ศิลปะท่ีได้รับอิทธิพลจากอารยประเทศ บันดาลให้เป็น บ้านเมืองท่ีรุ่งเรืองด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็น พระอาราม พระราชวัง รวมทั้งบ้านเรือนของราษฎร ซึ่งล้วน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกและความชำนาญทางการช่าง ของชาวสยามท่ีสามารถสรรคส์ รา้ งสถาปตั ยกรรมทีง่ ดงามล้ำค่า ปรากฏเป็นเกียรติประดับแผ่นดิน เป็นมรดกศิลป์ท่ีแสดง ภูมิปัญญาของชาวสยามท่ีอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบมา ใต้รม่ พระบารมแี หง่ พระบรมราชจกั รีวงศ์ 147
แ ผ น ผั ง หอ้ งสงา่ ศรสี ถาปตั ยกรรม ๑ ๓ ววิ ฒั นาการของสถาปัตยกรรม ทางเข้า วดั ในพระพุทธศาสนา กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ๓ ๑ ๔ ๒ ๒ ๔ วงั เจ้านายสมยั รตั นโกสินทร์ การแบ่งเขตภายในวัด 148
๕ ทางออก บา้ นในกรงุ รตั นโกสินทร์ ๕ 149
๑ วิวัฒนาการของ สถาปตั ยกรรมกรุงรตั นโกสนิ ทร ์ สถาปัตยกรรมในกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ไม่วา่ จะเปน็ ท่อี ยู่อาศัย คอื วงั บ้าน หรือวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อแรกสร้างยังคงมีรูปแบบไทยประเพณีที่สืบทอด มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งประมาณช่วงรัชกาลท่ี ๒ ถึงรัชกาลที่ ๓ “เรอื นตน้ ” ทพ่ี ระราชวงั ดุสิต เปน็ เรอื นเครอ่ื งสบั เกิดความนิยมในการนำศิลปะจีนมาประยุกต์ใช้ร่วมกับสถาปัตยกรรมไทย สมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ ที่สืบทอดรปู แบบ จากน้ันในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลท่ี ๕ จึงเริ่มรับทั้งรูปแบบศิลปะ สถาปตั ยกรรมไทยประเพณี และวิทยาการจากตะวันตกเข้ามาผสมผสาน เพื่อให้ดูทัดเทียมกับชาติต่างๆ มาจากสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา ในยุโรป นับเป็นปฐมบทของการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและรูปแบบ สถาปตั ยกรรมให้เปน็ แบบสากลสืบมาจนปจั จุบัน 150
จัดแสดงภาพลายเส้น จดั ฉายวดี ิทัศน์แสดงภาพถ่าย ของสถานที่สำคัญต่างๆ อาคารสถานที่ตา่ งๆ ซึ่งแสดงให้เห็นวิวฒั นาการ ของสถาปัตยกรรม ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถึงวิวัฒนาการ ในกรุงรัตนโกสินทร์ ของสถาปัตยกรรม หลายรปู แบบ ในกรุงรัตนโกสินทร ์ ท้ังแบบไทยประเพณี ผสานศลิ ปะจนี และท่ีได้รบั อทิ ธิพลจากตะวนั ตก พระที่น่งั อนนั ตสมาคม 1๕5๙1 หนงึ่ ในสถาปัตยกรรมรปู แบบตะวันตก ที่ได้รับความนิยมในสมัยรชั กาลท่ี ๕
จดั ฉายวดี ทิ ศั นแ์ สดงภาพถา่ ย จัดฉายวีดิทัศน์ถา่ ยทอดเรอื่ งราว องคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรม ความเปน็ มาของสถาปัตยกรรม ของวังเจ้านายในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ช่วงสมัยรชั กาลที่ ๑ - ๓ ชว่ งสมยั รชั กาลท่ี ๑ - ๓ ผา่ นจอภาพซง่ึ ติดต้ังอยู่ใน กรอบหน้าตา่ งทจี่ ำลองมาจาก พระตำหนกั แดง ภายในพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร วังเจา้ นาย ๒ วัง หมายถึง ที่ประทับของพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายฝ่ายหน้า ต้ังแต่ช้ันเจ้าฟ้าลงมาถึง หม่อมเจ้า เช่น พระราชโอรส พระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าหลานเธอ เม่ือมีพระชันษาประมาณ ๑๓ ปี และผ่านพระราชพิธีโสกันต์หรือโกนจุกแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ต้องเสด็จไปประทับ นอกวงั หลวงและเขา้ รับราชการตอ่ ไป วังเจ้านาย ในสมัยหนึ่งเคยมีอยู่เป็นจำนวนมาก และมีความสำคัญสูงย่ิงในกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเจา้ นายเปน็ กำลังสำคัญในการบรหิ ารบ้านเมอื งใหม้ ีความม่นั คงและความเจริญรงุ่ เรอื ง การดำเนินชีวิตและรูปแบบสถาปัตยกรรมของวังเจ้านายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และการเปล่ียนแปลงของวังน้ีเองเป็นต้นแบบที่ทำให้วิถีชีวิตและรูปแบบของบ้านเรือนราษฎรทั่วไป เปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย 152
วังเจา้ นายสมยั รชั กาลท่ี ๑ - รชั กาลที่ ๓ การสรา้ งวงั ครงั้ อดตี สมยั รชั กาลท่ี ๑ ถงึ รชั กาลที่ ๓ นอกจากพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านายล้วนเป็นเรือน สร้างด้วยไม้ ไม่ต่างจากเรือนคหบดีของคนไทยภาคกลาง เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีสิ่งท่ีแสดงถึงฐานานุศักด์ิ หรอื ฐานะของผอู้ ยอู่ าศยั ทส่ี งู กวา่ ไดแ้ ก่ กำแพงวงั ประตวู งั ขนาดของตำหนัก หลังคาซ้อน มีลวดลายประกอบคูหา พระตำหนกั แดง สร้างด้วยไม้สกั ทาสีแดง ยกพนื้ สูง ขนาดห้าหอ้ ง มีเสานางเรยี งรบั ชายคา พระแกลฐานเท้าสงิ ห์ ปจั จบุ ันตั้งอยู่ และหน้าบัน หน้าต่างแกะสลักลวดลาย และการทาสี ภายในพพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร อาคาร วังในสมัยน้ัน เปรียบเสมือน บ้านหลวง ซ่ึง พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านาย พระองค์ใดพระองคห์ นง่ึ เสดจ็ ไปประทบั และใชเ้ ปน็ สถานท่ี ทรงงาน ภายในบริเวณวังจึงมีท่ีพักอาศัยของข้าราชการ ระดบั ตา่ งๆ ทเ่ี จา้ นายของวงั ทรงกำกบั อยู่ บางวงั มคี นทำงาน อาศัยอยู่เป็นร้อยๆ คน เมื่อตั้งวังอยู่ที่ไหน ก็จะเป็นแหล่ง ชมุ ชนขนึ้ ทน่ี น่ั และเรียกชือ่ ตามสถานทีต่ ง้ั น้ัน ตามธรรมเนียมแต่เก่าก่อน วังจะต้ังรายล้อม พ ร ะ บ ร ม ม ห า ร า ช วั ง ใ น เ ข ต ก ำ แ พ ง เ มื อ ง ห รื อ ต า ม จดุ ยุทธศาสตร์ เพ่ือเป็นการรกั ษาความปลอดภัย ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ในเขตพระราชฐานชั้นใน วังท่าพระ เดิมเปน็ ท่ปี ระทับของเจา้ นายหลายพระองค์มาตัง้ แต่ ของพระบรมมหาราชวัง เร่ิมมีการสร้างตำหนักเรือนหมู่ สมยั รชั กาลที่ ๒ ปจั จบุ ันมีเพยี งกำแพงวังก่ออิฐถือปนู แบบก่ออิฐฉาบปูนแทนการสร้างด้วยไม้ ทำให้อาคาร และท้องพระโรงซึง่ มีรูปแบบเป็นอาคารทรงไทย หลังคาชน้ั เดยี ว มคี วามแขง็ แรงมากข้นึ ไม่มีมุขลด หนา้ บนั เปน็ ลูกฟักหน้าพรหม วงั บา้ นหมอ้ เป็นวงั ทป่ี ระทับของพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กญุ ชร กรมพระพิทักษเทเวศร์ พระราชโอรส ในรชั กาลท่ี ๒ ปจั จุบันยังมอี าคารทอ้ งพระโรงทำจากไมส้ ัก หลังคาชั้นเดียวตกแต่งดว้ ยชอ่ ฟ้า นาคลำยอง และหางหงส์ 153
จัดฉายวดี ิทศั น์ถ่ายทอดเรอื่ งราว ความเปน็ มาของสถาปัตยกรรม ในกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงสมยั รัชกาลที่ ๔ - ปัจจบุ นั ผา่ นจอภาพซง่ึ ตดิ ต้งั อยู ่ ในกรอบหนา้ ตา่ งทจ่ี ำลองมา จากพระตำหนักใหญ่ ภายในวงั บางขุนพรหม วงั เจ้านายสมัยรชั กาลที่ ๔ - ปัจจบุ นั วังในสมัยรัชกาลที่ ๔ เริ่มมีการสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนตามอิทธิพล ตะวนั ตกจากแบบอย่างทพ่ี บเห็นในหนงั สือหรอื ภาพวาด วังในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระราชทานเปน็ ทป่ี ระทบั ของพระเจา้ ลกู ยาเธอ แต่ไม่รวมสถานที่ทำงานไว้เหมือนแต่ก่อน และเร่ิมมีการว่าจ้างสถาปนิก ชาวตะวันตกเป็นผู้ออกแบบ ทำให้รูปแบบของวังเป็นแบบตะวันตกแท้ และใช้ วทิ ยาการกอ่ สรา้ งแบบใหม่ ทง้ั นเ้ี พอ่ื แสดงถงึ ความเจรญิ ทดั เทยี มอารยประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เนื่องจากเป็นยุคท่ีเศรษฐกิจตกต่ำ อีกท้ังพระองค์ ไม่มีพระราชโอรสธิดา จึงไม่มีการสร้างวังสำหรับพระเจ้าลูกยาเธอ คงมีแต่วัง ในระดับพระองค์เจ้าหรือหม่อมเจ้า แต่รูปแบบสถาปัตยกรรมของวังส่วนใหญ่ ลว้ นเป็นแบบได้รับอิทธิพลตะวนั ตกมาจวบจนรชั กาลปจั จบุ นั 154
๒ วงั บางขนุ พรหม ประกอบดว้ ยอาคาร ๒ หลงั คือ ตำหนกั ใหญ่ เคยเปน็ ที่ประทับของ สมเด็จฯ เจ้าฟา้ บรพิ ัตรสุขมุ พันธุ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพินิต สถาปตั ยกรรมเป็นแบบเรอเนสซองส ์ และบาโรก ผสมลวดลายแบบโรโกโก และ ตำหนกั สมเดจ็ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระนางเจา้ สุขุมาลมารศรี พระ ราชเทวี สถาปัตยกรรมภายนอกเนน้ ความ เรยี บงา่ ย รปู แบบคลา้ ยวิลล่าในเยอรมนี ภายในตกแตง่ ดว้ ยลวดลายแบบบาโรกและ ศลิ ปะแบบอาร์ตนูโว วังวรดศิ เคยเป็นทปี่ ระทับของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สถาปตั ยกรรมเปน็ แบบบ้านชนบท ในเยอรมนี หลังคาทรงจั่วหักมุมตอนปลาย มชี ายคายน่ื กนั แดดฝน ผนงั ตอนบน ตกแตง่ ลวดลายปูนป้ัน เสาอิงเป็นรปู กลีบบวั เรยี งซอ้ นกนั วังลดาวลั ย์ เคยเป็นท่ีประทับของสมเด็จฯ เจา้ ฟ้ายคุ ลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุร ี ราเมศวร์ สถาปตั ยกรรมคล้ายกับอาคาร ในยุโรปยุควิคตอเรียและวิลลา่ ในอติ าลี มขุ ทางทศิ ตะวันตกเฉียงใตเ้ ป็นหอคอย ภายในเป็นบนั ไดเวยี น บานหน้าตา่ ง ตอนบนเป็นช่องแสงโค้งรูปครึ่งวงกลม โครงสรา้ งเปน็ แบบผนงั รับน้ำหนกั ภายในจงึ ไมม่ เี สา มกี ำแพงสแี ดงโอบลอ้ มวงั จึงเรยี กกันตดิ ปากวา่ วงั แดง ปัจจบุ ันอยู่ในความดแู ลของ สำนกั งานทรพั ยส์ นิ ส่วนพระมหากษตั รยิ ์ 155
๓ วดั ในพระพทุ ธศาสนา ศูนยร์ วมศรัทธา ทรงคุณคา่ คู่แผ่นดนิ การสร้างบ้านแปงเมืองเม่ือสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น นอกจากจะสร้างพระบรมมหาราชวังที่เป็น ศูนย์กลางของบ้านเมืองแล้ว พระมหากษัตริย์ยังทรงทำนุ บำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ ์ พระอารามต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และเป็นเครื่องหมายแห่งความเปน็ ปกึ แผ่นของบา้ นเมอื ง วัดในพระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นถึงความวิจิตร บรรจงอันเกิดจากศรัทธาท่ีชาวไทยมีต่อพระพุทธศาสนา และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อเกิดเป็นมรดก ทางสถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรมท่ีทรงคุณค่า พระศรีรัตนเจดยี ์จำลอง จดั แสดงภายในห้องทนี่ ำเสนอด้วยเทคนิคเปลย่ี นแสงเป็น ๓ ชว่ งเวลา คือเวลาเช้า-แสงสที อง กลางวนั -แสงสสี ม้ และเย็น-แสงสีคราม 156
วดั เบญจมบพิตรดสุ ติ วนาราม นอกจากจะแสดงถงึ พระราชศรัทธาในการทำนุบำรุงพระบวรพทุ ธศาสนาของรัชกาลท่ี ๕ ซงึ่ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างข้ึนแล้ว ยังเป็นพระอารามท่ีได้รับการรังสรรค์ด้วยสถาปัตยกรรมทง่ี ดงามโดดเดน่ เป็นเอกลักษณ์ เพดานหอ้ งจัดแสดงพระศรรี ตั นเจดยี ์ ตกแต่งด้วยการจำลองลวดลาย เพดานภายใน “พระเจดยี อ์ ุโบสถ” วดั อษั ฎางคนมิ ติ ซง่ึ รชั กาลที่ ๕ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งขนึ้ ท่ีจฑุ าธุชราชฐาน บนเกาะสชี ัง จังหวดั ชลบุรี 157
ด้านในสดุ ของพระระเบยี งจำลอง ใช้กระจกเงา สะท้อนใหเ้ กดิ เปน็ ภาพพระพุทธรูปประดษิ ฐาน เรยี งรายคลา้ ยกับทป่ี รากฏในพระระเบยี ง ของพระวหิ ารหลวงวัดสทุ ศั นเทพวราราม และจดั แสดงหนุ่ จำลองการศกึ ษาของเดก็ ไทย ในอดีตท่เี รียนหนงั สือกบั พระสงฆ์ ลกั ษณะเดน่ ของสถาปัตยกรรม ในพระอารามสำคญั ตั้งแตส่ มัยรัชกาลที่ ๑ ถงึ รชั กาลที่ ๕ นำเสนอดว้ ยการฉายวีดทิ ัศน์ ผา่ นจอผ้าทเ่ี ขยี นภาพ จิตรกรรมฝาผนัง เป็นรูปอาคารสำคญั ของแตล่ ะพระอาราม 158
๓ วดั สทุ ัศนเทพวราราม วัดอรุณราชวราราม วดั สมัยรชั กาลท่ี ๑ วดั สมยั รัชกาลท่ี ๒ สืบทอดอยธุ ยา รวมศรทั ธาสรา้ งขวัญกำลงั ใจ พระมหาธาตเุ จดยี ์คู่พระนคร สมยั รชั กาลที่ ๑ เปน็ ชว่ งเวลาของการสรา้ งความเปน็ สมัยรัชกาลที่ ๒ เริ่มมีการติดต่อทางการค้ากับ ปึกแผ่นให้แก่บ้านเมือง เรียกขวัญกำลังใจให้แก่ราษฎร ประเทศจีน ศิลปะจีนจึงเร่ิมเข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้าง หลังจากทำศึกสงครามกับพม่า รูปแบบทางสถาปัตยกรรม และปฏิสังขรณ์วัด เช่นเดียวกับวัดอรุณราชวราราม จึงมีลักษณะเป็นแบบขนบนิยมหรือไทยประเพณีท่ีสืบทอด ซึง่ เปน็ วดั เกา่ แก่ มมี าต้งั แต่สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา รชั กาลที่ ๒ มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเหมือนเมื่อคร้ัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พร้อมท้ัง “บา้ นเมอื งยังด”ี สรา้ งพระปรางค์ ซง่ึ มกี ารประดบั ตกแตง่ ดว้ ยกระเบอ้ื งเคลอื บ วดั สทุ ศั นเทพวราราม รชั กาลท่ี ๑ ทรงพระกรุณา หลากสี เศษกระเบือ้ ง และเปลือกหอยจำนวนมหาศาล โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างขึ้น โดยได้รับอทิ ธิพลความเชือ่ ในด้าน การวางผังพระปรางค์ยังดำเนินตามภาพจำลอง ต่างๆ สืบทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จักรวาลตามคติไตรภูมิ โดยมีพระปรางค์ประธาน การวางผังวัด ทรงทำตามความเชื่อเร่ืองภูมิจักรวาล องค์ใหญ่ต้ังอยู่กลาง เปรียบด่ังเขาพระสุเมรุ อันเป็น ตามคติไตรภูมิ หน้าบันของพระวิหารหลวงเป็นรูป ศูนย์กลางจักรวาล ส่วนปรางค์เล็กประจำทิศท้ังสี่องค์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ สะท้อนถึงการสมมติให้ หมายถงึ ทวปี ใหญ่ทง้ั ส่ีในจักรวาล พระวิหารหลวงเป็นเมือง “สุทัศนนคร” ซ่ึงเป็นนครของ ภายในวัดยังมีการตกแต่งด้วยตุ๊กตาศิลาจีนจำนวน พระอินทร์บนยอดเขาพระสุเมรุ พระประธาน คือ มาก สันนษิ ฐานวา่ ติดมากบั เรือสำเภาจีนทีม่ าติดตอ่ คา้ ขาย พระศรศี ากยมนุ ี ซ่งึ อัญเชญิ มาทางเรือจากสุโขทยั 159
วดั เทพธิดาราม วดั มกุฏกษัตรยิ าราม วัดสมัยรัชกาลท่ี ๓ วดั สมัยรัชกาลท่ี ๔ สถาปตั ย์รุ่งเรอื ง คูเ่ มอื งพระพทุ ธศาสนา พระราชศรทั ธา แผไ่ พศาล ด้วยมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา เม่ือคร้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างและ ยังทรงเป็นวชิรญาณภิกขุ ได้เสด็จธุดงค์ทอดพระเนตร ปฏสิ งั ขรณว์ ดั ตา่ งๆ เปน็ อนั มาก รูปแบบทางสถาปตั ยกรรม วัดในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะพระนครศรีอยุธยาและ ของวัดในสมัยน้ีมีการพัฒนารูปแบบ เช่น ใช้เครื่องก่ออิฐ สุโขทัย รูปแบบทางสถาปัตยกรรมจึงหวนกลับมา ถือปูน แต่ยังคงเอกลักษณ์รูปทรงอาคารแบบไทย มีการ นิยมแบบไทยอีกครั้ง นิยมสร้างทั้งแบบขนบนิยมหรือ สร้างวัดตามอิทธิพลศิลปะแบบจีนหรือท่ีเรียกว่า “แบบ แบบไทยประเพณี และแบบพระราชนิยมหรือแบบ พระราชนิยม” มากข้ึน ควบคู่กับการสร้างแบบไทย อิทธิพลจีนซ่ึงหันมาตกแต่งด้วยองค์ประกอบอย่างไทย ประเพณี ดงั เชน่ วัดเทพธดิ าราม เช่น ป้ันปูนเป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ติดท่ีหน้าบัน สมัยรัชกาลท่ี ๓ การคา้ กับจนี เฟื่องฟู การสร้างวัด เปน็ ตน้ จึงได้รับอิทธิพลจากจีนทั้งทางสถาปัตยกรรมและศิลปะ ตวั อยา่ งวดั สมยั รชั กาลท่ี ๔ คอื วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม การตกแต่ง หน้าบันเปลี่ยนจากเครื่องไม้เป็นปูนป้ัน จากการที่ได้ทอดพระเนตรพระอารามตามต่างจังหวัด ประดับลวดลายด้วยกระเบ้ืองเคลือบจากจีน พระอุโบสถ จึงทรงนำรูปแบบขนบนิยมหรือไทยประเพณีกลับมาใช้ ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา ชายคารอบอาคารรองรับด้วย ในการสรา้ งวดั นี้ มกี ารสรา้ งเจดยี ก์ ลมทรงลงั กาทางดา้ นหลงั เสาพาไลเหล่ียมขนาดใหญ่ ไม่มีคันทวย ทั่วบริเวณวัด ของพระวหิ าร ซงึ่ เป็นการวางผังตามอย่างโบราณ ทรงเป็น ยังตกแต่งด้วยตุ๊กตาศิลาจีน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตา ผูร้ ิเริ่มสร้างสมี า ตง้ั อยบู่ นกำแพงวัดโดยรอบ เพือ่ ประกาศ ผู้หญิง ภายในพระวิหารยังมีรูปหล่อหมู่อริยสาวิกา ความเปน็ เขตพุทธาวาส (ภกิ ษุณ)ี ประดิษฐานอยู่หน้าฐานชุกชีพระประธาน 160
๓ วัดราชบพิธสถิตมหาสมี าราม วดั พระราม ๙ กาญจนาภเิ ษก วัดในสมัยรชั กาลท่ี ๕ วัดในสมัยรชั กาลท่ี ๖ - ปจั จบุ นั สรา้ งเอกลักษณ์ ดว้ ยศิลปะตะวันตก บรู ณะวดั เดมิ สร้างเพ่มิ สถานศึกษา การสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ละวัดมีรูปแบบ สมัยรัชกาลท่ี ๖ มีเพียงการบูรณปฏิสังขรณ ์ เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน บางแห่งสร้างตามแบบศิลปะ วัดเดิมที่ชำรุดเสียหายหรือสร้างไว้ไม่แล้วเสร็จมาแต่ใน ตะวันตก เช่น วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภายใน รัชกาลก่อน เน่ืองจากมีพระราชดำริท่ีจะทรงสร้างสถาน พระอุโบสถจะตกแต่งเป็นศิลปะแบบกอธคิ และวดั นิเวศน์ ศกึ ษาแทนการสร้างวัด สมยั รัชกาลที่ ๗ เศรษฐกจิ ทั่วโลก ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีองค์ประกอบ ตกต่ำ รวมทั้งประเทศไทย จึงมีเพียงการบูรณปฏิสังขรณ์ ทางสถาปัตยกรรมแบบกอธิคทุกอาคาร โดยเฉพาะ วัดบางแห่ง พระอุโบสถ มีลักษณะเป็นรูปวิหารในวัดศาสนาคริสต ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ด้วยมีพระราชประสงค์จะทรงบูชาพระพุทธศาสนา ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดทั้งในกรุงเทพมหานครและ ดว้ ยของแปลกตาหายากและให้ประชาชนไดช้ ่นื ชม หัวเมือง และมีการสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก สำหรบั วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี ารามนนั้ ลกั ษณะเดน่ เพ่ือเป็นตัวอย่างในการสร้างวัดสำหรับชุมชน เป็นวัดท่ีมี อยู่ที่พระวิหารและพระอุโบสถ คือด้านนอกเป็นไทย ขนาดเล็ก เรียบง่าย เน้นการใช้ประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ ด้านในเป็นฝรั่ง บานประตูทางเข้าวัดทำเป็นรูปทหาร มีรูปแบบไทยประยุกต์ท่ีพัฒนาให้เหมาะแก่ประโยชน์ ต่างไปจากเดิมท่ีมักทำเป็นรูปเทวดา ผนังภายนอกอาคาร ใชส้ อยแบบใหม ่ ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบเขียนลายสีเบญจรงค์ เป็นเอกลักษณ์อันสวยงาม วัดนี้จึงมีการเรียกขานในอีก ช่อื หน่ึงว่า วัดเบญจรงค์ 161
๓ จำลองต้นพระศรีมหาโพธ ิ์ พนื้ ห้องจัดแสดง จำลองพนื้ ลาน ซ่งึ เปน็ ตน้ ไมท้ คี่ นไทย รอบพระอุโบสถของพระอาราม นยิ มปลกู ไว้ภายในวัด ในอดตี ซ่งึ ปดู ว้ ยอฐิ มอญ ดว้ ยเป็นหนง่ึ ในสญั ลักษณ ์ วางตะแคงเป็นแนวฟันปลา แทนสมเด็จพระสมั มา สมั พทุ ธเจา้ 162
ผนงั หอ้ งจดั แสดง ฉายภาพจำลองการประกอบ ศาสนกจิ ของพุทธศาสนกิ ชนภายในบริเวณ ลานรอบพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม ตั้งแต่ช่วงเชา้ จนถงึ เยน็ เชน่ ชว่ งเชา้ ทำบุญตกั บาตร พระศรีศากยมุนี กลางวัน ประกอบพิธอี ปุ สมบท ช่วงเยน็ ประกอบพิธีเวยี นเทยี น พระศรีศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย ประทับน่ังขัดสมาธิราบ ถือเป็น พระพุทธรูปสำริดท่ีสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ท่ีสุด ในประเทศไทยเท่าทป่ี รากฏหลักฐานในปจั จบุ นั พระศรีศากยมุนีมีความเกี่ยวข้องกับการสร้าง วดั สทุ ศั นเทพวราราม ดว้ ยรชั กาลที่ ๑ มพี ระราชดำริ ให้สรา้ งพระวิหารหลวง เพอื่ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระศรี ศากยมุนีท่ีทรงให้อัญเชิญมาจากวดั มหาธาตุ จงั หวดั สุโขทัย ในคร้ังน้ันรัชกาลท่ี ๑ มีพระราชศรัทธา เสด็จพระราชดำเนินตามกระบวนแห่พระโดยไม่ทรง ฉลองพระบาท จนยกพระพุทธรูปข้ึนต้ังบนฐาน ท่เี ตรยี มไว้แล้วจงึ เสดจ็ พระราชดำเนนิ กลับ 163
การแบ่งเขตภายในวัด นำเสนอดว้ ยระบบ จอสมั ผสั ในรูปแบบมลั ต-ิ ทชั (Multi-touch) ซึ่งผู้เขา้ ชมจะไดร้ ับความรคู้ วบคู่ไปกบั ความเพลิดเพลิน จากการเลน่ เกมจัดวาง สงิ่ กอ่ สรา้ งตา่ งๆ ภายในเขตพุทธาวาส และเขตสงั ฆาวาสให้ถกู ต้อง ตรงตาม แผนผงั ๔ การแบ่งเขตภายในวัด ภายในวัด มีพ้ืนท่ีหลักแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ เขตพุทธาวาส สังฆาวาส และเขตสาธารณประโยชน์ ซึ่งจะแบ่งเป็นสัดส่วนแยกออกจากกัน อย่างชัดเจน เขตพุทธาวาส คือสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เ ส มื อ น สั ญ ลั ก ษ ณ์ แ ห่ ง ส ถ า น ที่ ป ร ะ ทั บ ข อ ง ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า มักประกอบด้วยสถาปัตยกรรมหลักสำคัญๆ ท่ีเก่ียวเนื่องกับพระพุทธองค ์ และพิธีกรรมต่างๆ เขตสังฆาวาส คือส่วนที่พักอาศัยของพระสงฆ์ เพื่อให้ สามารถปฏิบัติภารกิจส่วนตัวท่ีไม่เกี่ยวเน่ืองกับพิธีการทางพระพุทธศาสนา โดยตรง พื้นที่บริเวณน้ีจึงมักมีขอบเขตที่มิดชิด ประกอบด้วยอาคารสถาน ที่สัมพันธ์เฉพาะกับกิจกรรมและวัตรปฏิบัติที่เป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของ สมณเพศ เขตสาธารณประโยชน์ คือเขตพื้นท่ีที่วัดกำหนดให้เป็นเขตพ้ืนท่ี สำหรับเอ้ือประโยชน์ใช้สอยในเชิงสาธารณประโยชน์ในลักษณะต่างๆ ของวัด เช่น ใช้เป็นพ้ืนท่ีเปิดโล่งเพ่ือสร้างความร่มรื่นให้วัด หรือใช้เป็นสถานที่ก่อสร้าง อาคารอ่นื ๆ เชน่ เมรเุ ผาศพ โรงเรยี น เป็นต้น ตุ๊กตาศิลา ประดบั อยทู่ บ่ี รเิ วณประตทู างเข้าพระอุโบสถ 164 วดั สทุ ศั นเทพวราราม
เขตพุทธาวาส พระวหิ ารหลวง พระอโุ บสถ เขตสังฆาวาส หอพระไตรปิฎก ตวั อยา่ งแผนผงั วัดสุทัศนเทพวราราม แสดงสงิ่ ก่อสรา้ งต่างๆ เชน่ พระวิหารหลวง พระอโุ บสถ หอพระไตรปิฎก พระระเบยี ง หมกู่ ุฏพิ ระสงฆ์ เป็นต้น 165
๕ บ้านในกรุงรัตนโกสนิ ทร ์ บา้ นเรือนสมยั รชั กาลที่ ๑ - รชั กาลท่ี ๓ อยอู่ ย่างไทย เหมือนสมยั กรุงเก่า บ้านเรือนราษฎรมีหลายแบบ มีลักษณะร่วมกันคือ หลังคาจ่ัวสูง ยกใต้ถุนสูง ต่างกันแต่ขนาดและวัสดุที่ใช้ ตามแต่ฐานะเจ้าของ แม้จะมีฐานะดี บ้านราษฎรก็ไม่นิยม ประดับประดา เพราะถือว่า “ทำตัวเทียมเจ้า” เป็นเรื่อง มิบังควร เชื่อกันว่าจะเปน็ อัปมงคลแกต่ น ลักษณะเรอื นเครอ่ื งผูก ซงึ่ ปัจจบุ นั สามารถพบเห็นได้ตามชนบท 166
เรือนเคร่ืองสับหรือเรือน เรอื นแพ ฝากระดาน เปน็ เรอื นแบบไทยยกพน้ื สงู ส ร้ า ง ขึ้ น โ ด ย ใ ช้ ไ ม้ เ น้ื อ แ ข็ ง ท่ี ถ า ว ร 167 คงทนเป็นโครงสร้างท้ังหลัง ตั้งแต่ หลังคา ฝา พ้ืน และเสา มีลักษณะ พิเศษคือ ตกแต่งหน้าจั่วด้วยปั้นลม และมตี วั เหงาติดชายปัน้ ลม เรือนเคร่ืองผูก เป็นเรือนของ คนงานรบั จา้ ง ไพรส่ ม และทาส ใชว้ สั ดุ ที่ไม่คงทนถาวรมาผูกเป็นเรือน เช่น ไม้ไผ่ ใบจาก ใบตาล ใบลาน และ หวาย มีท้งั ปลกู เป็นโรง คือ ปลูกตดิ พ้ืนดิน กับปลูกเป็นเรือน คือ มีการ ตงั้ เสายกพืน้ เรอื นเหนอื พืน้ ดนิ เรือนแพ เป็นเรือนท่ีต้ังอยู่บน แพไม้ไผ่ ผูกเสาจอดลอยอยู่ในน้ำ ตั ว เ รื อ น มี ท้ั ง เ รื อ น เ ค รื่ อ ง สั บ แ ล ะ เรือนเครอ่ื งผูก
ผ้เู ขา้ ชมจะได้รบั ความรู้ เกยี่ วกบั แบบแผนบ้านเรอื น ในกรุงรัตนโกสนิ ทร ์ ซง่ึ จัดแสดงดว้ ย ภาพบา้ นเรือนในอดตี ประกอบอะนิเมชั่น ซึง่ ลว้ นเคล่อื นไหวไปตาม จงั หวะการบงั คบั พาย การสะบัดบงั เหียน และ การเหยยี บคันเรง่ รถ ซึง่ ติดตง้ั อยู่ทีเ่ สาดา้ นหนา้ จอภาพรปู ช่องหน้าต่าง บา้ นเรอื นสมัยรชั กาลท่ี ๔ - รัชกาลท่ี ๕ เปดิ โลกกว้าง ได้แบบอยา่ งจากตา่ งแดน สมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ มีการติดต่อกับ ชาวตะวันตกมากข้ึน และมผี ้เู ดินทางไปศกึ ษาการปกครอง และการทำนุบำรุงบ้านเมืองท่ีสิงคโปร์ เม่ือกลับมาจึงนำ แบบอย่างต่างๆ มาดัดแปลงเข้ากับเมืองไทย เม่ือมีการ ตัดถนนใหม่ก็สร้างตึกแถวสองข้างถนน เพื่อเป็นย่าน ค้าขาย หรือเป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ดังที่พูดกัน วา่ “ถนนไปถึงไหน ตกึ แถวไปถึงนั่น” เรือนของผู้มีบรรดาศักด์ิ ข้าราชการ รวมถึงราษฎร ท่ัวไป มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวัสดุก่อสร้างมาเป็น การก่ออิฐถือปูน สร้างเป็นเรือนตึกที่ได้รับแบบอย่าง จากเมอื งชวาและสงิ คโปร์ เรยี กวา่ ตกึ กะหลาปา๋ มหี นา้ มขุ ใชเ้ ปน็ หอ้ งรบั แขก ในช่วงสองรัชสมัยนี้เริ่มมีชาวต่างประเทศเข้ามาอยู่ อาศัยในพระนครมากขึ้น ทางการจึงสร้างตึกหลวงหลังคา ทรงปั้นหยาเป็นท่ีรับรอง สร้างสถานกงสุลต่างประเทศ และเรือนพักอาศัยท่ีมีเฉลียงโดยรอบ อันเป็นลักษณะ เฉพาะตวั ตามแนวความคิดของชาวตะวนั ตก 168
๕ บา้ นเรือนสมยั รชั กาลท่ี ๖ - ปัจจบุ นั รปู แบบตะวนั ตก ย่งิ มีอิทธิพล สมัยรัชกาลท่ี ๖ มีคฤหาสน์สำหรับขุนนาง ผู้มีบรรดาศักด์ิสูงซ่ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระราชทาน ออกแบบโดย ชาวตะวันตก รูปแบบสถาปัตยกรรมจึงเป็นแบบตะวันตก ท่ีทันสมัยในยุคน้ัน อาคารที่สร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน จะมีขนาดใหญ่ บนพ้ืนที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยศิลปะ ท่งี ดงาม ผู้มีฐานะปานกลางหรือประชาชนท่ัวไป จะสร้าง เรอื นไม้ มมี ุขอยา่ งน้อย ๑ แหง่ ถือกันว่าหนา้ มุขเปน็ เครอ่ื ง แสดงฐานะของเจ้าของบ้าน หลังคาจะมุงด้วยกระเบ้ือง ซเี มนต์รปู ขนมเปียกปนู เรยี กวา่ กระเบอื้ งว่าว จากน้ันมาผู้คนทั่วไปหันมาให้ความนิยมบ้านไม้ 169
๖ ดื่มด่ำย่านชุมชน
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นที่ตั้งของชุมชนหลายแห่งซ่ึงราษฎรแต่ละชุมชน ได้รวมตัวกันประกอบอาชีพที่สุจริต ผลิตผลงานหัตถศิลป์เลี้ยงชีวิต ตามความเช่ียวชาญที่ได้ส่ังสมและสืบทอดกันต่อมาเป็นเวลายาวนาน จนแต่ละ ชมุ ชนมชี อื่ เสยี งและสามารถสรา้ งเอกลกั ษณใ์ นดา้ นการผลติ งานหตั ถศลิ ปต์ า่ งๆ ซง่ึ ตอ่ มาไดก้ ลายเปน็ สมบตั อิ นั ลำ้ คา่ เปน็ ทเ่ี ชดิ หนา้ ชตู าของชาวชมุ ชน และผคู้ น บนเกาะรัตนโกสนิ ทร์
บ้านลาน ชุมชนช่างทอง บ้านพานถม ถนนดินสอ บ้านธปู ชมุ ชนกรงนก บา้ นนำ้ อบ บ้านดอกไม้ บา้ นสาย บ้านบาตร ยา่ นสงั ฆภัณฑ ์ ถนนตีทอง แผนท่ีกรุงรัตนโกสนิ ทร์ สมยั รัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๔๘ 172
นับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร ์ เป็นราชธานีแห่งขอบขัณฑสีมาราชอาณาจักร สยาม เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๕ ภายใต้ร่มพระมหา เศวตฉัตรและพระบรมโพธสิ มภารของพระมหา กษตั รยิ แ์ หง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์ ซง่ึ ทรงมงุ่ หวงั ต้ังพระราชหฤทัยปกครองประเทศให้รุ่งเรือง ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ตามครรลองแห่ง สมเด็จพระบรมศาสดา บ้านเมืองได้บังเกิด ความก้าวหน้า นำความร่มเย็นผาสุกมาสู่ มหาชน ตลอดจนแผน่ ดินสยาม ราษฎรท้ังหลายยังได้รับอิสระเสร ี ในการประกอบอาชพี จงึ สามารถเนรมติ ผลงาน หัตถศิลป์ด้วยความคิดสร้างสรรค์และฝีมือ เชิงช่างท่ีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แสดง ความมีศิลปะในฐานะศิลปินของชาวสยาม เป็นสมบัติล้ำค่า ซึ่งควรรักษาและสืบทอด ใหส้ ถาพรสบื ไป 173
แ ผ น ผั ง ห้องดืม่ ดำ่ ย่านชมุ ชน ชมุ ชนกรงนก บา้ นธปู บา้ นพานถม ๖ บา้ นลาน ๕ ๔ ๓ ชุมชนช่างทอง ๒ จดุ เริ่มต้น ถนนดนิ สอ ๑ 174
บ้านนำ้ อบ บา้ นสาย ๗ บ้านดอกไม ้ ๘ บา้ นบาตร ๙ ๑๐ ๑๑ ยา่ นสังฆภณั ฑ ์ ทางเข้า-ออก ๑๒ ถนนตที อง 175
ชุมชนหตั ถศลิ ป์ ถนิ่ เมอื งกรงุ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ข้ึนเป็นราชธานี มีกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ เข้ามาพำนักลงหลักปักฐาน พึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก กลุ่มคนต่างๆ เหล่าน้ีได้เข้ามาร่วมกันเติมเต็มและสรรค์สร้าง กรุงรัตนโกสินทร์ให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยเป็นแรงงานสำคัญในการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ของชาวพระนครจนเกิดเป็นย่านชุมชน ซง่ึ ผู้คนในท้องถิ่นได้ร่วมกันผลิตงานหัตถศิลป์ตามความถนัดของตน ซึ่งได้รับการสืบทอดต่อมาเป็นเวลายาวนาน จนข้ึนชื่อเร่ืองความเช่ียวชาญและมีเอกลักษณ์ เป็นท่ีรู้จัก อย่างกว้างขวาง ดังปรากฏช่ือบ้านหรือย่านชุมชน ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นท้องถ่ินที่ประกอบสัมมาอาชีพ และมีความชำนาญในด้านใด ไม่ว่าจะเป็นถนนตีทอง ย่านสังฆภัณฑ์ บ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านสาย บ้านน้ำอบ บ้านธูป ชุมชนกรงนก บ้านพานถม บ้านลาน ชุมชนช่างทอง ซ่ึงยังคงผลิตงานหัตถศิลป ์ หรือเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม สืบทอดความภาคภูมิใจของชุมชนต่อมา แต่ก็มีหลายชุมชน เช่น บ้านหม้อ บ้านปูน บ้านอีเล้ิง ท่ีแม้ทุกวันนี้จะเหลือเพียงช่ือให้เรียกขานก็ตาม แต่ก็ทำให้คนรุ่นหลัง ได้ย้อนรำลึกถึงถ่ินฐาน ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตกาลเคยเป็นย่านชุมชนของผู้คนซ่ึงมีความชำนาญในงานช่าง สามารถสรรค์สร้างงานหัตถศิลป์ซ่ึงเป็นภูมิปัญญาอันประณีต แสดงถึงอุปนิสัยของชาวสยามว่าเป็นผู้ที่ม ี ความอดทน ใจเยน็ และเปน็ ผมู้ ศี ลิ ปะ เพราะงานหตั ถศลิ ปแ์ ตล่ ะชน้ิ กวา่ จะสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปได้ ลว้ นใชเ้ วลา แรงกาย และแรงใจที่ต้องทุ่มเทให้อย่างสุดความสามารถ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่คนรุ่นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร ์ จะพงึ ระลกึ ถงึ คณุ คา่ และภมู ิใจในภูมิปญั ญาของบรรพบรุ ุษท่ีได้สั่งสมไว ้ เรือนแถวริมถนนบำรุงเมือง บรเิ วณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม ในสมัยรชั กาลท่ี ๕ เป็นยา่ นชมุ ชนการค้าทสี่ ำคญั แหง่ หน่ึงในกรุงรัตนโกสนิ ทร์
นำเสนอด้วยเทคนิคชาโดว์ อินเทอร์แอคทีฟ (Shadow Interactive) ผสมกบั เทคโนโลยี การจบั สัญญาณเลเซอรแ์ บบละเอยี ด เมื่อผชู้ มยืนอยทู่ ่ีจดุ สีเหลือง จะปรากฏ ลวดลายบนพนื้ ซึ่งจะฉายไปยังตู้ซ่ึงจัดแสดง ผลงานหัตถศลิ ปข์ องชมุ ชนต่างๆ พร้อมวดี ทิ ศั น์เลา่ ประวตั ขิ องชุมชน และวธิ กี ารทำงานหัตถศิลปต์ า่ งๆ 177
กบู หนัง ใช้สำหรับ พระพทุ ธรูปปางมารวชิ ยั ตีทองคำใหเ้ ป็น ทรงจีวรลายดอก แผน่ บาง ลงรกั ปดิ ทอง ทองคำหนัก ๑ บาท ศลิ ปะสมยั (๑๕.๒ กรมั ) ต้นรัตนโกสนิ ทร์ สามารถตีเป็น มีจำหน่ายในย่าน ทองคำเปลว สังฆภัณฑ ์ ไดป้ ระมาณ ๔,๐๐๐ ถนนบำรุงเมือง แผ่น ๑๑. ถนนตีทอง ๒๒. ยา่ นสังฆภณั ฑ์ ถนนบำรุงเมอื ง แยกคอกววั ทำทองคำเปลว จำหนา่ ยสังฆภณั ฑ ์ การตีทองหรือการทำทองคำเปลว ถือเป็นอาชีพ เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ได้เกิดการรวมกลุ่มเป็นย่าน สงวนในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากช่างทอง หรือชุมชนเพื่อผลิตเครื่องสังฆภัณฑ์หรือสิ่งของเครื่องใช้ ทุกประเภทถือเป็นข้าน้ำคนหลวงของพระเจ้าแผ่นดิน สำหรับพระภิกษุสามเณรและการทำพระพุทธรูป เม่ือมีการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานเสร ี ตั้งเรยี งรายอยรู่ มิ ถนนบำรงุ เมือง เริ่มต้งั แตป่ ระตผู ีเร่อื ยไป ในการทำทอง ชา่ งตที องจงึ ไดป้ ระกอบอาชพี ตที องคำเปลวท่ีน่ี จนถึงบริเวณเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม สินค้า เปน็ แหง่ แรก เมอื่ ถนนตดั ผา่ นบรเิ วณน้ี จงึ มชี อื่ วา่ ถนนตที อง บางชนิดก็รับมาจากย่านอ่ืน เช่น บาตรจากบ้านบาตร สายรัดประคดจากบ้านสาย ทองคำเปลวจากถนนตีทอง ธูปหอมจากย่านถนนมหาไชย ซึ่งมีลูกค้ามาเลือกซ้ือ พระพุทธรูปและเครื่องสังฆภัณฑ์สืบทอดแรงศรัทธาใน พระพุทธศาสนามาจวบจนปจั จุบนั ย่านถนนตที อง สมยั รัชกาลที่ ๕ 178
บาตรทรงตะโก พเยยี มาศ ดอกไม้พมุ่ หรอื ขนาดเส้นผา่ น พวงดอกไม้ เปน็ ดอกไม้ไฟ ศูนยก์ ลาง ๗ นิ้ว ประเภทหน่งึ ท่นี ยิ มใช้ในงาน ผลติ โดยช่างจาก พระราชพธิ สี ำคญั เม่อื จุด ตระกูลเสอื ศรีเสรมิ พ่มุ แตล่ ะชัน้ จะดีดตัวแผอ่ อก ดอกไม้ไฟจะสกุ สวา่ ง ไปตามแรงของดนิ ปืน ๓๓. บ้านบาตร ๔๔. บา้ นดอกไม้ ถนนบรพิ ัตร ทำบาตรพระ รอบวดั สระเกศ ทำดอกไม้ไฟ การทำบาตรพระเป็นอาชีพเก่าแก่และมีการรวมตัว การทำดอกไม้ไฟเป็นอีกอาชีพหน่ึงท่ีมีมาแต่คร้ัง เป็นชุมชนมาต้ังแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเช้ือสาย รัชกาลท่ี ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวบ้านท่ีมี มาจากบรรพบรุ ษุ ชาวกรงุ ศรอี ยธุ ยา ผลติ บาตรถูกต้องตาม อาชีพทำดอกไม้ไฟ ตั้งถ่ินฐานบริเวณริมคลองโอ่งอ่าง ลกั ษณะในพทุ ธบญั ญตั ดิ ว้ ยความประณตี มชี อ่ื เสยี งเลอื่ งลอื นอกกำแพงพระนครเพื่อความปลอดภัย เมื่อบ้านเมือง ส่งออกจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และยังคงเป็นหนึ่ง ขยายตวั จนยา่ นนี้ไมเ่ หมาะสมทจี่ ะเปน็ สถานทผ่ี ลติ ดอกไม้ไฟ ในแหล่งหัตถศิลป์ถิ่นเมืองกรุงที่ได้สืบสานศิลปะการทำ ก็ยังคงมีการรับดอกไม้ไฟจากท้ังในและต่างประเทศ บาตรโบราณอยา่ งตอ่ เนื่องจนถึงปัจจุบัน เขา้ มาจำหน่าย ซึ่งสะดวกและปลอดภยั ทำใหบ้ ้านดอกไม้ เป็นเพียงชือ่ บา้ นนามเมอื งใหเ้ ลา่ ขานกนั ในปัจจบุ ัน ชุมชนบา้ นบาตรและชมุ ชนบ้านดอกไม้ อยู่บริเวณใกล้กบั ภูเขาทอง วัดสระเกศ 179
สายรัดประคด นำ้ อบไทยเปน็ เครอื่ งหอม เป็นหนึง่ ในเครอ่ื ง ท่ปี รงุ จากดอกไมน้ านาชนิด อฐั บริขารสำคญั มีกล่นิ หอมที่เปน็ เอกลักษณ์ ทีต่ อ้ งใชค้ วามประณีต ดว้ ยภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ ไทย ในการทำอยา่ งยงิ่ ๕ บา้ นสาย ถนนมหาไชย ๖๖. บ้านน้ำอบ ทำสายรดั ประคด ถนนมหาไชย ทำนำ้ อบไทย การทำสายรัดประคด (ผ้าคาดเอวสำหรับพระภิกษุ) น้ำอบไทยเป็นเคร่ืองหอมท่ีใช้ประพรมร่างกายของ เป็นอีกอาชีพหน่ึงท่ีมีการรวมตัวกันเป็นชุมชนเรียกขานว่า ชาวกรงุ เมอื่ กวา่ ๑๐๐ ปี มาแลว้ ชุมชนบ้านสาย ตั้งอยู่ริมถนนมหาไชย สายรัดประคดที่นี่ ร้านน้ำอบไทยนางลอยต้ังอยู่ริมถนนมหาไชย ทำด้วยไหม ฝีมือประณีตสวยงามมาก นอกจากน้ี ยังทำ บริเวณตลาดนางลอย เย้ืองวัดบพิตรพิมุข ต่อมาย้ายมา ถุงตะเคียวสำหรับหุ้มบาตรพระ ส่งขายท่ีย่านสังฆภัณฑ ์ อยู่ทถ่ี นนมหาไชย ตรงข้ามกับวัดเทพธิดาราม แต่ผูส้ บื ทอด อกี ดว้ ย ยังคงใชช้ อื่ ว่าน้ำอบไทยนางลอยเช่นเดิม ปัจจุบนั ไม่มีการผลติ สายรดั ประคดอีกตอ่ ไป จึงเหลอื เพยี งชื่อชุมชนบ้านสายใหร้ ะลกึ ถึงเท่านน้ั ย่านถนนมหาไชย ในสมยั รชั กาลที่ ๕ 180
ธูปหอมมีวิวัฒนาการ กรงนกเขา กรงนกปรอดหวั จกุ สว่ นผสมทง้ั ไทยและเทศ หัตถกรรมฝีมือชุมชน จนเกิดเป็นธูปไทยแท้ เชอื้ สายชาวใต้ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ เป็นงานทีล่ ะเอยี ดออ่ นมาก ซึง่ มีกลนิ่ หอมมากกวา่ แตล่ ะกรงใชเ้ วลาทำนบั เดอื น ธปู ชนิดอ่ืนๆ อันเกดิ ยงั คงหาซอื้ ไดท้ ช่ี มุ ชนกรงนก จากการผสมผสาน หลงั ป้อมมหากาฬ สมนุ ไพรหลายชนิด เขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งลงตวั ธูปหอมถนนสนามไชย เปน็ ต้นตำรับ ธปู หอมโบราณ เพยี งแหง่ เดียว ในประเทศ ๗๗. บ้านธูป ๘๘. ชุมชนกรงนก ถนนมหาไชย ทำธปู หอม ชมุ ชนหลงั ปอ้ มมหากาฬ ทำกรงนก การทำธปู หอมไทยนน้ั มเี อกลกั ษณแ์ ตกตา่ งจากการทำ ชาวใต้ท่ีอพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานบริเวณป้อมมหากาฬ ธูปของจีน และมีการผลิตมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนหน่ึงเป็นชาวมุสลิมท่ีมีฝีมือในการประดิษฐ์กรง เนอื่ งจากธปู เปน็ เครอ่ื งบชู าในพธิ กี รรมทางศาสนา การทำธปู นกเขาชวา มีหลายรูปทรง และได้สืบทอดหัตถกรรม เปน็ ภมู ปิ ญั ญาไทยชั้นเลศิ ท่ีบรรพบุรษุ ได้สัง่ สมเอาไว ้ ทำกรงนกเขาและกรงนกปรอดหัวจุกจากรุ่นปู่ย่าตายาย ในอดตี ยา่ นถนนมหาไชย มรี า้ นคา้ ทม่ี ชี อ่ื เสยี งในการทำ ด้วยฝีมืออันประณีต แม้ปัจจุบันเหลือครอบครัวชาวใต้ ธูปหอมหลายราย แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ผลติ กรงนกเพียง ๒ ราย แต่ยงั มลี กู คา้ มาอุดหนุนอยเู่ สมอ เท่านน้ั ทีย่ งั คงสืบทอดการทำธูปแบบโบราณ ชมุ ชนกรงนกริมคลองโอง่ อ่างหลังปอ้ มมหากาฬ 181
เครอ่ื งถมเปน็ งาน ใบลานไดร้ บั การสรา้ งสรรค์ ประณตี ศลิ ปท์ ท่ี ำจาก ขน้ึ เปน็ เครอ่ื งใช้ วตั ถดุ บิ ทมี่ คี า่ ในชวี ติ ประจำวนั นบั ตงั้ แต่ ประกอบกบั กรรมวธิ ี ของเลน่ เครอ่ื งใช้ เครอื่ งราง ทส่ี ลบั ซบั ซอ้ นและตอ้ ง ของขลงั และสงิ่ ของ อาศยั ชา่ งฝมี อื ชนั้ สงู ในพระพทุ ธศาสนา เครอ่ื งถมเปน็ รองเพยี ง อาทิ คมั ภรี ์ใบลาน เครอ่ื งทองคำเทา่ นน้ั ๙๙. บ้านพานถม ๑ ๐ บา้ นลาน บางขุนพรหม หลงั วดั ปรินายก ทำเคร่อื งถม ทำผลติ ภัณฑ์ใบลาน เครื่องถมเป็นเคร่ืองใช้ในราชสำนัก ด้วยเหตุน ี้ การทำงานหตั ถกรรมประเภทต่างๆ ด้วยใบลานน้ัน ยา่ นทผี่ ลติ เครอ่ื งถมจงึ ตง้ั อยู่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวงั เกดิ ขนึ้ บรเิ วณทา่ นำ้ รมิ ฝง่ั แมน่ ำ้ เจา้ พระยาใกลว้ งั บางขนุ พรหม เพอื่ ความสะดวกในการสง่ั งานและควบคมุ การผลติ การค้าใบลานจึงเจริญรงุ่ เรอื งขน้ึ ที่นี่ จนเรียกกันติดปากว่า นอกจากช่ือเสียงด้านทำพานถมแล้ว บ้านพานถม บ้านลาน แต่ปัจจุบันความนิยมใบลานลดลงอย่างมาก ยังเป็นแหล่งผลิตเครื่องถมหลายรูปแบบท้ังภาชนะและ บา้ นลานทเ่ี คยเปน็ ตลาดใบลานอนั คกึ คกั จงึ เหลอื รา้ นลานทอง เคร่อื งประดบั ต่างๆ แต่ปัจจบุ นั การทำเครอ่ื งถมเหลอื เพยี ง เพียงร้านเดยี วท่ยี งั จำหนา่ ยผลติ ภัณฑ์จากใบลาน แหง่ เดยี ว คอื รา้ นไทยนคร ซง่ึ เปดิ กจิ การมาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ วงั บางขุนพรหม 182
เครอ่ื งทองชมุ ชนมสั ยดิ ดนิ สอพองมปี ระโยชน ์ จกั รพงษม์ วี ธิ กี ารขน้ึ รปู หลากหลาย ในอดตี นยิ มใชเ้ ปน็ หลากหลายลกั ษณะ เครอื่ งประทนิ ผวิ โดยนำมา เชน่ การเคาะขนึ้ รปู ละลายนำ้ หรอื นำ้ หอม การขดั การสาน ประพรมรา่ งกาย นอกจากนี ้ หรอื ขบั เปน็ ตน้ ยงั ใชแ้ กพ้ ษิ ผด ผนื่ คนั งานทีโ่ ดดเดน่ คอื ใชท้ ำความสะอาดเครอื่ งเงนิ แหวนนพเกา้ นาก ทองเหลอื ง นำไปผสมสที าไม้ ผสมสที าบา้ น ฯลฯ ๑ ๑ ชุมชนช่างทอง ชุมชนมัสยดิ ๑๒ ถนนดินสอ จักรพงษ์ ทำเครื่องทอง เสาชิงช้า ทำดินสอพอง ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ช่างทำทองถือเป็นช่างฝีมือ สนั นษิ ฐานวา่ คำวา่ ดนิ สอนน้ั กรอ่ นมาจากดนิ สอขาว ช้ันสูง ผู้ที่มีฝีมือในการทำเครอื่ งทองรูปพรรณจะได้รับสิทธิ หรือดินสอดำสำหรับใช้เขียนกระดานชนวนหรือสมุดข่อย พิเศษมากกว่าคนทั่วไป เช่น ชุมชนมัสยิดจักรพงษ ์ บา้ งวา่ นา่ จะเปน็ ดนิ สอพองท่ีใชป้ ระทนิ ผวิ ชา่ งทำดนิ สอพอง เคยเป็นย่านท่ีอยู่อาศัยของช่างทองหลวงชาวมุสลิม ท่ีชุมชนบ้านดินสอจะใช้ดินขาวจากต่างถิ่นท่ีลำเลียงมา ซ่ึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณและไว้วางพระราชหฤทัย ทางเรอื เปน็ วัตถุดิบ ใหต้ ง้ั ถน่ิ ฐานบา้ นเรือนภายในเขตคเู มืองกรุงรตั นโกสินทร์ แม้ว่าการผลิตและจำหน่ายดินสอพองท่ีบ้านดินสอ นอกจากน้ัน ชาวมุสลิมเหล่าน้ียังมีความรู้เรื่อง ไดเ้ ลกิ ไปนานแลว้ แตช่ อื่ บา้ นดนิ สอยงั เปน็ ทจี่ ดจำสบื มา การทำทองเป็นอย่างดี ฝีมือประณีต และมีลวดลาย เป็นเอกลักษณ์ น่าเสียดายท่ีปัจจุบันช่างทองส่วนใหญ่ ไดเ้ ลิกอาชีพทำเครอ่ื งทองไปเกือบหมดแล้ว ยา่ นถนนดินสอ 183
๗ เย่ียมยลถ่ินกรุง 184
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่ได้รับ การทำนุบำรุงให้รุ่งเรืองในทุกด้าน ด้วยพระบรมโพธิสมภารของพระมหา กษัตริย์ซึ่งทรงมุ่งหวังต้ังพระราชหฤทัยบันดาลความผาสุกให้บังเกิดแก ่ พสกนิกร มหานครแห่งน้ีจึงบริบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่า มั่งค่ังด้วย การค้าการพาณิชย์ พร่ังพร้อมด้วยสรรพพิพิธวิทยา ซ่ึงล้วนควรได้รับการรักษา และสืบทอดใหเ้ ปน็ สมบตั ลิ ำ้ คา่ เป็นมรดกทค่ี งความงามสง่าสบื ไป 185
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มี ค ว า ม เ จ ริ ญ รุ่ ง เ รื อ ง สื บ ม า นั บ ต้ั ง แ ต่ ไ ด้ รั บ การสถาปนาในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่ง พระบรมราชจักรีวงศ์ ท่ีทรงตั้งพระราช หฤทัย “จะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแล มนตรี” ด้วยพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์ ทุกรัชกาลท่ีทรงสืบสานพระราชปณิธาน อันแน่วแน่ กรุงรัตนโกสินทร์จึงเป็นศูนย์กลาง ของสยามประเทศทเ่ี ปยี่ มดว้ ยสถานทอ่ี นั งดงาม บริบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่า ควรแก่ การไดท้ ศั นาและเยยี่ มยล ซงึ่ จะยงั ความภมู ใิ จ ให้บังเกิดแก่มหาชนชาวสยาม ว่าได้อาศัยอยู่ บนแผ่นดินท่ีประดับด้วยมรดกอันทรงค่า เป็นราชธานีที่มีความงามสง่าทัดเทียมนานา อารยประเทศ 186
187
แ ผ น ผั ง ห้องเยย่ี มยลถิ่นกรุง ๕ สำราญการกิน ๖ ๕ รวมสรรพจับจ่าย ๖ ๑ ๗ ๗ ๑ เยือนย่ำคำ่ คนื ถา่ ยภาพหรรษากับรา้ นฉายาราชดำเนิน 188
B ๔ เย่ียมยล พินจิ พพิ ธิ ภัณฑ ์ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เพียงนิ้วสมั ผัส ๓ จดุ ที่ ๒ B ๔ ๓ A ๒ ทางเข้า - ทางออก ร่นื รมย์ชมสวน A เยีย่ มยล ๒ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ เพยี งน้วิ สมั ผัส จดุ ท่ี ๑ สถาปัตยว์ ดั วัง 189
จำลองร้านถา่ ยภาพในอดตี โดยใหผ้ ู้เข้าชมร่วมสนุก ด้วยการถ่ายภาพ ผา่ นกล้องดจิ ิทลั ที่ซ่อนอยู่ในกล้องโบราณ จำลอง จากนน้ั ภาพใบหน้าของผเู้ ข้าชม จะปรากฏในวีดทิ ัศน์ประกอบอะนิเมชน่ั นำชมกรุงรตั นโกสนิ ทรท์ จ่ี ดั แสดง 1๕9๘0 ภายในหอ้ งเยยี่ มยลถ่นิ กรงุ
ระบบจอสัมผสั ที่สามารถเลอื กชม ๑ รายละเอียดของสถานทีส่ ำคญั ต่างๆ ในกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ แตล่ ะช่องหนา้ ตา่ งจัดแสดงภาพและชือ่ ของสถานที่สำคญั ต่างๆ ภายในกรงุ รัตนโกสินทร์ โดยแบง่ เปน็ ๖ ช่อง ๖ กลมุ่ ไดแ้ ก่ ๑. สถาปตั ย์วัดวัง (วัด วงั และสถานท่ีสำคัญทางประวตั ศิ าสตร)์ ๒. รนื่ รมยช์ มสวน (สวนสาธารณะ) ๓. พินจิ พพิ ิธภณั ฑ์ (พิพธิ ภัณฑ์) ๔. สำราญการกิน (ย่านท่มี ชี ือ่ เสียงเรอื่ งอาหารรสอรอ่ ย) ๕. รวมสรรพจับจ่าย (แหล่งจำหน่ายสินค้านานาชนดิ ) ๖. เยือนยำ่ คำ่ คืน (สถานทสี่ ำคญั ยามคำ่ คืนที่ควรเยยี่ มยล) หากผเู้ ขา้ ชมอยากทราบรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ เรอ่ื งความเป็นมา สถานท่ตี ง้ั และการเดินทาง สามารถเลือกชมได้จากช่องหนา้ ต่าง “เยย่ี มยลกรุงรตั นโกสินทรเ์ พยี งนว้ิ สมั ผสั ” ภาพใบหน้าของผู้เขา้ ชมจะปรากฏ ผเู้ ขา้ ชมสามารถมองลงไปยัง ทต่ี ัวการ์ตนู อะนิเมชั่น ดว้ ยเทคนคิ หอ้ งท่ี ๖ ดื่มด่ำย่านชุมชน การตัดต่อภาพระบบดจิ ทิ ัล ผา่ นกระจกใส ซ่ึงจะทำใหเ้ ห็น ซง่ึ สามารถแยกเพศของผเู้ ขา้ ชม ลวดลายทสี่ วยงามซึ่งจัดแสดงอย ู่ ทีเ่ ปน็ ชายและหญิงให้สอดคลอ้ งกับ บนพ้นื หอ้ งในอีกหนงึ่ มุมมอง ลักษณะของการ์ตูนอะนิเมชัน่ แต่ละตัว 191
ช่องหน้าต่างสถาปัตย์วัดวังจัดแสดง ภาพพระอารามสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสน้ิ ๑๓ แห่ง ได้แก ่ ๑. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๒. วดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสมี าราม ๓. วดั ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ๔. วัดบวรนิเวศวิหาร ๕. วดั ชนะสงคราม ๖. วดั สทุ ัศนเทพวราราม ๗. วดั อนิ ทรวหิ าร ๘. วัดเทพธดิ าราม ๙. วัดมหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎิ ์ ๑๐. วัดราชบุรณะ ๑๑. โลหะปราสาท วัดราชนดั ดาราม ๑๒. ภูเขาทอง วัดสระเกศ ๑๓. ครุ ดุ วารา สมาคมศรีครุ สุ ิงห์สภา นอกจากนี้ยังมีภาพสถานที่สำคัญต่างๆ ได้แก่ สถานที่ศักด์ิสิทธ์ิ (เสาชิงช้า เทวสถาน (โบสถ์พราหมณ์) ศาลหลักเมือง ศาลเจ้าพ่อเสือ โบสถ์กาลหว่าร์) วัง (พระที่นั่งอนันตสมาคม วังบางขุนพรหม วังวรดิศ วังจันทรเกษม) อนุสาวรีย์ สถาปตั ยว์ ดั วัง (พระบรมรปู ทรงมา้ อนสุ าวรยี ป์ ระชาธปิ ไตย อนุสรณส์ ถาน ๑๔ ตุลา ๑๖ อนุสาวรีย์หม)ู สะพาน (สะพานปกี ุน สะพานผ่านฟ้าลลี าศ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีท่ีพระบวรพุทธ สะพานผ่านพิภพลีลา สะพานมหาดไทย ศาสนาหย่ังรากและเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู ด้วยการอุปถัมภ์ อทุ ศิ ) ปอ้ ม (ป้อมมหากาฬ ป้อมพระสเุ มรุ) ค้ำชูจากพระมหากษัตริยแ์ ห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งทรง ทศพิธราชธรรมและทรงดำเนินกุศโลบายในการปกครอง ประเทศให้เป็นปึกแผ่นม่ันคงตามครรลองแห่งสมเด็จ พระบรมศาสดา ชาวสยามจึงบังเกิดความผาสุกภายใต้ พระบรมโพธิสมภาร ท้ังยังมีพระราชศรัทธาสถาปนา พระอารามที่งดงามด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมปรากฏ เปน็ เกียรตยิ ศลำ้ ค่าของแผ่นดิน 192
พระอโุ บสถ พระมหาเจดยี ์ ๔ รัชกาล วัดสระเกศ วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม พระตำหนกั เพช็ ร วัดบวรนิเวศวิหาร ผเู้ ขา้ ชมสามารถเลือกชมรายละเอียด ของพระอารามตา่ งๆ ท่จี ัดแสดง ได้จากจอระบบสมั ผสั วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม ทีต่ ั้ง ๒ ถนนสนามไชย งามตระหงา่ นพระนอนองค์ใหญ ่ แขวงพระบรมมหาราชวงั แผ่นหนิ อ่อนบนั ทกึ ไว้ ความรคู้ ่ทู ง้ั โลก-ธรรม เขตพระนคร กรงุ เทพฯ เวลาเปดิ ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ทุกวนั เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างในรัชกาลพระเพทราชา สมัยกรุงศรีอยุธยา คา่ เขา้ ชม ชาวต่างชาติ ๕๐ บาท ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกฐานะขึ้นเป็น การเดินทาง รถประจำทางสาย ๑ ๓ ๙ พระอารามหลวงมีพระราชาคณะปกครองต้ังแต่น้ันมา ปัจจุบันคนท่ัวไป ๓๒ ๔๔ ๔๗ เป็นต้น นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “วัดโพธ์ิ” เป็นวัดประจำรัชกาลท่ี ๑ พระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ทรงอุปถัมภ์บำรุงสืบมา มีพระไสยาสงดงามขนาดใหญ่ ที่ฝ่าพระบาทประดับมุกรปู สญั ลกั ษณ์มงคลและจกั รวาล แผน่ หนิ อ่อนทปี่ ระดบั ศาลารายจารึกสรรพตำรา ๘ หมวด และยังมีพิพิธภัณฑ์และศิลปกรรม หลากหลายสาขาให้เรียนรู้ จึงเป็นเสมือนคลังความรู้ท้ังทางโลกและทางธรรม ที่ถือเป็น “มหาวทิ ยาลัยเปิดแห่งแรก” ของคนไทย 193
ชอ่ งหนา้ ตา่ งรนื่ รมยช์ มสวนจดั แสดง ภาพสวนสาธารณะในกรุงรัตนโกสินทร ์ รวมท้งั สน้ิ ๔ แหง่ ไดแ้ ก่ ๑. สวนสันติชยั ปราการ ๒. พระราชอุทยานสราญรมย์ ๓. สวนรมณีนาถ ๔. สนามหลวง ๓ รน่ื รมยช์ มสวน 194 กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มีความพิเศษ อย่างหน่ึงนอกเหนือจากความงดงามของสถาปัตยกรรม คือเป็นราชธานีท่ีมีสวนสาธารณะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ สถานท่ีสำคัญทางประวัติศาสตร์ ประชาชนจึงสามารถ พักผ่อนในบรรยากาศอันร่มร่ืนของแมกไม้ ผสานกับ กล่ินอายของโบราณสถานท่ีชวนให้ย้อนรำลึกถึงเรื่องราว อันเก่าแก่และรุ่งโรจน์ไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนสันต ิ ชยั ปราการ ซง่ึ ตงั้ อยเู่ คยี งขา้ งปอ้ มพระสเุ มรุ สวนรมณนี าถ ซึ่งเคยเป็นกองมหันตโทษมาต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ สนามหลวง ซ่ึงมีมาต้ังแต่แรกต้ังกรุงรัตนโกสินทร ์ ตลอดจนพระราชอุทยานสราญรมย์ สวนสาธารณะทเี่ คยเปน็ พระราชอทุ ยานมาต้งั แตส่ มัยรชั กาลที่ ๔
สนามหลวง สวนรมณีนาถ สวนสันติชยั ปราการ ผ้เู ขา้ ชมสามารถเลอื กชมรายละเอียด ของสวนสาธารณะตา่ งๆ ที่จัดแสดง ไดจ้ ากจอระบบสมั ผัส พระราชอทุ ยานสราญรมย์ ทต่ี ัง้ ระหวา่ งถนนเจรญิ กรงุ สวนเก่าแก่ตง้ั แตส่ มยั รชั กาลท่ี ๔ ตัดกบั ถนนราชนิ ี แขวงพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ตั้งของพระราชวังสราญรมย์ ท่ีประทับของพระบรมวงศานุวงศ ์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ และเป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๕ เวลาเปดิ ๐๕.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ทุกวัน และเปน็ ที่จัดงานฤดูหนาวตลอดรชั กาลท่ี ๖ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเดินทาง รถประจำทางสาย ๑ ๓ รัชกาลท่ี ๗ พระราชทานเพื่อให้คณะราษฎรใช้เป็นสถานท่ีทำการและเป็นที่ตั้ง ๖ ๙ ๑๒ ๒๕ ๓๒ ๔๔ “สโมสรคณะราษฎร” ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบให้เทศบาล ปอ. ๘ ๒๕ ๔๔ เปน็ ตน้ นครกรงุ เทพฯ จากนนั้ ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ บรเิ วณพระราชอทุ ยานใหเ้ ปน็ สวนรกุ ขชาติ และสวนสาธารณะมาจนถงึ ปัจจบุ ัน 195
ชอ่ งหนา้ ตา่ งพนิ จิ พพิ ธิ ภณั ฑจ์ ดั แสดง ภาพพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายใน กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รวมทง้ั สน้ิ ๙ แหง่ ไดแ้ ก่ ๑. พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาต ิ ศิลป์ พีระศรี อนสุ รณ์ ๒. พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ หอศลิ ป ๓. พพิ ิธภณั ฑ์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั ๔. พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ๕. พพิ ิธภัณฑก์ ารเรยี นรแู้ ห่งชาต ิ ๖. พิพิธภัณฑ์การศกึ ษาไทย ๗. พพิ ธิ ภัณฑร์ าชทณั ฑ์ ๘. พพิ ธิ ภัณฑ์รชั กาลท่ี ๖ ๙. พพิ ธิ ภณั ฑ์ปนื ใหญ่โบราณ ๔ พนิ จิ พิพิธภัณฑ ์ 196 พิพิธภัณฑ์เป็นคลังความรู้และสถานท่ีรวบรวม สมบัติอันล้ำค่าของชาติที่บรรพชนได้สรรค์สร้างและ มีการสืบทอดต่อมา ราชธานีใดที่พรั่งพร้อมไปด้วย พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ย่ อ ม ภู มิ ใ จ ไ ด้ ว่ า เ ป็ น ร า ช ธ า นี ที่ มั่ ง ค่ั ง ด้ ว ย นักปราชญ์และบริบูรณ์ด้วยมรดกประจำชาติ เฉกเช่น กรุงรัตนโกสินทร์ ราชธานีที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และยืนหยัดอย่างม่ันคงดำรงฐานะศูนย์กลางของประเทศ เป็นเวลามากกว่า ๒๐๐ ปี มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ ควรท่ี ประชาชนจะได้เย่ียมยล เพื่อชื่นชมศิลปะและโบราณวัตถุ อนั มคี า่ ซง่ึ นอกจากจะไดร้ บั สาระอนั เปน็ ประโยชน์ ยงั ไดร้ บั ความเพลิดเพลินจากการเดินชมนวัตกรรมและเทคนิค การจดั แสดงทที่ นั สมยั สรา้ งความตนื่ ตาตน่ื ใจไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376