Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัญมณีแห่งมหานคร

อัญมณีแห่งมหานคร

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2020-01-14 22:52:04

Description: นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
หนังสือ,เอกสาร,บทความนี้นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

๒ บานพระทวาร บานพระบัญชร ทวารบาลคมุ้ ครอง คือ เหล่าเทวดา บานพระทวารและบานพระบัญชร มักเป็น ภาพเทวดาหรือทวารบาลคอยรักษาประตู เพื่อ บ่งบอกความสำคัญของสถานท่ี มักประดับตกแต่ง อย่างประณีตวิจิตร เช่น เขียนลาย แกะสลัก ประดบั มุก หรอื ประดับกระจก รูปเทพธิดายืนบนแท่น ทีด่ า้ นหลงั บานพระบัญชร พระทนี่ ั่งจกั รพรรดพิ ิมาน 47

ตำนานครฑุ กับนาคจดั แสดงด้วย เทคนคิ อะนิเมชัน่ พร้อมบทบรรยาย ภาษาไทยและอังกฤษบนจอภาพ ภายในกรอบสที อง ๖4๖8

๒ ตำนานครุฑกบั นาค ภาพครุฑยุดนาคอันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมไทยที่เก่ียวเน่ืองกับ พระมหากษัตริย์เสมอน้ัน มีท่ีมาจากตำนานเล่าขาน กนั วา่ ... กาลคร้ังหนึ่ง...มีฤๅษี นามพระกัศยปมุนี มีภรรยา สองคน คือนางวินตาและนางกัทรู ท้ังสองเป็นพี่น้องกัน นางกัทรูให้กำเนิดลูกเป็นนาค นางวินตาให้กำเนิดลูก เป็นครุฑ วันหนึ่งท้ังคู่ท้าพนันกันทายสีของม้าที่ชักรถ พระอาทิตย์ โดยตกลงกันว่าผู้แพ้ต้องยอมเป็นทาส อีกฝ่ายหน่ึงห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าเป็นม้าสีขาว นางกัทรูทายว่าเปน็ มา้ สีดำ ซ่งึ ความจรงิ ม้าตัวนั้นเป็นสีขาว แต่นางกัทรูใช้อุบายให้บรรดาลูกนาคหน่ึงพันตัวของตน พากนั พน่ พษิ ใสต่ วั มา้ ใหเ้ ปน็ สดี ำ นางวนิ ตาจงึ ตอ้ งตกเปน็ ทาส ในแดนบาดาลถึงหา้ รอ้ ยป ี ต่อมาครุฑก็คิดเจรจาปลดปล่อยมารดาให้เป็นอิสระ หนา้ บนั ...สญั ลกั ษณ์ ฝ่ายนาคขอแลกด้วยน้ำอมฤตที่พระอินทร์เป็นผู้รักษาไว้ แหง่ พระมหากษัตรยิ ์ แต่ระหว่างท่ีครุฑจะไปเอาน้ำอมฤต ได้ถูกเทวดารวมท้ัง พระอินทร์ขัดขวาง แต่สู้ครุฑไม่ได้ แม้แต่พระนารายณ์ มาปราบก็ไม่แพ้หรือชนะกัน สุดท้ายจึงเจรจาหย่าศึก หน้าบันหรือบริเวณสามเหลี่ยมหน้าจั่วของหลังคา โดยครุฑถวายปฏิญญาว่าจะเป็นพาหนะพระนารายณ ์ ที่ปรากฏในพระที่นั่งองค์สำคัญในแต่ละรัชกาล มักประดับ ส่วนพระนารายณส์ ญั ญาว่าจะให้ครฑุ เป็นอมตะ และใหอ้ ยู่ ดว้ ยสญั ลกั ษณท์ สี่ อื่ ถงึ พระมหากษตั รยิ ์ เชน่ รปู พระนารายณ์ ในตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ และยอมให้ครุฑนำน้ำอมฤต ทรงครุฑท่ีพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท แสดงให้เห็นว่าเป็น ไปไถ่ตวั แม่ แล้วใหเ้ ทวดาเปน็ ผนู้ ำนำ้ อมฤตกลับคนื ทปี่ ระทับของพระนารายณ์ อนั หมายถึงพระมหากษตั รยิ ์ มารดาครุฑเป็นอิสระแล้ว แต่ฝ่ายนาคกลับไม่ได้ บางครั้งเป็นภาพสัญลักษณ์อื่นๆ เช่น รูปเทวดา ด่มื กนิ นำ้ อมฤตดงั ต้ังใจ จึงเกดิ อาฆาตแค้นและเป็นศัตรกู ัน ประจำทศิ ประทบั บนพระแทน่ ไดแ้ ก่ ทา้ วธตรฐ ทา้ ววริ ฬุ หก นับแต่น้ัน และเป็นที่มาของภาพครุฑยุดนาคท่ีปรากฏ ทา้ ววริ ปู กั ษ์ ทา้ วเวสสวุ ณั ทพ่ี ระมหามณเฑยี ร และรปู พระอนิ ทร ์ ในสถานท่ีที่เก่ียวข้องกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็นดั่ง ทพี่ ระทน่ี ง่ั อาภรณพ์ โิ มกขป์ ราสาท หรอื ตราแผน่ ดนิ ที่พระท่ีนั่ง พระนารายณอ์ วตาร จักรีมหาปราสาท เปน็ ตน้ 49

หมู่พระที่นงั่ ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ๓ คือ สถานประทับแหง่ พระมหากษัตริย์ พระราชฐานช้ันกลางมีบริเวณอยู่ในส่วนกลางของพระบรมมหาราชวัง เป็นท่ีต้ังของพระมหาปราสาทและพระราชมณเฑียรอันเคยเป็นท่ีประทับ ของพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหัวใจของพระบรมมหาราชวัง และเป็นศูนย์กลาง การบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ปัจจุบัน เปน็ มณฑลสถานประกอบพระราชพธิ สี ำคัญของประเทศ จัดแสดงเรอ่ื งหมพู่ ระทน่ี งั่ จดั แสดงประวตั ิ ในเขตพระราชฐาน หมูพ่ ระท่ีนัง่ ในเขต ช้ันกลางด้วยการฉาย พระราชฐานชั้นกลาง วีดทิ ศั นบ์ นผนงั ด้วยระบบจอสัมผสั 50

หมพู่ ระทนี่ งั่ ดสุ ิตมหาปราสาท หมูพ่ ระทนี่ ่งั จักรมี หาปราสาท สร้างข้ึนในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ตามคติสมมติเทวราช สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เป็นสถาปัตยกรรม ทสี่ บื ทอดมาจากสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ถอื เปน็ สถาปตั ยกรรมไทย ท่ีผสมผสานหลังคาเครื่องยอดปราสาทแบบไทยเข้ากับ ชนิ้ เอก เปน็ แมแ่ บบสถาปตั ยกรรมทรงปราสาททส่ี มบรู ณแ์ บบ อาคารแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว จึงเป็นสัญลักษณ์แห่ง ของไทย สร้างข้ึนด้วยฝีมือท่ีประณีตวิจิตรงดงามทุกส่วน ยคุ สมยั ที่ไทยเรม่ิ พฒั นาศลิ ปวทิ ยาการ มงุ่ สคู่ วามทดั เทยี ม และเป็นสญั ลกั ษณ์อนั แสดงถงึ เกยี รตยิ ศของแผน่ ดนิ ชาติตะวันตก ในอดีต ท่ีมุขเด็จของพระท่ีน่ังองค์น้ี เคยใช้เป็นที่ สว่ นสำคญั ทส่ี ดุ ของพระทนี่ ง่ั คอื ทอ้ งพระโรงกลาง เสดจ็ ออกใหเ้ จา้ ประเทศราชเขา้ เฝา้ ฯ และในโอกาสเฉลมิ ฉลอง ใช้ต้อนรับพระราชอาคันตุกะและเสด็จออกให้คณะ กรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี ยังได้ใช้เป็นท่ีประดิษฐานพระสยาม ทตู านทุ ตู ตา่ งประเทศถวายพระราชสาสน์ และสาสน์ ตราตงั้ เทวาธิราชให้ประชาชนมาสกั การะ หรอื เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสต่างๆ ภายในพระท่ีน่ังยังใช้เป็นมณฑลสถานประกอบ ในรัชกาลปัจจุบัน พระท่ีนั่งด้านหลังของพระท่ีน่ัง พระราชพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง เช่น พระราชพิธี จักรีมหาปราสาทได้ถูกรื้อลงเน่ืองจากทรุดโทรมเกินจะ ฉัตรมงคล และถือเป็นธรรมเนียมในการประดิษฐาน บูรณะ และมีการสร้างพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน ์ พระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระอัครมเหสี และพระศพ พระที่น่ังสมมติเทวราชอุปบัติ และพระท่ีนั่งบรมราช พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ณ พระที่น่ังดุสิตมหาปราสาท สถิตยมโหฬารองค์ใหม่ เพื่อจัดพระราชพิธีและงานเลี้ยง ตลอดมา รับรองระดับประเทศอย่างเป็นทางการ และยังมีพระที่น่ัง บริเวณใกล้เคียงพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท เทวารัณยสถานตามแบบโบราณราชประเพณี เพื่อเป็น ยังปรากฏพระที่น่ังองค์อื่นๆ เช่น พระที่น่ังอาภรณ์พิโมกข์ พระที่นง่ั โถงทรงปราสาทประจำรัชกาล ปราสาท และพระทนี่ ่งั ราชกรัณยสภา เป็นต้น 51

พระทน่ี ั่งพดุ ตานกาญจนสงิ หาสน์ ประดิษฐานอยู่ดา้ นหน้าพระทีน่ งั่ บษุ บกมาลามหาจักรพรรดพิ ิมาน ภายในพระท่ีนง่ั อมรนิ ทรวินจิ ฉยั มไหสรู ยพิมาน หมู่พระมหามณเฑียร หมู่พระมหามณเฑียรเคยเป็นสถานท่ีประทับของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห่ ัวรชั กาลท่ี ๑ ถงึ รัชกาลที่ ๖ ประกอบด้วยพระทีน่ ัง่ สำคัญ ๓ องค์ ดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เคยเป็นสถานท่ีบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นมณฑลสถานประกอบพระราชพิธี เฉลิมพระราชมณเฑียรซึ่งเปรียบได้กับพิธีขึ้นบ้านใหม่เม่ือพระมหากษัตริย์ เสดจ็ ขึน้ ครองราชย์ มาจนถึงรชั กาลปัจจบุ นั พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ บางคร้ังเป็นที่ เสวยพระกระยาหาร ทสี่ ำคญั เปน็ มณฑลสถานประกอบพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก หรอื การเสดจ็ ขนึ้ ครองราชยอ์ ยา่ งเปน็ ทางการของพระมหากษตั รยิ ์ ภายในพระที่นั่ง มพี ระวมิ านประดษิ ฐานพระสยามเทวาธริ าช พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน เคยเป็นท้องพระโรงสำหรับ พระที่น่ังราชฤดี ต้งั อยบู่ รเิ วณชาลา เสด็จออกขุนนางหรือเสด็จออกรับทูตานุทูตในบางโอกาส ถือเป็นธรรมเนียม ด้านตะวนั ออกของพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ฯ ที่พระมหากษัตริย์จะเสด็จออกมหาสมาคมเป็นครั้งแรกในรัชกาล ณ พระที่นั่ง แหง่ นี้ นอกจากน้ี ยงั เปน็ มณฑลสถานประกอบพระราชพธิ สี ำคญั เชน่ พระราชพธิ ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างขน้ึ ใหมแ่ ทนองคเ์ ดิม เฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธฉี ลองสิริราชสมบัติ เป็นตน้ ซ่งึ สรา้ งเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ หมู่พระมหามณเฑียรได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และปลูกสร้างพระที่นั่ง เพือ่ ใช้เป็นท่ีสรงมูรธาภเิ ษก และหอต่างๆ เพ่ิมเติมสืบต่อมาตามการเปล่ียนผ่านของแต่ละสมัย นอกจาก ศิลปะไทยแลว้ ยังมอี ทิ ธพิ ลของศลิ ปะจีนเขา้ มาผสมผสานกบั ศลิ ปะไทยอยู่ท่ัวไป ในหมพู่ ระมหามณเฑียรนีอ้ ีกด้วย 52

๓ หม่พู ระที่นง่ั ในสวนศวิ าลัย ตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๑ เขตพระราชฐานช้ันกลางฝ่ายตะวันออกเคยเป็น พ้ืนที่ของโรงแสงต้นและสวนอันกว้างใหญ่ เรียกกันว่าสวนขวา ซ่ึงในสมัย รชั กาลที่ ๒ ปรบั ปรงุ ใหเ้ ปน็ สวนแบบจนี อนั สวยงาม เคยเปน็ ทตี่ ง้ั ของพระอภิเนาว์ นิเวศน์ พระราชมณเฑียรที่ประทับแบบสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกท้ังยังเคยเป็นท่ีตั้งของพระพุทธ นิเวศน์ สถานทสี่ ำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล พื้นที่ที่เคยเป็นโรงแสงต้น รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระท่ีนั่งบรมพิมาน โดยทรงตั้งพระราชหฤทัยจะให้เป็นท่ีประทับของ มกฎุ ราชกมุ าร ซง่ึ ตอ่ มาคอื รชั กาลที่ ๖ แตม่ ไิ ดเ้ สดจ็ ฯ มาประทบั ในปจั จบุ นั ใชเ้ ปน็ ทรี่ ับรองพระราชอาคันตกุ ะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว พระท่ีน่ังและอาคารต่างๆ ซ่ึงสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เหลืออยู่ ไม่มากนัก เน่ืองจากพ้ืนที่เคยเป็นสระมาก่อนมีการทรุดตัว พื้นที่ส่วนใหญ ่ พระทนี่ ่ังบรมพิมานตัง้ อยู่ทางด้านทศิ เหนือ จึงปรับปรุงเป็นพื้นท่สี วนท่ีเรยี กว่า สวนศิวาลยั ในปจั จุบัน ของบริเวณสวนศวิ าลัย 53

จัดแสดงขนั้ ตอนการทำลวดลาย และองคป์ ระกอบของสถาปตั ยกรรม แบบตา่ งๆ โดยใชก้ ระจกเงา สะทอ้ นภาพต่อเนอ่ื งเสมือนจริง ๔ ศิลปกรรม เลิศล้ำวิจิตร เนรมติ ดง่ั พระวิมาน พระบรมมหาราชวัง คือเอกลักษณ์และสมบัติอันล้ำค่าของชาต ิ เปน็ ศนู ยร์ วมแหง่ ศาสตร์ ทงั้ การศกึ ษาและการพฒั นางานศลิ ปกรรมอนั เปน็ รากเหงา้ ของไทยทุกแขนงท่ีสรรค์สร้างข้ึนโดยช่างฝีมือช้ันครู ซึ่งพระมหากษัตริย ์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ทรงฟื้นฟูและทำนุบำรุงให้สถาพรสืบมา เพ่ือเป็นเครือ่ งแสดงเกยี รตภิ ูมิและศกั ดศิ์ รขี องชาวไทย 54

ง านปเรปะ็นดงบั ามนุกปร ะณีตศิลป ์ ประดับกระเบอ้ื ง ท่ีอาศัยความประณีตบรรจง การประดับกระเบื้อง มากที่สุดแขนงหน่ึง งานมุกของ เป็นการตกแต่งสถาปัตยกรรม ไทย ใช้วิธีการตัดเปลือกหอยมุก ตามอย่างศิลปะจีน ใช้ควบคู่กับ เป็นลวดลาย เรียงลงบนพื้นผิว งานปูนปั้น การค้าขายกับจีน ที่ต้องการ จากนั้นจึงถมด้วยรัก ในสมัยรัชกาลท่ี ๒ ถึงรัชกาล และขัดให้เรียบ ในงานสถาปัตย ที่ ๔ ส่งผลให้กรุงรัตนโกสินทร์ กรรมใช้การประดับมุกกับศาสน รั บ อิ ท ธิ พ ล จ า ก ศิ ล ป ะ จี น สถานเทา่ นัน้ ม า ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ร่ ว ม กั บ รู ป แ บ บ งานประดับมุกมีความ ด้ังเดิม ปรากฏเป็นความงาม คงทนอย่างยิ่ง เช่น บานประต ู ท่ีลงตัวด้วยวัสดุและโทนสีใหม่ หอพระมณเฑยี รธรรม วดั พระศรี ที่งดงามแปลกตา รตั นศาสดาราม ซ่ึงเป็นฝีมือช่าง กระเบื้องท่ีนำมาประดับ อยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จ สั่งมาจากจีน มีท้ังกระเบื้องสี พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ยังคง สำเร็จรูปหรือถ้วยชามที่ช่างนำ งดงาม แม้ผา่ นกาลเวลานานนับ มาติดลงทั้งชิ้นหรือตัดเป็นชิ้น รอ้ ยปี นอกจากนี้ การประดบั มกุ เล็กๆ เพื่อติดเป็นลวดลายต่างๆ ยั ง ใ ช้ ใ น ก า ร ต ก แ ต่ ง ศิ ล ป วั ต ถุ และกระเบื้องที่สั่งทำจากเมืองจีน เคร่ืองเรือน เคร่ืองใช้สำหรับ ด้วยการส่งลายเขียนไปเป็นแบบ ชนชน้ั สงู อีกดว้ ย ห รื อ ปั้ น ข้ึ น เ พ่ื อ ใ ช้ ป ร ะ ดั บ งานสถาปตั ยกรรมโดยเฉพาะ 55

ลายรดนำ้ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั เป็นการตกแต่งพ้ืนผิว ภาพจิตรกรรมในงาน วัสดุให้เป็นลวดลายสี ทอ ง สถาปัตยกรรมไทยมักเขียนบน ในงานสถาปตั ยกรรมและเครอื่ งใช้ ฝาผนังภายในอาคารหรือเขียน ตา่ งๆ ใชว้ ธิ กี ารลงรกั เปน็ พนื้ ภาพ ลงบนบานประตหู นา้ ตา่ ง ใชส้ ฝี นุ่ สดี ำหรอื สแี ดง สว่ นทเ่ี ปน็ ลวดลาย จากวสั ดุธรรมชาติ เช่น ดนิ หนิ ติดด้วยทองคำเปลว ในข้ันตอน บดเป็นผงผสมกับกาวที่ทำจาก สดุ ทา้ ย ชา่ งตอ้ งทำการรดนำ้ ลงบน หนังสัตว์ อาจปิดทองคำเปลว ชนิ้ งาน เพอ่ื ลา้ งแผน่ ทองคำเปลว ในบางส่วนของภาพท่ีต้องการ ให้เห็นเป็นลวดลาย จึงเรียกว่า เนน้ ความสำคญั เชน่ ตวั ละครเอก ลายรดนำ้ และปราสาทราชวัง เปน็ ตน้ ในอดีตลายรดน้ำจะใช้กับ ภาพจิตรกรรมในสมัย งานเพ่ือศาสนาและพระมหา โบราณล้วนแสดงเร่ืองราวทาง กษัตริย์เท่าน้ัน จวบจนรัชสมัย พระพุทธศาสนา ใช้เส้นสายท่ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ อ่อนช้อย ได้สัดสว่ นตามอดุ มคติ เจ้าอยู่หัว ทรงให้เสรีภาพแก่ มากกว่าความสมจริง จนถึงสมัย ประชาชนมากข้ึน จึงมีการใช้ รัชกาลที่ ๔ จึงเร่ิมมีจิตรกรรม ลายรดน้ำกันท่วั ไป ฝาผนังที่เขียนบันทึกเหตุการณ์ ร ว ม ท้ั ง ยั ง น ำ ห ลั ก ก า ร เ ขี ย น ทั ศ นี ย ภ า พ แ ล ะ แ ส ง เ ง า แ บ บ ตะวันตกมาประยุกต์ ใช้กับ จิตรกรรมไทยให้มีความสมจริง มากขึ้น 56

