Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2019-08-24 23:26:21

Description: ดร.เสฐียร ทั่งทองมะดัน
www.Kalyanamitra.org
หนังสือ,เอกสาร,บทความ นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

๕๐ จดหมายฉบบั ท่ี ๔ บา้ นกาญจนรชั ต์ นครราชสีมา พิชญา ศษิ ยร์ กั ฉบับที่แลว้ อาจารยไ์ ดก้ ล่าวถึงประวตั ิพระพุทธศาสนาในสมยั พุทธกาล ซ่ึง เป็ นสมัยที่ พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในฉบับน้ ี จะได้กล่าวประวัติ พระพุทธศาสนามนช่วงหลังพุทธปรินิพพาน ๕๐๐ ปี ซ่ึงจะมีเร่ืองการสังคายนา หรือรอ้ ยกรองพระธรรมวนัยไวจ้ ดั ไวเ้ ป็ นหมวดหมู่ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา ในยุค ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ปี รวมถึงยุคสมัยที่พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย รายละเอียดท้งั ๓ ประเด็น อาจารยจ์ ะไดก้ ลา่ วเป็ นลาดบั ไป ๑. พระพทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธปรินิพพาน ๕๐๐ ปี ในมหาปรินิพพานสูตร มีขอ้ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงโอวาทที่พระพุทธเจา้ ตรสั กับพระอานนท์วา่ \"อานนท์บางทีพวกเธออาจจะคิดว่า ปาพจน์มีพระศาสดา ล่วงลับไปแลว้ พวกเราไม่มีพระศาสดา ขอ้ น้ ีพวกเธอไม่พึงเห็นอยา่ งน้ัน ธรรมและ วินัยที่เราแสดงแลว้ บัญญัติแลว้ แก่เธอท้ังหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็ น ศาสดาของเธอท้งั หลาย\" พระพุทธดารัสน้ ี เป็ นส่ิงยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระผู้มีพระภาคทรงให้ ความสาคัญกับธรรมและวินัยที่พระองค์ไดท้ รงแสดงไวด้ ีแลว้ อย่างสูงย่ิง ทรงยก ธรรมและวนิ ัยน้ันไวใ้ นฐานะศาสดาแทนพระองคเ์ อง นัน่ หมายความวา่ เม่ือพระผูม้ ี พระภาคเจา้ เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแลว้ ธรรมและวินัยถือเป็ นสิ่งแทนพระ ศาสดาและเป็ นตวั พระศาสนาท่ีแทจ้ ริงท่ีพุทธบริษัทจะตอ้ งช่วยกันรกั ษาใหด้ ารงคง อยสู่ ืบไป การปรารภท่ีจะสังคายนาพระธรรมวินัยน้ัน เริ่มมีมาแล้วต้ังแต่สมัย พุทธกาล ในปาสาทิกสูตร กล่าววา่ ภายหลังจากที่นิครนถนาฏบุตรผูเ้ ป็ นศาสดา ของศาสนาเชนไดส้ ้ ินชีวิต สานุศิษยไ์ ดท้ ะเลาะกนั ขนานใหญ่จนแตกแยกนิกายกัน พระพุทธองคท์ รงปรารภเหตุน้ ี ตรสั แนะนาใหพ้ ระสงฆท์ ้งั ปวงรว่ มกนั สงั คายนาพระ

๕๑ ธรรมวินัยไวเ้ พื่อใหพ้ รหมจรรยค์ ือพระศาสนาน้ ีดารงอยไู่ ดน้ าน และเพ่ือประโยชน์ และความสุขแก่มหาชน ท้งั น้ ีเพราะไม่ทรงปรารถนาใหส้ าวก ท้ังหลายตอ้ งแตกแยก ทะเลาะวิวาทกันเหมือนอย่างสาวกของศาสนาเชนที่ต่างทุ่มเถียงกันว่า ก่อนน้ ี ศาสดาของตนไดส้ อนไวอ้ ยา่ งไร ฉะน้ัน ในเวลาต่อมา พระสารีบุตรจึงไดแ้ สดงวิธีการสงั คายนารอ้ ยกรองพระ ธรรมวินัยไวเ้ ป็ นแบบแผน โดยท่านไดร้ วบรวมคาสอนท่ีพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรง แสดงไวเ้ ป็ นขอ้ ธรรมต่างๆ มาแสดงตามลาดบั หมวด ต้งั แต่หมวดหน่ึงถึงหมวดสิบ มตี วั อยา่ งดงั ปรากฏในสงั คีติสูตร สงั คายนา (ฺBuddhist Council) หรือสงั คีติ มาจากคาว่า ส (พรอ้ มกนั ) + คีติ (การสวด) ซึ่งแปลตามตวั อกั ษรวา่ การสวดพรอ้ มกนั แปลตามรูปศพั ท์วา่ รอ้ ย กรอง คือประชุมสงฆ์จดั ระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะ แลว้ รบั ทราบทัว่ กันในท่ี ประชุมน้ันวา่ ตกลงกนั อยา่ งน้ ี แลว้ ก็มีการท่องจาสืบตอ่ กนั มา แต่เดิมน้ันการสังคายนาปรารภเหตุความมนั่ คงแห่งพระพุทธศาสนา จึงจัด ระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะไว้ ในคร้ังต่อๆ มา ปรากฏว่ามีการถือผิด ตีความหมายผิด ก็มีการชาระวนิ ิจฉยั ขอ้ ท่ีถือผิดหรือตีความหมายผิดน้ัน ช้ ีขาดวา่ ที่ ถูกควรเป็ นอย่างไร แล้วก็ทาการสังคายนา โดยการทบทวนระเบียบเดิมบ้าง เพ่ิมเติมของใหม่อนั เป็ นทานองบันทึกเหตุการณ์บา้ ง จดั ระเบียบใหม่ในบางขอ้ บา้ ง ในช้นั หลงั ๆ เพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานขอ้ ผิดในใบลาน ก็เรียกกนั วา่ สงั คายนา ไมจ่ าเป็ นตอ้ งมเี หตุการณถ์ ือผิดหรอื เขา้ ใจผิดเกิดข้ ึน สาหรบั การสังคายนาที่เกิดข้ ึนในประเทศอินเดียน้ัน มีดว้ ยกัน ๔ คร้งั การ สงั คายนาที่เป็ นท่ียอมรบั กันของทุกนิกาย คือ การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ และคร้งั ที่ ๒ สว่ นการสงั คายนาคร้งั ที่ ๓ ยอมรบั กนั เฉพาะฝ่ ายเถรวาท ส่วนมหายานและหินยาน นิกายอื่นไม่มีการกล่าวถึงการสงั คายนาคร้งั น้ ี สาหรบั การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๔ ท่ีทา กนั ในอินเดียภาคเหนือโดยมีพระเจา้ กนิษกะทรงอุปถัมภน์ ้ัน ฝ่ ายเถรวาทไมย่ อมรบั เพราะถือวา่ เป็ นส่วนของฝ่ ายมหายานที่สืบสายแยกกันไป ตลอดจนภาษาที่รองรบั คมั ภีรก์ ็ใชต้ ่างกนั คือฝ่ ายเถรวาทใชภ้ าษาบาลี ส่วนฝ่ ายมหายานใชภ้ าษาสนั สกฤต ในท่ีน้ ีจึงขอกล่าวถึงเฉพาะการสงั คายนาคร้งั ท่ี ๑-๓ ซึ่งเป็ นที่ยอมรบั กันในฝ่ ายเถร วาทเท่าน้ัน

๕๒ ๑.๑ การสงั คายนาคร้งั ที่ ๑ ปฐมสงั คายนา : หลงั จากพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน ประธานสงฆ์ : พระมหากสั สปเถระ มีพระอุบาลีเป็ นผู้ เรยี บเรียงสวดพระวนิ ัย พระอานนทเ์ ป็ นผู้ เรียบเรียงสวดพระสูตร ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมสงั คายนา : พระอรหนั ตขีณาสพจานวน ๕๐๐ รูป องคอ์ ุปถมั ภ์ : พระเจา้ อชาตศตั รู เหตุในการทาสงั คายนา : พระสุภทั ทะกลา่ วจว้ งจาบพระธรรมวนิ ัย สถานท่ีประชุมทาสงั คายนา : ถ้าสตั ตบรรณคูหา ขา้ งภูเขาเวภาร บรรพต เมอื งราชคฤห์ ระยะเวลาในการประชุม : กระทาอยู่ ๗ เดือนจึงสาเรจ็ บนั ทึกเหตุการณส์ าคญั : หลงั จากที่พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ไดเ้ พียง ๗ วนั เหล่าพระสาวกที่ยงั ไม่ไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ ต่างมีความเศรา้ โศกเสียใจเป็ นอันมาก แตม่ ีพระภิกษุรูปหนึ่งช่ือวา่ สุภทั ทะ กลบั ดีใจพดู วา่ \"พระพุทธเจา้ นิพพานเสียแลว้ ก็ ดี ตอ่ ไปจะไดไ้ มม่ ีใครมาคอยกล่าววา่ สิ่งน้ ีควรทา ส่ิงน้ ีไมค่ วรทา\" พระมหากัสสปะได้ฟั งดังน้ัน ก็บังเกิดความสลดใจว่า \"พระพุทธเจ้า ปรินิพพานเพียงไม่กี่วนั ยงั มีผูก้ ล่าวถอ้ ยคาท่ีไม่สมควรเช่นน้ ี ถา้ ไม่จดั การอะไรลง ไป ปล่อยไวใ้ หเ้ นิ่นนานเสียก็จะนาความเสื่อมเสียมาสู่พระพุทธศาสนา สิ่งท่ีไม่ใช่ ธรรมไม่ใช่วินัยจกั เจริญ ส่ิงท่ีเป็ นธรรมเป็ นวินัยจะเสื่อมกาลงั พวกอธรรมวาทีจัก เจริญ พวกธรรมวาทีจกั เสื่อมถอย\" ดงั น้ันเมื่อถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จ แลว้ ท่านจงึ ชกั ชวนภิกษุท้งั หลายใหม้ ารว่ มทาสงั คายนา ในระหว่างสังคายนา พระอานนท์ไดแ้ จง้ ใหท้ ่ีประชุมสงฆ์ทราบว่า พระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงอนุญาตว่า ถา้ สงฆ์เห็นสมควรก็สามารถเพิกถอนสิกขาบท เล็กน้อยได้ แต่ที่ประชุมมีความเห็นไม่ตรงกันว่าสิกขาบทเล็กน้อยหมายความถึง สิกขาบทใดบา้ ง พระมหากัสสปะจึงสรุปว่าจะไม่เพิกถอนสิกขาบทท่ีพระสัมมาสัม พุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ และจะไมบ่ ญั ญตั ิสิกขาบทที่พระองคไ์ มไ่ ดบ้ ญั ญตั ิไว้ ซ่ึงที่

๕๓ ประชุมสงฆ์ก็รับรองเป็ นเอกฉันท์ จึงเป็ นหลักปฏิบัติต่อพระวินัยของคณะสงฆ์มา จนถึงปัจจุบนั โดยเฉพาะคณะสงฆเ์ ถรวาท หลังจากการทาสังคายนาผ่านไปไม่นานนัก มีพระเถระรูปหน่ึ งช่ือว่า ปุราณะ พรอ้ มดว้ ยบริวารประมาณ ๕๐๐ รูป อยู่จาพรรษาท่ีทักขิณาคีรีชนบท เมื่อ ท่านทราบว่า การสังคายนาเสร็จส้ ินแลว้ ท่านและบริวารจึงไดเ้ ขา้ สู่กรุงราชคฤห์ พระสงั คีติกาจารยท์ ี่รว่ มในการทาสังคายนาไดเ้ ขา้ ไปแจง้ ใหท้ ่านทราบวา่ พระสงฆ์ ไดท้ าสงั คายนากนั แลว้ ขอใหท้ ่านยอมรบั มติดว้ ย พระปุราณะกลับกล่าวว่า \"ท่านท้ังหลาย พระเถระท้ังหลายไดท้ าสังคายนา พระธรรมวินัยกันเรียบรอ้ ยก็ดีแล้ว แต่ขา้ พเจา้ ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ของ พระพุทธเจา้ พระองค์ตรสั วา่ อย่างไร ขา้ พเจา้ ก็จกั ถือปฏิบัติตามน้ัน\" เมื่อไดช้ ้ ีแจง กันพอสมควรแลว้ ปรากฏว่าพระปุราณะมีความเห็นตรงกับพระสังคีติกาจารย์ ส่วนมาก แต่ก็มีความเห็นขัดแยง้ กันในเรื่องวตั ถุ ๘ ประการ ซึ่งเป็ นพุทธานุญาต พิเศษท่ีทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุทาไดใ้ นคราวเกิดทุพภิกขภัย แต่เม่ือภยั เหล่าน้ัน ระงบั ก็ทรงบญั ญตั ิหา้ มมิใหก้ ระทาอีก สาหรบั วตั ถุ ๘ ประการน้ัน คือ ๑. อนั โตวุฏฐะ เก็บของท่ีเป็ นยาวกาลิก คือ อาหารไวใ้ นที่อยขู่ องตน ๒. อนั โตปักกะ ใหม้ กี ารหุงตม้ อาหารในท่ีอยขู่ องตน ๓. สามปักกะ พระลงมือหุงปรุงอาหารดว้ ยตนเอง ๔. อุคคหติ ะ คือการหยบิ เอาเองซึง่ ของเค้ ียวของฉนั ท่ียงั มิไดป้ ระเคน ๕. ตโตนีหตะ ของที่นามาจากท่ีนิมนต์ ซึ่งเป็ นพวกอาหาร ๖. ปุเรภัตตะ การฉันอาหารก่อนเวลาภัตตาหาร ในกรณีท่ีตนรบั นิมนตไ์ ว้ ในท่ีอ่ืน แตฉ่ นั อาหารอ่ืนกอ่ นอาหารท่ีตนจะตอ้ งฉนั ในที่นิมนต์ ๗. วนัฏฐะ ของท่ีเกิดหรือตกอยใู่ นป่ า ซงึ่ ไมม่ ใี ครเป็ นเจา้ ของ ๘. โปกขรณฏั ฐะ ของที่เกิดในสระ เชน่ ดอกบวั เหงา้ บวั วตั ถุท้ัง ๘ ประการ เป็ นพุทธานุญาตพิเศษในคราวเกิดทุพภิกขภยั ๒ คราว คือ ที่เมืองเวสาลีและท่ีเมืองราชคฤห์ แต่เมื่อทุพภิกขภัยผ่านพน้ ไปแลว้ ทรงหา้ มมิ ใหภ้ ิกษุกระทา พระปุราณะและบริวารของท่านคงจะได้ทราบเฉพาะเวลาที่ทรง อนุญาต จึงปฏิบตั ิไปอย่างน้ัน เน่ืองจากการอยูก่ ันกระจดั กระจายคนละทิศละทาง

๕๔ การติดต่อบอกกล่าวอาจไมถ่ ึงกนั ซึ่งจะวา่ ท่านด้ ือรน้ั ก็คงไมใ่ ช่ เพราะท่านถือตามที่ ท่านไดส้ ดบั มาจากพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เหมือนกัน เม่ือพระสงั คีติกาจารยช์ ้ ีแจง ให้ท่านฟั ง ท่านปุราณะก็มีความเห็นว่า \"พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรง มีพระ สัพพญั ญุตญาณไม่สมควรท่ีจะบัญญัติหา้ มแลว้ อนุญาต อนุญาตแลว้ กลับบัญญัติ หา้ มมใิ ชห่ รือ\" เมื่อเป็ นดังน้ ี ความแตกต่างในทางขอ้ ปฏิบัติ (สีลสามัญญตา) จึงเกิดข้ ึน ต้งั แตค่ รง้ั น้ัน แต่ก็ไมถ่ ึงขนาดทาใหเ้ กิดการแตกแยกเป็ นนิกาย ๑.๒ การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๒ ทุติยสงั คายนา : ประมาณ พ.ศ.๑๐๐ ประธานสงฆ์ : พระยสกากณั ฑกบุตรเถระ ผถู้ าม : พระเรวตะ ผตู้ อบ : พระสพั พกามี ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมสงั คายนา : พระอรหนั ตขีณาสพจานวน ๗๐๐ รูป องคอ์ ุปถมั ภ์ : พระเจา้ กาฬาโศกราช เหตุในการทาสงั คายนา : วตั ถุ ๑๐ ประการ สถานท่ีประชุมทาสงั คายนา : วาลิการาม เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี ระยะเวลาในการประชุม : กระทาอยู่ ๘ เดือนจึงสาเรจ็ บนั ทึกเหตุการณส์ าคญั : การทาสังคายนาคร้งั ท่ี ๒ ปรารภเรื่องวตั ถุ ๑๐ ประการท่ีภิกษุชาววชั ชีนา ประพฤติปฏิบตั ิ โดยถือวา่ ไมผ่ ิดธรรมไมผ่ ิดวนิ ัย ซึง่ มีใจความดังน้ ี ๑. ภิกษุชาววชั ชี: ภิกษุเก็บเกลือไวใ้ นเขนงแลว้ นาไปฉนั ปนกบั อาหารได้ ไม่ เป็ นอาบตั ิ (พระสพั พกามีโตต้ อบวา่ : การเก็บเกลือไวใ้ นเขนง โดยต้งั ใจวา่ จะใส่ลง ในอาหารฉันน้ันเป็ นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะเป็ นการสะสมอาหารตามโภชนสิกขา บท) ๒. ภิกษุชาววัชชี: ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง ๒ องคุลีก็ไดไ้ ม่เป็ นอาบัติ (พระสัพพกามีโตต้ อบว่า : ภิกษุฉันโภชนะในเวลาวิกาล เม่ือตะวนั บ่ายคลอ้ ยไปแลว้ ๒ องคุลี ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนะในเวลา วกิ าล)

๕๕ ๓. ภิกษุชาววชั ชี : ภิกษุฉันภัตตาหารในวดั เสร็จแลว้ ฉันเสร็จแลว้ เขา้ ไปสู่ บา้ น จะฉันอาหารที่ไม่เป็ นเดนและไม่ได้ ทาวินัยกรรมได้ ไม่เป็ นอาบัติ (พระสัพ พกามีโตต้ อบวา่ : ภิกษุฉนั อาหารเสร็จแลว้ คิดวา่ จกั ฉนั อาหาร เขา้ ไปในบา้ นแลว้ ฉนั โภชนะที่เป็ นอนติริตตะ (ไมเ่ ป็ นเดน) ผิด เป็ นอาบตั ิปาจิตตีย์ เพราะฉนั อาหารท่ีไม่ เป็ นเดนภิกษุไข)้ ๔. ภิกษุชาววชั ชี: ในอาวาสเดียวกนั มีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกทาอุโบสถได้ ไม่ เป็ นอาบัติ (พระสัพพกามีโตต้ อบว่า: ภิกษุจะแยกกนั ทาอุโบสถสงั ฆกรรมไม่ได้ ผิด หลกั ท่ีทรงบญั ญตั ิไวใ้ นอุโบสถขนั ธกะ ใครขืนทาตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ) ๕. ภิกษุชาววชั ชี: ในเวลาทาอุโบสถ แมว้ ่าพระจะเขา้ ประชุมยงั ไม่พรอ้ มกนั จะทาอุโบสถไปก่อนก็ได้ โดยใหผ้ ูม้ าทีหลังขออนุมัติเอาเองได้ ไม่เป็ นอาบัติ (พระ สพั พกามีโตต้ อบวา่ : สงฆท์ าสงั ฆกรรมดว้ ยคิดวา่ ใหพ้ วกมาทีหลังอนุมตั ิ ท้ังที่สงฆ์ ยงั ประชุมไมพ่ รอ้ มหนา้ กนั ผิดหลกั ที่ทรงบญั ญตั ิไวใ้ นจมั เปยยขนั ธกะ ตอ้ งอาบตั ิทุก กฎ) ๖. ภิกษุชาววชั ช:ี การประพฤติปฏิบตั ิตามพระอุปัชฌายอ์ าจารย์ ไมว่ า่ จะผิด หรอื ถูกพระวนิ ัยก็ตาม ยอ่ มเป็ นการกระทาที่สมควรเสมอ (พระสพั พกามีโตต้ อบวา่ : การประพฤติปฏิบัติ ดว้ ยเขา้ ใจว่าอุปัชฌายอ์ าจารยข์ องเราเคยประพฤติมาอย่างน้ ี ไม่เป็ นส่ิงท่ีถูกตอ้ ง เพราะท่านเหล่าน้ันอาจประพฤติผิดหรือถูกก็ได้ ตอ้ งยึดหลัก พระวนิ ัยจึงจะเป็ นส่ิงสมควร) ๗. ภิกษุชาววชั ชี: นมสม้ ท่ีแปรมาจากนมสดแต่ยงั ไมก่ ลายเป็ นทธิ (เนยใส) ภิกษุฉันอาหารเสร็จแลว้ จะฉันนมน้ันท้งั ท่ียงั ไม่ไดท้ าวินัยกรรมหรือทาใหเ้ ป็ นเดน ตาม พระวินัยก็ได้ ไม่เป็ นอาบัติ (พระสพั พกามีโตต้ อบว่า: นมสม้ ที่ละความเป็ น นมสดไปแลว้ แต่ยงั ไมก่ ลายเป็ นทธิ ภิกษุฉนั ภตั ตาหารแลว้ หา้ มภตั รแลว้ จะดื่มนม น้ันอันไม่เป็ นเดนภิกษุไข้ หรือยงั ไม่ไดท้ าวินัยกรรม ไม่ควร ตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉนั อาหารที่เป็ นอนติริตตะ) ๘. ภิกษุชาววชั ชี: สุราที่ทาใหม่ๆ ยงั มีสีแดงเหมือนสีเทา้ นกพิราบ ยงั ไม่ เป็ นสุราเต็มท่ี ภิกษุจะฉนั ก็ได้ ไมเ่ ป็ นอาบตั ิ (พระสพั พกามีโตต้ อบวา่ : การด่ืมสุรา อยา่ งอ่อนที่มีสีเหมือนสีเทา้ นกพริ าบ ซึ่งยงั ไมถ่ ึงความเป็ นน้าเมา ไมค่ วร เป็ นอาบตั ิ ปาจติ ตีย์ เพราะด่ืมสุราและเมรยั )

๕๖ ๙. ภิกษุชาววชั ชี: ผา้ ปูนัง่ นิสีทนะอนั ไม่มีชาย ภิกษุจะบรโิ ภคใชส้ อยก็ได้ ไม่ เป็ นอาบัติ (พระสัพพกามีโตต้ อบว่า: ผา้ นิสีทนะที่ไม่มีชาย ภิกษุจะใช้ ตอ้ งอาบัติ ปาจิตตียซ์ งึ่ จะตอ้ งตดั เสียจึงจะแสดงอาบตั ิตก) ๑๐. ภิกษุชาววชั ชี: ภิกษุรับและยินดีในเงินทองท่ีเขาถวาย ไม่เป็ นอาบัติ (พระสพั พกามีโตต้ อบวา่ : การรบั เงินหรือยินดีซ่ึงเงินและทองที่เขาเก็บไวเ้ พอื่ ตนเอง ไมส่ มควรเป็ นอาบตั ิ นิสสคั คียปาจติ ตีย)์ ฝ่ ายพระวชั ชีบุตรเม่ือไม่ไดก้ ารยอมรบั จากสงฆจ์ ึงเสียใจ แลว้ พรอ้ มใจกันไป ทาสงั คายนา ต่างหากท่ีเมืองปาฏลีบุตร มีผูเ้ ขา้ ร่วมถึง ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกตนเองว่า มหาสงั คีติหรอื มหาสงั ฆิกะ เพราะเหตุที่มีพวกมาก ในท่ีสุดสงฆจ์ งึ ไดแ้ ตกออกเป็ น ๒ ฝ่ าย คือ ฝ่ ายพระสพั พกามีเถระ และภิกษุชาววชั ชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ และ ในกาลต่อมา จึงแตกออกเป็ น ๑๘ นิกาย โดย ๗ นิกายที่แตกจากมหาสงั ฆิกะ เกิด เม่ือปี พ.ศ.๑๐๐-๒๐๐ ส่วน ๑๑ นิกายที่แตกจากเถรวาท เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๐๐ เป็ น ตน้ มา การสงั คายนาในคร้งั น้ ี หลกั ฐานฝ่ ายเถรวาทระบุวา่ เป็ นการปรารภเหตุเพ่ือ ระงบั ความแตกแยกทางการปฏิบตั ิสีลสามญั ญตา (ความเสมอกนั ดว้ ยศีล) ในกรณี ของพระภิกษุชาววชั ชีที่ประพฤตินอกพระธรรมวนิ ัยดังกล่าว แต่ในปกรณ์สนั สกฤต ของฝ่ ายมหายานท่ีมีชื่อว่า เภทธรรมติจกั รศาสตร์ กลับช้ ีประเด็นไปที่เร่ืองความ วิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตาแห่งคณะสงฆ์ มีเรื่องเล่าว่า วนั หนึ่งเป็ นวนั อุโบสถ พระ มหาเทวะเป็ นผูส้ วดปาฏิโมกข์ แตท่ ่านผูน้ ้ ีเป็ นฝ่ ายอธรรมวาที ไดเ้ สนอมติ ๕ ขอ้ ต่อ ที่ประชุมสงฆ์ ซ่งึ มีใจความดงั น้ ี ๑. พระอรหนั ตอ์ าจถูกมารยวั่ ยวนจนอสุจิเคล่ือนในเวลาหลบั ได้ ๒. พระอรหนั ตอ์ าจมีอญั ญาณคือความไมร่ ใู้ นบางสิ่งได้ ๓. พระอรหนั ตอ์ าจมีกงั ขาคือความลงั เลสงสยั ในบางสิ่งได้ ๔. ผจู้ ะรวู้ า่ ตนไดบ้ รรลุมรรคผลช้นั ใด จาตอ้ งอาศยั การพยากรณจ์ ากคนอื่น ๕. บุคคลจะบรรลุพระอรหนั ตไ์ ดด้ ว้ ยการเปล่งวาจาวา่ ทุกขห์ นอๆ ฝ่ ายธรรมวาทีจึงคัดค้านประกาศท้ัง ๕ ข้อของพระมหาเทวะว่า เป็ น มิจฉาทิฐิ มิจฉาวาจา แต่ฝ่ ายธรรมวาทีมีจานวนน้อย ฝ่ ายเขา้ ขา้ งพระมหาเทวะมี จานวนมากกว่าและเมื่อหาขอ้ ยุติไม่ได้ พระเจา้ กาฬาโศกจึงตอ้ งเสด็จมาหา้ มดว้ ย

๕๗ พระองคเ์ อง แต่พระองคก์ ็ไม่รจู้ ะทาอยา่ งไร จึงตรสั ถามพระมหาเทวะ พระมหาเทวะ ถวายความเห็นใหต้ ัดสินด้วยวิธีเสียงขา้ งมาก หรือเยภุยยสิกาอธิกรณสมถวิธี ปรากฏวา่ ชยั ชนะตกเป็ นของฝ่ ายพระมหาเทวะ พระเจา้ กาฬาโศกจึงประกาศใหส้ งฆ์ ปฏิบตั ิตามคติของพระมหาเทวะ สงฆฝ์ ่ ายธรรมวาทีซ่ึงมีจานวนน้อยกว่า จึงพากัน จาริกไปสูแ่ วน่ แควน้ อ่ืน ๑.๓ การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๓ ตติยสงั คายนา : ประมาณ พ.ศ.๒๓๖ ประธานสงฆ์ : พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระ ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมสงั คายนา : พระอรหนั ตขีณาสพจานวน ๑,๐๐๐ รูป องคอ์ ุปถมั ภ์ : พระเจา้ อโศกมหาราช เหตุในการทาสงั คายนา : เดียรถียป์ ลอมเขา้ มาบวชในพทุ ธศาสนา สถานที่ประชุมทาสงั คายนา : อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ระยะเวลาในการประชุม : กระทาอยู่ ๙ เดือนจึงสาเร็ บนั ทึกเหตุการณส์ าคญั : การทาสงั คายนาคร้งั ท่ี ๓ น้ ี เกิดข้ ึนโดยปรารภท่ีมีพวกเดียรถียป์ ลอมเขา้ มา บวชในพระพุทธศาสนาเป็ นจานวนมาก เน่ืองจากพระพทุ ธศาสนารุง่ เรืองข้ ึน มีลาภ สักการะเกิดข้ ึนมาก จึงมีเดียรถียท์ ่ีมุ่งแสวงหาลาภสักการะปลอมมาบวช แต่ไม่ ปฏิบตั ิตามพระธรรมวนิ ัย ทาใหส้ งฆท์ ่ีปฏิบตั ิชอบเกิดความรงั เกียจแยกพระจรงิ พระ ปลอมไมอ่ อกพระสงฆจ์ ึงไมท่ าสงั ฆกรรมรว่ มกนั เป็ นเวลาถึง ๗ ปี ต่อมา ความทราบไปถึงพระเจา้ อโศกมหาราช พระองค์ไดร้ บั สงั่ ใหอ้ ามาตย์ คนหนึ่งไปอาราธนาใหพ้ ระทาสังฆกรรมร่วมกัน เม่ือพระเหล่าน้ันไม่ยินยอม อามาตยถ์ ือว่าพระสงฆข์ ดั พระบรมราชโองการ จึงตัดคอพระมรณภาพไปหลายรูป พระติสสเถระซึ่งเป็ นพระอนุชาของพระเจา้ อโศกเห็นไม่ไดก้ ารจึงรีบเขา้ ไปขดั ขวางไว้ พวกอามาตยไ์ ม่กลา้ ฆ่าพระอนุชา จึงนาความไปกราบทูลใหพ้ ระเจา้ อโศกมหาราช ทรงทราบ พระเจา้ อโศกทรงตกพระทัยมาก กลัวว่าบาปกรรมจะตกมาถึงพระองค์ ดว้ ย แมว้ ่าอามาตยจ์ ะทาไปโดยพลการก็ตามที พระองค์จึงไปเรียนถามพระเถระ ท้ังหลาย ปรากฏว่าท่านเหล่าน้ันตอบไม่ตรงกัน ในท่ีสุดไดร้ ับคาแนะนาใหไ้ ป อาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระมาวินิจฉัยให้ พระเถระไดถ้ วายวินิจฉัยขอ้ ขอ้ ง

๕๘ พระทัยวา่ เม่ือพระองคไ์ ม่มีความประสงคจ์ ะใหอ้ ามาตยไ์ ปฆ่าภิกษุ บาปน้ันจึงไม่มี แก่พระองค์ และใหพ้ ระราชาทรงมนั่ พระทัยในพทุ ธภาษิตที่วา่ \"ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย เรากลา่ วเจตนาวา่ เป็ นกรรม บุคคลคิดแลว้ จงึ กระทากรรมดว้ ยกาย วาจา ใจ\" หลังจากพระเจา้ อโศกทรงสบายพระทัยเพราะไดฟ้ ังคาวินิจฉัยของพระเถระ แลว้ พระเถระจึงให้พระเจา้ อโศกทรงศึกษาสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา จน สามารถแยกแยะไดว้ า่ อะไรเป็ นคาสอนของพระพุทธศาสนา และอะไรเป็ นคาสอน ของเจา้ ลทั ธินอกพระพุทธศาสนา พระเจา้ อโศกมหาราชจึงตรสั เรียกภิกษุท้ังหลาย มาสอบถามดว้ ยพระองคเ์ องวา่ กึ สมมาสมพทุ โธ = พระสมั มาสมั พุทธเจา้ มีปกติตรสั วา่ อยา่ งไร ถา้ พระรูปใดตอบว่า วิภชชวาที = มีปกติจาแนก ก็ถือวา่ เป็ นพระท่ีแทจ้ ริง ท่านท่ีตอบเป็ นอยา่ งอ่ืนถือวา่ เป็ นพวกเดียรถียป์ ลอมเขา้ มาบวช รบั สงั่ ใหแ้ จกผา้ ขาว ใหก้ บั พวกเหลา่ น้ันใหส้ ึกออกไปเสียเป็ นจานวนมาก ในสมนั ตปาสาทิกาบอกวา่ มีถึง ๖๐,๐๐๐ รูป เม่ือชาระสังฆมณฑลใหห้ มดจดบริสุทธ์ิไดแ้ ลว้ พระเจา้ อโศกมหาราช จึงไดอ้ าราธนาใหพ้ ระสงฆท์ าสงั ฆกรรมกนั ตามปกติ มขี อ้ น่าสงั เกตในเรอ่ื งน้ ี ๒ ประการคือ ๑. การแยกระหวา่ งพระจรงิ และพระปลอมโดยการต้งั คาถาม ใครตอบถูกถือ วา่ เป็ น พระจริง ใครตอบไม่ถูกถือวา่ เป็ นพระปลอม แลว้ ใหจ้ บั สึก น่าจะมิใช่วธิ ีการ ที่ดี เพราะสมมุติถา้ ใชว้ ธิ ีการอยา่ งน้ ีกบั พระสงฆใ์ นปัจจุบนั พระจริงที่ไมไ่ ดศ้ ึกษามา มาก อาจตอบผิด ถูกจบั สึก แตพ่ ระไมด่ ีแต่ฉลาด อาจตอบถูก เป็ นประเภทถึงรูแ้ ต่ก็ ไม่ปฏิบตั ิ เพราะคนมีความรู้ ไม่ใช่หมายความวา่ จะตอ้ งเป็ นคนดีเสมอไป ในทาง กลบั กนั คนมีความรูน้ ้อย แต่อาจเป็ นผูป้ ฏิบตั ิดีก็ได้ หรือเหมือนการหาคนผิดโดย การถามขอ้ กฎหมาย ถา้ ตอบถูกก็ถือว่าเป็ นคนดี ถา้ ตอบผิดก็ถือวา่ เป็ นคนรา้ ย ก็ น่าจะไมใ่ ชว่ ธิ ีการท่ีถูกตอ้ ง ๒. คมั ภีรข์ องพระพุทธศาสนานิกายอ่ืนท้งั หมดท้งั หินยานและมหายาน ไม่มี กล่าวถึงการสงั คายนาคร้งั ที่ ๓ น้ ีเลย มีกล่าวถึงแต่เฉพาะคมั ภีรข์ องเถรวาทเท่าน้ัน จึงทาใหน้ ักวชิ าการพระพุทธศาสนาจานวนไม่น้อย ต้งั ขอ้ สงสยั ถึงการสงั คายนาคร้งั ท่ี ๓ น้ ี วา่ อาจเป็ นการสังคายนายอ่ ยภายในของนิกายเถรวาท ไมเ่ กี่ยวกับนิกายอ่ืน ซ่งึ ก็คงตอ้ งอาศยั การศึกษาคน้ ควา้ หาความจริงกนั ตอ่ ไป

๕๙ ในการทาสังคายนาคร้งั น้ ี พระโมคคัลลีบุตรไดแ้ ต่งคัมภีรก์ ถาวตั ถุ ซ่ึงเป็ น คัมภีรใ์ นอภิธัมมปิ ฎกเพ่ิมข้ ึนดว้ ย เป็ นเร่ืองคาถามคาตอบเก่ียวกบั หลกั ธรรมทาง พระพุทธศาสนา มีคาถาม ๕๐๐ คาตอบ ๕๐๐ และเม่ือทาสงั คายนาเสร็จแลว้ พระ เจา้ อโศกก็ไดส้ ่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในแควน้ และประเทศต่างๆ รวม ท้งั หมดมี ๙ สายดว้ ยกนั คือ ๑. พระมชั ฌันติกเถระ ไปแควน้ กศั มีรแ์ ละคนั ธาระ อยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉียง เหนือของอินเดีย ซึ่งไดแ้ กแ่ ควน้ แคชเมียรใ์ นปัจจุบนั น้ ี ๒. พระมหาเทวเถระ ไปมหิสสกมณฑล อยู่ทางทิศใตข้ องแม่น้าโคธาวารี ซึ่ง ไดแ้ กไ่ มซอร์ ในปัจจุบนั (อยทู่ างทิศใตข้ องอินเดียติดกบั เมืองมทั ราส) ๓. พระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ อยู่ในเขตกนราเหนือ ภาคตะวนั ตก เฉียงใต้ ๔. พระโยนกธัมมรกั ขิตเถระ ไปปรันตชนบทอยู่ริมฝั่งทะเลอาระเบียนทิศ เหนือของ บอมเบย์ ๕. พระมหาธัมมรกั ขิตเถระ ไปท่ีแควน้ มหาราษฎร์ ภาคตะวนั ตกไมห่ ่างจาก บอมเบยใ์ นปัจจุบนั ๖. พระมหารกั ขิตเถระ ไปโยนกประเทศไดแ้ ก่ เขตแดนแบคเทียในเปอรเ์ ซีย ปัจจุบนั ๗. พระมัชฌิมเถระ ไปหิมวันประเทศได้แก่เนปาล ซึ่งอยู่ตอนเหนือของ อินเดีย ๘. พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ ไดแ้ ก่ ไทย พม่า และ มอญทุกวนั น้ ี ๙. พระมหินทเถระผูเ้ ป็ นโอรสพระเจา้ อโศกมหาราชไดน้ าพระพุทธศาสนาไป ประดิษฐานท่ีเกาะสิงหลหรอื ประเทศศรลี งั กาเป็ นคร้งั แรก ๒. พระพทุ ธศาสนาในยคุ พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ ในขณะท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ยงั ทรงพระชนมชีพอยู่ หรือแมแ้ ต่หลงั จาก เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ใหมๆ่ รูปแบบของนิกายมหายานยงั ไม่ไดเ้ กิดข้ ึน ถึงแม้ ในตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒ พระพุทธศาสนาจะเริ่มแยกเป็ น ๒ นิกาย คือ เถรวาท (หรือสถวีรวาทิน) และอาจาริยวาท (หรือมหาสงั ฆิกะ) หรือแมแ้ ต่ในพุทธศตวรรษ

๖๐ ที่ ๓ พระพุทธศาสนาจะไดแ้ ตกออกเป็ น ๑๘ นิกาย แลว้ ก็ตาม แต่ก็ยงั ไม่ถือวา่ เป็ น นิกายมหายานแต่อยา่ งใด เพียงแต่ถือวา่ เป็ นความคิดของคณาจารยท์ ่ีไมต่ รงกนั แต่ ก็ยอมรับว่าคงมีการก่อตัวที่เป็ นมหายานในช่วงน้ ี จนเมื่อพุทธศตวรรษ ที่ ๖ (ประมาณพ.ศ.๕๐๐ เศษๆ) พระอัศวโฆษ (Ashvagosa) ภิกษุชาวเมืองสาเกต ใน สมยั พระเจา้ กนิษกะแตง่ คมั ภีรศ์ รทั โธตปาทศาสตรข์ ้ ึน นิกายมหายานซ่ึงเป็ นกระแส ท่ีค่อยๆ ก่อตวั ข้ ึนเป็ นเวลานานจึงปรากฏรูปรา่ งชดั เจนข้ ึนในพุทธศตวรรษน้ ีและมี พฒั นาการตอ่ ไปอยา่ งรวดเรว็ ดงั หวั ขอ้ ท่ีจะไดศ้ ึกษากนั ต่อไป ๒.๑ รอ่ งรอยและบ่อเกิดของนิกายมหายาน เม่ือพิจารณาถึงบ่อเกิดของพุทธศาสนามหายานแลว้ พบวา่ มีสาเหตุหลกั อยู่ ๒ ประการไดแ้ ก่ สาเหตุภายในพระพุทธศาสนา คือ การแตกเป็ นนิกายต่างๆ และ สาเหตุภายนอกพระพทุ ธศาสนา คือ การรุกรานของศาสนาพราหมณ์ ๒.๑.๑ สาเหตภุ ายในพระพทุ ธศาสนา การแตกเป็ นนิกายต่างๆ มีจุดเร่มิ ตน้ มาจากการแตกความสามคั คีกนั ในหมู่ สงฆด์ ว้ ยเหตุ ๒ ประการ คือ ๑) แตกกนั ดว้ ยทิฏฐิสามญั ญตา มีความเหน็ ไมต่ รงกนั ในเร่ืองธรรม ๒) แตกกันดว้ ยสีลสามัญญตา มีความเคร่งครัดในการรักษาพระวินัยไม่ เท่ากนั ซึ่งแม้เมื่อพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็เคยเกิดข้ ึนมาแล้ว หากแต่ระงบั ลงไดใ้ นท่ีสุด ดังเช่นกรณีการทะเลาะวิวาทของภิกษุเมืองโกสัมพี ซ่ึง แยกเป็ นสองฝักสองฝ่ าย คือ ฝ่ ายพระวนิ ัยธร ๕๐๐ รูป และฝ่ ายพระธรรมกถึก ๕๐๐ รูป เกิดการขดั แยง้ กนั เก่ียวกบั เรื่องที่เป็ นอาบตั ิและไม่เป็ นอาบตั ิ เร่ืองมีอยวู่ ่า พระ ธรรมกถึกเหลือน้าชาระไวใ้ นวจั จกุฎี พระวินัยธรเห็นเขา้ จึงบอกว่า \"เป็ นอาบัติ\" คร้นั พระธรรมกถึกจะปลงอาบัติ พระวินัยธรกลับบอกว่า \"ถา้ ไม่มีเจตนาก็ไม่เป็ น อาบตั ิ\" แต่พอลบั หลงั พระวินัยธรกลบั บอกพวกศิษยข์ องตนวา่ \"พระธรรมกถึกตอ้ ง อาบตั ิ ก็ไม่รูว้ า่ เป็ นอาบตั ิ\" พระธรรมกถึกทราบเรื่องจึงเกิดการทะเลาะววิ าทกนั จะ เห็นวา่ แมป้ ระเด็นเล็กๆ แต่ต่างฝ่ ายต่างถือทิฏฐิวา่ ตนเองถูก อีกฝ่ ายผิด และโจมตี กนั ก็อาจนาไปสู่การแตกแยก เป็ นผลเสียต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งใหญห่ ลวงได้

๖๑ หรืออย่างกรณีของพระเทวทัต ที่มีความคิดแปลกแยก คิดต้งั ตนเป็ นใหญ่ ดว้ ยการปกครองคณะสงฆเ์ สียเอง จึงไดต้ ้งั กฎท่ีภิกษุจะตอ้ งประพฤติ ๕ ขอ้ เรียก ว่าปัญจวัตถุ ประกาศใหบ้ ริษัทของตนประพฤติแลว้ นาเหล่าสานุ ศิษย์เข้าเฝ้า พระพทุ ธเจา้ ทูลขอใหอ้ อกพระพทุ ธบญั ชา เป็ นกฎสาหรบั พระภิกษุทุกๆ รปู คือ ๑. ภิกษุพึงเป็ นผูอ้ ยูป่ ่ าเป็ นวตั รตลอดชีวิต รูปใดไปสู่ละแวกบา้ น รูปน้ันมี โทษ ๒. ภิกษุพึงถือเท่ียวบิณฑบาตเป็ นวตั รตลอดชีวิต รูปใดรบั นิมนต์ รูปน้ันมี โทษ ๓. ภิกษุพึงถือการนุ่งหม่ ผา้ บงั สุกุลเป็ นวตั รตลอดชีวติ รูปใดรบั ผา้ จาก คฤหบดี รปู น้ันมโี ทษ ๔. ภิกษุพึงถือการอยโู่ คนไมเ้ ป็ นวตั รตลอดชวี ติ รปู ใดเขา้ สู่ท่ีมุงที่บงั รูปน้ัน มโี ทษ ๕. ภิกษุไมพ่ ึงฉนั ของสดคาว มปี ลา เน้ ือ เป็ นตน้ ตลอดชวี ติ รปู ใดฉนั รปู น้ัน มโี ทษ แต่พระบรมศาสดาทรงเห็นว่าเป็ นการประพฤติเคร่งเกินไป จึงไม่ทรง อนุญาตตามที่ขอทรงประสงค์ใหภ้ ิกษุปฏิบตั ิไดัตามอัธยาศยั ภิกษุปฏิบัติไดก้ ็เป็ น การดี ถา้ ไม่ประสงคก์ ็สามารถปฏิบตั ิตามที่เห็นสมควรแก่สมณะ นับแต่น้ันมา พระ เทวทัตกับบริวารก็แยกทาสังฆกรรมอีกส่วนหนึ่ง ไม่ร่วมกับใครๆ ภายหลังเม่ือ สานึกผิด จึงไดก้ ลับมาขอขมาต่อพระบรมศาสดา แต่มายงั ไม่ทันถึงก็มรณภาพ เสียกอ่ น เม่ือพิจารณาสภาพความเป็ นอยขู่ องภิกษุสงฆ์ ซ่ึงมีการจดั แบ่งเป็ นกลุม่ เป็ น สานักอาจารยต์ ่างๆ ตามอธั ยาศยั ของตน ดงั น้ันโอกาสท่ีจะแตกแยกกนั ก็ยอ่ มจะมี มากเป็ นธรรมดา แต่ทว่าในยุคสมัยพุทธกาลน้ัน นอกจากจะมีพระสมั มาสัมพุทธ เจา้ เป็ นผูป้ กครองดูแลสงฆ์ท้ังหมดแลว้ ยงั มีพระอัครสาวกท้ังสองคือพระสารีบุตร และพระโมคคลั ลานะ รวมท้งั เหล่าสาวกองคส์ าคญั เช่น พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระมหากสั สปะ พระมหากัจจายนะ เป็ นตน้ คอยกากบั ดูแลเหล่าลูกศิษยข์ องตน (สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก) และประการสาคัญคือ เหล่าพระสาวกสาวิกาในยุค น้ันมีผูท้ ่ีบรรลุธรรมเป็ นพระอรหนั ตก์ นั เป็ นจานวนมาก ดงั น้ันแมว้ า่ จะเกิดการแตก

๖๒ ความสามคั คีข้ ึนบา้ ง เหตุการณ์เหล่าน้ันก็สามารถสงบลงไดโ้ ดยเร็ว และจะไม่บาน ปลายใหญ่โตถึงข้ ึนท่ีจะตอ้ งแบ่งแยกเป็ นนิกายแตอ่ ยา่ งใด แต่ภายหลังจากท่ีพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว้ ความ สมัครสมานสามัคคีในหมู่สงฆ์ก็มีอันเปล่ียนแปลงไป ท้ังน้ ีเป็ นเพราะภิกษุสงฆ์มี ระดบั สภาวธรรมท่ีต่างกัน มีพ้ ืนฐานครอบครวั สงั คม ภาษา การศึกษาท่ีแตกต่าง กนั รวมถึงอาศยั อยใู่ นสถานท่ีอนั ตา่ งภูมปิ ระเทศและต่างวฒั นธรรมกนั ดว้ ยพ้ ืนฐานท่ีต่างกันดังกล่าว จึงทาใหค้ ณะสงฆ์มีความแตกต่างกันใน หลายๆ ดา้ น ท้ังในทางความเห็น (ทิฏฐิสามัญญตา) และขอ้ วัตรปฏิบัติ (สีล สามัญญตา) ความแตกต่างกันน้ ี เกิดข้ ึนต้ังแต่คร้งั ที่เหล่าภิกษุสงฆ์ไดก้ ระทาการ สังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังแรก โดยมีพระมหากัสสปะเป็ นประธาน และพระ ปุราณะไม่ยอมรบั ในสิกขาบท ๘ ขอ้ ที่เกี่ยวกับการขบฉันดังไดก้ ล่าวมาแลว้ แมว้ ่า พระมหากสั สปะจะทกั ทว้ งอยา่ งไร แต่พระปุราณะและเหล่าบริวารก็ไมย่ อมรบั ยงั คง ประพฤติตามท่ีตนไดร้ ไู้ ดร้ บั ฟังมาจากพระพุทธองคเ์ ท่าน้ัน เมื่อกาลล่วงไป ๑๐๐ ปี หลงั พุทธปรินิพพาน การขดั แยง้ ก็เร่ิมปรากฏใหเ้ ห็น ชดั เจนเป็ นรูปธรรม จากกรณีภิกษุแตกกันออกเป็ น ๒ ฝ่ าย อนั เนื่องจากความเห็น ขดั แยง้ กันในเรื่องวตั ถุ ๑๐ ประการ โดยพวกหนึ่งเห็นว่า วตั ถุ ๑๐ ประการน้ ีชอบ ดว้ ยพระธรรมวินัย ส่วนอีกพวกหน่ึงเห็นว่าไม่ชอบดว้ ยพระธรรมวินัย จึงเกิดการ โตเ้ ถียงกนั อยา่ งรุนแรง อนั เป็ นมูลเหตุใหเ้ กิดการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ขณะท่ีอีกฝ่ ายท่ี ไม่ยอมรับการทาสังคายนา ได้แยกตัวเป็ นอิสระไปทาสังคายนาในที่แห่งหนึ่ง ตา่ งหาก เหตุการณน์ ้ ีสง่ ผลตอ่ พระพทุ ธศาสนาโดยตรง เพราะทาใหพ้ ระพุทธศาสนา แตกแยกออกเป็ น ๒ นิกายอยา่ งเป็ นทางการเป็ นคร้งั แรก คือ เถรวาท (หรือ สถวีร วาทิน) และอาจาริยวาท (หรอื มหาสงั ฆกิ ะ) การแตกแยกในคร้ังน้ ี ได้ตอกย้าให้เห็ นถึ งเค้าโครงของการแบ่ ง พระพุทธศาสนาเป็ นเถรวาทและมหายานชดั เจนข้ ึน โดยหลงั จากน้ันไม่นาน ในช่วง สังคายนาคร้ังที่ ๓ พระพุทธศาสนาก็แบ่งออกเป็ น ๑๘ นิกายอย่างชัดเจน และ ต่อมาไดพ้ ฒั นามาเป็ นนิกาย ๓ สายหลัก คือ สายหินยาน สายมหายาน และสาย วชั รยาน

๖๓ ๒.๑.๒ สาเหตภุ ายนอกพระพทุ ธศาสนา ในสมัยพุทธกาลน้ัน การประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ไดร้ บั การต่อตา้ นจากพวกคณาจารยเ์ จา้ ลัทธิต่างๆ เช่น ลัทธิครูท้ัง ๖ เป็ นตน้ มีหลาย คร้งั ที่เกิดการประวาทะของพระพุทธองคก์ บั เจา้ ลทั ธิหรือเหล่าสานุศิษยล์ ัทธิต่างๆ โดยเฉพาะจากศาสนาพราหมณ์ เพราะในสมยั น้ันประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์ กนั เป็ นส่วนใหญ่ ทาใหพ้ ระพุทธศาสนากลายเป็ นที่สนใจของประชาชน และมีผูห้ นั มายอมรบั นับถือพระพุทธศาสนากันมากมายและขยายศรทั ธาออกไปในวงกวา้ ง สรา้ งความสัน่ สะเทือนจนถึงข้นั รากฐานกับศาสนาพราหมณ์และเจา้ ลัทธิท้ังหลาย พระพุทธศาสนาจึงถูกต่อตา้ นโจมตีและบ่อนทาลายอยู่ตลอดเวลา ดว้ ยเหตุผล สาคญั ที่เป็ นแรงจงู ใจ ดงั น้ ี ๑. พระพทุ ธศาสนาไมย่ อมรบั คมั ภีรพ์ ระเวท (อไวทิกวาทะ) ๒. พระพุทธศาสนามคี าสอนและแนวทางปฎิบตั ิท่ีเน้นศีล สมาธิ ปัญญา ทา ใหผ้ ูป้ ฏิบัติสามารถเขา้ ถึงสัจธรรมความจริงไดด้ ว้ ยตนเอง แตกต่างไปจากที่พวก พราหมณแ์ ละคณาจารยท์ ้งั หลายสอนกนั อยใู่ นสมยั น้ัน ๓. พระพุทธเจา้ ปฏิเสธระบบวรรณะท่ีพวกพราหมณ์บญั ญัติข้ ึน ไม่ยอมรบั ฐานะของพวกพราหมณท์ ่ีใครๆ ต่างยกยอ่ งวา่ สูงสง่ ๔. การเจรญิ เติบโตอยา่ งรวดเร็วของพระพทุ ธศาสนา ดังน้ั น พวกพราหมณ์ ได้พยายามทุ กวิถี ทางในการบ่ อนท าลาย พระพุทธศาสนาเพื่อหาทางดึงศาสนิ กกลับคืน แต่ผลปรากฏว่าไม่ประสบ ความสาเร็จ เนื่องจากพระพุทธศาสนาไดเ้ ผยแผ่ไปอยา่ งกวา้ งขวางเป็ นท่ียอมรบั ของ ประชาชน และไดร้ บั การอุปถัมภจ์ ากกษัตริยอ์ ย่างดีโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในสมัยของ พระเจา้ อโศกมหาราชแหง่ ราชวงศเ์ มารยะหรือโมริยะ แต่ครน้ั เมอ่ื ราชวงศเ์ มารยะดบั สูญ อามาตยป์ ุษยมิตรแหง่ ราชวงศ์ศุงคะก็ได้ ปกครองอินเดียสืบต่อมา กษัตริยพ์ ระองค์น้ ีทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดูมากเพราะ ทรงเป็ นพราหมณ์มาก่อน ดงั น้ันคนในวรรณะพราหมณ์จึงมีโอกาสไดข้ ้ ึนเป็ นใหญ่ ศาสนาพราหมณซ์ ึ่งรอจงั หวะท่ีจะทาลายพระพุทธศาสนาอยแู่ ลว้ จึงถือโอกาสอาศยั อานาจทางการเมืองทาลายพระพุทธศาสนาและฟ้ ื นฟูลทั ธิศาสนาของตนเป็ นการ ใหญ่ แมแ้ ต่พระเจา้ ปุษยมิตรเองก็แสดงพระองคว์ า่ เป็ นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา

๖๔ อยา่ งเต็มท่ี ถึงกบั มีการกวาดลา้ งพระพุทธศาสนา ทารา้ ยคณะสงฆแ์ ละทาลายวดั วา อารามของพระพุทธศาสนา โดยต้งั รางวลั ใหแ้ ก่ผูต้ ดั ศีรษะพระภิกษุ ฟ้ ื นฟูการบูชา ยญั โดยโปรดใหท้ าพิธีอศั วเมธ (การฆา่ มา้ บูชายญั ) เพ่ือจูงใจใหป้ ระชาชนมานับถือ ศาสนาพราหมณเ์ พิม่ มากข้ ึน การพยายามกวาดลา้ งพระพุทธศาสนาของพระเจา้ ปุษยมิตร แมไ้ ม่อาจ ทาลายพระพุทธศาสนาใหห้ มดไป แต่ก็ทาใหพ้ ระพุทธศาสนามิอาจรุ่งโรจน์อยู่ ณ ศูนย์กลางเดิม แต่ไปรุ่งเรืองอยู่บริเวณทางตอนเหนือของอินเดีย ในแควน้ สวัส (Swat Valley) แควน้ มถุรา (Mathura) และแควน้ คนั ธาระ (Candara) เป็ นตน้ ศาสนาพราหมณ์จึงใชว้ ิธีการใหม่ คือ การกลืนพระพุทธศาสนาไวภ้ ายใต้ ระบบศาสน าฮิ น ดู (Assimilation) หรือกล่ าวง่ายๆ ว่า พยายามเปล่ี ยน พระพุทธศาสนาท้ังหมดใหเ้ ป็ นศาสนาฮินดูนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นเด่นชดั คือ การ แต่งมหากาพยข์ ้ ึน ๒ เร่ือง คือ มหาภารตะและรามายณะ จนเป็ นท่ีแพร่หลายและ ไดร้ บั ความนิยมของประชาชนเป็ นอนั มาก โดยเฉพาะเรื่องราวจากคมั ภีรภ์ ควทั คีตา มหากาพยท์ ้ังสองน้ ีสามารถดึงดูดผูค้ นใหม้ าศรทั ธาเลื่อมใสใน พระผูเ้ ป็ นเจา้ และ ทาใหศ้ าสนาพราหมณเ์ ผยแพรเ่ ขา้ สู่มวลชนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว นอกจากน้ ี พวกพราหมณ์ยงั ไดพ้ ัฒนาความเช่ือดา้ นต่างๆ อีกหลายอยา่ ง เช่น การสรา้ งตรีมูรติใหเ้ ป็ นที่พึ่งสูงสุดตามอย่างพระรตั นตรยั การสรา้ งวิหาร การ สรา้ งเทวาลยั สาคัญ เป็ นตน้ เป็ นเหตุใหศ้ าสนาพราหมณ์ยุคใหม่หรือศาสนาฮินดู ยงิ่ ขยายวงกวา้ งออกไปเป็ นศาสนาที่มอี ิทธิพลต่อวถิ ีชวี ติ ของชาวอินเดียอยา่ งยิง่ จากเหตุการณท์ ่ีเกิดข้ ึน ทาใหค้ ณาจารยค์ นสาคญั ในสมยั น้ันมิอาจนิ่งดูดาย อยู่ไดต้ ่างเห็นความจาเป็ นที่ตอ้ งทาการปฏิรูปวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสีย ใหม่ เพ่ือใหค้ าสอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เป็ นส่ิงทนั สมยั ทนั เหตุการณ์ สามารถ ที่จะแขง่ กบั ศาสนาพราหมณใ์ หมท่ ี่กาลงั เฟ่ื องฟูอยใู่ นขณะน้ันได้ พระพุทธศาสนามหายานจึงไดก้ ่อตัวข้ ึน โดยมีกลุ่มสาคญั ท่ีเป็ นตน้ กาเนิด ของมหายาน คือ นิกายมหาสังฆิกะและกิ่งของกลุ่มของนิกายมหาสังฆิกะ ซ่ึงเรียก รวมวา่ คณะอนั ธกะ มีศนู ยก์ ลางใหญ่อยตู่ อนใตข้ องอินเดียในแวน่ แควน้ อนั ธระ การก่อกาเนิดเป็ นนิกายมหายานดงั กล่าว เป็ นการเกิดแบบค่อยเป็ นค่อยไป โดยการเห็นพอ้ งกันจากคณะสงฆ์นิกายมหาสังฆิกะ ผสมกับชาวพุทธหนุ่มสาวใน

๖๕ ขณะน้ัน ที่มคี วามเห็นวา่ จะตอ้ งปรบั ปรุงวธิ ีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ โดย การปรับปรุงแก้ไขคติธรรมในพระพุทธศาสนาข้ ึนหลายประการเพื่อให้ พระพุทธศาสนาเขา้ ถึงหมชู่ นสามญั โดยทวั่ ไป ดงั น้ัน นิกายมหายานจงึ ไดร้ บั การทานุบารุงอยภู่ ายใตอ้ าณาจกั รของกษัตริย์ ราชวงศ์ศาตวาหนะแห่งอันธระ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์น้ ี เป็ นมิตรกับ พระพุทธศาสนาและหลายพระองค์ทรงทานุ บารุงพระพุ ทธศาสนาอย่างจริงจัง เร่ือยมา จนในราวพุทธศตวรรษท่ี ๖ นิกายมหายานก็ไดป้ รากฏใหเ้ ห็นเด่นชดั เป็ น นิกายใหญ่ ๆ ๒ นิกาย คือ นิกายมาธยมิกะและโยคาจาร ๒.๑.๓ แนวคิดและความเช่ือพ้ ืนฐานของนิกายมหายาน แนวคิดและความเช่อื พ้ ืนฐานในพทุ ธศาสนาฝ่ ายมหายาน ประกอบดว้ ย เรื่องที่เป็ นหลกั สาคญั ดงั ต่อไปน้ ี ๑. แนวคิดเรือ่ ง \"ตรยี าน\" ตามหลกั คาสอนของมหายาน กล่าวถึงยาน ๓ ประการ ซึ่งเป็ นทางหรอื วธิ ีสู่ ความหลุดพน้ ไดแ้ ก่ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธิสตั วยาน ๑) สาวกยาน หมายถึง ทางของพระสาวกท่ีหวงั เพียงบรรลุอรหัตภูมิ ดว้ ย การรูแ้ จง้ อริยสัจ ๔ เพ่ือขา้ มพน้ วฏั สงสารเท่าน้ัน ไม่ไดห้ วงั พุทธภูมิแต่อย่างใด มหายานจึงถือวา่ สาวก-ยานเป็ นการทาประโยชน์เฉพาะตนในวงแคบและชว่ ยเหลือ สรรพสตั วไ์ ปไดน้ ้อย และท่ีสาคญั พระสาวกที่จะหลุดพน้ ไดจ้ ะตอ้ งอาศยั คาช้ ีแนะสงั่ สอนจากพระพุทธเจา้ ก่อน เพราะไม่อาจหลุดพน้ ไดด้ ว้ ยความสามารถของตนเพียง ลาพงั ๒) ปัจเจกยาน หมายถึง ทางของพระปัจเจกพุทธเจา้ ผูส้ ามารถรูแ้ จง้ ดว้ ย ตนเอง แต่เม่ือหลุดพน้ แลว้ ก็ไม่อาจแสดงธรรมสัง่ สอนผูอ้ ่ืนใหร้ ูแ้ จง้ เห็นจริงตาม ตนเองได้ เพราะมิไดส้ งั่ สมจริตในการโปรดสรรพสตั วอ์ ื่น ๓) โพธิสัตวยาน หมายถึง ทางของพระโพธิสตั วผ์ ูม้ ีจิตใจกวา้ งขวาง กอปร ดว้ ยมหากรุณาในสรรพสัตวท์ ้ังหลาย ต้ังจิตบาเพ็ญบารมีเพ่ือมุ่งหมายพุทธภูมิซ่ึง กา้ วล่วงอรหตั ภูมิโพธิสัตวยานจึงเป็ นการสรา้ งเหตุอนั มีพุทธภูมิเป็ นผล หรือกล่าว ไดว้ า่ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ฝ่ ายมหายานน้ันคือเหล่าพระโพธิสัตวท์ ่ีไดส้ รา้ งบารมี มาดว้ ยการชว่ ยเหลือสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ จากความทุกขน์ ัน่ เอง

๖๖ ในบรรดายานท้ังสามอยา่ งน้ ี แมว้ ่าจะมีเป้าหมายอันเดียวกันคือการหลุด พน้ จากกิเลสอาสวะ แตอ่ ยา่ งไรตาม สาหรบั พุทธศาสนิกชนฝ่ ายมหายานยงั คงถือวา่ โพธิสตั วยานเป็ นทางท่ีสาคญั ที่สุด และควรยกยอ่ งไวใ้ นฐานะ \"มหายาน\" หรือยาน ที่ยงิ่ ใหญ่กวา้ งขวาง และควรยกยอ่ งวา่ เป็ น \"อนุตตรยาน\" หรือยานที่ประเสริฐสูงสุด โดยมีขอ้ อุปมาท่ีน่าฟังวา่ เหมือนสตั ว์ ๓ ตวั คือกระต่าย มา้ และชา้ ง ท่ีกาลงั วา่ ยขา้ ม แมน่ ้าคงคา กระต่ายไมอ่ าจหยงั่ ถึงพ้ ืนดินไดจ้ ึงลอยน้าขา้ มไป ส่วนมา้ บางขณะก็หยงั่ ถึงบางขณะก็หยัง่ ไม่ถึง ส่วนช้างน้ันย่อมหยัง่ ถึงพ้ ืนดิน แม่น้าคงคาเปรียบได้ กับปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็ นธรรมอันลึกซ้ ึง วิธีขา้ มไปของกระต่ายเปรียบไดก้ ับสาวก ยาน มา้ ขา้ มเปรยี บไดก้ บั ปัจเจกยาน ส่วนชา้ งขา้ มเปรียบไดก้ บั โพธิสตั วยาน ซึ่งเป็ น ยานของพระตถาคตเจา้ ท้งั หลาย แนวคิดเร่ืองตรียาน สะทอ้ นใหเ้ ห็นรากฐานความเช่ือของมหายานที่มองวา่ ทางหลุดพน้ สายเดิมหรือสายเถรวาทน้ันเป็ นทางแคบที่มุ่งเน้นเฉพาะคนบางกลุ่ม กล่าวคือผูท้ ่ีจะหลุดพน้ ดว้ ยสาวกยานไดจ้ ะตอ้ งเป็ นพระอรหันต์ผูม้ ีปัญญาและ ประกอบความเพียรมาแลว้ อยา่ งยิง่ ยวดเท่าน้ัน อีกท้ังผลสาเร็จท่ีเกิดจากความหลุด พ้นดังกล่าว ก็เป็ นไปเพ่ือประโยชน์แก่บุคคลผู้น้ัน เพียงผู้เดียว ฉะน้ันจึงดู เหมือนวา่ ไดล้ ะเลยคนส่วนใหญ่ที่ยงั ด้ ินรนอยใู่ นโลกไปเสีย ในขณะท่ีโพธิสตั วยานข องฝ่ ายมหายานกลบั เป็ นเหมือนพาหนะใหญ่ที่สามารถรบั คนทุกประเภท ทุกชนช้นั วรรณะ ทุกเพศทุกวยั ทุกสาขาอาชีพ โดยไม่เคยปฏิเสธ หรือจากัดว่าเป็ นผูใ้ ด ดังน้ัน จึงควรยกย่องว่าเป็ นยานอันสูงสุดเพราะสามารถช่วยเหลือสรรพสัตวไ์ ป ไดม้ ากที่สุดนัน่ เอง ๒. แนวคิดเรื่อง \"พระพทุ ธเจา้ ๓ ประเภท\" พระพทุ ธศาสนาในฝ่ ายมหายานไดแ้ บ่งพระพุทธเจา้ ออกเป็ น ๓ ประเภท คือ ๑) พระอาทพิ ุทธเจา้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ที่เรยี กวา่ พระอาทิพุทธะน้ ี เป็ น ผูเ้ กิดข้ ึนมาเองก่อนสิ่งใดท้ังหมด (พระสยมั ภูพุทธเจา้ ) อนั จะหาเบ้ ืองตน้ และเบ้ ือง ปลายมิได้ เป็ นผูใ้ หก้ าเนิดพระพุทธเจา้ ประเภทอื่นๆ ท้ังหมด เป็ นผูใ้ หก้ าเนิดพระ โพธิสตั วท์ ้ังหลายและใหก้ าเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ท้ังมวลท่ีมีอยู่ในสกลจกั รวาลน้ ี หรือ อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ทุกส่ิงทุกอย่างในอนันตจกั รวาลน้ ี ลว้ นถือกาเนิดมาจาก องคพ์ ระอาทิพุทธะน้ ีท้งั ส้ ิน

๖๗ ๒) พระธยานิพุทธเจา้ เป็ นผูท้ ่ีเกิดมาจากอานาจแห่งฌานของพระอาทิ พุทธะเพ่ือปกครองอาณาจกั รและอาณาจกั รยอ่ ยๆ ท่ีเรียกวา่ พุทธเกษตร ดังน้ันใน แต่ละพทุ ธเกษตรจะมี พระสมั มาสมั พุทธเจา้ คอยทาหน้าที่โปรดเวไนยสตั วอ์ ยหู่ น่ึง พระองค์ และสภาพแต่ละพุทธเกษตร อาจจะมีความแตกต่างกันไปบา้ งตามความ เหมาะสมของการโปรดสตั วใ์ นพทุ ธเกษตรน้ันๆ ๓) พระมานุษิพุทธเจา้ เป็ นผูท้ ี่ถือกาเนิดมาจากพระธยานิพุทธเจา้ โดย แสดงตนออกมาในรูปของมนุษยธ์ รรมดาและอุบตั ิข้ ึนมาในโลกมนุษย์ ท้งั น้ ีเพ่อื เป็ น อุบายแห่งการสัง่ สอนสรรพสัตว์ท้ังหลาย เพ่ือใหเ้ ร่งปฏิบัติธรรมดว้ ยความไม่ ประมาท การแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ออกเป็ น ๓ ประเภทน้ัน เน่ืองมาจากความ เชื่อท่ีวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยอ่ มมีตรีกาย หรือพระกาย ๓ กาย กายท่ีหน่ึงเรียกวา่ ธรรมกาย เป็ นภาวะแห่งการรูแ้ จง้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ อันเป็ นกายท่ีเกิดข้ ึน เอง อนั หาเบ้ ืองตน้ และเบ้ ืองปลายมิได้ ธรรมกายน้ ีก็คือ องค์พระอาทิพุทธะ ส่วน กายท่ีสองเรียกวา่ สมั โภคกาย คือกายที่เป็ นทิพย์ มรี ศั มรี ุง่ เรือง เกิดข้ ึนมาในรูปของ โอปปาติกะ ซง่ึ กายน้ ีก็คือ พระธยานิพทุ ธะ และกายท่ีสามเรยี กวา่ นิรมาณกาย เป็ น กายท่ีเนรมิตบิดเบือนข้ ึนใหอ้ ยใู่ นรูปของร่างกายมนุษย์ ซ่ึงก็ไดแ้ ก่พระมานุษิพุทธะ หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหน่ึงวา่ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ท้ังสามประเภทน้ ี ความจริง แลว้ ถือว่าเป็ นอันหน่ึงอันเดียวกัน เพียงแต่แสดงตนออกมาในภาวะที่แตกต่างกัน ออกไป เพ่ือความเหมาะสมต่อการสงั่ สอนเวไนยสตั วใ์ นแตล่ ะสถานการณ์ ดงั น้ัน พระมานุษิพุทธเจา้ ในฝ่ ายมหายาน อันไดแ้ ก่ พระทีปังกรพุทธเจา้ พระกัสสปพุทธเจา้ พระโคตมพุทธเจา้ พระเมตไตรยพุทธเจา้ และพระไภสัชชคุรุ พุทธเจา้ ทุกพระองค์จึงลว้ นมีพระกายเป็ น ๓ หรือมีภาวะแตกต่างกันเป็ น ๓ ใน พระองค์เดียว ซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากพระประธานในโบสถ์ของมหายาน ที่จะตอ้ งมี ๓ พระองคเ์ สมอ ท้งั น้ ีมิไดห้ มายความวา่ พระพุทธเจา้ มี ๓ องค์ แตห่ มายถึงพระมานุษิ พุทธะหรือพระศากยมุนีพุทธะพระองคเ์ ดียว แต่มีพระกายเป็ น ๓ น้ ีเป็ นลกั ษณะพระ รตั นตรยั ของมหายาน

๖๘ ๓. แนวคิดเร่ือง \"ตรีกาย\" หลกั ตรีกายเป็ นหลกั สาคญั ของมหายานท่ีอธิบายวา่ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ มี ๓ กายเป็ นหลักร่วมกันของทุกนิกาย พระสูตรต่างๆ ก็จะพูดถึงตรีกายอยู่เสมอ ก่อนอื่นควรทาความเขา้ ใจว่า แรกเร่ิมพุทธศาสนามหายานด้ังเดิมมีหลักคาสอน เรื่องกายของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ไม่ต่างจากเถรวาท กล่าวคือ ถือกันว่าพระ สมั มาสมั พุทธเจา้ มเี พียง ๒ กาย คือ ๑) นิรมาณกาย หรือที่ฝ่ ายเถรวาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รูปกาย อัน หมายถึงท้งั กายหยาบและละเอียดเหมือนสตั วโลกทวั่ ไป ๒) ธรรมกาย คาวา่ ธรรมกายในวรรณกรรมมหายานด้งั เดิม มีความหมาย ๒ ประการ คือ ประการแรก ธรรมกายเป็ นกายแห่งธรรม ประมวลขอ้ ปฏิบตั ิ คาสงั่ สอน ซ่ึงช่วยเสริมพระบารมี อยู่ในฐานะพุทธคุณอย่างหน่ึง และอีกประการหนึ่ง ธรรมกายเป็ นตถาคตกาย ความเป็ นอย่างน้ัน หลักความจริงอันเป็ นรากฐานแห่ง จกั รวาล ต่อมาในยุคของท่านอสังคะและวสุพนั ธุ คณาจารยข์ องนิกายโยคาจาร จึงมี การเพ่ิมกายเขา้ มาอีกหน่ึงกาย คือ สมั โภคกาย ทาใหเ้ กิดเป็ นแนวคิดตรีกายข้ ึนมา และธรรมกายก็มีความหมายค่อนขา้ งไปทางเทวนิยม ดังน้ันพระกายท้ัง ๓ จึงมี ความหมายดงั น้ ี ๑) ธรรมกาย หมายถึง สภาวะอนั เป็ นอมตะ เป็ นสิ่งที่ไรร้ ูป ไม่อาจรบั รูไ้ ด้ ดว้ ยประสาทสมั ผสั ไม่มีเบ้ ืองตน้ และที่สุด ท้งั ไมม่ ีจุดกาเนิดและผูส้ รา้ ง ดารงอยูไ่ ด้ ดว้ ยตนเอง แมจ้ กั รวาลจะว่างเปล่าปราศจากทุกส่ิง แต่ธรรมกายจะยงั คงดารงอยู่ โดยไม่มีที่ส้ ินสุด และมหายาน ยังมีความเชื่อว่า พระธรรมกายน้ ีเอง ท่ีแสดงตน ออกมาในรูปของสัมโภคกายบนภาคพ้ ืนสวรรค์ และจากสมั โภคกายน้ ีก็จะเเสดงตน ออกมาในรูปนิรมาณกาย ทาหน้าท่ีสงั่ สอนสรรพสตั วใ์ นโลกมนุษย์ ๒) สมั โภคกาย หมายถึง พระกายที่แทจ้ ริงของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ กาย น้ ีจะไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะอันเป็ นทิพย์อยู่ชัว่ นิ รันดร์ และนอกจากน้ ี มหายานยังมีความเช่ือว่า สัมโภคกายสามารถที่จะแสดงตนใหป้ รากฏแก่พระ โพธิสัตวไ์ ด้ สามารถท่ีจะรบั ทราบคาสวดสรรเสริญและออ้ นวอนจากผูท้ ่ีเลื่อมใสได้ และสมั โภคกายน้ ีเองท่ีเนรมิตตนลงมาเป็ นนิรมาณกาย คือพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ใน

๖๙ โลกมนุษย์ เพ่ือเป็ นการสงั่ สอนสตั วโลก เพราะฉะน้ันแมใ้ นบัดน้ ีพระสัมมาสมั พุทธ เจา้ ท้งั หลายที่เคยอุบตั ิข้ ึนในมนุษยโ์ ลกก็ยงั สถิตอยใู่ นสภาวะแหง่ สมั โภคกายน้ ี มิได้ แตกดบั สูญส้ ินไปเลย และพระโพธิสตั วท์ ้งั หลายก็ยงั สามารถเห็นและรบั คาสอนจาก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหลา่ น้ ีได้ ๓) นิรมาณกาย หมายถึง กายของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ท่ียงั ตกอยู่ในไตร ลกั ษณ์ คือยงั มีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย เหมือนมนุษยธ์ รรมดาทัว่ ไป มหายานมี ความเชื่อวา่ นิรมาณกายน้ ี แทจ้ ริงแลว้ เป็ นการเนรมิตมาจากสัมโภคกาย เพ่ือเป็ น อุบายในการสงั่ สอนสตั วโลก เพ่ือสรรพสตั วท์ ้งั หลายจะไดไ้ ม่ตกอยใู่ นความประมาท และเรง่ ปฏบิ ตั ิธรรมเพอ่ื มุง่ สู่ความพน้ ทุกขโ์ ดยเรว็ กายแห่งพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ท้ัง ๓ น้ ี ถือวา่ เป็ นแนวความคิดและทัศนะ ในพระพุทธศาสนามหายานโดยเฉพาะ และแทท้ ่ีจริงแลว้ กายเหล่าน้ ีย่อมมีความ เป็ นอันหน่ึงอันเดียวกันท้ังส้ ิน แตกต่างกันเพียงสภาวะแห่งการแสดงออกเท่าน้ัน โดยที่นิรมาณกายเป็ นการเนรมิตตน มาจากสมั โภคกาย และสมั โภคกายก็เป็ นการ เนรมิตตนมาจากธรรมกายซ่ึงเป็ นสิ่งที่ไรร้ ูป อนั เป็ นปรมตั ถภาวะ ถือวา่ เป็ นสภาวะ ท่ีเป็ นอมตะ และอยเู่ หนือการอธิบายใดๆ ในทางโลกิยวสิ ยั จะเห็นไดว้ า่ การอธิบายภาวะของพุทธเจา้ ในรูปตรกี ายเชน่ น้ ี มีวตั ถุประสงค์ เพื่อท่ีจะบอกวา่ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ที่เป็ นกายมนุษยน์ ้ันเป็ นเพียงภาคหนึ่งของ ธรรมกายอนั เป็ นอมตะ ฉะน้ันการท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ไป จึงเป็ นเพียงการนิรมาณกายยอ้ นกลับคืนสู่สภาวะด้ังเดิมท่ีเรียกว่าสมั โภคกาย เท่าน้ัน ซึ่งสัมโภคกายก็หาใช่อะไร หากแต่หมายถึงภาคที่เป็ นเทพของธรรมกาย นัน่ เอง ดงั น้ันในทศั นะของมหายาน เวลาน้ ีพระโคดมสมั มาสมั พุทธเจา้ ก็ยงั ไมไ่ ดส้ ูญ หายไปไหน แตท่ รงอยใู่ นรปู สมั โภคกาย ณ ท่ีใดที่หนึ่งในจกั รวาลน้ ี ๔. แนวคิดเรือ่ งพุทธเกษตร พทุ ธศาสนาฝ่ ายเถรวาทเชื่อวา่ ในจกั รวาลหน่ึงๆ จะมีพระสมั มาสมั พุทธเจา้ อุบตั ิข้ ึนมากกวา่ หน่ึงพระองคใ์ นเวลาเดียวกนั ไมไ่ ด้ แต่ฝ่ ายมหายานเช่ือต่างไปจาก น้ ีวา่ ในจกั รวาลอนั เว้ งิ วา้ งน้ ี สามารถแบ่งเน้ ือท่ีออกเป็ นส่วนยอ่ ยลงไปอีกนับจานวน ไม่ถว้ น อาณาเขตย่อยๆ ของจกั รวาลแต่ละอาณาเขตน้ ีเรียกว่าพุทธเกษตร (Pure Land) ในหน่ึงพุทธเกษตรจะมีพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประทับอยหู่ น่ึงพระองค์ ดงั น้ัน

๗๐ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ในความเช่ือของมหายานจึงสามารถอุบตั ิข้ ึนในจกั รวาลพรอ้ ม กนั ไดม้ ากกวา่ หน่ึงพระองค์ เมื่อเป็ นดังน้ ี พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ที่อุบัติข้ ึนเพ่ือทา หน้าที่โปรดเวไนยสัตวใ์ นแต่ละจักรวาลท้ังในอดีต ปัจจุบัน อนาคตจึงมีจานวน มากมายมหาศาลนับประมาณมิไดด้ ุจเมล็ดทรายในคงคานที พระสมั มาสมั พุทธเจา้ แตล่ ะพระองคใ์ นแต่ละพุทธเกษตร ไม่วา่ จะอยใู่ นภาค สัมโภคกายหรือนิ รมาณกาย ท้ังหมดล้วนแตกขยายออกมาจากธรรมกายอัน เดียวกนั พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ในแต่ละพุทธเกษตรอาจมีลกั ษณะและคุณสมบตั ิท่ี ผิดแผกกันตามความเหมาะสม ในการโปรดสัตวใ์ นพุทธเกษตรน้ันๆ แต่นั่นเป็ น เพียงความแตกต่างภายนอกเท่าน้ัน โดยเน้ ือแท้ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ลว้ นมาจาก ธรรมกายเดียวกัน ดุจน้าแมจ้ ะอยูค่ นละสถานท่ีก็ลว้ นเป็ นน้า ที่มีเน้ ือแทเ้ ป็ นชนิด เดียวฉนั น้ัน พุทธเกษตรแต่ละแห่ง แตกต่างกันตามบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ประจาพุทธเกษตรน้ัน พระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองค์ใดสมยั ท่ีเป็ นพระโพธิสัตวไ์ ด้ บาเพ็ญบารมีไวม้ าก อานาจพระบารมีน้ันจะส่งผลให้พุทธเกษตรของพระองค์ รุ่งเรืองมากกวา่ พุทธเกษตรของพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ที่บาเพ็ญบารมีธรรมมาน้อย กวา่ และพุทธเกษตรท่ีกล่าวกนั วา่ เป็ นพุทธเกษตรที่รุง่ เรืองที่สุด และเป็ นที่นิยมมาก ท่ีสุดในบรรดาพุทธเกษตรท้งั หมด ก็คือสุขาวดีพุทธเกษตรอันเป็ นที่อยู่ของพระอมิ ตาภะ คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าสุขาวดีเป็ นช่ือหน่ึ งของพระนิ พพาน แต่ใน ความหมายของมหายาน สุขาวดีน้ันยังไม่ใช่นิพพาน เป็ นเพียงพุทธเกษตรหนึ่ง เท่าน้ัน แต่สุขาวดีพุทธเกษตรต่างจากพุทธเกษตรที่เราอาศัยอยู่น้ ี เพราะเป็ น สถานที่ท่ีน่ารื่นรมยอ์ ยา่ งยิง่ ไมม่ ีแมแ้ ต่อบายภูมิ จึงสมบูรณ์ดว้ ยส่ิงอานวยความสุข นานาประการ อีกท้งั อายุของผูท้ ี่เกิดในดินแดนแห่งน้ ีก็ยาวนานมาก ฉะน้ันจึงคลา้ ย กบั วา่ เป็ นสถานที่อยอู่ นั ถาวรไป แนวคิดเรื่องพุทธเกษตรน้ ี เช่ือว่ามาจากทัศนะของฝ่ ายมหายานที่มองว่า นิพพานไมใ่ ชส่ ิ่งท่ีคนเราจะบรรลุไดง้ า่ ยๆ เป็ นสิ่งท่ีอยไู่ กลเกินกวา่ คนธรรมดาทวั่ ไป จะเอ้ ือมถึง นิพพานท่ีตอ้ งบรรลุถึงดว้ ยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างย่ิงยวด และตอ้ งใชเ้ วลานาน จึงถูกปรบั มาใหก้ ลายเป็ นส่ิงที่สามารถเขา้ ถึงไดด้ ว้ ยการทาบุญ

๗๑ ความศรทั ธาเช่ือมนั่ ในพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ของพุทธเกษตรน้ันๆ แลว้ ส่งผลใหไ้ ป เกิดในดินแดนแห่งหน่ึง เรียกว่าพุทธเกษตร ซ่ึงมีเง่ือนไขเอ้ ืออานวยแก่การเขา้ ถึง นิพพานต่อไปโดยไมย่ ากนัก โดยเฉพาะผูท้ ี่ไปเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตร ก็ยอ่ มจะมีโอกาสเขา้ ถึงนิพพาน ไดง้ ่ายกวา่ ผูท้ ี่เกิดในพุทธเกษตรอื่น ซ่ึงยงั ไม่แน่วา่ จะเขา้ ถึงนิพพานไดภ้ ายในชาติ น้ัน แต่สาหรับผูท้ ี่เกิดใน สุขาวดีพุทธเกษตรแลว้ ทุกคนย่อมเป็ นผูเ้ ท่ียงแท้ต่อ นิพพาน คือจะตอ้ งเขา้ ถึงนิพพานภายในชาติน้ันทุกคน ๕. แนวคิดเรอ่ื งพระโพธิสตั ว์ แนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ (Bodhisattva) ถือเป็ นแกนกลางของคาสอน ท้งั หมดในคมั ภีรม์ หายาน และเป็ นอุดมคติอนั สูงส่งที่มหายานมุง่ เน้น โดยแนวคิดน้ ี ไดแ้ ยกเป็ นเอกเทศจากความเช่ือเร่ืองพระพุทธเจา้ อยา่ งชดั เจน กลายเป็ นการบรรลุ สภาพอย่างหนึ่งท่ีทาใหผ้ ูบ้ รรลุเป็ นผูป้ ระเสริฐ ท่ีมีหน้าที่สาคัญในการช่วยเหลือ ดูแลชาวโลก และกลายเป็ นเหล่าเทพเจา้ ท่ีสถิตในสรวงสวรรค์ ในความเช่ือของมหายาน พระโพธิสตั วจ์ ะมีความใกลช้ ิดสรรพสัตวม์ ากกวา่ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ และสามารถช่วยเหลือสรรพสัตวไ์ ดอ้ ย่างมากมาย จึงเป็ นผู้ ควรกราบไหวบ้ ูชาและเป็ นท่ียึดเหน่ียวทางจิตใจ พระโพธิสตั วจ์ ึงมีลักษณะเป็ นส่ือ ระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ในนิพพานกับบรรดามวลมนุษย์ เป็ นผูท้ ่ีทาหน้าท่ี ชว่ ยเหลือมนุษย์ มอี านาจพเิ ศษที่สามารถจะชว่ ยเหลือสรรพสตั วไ์ ดม้ ากๆ ถึงแมว้ า่ พระโพธิสตั วท์ ้งั หลายลว้ นต้งั ความปรารถนาที่จะบรรลุพุทธภูมิให้ จงไดแ้ ต่ท่านเหล่าน้ันก็ยงั ไม่ขอเขา้ นิพพานในทันที จะตอ้ งประพฤติตามหลักคา สอนท่ีเรยี กวา่ โพธิสตั วมรรค ไปจนกวา่ จะบรรลุพุทธภูมิ คือ ๑) บารมี ๖ หมายถึง คุณธรรมเป็ นเหตุใหถ้ ึงฝั่ง คือความสาเร็จต่างๆ ที่ บุคคลไดต้ ้งั จุดมุง่ หมายเอาไว้ ซ่ึงตอ้ งบาเพ็ญใหย้ ่ิงยวดตราบเท่าท่ียงั มิไดบ้ รรลุพุทธ ภูมิ เพื่อช่วยเหลือสรรพสตั ว์ ดังน้ันทางฝ่ ายมหายานจึงยอ่ บารมี ๑๐ หรือทศบารมี ในฝ่ ายเถรวาท ลงเหลือเพยี งบารมี ๖ คือ - ทานปารมิตา หรือทานบารมี พระโพธิสัตวจ์ ะตอ้ งสละทรพั ย์ อวยั วะและ ชวี ติ เพอ่ื สตั วโ์ ลกไดโ้ ดยไมอ่ าลยั

๗๒ - ศีลปารมิตา หรือศีลบารมี พระโพธิสัตวต์ อ้ งรกั ษาศีลอันประกอบด้วย อินทรียส์ ังวรศีล กุศลสังคหศีล ขอ้ น้ ีไดแ้ ก่การทาความดีสงเคราะห์สรรพสัตวท์ ุก กรณี สตั วสงั คหศีลคือการชว่ ยสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ ทุกข์ - กษานติปารมิตา หรือขันติบารมี พระโพธิสัตวต์ อ้ งสามารถอดทนต่อสิ่ง กดดนั เพ่ือโปรดสตั วไ์ ด้ - วิริยปารมิตา หรือวิริยบารมี พระโพธิสัตวไ์ ม่ย่อทอ้ ต่อพุทธภูมิ ไม่รูส้ ึก เหน่ือย-หน่ายระอาในการชว่ ยสตั ว์ - ธยานปารมิตา หรือฌานบารมี พระโพธิสัตว์จะต้องสาเร็จในฌาน สมาบตั ิทุกชน้ั มีจติ ไมค่ ลอนแคลนเพราะเหตุแหง่ อารมณ์ - ปรัชญาปารมิตา หรือปัญญาบารมี พระโพธิสัตวจ์ ะต้องทาใหแ้ จง้ ใน ปุคคลศูนยตา และธรรมศนู ยตา ๒) อัปปมญั ญา ๔ คือ การอบรมจิตใหม้ ีคุณสมบตั ิอันประกอบดว้ ยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ทาใหค้ ุณสมบัติเหล่าน้ ีแผ่ไปในสรรพสัตวท์ ้ังปวงไม่มี ประมาณ ๓) มหาปณิธาน ๔ คือ ความต้งั ใจอนั แน่วแน่มนั่ คงซึ่งพระโพธิสตั วจ์ ะตอ้ ง มี คือ - จะละกิเลสท้งั หลายใหห้ มดส้ ิน - จะศึกษาธรรมท้งั หลายใหถ้ ่องถว้ น (คือศึกษาใหห้ มดและแตกฉาน) - จกั โปรดสตั วท์ ้งั หลายใหห้ มด - จะตอ้ งบรรลุอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ (บรรลุพุทธภูมิ) ๔) อุดมคติ ๓ คือ - หลักมหาปัญญา เป็ นผูร้ ูแ้ จง้ ในสุญญตาท้ัง ๒ คือ ปุคคลสุญญตา และ ธรรมสุญญตา พจิ ารณาเหน็ ความวา่ งในบุคคลและธรรม ไมต่ กอยใู่ นอานาจกิเลส - หลกั มหากรุณา คือ มีจิตใจกรุณาต่อสตั วไ์ มม่ ีขอบเขต พรอ้ มที่จะเสียสละ ตนเองทนทุกขแ์ ทนสรรพสตั ว์ เพ่อื ชว่ ยสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ ทุกข์ - หลกั มหาอุบาย คือ ตอ้ งมีกุศโลบายอนั ชาญฉลาด ในการแนะนาอบรมสงั่ สอนผอู้ ่ืนใหพ้ น้ จากทุกขใ์ หเ้ ขา้ ถึงธรรม

๗๓ อุดมคติของพระโพธิสตั วท์ ้งั สามขอ้ น้ ี นับเป็ นหวั ใจของพระพุทธศาสนาฝ่ าย มหายาน ขอ้ แรกหมายถึงการบาเพ็ญประโยชน์ของตนใหเ้ พียบพรอ้ มสมบูรณ์ ส่วน สองขอ้ หลงั เป็ นการบาเพ็ญประโยชน์เพ่ือผูอ้ ื่น เมตตาชว่ ยผูอ้ ื่นใหพ้ น้ ทุกข์ และเป็ น การสืบอายุพระศาสนาพรอ้ มท้งั เผยแผค่ าสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหแ้ พรห่ ลาย ในพระพุทธศาสนามหายาน ความเป็ นพระอรหนั ตก์ ็ยงั นับว่าดอ้ ยกวา่ พระ โพธิสตั ว์ เพราะเป็ นการเอาตวั รอดแต่เพียงผเู้ ดียว มไิ ดช้ ว่ ยเหลือผอู้ ่ืนในระหวา่ งการ บาเพ็ญเพียรของตน แต่พระโพธิสัตว์ผูม้ ุ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็ นผูท้ ่ีเสียสละ อยา่ งยงิ่ ไมย่ อมบรรลุโพธิในทนั ทีเพราะอาศยั ความกรุณาเป็ นท่ีต้งั จึงปรารถนาท่ีจะ ช่วยเหลือผูอ้ ่ืนก่อน ความคิดที่เน้นการเสียสละช่วยเหลือแก่ผูอ้ ื่นโดยไม่คานึงถึง ความทุกข์ยากลาบากของตัวเอง จึงทาใหอ้ ุดมคติพระโพธิสัตวม์ ีความโดดเด่น เหนือกว่าอุดมคติพระอรหันต์ และไดร้ บั ความนิยมมากข้ ึนเรื่อยๆ จนกลายเป็ น แกนกลางคาสอนท้งั หมดของฝ่ ายมหายานในท่ีสุด เมื่อพิจารณาจากหลักการและความเชื่อของมหายานที่กล่าวมาข้างต้น ท้งั หมด เราจะเห็นภาพรวมของคาสอนท่ีมีลกั ษณะพิเศษอนั เป็ นเอกลกั ษณข์ องฝ่ าย มหายานโดยเฉพาะ หลกั คาสอนเหล่าน้ ีสาหรบั พุทธศาสนิกชนฝ่ ายเถรวาทอาจมอง วา่ เป็ นเรื่องท่ีเขา้ ใจไดย้ ากเพราะห่างไกลจากคาสอนด้ังเดิมในฝ่ ายเถรวาท ท้ังๆ ท่ี จริงแลว้ ก็เป็ นเรอื่ งท่ีเก่ียวเนื่องสมั พนั ธก์ บั คาสอนของเถรวาทท้งั หมด การปรับปรุงคาสอนให้เข้ากับสังคมและกาลสมัยตามแนวทางของ คณาจารย์ฝ่ ายมหายาน ถือว่าเป็ นข้อเด่นท่ีเป็ นประโยชน์ ในการเผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา แต่อยา่ งไรก็ดี ในประเด็นน้ ีมีขอ้ ที่ควรพจิ ารณาคือ ๑) การปรบั พุทธพจน์ มหายานไดใ้ ชห้ ลกั จิตวทิ ยาท่ีเหนือกวา่ การจูงใจคนคือปรบั พุทธพจน์ใหเ้ ขา้ กบั บุคคล ใหค้ นทวั่ ไปมคี วามรสู้ ึกวา่ พุทธภาวะน้ันอยแู่ ค่เอ้ ือม บุคคลทุกเพศทุกวยั ก็อาจบรรลุพุทธภาวะน้ันได้ โดยไม่ตอ้ งอาศยั พิธีรีตองหรือการปฏิบตั ิมาก เป็ นการ ดึงพุทธธรรมเขา้ หาบุคคลอย่างเหมาะเจาะ และเกิดความรูส้ ึกว่าเป็ นกันเอง คือ พุทธธรรมอยใู่ นวสิ ยั อยใู่ นความสามารถของสามญั ชนท่ีหยงั่ ถึงได้ โดยไมต่ อ้ งอาศยั พธิ ีการอะไรใหย้ งุ่ ยากนัก

๗๔ เม่ือเปรียบเทียบกัน อาจดูเหมือนว่า ฝ่ ายเถรวาทจะต้ังเป้าหมายและวิธี บรรลุเป้าหมาย ไวส้ ูงส่งและยากเกินไป และอาศยั ผูม้ ีศรทั ธาจริงๆ จึงจะกลา้ ดาเนิน ตามเป้ าหมายและบรรลุ ตามเป้ าหมาย ท าให้สามัญ ชนโดยทั่วไปมอง พระพุทธศาสนาในแง่สูงสุดเอ้ ือม จะเห็นไดง้ ่ายๆ วา่ แมแ้ ต่พุทธศาสนิกชนชาวไทย ส่วนใหญ่ ก็ยงั มีความเห็นวา่ เรื่องการปฏิบตั ิธรรมน้ันเป็ นเรอื่ งของพระภิกษุเท่าน้ัน ยิ่งเม่ือพดู ถึงการบรรลุมรรคผลดว้ ยแลว้ ดูจะเป็ นส่ิงที่เกินวสิ ัย และเป็ นไปไม่ไดเ้ ลย สาหรบั ฆราวาสผูท้ ่ียงั ครองเรอื นจะบรรลุธรรมได้ ดงั น้ันจึงมกั คิดวา่ ทางโลกและทาง ธรรมเป็ นส่ิงท่ีตอ้ งแยกออกจากกนั และยากที่จะไปดว้ ยกนั ได้ เม่ือมองในอีกแงห่ นึ่ง พระพุทธศาสนาเถรวาทมุ่งท่ีปัจเจกภาพเฉพาะบุคคล คือเริ่มที่ตนก่อนแลว้ จึงไปหาผูอ้ ่ืน แต่มหายานมุ่งท่ีผูอ้ ื่น แลว้ ดึงเขา้ มาหาตนเอง กล่าวง่ายๆ คือ มหายานเอาปริมาณไวก้ ่อน เพราะถือวา่ เม่ือคนท่ีสนใจธรรมะมี มากข้ ึน คนท่ีรูแ้ จง้ ธรรมก็ย่อมจะมีมากตามไปด้วยเป็ นเงาตามตัว ด้วยเหตุน้ ี พระพุทธศาสนาแบบมหายานจึงไดร้ ับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็วและ สามารถดึงดูดความสนใจของผคู้ นไดม้ ากกวา่ ๒) ปัญหาทเ่ี กิดจากการปรบั พทุ ธพจน์ อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ การปรบั พทุ ธพจน์จะทาใหม้ หายานประสบความสาเร็จ ในการเผยแผ่ แตถ่ ึงกระน้ัน ก็ยงั ก่อใหเ้ กิดผลเสียที่เห็นไดช้ ดั เจนในแงท่ ี่วา่ เมื่อมีการมองคาสอนหรอื พระพุทธวจนะในแงป่ รชั ญา คือมุ่งพิจารณาในแง่ เหตุผลมิใช่ในแง่ศรทั ธา จึงปรากฏมีคณาจารยม์ หายานตีความพระธรรมวินัยไป ตามหลกั เหตุผลท่ีแตกตา่ งกนั และเนื่องจากเหตุผลก็ยอ่ มข้ ึนอยกู่ บั ขอบเขตแหง่ แนวความคิดของบุคคลแต่ ละคนไม่จาเป็ นท่ีบุคคลอ่ืนๆ จะตอ้ งยอมรับ ดังน้ันนิกายย่อยๆ ของมหายานจึง เกิดข้ ึนเรื่อยมา เม่ืออยูท่ ี่ใด สภาพแวดลอ้ มเปลี่ยนไป ความคิดที่จะปรบั ปรุงก็มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ถา้ บุคคลมีจิตใจสูง พุทธพจน์ก็ไม่แปดเป้ ื อนมลทินมากนัก แต่ถา้ บุคคลมจี ติ ใจตา่ พุทธพจน์ก็พลอยมวั หมองไปดว้ ย ดว้ ยเหตุน้ ี พระพทุ ธศาสนาฝ่ ายเถรวาทจึงมที ่าทีในการรกั ษาพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครัด ซ่ึงมีประโยชน์ต่อความมัน่ คงของพระพุทธศาสนาในระยะยาว ในขณะที่ฝ่ ายมหายาน สนองความตอ้ งการท่ีเหมาะในขณะน้ันเท่าน้ัน และเมื่อ

๗๕ กาลเวลาผ่านไป มหายานก็ตอ้ งเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยไปอย่างหลีกเล่ียงมิได้ จงึ ปรากฏวา่ มนี ิกายของมหายานมากมายเหลือเกินในปัจจุบนั ๒.๑.๔ มหายานสองสายท่ีมีตน้ กาเนิดในอินเดีย พระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย สามารถแบ่งเป็ นนิกายใหญ่ๆ ได้ ๒ นิกาย คือ นิกายมาธยมิกะ และนิกายโยคาจาร ท้งั สองนิกายเป็ นที่ยอมรบั กนั ทวั่ ไป ในวงวิชาการว่า เป็ นนิกายของฝ่ ายมหายานที่มีตน้ กาเนิดในอินเดีย และต่างก็มี ปรชั ญาคาสอนอนั ลึกซ้ ึงท่ีชวนใหน้ ักวิชาการชาวตะวนั ตกท้ังหลายทุ่มเทศึกษากัน อยา่ งจริงจงั ๑. นิกายมาธยมิกะ (Madhyamika) คาวา่ มาธยมิกะ แปลวา่ ทางสายกลาง ท่ีไดช้ ื่ออยา่ งน้ ีเพราะมุ่งเนน้ คาสอน เรอ่ื งทางสายกลาง (มชั ฌิมาปฏิปทา) เป็ นหลกั สาคญั แต่ทางสายกลางตามแนวคิด ของนิกายมาธยมิกะ อาจห่างไกลจากส่ิงท่ีเราเขา้ ใจ นิกายมาธยมิกะถือทางสาย กลางระหวา่ งความมีกบั ความไม่มี ความเที่ยงกบั ความไม่เที่ยง เป็ นตน้ กล่าวส้นั ๆ นิ กายน้ ี แสดงว่าโลกน้ ี มีจริงก็ไม่ใช่ ไม่มีจริงก็ไม่ใช่ แต่เป็ นส่ิงท่ีสืบเน่ื องกัน เป็ นปฏิจจสมุปบาท (สิ่งท้งั หลายเกิดข้ ึนและดาเนินไปตามเหตุปัจจยั ) น่าสังเกตว่าทางสายกลางตามคาสอนด้ังเดิม มีความหมายไปในเชิง จริยธรรมหรือเป็ นแนวทางเพื่อการปฏิบัติ ในขณะที่ทางสายกลางของนิ กาย มาธยมิกะกลับมีความหมายในเชิงอภิปรัชญา ซึ่งเป็ นแนวคิดอันลึกซ้ ึงท่ีดูจะไม่ เกี่ยวกบั การปฏิบตั ิเท่าใดนัก กลา่ วกนั วา่ นิกายมาธยมิกะเป็ นนิกายแรกสุดท่ีแยกตวั ออกมาจากมหายาน กลุ่มด้งั เดิมที่มีมาก่อนหน้าน้ัน โดยมีท่านนาคารชุน (Nagarajuna) เป็ นผูก้ ่อต้งั ข้ ึน ในพุทธศตวรรษท่ี ๗ ท่านนาคารชุนไดอ้ รรถาธิบายพุทธมติดว้ ยระบบวิภาษวิธี (Dialectic) หรือวธิ ีโตแ้ ยง้ กนั ทาง ความคิดเพ่ือใหเ้ ขา้ ถึงความจรงิ ในปรชั ญาน้ัน จน สามารถกาจดั ปรวาทีฝ่ ายตรงขา้ มใหพ้ า่ ยแพไ้ ปทุกแหง่ หน วภิ าษวธิ ีของท่านนาคาร ชุน ไดก้ อ่ ใหเ้ กิดการต่ืนตวั ในวงการนักปราชญท์ างพระพุทธศาสนา ทาใหม้ นี ักคิดท่ี ตามมาในภายหลงั ยดึ ถือวธิ ีการของท่านเป็ นแบบอยา่ งอีกมากมาย ท่านนาคารชุนไดเ้ ขียนคัมภีร์ไวห้ ลายเล่ม ผลงานช้ ินสาคัญของท่านคือ คมั ภีรม์ ัธยมกการิกา (Madhyamakakrika) ซ่ึงไดร้ วบรวมปรชั ญามาธยมิกไวอ้ ยา่ ง

๗๖ เป็ นระเบียบ สอนเรื่องศูนยตา (Sunyata) ว่าเป็ นความแทจ้ ริงข้ันสุดทา้ ย (อันติม สจั จะ) และเพราะเหตุท่ีนิกายน้ ี ยดึ ถือศูนยตาวา่ เป็ นหลกั สาคญั ของตนดว้ ย ดงั น้ัน จึงมชี ่ือเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ นิกายศูนยวาท คัมภีร์มัธยมกการิกายงั ไดก้ ล่าวอีกว่า สัจจะหรือความจริงมี ๒ ชนิด คือ สมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ ในสัจจะท้ัง ๒ น้ ี สมมติสัจจะ หมายถึงอวิชชาหรือ โมหะซ่ึงปิ ดบงั ความเป็ นจริงจนทาใหเ้ ราเขา้ ใจผิดไปวา่ ทุกส่ิงทุกอย่างน้ันมีแก่นสาร ส่วนปรมัตถสัจจะ หมายถึง การหยงั่ เห็นปรากฏการณ์ท้ังหลายว่าเป็ นสิ่งสมมติ สงั ขารท้ังหลายไม่มีอยู่จริง เปรียบเหมือนภาพมายา แมแ้ ต่ความหลุดพน้ ก็เป็ นส่ิง สมมติ เม่ือยงั ละสมมติสจั จะไม่ไดก้ ็ยงั บรรลุปรมตั ถสจั จะไม่ได้ จากคาอธิบายตรงน้ ี เราจึงตีความไดว้ า่ ความจรงิ แทท้ ่ีมาธยมิกะกล่าวถึงน้ัน ไมม่ ีแก่นสารสาระใดๆ แต่ เป็ นอิสรภาพหรือความหลุดพน้ จากแกน่ สารท้งั ปวง หลักการของมาธยมิกะขา้ งตน้ ดูจะเป็ นเร่ืองยากต่อการเขา้ ใจของคนทัว่ ไป เพราะเต็มไปดว้ ยการโตแ้ ยง้ เชิงเหตุผลที่ซบั ซอ้ นและลึกซ้ ึง แต่อยา่ งไรก็ตามบรรดา นักปราชญช์ าวตะวนั ตก ยุคหลงั ที่ไดอ้ ่านคมั ภีรข์ องนาคารชุนแลว้ ตา่ งก็ตอ้ งยอมรบั วา่ ท่านนาคารชุนเป็ นนักตรรกวทิ ยา ที่ยง่ิ ใหญ่ของโลกที่ไม่มีปราชญ์ชาวตะวนั ตก ผูใ้ ดจะเทียบได้ แมแ้ ต่พุทธศาสนิกชนฝ่ ายมหายานเองต่างก็ยอมรบั ในอจั ฉริยภาพ ดา้ นพุทธปรชั ญาของท่าน และยกยอ่ งท่านไวอ้ ยา่ งสูงสุดในฐานะ \"พระพุทธเจา้ องค์ ท่ีสอง\" ในบ้ันปลายชีวิต ท่านนาคารชุนดับขันธ์ลง ณ มหาวิหารแห่งหนึ่งที่เมือง อมราวดี ในแควน้ อนั ธระ ทักษิณาบถ ปัจจุบนั น้ ีในอินเดียทางใตย้ งั มีโบราณสถาน แหง่ หน่ึง ซง่ึ มซี ากพระสถูปเจดียช์ ือ่ วา่ \"นาคารชุนโกณฑะ\" ๒. นิกายโยคาจาร (Yogacara) นิกายโยคาจารเป็ นนิกายสาคญั ท่ีเป็ นคูป่ รบั ของนิกายมาธยมกิ ะ โดยมที ่าน ไมเตรยนาถ (Maitreya-natha) เป็ นคณาจารยผ์ ูเ้ ป็ นตน้ กาเนิดนิกายในปลายพุทธ ศตวรรษท่ี ๘ และไดเ้ ขียนคัมภีรไ์ วห้ ลายเล่ม เช่น อภิสมยาลงั การะ มหายานสูตรา ลังการะ เป็ นตน้ แต่บางตานานบอกว่า โยคาจารเริ่มพัฒนาข้ ึนอย่างชา้ ๆ ต้ังแต่ปี พ.ศ.๗๐๐ เป็ นตน้ มา และพฒั นาถึงขีดสูงสุดประมาณปี พ.ศ.๙๐๐ มีพ้ ืนฐานทฤษฎี อยู่บนระบบการตีความเน้ ือหาคัมภีรท์ ี่สาคัญ เช่น สันธินิรโมจนสูตร และลังกาว ตารสูตร เป็ นตน้

๗๗ นิกายโยคาจารเจริญถึงขีดสุดในสมยั ของท่านอสังคะ (Asanga) และท่านวสุ พันธุ (Vasubandhu) สองพ่ีน้องผูแ้ ต่งตาราออกเผยแผ่มากมาย โดยท่านอสังคะ พี่ชายเป็ นศิษยค์ นสาคญั ของท่านไมเตรยนาถ เป็ นผูอ้ ธิบายปรชั ญาโยคาจารอย่าง เป็ นระบบต่อจากท่านไมเตรยนาถ ส่วนน้องชายคือวสุพนั ธุแต่เดิมบวชเรียนอยใู่ น นิกายสรวาสติวาท หรือไวภาษิกะ มาภายหลังจึงหนั มานับถือมหายานนิกายโยคา จารตามพ่ชี าย อสังคะเรียกชื่อนิกายฝ่ ายตนว่า นิกายโยคาจาร (Yogacara) ส่วนวสุพันธุ เรียกว่านิกายวิชญาณวาท (Vijananavada) ที่ไดช้ ื่อว่าโยคาจารน้ันก็เพราะใชว้ ิธี บาเพ็ญโยคะหรือการฝึกจิตเพื่อบรรลุโพธิ (การรแู้ จง้ ความจริง) แตท่ ่ีชื่อวา่ วชิ ญาณ วาท ก็เพราะยึดถือจิตตมาตระหรือวิชญาปติมาตร (Vijaaptimatra) หมายถึงความ ไม่มีอะไรนอกจากวญิ ญาณ (Thought-Only, or Mind-Only) วา่ เป็ นความจริงแทข้ ้นั สูงสุด พดู ง่ายๆ วา่ ยอมรบั เฉพาะจิตหรือวิญญาณเพียงประการเดียววา่ เป็ นจริง สิ่ง ต่างๆ นอกน้ันเป็ นเพียงความคิดหรืออาการกิริยาของจิต ดังน้ันโยคาจารจึงใช้ ปรชั ญาไปในทางปฏบิ ตั ิ สว่ นวชิ ญาณวาทใชป้ รชั ญาไปในทางเก็งความจริง นอกจากน้ ี โยคาจารยงั มีช่ือเรียกในภาษาจีนวา่ ธรรมลักษณะ ซึ่งหมายถึง การใหค้ วามสาคญั ที่ลักษณะของธรรม แต่ไม่ว่าจะอยา่ งไร โยคาจารก็ยงั มีหลักการ สาคญั อยทู่ ี่การยอมรบั จิตวา่ เป็ นความจริงเดียวท่ีมอี ยู่ ไมม่ คี วามจริงอื่นนอกจากจิต นิกายมาธยมิกะกับนิกายโยคาจารต่างเป็ นคู่ปรับกันมาทุกยุคทุกสมัย เหมอื นอยา่ งขม้ นิ กบั ปนู ถึงขนาดหา้ มสานุศิษยไ์ มใ่ หค้ บคา้ สมาคมกนั มิใหร้ ่วมสงั ฆ กรรม ขอ้ สาคญั ที่ขดั แยง้ กนั ก็คือเรื่องสวลกั ษณะหรอื สวภาวะ คือลกั ษณะหรอื ภาวะ ของตนเอง นิกายมาธยมิกะถือว่าโดยสมมติสัจจะแลว้ ส่ิงท้ังหลายท้ังปวงไม่มีสว ลกั ษณะหรือสวภาวะในตวั ของมนั เอง เป็ นมายาท้ังหมด และโดยปรมตั ถสจั จะแลว้ สิ่งท้งั หลายท้งั ปวงเป็ นศูนยตา ฝ่ ายนิกายโยคาจารถือว่า โดยสมมติสัจจะแลว้ ส่ิงท้ังหลายท้ังปวงจะเป็ น มายาไปท้ังหมดไม่ได้ แมม้ องจากภายนอกจะไม่ใช่ของจริง แต่พีชะที่มาจากอาลย วญิ ญาณจนเป็ นบ่อเกิด ของภาพเหล่าน้ันมีสวลกั ษณะอยดู่ ว้ ย และโดยปรมตั ถสจั จะ ก็ไมไ่ ดส้ ูญเสียไปท้งั หมด ยกตวั อยา่ ง ถา้ ทุกส่ิงทุกอยา่ งไมม่ ีสวลกั ษณะอยภู่ ายในตวั ของมนั เองแลว้ คนเราทาความชวั่ วนั น้ ี พรุง่ น้ ีก็ไมต่ อ้ งรบั ความชวั่ ท่ีตวั เองไดก้ ระทา

๗๘ ไว้ ถา้ ไมม่ ีสวลกั ษณะหรือสวภาวะอยแู่ ลว้ ใครเล่าจะเป็ นคนคอยรบั บุญรบั บาป นาย ปอทาความชวั่ วนั น้ ี พรุ่งน้ ีก็กลายเป็ นคนละคนไปแลว้ ไมต่ อ้ งรบั ความชวั่ ที่ตวั ก่อไว้ เหมอื นกบั ปลกู มะละกอ ถา้ ไมม่ ีสวลกั ษณะอยจู่ รงิ ก็กลายเป็ นมะมว่ งมะพรา้ วไป สรุปแลว้ นิกายท้งั ๒ ตีความหมายใหค้ านิยามสวลกั ษณะแตกต่างกนั และดู เหมือนจะแยง้ กันแบบสุดโต่ง ท้ังท่ีจริงแลว้ จุดประสงค์ของท้ัง ๒ นิกายเหมือนกัน คือ เพ่ือความหลุดพ้น แต่ส่ิงที่ดูเหมือนจะแตกต่างกันเป็ นเพียงแนวทางการ นาเสนอเท่าน้ัน โดยโยคาจารถือว่ามีจิตอยู่จริงและเป็ นความจริงเพียงหน่ึงเดียว สวลักษณะน้ันเปล่ียนแปลงได้ แต่ถึงจะเปล่ียนแปลงอย่างไรก็ยงั รักษาคุณสมบัติ เดิมเอาไวไ้ ด้ ดังน้ันจึงตอ้ งพยายามทาใหต้ วั เองหลุดพน้ จากความยุง่ ยากซบั ซอ้ นใน โลก โดยหนั มาดูท่ีกระแสจติ ของตนและบงั คบั ควบคุม ส่วนมาธยมิกะถือว่าโดยที่สุดแลว้ ไม่มีอะไรอยเู่ ลย จึงยืนยนั ว่า ข้ ึนชื่อวา่ สว ลกั ษณะแลว้ จะตอ้ งเท่ียงเปล่ียนแปลงไม่ได้ ท้งั ยงั เสนอวา่ ตอ้ งพยายามทาตวั เองให้ หลุดพน้ โดยไมย่ ดึ ถืออะไรเลย และจุดเน้นของมาธยมิกะไม่ไดเ้ พียงวา่ ไม่ยดึ ถืออะไร เลยเท่าน้ัน แต่ก้าวไปไกลถึงขนาดกล่าวว่า \"โดยที่สุดแล้ว ความว่างก็ไม่มี (Emptiness of Emptiness)\" ฝ่ ายมาธยมิกะจึงประณามพวกโยคาจารวา่ เป็ นพวกสัส สตวาท (ความมีอยู่อย่างเท่ียงแทถ้ าวร) ฝ่ ายโยคาจารก็ประณามพวกมาธยมิกะว่า เป็ นพวกนัตถิกวาท (ความไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีสภาวะที่จะกาหนดเป็ นสาระได)้ ต่างฝ่ ายต่างกล่าวหากันวา่ เป็ นพวกมิจฉาทิฏฐิทาลายพระพุทธศาสนา ทาใหเ้ กิด ความขดั แยง้ จนหาจุดจบไม่ได้ ท้ังสองนิกายน้ ี ก็เลยเขา้ ข่ายเป็ นมิจฉาทิฏฐิไปท้ังคู่ ตามหลกั คาสอนฝ่ ายเถรวาท อันท่ีจริง โยคาจารเห็นดว้ ยกับมาธยมิกะเฉพาะเร่ืองความไม่มีอยู่จริงของ วตั ถุหรืออารมณ์ภายนอก แต่เรื่องท่ีเห็นวา่ จิตไมม่ ีจริงหรือไม่มีอยจู่ ริงน้ัน โยคาจาร ไม่เห็นดว้ ยอย่างยิ่ง เพราะถือว่าทรรศนะของมาธยมิกะที่ปฏิเสธว่าสูญท้ังหมด เท่ากบั เป็ นความเห็นผิดอยา่ งไมน่ ่าใหอ้ ภยั เพราะโยคาจารเชื่อวา่ อยา่ งน้อยที่สุดเรา ตอ้ งยอมรบั วา่ จิตเป็ นส่ิงที่มีอยจู่ ริง ท้งั น้ ีเพื่อใหค้ วามคิดที่ถูกตอ้ งเป็ นส่ิงที่เป็ นไปได้ จิตซ่ึงประกอบดว้ ยกระแสแห่งความคิดชนิดต่างๆ (เจตสิก) เป็ นส่ิงแทจ้ ริงเพียง ประการเดียว ดังน้ันหากจะกล่าวไปแลว้ ก็คงถือไดว้ ่านิกายโยคาจาร จดั ว่าเป็ น ปรัชญาคาสอนฝ่ ายอภิธรรมของมหายานที่ดูจะใกลเ้ คียงกับหลักคาสอนในการ

๗๙ ปฏิบตั ิของฝ่ ายเถรวาทมากที่สุด โดยเฉพาะขอ้ ความในคมั ภีรฝ์ ่ ายเถรวาทที่วา่ \"โลก อันจิตนาไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกท้ังหมดเป็ นไปตามอานาจของธรรมอย่าง เดียว คือจติ \" ๓. พระพุทธศาสนาในยุคเส่ือมจากอินเดยี ๓.๑ การเผยแพรข่ องลทั ธิพทุ ธตนั ตรยาน นิกายพุทธตนั ตระ (Tantric Buddhism) เช่ือวา่ แนวทางของตนถือกาเนิดมา ต้งั แต่สมยั พุทธกาลโดยคาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ กล่าวกันวา่ พระศากยมุนีพุทธ ไดจ้ ดั ใหม้ ีการประชุมข้ ึนท่ีเมืองศรีธานยกฏกะและทรงสงั่ สอนเก่ียวกบั ทางล้ ีลบั หรือ ทางลัด (Esoteric path) ที่เป็ นธรรมละเอียดลึกซ้ ึงซ่ึงไม่ทรงเปิ ดเผยทั่วไปแก่ สาธารณชน แต่จะทรงแสดงใหฟ้ ังเฉพาะคนท่ีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเท่าน้ัน ดงั น้ัน คาสอนน้ ีจึงเรียกวา่ รหสั ยานหรือคุยหยาน ซึ่งแปลวา่ ลึกลบั เช่นเดียวกบั ท่ีพระองค์ เคยทรงสัง่ สอนวิถีทางใหแ้ ก่นิกายมหายานมาก่อนท่ีเขาคิชฌกูฏ คติความเช่ือ ดังกล่าวน้ ีไดร้ ับการสนับสนุนโดยนักประวตั ิศาสตรช์ าวทิเบตและนักปราชญ์ชาว อินเดียบางท่านก็เห็นคลอ้ ยตามว่า พระพุทธเจา้ ไดส้ อนหลักปฏิบัติแบบตันตระ มนตร์ มุทรา และธารณี ใหแ้ ก่พุทธศาสนิกชนดว้ ย โดยอา้ งว่าผูท้ ี่ฉลาดอย่างพระ พุทธองคค์ งจะไมท่ รงละเวน้ ที่จะนาเอาหลักปฏิบัติเกี่ยวกบั เวทมนตรค์ าถา มารวม ไว้ในพระพุ ทธศาสนา เพื่ อดึ งดู ดพุ ทธศาสนิ กชนให้มี ความศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนามากข้ ึน จากร่องรอยทางประวตั ิศาสตร์ นักปราชญ์ชาวอินเดียไดส้ ืบอายุของนิกาย พทุ ธตนั ตระไปจนถึงสมยั ของท่านเมไตรยนาถและอสงั คะแห่งสานักโยคาจาร ซึ่งอยู่ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๘ อันเป็ นช่วงที่ศาสนาฮินดูกาลังเฟ่ื องฟูอย่างมาก พระพุทธศาสนาในขณะน้ันจึงอยูใ่ นภาวะที่ตอ้ งแข่งขันต่อสูก้ บั ศาสนาฮินดู ดังน้ัน เพ่ือความอยรู่ อดของพระพุทธศาสนา คณาจารยฝ์ ่ ายมหายานจึงตดั สินใจที่จะใชว้ ธิ ี ประนีประนอมระหวา่ งกลุ่มชน ๒ ฝ่ าย คือ กลุ่มชาวพุทธยุคใหม่ และกลุ่มชาวฮินดู ท่ีนับถือพระศิวะ (ไศวนิกาย) เพื่อใหป้ ระชาชนหนั กลับมานับถือพระพุทธศาสนา ดงั เดิม คณาจารยฝ์ ่ ายมหายานท้งั หลายเห็นวา่ ลาพงั พระธรรมแทๆ้ ยากท่ีจะทาให้ ชาวบา้ นเขา้ ถึงได้ จึงคิดแกไ้ ขใหเ้ หมือนศาสนาฮินดู คือกลับไปยกย่องเร่ืองเวท

๘๐ มนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่ า ลงเลขยนั ต์ต่างๆ จนในท่ีสุดนิกายพุทธ ตนั ตระจึงระคนปนเประหวา่ งมหายานนิกายโยคาจารกบั ศาสนาฮินดูจนแทบแยกไม่ ออก พระสงฆเ์ องก็ตอ้ งทาหน้าที่เหมือนพราหมณท์ ุกอยา่ ง ลทั ธิน้ ีจึงเรยี กวา่ มนตร ยาน (Mantrayana) หรือตันตรยาน (Tantrayana) เพราะนับถือพิธีกรรมและการ ท่องบ่นสาธยายเวทมนตรอ์ าคมเป็ นสาคญั โดยที่เวทมนตรแ์ ต่ละบทเรยี กวา่ ธารณี (Dharani) มีอานิสงส์ความขลังความศักด์ิสิทธ์ิพรรณนาไวว้ ิจิตรลึกล้านักหนา ธารณีมนตเ์ หล่าน้ ีมีท้งั ประเภทยาวขนาดหน้าสมุด และประเภทส้นั เพียงคาสองคา ซ่ึงเรียกวา่ หวั ใจคาถาหรือหวั ใจธารณี สามารถทาใหผ้ สู้ าธยายพน้ จากทุกขภ์ ยั นานา ชนิด และใหไ้ ดร้ บั ความสุขสวสั ดิมงคลและโชคลาภตามความปรารถนา ฉะน้ันเป็ น ธรรมดาอยู่ ท่ีลทั ธิน้ ีจะไดร้ บั การตอ้ นรบั จากพุทธศาสนิกชนผยู้ งั เป็ นปุถุชนอยู่ ดว้ ย สามญั ปุถุชนย่อมแสวงหาท่ีพึ่งไวป้ ้องกันภยั ศาสนาพราหมณ์อา้ งเอาอานุภาพของ พระเป็ นเจา้ ปกป้อง ลทั ธิพุทธมนตรยานจึงแต่งมนตรอ์ า้ งอานุภาพของพระรตั นตรยั และอา้ งอานุภาพของพระโพธิสตั วต์ ลอดจนอานุภาพของเทพเจา้ ท้ังหลายซ่ึงนับถือ กนั วา่ เป็ นธรรมบาล รวมเอาเทพเจา้ ในศาสนาพราหมณ์เขา้ ไวด้ ว้ ยก็มี แลว้ สงั่ สอน แพรห่ ลายในหมพู่ ุทธศาสนิกชน นิกายพุทธตันตระมีวิธีสอนแตกต่างจากมหายานยุคต้นๆ อย่างชัดเจน มหายานสอนหลกั ธรรมในพระสูตรและศาสตรต์ ่างๆ ที่ใครๆ ก็สามารถหาอ่านได้ และเป็ นหนังสือที่คนทัว่ ไป พอจะทาความเขา้ ใจได้ แต่ตรงกนั ขา้ ม คัมภีรเ์ ล่มใหม่ อนั ยืดยาวของนิกายตนั ตระสงวนไวส้ าหรบั บุคคลท่ีไดร้ บั การคดั เลือกแลว้ เพียงไม่ก่ี คน และบุคคลเหล่าน้ันจะตอ้ งไดร้ บั การสอนจากครูโดยตรง นอกจากน้ันคมั ภีรย์ งั เขียนไวด้ ว้ ยภาษาท่ีลึกลบั เขา้ ใจยาก และคลุมเครือชวนใหส้ งสยั อีกดว้ ย ท้งั ไมย่ อม อา้ งวา่ คมั ภีรเ์ หล่าน้ันเป็ นคาสอนของพระศากยมุนีพุทธเจา้ แต่กลบั บอกวา่ เป็ นของ พระพุทธเจา้ องค์อื่น ซ่ึงกล่าวกันวา่ พระองค์ไดท้ รงสอนคัมภีร์เหล่าน้ันต้ังแต่อดีต กาลอนั ไกลโพน้ แมว้ ่าจุดมุ่งหมายของนิกายตันตระยงั เป็ นพุทธภาวะเช่นเดียวกับ นิกายมหายาน แต่มิใชเ่ ป็ นสิ่งที่จะไดบ้ รรลุในอนาคตอนั ไกลแสนไกลนานแสนนาน อย่างแต่ก่อน หากแต่พุทธภาวะน้ันมีอยู่ในร่างกายของเราน่ีเอง และในชวั่ ขณะจิต ตุปบาทที่เกิดข้ ึนเด๋ียวน้ ีเอง ซ่ึงเราบรรลุไดด้ ว้ ยวธิ ีการท่ีใหม่เอี่ยม รวดเร็วทันใจและ งา่ ยๆ อยา่ งน่าอศั จรรยท์ ีเดียว

๘๑ การเกิดข้ ึนของนิกายตนั ตระดารงอยนู่ านถึง ๓ สมยั ดว้ ยกนั คือ สมยั แรกมี ชื่อเรียกวา่ มนตรยาน (Mantrayana) ซ่ึงไดเ้ ริ่มตน้ ในพุทธศตวรรษที่ ๘ แต่เพ่ิงจะมี การเผยแพร่คาสอน อยา่ งจริงจงั หลังจากพุทธศตวรรษที่ ๑๐ นิกายน้ ีไดก้ ่อใหเ้ กิด เวทมนตร์คาถาต่างๆ ข้ ึนมากมาย โดยมีความมุ่งหมายที่จะใหเ้ วทมนตร์คาถา เหล่าน้ันเขา้ ช่วยใหก้ ารแสวงหาพระโพธิญาณทาไดง้ า่ ยย่ิงข้ ึน ดงั น้ันในพุทธศาสนา จึงมีมนตร์ มีมุทระ มีมณั ฑละ และเทพเจา้ องค์ใหม่เกิดข้ ึนท้ังที่มีในตาราและนอก ตารามากมาย และพอหลงั จาก พ.ศ.๑๒๙๓ นิกายตนั ตระน้ ี ก็ไดร้ บั การจดั ระบบใหม่ข้ ึนมา มีชื่อเรียกวา่ วชั รยาน ซึ่งก็ยงั มีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั คาสอนด้งั เดิมอยใู่ นเรื่องพระเจา้ ๕ พระองค์ (Five Tathagatas) นิกายยอ่ ยที่ไดร้ บั ความสนใจเป็ นพิเศษในชว่ งน้ันคือ นิ กายสหชยาน ซ่ึงเน้นหนักไปในทางการทาสมาธิและเจริญวปิ ัสสนา อีกท้ังสอนโดย ใชป้ ริศนาปัญหาธรรมและภาพปริศนาต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงการใชร้ ะบบการเรียน การสอนท่ีกาหนดตายตัว เม่ือถึงพุทธวรรษท่ี ๑๕ นิกายกาลจักรก็เกิดข้ ึน ซึ่ง กาลจักรน้ ีเป็ นเคร่ืองหมายแสดงใหเ้ ห็นว่า นิกายน้ ีไดข้ ยายขอบเขตแห่งคาสอน กวา้ งขวางยงิ่ ข้ ึน และเน้นหนักไปทางโหราศาสตรด์ ว้ ย นิกายดงั กล่าวน้ ีเองไดเ้ จริญข้ ึนในอินเดียต้งั แต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็ นตน้ มา นักบวชในนิกายน้ ีไม่เรียกวา่ ภิกษุ แต่เรียกวา่ สิทธะ (Siddha) หรือผูว้ เิ ศษ ซึ่งก็ ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระโพธิสตั ว์ แต่กล่าวกนั วา่ หลงั จากที่สิทธะไดบ้ รรลุถึงภูมิ ที่ ๘ แลว้ ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถว้ น สิทธะเป็ นบุคคลท่ีเป็ นแบบฉบบั ซึ่งจดั วา่ เป็ นอริยะ ต่อมานิกายพุทธตันตระไดแ้ ตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็ น ๒ พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ ายซา้ ย พวกน้ ีประพฤติเลื่อนเป้ ื อนไม่รักษา พรหมจรรย์ มีลกั ษณะเป็ นหมอผีมากข้ ึน คือ อยใู่ นป่ าชา้ ใชก้ ะโหลกหวั ผีเป็ นบาตร และมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า \"สนธยาภาษา\" ถือการเสพกามคุณเป็ น การบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ใหพ้ ระพุทธเจา้ และพระโพธิสัตว์มี \"ศักติ\" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุม้ กอดศกั ติ การบรรลุนิพพานตอ้ งทาใหธ้ าตุ ชายธาตุหญิงมาสมานกนั ธาตุชายเป็ นอุบาย ธาตุหญิงเป็ นปรชั ญา เม่ืออุบายรวม กบั ปรชั ญาจงึ ไดผ้ ลคือนิพพาน

๘๒ นอกจากน้ ี ยงั มีความเช่ือวา่ พระพุทธองคม์ ีพระกายท่ี ๔ เรียกวา่ วชั รสตั ว์ ซ่ึงทาเป็ นรูป พระพุทธนิรนั ดรกาลงั สวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วม สงั วาส (ยบั ยุม) พระพุทธ-รูปแบบน้ ีและปฏิมากรรมท่ีคลา้ ยกนั น้ ี มีในพิพิธภัณฑ์ ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธิน้ ีตอ้ งทาพิธีเสพเมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพ่ือแสดงความเคารพต่อพระพุทธองคก์ ับนางตารา และยงั มีความเช่ือกนั อีกดว้ ย วา่ ความเป็ นพุทธะต้งั อยใู่ นอวยั วะสืบพนั ธุข์ องหญิงหรอื โยนี ในขณะท่ีอีกพวกหน่ึงเรียกว่า พวกทักษิณจารี หรือพุทธตันตระฝ่ ายขวา พวกน้ ียงั ประพฤติธรรมวินัย ถา้ เป็ นพระยงั รกั ษาพรหมจรรย์ เขา้ ใจตีความใหเ้ ป็ น ธรรมโดยกล่าวว่าสัญลักษณ์เหล่าน้ัน จะถือเอาตรงตัวไม่ได้ เช่น ในคัมภีร์สาธน มาลาของท่านอนังควชั ระ ซึ่งเป็ นสิทธาจารยค์ นหน่ึงในนิกายน้ ี ไดก้ ล่าววา่ \"สาธุ\" (Sadhu) หมายถึง นักบวชควรไดร้ บั การบาเรอจากสตรีเพศ เพ่ือใหไ้ ดเ้ สวยมหามธุ รา ขอ้ ความเช่นน้ ีเป็ นสนธยาภาษา จะตอ้ งไขความวา่ สตรีเพศในที่น้ ีท่านใหห้ มาย เอาปัญญา สาธุเป็ นเพศชาย จะตอ้ งสรา้ งอุบายเพื่อรวมเป็ นหน่ึง (เอกีภาพ) เมื่อ เป็ นเช่นน้ ีก็ไดพ้ ระนิพพาน แต่พวกวามจารีน้ันหาคิดเช่นน้ันไม่ พวกเขาไดถ้ ือเอา ตามตวั อกั ษรเลยทีเดียว ถึงกบั สอนวา่ ผใู้ ดมอบสตรใี หส้ ิทธะจะไดก้ ุศล จะเห็นวา่ พุทธตนั ตระสอนใหค้ นกลบั ไปสู่กิเลส สอนใหค้ นเชื่อของขลงั และ อาคม และสอนใหบ้ าเพ็ญตบะแต่ไม่ตอ้ งทาอยา่ งลาบากยากเยน็ อะไร คือธรรมชาติ ประสงคใ์ หม้ นุษยท์ าอยา่ งไรก็ใหอ้ นุโลมทาไปตามน้ัน พวกตนั ตระมีพิธีกรรมเรียก จกั รบูชา และทากนั อย่างในลัทธิศักติ คือ ผูช้ ายกับผูห้ ญิงจานวนเท่าๆ กนั ไปพบ กันในที่ลับตาเวลามืดคา่ แลว้ นั่งลอ้ มเป็ นวงเขา้ เอาเทพีที่เคารพบูชาต้ังกลาง หรือไมก่ ็ใชเ้ คร่ืองหมายโยนีของหญิงต้งั ไวบ้ ูชา บางทีก็ใหห้ ญิงเปลือยกาย หญิงพวก น้ ีโดยมากเป็ นภรรยาของพระ จุดหมายในการทาพิธีน้ ี อยทู่ ี่การบูชาโยนีเป็ นสาคัญ ในพิธีมีการเสพสุรา กินปลา กินเน้ ือ ขา้ วตากกัน แลว้ เสพเมถุน การกระทา ๕ อยา่ งน้ ีคือ ด่ืมสุรา (มทั ยะ) กินเน้ ือ (มงั สา) กินปลา (มตั สะ) กินขา้ ว (มุทระ) และ เสพเมถุน (เมถุนะ) เรียกว่า ตัตตวะท้ัง ๕ (Pancha Tattva) แต่พวกทักษิณจารี ตีความ \"ม\" ท้ัง ๕ ว่า ได้แก่ ปัญจขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วญิ ญาณ

๘๓ ถ้าว่ากันโดยต้นกาเนิดแล้ว นิกายตันตรยานน้ ีไดม้ ีวิวัฒนาการมาจาก ปฏิกิริยาเพ่ือต่อต้านภยันตรายท่ีคุกคามพุทธศาสนาในอินเดียสมัยน้ัน ซ่ึง กาลังขยายตัวอย่างเพ่ิมข้ ึนเรื่อย ในระยะแรกปรากฏวา่ คณาจารยช์ าวพุทธประสบ ความสาเร็จในการพฒั นาตันตระล้าหน้าพวกฮินดูมาก เพราะมนตรยานมีอิทธิพล ในทางเขา้ เรา้ อารมณ์ใหเ้ ลื่อมใสงา่ ย และมพี ิธีกรรมอนั สวยสดงดงาม ส่วนสหชั ยาน มอี ิทธิพลในดา้ นการปฏิบตั ิสมาธิอยา่ งลึกซ้ งึ แต่เมื่อเริ่มมีเร่ืองเลอะเทอะผิดธรรมวินัยเขา้ มาปะปนมากข้ ึน และมีการ แกไ้ ขละท้ ิงธรรมวนิ ัยด้งั เดิมมากข้ ึน พระพุทธศาสนาที่แทจ้ ริงจงึ ค่อยๆ เสื่อมไป โดย ถูกอิทธิพลศาสนาพราหมณ์กลืนไปทีละเล็กละน้อยในรูปของลทั ธิตันตรยานน้ ีเอง หลงั จากน้ันมา คณะสงฆบ์ างกลุ่ม ก็ถูกเบ่ียงเบนความคิดดว้ ยลทั ธิตนั ตระที่พฒั นา ถึงขีดสุด จนเช่ือวา่ ชีวิตทางเพศไปกันไดก้ ับภิกษุภาวะ ท้ังๆ ท่ีก่อนน้ันทัศนะเร่ือง ประพฤติพรหมจรรยไ์ ม่ขอ้ งเกี่ยวดว้ ยกามารมณ์ยงั ดารงอยู่อย่างมนั่ คงในหมู่คณะ สงฆ์ จนเม่ือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ จึงมีหลักฐานวา่ ในแควน้ กษั มิระ มี ภิกษุแต่งงาน และต้งั แต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ เป็ นตน้ มา นิกายตนั ตระก็ยอมรบั รอง การแต่งงานของภิกษุ ตามหมู่บ้านท่ีนิ กายน้ ี ขยายออกไป น่ี คือสภาพการ พระพทุ ธศาสนาในอินเดียยคุ ปลายที่เขา้ สู่ภาวะเส่ือม กระทงั่ สูญส้ ินไปในเวลาต่อมา ๓.๒ พระพุทธศาสนาภายใตก้ ารอุปถมั ภข์ องฝ่ ายอาณาจกั ร ในบรรดาลทั ธิศาสนานิกายต่างๆ ของอินเดียโบราณซึ่งมีอยดู่ าษด่ืน จะเห็น วา่ มีแต่เพียงสาวกของเชนเท่าน้ัน ท่ียงั หลงเหลือในปัจจุบนั ท้งั ท่ีหลกั คาสอนไมใ่ คร่ สอดคลอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมนัก ท้งั น้ ีเป็ นเพราะวา่ บรรดาสาวกของเชน เหล่าน้ัน มีพวกพ่อคา้ ที่มีฐานะมัง่ คัง่ รวมอยู่ด้วยเป็ นอันมาก และคอยใหค้ วาม อุปถัมภแ์ ก่นักบวชน้ันอยา่ งเต็มท่ี จึงทาใหอ้ ยรู่ อดมาได้ เพราะชุมนุมชนของศาสนา เชนต้งั อยทู่ ่ามกลางนักบวชกบั คฤหสั ถ์ แต่สาหรบั พระพุทธศาสนาโดยทวั่ ไปอาศยั พระเจา้ แผน่ ดินทรงอุปถมั ภ์ และ ที่ใดท่ีขาดการอุปถัมภจ์ ากพระมหากษัตริย์ ที่นัน่ พระพุทธศาสนาก็จะประสบความ ลาบากเสมอ เมื่อผูป้ กครองเฉยเมยต่อดินแดนท่ีมีพระสงฆอ์ ยู่ประจา ไม่ไดใ้ หก้ าร สนับสนุนกนั เท่าท่ีควร พระสงฆ์ ก็ไมอ่ าจอยใู่ นถิ่นน้ันๆ ตามปกติได้ จาตอ้ งละท้ ิงท่ี น้ันไป เพราะไมอ่ าจปฏิบัติตามวนิ ัยและศาสนกิจตามที่ควรได้ ในขณะท่ีศาสนาเชน

๘๔ ยืนหยดั อยู่กับถ่ินที่อยู่ของตน ในบ้ันปลายท้ังฮินดูและเชนต่างก็ยงั รอดมาไดใ้ น ดินแดนด้งั เดิมของตน ในสมยั พุทธกาล พระพุทธศาสนาไดร้ บั การอุปถัมภ์จากกษัตริยผ์ ูป้ กครอง รฐั ต่างๆ เช่น พระเจา้ พิมพิสาร พระเจา้ ปเสนทิโกศล พระเจา้ จณั ฑปัชโชต และพระ เจา้ อุเทน ทรงยอมรับพระพุทธศาสนา หลังจากพุทธกาลพระพุทธศาสนาก็ได้ ขยายตวั ไปตามลาดบั และ ๒๐๐ ปี เศษหลงั พุทธกาล พระพุทธศาสนาไดห้ ยงั่ รากลึก ลงไปในอินเดียในยุคของพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งราชวงศโ์ มริยะ พระเจา้ กนิษกะ แหง่ ราชวงศก์ ุษาณะ และพระเจา้ หรรษวรรธนะ เป็ นตน้ กษัตริยเ์ หล่าน้ ีทรงส่งเสริม ความกา้ วหนา้ ของพระพุทธศาสนาท้งั ในอินเดียและในต่างประเทศ โดยเฉพาะพระเจ้าอโศกมห าราช พระองค์เป็ น ค น แรกท่ี ท าให้ พระพุทธศาสนากลายเป็ นศาสนาของโลก ทรงแผ่ขยายพระศาสนาไปจนทัว่ ทุกทิศ ของอินเดีย และนาไปยงั ลงั กา กัษมิระ และคนั ธาระ ท้ังยงั ส่งสมณทูตไปยงั กษัตริย กรกี ในสมยั ของพระองคอ์ ีกดว้ ย ภายหลังจากที่พระเจา้ อโศกมหาราชสวรรคตไปแลว้ ๕๐ ปี ราชวงศ์โมรยะ ของพระองค์ก็ล่มสลาย พระพุทธศาสนาจึงตกอยู่ในสภาพไรก้ ษัตริยอ์ ุปถัมภ์ และ กลับมาสู่ยุคทองอีกคร้งั ในปี พ.ศ.๖๒๑ ซ่ึงตรงกับสมัยของพระเจา้ กนิษกะ ต่อมา ประมาณปี พ.ศ.๗๐๐ ราชวงศ์กุษาณะของพระเจา้ กนิ ษกะหมดอานาจในการ ปกครองอินเดีย กงลอ้ แห่งพระพุทธศาสนาจึงหมุนกลบั มาสู่สภาพไรร้ าชูปถัมภ์อีก ครง้ั เมอื่ ราชวงศค์ ุปตะมีอานาจปกครองแควน้ มคธ กษัตริยร์ าชวงศน์ ้ ีนับถือศาสนา พราหมณ์ กระทั่งมาถึงยุคของกษัตริย์ผู้จงรักภักดีและเปี่ ยมด้วยศรัทธาต่อ พระพุทธศาสนาองคส์ ุดทา้ ยคือ พระเจา้ หรรษวรรธนะ ทรงครองราชสมบตั ิเมื่อราว ปี พ.ศ.๑๑๐๐ พระเจา้ หรรษวรรธนะแผ่อานาจครองแผ่นดินภาคเหนือท้ังหมด พระองค์เสด็จสวรรคตในราวปี พ.ศ.๑๑๙๐ จากน้ันเป็ นตน้ มา พระพุทธศาสนาจึง โดดเดี่ยวอยทู่ ่ามกลางศตั รูคู่แคน้ คือศาสนาฮินดู ตกอยใู่ นภาวะไรร้ าชูปถมั ภ์ ไมม่ ีผู้ ปกป้องผองภัย เม่ือพระพุทธศาสนาสูญส้ ินราชูปถัมภ์ กษัตริย์ต่างศาสนาจึงใช้ อานาจมหาศาลที่ตนมีอยเู่ ขา้ ทาลายลา้ งผลาญโดยไมย่ ้งั มอื ความรุง่ เรืองและอบั เฉาของพระพุทธศาสนาในอินเดีย ข้ ึนอยกู่ บั วา่ ในยุคใด สมัยใด กษัตริย์ใหค้ วามอุปถัมภ์สนับสนุน ยุคน้ันสมัยน้ันพระพุทธศาสนาก็จะ

๘๕ เจริญรุง่ เรือง แต่ยุคใดเป็ นไปในทานองตรงกนั ขา้ ม คือหากขาดความอุปการะจากผู้ ทรงอานาจในแผ่นดิน ยคุ น้ันพระพุทธศาสนาก็จะประสบกบั ภาวะซบเซา ๓.๓ สาเหตทุ ี่ทาใหพ้ ระพุทธศาสนาเสื่อมจากอินเดีย ท้ังที่พระพุทธศาสนาถือกาเนิ ดในประเทศอินเดีย แต่ต่อมาในขณะที่ พระพุ ทธศาสนาแผ่ขยายและเจริญ รุ่งเรืองไปในดิ นแดนต่างๆ ทั่ว โลก พระพุทธศาสนาในอินเดียเองกลับเสื่อมลง จนในยุคหน่ึงกล่าวไดว้ ่าแทบไม่มีชาว พุทธหลงเหลืออยเู่ ลย ท่ีเป็ นเชน่ น้ ีน่าจะมาจาก ๒ สาเหตุหลกั ดงั ต่อไปน้ ี ๑) สาเหตภุ ายใน พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์เป็ นผู้นา โดยมีวัดเป็ น ศูนยก์ ลาง ในแง่การปฏิบตั ิเพื่อมุ่งสู่นิพพานน้ัน พระภิกษุสงฆค์ ือผูท้ ี่สละโลก ต้งั ใจ ปฏิบตั ิธรรมขัดเกลากิเลส ถือเป็ นแบบอยา่ งของชาวพุทธโดยทวั่ ไป และในแง่การ เผยแผ่ศาสนา พระภิกษุสงฆก์ ็อยใู่ นฐานะของครูผสู้ อน โดยสาธุชนทวั่ ไปเป็ นผูร้ บั ฟัง คาสอนแลว้ นาไปปฏิบตั ิ และทาบุญใหก้ ารสนับสนุนในการดารงชีพและการปฏิบตั ิ ศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ ในระยะแรกพระภิกษุสงฆ์ท่ีบรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์มีอยู่เป็ นจานวน มาก ปฏิบัติตนเป็ นผู้นา เป็ นแบบอย่างแก่พระภิกษุสงฆ์อื่นในการเผยแผ่พระ ศาสนา พระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ต่างมีความศรทั ธาในพระสัมมาสัมพุทธเจา้ อย่าง แน่นแฟ้น เป้าหมายการบวชในสมัยน้ันคือบวชเพ่ือมุ่งพระนิพพานกันจริงๆ ให้ ความสาคัญท้ังการศึกษาพระปริยัติธรรมและการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป นอกจากน้ ียงั ทาหนา้ ท่ีเผยแผส่ งั่ สอนประชาชนใหป้ ฏิบตั ิตามต่อไป พระพุทธศาสนา จึงเจริญรุง่ เรืองข้ ึนอยา่ งรวดเร็ว ต่อมาผูบ้ รรลุธรรมเป็ นพระอรหนั ตม์ ีจานวนนอ้ ยลง ในหมู่พระภิกษุสงฆก์ ็มี ท้ังผูท้ ่ีมีใจรกั มีความเชี่ยวชาญทางดา้ นพระปริยตั ิธรรมและผูท้ ี่เช่ียวชาญในดา้ น ธรรมปฏิบัติ แต่เนื่องจากการศึกษาพระปริยตั ิธรรมเป็ นสิ่งท่ีสามารถวดั ความรูไ้ ด้ สามารถจดั การศึกษาเป็ นระบบและใหว้ ุฒิการศึกษาได้ ในขณะที่ธรรมปฏิบัติเป็ น ส่ิงท่ีรูเ้ ฉพาะตน เป็ นของละเอียด วดั ไดย้ าก และเน่ืองจากพระภิกษุสงฆผ์ ูเ้ ช่ียวชาญ ดา้ นธรรมปฏิบตั ิ มกั มีใจโน้มเอียงไปในทางแสวงหาความสงบสงดั มกั ไม่ชอบการ

๘๖ คลุกคลีดว้ ยหมู่คณะ เมื่อเป็ นเช่นน้ ี หลังจากเวลาผ่านไป พระภิกษุสงฆ์ผูม้ ีความ เช่ียวชาญดา้ นพระปริยตั ิธรรมจงึ ข้ ึนมาเป็ นผบู้ ริหารคณะสงฆไ์ ปโดยปริยาย เม่ือผูบ้ ริหารการคณะสงฆ์เป็ นผู้เชี่ยวชาญทางด้านปริยัติธรรม ก็เป็ น ธรรมดาอยเู่ องท่ีการส่งเสริมการศึกษาของสงฆจ์ ะเน้นหนักในดา้ นพระปริยตั ิธรรม เป็ นหลกั เพราะเป็ นสิ่งท่ีคุน้ เคย และชานาญ แมจ้ ะเห็นความสาคญั ของธรรมปฏบิ ตั ิ แต่เม่ือตนไมค่ ุน้ เคย ไม่มีความชานาญการสนับสนุนก็ทาไดใ้ นขอบเขตหนึ่งเท่าน้ัน พระภิกษุสงฆร์ ุ่นใหม่ๆ จึงมักไดร้ บั การฝึกอบรมในดา้ นพระปริยตั ิธรรมเป็ นหลัก ส่วนธรรมปฏบิ ตั ิก็คอ่ ยๆ ลดนอ้ ยถอยลง การศึกษาพระปริยตั ิธรรมในยุคแรกๆ ก็ศึกษาเพื่อเน้นใหเ้ ขา้ ใจในพุทธพจน์ คาสงั่ สอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เพื่อนามาใชใ้ นการประพฤติปฏิบัติ แต่ต่อมา เม่ือศึกษามากเขา้ ๆ ก็มีพระภิกษุสงฆท์ ี่เป็ นนักคิด นักทฤษฎีจานวนหน่ึง ทนการทา้ ทายจากนักคิดนักปรัชญาของศาสนาอื่นๆ ไม่ได้ เมื่อถูกต้ังคาถามเก่ียวกับเรื่อง อภิปรชั ญา เช่น โลกน้ ีโลกหน้าวา่ มีจริงหรือไม่ จิตมีการรบั รูไ้ ดอ้ ยา่ งไร โลกเป็ นอยู่ อยา่ งไร มีจริงหรือไม่ เป็ นตน้ จึงพยายามหาเหตุผลทางทฤษฎีตามแนวคิดในทาง พระพุทธศาสนาและใชก้ ารใหเ้ หตุผลทางตรรกศาสตรม์ าอธิบายปัญหาเหลา่ น้ ี ท้งั ๆ ที่คาถามเหล่าน้ ีเป็ นคาถามที่พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ไมท่ รงพยากรณ์ เพราะถือวา่ ไม่ เกิดประโยชน์มีแต่จะเป็ นเหตุใหถ้ กเถียงทะเลาะเบาะแวง้ กนั ทรงอบรมสงั่ สอนแต่ใน สิ่งที่นาไปสู่การขัดเกลากิเลส มุ่งสู่พระนิพพาน ซ่ึงเม่ือถึงจุดน้ันแลว้ ผูป้ ฏิบัติก็ ยอ่ มจะเขา้ ใจส่ิงเหล่าน้ ีไดเ้ อง หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เม่ือปฏิบัติจนเขา้ ถึงแลว้ ผูป้ ฏิบัติยอ่ มเห็น ตรงกัน เป็ นภาวนามยปัญญา (ความรูแ้ จง้ ท่ีเกิดจากความเห็นแจง้ ) แต่เมื่อ พยายามพิสูจน์ดว้ ยความคิดทางตรรกศาสตร์ ดว้ ยจินตมยปัญญา (ความรูค้ ิด) ไม่ไดร้ ูแ้ จง้ ดว้ ยตนเองเพราะไมเ่ ห็นแจง้ ยอ่ มมีความคิดแตกต่างหลากหลาย ผลก็คือ นักทฤษฎีของพระพุทธศาสนาเองก็มีความเห็น ไม่ตรงกนั ทะเลาะถกเถียงกนั เอง เกิดเป็ นแนวคิดของสานักต่างๆ และแตกตวั เป็ นนิกายต่างๆ ในที่สุด มีนักทฤษฎีใน พระพุทธศาสนาท่ีมีชื่อเสียงเกิดข้ ึนจานวนมาก เช่น นาคารชุน อสังคะ วสุพันธุ ทินนาคะ ภาววเิ วก ธรรมกีรติ ศานตรกั ษิตะ เป็ นตน้

๘๗ แนวคิดของพระนักทฤษฎีเหล่าน้ ีมีความลึกซ้ ึงมาก จนแมน้ ักวิชาการทาง ตะวนั ตกปัจจุบนั มาเห็นเขา้ ยงั ตื่นตะลึง แต่ผลที่เกิดก็คือ เกิดความขดั แยง้ แตกแยก ในหมู่ชาวพุทธ และพระพุทธศาสนาได้กลายเป็ นศาสนาท่ีมีหลักคาสอน สลบั ซบั ซอ้ น จนชาวบา้ นฟังไม่เขา้ ใจ ประหนึ่งวา่ พระพุทธศาสนากลายเป็ นศาสนา ของพระภิกษุสงฆ์เท่าน้ัน แต่ก็มีพระภิกษุสงฆ์เพียงจานวนน้อยท่ีรูเ้ ร่ือง และก็ยงั คิดเห็นไม่ตรงกนั อีก ส่วนชาวพุทธทัว่ ไปกลายเป็ นชาวพุทธแต่ในนามไปวดั ทาบุญ ตามเทศกาลตามประเพณีเท่าน้ัน ขณะเดียวกนั ก็มีพระภิกษุสงฆอ์ ีกกลุ่มหน่ึง ซ่ึงมีจานวนมากกวา่ ไดห้ นั ไป ปฏิบตั ิตามใจชาวบา้ น ซ่ึงตอ้ งการพึ่งพาอานาจลึกลบั และส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ จึงมีการเล่น เครื่องรางของขลงั เวทมนตรค์ าถาต่างๆ วตั รปฏิบัติย่อหย่อนลง จนถึงจุดหน่ึงเกิด เป็ นนิกายตันตระ ซ่ึงเลยเถิดไปถึงขนาดถือวา่ การเสพกามเป็ นหนทางสู่การตรสั รู้ ธรรม การดื่มสุราเป็ นสิ่งดี เป็ นตน้ เม่อื เกิดความแตกแยกภายในพระพุทธศาสนา ท้งั ในเร่ืองของแนวคิดทฤษฎี ที่ทะเลาะเบาะแวง้ กันไม่จบส้ ิน จนถึงการแตกเป็ นกลุ่มเวทมนตร์คาถาซ่ึงฉีก แนวทางไปอยา่ งสุดโต่ง ในขณะที่ธรรมปฏบิ ตั ิอนั เป็ นหวั ใจของพระพุทธศาสนากลับ ถูกละเลยไป พระพทุ ธศาสนาในอินเดียจึงออ่ นแอลง ๒) สาเหตภุ ายนอก ในอินเดีย นอกจากพระพุทธศาสนาแลว้ ก็ยงั มีศาสนาอื่นๆ อีกมาก โดย ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลมากที่สุด เม่ือพระพุทธศาสนาเจริญรุง่ เรืองข้ ึน คนหนั มา นับถือมาก ศาสนาพราหมณ์ก็ลดบทบาทลง ผูน้ าของศาสนาพราหมณ์ก็พยายาม หาทางดึงศาสนิกกลบั คืนอยตู่ ลอดเวลา โดยการโจมตีพระพุทธศาสนาบา้ ง พยายาม หยิบยกเอาคาสอนของพระพุทธศาสนาไปดัดแปลงเป็ นคาสอนของตนบ้าง ปรับเปล่ียนเพิ่มเติมเทพเจา้ ที่นับถืออยู่บา้ ง จนที่สุดไดก้ ลายเป็ นศาสนาฮินดูดัง ตาราเรียนเร่ืองศาสนา เมื่อกล่าวถึงศาสนาฮินดู ก็มกั จะมีคาวา่ พราหมณ์ควบคู่กัน ไปเสมอ เม่ือถึงเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมลงเนื่องจากความแตกแยกภายในแลว้ ก็ ไดม้ ีการเปลี่ยนวิธีการ จากการโจมตีพระพุทธศาสนา มาเป็ นการผสมกลมกลืน โดยมีปราชญ์ใหญ่ชื่อ ศังกระ (ประมาณปี พ.ศ.๑๒๘๐) เป็ นผูน้ าในการปฏิรูป

๘๘ ศาสนาฮินดู มีการเลียนแบบวดั ในพระพุทธศาสนา สรา้ งท่ีพักนักบวชในศาสนา ฮินดูเรียกวา่ มถะ เป็ นศูนยก์ ลางในการเผยแผ่ศาสนาฮินดูข้ ึนเป็ นคร้งั แรก ท้ังยงั มี การปรบั เปล่ียนเนืองๆ อีกมากมาย ถึงขนาดมีการปรบั คาสอนบอกวา่ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ คือองค์อวตารปางท่ี ๙ ของพระวิษณุ แลว้ นับเอาผูท้ ่ีเคารพนับถือพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ เขา้ เป็ นชาวฮินดูท้งั หมด ทางด้านของพระพุทธศาสนาเอง เมื่อมีปั ญหาความแตกแยกภายใน ประกอบกับชาวพุทธโดยทัว่ ไปไม่มีความรูใ้ นพระธรรมอย่างถ่องแท้ เม่ือพบกับ ยุทธวิธีของศาสนาฮินดูเข้าเช่นน้ ี ชาวพุทธก็ยิ่งสับสน แยกไม่ออกระหว่าง พระพุทธศาสนากับศาสนาอื่น ท้ังที่เป็ นชาวพุทธ ก็เคารพนับถือกราบไหวพ้ ระ พรหม เทพเจา้ เจา้ พ่อเจา้ แม่ต่างๆ ดว้ ย พระภิกษุสงฆเ์ อง บางส่วนก็หันไปเอาใจ ชาวบา้ น เห็นเขานับถือเทพเจา้ เจา้ แม่ต่างๆ ก็เอารูปป้ันของเทพเหล่าน้ัน มาไวใ้ น วดั ใหช้ าวบา้ นกราบไหวบ้ ชู า ที่สุดชาวบา้ นจงึ แยกไมอ่ อก คิดวา่ พระพทุ ธศาสนากบั ศาสนาฮินดูคือส่ิงเดียวกนั ชาวพุทธแต่เดิมก็กลายเป็ นชาวฮินดูไปคอ่ นตวั และต่อมาเมื่อเจอเหตุกระทบคร้ังใหญ่คือ ต้ังแต่ประมาณปี พ.ศ.๑๖๐๐ กองทัพมุสลิมบุกเข้ายึดอินเดียไล่มาจากทางตอนเหนื อและประกาศทาลาย พระพุทธศาสนา พวกมุสลิมภายใต้การนาของกุทบุดดิน นายพลของสุลต่าน โมฮมั เหม็ดโมฆี เขา้ มารุกรานอินเดียจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ เม่ือพบปูชนียสถาน โบราณวตั ถุของศาสนาอื่นในที่ใด ก็ใชอ้ าวุธเป็ นเครื่องทาลายลา้ งวตั ถุน้ันๆ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ สังฆารามของพระพุทธศาสนาและไม่เวน้ แมเ้ ทวาลัยของ พราหมณก์ ็ถูกทาลายลงในคราวน้ันเป็ นอนั มาก กองทัพมุสลิมมีอคติเป็ นพิเศษต่อพระภิกษุผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา กองทัพมุสลิมจึง พากันเผาวดั ทุกวดั ในพระพุทธศาสนาราบเป็ นหน้ากลอง ฆ่า พระภิกษุทุกรูปที่อยใู่ นวดั น้ันๆ จนเลือดแดงฉานนองแผ่นดิน ท้ังมีการใหร้ างวลั แก่ ผูท้ ี่ตัดศีรษะพระภิกษุสงฆ์มาส่งให้ พระภิกษุสงฆ์จึงตอ้ งสึก มิฉะน้ันก็ตอ้ งอพยพ หลบหนีไป สถูปเจดียจ์ านวนมหาศาลถูกทาลาย ถูกปลน้ สดมภ์ และปล่อยใหร้ กรา้ งไป บา้ งก็ถูกขโมยอิฐไปสรา้ งบา้ น ไปทาถนน กองเถา้ ถ่าน ซากพระพุทธปฏิมาที่ถูกไฟ เผา โครงกระดูกนับไม่ถ้วน เหล็ก ไม้ หิน สุมเป็ นกองใหญ่ ส่ิงเหล่าน้ ีท้ังหมด

๘๙ หลงเหลือใหน้ ักโบราณคดีเห็นเป็ นประจกั ษ์พยาน มิใช่การเผาทาลายคร้งั เดียว แต่ เกิดข้ ึนนับคร้งั ไม่ถว้ น ไม่ใช่แต่เพียงมุสลิมเท่าน้ันท่ีทาลายลา้ งพระพุทธศาสนา ใน เวลาเดียวกัน ศาสนิกและพวกโยคีของฮินดู ก็ฉวยโอกาสน้ ีซ้าเติมใหห้ นักข้ ึนไปอีก ท้ังน้ ีเห็นจะเป็ นเพราะวา่ พระพุทธศาสนาไดเ้ คยเป็ นคู่แข่งสาคัญท่ีต่อสูข้ บั เคี่ยวกับ ศาสนาฮินดูมาแต่ตน้ การทาลายลา้ งยงั ไม่หยุดยง้ั บริเวณท่ีถูกทาลายมากท่ีสุดคือ แควน้ อุตตรประเทศ และแควน้ พิหารอนั เป็ นแหล่งใหญ่ของพุทธศาสนา พวกมุสลิม พากนั เขา้ ใจผิดวา่ มหาวิทยาลัยนาลันทาคือป้อมปราการของชาวพุทธจึงไดเ้ ข่นฆ่า พระภิกษุ ทุกรูปในวดั โดยการคิดว่าพระภิกษุเหล่าน้ันคือทหาร มีพระภิกษุ จานวนน้อยมากที่รอดพน้ จากกองทัพมุสลิม พระพุทธศาสนาซ่ึงขณะน้ันมีเพียง พระภิกษุสงฆจ์ านวนน้อยท่ีรูจ้ ริงในคาสอนของพระพุทธศาสนา ส่วนชาวพุทธทวั่ ไป น้ั นขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถู กต้อง ดังน้ั นเมื่ อพระภิ กษุ สงฆ์หมด พระพุทธศาสนาก็หมดจากประเทศอินเดียในท่ีสุด ไมน่ ่าเชื่อวา่ พระพุทธศาสนาท่ีเคยรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุด เมื่อกาลผ่านพน้ ไป ก็ ค่อยๆ ริบหรี่ลงดว้ ยแรงปะทะของศาสนาฮินดู ทา้ ยสุดเมื่อเขา้ สู่ยุคมืด ก็ตอ้ งมีอนั ปิ ดฉากลงดว้ ยกองทัพมุสลิมคลงั่ ศาสนา เหตุการณ์น้ ีนับเป็ นปรากฏการณ์ท่ีทาให้ พุทธศาสนิกชนเจบ็ ปวดมากท่ีสุด จากบทเรียนที่เกิดข้ ึนในอินเดียดงั กล่าว เราอาจสรุปไดว้ า่ ความมนั่ คงของ พระพุทธศาสนาจะตอ้ งประกอบดว้ ยปัจจยั ท่ีสาคญั คือ ชาวพุทธตอ้ งเป็ นชาวพุทธท่ี แทจ้ ริง มีความรูค้ วามเขา้ ใจในคาสอนของพระพุทธศาสนาอย่างถูกตอ้ ง โดยตอ้ ง ศึกษาท้งั ปริยตั ิและปฏิบัติเพ่ือใหเ้ กิดปฏิเวธ คือผลของการปฏิบตั ิ นาหลกั ธรรมมา ใชใ้ นการดาเนินชีวิตจรงิ และปัจจยั ท่ีสาคญั ยิง่ อีกประการหนึ่งก็คือ ชาวพุทธจะตอ้ ง มีความสามัคคีกัน เวน้ จากการใหร้ า้ ยกันพระพุทธศาสนาจึงจะมัน่ คงอยู่ไดอ้ ย่าง แทจ้ ริง จากท่ีกล่าวมาท้งั หมดในจดหมายฉบบั น้ ี สรุปใจความสาคญั ไดว้ า่ การสงั คายนาพระธรรมวินัยในอินเดียซึ่งยอมรบั กนั ในฝ่ ายเถรวาทมี ๓ คร้งั คือภายหลงั จากพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน พระมหากัสสปะก็ปรารภเหตุที่มีภิกษุ กล่าวจว้ งจาบพระธรรมวินัย จึงชกั ชวนภิกษุสงฆใ์ หท้ าการสงั คายนาพระธรรมวินัย คร้งั แรก ซึ่งนับเป็ นคร้งั ที่สาคัญท่ีสุด เพราะไดร้ วบรวมพุทธวจนะมาทรงจารกั ษาไว้

๙๐ เป็ นแบบแผนและสืบทอดดว้ ยมุขปาฐะ ต่อมาในการสังคายนาคร้งั ที่ ๒ ซึ่งปรารภ เหตุภิกษุชาววชั ชีประพฤตินอกพระธรรมวินัย ภิกษุวชั ชีบุตรไม่ยอมรบั มติ จึงแยก ไปทาสงั คายนาต่างหากและเรียกตวั เองวา่ มหาสงั ฆิกะ จึงทาใหส้ งฆแ์ ตกออกเป็ น ๒ ฝ่ ายและในการสังคายนาคร้งั ท่ี ๓ สมัยพระเจา้ อโศกซึ่งปรารภเหตุเดียรถียป์ ลอม บวชในพระศาสนา จึงปรากฎวา่ คณะสงฆไ์ ดแ้ ยกเป็ น ๑๘ นิกายแลว้ อยา่ งชดั เจน การเกิดข้ ึนของนิกายมหายานในอินเดีย ดาเนินไปอย่างค่อยเป็ นค่อยไป โดยเนน้ การปรบั ปรุงวธิ ีเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ ท้งั ยงั ปฏิรูปเปล่ียนแปลงคา สอนด้ังเดิมเพื่อให้ สามารถแข่งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่กาลังเฟ่ื องฟูอยู่ใน ขณะน้ันได้ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ การมุง่ เน้นอุดมคติพระโพธิสตั วโ์ ดยการอุทิศตนเพื่อ ชว่ ยเหลือผูอ้ ่ืน ถือวา่ เป็ นแกนกลางของคาสอน ท้งั หมดในฝ่ ายมหายาน และยกยอ่ ง วา่ โพธิสตั วยานเป็ นหนทางอันสูงสุดเพราะสามารถช่วยเหลือสรรพสตั ว์ ไปไดม้ าก ที่สุด ภายหลงั มหายานยงั ไดแ้ ตกเป็ นนิกายยอ่ ยๆ อีก ไดแ้ ก่ นิกายมาธยมิกะ และ นิกายโยคาจาร พระพุทธศาสนาได้ผ่านการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเน่ื อง นั บต้ังแต่ พระพทุ ธศาสนาด้งั เดิมในยุคพุทธกาล ซ่ึงต่อมาไดแ้ บ่งออกเป็ น ๒ สาย คือ เถรวาท อนั เป็ นนิกายท่ียึดมนั่ รกั ษาสืบทอดแก่นคาสอนด้งั เดิมไวอ้ ยา่ งเหนียวแน่น อีกสาย หนึ่งคือ มหายานท่ีปรบั เปลี่ยนคาสอนไปตามความจาเป็ นของยุคสมยั และต่อมา เกิดเป็ นพุทธตันตระหรือวชั รยานที่ผสมผสานลทั ธิฮินดูมีการขอ้ งแวะเร่ืองเพศ จน แทบจะไมเ่ หลือตน้ เคา้ ของพระพุทธศาสนาแบบด้งั เดิมไวเ้ ลย สาเหตุท่ีทาใหพ้ ระพุทธศาสนาตอ้ งสูญส้ ินไปจากอินเดีย สรุปได้ ๒ ประการ คือ ประการแรกเกิดจากสาเหตุภายใน คือความอ่อนแอของพุทธบริษัทเอง เริ่มตน้ จากความประพฤติย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ จนละเลยการ ปฏิบัติธรรมอันเป็ นหวั ใจของพระพุทธศาสนา ความขัดแยง้ แตกแยกทางความคิด ของหมู่สงฆ์ที่เน้นการโตแ้ ยง้ กนั ในเชิงทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ ไดก้ ่อใหเ้ กิดการ แตกความสามคั คีกนั ในหมู่ชาวพุทธ ซึ่งถือวา่ เป็ นสาเหตุท่ีสาคญั เสียย่ิงกวา่ สาเหตุ ภายนอก คือ ภัยจากการผสมกลมกลืนของศาสนาฮินดูซึ่งเป็ นคู่แข่งสาคัญของ พระพุทธศาสนาตลอดมา รวมถึงภัยจากศาสนาอิสลามที่เข้าทาลายล้าง พระพุทธศาสนาอยา่ งถอนรากถอนโคน

๙๑ ความมนั่ คงของพระพุทธศาสนาจะตอ้ งประกอบดว้ ยปัจจยั ท่ีสาคัญคือ ชาว พุทธตอ้ งเป็ นชาวพุทธท่ีแทจ้ ริง มีความรูค้ วามเขา้ ใจในคาสอนของพระพุทธศาสนา อยา่ งถูกตอ้ งจึงจะนาหลกั ธรรมมาใชใ้ นการดาเนินชวี ติ จริง และที่สาคญั คือชาวพุทธ จะตอ้ งมีความสามคั คีกนั เวน้ จากการใหร้ า้ ยกัน พระพุทธศาสนาจึงจะมนั่ คงอยูไ่ ด้ อยา่ งแทจ้ ริง อาจารยข์ อจบจดหมายฉบบั น้ ีไวเ้ พียงเท่าน้ ี ขอใหพ้ ระรตั นตรยั คุม้ ครอง อาจารย์

๙๒ จดหมายฉบบั ที่ ๕ บา้ นกาญจนรชั ต์ นครราชสีมา พชิ ญา ศษิ ยร์ กั จดหมายฉบับน้ ี อาจารยจ์ ะไดก้ ล่าวถึงประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนาใน ทวีปเอเชีย ซึ่งถือว่าเป็ นทวีปท่ีใหญ่มาก เมื่อศึกษาโดยละเอียดแล้ว จะทาให้ มองเห็นภาพของพระพุทธศาสนาที่เขา้ สู่ทวปี เอเชีย ที่แบ่งออกเป็ นเอเชียใต้ เอเชีย ตะวนั ออก เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เอเชยี ตะวนั ตกเฉียงใต้ และเอเชียกลาง เมื่อมองโดยภาพรวมของพระพุทธศาสนาในเอเชียแลว้ จะเห็นไดว้ ่า ทวีป เอเชียเป็ นถิ่นกาเนิดของศาสนาใหญ่ทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็ นศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามและฮินดู ปัจจุบนั ศาสนาคริสตม์ ีศาสนิกมากท่ีสุดคือ ๒,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ทวั่ โลก อนั ดบั สองคือ ศาสนาอิสลาม มี ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน อนั ดบั สามคือ กลุ่ม ที่ไมม่ ีศาสนาบา้ ง ผูไ้ ม่เช่ือในพระเจา้ บา้ ง (Atheist) หรอื ผูท้ ่ีคิดวา่ เป็ นไปไม่ไดท้ ี่จะรู้ เร่ืองพระเจา้ บา้ ง (Agnostic) ในกลุ่มน้ ีมีประมาณ ๑,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ศาสนา ฮินดูเป็ นลาดับที่ส่ี มีศาสนิก ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ซ่ึงเกือบท้ังหมดอยู่ในประเทศ อินเดีย อนั ดบั ที่หา้ เป็ นศาสนาในประเทศจีน ไดแ้ ก่ เต๋า ขงจ้ ือ และศาสนาพ้ ืนเมือง มีประมาณ ๓๙๔,๐๐๐,๐๐๐ คน ส่วนพระพุทธศาสนาอยู่ในลาดับท่ีหก มี พุทธศาสนิกชนประมาณ ๓๗๖,๐๐๐,๐๐๐ คนทวั่ โลก พระพุทธศาสนายงั แบ่งออกเป็ นนิกายเถรวาทประมาณ ๑๒๔,๐๐๐,๐๐๐ คน มหายานประมาณ ๒๐๕,๐๐๐,๐๐๐ คน และอ่ืนๆ อีกประมาณ ๔๗,๐๐๐,๐๐๐ คน ในนิกายมหายานเฉพาะพระพุทธศาสนาแบบทิเบตหรือวชั รยาน มีศาสนิก ประมาณ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ คนทวั่ โลก สาหรบั พระพุทธศาสนาในเอเชียปัจจุบนั เจริญรุง่ เรืองอยใู่ นเอเชียตะวนั ออก เฉียงใตแ้ ละเอเชียตะวนั ออก ซ่ึงเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตป้ ระกอบดว้ ยประเทศไทย พมา่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็ นตน้ ส่วนเอเชียตะวนั ออกประกอบดว้ ยประเทศจีน มาเก๊า เกาหลีใต้ ไตห้ วนั ทิเบต เป็ นตน้ ในเอเชียใตก้ ็ยงั มีอยพู่ อสมควรโดยเฉพาะ ในศรีลงั กา และภูฏาน ส่วนในอินเดียมีพุทธศาสนิกชนอยู่ ๗,๐๐๐,๐๐๐ คน ถือว่า นอ้ ยมากเมอ่ื เทียบกบั ศาสนาฮินดูซึ่งมีถึง ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน

๙๓ หากพิจารณาสดั ส่วนของประชากรท้งั หมดกบั ผูน้ ับถือพระพุทธศาสนาแลว้ ประเทศไทยมีสัดส่วนของประชากรนับถือพระพุทธศาสนาสูงที่สุดในโลกคือ ๙๕% รองลงมาคือ กมั พูชา ๙๐% พม่า ๘๘% ภูฏาน ๗๕% ศรีลังกา ๗๐% ทิเบต ๖๕% เป็ นตน้ แต่ถา้ ถือเอาจานวนผูท้ ่ีนับถือพระพุทธศาสนามากท่ีสุดโดยไม่คานึงถึง สัดส่วนประชากรแล้ว ประเทศจีนมีพุทธศาสนิ กชนมากที่ สุดในโลกคือ ๑๐๒,๐๐๐,๐๐๐ คน รองลงมาคือญี่ป่ ุน ๘๙,๖๕๐,๐๐๐ คน ส่วนประเทศไทย เป็ น อนั ดบั ท่ีสามคือ ๕๕,๔๘๐,๐๐๐ คน หากกล่าวถึ งประวัติ ศาสตร์พระพุ ทธศาสนาในเอเชีย จะพบว่า พระพุทธศาสนามีจุดกาเนิดที่ประเทศอินเดียทางตอนเหนือและเผยแผ่ไปยงั นานา ประเทศโดยรอบ บางประเทศน้ันพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงต้ังแต่สมยั พุทธกาล โดยเฉพาะประเทศท่ีมีพรมแดนติดกับอินเดีย เช่น ประเทศเนปาล เป็ นต้น แต่ สว่ นมากไดร้ บั พระพุทธศาสนา ครง้ั แรกในยุคพระเจา้ อโศกมหาราช จากสมณทูต ๙ สาย ดงั กล่าวแลว้ ในบทที่ ๒ ประเทศต่างๆ ในเอเชียเปิ ดรบั เอาพระพุทธศาสนาเขา้ มาประสมประสานกบั อารยธรรมเดิมของตน จนกลายเป็ นวฒั นธรรมท่ีมีเอกลกั ษณ์ เฉพาะของดินแดนน้ันๆ ทวีปเอเชียมีประชากรราว ๖๐% ของประชากรโลก มีเขตแดนติดต่อกบั ๒ ทวีป คือ ทวีปแอฟริกา และทวีปยุโรป นอกจากน้ ี ทวีปเอเชียยงั รวมถึงเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิ กดว้ ย แบ่งภูมิภาคออกเป็ นส่วนตามทิศ ต่างๆ ดงั น้ ีคือ เอเชียเหนือ เอเชยี กลาง เอเชียตะวนั ออก เอเชียตะวนั ออกเฉียงเหนือ เอเชียใต้ และเอเชยี ตะวนั ตกเฉียงใต้ (หรอื ตะวนั ออกกลาง) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคก่อนน้ัน พระภิกษุผูเ้ ป็ นธรรมทูตมักจะ เดินทางไปบนเสน้ ทางการคา้ ขายท่ีเรียกว่า เสน้ ทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งเป็ น เสน้ ทางของขบวนคาราวานในภูมิภาคเอเชียใตท้ ่ีเชื่อมเมืองต่างๆ ระหวา่ งเอเชียไม เนอร์ไปถึงประเทศจีนเป็ นเสน้ ทางขนส่งสินคา้ สาคัญ อันไดแ้ ก่ เสน้ ไหม ผา้ ไหม และเครื่องเทศ เป็ นตน้ ในช่วง ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปี มาแลว้ เสน้ ทางสายไหมเป็ นปัจจยั สาคญั ในการ เติบโตของแหล่งอารยธรรมโบราณหลายแห่ง คือ อียิปตโ์ บราณ เมโสโปเตเมีย จีน

๙๔ โรมนั เปอรเ์ ซียและอินเดีย เสน้ ทางสายไหมมีท้ังทางบกและทางทะเล สาหรบั ทาง บกมีอยู่ ๒ สาย คือ ๑. เร่ิมตน้ ที่ประเทศจีน จากเมืองฉางอนั (Chang'an) ปัจจุบนั เรียกช่ือซีอาน (Xi'an) ซึ่งเป็ นเมืองหลวงต้ังอยู่ในมณฑลชานสี (Shaanxi) ผ่านมณฑลกันสู (Kansu) มณฑลซินเจียง (Xinjiang) ข้ามเทื อกเขาพามีร์ (Pamir) สู่ประเทศ อฟั กานิสถานและอิหรา่ น ๒. อีกเสน้ ทางหนึ่งจากตอนใตข้ องประเทศรัสเซียเขา้ สู่เอเชียกลางไปยัง ประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี ยน เส้นทางน้ ี ยาวมากกว่า ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร เป็ นเสน้ ทางแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมและการคา้ ระหว่างประเทศจีน และ ประเทศในเอเชียกลาง สาหรบั การเดินทางทางทะเล เสน้ ทางสายไหมยงั ขยายไปยงั เกาหลี ญี่ป่ ุน และประเทศแถบคาบสมุทรอินโดจีนไดแ้ ก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชาและ อินโดนีเซีย เป็ นตน้ นอกจากน้ ียังมีการเดินทางไปยังคาบสมุทรเปอร์เซียและ ประเทศแถบชายฝั่งทะเลอาหรับ (Arabian Sea) หลังจากน้ันจึงต่อไปยังประเทศ อื่นๆ จดหมายฉบับน้ ี จะไดก้ ล่าวถึงประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในเอเชียส่วน ตา่ ง ๆ ตามลาดบั ดงั น้ ี ๑. พระพทุ ธศาสนาในเอเชียใต้ เอเชียใตป้ ระกอบดว้ ยประเทศบนเทือกเขาหิมาลยั ไดแ้ ก่ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏานและบังกลาเทศ รวมท้ังประเทศในมหาสมุทรอินเดีย ไดแ้ ก่ ศรีลงั กา และมัลดีฟส์ ประเทศเหล่าน้ ี เป็ นต้นแหล่งแห่งพระพุทธศาสนาในยุคแรก โดยเฉพาะประเทศอินเดีย พระพุทธศาสนาบังเกิดข้ ึนท่ามกลางสังคมอินเดียที่มี ความหลากหลายทางดา้ นความเชื่อ แต่ดว้ ยเวลาเพียงไม่นานก็สยบความเช่ือและ วฒั นธรรมด้ังเดิมลงได้ จนกลายเป็ นศาสนาท่ีสูงเด่นในคร้งั พุทธกาล ยุคต่อมาก็ ค่อยๆ แผ่ขยายผ่านเสน้ ทางสายไหมไปยงั นานาประเทศโดยรอบ ดงั จะไดบ้ รรยาย ในแต่ละประเทศ ดงั น้ ี

๙๕ ๑) ประเทศเนปาล ประเทศเนปาลมีชื่อเป็ นทางการว่า ราชอาณาจักรเนปาล (Kingdom of Nepal) ต้งั อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนติดกบั ทิเบต และอินเดีย มีเมืองหลวง ช่ือ กาฐมาณฑุ และเป็ นเมืองท่ีใหญ่ที่สุดของประเทศ เนปาลมีประชากรประมาณ ๒๗,๑๓๓,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๔๘) The ๒๐๐๑ census (พ.ศ.๒๕๔๔) ระบุว่า ชาว เนปาล ๘๐.๖% นับถือศาสนาฮินดู ๑๐.๗% (ประมาณ ๒,๙๐๓,๒๓๑ คน) นับถือ ศาสนาพุทธ ๔.๒% เป็ นมุสลิม ๓.๖% นับถือคิรทั (Kirat) ซ่ึงเป็ นศาสนาพ้ ืนเมือง ๐.๕% นับถือศาสนาคริสต์ และ ๐.๔% นับถือศาสนาอ่ืนๆ พระพุทธศาสนาเขา้ สู่เนปาลต้งั แต่สมยั พุทธกาล ท้ังน้ ีเพราะกรุงกบิลพสั ดุ์ อนั เป็ นเมืองประสูติของพระโพธิสตั ว์ ซ่ึงในอดีตอยใู่ นรฐั อุตตระของอินเดีย ปัจจุบนั อยใู่ นเขตเนปาลขณะท่ีองั กฤษปกครองอินเดีย ไดแ้ บ่งกรุงกบิลพสั ดุใ์ หเ้ ป็ นส่วนของ เนปาล ในสมยั พุทธกาลพระพุทธองค์เคยเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ นอกจากน้ ีหลังพุทธปรินิพพานแลว้ พระอานนท์ก็ไดเ้ ผยแผ่พระพุทธศาสนาไปใน บริเวณน้ ี ชาวเนปาลสว่ นหนึ่งจึงนับถือพระพทุ ธศาสนามาต้งั แตย่ คุ พทุ ธกาล ในสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช พระองค์ทรงพระราชทานพระราชธิดาพระ นามวา่ จารุมตี แก่ขุนนางใหญ่ชาวเนปาล พระเจา้ อโศกมหาราชและเจา้ หญิงจารุม ตีทรงสรา้ งวดั และเจดียห์ ลายแห่งในเนปาล ซ่ึงยงั คงปรากฏอยู่ท่ีกรุงกาฐมาณฑุใน ปัจจุบนั พระพุทธศาสนาในยุคแรกเป็ นนิกายเถรวาท ต่อมาเม่ือเส่ือมสูญไป เนปาล กลายเป็ นศูนยก์ ลางของมหายานนิกายตันตระ ซึ่งใชค้ าถาอาคมและพิธีกรรมทาง ไสยศาสตร์ นอกจากน้ ียงั มพี ุทธปรชั ญาสานักใหญๆ่ เกิดข้ ึนอีก ๔ นิกาย คือ สวาภา วิภะ ไอศวริกะ การมิกะและยาตริกะ ซ่ึงแต่ละนิกายยงั แยกย่อยออกไปอีก นิกาย ต่างๆ เหล่าน้ ีแสดงใหเ้ ห็นถึงการผสมผสานเขา้ ดว้ ยกันของความคิดทางปรชั ญา หลายๆ อยา่ ง ชาวเนปาลไดร้ กั ษาสืบทอดพุทธปรชั ญาเหล่าน้ ีมาจนถึง ปัจจุบนั ใน แต่ละนิกายมคี าสอน ดงั น้ ี ๑. นิกายสวาภาวิภะ นิกายน้ ีสอนวา่ ส่ิงท้ังหลายในโลกมีลกั ษณะแทจ้ ริงใน ตวั ของมนั เอง ซึ่งแสดงออกเป็ น ๒ ทาง คือ ความเจริญ (ปรวฤตติ) และความเส่ือม (นิวฤตติ)

๙๖ ๒. นิกายไอศวริกะ นิกายน้ ีสอนใหเ้ ชื่อในเทพเจา้ ผูส้ มบูรณ์ที่สุด และมี อานาจที่สุด ๓. นิกายการมิกะ นิกายน้ ีสอนการอบรมจติ ใจ เพราะเป็ นวิธีกาจดั อวชิ ชาให้ หมดส้ ินได้ ๔. นิกายยาตริกะ นิกายน้ ีสอนใหเ้ ช่ือในความมีอยู่ของวุฒิปัญญาและ เจตจานงอิสระ ซ่ึงเป็ นการผสมผสานระหว่างปรชั ญาต่างๆ ของอินเดียและทิเบต ภายใตอ้ ิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพทุ ธศาสนา ในสมยั ที่ชาวมุสลิมเขา้ รุกรานแควน้ พิหารและเบงกอลของอินเดีย พระภิกษุ จากอินเดียตอ้ งหลบหนีภยั เขา้ ไปอาศยั ในเนปาล และไดน้ าคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนา เขา้ ไปดว้ ย ซึ่งมีการเก็บรกั ษาไวเ้ ป็ นอย่างดีจนถึงทุกวนั น้ ี แต่เม่ือมหาวิทยาลัยนา ลนั ทาในอินเดียถูกทาลาย ก็ส่งผลใหพ้ ระพุทธศาสนาในเนปาลพลอยเส่ือมลงดว้ ย ปัจจุบนั เนปาลมีการฟ้ ื นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาทข้ ึนใหม่ โดยส่งพระภิกษุ สามเณรไปศึกษาในประเทศต่างๆ เช่น ศรีลงั กา พม่า และไทย เมื่อกลบั มาเนปาล แลว้ ก็ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยา่ งจริงจงั โดยเฉพาะพระภิกษุที่เดินทางไปศรี ลังกาไดอ้ าราธนาท่านธรรโทรยะสุภะ ภิกษุชาวศรีลังกามาฟ้ ื นฟูพระพุทธศาสนา ดว้ ย มีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็ นภาษาทอ้ งถิ่นแลว้ จดั พมิ พอ์ อกเผยแพร่ ๒) ประเทศภฏู าน ประเทศภูฏานมีชื่อเป็ นทางการว่า ราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) เป็ นประเทศเล็กๆ มีพ้ ืนท่ีเพียง ๔๗,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ต้งั อยบู่ นเชิงเขา หิมาลยั อยทู่ างตอนใตข้ องจีนและทิเบต เหนือบงั กลาเทศและอินเดีย ติดกบั เนปาล มีเมืองหลวงชื่อ ทิมพู ลกั ษณะการปกครองเป็ นแบบก่ึงศาสนาก่ึงอาณาจกั รคลา้ ย กบั ทิเบต แต่มีความต่างกนั บา้ ง คือทิเบตมีองค์ทะไล ลามะเป็ นผูน้ าท้ังทางศาสนา และอาณาจกั ร ส่วนภูฏานมีกษัตริยป์ กครองประเทศ และมีพระสงฆผ์ ูม้ ีสมณศกั ด์ิ สูงสุด เรียกว่า เจ เคนโป (Je Khenpo) เป็ นประมุขสงฆ์และช่วยบริหารราชการ แผ่นดินดว้ ย เจ เคนโป มีฐานะเทียบเท่ากษัตริย์ ในอดีตการปกครองของท้ังสอง ประเทศเหมือนกัน ประชากรในภูฏานมีประมาณ ๗๕๒,๗๐๐ คน (พ.ศ. ๒๕๔๘) โดย ๗๔% นับถือพระพุทธศาสนา นิกายตันตรยาน ๒๕% นับถือศาสนาฮินดู ๐.๗% เป็ นมุสลิมและ ๐.๓% นับถือศาสนาครสิ ต์

๙๗ พระพุทธศาสนาในภูฏานมีลักษณะแบบเดียวกับทิเบต โดยท่านคุรุปัทม สัมภวะเป็ นผูน้ าพระพุทธศาสนาตันตระมาเผยแผ่คร้ังแรกในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๑๗๖๓ ลามะทิเบตชื่อ ปาโช ดรุกอมชิโป (Phajo Drugom Shigpo) เดินทางมาเผยแผ่นิกายดรุกปะกาจู (Drukpa Kagyupa) ซึ่งพระลามะใน นิกายน้ ีสามารถมีภรรยาได้ ในระหว่างท่ีลามะปาโชเดินทางไปเมืองทิมพู ท่านได้ แต่งงานกบั นางโซนัม พอลดอน มีบุตรสาว ๑ คน บุตรชาย ๔ คน ลามะปาโชเป็ นที่ เคารพนับถือของชาวภูฏานมาก เป็ นผูน้ าท้ังศาสนจกั รและอาณาจกั ร เช่นเดียวกับ ทิเบต ต่อมาบุตรชายท้ัง ๔ คน ไดค้ รองเมืองคนละเมือง นิกายดรุกปะกาจูไดเ้ ป็ น นิกายที่สาคญั ของประเทศภูฏานจนถึงปัจจุบนั ในชว่ งแรกๆ ภูฏานรบั แบบอยา่ งการปกครองมาจากทิเบต คือ ผนู้ าประเทศ จะเป็ นผูน้ าทางศาสนาดว้ ย ต่อมาภายหลังไดเ้ ปลี่ยนแปลงคือ กษัตริยท์ าหน้าท่ี ปกครองฝ่ ายบา้ นเมือง ส่วนพระสงั ฆราชหรอื เจ เคนโป ปกครองสงฆเ์ ป็ นหลกั แต่ก็ มีส่วนในการปกครองประเทศดว้ ย โดยพระสงฆ์มี ๑๐ ท่ีนั่งในสภา ผูว้ างรากฐาน การปกครองน้ ีคือ ลามะชับดรุง งาวัง นัมเยล (Shabdrung Ngawang Namgyel; พ.ศ.๒๑๓๗ - ๒๑๙๔) การปกครองระบอบน้ ีใชก้ ฎหมาย ๒ ฉบบั คือ โล ทริม มิ ลุ ทรมิ คือกฎหมายทางใจ และซา ลุง มิ ลุ ลุง คือกฎหมายทางโลก ต่อมาวนั ท่ี ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ พระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วงั ชุก ทรง ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยไ์ ปสู่ระบอบ ประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็ นประมุขภายใตร้ ัฐธรรมนูญและมีคณะ องคมนตรีเป็ นที่ปรกึ ษา สภาแห่งชาติ ของภูฏานเรียกวา่ Tsongdu ทาหนา้ ท่ีในการ ออกกฎหมาย ประกอบดว้ ยสมาชิก ๑๕๑ คน จานวน ๑๐๖ คน มาจากการเลือกต้งั ของประชาชน และอีก ๕๕ คน มาจากการแต่งต้งั ของพระมหากษัตริย์ ชาวภูฏานมีเทศกาลท่ีสาคัญและศักด์ิสิทธ์ิอย่างหนึ่ งคือ เทศกาลเตชู (Tsechu) ซึ่งจดั ข้ ึนอยา่ งยิ่งใหญ่ เพ่ือระลึกถึงการกาเนิดของท่านคุรุปัทมสมั ภวะ ผู้ ไดร้ ับการกล่าวขานว่าถือกาเนิดมาจากดอกบัวตามความเช่ือในพระพุทธศาสนา นิกายวชั รยาน เทศกาลน้ ีจะจัดข้ ึนทุกปี หมุนเวียนไปตามปฏิทินทางจนั ทรคติ ใน เทศกาลจะมีการแสดงระบาหน้ากาก โดยพระลามะ ผูแ้ ตกฉานในตาราวชั รยาน จะ

๙๘ สวมใส่เส้ ือผา้ ท่ีสวยงามหลากหลายดว้ ยหน้ากากแหง่ ทวยเทพ ปี ศาจและเหล่าสรรพ สตั ว์ ๓) ประเทศบงั กลาเทศ บงั กลาเทศมีช่ือเป็ นทางการวา่ สาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ (Peoples Republic of Bangladesh) คาว่า \"บังกลาเทศ (Bangladesh)\" แปลว่า \"ประเทศ แหง่ เบงกอล\" ต้งั อยทู่ าง ทิศเหนือของอ่าวเบงกอล มีพรมแดนติดกบั อินเดียเกือบทุก ด้าน เมืองหลวงช่ือ ธากา เป็ นเมืองใหญ่สุด บังกลาเทศมีประชากรประมาณ ๑๔๑,๘๒๒,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๔๘) นับถือศาสนา อิสลาม ๘๘.๓% ศาสนาฮินดู ๑๐.๕% ศาสนาคริสต์ ๐.๗% ศาสนาพุทธ ๐.๕% ส่วนมากอยใู่ นเขตจิตตะกอง ซึ่งมี ตระกูลชาวพทุ ธท่ีสืบเน่ืองมายาวนานคือตระกูลบารวั บงั กลาเทศในปัจจุบันมีประวตั ิศาสตรอ์ นั ยาวนานกวา่ ๑,๐๐๐ ปี เดิมเป็ น ส่วนหน่ึงของ อินเดีย เคยเป็ นดินแดนท่ีศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา เจริญรุง่ เรืองมาก่อน ต่อมาพอ่ คา้ ชาวอาหรบั นาศาสนาอิสลามเขา้ มาเผยแผ่ จนชาว บงั กลาเทศสว่ นใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มาถึงทุกวนั น้ ี ปี พ.ศ.๒๓๐๐ อังกฤษเขา้ ยึดครองอินเดียและปกครองอยูเ่ กือบ ๒๐๐ ปี ได้ คืนเอกราชใหอ้ ินเดียในปี พ.ศ.๒๔๙๐ แต่แบ่งดินแดนออกเป็ น ๒ ส่วน คือ อินเดีย และปากีสถาน เบงกอลตะวนั ออก (East Bengal) หรือส่วนที่เป็ นบงั กลาเทศปัจจุบนั เป็ นจงั หวดั หนึ่งของปากีสถานเรียกกนั วา่ ปากีสถานตะวนั ออก ต่อมาชาวปากีสถาน ตะวนั ออกไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลกลาง เม่ือวนั ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ จึงประกาศแยกตัวออกมา และได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในวันที่ ๑๖ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๑๔ พระพุทธศาสนาเข้าสู่บังกลาเทศหลายยุคหลายสมัย เร่ิมต้ังแต่สมัย พุทธกาล ท้ังน้ ีสังเกตไดจ้ ากวฒั นธรรมของชาวเบงกอลคลา้ ยคลึงกบั ชาวมคธ ในปี พ.ศ.๒๔๓ พระเจา้ อโศกมหาราชเผยแผ่พระพุทธศาสนามายงั ดินแดนแห่งน้ ีดว้ ย และในปี พ.ศ.๖๐๐ สมยั พระเจา้ กนิษกมหาราช ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนานิกาย สรวาสติวาทินและเผยแผ่เขา้ มาสู่บังกลาเทศเช่นกัน หลงั จากน้ันพระพุทธศาสนา มหายานก็เจริญรุง่ เรืองเรื่อยมา จนกระทงั่ ในปี พ.ศ.๑๖๔๓-๑๘๔๓ พระพุทธศาสนา ก็เสื่อมลง ศาสนาพราหมณเ์ ขา้ มามีบทบาทแทน

๙๙ ต่อมาในสมยั ยะไข่ (มอญ) พระพุทธศาสนาเถรวาทเจริญรุ่งเรืองมาก สมยั น้ันจิตตะกองอยภู่ ายใตก้ ารดูแลคุม้ ครองของยะไข่ มีพระภิกษุสงฆจ์ านวนมากจาริก ไปยงั จิตตะกองและไดเ้ ผยแผ่สืบต่อกนั มาเป็ นเวลายาวนานถึง ๑๐๐ ปี ทาใหช้ าวจิต ตะกองนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาทมาจนถึงทุกวนั น้ ี พระพุทธศาสนาใน บงั กลาเทศแบง่ นิกายออก เป็ น ๒ นิกาย คือ ๑. นิกายมาเถ หรือมหาเถรนิกาย เป็ นนิกายเก่าแก่ ยดึ หลักคาสอนด้งั เดิม หรือเถรวาท มีพระภิกษุอยปู่ ระมาณ ๔๐-๕๕ รูป อยทู่ ี่ตาบลราอุชาน รางคุนิยา โบ วาลคลี และปาจาลาอิศ ๒. นิกายสังฆราช นิกายน้ ีเกิดภายหลงั นิกายมาเถ คือ นับยอ้ นไปประมาณ ๑๐๐ กว่าปี ท่ีผ่านมาน้ ีเอง มีพระสงั ฆราชเมธมหาเถระ เป็ นผูใ้ หก้ าเนิด มีพระภิกษุ ประมาณ ๘๐๐ กวา่ รปู อาศยั อยทู่ วั่ ประเทศ ๔) ประเทศศรีลงั กา ประเทศศรีลังกา (Sri Lanka) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยม ประชาธิ ปไตยศรีลังกา (Democratic Socialist Republic of Sri Lanka) ได้รับ ผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาล และกบฏทมิฬอีแลมมายาวนาน เพ่ิงมี ขอ้ ตกลงหยุดยิง เมื่อตน้ ปี พ.ศ.๒๕๔๕ ศรีลงั กามีเมืองหลวงช่ือ ศรีชเยวรเทเนปุระ คอตเต เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ โคลัมโบ มีประชากรประมาณ ๒๐,๗๔๓,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๔๘) นับถือศาสนาพุทธประมาณ ๖๘% ฮินดู ๑๘% และคริสตศ์ าสนา ๗- ๘% โดยส่วนใหญ่ผูท้ ี่นับถือฮินดูน้ันเป็ นชาวทมิฬ ส่วนคริสเตียนเป็ นชาวโปรตุเกส และฮอลแลนด์ ศรีลงั กามีวฒั นธรรมทางพระพุทธศาสนาที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะวฒั นธรรม การบวช พระภิกษุจะนิยมบวชตลอดชีวติ แต่ละปี บวชไดเ้ พียงคร้งั เดียว และแต่ละ วนั บวชไดเ้ พียง ๑ รูปเท่าน้ัน ดว้ ยเหตุน้ ีพระภิกษุศรีลังกาจึงมีคุณภาพ ไม่ไดบ้ วช โดยหวงั พ่ึงพระศาสนาเพียงชวั่ คร้งั ชวั่ คราวแลว้ ลาสิกขาออกไป ปัจจุบนั พระภิกษุท่ี จาริกเผยแผ่ในประเทศต่างๆ ทัว่ โลกเป็ นพระจากศรีลังกาจานวนมาก ท้ังน้ ีเพราะ ท่านมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็ นอย่างดีและมีศรัทธามั่นคงใน พระพุทธศาสนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook