราเสยี มาก เมือ่ สวรรคตในช่วงปี 210-209 BC แล้ว นอกน้นั เข้ามารวมท้งั หมด แลว้ ประกาศตนเป็นจนิ๋ ซี ก็เกดิ การสูร้ บจนท่สี ดุ หลังสวรรคตเพยี ง ๔ ปี ถงึ ปี 206 ฮอ่ งเต้ (Ch’in Shih huang-ti หรอื Shi Huangdi) เปน็ BC ราชวงศ์จ๋นิ ก็จบ และถกู ฆา่ ลา้ งโคตรหมดส้ิน จักรพรรดิองค์แรกท่ีรวมประเทศจีนได้เปน็ อนั เดียว ตอ่ นี้เป็นยุคราชวงศฮ์ นั่ (Han) ทเ่ี รมิ่ ดว้ ยสง่ เสรมิ 214 BC (ฝร่งั นับ=พ.ศ. ๒๖๙ เรานับ=พ.ศ. ๓๒๙) ลทั ธิขงจ๊ือ และปกครองเมืองจนี สืบมา ๔๒๖ ปี (206 BC จนิ๋ ซีฮ่องเต้ ทรงก่อสร้างจัดเช่ือมต่อก�ำแพงเมืองจีนให้ -ค.ศ. 220=พ.ศ. ๓๓๗-๗๖๓) เปน็ ระบบอนั เดยี ว (Great Wall of China หรอื “กำ� แพง หมนื่ ล”้ี ) ยาว ๖,๔๐๐ กม. (ของเดมิ มบี า้ งแลว้ สร้างมา ห้ามซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพอื่ การศกึ ษาส่วนตัวเท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน 41
กษตั รยิ ์พราหมณ์ก�ำจดั พทุ ธศาสนา กก็ ลายเปน็ ฝ่ายต้ังรบั ทัพของโยนก ศงุ คะครองถึงเพยี ง ปตัญชลิ แม่น�้ำนัมมทา และอยไู่ ด้ ๑๑๒ ปีก็สิ้นวงศ์ เพราะกษตั ริย์ 185 BC (ว่าตามฝรั่ง แต่เรานบั =245 BC =พ.ศ. องคส์ ดุ ทา้ ยถูกพวกพราหมณน์ ัน่ เอง สมคบกนั ปลง ๒๙๘) หลังจากพระเจา้ อโศกครองราชย์ ๓๗ ปี (บางที พระชนม์ แลว้ พราหมณป์ โุ รหิตขึ้นครองราชย์ ต้งั วงศใ์ หม่ ค�ำนวณได้ ๔๑ ปี) และโอรส-ปนดั ดาครองต่อมาอีก ๔๗ ช่อื กาณวายนะใน พ.ศ. ๔๑๐ (73 BC) ปี ถงึ พ.ศ. ๒๙๘ พราหมณป์ ุษยมิตร ซึ่งเป็นอำ� มาตย์ ได้ ปลงพระชนม์กษัตริย์พฤหทั รถ ล้มราชวงศ์โมรยิ ะ ต้ัง เร่ืองข้างเคียงในอนิ เดยี ตัวเปน็ กษัตริย์ เร่มิ ราชวงศ์ศงุ คะ แลว้ ล้มเลิกเสรีภาพ ทางศาสนา รอ้ื ฟนื้ พิธีอศั วเมธ (ฆา่ ม้าบชู ายญั ) ตามหลัก (ลัทธไิ ศวะ-ลัทธโิ ยคะ) ศาสนาพราหมณ์ขึน้ มาประกอบอย่างใหญ่ยิ่งถงึ ๒ คร้ัง และกำ� จัดพทุ ธศาสนาอย่างรุนแรง เชน่ ฆา่ พระ เผาวัด 150 BC (ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐) ลัทธิไศวะ ที่ และถึงกบั ประกาศใหค้ า่ หัวชาวพทุ ธ นับถือพระศวิ ะเจริญเดน่ ขน้ึ มาเปน็ นิกายส�ำคัญของฮินดู ในช่วงเวลาใกลก้ นั นี้ ปตญั ชลไิ ด้แตง่ โยคสูตร ซง่ึ ทำ� ให้ อย่างไรกต็ าม ศงุ คะครองอ�ำนาจได้ไม่กวา้ งขวาง ลัทธิโยคะของฮนิ ดูมีอทิ ธิพลมากขึ้น (ชว่ งเวลาไม่แนน่ อน เพราะตอนนไ้ี ด้มีอาณาจักรต่างๆ แตกแยกออกไปแล้ว อาจแตง่ ในคริสต์ศตวรรษท่ี 5 คอื ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ก็ได้) แม้แตม่ ้าอปุ การแหง่ พธิ ีอัศวเมธ ท่ปี ุษยมติ รปล่อยไปราน เขา ก็ถกู ทัพกรกี แห่งโยนกสกัดอยู่ และต่อมาศงุ คะ กรีก รุ่งที่โยนก 190-180 BC (ตามฝรัง่ =พ.ศ. ๒๙๓-๓๐๓ =เรา นับ พ.ศ. ๓๕๓) ในช่วงนี้ ซ่ึงราชวงศ์โมรยิ ะออ่ นแอลงจน ถูกโคน่ และราชวงศ์ศุงคะข้ึนครองอ�ำนาจนั้น พระเจ้า เดมตี รอิ สุ (Demetrius) กษตั รยิ ์ราชวงศ์อินเดยี -กรีก แหง่ บากเตรยี หรอื อาณาจักรโยนก ไดแ้ ผ่อ�ำนาจลงมา ครองอินเดยี แถบพายัพจนถึงปญั จาบ ทำ� ให้ดนิ แดน ของศงุ คะถูกจ�ำกดั แคบลงมาก ราชาเดมตี รอิ สุ สวรรคต ราว 167 BC (พ.ศ. ๓๗๖) เดมีตริอสุ 42 ห้ามซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพือ่ การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
พญามลิ นิ ทป์ น่ิ โยนก ยอยกพทุ ธศาสนา มาจนปจั จบุ ัน (บางมตวิ า่ เริม่ ในยุคราชวงศ์กษุ าณ) แต่ จากซ้าย: อาณาจกั รกรกี โยนกทงั้ หมดอย่มู าอกี ไม่นาน ก็ส้นิ อำ� นาจ พญามิลินท์ 160-135 BC (ตามฝรงั่ ว่า=พ.ศ. ๓๒๓-๓๔๘; เรา ใน 128 BC (ฝรั่งว่า=พ.ศ. ๓๕๕ เรานับ=พ.ศ. ๔๑๕) เศียรพระพุทธรูปคันธาระ นับ=พ.ศ. ๓๘๓-๔๐๘ แตค่ มั ภรี ์วา่ พ.ศ. ๕๐๐=43 BC) รวมเข้าในอาณาจักรกุษาณ ที่จะรงุ่ เรืองต่อมา จนสน้ิ วงศ์ พญามลิ ินท์ หรือ Menander กษตั ริย์บากเตรยี หรือ ในพ.ศ. ๗๖๓ โยนก ซง่ึ ฝร่งั วา่ เป็น Indo-Greek king ท่ยี ิ่งใหญท่ สี่ ดุ ครองดนิ แดนไพศาลต้งั แต่โยนก และคันธาระ (= อฟั กา- นสิ ถานตอนเหนอื ผ่านปากสี ถาน) ลงมาถงึ อนิ เดียพายพั ครองราชย์ท่ีสาคลนคร (Sialkot) ทรงเป็นพุทธมามกะ พระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรอื งในดนิ แดนแถบนท้ี ัง้ หมด พ.ศ. ๕๐๐ (= 43 BC; แต่ฝรงั่ ว่า=160-135 BC =พ.ศ. ๓๒๓-๓๔๘=เรานับ พ.ศ. ๓๘๓) ตามเรอ่ื งมิลนิ ท- ปญั หา วา่ พระนาคเสนตอบคำ� ถามของพญามิลินท์ เป็น เหตใุ ห้ทรงเลอ่ื มใสในพทุ ธศาสนา ในยุคน้ีเรมิ่ เกดิ มพี ระพทุ ธรปู ศลิ ปะคันธาระ แบบ กรีก อันถือกนั ว่าเป็นต้นก�ำเนิดของพระพทุ ธรปู ทส่ี ืบ เทคโนโลย:ี เกิดกังหันน้�ำ 100 BC (ชว่ งประมาณ พ.ศ. ๔๕๐) กรกี และ โรมนั โบราณ รูจ้ กั ใช้กงั หันนำ�้ ซึ่งถือวา่ เป็นประดิษฐกรรม อย่างแรกของมนษุ ย์ท่ใี ชผ้ นั พลงั งานโดยไมต่ ้องอาศัยแรง สตั ว์ และได้เป็นแหล่งพลงั งานท่สี �ำคัญต่อมากว่าพันปี) กังหนั นำ้� ที่ Braine-le-Ch^ateau 43 ประเทศเบลเยยี ม หา้ มซือ้ -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พ่อื การศึกษาส่วนตวั เท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ ่อ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน
ทมิฬก์ สามอาณาจกั รทมิฬ อาณาจักร คอื ถ่ินอนิ เดียใต้ ปาณฑยะ (Pandya อย่ใู ต้สุด) พ.ศ. ๔๕๕ (ไทยนบั =88 BC; ฝรง่ั นบั =28 BC โจละ (Cola หรอื Chola อยเู่ หนอื ขนึ้ มาจนตอ่ กบั หลกั ฐานบางแห่งว่า พ.ศ. ๔๓๖ บ้าง ๔๕๐ บ้าง) ในลงั กา ทวีป มสี งั คายนาครั้งที่ ๕ อันธระ) เจระ หรือ เกราละ (Cera, Chera หรอื Kerala เรอ่ื งนีเ้ กีย่ วข้องกับชาวทมิฬจากอินเดียอันควร ทราบ เปน็ ดินแดนผนื แคบๆ ทอดจากเหนอื ลงสดุ ใต้ตามชาย- ทะเลฝงั่ ตะวนั ตกเคียงไปกับ ๒ อาณาจักรแรก พวกเจระ เชื่อมความยอ้ นภูมหิ ลงั ว่า ในชมพทู วีปตอนล่าง นไี้ มพ่ ดู ภาษาทมฬิ อยา่ ง ๒ พวกแรก แตพ่ ดู ภาษามลายลมั ตอ่ จากดนิ แดนของชนชาวอนั ธระ (แควน้ กลิงคะ บางตำ� ราไม่จดั พวกเจระเป็นทมฬิ แตท่ ง้ั ชาวทมฬิ และ อันเปน็ ดินแดนสดุ ท้ายที่พระเจ้าอโศกพิชติ นัน้ เทียบ พวกเจระ ก็ลว้ นเป็นทราวทิ เชน่ เดยี วกบั ชาวอนั ธระทีอ่ ยู่ บัดนไ้ี ดแ้ ก่รฐั โอรสิ สา และอันธรประเทศนี้) คอื พน้ เขต เหนือขน้ึ ไป) จกั รวรรดิอโศกลงไป จนตลอดถึงปลายแหลมสุดประเทศ อนิ เดียเปน็ “ทมิฬกะ” คอื ดินแดนของชนชาวทมฬิ ๓ ลงั กาทวปี คแู่ ค้นแดนทมฬิ กษตั รยิ ์ทมิฬเข้าครองลังกา พระพุทธรปู ท่ี Mihintale เท่าที่ทราบ หลงั จากรัชกาลของพระเจา้ เทวา- นมั ปยิ ตสิ สะ ทพ่ี ระมหนิ ทเถระเปน็ ศาสนทตู มาประดษิ ฐาน พระพุทธศาสนา และพระสงั ฆมติ ตาเถรีมาตงั้ ภกิ ษณุ ีสงฆ์ แลว้ ไมน่ าน (พระเจา้ เทวานมั ปยิ ตสิ สะสวรรคต พ.ศ. ๒๗๖ นับอยา่ งฝรั่ง=207 BC; นับอยา่ งเรา=267 BC) พอถึง พ.ศ. ๓๐๖ (ฝรัง่ นับ=177 ไทยนบั =237 BC) ชาวทมิฬ ๒ คน ช่ือเสนะ และคุตติกะ เข้ามาชงิ เมืองอนรุ าธปรุ ะ จาก พระเจ้าสรู ติสสะ แลว้ ครองราชยจ์ นถึงปี ๓๒๘ เจา้ ชาย สงิ หฬนามวา่ อเสละจึงมาชงิ เมอื งคนื ได้ 44 ห้ามซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศกึ ษาส่วนตัวเทา่ นนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
ถา้ เทียบปจั จุบนั ครา่ วๆ พระศวิ ะ ปาณฑยะ และโจละ คอื รฐั ศลิ ปะโจละ ทมิฬนาฑุ (Tamil Nadu) ส่วนเจระ คอื รฐั เลก็ ๆ ที่ชอ่ื เกราละ (Kerala) แต่พระเจ้าอเสละครองราชย์ได้เพยี ง ๑๐ ปี ถึง พระนามว่าพระเจา้ ทฏุ ฐคามณีอภยั (ครองราชยถ์ งึ พ.ศ. ปัจจัยส่ี พ.ศ. ๓๓๘ เจ้าทมิฬชาวโจละนามว่า “เอฬาระ” ไดม้ ายงั ๔๐๖=ฝรั่งนับ 77 ไทยนบั 137 BC) พระภิกษจุ �ำนวนมากเดนิ ทางล้ภี ัยไปพำ� นกั รกั ษา เกาะสงิ หฬ (คือศรีลงั กา) แล้วจับพระเจา้ อเสละได้ ยึด อ�ำนาจแลว้ ทมฬิ กข็ ้นึ ครองแผ่นดนิ อีก แต่หลังรัชกาลพระเจา้ ทฏุ ฐคามณอี ภยั ไมน่ าน ถึง ธรรมวนิ ยั ในชมพทู วปี สว่ นพระเถระทค่ี า้ งอยใู่ นลงั กาทวปี ปี ๔๒๕ พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภัยขนึ้ ครองราชย์ พวกทมิฬ กย็ งั ชวี ติ โดยยากถึงกับตอ้ งฉันรากไมใ้ บไม้ ที่ยงั หอบกาย ปรากฏว่า พระเจ้าเอฬารทมฬิ น้ีเป็นราชาทีม่ ี ชาวปาณฑยะยกทัพมายดึ ครองอนุราธปุระได้ พระเจ้า ไหวก็เพยี รสาธยายรักษาพระปริยตั ิธรรมและมารวมตัว เมตตา เทีย่ งธรรม และแมจ้ ะมิไดน้ ับถือพระพุทธศาสนา วฏั ฏคามณีอภัยหนีไปหลบซ่อนองคอ์ ย่นู าน ๑๔ ปเี ศษ ร่วมคดิ ร่วมปรึกษาสบื พระธรรมวินยั ไว้ จนกระทง่ั พ.ศ. มากอ่ น ก็ได้เอาพระทยั ใสเ่ คารพเป็นอยา่ งดี แต่เพราะ โดยไดร้ ับความเก้ือกลู จากพระเถระชอ่ื มหาติสสะ ๔๕๕ พระเจา้ วัฏฏคามณีอภยั รวมกำ� ลังเขม้ แข็งพอ จึงยก เป็นชาวต่างชาตแิ ละมาได้ราชสมบตั ิด้วยการแย่งชิง ใน พลมารบสงั หารกษัตริย์ทมฬิ ได้และขึ้นครองราชย์ใหม่ ท่ีสุดเจา้ ชายสิงหฬจากแควน้ โรหณะในภาคตะวนั ออก ลงั กาเข้ายุคเขญ็ พุทธศาสนาพบวกิ ฤต เฉยี งใตข้ องเกาะสงิ หฬไดย้ กทพั มารบเพื่อขบั ไล่ทมฬิ เมื่อบา้ นเมอื งสงบเรยี บร้อย พระเถระทั้งทห่ี ลบ พระเจา้ เอฬารทมิฬสวรรคตในที่รบเมื่อ พ.ศ. ๓๘๒ (รวม ระหวา่ งนนั้ บ้านเมืองขาดความมั่นคงปลอดภัย ซ่อนอยู่ในลังกาทวีป และทกี่ ลับมาจากชมพทู วีป กม็ า ครองราชย์ได้ ๔๔ ป)ี เจา้ ชายสิงหฬแห่งโรหณะขนึ้ ข้าวยากหมากแพง เตม็ ไปด้วยโจรผรู้ า้ ย ประชาชนนนั้ ทัง้ ซกั ซอ้ มทวนทานพระธรรมวนิ ยั กนั จนม่ันใจว่าครบถ้วน ครองราชยท์ ี่อนุราธปุระ รวมเกาะสงิ หฬได้ทัง้ หมด มี ตนเองกเ็ ดอื ดรอ้ นและไม่มกี ำ� ลงั เกอ้ื หนนุ พระสงฆ์ด้วย สมบูรณ์ หา้ มซอื้ -ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พ่ือการศึกษาสว่ นตัวเท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ตอ่ ต้องติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน 45
แดนทมิฬในยคุ อโศก ทมิฬ กบั พุทธศาสนา อาณาจกั รเหลา่ นม้ี มี าแตโ่ บราณ อยา่ งนอ้ ยต้งั แต่ อย่างไรกต็ าม เรอื่ งราวครั้งโบราณของอาณาจกั ร สมยั พระเจ้าอโศกฯ (พ.ศ. ๒๑๘-๒๔๕) ดงั ความในศลิ า- เหลา่ นเี้ หลือมาใหท้ ราบกนั น้อยย่ิง รู้มาบ้างจากวรรณคดี จารึกของพระเจ้าอโศกฯ โองการท่ี ๒ และที่ ๑๓ วา่ เป็น เกา่ ๆ และจารึกภาษาทมิฬพราหมี จารึกเหล่านี้ (ระหว่าง ดนิ แดนขา้ งเคียงเลยออกไปทางใต้ (พระเจ้าอโศกฯ รบ ศตวรรษท่ี 2 กอ่ นค.ศ. ถงึ คริสต์ศตวรรษท่ี 4 คือราว ชนะแควน้ กลิงคะแล้วหยุดแคน่ นั้ อาณาจักรเหลา่ นจ้ี งึ ยงั พ.ศ. ๒๕๐-๙๕๐) สว่ นมากจดบอกทานบรจิ าค ทร่ี าชา เป็นอสิ ระอย;ู่ เจระ กลา่ วถึงเฉพาะในโองการที่ ๒ เรียก เจา้ นาย พ่อค้า และช่างฝีมือท้ังหลายได้ถวายแกพ่ ระสงฆ์ ว่าเกรลปุตระ) ในพระพทุ ธศาสนา และแก่นักบวชเชน อันแสดงว่า พระพทุ ธศาสนา และศาสนาเชนได้มาเจริญแถบนี้ ซง่ึ คง เน่อื งด้วยการตดิ ต่อกับจกั รวรรดิอโศกดว้ ย พระวิษณุ แบบปาณฑยะ บ้านเมืองสงบ ก็ยงั ตอ้ งพบปัญหา ครั้งนนั้ พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ทรงระลึกถงึ อุปการะของพระมหาติสสะคร้งั ทรงตกยาก จึงทรงสรา้ ง อภยั ครี ีวิหารถวาย แต่พระมหาติสสะถูกพระสงฆ์แหง่ มหาวิหารลงปพั พาชนยี กรรม ฐานคลุกคลกี บั ตระกลู ตอ่ มาทางอภัยคีรวี หิ ารก็แยกคณะออกไป ท�ำใหพ้ ระสงฆ์ ในลังกาทวปี แตกเป็น ๒ นิกาย คือ ฝ่ายมหาวิหารวาสี กบั ฝา่ ยอภยั คิริวาสี และฝ่ายอภัยคีรมี ีกำ� ลังมากเพราะ พระราชามหาอ�ำมาตยค์ นมีช่อื เสียงพากันอุปถัมภบ์ ำ� รุง ต่อมา ไดม้ คี มั ภรี ์ใหม่ทย่ี กขนึ้ สภู่ าษาสันสกฤตอัน เป็นของนิกายธรรมรจุ ทิ ีอ่ ยูใ่ นพวกวัชชีบตุ ร เขา้ มาสู่ ลังกาทวปี ฝ่ายอภัยคิริวาสยี อมรบั ตาม กเ็ ลยกลายเปน็ พวกนิกายธรรมรจุ ิไป อภยั ครี วี ิหาร 46 หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พอื่ การศึกษาส่วนตวั เทา่ นัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ิขสทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
ทมิฬ กับกรีก-โรมัน-สงิ หฬ ปากีสถาน เนปาล ชาวโจละ/โจฬะ เปน็ ต้น เหล่าน้ี เปน็ นักเดินเรอื อทาหะเรลับ อนิ เดยี เบองก่าวอล แต่โบราณ มกี ารคา้ ขายกบั พวกกรกี (เรียกวา่ ยวน ยวนก มทั ราส หรอื โยนก คอื Ionian) โรมัน และชาวอาหรับตลอดถึง จนี สืบมานานตงั้ แตก่ อ่ น ค.ศ. (กอ่ นมีศาสนาครสิ ตแ์ ละ ลังกา อสิ ลาม) ในเอกสารของพวกกรกี ทม่ี าคา้ ขายแถบมทั ราส (Madras ปัจจุบนั เปลีย่ นเป็น Chennai) ชื่อ The Peri- จากความเป็นนักเดนิ เรอื น้ี ชาวทมิฬจำ� นวนมาก plus of the Erythraean Sea (ค.ศ. 90) เรียกชาว จงึ ได้ไปตัง้ ถนิ่ ฐานในเกาะสิงหฬ ตลอดจนเขา้ ยึดครอง โจฬะวา่ “men of the sea” เมอื งทา่ ใหญ่เชน่ “กาวริ - แผน่ ดนิ จากเจา้ ถิ่นชาวสิงหฬในลังกาทวีป ปัฏฏนะ” ทป่ี ากแมน่ ำ�้ กาเวรีกเ็ ป็นท่รี จู้ กั กันดีแก่พวก โรมนั เหรียญอุตตมะโจละ อนรุ าธปุระ สังคายนาครงั้ ท่ี ๕ หรอื ๔ พระเถระเหล่านน้ั ไดป้ ระชมุ กนั ทำ� งานน้ี ท่วี ัดถำ้� มาตาเล แกนดี ช่ืออาโลกเลณะ ทีม่ าตุลนคร ในมลยั ชนบท (อยใู่ นถิ่น โคลมั โบ พระเถระมหาวิหารวาสีท้งั หลายปรารภสภาพ ภเู ขา ทีป่ จั จุบนั เรียกวา่ Matale กลางเกาะลังกา ห่างจาก บ้านเมอื งและเหตุการณเ์ หลา่ น้ีแลว้ มองเห็นภาวะทว่ี า่ อนรุ าธปุระประมาณ ๑๐๘ กม. ใกลไ้ ปทางเมืองแกนด/ี เมื่อบา้ นเมืองเดอื ดรอ้ นราษฎรยากเข็ญ จะดำ� รงพระ Kandy) ทัง้ นี้ ส�ำเร็จด้วยเร่ียวแรงกำ� ลงั ของพระเถระ ธรรมวนิ ัยได้ยาก และค�ำนึงว่าสืบไปภายหน้ากุลบุตรจะ เหลา่ นนั้ เอง (ต�ำนานวา่ พระมหาเถระประชมุ กัน ๕๐๐ เส่อื มถอยดอ้ ยสตสิ มาธปิ ัญญา (นา่ จะหมายถงึ เสอ่ื มสติ รูป) โดยมิไดร้ บั การเก้ือหนนุ จากพระราชามหาอ�ำมาตย์ ด้านทส่ี �ำคญั อย่างหน่งึ ด้วย คือความระลกึ ส�ำนกึ ถึงคุณค่า เพยี งแต่ผู้ปกครองท่ีเปน็ ชนปทาธบิ ดใี นถ่นิ นน้ั ช่วยดแู ล ความสำ� คัญของพระธรรมวินยั และประโยชนส์ ขุ ส่วนรวม อารกั ขาให้เท่านน้ั การคร้งั น้ีตอ่ มาเรียกและจัดกนั ว่า ทตี่ อ้ งใสใ่ จศึกษาปฏิบัติอย่างจรงิ จัง) จะไม่สามารถทรง เป็นสังคายนาครัง้ ท่ี ๕ แต่โดยทัว่ ไป เน่ืองจากไม่นบั พระปรยิ ตั ิไว้ด้วยมขุ ปาฐะ กบั ทัง้ ควรจะมีหลกั ฐานไวเ้ ป็น การสงั คายนาทถี่ ูปารามใน พ.ศ. ๒๓๖ จึงนับครั้งน้เี ป็น เกณฑ์ตดั สนิ ไมใ่ หห้ ลักพระศาสนาสับสนปนเปกบั ลทั ธอิ นื่ สงั คายนาครัง้ ที่ ๔ ภายนอก เพ่อื รกั ษาพระธรรมวินัยไว้ใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ จงึ ตกลง กนั ให้จารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่ือการศึกษาสว่ นตวั เท่านนั้ ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ ่อ ต้องติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน 47
หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศึกษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น
ยุ ค กุ ษ า ณ - สิ้ น ยุ ค คุ ป ต ะ หา้ มซือ้ -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ตอ่ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน
อนิ เดียใต:้ แดนทกั ษิณาบถ แม่น�้ำนรรมทา/นมั มทา พร้อมดว้ ยเทือกเขา วนิ ธยะ (Vindhya Range) ที่แม่น้�ำน้ันไหลเคียงคไู่ ปจาก ในตอนทผี่ ่านมา โดยมากไดพ้ ูดถึงพระพทุ ธ- ตะวนั ออกสตู่ ะวนั ตก กบั ทงั้ ปา่ ใหญท่ เี่ รยี กวา่ มหากนั ตาระ ศาสนาในสว่ นเหนอื ของชมพูทวีป ต้งั แต่ภาคตะวนั ออก (มหากนั ดาร) เป็นเสน้ แบ่งโดยธรรมชาตริ ะหวา่ งภาคท้ัง แถวเบงกอล ขึน้ ไปถึงตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ตอนบน จด สองนัน้ แคว้นโยนก ต่อกับอาเซยี กลาง คราวน้หี นั มาดูพระ พทุ ธศาสนาในชมพทู วปี ตอนลา่ งแทรกเขา้ มาเลก็ น้อย (ทว่ี า่ นี้ เปน็ ความหมายอยา่ งกวา้ ง แตใ่ นความหมาย ทจ่ี ำ� กดั เฉพาะ หรืออย่างแคบ Deccan หมายเอาเพียง อินเดียนน้ั แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ภาคใหญ่ คือ ภาคเหนือ ส่วนบนของภาคใต้นนั้ ดงั น้นั จงึ ไมร่ วมแดนทมิฬซ่งึ อยู่ใต้ ซ่ึงนิยมเรยี กรวมๆ วา่ ฮินดูสถาน/Hindustan อัน สดุ ทีเ่ คยพดู ถงึ บ้างแลว้ ) ประกอบด้วยทีร่ าบลมุ่ แมน่ ำ�้ สนิ ธุ และท่รี าบลมุ่ แม่นำ�้ คงคา กับภาคใต้ ซง่ึ เรียกรวมๆ ว่า Deccan อนั เปน็ อย่างไรกด็ ี ในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา มกั ใชแ้ ม่นำ�้ ดินแดนทรี่ าบสูงในสว่ นลา่ งของชมพูทวีป ตง้ั แต่ใต้ คงคาเปน็ เครอื่ งก�ำหนดเขต คอื ถอื ดนิ แดนแถบแมน่ ำ้� แมน่ �้ำนรรมทา/นัมมทา (Narmada) ลงไป ทเ่ี รียกกัน คงคานน้ั วา่ เป็นถิน่ กลาง(แหง่ ความเจริญ)/มชั ฌมิ เทส/ มาแต่โบราณวา่ “ทักษิณาบถ” (=“หนใต”้ เขยี นอยา่ ง มธั ยมประเทศ นบั ถนิ่ แดนขา้ งใต้จากฝ่ังแมน่ �้ำคงคาลงไป บาล=ี ทักขิณาบถ; คำ� ว่า Deccan กเ็ พ้ยี นมาจากค�ำว่า เปน็ ทกั ขิณาบถ (หนใต้) และถน่ิ แดนข้างเหนอื เลยฝง่ั “Daksฺinฺ a/ทกั ษณิ ” นน่ั เอง) แม่คงคาขึ้นไป เป็นอุตราบถ (หนเหนือ) ในครัง้ พทุ ธกาล ที่ถอื วา่ ชมพูทวปี มมี หาชนบท คือรฐั ใหญ่ ๑๖ น้นั นับแคว้นอสั สกะ (ตอนบนของแม่นำ้� โคธาวรี ซงึ่ ปัจจุบันเรียกวา่ โคทวรี/Godavari) และ อวันตี (ที่มอี ุชเชนเี ป็นเมอื งหลวง) เข้าในฝ่ายทักขิณาบถ นบั แควน้ คันธาระ (=ปากีสถานและอัฟกานสิ ถานตอน เหนอื ) และกมั โพชะ (คงจะ=ตอนบนของอฟั กานสิ ถาน ถึงอาเซยี กลางสว่ นล่าง) เข้าในฝ่ายอุตราบถ ต่อมา สมยั หลังบางทจี ัดมหาชนบททงั้ ๑๖ เปน็ มัธยมประเทศ เปน็ ท่ีร้กู ันตลอดมาว่า อุตราบถเปน็ แหล่งของ อัสดรคอื ม้า และทักขิณาบถเปน็ แหลง่ ของโค 50 ห้ามซือ้ -ขาย อนุญาตให้ใชเ้ พ่อื การศึกษาสว่ นตวั เทา่ นัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น
พทุ ธศาสนาในทักษณิ าบถ เข้าในมหาอาณาจักรของพระเจา้ อโศกฯ (ส่วนปลายล่าง ภาพเขยี นและงานแกะสลัก ถ้ำ� อชนั ตา ท่เี หลอื ของชมพูทวปี ซ่ึงเปน็ แดนทมฬิ ยงั ปล่อยไว้เปน็ 150 BC (ประมาณ; ตามฝรั่ง=พ.ศ. ๓๓๓ นบั เอกราช) และเป็นแคว้นหนงึ่ ที่พระเจ้าอโศกทรงสง่ พระ ขยายดนิ แดนข้นึ ไปถึงอนิ เดียภาคกลางและภาคตะวันตก อย่างเรา=พ.ศ. ๓๙๓) ในดนิ แดนส่วนล่างของชมพูทวปี สมณทตู มาประกาศพระศาสนา (คมั ภรี ส์ าสนวงส์ว่า อนั เท่าทส่ี ืบค้นได้ ถือกันวา่ การเจาะแกะสลกั ภูเขา ทเี่ รยี กว่า Deccan หรือทักษิณาบถ/ทักขณิ าบถ น้ัน ธกรฐั เปน็ แคว้นเมอื งยกั ษ์/ยกั ขปุรรฐั ) มีถาวรวตั ถทุ เ่ี ป็นหลกั ฐานชัดเจนอยา่ งยิง่ วา่ พระพุทธ- วาดภาพในหมู่ถ้�ำ อชนั ตา เรม่ิ ข้ึนในยุคสาตวาหนะน้ี คอื ศาสนาเคยเจรญิ รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะที่ควรกล่าวถึง คอื เชื่อกันวา่ ราชวงศแ์ รกทต่ี งั้ อาณาจักรใหญข่ ึ้นใน ราว พ.ศ. ๔๐๐ (หรืออย่างเร็วสดุ ไมก่ อ่ น พ.ศ. ๓๕๐) แต่ หมูถ่ ้�ำอชันตา (Ajanta; เรยี กตามชื่อหมู่บา้ นในถิ่นทพี่ บ ทักษิณาบถ คอื สาตวาหนะ (ศาลิวาหนะ ก็เรียก) ซ่งึ ในช่วงแรกได้มีการทำ� งานนถ้ี ึงประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ หรอื หมู่ถ�้ำนัน้ ) ซ่งึ ตามด้วยหมู่ถ้�ำเอลโลรา (Ellora; เรยี กตาม เร่มิ ต้นหลังยุคอโศก ในชว่ งศตวรรษท่ี ๓ ถึง ๑ ก่อน ๕๕๐ เทา่ นน้ั แลว้ กห็ ยดุ ไปนานจนผา่ นพน้ ยคุ สาตวาหนะไป ชื่อหมูบ่ า้ นในถิน่ ท่พี บเชน่ กัน) ในยคุ หลังตอ่ มา คริสต์ (พุทธศตวรรษที่ ๓-๕) และมบี ทบาทในการก�ำจดั ราชวงศ์ศุงคะลงดว้ ย การคา้ ระหวา่ งอินเดียกับกรุงโรมก็ ถ�้ำทเ่ี จาะแกะสลักในชว่ งแรกนม้ี ี ๖ ถ้�ำ เป็นของ ดินแดนในทักษณิ าบถนี้ เท่าที่ทราบกันมาวา่ เป็น รุ่งเรอื งในยคุ น้ี บางชว่ งทีเ่ รืองอ�ำนาจ ราชวงศ์สาตวาหนะ พระพทุ ธศาสนาหนี ยานทั้งสิ้น (ไดแ้ ก่ถ้�ำท่ี ๘, ๙, ๑๐, ถ่นิ ของชาวอนั ธระ (เรยี กตามบาลวี า่ อันธกะ) และใน ๑๒, ๑๓, และ ๓๐; งานเจาะแกะสลกั ถ�้ำหยุดไป ๔๐๐ พทุ ธศตวรรษท่ี ๓ (=ศตวรรษท่ี ๓ กอ่ นคริสต์) ไดร้ วม กว่าปี จงึ มกี ารทำ� ตอ่ หรือเพิ่มอีกเมือ่ ใกล้ พ.ศ. ๑๐๐๐ ซง่ึ จะกล่าวถึงในยคุ ต่อไป) หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พื่อการศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ น้ัน ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 51
ตะวนั ตกตอนบน มีอชนั ตา อาคเนย์ มอี มราวตี ในยุคเดียวกนั น้ี หา่ งออกไปทางตะวนั ออกเฉียงใต้ ประมาณ ๖๗๐ กม. เมืองอมราวตกี ็ไดเ้ รมิ่ เป็นศนู ย์กลาง สำ� คัญแหง่ หน่ึงของพระพุทธศาสนา มีมหาวิหารท่ีเป็น มหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนาชอื่ วา่ “ศรธี นั ยกฏกั ” เตม็ ไป ดว้ ยวดั วาอาราม มสี ถาปตั ยกรรมเป็นแบบอยา่ ง รุ่งเรือง อยู่นานราว ๕๐๐ ปี จนสน้ิ คริสต์ศตวรรษที่ 3 ใกลๆ้ กันนั้น ลกึ เข้ามาในแผน่ ดินใหญ่ ถัดจาก อมราวตี มาทางตะวันตกอีกราว ๑๒๐ กม. (หา่ งอชนั ตา ออกไปทางตะวนั ออกเฉียงใตป้ ระมาณ ๕๘๐ กม.) เป็น ทต่ี ัง้ ของนาคารชุนโกณฑะ (=Nagarjuna’s Hill/ดอย นาคารชุน) ท่สี รา้ งถวายพระนาคารชนุ (ช่วงชวี ิต พ.ศ. ๖๙๓-๗๙๓) ผตู้ ง้ั นกิ ายมาธยมกิ (บางทถี อื วา่ เปน็ ตน้ กำ� เนดิ มหายานดว้ ย แตย่ งั ไม่ยอมรบั ทว่ั กัน) มีมหาวทิ ยาลัย พระพทุ ธศาสนาทพ่ี ระนาคารชนุ สอน พร้อมท้งั สถูปเจดยี ์ วดั วาอาราม เป็นมหาสถานอันรุ่งเรอื ง ซง่ึ พบแลว้ ขดุ แตง่ กนั มาแตป่ ี ๒๔๖๘ จนกระทง่ั เมื่อรฐั บาลสรา้ งเขือ่ น “นาคารชุนสาคร” เสร็จในปี ๒๕๐๓ มหาสถานน้ีก็จงึ จม อยู่ใตผ้ ืนนำ�้ แต่รฐั ได้พยายามรักษาบางส่วนท่ีสำ� คัญดว้ ย การจำ� ลองไวบ้ นบกเปน็ ตน้ ราชวงศ์สาตวาหนะ ได้อุปถัมภบ์ ำ� รุงพุทธสถาน ท้งั หลายอย่างดี ตั้งแต่สาญจีลงมาถงึ นาคารชนุ โกณฑะ และอมราวตี แตส่ ายวงศ์เองคงเป็นพราหมณ์ จงึ มีการท�ำ พิธีบูชายัญอัศวเมธ 52 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพ่ือการศึกษาส่วนตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ขิ สิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน
อตุ ราบถ และมธั ยมประเทศ บากเตรยี 128 BC (ตามฝรั่ง=พ.ศ. ๓๕๕ นับอยา่ งเรา=พ.ศ. คนั ธาระ ๔๑๕) หันกลบั ไปดทู างฝ่ายเหนือ อาณาจกั รบากเตรีย ปรุ ษุ ปุระ ตกั สลิ า คือโยนก ถูกชนเผา่ ตา่ งๆ จากอาเซยี กลางรุกรานเขา้ มา เปน็ ระลอก เรม่ิ แต่พวกศกะ จนในท่สี ุดไดต้ กเป็นของ กุษาณ อาณาจกั รกษุ าณ ที่รงุ่ เรืองตอ่ มา แม่นำ�้ สนิ ธุ แมน่ ำ้� ยมนุ า แม่นำ�้ คงคา ระหวา่ งน้ี ราชวงศ์ศงุ คะ นอกจากอาณาจักรหด เล็กลงมากเพราะดนิ แดนใตแ้ ม่นำ�้ นัมมทาลงไปไดต้ กเปน็ มถรุ า ปาฏลบี ุตร ของอาณาจักรฝ่ายใต้ของราชวงศ์สาตวาหนะ (ท่ีเกิดขนึ้ ใหม่ในระยะทม่ี คธของราชวงศ์โมริยะก�ำลงั แตกสลาย) แม่นำ้� นมั มทาศงุ คะ แลว้ กอ็ ่อนกำ� ลงั ลงอกี เพราะต้องตงั้ รับทัพกรกี โยนกอยู่ เร่อื ยๆ ต่อมาภายในกเ็ กดิ ปญั หาจนถูกกำ� จัดสิน้ วงศ์ใน ทะเล อชนั ตา กลงิ คะ พ.ศ. ๔๑๐ (73 BC) อาหรับ อ่าว สาตวาหอมนระาวตี เม่อื บากเตรีย/โยนกหมดอำ� นาจ และศงุ คะส้ิน เบงกอล วงศแ์ ลว้ ชมพูทวีปก็มอี าณาจกั รยงิ่ ใหญ่อยู่ ๒ คอื กุษาณ ทางฝ่ายเหนอื และสาตวาหนะในฝา่ ยใต้ ปาณฑยะ กษุ าณได้แผ่อำ� นาจเขา้ แทนท่ีกษัตรยิ ก์ รีกโยนก กษุ าณทางฝา่ ยเหนอื กับสาตวาหนะในฝ่ายใต้ หน้าตรงข้าม: โดยขยายอาณาจกั รลงมาจนถึงเมือง มถุรา (ใตก้ รุงเดลี เป็นอาณาจักรรว่ มสมยั ทนี่ บั คร่าวๆ วา่ เร่มิ ตน้ และสิ้นสดุ ภาพแกะสลกั สถปู แบบอมราวตี ลงมา ๑๓๗ กม. เย้ืองไปทางตะวันออกเลก็ นอ้ ย; ในยุค ในช่วงสมยั เดยี วกนั (เรม่ิ ในชว่ ง พ.ศ. ๓๐๐-๔๐๐ แล้ว จากซ้าย: ใกลพ้ ุทธกาล มถุราเปน็ เมืองหลวงของแคว้นสรุ เสนะ) สาตวาหนะสิ้น พ.ศ. ๗๔๓ กษุ าณส้นิ พ.ศ. ๗๖๓) พทุ ธศลิ ปแ์ บบมถรุ า เหรยี ญกษัตรยิ ์กุษาณ มถุรานอกจากเป็นศูนยอ์ ำ� นาจของกษุ าณในแถบ ล่างแล้ว กเ็ ป็นถิ่นที่ร่งุ เรืองของศลิ ปะแมแ่ บบท่เี รยี กว่า ตระกลู ศิลป์แห่งมถุราดว้ ย โดยเจริญคูก่ ันมากบั ศลิ ปะ แบบคันธาระ และราชวงศ์กษุ าณก็ไดอ้ ุปถมั ภบ์ �ำรุงศิลปะ ทั้งสองสายนั้น ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพื่อการศึกษาสว่ นตัวเทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 53
ทางสายไหม (สว่ นตน้ ของทางสายไหม ซง่ึ ใชข้ นหยกจากโขตาน เพราะในหลุมฝงั ศพอียิปตโ์ บราณกพ็ บผ้าไหม นอกจาก /Khotan ไปยังกรงุ จนี มีมานานตงั้ แต่ราว 300 BC/ราว นนั้ มตี ำ� นานของยวิ ว่า พอ่ ค้าอสิ ราเอลได้ค้าขายกับจีนมา 141-87 BC ทเี่ มืองจีน ในรชั กาลพระเจ้าฮนั่ -วู่ตี่ พ.ศ. ๒๕๐ แลว้ และเรม่ิ เชอื่ มกับตะวันตกตง้ั แต่ 200 แตส่ มยั กษัตรยิ เ์ ดวดิ /King David ครั้งตน้ ศตวรรษท่ี 10 จนี แผ่อำ� นาจมาถึงอาเซียกลาง ไดเ้ ปดิ เส้นทางสายไหม BC แต่ค้าขายกันจรงิ จงั ในยคุ 100 BC อยา่ งไรก็ดี นกั BC) เช่อื มเมอื งเชยี งอาน (ฉางอาน) กับโรม ยาว ๔,๐๐๐ ประวตั ิศาสตร์บา้ งกว็ ่าทางสายไหมมีตั้งแตร่ าว 1,000 BC ไมล์ (๖,๕๐๐ กม.) โดยเริม่ มกี องเกวยี นขนสง่ ไหมไปยงั เปอรเ์ ซยี ในปี 106 BC (=พ.ศ. ๔๓๘) 54 หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่อื การศึกษาสว่ นตวั เท่าน้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
โรมันเรอื งอำ� นาจ เดือน “สงิ หาคม” ทเ่ี ดิมเรยี ก Sextilis กถ็ กู เปลี่ยนชือ่ เพ่อื เฉลมิ พระเกยี รติเป็น August ในปี 8 BC 90 BC (ฝร่งั นับ=พ.ศ. ๓๙๓ เรานับ=พ.ศ. ๔๕๓) (ทำ� นองเดยี วกบั ทเ่ี ดือน “กรกฎาคม” ซ่งึ เดิมเรียกว่า สาธารณรัฐโรมนั เกดิ สงครามกลางเมือง ในท่สี ุด ปี 48 Quintilis ไดถ้ ูกเปล่ียนชอ่ื เปน็ July เม่อื ปี 44 BC เพอ่ื BC จลู ิอสุ ซซี าร์ (Julius Caesar) มีชยั ไดอ้ ำ� นาจ แต่ ๔ เฉลิมเกยี รติของ Julius Caesar) ปีต่อมาเขาก็ถกู ลอบสงั หาร นบั แตร่ ชั กาลของพระเจา้ ออกสั ตัสนเ้ี ปน็ ตน้ ตอ่ มา ออกตาเวยี น (Octavian) นดั ดา ซึ่งจูลอิ สุ ไป สาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) เปลย่ี นเป็น ซซี ารไ์ ดต้ งั้ ไวเ้ ปน็ ทายาท รบชนะแอนโทนแี ละคลโี อพตั รา จกั รวรรดโิ รมนั (Roman Empire) เรียกส้ันๆ ตามช่อื (ราชนิ ีแห่งอียิปต์ ราชธดิ าของพระเจ้า Ptolemy XI) ใน เมืองหลวงวา่ “โรม” ปี 31 BC (โอรสของนางคือกษตั ริย์ Ptolemy XV กถ็ กู สงั หาร จงึ สน้ิ ราชวงศ์ Ptolemy) พระเจ้าออกสั ตัส จดั การบ้านเมืองและบำ� รุง ศลิ ปวทิ ยา เร่มิ ยคุ แหง่ ความสงบเรียบรอ้ ยและรุง่ เรอื งสบื ออกตาเวยี นได้รับสถาปนาเป็นจกั รพรรดิโรมัน มา ๒๐๐ ปี มีค�ำเฉพาะเรียกวา่ Pax Romana องคแ์ รก ในปี 29 BC เฉลมิ พระนามวา่ ออกสั ตสั หรอื ออกัสตสั ซีซาร์ (Augustus Caesar) ในปี 27 BC จากซ้าย: 55 จลู อิ ุส ซซี าร์ คลโี อพตั รา มารค์ แอนโทนี ออกัสตสั ซีซาร์ หา้ มซอ้ื -ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พอ่ื การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ตอ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น
ถนนโรมนั +ทางสายไหม โรมันมาครองยวิ พระเจ้าออกัสตสั ได้ใสพ่ ระทัยสรา้ งถนนโรมัน 63 BC (ตามฝรั่ง=พ.ศ. ๔๒๐; ไทยนับ=พ.ศ. (Roman Roads ของเดิมสรา้ งมาแตร่ าว 312 BC) ซ่ึง ๔๘๐) นายพลโรมนั ช่อื ปอมปยี ์ (Pompey, คแู่ ขง่ และ เชอ่ื มกรงุ โรมกบั เมอื งนอ้ ยใหญ่ (ตอนเจรญิ สงู สดุ จกั รวรรดิ แพ้ Julius Caesar) ยดึ เยรซู าเล็มได้ และเขา้ ปกครอง โรมนั มถี นนยาวทั้งสน้ิ ๘๕,๐๐๐ กม. จากองั กฤษถึง แผน่ ดิน ปาเลสไตน์ ชาวยิวตกอยใู่ ต้การปกครองของ อาฟริกาเหนอื จากคาบสมทุ รไอบเี รียฝั่งแอตแลนตคิ จักรวรรดโิ รมัน ในทิศตะวันตก จดอา่ วเปอรเ์ ซยี ในทิศตะวนั ออก ผา่ น จากซ้ายบน: ดนิ แดนต่างๆ ถา้ นับตามสภาพปจั จุบันกเ็ กนิ ๓๐ ชาต)ิ Pompeii Street Roman Road ทางสายไหม ซ่งึ เรม่ิ จากเมืองเชียงอาน หรือ นายพลปอมปีย์ จากฝั่งทะเลจนี ผ่านอาเซียกลาง มายงั คันธาระและ บากเตรีย/โยนก ตอ่ ไปทางแบกแดด จนถงึ ฝง่ั ตะวันออก ของทะเลเมดเิ ตอเรเนียน ได้เชื่อมจักรวรรดโิ รมนั กับจนี และอินเดีย โดยต่อเขา้ กบั ถนนโรมนั น้ัน และถนนแถบ ชมพทู วีปที่สร้างขนึ้ มากมายในยุคอโศก พร้อมทั้งถนน ของจกั รวรรดเิ ปอร์เซียโบราณ เปน็ เส้นทางเดนิ แหง่ อารยธรรมตะวนั ออก-ตะวนั ตกอยูย่ าวนาน (หลกั ฐานฝ่ายกรีกกล่าวถงึ ถนนของโมรยิ กษัตรยิ ์ เชอื่ มเมอื งตักสลิ า ปาฏลบี ุตร และสนิ้ สดุ ท่เี มอื งทา่ ตามรลิปติ (บาล=ี ตามลิตติ; ตมั พลงิ ค์ กว็ ่า) ท่ีปากแมน่ ำ�้ คงคา ใตเ้ มอื งกัลกตั ตาปจั จุบัน ถา้ วัดตรงเปน็ เส้นบรรทดั โดยไมผ่ ่านเมอื งอืน่ ในระหวา่ ง ก็เปน็ เสน้ ทางยาว ๒,๐๐๐ กม.) 56 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพ่ือการศึกษาส่วนตัวเทา่ นัน้ ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
ก�ำเนดิ ศาสนาครสิ ต์ ค.ศ. 25 หรอื 29 (=เรานบั พ.ศ. ๕๖๘ หรอื ๕๗๒) โรมันก�ำจัดครสิ ต์ พระเยซูถกู โรมนั ซึง่ เปน็ ผูป้ กครองทีน่ ่ัน สงั่ ลงโทษตาม 8-4 BC (ตามฝร่ัง=พ.ศ. ๔๗๕-๔๗๙) นบั แบบ ความประสงค์ของพวกยวิ ให้ประหารชีวิตดว้ ยการตรงึ พ.ศ. ๖๐๗ (ค.ศ. 64; ฝรงั่ นบั =พ.ศ. ๕๔๗) เนโร เรา=พ.ศ. ๕๓๕-๕๓๙) ชว่ งเวลาทส่ี นั นษิ ฐานว่าพระเยซู ไม้กางเขน ฐานอวดอา้ งเท็จว่าเป็นพระผมู้ าโปรด (mes- (Nero) จักรพรรดโิ รมันเริ่มกำ� จัดกวาดล้างผูถ้ ือคริสต์ ประสูตทิ ีเ่ มอื งเบธเลเฮม (Bethlehem) ทางใต้ของ sianic pretender) อยา่ งโหดเหี้ยม เยรูซาเลม็ ในอิสราเอล ชาวครสิ ตถ์ อื วา่ การสิ้นชีพของพระเยซูเพราะถกู หลงั จากนัน้ มกี ารกวาดล้างชาวครสิ ต์ครง้ั ใหญ่ พระเยซเู ปน็ ชาวยวิ เปน็ บตุ รของแมน่ างพรหมจารี ตรึงไม้กางเขนนี้ เปน็ การไถบ่ าปให้แก่มวลมนษุ ย์ กับท้งั ในจกั รวรรดโิ รมนั อกี หลายครงั้ โดยเฉพาะใน พ.ศ. ๗๒๐ แมรี ภรรยาของโจเซฟ ช่างไม้แห่งเมอื งนาซาเรธ ถอื วา่ พระเยซูไดฟ้ น้ื คนื ชีพ (Resurrection) และหลงั จาก (ค.ศ. 177) จักรพรรดมิ ารค์ ัส ออรเี ลยี ส จดั การใหง้ าน น้นั ๔๐ วนั ไดเ้ สดจ็ ขน้ึ สสู่ วรรค์ กำ� จดั กวาดล้างผ้ถู ือครสิ ตจ์ ริงจังเปน็ ระบบ พ.ศ. ๗๙๓ นาม “เยซ”ู คือ Jesus เปน็ คำ� กรกี ตรงกบั คำ� ยิว (ค.ศ. 250) จกั รพรรดดิ ีเชยี ส ด�ำเนนิ การก�ำจัดกวาดลา้ ง เปน็ ภาษาฮบิ รูว่า Joshua ส่วน “ครสิ ต”์ คอื Christ หลงั จากนน้ั ปอล หรือ เปาโล (บางทีเรยี กเปน็ แบบต้อนฆา่ ไม่เลอื ก ท�ำให้เกดิ มีผพู้ ลชี พี ทเี่ รยี กว่า mar- (ไครสต)์ ก็เปน็ ค�ำกรกี ตรงกบั ค�ำฮิบรูวา่ Messiah แปล ภาษาฮบิ รูวา่ Saul; ไดเ้ ปน็ Saint Paul) เป็นบุคคล tyr ซ่ึงตอ่ มายกเป็นนกั บุญ (saints) และใน พ.ศ. ๘๔๖ ว่า “(ผไู้ ดร้ ับการ)เจมิ แลว้ ” ส�ำคญั ท่ีทำ� ให้ศาสนาคริสตเ์ ผยแพรไ่ ปอยา่ งกว้างขวางใน (ค.ศ. 303) จักรพรรดิไดโอคลเี ชยี นก็ด�ำเนนิ การกำ� จัด ดนิ แดนกรกี -โรมนั กวาดล้างคราวใหญ่อีก เม่อื อายปุ ระมาณ ๓๐ ปี หลังไดร้ ับศีลจมุ่ (Bap- tism) จาก John the Baptist แล้วพระเยซไู ด้เริ่มเผย แพร่ค�ำสอนทีเ่ ป็นฐานให้เกดิ ศาสนาครสิ ต์ (สว่ นมากสอน ท่ีกาลิล/ี Galilee ซ่ึงอยสู่ ่วนเหนือสดุ ของปาเลสไตน์ เมือง นาซาเรธ/Nazareth ที่พระเยซูเติบโตก็อยู่ในเขตกาลลิ ี น)ี้ โดยมสี าวกท่ีท่านเลอื กไว้ ๑๒ คน (12 Apostles มี Saint Peter เปน็ หัวหน้า) แตเ่ มอ่ื พระเยซูสอนในปที ี่ ๓ พวกนักบวชยวิ เปน็ ตน้ ซง่ึ ไมพ่ อใจการสอนของทา่ น รว่ มดว้ ยสาวกคนหนง่ึ ของทา่ นที่ทรยศ ได้สมคบกนั จับตัวท่านให้เจ้าหน้าทีย่ วิ สอบสวนฐานปลกุ ปน่ั ประชาชน แลว้ สง่ แกโ่ รมนั ผปู้ กครอง จากซา้ ย: 57 พระเยซู จกั รพรรดเิ นโร หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพือ่ การศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
พทุ ธศาสนารุง่ เรือง ยคุ ท่ี ๒ พระเจา้ กนษิ กะ ผตู้ ั้งศกราช ศาสนา พทุ ธศิลปร์ ุ่งเรอื งมาก และได้ทรงสรา้ งมหาสถูป พระเจา้ กนษิ กะ ใหญท่ ส่ี ุด สูง ๖๓๘ ฟตุ ไว้ท่ีเมอื งปุรุษปุระ พ.ศ. ๖๒๑ (ฝรง่ั วา่ ค.ศ. 78=พ.ศ. ๕๖๑) พระเจ้า นยิ มใช้ศักราชชือ่ วา่ วิกรมสงั วัต ของพระเจ้าวกิ รมาทติ ย์ กนิษกะ กษัตริยย์ ง่ิ ใหญท่ ีส่ ดุ ของอาณาจักรกษุ าณ ขนึ้ พระเจา้ กนษิ กะสวรรคตราว พ.ศ. ๖๔๕ (แต่บาง ในต�ำนาน ซงึ่ กว็ า่ ตัง้ เมอ่ื ชนะชาวศกะ ในปี 56 BC, แต่ ครองราชยท์ ่เี มืองปุรษุ ปุระ (ปัจจบุ ัน=Peshwar) ถอื เป็น ต�ำราวา่ ครองราชยถ์ งึ ๔๒ ป)ี อาณาจักรกษุ าณอยตู่ ่อมา ในประวัติศาสตร์ พระเจา้ วิกรมาทิตย์ คือจันทรคุปต์ที่ ๒ เริม่ ตน้ ศกกาล (=กาลเวลาของชนชาวศกะ หรือ=ศกราช- อกี ศตวรรษเศษก็สิน้ แหง่ ราชวงศค์ ปุ ตะ ซึ่งได้ขับไล่ชนชาวศกะออกไปจาก กาล=กาลเวลาแหง่ ราชาของชนชาวศกะ) อนั เปน็ ทมี่ าของ อุชเชนี ในปี ๙๔๓/400) ค�ำว่า “ศกั ราช” (อนิ เดยี ไดใ้ ชศ้ กกาลน้ี เป็นศกั ราชของ (ศกกาลหรือศกาพทน์ ัน้ ก่อนรัฐบาลอินเดียใชเ้ ป็น ราชการ; ปจั จบุ นั พ.ศ. ๒๕๔๕=2002-78=ศกกาล 1924) ทางการของประเทศ ทางอนิ เดียใต้ไดใ้ ชก้ นั มาโดย มตี �ำนานต่างจากข้างตน้ ว่า พระเจ้าศาลิวาหนะแหง่ พระเจา้ กนิษกะทรงเปน็ พุทธมามกะย่งิ ใหญ่ และ ราชวงศ์สาตวาหนะเปน็ ผตู้ ั้งขึน้ เมอ่ื ทรงชนะและได้ ไดท้ รงท�ำนุบำ� รุงพระพทุ ธศาสนามากมาย ท�ำให้พระ สงั หารพระเจา้ วิกรมาทติ ย์ ราชาชาวศกะ แหง่ กรุง พทุ ธศาสนาแผ่ไปทางอาเซียกลาง แล้วขยายต่อไปยงั จนี อุชเชนี ใน ค.ศ. 78, เร่ืองนต้ี รงข้ามกบั อนิ เดียเหนือท่ี เป็นตน้ ทรงสบื ตอ่ ประเพณพี ุทธในการให้เสรภี าพทาง พทุ ธศาสนาเข้าสจู่ นี นกั ประวตั ศิ าสตรก์ ลา่ วว่า ตามหลักฐาน ได้มีชาว พุทธอยู่ในจีนนานก่อนนนั้ ตง้ั แตศ่ ตวรรษท่ี 3 BC เพยี ง พ.ศ. ๖๐๘ (ค.ศ. 65) เป็นปีทีถ่ อื กนั มาว่า จนี รบั แตย่ งั ไม่มกี ารเผยแพรจ่ รงิ จงั และพระพทุ ธศาสนากเ็ ข้า พระพทุ ธศาสนาเข้าสปู่ ระเทศโดยทางราชการ กล่าวคอื มาตามกระแสการนบั ถือของประชาชนเพิ่มข้นึ เองทลี ะ พระจกั รพรรดิ ม่งิ ตี่ แห่งราชวงศฮ์ ่นั ทรงส่งคณะทูต ๑๘ นอ้ ย ตอนแรกกม็ าทางอาเซยี กลาง แลว้ ตอ่ มากม็ าตาม คน ไปสบื พระศาสนาทป่ี ระเทศอนิ เดยี ณ เมอื งโขตาน เสน้ ทางการค้าดา้ นอาเซยี อาคเนย์ (Khotan ปัจจบุ นั เป็นของจนี =Hotan แต่สมยั นนั้ อยใู่ น อนิ เดีย) หลังจากนน้ั ๒ ปี คณะทตู กลบั มาพร้อมด้วยพระ พ.ศ. ๖๔๘ (ค.ศ. 105) ท่เี มอื งจีน มผี ้ทู �ำกระดาษ ภกิ ษุ ๒ รปู คอื พระกาศยปะมาตงั คะและพระธรรมรกั ษะ ข้นึ ใชเ้ ปน็ ครง้ั แรกในโลก (ผทู้ ำ� เป็นขนั ทใี นราชส�ำนัก) กับท้ังพระธรรมคัมภรี ์จ�ำนวนหนงึ่ พระภกิ ษุ ๒ รปู น้ันได้ พำ� นกั ทีว่ ัดม้าขาวในเมืองลกเอีย๋ ง (=โลห่ ยาง Loyang) และไดแ้ ปลพระคมั ภรี ์สู่ภาษาจนี หลายคัมภรี ์ 58 หา้ มซอ้ื -ขาย อนุญาตให้ใช้เพอ่ื การศึกษาสว่ นตัวเท่านนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
กษุ าณ โขตาน สงั คายนา ที่มหายานปรากฏตัว ปุรุษปรุ ะ พ.ศ. ๖๔๓ (=ค.ศ. 100) พระเจ้ากนิษกะ ทรง อุปถมั ภก์ ารสงั คายนาท่ีพระสงฆน์ กิ ายสรวาสตวิ าทจัด ชลนั ธร ขึ้นที่เมืองชลนั ธร (ปัจจุบัน = Jullundur ไมไ่ กลจาก Lahore) แต่หลักฐานบางแห่งว่าจัดทก่ี ศั มีระ (แคชเมียร์) หลักฐานฝ่ายจีนว่าไดจ้ ารึกพุทธพจน์ลงบนแผ่นทองแดง ฮน่ั สังคายนานีน้ บั โดยรวมเปน็ ครั้งที่ ๔ แต่ทาง เถรวาทไม่นบั และนิกายสรวาสตวิ าทกน็ ับเปน็ คร้งั ที่ ๓ เพราะไม่นบั การสงั คายนาสมยั พระเจา้ อโศกฯ ในสงั คายนาครงั้ น้ี พระอัศวโฆษ ปราชญ์ใหญย่ คุ แรกของมหายาน (เปน็ กวีเอกของชมพทู วปี กอ่ นกาลิทาส และถือกนั วา่ เป็นผู้รจนา มหายานศรทั โธทปาทศาสตร์ ของมหายาน และเป็นการที่มหายานยอมรับสงั คายนา คือคมั ภีร์ว่าด้วยการเกิดข้นึ แหง่ ศรัทธาในมหายาน และ ครงั้ นดี้ ้วย กับทั้งถือเปน็ จุดเร่ิมทีม่ หายานจะเจริญรดุ หนา้ พทุ ธจรติ ) ไดร้ ่วมจัด และได้กล่าวแสดงหลักธรรมของ ตอ่ มา แมน้ กิ ายสรวาสติวาทจะสญู ไป ก็ถอื สังคายนาน้ี มหายานเป็นอนั มาก นับวา่ เปน็ การปรากฏตัวครง้ั สำ� คญั เสมอื นเปน็ สังคีตขิ องมหายาน หน้าตรงข้าม: ชนชาตไิ ทยเรมิ่ รบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา วัดม้าขาว (แปะเบย๊ )่ี ซา้ ย: พ.ศ. ๖๒๑ (ค.ศ. 78) ประมาณช่วงเวลาน้ี ในยคุ Dragon Gate Cave ทีไ่ ทยถูกจีนรกุ รานตลอดมาน้นั คราวหนึง่ พระเจ้ามิง่ ต่ี เมอื งโล่หยาง แห่งราชวงศ์ฮน่ั (ฮ่ันเมง่ ต่ี ก็เรียก) ทรงส่งทูตสันถวไมตรี มายงั ขนุ หลวงเมา้ กษัตรยิ ์ไทยแห่งอาณาจักรอ้ายลาว คณะทตู ไดน้ �ำพระพทุ ธศาสนาเข้ามาดว้ ย ท�ำใหห้ ัวเมือง ไทยท้ัง ๗๗ มีราษฎร ๕๑,๘๙๐ ครอบครัว (จำ� นวนคน ประมาณ ๕๕๓,๗๐๐ คน) หนั มารบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เป็นครง้ั แรก ห้ามซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พื่อการศึกษาส่วนตวั เท่าน้นั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 59
พามยิ าน ศนู ยก์ ารคา้ ศาสนา ฯลฯ เปอรเ์ ซยี รงุ่ ชมพทู วีปรวน ในยุคนแ้ี ละต่อเนอ่ื งมาประมาณ ๗๐๐ ปี เมือง พ.ศ. ๗๖๓ สน้ิ ราชวงศก์ ษุ าณ (สาตวาหนะ แห่ง พามยิ าน (Bamian หรือ Bamiyan; อยหู่ ่างจากกาบลุ / ทักษณิ าบถ กไ็ ดส้ ิ้นไปใกลๆ้ กันเมอ่ื พ.ศ.๗๔๓) Kabul เมืองหลวงของอฟั กานิสถานปัจจุบนั ไปทางตะวนั - ตกราว ๑๕๐ กม.) เปน็ ศนู ย์กลางทางศาสนา วฒั นธรรม เวลาศตวรรษหนงึ่ ตอ่ แตน่ ้ีเป็นชว่ งมดื มวั แห่ง และการคา้ บนเส้นทางพาณิชยร์ ะหวา่ งอินเดยี กับอาเซีย ประวตั ิศาสตร์ของชมพูทวปี ทราบกันเพียงวา่ อาณาจักร กลาง โดยเช่ือมตะวนั ออกถงึ จีน กบั ตะวนั ตกถึงโรม มกี าร เปอร์เซีย หรืออหิ ร่านโบราณของราชวงศส์ าสสนทิ สร้างพทุ ธสถาน วัดวาอารามรวมท้งั วัดถำ�้ มากมาย ท่นี ่า (Sassanid) แผข่ ยายอำ� นาจ จนในที่สุด อาณาจกั รกุษาณ สังเกตคอื พระพุทธรูปใหญ่มหาปฏมิ ากรรม ทแี่ กะสลกั รวมถงึ บากเตรียหรือโยนก ไดต้ กเปน็ ของอาณาจกั ร หินผาหนา้ ภเู ขาเข้าไป ๒ องค์ ซึ่งสนั นษิ ฐานกันวา่ สรา้ ง เปอร์เซีย และชมพทู วีปกร็ ะส�่ำระสายจนขึ้นสู่ยคุ คุปตะใน ในช่วง พ.ศ. ๗๕๐-๑๐๐๐ องค์หนงึ่ สงู ๕๓ เมตร อีกองค์ ศตวรรษต่อมา หนงึ่ สูง ๓๗ เมตร (พระถังซ�ำจงั๋ ไดผ้ ่านมาเหน็ และบนั ทึก ว่าองค์พระประดับดว้ ยทองคำ� และเพชรนลิ จนิ ดา) พระพทุ ธรูปแกะสลัก ทพี่ ามยิ าน จีนยคุ สามกก๊ สามกก๊ จนในทีส่ ดุ ทางฝ่ายเหนอื สมุ าเอ๋ยี นถอดพระเจ้า โจฮวนออกจากราชสมบัติใน พ.ศ. ๘๐๘ (ค.ศ. 265) ต้งั พ.ศ. ๗๖๓-๘๒๓ (ค.ศ. 220-280) ทีเ่ มืองจีน ราชวงศใ์ หม่คอื ราชวงศจ์ นิ้ ขน้ึ อนั เปน็ ชว่ งแรกเรียกว่า เป็นยุคสามก๊ก เนื่องจากเมือ่ จะส้ินราชวงศ์ฮ่ัน บา้ นเมือง จ้ินตะวันตก คร้ันถงึ ปี ๘๐๗ (ค.ศ. 264) กก๊ ตะวันตกที่ ระสำ่� ระสาย พระจักรพรรดิ คือ พระเจา้ เหยี้ นเต้ ทเี่ มือง เสฉวนสนิ้ อำ� นาจ และต่อมาปี ๘๒๓ (ค.ศ. 280) กก๊ เหนอื ลกเอีย๋ ง เปน็ เพยี งหุ่นเชิด เกดิ เปน็ ๓ ก๊กสูร้ บกนั มีโจโฉ มชี ยั ปราบแคว้นหวู (หรือ ง่อ) ฝา่ ยใต้ลงได้ รวมประเทศ ทเี่ มืองหลวงในฝ่ายเหนือ (วยุ กก๊ ) เลา่ ปี่ที่เสฉวนในฝ่าย ให้กลบั คนื เป็นอันเดยี ว ตะวนั ตก (จกกก๊ ) และซนุ่ กวนท่นี านกงิ ในฝา่ ยใต้แถบ ตะวันออก (งอ่ กก๊ ) ในยคุ นพ้ี ทุ ธศาสนาเจริญขึน้ มาเหนือลัทธขิ งจ๊ือ แตล่ ัทธเิ ต๋าก็รุง่ เรอื งขน้ึ ดว้ ย นอกจากนภี้ ัยใหมจ่ ากทาง เมอ่ื โจโฉสนิ้ ชพี ในปี ๗๖๓ (ค.ศ. 220) พระเจา้ เหนือกจ็ ะเริม่ ปรากฏ คอื พวกหูณะรกุ รานเขา้ มา เหีย้ นเต้พน้ จากราชสมบตั ิ บุตรของโจโฉขึ้นครองแผน่ ดินเปน็ พระเจา้ โจผตี ้ังราชวงศว์ ุย (หรอื เวย่ หรือ เว) ส้นิ ราชวงศฮ์ ัน่ แต่ละแคว้นตงั้ ตวั เป็นใหญ่ จงึ ถือว่าเขา้ ยุค 60 ห้ามซือ้ -ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พอื่ การศกึ ษาสว่ นตวั เท่านนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสิทธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน
งานอชันตา ฟน้ื ขน้ึ มาและเดินหนา้ ตอ่ ไป ในยุคของวากาฏกะนี้ งานศลิ ป์ทีห่ มถู่ ้�ำอชันตาได้ กลับฟื้นขน้ึ และเฟือ่ งฟูสบื ตอ่ มาในสมัยราชวงศ์จาลุกยะ พ.ศ. ๘๐๐ (โดยประมาณ; กลางหรอื ปลาย ค.ศต. (พ.ศ. ๑๐๘๖-๑๓๐๐) ดว้ ย ท่ี 3) ทางด้านทักษณิ าบถ เมอื่ สาตวาหนะเส่อื มอ�ำนาจ ไปแลว้ ที่ Deccan ตอนบน ราชวงศว์ ากาฏกะ (นัก พทุ ธศตวรรษที่ ๘-๑๒ อาเซยี กลาง โดยเฉพาะ โบราณคดีบางทา่ นสนั นษิ ฐานวา่ เป็นเชอื้ สายกรีก) ได้ขึน้ เมอื งกูจา (Kucha ถ้าวัดตรงเปน็ เส้นบรรทัด ก็อยเู่ ลย ครองอำ� นาจ โดยมีเมอื งหลวงอยทู่ ่ีปรุ ิกา (ต่อมายา้ ยไปที่ ตกั สลิ าไปทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ราว ๑,๒๕๐ กม. แลว้ นาสกิ /Nasik แลว้ ย้ายอีกไปท่ีประวรปรุ ะ) ตอ่ ลงไปทางตะวนั ออกเฉียงใต้อีกราว ๒,๔๐๐ กม. จงึ จะ ถึงเมืองเชียงอาน) ไดเ้ ป็นศนู ย์กลางสำ� คัญของพระพทุ ธ- ในชว่ งเวลาใกล้กนั น้ี ในอนิ เดียภาคเหนอื ก็มี ศาสนา ทแ่ี ผพ่ ระพุทธศาสนาต่อจากชมพทู วีปไปยงั ราชวงศ์คปุ ตะรงุ่ เรืองข้นึ มา และมีสมั พันธไมตรอี นั ดีกบั ประเทศจนี โดยเสน้ ทางสายไหม มีพระภกิ ษุหลายท่าน ท่ีน่ี กับท้งั ทะนบุ ำ� รงุ ศลิ ปกรรมเชน่ กัน เดนิ ทางไปจนี จากเมืองนี้ (เมืองอน่ื ท่สี �ำคัญกเ็ ชน่ โขตาน/ Khotan ทบ่ี ดั นเี้ ปน็ Hotan ซง่ึ หา่ งตกั สลิ าเพยี ง ๗๕๐ กม.) ทง้ั สองอาณาจกั รนเี้ จริญคเู่ คียงกันมา และสนิ้ วงศ์ ในเวลาใกล้กนั (คุปตะสนิ้ พ.ศ. ๑๐๘๓=ค.ศ. 540 สว่ น วากาฏกะกส็ ้นิ ในชว่ งใกลก้ ันนน้ั ) โรมนั รวน เพราะบาร์เบเรียน บารเ์ บเรยี น เผา่ เยอรมัน พ.ศ. ๘๒๙ (ค.ศ. 286) ไดโอคลเี ชยี น จกั รพรรดิ โรมนั ไดเ้ ผชิญปัญหาพวกอนารยชนเผ่าตา่ งๆ โดยเฉพาะ พวกเผา่ เยอรมัน ทที่ ยอยมาบกุ ตดี นิ แดนแถบเหนอื และ ตะวนั ตกเรอื่ ยมาตั้งแต่ต้นศตวรรษ จงึ หาทางจดั การ ปกครองให้ง่ายขึ้น โดยแยกจักรวรรดโิ รมันออกเปน็ ๒ ภาค คอื จักรวรรดโิ รมนั ตะวันตก และจักรวรรดโิ รมนั ตะวนั ออก พ.ศ. ๘๕๔ (ค.ศ. 311) เกลีเรียส จกั รพรรดิโรมนั ซง่ึ ได้หำ�้ ห่ันผ้ถู อื ครสิ ตอ์ ยา่ งมาก ครัน้ ใกล้สวรรคต ได้ ประกาศโองการยอมให้มีการถือศาสนาตามสมัครใจ ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พอื่ การศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น 61
มหาวทิ ยาลัยนาลนั ทา โรมนั หนั มาถอื คริสต์ บรู ณะเมืองบีแซนเทียม แล้วย้ายจากโรมไปทีน่ น่ั ตั้งเปน็ นครหลวงใหมข่ องจกั รวรรดโิ รมนั ใหช้ อื่ วา่ เมอื งคอนสแตน- พ.ศ. ๘๕๖ (ค.ศ. 313) คอนสแตนตินที่ ๑ ติโนเปลิ (Constantinople; ปัจจบุ ันคอื เมืองอสิ ตันบุล/ (Constantine I) หรอื คอนสแตนตนิ มหาราช จกั รพรรดิ Istanbul ในประเทศเตอรก์ )ี โรมัน ผู้ครองโรมันตะวันตก ไดป้ ระกาศโองการแห่งมิลาน คอนสแตนตนิ ท่ี ๑ (Edict of Milan) ยกศาสนาครสิ ตเ์ ปน็ ศาสนาประจ�ำรัฐ ของจักรวรรดโิ รมัน 62 ตอ่ มา คอนสแตนตนิ รบและสงั หารไลซเิ นียส จกั รพรรดโิ รมันตะวันออกในทร่ี บ แล้วครองอ�ำนาจผเู้ ดียว คร้ันถึง พ.ศ. ๘๗๓ จกั รพรรดคิ อนสแตนติน เหน็ ชดั แล้ว ว่าคงสกดั พวกอนารยชนเผ่าเยอรมันทั้งหลาย คือ พวก แฟรงค/์ Franks พวกกอธ/Goths พวกแวนดาล/Vandals เปน็ ตน้ ไว้ไมอ่ ยู่ จะต้องร่นถอยจากอติ าลี และกอล จึงได้ หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่อื การศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ขิ สิทธิ์ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของก่อน
อินเดียรุ่งใหม่ ในยคุ คปุ ตะ ในยคุ น้ี ศิลปะแบบคุปตะได้เจริญข้นึ มาแทนท่ี ศิลปะแบบคนั ธาระ-กรีก ที่ค่อยๆ หายไป พ.ศ. ๘๖๓ (ค.ศ. 320) หลังกุษาณสิ้นวงศแ์ ลว้ และชมพูทวีปปัน่ ป่วนอยู่ พระเจ้าจันทรคุปตท์ ่ี ๑ (ตง้ั ชื่อ กษตั รยิ ใ์ นราชวงศ์คุปตะ แมว้ ่าสว่ นใหญจ่ ะเปน็ เลยี นแบบจนั ทรคปุ ตแ์ ห่งโมริยวงศ)์ รวบรวมดนิ แดนชมพู ฮินดู แต่ได้อุปถมั ภม์ หาวิทยาลัยนาลนั ทาอย่างมากใน ทวีปแถบเหนอื ฟื้นมคธขน้ึ มา ต้ังราชวงศ์ใหม่ช่ือคุปตะ ฐานะสถานศกึ ษา ครองราชยท์ เ่ี มอื งปาฏลีบุตร น�ำอนิ เดียขึ้นสคู่ วามรงุ่ เรอื ง อกี ครงั้ นานราว ๒๒๐ ปี พุทธศิลปแ์ บบคุปตะ (เฉพาะในรชั กาลพระเจา้ จันทรคปุ ต์ที่ ๒ วกิ รมา- ทติ ย์ พ.ศ. ๙๒๓-๙๕๘ ไดต้ ั้งเมืองหลวงที่อโยธยา ซงึ่ ใน ครั้งโบราณเคยเปน็ เมอื งหลวงของแคว้นโกศลต้ังแต่สมัย พระรามในเร่อื งรามเกียรติ์ คอื รามายณะ กอ่ นจะย้ายมา ตงั้ ทส่ี าวัตถี ส่วนในครงั้ พทุ ธกาล อโยธยามีชอื่ ว่าสาเกต อยู่ห่างกสุ ินาราไปทางตะวันตก ๑๗๐ กม.) โรมันก�ำจดั คนนอกครสิ ต์ พ.ศ. ๙๑๐-๙๒๖ (ค.ศ. 367-383) เมื่อโรม เปน็ ตอ่ มาถกู อตั ตลิ าท�ำลายใน พ.ศ. ๙๙๕=ค.ศ. 452 แม้จะ ครสิ ตแ์ ลว้ เกรเชยี่ น (Gratian) จกั รพรรดโิ รมนั กก็ วาดลา้ ง ฟ้ืนข้ึนมากถ็ ูกท�ำลายอกี เชน่ พวกกอธท�ำลายใน พ.ศ. (persecution) คนนอกรีตและคนนอกศาสนาครสิ ต์ ๑๐๘๒=ค.ศ. 539 แลว้ ก็ฟน้ื ขนึ้ อกี โดยเฉพาะหลงั ค.ศ. พ.ศ. ๙๓๘ (ค.ศ. 395) เม่อื จกั รพรรดธิ ีโอโดสิอุส 1000 ไดเ้ ปน็ เมอื งรงุ่ เรอื งยง่ิ ใหญจ่ ากการทศี่ าสนจกั รครสิ ต์ สวรรคตแลว้ จกั รวรรดโิ รมนั แยกออกเปน็ ๒ เดด็ ขาดถาวร โดยอาร์ชบชิ อปทั้งหลาย ได้ครองอ�ำนาจฝ่ายอาณาจักร คือ จกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ออก ซง่ึ เรยี กต่อมาวา่ จกั รวรรดิ ดว้ ย) บแี ซนทนี (Byzantine Empire) ทก่ี รงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ และจักรวรรดโิ รมันตะวนั ตก (Western Roman Empire) ทกี่ รุงมลิ าน (Milan) (มิลานได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน จากซ้าย: ตะวันตกในช่วง พ.ศ. ๘๔๘-๙๔๕=ค.ศ. 305-402 เกรเช่ยี น อัตติลา หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพื่อการศึกษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 63
คนั ธาระ ปรุ ษุ ปรุ ะ โขตาน นานกงิ หลวงจนี ฟาเหยี นมาบก กลับทะเล และเขียนบันทึกการเดินทางไว้ ซึ่งฝร่งั แปลเป็นหนังสือ ตกั สิลาแม่น�้ำแยมมน่นุ �้ำาคงคา ตง้ั ชื่อวา่ “Record of Buddhist Kingdoms” ให้ คปุ ตะแม่น้�ำสินธุ เชียงอาน พ.ศ. ๙๔๕ (ค.ศ. 402) หลวงจนี ฟาเหียน ความรเู้ ร่ืองสภาพพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดียยคุ ทร่ี งุ่ เรอื ง มถรุ าพารเาวณสาสลี คี ยปาาฏลบี ุตร (Fa-hsien) จารกิ ทางไกลแสนกนั ดารจากเมอื งจีน ข้าม เช่น วดั วาอารามมากมายท่ตี กั สลิ า กอ่ นถกู พวกฮัน่ ทะเล จนี ทะเลทรายโกบีและป่าเขามากมาย ฝ่าท้ังลมร้อนและหิมะ ทำ� ลาย ก่อนจะถกู ศาสนาฮนิ ดูเริม่ กลืน และก่อนจะพินาศ อาหรับ ยะเยือก ผา่ นทางอาเซียกลางมาถึงชมพูทวีป เข้าทาง ในยคุ ทท่ี ัพมุสลิมบกุ เข้ามา ทักษิณาบถ อา่ ว คนั ธาระ เยือนปรุ ษุ ปรุ ะ ตักสิลา ไปจนถงึ กบลิ พสั ดุ์ นมัสการสงั เวชนยี สถานทงั้ ๔ ศกึ ษาที่ปาฏลีบุตร อยู่ เบงกอล ในอนิ เดยี ยุคราชวงศ์คปุ ตะ ๑๐ ปี แล้วนำ� คมั ภรี ์พระ ไตรปิฎก เป็นต้น เดินทางกลับเมืองจีนโดยทางเรือ แวะ ลังกา พำ� นกั ที่ลงั กาทวปี ๒ ปี ผจญภัยในทะเล ครั้งหน่งึ ถกู คลื่น มหาสมุทรอนิ เดีย ใหญซ่ ดั ไปขึ้นเกาะ (คงจะเปน็ ชวา แต่เวลานั้นยงั ไม่มี อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ) ฝา่ คล่นื ลมร้ายเกือบ ๗ เดอื น จงึ ถึง เมอื งจนี แล้วแปลพระคมั ภรี ์ภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาจีน ชวา จีน พุทธศาสนาเขา้ สู่เกาหลี จนี กับอาเซียกลาง พ.ศ. ๙๑๕ (ค.ศ. 372) กษัตรยิ ์เกาหลีแควน้ ฝ่าย พ.ศ. ๙๔๔ (ค.ศ. 401) พระกมุ ารชีวะถกู คนจนี Goguryeo เหนือสง่ ทตู มาขอพระพทุ ธรปู และคัมภีร์ จากจักรพรรดิ รา้ ยจับตัวจากเมืองกูจา (Kucha) ในอาเซยี กลาง มาถึง เฮาบูตี่แห่งราชวงศ์จิ้นของจนี (เวลานน้ั เกาหลียังแยก เมอื งเชยี งอาน แตเ่ นือ่ งจากความสามารถของท่าน ท�ำให้ เปน็ ๓ อาณาจักร) จากจุดเรม่ิ น้ี พทุ ธศาสนากแ็ พร่ไปท่วั ราชสำ� นกั จนี นับถอื ท่านแปลพระคมั ภีรส์ ันสกฤตเปน็ จีน Baekjae Silla เกาหลที งั้ หมด จ�ำนวนมาก และแสดงธรรมอยู่เสมอ เป็นก�ำลงั ส�ำคญั ให้ Kaya พระพุทธศาสนาเจรญิ ม่ันคงในจีน ภาพวาดพระพุทธเจ้า พ.ศ. ๙๖๔ (ค.ศ. 421) ธีโอโดสิอุสที่ ๒ จกั รพรรดิ ยุค Goryeo โรมันตะวันออก ส่งกองทพั ไปสู้กับกษัตริยเ์ ปอร์เซีย ท่ี ก�ำจัดชาวคริสต์ 64 หา้ มซือ้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพอื่ การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ นนั้ ภาพประกอบส่วนใหญม่ ลี ิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจา้ ของก่อน
ก) ฮ่นั - ฮนิ ดู ทำ� ลายพทุ ธ พ.ศ. ๙๕๐-๑๐๕๐ (โดยประมาณ) พวกพราหมณ์ วา่ นารายณ์จะอวตารปางท่ี ๑๐ เรยี กวา่ กลั กยาวตารลง ด�ำเนนิ แผนท�ำลายพระพุทธศาสนาดว้ ยวิธกี ลนื โดยแต่ง มากำ� จดั พวกอสูรคือชาวพุทธทีพ่ ระพทุ ธเจา้ หลอกออกมา คัมภรี ว์ ษิ ณปุ ุราณะขึ้น บอกวา่ เทวดารบแพ้อสรู จงึ มาขอ ไวแ้ ล้วน้ี อกี ทหี นงึ่ พึ่งองค์วิษณคุ ือพระนารายณ์ พระองค์จงึ อวตารมาเป็น ในช่วงน้ี ลัทธิ “ภกั ต”ิ คือ ความมีศรัทธาดว้ ยใจ พระพทุ ธเจ้า เพ่ือหลอกพวกอสูร ใหล้ ะท้ิงพระเวทและ รักภกั ดตี ่อเทพเจ้าอยา่ งแรงเขม้ ในเชิงอารมณ์ ไดม้ ีกระแส เลกิ บูชายญั พวกอสรู จะได้เส่ือมฤทธิ์ แล้วฝา่ ยเทวดาจะ แรงข้ึนดว้ ย สง่ ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนามาก ได้มาปราบอสูรไดง้ า่ ย (หมายความว่า ชาวพทุ ธ กค็ อื พวก อสรู ท่ถี ูกพระพุทธเจ้าหลอกใหล้ ะทงิ้ พระเวทอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และยัญพธิ อี นั ประเสริฐ มาสทู่ างแห่งความเส่ือม) เรยี ก พระพรหม พุทธาวตารว่าเป็นนารายณ์ปาง “มายาโมหะ” และบอก พระวิษณุ พระศวิ ะ กูจา โลห่ ยาง โขตาน เชียงอาน มถุรา จนี อ่าวเบงกอล ธีโอโดสิอุสที่ ๒ 65 ห้ามซ้อื -ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพอื่ การศึกษาส่วนตัวเท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
พระพทุ ธโฆสาจารย์ จากชมพทู วปี ท้ังสองนั้นข้ึนเสร็จเป็นคมั ภรี ์วสิ ทุ ธมิ ัคคใ์ นปี ๙๗๓ จาก ไปสบื อรรถกถาทีล่ ังกา นั้นจึงได้รบั อนญุ าตใหแ้ ปลอรรถกถาไดต้ ามประสงค์ เมอ่ื ทำ� งานเสรจ็ สิน้ แลว้ ก็เดนิ ทางกลบั สู่ชมพูทวีป พระพทุ ธ- พ.ศ. ๙๖๕ (ค.ศ. 422) เนอื่ งจากพระพทุ ธศาสนา โฆสาจารย์เปน็ พระอรรถกถาจารยท์ ม่ี ีผลงานมากที่สดุ ในชมพูทวปี เสือ่ มลงมาก แม้จะยงั รกั ษาพระไตรปฎิ กบาลี (ต�ำราตา่ งเล่มบอก พ.ศ. ต่างกนั บ้าง) ไว้ได้ แต่คัมภีรอ์ ธบิ ายที่จะใชเ้ ป็นเครอ่ื งชว่ ยในการศึกษา มีอรรถกถา เปน็ ตน้ ไดส้ ูญส้นิ ไป พระพุทธโฆสไดร้ บั คำ� พระพุทธโฆส แนะน�ำจากพระอปุ ัชฌาย์ คือพระเรวตเถระ ให้เดนิ ทาง ถวายคมั ภรี แ์ กส่ งั ฆบดี ไปลงั กาทวปี เพอ่ื แปลอรรถกถาจากภาษาสิงหลกลับเป็น ภาษาบาลี แลว้ น�ำมายังชมพทู วีป เมื่อท่านไปถงึ ลังกา แห่งมหาวิหาร ทวปี ในปี ๙๖๕ แลว้ ตอ่ มาไดข้ ออนญุ าตแปลคมั ภรี ์ พระ เถระแห่งมหาวิหารใหค้ าถามา ๒ บท เพ่ือแต่งค�ำอธิบาย เปน็ การทดสอบความรู้ ท่านเรียบเรยี งคำ� อธบิ ายคาถา ทั่วยุโรปสะท้าน เพราะฮน่ั มา อีก ๓ ปีตอ่ มา อัตตลิ าหนั ไปสนใจด้านจกั รวรรดิ สเปน กอล อาณาจักรอตั ตลิ า โรมันตะวนั ตก และยกทัพไปตกี อล (ปจั จุบนั ครา่ วๆ คือ พ.ศ. ๙๗๗ (ค.ศ. 434) ชนเร่ร่อนเผ่าหูณะ หรือ ฝรงั่ เศสและเบลเย่ยี ม) ทัพโรมันได้ผนึกกำ� ลังกับพวกวิซ-ิ โรม ฮน่ั จากอาเซยี กลางตอนเหนอื ทฝ่ี รง่ั เรยี กวา่ เปน็ อนารยชน กอธ (Goths คอื ชนเผ่าอนารยะตน้ เดิมของเยอรมนี พวก ทะเลดำ� ซ่งึ เคยรบกวนจีนจนตอ้ งสรา้ งกำ� แพงเมืองจีน ได้มาถงึ ทอ่ี ยทู่ างตะวันตกเรียกวา่ Visigoths) และชนชาตอิ ื่นๆ ยโุ รป เทย่ี วบกุ ตที �ำลายไปท่วั ทถี่ ูกพวกฮนั่ ขม่ เหง หยดุ ยงั้ อตั ติลาไวไ้ ด้ และมชี ยั ปล่อย โรมันตะวนั ออก ใหอ้ ัตตลิ าล่าถอยไป กระนัน้ กต็ าม ในปตี อ่ มา คอื พ.ศ. พอถงึ พ.ศ. ๙๗๗ อตั ติลา (Attila) ราชาฮนั่ ไดท้ ำ� ๙๙๕ (ค.ศ. 452) อตั ตลิ ากม็ าตีอิตาลเี สยี หายมากมาย ทะเลเมดเิ ตอเรเนยี น อาเซีย สนธสิ ญั ญากบั ธโี อโดสิอสุ ที่ ๒ ทำ� ใหจ้ ักรพรรดโิ รมนั แตก่ รงุ โรมรอดมาได้ เพราะพอดีพวกฮั่นขาดเสบียงและ ตะวนั ออก (บแิ ซนทนี ) ตอ้ งสง่ ทองคำ� ไปเปน็ ราชบรรณาการ เกดิ โรคระบาดในกองทพั จึงลา่ ถอยไป แกอ่ ตั ตลิ า ปลี ะ ๓๐๐ กก. แตล่ ว่ งมา ๖ ปี อตั ตลิ ากย็ กทพั เที่ยวท�ำลายเมืองใหญ่นอ้ ย จนต้องทำ� สนธิสัญญากันใหม่ ให้โรมสง่ เครอ่ื งบรรณาการเพิม่ ขน้ึ คร้ันถึงปี ๙๙๐ ก็ยก ทัพมาตีอกี จนธโี อโดสอิ สุ ตอ้ งยกดนิ แดนใหไ้ ปมากมาย 66 หา้ มซอ้ื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพอ่ื การศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นัน้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น
แมน่ ำ้� สนิ ธคุ ชุ ราต แม่นำ้� ยแมมุนน่ าำ้� คงคา มหาวิทยาลัยวลภี พ.ศ. ๑๐๑๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 475) ท่ีวลภี ทเ่ี คยย่งิ ใหญค่ ู่กับนาลนั ทา ราชธานี เจ้าหญิงทฑุ ฑาแหง่ ราชวงศไ์ มตรกะ ได้ทรงก่อตง้ั วลภี แมน่ �ำ้ นัมมทา กรรณสวุ รรณ มหาวหิ ารของพระพุทธศาสนาฝ่ายหีนยาน ที่ภายหลงั วากาฏกะ พ.ศ. ๑๐๑๓ (ค.ศ. 470) ในช่วงทร่ี าชวงศ์คปุ ตะ เรยี กว่ามหาวทิ ยาลยั วลภี ซงึ่ เจริญร่งุ เรืองต่อมากว่า ตามลิตติ ออ่ นแอลงจะแตกสลาย ไดม้ ีอาณาจกั รใหมๆ่ ทยอยเกดิ ๒๐๐ ปี ขน้ึ หลายแหง่ มที ง้ั ทอ่ี ปุ ถมั ภ์ และทท่ี ำ� ลายพระพทุ ธศาสนา อ่าวเบงกอล เรม่ิ แต่อาณาจกั รวลภขี องราชวงศไ์ มตรกะ ที่ตั้งข้ึนทาง ตะวนั ตก (ปจั จุบันคอื Valabhipur ในรฐั Gujarat) จนถึง อาณาจกั รกรรณสวุ รรณ (เคาทะ) ของราชาศศางกะ (ก่อน พ.ศ. ๑๑๔๘-๑๑๖๒=กอ่ น ค.ศ. 605-619) ทาง ตะวนั ออก (แถบเบงกอล เทยี บครา่ วๆ เวลานคี้ อื แถวเมอื ง กลั กตั ตาและบังคลาเทศ) จักรพรรดจิ นี พิโรธ พ.ศ. ๙๘๙ จักรพรรดิจนี แห่งราชวงศเ์ ว่เหนือ ซ่งึ เคยส่งเสรมิ พระพุทธศาสนา มาคดิ เหน็ ว่าบ้านเมือง ตอ้ งสูญเสยี กำ� ลังคนและคา่ ภาษีอากรไปเน่ืองจากการที่ คนบวชและบำ� รุงวัดวาอาราม จึงให้ฆ่าภกิ ษุและภกิ ษณุ ี ท�ำลายวดั และพระพุทธรูป หา้ มชายอายุตำ�่ กว่า ๕๐ ออกบวช โดยได้ด�ำเนินการน้ีอยู่ ๕ ปี เป็นเหตใุ หล้ ทั ธิ ขงจอ๊ื ข้นึ มามอี �ำนาจเหนือพุทธศาสนา ปฏมิ ากรรมจากเวเ่ หนือ หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพื่อการศึกษาสว่ นตัวเทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ตอ่ ต้องติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของก่อน 67
อชนั ตาเลิกไป เอลโลราเรม่ิ ไม่นาน พ.ศ. ๑๐๓๓ (ค.ศ. 490) วากาฏกะ ซึง่ รงุ่ เรืองข้นึ แมส้ ้ินยคุ วากาฏกะแลว้ งานสลักวดั ถ้�ำทีอ่ ชนั ตา มาตั้งแตร่ าว พ.ศ. ๘๐๐ ตอ่ จากสาตวาหนะ แมจ้ ะเป็น กด็ �ำเนนิ ตอ่ มาในยคุ ของราชวงศจ์ าลกุ ยะ จนยตุ ิประมาณ ราชวงศฮ์ นิ ดู ดงั ที่กษตั รยิ อ์ งคท์ ี่ ๒ ไดป้ ระกอบพิธีอัศวเมธ พ.ศ. ๑๒๐๐ ถำ�้ ยคุ หลงั นมี้ เี พมิ่ อกี ๒๔ เปน็ ของพทุ ธศาสนา (ฆา่ ม้าบูชายัญ) ถงึ ๔ ครง้ั แต่กษตั ริยร์ นุ่ หลงั หลายองค์ มหายานลว้ น เปน็ ชาวพทุ ธ และได้ทะนุบำ� รงุ พระพุทธศาสนาเป็นอัน มาก งานบญุ สำ� คัญชนิ้ หนงึ่ คอื การขุดเจาะแกะสลกั วดั ถ�้ำ ขณะที่งานสลกั วดั ถำ�้ ท่อี ชนั ตายตุ ลิ ง กไ็ ดม้ ีการ (ทางโบราณคดจี ดั นับเปน็ ถ�้ำท่ี ๑๖) ทอ่ี ชันตา ซ่งึ ได้ถวาย แกะสลักวัดถ้�ำขึ้นทีเ่ อลโลรา (เรยี กตามชื่อหมูบ่ า้ นที่นน่ั แกส่ งฆ์ในราว พ.ศ. ๑๐๓๓ ในปัจจบุ นั ; อย่หู ่างอชันตาลงมาทางตะวนั ออกเฉียงใต้ ๘๐ กม.) ซ่ึงเร่มิ ต้นในชว่ ง พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๒๐๐ และหยดุ เวลาตั้งแต่ใกล้ พ.ศ. ๑๐๐๐ ในยุควากาฏกะน้ี เลิกประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ รวมมี ๓๔ ถ้�ำ แตเ่ ปน็ ของ เปน็ ชว่ งระยะแห่งการฟน้ื ใหมข่ องการเจาะแกะสลักภูเขา ๓ ศาสนา คือ พทุ ธ ฮินดู และเชน ตา่ งจากอชนั ตา ท่ี วาดภาพในหมถู่ ำ้� อชนั ตา หลังจากหยดุ เงียบไป ๔๐๐ นอกจากเกา่ แก่แล้ว กเ็ ป็นของพุทธศาสนาอย่างเดียว กวา่ ปี ตั้งแตย่ ุคสาตวาหนะ เอลโลรา โรมล่ม ยโุ รปเข้ายคุ มืด (Middle Ages) ของยโุ รป ซ่งึ โลกตะวนั ตกอยูใ่ ต้กำ� กับ Romulus Augustulus ของลัทธคิ วามเชื่อและสถาบนั ของศาสนาคริสต์ พ.ศ. ๑๐๑๙ (ค.ศ. 476) จักรวรรดิโรมันตะวนั - ตก ซ่ึงบอบช�้ำจากการรังควาญของชนเผา่ อนารยะ โดย อนงึ่ สมัยกลางนี้ เคยนยิ มเรยี กอกี อย่างหนึง่ วา่ เฉพาะพวกฮ่นั ของอตั ตลิ า ครัน้ ถงึ ปี ๑๐๑๙ นี้ หัวหนา้ “ยุคมดื ” (Dark Ages) คือเปน็ กาลเวลา ๑ สหัสวรรษ เผ่าอนารยชนเยอรมนั ชอ่ื โอโดเอเซอ่ ร์ (Odoacer) ก็ หรือ ๑,๐๐๐ ปี แหง่ ความอบั เฉาและตกตำ�่ โดยเฉพาะใน เข้าบกุ จับจกั รพรรดโิ รมวิ ลสั ออกสั ติวลัส (Romulus ทางปญั ญา ของยโุ รปและอารยธรรมตะวนั ตก Augustulus) แห่งโรม ปลดจากต�ำแหน่ง เป็นกาล อวสานแห่งจักรวรรดโิ รมันตะวันตก (ปราชญ์บางพวกสงวนค�ำวา่ “ยุคมืด” ใหใ้ ชก้ บั ชว่ งระยะต้นๆ ของสมัยกลางนัน้ ) ช่วงเวลา ๑,๐๐๐ ปี แตน่ ้ไี ป (พ.ศ. ๑๐๑๙- ๑๙๙๖=ค.ศ. 476-1453) คือหลังจาก “โรมลม่ สลาย” แลว้ จนจักรวรรดิบีแซนทีนล่ม (=ต้ังแตโ่ รมนั ตะวันตก ล่ม ถึงโรมันตะวนั ออกสลาย) เรียกว่าเป็น “สมยั กลาง” 68 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พอ่ื การศกึ ษาส่วนตวั เทา่ นั้น ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ขิ สิทธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
พวกฮ่ันท�ำลายตกั สลิ า วัดวาหมดส้นิ พ.ศ. ๑๐๔๐ (โดยประมาณ; ราว ค.ศ. 500) พวก หณู ะ หรือฮ่นั ขาว ซงึ่ เปน็ ชนเผ่าเรร่ อ่ นจากอาเซยี กลาง ตอนเหนือ ได้บกุ เขา้ มาครอบครองชมพทู วีปภาคตะวันตก เฉยี งเหนือท้ังหมด รวมทั้งโยนก (Bactria) และคนั ธาระ เฉพาะอย่างยิ่ง ไดท้ ำ� ลายเมืองตกั สลิ า (พวกกรกี เรียกวา่ Taxila บาล=ี ตกกฺ สลิ า; สนั สกฤต=ตกฺษศลิ า) ศนู ยก์ ลาง การศึกษาพระพทุ ธศาสนาแถบพายพั ลงส้ินเชงิ นับแต่นี้ ศิลปะแบบคันธาระทเี่ ส่อื มลงตง้ั แต่เขา้ ยคุ คุปตะ ไมม่ ผี ลงานใหมเ่ กดิ ข้นึ อีก แต่ศลิ ปะแบบคุปตะ ยงั คงเจรญิ ต่อมา ตกั สิลา บีแซนทีน มองลว่ งหนา้ หลงั ถกู พวกฮัน่ รงั ควาญแล้ว อีก ๒-๓ ศตวรรษ กอธ ต่อมากเ็ ร่ิมเสยี ดินแดนแก่พวกอาหรับ แล้วถูกเซลจูก สว่ นจักรวรรดโิ รมนั ตะวันออก หรอื บแี ซนทีน เตอร์กรุกราน และถูกอาณาจักรทางตะวนั ตกข่มเหง กอล มลิ าน ทะเลดำ� (Byzantine Empire) ท่ีคอนสแตนติโนเปลิ ซึ่งตงั้ เมือ่ ในทส่ี ดุ กถ็ ึงอวสานเม่อื เสยี เมอื งคอนสแตนติโนเปลิ แก่ สเปน คอนสแตนตโิ นเปลิ ปี ๘๗๓ (ค.ศ. 330) ยงั รอดอยู่ และเจรญิ ตอ่ มา ชว่ ย จักรวรรดิออตโตมานเตอร์กใน พ.ศ. ๑๙๙๖ (ค.ศ. 1453) ด�ำรงอารยธรรมกรกี -โรมัน ไวใ้ นยามทที่ างดา้ นตะวันตก ถือวา่ สิน้ สดุ สมัยกลางในยุโรป โรม ระสำ่� ระสาย จักรวรรดโิ รมนั ตะวนั ตก ทะเล (แต่ทจ่ี ริง ยคุ บีแซนทีนนี้ ก็คือส่วนสำ� คัญหรอื กาล เวลาส่วนใหญ่ของยุคมดื น่นั เอง) เมดิเตอเรเนยี น จกั รวรรดบิ แี ซนทนี ทอ่ี ย่นู านถงึ พนั ปีน้ี แทบไมม่ ี จกั รวรรดิโรมนั ตะวันออก เวลาทีร่ งุ่ เรืองแท้จริงเลย นอกจากรชั สมยั ของจักรพรรดิ ทเี่ ขม้ แขง็ บางพระองค์ ทีเ่ ป็นเหมอื นช่วงแทรกเทา่ นน้ั แต่ อาฟริกา โดยทัว่ ไปมภี ัยรุกรานมาก อียปิ ต์ ห้ามซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พือ่ การศกึ ษาส่วนตัวเท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ต้องตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน 69
ม.สนิ ธุ คุชราต ม.ยมนุ า ม.คงคา อวสานราชวงศ์คุปตะ หรรษวรรธนะ กันยากุพชะ เวสาลี พ.ศ. ๑๐๕๐ เศษ กษตั ริยห์ ูณะ หรอื ฮั่นขาว นาม ปาฏลบี ตุ ร วา่ มิหริ กลุ ะ (หรอื มหริ คุละ; ไดส้ มญาว่า “อัตติลา/Attila วลภี อชุ เชนี ม.นัมมทา ประยาค แห่งอินเดีย) ผู้โหดรา้ ย เปน็ ฮินดูนกิ ายไศวะ ครองเมอื ง กรรณสวุ รรณ สาคละ รุกเข้ามา ไดต้ อ่ สู้กบั กษัตรยิ ค์ ุปตะ และให้ก�ำจัด จาลุกยะ พระพุทธศาสนา โดยท�ำลายวดั สถูป และสงั หารชาวพทุ ธ ม.โคทาวรี เบองก่าวอล จ�ำนวนสุดคณนา (ตัวเลขบางแห่งว่าวดั ถูกท�ำลาย ๑,๖๐๐ กลงิ คะ วัด) แตใ่ นท่ีสุดไดท้ �ำอัตวินิบาตกรรม ใน พ.ศ. ๑๐๘๓ เวงคี วาตาปปี รุ ะ ม.กฤษณะ การรกุ รานของพวกฮนั่ บนั่ ทอนอำ� นาจของราชวงศ์ คปุ ตะอยา่ งยงิ่ จนในที่สดุ ประมาณ พ.ศ. ๑๐๘๓ (ค.ศ. ปลั ลวะ 540) จักรวรรดิคุปตะก็แตกสลาย เจระ ปาณฑยะ ภมู หิ ลงั บีบคั้นทข่ี บั ดันอารยธรรม กำ� จัดกวาดล้าง (persecution) คนนอกรีตและคนนอก ศาสนาครสิ ต์ (การก�ำจดั กวาดลา้ งทางศาสนาในตะวนั ตก การขับเคย่ี วราวลี ้างและลีภ้ ยั ทางศาสนา เปน็ ถือไดว้ ่าจบส้ินเมอ่ื เลกิ ลม้ ศาลไตส่ วนศรทั ธาของสเปน ภมู ิหลงั ส�ำคัญในประวตั ศิ าสตร์ของตะวนั ตก และเป็นแรง [Spanish Inquisition] ในปี 1834/๒๓๗๗) ขบั ดนั อารยธรรมมาสูส่ ภาพปัจจบุ ัน โดยมีภาพรวมดังนี้ เมอื่ ศาสนาอิสลามเกดิ ขึ้นแลว้ ไม่ชา้ กเ็ ปน็ ยุค ในจกั รวรรดิโรมันตะวันตก เมอ่ื ศาสนาครสิ ต์เกดิ สงครามกับอาณาจักรมุสลิม จนกระท่งั มีสงครามศาสนา ขึน้ แลว้ นับแตเ่ ริม่ ตน้ ค.ศ. ก็เปน็ ยุคแหง่ การกวาดล้าง (religious war) ทีเ่ รียกวา่ “ครเู สด” (Crusade) รวมทงั้ (persecution) คนถือคริสต์ สนิ้ ๘ ครูเสดส์ ยาวนาน ๒๐๐ ปี (1095-1291/๑๖๓๘– ๑๘๓๔) โดยมีจุดเริ่มสำ� คัญจากการที่จักรวรรดบิ แี ซนทีน ส่วนในจักรวรรดโิ รมนั ตะวนั ออก คอื บแี ซนทนี ขอความช่วยเหลอื จากประเทศคริสต์แถบตะวนั ตกเพือ่ มา เม่อื จกั รพรรดอิ งคแ์ รก คือ Constantine I นับถือครสิ ต์ ตา้ นการรุกรานของมุสลิมเซลจูกเตอร์ก และให้ชาวครสิ ตม์ ีเสรีภาพในการนับถือบูชาโดยประกาศ Edict of Milan ใน ค.ศ. 313/พ.ศ. ๘๕๖ (ก่อนรวมต้ัง จกั รวรรดิ ๑๗ ป)ี แล้ว ตอ่ มาไม่นาน ก็เข้าสยู่ ุคแหง่ การ 70 หา้ มซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศกึ ษาสว่ นตัวเทา่ นัน้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลิขสิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจา้ ของกอ่ น
ช่วงต่อส่ยู คุ ใหม่ กอ่ นอินเดียลกุ ดังไฟ อาณาเขตอยูแ่ ค่แม่น�้ำนมั มทา แม่น�้ำสำ� คญั ของดนิ แดนแถบน้ันนน่ั เอง) แมว้ า่ ตอ่ มาจาลุกยะจะสิ้นวงศไ์ ปใน พ.ศ. ๑๓๐๐ ราชวงศจ์ าลุกยะสามารถกูอ้ ำ� นาจคนื มาไดใ้ น พ.ศ. ๑๐๘๖-๑๓๐๐ (ค.ศ. 543-757) ราชวงศ์ จาลกุ ยะ ครองราชย์ทีว่ าตาปปี ุระ ในตอนกลางและ แตร่ าชวงศร์ าษฏรกฏู ทขี่ น้ึ มาแทน กอ็ ปุ ถมั ภง์ านศลิ ป์ พ.ศ. ๑๕๑๘ (ค.ศ. 975) และครองอาณาจักรอยจู่ นถงึ ตะวนั ตกของทักษิณาบถ สลกั ภูเขาสบื มา พ.ศ. ๑๗๓๒ (ค.ศ. 1189) สว่ นทางอินเดยี ฝ่ายเหนอื เมือ่ คุปตะออ่ นแอลงจน นา่ สังเกตด้วยวา่ ราชวงศจ์ าลกุ ยะ ต่อดว้ ยราชวงศ์ ราชวงศ์จาลุกยะทก่ี ล่าวมานเ้ี รียกว่าจาลกุ ยะ จบสน้ิ วงศ์ เพราะการเขา้ มาของพวกหณู ะดังกล่าวแลว้ ราษฏรกูฏท่เี ขม้ แข็งขึน้ มาแทนที่ แลว้ แผอ่ ำ� นาจ เทย่ี วรบ ตะวันตก เพราะในเวลาใกล้กนั นี้มีจาลกุ ยะอกี พวกหนึง่ น้ัน หลังจากวนุ่ วายอยรู่ ะยะหนึ่ง กม็ ีกษตั ริยย์ ิ่งใหญเ่ กิด กับอาณาจกั รอ่นื ๆ ท้งั ในภาคกลางและภาคเหนอื ใน ครองอาณาจักรเวงคี (ดินแดนแควน้ อนั ธระระหวา่ งแมน่ ำ�้ ขน้ึ คอื พระเจ้าหรรษะ (พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๐=ค.ศ. 606- ระยะน้ี ไดเ้ ปน็ เคร่ืองกีดกนั้ ชนมุสลิมอาหรับทเี่ ขา้ มาตั้ง โคทาวรี กับแม่น�้ำกฤษณะ) ในระยะ พ.ศ. ๑๑๖๗-๑๖๑๓ 647) ซึ่งมีรชั กาลตรงกันพอดีกับราชาทีเ่ รืองอ�ำนาจท่สี ดุ อาณาจักรในแถบแควน้ สินทใ์ หไ้ ม่สามารถขยายดินแดน (ค.ศ. 624-1070) เรียกว่าราชวงศจ์ าลกุ ยะตะวันออก ของจาลุกยะ คอื พระเจ้าปลุ เกศินที่ ๒ (พ.ศ. ๑๑๕๓- ออกไป ๑๑๘๕=ค.ศ. 610-642) (แควน้ สินท/์ Sind ในปจั จบุ ัน ซงึ่ บางต�ำราบางครง้ั เม่อื พระเจา้ หรรษะแผ่อำ� นาจลงทางใตร้ าว พ.ศ. กเ็ ขยี น Sindh/สนิ ธ์ น้นั ก็มาจากค�ำว่า “สินธ”ุ ทเี่ ป็นชอ่ื ๑๒๕๓ ก็ไดพ้ า่ ยแกพ่ ระเจา้ ปุลเกศินที่ ๒ และถูกจ�ำกดั ก�ำเนิดนิกายเซน ญ่ีปนุ่ รบั พระพุทธศาสนา พ.ศ. ๑๐๖๓ (ค.ศ. 520) ทเ่ี มอื งจนี พระโพธธิ รรม พ.ศ. ๑๐๙๕ (ค.ศ. 552) พระจักรพรรดกิ ิมเมอิ ซึง่ เดินทางไปจากอนิ เดียใต้ ได้สอนพระพุทธศาสนาที่ (Emperor Kimmei) โปรดใหส้ ร้างวดั แรกของญปี่ ุน่ เพื่อ เปน็ การตั้งนกิ ายฉาน (Chan; ต่อมาไปถึงญ่ปี นุ่ เรยี กตาม ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปทีก่ ษัตรยิ ์เกาหลีทรงส่งมาถวาย สำ� เนยี งที่นัน่ วา่ นกิ ายเซน=Zen) เป็นเครอื่ งหมายแห่งการประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาใน ประเทศญป่ี นุ่ จากซ้าย: พระโพธธิ รรม (ปที ส่ี ง่ มา ซ่ึงถือวา่ เป็นวาระแห่งการที่พระพทุ ธ- เจา้ ชายโชโตกุ ศาสนาเข้าสู่ญปี่ นุ่ จากเกาหลี คอื ประมาณ พ.ศ. ๑๐๘๑/ ค.ศ. 538) ตอ่ แต่นัน้ เจ้าชายโชโตกไุ ดท้ รงเป็นผนู้ �ำในการ ประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาอยา่ งจรงิ จัง ห้ามซ้อื -ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศึกษาส่วนตวั เท่านนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน 71
หมถู่ ้�ำอชันตา-เอลโลรา ๒. เอลโลรา เป็นหมูถ่ ำ�้ หลัง เกดิ มีในชว่ ง พ.ศ. ว่าโดยสรปุ ๑๑๐๐ หรอื ๑๒๐๐ ถงึ ๑๔๐๐ เปน็ ของ ๓ ศาสนา คอื พระพุทธศาสนามหายาน ตามด้วยฮนิ ดู และเชน รวมมี เร่ืองหมถู่ ำ้� อชนั ตา-เอลโลรา นน้ั สรา้ งกนั มา ๓๔ ถำ้� แบ่งเปน็ โดยหลายอาณาจกั ร หลายราชวงศ์ ผา่ นกาลเวลาหลาย ศตวรรษ ควรจะสรุปไว้เพอื่ เข้าใจชดั (เท่าทส่ี ันนษิ ฐานกนั ก) ถำ�้ พุทธศาสนามหายาน มา) ดงั น้ี - พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๕๐ - มี ๑๒ ถำ�้ (ที่ ๑-๑๒) ที่ตง้ั : รฐั มหาราษฎร์ อนิ เดยี ตอนกลางภาค ข) ถำ้� ฮินดู ตะวันตก ใกลเ้ มอื งออรงั คาบาด (Aurangabad) - พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๔๕๐ - มี ๑๗ ถำ้� (ท่ี ๑๓-๒๙) - อชันตา ห่างจากออรังคาบาด ขึ้นไปทาง ค) ถำ้� เชน เหนอื เย้ืองตะวนั ออก ๘๔ กม. (๑๐๕ กม. - พ.ศ. ๑๓๕๐-๑๔๕๐ โดยรถยนต์) - มี ๕ ถำ�้ (ท่ี ๓๐-๓๔) - เอลโลรา ห่างจากออรงั คาบาด ขึ้นไปทาง ตะวันตกเฉยี งเหนอื ๑๕ กม. (๒๙ กม. โดย รถยนต)์ ๑. อชันตา เปน็ หมถู่ �้ำแรก เกดิ มีในช่วง พ.ศ. ๔๐๐-๑๒๐๐ และเปน็ ของพุทธศาสนาลว้ นๆ รวมมี ๓๐ ถ้�ำ แบง่ เปน็ ก) ถำ�้ พุทธศาสนาหนี ยาน - พ.ศ. ๔๐๐-๖๐๐ - มี ๖ ถ�้ำ (ที่ ๘, ๙, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๓, ๓๐) ข) ถำ�้ พุทธศาสนามหายาน - พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๒๐๐ - มี ๒๔ ถำ�้ (ทเ่ี หลือจาก ๖ ถำ้� ของหนี ยาน) (พึงทราบวา่ ถ้�ำท่ี ๓๐ บดั น้ไี มม่ ีทางขน้ึ ไป อาจ ถูกหินถลม่ ทบั ? บางต�ำราไมน่ ับ จงึ บอกจ�ำนวนวา่ มเี พยี ง ๒๙ ถ�้ำ) 72 ห้ามซอ้ื -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพอื่ การศกึ ษาส่วนตัวเท่านัน้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
ถำ้� เดิม เม่ือเร่ิมคือวดั ธรรมชาติ และเปน็ ท่ฉี ายออกแห่งเมตตากรณุ า เปลี่ยนมา แต่ไปมาตวัดเป็นวิมาน เปน็ เทวสถานโอ่อา่ ที่ผยู้ ่งิ ใหญเ่ พลินเมาส�ำราญส�ำเริงกาม และแสดงอำ� นาจกดก�ำราบอย่างโหดเหี้ยมให้นา่ เกรงขาม เนอ่ื งจากถ�้ำเหล่าน้มี ตี ้นก�ำเนิดมาจากคตขิ องพระ ภิกษุในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ มีถ้�ำเป็นเสนาสนะคือทีอ่ ยู่ เรมิ่ ตน้ เปน็ ปชู นยี ์ ฟน้ื อกี ทเี ปน็ แคท่ เ่ี ทยี่ วดู อาศัยอย่างหนึง่ ตามพระพทุ ธบัญญตั ิ พรอ้ มน้ัน วดั กเ็ ปน็ ทบ่ี �ำเพ็ญกุศลเจริญธรรมของประชาชน การเจาะสลัก ตอ่ มา หมถู่ ้�ำเหล่านไ้ี ดถ้ กู ทิง้ ร้างไป และหายจาก ท�ำถำ้� เหล่านี้จงึ เป็นการสร้างวดั ถ้�ำ ดังนน้ั ถำ�้ รุ่นเก่า โดย ความทรงจำ� หลายศตวรรษ แม้กระทัง่ คนถ่นิ กไ็ มร่ ู้ จน เฉพาะถ�้ำพุทธท่ี อชันตา จงึ แยกเป็น ๒ แบบ คือ วิหาร กระท่งั ในยคุ ท่อี ังกฤษปกครอง ไดม้ ที หารองั กฤษ ของ ได้แก่ทีอ่ ยูข่ องพระ กับ ไจตยะ (=เจติยะ=เจดยี ์) อันเป็น บริษัท อสี ต์อินเดีย (East India Company) มาลา่ สตั ว์ ทเ่ี คารพบูชา หรือที่ศกั ด์สิ ิทธิ์ และพบโดยบงั เอิญ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๒ (ค.ศ. 1819) ชาว โลกจึงไดร้ ู้จัก ศิลปกรรมทน่ี ่ี ทง้ั ประติมากรรม และจติ รกรรม ดเี ด่นเปน็ แบบแก่ท่ีอ่นื โดยเฉพาะภาพวาดทอ่ี ชันตา เป็น อยา่ งไรก็ตาม หลงั จากเปิดแก่การท่องเทีย่ วแลว้ ทนี่ ยิ มแพรไ่ ปทางอัฟกานสิ ถาน (คนั ธาระ และโยนก) ในระยะตน้ ได้เกดิ ความสูญเสยี มากมาย ทง้ั แก่รปู ภาพ อาเซียกลาง จนถึงจีน และรปู ป้ัน จากการจบั -ลบู -ลอกของผู้มาชม การดูแล รกั ษาไมถ่ กู วิธี ตลอดจนคนทุจรติ เชน่ เคยมีเจา้ หน้าท่นี �ำ หลวงจีนเหย้ี นจงั หรอื พระถังซ�ำจัง๋ กไ็ ด้เขยี น เท่ยี วตดั เศียรองค์ปฏิมาตา่ งๆ ไปขาย กว่าจะจัดให้มีการ บันทึกไว้ กล่าวถงึ ถ�้ำอชันตา เม่อื พ.ศ. ๑๑๘๓ อนุรักษ์ให้เรียบร้อยลงตัวตามวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งได้ ถ�้ำก็ เสอื่ มโทรมไปมาก อย่างไรก็ตาม นา่ จะเป็นได้ว่า ในยคุ หลังๆ ความ หมายและวัตถปุ ระสงคเ์ ดิมของงานสร้างถ�้ำไดห้ ดหาย หลักฐานอันถาวรชัดเจนของอดีตที่หมถู่ ำ้� เหล่าน้ี และกลายเปน็ อย่างอืน่ นา่ จะเป็นแหล่งท่ีดสี ำ� หรับการศึกษาศาสนาเปรยี บเทียบ และลักษณะแหง่ วิวฒั น-หายนาการ ท่ไี ดเ้ ป็นไปใน ดงั จะเห็นชดั จากผลงานยุคทา้ ยๆ โดยเฉพาะถำ้� ประวตั ศิ าสตรข์ องพระพทุ ธศาสนา พรอ้ มทง้ั ใหเ้ หน็ อนจิ จ- ไกลาสของฮนิ ดู ทส่ี ันนิษฐานกันว่ากษตั รยิ ์ กฤษณะที่ ภาวะท่ีจะปลุกเรา้ เตอื นใจใหต้ ง้ั อยู่ในความไม่ประมาท ๑ (ราว พ.ศ. ๑๒๙๙-๑๓๑๖) แหง่ ราชวงศร์ าษฏรกูฏให้ สรา้ งข้ึนนั้น นอกจากไมเ่ ป็นที่อยู่ของพระ และไม่เป็น ศลิ ป์เพ่ือสอนธรรมแลว้ กไ็ ม่เป็นถ้�ำอย่างใดเลย แต่เปน็ เทวสถานอันมจี ดุ เนน้ ทีพ่ ธิ กี รรมและความยิง่ ใหญโ่ ดยแท้ จากถ้�ำพุทธยุคแรกท่ีมีแตค่ วามเรยี บง่าย สุขสงบกับ หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พ่ือการศกึ ษาสว่ นตัวเท่านนั้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ิขสิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น 73
หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พ่อื การศึกษาสว่ นตัวเทา่ นั้น ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ต่อขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น
ภั ย น อ ก - ภั ย ใ น จ น ม ล า ย สู ญ ส้ิ น หา้ มซื้อ-ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พอ่ื การศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
พทุ ธฯ ถกู ท�ำลายอกี ก่อนฟื้นใหม่ พ.ศ. ๑๑๔๘-๑๑๖๒ (ค.ศ. 605-619) ราชา ศศางกะ เปน็ ฮินดูนิกายไศวะ ไดด้ ำ� เนินการท�ำลาย พระพทุ ธศาสนาอยา่ งรนุ แรง เช่น สังหารพระสงฆท์ ่ี กุสินาราหมดสนิ้ โคน่ พระศรมี หาโพธิ์ทพี่ ุทธคยา น�ำ พระพทุ ธรปู ออกจากพระวิหารแล้วเอาศิวลงึ คเ์ ข้าไปตั้ง แทน แมแ้ ต่เงนิ ตราของรัชกาลก็จารกึ ข้อความก�ำกบั พระนามราชาว่า “ผปู้ ราบพทุ ธศาสนา” จากซ้าย: พระศรีมหาโพธิ์ ศิวลึงค์ อาณาจักรศรวี ิชัยเกิดท่ีสมุ าตรา ทวาราวดี จามปา เขมร พ.ศ. ๑๑๐๐ (กะคร่าวๆ; ค.ศ. 600) ในชว่ งเวลา นี้ มีอาณาจกั รใหมท่ ส่ี �ำคญั เรยี กวา่ ศรวี ิชยั เกดิ ขน้ึ ใน พทั ลุง กลนั ตัน ทะเลจนี ใต้ ดินแดนท่ปี จั จบุ นั เปน็ อินโดนเี ซียและมาเลเซยี ตรงั กานู เคดาห์ เทา่ ทีท่ ราบ อาณาจักรน้เี รม่ิ ข้นึ โดยชาวฮินดจู าก อนิ เดยี ใตม้ าตงั้ ถน่ิ ฐานทปี่ าเลมบงั ในเกาะสมุ าตรา ตงั้ แตก่ อ่ น สมุ าตรา ปะหัง ค.ศ. 600 แตม่ ชี อื่ ปรากฏครัง้ แรกในบนั ทึกของหลวงจีน อจี้ งิ ผมู้ าแวะบนเส้นทางสชู่ มพทู วปี เมื่อ พ.ศ. ๑๒๑๔ เทคโนโลยี: พลังงานจากลม อาณาจกั รศรวี ิชยั ทะเลชวา ชมั พี พ.ศ. ๑๑๕๐ (โดยประมาณ; ค.ศ. 600) ท่ี ปาเลมบงั ชวา เปอรเ์ ซยี คนท�ำกังหนั ลม ขนึ้ ใชค้ รั้งแรก กังหนั ลมเปอร์เซีย 76 ห้ามซ้ือ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพือ่ การศึกษาสว่ นตัวเท่านน้ั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลขิ สิทธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน
ท้งั ฮน่ั และศศางกะ ถึงอวสาน ม.สินธุ คุชราต ม.ยมุนาม.คงคา ทเิ บต เนปาล พ.ศ. ๑๑๔๘ (ค.ศ. 605) หลังชว่ งเวลาวุ่นวายใน สินท์ กนั ยากุพชะ ชมพูทวีป กษัตริยร์ าชวงศว์ รรธนะไดป้ ราบพวกหณู ะลง เวสปาาลฏีลบี ุตร ไดใ้ น พ.ศ. ๑๑๔๘ แตแ่ ล้วราชาใหมร่ าชยวรรธนะกถ็ ูก หรรษวรรธนะ ประยาค ราชาศศางกะใชก้ ลลวงปลงพระชนมเ์ สยี จาอชุลเชกุ นมีย.นะมั มทา เบองก่าวอล เหตกุ ารณน์ ท้ี ำ� ใหเ้ จา้ ชายหรรษวรรธนะผเู้ ปน็ อนชุ า ม.โคทาวรี ตอ้ งเขา้ มารกั ษาแผน่ ดนิ ขน้ึ ครองราชยท์ เี่ มอื งกนั ยากพุ ชะ (ปจั จบุ นั =Kanauj) มพี ระนามวา่ หรรษะ แห่งราชวงศ์ เวงคี วรรธนะ และไดก้ ลายเปน็ ราชายงิ่ ใหญพ่ ระองค์ใหม่ วาตาปีปุระ ม.กฤษณะ ราชาศศางกะทเ่ี ปน็ ฮนิ ดไู ศวะ กส็ น้ิ อำ� นาจใน พ.ศ. ๑๑๖๒ แล้วดนิ แดนท้ังหมดกเ็ ขา้ รวมในจักรวรรดิของ พระเจา้ หรรษวรรธนะ พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทวาราวดี ในทีแ่ หง่ สวุ รรณภูมิ พทุ ธศาสนาเข้าสูท่ ิเบต พ.ศ. ๑๑๕๐ (โดยประมาณ; ค.ศ. 600) พ.ศ. ๑๑๖๐ (ค.ศ. 617) เปน็ ปปี ระสตู ขิ องกษตั รยิ ์ อารยธรรมทวาราวดี ของชนชาติมอญ ไดร้ งุ่ เรืองเด่นข้นึ ทเิ บตพระนามสรองสนั คัมโป ซึ่งตอ่ มาได้อภเิ ษกสมรสกบั มาในดินแดนที่เปน็ ประเทศไทยปจั จบุ ัน แถบลุ่มแม่น�้ำ เจา้ หญงิ จนี และเจา้ หญิงเนปาล ทนี่ บั ถอื พระพุทธศาสนา เจา้ พระยาตอนลา่ ง ต้ังเมืองหลวงทีน่ ครปฐม เปน็ แหลง่ เปน็ จดุ เรม่ิ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนา รบั วัฒนธรรมชมพทู วีป รวมท้ังพระพุทธศาสนา แล้วเผย เขา้ ส่ทู ิเบต พระเจ้าสรอง- แพร่ออกไปในเขมร พมา่ ไทยอยู่นาน จนเลอื นหายไปใน สันคมั โป ทรงสง่ ราชทตู ชอ่ื อาณาจกั รสยามยุคสุโขทยั แหง่ พ.ศต. ท่ี ๑๘-๑๙ ทอนมสิ ัมโภตะไปศกึ ษาพระ พุทธศาสนาและภาษาต่างๆ อาณาจกั รทวาราวดีนเี้ จรญิ ขึน้ มาในดินแดนที่ ในอนิ เดยี และดดั แปลงอกั ษร ถือว่าเคยเป็นถน่ิ ซึง่ เรยี กวา่ สุวรรณภมู ใิ นสมัยโบราณ อินเดยี มาใชเ้ ขียนภาษาทเิ บต ต้งั แต่ก่อนยคุ อโศก ใน พ.ศต. ที่ ๓ จากซ้าย: ธรรมจักร ศลิ ปะทวาราวดี พระเจา้ สรองสนั คมั โป ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพอื่ การศกึ ษาสว่ นตัวเท่าน้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ อ่ ตอ้ งติดต่อขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น 77
พทุ ธศาสนารุ่งเรอื ง อนิ เดียตง้ั ตวั ได้ พุทธรงุ่ สดุ ทา้ ย ทเี่ กดิ มขี น้ึ ในชว่ ง ๔ ปกี อ่ นๆ แกม่ หาสมาคม รวมทงั้ สง่ เสรมิ ยคุ ที่ ๓ เสรีภาพทางศาสนา พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๐ (ค.ศ. 606-647) พระเจ้า หรรษะ (หรรษวรรธนะ หรือหรรษะศีลาทิตย์ กเ็ รียก) (ทีป่ ระยาค มีหลกั ศลิ าจารกึ ของพระเจ้าอโศกด้วย เปน็ กษตั ริยช์ าวพทุ ธ ไดท้ รงทะนบุ ำ� รุงพระพุทธศาสนา ปัจจบุ นั =Allahabad เป็นแดนศักดิ์สทิ ธิ์ของพราหมณ์ รวมทงั้ อปุ ถมั ภม์ หาวิทยาลัยนาลนั ทา ระดบั เดียวกบั พาราณสี ชาวฮนิ ดมู งี านพิธที ่ีนท่ี ุกปี โดย เฉพาะทุกรอบ ๑๒ ปี จะมนี กั บวชฮนิ ดูจาริกมาชมุ นมุ คร้งั พระเจ้าหรรษะ ทรงดำ� เนนิ นโยบายคล้ายอย่าง ใหญ่ย่ิง เรียกว่า “กมุ ภเมลา” ท่คี นมาอาบนำ�้ ลา้ งบาป พระเจ้าอโศกฯ ม่งุ บำ� รงุ สขุ ของประชาชน เช่น สร้างศาลา บางทีถึง ๑๘ ลา้ นคน พระเจ้าหรรษะคงจะทรงใชโ้ อกาส สงเคราะหค์ นเดินทาง คนยากจน คนเจบ็ ไข้ ทวั่ ทงั้ มหา นใ้ี นการบ�ำเพญ็ มหาทาน) อาณาจกั ร และทีเ่ มืองประยาค ณ จดุ บรรจบของแม่น้�ำ คงคากับยมุนา ทกุ ๕ ปี ไดพ้ ระราชทานพระราชทรพั ย์ จีนเขา้ ยคุ ราชวงศ์ถัง ทีแ่ ดนอาหรบั ก�ำเนดิ อิสลาม พ.ศ. ๑๑๗๓ (ค.ศ. 630) ทา่ นนบีมุฮมั มดั จดั การ ทัง้ ปวงท่มี ะดนี ะฮ์ เวลาผา่ นไป ๘ หรือ ๑๐ ปี เมอื่ พรอ้ ม พ.ศ. ๑๑๖๑ (ค.ศ. 618) ทปี่ ระเทศจนี ซง่ึ เวลานนั้ พ.ศ. ๑๑๖๕ (ค.ศ. 622) ในดนิ แดนทเ่ี ปน็ ประเทศ แลว้ ท่านจึงนำ� กำ� ลงั คน ๑๐,๐๐๐ ยกไปมกั กะฮใ์ นเดือน มีประชากร ๙ ลา้ นครัวเรือน ประมาณ ๕๐-๗๐ ล้านคน ซาอดุ อี าระเบยี ปจั จบุ นั หรอื เรยี กงา่ ยๆ วา่ อาหรบั ทา่ นนบี มกราคม พวกมักกะฮ์ออกมายอมสยบโดยดี ท่านนบี ณ เมืองเชียงอาน (ฉางอาน) ราชวงศ์สยุ ซึ่งครองอำ� นาจ มฮุ มั มดั ไดเ้ รมิ่ ประกาศศาสนาอสิ ลามทเี่ มอื งมกั กะฮ์ ตง้ั แต่ มุฮัมมัดก็สญั ญาจะนริ โทษให้ ในการเขา้ เมอื งมกั กะฮ์ครั้ง มาได้ไมน่ าน เรม่ิ แต่ พ.ศ. ๑๑๒๔ (ค.ศ. 581) ได้จบสิ้นลง อายุ ๔๐ ปี แต่มคี วามขดั แยง้ กบั คนที่มคี วามเชอ่ื อยา่ งเก่า นี้พวกศัตรูตายเพยี ง ๒๘ คน และมุสลมิ ตายเพียง ๒ คน โดยเฉพาะพวกพ่อค้าโลภ จนในทส่ี ดุ ราวปีท่ี ๑๓ ตรงกับ จีนเข้าสยู่ ุคราชวงศถ์ ัง ซึง่ จะครองเมอื งอยจู่ นสิ้น พ.ศ. ๑๑๖๕ ไดน้ �ำสาวกหนอี อกจากมกั กะฮ์ ถอื เปน็ เร่มิ ทา่ นนบมี ฮุ ัมมดั จดั การปกครองในมกั กะฮ์ให้ วงศ์ใน พ.ศ. ๑๔๕๐ (ค.ศ. 907) โดยเรืองอำ� นาจในช่วง ฮิจเราะห์ศกั ราชของศาสนาอิสลาม แลว้ ไปต้งั ถิน่ ประกาศ เรียบรอ้ ย และท�ำลายรูปเคารพทม่ี หาวหิ ารกาบะฮจ์ น พ.ศ. ๑๑๖๙-๑๒๙๘ (ค.ศ. 626-755) ศาสนาที่เมอื งมะดีนะฮ์ (Medina เดิมชื่อเมืองยาธรบิ ) เสรจ็ สรรพ แลว้ เผยแพร่อสิ ลามตอ่ มา และจดั การกบั ชน เผ่าทีย่ งั เป็นปฏปิ ักษ์ จนรวมอาระเบียได้ในเวลา ๒ ปี จนี ทา่ นนบมี ภี าระมากในการตอ่ สกู้ บั พวกเมอื งมกั กะฮ์ เรมิ่ จะขยายเข้าสู่ซีเรยี และอริ ัก และรบกบั กองคาราวานเพอ่ื ตดั กำ� ลงั พวกมกั กะฮ์ พรอ้ มทง้ั ปราบศตั รใู นมะดนี ะฮ์ ตลอดจนจดั การกบั พวกยวิ ทเ่ี ขา้ กบั ศตั รู พ.ศ. ๑๑๗๕ ท่านนบมี ฮุ ัมมดั อายุได้ ๖๓ หรอื ๖๕ ปี จงึ เสดจ็ สู่สวรรค์ โดยชาวมุสลิมถอื วา่ ท่านขึ้นสู่ พวกยิวส�ำคญั โคตรทา้ ยน้นั เม่อื ท่านรบชนะแลว้ สวรรคท์ เ่ี มืองเยรูซาเลม็ ได้ใหป้ ระหารชวี ติ ผู้ชายท้งั ส้ิน ส่วนสตรีและเด็กกใ็ หข้ าย เปน็ ทาสหมดไปจากมะดีนะฮ์ 78 ห้ามซื้อ-ขาย อนุญาตให้ใช้เพอ่ื การศกึ ษาส่วนตวั เท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
จากซา้ ย: เหีย้ นจัง แห่ง นาลันทา นาลันทาจนจบแล้วสอนทน่ี นั่ ระยะหนง่ึ จึงนำ� คมั ภีรพ์ ระ พระถังซำ� จง๋ั ไตรปฎิ กเปน็ ตน้ จำ� นวนมาก เดนิ ทางกลบั ถงึ เมอื งเชยี งอาน/ พระเจา้ ถังไทจง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ (ค.ศ. 629-645) หลวงจนี ฉางอาน ในพ.ศ. ๑๑๘๘ หลงั จากจากไป ๑๖ ปี ทา่ นไดร้ บั เห้ียนจงั (Hsuan-tsang; เกดิ พ.ศ. ๑๑๔๕) หรือยวน การตอ้ นรบั ยกยอ่ งอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ อยา่ งยง่ิ จากพระจกั รพรรดิ ฉาง หรือทม่ี กั รจู้ ักกันในนามวา่ พระถงั ซ�ำจ๋งั จะไปสบื จนี แล้วท�ำงานแปลพระไตรปฎิ กส่ังสอนธรรมตอ่ มาจนถึง พระไตรปฎิ กท่อี ินเดีย (พูดกนั มาแบบภาษาชาวบา้ นว่า มรณภาพใน พ.ศ. ๑๒๐๗ กบั ทงั้ ไดเ้ ขยี นบนั ทกึ การเดนิ ทาง ไปไซที คือไปแดนตะวันตก) ไดจ้ ารกิ จากกรงุ จีน ผา่ นทาง ไว้ ชอื่ วา่ Great Tang Records on the Western Regions โยนก คันธาระ กัศมีระ (คือ อัฟกานสิ ถาน ปากีสถาน โดยทา่ นเป็นผ้บู อกเลา่ และพระลูกศษิ ย์จดบนั ทกึ ไว้ และอินเดียพายัพปจั จุบัน) ท่เี มืองจีน เวลานั้น เปน็ รชั กาลพระเจา้ ถงั ไทจง ซง่ึ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๑๖๙- หลวงจนี เหย้ี นจงั มชี อื่ สนั สกฤตดว้ ยวา่ พระโมกษ- ๑๒๐๒ (ค.ศ. 626-649) เทวะ หลวงจนี เหยี้ นจงั ได้มาศึกษาทมี่ หาวิทยาลยั ทะเลด�ำ ในดา้ นทายาท หลงั จากภรรยาคนแรกส้นิ ชีวติ เมื่อ เมดเิ ตทอะเเลรเนยี น ดามสั กสั แคทสะเเปลียน ทา่ นอายุ ๕๐ ปแี ล้ว ทา่ นนบมี ีภรรยาอกี ๘ คน แต่บุตร อเลกซานเดรยี เยรซู าเลม็ ของท่านซง่ึ มีอยา่ งน้อย ๒ คน เสียชวี ิตตั้งแตอ่ ายุยงั น้อย เปออร่าเ์วซยี สว่ นธดิ าซ่งึ มีหลายคน ยงั มชี ีวิตอยจู่ นถึงเมือ่ ท่านสู่สวรรค์ อยี ปิ ต์ เพียงคนเดียว คือฟาติมะฮ์ ซ่ึงไดส้ มรสกบั อาลี ผู้เป็นญาติ โอมาน ใกล้ชดิ ของทา่ นนบี อาหรบั วาระน้ันไดเ้ กดิ ความขัดแย้งกันวา่ ผใู้ ดจะสบื ทอด มะดนี ะฮ์ สถานะผนู้ ำ� ประดาสาวกผใู้ กลช้ ดิ ไดเ้ ลอื กอาบบู ะกะร์ อายุ ๕๙ ปี ซงึ่ มธี ดิ าเป็นภรรยาคนหน่งึ ของท่านนบี ขึ้นเปน็ ผู้ เมกกะ ปกครองของอิสลามสบื ต่อมา โดยมตี �ำแหนง่ เป็นกาหลิฟ (แปลวา่ “ผสู้ บื ตอ่ ”) และมมี ะดนี ะฮเ์ ปน็ ทว่ี า่ การ สว่ นอกี ฝา่ ย ทะเลแดง หนงึ่ จะใหอ้ าลบี ตุ รเขยของทา่ นนบเี ปน็ ผสู้ บื ตอ่ แตไ่ มส่ ำ� เรจ็ เยเมน เน่อื งจากกาหลิฟ ท่ี ๑-๒-๓ ลว้ นเก่งกลา้ ดินแดน ของกาหลฟิ และอสิ ลามจงึ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว มหาวิหารกาบะฮ์ ห้ามซอ้ื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ช้เพื่อการศกึ ษาสว่ นตวั เทา่ นน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สิทธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ อ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 79
พระถงั ซ�ำจ๋งั แหง่ “ไซอว๋ิ ” วา่ ไดพ้ บพระพทุ ธรปู ใหญ่ท่ี พามิยาน (Bamian) ซง่ึ แกะ สลกั เขา้ ไปในหนา้ ผา ๒ องค์ (สงู ๕๒ และ ๓๗ เมตร) อกี เกือบ ๑,๐๐๐ ปตี อ่ มา ไดม้ นี กั เขียนชอื่ Wu ประดบั ประดางดงามด้วยเพชรนิลจินดา (ท่พี วกทาลิบนั Cheng’en แต่งเร่อื งของท่านเป็นนิยายชือ่ Hsi-yu-chi ทำ� ลายเม่อื พ.ศ. ๒๕๔๔) และสภาพพระพุทธศาสนาใน (Record of a Journey to the West ทคี่ นไทยเรยี ก ตกั สลิ าท่พี ินาศสญู สิ้นไปแลว้ หลังจากท่ีถกู พวกฮ่นั ท�ำลาย วา่ “ไซอวิ๋ ” และได้มีผูแ้ ปลเป็นภาษาองั กฤษพิมพอ์ อกมา แลว้ บางส่วนเมื่อปี 1942 ตงั้ ชื่อว่า Monkey สภาพชมพูทวปี ที่พระถงั ซ�ำจ๋งั เล่า ตรงข้ามกับคำ� พรรณนาของหลวงจนี ฟาเหียน ที่เขา้ มาเมอื่ ๒๒๘ ปกี อ่ น ตกั สิลา ครั้งเหีย้ นจงั กบั ฟาเหียน ครง้ั ทต่ี กั สลิ ารงุ่ เรอื ง ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยวดั วาอารามงดงามทว่ั ไป ทางดา้ นวตั ถกุ เ็ หลอื แตค่ วามรกรา้ ง สว่ นในดา้ นจติ ใจ ชาว หลวงจนี เหย้ี นจงั ได้บรรยายภาพความเจรญิ และ พทุ ธทเ่ี หลอื อยู่ กห็ นั ไปหาความเชอื่ และลทั ธพิ ธิ แี บบตนั ตระ ความเส่ือมของพระพทุ ธศาสนาในชมพทู วีปไว้ ทง้ั ด้าน พายพั แถบโยนก คันธาระ กศั มรี ะ ท่ีเดินทางผ่าน เช่น การแผข่ ยายอสิ ลาม มุสลิมอาหรับยึดเยรูซาเลม็ ช่วงท่ี 1. อาหรบั -กาหลิฟ พ.ศ. ๑๑๘๑ (ค.ศ. 638) หลังจากพระนบีมุฮมั มัด เสดจ็ สสู่ วรรคแ์ ลว้ ๖ ปี ทพั มสุ ลิมอาหรบั กย็ กไปตยี ดึ เยรูซาเล็มนครศกั ดิส์ ทิ ธไิ์ ด้ ชาวยิวที่อยใู่ ตป้ กครองของ จักรวรรดโิ รมนั มา ๗๐๑ ปี (ต้งั แต่ พ.ศ. ๔๘๐=63 BC) ก็เปลย่ี นมาอยู่ใต้ปกครองของกาหลฟิ อาหรับ ทะเลเมดเิ ตอเรเนยี น ทะเลดำ� อียิปต์ ฯลฯ ทยอยสอู่ ิสลาม ตุรกี พ.ศ. ๑๑๘๒ (ค.ศ. 639) ทพั มสุ ลมิ อาหรบั ยกเขา้ ตี ยดึ อยี ปิ ตไ์ ด้ ทำ� ใหจ้ กั รวรรดบิ แี ซนทนี หรอื โรมนั ตะวนั ออก เยรซู าเลม็ ซีเรยี อิรัก สูญเสียแคว้นใหญท่ ีส่ ดุ หลดุ มอื ไป และอยี ปิ ตก์ ก็ ลายเป็น จดุ นำ� อสิ ลามเขา้ สู่อาฟริกาเหนือและยโุ รปต่อไป จอร์แดน อยี ิปต์ ทะเลแดง 80 ห้ามซื้อ-ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พ่อื การศกึ ษาสว่ นตวั เท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ตอ่ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
กาหลิฟขยาย โรมใกล้หมดลม เร่อื งการสืบทอดต�ำแหนง่ ส่วนใหญ่ราว ๖๓% แต่ฝา่ ยสหุ นี่ที่มรี าว ๓๗% เป็นฝ่าย ฝ่ายส่วนมากไดย้ กผปู้ กครองซีเรียขึน้ เป็นกาหลฟิ ครองอำ� นาจ) จากน้ัน ๒ ปี โรมนั กถ็ กู ขับออกจากซีเรีย และ เม่ือถึง พ.ศ. ๑๑๙๘ (ค.ศ. 655) ดนิ แดนของกาหลิฟ ตน้ วงศ์อาหรบั ทด่ี ามัสกสั (Damascus) สว่ นฝา่ ยข้างท่ี อาลี และอสิ ลามกแ็ ผ่คลมุ คาบสมทุ รอาหรบั ทั้งหมด ตลอด จะให้บุตรของท่านอาลีไดต้ �ำแหนง่ ไมย่ อมรับตามน้นั (ไม่ ฮุซเซน ปาเลสไตน์ ซเี รีย อยี ปิ ต์ ลเิ บยี เมโสโปเตเมีย และลำ้� เข้า ยอมรับสามกาหลิฟแรกด้วย โดยถอื อาลีเปน็ ผสู้ ืบต่อท่ีแท้ ไปในอารเ์ มเนีย กับเปอร์เซยี (อหิ รา่ น) ลดิ รอนอ�ำนาจ คนเดยี วของท่านนบ)ี ของจกั รวรรดโิ รมนั ลงไปเร่อื ยๆ บตุ รของอาลกี เ็ สยี ชวี ติ หมด โดยเฉพาะเมอ่ื ฮซุ เซน อิสลามแตกเปน็ สุหนี-่ ชอี ะฮ์ ถกู สงั หารใน ค.ศ. 680 อสิ ลามกแ็ ตกเป็น ๒ นกิ าย ฝ่าย มากเปน็ สุหนี่ ฝา่ ยหลังเปน็ ชีอะฮ์ ซ่งึ ถือทา่ นอาลเี ปน็ พ.ศ. ๑๑๙๘ (ค.ศ. 655) กาหลิฟท่ี ๓ ถกู สังหาร อหิ มา่ มคนแรก อาลบี ุตรเขยของทา่ นนบไี ด้เป็นกาหลฟิ ท่ี ๔ แตอ่ กี ๖ ปี ตอ่ มาอาลกี ถ็ กู ปลงชีพ และไดเ้ กิดการขัดแย้งรนุ แรงใน (นกิ ายชอี ะฮม์ ผี นู้ ับถอื มากท่ีสดุ ใน อิหรา่ น คือราว ๙๕% ของประชากรทง้ั หมด สว่ นในอริ กั แมช้ ีอะฮ์จะเปน็ ห้ามซือ้ -ขาย อนุญาตให้ใช้เพื่อการศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้ัน ภาพประกอบส่วนใหญ่มีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใชต้ ่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น 81
สมั พนั ธไมตรี จีน-อินเดยี หรรษะถูกลอบปลงพระชนม์ ปโุ รหิตเกา่ ของพระเจา้ หรรษะขน้ึ เปน็ กษตั ริย์พระนามว่า อรณุ าศวะ พ.ศ. ๑๑๘๔ (ค.ศ. 641) คงสบื เน่ืองจากการ พ.ศ. ๑๑๙๐ (ค.ศ. 647) พวกพราหมณท์ ีร่ ับ ท่ที รงสนิทสนมโปรดหลวงจีนเหี้ยนจงั พระเจ้าหรรษะ ราชการในราชสำ� นัก ขัดเคอื งวา่ พระเจ้าหรรษะอปุ ถมั ภ์ ราชทูตจนี จับกษตั รยิ อ์ ินเดยี ไดท้ รงสง่ ราชทตู ไปประจำ� ราชส�ำนกั จนี สถาปนา พระพทุ ธศาสนา จึงคบคิดกันปลงพระชนม์ ครั้งแรกไม่ สมั พันธไมตรรี ะหว่างอินเดียกบั จนี เป็นครัง้ แรก สำ� เร็จ และทรงอภยั หรือไมล่ งโทษรุนแรง คนพวกนจี้ งึ ครง้ั น้ัน พระเจ้าถังไทจงไดส้ ง่ ราชทตู น�ำเครอ่ื ง ท�ำการร้ายใหม่อกี โดยปลงพระชนม์สำ� เร็จเมอ่ื ครองราชย์ ราชบรรณาการมาถวายพระเจ้าหรรษะ แต่คณะทตู มาถงึ พ.ศ. ๑๑๘๔ (ค.ศ. 641) กษัตรยิ ์ธรวุ ภฏั แหง่ ได้ ๔๑ ปี ปราชญ์ถือว่าเป็นอวสานแห่งมหาอาณาจักร เมอ่ื ส้ินรชั กาลแล้ว กษตั รยิ อ์ งค์ใหมไ่ ด้ให้ท�ำร้ายคณะทตู ราชวงศ์ไมตรกะ ท่ีเมอื งวลภี ซ่ึงรบพ่ายแพต้ อ่ พระเจา้ พุทธสดุ ทา้ ยของชมพทู วปี ตัวราชทตู หนไี ปไดแ้ ลว้ รวมกำ� ลงั หนุนจากทิเบต เนปาล หรรษะ ได้มาเป็นพระกนษิ ฐภาดาเขย และอสั สมั มาบกุ เมืองกันยากพุ ชะ จับกษัตรยิ ์อรณุ าศวะ (นกั ประวตั ศิ าสตรต์ งั้ ขอ้ พจิ ารณาวา่ อนิ เดยี ยคุ กอ่ น กับท้ังบุตรภรรยาไปเปน็ ข้าในราชสำ� นกั ท่ีเชียงอาน มุสลมิ เขา้ มา มีราชายิ่งใหญท่ ่สี ุด ๓ พระองค์ คือ อโศก กนษิ กะ และหรรษะ ซงึ่ ลว้ นเปน็ กษตั ริยช์ าวพทุ ธทง้ั สนิ้ ) อนง่ึ พวกพราหมณ์กอ่ การไดส้ ถาปนาพราหมณ์ เมอื งหลวงใหม่ของกาหลฟิ พ.ศ. ๑๒๐๔ (ค.ศ. 661) เมอื งหลวงของกาหลิฟ เปลย่ี นจากมะดนี ะฮ์ ไปเปน็ ดามสั กสั ในซเี รยี และกาหลฟิ องคใ์ หมไ่ ด้เริ่มต้นวงศก์ าหลฟิ อุมยั ยดั (Umayyad) ขน้ึ เป็นราชวงศม์ ุสลิมแรกของอาหรับ มหามสั ยดิ อมุ ัยยัด กรงุ ดามสั กัส 82 หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่ือการศกึ ษาส่วนตวั เท่าน้นั ภาพประกอบส่วนใหญม่ ีลิขสทิ ธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใช้ต่อ ต้องตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน
ทเิ บต เชียงอาน นานกิง หลวงจนี อ้จี งิ ตามหลงั เห้ียนจงั บันทกึ ท้งั ของหลวงจนี เห้ียนจงั และหลวงจนี อี้จงิ คุชราต ไดก้ ล่าวถึงมหาวทิ ยาลัยวลภดี ว้ ย ท่านแรกมาเยอื นวลภใี น จนี พ.ศ. ๑๒๒๓-๑๒๓๘ (ค.ศ. 680-695) หลวงจนี พ.ศ. ๑๑๘๒ เลา่ วา่ วลภีมีสงั ฆาราม (วดั ) เกินรอ้ ย มีพระ อี้จิง (I-ching หรือ I-tsing) จารกิ ทางเรือมาถงึ ชมพทู วปี สงฆ์หนี ยาน ๖,๐๐๐ รปู สว่ นใหญ่ศกึ ษาทางหีนยาน ตา่ ง มคธ ได้เล่าเรียนที่นาลนั ทา พำ� นกั อยู่ ๑๕ ปี จงึ เดินทางกลับ จากนาลันทาทช่ี ำ� นาญทางมหายาน ส่วนหลวงจนี อ้จี ิง เมืองจีน กลา่ วไดค้ วามวา่ วลภกี บั นาลนั ทายง่ิ ใหญพ่ อกนั นาลนั ทา ทกั ษณิ าบถ อา่ ว ในแดนมัชฌิมฉันใด วลภีในแดนประจิมกฉ็ ันนนั้ เบงกอล ขามา ทา่ นออกจากกวางตุง้ เดินทาง ๒๐ วัน ถึง อาณาจกั รศรวี ิชัย เมื่อ พ.ศ. ๑๒๑๔ (ค.ศ. 671; นคี้ ือครงั้ จามปา แรกท่ีศรีวิชยั ได้รบั การกล่าวถงึ ในเอกสารประวตั ิศาสตร์) แวะทนี่ น่ั ระยะหนึ่งแลว้ จงึ เดนิ ทางตอ่ ไปยังชมพทู วปี โดย ลงั กา กษัตริยแ์ หง่ ศรีวชิ ยั ได้ทรงอปุ ถมั ภด์ ว้ ย มหาสมทุ รอินเดยี ศรีวชิ ัย กาหลิฟตอี ิหร่าน-อาฟริกา ยันสเปน King Ardashir I (ซา้ ย) แห่งราชวงศส์ าสสนทิ กอ่ นศาสนาอิสลามเกิดข้นึ ถา้ นับตอ่ จากชมพทู วีป ไปจดมหาสมทุ รแอตแลนติก มี ๒ มหาอำ� นาจเท่านนั้ แข่งกนั อยู่ คือ จกั รวรรดิโรมัน กับจักรวรรดิเปอรเ์ ซีย แต่ เพียงหลงั ท่านนบมี ฮุ มั มัดสสู่ วรรค์ได้ ๑๙ ปี จกั รวรรดิ เปอรเ์ ซียของราชวงศ์สาสสนทิ (Sassanid) ท่มี ีอายุยาว ๔๒๗ ปี กถ็ งึ อวสานเม่อื ทพั อาหรบั จากมะดีนะฮ์ เขา้ ตีและจกั รพรรดอิ ิหรา่ นองค์สุดทา้ ยถูกสงั หารใน พ.ศ. ๑๑๙๔ (ค.ศ. 651) ดนิ แดนของกาหลฟิ และอิสลามขยายต่อไป ไม่ช้า กเ็ ข้าครองอาฟรกิ าเหนือ บุกยุโรป ไดส้ เปน แต่ถกู ยั้งที่ ฝร่งั เศส ใน พ.ศ. ๑๒๗๕ (ค.ศ. 732) หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตให้ใชเ้ พือ่ การศึกษาส่วนตวั เทา่ น้นั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนําไปใชต้ ่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน 83
ทมฬิ แห่งอินเดยี ใต้ กับศรีวิชัย ตลอดถึงปลายแหลมสุดประเทศอนิ เดยี เปน็ “ทมิฬกะ” ระยะแรกกม็ ีความเปน็ มาทีร่ กู้ นั กระท่อนกระแท่น เชน่ (ดนิ แดนของชนชาวทมิฬ) ๓ อาณาจกั ร คอื ปาณฑยะ ในจารึกและวรรณคดเี กา่ ๆ ของทอ้ งถน่ิ บ้าง ในบนั ทกึ การ ในฐานะทอี่ าณาจักรศรวี ชิ ยั อยใู่ กล้ชดิ ไดต้ ดิ ตอ่ (Pandya ใตส้ ุด) โจฬะ (Cola หรอื Chola เหนอื ข้ึนมา เดนิ เรอื คา้ ขายของพวกกรกี และโรมนั บ้าง และโดยเฉพาะ และสอื่ รบั ความเจริญจากชมพทู วปี จึงควรทราบเร่อื งของ ตอ่ กบั อันธระ) และเจระ หรอื เกราละ (Cera, Chera ในพงศาวดารลังกา ท่ีชาวทมฬิ ทงั้ โจฬะ และปาณฑยะ ดินแดนในชมพทู วีปส่วนทีใ่ กลช้ ดิ หรือตดิ ตอ่ เกยี่ วข้องคไู่ ป หรอื Kerala ทอดจากเหนือลงสุดใต้ตามชายทะเลฝ่งั (บาลเี รียกว่า ปณั ฑุ หรือ ปาณฑิยะ) เข้าไปยุ่งเกย่ี วกับ ด้วย เฉพาะอยา่ งยิง่ อนิ เดยี ใตห้ รอื แดนทมิฬ (ส่วนอนิ เดยี ตะวันตกเคียงไปกับ ๒ อาณาจกั รแรก) การเมอื งการสงครามและการยดึ ครองดนิ แดน ตะวันออกแถบเบงกอล ซงึ่ มีเมอื งทา่ ออกส่มู หาสมุทร อนิ เดยี โดยเฉพาะยุคท้ายๆ คอื อาณาจกั รปาละและเสนะ อาณาจักรเหลา่ นี้มอี ยู่แล้วในสมยั พระเจา้ อโศกฯ ไดพ้ ดู ไวต้ ่างหาก) ทงั้ นี้จะตอ้ งเล่าเรอื่ งย้อนหลังบ้าง เพอ่ื จงึ เก่าแกก่ วา่ สาตวาหนะ ทีเ่ ป็นดินแดนของชาวอนั ธระ เชื่อมความเขา้ ใจให้เห็นชัด ซึง่ ครั้งนน้ั ยงั รวมอยู่ในจกั รวรรดิอโศก ได้กลา่ วแลว้ วา่ ในชมพทู วปี ตอนล่าง ต่อจาก เจระน้ัน มเี ร่อื งราวเหลือมาน้อยยง่ิ จนใน ดินแดนของชนชาวอันธระลงไป (เทยี บยคุ เร่มิ แกะสลักถ�้ำ ประวัตศิ าสตร์ทว่ั ไปไมก่ ลา่ วถงึ ส่วนปาณฑยะ และโจฬะ อชันตา คือถัดจากอาณาจกั รสาตวาหนะลงไปทางใต)้ จน พระอนรุ ทุ ธาจารย์ ศรีวิชยั ท่คี วรรู้ พระโพธสิ ตั ว์ แต่งคมั ภรี ์หลักในการเรียนอภิธรรม อวโลกิเตศวร ตามทหี่ ลวงจนี อจ้ี งิ เลา่ ไวว้ า่ ทา่ นไดแ้ วะทอี่ าณาจกั ร ศลิ ปะมลายู-ศรีวชิ ยั พ.ศ. ๑๒๕๐–๑๖๕๐ (ค.ศ. 707-1107) พระ ศรวี ชิ ัย เนอ่ื งจากอาณาจกั รดงั กลา่ วเป็นชุมทางและเป็น อนุรทุ ธาจารย์แห่งมูลโสมวหิ ารในลงั กาทวีป รจนาคมั ภีร์ จุดผา่ นสำ� คัญของการค้า ศาสนาและวัฒนธรรม ระหว่าง ประมวลความในพระอภิธรรมปฎิ ก ชือ่ วา่ อภิธัมมัตถ- ตะวันตก-ตะวนั ออก และอินเดียกบั อาเซยี อาคเนย์ จงึ สังคหะ ซ่งึ ไดเ้ ร่มิ ใช้เปน็ คมั ภรี ์สำ� คญั ในการศกึ ษาพระ ควรร้เู ร่อื งเพิ่มอีกเล็กน้อย อภิธรรมตั้งแตป่ ระมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐ เป็นตน้ มา (เวลาที่ แตง่ ไม่แน่ชดั นกั ปราชญ์สนั นิษฐานกันต่างๆ บางทา่ นว่า กอ่ นเกิดมอี าณาจกั รศรวี ิชยั ขนึ้ ท่จี ดุ เร่ิม คือ ในยุคเดียวกันหรือใกล้เคียงกบั พระพุทธโฆสาจารย์ โดย สมุ าตราในชว่ ง พ.ศ. ๑๑๐๐ (ก่อน ค.ศ. 600) นนั้ ที่ ทั่วไปถือกันว่าไมก่ อ่ น พ.ศ. ๑๒๕๐ แต่นา่ จะอยู่ในชว่ ง ชวา พุทธศาสนาไดม้ าตัง้ มั่นนานแลว้ ก่อนครสิ ตศ์ ตวรรษ พ.ศ. ๑๕๐๐-๑๖๕๐) ที่ 5 โดยมภี กิ ษุ เชน่ พระคณุ วรมันมาเผยแผธ่ รรม แมท้ ่ี สมุ าตรา พระพุทธศาสนาก็คงได้มาถึงในยคุ เดียวกนั 84 ห้ามซือ้ -ขาย อนุญาตให้ใช้เพื่อการศกึ ษาสว่ นตวั เท่านั้น ภาพประกอบสว่ นใหญ่มลี ขิ สทิ ธ์ิ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากเจ้าของกอ่ น
จีน อ่าว ทมฬิ กับลงั กา มีเวรกันมายืดยาว เบงกอล โดยเฉพาะหลัง พ.ศ. ๙๕๐ มาแล้ว ในลังกามีการ อันธระ จามปา พพิ าทแย่งชงิ ราชสมบตั ิกนั เอง แต่ละฝา่ ยก็ขอกำ� ลงั จาก ทมฬิ ทเี่ ป็นพวกมาชว่ ยบ้าง กษัตรยิ ์ทมฬิ ยกทพั มารกุ ราน เจระ โจฬะ ทะเลจนี ใต้ และครอบครองบ้าง กษตั ริย์ทมฬิ ฝา่ ยโจฬะกบั ฝ่าย ปาณฑยะ ปาณฑยะรบกัน ฝา่ ยหนึ่งขอกำ� ลงั จากสงิ หฬขา้ มทะเลไป ศรีวิชัย ช่วยรบในแดนทมิฬบา้ ง ลังกา ความเปน็ ไปในระยะแรกของปาณฑยะ และโจฬะ มหาสมุทรอนิ เดีย ก็อย่างทกี่ ลา่ วแล้วว่า นอกจากการรุกรานเกาะลงั กา การ รบราแขง่ อ�ำนาจกนั เองระหว่าง ๒ อาณาจักร และการคา้ กบั กรกี โรมัน และจนี ท่พี อจะพบหลักฐานบ้างแลว้ ก็ แทบไม่มีเร่ืองราวอน่ื ปรากฏ หีนยานมาก่อน ๕๐๐ ปีทรี่ งุ่ เรอื ง หลวงจีนอ้จี งิ บนั ทกึ ว่า ทศี่ รีวิชัย พทุ ธศาสนา ในระยะทีศ่ รีวิชยั ครอบครองสุมาตรา ชวา หนี ยานยังเปน็ หลกั ผู้นับถือมหายานมีน้อย บอรเ์ นียวตะวนั ตก และแหลมมลายู มอี ำ� นาจคุมช่องแคบ มะละกา เปน็ ใหญใ่ นเส้นทางการค้าระหว่างอาเซยี ตอ่ มาไม่นาน เมือ่ อาณาจักรในชมพูทวปี ทนี่ บั ถือ อาคเนยก์ ับอินเดยี และเป็นศูนยร์ วมเก็บพักสง่ ตอ่ สินคา้ มหายาน มีกำ� ลังขน้ึ โดยเฉพาะในยคุ ปาละ และขยาย ระหวา่ งอินเดยี กบั จนี รุ่งเรืองอยู่ ๕ ศตวรรษ ศรีวชิ ัย มาทางแถบทเ่ี ปน็ แควน้ เบงกอลในปจั จุบนั พุทธศาสนา กไ็ ด้เปน็ ศนู ยก์ ลางแห่งหนึ่งของพทุ ธศาสนามหายานดว้ ย มหายานก็มายงั ศรวี ชิ ัยตามเสน้ ทางค้าขาย เปน็ เวลายาวนานถงึ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศต.ท่ี 13) พระโพธสิ ตั ว์ อวโลกเิ ตศวร ศิลปะศรวี ิชัย 85 หา้ มซอื้ -ขาย อนญุ าตให้ใช้เพอื่ การศึกษาสว่ นตัวเท่านน้ั ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ีลขิ สทิ ธิ์ หากประสงค์จะนําไปใช้ต่อ ตอ้ งติดตอ่ ขออนญุ าตจากเจา้ ของกอ่ น
ทมฬิ ยงั เฉา กว้างขวางมาก รวมท้ังอาณาจกั รทมิฬดว้ ย คราวมอี าณาจักรใหญท่ างเหนอื สว่ นจาลกุ ยะกค็ อื ผกู้ ำ� จดั วากาฏกะลง มเี มอื งหลวง คร้ันตอ่ มา ในดนิ แดนเหนอื ขึ้นไปในทกั ษณิ าบถ อยทู่ ่วี าตาปปี รุ ะ เร่มิ แต่ พ.ศ. ๑๐๘๖ (ค.ศ. 543) ต่อมา เม่อื สาตวาหนะสลายลงใน พ.ศ. ๗๔๓ (บางตำ� ราว่า เสยี เมอื งแก่พวกราษฏรกูฏใน พ.ศ. ๑๓๐๐ (ค.ศ. 757) พ.ศ. ๗๖๘/ค.ศ. 225) แลว้ มอี าณาจกั รใหม่ๆ เกิดขนึ้ แล้วต้งั วงศข์ นึ้ ใหม่อกี เมอื่ ราษฏรกฏู สน้ิ อ�ำนาจใน พ.ศ. นอกจากวากาฏกะท่อี ยคู่ ่อนไปขา้ งบนแล้ว ทีใ่ ตล้ งมาชดิ ๑๓๐๐ (ค.ศ. 975) เรยี กวา่ จาลุกยะตะวันตก แดนทมฬิ และเดน่ มาก คือ ปัลลวะ และจาลกุ ยะ เม่อื แรกสองอาณาจักรใหม่นร้ี ุ่งเรอื ง แดนทมฬิ ก็ยงั เงยี บเฉา ในราว พ.ศ. ๑๓๐๐ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 8) น้ัน ปัลลวะเส่ือมอ�ำนาจลง ปาณฑยะและโจฬะกเ็ ปน็ ปลั ลวะ นั้น เมือ่ สาตวาหนะเสื่อม กต็ ้งั อาณาจักร อสิ ระและรงุ่ เรอื งต่อมา ข้ึนมาทีก่ ญั จี หรือกัญจปี ุรมั (Kanchipuram) เมือ่ ราว พ.ศ. ๗๖๘ (ค.ศ. 225) แลว้ เรืองอ�ำนาจขึน้ มาจนกระท่ัง ราว พ.ศ. ๑๑๕๐ (ค.ศ. 600 เศษ) กป็ กครองดินแดน เปลี้ย-ฟื้น-ดบั พ.ศ. ๑๒๔๗-๑๒๙๔ (ค.ศ. 704-751) ทเี่ กาหลี ชาวพุทธไดใ้ ช้ตัวอักษรทแ่ี กะเป็นแมพ่ มิ พด์ �ำเนินการ ระหวา่ งนนั้ ศรวี ชิ ยั เปลยี้ ไประยะหนงึ่ เมอ่ื ถกู พระเจา้ พมิ พ์พระสตู ร ซึ่งยงั คงอยู่จนบัดนี้ อนั ยอมรบั กันว่าเป็น ราเชนทรท่ี ๑ แหง่ อาณาจกั รโจฬะยกทพั มาตใี น พ.ศ. หนงั สอื ตพี ิมพ์ทเ่ี ก่าแก่ทีส่ ุดในโลก (การประดิษฐ์แมพ่ ิมพ์ ๑๕๖๘/ค.ศ. 1025 และโจฬะยดึ ครองชวาได้ส่วนใหญ่ เกดิ ข้ึนในจีนก่อนหน้าน้ไี มน่ านนกั และตอ่ ไปต้ังแต่ราว พ.ศ. ๑๔๕๐ การพมิ พ์หนงั สอื จะแพรห่ ลายทว่ั ไปในจนี ) ราเชนทรที่ ๑ นอกจากปราบศรีวชิ ัยแลว้ ยงั ครองลังกาทวีปได้หมด และขยายไปยดึ ดนิ แดนบางสว่ น จากซ้าย: ของพม่าและมลายดู ้วย Surya Majapahit แม่พมิ พ์ไม้ ที่เกาหลใี ช้ (ราเชนทรที่ ๑ มาตสี ิงคโปร์ใน พ.ศ. ๑๕๖๘ และ ต้ังชื่อเกาะวา่ สิงหปรุ ะ ซึ่งเพีย้ นมาเปน็ สิงคโปร์ (บาง พิมพพ์ ระสตู ร ต�ำนานว่ามีภกิ ษใุ ห้ชอ่ื นั้น บางตำ� นานวา่ อยา่ งอนื่ อีก) อยา่ งไรก็ตาม ต่อมา ศรีวชิ ัยก็ร่งุ เรอื งขึน้ ได้อกี และคงอยู่อีกนานจนเลอื นลับไปเมื่ออาณาจกั รใหมช่ อื่ “มชปหติ ” เดน่ ขน้ึ มาแทนที่ในระยะ พ.ศ. ๑๘๐๐ 86 หา้ มซือ้ -ขาย อนุญาตใหใ้ ช้เพอื่ การศกึ ษาสว่ นตวั เท่านนั้ ภาพประกอบสว่ นใหญ่มีลิขสทิ ธ์ิ หากประสงค์จะนาํ ไปใช้ตอ่ ต้องติดต่อขออนญุ าตจากเจ้าของก่อน
ม.สนิ ธุ คุชราต ม.ยมมุน.คางคา ทเิ บต ประยาค เวสปาาลฏี ลีบุตร ปาณฑยะ และโจฬะ จะลบั หรอื โรจน์ การคา้ ก็รงุ่ จาอลชุ ุกเชนยี มะ.นมั มทา กลิงคะ เบองกา่ วอล โดยเฉพาะรชั กาลของพระเจา้ ราเชนทรที่ ๑ (พ.ศ. ม.โคทาวรี ตลอดเวลาท้ังหมดนี้ การค้าทางทะเลระหว่าง ๑๕๕๕-๑๕๘๗/ค.ศ. 1012-44) เป็นช่วงเวลาทโ่ี จฬะ ประเทศก็ด�ำเนินสืบต่อเร่อื ยมา แตม่ คี วามเปลีย่ นแปลง เรอื งอำ� นาจสงู สดุ ราเชนทรที่ ๑ สบื งานพชิ ติ ตอ่ จาก วาตาปปี รุ ะ ม.กฤษณะ เวงคี คือ การค้ากบั ดา้ นโรมันสะดุดหยดุ ไป (จักรวรรดิโรมัน พระราชบิดา นอกจากครองปาณฑยะและเจระ ตีดินแดน ตะวันตกลม่ สลายเมื่อ พ.ศ. ๑๐๑๙/ค.ศ. 476) จากน้นั รายรอบและขน้ึ เหนือไปถงึ แม่นำ้� คงคา ชนะกษตั รยิ ป์ าละ ม.กาเโวรจี ฬกะญั จปี ุรมั อินเดยี ไดห้ นั มาค้าขายกับอาเซียอาคเนย์ สว่ นการคา้ ขาย แทบจะรวมอินเดียทง้ั หมดแล้ว ยังเป็นเจ้าทะเลแถบน้ี ท้ัง มทุรา กบั อาหรบั และจนี ก็ยังดำ� เนนิ ตอ่ มา แผข่ ยายดนิ แดนไปถงึ อาเซยี อาคเนย์ และควบคมุ เสน้ ทาง การคา้ ทำ� ให้การพาณชิ ยย์ า่ นนี้กระทง่ั กับจีนดำ� เนินไป คงสบื เนื่องจากกจิ กรรมการคา้ ขายทเี่ ฟ่อื งฟูข้นึ ใน อยา่ งเข้มแขง็ จนตลอดครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๑ แถบนี้ อาณาจักรใหมซ่ ่งึ มีชือ่ วา่ ศรีวิชยั จึงไดเ้ กิดขน้ึ Rajendra Coin พ.ศ. ๑๒๕๓ (ค.ศ. 710) ทญี่ ่ีปุน่ พระจักรพรรดิ โชมุทรงยา้ ยเมอื งหลวงไปตง้ั ท่เี มอื งนารา (Nara) เชิดชู พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจำ� ชาติ และให้สร้างวดั ขนึ้ ประจำ� ทกุ จงั หวดั พ.ศ. ๑๒๕๔ (ค.ศ. 711) ทพั มสุ ลมิ อาหรบั จาก อาฟรกิ าเหนือ ในนามแห่งกาหลิฟทดี่ ามสั กสั ยกมาตียึด สเปนได้ พ.ศ. ๑๒๕๕ (ค.ศ. 712) ทางดา้ นอาเซยี กาหลฟิ ภาษาราชการ และเข้าครองดินแดนแถบแควน้ สนิ ท์แห่ง จากซ้าย: แผ่อ�ำนาจไปทางตะวันตกเฉยี งเหนอื ของชมพทู วีป พิชิต ลมุ่ นำ�้ สนิ ธุ ทพั อาหรบั จะรกุ คบื เขา้ ปญั จาบและแคชเมยี ร/์ Todaiji Daibutsu บากเตรยี /โยนก เขา้ ไปอาเซียกลาง (ต�ำนานว่า ถงึ ชาย กัศมรี ์ แต่ถกู หยดุ ย้ังไว้ จกั รพรรดโิ ชมุ แดนจีน) เปลยี่ นชนทอ้ งถ่ินเปน็ มสุ ลิม ให้ใชอ้ าระบิกเปน็ 87 ห้ามซ้ือ-ขาย อนญุ าตให้ใช้เพ่ือการศกึ ษาส่วนตัวเท่านนั้ ภาพประกอบส่วนใหญ่มลี ิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ตอ้ งติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของกอ่ น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289