งานประดับกระจก ๔ เป็นงานประณีตศิลป์ที่ใช้ การประดบั กระจก ป ร ะ ดั บ ส ถ า ปั ต ย ก ร ร ม ใ ห้ ด ู ลายลงยา ระยิบระยับดั่งอัญมณีหลากสีสัน ทั้ ง ยั ง เ ป็ น ค ว า ม ช า ญ ฉ ล า ด การประดับกระจก ลาย ในการปิดรักษาพื้นผิวของวัสดุ ลงยา หรือ ลายยา เป็นรปู แบบ ให้คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ของการประดับกระจกอย่างหน่ึง โดยการติดกระจกลงบนพ้ืนผิว โดยจำหลักไม้เปน็ ลวดลาย และ ท่ีต้องการด้วย รักสมุก (น้ำรัก ฝังกระจกสีต่างๆ ลงในเนื้อไม้ท่ี ผสมเถ้าถ่านของใบตองแห้งหรือ จำหลกั ไวน้ ้นั พ้ืนหนา้ ปิดทองทบึ หญา้ คาบดแลว้ คลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั ) การประดับกระจกลายลงยาน้ี อาจประดบั รว่ มกบั งานไมแ้ กะสลกั มคี วามคงทน เพราะตอ้ งฝงั กระจก หรือปูนปั้นปิดทอง ซึ่งเรียกว่า ลงในเน้ือไม้ จึงไม่หลุดล่อนง่าย การปิดทองรอ่ งกระจก การประดับกระจกชนิดนี้เร่ิมมีมา ตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๒ ได้แก่ ฐานพระท่ีน่ังสนามจันทร์ท่ีตั้งอยู่ ทางทิศตะวันตกของพระท่ีนั่ง อมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ต่อมาเป็นท่ีนิยมในสมัยรัชกาล ท่ี ๔ และรัชกาลท่ี ๕ โดยใช้ ประดับพระทน่ี ง่ั อกี หลายองค ์ 57

๕ วดั พระศรรี ัตนศาสดาราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สร้างขึ้นพร้อมการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๕ ผู้คนมักเรียกว่า วัดพระแก้ว เป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธ มหามณีรตั นปฏมิ ากร หรือ พระแก้วมรกต พระพทุ ธรปู คูบ่ ้านค่เู มอื งของไทย 58

๑๐ อาคารต่างๆ ในวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม ๓ ๕ ๗ ๒๓ ๒๒ ๑. พระอโุ บสถ ๑๖. บุษบกองค์ตะวันออก ๙ ๒๐ ๒. ซมุ้ เสมา เฉยี งใต ้ ๖ ๓. หอพระมณเฑยี รธรรม ๑๗. บษุ บกองคต์ ะวนั ตกเฉยี งใต้ ๔. พระมณฑป ๑๘. บุษบกองคต์ ะวนั ออก ๑๑ ๕. พระเจดีย์ทอง ๒ องค์ เฉยี งเหนอื ๖. หอพระนาก ๑๙. พนมหมาก ๑๘ ๑๖ ๒๑ ๗. ศาลาราย ๒๐. รปู หล่อสตั ว์หมิ พานต์ ๒๗ ๑๓ ๑ ๘. พระระเบยี ง ๒๑. หอระฆงั ๑๕ ๔ ๑๗ ๒๘ ๙. พระเศวตกุฎาคารวิหารยอด ๒๒. พระมณฑปยอดปรางค์ ๑๐. พระอษั ฎามหาเจดยี ์ ๒๓. หอพระคันธารราษฎร ์ ๑๒ ๑๔ ๒๔ ๒๖ ๒๕ ๑๑. ปราสาทพระเทพบดิ ร ๒๔. หอพระราชกรมานุสร ๒ ๑๒. พระศรีรตั นเจดยี ์ ๒๕. หอพระราชพงศานสุ ร ๑๓. ฐานไพท ี ๒๖. พระโพธิธาตุพมิ าน ๑๔. พระเจดยี ์ทรงเครอื่ ง ๒๗. นครวดั จำลอง ๑๙ ๑๕. บษุ บกองคต์ ะวันตก ๒๘. กำแพงแก้ว ๘ เฉยี งเหนือ แผนผงั วดั พระศรีรัตนศาสดาราม จัดแสดงดว้ ยเทคนิคอนิ เตอร์ แอคทฟี บอร์ด คอื เมอื่ กดทีป่ ุ่ม บนจุดต่างๆ จะปรากฏภาพ สถานที่บนจอฉายภาพ อาคารส่วนใหญ่ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการสร้าง พระเศวตกุฎาคาร สร้างข้ึนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ อาทิ พระอุโบสถ ภายใน วิหารยอด ซึ่งมีเอกลักษณ์อันงดงามคือหลังคาทรงมงกุฎ ประดิษฐานพระแก้วมรกต ใช้เป็นท่ีประกอบพระราชพิธี ประดบั ด้วยเคร่ืองกระเบอ้ื ง ต่างๆ พระระเบียง มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเร่ือง ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ มีการสร้างอาคารเพ่ิมเติม รามเกียรต์ิ ซ่ึงได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังท่ียาวท่ีสุด อีกหลายหลัง เช่น ปราสาทพระเทพบิดร ซ่ึงปัจจุบัน ในโลก พระมณฑป ประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับทอง ประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ ถึง ที่สังคายนาในสมัยรัชกาลท่ี ๑ พระเจดีย์ทอง ท่ีสร้างข้ึน รัชกาลท่ี ๘ พระศรีรัตนเจดีย์ ประดิษฐานพระบรม เพื่อแสดงพระกตัญญุตา ทรงอุทิศถวายแด่สมเด็จ สารีริกธาตุ โดยยกฐานเสมอพระมณฑปและปราสาท พระบรมราชชนกและพระราชชนนี พระเทพบิดร และมียอดสูงเทา่ กนั ทัง้ ๓ องค ์ 59

๕ 60

พระแกว้ มรกต ไตรภูมิ พระพทุ ธรปู ค่บู ้านคูเ่ มอื ง ผ นั ง ด้ า น ห ลั ง บุ ษ บ ก ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น หลังการสถาปนาพระบรม พระแก้วมรกต จำลอง มหาราชวังแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จ ภ า พ เ ข า สั ต บ ริ ภั ณ ฑ์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยทำเป็นภาพนูนต่ำ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เร่งการ ตามคติไตรภูมิ ซึ่งเป็น ก่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คติความเชื่อที่นับเนื่อง เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้าน ในทางพระพุทธศาสนา ปรากฏมาตั้งแต่สมัยโบราณ คู่เมือง คือ พระพุทธมหามณีรัตน เปน็ เรอ่ื งเกี่ยวกบั การกำเนดิ ของโลก สวรรค์ นรก และ ปฏมิ ากร หรอื พระแกว้ มรกต เพอื่ เปน็ ภูมิสถานต่างๆ ของจักรวาล ซึ่งล้วนแต่มีผลต่อ ขวญั กำลังใจแกร่ าษฎร โลกทัศน์ของคนไทยและยังส่งอิทธิพลไปถึงรูปแบบ ทางศิลปะและสถาปัตยกรรมของไทยโดยเฉพาะใน พระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวัดวาอารามต่างๆ พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร เช่นเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ หรือพระแกว้ มรกต จัดแสดงบนบษุ บก วดั พระศรีรตั นศาสดารามซึง่ ปรากฏเรอื่ งราวในไตรภูมิ ประดษิ ฐานพระแกว้ มรกตซ่ึงจำลอง จากพระอโุ บสถวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม 61 ประกอบการฉายวีดทิ ัศนถ์ า่ ยทอดตำนาน พระแกว้ มรกตในรูปแบบอะนิเมช่นั

๕ ๑ ตำนานพระแก้วมรกต ๒ มีตำนานกล่าวถึงการสร้างพระพุทธมหามณี รัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต เล่าสืบต่อกันมาว่า เทวดาสรา้ งพระแกว้ มรกตถวายพระอรหนั ต์ นามพระนาคเสน แ ห๑่ง เมอืพงรปะานฏลาบีคุตเสร (ปาตลีบุตร) น ไ ด้ อ ธิ ษ ฐ า น อ าร า ธน าพร ะ บ ร ม สารีริกธาตุใหป้ ระดษิ ฐานอยู่ในองคพ์ ระแก้วมรกต ๗ แห่ง คอื ในพระโมฬี พระนลาฏ พระอรุ ะ พระอังสาทั้งสอง และ ๔ พ ร๒ะ ชาจนาุทกั้งหสอลงัก ฐานทางประวัติศาสตร์ เล่ากันสืบมาว่า ณ เมืองเชียงราย พระแก้วมรกตได้ถูกทาปูนและลงรัก ปิดทอง ก่อนนำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์วัดป่าญะ ซง่ึ ๓ป ัจจลุบ่วันงคมอื าวถัดึงพรพะ.แศก.้วเ๑ม๙อื ๗งง๗ามเ กิดฟ้าผ่าที่พระเจดีย์ ๕ เผยให้เห็นพระพุทธรูปปิดทองซ่อนอยู่ ชาวบ้านท่ีไปพบ จงึ ๔อ ญั เกชิญาลไปเวปลระาดผษิ่าฐนาไนปในวปิหูนาทรขี่หอุ้มงอวัดงแคห์พ่งรหะนแ่ึง ก้วมรกต ได๕้ก ะเทชาาะวอบอ้ากนทจ่ีปึงลชา่วยยพกรันะแนกาะสปกิ ูนเอหอน็ กเปทน็ ้ังเอนง้อื คแ์แกลว้ ส้วเีพขบียวว่า เป็นพระพุทธรูปแก้วสีเขียว ชาวบ้านจึงพากันมา กร๖า บไหควว ้ ามรู้ถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่จึงให้อัญเชิญมา เช ๗ยี ง ใหแมต ่ ่ช้างที่ใช้อัญเชิญองค์พระได้หันเหไปทางลำปาง ถึงสามคร้ัง จึงยอมให้อัญเชิญองค์พระไปประดิษฐานท่ี ลำปางถงึ ๓๒ ปี จากน้ัน พระแกว้ มรกตได้ไปประดิษฐาน ยงั เมอื งตา่ งๆ รวมเปน็ เวลากวา่ ๓๑๐ ป ี ๙ สมัยธนบุรี พ ร ะ แ ก้ ว ม ร ก ต ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น อ ยู่ ที ่ ๘ กระท่ังใน พ.ศ. ๒๓๒๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธ โรงพระแก้ว ซึ่งเป็นโรงท่ีสร้างข้ึนใหม่ภายในบริเวณ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะมีบรรดาศักด์ิเป็นสมเด็จ พระราชวังเดิม เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมายัง กรงุ ธนบรุ ี 62

๘ ๙ ๓ ๑๐ ๗ ๖ ๑๐ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตำนานพระแกว้ มรกต จดั แสดงดว้ ย มหาราชทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ ญั เชญิ พระแกว้ มรกต เทคนิคการฉายภาพเคล่อื นไหว มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในรูปแบบอะนิเมชัน่ บนผนัง เมอื่ วันจนั ทร์ เดอื น ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปมี ะโรง พทุ ธศกั ราช เบอ้ื งหลังบุษบกประดิษฐาน ๒๓๒๗ พระแกว้ มรกตจำลอง 63

๕ 64

เคมรรือ่ดงกทงรางนพปรระะแณกตีว้ มศริลกปต์ หลังการสถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ า โ ล ก ม ห า ร า ช มพี ระราชศรัทธาสรา้ งเครอื่ งทรงถวายพระพทุ ธมหามณรี ตั น ปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อน และฤดูฝน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งเครอ่ื งทรงสำหรบั ฤดหู นาว เครื่องทรงพระแก้วมรกตจงึ มี ๓ สำรบั นับแต่นนั้ มา พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์จะทรง ประกอบพระราชพิธีเปลี่ยนเคร่ืองทรงพระแก้วมรกต เป็นประจำทุกปี หากทรงติดพระราชภารกิจอื่นใด กจ็ ะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ นายอนั เปน็ พระบรมวงศ์ เสด็จฯ แทนพระองค์ การเปลี่ยนเคร่ืองทรงพระแก้วมรกต ถือกำหนด เวลาดังน้ี เคร่ืองทรงฤดูร้อน กำหนดเปล่ียนเครื่องทรง ในวนั แรม ๑ คำ่ เดือน ๔ หรือราวเดอื นมีนาคม เคร่ืองทรงฤดูฝน กำหนดเปล่ียนเครื่องทรง วันแรม ๑ คำ่ เดอื น ๘ หรอื ราวเดือนกรกฎาคม เคร่ืองทรงฤดูหนาว กำหนดเปลี่ยนเครื่องทรง วนั แรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ หรือราวเดือนพฤศจกิ ายน การเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ถือเป็น พระราชพิธีทีป่ ฏิบัติสืบมาเปน็ ประจำทกุ ป ี เครอื่ งทรงพระแก้วมรกตจัดแสดงดว้ ยเทคนิค Electric-Glass โดยใชก้ ระแสไฟฟ้าควบคมุ กระจกใส ใหก้ ลายเปน็ ฝ้าในพรบิ ตา ตามเวลาทสี่ มั พันธ์กบั เครอ่ื งกล ท่จี ดั ซอ่ นอยู่ภายในบษุ บกจำลอง 65

๖ เขตพระราชฐานชัน้ ใน มีอะไรอยใู่ นนัน้ 66 พระราชฐานช้ันใน ต้ังอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง เป็นพื้นที่ เชอ่ื มต่อด้านหลังหมู่พระมหามณเฑยี รและพระมหาปราสาท ในอดีตพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของพระมเหสีเทวี พระราชธิดา ของพระมหากษัตริย์ เจ้าจอม และข้าราชการซ่ึงล้วนเป็นหญิง จึงเปรียบเป็น เมอื งเลก็ ๆ ทม่ี พี ลเมอื งหญงิ ลว้ นอยรู่ ว่ มกนั ไดด้ ว้ ยมกี ฎระเบยี บทงั้ ในการเขา้ -ออก และการใช้ชีวิตในพระราชฐานช้ันใน โดยกำหนดเป็นแบบแผนอย่างเคร่งครัด มีเจ้านายชั้นสูงทรงเป็นผู้บังคับบัญชา และมีข้าราชการหญิงทำหน้าท่ีดูแล ควบคุมต่อกันมาอย่างเป็นระบบ มีระเบียบท่ีถือปฏิบัติอันเป็นต้นแบบของจารีต ประเพณีทด่ี งี าม พระราชฐานช้ันในถือเป็นแหล่งอบรมกุลสตรีไทยท่ีเจ้านายและ ข้าราชการช้ันสูงนิยมส่งธิดามาเล่าเรียน เขียน อ่าน และอบรมความรู้ให้ม ี คุณสมบัติเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยกิริยา มารยาท และความสามารถ ในการครองเรือน

ขนบประเพณีเครง่ ครดั ปฏิบตั กิ ันมาแตอ่ ดตี ในเขตพระราชฐานชน้ั ในจะมรี ะเบยี บแบบแผนทถี่ อื ปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มานาน แต่ก็มีการเปล่ียนแปลงไปบ้างตามกาลเวลาและตามพระราชนิยม ระเบียบ แบบแผนและประเพณีน้ี คนทัว่ ไปเรยี กกันว่า ประเพณวี งั ซึง่ มีขอ้ หา้ มขอ้ ปฏิบัติ ตา่ งๆ ดังเช่น เขตนผี้ ู้ชายหา้ มเข้า ห้ามบุคคลภายนอกโดยเฉพาะบุรุษเข้าเขตพระราชฐานชั้นในเด็ดขาด ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสท่ียังมิได้ทรงประกอบ พระราชพิธีโสกันต์ เด็กชายที่มีอายุไม่เกิน ๑๐ ปี และแพทย์ชายท่ีต้องเข้าไป หนา้ ต่างจำลอง จดั แสดงวดี ทิ ัศน์ฉายภาพ รักษาผู้ป่วยซึ่งต้องมีพนักงานฝ่ายในคอยติดตามอย่างเคร่งครัด ปัจจุบัน อาคารสถานทต่ี า่ งๆ ในเขตพระราชฐาน ประเพณีดังกล่าวได้ผ่อนคลายไปมากแล้ว แต่ในหลักการยังห้ามมิให้บุรุษเพศ ชั้นใน เขา้ ในเขตนอี้ ยู่ ถ้ามคี วามจำเปน็ ต้องขออนุญาตอย่างเปน็ ทางการ 67

กระโถนปากแตร โขลน ผู้พิทักษ์รกั ษาการณ์ฝา่ ยใน เคร่อื งใช้สำหรับชนชัน้ สูง โขลนเปรียบได้กับตำรวจหญิง มีหน้าที่รักษาการณ์ตามประตูเข้า-ออก จำลองดว้ ยเรซ่ิน หรือตามส่ีแยกของถนนในวัง เพ่ือดูแลความเรียบร้อย โดยมีสมเด็จพระราชินี หรอื พระบรมวงศผ์ ู้ใหญ่ฝา่ ยในทรงดูแลบังคบั บัญชาต่างพระเนตรพระกรรณ จะออกจะเขา้ เฝา้ อย่างระวงั ประตูวังฝ่ายในทุกจุดมีโขลนเฝ้ารักษาการณ์ เมื่อค่ำลงต้องปิดประตู ลงกลอนท้ังหมด เปิดเผ่ือเหตุฉุกเฉินเพียงประตูสนามราชกิจ ท่ีอยู่ติดกับ พระมหามณเฑียรเท่านัน้ ประตนู ีจ้ ึงมชี อื่ เรียกอีกชอ่ื หน่ึงว่า ประตูย่ำคำ่ 68

๖ ธรณีประตูข้ามได้ เหยียบไมไ่ ด้ ประตูพระบรมมหาราชวังฝ่ายในจะมีบานใหญ่ ๒ บาน ซึ่งปิดไว้เสมอ และในบานใหญ่จะมีประตูเล็กเปิดปิดได้อยู่อีกบานหนึ่ง จึงทำให้ประตูเล็ก มีธรณีประตู หากเดินเข้า-ออกจะเหยียบธรณีประตูไม่ได้ ถ้าเผลอเหยียบ ต้องโดนจ่าโขลนดุและให้กราบธรณีประตูน้ัน เพราะถือกันว่าธรณีประตู มีเทวดาสถิตอยู่ ด้วยเหตุน้ีประตูวังจึงต้องมีการสมโภชเป็นการภายใน ประจ ำทกุ ป ี เหนือกว่าการกนิ หมาก คือความภูมิใจ ครกตำหมากทองเหลอื ง และเชยี่ นหมากเงนิ ดุนลาย การกินหมากเป็นวัฒนธรรมอย่างหน่ึงของคนไทยสมัยโบราณ อุปกรณ์ จดั แสดงอย่ภู ายในส่วนพระราชฐานช้นั ใน ในการจีบพลูและกินหมากจัดเป็นงานศิลปะ หีบหมากและพานหมากที่ได้รับ พระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินจะงามประณีตเป็นพิเศษ เป็นเคร่ืองยศท่ีถือ เป็นเกยี รตแิ ก่ตนเองและวงศ์ตระกูล การกนิ หมากของชาววงั มคี วามพถิ พี ถิ นั ตง้ั แตว่ ธิ จี บี พลู โดยไวห้ างยาวแหลม เรียกว่าพลูต่อยอด การกัดพลูจะค่อยๆ กัด ค่อยๆ เคี้ยว เวลาบ้วนนำ้ หมาก ก็ต้องป้องปากบ้วนทีละน้อย และเช็ดปากด้วยผ้าทอตาหมากรุกสีแดงสลับดำ เพ่ือไม่ให้เห็นคราบเป้ือนน้ำหมากชัดเจน และใช้ตรงมุมผ้าเช็ดแบบซับๆ แตะๆ ดว้ ยความละเมยี ดละไม ทางข้ึนระหว่างบนั ได ๒ ขา้ ง ใตพ้ ระทีน่ ง่ั บษุ บกมาลา มหาจักรพรรดิพมิ าน ภายในพระทีน่ ัง่ อมรินทรวนิ จิ ฉยั มไหสรู ยพมิ านทำเป็นช่องเว้าเข้าไป ภายในช่องทำเปน็ รปู ป้นั นูนต่ำของ ทา้ วศรสี จั จา (ม)ิ จา่ บัว และจ่าต ี ซ่งึ เปน็ จา่ โขลน โดยทา้ วศรสี ัจจา นุ่งผา้ ลายแบบโจง หม่ ผ้าแถบ นั่งบนต่ัง มเี ครอื่ งประกอบยศ เช่น กระโถนทอง เช่ียนหมากทอง เปน็ ต้น จ่าบัวนงั่ พนมมอื และจ่าตสี ง่ ท่อนไม ้ 69

แต่งกายแบบไหน ที่ว่าใชช่ าววัง สาวชาววังได้ช่ือว่าเป็นผู้นำทางด้านความงามและการแต่งกาย กิตติศัพท์น้ีใช่ว่าจะได้มาง่ายดาย เบื้องหลังคือความอุตสาหะพยายามและ ความชาญฉลาดในการคิดค้นเครื่องแต่งกายท่ีเหมาะกับยุคสมัย ใช้ทั้งความคิด สร้างสรรค์ ใช้ฝีมือ ใช้เวลา และความทุ่มเทในการทำความสะอาดและ เก็บรักษาผ้าใหเ้ รยี บเปน็ มนั จบี ทีค่ มสวย และเอกลักษณท์ ีส่ ำคัญท่สี ดุ คือ กล่ินหอมท่ีกำจายไปไกล ถึงขนาดมีคำกล่าวที่ว่า สาวชาววงั เมอ่ื นง่ั ลงท่ีไหนกจ็ ะหอมตดิ กระดาน นอกจากนี้ สาวชาววงั ยงั มรี ะเบยี บในการแตง่ กาย โดยใช้สีผ้านุ่งและผ้าห่มเข้าชุดกันตามวัน การปักผา้ โดยใช้เครื่องมอื ท่ีเรียกว่า สะดึง ตลอด ๗ วนั อกี ด้วย ของสาวชาววังในอดีต 70

๖ “สาววังหลวง หอมเหมอื นพวงมาลัย” เป็นภูมิปัญญาของไทยตั้งแต่ สมัยโบราณท่ีสืบทอดกันมาจากรุ่น สรู่ นุ่ โดยขน้ั ตอนการทำความสะอาดผา้ เริ่มจากการล้างผ้าด้วยน้ำมะพร้าว แล้วนำไปต้มด้วยลูกซัดและเปลือก ของต้นชะลูด ซ่ึงทำให้ผ้าหอมและ แข็งเหมือนลงแป้ง ตามด้วยการขัด ดว้ ยหอยเบย้ี เพอื่ ใหผ้ า้ เรยี บเปน็ มนั วาว แล้วจึงอัดกลีบผ้าด้วยเครื่องอัดกลีบ และเคร่ืองก็อปปี้ผ้า เพ่ือให้มีจีบที่ คมสวย จากนนั้ นำผา้ ไปนงึ่ ดว้ ยเครอ่ื งหอม และรำ่ ผา้ โดยนำผา้ ลงอบในหบี หรอื โถ ทป่ี ดิ สนทิ แลว้ จดุ เทยี นหอมใหเ้ กดิ ควนั ทง้ิ ไวจ้ นความหอมซมึ เขา้ เนอ้ื ผา้ จากนนั้ นำดอกไม้หรือน้ำมันหอมชุบผ้าขาว วางในหีบหรือโถ ปิดท้ิงไว้เพ่ือให้ผ้ามี กลิน่ หอมนาน ซ่ึงเป็นขนั้ ตอนท่ีสำคญั ทสี่ ดุ เปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะในแบบฉบบั ของสาวชาววงั ดงั รำ่ ลอื กนั เปน็ สำนวนวา่ พวกวงั หลวง หอมเหมอื นพวงมาลัย อปุ กรณท์ ส่ี าวชาววังในอดีตใชส้ ำหรับอบผ้า หรือเครอ่ื งนุ่งหม่ ใหม้ ีกลน่ิ หอม 71

อาหารในวัง สวรรคข์ องนกั ชิม อาหารการกินเป็นสิ่งท่ีชาววังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้จะเป็น อาหารเชน่ เดยี วกบั ทค่ี นทวั่ ไปรบั ประทาน แตล่ ว้ นตอ้ งใชแ้ รงงานและความประณตี พิถีพิถัน เพ่ือให้พร้อมทั้งรสชาติ ความสะอาด และความงดงามในรูปแบบ การตกแต่ง การให้สสี นั รวมถงึ ความสะดวกสบายในการรบั ประทาน ฝีมือชาววังท่ีเลื่องลือ คือการแกะสลักผักและผลไม้ เช่น มะปรางร้ิว การสลักผักเป็นรูปต่างๆ ผลไม้ที่ต้องคว้านเมล็ดและแกะสลักขนาดพอดีคำ หรือประกบกลบั เป็นผลไมเ้ หมือนเดมิ อย่างนา่ อศั จรรย ์ นอกจากฝีมือในการประกอบอาหารประจำ ๓ มื้อแล้ว ยังมีอาหารว่าง รับประทานเล่นท้ังคาวหวาน ซ่ึงชาววังทำคราวละมากๆ เกบ็ ใสข่ วดโหลไวพ้ รอ้ ม รับประทานเสมอ 72

๖ การประดษิ ฐ์ดอกไม้ การประดิษฐ์ดอกไม้เป็นศิลปะท่ีสืบทอดมาตั้งแต่โบราณ เพื่อใช้ใน การประดับตกแต่งอาคาร สถานที่ และสิ่งเคารพบูชา เชน่ มาลัย เคร่ืองแขวน พุ่มกรวย และตาข่าย รังสรรค์ขึ้นจากการนำดอกไม้เล็กๆ มาเรียงร้อยรวมกัน ด้วยเสน้ ดา้ ย ประดิษฐเ์ ป็นรปู ตา่ งๆ อย่างประณีต งานประดิษฐ์ดอกไม้ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีต่างๆ นอกจากน้ียังมี เจ้านาย พระญาติ ตลอดจนข้าราชบริพารท่ีขอประทานของเนื่องในพิธีมงคล อยเู่ สมอ ไมว่ ่าจะเป็นงานแต่งงาน งานโกนจุก หรอื งานบวช ข้าราชบริพารฝ่ายในยังคงสืบทอดหน้าท่ีในการประดิษฐ์ดอกไม้ในงาน พระราชพธิ ตี ่างๆ สืบมาจนถึงปัจจบุ ัน 73

๓ มเหรรือสงพนศาิมล ป ์ 74

มหรสพ นับเป็นศาสตร์แขนงหน่ึงซ่ึงได้รับการรังสรรค์ 75 และสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะท่ีได้รับการอุปถัมภ์ ทำนุบำรุงจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี จนกลายเป็น วัฒนธรรมท่ีงดงามและล้ำค่า ความอ่อนช้อยในท่วงท่าและวิธีการ ร่ายรำ ประกอบกับทำนองเพลงที่บรรเลงได้อย่างไพเราะและเป็น เอกลักษณ์ ล้วนแสดงถึงความมศี ลิ ปะและความเป็นศลิ ปนิ ของชาวสยาม ถอื เป็นความภูมิใจท่ีควรรักษาไว้ใหเ้ ปน็ มรดกศิลป์ประดบั แผ่นดนิ สืบไป

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงคุ้นเคยกับราชสำนักกรุงศรีอยุธยามานานถึง ๑๕ ปี มีความรู้ความสามารถในสรรพวิชาการ ท้ังด้านราชการ ด้านวรรณศิลป์ และด้านนาฏศิลป์เป็นอย่างมาก จึงเอื้อต่อ การฟืน้ ฟูศิลปวัฒนธรรมของกรงุ รตั นโกสินทร์ในปฐมกาล เมื่อการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์สำเร็จและ แผ่อาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง ก็ย่อมมีการประกอบ 76

หอ้ งวีดทิ ศั นจ์ ัดแสดงด้วยเทคนคิ การฉายภาพเคลื่อนไหวประกอบ อะนิเมชั่นบนจอ ๓๖๐ องศา พระราชพิธีต่างๆ และเฉลิมฉลองหรือสมโภชตามธรรมเนียม และเพื่อบำรุงขวัญแก่ราษฎร มหรสพและการละเล่น นานาชนิดจึงได้รับการฟ้ืนฟูข้ึนอีกคร้ัง ในโอกาสการสมโภช การก่อต้ังกรุงรัตนโกสินทร์ มีการละเล่นมากมาย อาทิ ระเบง โมงครุ่ม กุลาตีไม้ กระอั้ว หนัง โขน ละคร ระบำ ง้ิว หุ่น มโหรี ซ่ึงถือเป็นจุดเร่ิมต้นของนาฏศิลป์ทุกแขนงที่รวม เรียกว่ามหรสพให้เข้ามาโลดแล่นควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของ ชาวไทยอกี ครั้ง 77

แ ผ น ผั ง หอ้ งเรืองนามมหรสพศิลป ์ ๒ ๖ วิวฒั นาการมหรสพ การแต่งกายโขน ในอุษาคเนย ์ ๒ ทางเขา้ ๖ ๗ ๑ ๑ หอ้ งฉายภาพบนจอ ๓๖๐ องศา ๘ ๗ รำ ระบำ ละคร ภาษาท่าทางโขน 78

๓ ๕ หนงั ใหญ ่ โขน ๓ ทางออก ๑๐ ๔ ๕ ๑๐ แคลวาะโมอเกปาน็ สมในาขกอางรมแหสดรสงมพหสมรสัยพรตั นโกสนิ ทร์ ๙ ๘ ๙ ๔ หุน่ หัวโขน 79

80

๒ จากระบำ รำ เต้น เปน็ มหรสพ จากพิธกี รรมสคู่ วามบันเทิง มหรสพเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมาช้านาน มีต้นเค้าจาก การรำบูชาส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ เจ้าป่าเจ้าเขา ผี เทพเทวดา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และเพ่ือวิงวอนขอความผาสุกของชีวิตและขจัดโรคภัยต่างๆ ส่วนอีกทางหน่ึง น่าจะมาจากการฟ้อนรำเพ่ือพักผ่อนหย่อนใจตามวัฒนธรรมเกษตรกรรม เรม่ิ จากการออกท่าทางง่ายๆ วาดวงแขน มว้ นมอื หรอื ยำ่ เทา้ ตามจังหวะดนตรี วิวัฒนาการจนมีความละเอียดลออมากย่ิงขึ้น และแตกแขนงแบ่งสายออกไป หลายชนดิ 81

หนงั ใหญ่ ๓ ผืนหนังอลงั การ ผสานด้วยเสยี งวงป่พี าทย์ ตัวหนังอันอลังการด้วยลวดลายวิจิตรเกิดจากฝีมือของช่างฉลุ ประกอบกับลีลาการเชิดที่ผู้เชิดต้องขยับร่างกายและตัวหนังให้เคลื่อนไหว สอดคล้องกับบทบาทและอารมณ์ของตัวละคร ซ่ึงแต่ละตัวละครจะมีท่าเชิด ทเี่ ป็นแบบแผนเฉพาะของตวั เอง เสยี งดนตรขี องวงปพี่ าทย์ กเ็ ปน็ ส่วนประกอบ ท่ีขาดไม่ได้ของหนังใหญ่ การพากย์จะทำให้คนดูเข้าใจและสนุกกับเรื่องราว ผู้เชิดกับผู้พากย์ต้องทำงานประสานกันให้เข้าจังหวะและสื่ออารมณ์ท่ีต้องการ ผู้พากย์จึงต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณและมีทักษะในการเล่าเรื่องเป็นอย่างด ี องค์ประกอบต่างๆ เหล่าน้ีได้หลอมรวมกันเป็นการแสดงที่มีเอกลักษณ์และ มนต์เสน่หอ์ ยู่คู่สงั คมไทยมาอย่างยาวนาน 8๕๘2

สรา้ งวัฒนธรรมร่วม หนงั เป็นมหรสพเก่าแก่มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาล ด้านหลังของจอมีกองไฟหรือร้านเพลิงเพื่อสุมไฟ พ.ศ. ๑๙๐๑ ซึ่งคงมีอายุเก่าแก่กว่านั้นมาก เดิมเรียกว่า ให้เกิดแสงเงาจากตัวหนัง ซ่ึงมีลวดลายวิจิตรทาบไปที่จอ “หนงั ” ต่อมาจึงเปลีย่ นมาเรียกว่า “หนงั ใหญ่” เพอ่ื ไม่ให้ เชน่ มบี ทพากยว์ า่ เรง่ เรว็ เถดิ นายไต้ เอาเพลงิ ใสเ่ ขา้ หนหลงั สบั สนกับหนงั เลก็ คอื หนงั ตะลุง ส่องแสงอยา่ ให้บงั จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู ราชสำนักโบราณก่อนกรุงศรีอยุธยาได้จัดให้เล่น หนังใหญ่ในงานสมโภชและงานเทศกาลต่างๆ เพ่ือให ้ เลน่ เฉพาะเรอ่ื งรามเกียรต์ ิ ประชาชนที่อยู่ร่วมกันหลากหลายเชื้อชาติมีสำนึกเป็น รามเกียรติ์ฉบับสยามมีต้นเรื่องมาจากรามายณะ อันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมและวัฒนธรรม อีกทั้ง ฉบับภาษาทมิฬในอินเดียใต้ ท่ีมาพร้อมกับการติดต่อ เปน็ การสง่ เสริมฐานานุภาพของพระเจ้าแผ่นดนิ คา้ ขายและการเผยแผศ่ าสนา คร้ันล่วงมาถึงรัชกาลท่ี ๑ หนังยังคงอยู่ในทำเนียบ รามเกียรต์ิเป็นเรื่องราวปางหน่ึงในสิบปางของ มหรสพในการพระราชพิธีและการสมโภชต่างๆ มีท้ังหนัง พระนารายณ์ทอ่ี วตารมาปราบยุคเขญ็ มีชอื่ วา่ รามาวตาร กลางคืนและหนังกลางวัน และยังแพร่หลายไปในภูมิภาค ราชสำนักสยามเผยแพร่เร่ืองรามเกียรติ์ให้เป็นที่รู้จัก ตา่ งๆ ของสยามประเทศ อย่างกว้างขวาง โดยการเล่นเป็นหนังใหญ่ ชาวสยาม ทัง้ หลาย จึงรเู้ รอ่ื งรามเกยี รตจ์ิ ากการดูหนัง หนงั คู่จอ เร่ืองท่ีใช้เล่นหนังมีอยู่เร่ืองเดียว คือ รามเกียรติ์ สถานทเ่ี ลน่ หนงั ตอ้ งมจี อ คอื ผา้ ขาว ทำขอบ ๔ ดา้ น แม้จะมีหลักฐานกล่าวถึงในสมุทรโฆษคำฉันท์ ว่าแต่ง ด้วยผ้าแดง ขึงกับโครงไม้ไผ่ ๔ ลำ ดังบทพากย์หนังว่า บทหนังใหญ่เร่ืองอนิรุทธ์ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของ ตัดไม้มาส่ีลำ ปักขึ้นทำเป็นจอ ส่ีมุมแดงยอ กลางก็ดาด การแสดง ดว้ ยผา้ ขาว 83

จัดแสดงเรอื่ งย่อ รามเกยี รต์ ิ ด้วยเทคนคิ อะนิเมชน่ั โขน ๔ เร่ืองราวคกึ คัก สนกุ กบั ยักษ์และลงิ โขนเป็นการละเล่นของชายล้วนที่อยู่ในราชสำนัก มาแต่แรกเริ่ม มีไว้สำหรับเล่นในการพระราชพิธี ผู้ท่ีได้รับ การฝึกหัดให้เป็นโขนคือมหาดเล็กหลวง จึงเรียกว่า “โขน หลวง” จวบจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมทุกด้าน สำหรับการแสดงโขนนั้น พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้านายและขุนนาง ผู้ใหญ่หัดโขนได้โดยไม่ทรงห้ามปราม เจ้านายและ ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่จึงได้ฝึกหัดโขนเพื่อประดับเกียรต ิ ของตน เรียกว่า “โขนบรรดาศักด์ิ” จึงเกิดมีโขนขึ้น หลายโรงเล่นประชันกัน เป็นเหตุให้ศิลปะการแสดงโขน แพรห่ ลายเปน็ ที่นยิ มของประชาชนเป็นอยา่ งมาก จิตรกรรมฝาผนงั เรอื่ ง รามเกยี รต์ิ ที่พระระเบยี ง วดั พระศรรี ัตนศาสดาราม ดำเนนิ เรอื่ งตามพระราชนพิ นธ ์ รามเกยี รติ์ ในรชั กาลที่ ๑ ๕8๘4

จากหนงั ใหญ่มาเปน็ โขน หนังใหญ่เล่นเร่ืองรามเกียรติ์เผยแพร่ให้แก ่ ประชาชนมาก่อนเป็นเวลาช้านาน แต่หนังใหญ่เป็นเพียง อันเจา้ ลงกากรงุ ไกร นนั้ ได้แกช่ ้างงารี ภาพน่ิงท่ีปรากฏบนจอ ต่อมาจึงมีระบำออกมาเล่นสลับ หนังใหญ่เพื่อให้น่าชมยิ่งข้ึน เรียกว่า เล่นหนังระบำ หรือ มารษาอาธรรม์พน้ นกั ไปลอบลกั พาเมียเขาหน ี ฝ่ายองค์พระรามสามี คือชีโฉดชั่วสามานย์ หนังจับระบำหน้าจอ นานเข้าระบำก็ค่อยๆ ออกมาเล่น เมยี รักของตัวผเู้ ดียว ทิง้ ไว้ใหเ้ ปล่ยี วในไพรสาณฑ ์ แทนตัวหนัง การเล่นสลับกันแบบน้ี มักเรียกว่า “หนังติดตัวโขน” นานเข้าก็เล่นแทนหนังใหญ่ทั้งเรื่อง คร้ันหายเทย่ี วหาไมพ่ บพาน จนต้องรอนราญวุ่นไป แล้วเรียกช่ือ “โขน” ท่ีมาจากรากศัพท์เช่นเดียวกับ “ ละคร” เคร่อื งแตง่ กายชกั นาคดกึ ดำบรรพ์ ผนั มาเป็นโขน ชักนาคดึกดำบรรพ์เป็นการแสดงในพระราชพิธี อิ น ท ร า ภิ เ ษ ก ท่ี สื บ เ นื่ อ ง กั น ม า เ พ่ื อ เ ทิ ด พ ร ะ เ กี ย ร ติ พระจักรพรรดิราชที่เก่ียวข้องกับเรื่องรามเกียรต์ิ จึงม ี ผู้แสดงแตง่ กายเปน็ อสรู เทวดา พาลี สคุ รพี วานรบรวิ าร ตลอดจนเทพเจ้าต่างๆ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์ และเป็นต้นแบบการแต่งกายของผู้แสดงโขน บทละครและสมุดไทย เร่ืองรามเกียรติ์ ต่อมา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ สรรพยุทธ-สรรพคิลา ปรบั ทา่ เป็นโขน รามเกยี รต์ิ ยอดวรรณกรรมแหง่ ยคุ โขนไดล้ อกเลยี น “ทา่ จบั ” ซง่ึ เปน็ ทา่ ขน้ึ รบแบบตา่ งๆ เร่ืองท่ีนิยมนำมาแสดงโขน คือเร่ือง “รามเกียรต์ิ” ทีป่ รากฏในหนงั มาใส่ไว้ในการเล่นโขนให้ได้จริงตามที่ชา่ ง แม้บางคร้ังมีการแสดงเร่ืองอ่ืนบ้าง แต่ไม่ได้รับความนิยม ทำเปน็ หนงั ไว้ ซึ่งเปน็ ท่าที่ฝืนธรรมชาติ ดว้ ยเหตุน้ี ตัวโขน รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีสำคัญของไทยและเป็นท่ีรู้จักกัน จงึ ตอ้ งฝกึ วชิ าระบำรำเตน้ ในกระบวนสรรพยทุ ธ อนั หมายถงึ อย่างแพร่หลาย เนื้อเรื่องมีคติสอนใจและให้แง่คิดในด้าน การตอ่ สดู้ ว้ ยอาวธุ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ กระบก่ี ระบองและสรรพคลิ า ต่างๆ สอดแทรกอยู่เป็นอันมากตามหลักนิยมของอินเดีย อันหมายถึง การกีฬาที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ เพ่ือให้ สำนวนกลอนในเร่ืองรามเกียรต์ิมีความไพเราะตามหลัก เคลื่อนไหวด้วยลีลาฟ้อนเต้นอันเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของ นิยมของไทย คติในรามเกียรต์ิมีบทบาทสำคัญต่อ ประชาชนในภูมภิ าคน ้ี การพัฒนาของบ้านเมืองในดินแดนสยามที่มีความก้าวหน้า ข้ึนเป็นแว่นแคว้นหรือ “รัฐ” อันรุ่งเรือง ดังมีร่องรอยอยู่ ตอนตน้ เรอื่ งตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ 85

๕ หวั โขน หัวโขนทผ่ี ู้เลน่ โขนใชส้ วมหวั เพื่อแสดงเป็นตัวละคร ต่างๆ เป็นงานศิลปกรรมประเภทประณีตศิลป์ เป็นงาน หัตถศิลป์ท่ีประดิษฐ์ประดับด้วยลวดลายอันวิจิตร มีการ ปิดทองประดับแววและเขียนหน้า ปั้นลาย แสดงเส้น ให้ปรากฏเป็นความรู้สึกทางอารมณ์อย่างชัดเจน และ ที่สำคัญคือมีกรรมวิธีหลายข้ันตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญดา้ นเทคนิคและฝมี อื เป็นอย่างสูง ด้วยตัวละครในคู่สงครามท่ีมีสมัครพรรคพวก จำนวนมากด้วยกัน ตัวโขนที่ออกแสดงจึงมีจำนวนมาก และต้องสวมใส่หัวโขนท่ีประดิษฐ์ให้มีลักษณะ ลวดลาย และสีสันวรรณะแตกต่างกัน แต่แม้จะมีการบัญญัติและ ประดิษฐ์หัวโขนให้มีลักษณะมงกุฎแตกต่างกัน ก็ยังไม่วาย ที่จะซ้ำกัน โบราณาจารย์ท่านจึงบัญญัติให้ทำปากและ ตาให้แตกต่างกันออกไปอีก แต่กระน้ันก็ยงั มลี กั ษณะซำ้ กนั จึงต้องบัญญัติให้มีสีแตกต่างไปอีกช้ันหนึ่ง ด้วยเหตุน้ี สีจึงเป็นส่วนสำคัญในลักษณะและความแตกต่างของ หวั โขน ถ้าระบายสีผดิ เพี้ยนไป หวั โขนอาจซ้ำกันและเข้าใจ ว่าเป็นตัวเดียวกันได้ ถ้าบังเอิญมีสีคล้ายกันหรือบางตัว อาจมีสีเดียวกัน ผู้ชมต้องสังเกตจากอาวุธที่ถือเป็น ส่วนประกอบอีกอย่างหนึง่ ๕8๘6

8๕7๙

หวั โขนตัวละครฝา่ ยกรงุ อโยธยา พระราม พระลกั ษมณ ์ หนมุ าน พงศ ์ พงศ์ พงศ์ กษัตริย์ เดมิ คอื พระนารายณ์อวตาร กษัตริย์ เดมิ คือบัลลังก์นาคของ วานร ลงมาเกดิ เพ่ือปราบทศกณั ฐ์ พระนารายณ์ อวตารลงมาช่วยพระราม คณุ สมบัตเิ ฉพาะตัว คณุ สมบตั ิเฉพาะตวั อปุ นสิ ยั หาวเปน็ ดาวเปน็ เดอื น ไมม่ วี ันตาย เวลาแสดงอทิ ธฤิ ทธ์ิจะปรากฏเป็น ๔ กร มคี วามรกั พน่ี ้อง ซอ่ื สตั ยต์ ่อพระราม เพราะเมือ่ ลมพัดโดนกายกจ็ ะฟื้น ทรงอาวธุ ตรี คฑา จักร สงั ข ์ และนางสีดา มกี ณุ ฑล ขนเพชร เข้ยี วแก้ว อปุ นสิ ยั ลักษณะหวั โขน เวลาแผลงฤทธ์ิจะมี ๔ พกั ตร์ ๘ กร มคี วามรักพี่นอ้ งและซอื่ สตั ย์ต่อนางสีดา สวมมงกฎุ ยอดชยั สวมมงกุฎยอดบวช อปุ นิสยั ลกั ษณะหัวโขน เวลาทรงพรต ๑ พักตร์ ๒ กร ชอบทำหน้าที่เกนิ คำสง่ั เจ้าชู ้ สวมมงกุฎยอดชัย สวมมงกุฎยอดบวช สีกาย ลกั ษณะหัวโขน เวลาทรงพรต ๑ พักตร์ ๒ กร สีทอง ไม่สวมมงกุฎ ตาโพลง ปากอา้ สีกาย อาวุธประจำตวั สกี าย สเี ขียวนวล พระขรรค ์ สีขาว อาวุธประจำตวั อาวุธประจำตวั ศร ตรี 8๕๘8

๕ องคต สคุ รพี พิเภก พงศ ์ พงศ์ พงศ ์ วานร วานร ยกั ษ์ คณุ สมบตั เิ ฉพาะตัว คณุ สมบัตเิ ฉพาะตวั คณุ สมบตั ิเฉพาะตวั เชยี่ วชาญการรบ แปลงกายได ้ เนรมติ กายได ้ มคี วามรทู้ างดา้ นโหราศาสตร์ อปุ นิสัย อปุ นิสัย มีกระดานโหรประจำกาย เดด็ เด่ียว อาจหาญ มปี ญั ญาดี มคี วามซื่อสัตย์ จงรกั ภกั ดี อปุ นิสยั ลักษณะหวั โขน และเป็นผูเ้ สียสละ มคี วามซ่อื ตรง จติ ใจงาม สวมมงกุฎยอดสามกลีบ ตาโพลง ลกั ษณะหัวโขน ลักษณะหวั โขน ปากหุบ สวมมงกุฎยอดบดั ตาโพลง ปากอา้ สวมมงกุฎนำ้ เต้า ตาจระเข้ ปากแสยะ สกี าย สีกาย เขยี้ วทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร สีเขียว สีแดง สีกาย อาวธุ ประจำตวั อาวธุ ประจำตวั สเี ขยี ว พระขรรค ์ พระขรรค์ อาวุธประจำตวั กระบอง 8๕9๙

หวั โขนตัวละครฝ่ายกรงุ ลงกา ทศกณั ฐ ์ กุมภกรรณ อินทรชติ พงศ ์ พงศ ์ พงศ ์ ยกั ษ์ ยกั ษ ์ ยักษ์ คุณสมบตั ิเฉพาะตัว คณุ สมบตั ิเฉพาะตัว คุณสมบัติเฉพาะตวั สามารถถอดดวงใจได้ มวี าจาคมคายเฉียบแหลม ชาญฉลาด สามารถแปลงกายเปน็ พระอนิ ทร์ได้ อุปนิสยั อุปนสิ ัย และเม่อื ตายถ้าศรี ษะตกถึงพ้นื เจา้ ชู้ มกั มากในกามารมณ์ ใจคอโหดเหีย้ ม ต้งั อยู่ในสัจธรรม รักความยตุ ธิ รรม จะเกิดไฟไหม้โลก ลกั ษณะหวั โขน รกั ความสะอาด อปุ นิสัย สวมมงกฎุ ยอดชัย (ศีรษะทศกัณฐ์ ลกั ษณะหัวโขน มีความรับผิดชอบในหนา้ ท ่ี มีท้ังสีเขียวและสีทอง ในการทำสงคราม สวมกระบงั หนา้ ไมม่ มี งกุฎ หวั โลน้ ลักษณะหัวโขน คร้ังสุดทา้ ย ได้แปลงเปน็ พระอนิ ทร์ ปากแสยะ ตาโพลง เขย้ี วโง้ง มี ๔ พกั ตร์ สวมชฎามนษุ ย์หรือชฎายอดกาบไผเ่ ดินหน โดยทำเป็นหน้าพระ ๓ ชัน้ สีเขยี ว มเี ข้ียว (หน้าปกติ ๑ หน้า และอีก ๓ หน้า แบบพระอนิ ทร์ ตาโพลง ปากขบ เขี้ยวคดุ ดอกมะลิ) ปากแสยะ เขย้ี วโง้ง ตาโพลง อยดู่ า้ นหลัง) ๒ กร (ดอกมะล)ิ มจี อนหู ๑ พักตร์ ๒ กร ๑๐ พักตร์ ๒๐ กร สกี าย สีกาย สีกาย สีเขยี ว สีเขยี ว สเี ขียว อาวธุ ประจำตวั อาวุธประจำตวั อาวุธประจำตวั หอกโมกขศักด์ ิ ศร ศร ๕9๘0

๕ ไมยราพ วิรญุ จำบงั แสงอาทติ ย์ พงศ ์ พงศ์ พงศ ์ ยักษ ์ ยักษ์ ยักษ์ คณุ สมบัติเฉพาะตวั คณุ สมบัตเิ ฉพาะตัว ลักษณะหัวโขน สามารถถอดดวงจิตได ้ หายตวั ได้ สวมมงกฎุ ยอดกระหนก ตาจระเข้ อปุ นิสยั ลกั ษณะหัวโขน ปากขบ เขี้ยวทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร มคี วามทะนงในฤทธต์ิ น ดื้อรน้ั สวมมงกฎุ ยอดหางไก่ ตาจระเข้ สกี าย ลักษณะหัวโขน ปากขบ ๑ พักตร์ ๒ กร สีแดงชาด สวมมงกฎุ ยอดกระหนก สีกาย อาวุธประจำตัว ตาจระเข้ ปากขบ สมี อหมกึ ศรและแวน่ แก้ววเิ ศษ เข้ียวทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร อาวุธประจำตัว สอ่ งให้เกิดไฟไหม้ได ้ สีกาย หอก สีมว่ งออ่ น อาวธุ ประจำตวั กลอ้ งเป่ายา 9๕1๙

จดั แสดงดว้ ยวีดิทัศน์ ซง่ึ ฉายบนจอภาพรปู วงรี ประยกุ ต์เป็นรูปทรงเดยี วกับกระจกส่องหน้า ของโตะ๊ เครอ่ื งแปง้ โบราณ โดยสามารถ กดป่มุ เลอื กชมการแตง่ กายของตวั ละคร ไดต้ ามอธั ยาศยั 92

๖ การแตง่ กายโขน พระบรมฉายาลักษณพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ในฉลองพระองค์เครอ่ื งตน้ เน่ืองด้วยโขนแสดงเรื่องราวของชนชั้นกษัตริย์ การแต่งกายจึงมีความวิจิตรใกล้เคียงกับเครื่องทรง เครอื่ งต้น-เครือ่ งโขนละคร ของกษตั รยิ ์ มีผู้ศึกษาเปรียบเทียบเคร่ืองแต่งตัวโขนละคร และพบว่ามีความใกล้เคียงกับเครื่องต้นของพระมหา โขน “ทรงเครือ่ ง” กษตั รยิ ์ เชน่ ฉลองพระกรนอ้ ย ฉลองพระองคส์ ยี น่ นอก รัดพระองคห์ นามขนุน รัดพระองค์แครง และพระภษู า แต่แรกมีการประดิษฐ์เครื่องแต่งตัวชุดนายโรง ริ้ววรวะหย่ีจีบโจง เป็นต้น จึงมีพระราชกำหนด หรือ “ตัวพระ” ขึ้นก่อน และมีตัวละครแต่งกายแบบนี ้ ห้ามไม่ให้สร้างเคร่ืองแต่งตัวโขนละครเลียนแบบ อยู่เพียงคนเดียว จึงเรียกว่า “ตัวยืนเครื่อง” และเรียก เคร่ืองต้น แต่พระราชกำหนดดังกล่าวได้คลาย เครอื่ งแต่งกายแบบตัวพระวา่ “ยนื เครือ่ ง” ความเข้มงวดลงในเวลาตอ่ มา ไมเ่ พยี งเท่านัน้ ยังไดม้ ี การนำเครอ่ื งแตง่ ตวั ละครมาผสมดว้ ย ดังทป่ี รากฏอยู่ ในปจั จบุ ัน เครื่องประดบั ศรี ษะ ต่อมาไม่ว่าจะเป็นตัวเอกหรือตัวรองก็แต่งยืนเคร่ือง ทั้งน้ัน ต่างกันก็แต่เคร่ืองประดับศีรษะ ซ่ึงเป็นแบบฉบับ ของเคร่ืองแตง่ กายโขนละครท่ีใชส้ ืบมาจนถงึ สมยั ปจั จุบนั สเี สือ้ สีผิว การสวมเส้ือแขนยาวของตัวโขนน้ัน นอกจาก สวมให้ครบตามแบบของเครื่องแต่งกายยืนเคร่ืองพระแล้ว สีของเส้ือท่ีสวมยังเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวของโขนตัวนั้นๆ อีกด้วย เช่น ทศกัณฐ์ พระราม กุมภกรรณ อินทรชิต พระอินทร์ มีผิวกายสีเขียวตามพงศ์ ในเร่ืองรามเกียรต ์ิ กส็ วมเส้อื สีเขียว ยักษห์ รอื ลงิ ทมี่ ีผวิ กายสีใดก็สวมเส้ือสีนั้น ผ้านุ่ง ส่วนผ้านุ่งของผู้แสดงโขน ผู้จัดเคร่ืองแต่งกายโขน จะจัดสีของผ้านุ่งให้ตัดกับสีเส้ือ เช่น เสื้อสีเขียวให้นุ่งผ้า สแี ดง เส้อื สแี ดงให้นุ่งผ้าสเี ขียว เปน็ ตน้ 93

เ ค ร่ื อ ง แ ต่ ง ก า ย พ ร ะ ดอกไม้ทัด (ขวา) ชฎา อบุ ะ หรอื พวงดอกไม้ (ขวา) ดอกไม้เพชร (ซ้าย) จอนหู หรอื กรรเจยี ก หรือกรรเจียกจร อนิ ทรธนู กรองคอ หรอื นวมคอ หกำรไอื ลทแอผงงกร ทับทรวง เสือ้ หรอื ฉลององค์ ธำมรงค์ ปะวะหล่ำ สังวาล แหวนรอบ เขม็ ขัด หรอื ป้นั เหนง่ รัดสะเอว คันศร สนับเพลา ตาบทศิ ผา้ น่งุ หรอื ภูษา กำไลเท้า สสุุววรรรรณณกกรัญะจถนอ์ถบอหบร อื 94 หหอ้รอืยชขาา้ ยงแหครรืองเ จยี ระบาด ห้อยหน้า หรือชายไหว

เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย น า ง ๖ มงกฎุ ดอกไมท้ ดั (ซา้ ย) จอนหู หรือกรรเจียก หรอื กรรเจยี กจร อบุ ะ หรือพวงดอกไม้ (ซา้ ย) กรองคอ หรือนวมนาง ธำมรงค์ ผ้าหม่ นาง จ้นี าง หรอื ตาบทบั พาหรุ ดั เสอ้ื ใน สะอ้ิง แหวนรอบ ปะวะหล่ำ กำไลตะขาบ กำไลสวม หรือทองกร เข็มขัด หรือปัน้ เหน่ง ผ้านงุ่ หรือภูษา กำไลเท้า 95

เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ยั ก ษ ์ กรองคอ หรือนวมคอ หวั ทศกัณฐ์ อินทรธนู ธำมรงค์ คันศร แหวนรอบ กำไลแผง หรอื ทองกร หอ้ ยหน้า หรือชายไหว พวงประคำคอ ทับทรวง 96 เสือ้ หรอื ฉลององค ์ รัดอก สงั วาล รัดสะเอว หรอื รัดองค์ เขม็ ขดั หรือป้นั เหนง่ ตาบทิศ ผา้ นุ่ง หรือภูษา สนับเพลา กำไลเท้า หอ้ ยข้าง หรอื เจยี ระบาด หรือชายแครง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook