Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัญมณีแห่งมหานคร

อัญมณีแห่งมหานคร

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2020-01-14 22:52:04

Description: นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
หนังสือ,เอกสาร,บทความนี้นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พพิ ิธภัณฑ์ปนื ใหญ่โบราณ พระนคร หอศลิ ป หนา้ กระทรวงกลาโหม ผูเ้ ข้าชมสามารถเลอื กชมรายละเอยี ด ของพพิ ธิ ภณั ฑต์ า่ งๆ ทจี่ ดั แสดง ได้จากจอระบบสมั ผัส พิพธิ ภัณฑ์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทตี่ ัง้ ๒ ถนนหลานหลวง รวบรวมเร่อื งราวเกยี่ วกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั แขวงโสมนัส ตลอดพระชนมชีพ เขตปอ้ มปราบศตั รูพา่ ย แหล่งรวบรวมข้อมูล ภาพถ่าย เคร่ืองใช้อันเนื่องด้วยพระบาทสมเด็จ กรุงเทพฯ เวลาเปดิ ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดพระชนมชีพ พร้อมท้ังให้ข้อมูลและเรื่องราว วันอังคาร - วันอาทติ ย์ เหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อเป็นบริบทในการสร้าง ค่าเขา้ ชม ไม่เสียค่าเขา้ ชม ความเข้าใจในพระราชดำรแิ ละพระราชจรยิ วตั รของพระองค ์ การเดนิ ทาง รถประจำทางสาย ๒ ๑๕ ๔๔ ๔๗ ๕๙ ๖๐ ๑๖๙ ปอ. ๖๐ ๗๙ ๕๑๑ เปน็ ต้น 197

ชอ่ งหนา้ ตา่ งสำราญการกนิ จดั แสดง ภาพย่านท่ีมีช่ือเสียงเร่ืองอาหารรสชาติ อรอ่ ย รวมทงั้ สน้ิ ๑๐ แหง่ ไดแ้ ก่ ๑. ทา่ เตียน ๒. ท่าพระอาทติ ย ์ ๓. ทา่ พระจันทร ์ ๔. ท่าชา้ ง ๕. แพรง่ นรา ๖. แพรง่ ภูธร ๗. แพรง่ สรรพศาสตร์ ๘. เยาวราช ๙. สำราญราษฎร ์ ๑๐. เวิ้งนาครเขษม ๕ สำราญการกนิ 198 กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ปน็ ราชธานที ี่ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ศูนย์รวม ของประชาชนหลากเชื้อชาติที่อพยพเข้ามาพ่ึงพระบรม โพธิสมภารของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักร ี จนก่อเกิดเป็นชุมชนหลายถ่ินที่ซึ่งมีเอกลักษณ์ด้านต่างๆ เปน็ ของตน ดังจะเหน็ ไดจ้ ากเครื่องแตง่ กาย วิถกี ารดำเนนิ ชีวิต วัฒนธรรม รวมถึงอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่าย ให้สามารถเลือกชิมรสชาติท่ีแปลกล้ินจากวัตถุดิบที่ได้ เลือกสรรมาเป็นอย่างดี ผ่านกรรมวิธีการปรุงตามตำรับ ท่ีได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ จนเลื่องลือ เรื่องความอร่อย และหาโอกาสลิ้มลองได้จากหลายแหล่ง ซงึ่ ลว้ นแตม่ รี า้ นอาหารรสโอชะ ไมว่ า่ จะเปน็ ทา่ ชา้ ง ทา่ เตยี น ท่าพระอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ แพร่งนรา แพร่งภูธร แพร่งสรรพศาสตร์ เว้ิงนาครเขษม สำราญราษฎร์ และ เยาวราช

โรตีมะตะบะ ทา่ พระอาทติ ย ์ ขนมเบือ้ งโบราณ ถนนพระอาทิตย ์ หูฉลาม เยาวราช ผู้เขา้ ชมสามารถเลือกชมรายละเอียดของ ย่านอาหารรสชาตดิ ีและมเี อกลักษณ์ ได้จากจอระบบสัมผสั เยาวราช อาหารขึน้ ชอ่ื กว๋ ยจ๊บั ถนนสายทองคำ ท่ีรวบรวมอาหารสญั ชาติจีนแสนอร่อย บะหมีล่ ูกช้นิ ปลา เยน็ ตาโฟแคะ นอกจากจะเป็นศูนย์รวมร้านค้าทองคำท่ีใหญ่ท่ีสุดในประเทศไทยแล้ว เนอ้ื แพะผัดขึ้นฉ่าย เยาวราชยังเป็นแหล่งอาหารสดและแห้งตามตำรับอาหารจีนท่ีใหญ่ที่สุด กว๋ ยเต๋ยี วค่ัวไก ่ ในกรงุ เทพฯ ในทกุ เทศกาลของจนี ไมว่ า่ จะเปน็ ตรษุ จนี สารทจนี สารทขนมจา้ ง ข้าวแกงกะหร่ี หรือไหว้พระจันทร์ ท้ังเครื่องเซ่นไหว้และข้าวของเครื่องใช้ประกอบพิธ ี เฉลมิ บุรีหฉู ลาม สามารถหาไดจ้ ากทน่ี อ่ี ยา่ งครบครนั และหากตอ้ งการซอ้ื ตวั ยาสมนุ ไพรในตำราจนี เล่าต้งั หา่ นพะโล้ ก็รับประกันได้ว่าไม่ผิดหวัง เพราะไม่ว่าจะเป็นสูตรยาตัวไหนก็สามารถหาซ้ือได้ ไท้เฮงข้าวมนั ไก่ไหหลำ ในยามค่ำคืน สองฟากฝั่งถนนเยาวราชจะเต็มไปด้วยร้านอาหารริมทาง การเดินทาง รถประจำทางสาย ๔๐ นับร้อยที่เลิศรสเทียบชั้นภัตตาคาร ท้ังหูฉลาม แพะตุ๋นยาจีน ซุปรังนก ซ่ึงหา ๔๘ ๕๓ ๗๓ รับประทานได้ไม่ยาก ท่ามกลางบรรยากาศอันหลากหลายและเต็มไปด้วย ปอ. ๗๓ ๕๒๙ เปน็ ต้น ชีวิตชีวา ทำให้เยาวราชเป็นย่านท่ีมากไปด้วยสีสันอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ท่นี กั ทอ่ งเทย่ี วไม่ควรพลาด 199

ช่องหน้าต่างรวมสรรพจับจ่าย จัดแสดงภาพแหล่งจำหน่ายสินค้า ประเภทต่างๆ ในกรุงรัตนโกสินทร ์ รวมทงั้ ส้นิ ๙ แหง่ ไดแ้ ก่ ๑. ตลาดนางเลิ้ง ๒. บา้ นหมอ้ ๓. ทา่ พระจันทร์ ๔. ถนนบำรุงเมอื ง ๕. พาหรุ ัด ๖. สำเพง็ ๗. โบเ๊ บ๊ ๘. บางลำพู ๙. เยาวราช ๖ รวมสรรพจับจ่าย 200 ความคึกคักของย่านการค้าในปัจจุบัน ชวนให้ย้อน รำลึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชธานีที่มีนามว่า กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ศูนย์กลางของประเทศและเปน็ แหลง่ รวม ผู้คนหลากเช้ือชาติ แต่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่าง ร่มเย็นเป็นอิสระภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ประชาชน จึงมีความผาสุก สามารถประกอบกิจการงาน ดำเนิน การค้าขาย ผลิตและจำหน่ายสินค้าได้อย่างเสรี จนเกิด เป็นย่านท่ีมีชื่อเสียงเรื่องเอกลักษณ์ คุณภาพ และราคา สินค้า ไม่ว่าจะเป็นบ้านหม้อ แหล่งรวมเคร่ืองมือ อิเล็กทรอนิกส์ ท่าพระจันทร์ แหล่งรวมพระเครื่อง ถนน บำรุงเมือง ซึ่งเรียงรายด้วยร้านขายเคร่ืองสังฆภัณฑ ์ สำเพง็ ตลาดขายส่งเครอ่ื งประดับ หรือพาหรุ ดั แหล่งทมี่ ี สินคา้ ประเภทผ้านานาชนิด

พาหรุ ดั ตลาดผ้านานาประเภท ทา่ พระจนั ทร์ แหลง่ รวม ผู้รักการสะสมพระเครอื่ ง เยาวราช แหล่งรวมร้านขายทอง คณุ ภาพด ี ผ้เู ข้าชมสามารถเลอื กชมรายละเอียด ของแหล่งจำหน่ายสินค้านานาประเภท ได้จากจอระบบสมั ผสั พาหรุ ดั ท่ตี ง้ั แขวงวงั บรู พาภริ มย์ ขายทั้งผ้าซน่ิ ผา้ สำเรจ็ รปู นานาชาติ และนานาของชำร่วย เขตพระนคร กรงุ เทพฯ การเดนิ ทาง รถประจำทางสาย ๑ ๒๑ ถนนพาหุรัดเป็นย่านท่ีมีสินค้าให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย ท้ังผ้าตัด ๓๗ ๕๓ เปน็ ต้น อุปกรณ์ตัดเย็บ รวมไปถึงเส้ือผ้าสำเร็จรูปสารพัดชาติ ทั้งชุดไทยในการแสดง นาฏศิลป์ ชุดจีน และโดยเฉพาะส่าหรีของชาวอินเดีย เน่ืองด้วยการขายผ้า เป็นอาชีพที่สืบทอดมาจากชาวซิกข์รุ่นแรกท่ีเข้ามาในเมืองไทย นอกจากน้ี พาหรุ ัดยงั มชี ุมชนเลก็ ๆ ที่ยังดำเนนิ วถิ แี บบภารตะอยู่ จนทำใหห้ ลายๆ คน ขนาน นามพาหรุ ดั วา่ เปน็ “ลติ เตลิ้ อินเดยี ” เมอื งไทย 201

ชอ่ งหนา้ ตา่ งเยอื นยำ่ คำ่ คนื จดั แสดง ภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของสถานที่ สำคัญตา่ งๆ ในบรเิ วณกรุงรตั นโกสินทร์ รวมท้ังสิน้ ๗ แหง่ ได้แก ่ ๑. พระบรมมหาราชวงั ๒. ภูเขาทอง ๓. ถนนราชดำเนิน ๔. ทอ้ งแหวน ๕. ถนนข้าวสาร ๖. สะพานพทุ ธสแควร์ ๗. แมน่ ำ้ เจ้าพระยา ๗ เยือนย่ำค่ำคนื 202 บรรยากาศยามคำ่ คนื ของกรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ปน็ อกี หนง่ึ มนต์เสน่ห์ท่ีเนรมิตให้มหานครแห่งนี้มีความสวยงาม แปลกตา น่าหลงใหล ด้วยมีแสงไฟหลายล้านดวง สอ่ งกระทบแผ่นฟา้ และพน้ื ผวิ ของบรรดาอาคารสถานตา่ งๆ ซึ่งล้วนได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรม อันประณีตงดงาม เกิดเป็นทัศนียภาพที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง สถานที่ต้ังของพระมหา ปราสาทราชมณเฑียรท่ีสว่างเจิดจ้าดุจรัศมีแห่งพระบารม ี ของพระมหากษตั รยิ ์ และถนนราชดำเนนิ ถนนใจกลางกรงุ ซึ่งถูกประดับด้วยแสงไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงวันเฉลิม พระชนมพรรษาของทกุ ปี

พระบรมมหาราชวงั ยามคำ่ คนื ทัศนียภาพ รมิ สองฝั่งแม่นำ้ เจา้ พระยา หลงั อาทติ ย์อสั ดง บรรยากาศเมื่อยามเย็นมาเยอื น ทถ่ี นนข้าวสาร ผูเ้ ขา้ ชมสามารถเลือกชมรายละเอยี ด และบรรยากาศยามค่ำคนื ของสถานท่ี สำคัญตา่ งๆ ตามทจ่ี ัดแสดง ไดจ้ ากจอระบบสมั ผสั ถนนขา้ วสาร ทีต่ ้ัง แขวงตลาดยอด ถนนสายบันเทิงยามค่ำคนื ทม่ี ีสีสนั ของนกั ทอ่ งเท่ียวชาวไทย เขตพระนคร กรุงเทพฯ และชาวต่างชาติ การเดินทาง รถประจำทางสาย ๓ ๖ ๙ เดิมบริเวณน้ีเคยเป็นสถานท่ีขายข้าวสาร ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหน่ึง ๑๕ ๓๐ ๓๒ ๔๓ ๕๓ ๖๕ เป็นตน้ สถานทที่ อ่ งเทยี่ วราคาประหยดั เพราะคา่ ทพี่ กั และยา่ นสถานบนั เทงิ ยามราตรนี นั้ ไม่สูงจนเกินไป ยามคำ่ คนื ถนนขา้ วสารมีสีสันและชีวติ ชวี า มรี า้ นอาหารใหเ้ ลอื กหลากหลาย ไมว่ า่ จะเปน็ รา้ นอาหารเลก็ ๆ รมิ ถนนหรอื รา้ นใหญ่โต ซง่ึ ลว้ นแลว้ แตร่ าคาไมแ่ พง โดยทั่วไปจะมีหนุ่มสาวและนักท่องเท่ียวชาวต่างชาติจำนวนมากอยู่ท่ามกลาง บรรยากาศยามราตรที เ่ี ตม็ ไปด้วยแสงสแี ละเสยี งดนตรีบนถนนสายน้ี 203

๘ ห้อง เวริืถอีไงทรยุ่ง 204

ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี นับจากเมื่อครั้งที่มีการสถาปนาราชธาน ี อันมีนาม รัตนโกสินทร์ ชาวสยามได้สืบทอดวิถีความเป็นไทยที่สืบสาย มาต้ังแต่สมัยโบราณ และสามารถผสมผสานขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม อันหลากหลายให้กลมกลืนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหน่ึงเดียวด้วยความคิด สร้างสรรค์ บังเกิดเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอันโดดเด่น เป็นแบบแผน อันดีงาม และเป็นความภูมิใจท่ีอนุชนควรได้ร่วมกันรักษาให้รุ่งเรือง ตลอดไป 205

สยามประเทศ เป็นพระราชอาณาจักรท่ีสามารถธำรงรักษา ความเป็นเอกราชสืบมา ด้วยความวิริยะและความอุตสาหะของเหล่า บรรพบุรุษ ท่ีได้ร่วมแรงร่วมใจปกป้องผืนแผ่นดินถ่ินมาตุภูมิไว้ให้เป็น ปึกแผ่นมั่นคง และดำรงวิถีความเป็นไทยท่ีมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ใหร้ ุ่งเรอื งสบื สานมาเป็นเวลาหลายรอ้ ยปี 206

ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และด้วยความชาญฉลาด จดั แสดงหนุ่ จำลองแบบแผน ท่ีสามารถสอดประสานแบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวันให้เข้ากับ บา้ นเรอื น วิถีชีวิต และประเพณ ี ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์อันมีสายน้ำเป็นหลักสำคัญของท้องถิ่น ของไทยในอดตี ก่อบังเกิดเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี อันงามสง่า สะท้อนภูมิปัญญาและความมีอารยะของชาวสยาม 207 นับเปน็ ความภมู ิใจทีค่ วรรักษาและสบื ทอดตอ่ ไป

แ ผ น ผั ง หอ้ งเรืองรุ่งวิถีไทย ๒ ๓ วิถไี ทย ชีวติ เคยี งคสู่ ายนำ้ ถนน...เสน้ ทางสู่พัฒนาการแหง่ วถิ ีไทย ๑ ๒ ประเพณกี บั ชีวติ ๑ A ๓ ๔ ทางเข้า เส้นทางลดั A ๔ ขา้ มไปยัง จดุ จดั แสดง สบู่ ้านเมือง หมายเลข ๔ ยุคพฒั นา เปน็ อารยะ 208

๘ ธำรงคุณคา่ ความเป็นไทย... ดว้ ยความร่วมมอื รว่ มใจของทุกคน ทางออก ๘ ภาพยนตร.์ ..สอ่ื สะท้อนสงั คมรว่ มสมัย ๕ ๖ ๗ ๗ ๖ ๕ สังคมไทยสมยั เปลี่ยนผา่ น วิวัฒนาการสู่ความเป็นสากล สงครามโลกครั้งที่ ๒... คนลำบาก ชาติลำเค็ญ 209

๑ ประเพณกี ับชวี ติ วิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่เรียบง่าย และประสานกลมกลืนไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลง ของธรรมชาติ มีส่วนสร้างสรรค์ให้เกิดประเพณี สำคัญท่ีสอดคล้องต้องกันกับสภาพความเป็นอยู่ ประเพณีแห่งการเกดิ ... เบอื้ งต้นแหง่ ความสขุ ในโลกน ี้ ในอดตี การแพทยย์ งั ไมเ่ จรญิ กา้ วหนา้ การคลอดลกู มกั เส่ียงต่อการเกดิ อันตรายถงึ ชวี ิต ในการป้องกันเหตุรา้ ย ที่อาจเกิดกับหญิงมีครรภ์ อันเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง อนั ตรายต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพ่อื ใหค้ ลอดง่าย และเพื่อ ป้องกันดูแลทารกแรกเกิดท่ีร่างกายยังบอบบางอ่อนแออยู่ ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงถูกคิดขึ้นและได้รับการถ่ายทอด จนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณี นอกจากจะป้องกันและ ปัดเป่าส่ิงไม่ดีที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่และลูก ยังถือเป็น การเสริมสร้างสิริมงคลแก่ชีวิตท่ีเพิ่งเร่ิมต้นของเด็ก อกี ด้วย งานศพ...ยินดีทีพ่ น้ ทกุ ข์ งานศพเป็นงานที่บรรดาญาติมิตรจะมาร่วมงาน เพ่ือแสดงความเหน็ ใจ รว่ มแรงรว่ มใจ ช่วยเหลือครอบครัว ของผู้ตาย และมาร่วมแสดงความเคารพ ความอาลัย ความกตัญญูต่อคนตายเป็นคร้ังสุดท้าย ในงานเผาศพ อาจมีการจัดแสดงมหรสพต่างๆ ให้ผู้มาร่วมงานได้ชม เป็นที่สนุกสนานคร้ืนเครง เพ่ือแสดงว่าผู้ตายได้พ้นทุกข์ ไปสู่สุคติภพแลว้ 210

ของคนไทย ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งวาระสุดท้าย ดว้ ยในทกุ ขนั้ ตอนของแตล่ ะประเพณี ลว้ นมคี วามหมาย แ ล ะ แ ฝ ง ภู มิ ปั ญ ญ า อั น ช า ญ ฉ ล า ด ข อ ง ค น ไ ท ย ไวด้ ้วยกันไดอ้ ย่างเหมาะสม การบวช...ครงั้ หน่ึงในชวี ิตลกู ผ้ชู าย ธรรมเนียมไทยแต่โบราณ เมอื่ ผชู้ ายอายคุ รบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ขึ้นไปจะต้องบวช เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้ยั่งยืน ทำให้ชายผู้นั้นมีโอกาสได้รับการอบรมศีลธรรม และจริยธรรม อันจะน้อมนำให้มีจิตใจดีและประพฤติตน ไปในทางทถ่ี กู ทคี่ วร เชอื่ กนั วา่ บดิ ามารดาของชายทบี่ วชนน้ั จะไดร้ บั อานิสงสผ์ ลบญุ ตดิ ตวั ไปในชาตภิ พหนา้ ดว้ ย ในพธิ บี วช ผู้ท่ีบวชหรือ “นาค” จะโกนผม ห่มขาว สวมลอมพอก หรอื รปู นาคบนศรี ษะ ให้คนหามหรอื ขม่ี า้ ขชี่ า้ ง แลว้ แห่ขบวน ไปที่วดั มกี ารเลน่ ดนตรแี ละการฟ้อนรำทำเพลงตลอดทาง การแตง่ งาน…มีเหยา้ มีเรอื น เป็นฝงั่ เปน็ ฝา การแต่งงานคือการขยายวงศ์ตระกูลออกไป เป็นครอบครัวใหม่ ผู้ท่ีแต่งงานแล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จะแยกครอบครัวออกไปทำมาหากินตามลำพังระหว่างสามี ภรรยา จึงต้องมีบ้านเรือนเป็นสัดเป็นส่วนของตนเอง ด้วยเหตุน้ี ผู้ที่แต่งงานแล้วจึงเรียกว่า ออกเรือน มีเหย้า มเี รือน หรือเปน็ ฝงั่ เปน็ ฝาไปแลว้ 211

ภาพการคลอดบตุ รของคนไทยสมยั ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ ประเพณกี ารเกดิ การแตง่ งาน จติ รกรรมฝาผนังพระอโุ บสถวดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม และการทำศพของคนไทย ฝมี ือช่างสมยั รัชกาลท่ี ๓ สมัยกรงุ รตั นโกสินทร์ จัดแสดง ด้วยระบบจอสัมผัส 2๕1๘2 ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความรคู้ วบคคู่ วามเพลดิ เพลนิ จากการเล่นเกมตา่ งๆ ระหว่างเลอื กชมขอ้ มูล เชน่ เกมเลือกทรงผมสำหรับเดก็

การลงอ่สู ู่เปล ๑ การส่งตัว การสวดศพ การเกิด...จดุ เร่ิมต้นแห่งชวี ิต การเกดิ ถอื เปน็ เรอ่ื งสำคัญ จึงมีธรรมเนียมปฏิบตั ิ หลายข้ันตอน ซงึ่ ผเู้ ขา้ ชมจะไดเ้ รยี นรปู้ ระเพณีการเกดิ ของ คนไทยผา่ นเกมตา่ งๆ เชน่ เกมรอ่ นกระดง้ เกมเลอื กทรงผม เกมลงอสู่ เู่ ปล และเกมโกนจกุ เก มเหล่าน้ี นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินแล้ว ยงั สอดแทรกความรู้ คตคิ วามเชือ่ ตลอดจนภมู ิปญั ญาของ คนไทยที่แฝงไว้ในแตล่ ะขนั้ ตอน เพอื่ การดูแลมารดาและ ทารกให้ดที ี่สดุ การแต่งงาน...ลงหลักปักฐานแหง่ ชีวติ เม่ือหญิงชายตกลงปลงใจสร้างครอบครัว จะต้อง ประกอบพธิ แี ต่งงานท่ีถูกต้องตามประเพณี ผู้เข้าชมจะได้ สมั ผสั และเรยี นรปู้ ระเพณกี ารแตง่ งานของคนไทยสมยั อดตี ในแต่ละขั้นตอนผ่านเกมต่างๆ ได้แก่ เกมทาบทามสู่ขอ เกมสร้างเรือนหอ เกมยกขบวนขันหมาก เกมซัดน้ำ และ เกมเกยี่ วกอ้ ยสง่ ตวั นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการเล่น เกมต่างๆ แล้ว ผู้เข้าชมยังได้ความรู้เกี่ยวกับประเพณ ี การแต่งงานของคนไทยในอดีต ซึ่งแต่ละข้ันตอนได้แฝง ความหมายอันดีงาม สะท้อนถึงภูมิปัญญาของคนไทย ที่มุ่งหมายใหเ้ กดิ ความเปน็ สริ มิ งคลแกค่ บู่ า่ วสาว การทำศพ...พิธีสุดทา้ ยแห่งชวี ิต การทำศพในอดีตมีวิธีการปฏิบัติหลายอย่าง เพียงผู้เข้าชมสัมผัสที่จอภาพจะได้รับทราบข้อมลู เกยี่ วกบั ประเพณีการทำศพของคนไทยในแตล่ ะขนั้ ตอน ไมว่ า่ จะเปน็ การอาบนำ้ ศพ การแตง่ ตวั ศพ การมดั ตราสงั การบรรจศุ พ การสวดศพ และการเกบ็ อฐั ิ ขน้ั ตอนตา่ งๆ ทผ่ี เู้ ขา้ ชมไดเ้ รยี นรู้ นอกจากเปน็ การแสดง ความเคารพและรำลึกถึงผู้ตายแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึง วิธีปฏิบัติเก่ียวกับการทำศพของคนไทยที่ยังสืบทอดต่อมา จนถงึ ปจั จบุ นั 213

จัดแสดงด้วยเทคนคิ การฉายภาพ ผ้เู ข้าชมจะได้รบั ความเพลิดเพลนิ อะนิเมชนั่ ประกอบเพลงฉอ่ ย จากการน่ังชมอะนเิ มชัน่ ซ่ึงมีเนอ้ื รอ้ งเก่ยี วกับชีวิตริมน้ำ ของคนไทยในอดตี ประกอบเพลงฉอ่ ย บนเรือจำลอง ท่มี รี ะบบไฮโดรลิก ที่ให้ความรสู้ กึ 214 เสมอื นลอยอย่เู หนือสายน้ำ

๒ วิถีไทย ชวี ิตเคยี งคสู่ ายนำ้ คนไทยในอดีตส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ตามริมฝ่ัง ของสายน้ำต่างๆ ตามสภาพภูมิประเทศ วัฒนธรรม แ ล ะ ป ร ะ เ พ ณี อั น ห ล า ก ห ล า ย จึ ง ผู ก พั น กั บ น้ ำ ท้ั ง สิ้ น อาจกลา่ วได้ว่า สายน้ำคือวถิ ีชวี ติ ดง้ั เดมิ ของคนไทย ก่อนเรือจำลองลอ่ งออกจากท่า ผเู้ ข้าชมจะไดร้ บั ชมภาพบรรยากาศสองฝ่งั แมน่ ำ้ ลำคลองสายสำคัญของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ในอดตี ซึ่งฉายบนฉากท่สี ามารถเลือ่ นเก็บได้อัตโนมตั ิ ตลอดการรับชมอะนิเมชนั่ ประกอบเพลงฉอ่ ย ผู้เขา้ ชมจะไดร้ ับ ความรู้เกี่ยวกบั วถิ ีชวี ิตริมน้ำ จากนายท้ายเรือซึ่งรบั หน้าท่ีนำผ้เู ข้าชม ยอ้ นกลับไปสกู่ รุงรัตนโกสนิ ทร์ สมัยอดีต ท่ผี คู้ นมีวถิ ชี วี ติ ผกู พนั กับสายน้ำ 215

ลกู คู่ (เออ่ เอิงเองิ้ เอย...............) สาว เรอื นไทยแต่ก่อนเกา่ ใตถ้ นุ สงู ถึงนำ้ ทว่ มก็ไม่ยงุ่ ไมย่ ากใจ หนุ่ม บา้ นฉนั เป็นเรือนแพ แนน่ อนกวา่ น้ำนองนำ้ บ่า ก็ไม่เป็นไร สาว เออแกว่าบา้ นแก แน่นอนกว่า นำ้ นองนำ้ บา่ ไมก่ ล้มุ ใจ แต่บ้านของแก มนั อยบู่ นแพลูกบวบ พอนำ้ พะเยบิ แพก็พะยวบ น่าคลนื่ ไส ้ หน่มุ ฮ.ึ .....ไมค่ ลืน่ ไส ้ มาอยู่แพกบั พีม่ ่ัง แลว้ แม่รอ้ ยชัง่ จะทราบ เรือนไทย บ้านรมิ สายนำ้ มนั พะเยบิ พะยาบ ซถิ ึงใจ เอย (รับ เอช่ า เอช้ า้ ชาฉัดฉ่าชา หน่อยแม)่ เนื่องด้วยชาวไทยมักอาศัยอยู่ตามริมน้ำ จึงสร้าง บ้านเรือนให้สอดคล้องกับระดับน้ำขึ้นน้ำลง ด้วยการยก หญงิ เออ เองิ เอย ชะเออเอิงเอ๊ย ใต้ถุนบ้านให้สูงพ้นผิวน้ำ หรือสร้างบ้านบนแพลอยอยู่ บ้านเรารอ้ นเหลือ เหงือ่ ไหลไคลยอ้ ย เหนือน้ำซึ่งสามารถเดินทางหรือเคล่ือนย้ายไปยังสถานที่ ไดอ้ าบนำ้ เสยี หน่อย มนั ถงึ จะชื่นใจ ต่างๆ ที่แม่นำ้ ไหลผา่ นได้อกี ดว้ ย อยากจะอาบน้ำ ก็ลงไปอาบทท่ี า่ เขาจึงเรยี กอาบน้ำอาบท่า น่นั ยังไง ชาย (โผล่ขึน้ จากนำ้ พดู ) ออ๋ .....เขา้ ใจละ ชวี ติ ชาวไทยค่สู ายน้ำ หญงิ วา้ ย..........ผที ะเล ชาย (ร้องต่อ) ชาวไทยนิยมสร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ เพราะการ แม่น้ำคลองนี้ ไม่มีหรอกผที ะเล คมนาคมในอดีตมีเรือเป็นพาหนะสำคัญ ท้ังยังสะดวก ระวังแตไ่ อเ้ ข ้ มันจะคาบไป ต่อการใช้น้ำในการบริโภคและอุปโภค สายน้ำจึงเป็น หญงิ อ๋อใหร้ ะวงั ไอ้เข ้ มนั คาบไป ส่วนหน่ึงของชีวิตชาวไทยตลอดมา ไอเ้ ข้ไอ้โขง ไมเ่ คยเห็นมานวั เนยี มีแต่ไอ้ตวั เหเ้ นีย่ ลายๆ (ลกู คู่รับเอ่ชา...............................) (เดก็ ๆ รอ้ งเลน่ กนั ) ไอ้เข้ไอ้โขงมะโรงไมส้ กั อา้ ยเข้ฟนั หัก กดั คนไม่เข้า (ไอเ้ ข้กระโจน เดก็ ๆ ร้องกรด๊ี ว่ายนำ้ หนี) 216

๒ ลูกคู่ (เออ่ เองิ เอ้งิ เอย...............) สนุกสนาน สำราญกันท่ัวหนา้ จะซกั ผ่อนซกั ผา้ ล้างถว้ ยลา้ งไห นำ้ กนิ นำ้ ใช ้ ก็ไม่เคยขดั สน เอาสารส้มคนๆ แลว้ ก็ใช้ได ้ จะไปวัดไปไหว้ บา้ นใตบ้ ้านเหนือ ก็ไปทางน้ำทางเรือ ซะเป็นส่วนใหญ ่ ก้งุ หอยปปู ลา มอี ย่ใู นน้ำพร้อมเสรจ็ ทอดแหตกเบ็ด เดี๋ยวก็ได้เด๋ยี วก็ได้ ทำมาหากินกับสายนำ้ ขา้ วปลาอาหารเหลือเฟอื ไม่มีอด กนิ กันไมห่ มดก็ขายไป เอย ด้วยในอดีตสัตว์น้ำสำหรับการบริโภคยังชุกชุม (ลกู คู่รับ เอ่ชา เอ้ชา้ ชาฉา่ ชา หน่อยแม่) แม่น้ำลำคลองต่างๆ จึงเป็นแหล่งทำมาหาเล้ียงชีพ ลูกคู่ (เอ่อเองิ เอง้ิ เอย...............) และเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนไทย ซ่ึงนิยมนำปลา (นอละนอ.................................ฮ้าไฮ้ เชีย้ บๆ) และกงุ้ มาประกอบอาหารหลากหลายประเภท พอถงึ หน้าน้ำ กส็ นกุ หนกั หนา การละเล่นนานา (ฮา้ ) ถมถดื ไป บันเทงิ เริงใจบนสายนำ้ พวกหนมุ่ สาวชาวบ้าน เบกิ บานกระดีก๊ ระด๊า ได้โอกาสแล้วหวา (ฮ้า) อย่าชา้ ไย เน่ืองจากชีวิตของชาวไทยผูกพันอยู่กับสายน้ำ พวกหนุ่มๆ สาวๆ พายเรอื มาประจนั ประเพณีตลอดจนการละเล่นต่างๆ จึงเกี่ยวกับน้ำหรือ แล้วร้องเพลงเรอื เก้ียวกัน (ฮา้ ) เป็นค่ไู ป จัดขึ้นในลำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการลอยกระทงหรือการเล่น ตอบกันไปโต้กนั มา สง่ สายตามาประสาน เพลงเรือ ที่หนุ่มสาวจะพายเรือแล้วร้องเพลงตอบโต้กัน ผลสดุ ทา้ ยก็แต่งงาน (ฮ้า) กันสมใจ ไปมาหรือเกย้ี วพาราสีกนั อยา่ งสนกุ สนาน ลกู คู่ (เอ่อเองิ เอิ้งเอย...............) เดอื นสบิ เอ็ดน้ำนอง เดือนสบิ สองน้ำทรง เราก็ลอยกระทง (ฮา้ ) ลงน้ำไป เพอ่ื จะขอขมา พระแม่คงคาเปน็ พธิ ี ทเี่ ราได้ยำ่ ยี (ฮ้า) หานอ้ ยไม ่ ทั้งอาบกนิ ใช้สอย ทั้งลอยเรือข้ึนลอ่ ง ทง้ั หนักเบาชง้ิ ฉอ่ ง (ฮ้า) ต้องขออภัย นแ่ี หละคือวถิ ี ทเี่ ราใชช้ ีวิต สายน้ำคอื วถิ ี ทเ่ี ราใชช้ วี ิต เขายกให้เปน็ เวนิส ตะวนั ออกไกล (ดนตร/ี ลูกคูร่ ับ นอละนอ...............ฮา้ ไฮ้ เชีย้ บๆ) 217

หลังจากรับชมอะนเิ มชนั่ ประกอบเพลงฉ่อย เรือจำลองจะนำผชู้ ม เข้าจอดเทียบตู้โดยสาร ภายในรถรางซึ่งเปน็ ยานพาหนะในสมัยแรกมถี นน แบบตะวันตกเกิดข้ึน ในกรุงรตั นโกสินทร์ ๓ ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความรเู้ รอ่ื งถนนตามแบบอยา่ งตะวนั ตกในบรรยากาศ จำลองการนงั่ รถรางชมทศั นยี ภาพสองฝง่ั ถนนในกรงุ รตั นโกสนิ ทรส์ มยั อดตี 218

ถนน…เสน้ ทาง ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความรเู้ รอ่ื งการคมนาคม ส่พู ฒั นาการแห่งวิถไี ทย และระบบสาธารณปู โภคตา่ งๆ อนั ทนั สมยั เมอื่ แรกมขี น้ึ ในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ผา่ นการถา่ ยทอด ในอดีต สยามยังไม่มีถนนหนทางสัญจร ส่วนใหญ่ จากวดี ทิ ศั น์โดยสองสาวพนี่ อ้ ง และการจดั แสดงดว้ ย เป็นทางท่ีถางไว้พอให้คนเดินหรือเกวียนผ่านได้เท่าน้ัน เทคนคิ โฮโลแกรม (Hologram) ซง่ึ เปน็ เทคโนโลยขี นั้ สงู เนื่องจากผู้คนนิยมเดินทางทางน้ำมากกว่าทางบก ทส่ี ามารถแสดงภาพแบบ ๓ มติ ิ จนกระท่ังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชดำริว่า สยามควรมีถนนดีๆ ไว้ใช ้ 219 เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่ประเทศ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ดั ถนนขน้ึ ผคู้ นเรยี กกนั ตดิ ปากวา่ ถนนใหม่ ภายหลงั พระราชทานชื่อให้ว่า ถนนเจริญกรุง หลังจากน้ัน จึงมกี ารตดั และปรบั ปรุงถนนสายอนื่ ๆ เรอ่ื ยมา อาทิ ถนน บำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร เป็นต้น เม่ือมีการตัดถนน ความเจริญด้านการคมนาคมและสาธารณูปโภคต่างๆ กเ็ ริ่มหล่ังไหลเขา้ มาสูว่ ิถชี วี ิตของชาวสยามมากข้นึ

กอ่ นผ้เู ข้าชมจะก้าวลงจาก ป๊ิด ปี้ ปด๊ิ เสยี งนกหวีดส่งั ให้รถจอด รถรางจำลอง จะไดย้ นิ เสยี งเพลง จอดจ้าจอด ถึงสามยอดรถจอดทันท ี ที่มเี นอ้ื รอ้ งกลา่ วถงึ รถราง อาเฮยี อยา่ เพง่ิ ขึ้นมา อาเฮียอยา่ เพิ่งขน้ึ มา ซึ่งเป็นเพลงที่แพร่หลาย ขอให้คณุ ป้าแกลงก่อนซ ี ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ ขน้ึ แลว้ กระเถบิ เขา้ ใน สตางคเ์ ตรยี มไว้อย่าได้รอร ี อนั เปน็ ปีสิ้นสุดการเดนิ รถราง หลักเมอื งถึงเอสเอบี หลักเมอื งถงึ เอสเอบ ี โดยสารในสยาม ราคาเขามี สามสบิ สตางค์ ไวจา้ ไว ขึน้ แล้วเดนิ ในอยา่ ไดห้ ยดุ ย้งั เบียดกันโปรดจงระวงั เบยี ดกันโปรดจงระวงั กระเปา๋ สตางค์ท่านจะหายไป ทา่ นหญิงโปรดเดินขา้ งใน ทา่ นชายจะลกุ ใหน้ ่ัง วา่ ยงั ไงกันเลา่ อาบงั ว่ายงั ไงกันเลา่ อาบงั มตี ั๋วหรือยังโปรดบอกไวไว 220

๓ ไฟฟ้า...เหนือกวา่ แสงไตแ้ สงตะเกยี ง ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รเิ รมิ่ โดยเจ้าพระยาสุรศักด์ิมนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ซ่ึงได้รับ การสนบั สนนุ เปน็ อยา่ งดจี ากพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว และมีการก่อต้ังโรงไฟฟ้าถาวรแห่งแรกขึ้นท่ี วัดเลียบหรือวัดราชบุรณะ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า สยามถอื เปน็ ประเทศแรกในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ทม่ี ีไฟฟ้าใช้ โรงไฟฟ้าวดั เลยี บ สถานทีต่ งั้ โรงงานผลิตและบรษิ ัท จำหนา่ ยกระแสไฟฟา้ แหง่ แรกในสยาม โดยเปิดดำเนนิ การ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๐ 221

นำ้ ประปา…น้ำกนิ นำ้ ใช้ไร้มลพษิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มพี ระราชดำรวิ า่ ประชาชนควรมนี ำ้ สะอาดสำหรบั ดม่ื และใช้ แทนน้ำจากแม่น้ำลำคลองท่ีนับวันจะสกปรกมากขึ้น จึงทรงว่าจ้างช่างผู้ชำนาญการประปาชาวฝรงั่ เศสมาจัดทำ แผนงานเรอ่ื งวธิ กี ารทำนำ้ ประปา และไดป้ ระกาศพระบรมราช โองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศุขาภิบาล จัดการท่ีจะนำน้ำมาใช้ในพระนครตามแบบอย่างท่ีสมควร แก่ภูมิประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ รยี กวา่ ประปา การประปากรุงเทพฯ จดุ กำเนิดหน่วยงานผลิตนำ้ ประปา ท่ีไดม้ าตรฐานเดยี วกับอารยประเทศ เปดิ ดำเนินการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ 222

๓ รถลาก...ใกลไ้ กลเรียกใช้ได้ รถราง...พาหนะบนรางเหล็ก รถลากถกู นำเขา้ มาในประเทศไทยครง้ั แรกในรชั สมยั รถรางมีข้ึนคร้ังแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเหล่าพ่อค้า ชาวเดนมาร์ก ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต สำเภานำขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระองค์ ชาวบ้านเรียก เปิดกิจการรถรางในสยาม ช่วงแรกๆ ใช้ม้าลาก ภายหลัง ติดปากว่า “รถเจก๊ ” เน่อื งจากคนลากมกั เปน็ คนจนี ตอ่ มา เมื่อสยามมีไฟฟ้าจึงเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทน ต่อมา ในต้นรัชกาลที่ ๕ ผู้คนนิยมใช้กันมาก จึงมีการต้ังโรงงาน ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ มกี ลมุ่ คนไทย ประกอบดว้ ยพระเจา้ นอ้ งยาเธอ สรา้ งรถลากไว้ใชเ้ องในประเทศ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมหม่ืนนราธิปประพันธ์พงศ ์ และเหล่าขุนนางในราชสำนักจำนวนหนึ่ง เข้าหุ้นกันจัดตั้ง รถมา้ ...จะไปไหนให้มา้ พาไป บรษิ ัทรถรางท่ีดำเนินกิจการโดยคนไทยแห่งแรกข้ึน ชื่อว่า รถม้าถูกนำเข้ามาในประเทศไทยคร้ังแรกจาก บรษิ ัท รถรางไทย ทนุ จำกดั หรือเรียกกันว่า รถรางสายแดง ประเทศอังกฤษและอินเดียในสมัยรัชกาลท่ี ๔ ต่อมา ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ มีการนำรถม้ามาใช้มากข้ึน จึงตั้ง กรมอศั วการข้ึนดูแล เม่ือเริ่มมีรถลากและรถรางเข้ามาใช ้ การใชร้ ถม้าจงึ คอ่ ยๆ คลายความนิยมลง 223

จำลองบรรยากาศรา้ นคา้ ซง่ึ เปน็ ตกึ แถว สูบ่ า้ นเมอื งยุคพัฒนาเปน็ อารยะ รมิ ถนนเจรญิ กรงุ อนั เปน็ ถนนสายแรก ของสยามทสี่ รา้ งตามแบบอยา่ งตะวนั ตก การติดต่อค้าขายเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับชาติตะวันตกในสมัย ๔ รัตนโกสินทร์เริ่มเฟ่ืองฟูข้ึนต้ังแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่คณะมิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนาเป็นต้นมา จึงเกิดความพยายามในการปรับปรุงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้ นานาอารยประเทศอันนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนศิลปวิทยาการต่างๆ ระหว่างกัน มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา รวมทั้งส่งนักเรียนไทย ไปศกึ ษาต่างประเทศ นำวชิ าความรูม้ าปรบั ใช้ในการพฒั นาบา้ นเมอื งใหท้ ันสมัย ส่งผลให้วิถชี ีวติ คนไทยเปลีย่ นแปลงไปในหลายๆ ดา้ น 224

การจัดโตะ๊ อาหารตามแบบตะวนั ตก ภายในพระทน่ี ง่ั มลู สถานบรมอาสน์ สมยั รชั กาลที่ ๕ เปลีย่ นจากเปิบเป็นช้อนสอ้ ม เจ้านายสตรี สมัยรัชกาลท่ี ๕ นิยมเล่นกีฬา แต่เดิมคนไทยรับประทานอาหารด้วยการเปิบ แบบตะวันตกทเี่ รียกว่า โครเกต ์ ด้วยมือ แต่เมื่อเร่ิมรับวัฒนธรรมตะวันตกซ่ึงรับประทาน อาหารด้วยมีด ชอ้ น และสอ้ มมาประยุกต์ใช้ จึงเร่ิมเปล่ยี น วงั ของเจ้านายหรอื บา้ นเรอื นของผู้มฐี านะ ท่เี รมิ่ มาใช้ช้อนส้อมเป็นเครื่องมือในการรับประทานอาหาร เปล่ียนจากเรอื นไทยใต้ถนุ สูงมาเป็นอาคารสองช้ัน โดยตัดมีดสำหรับหั่นออกไป เพราะเน้ือสัตว์และผักต่างๆ ตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ในอาหารไทยจะถกู หัน่ และปรุงมาพรอ้ มแลว้ 225 สนุกอยา่ งฝรั่ง กีฬาและกิจกรรมนันทนาการแบบตะวันตก ทีแ่ พรห่ ลายเขา้ มาในสยามระยะแรกๆ  ได้แก่ การขีม่ า้ และ ยิงปืน และเพิ่มมากข้ึนเมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่  ฟุตบอล รกั บี้ เทนนิส แบดมนิ ตนั แข่งม้า จกั รยาน กรีฑา ยมิ นาสตกิ ฟันดาบ ส่วนในราชสำนกั กน็ ยิ มการเลน่ โครเกต์ จากนงุ่ หม่ สู่สวมใส ่ การแต่งกายของคนไทยในอดีต นิยมใช้วิธีนุ่งและ ห่มเป็นหลัก จนเมื่ออิทธิพลการแต่งกายแบบตะวันตก เข้ามาเปล่ียนแปลงการแต่งกายของผู้คนในสยามประเทศ ให้เป็นสากลข้ึน โดยเร่ิมต้นจากกลุ่มเจ้านายและขุนนาง ในราชสำนัก แล้วจึงแพร่หลายมาสู่ราษฎรท่ัวไป เช่น ผูช้ ายสวมเสื้อและใส่กางเกงขายาว ผู้หญงิ สวมเสอ้ื แล้วหม่ สไบทับ สร้างบ้านแต่งเรือนเหมอื นตะวนั ตก เมื่อสยามประเทศเริ่มรู้จักกับสถาปัตยกรรมและ การตกแต่งภายในแบบตะวันตก ราชสำนักและชนชั้นสูง ก็เริ่มปรับวิถีชีวิตตามแบบวัฒนธรรมดังกล่าว จากท่ีเคย ปลูกสร้างและตกแต่งอาคารบ้านเรือนแบบไทยและแบบ ที่มีอิทธิพลจากจีน ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตก มากขึ้น มีการตกแต่งภายในด้วยเคร่ืองเรือนแบบตะวันตก  เช่น ตู้ โต๊ะ นาฬิกา ภาพประดบั

จดั แสดงภาพถา่ ยบรรยากาศกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ตกึ แถว...ทที่ ำการค้าผสานการพักอาศยั ชว่ งสมยั รชั กาลท่ี ๔ และ รชั กาลที่ ๕ ทห่ี าชม ไดย้ าก นับจากมีการตัดถนนตามแบบตะวันตกสายแรก เมื่อสมัยรัชกาลท่ี ๔ ได้มีการสร้างตึกแถวสองช้ันข้ึน 226 สองฟากถนน โดยผู้เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ได้แก่คนจีน และชาวต่างชาติ ซึ่งนิยมใช้ช้ันล่างเป็นสถานที่ประกอบ กิจการค้าและช้ันบนเป็นสถานท่ีพักอาศัย เมื่อชาวสยาม ใช้ถนนในการเดินทางสัญจรมากขึ้น การค้าเจริญรุ่งเรือง การสร้างตึกแถวจึงได้รับความนิยม จึงปรากฏตึกแถว ต้ังเรียงรายไปตามริมถนนสายสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ ในบรเิ วณใจกลางกรงุ รัตนโกสนิ ทร์

๔ ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ ห้างรา้ นฝรง่ั ...ตื่นตาสนิ ค้านอก จากเครอื่ งเลน่ แผน่ เสยี ง ซงึ่ เมอื่ หมนุ จะมเี สยี งดนตรแี สนไพเราะดงั ออกมา นบั ตงั้ แตม่ กี ารตดั ถนนแบบตะวนั ตกในสมยั รชั กาลที่ ๔ เป็นต้นมา ชาวต่างชาติเร่ิมเข้ามาลงทุนเปิดห้างร้านต่างๆ ข้ึนที่ตึกแถวรมิ ถนน ซงึ่ ทางราชการได้สรา้ งไวใ้ ห้เช่าเอาเงนิ เขา้ ทอ้ งพระคลงั เพ่ือขายสินค้าของชาติตะวันตก ซ่ึงเป็น ของแปลกใหม่สำหรับชาวสยามในสมัยนั้น อาทิ สบู่ ยาสีฟนั นำ้ หอม เคร่อื งเรือน เครอื่ งจักรกล รถยนต์ ห้าง รา้ นของชาวตะวนั ตก ซึ่งเป็นท่ีรู้จักกันดีในสมัยนั้น ได้แก่ หา้ งแบดแมน 227

ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จดั แสดงวดี ทิ ศั นถ์ า่ ยทอด จากการทดลองใชเ้ ครอ่ื งบดยาในอดีต เรอ่ื งราวความเปน็ มา ซ่ึงทกุ ครั้งท่ีโยกจะมกี ลน่ิ ยาไทยหอมฟงุ้ ไปท่ัว ของการแพทยแ์ ผนใหม ่ รา้ นขายยาจำลอง ในสยาม 228 กรุน่ กลนิ่ ยาไทย ในอดตี คนไทยนำสว่ นตา่ งๆ ของพชื และสตั ว์ รวมทงั้ แร่ธาตุสารพัดชนิดมาใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งต้องผ่านการสังเกต จดจำ และลองผิดลองถูกมาเป็น ระยะเวลานาน ถือเป็นภูมิปัญญาของแพทย์แผนไทยท่ีอยู่ คู่กับคนไทยมาช้านาน เมื่อการแพทย์แผนตะวันตก เ ริ่ ม แ พ ร่ ห ล า ย ใ น ส ย า ม ป ร ะ เ ท ศ แ ล ะ มี ก า ร ร ณ ร ง ค์ ใ ห้ ประชาชนรักษาพยาบาลด้วยแพทย์แผนตะวันตกมากข้ึน แพทย์แผนไทยจึงปรับปรุงวิธีการรักษาให้มีมาตรฐาน เป็นสากล เพื่อมิให้การแพทย์แผนไทยถูกกลืนหายไปกับ กระแสความเปลี่ยนแปลงจากชาติตะวันตก

๔ จดั แสดงเครอื่ งมอื นบั เหรยี ญซง่ึ จำลองมาจากของจรงิ จากบุคคลภั ยถ์ ึงไทยพาณิชย์ ทเ่ี คยใช้ในธนาคารในอดตี ธนาคารแหง่ แรกของไทยกอ่ ตงั้ ขน้ึ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ด้วยทรงเล็งเห็นความสำคัญของสถาบันการเงินที่มีต่อ เศรษฐกิจและผลประโยชน์ของประเทศ จึงมีการทดลอง จดั ตง้ั ธนาคารขนาดเลก็ รบั ฝากเงนิ โดยใชช้ อื่ วา่ บุคคลัภย์ เลยี นเสยี ง คำว่า Book Club ในภาษาองั กฤษ เพ่ืออำพราง การดำเนินกิจการธนาคาร เนื่องจากยังไม่แน่นอนว่า ชาวสยามจะตอบรับแนวคิดระบบธนาคารพาณิชย์หรือไม่ เม่ือประชาชนยอมรับการดำเนินงานของธนาคาร จึงใช้ ชื่อว่า บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ต่อมาเมื่อ เปล่ียนช่ือประเทศจากสยามเป็นไทย จึงเปล่ียนชื่อเป็น ธนาคารไทยพาณชิ ย์ 229

ผูเ้ ขา้ ชมสามารถเลือกซื้อ โปสการด์ ท่ีระลกึ สีสนั สวยงาม หลากหลายรูปแบบ ผา่ นเครอ่ื งจำหน่ายอัตโนมตั ิ ไดด้ ้วยตนเอง ผูเ้ ข้าชมสามารถ สง่ โปสการด์ ถึงทุกจุดหมาย ปลายทางในประเทศไทย ผา่ นตู้ไปรษณีย์ซง่ึ จำลอง จากของจรงิ ทเ่ี คยใช ้ ในอดตี 230

สง่ สาสน์ ...สสู่ ื่อสาร ๔ ผ้เู ขา้ ชมจะได้รบั ไปรษณยี .์ ..จุดเริม่ ตน้ แหง่ การสอื่ สารในสยาม ความรูเ้ รอื่ ง ไปรษณีย ์ การส่งข่าวสารของคนไทยในอดีตมักฝากสาส์นกับ ผ่านเจา้ หนา้ ท ี่ พ่อค้าหรือคนเดินทางท่ีจะผ่านไปยังสถานที่ท่ีจะส่งข่าวไป ซึง่ แตง่ กาย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนิน ดว้ ยเครื่องแบบ กจิ การในสยามมากขน้ึ สถานกงสลุ จงึ เปน็ ทร่ี วบรวมขา่ วสาร บรุ ุษไปรษณยี ์ ส่งลงเรือไปสิงคโปร์ เพ่ือส่งไปยังปลายทางอีกทอดหน่ึง ในอดีต เมอื่ ถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๕ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ กรมไปรษณีย์ไทยหรือไปรษณียาคาร เพื่อดำเนินงาน 231 ด้านการสื่อสารในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าประชาชนมาใช้ บริการกนั มาก จงึ มกี ารขยายงานออกไปตามหวั เมอื งในเวลา ตอ่ มา โทรเลข...เคาะส่งข่าว ประเทศสยามเริ่มรู้จักโทรเลข ซึ่งเป็นเคร่ืองเคาะ รหัสมอร์สสำหรับส่งข่าวสาร ต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี ๔ โดยคณะทูตปรสั เซยี นำเคร่อื งส่งโทรเลขมาถวาย แตร่ ะบบ โทรเลขถอื กำเนดิ ขนึ้ อยา่ งเปน็ ทางการในสมยั รชั กาลที่ ๕ ส่วนใหญ่ประชาชนจะใช้โทรเลขส่งข่าวสารท่ีเร่งด่วน และสำคัญ เนื่องจากการส่งโทรเลขมีราคาแพง เพราะคิดค่าส่งตามจำนวนคำ ผู้ส่งจึงต้องคิด ข้อความข่าวสารให้ส้นั กระชบั และได้ใจความทส่ี ุด โทรศัพท์...ส่งเสยี งตามสาย โทรศัพท์ถูกนำมาใช้ในสยามเป็นคร้ังแรก ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ภายใต้การดูแลของกระทรวง กลาโหม เพื่อใช้ในกิจการสรา้ งความมั่นคงแห่งชาติ เ มื่ อ จ ำ น ว น ห ม า ย เ ล ข โ ท ร ศั พ ท์ เ พ่ิ ม ม า ก ขึ้ น กระทรวงกลาโหมจึงโอนกิจการโทรศัพท์ไปอยู่ใน ความดูแลของกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งได้ขยาย ขอบเขตการให้บริการจากภาครัฐไปสู่เอกชนและ ประชาชนทั่วไปในเวลาต่อมา

จดั แสดงโปสเตอรท์ เ่ี ขยี นภาพโฆษณาเชญิ ชวน ใหป้ ระชาชนปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บ ซงึ่ รฐั บาล ไดก้ ำหนดขน้ึ ในชว่ งสมยั รฐั นยิ ม 232

๕ อกี ดา้ นหนงึ่ ของจดุ จดั แสดงหลมุ หลบภยั สงครามโลกครัง้ ท่ี ๒… สมยั สงครามโลกครง้ั ที่ ๒ มกี ารจดั แสดง คนลำบาก ชาติลำเคญ็ เสาธงขนาดยอ่ ม พรอ้ มเนอื้ เพลงชาติไทย สมยั รฐั นยิ ม วิถีชีวิตของผู้คนในช่วงสงครามโลกครงั้ ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๒ - พ.ศ. ๒๔๘๘) เรียกได้ว่าเป็นยุค “ข้าวยาก หมากแพง” เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคถูกกว้านซ้ือไป เพื่อใช้ในการสงครามจำนวนมาก และมีการทิ้งระเบิด ในจุดยุทธศาสตร์ อาทิ หัวลำโพง โรงไฟฟ้าวัดเลียบ สะพานพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระราม ๖ โดยเฉพาะ ในเวลากลางคืน เมื่อเครื่องบินท้ิงระเบิดมาถึง ทางการ จะเปิดเสียงสัญญาณหวอ เตือนให้ประชาชนระวังตัว ผคู้ นจะ “พรางไฟ” โดยใชผ้ า้ ขนหนหู รอื ผา้ ขาวมา้ บงั แสงไฟ ในบา้ นใหส้ ลวั ลง เพอ่ื ปอ้ งกนั มิใหเ้ ครอื่ งบนิ ของฝา่ ยขา้ ศกึ เหน็ และมาทิ้งระเบิดลงได้ มีการสร้างหลุมหลบภัยไว้ตาม สถานท่ีต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเข้าไปหลบในช่วงเวลาที่มีการท้ิง ระเบิด และกระทรวงกลาโหมได้ออกคู่มือการป้องกันภัย ทางอากาศให้แก่ประชาชน เพ่ือเตรียมตัวรับสถานการณ์ ฉกุ เฉนิ ระหวา่ งสงคราม 233

สมยั รฐั นยิ ม มกี ารกำหนดขอ้ ควร รัฐนยิ ม...จดุ พลิกผนั ครง้ั ใหญแ่ ห่งไทยวิถ ี ปฏบิ ตั หิ ลายประการ เชน่ การเลกิ ใช้ พยญั ชนะและสระทม่ี เี สยี งซำ้ กนั รัฐนิยมหรือการปฏิวัติวัฒนธรรมไทยเป็นนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ การรณรงค์ใหเ้ ลกิ หม่ ผา้ แถบ จอมพล แปลก พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อปลุกระดม เลกิ นงุ่ โจงกระเบน และเปลยี่ นมา ความรู้สึกของประชาชนให้มีความภาคภูมิใจในชาติ และต้องรักษาวัฒนธรรม สวมกางเกง กระโปรง และหมวก เพ่ือความเจริญของชาติ แม้แนวคิดรัฐนิยมน้ีคงอยู่เพียงช่ัวระยะเวลาสั้นๆ อนั เปน็ เครอื่ งแตง่ กายตามแบบ แต่ถือได้ว่าเป็นจุดเปล่ียนท่ีสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของ สากลนยิ ม คนไทย อาทิ การเปล่ียนช่ือประเทศและเช้ือชาติจาก สยาม เป็น ไทย การแต่งเนื้อร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ การรณรงค์ให้ประชาชนแต่งกาย แบบสากล การใหเ้ ลิกกินหมาก การเคารพธงชาติ เปน็ ตน้ 234

เพลงชาติไทย ๕ เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย 235 ประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำร้องฉบับแรกสุด โดยขุนวิจิตรมาตรา มดี ังน ้ี แผ่นดินสยามนามประเทอื งวา่ เมอื งทอง ไทยเขา้ ครองต้งั ประเทศเขตตแ์ ดนสงา่ สบื ชาติไทยดกึ ดำบรรพ์บุราณลงมา รว่ มรกั ษาเอกราษฎรช์ นชาตไิ ทย บางสมัยศัตรูจู่มารบ ไทยสมทบสวนทัพเข้าขบั ไล ่ ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา อันดินแดนสยามคอื ว่าเน้อื ของเชื้อไทย นำ้ รนิ ไหลคอื ว่าเลือดของเช้อื ขา้ เอกราษฎร์คือกระดกู ท่ีเราบชู า เราจะสามัคคีร่วมมใี จ ยดึ อำนาจกมุ สทิ ธิอ์ ิสสระเสร ี ใครย่ำยเี ราจะไม่ละให้ ผ้เู ข้าชมสามารถกดปุ่มด้านขา้ ง เอาเลือดลา้ งใหส้ ้ินแผน่ ดินของไทย เพอ่ื ชมการเชิญธงชาติข้นึ สูย่ อดเสา ด้วยระบบไฟฟ้า ประกอบเพลง สถาปนาสยามให้เทิดชยั ไชโย รณรงค์ให้ประชาชนยนื ตรง เคารพธงชาติซึ่งแต่งข้ึนสมยั รัฐนยิ ม

สงั คมไทยสมยั เปลย่ี นผา่ น ววิ ัฒนาการสู่ความเปน็ สากล ๖ กระแสธารทางวัฒนธรรมของต่างชาติ โดยเฉพาะ จากประเทศทางตะวันตกอย่างอเมริกา ที่หลั่งไหล เข้ามาสู่สังคมไทยตั้งแต่ปลายสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้สร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ ท่ีบันดาลบรรยากาศ ในกรงุ เทพฯ ใหเ้ ปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ ดว้ ยเกดิ ความนยิ ม 236

นำวัฒนธรรมของอเมริกามาผสานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต 237 ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทรงผม เส้ือผ้า เครื่องแต่งกาย หรือรูปแบบการเตน้ รำ ทำให้กรุงเทพฯ สมัยน้ัน เป็นหน่ึง ในมหานครที่ก้าวข้ามสู่ความเป็น “สากล” อันเป็นนิยาม ที่ได้รบั ความนิยมไปทั่วโลก

จากรำวงมาตรฐาน ถึงการเตน้ แบบตะวันตก รำวงมาตรฐานมีท่ีมาจากรำโทนของชาวบ้าน กจิ กรรมนนั ทนาการอกี ประเภทหนงึ่ ที่ไดร้ บั ความนยิ ม ซึ่งชายหญิงจะจับคู่รำเป็นวงกลม ท่ารำและการร้อง อย่างแพร่หลายในหมู่คนท่ัวไป คือ การเต้นรำหรือลีลาศ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน มีโทนเป็นเครื่องดนตรี ซ่ึงต่อมาเมื่อวัฒนธรรมตะวันตกจากสื่อประเภทภาพยนตร์ ประกอบจังหวะ การรำโทนถูกปรับปรุงให้มีระเบียบ และดนตรีเข้ามามีอิทธิพลมากในสังคมไทย จึงเกิดกระแส แบบแผนในช่วงรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม นิยมการเต้นตามจังหวะเพลงหรือเลียนแบบภาพยนตร์ เพื่อให้เปน็ วฒั นธรรมประจำชาติ เชน่ จังหวะทวิสต์ จงั หวะบั๊มพ์ 238

๖ ผ้เู ข้าชมด้านนอกสามารถมองผา่ น กระจกบานใหญ่ โดยผูเ้ ข้าชม ดา้ นในไมท่ ันรูต้ วั เพราะเป็นกระจก ทม่ี องเหน็ ได้เพียงดา้ นเดียว จัดแสดงทา่ รำวงมาตรฐาน การเต้นบอลรมู และการเต้นดิสโก้ประกอบเพลง ตงั้ แตช่ ว่ งทศวรรษท่ี ๑๙๖๐ เปน็ ต้นมา ผ่านการนำเสนอด้วยระบบจอสัมผัส 239

240

๖ วันวาน...รา้ นตดั ผม ในอดีต ประเทศไทยยังไม่ม ี ร้านตัดผม จะมีก็แต่ช่างตัดผมท่ีเป็นฝ่าย เ ตรียม อุป กร ณ์ และเดินทางไปหา ลูกค้าเอง ต่อมาเมื่อคนไทยเร่ิมนิยม ไว้ทรงผมตามแบบตะวันตก จึงเกิด ร้านตัดผมเป็นหลักแหล่งขึ้นมาในรัชสมัย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร เ ม น ท ร ม ห า อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และมักใช้คำว่า “เกศา” ประกอบอยู่ใน ช่อื รา้ น ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จากการถา่ ยภาพผ่านจอซึง่ จำลองกระจก ในร้านตัดผมในอดีต โดยสามารถเลอื กทรงผมท่ีได้รบั อิทธิพลตะวันตก และได้รบั ความนิยมจากคนไทยในอดตี ท้งั ทรงผมบรุ ุษและทรงผมสตร ี 241

242

๖ ร้านตดั เสื้อเมือ่ แรกม ี ในอดีต ยังไม่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผู้คนต้องตัดเย็บ เสอื้ ผ้าสวมใส่เอง ตอ่ มาในสมยั รัชกาลที่ ๘ จึงเริม่ มีการต้ัง ร้านตัดเส้ือหรือห้องเสื้อข้ึนในประเทศไทย สำหรับร้าน ตัดเสื้อท่ีมีชื่อเสียงมากในช่วงน้ัน ได้แก่ ร้านเฟมิน่า ร้านกรแกว้ ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จากการถา่ ยภาพผ่านจอซงึ่ จำลองตจู้ ดั แสดง เครอื่ งแตง่ กายของรา้ นตดั เส้ือในอดตี โดยสามารถเลอื กแบบเครอื่ งแต่งกาย ให้เหมาะสำหรับบุรษุ และสตรีได้ตามอธั ยาศัย 243

244

๖ นิตยสาร…ความรู้ความบันเทิงผ่านตวั อกั ษร กำเนิดของนิตยสารเร่ิมต้นขึ้นในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่มักจะนำเสนอเนื้อหา เก่ียวกับความคิดเห็นด้านการเมืองหรือนวัตกรรมต่างๆ เช่น การแพทย์และสาธารณสุข กิจการลูกเสือ กาชาด เท่านั้น จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา รูปแบบและเนื้อหาของนิตยสารจึงมี ความหลากหลายมากขึ้น เช่น นวนิยาย ละคร สถานท่ี ทอ่ งเท่ยี ว แฟชน่ั ความรู้ทางวชิ าการ ผเู้ ขา้ ชมจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จากการเปน็ แบบถา่ ยภาพลงปกนติ ยสารซง่ึ จดั แสดงอยบู่ นแผงหนา้ รา้ นจำหนา่ ยนติ ยสารจำลอง โดยสามารถเลอื กปกนติ ยสารในอดตี ไดห้ ลายแบบ 245

246


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook