Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Published by pearyzaa, 2023-07-23 13:38:54

Description: 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกันแสดงความคิดเห็น ๓) การเขียนอธิบายประเภทความรู้หรือวิชาการ ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในเร่ืองนั้น ดังตอ ไปน้ี อยา่ งแท้จรงิ อาจเปน็ ความรู้ที่ได้จากหลักฐานและการค้นควา้ หรอื การท่ีได้ยนิ ได้ฟังมาจากแหล่ง • นักเรียนคดิ วา การเขียนอธิบายประเภท ที่เช่ือถือได้ การเขียนจะต้องใช้ความชัดเจน ความง่าย และความถูกต้องของภาษา ซ่ึงจะท�าให้ ความรูห รอื วชิ าการมีจุดมุงหมายในการ ผูอ้ า่ นอา่ นแล้วไดค้ วามรู้และความเขา้ ใจเปน็ อย่างดี เชน่ พระบรมราชาธิบาย พระราชนิพนธ์ใน สือ่ สารอยา งไร รวัชันกเสาาลรท ์ ่ี เด๕ือ นว ่า๕ด ้วแยรธมร ร๑ม๐เ นคียา�่ ม ปราขี ชาตลร ะสกมั ูลฤใทนธกิศรกุง1 สจยลุ าศมกั รซาึ่งช2พ ๑ร๒ะอ๔ง๐ค ์ทตรรงงพกบัระวรันาทช่ี น๒ิพ๗น ธเม์ขษึ้นาเมยนื่อ (แนวตอบ มจี ุดมงุ หมายในการสอ่ื สารสาระ พ.ศ. ๒๔๒๑ เนือ้ ความมีดังน้ี ความรจู ากการศกึ ษาคน ควา ขอมูลและ หลักฐานตางๆ) ธรรมเนยี มราชตระกลู ในกรงุ สยามน ้ี แตกตา่ งจากเมอื งลาว กลา่ วคอื ราชตระกลู ของสยาม • นักเรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายประเภท มหี ลายชน้ั ส่วนของลาว เช่น เชยี งใหม่ หลวงพระบาง ไม่ได้นบั เปน็ ช้นั ถา้ มเี ชื้อสายในราชตระกูล ความรูหรือวชิ าการมลี ักษณะการใชภ าษา ก็เรียกว่าเจ้าทั้งสิ้น ธรรมเนียมราชตระกูลสยามในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ตั้งแต่จุลศักราช อยางไร ๗๑๒ ป ี จนถงึ รชั กาลท ี่ ๕ ธรรมเนยี มที่เรียกชือ่ เสียงยศศกั ด์ิก็ไดเ้ ปลีย่ นแปลงไปหลายครง้ั (แนวตอบ ใชภ าษาทีม่ คี วามชดั เจน เขา ใจงาย ตำาแหน่งยศเจ้านายในพระราชกำาหนดกฎมณเฑียรบาล ซ่ึงตั้งข้ึนในสมัยสมเด็จ และถกู ตอ งตามหลกั การใชภาษา) พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ ในจุลศกั ราช ๗๒๐ ป ี แบ่งเจ้าออกเป็น ๔ ชน้ั • นกั เรียนคิดวา ผทู ่สี ามารถเขียนอธบิ าย ๑. ชนั้ ท ี่ ๑ พระเจ้าลกู เธอเกิดดว้ ยพระอคั รมเหสี เรยี กวา่ สมเดจ็ หน่อพทุ ธเจา้ มียศ ประเภทความรูหรอื วิชาการไดด ีควรมี ใหญ่กว่าเจ้านายท้งั ปวง ตอ้ งอยใู่ นเมอื งหลวง คณุ สมบตั ิอยางไร ๒. ชน้ั ท่ ี ๒ เรยี กวา่ ลกู หลวงเอก เปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าแผน่ ดิน แต่พระมารดา (แนวตอบ คุณสมบัตขิ องผทู สี่ ามารถเขียน ตอ้ งเปน็ พระธดิ าของพระเจา้ แผ่นดินเหมือนกัน จึงเรียกวา่ เปน็ ลูกหลวงเอก พระเจา้ ลกู เธอช้นั นี้ อธบิ ายประเภทความรหู รือวิชาการน้ัน ผเู ขียน มยี ศได้กินเมืองเอก คือ เมอื งพษิ ณโุ ลก เมืองสุโขทัย เมืองนครราชสมี า เปน็ ต้น เรียกวา่ ลูกเธอ ตอ งมคี วามรูความเขา ใจในเรือ่ งทเี่ ขยี นอยาง กินเมืองเอกกไ็ ด้ แทจรงิ อาจเปน ความรูทีไ่ ดจากหลักฐานและ ๓. ชนั้ ท ่ี ๓ พระราชโอรสของพระเจา้ แผน่ ดนิ แตพ่ ระมารดาเปน็ หลานหลวง คอื หลาน การสืบคน หรือไดยินไดฟ งมาจากแหลง ที่ ของพระเจ้าแผน่ ดนิ ตรงๆ เจ้าทเ่ี กิดดว้ ยหลานหลวงนี้ เรยี กวา่ ลกู หลวงโท มยี ศกนิ เมืองโท เช่น นา เชอื่ ถอื ) เมืองสวรรคโลก เมอื งสพุ รรณ เปน็ ตน้ • นักเรียนคดิ วา หากนักเรยี นตอ งการเขียน ๔. ช้ันท่ ี ๔ พระราชโอรสทเี่ กดิ ด้วยพระสนม เรยี กว่า พระเยาวราช คือ เจ้าผู้นอ้ ย ไมไ่ ด้ อธิบายประเภทความรูหรือวชิ าการ นักเรียน กินเมอื ง มวี ธิ ีการสรางความนา เช่ือถอื ของขอมูลทใี่ ช เจ้าทงั้ ๔ ช้นั น ี้ วา่ แตด่ ้วยลกู หลวง พระเยาวราชต้องถวายบังคมพระเจ้าลูกเธอทง้ั สาม ในการเขียนไดอ ยา งไร ชนั้ นน้ั กถ็ วายกนั เปน็ ลาำ ดบั ถดั ไปตามยศ ถงึ จะแกอ่ อ่ นกวา่ กนั อยา่ งไรไมไ่ ดก้ าำ หนดดว้ ยอาย ุ กาำ หนด (แนวตอบ นกั เรียนควรสบื คนขอ มลู จากหลาย เอายศเปน็ สำาคญั ผมู้ ียศน้อยถงึ แก่กว่าก็ต้องไหว้ ต้องเดินตามหลงั แหลง และขอ มลู ดังกลา วตอ งมีแหลงอางอิงที่ นา เช่ือถือ) 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ชนั้ เรียน 92 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการอธิบาย ครผู สู อนควรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขาใจเกี่ยวกบั การเขียนอธบิ ายประเภทความรู ขอ ใดใชการเขียนแบบอธบิ าย หรอื วชิ าการ ผเู ขยี นตองคาํ นึงถงึ ประเด็นตางๆ อยางหลากหลาย โดยเฉพาะอยางยง่ิ 1. เตา หูมกี าํ เนดิ มากวา 2,000 ปในจนี แผน ดนิ ใหญ คนจีนถือวา เตา หู เร่ืองเกย่ี วกบั ภาษา โดยภาษาทใ่ี ชใ นการเขยี นรายงานควรเปนภาษาทางการทีม่ ีความ เปน อาหารที่มคี ณุ คา สูง ถกู ตองเหมาะสม กระชับ และชัดเจน นอกจากการใชภ าษาเขียนแลว อาจอธบิ ายสรา ง 2. ตวงถั่วเหลอื ง นาํ มาแชนํา้ ลา งใหส ะอาด แลวนาํ ไปบด เสร็จแลวกรอง ความเขา ใจดวยการใชต าราง รูปภาพ แผนภาพ หรอื แผนภูมปิ ระกอบการอธบิ ายกอ น กากออกจะไดน ํ้าเตาหูด ิบ การนาํ เสนอทกุ ครัง้ นักเรยี นควรตรวจสอบความถูกตองเหมาะสมของสอ่ื ท่ีใชใ นการ 3. เตา หรู าคาถูกแตมีคณุ คาสงู คุณคาทางโภชนาการที่โดดเดนท่ีสุดของ อธิบายทกุ ครั้ง ทงั้ นี้ เพอื่ ความถูกตองชัดเจนนของเนือ้ หาในการอธิบาย และสง ผลตอ เตา หูคือโปรตนี การสอ่ื สารทสี่ มั ฤทธิผล 4. เตาหูห ลอดเปนเตา หเู น้อื นิ่ม นิยมนาํ มาปรุงเปน แกงจดื วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ตวงถั่วเหลอื ง นาํ มาแชน ํ้าลา งใหสะอาด นักเรยี นควรรู แลว นําไปบด เสร็จแลว กรองกากออกจะไดน ้ําเตา หดู ิบ เพราะขอท่ี 1. ขอท่ี 2. ขอ ที่ 4. เปน การเขียนบรรยาย เนือ้ หาเกีย่ วกบั เตาหู สวนขอท่ี 2. เปน การ 1 สมั ฤทธศิ ก ใชเ รียกปจ ุลศกั ราชท่ลี งทายดวยเลขศูนย อธิบายขน้ั ตอนการทําน้าํ เตา หู 2 จลุ ศักราช ศักราชนอย เริ่มต้งั ภายหลงั พุทธศกั ราช 1181 ป 92 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ประโยช๔น)์ข กองากราเขรียจัดนพอิมธิบพา์หยนปังรสะือเรภะทเบคีย�าบนง�าานถสวาัลรยบ์ รสรณนธ1อิอยน่าุเงคสร้ันาๆะหแ์ ลไะดก้เินขคียวนาคม�าคนร�าออบธคิบลาุมย 1. นกั เรยี นพจิ ารณาตวั อยา งการเขยี นอธบิ าย เน้ือหาในหนงั สอื ดังนี้ ประเภทคาํ นําในหนงั สอื เรียนหนา 93 จากน้นั นักเรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ระเบียบงานสารบรรณ เป็นหัวใจสำ�คัญของก�รปฏิบัติง�นสำ�นักง�น โดยเฉพ�ะ • นกั เรียนคดิ วา บทความท่ียกมามเี นอื้ หา ส่วนร�ชก�ร และหน่วยของท�งร�ชก�ร สถ�นศึกษ�ต่�งๆ ตลอดจนนักศึกษ�ท่ีกำ�ลัง กลาวถึงประเด็นใดบา ง เรยี งตามลาํ ดบั ศกึ ษ�เล่�เรียนอยูใ่ นส�ข�วิช�ทเี่ กยี่ วกบั ก�รเลข�นุก�ร บคุ คลทวั่ ไปประสงคจ์ ะสอบบรรจุ เน้อื หา เข�้ รบั ร�ชก�ร เพร�ะต�มหลกั สตู รก�รสอบได้กำ�หนดใหส้ อบระเบียบง�นส�รบรรณด้วย (แนวตอบ อธิบายแบงเปน ยอ หนา โดย กลา วถงึ ทม่ี าและความสาํ คญั จากนน้ั กลา วถงึ ขณะน้ีท�งร�ชก�รได้ประก�ศใช้ระเบียบง�นส�รบรรณใหม่ เรียกว่� “ระเบียบ เนอื้ หาที่ตองการสอื่ สารสผู อู าน และยอ หนา สำานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. ๒๕๒๖” กำ�หนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ สุดทา ยกลาวท้งิ ทายถึงความคาดหวังในการ ๑ มิถุน�ยน ๒๕๒๖ เป็นต้นไป สำ�นักพิมพ์พัฒน�ศึกษ�ได้พิจ�รณ�แล้วเห็นว่� ส่วน สือ่ สาร) ร�ชก�รก็ดี สถ�นศึกษ� ตลอดจนนสิ ิตนักศึกษ�และประช�ชนทว่ั ไป มคี ว�มจ�ำ เปน็ ทจ่ี ะ • นักเรยี นคิดวา ในตัวอยา งท่ียกมามกี ลวธิ กี าร ต้องมีระเบียบง�นส�รบรรณน้ีไว้เป็นคู่มือในก�รปฏิบัติง�น ศึกษ�เล่�เรียน และเตรียม เรียบเรียงเนื้อหาอยา งไร สอบเข�้ รบั ร�ชก�ร จึงไดจ้ ดั พมิ พ์ระเบยี บส�ำ นกั น�ยกรฐั มนตรี ว�่ ด้วยง�นส�รบรรณ พ.ศ. (แนวตอบ มีการเรียบเรียงเนอื้ หาอยางเปน ๒๕๒๖ ข้ึน ท�้ ยเลม่ มีสรุปส�ระส�ำ คญั ของระเบียบฯ เพ่อื ใหอ้ ่�นและเข�้ ใจในตวั ระเบยี บ ลาํ ดับชัดเจน เพ่อื สรางความสนใจ จากนน้ั ได้ง่�ยขน้ึ อกี ดว้ ย จงึ กลาวถงึ สารหลกั ท่ตี อ งการสื่อ และกลา ว ทง้ิ ทายเพ่ือเนนยา้ํ เนือ้ หา) หวงั เป็นอย�่ งย่งิ ว�่ หนังสือระเบยี บง�นส�รบรรณเลม่ นี้จะเป็นประโยชนอ์ ย�่ งย่ิง 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (ถวลั ย์ สนธอิ นุเคร�ะห)์ สรรพส์ าระ พระราชพธิ ีสบิ สองเดอื น : ยอดความเรียงอธบิ าย ขยายความเขา ใจ Expand พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น เปน็ บทพระราชนพิ นธ์ 1. นักเรยี นยกตวั อยา งการเขยี นอธิบายประเภท ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มเี นอ้ื หาวา่ ดว้ ย ตางๆ ท้ัง 4 ประเภท มาประเภทละ 1 พระราชพิธีต่างๆ ทจ่ี ดั ข้นึ ทง้ั ในสมัยโบราณ และในสมยั ที่ ตวั อยา ง พรอ มวเิ คราะหป ระเด็นตา งๆ ดงั นี้ พระองค์พระราชนิพนธ์ ทรงอธิบายถึงพระราชพิธีต่างๆ ด้วยสาำ นวนภาษาทไ่ี มเ่ ครง่ ครดั อยา่ งตำารา ซ่งึ ในสมัยใหม่ • ตัวอยา งการเขยี นอธิบายประเภทตางๆ ที่ อาจเรียกไดว้ า่ เปน็ หนงั สือประเภทสารคดี นักเรียนยกมามเี น้อื หากลาวถึงอะไรบา ง พระราชพิธีสิบสองเดือนเป็นบทพระราชนิพนธ์ท่ี • ตวั อยา งการเขยี นอธิบายประเภทตา งๆ ท่ี ถือเป็นแบบอย่างของการเขียนความเรียงและตำาราอ้างอิง นักเรยี นยกมามจี ดุ มุงหมายในการเขยี น ท่ีสำาคัญเก่ียวกับพระราชพิธีของไทย จนได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลท่ี ๖ อยางไร วา่ เปน็ “ยอดของความเรยี งอธบิ าย” นอกจากนใี้ นปจั จบุ นั ยงั เปน็ หนงึ่ ในหนงั สอื ดี ๑๐๐ เลม่ ทคี่ นไทย • ตวั อยา งการเขียนอธิบายประเภทตา งๆ ท่ี ควรอ่านอีกด้วย นกั เรยี นยกมามกี ลวิธีการใชภาษาอยา งไร และกลวิธีการใชภ าษาดงั กลาวสง ผลตอการ สือ่ สารอยางไร 93 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอ สอบ O-NET 3. ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอหนา ช้นั เรยี น ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการอธบิ าย เกรด็ แนะครู ขอ ความตอไปนี้เปน การอธบิ ายแบบใด ครูผสู อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกับการเขียนอธบิ ายประเภทคํานาํ การเดนิ ทางในสมยั กอ นใชเกวียนหรือชา งหรือมา ถาไปทางบก ถาเดินทาง โดยคํานําเปนเน้ือความสวนแรกในการนาํ เขา สเู รือ่ ง ชวยแนะใหผ อู า นทราบเนื้อหา เรือก็ใชเ รอื พายหรือเรือแจว การเดินทางกินเวลานาน ผูมนี สิ ัยทางกวจี ึงแตง โดยรวมของเรียงความวากลาวถึงเรอื่ งใดบาง การเขียนคาํ นาํ จึงตอ งเขียนเพือ่ คาํ ประพนั ธพ รรณนาหนทางท่ผี า นไป กระตนุ ความสนใจและดึงดูดความสนใจของผูอาน ดวยวิธีการเรยี บเรยี งเนอ้ื หาอยา ง 1. ใชตวั อยา ง มศี ิลปะสอดคลองกบั หัวขอเร่ืองโดยรวมและเหมาะสมกับเน้ือเร่ือง การเขียนคาํ นํามี 2. กลา วตามลําดบั หลายวิธี ไมวา จะเปน การเร่ิมตนดว ยคาํ ถาม การยกสํานวน สุภาษติ คําคม หรือบท 3. ชี้สาเหตุและผลลพั ธท่สี ัมพนั ธก นั กวี หรอื กลา วถงึ ขอ เทจ็ จริงอื่นๆ จากนนั้ เรียบเรียงเรอ่ื งราว โดยเร่มิ ตนดว ยการบอก 4. เปรยี บเทยี บความเหมือนและความแตกตาง ความหมายหรือการใหค าํ จํากัดความกอนเปนอันดบั แรก จากนัน้ บอกเจตนาในการ เขียน เพอ่ื โนมนาวชกั จงู ใหผูอานเกดิ ความรูสึกคลอ ยตามเนอ้ื หาทีเ่ ขยี น และกระตนุ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ช้สี าเหตแุ ละผลลพั ธท ี่สมั พนั ธก นั เปนการ ความสนใจของผอู า นใหศึกษาเรอื่ งราวในเชงิ ลึกมากยงิ่ ข้นึ แสดงเหตุผลจากสาเหตไุ ปหาผลลพั ธท่สี มั พันธก นั สงั เกตจากการใชคาํ วา จาก ซง่ึ เปนคําสนั ธานในการเช่ือมประโยค นกั เรยี นควรรู คูม อื ครู 93 1 สารบรรณ หนงั สือทเี่ ปนหลกั ฐาน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain 1. นกั เรียนจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกนั ๓ . หลกั การเขียนอธิบาย แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ คาํ ถาม ดงั ตอไปน้ี การเขียนอธิบายแต่ละประเภท แม้รูปแบบจะต่างกัน แต่ก็มีหลักส�าคัญในการเขียนท่ีมี • นกั เรยี นคดิ วา การวางโครงเร่อื งมคี วามสาํ คญั ความคลา้ ยคลงึ กนั ดังน้ี ตอการเขียนอธบิ ายอยา งไร (แนวตอบ การวางโครงเร่ืองเปนวธิ กี ารจดั ลาํ ดับ ๓.๑ การวางโครงเรอื่ ง ความคิดกอ นการเขียน ซึ่งมคี วามสาํ คัญมาก ในการปอ งกนั ความสบั สน และเปน การวางโครงเร่อื งนบั ว่าสา� คญั มาก เพราะเป็นสงิ่ ปอ้ งกันความสับสน และจะเป็นจดุ หมาย จดุ มงุ หมายในการขยายความหรอื อธบิ ายเรื่อง ในการขยายความหรืออธบิ ายเรือ่ ง เป็นสิง่ ทที่ า� ให้ข้อความตอ่ เนือ่ งกนั เช่น ถ้าเขยี นอธิบายเรอ่ื ง ใหมีความตอ เนื่องกนั ) พรรคการเมอื งในประเทศไทย กอ็ าจจดั ล�าดับหัวขอ้ เร่ืองได ้ ดงั น้ี • นกั เรียนคิดวา การวางโครงเร่อื งในการเขียน ๑. ความนา� อธบิ ายความรูมวี ิธีการทเ่ี หมือนหรือแตกตาง ๒. ความหมายของพรรคการเมือง กนั หรือไม อยางไร ๓. ปหรละกั วกตั าพิ รขรรอคงกพารรรเคมกือางรใเนมปอื รงะใเนทรศะไบทอยบประชาธปิ ไตย1 (แนวตอบ มีวธิ กี ารคิดเหมอื นกัน แตมีความ ๔. แตกตา งดานกลวิธกี ารเขยี น ซงึ่ ประกอบดวย ๕. ส่วนดี ส่วนเสยี ของการปกครองท่ีมพี รรคการเมอื ง การใชภ าษา และการเรยี งลาํ ดับเนอ้ื หา) ๖. สรุปความคดิ เห็นของผูเ้ ขยี นท่ีมีต่อพรรคการเมือง • นักเรียนคิดวา กอ นที่นักเรยี นจะเขยี นอธิบาย เม่อื ตัง้ หวั ขอ้ เรือ่ งแล้ว ผูเ้ ขยี นจะสามารถอธบิ ายขยายความตอ่ ไปไดต้ ามลา� ดับ นักเรยี นมวี ิธกี ารเตรียมโครงเรอื่ งในการเขียน อยางไร ๓.๒ การเรมิ่ เรอื่ ง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งหลากหลายข้นึ อยูกบั ประสบการณ การเร่มิ เรอื่ งในการเขียนอธบิ ายนนั้ ท�าได้หลายวธิ ี เช่น ของนกั เรยี น เปนตน วา การเตรียมโครงเรื่อง ๑) ให้ค�าจ�ากัดความ เป็นการให้ความหมายของเร่ืองท่ีจะเขียน อาจจะยกความหมาย ประกอบดวย 4 ข้ันตอน ไดแ ก ระดมความคิด ตรงกบั ชอื่ เรอ่ื งนัน้ ข้ึนมากล่าว เช่น เรอื่ ง “ความรกั ” ก็อาจขึน้ ตน้ ว่า เลือกและจดั หมวดหมูความคดิ จดั ลําดบั ความคิด จากน้นั จึงนาํ ความคดิ ท่ีไดมาขยาย “ความรัก คอื ความชอบอยา่ งผูกพนั พรอ้ มดว้ ยความชน่ื ชมยนิ ดี” และรวบรวมเปนถอ ยคํา) ๒) น�าวาทะคนส�าคัญหรือค�าคม ขึ้นมากล่าวน�า เช่น ข้ึนต้นด้วยบทพระราชนิพนธ์ 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ รัชกาลท ี่ ๖ วา่ หนา ช้นั เรียน “ความรกั เหมอื นโรคา บนั ดาลตาให้มืดมน อปุ ะสคั คะใดๆ ไมย่ ินและไม่ยล กำาลงั คึกผขิ งั ไว้ ความรกั เหมอื นโคถกึ บย่ อมอย ู่ ณ ทข่ี ัง” กโ็ ลดจากคอกไป (มทั นะพาธา : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว) 94 เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกยี่ วกบั การพิจารณาแนวคิดสําคญั จากขอความ ครูผูส อนควรเพิม่ เติมความรูค วามเขา ใจเกี่ยวกบั การวางโครงเร่ืองในการเขยี น ขอ ใดเปน แนวคิดของขอ ความตอไปน้ี อธิบาย โดยการวางโครงเรื่องเปน การวางกรอบเพอื่ กําหนดสว นประกอบตา งๆ ของ ไมสําคัญหรอกวาชีวิตนเ้ี คยลมหรอื ไมเคยลม แตอยทู ่วี า สามารถลกุ ขนึ้ เนือ้ หาเรอื่ งราวทเี่ ปน แนวทางในการเขียนอธบิ าย โดยนกั เรยี นสามารถกําหนดเน้อื หา ไดท กุ คร้งั ท่ีลม หรอื ไม บางคนเพราะลม จงึ ไดรูขอผิดพลาด แลว นาํ จุดท่ีเคย ในลกั ษณะของหัวขอ จากหวั ขอใหญไลเ รียงลาํ ดบั มาเปน หัวขอยอยลดหลั่นกนั ลงมา พลาดพล้ังนน้ั มาทาํ กําไรใหช ีวิตในอนาคต จนลุกข้นึ ยนื ไดอ กี คร้งั เรื่อยๆ โดยคํานงึ ถงึ ลาํ ดับความสําคญั ของหัวขอ รวมถึงความตอ เนื่องสมั พันธกนั ของ 1. ทกุ คนลวนแตเ คยสมหวังและผิดหวงั ในชวี ิตมาแลว เนอื้ หาเปนหลกั การเขียนโครงเร่อื งทด่ี จี ะชวยใหนักเรียนสามารถกาํ หนดสดั สวนของ 2. การยอมแพอุปสรรคยอ มไมกอใหเ กดิ ประโยชนอะไร เนื้อหาได ชว ยใหเนือ้ ความมีความเปนระเบียบไมสับสน เพ่ือใหผอู านสามารถตดิ ตาม 3. การนาํ ขอ ผดิ พลาดมาเปน บทเรยี นทําใหชวี ติ ประสบความสาํ เร็จได เนอ้ื หาไดอยา งชัดเจน 4. การฟนฟกู จิ การท่ีลม เหลวใหไ ดกาํ ไรไมใชเ ร่ืองเหลอื วสิ ยั ที่จะกระทาํ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. การนําขอ ผดิ พลาดมาเปนบทเรยี นทาํ ให นกั เรียนควรรู ชีวติ ประสบความสาํ เร็จได เพราะขอ ความที่ยกมาไมไ ดน ําเสนอขอเทจ็ จริง หรอื บอกเลา ขอ มูล แตม นี ํ้าเสยี งหรอื เนอ้ื หาในลกั ษณะของการนาํ เสนอ 1 ระบอบประชาธปิ ไตย ระบอบการปกครองที่ถือมตปิ วงชนเปน ใหญ แนวคดิ ขอท่ี 1. จงึ มิใชคําตอบ สว นขอที่ 2. และ ขอท่ี 4. ไมต รงกับสาระ การถือเสยี งขางมากเปนใหญ และใหคณุ คาตอ การเคารพสิทธิมนุษยชน หรือเนอ้ื ความที่ยกมาจึงมใิ ชค ําตอบ 94 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) ใชห้ ลกั ความรู้หรอื หลกั วชิ าการมาอธบิ ายหวั เรื่อง เชน่ เรอื่ ง “ชาวตา่ งภาษา” ของ 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รวมกนั แสดงความคิดเห็น อัศวพาห ุ เรมิ่ เร่ืองว่า ดงั ตอไปน้ี • นักเรยี นคดิ วา การเรม่ิ เรอื่ งในการเขียน อันคาำ วา่ ต่างภาษา น้ันคอื อะไร อธิบายมคี วามสําคัญตอกลวิธกี ารสอื่ สาร เมื่อแลดูเผินๆ ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาท่ียากเย็นอะไร แต่ถึงเช่นน้ันก็ดี ข้อความซึ่ง เนอ้ื หาในการอธิบายอยางไร ขา้ พเจา้ ไดต้ อบปญั หานใี้ นครง้ั กอ่ นนน้ั เปน็ เหตใุ หค้ นจาำ พวกหนง่ึ รอ้ งคดั คา้ น และแสดงความเหน็ (แนวตอบ การเรม่ิ เร่อื งท่ีดีมคี วามสาํ คัญใน ตา่ งๆ เปน็ อนั มาก ข้าพเจ้าจงึ ยกเหตุข้อนี้เปน็ ขอ้ แก้ตัวในการท่ีจะกลา่ วในเร่ืองนอี้ ีกในทน่ี ี้ การกระตนุ หรอื ดึงดดู ความสนใจของผูอา น คาำ ตอบปญั หาท่ีกลา่ วข้างบนนี้ ควรเราจะหารือพจนานุกรมดวู ่าเขาจะแปลวา่ อย่างไร ใหผูอานใหความสาํ คัญกบั เร่อื งท่ีอา นมาก พจนานุกรมองั กฤษของ เชมเบอร ์ อธบิ ายคาำ ต่างภาษาว่า ดังน้ี ย่ิงขึ้น ถอื เปน จุดเรม่ิ ตนสําคญั ของเรื่อง *“ต่างภาษา” (คณุ ศพั ท์) แปลว่าตา่ งประเทศ ต่างกันด้วยนสิ ยั และลกั ษณะ (นาม) คน ทอ่ี า น) หรือส่ิงทเ่ี ป็นของตา่ งประเทศ คนทไี่ ม่มีความชอบธรรมโดยเต็มแห่งพลเมอื ง • นกั เรยี นคิดวา ในการเขียนอธิบายนัน้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่ากันให้ตรงแท้สำาหรับคนไทยแล้ว คำานี้ต้องแปลว่า คนอื่นๆ นักเรยี นมีวิธกี ารเร่มิ เรื่องดวยวธิ ใี ดบาง ทกุ คนซง่ึ มใิ ช่ไทย ล้วนเปน็ คนต่างภาษาทั้งส้ิน หรืออกี นัยหน่ึง ถา้ ท่านพอใจมากกวา่ อาจเรียกว่า อยางไร “ชาวต่างประเทศ” กไ็ ด้ (แนวตอบ การเร่ิมเรอ่ื งท่ีดปี ระกอบดว ยวธิ กี าร ทีห่ ลากหลาย เปน ตนวา 1. เรมิ่ เรื่องดว ยการ ๔) การเร่ิมเรื่องวิธีอ่ืนๆ การเขียนอธิบายอาจใช้วิธีเริ่มเรื่องแบบอื่นนอกจากที่กล่าวมา ใหค ําจาํ กดั ความ 2. นําวาทะคนสําคัญหรือ แลว้ ได ้ เช่น เริ่มตน้ ด้วยการตงั้ คา� ถามหรอื ขอ้ ปญั หา นทิ านหรือนยิ าย หรืออาจใช้ข้อขดั แย้งทีม่ ี คาํ คมขนึ้ มากลาวนํา 3. ใชหลกั ความรู อยเู่ พอื่ เริ่มการเขยี นอธิบายก็ได้ หรอื หลักวชิ าการมาอธบิ ายหัวขอ และ 4. นักเรียนอาจเริ่มเรอ่ื งดวยวธิ กี ารอนื่ ๆ ที่มี ๓.๓ กระบวนการอธบิ าย ความหลากหลาย อาทิ การตงั้ คาํ ถาม การ ยกเรอ่ื งเลาท่เี ปน อทุ าหรณ หรืออาจยกความ การอธิบายมกี ระบวนการ ดงั น้ี เหน็ ขดั แยงกบั เรอ่ื งทีเ่ ขยี น เพื่อดงึ ดูดความ ๑. เมอ่ื จะอธิบายเร่ืองอะไร กเ็ ขียนเฉพาะเรือ่ งนัน้ ไม่เอาเรื่องอืน่ มาปน สนใจของผูอ าน) ๒. ต้องเขียนตามความรู้ความคิดเห็นของตนเอง ไม่ยืมความคิดของคนอ่ืน อาจจะอ้าง • นักเรียนคดิ วา การเร่มิ เรอื่ งที่ดตี อ งคํานงึ ถึง ความคิดของคนอนื่ บ้างก็ได ้ เพ่อื ให้เหน็ ความคดิ เห็นท่คี ล้ายคลงึ หรือแตกต่างกนั แต่ความคดิ เห็น ประเดน็ ใดบา ง อยา งไร เหล่านั้นไม่เหนอื ความคดิ เห็นของผูเ้ ขียนเอง (แนวตอบ ตองคาํ นงึ ถึงจดุ มงุ หมายในการ ๓. กอ่ นจะอธบิ ายเรอ่ื งอะไร ตอ้ งแน่ใจวา่ รเู้ รอ่ื งนนั้ อยา่ งละเอยี ด และเขา้ ใจเรอื่ งอยา่ งถอ่ งแท ้ สื่อสารและประเภทของงานเขยี น และคาํ นงึ เพราะถา้ ผูเ้ ขียนไม่เข้าใจเร่อื งทจี่ ะเขยี น ก็ไม่สามารถเขียนอธิบายให้ผู้อ่ืนเขา้ ใจแจม่ แจ้งได้ ถงึ ผรู ับสารดวย) ๔. เรียบเรียงถ้อยค�าใหน้ ่าอา่ น นา่ สนใจ เข้าใจงา่ ย และล�าดับความให้ต่อเนือ่ งกัน 2. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรียน 95 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั การอธิบายตามลาํ ดบั ขั้นตอน ครูผูสอนควรเพ่ิมเติมความรูความเขาใจเกี่ยวกับแนวทางในการฝก ทักษะ ถา เรียงลําดับคําอธิบายวธิ ีทําอาหารตอ ไปนจี้ นครบถว น ขอ ใดเปนข้นั ตอน การอธบิ าย ครูควรชแี้ นะนกั เรียนวา ทักษะการอธิบายเปน ทกั ษะทางการส่อื สารท่ี นักเรียนสามารถฝก ฝนได นกั เรียนสามารถฝกทักษะการอธิบายดวยการอา นหรอื ท่ตี อจากขอ 5 ตามโจทย ศึกษาคนควา ขอ มูลตา งๆ จากน้นั ปฏบิ ตั ิ ดงั ตอไปน้ี 1. อานเรื่องใหต ลอดดวยความ 1. ตม นํา้ ในหมอ ดวยไฟกลาง แลวใสต ะไครใบมะกรูด ตัง้ ใจ 2. สรุปใจความสําคญั ของเรอ่ื งเขา ดว ยกนั 3. นาํ ใจความสาํ คัญทส่ี รปุ มาจัดทํา 2. ลางหอยแมลงภู ปมู า กุง และปลาหมกึ ใหสะอาด โครงเร่ืองในการอธิบาย 4. ขยายรายละเอยี ดประเดน็ ตา งๆ พรอ มยกตวั อยางประกอบ 3. ปรุงรสดวยน้ําปลา มะนาว พริกขี้หนู แลว เสริ ฟรอนๆ 4. แลว จงึ ใสกงุ ปลาหมึก และเหด็ ฟาง นอกจากการพฒั นาทกั ษะการอธบิ ายจากการศึกษาคน ควาขอ มูลตา งๆ แลว 5. เม่ือนํ้าเดือดจัดใสห อยแมลงภูและปูมา ในการถายทอดสารหรือขอมลู ออกเปนภาษาเขยี น นักเรยี นควรระลกึ ถงึ แนวทางการ 1. ขอ 1 2. ขอ 2 3. ขอ 3 4. ขอ 4 ฝกทกั ษะการอธบิ าย โดยมรี ายละเอียด ดังตอไปนี้ 1. ตอ งเตรียมตวั ลวงหนา วาจะ อธบิ ายอยา งไร จงึ จะเหมาะสมกบั เรอื่ งและทาํ ใหผ อู นื่ เขา ใจในสาระสาํ คญั ทตี่ อ งการสอ่ื วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. แลวจงึ ใสก ุง ปลาหมกึ และเหด็ ฟาง 2. ความแตกตางของผูรับสาร 3. สื่อประกอบการอธิบาย นอกจากภาษาเขียนแลว สอ่ื ในรปู ตาราง กราฟ หรอื รปู ภาพ รวมถงึ ผงั มโนทศั น กม็ คี วามเหมาะสมในการอธบิ าย พจิ ารณาจากเนื้อความท้ัง 5 ขอ การทําอาหารในขอนี้มีขนั้ ตอนตามลําดบั 4. การจะอธบิ ายสิ่งใดๆ ก็ตาม ใหพิจารณาดวยตนเองวา สามารถสอื่ สารสูผอู า น ดังน้ี 2 - 1 - 5 - 4 - 3 นักเรียนสามารถพิจารณาจากขัน้ ตอนได ดังน้ี ตม น้ํา ไดช ัดเจนมากนอ ยเพยี งไร นา้ํ เดือด ปรุงรส และเสิรฟ คูมอื ครู 95

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกันแสดงความคดิ เหน็ ๓.๔ การสรปุ ความคดิ เหน็ ดังตอไปน้ี • นกั เรียนคิดวา ในการเขยี นอธบิ ายเรื่องใด เมื่อได้อธิบายเร่ืองราวตามหลักวิชาจนสิ้นกระบวนความแล้ว ก็สรุปความคิดเห็นที่มี เร่ืองหนง่ึ นักเรียนจะมีวิธกี ารเขยี นอธบิ าย ต่อเร่ืองน้ันเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง เช่น เรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมืองในประเทศไทย อยางไร ผเู้ ขยี นอธบิ ายเสรจ็ สน้ิ แลว้ กอ็ าจแสดงความคดิ เหน็ ของตนเองถงึ แนวโนม้ ของพรรคการเมอื งไทย (แนวตอบ นักเรยี นเร่ิมตนจากการรวบรวม ในอนาคต เป็นต้น ความคดิ ทเ่ี กี่ยวของกับเรื่องทีน่ ักเรยี นตอ งการ จุดส�าคัญของการเขียนอธิบาย คือ ความชัดเจน และความน่าอ่าน จะต้องเขียนเฉพาะ เขียน จากนนั้ จงึ เลอื กเฉพาะเรอื่ งท่ีเกยี่ วของ เนื้อหาอยา่ งเป็นกลาง จะใส่ความรสู้ ึกหรอื อารมณล์ งไปไม่ได ้ เพราะความมุ่งหมายของการเขียน กบั เรือ่ งทีเ่ ขียน แลวแยกแยะและจดั หมวดหมู อธิบาย คือ การใหค้ วามร้อู ย่างแท้จรงิ เน้อื หา เรยี งลําดับความคดิ ใหเปน ระบบ และ เลอื กใชส าํ นวนภาษาใหตรงกบั ลักษณะของ สิ่งจ�าเป็นส�าหรับผู้อธิบาย คือ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนจะอธิบาย โดยอาศัย เนือ้ หาและความมุง หมายของเรอ่ื ง) • นกั เรยี นคิดวา นกั เรยี นมวี ิธกี ารสรุปความ การสะสมความรู้ ประสบการณ์ที่ต่อเน่ืองกันเป็นระยะเวลายาวนาน ท้ังน้ีจะต้องรวบรวมความรู้ คิดเหน็ อยา งไร ความคิดของตนให้เป็นระเบียบ แม่นย�า ก่อนที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้ รู้จักสังเกตวิธีอธิบายของ (แนวตอบ สรปุ ความคดิ เห็นดวยสาํ นวนภาษา ผ้อู นื่ อยู่เสมอท้งั โดยการอา่ นและการฟัง หาโอกาสฝกึ ฝนให้ถกู วิธีอยา่ งสมา่� เสมอ ของผูเขยี นเอง เพ่ือเนนยํา้ ประเดน็ สาํ คัญของ เรือ่ งท่ีรบั สาร) การเขยี นอธบิ าย เปน็ การสอื่ สารดว้ ยวธิ กี ารเขยี นทใี่ ชม้ ากในชวี ติ ประจาำ วนั ของมนษุ ย ์ • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายที่ดมี ีขอควร โดยเฉพาะข้อเขียนในตำาราวิชาการต่างๆ การอธบิ ายถอื เปน็ หัวใจของงานวชิ าการ แตก่ ารเขียน คาํ นึงในประเด็นใดบา ง อยางไร อธิบายจะสัมฤทธิผลหรือไม่นั้นต้องอาศัยการรู้จักใช้คำาให้ตรงความหมาย ใช้ภาษาที่ง่าย และ (แนวตอบ ขอ ควรคํานงึ ในดานเนือ้ หาทม่ี คี วาม สามารถเข้าใจได้ชัดเจน ดังน้ัน ผู้เขียนจึงควรฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำาเสมอเพื่อพัฒนาทักษะ ชัดเจนตรงประเด็น ครอบคลมุ เกิดจากการ การเขยี นอธิบายให้มีความชาำ นาญ และสามารถนาำ ไปใชใ้ นการสื่อสารไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ คนควาขอ มลู อยา งกวางขวางและนาเชอ่ื ถือ เน้ือหามีความเปนกลาง ใชภ าษาไดถ กู ตอง เหมาะสมกบั เนอื้ หาและจุดมุงหมายในการ สื่อสาร) • นกั เรียนคิดวา นักเรยี นจะมวี ิธกี ารฝก ฝน ทักษะการอธิบายไดอยา งไร (แนวตอบ หมัน่ ศึกษาคนควา มีการส่ังสม ความรอู ยา งสมา่ํ เสมอ เรียบเรยี งอยางเปน ระบบ และสือ่ สารอยางเหมาะสม) 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาช้นั เรยี น 96 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การอธบิ ายตามลาํ ดับข้ันตอน ครูผูส อนควรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับแนวทางในการฝกทกั ษะการ ถาเรียงลาํ ดบั คาํ อธิบายวธิ ที าํ อาหารตอไปนีจ้ นครบถวน ขอใดเปนขั้นตอน เขยี นสรุปความคิดเหน็ ในเรอ่ื งที่อธิบาย การสรปุ ความคิดเห็นเปน การสรุปเน้ือหา ท่ีตอ จากขอ ข ตามโจทย การอธบิ าย เพ่ือเนนย้ําประเด็นสาํ คญั จากเนอ้ื หาท่ีไดอ ธบิ าย การเขียนบทสรุปนั้น ก. นง่ึ กุงใหสุกพอประมาณแลวจดั ใสจ านพักไว ตอ งอาศัยทักษะในการยอความ เพื่อสือ่ สารกับผอู า นใหส ามารถเขาใจไดอยา ง ข. ปอกเปลอื กกุง ผาหลงั แลว ลางใหส ะอาด ถกู ตอง และสามารถวิเคราะหเน้ือหาจากการอธบิ าย เพอื่ จัดทําขอ คิดเห็นหรือ ค. แลวนาํ ไปราดบนตัวกุงทีน่ งึ่ ไว ขอ เสนอแนะทีม่ คี ุณคาได ง. ผสมนาํ้ ปลา น้าํ ตาลทราย นํ้ามะนาว คลกุ เคลากบั ตะไครและ หอมแดงซอย เมือ่ เขยี นเสร็จแลว นกั เรยี นควรอา นทบทวนเนื้อหา เพือ่ พจิ ารณาความเขา ใจ จ. โรยหนา ดวยถว่ั ลสิ งทอดและใบสะระแหน เนื้อหาอยางละเอยี ด ชดั เจน หรือพิจารณาความตอเนอื่ ง การเรียบเรยี ง รวมถึง 1. ขอ ก. 2. ขอ ค. ลกั ษณะการใชภ าษา อาทิ มกี ารใชภาษาตา งระดบั หรอื ไม อยางไร หรอื การใช 3. ขอ ง. 4. ขอ จ. คาํ ศัพทเ ฉพาะวงการหรอื ไม เนือ่ งจากประเด็นดงั กลาวอาจสงผลตอ ความเขา ใจ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. ขอ ก. ถาเรยี งลําดับคําอธิบายวธิ ีทําอาหาร เนอ้ื หา และทําใหการสอื่ สารไมสมั ฤทธผิ ล นักเรยี นควรอา นทบทวนเน้ือหาทุกคร้งั จนครบถวน จะสามารถเรียงลาํ ดับได ดงั นี้ ขอ ข. ขอ ก. ขอ ง. ขอ ค. และ หลงั เรียบเรยี งงานเขยี นเสร็จสมบูรณ เพอ่ื ใหนักเรยี นไดปรับปรุงแกไขใหส มบรู ณ ขอ จ. กอนนาํ เสนอสผู ูอา นทุกคร้ัง 96 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ปกณิ กะ มารยาทในการเขียน 1. นกั เรียนรวมกนั ระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอไปน้ี มารยาทในการเขียน ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ • นักเรียนคิดวา มารยาทในการเขียนอธบิ าย ๑. ควรเขียนตัวหนงั สือให้ชดั เจน อ่านงา่ ย ไมเ่ ขียนตัวใหญ่ หรอื ตวั เลก็ จนเกนิ ไป ประกอบดวยอะไรบาง และการคาํ นึงถึง เขยี นให้มีขนาดเหมาะสมนา่ อา่ น มารยาทในการเขียนสงผลตอ การเขยี น ๒. ควรเขยี นอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อย วรรคตอนใหถ้ กู ตอ้ ง ไม่เขยี นฉีกคาำ อธบิ ายอยางไร ๓. ใชถ้ ้อยคำาทส่ี ภุ าพไพเราะ ไมว่ กวน และไม่ควรเขยี นคำาหยาบ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๔. ควรเขียนคำาท่ีไม่กระทบกระท่ังเสียดสีผู้อื่น ไม่ใช้คำาที่ถากถางเหยียดหยาม ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตุผลของ ให้ผู้อื่นเสยี หาย นกั เรียน เนือ่ งจากการคํานึงถึงมารยาท ๕. ใชภ้ าษาทนี่ ยิ มใชก้ นั ไมค่ วรใชค้ าำ สแลง คาำ ภาษาปาก และไมเ่ ขยี นถอ้ ยคาำ ทแี่ ปล ในการเขียนนอกจากจะทําใหก ารส่อื สาร หรือคาำ ผวนในเชิงลามก ระหวางผูเขียนสผู ูอานสมั ฤทธิผลแลว การเขยี นข้อความ บทความ หรอื หนังสือเพ่อื เผยแพร่ เช่น หนงั สือพมิ พ์ วารสาร มารยาทในการเขียนยังสามารถสรางความ เอกสารตา่ งๆ ตอ้ งมีมารยาทในการเขยี นเพ่มิ เตมิ อีกหลายประการเพื่อความถกู ต้อง ดงั น้ี ประทับใจใหผ ูอานไดเ ปน อยางดี รวมถึง ๑. เมื่อจะยกข้อความมาประกอบส่ิงที่เขียน ต้องให้เกียรติเจ้าของข้อความนั้น เปน การสรา งสมั พันธภาพทดี่ ีระหวา งผูอ าน ดว้ ยการบอกท่ีมาทกุ ครงั้ ว่ามาจากเร่ืองอะไร ของใคร และผเู ขยี นไดอ ีกดวย) ๒. ไมใ่ ชภ้ าษา ถอ้ ยคาำ หรือข้อความท่ที าำ ใหผ้ ู้อืน่ เส่อื มเสยี อับอาย ๓. การเขียนอ้างอิงถึงบุคคล ต้องระมัดระวังในการเขียนคำานำาหน้าช่ือ สะกดช่ือ 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด และนามสกลุ บอกยศ ตาำ แหน่งใหถ้ ูกต้อง ๔. ตอ้ งระมดั ระวงั ไมเ่ ขยี นวจิ ารณส์ งิ่ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเชอ่ื ความศรทั ธา เพราะอาจ ขยายความเขา ใจ Expand เกดิ ผลเสียขึน้ ได้ ๕. ต้องรับผิดชอบข้อความที่ปรากฏในงานเขียนของตน เพราะการเขียนที่ทำาให้ 1. นกั เรียนเลือกหัวขอทนี่ กั เรยี นมคี วามสนใจ ผู้อ่ืนเสียหายจนถึงเสื่อมเสียช่ือเสียงอาจถูกฟ้องร้อง และอาจมีการดำาเนินคดีเรียกร้อง จากนั้นใหน กั เรียนเขยี นอธิบายความรูในหวั ขอ คา่ เสยี หายได้ ดังกลา ว โดยนกั เรยี นนาํ ความรทู ี่นักเรยี นได ๖. ควรใชภ้ าษาเชงิ สรา้ งสรรค์ ไมใ่ ชภ้ าษาหยาบคาย รนุ แรง ยวั่ ยุ เพราะอาจทาำ ให้ ศกึ ษามาปรบั ใชในการเขียน นับต้งั แตการ เกิดเหตุร้ายแรงจนก่อให้เกิดการแตกร้าว กระทบกระเทือนต่อความสงบสุขและความม่นั คง ระดมความคดิ การวางโครงเรื่องในลกั ษณะ ของชาติได้ หัวขอ และการเขยี นขยายความ โดยใช การฝึกฝนทักษะในการเขียนและมีมารยาทในการเขียน มีความจำาเป็นต่อการ องคป ระกอบตา งๆ ทม่ี ีความสอดคลองกนั นาำ ไปใชใ้ นวชิ าชีพต่างๆ เพราะเปน็ ทักษะพ้นื ฐานท่ีทุกคนควรจะรู้ เพ่อื ความถูกตอ้ ง รวดเรว็ ในการทาำ งาน การนาำ เสนองาน นบั เปน็ ขน้ั แรกของการพฒั นาไปสกู่ ารเขยี นในแขนงอนื่ ๆ ตอ่ ไป 2. นกั เรียนจบั คู จากนน้ั นกั เรียนนําโครงเร่ืองท่ี นักเรยี นไดวางไวมาอภิปรายแลกเปลย่ี นความ คิดเหน็ กับเพอื่ นรว มชั้นเรยี นทน่ี ักเรยี นไดจบั คู ไว จากนน้ั นกั เรยี นลงมอื ปฏิบัติการเขียน 3. นกั เรยี นนาํ ผลงานรวมอภปิ รายแลกเปลยี่ น ความคิดเหน็ กบั เพอ่ื นรว มชน้ั เรยี น 97 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการลาํ ดับขอ ความ ในการปฏิบัติกจิ กรรมขยายความเขาใจ ดวยวิธกี ารใหนักเรยี นเขยี นอธิบายนนั้ เมอื่ เรยี งลําดับขอ ความใหถ ูกตอง ขอใดเปน ลาํ ดับท่ี 4 ครูผูส อนควรเพม่ิ เติมความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกับแนวทางในการฝก ทกั ษะการเขยี น 1. ทานบางอยา งไมจาํ เปน ตอ งใชเ งนิ อยางสรา งสรรค ซ่ึงมีความเก่ียวเนอ่ื งกับกระบวนการคิดและการถายทอดความคิด 2. การใหกาํ ลังใจ การใหค วามยนิ ดี นบั เปนทานท้งั น้นั ผา นกระบวนการการใชภ าษาอยางสรางสรรค นอกจากจะเปนการถายทอดความรู 3. ทานมีรูปแบบหลายอยา งใหเลือกทาํ ได ความคิดผานเนอ้ื หาท่ดี ไี ดแ ลว กระบวนการเขยี นอยา งสรางสรรคยงั มีความสัมพนั ธ 4. การใหค วามรว มมือ การใหแ รงงาน การใหค วามเห็น กับกระบวนการคิดอยา งสรา งสรรคดว ย เนือ่ งจากการสะสมความรใู นคลงั สมอง เมอ่ื ตอ งการถายทอดความคิดออกมาสผู อู า นดวยภาษาเขยี น ทัง้ การใชค ํา วลี ประโยค วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การใหกาํ ลงั ใจ การใหความยนิ ดี นบั เปน รวมถงึ โวหารในการเขียนซึง่ เปนพนื้ ฐานสาํ หรับการสรางสรรคง านเขียนทีด่ ีผานเนือ้ หา และภาษาท่จี รรโลงใจผอู า นไดอีกดวย ทานทงั้ นนั้ หากเรียงลําดบั ขอความใหถกู ตอง สามารถลําดบั ขอความได ดงั น้ี ขอที่ 3. ขอ ที่ 1. ขอ ที่ 4. และขอ ที่ 2. เมือ่ นักเรียนมีความคดิ ทีส่ รา งสรรคแ ลว สิ่งทีน่ กั เรยี นควรดําเนินการตอ ไป คือ การเขียนอยา งสรา งสรรค นกั เรียนตอ งมคี วามใจกวา งพอในการยอมรบั ความคิดเห็น ของผูอ ืน่ รวมถึงคําตเิ ตียนตางๆ อยางสม่าํ เสมอ ยอ มสามารถพฒั นาวธิ ีคดิ และทักษะ การเขยี นไดเปน อยา งดี คูมือครู 97

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เกี่ยวกับ คาำ ถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ จดุ มงุ หมายในการเขียนอธบิ าย ประเภทของ การเขยี นอธิบาย หลักการเขียนอธบิ าย ๑. การเขยี นอธิบายทพ่ี บเห็นในชวี ติ ประจา� วนั มอี ะไรบา้ ง จงอธิบายและยกตัวอย่าง ๒. การเขียนอธิบายเกี่ยวกบั แหลง่ ทอ่ งเที่ยวในชมุ ชน ควรวางโครงเร่ืองอย่างไร 2. นักเรยี นสามารถยกตวั อยางการเขียนอธิบาย ๓. การเขียนเริ่มเรื่องในการอธบิ ายด้วยนิทาน มีจุดมุ่งหมายในการเขยี นอย่างไร ประเภทตา งๆ ทงั้ 4 ประเภท ไดแก การเขียน ๔. การศกึ ษารายละเอียดของเรือ่ งก่อนการเขยี นอธิบายมคี วามส�าคญั หรือไม่ อยา่ งไร อธบิ ายประเภทคาํ จํากดั ความ การเขียนอธิบาย ๕. การเขียนอธบิ ายโดยใช้การเปรียบเทยี บเหมาะสา� หรบั การอธิบายเกยี่ วกบั ส่ิงใด ประเภทเชงิ อรรถ การเขยี นอธบิ ายประเภท ความรหู รอื วิชาการ และการเขยี นอธิบาย เพราะเหตใุ ด จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ ง ประเภทคาํ นาํ มาประเภทละ 1 ตัวอยาง กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ัฒนาการเรยี นรู้ 3. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั จดุ มงุ หมายและกลวิธกี ารใชภ าษาในการเขียน ๑. ใหน้ กั เรยี นเขยี นอธบิ ายวิธกี ารท�าอาหาร ๑ อย่าง ที่นกั เรียนช่ืนชอบหรือถนัด อธิบายประเภทตา งๆ ได ตามหลักการเขียนอธิบาย 4. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหต วั อยางการเขียน ๒. ใหน้ ักเรียนฝกึ เขยี นการเริม่ เรอ่ื งในการเขยี นอธบิ ายดว้ ยวธิ ีต่างๆ โดยก�าหนดเรอื่ ง อธบิ ายประเภทตางๆ ท้งั ในดาน เน้อื หา ภาษา เชน่ รปู แบบ พรอมสรปุ สาระสําคญั ได - การจัดสวนถาด 5. นักเรยี นสามารถเขียนอธบิ ายได - การเยบ็ กระทงใบตอง - การจดั แจกนั ดอกไม้ หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู - การประดิษฐห์ ่นุ ยนต์ ๓. ใหน้ กั เรยี นหาบทความเกยี่ วกบั การเขยี นอธบิ ายสง่ิ ตา่ งๆ มาศกึ ษาเพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกบั จดุ มงุ หมาย ในการเขียนอธบิ าย ประเภทของการเขยี น ในการพัฒนาการเขยี น พร้อมทั้งหาจุดเด่น จุดบกพรอ่ งของบทความดังกล่าว อธบิ าย หลกั การเขียนอธบิ าย 98 2. ตวั อยา งการเขยี นอธบิ ายประเภทตา งๆ ท้งั 4 ประเภท ไดแก การเขียนอธิบายประเภทคาํ จํากัดความ การเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ การเขียนอธบิ ายประเภทความรูหรอื วชิ าการ และการเขียนอธิบายประเภทคาํ นํา 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เก่ยี วกบั จดุ มุงหมาย และกลวิธกี ารใชภาษาในการเขียนอธิบาย 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั จากการวิเคราะห ตวั อยา งการเขียนอธิบายประเภทตางๆ ทง้ั ใน ดา นเนือ้ หา ภาษา และรูปแบบ 5. ความเรียงเชิงอธิบาย 6. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. นักเรียนสามารถยกตัวอยา งไดอ ยางหลากหลาย เปนตนวา การเขียนอธบิ ายความหมายของคํา ขอความ สาํ นวน สภุ าษติ คาํ พงั เพย หัวขอทางวิชาการตา งๆ หวั ขอ การประชุม หัวขอการอภิปราย รวมถงึ ญัตตใิ นการโตวาที 2. การเขียนอธิบายเก่ยี วกบั แหลงทอ งเท่ียวในชมุ ชน นกั เรียนสามารถวางโครงเร่ืองไดอ ยา งหลากหลายขึน้ อยูก บั เหตุผลของนกั เรียน 3. การเขยี นเร่มิ เรอื่ งในการอธบิ ายดวยนิทาน มีจุดมุง หมายในการอธิบายเพ่อื ดงึ ดดู ความสนใจของผอู า น โดยเฉพาะอยา งย่งิ การนําขอ คิดจากนิทานมาใชประโยชน โดย เฉพาะผรู บั สารท่เี ปน เด็ก ทัง้ นผ้ี เู ขยี นตอ งสามารถวเิ คราะหเ นื้อหาของสารและกลวิธกี ารสื่อสารใหมีความสอดคลองกับผอู านหรือผูรับสาร เพอื่ ใหก ารส่ือสารเกิดสมั ฤทธผิ ล 4. การศกึ ษาคนควารายละเอียดหรอื ขอ มลู ของเรื่องท่ใี ชในการเขยี นกอนการเขยี นอธิบาย ถือวา เปนกระบวนการทมี่ คี วามสาํ คัญเปน อยางยิง่ เน่ืองจากการอธบิ ายผสู ง สาร หรือผเู ขียนควรมีความรูค วามเขา ใจในเร่ืองที่เขยี นอยางแทจรงิ เพ่อื ใหผูส ง สารสามารถเรียบเรียงเนอ้ื หาทีใ่ ชในการเขียนไดอ ยา งถูกตอ ง เหมาะสม ครอบคลมุ และตรง ประเดน็ หากผูเขียนไมเ ขาใจเรอื่ งทเ่ี ขียน ก็ไมสามารถเขยี นอธิบายใหผ ูอน่ื เขาใจแจมแจง ได 5. การเขยี นอธิบายโดยใชการเปรยี บเทียบเหมาะสาํ หรับการอธบิ ายเก่ียวกับการนําเสนอขอมูลหรอื เน้ือหาใหมท ่ีมีความขดั แยง กบั เน้ือหาหรือความรูความเขาใจเดมิ ทเ่ี คยมมี า หรืออาจเปน วิธีการอธิบายเพื่อโตแยงความคิดเหน็ กไ็ ด เปน ตนวา หัวขอการอภปิ ราย ญตั ตใิ นการโตว าที 98 คมู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๒ เขียนส่ือสารในรูปแบบตา งๆ ไดต รงตาม วัตถุประสงค โดยใชภ าษาเรยี บเรียงถูกตอง มีขอ มลู และสาระสําคญั ชัดเจน สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป ญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี การเขียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค มคี วามสาํ คัญและ 1. ใฝเ รยี นรู จําเปน ตอชวี ิตประจําวัน โดย 2. มุงมั่นในการทาํ งาน เฉพาะการตดิ ตอ ทางกจิ ธุระตา งๆ มักมี 3. รกั ความเปน ไทย แบบกรอกรายการทวั่ ไปและแบบกรอกรายการ ôหนว่ ยการเรียนรทู ่ี ที่มวี ตั ถุประสงคเฉพาะใหก รอกขอ มลู ดงั นน้ั การมี กระตนุ้ ความสนใจ Engage ความรูค วามเขาใจในเรือ่ งการกรอกขอ ความในแบบ กรอกรายการตา งๆ ตลอดจนมีความตระหนักและให ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปนี้ ความสาํ คัญตอ การกรอกแบบรายการ จะชว ยให • นักเรยี นรจู ักแบบรายการหรอื ไม การเขยี นนน้ั ถกู ตองและตรงตามวตั ถุประสงค แบบรายการที่นักเรยี นรูจักมีลักษณะและ การกรอกแบบรายการ เน้ือหาเกย่ี วกับอะไร ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรูแกนกลาง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูกบั ประสบการณ • เขยี นสือ่ สารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ • การกรอกแบบรายการตา่ งๆ ของนกั เรียน) โดยใช้ภาษาเรยี บเรยี งถกู ต้อง มีข้อมูลและสาระสา� คญั • นักเรียนเคยกรอกแบบรายการหรือไม ชัดเจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) ถา นกั เรียนเคยกรอกแบบรายการหรือแบบ ฟอรมนกั เรยี นเคยกรอกแบบรายการทมี่ ี เนือ้ หาเกย่ี วกบั อะไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูกับประสบการณ ของนักเรยี น) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรียนรเู รือ่ ง การกรอกแบบรายการนี้ ครูผูสอนควรเพิม่ เตมิ ความรู ความเขา ใจเกีย่ วกบั การกรอกแบบรายการ โดยครูผูสอนควรเนนใหน กั เรยี นนาํ ความรู ทางดา นการใชภาษา รวมถงึ ทกั ษะตางๆ มาประยุกตใ ชใ นการกรอกแบบรายการ ครูควรชแ้ี นะนกั เรียนวา การกรอกแบบรายการนนั้ แมจะดูเปน เร่ืองงาย แตผ ลที่เกิด จากการกรอกแบบรายการนัน้ สงผลตอเรื่องอน่ื ๆ หลากหลายดา น โดยเฉพาะ อยา งยง่ิ ขอ ผกู มดั ทางกฎหมาย อาทิ การทาํ สญั ญาเชา หรอื ซอื้ ขาย ผกู รอกแบบรายการ จึงตอ งอาศยั ทักษะความสามารถและความละเอียดรอบคอบในการใชภ าษา ครผู ูสอน ควรเนน ใหน ักเรยี นพิจารณาขอมูลเนือ้ หาทปี่ รากฏในแบบรายการ ดว ยการใหผ กู รอก แบบรายการทําความเขาใจวธิ ีกรอก ปฏิบัติตามขอ บังคับ หรือคําแนะนาํ ในการกรอก แบบรายการอยางเครง ครดั กรอกแบบรายการดวยขอมูลจริง มีความมนั่ ใจในการ กรอก ไมลบหรอื ขดี ฆา พรอ มกรอกแบบรายการดว ยลายมอื ที่ชัดเจนอานงา ย กลาว ไดวา ผูทจ่ี ะสามารถกรอกแบบรายการไดด ีนั้น ตอ งมีคณุ สมบตั พิ ้ืนฐาน คือ เปน ผูมี ความรูค วามเขา ใจในเร่ืองที่จะกรอก มคี วามสามารถในการใชภ าษา มคี วามซอ่ื ตรง รวมถึงมคี วามรอบคอบและความรบั ผิดชอบ คมู่ ือครู 99

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage นักเรยี นพจิ ารณาแบบรายการจากหนงั สือเรยี น ๑. การกรอกแบบรายการ หนา 100 -104 จากน้ันครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี แบบรายการ หมายถึง แบบสําหรับใชกรอกขอความท่ีหนวยงานของรัฐ หรือหนวยงาน ภาคเอกชนจดั ทําขนึ้ เพือ่ ใชประโยชนในหนวยงานนนั้ ๆ • นักเรยี นเคยกรอกแบบรายการชนิดใดบา ง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ๑) ประเภทของแบบกรอกรายการ แบง เปน ๒ ประเภท คอื ไดอยางหลากหลายขน้ึ อยูกับเหตผุ ลของ ๑.๑) แบบกรอกรายการท่ีใชเปนหลักฐาน เชน ใบสมัครงาน ใบตอบรับสินคา นกั เรยี น) แบบกรอกรายการยืมระหวางหองสมุด แบบตอบรับพัสดุไปรษณีย แบบสัญญาซื้อขาย • นกั เรียนคิดวา แบบรายการทน่ี ักเรยี นไดด ู แบบสัญญากูเงิน แบบกรอกรายการตางๆ ของธนาคารพาณิชย เปนตน แบบกรอกรายการ ต้งั แตหนา 100 - 104 มคี วามเหมอื นและความ ดังกลาวสวนใหญมีรูปแบบคงที่ มีความเปนมาตรฐาน อาจมีรายละเอียดตางกันเล็กนอย แตกตา งกันในดา นเนอ้ื หาหรือไม อยา งไร แตใจความสาํ คัญยงั คงเหมือนกัน (แนวตอบ เปนตนวา มีความแตกตา งดา น รายละเอียด ซ่งึ เปน เปา หมายในการกรอก ๑.๒) แบบกรอกรายการที่เปนแบบประเมินผลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงมักจะพบ แบบรายการแตละประเภท) อยูเสมอๆ ไมวาจะเปนแบบสอบถามความคิดเห็น ความพึงพอใจในการใชผลิตภัณฑ สินคา หรอื บริการตา งๆ แบบกรอกรายการดังกลาวจะมรี ปู แบบ เนอ้ื หา แตกตา งกันไปตามวตั ถปุ ระสงค สา� รวจคน้ หา Explore ของการประเมินผลนน้ั ๆ ตัวอยา ง แบบกรอกรายการท่ใี ชเ ปนหลักฐาน นักเรยี นสบื คน ความหมายและความสาํ คัญของ แบบรายการ ประเภทของแบบรายการชนดิ ตางๆ ใบรบั ฝากเงนิ ของธนาคาร รวมถงึ หลักในการกรอกแบบรายการ อธบิ ายความรู้ Explain 1. นักเรียนจัดกลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกัน ๑๐๐ ตั ว อ ย า ง แลกเปลยี่ นความคิดเห็นจากประเด็นคําถาม ดังตอไปนี้ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT • นักเรียนคิดวา แบบรายการหมายถึงอะไร ถา นักเรยี นมคี วามจําเปน ตองกรอกขอความลงในแบบรายการ นักเรียนควร และการกรอกแบบรายการมีความสําคญั จะทาํ สงิ่ ใดกอนเปน อนั ดับแรก อยางไร 1. กรอกขอมลู ตามความเปนจรงิ (แนวตอบ แบบรายการ หมายถึง แบบสาํ หรบั 2. อานขอความในแบบแสดงรายการใหเ ขา ใจ การกรอกขอความทหี่ นว ยงานของรฐั หรอื 3. เลือกถอยคาํ ท่กี ะทัดรัด เพอื่ ใหต รงตามจุดมงุ หมายของแบบรายการ เอกชนจัดทาํ ขนึ้ เพื่อใชป ระโยชนใ นหนวยงาน 4. ปฏบิ ัตติ ามขอ บังคับหรอื คาํ แนะนาํ ในการกรอกแบบรายการนั้นๆ มีความสาํ คญั เน่อื งจากการกรอกขอ มลู ใน อยางเครง ครัด แบบรายการเปน การกรอกตามวัตถปุ ระสงค วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. อานขอ ความในแบบแสดงรายการใหเขาใจ เฉพาะสาํ หรบั การติดตอ กิจธรุ ะแตล ะประเภท) เพราะในการกรอกแบบรายการนกั เรยี นควรอา นทาํ ความเขาใจเน้ือหา รวมถงึ จุดประสงคใ นการกรอกแบบรายการกอ นเปน อันดบั แรก กอนกรอก 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ แบบรายการทกุ ประเภท เกร็ดแนะครู ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเกีย่ วกับการกรอกแบบรายการน้ัน ครู ผูสอนควรเร่มิ ตนเนอ้ื หาการเรยี นการสอนดวยการทบทวนความรูและประสบการณ ของนกั เรยี นเปน สําคญั เพือ่ ใหนักเรยี นมคี วามเขา ใจขั้นพื้นฐานในดานความรูและ ประสบการณจากการกรอกแบบรายการในชวี ติ ประจาํ วนั พรอ มทบทวนวานักเรยี น ประสบปญ หาอยางไรจากการกรอกแบบรายการหรือไม พรอมกนั นั้นครผู สู อนควร ทบทวนความรูความเขา ใจของนกั เรยี นเก่ียวกับความสําคญั ของการกรอกแบบ รายการโดยเชื่อมโยงกับประสบการณเดิมของนกั เรียน หากนกั เรียนกรอกแบบ รายการผิดพลาดจะกอ ใหเ กิดความเสียหายในเรื่องใดบา ง อยา งไร จากน้ันครผู ูสอนจงึ เช่ือมโยงเนอ้ื หาของเรอ่ื ง พรอ มกับใหนักเรียนพิจารณา เปรยี บเทยี บแบบรายการแตล ะแบบวา มเี นอ้ื หาแตกตา งกนั อยา งไร และความแตกตา ง ดานเนอื้ หาดังกลา ว ยอมเกิดจากวตั ถุประสงคใ นการกรอกแบบรายการที่มคี วาม แตกตา งกัน นอกจากนักเรยี นจะสามารถกรอกแบบรายการไดถ ูกตองเหมาะสมแลว นกั เรยี นยงั สามารถสรา งแบบรายการขึ้นมาอยา งครบถวนสมบูรณไ ดอีกดวย 100 คมู่ อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใบสมคั รงาน 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกนั แสดงความคิดเห็น ดังตอไปนี้ ตั ว อ ย่ า ง • แบบกรอกรายการแบง ออกเปน ก่ีประเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบบกรอกรายการแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก 1. แบบกรอกรายการ ที่ใชเปนหลักฐาน ซงึ่ แบบกรอกรายการ ชนิดนสี้ วนใหญมีรปู แบบคงท่ี มคี วามเปน มาตรฐาน อาจมีรายละเอียดที่แตกตา งกัน บาง แตใจความสําคญั หรือรูปแบบหลกั ยังคง เหมอื นเดมิ 2. แบบกรอกรายการทีเ่ ปน แบบประเมนิ ผลเก่ียวกบั เร่อื งใดเรือ่ งหน่ึง ซงึ่ แบบกรอกรายการดงั กลาวจะมีรูปแบบ เนอ้ื หา แตกตางกันไปตามวัตถปุ ระสงคข อง การประเมนิ แบบสอบถามแตล ะประเภท) • นกั เรียนคดิ วา การแบงประเภทของแบบ กรอกรายการออกเปน 2 ประเภทขา งตน เปนวธิ ีการแบง ประเภทโดยใชห ลกั เกณฑใ ด (แนวตอบ การแบงแบบรายการท้ัง 2 ประเภท ขึ้นอยกู ับวัตถุประสงคในการนําแบบรายการ ไปใชประโยชนข องแตละหนว ยงาน จงึ สงผล ใหม ีการกาํ หนดเน้ือหาในแบบรายการท่มี ี ความแตกตา งกัน) 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนาช้ันเรียน 101 บูรณาการเช่ือมสาระ เกร็ดแนะครู ครสู ามารถนาํ ความรูเกย่ี วกบั การกรอกแบบรายการในการสมคั รงาน ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเกย่ี วกับการกรอกแบบรายการนั้น ครูผสู อน เชื่อมโยงกับสาระการเรียนรูการงานอาชพี และเทคโนโลยี รายวชิ าการงาน ควรใหนักเรยี นพจิ ารณาเนอื้ หาท่ีปรากฏในแบบรายการวา แบบรายการทที่ าํ การกรอก อาชีพและเทคโนโลยี หนวยการเรยี นรเู รอื่ ง งานอาชพี เนือ้ หาเกี่ยวกับ นน้ั ประกอบดว ยเนือ้ หาเร่อื งใดบางอยางไร โดยพจิ ารณารวมกบั วตั ถุประสงคหรอื แนวทางการเขาสอู าชีพ โดยเชื่อมโยงวธิ ีการกรอกแบบรายการในการ เปาหมายในการกรอกแบบรายการ ซ่งึ มวี ัตถปุ ระสงคแ ตกตางกนั ความแตกตางของ สมคั รงาน เพ่อื แสดงถงึ ขอมูลพ้นื ฐานตา งๆ ในการดาํ เนินชวี ิต รวมถึงระบุ วัตถุประสงคใ นการกรอกแบบรายการดังกลา วยอ มสงผลตอ เนื้อหาทมี่ ีความแตกตา ง รายละเอียดตา งๆ ของตนเองไดอยา งถูกตอ งเหมาะสม เปน พ้ืนฐานทด่ี ี กนั ดว ย และแบบรายการแตล ะประเภทกม็ กี ารนําขอ มูลไปใชแ ตกตา งกนั ดว ย ในการเตรียมตัวสมคั รเขา ทํางาน เหตุนีก้ ารพจิ ารณาเนื้อหาในแบบรายการกอ นท่นี กั เรียนจะกรอกแบบรายการจงึ มีความสําคญั เพราะชว ยใหน กั เรยี นสามารถทราบไดว า แบบรายการที่ปรากฏน้นั เนน ยํา้ ประเดน็ หรือเนอื้ หาในเรือ่ งใดเปนสําคัญ นักเรียนสามารถกรอกเนอ้ื หาดังกลา ว ไดส อดคลองกบั ขอมูลท่ีผูอ อกแบบแบบสอบถามตอ งการ และสามารถนาํ ขอมูล ดังกลา วไปใชไ ดอยางเหมาะสม ค่มู ือครู 101

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรู ตั ว อ ย่ า ง ในประเดน็ ตอไปน้ี • จากการศึกษาแบบรายการจากหนา 100 -103 นักเรียนคดิ วา แบบรายการแตละชนิดมีความ แตกตา งกันหรือไม อยา งไร (แนวตอบ มคี วามแตกตางกนั ดานเนอ้ื หาของ แบบรายการ มกี ารใหรายละเอยี ดโดยเนนย้าํ ประเดน็ สาํ คัญของเนอ้ื หาท่ีมีความแตกตา ง กัน สงผลใหร ายละเอียดในการกรอกแบบ รายการมคี วามแตกตา งกันไปดวย) • นกั เรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ดแบบรายการ แตล ะประเภทจึงมีความแตกตา งกนั และ ความแตกตางกันดงั กลาวสงผลตอ จุดมงุ หมายในการสื่อสารอยางไร (แนวตอบ แบบรายการแตละประเภทมคี วาม แตกตา งกัน เน่อื งจากจดุ มุงหมายและ แนวทางการนําแบบรายการไปใชม ีความ แตกตา งกัน ทาํ ใหแ บบรายการแตล ะประเภท มจี ุดเนน ดา นรายละเอียดทีแ่ ตกตา งกนั นักเรียนสามารถยกตวั อยางแบบรายการ แตละประเภทในหนังสอื เรียนเปรยี บเทยี บกนั ได โดยแบบกรอกรายการทใ่ี ชเปน หลักฐานใน การรับฝากเงินของธนาคารจะพบรายละเอียด ของเจาของบัญชี พรอ มจํานวนเงิน สวนใบ สมัครงานจะเนนประวัตแิ ละประสบการณ เปน หลกั ) 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 102 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดไมเ กี่ยวของ กับคุณสมบตั พิ ืน้ ฐานของผูก รอกแบบรายการ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเก่ยี วกับการกรอกแบบรายการนน้ั ครูผสู อน 1. มที ัศนคติท่ีดี นอกจากจะใหน กั เรียนพจิ ารณาเนอ้ื หาท่ปี รากฏในแบบรายการแลว ครูผูสอนควร 2. มคี วามรบั ผิดชอบ เพิ่มเตมิ ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั แบบรายการวา แบบรายการเปน เอกสารทจ่ี ดั ทํา 3. มคี วามรูความเขา ใจ ขึน้ โดยเวน ที่วา งเอาไวส าํ หรับกรอกรายละเอียดหรือขอความของแตล ะบุคคลลงไป 4. มีความสามารถในการใชภ าษา เพอ่ื ใหสะดวกแกการรวบรวมและนาํ ขอความไปใชประโยชนในดานตา งๆ ตามทีร่ ะบุ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. มที ัศนคติทด่ี ี เพราะคณุ สมบัติพืน้ ฐานของ ขอ มูลเอาไว ฉะน้ัน การใชภาษาในการกรอกแบบรายการจงึ ตอ งสนั้ กระชับ แตให ผกู รอกแบบรายการมีความสอดคลอ งกับขออ่ืนๆ ดงั น้ี มีความซือ่ ตรงและ รายละเอยี ดครอบคลมุ เรอ่ื งทก่ี รอก รับผดิ ชอบ มคี วามรคู วามเขา ใจ มีความสามารถในการใชภาษา และมีความ รอบคอบ สง ผลดตี อ การกรอกแบบรายการไดส มั ฤทธิผล แบบรายการน้ันมหี ลายประเภท ครูควรยกตวั อยางและจัดหมวดหมแู บบรายการ โดยการตัง้ คําถามใหน ักเรียนยกตวั อยางแบบรายการ จากนั้นใหน กั เรียนแยกหมวดหมู และจดั หมวดหมูของแบบรายการแตล ะประเภทตามลกั ษณะเน้อื หาของแบบรายการ โดยใหน ักเรยี นรว มกันพิจารณา เพ่อื ใหน กั เรียนเกดิ ความเขาใจเนอื้ หาในแบบรายการ และเปนพน้ื ฐานในการกรอกรายละเอียดจากแบบรายการไดอยางชัดเจน 102 คู่มือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใบตอบรบั ไปรษณยี ด์ ว่ นพเิ ศษ (EMS) 1. นกั เรียนรว มกันระดมความคิดดว ยการตอบ คําถาม ตอไปนี้ ตั ว อ ย่ า ง • นักเรียนคิดวา การกรอกแบบรายการแตละ ประเภทมีขอดีอยา งไร (แนวตอบ การกรอกแบบรายการมีขอ ดี คอื ใหร ายละเอยี ดครบถวนตรงตามที่ตองการ หากเขียนชแ้ี จงทั้งเรอ่ื งโดยไมม ีการระบุ รายการทตี่ อ งการทราบ เนือ้ หาจะมากเกนิ ไปและไมตรงกบั ความตอ งการของผูอาน มี ความสะดวกสบายในการตอบแบบสอบถาม ไมเ สียเวลา เนื้อหามีความเปน ระเบยี บ และ สะดวกในการดาํ เนินการ) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขยายความเขา้ ใจ Expand ตั ว อ ย่ า ง 1. นกั เรยี นยกตัวอยา งแบบรายการที่ใชเปน หลกั ฐาน พรอ มระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก ตวั อยา่ งแบบฟอรม์ ใบตอบรบั EMS (Express Mail Service) เปน็ บรกิ ารไปรษณยี ด์ ว่ นพเิ ศษ แบบรายการแตล ะประเภทดวยวา การกรอก ซึ่งบริการน้ีสามารถฝากส่งได้ท้ังจดหมาย พัสดุ และธนาณัติ เป็นต้น แบบฟอร์มข้างต้นน้ีมีไว้ แบบรายการทีใ่ ชเ ปน หลักฐานมจี ุดมงุ หมาย ส�าหรับผู้ฝากส่งที่ต้องการหลักฐานการตอบรับของผู้รับ โดยผู้ฝากส่งต้องกรอกรายละเอียดให้ เพอื่ อะไรเปนสําคัญ ครบถ้วนในช่องช่ือและที่อยู่ของผู้ฝากส่งและรายละเอียดของช่ือผู้รับ เมื่อผู้รับได้รับไปรษณีย ์ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตวั อยางไดอยา ง ดงั กลา่ วนแี้ ลว้ ตอ้ งกรอกคา� ตอบรับลงในใบตอบรบั น ี้ จากน้ันบรุ ุษไปรษณีย์จะสง่ ใบตอบรบั EMS หลากหลาย เปน ตน วา ใบสมัครงาน เนน การ ในประเทศกลบั มายงั ผฝู้ ากส่งเพื่อเก็บไว้เปน็ หลักฐาน ใหรายละเอยี ดเก่ียวกับผสู มัครงาน เพอ่ื แสดง ศักยภาพและประสบการณข องผสู มคั รงานเอง 103 ใบตอบรบั สินคาและแบบตอบรับพัสดไุ ปรษณีย จุดมงุ หมายเพ่ือแจงรายละเอียดของสินคา พรอมการตอบรบั แบบสญั ญาซ้อื ขายหรอื กเู งิน จุดมุงหมายเพื่อใหเกดิ ผลผกู พนั ทางกฎหมาย ระหวางสองฝาย รายละเอียดจงึ ตองมีความ ชดั เจน พรอมลงลายมือช่ือในตอนทาย) 2. ครสู ุมนักเรยี น 2-3 คน ออกมานาํ เสนอหนา ชน้ั เรยี น จากน้ันนักเรยี นบันทึกความเขาใจลง ในสมดุ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ขอใด ไมควร ปฏบิ ตั ใิ นการกรอกแบบรายการสัญญา ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเกี่ยวกบั การกรอกแบบรายการนน้ั ครผู สู อน 1. กรอกขอ ความอยา งละเอียด นอกจากจะใหนกั เรียนพิจารณาเน้อื หาทปี่ รากฏในแบบรายการแลว ครผู สู อนควร 2. อานแบบรายการสัญญาอยางละเอียด เพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกับคุณสมบตั ิขัน้ พื้นฐานของผูก รอกแบบรายการวา 3. ปรึกษาผูรูกอนกรอกแบบรายการสญั ญา คุณสมบตั ิพ้นื ฐานของผูก รอกแบบรายการจาํ เปนตอ งมคี ณุ สมบัติ ดังตอ ไปน้ี 4. ลงลายมือชอื่ ในแบบรายการที่ไมไ ดก รอกขอ ความครบถว น ผูก รอกแบบรายการตอ งมีความรคู วามเขาใจทั่วไปเกีย่ วกบั เรือ่ งท่ีตองการกรอก วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ลงลายมอื ช่อื ในแบบรายการท่ไี มไดกรอก มีความรูความเขา ใจเก่ียวกบั ขอ มลู พื้นฐานของตนเอง เชน ขอมูลเกยี่ วกบั วัน เดือน ปเกิด ทีอ่ ยู ภมู ิลําเนาเกิด นามบดิ ามารดา หรือเครือญาติ ชอ่ื ทอ่ี ยขู องบุคคลใกลช ิด ขอ ความครบถวน เนอ่ื งจากการกรอกแบบรายการสญั ญาเปน เอกสารทมี่ ีผล ท่สี ามารถตดิ ตอไดในภาวะฉุกเฉินหรือเมอ่ื เกิดความจาํ เปน หมเู ลือด โรคประจาํ ตวั ผูกพนั ทางกฎหมายระหวางบุคคล 2 ฝา ย หากแบบรายการที่ตองลงลายมอื ประวัตกิ ารแพยา กฎหมายที่เกี่ยวขอ งกบั ตนเอง เร่ืองราวหรอื เหตุการณต า งๆ ชอ่ื มีการกรอกขอมลู ไมค รบถว น อาจมกี ารเปลีย่ นแปลงรายละเอียดของ ทเ่ี กยี่ วขอ ง เมอื่ ผกู รอกแบบรายการมีความรูเ หลา นอ้ี ยางถูกตอ งเหมาะสมแลว สัญญาในภายหลงั ซ่งึ จะสงผลเสียไดใ นอนาคต จะชว ยใหผกู รอกแบบรายการกรอกขอมลู ไดถูกตอง ไมผ ดิ พลาดคลาดเคลอื่ น สามารถกรอกขอมูลไดส อดคลอ งกับจุดมุง หมาย และไมเสียประโยชนท้งั ของตนเอง และผูอ่นื คมู่ อื ครู 103

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนจดั กลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอมรวมกัน แบบกรอกรายการที่เป็นการประเมนิ ผล แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ จากประเด็นคําถาม ดังตอไปนี้ แบบสอบถามความพงึ พอใจในสนิ คา้ และบรกิ าร • นกั เรียนคิดวา แบบกรอกรายการทเี่ ปน การ ประเมนิ ผลมีจุดมงุ หมายในการกรอกแบบ เพศ ❑ ชาย ❑ หญงิ ❑ อาย ุ ............................... ปี รายการอยา งไร ระดับการศกึ ษา ❑ ปริญญาตรี ❑ ปรญิ ญาโท ❑ ปริญญาเอก ❑ อื่นๆ (แนวตอบ จุดมงุ หมายในการกรอกแบบรายการ อาชพี ❑ นกั เรยี น/นักศึกษา ❑ บุคลากร ❑ บคุ คลทั่วไป ประเภททเ่ี ปนการประเมินผล ซ่ึงผูอ่ืนขอ ความรวมมือใหก รอก เพ่ือใหทราบขอเทจ็ จรงิ ประเดน็ ความพึงพอใจ มาก ปานกลาง น้อย ของขอ มลู หรอื ทรรศนะของประชาชนกลุม ตางๆ ท่ีตอบแบบรายการ) ดา้ นบคุ ลากร • นักเรียนคดิ วา การกรอกแบบรายการที่ เปน การประเมินผลตองคํานึงถงึ เรอื่ งใดบา ง ใสใ่ จและกระตือรอื ร้นทจ่ี ะให้บริการ อยางไร (แนวตอบ ความรคู วามเขาใจเนื้อหา ความ ใหค้ า� แนะน�าและตอบค�าถาม สามารถในการใชภ าษา กรอกขอ มลู อยา งตรง- ไปตรงมา เพ่ือใหเ กดิ ความถกู ตอ งของขอ มูล ใหบ้ ริการทันที สะดวกรวดเรว็ เปน การรับผดิ ชอบผลประโยชนทงั้ สว นตน และสว นรวม รวมถงึ กรอกขอมูลดว ยความ พูดจาสภุ าพ ไพเราะ อธั ยาศัยดี รอบคอบ) ด้านบรกิ าร 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ตั ว อ ย่ า ง ให้บรกิ ารชัดเจน ครบถ้วนตามกระบวนการ บรกิ ารอยา่ งเหมาะสม อปุ กรณ์ เครือ่ งมือทนั สมัย ใช้งานงา่ ย มีบอร์ดแจง้ ขา่ วสารชดั เจน ระยะเวลาในการใหบ้ รกิ ารเหมาะสม บรรยากาศ สิ่งอา� นวยความสะดวก ขยายความเขา้ ใจ Expand สิ่งแวดลอ้ มทา� ให้รูส้ กึ ผอ่ นคลาย มที ่นี ง่ั เพยี งพอ 1. นักเรียนยกตัวอยางแบบกรอกรายการท่ีเปนการ สถานทสี่ ะอาดเรยี บร้อย มแี สงสวา่ งเพยี งพอ ประเมนิ ผล พรอมระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก ห้องนา�้ สะอาด แบบรายการ และประเมนิ ผลดวยวา การกรอก ที่จอดรถเพยี งพอ แบบประเมินมีจดุ มงุ หมายเพอ่ื อะไรเปน สําคญั ความคดิ เหน็ เพิม่ เตมิ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถสืบคน ขอ มลู เพ่มิ เตมิ พรอ มยกตัวอยา งการกรอกแบบรายการทเี่ ปน ................................................................................................................................................................................................................................................ การประเมินผลไดจากส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกสป ระเภท ................................................................................................................................................................................................................................................ ออนไลนอยางสือ่ อินเทอรเน็ต) 104 2. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรยี น จากนนั้ นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ลงในสมดุ เกรด็ แนะครู ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเกย่ี วกบั การกรอกแบบรายการนน้ั ครผู ูสอน การกรอกแบบรายการสัญญาในขอใดท่ี ไมควร ปฏบิ ตั ิ ควรเพิม่ เติมความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับคุณสมบัติข้ันพ้นื ฐานของผูก รอกแบบรายการ 1. กรอกขอ มูลดวยลายมอื ท่ชี ัดเจน วา คุณสมบตั ิพ้นื ฐานของผกู รอกแบบรายการจําเปน ตองมีคณุ สมบตั ิ ดังตอ ไปนี้ 2. ปฏิบตั ิตามคําแนะนาํ อยา งเครง ครดั 3. ใชป ากกาหมกึ สดี ําหรอื สีนํ้าเงินเทานนั้ คุณสมบตั ขิ ั้นพืน้ ฐานในการกรอกแบบรายการ คอื ความสามารถในการใชภาษา 4. อา นคาํ อธิบายในแบบแสดงรายการสัญญาอยางรวดเร็ว ความสามารถในการอา นขอ ความและตีความขอ ความที่ปรากฏในแบบรายการได อยางถูกตอ ง และสามารถกรอกแบบรายการไดอ ยา งเหมาะสม เขาใจในจดุ มุง หมาย วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. อา นคําอธิบายในแบบแสดงรายการสัญญา ของการกรอกแบบรายการ ขอ สาํ คญั คือ หากผูกรอกแบบรายการไมเขา ใจแบบ รายการทีก่ รอกในประเด็นใด ใหสอบถามผูรูหรือผูท ม่ี สี ว นเกย่ี วขอ งในประเดน็ น้นั อยา งรวดเร็ว เนื่องจากการกรอกแบบรายการสัญญาเปน เอกสารทมี่ ผี ลผูกพนั นอกจากนี้ ผกู รอกแบบรายการตองมคี วามซอื่ ตรง คอื กรอกขอมลู จรงิ อยา งตรงไป- ทางกฎหมายระหวา งบคุ คล 2 ฝา ย สญั ญานจ้ี ะจัดทําข้นึ เปน แบบรายการ ตรงมา รวมถึงมีความรบั ผดิ ชอบตอ เนอ้ื หาทตี่ นเองไดก รอกลงไปในแบบรายการ เพ่อื ใหคสู ญั ญาเกิดความสะดวก ไมตอ งเรยี บเรียงถอยคาํ ข้นึ เอง เพยี งแต เนอ่ื งจากแบบรายการบางประเภทอาจมผี ลผกู พนั ทางกฎหมาย กอ นกรอกแบบรายการ กรอกขอ มูลเทาน้ัน พรอ มลงลายมือชือ่ กํากับ สญั ญาจึงมีผลสมบรู ณ ฉะน้ัน จึงตอ งพิจารณาอยา งถถ่ี วน กอ นกรอกรายละเอยี ด พรอมลงลายมือชอื่ กํากับ ผกู รอกแบบสญั ญาจงึ ไมค วรรบี อา นเนื้อหารวดเรว็ เกนิ ไป แตค วรอา นดวย เหตนุ ้นี กั เรยี นจงึ ตอ งกรอกขอมลู ดวยความรอบคอบ ความละเอียดถีถ่ ว นและระมดั ระวัง ไมค วรประมาท เพราะหากกรอกขอ มลู โดยไมพ ิจารณาอาจนํามาสูค วามเสยี หายได 104 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) หลกั การกรอกแบบรายการ มหี ลกั ในการกรอกแบบรายการต่างๆ ดังน้ี 1. นักเรียนรวมกันระดมความคิดดว ยการตอบ ๑. พจิ ารณาเอกสารใหถ้ ถ่ี ว้ น และทา� ความเขา้ ใจวา่ จะตอ้ งกรอกรายละเอยี ดอะไรบา้ ง คาํ ถาม ตอ ไปน้ี ๒. อา่ นและตคี วามหมายของขอ้ ความในแบบฟอรม์ นนั้ ใหถ้ กู ตอ้ งวา่ เจา้ ของแบบฟอรม์ • นักเรยี นคดิ วา ในการกรอกแบบรายการ ตอ้ งการทราบเกยี่ วกบั อะไร หากไม่แน่ใจตอ้ งถามก่อน อย่าเดาเป็นอนั ขาด ประเภทตางๆ นักเรียนมีขอคํานึงในการ ๓. เขยี นขอ้ ความดว้ ยตนเอง อา่ นงา่ ย และเขยี นรายละเอยี ดเทา่ ทจี่ า� เปน็ กรอกแบบรายการในประเด็นใดบาง อยา งไร ๔. รกั ษาความสะอาด พยายามอยา่ ใหม้ รี อยขดู รอยเปอ้ื น หรอื รอยยบั จนไมน่ า่ ดู (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๕. เขียนให้ได้ใจความกระชับพอเหมาะกับช่องว่าง อย่าเขียนเบียดหรือล้นไปยัง ไดอยางหลากหลาย เปนตน วา อา นเอกสาร ขอ้ ความอน่ื ๆ อยางถถี่ วน และทําความเขาใจรายละเอียด ๖. ควรเขยี นขอ้ มลู ตามความจรงิ ของเอกสาร ตคี วามความหมายใหเขาใจวา ๗. ข้อมูลต้ังแต่ต้นจนถึงข้อสุดท้าย ไม่ควรมีตอนใดขัดแย้งกันเองเพราะท�าให้ขาด เอกสารตอ งการใหก รอกอะไร เขียนขอ ความ ความนา่ เชอ่ื ถอื ดวยตนเอง อา นงา ย และใสเฉพาะราย- ๘. การเขยี นจา� นวนเงนิ ควรตรวจทานดูใหถ้ กู ตอ้ งและควรเขยี นตวั อกั ษรกา� กบั ละเอียดทจี่ าํ เปน เขียนขอมูลตามจริง ขอมลู ๙. เขยี นตวั สะกดการนั ต์ใหถ้ กู ตอ้ ง ไมข ดั แยงกัน เพ่ือสรางความนา เชือ่ ถอื เขียน ๑๐. แบบฟอร์มที่เป็นภาษาต่างประเทศ ผู้กรอกแบบฟอร์มควรกรอกด้วยภาษาน้ันๆ สะกดคาํ ใหถ กู หลกั ภาษา ตรวจทานเอกสาร เวน้ แตจ่ ะมกี ารระบใุ หก้ รอกขอ้ ความเปน็ ภาษาอน่ื อยางละเอียดรอบคอบเสมอ) ๑๑. เอกสารทตี่ ้องมีสา� เนา ควรใส่กระดาษคารบ์ อนใหต้ รงตามจ�านวนทตี่ ้องการ ๑๒. ตรวจทานข้อความที่กรอกอย่างรอบคอบเสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงรายละเอียด 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ท่ีส�าคัญ เช่น การท�าสัญญา การช�าระเงิน เง่ือนไขต่างๆ ตัวเลข ชื่อ-นามสกุล ในเอกสารท่ี เกยี่ วขอ้ งทางกฎหมาย เพราะหากกรอกขอ้ ความผดิ พลาดอาจเกดิ ความเสยี หายภายหลงั ขยายความเขา้ ใจ Expand แบบรายการตา่ งๆ ทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ ประจาำ วนั ไมว่ า่ จะใชเ้ ปน็ หลกั ฐานหรอื ใชป้ ระเมนิ นักเรยี นเลือกแบบกรอกรายการท่ใี ชเ ปน ส่ิงใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ต้องกรอกด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการกรอกแบบรายการท่ีใช้เป็น หลกั ฐานและแบบกรอกรายการท่เี ปน แบบประเมิน- หลักฐานต่างๆ สำาหรับการกรอกแบบรายการที่เป็นแบบประเมินผล ควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับ ผลเกี่ยวกบั เรื่องใดเร่อื งหน่ึงที่นักเรยี นไดท าํ การ สภาพหรือบรกิ ารทีไ่ ดร้ บั เพ่ือให้ขอ้ มูลที่กรอกสามารถนาำ ไปใช้ประโยชน์ได้ และเกิดประโยชน์ สบื คนมาจากการปฏิบัติกิจกรรมขยายความเขา ใจ อยา่ งแทจ้ รงิ ในบทเรยี นที่ผานมา จากนัน้ นกั เรียนนําแบบกรอก รายการดงั กลา วมากรอกรายละเอียด โดยเลอื กใช ภาษาใหเหมาะสมกบั ชนิดของแบบรายการ 105 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู เพราะเหตใุ ดนกั เรยี นจึงตองกรอกแบบรายการดวยความซ่ือตรง ครูผสู อนควรเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั ผลเสยี หายทีเ่ กดิ ขน้ึ จากการ 1. เพอ่ื ใหนกั เรยี นกรอกขอ มลู ไดโดยไมผิดพลาด กรอกแบบรายการ แบงเปน 2 ลักษณะ คอื 2. เพอื่ ปอ งกนั การเสียผลประโยชนของตนเอง 3. เพอื่ ไมใ หเ กิดความเสียหายตอ ขอ มูลที่กรอก 1. เสยี ประโยชนต น การใหร ายละเอยี ดทไี่ มถ กู ตอ งชดั เจนอาจนาํ มาซงึ่ ขอ ผดิ พลาด 4. เพอ่ื ปองกันไมใหเสยี ผลประโยชนทง้ั ผลประโยชนสว นตนและผลประโยชน ตางๆ เชน การกรอกประวตั ิคนไขไ มค รบถวน อาจไดยาทน่ี ํามาสูอาการ แพได หรือการทําขาวของสญู หาย แตใ หร ายละเอยี ดของทอี่ ยูใ นการสง ของ สวนรวม กลับบานไมชดั เจน เปน ตน พฤติกรรมดังกลาวนอกจากจะเกดิ จากความ ไมเขา ใจเน้อื หาในแบบรายการแลว ยงั เกดิ จากความไมเขา ใจวัตถปุ ระสงค วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพอ่ื ปองกันไมใหเ สยี ผลประโยชนท ั้ง และการใหค วามสาํ คัญกบั เนอ้ื หาท่กี รอก จงึ ทําใหกรอกขอ มลู ผิดพลาด ผลประโยชนสวนตนและผลประโยชนส ว นรวม เนื่องจากในการกรอก 2. เสียประโยชนผอู ่นื รวมถงึ ประโยชนข องสว นรวม เชน การสํารวจสาํ มะโน แบบรายการนัน้ ผกู รอกควรกรอกขอมลู ที่เปนจริงเสมอไมค วรใหขอมูลท่ี ประชากรในการจดั สรรสาธารณูปโภค ถาผกู รอกใหขอ มูลเทจ็ หรอื กรอกขอ มูล เปนเท็จ เพราะจะทาํ ใหเกดิ ผลเสยี ตอตนเอง เชน เมือ่ ตองการสง ของแต ไมค รบถว น การประมวลผลขอมลู อาจผิดพลาด สง ผลตอการกาํ หนดนโยบาย กรอกรายละเอียดไมค รบของที่สง อาจไปไมถึงที่หมาย เปน ตน นอกจากน้ี และจัดสรรงบประมาณทผี่ ดิ พลาดไดดว ย ยังสงผลเสยี ตอผอู ืน่ เชน การกรอกแบบสาํ รวจสํามะโนประชากร หากกรอก รายละเอียดทีเ่ ปนเทจ็ อาจเกิดความผดิ พลาดตอฐานขอมูลสงผลเสียตอการ ค่มู ือครู 105 กําหนดนโยบายท่เี กิดจากการแปรขอมูลโดยรวมได

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั คาำ ถามประจาำ หน่วยการเรยี นรู้ ความหมายและความสาํ คัญของแบบรายการ ประเภทของแบบรายการชนดิ ตางๆ รวมถึง ๑. การกรอกแบบรายการมีความเกีย่ วขอ้ งกับชีวิตประจา� วนั หรอื ไม ่ อยา่ งไร หลกั ในการกรอกแบบรายการ ๒. การกรอกแบบรายการไมค่ รบถว้ นมผี ลเสยี อยา่ งไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ ๓. หากไมเ่ ขา้ ใจเกยี่ วกบั รายละเอยี ดทต่ี อ้ งกรอกในแบบกรอกรายการ ควรกรอกหรอื ไม ่ 2. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ียวกบั การ แบงประเภทของแบบกรอกรายการ พรอมระบุ เพราะเหตใุ ด หลกั เกณฑใ นการแบงประเภทและจุดมงุ หมาย ๔. แบบกรอกรายการประเภทใดท่จี า� เปน็ ตอ้ งใช้ความรอบคอบและวิจารณญาณ ในการสอ่ื สารได ในการกรอก จงอธิบาย และยกตัวอยา่ งประกอบ ๕. แบบกรอกรายการที่เปน็ ภาษาต่างประเทศ มีหลักในการกรอกแตกต่างจาก 3. นกั เรียนยกตวั อยา งแบบกรอกรายการท่ใี ช แบบกรอกรายการภาษาไทยอย่างไร เปนหลกั ฐานและแบบกรอกรายการทีเ่ ปน การ ประเมนิ ผล พรอมระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก กิจกรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ แบบรายการแตล ะประเภทได ๑. ให้นักเรยี นออกแบบแบบกรอกรายการเพือ่ ส�ารวจความคิดเหน็ ในเร่อื งต่างๆ 4. นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกีย่ วกับขอ ทนี่ กั เรยี นสนใจในโรงเรยี น แล้วประเมนิ ผลพร้อมให้ข้อมูลกบั บุคคลทเ่ี กี่ยวขอ้ ง คํานงึ ในการกรอกแบบรายการแตละประเภท เพ่ือน�าไปปรับใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ พรอมยกตัวอยา งประกอบได - วิชาที่เรียนแล้วมคี วามสขุ ทสี่ ดุ 5. นักเรยี นสามารถกรอกแบบรายการประเภท - การบริการในโรงเรยี น ตา งๆ ไดอยางถูกตองเหมาะสม ๒. ให้นักเรยี นร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกับแบบกรอกรายการทส่ี า� รวจความคดิ เห็น หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ของสถาบนั ต่างๆ ว่ามีประโยชน์อยา่ งไรบ้าง แล้วสรุปผลนา� ส่งคร ู ๓. ให้นักเรยี นฝึกเขียนแบบกรอกรายการทีจ่ �าเปน็ ตอ้ งใช้ในชวี ิตประจ�าวัน เพอ่ื ตรวจสอบ 1. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความหมาย และความสาํ คัญของแบบรายการ ประเภทของ ความถูกต้อง และน�าไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ แบบรายการ รวมถึงหลกั ในการกรอก 106 2. ความเรียงสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกับการแบง ประเภทของแบบกรอกรายการ พรอมระบุหลกั เกณฑใ นการแบง ประเภท 3. ตวั อยางแบบรายการทใี่ ชเปน หลกั ฐานและแบบ กรอกรายการทเ่ี ปนการประเมินผล พรอมความ เรยี งระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอกแบบรายการ 4. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับขอคาํ นึงใน การกรอกแบบรายการ พรอมตัวอยาง 5. แบบรายการประเภทตา งๆ ท่ีกรอกไดอ ยาง เหมาะสม 6. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. การกรอกแบบรายการมีความเก่ียวของกบั ชีวติ ประจาํ วนั หลายดา น เนื่องจากในการติดตอกจิ ธุระตา งๆ มักมกี ารกรอกแบบรายการทัง้ 2 ประเภท ไดแก แบบกรอก รายการท่ใี ชเ ปน หลักฐาน เชน การสมัครสมาชกิ การสมัครงาน ใบตอบรบั สินคา แบบตอบรบั พสั ดไุ ปรษณีย แบบสัญญาซอ้ื ขายหรือแบบสญั ญากูเ งิน แบบกรอกรายการ ที่เปน แบบประเมนิ ผลเกี่ยวกบั เรื่องใดเร่อื งหน่ึง เชน แบบประเมินความพงึ พอใจของลูกคาในการใชสินคา และบรกิ าร 2. การกรอกแบบรายการไมครบถว นจะสง ผลเสียทง้ั ผลเสยี ตอตนเองโดยตรง เชน หากทาํ สญั ญาซอ้ื ขายแลวกรอกขอความไมค รบถว นยอ มสง ผลเสยี ใหเกิดขอผกู พนั ทางกฎหมายขนึ้ ได นอกจากผลตอ ตนเองแลวยงั สงผลตอ ผอู น่ื หรือสวนรวม เชน หากพจิ ารณาขอ มลู ท่ใี หกรอกคลาดเคล่อื น ยอมสงผลใหก รอกขอ มูลไมต รงกบั แบบสอบถาม การนําขอ มลู ไปใชใ นการวเิ คราะหกอ็ าจมคี วามผดิ พลาดหรือคลาดเคลอ่ื นจากความเปนจริงได 3. หากไมเขาใจรายละเอยี ดในการกรอกแบบรายการ ไมควรกรอก เนอ่ื งจากจะทําใหขอ มูลผิดพลาดหรอื มคี วามคลาดเคลอ่ื นจากจดุ ประสงคใ นการกรอกขอมูลได 4. แบบกรอกขอ มลู ประเภทที่ใชเปน หลักฐานตอ งอาศยั ความรอบคอบและมีวจิ ารณญาณในการกรอกขอ มูล เนื่องจากขอ มลู ท่ีกรอกอาจมีผลผกู พนั ทางกฎหมาย เชน การทาํ สญั ญาซอ้ื ขายหรอื กยู มื เงนิ 5. แบบกรอกรายการภาษาตา งประเทศนั้นควรกรอกตามภาษาท่ปี รากฏในแบบรายการ เวนแตจ ะมีการระบใุ หกรอกขอความเปน ภาษาอ่นื ความแตกตา งจึงขนึ้ อยูกบั ภาษา ที่ใชในการกรอกขอ ความ 106 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ óตอนท่ี การฟง การดู และการพูด นักเรยี นพจิ ารณาภาพหนาตอน จากนน้ั ครู สนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การฟงและการดู เปนทักษะการรับสารทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา • จากความเจรญิ กา วหนา ดานเทคโนโลยีและ ที่ใชในชีวิตประจําวันมากท่ีสุด เปนทักษะพื้นฐานของการพัฒนาศิลปะภาษา การส่อื สารมวลชนในปจจบุ นั นกั เรยี นคดิ วา ดา นอน่ื ๆ ปจ จบุ นั วทิ ยาการตา งๆ ตลอดจนเทคโนโลยแี ละสอ่ื มวลชนเจรญิ กา วหนา ทักษะการสอ่ื สารประเภทใดมคี วามสําคญั อยางรวดเร็ว ทักษะการฟงและการดูจึงย่ิงมีความจําเปนและความสําคัญมากข้ึน ตอชวี ติ ประจาํ วนั ของนักเรยี นมากทส่ี ดุ ผูรับสารจึงควรมีหลักเกณฑและมารยาทในการเลือกฟง เลือกดูส่ือตางๆ เพ่ือให (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอยา ง เกิดประโยชนตอ ตนเองและสังคมมากทส่ี ุด หลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนักเรียน เปนตนวา ทักษะการฟง การดู และการพูด เปนทกั ษะทจี่ าํ เปน ในการสอื่ สารในชีวติ ประจาํ วัน โดยเฉพาะอยางยง่ิ การติดตอ สอื่ สารผานเทคโนโลยที างการสือ่ สาร ประเภทตางๆ) • นกั เรียนคดิ วา ทักษะการฟง การดู และการ พูดมคี วามสมั พันธก นั อยา งไร โดยเฉพาะ อยา งยิง่ การตดิ ตอส่ือสารผานเทคโนโลยีใน ชวี ติ ประจาํ วัน (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง หลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น เชน ทักษะการฟง การดู และการพูดเปน ทกั ษะท่ีจําเปน ในการส่ือสาร ดว ยการรับสาร ทางวัจนภาษาและอวัจนภาษา รวมถึงการ สอื่ สารสองทาง โดยการไดรับขอ มูลและการ ตอบกลับขอ มลู ) เกรด็ แนะครู การเรยี นรูในตอนที่ 3 เร่ือง การฟง การดู และการพูดนี้ ครคู วรเพ่มิ เติมความรู ความเขาใจเกี่ยวกับทักษะการสอ่ื สารและทกั ษะการใชภ าษาจากสาระการเรยี นรูใน กลมุ สาระการเรยี นรูภาษาไทยท้ัง 5 สาระ ประกอบดว ยสาระตา งๆ ดังน้ี สาระทีม่ ี ลักษณะการสอนท่สี ัมพนั ธกนั ในฐานะผูส ง สารและผรู ับสาร คอื สาระการฟง การดู และการพูด การส่อื สารในฐานะผูสง สาร คอื การพดู การสือ่ สารในฐานะผูรับสาร คือ การฟง และการดู ดังนนั้ การจดั การเรียนการสอนตามสาระการเรยี นรูน้ี จงึ ควรจดั ในลักษณะที่แสดงใหเห็นความสัมพนั ธข องทกั ษะการสือ่ สารท้ังการรับสาร และการสงสาร และการท่สี าระนก้ี าํ หนดใหผเู รยี นเรยี นรทู ักษะการรับสารและการ สง สารทั้งสองสว นนี้พรอ มกนั ถือเปน แนวทางท่ีเหมาะสมในการพัฒนาประสทิ ธภิ าพ ในการสือ่ สารมากย่งิ ขึน้ การเรียนรูด ว ยวธิ ีการผสมผสานทกั ษะทางการสือ่ สารท้งั ใน ดา นการรับสารและการสงสาร ถือเปนสวนสําคญั ทีช่ วยใหน ักเรยี นสามารถนาํ องค ความรูทไ่ี ดจ ากการสอื่ สารมาประยกุ ตใ ชในการดาํ เนนิ ชวี ติ ไดเ ปน อยางดี นอกจากน้ี การเรยี นรูทักษะการรบั สารและการสงสารไปพรอ มกนั ยังชวยปรับปรงุ บุคลกิ ภาพ สรา งความมัน่ ใจในตนเองของนักเรยี นใหดียิง่ ขน้ึ คมู่ ือครู 107

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. มีวิจารณญาณในการเลือกเร่อื งที่ฟงและดู ตอนท่ี ๓ 2. มีมารยาทในการฟงและการดู สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป ญหา 4. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพึงประสงค การฟงและการดู 1. ใฝเรยี นรู เปนทักษะการรับสารทั้งวจั นภาษา 2. มุงม่ันในการทํางาน และอวจั นภาษาทใ่ี ชใ นชวี ิตประจําวัน 3. รกั ความเปน ไทย ของมนษุ ยม ากท่สี ุด ในปจจบุ นั ทกั ษะการฟง และการดยู ิ่งมคี วามสําคัญมากขึน้ เพราะความ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ñหนวยการเรยี นรูท่ี เจรญิ กา วหนา ทางเทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน และ กจิ กรรมตางๆ ทชี่ มุ ชนจัดขนึ้ นอกจากนก้ี ารฟง นกั เรียนพจิ ารณาภาพหนา หนวย จากน้ันครู การดยู งั เปน พ้ืนฐานของการพัฒนาทักษะทาง สนทนาซักถามกระตุน ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ภาษาดานอื่นๆ อีกดวย ดงั นนั้ จงึ ตอ งมหี ลักเกณฑ และมารยาทในการเลอื กฟง เลือกดูส่งิ ตา งๆ เพ่อื ให • นักเรยี นคิดวา บุคคลในภาพใชทกั ษะใดบาง ในการส่อื สาร เกดิ ประโยชนต อตนเองและสงั คม (แนวตอบ ทกั ษะการฟง และการดสู อื่ ) หลกั การฟง และการดสู อ่ื • นกั เรียนคดิ วา ทกั ษะการส่อื สารดงั กลาว ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ กนกลาง ขางตนมีความสาํ คญั ตอ โลกยคุ ปจ จบุ ัน ตลอดจนชวี ิตประจําวนั ของนกั เรียนอยา งไร • มีวจิ ารณญาณในการเลือกเร่ืองทฟี่ ังและดู • การเลอื กเรอื่ งทฟ่ี งั และดอู ย่างมวี ิจารณญาณ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอ ยา ง (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๔) • มารยาทในการฟังและการดู หลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของนกั เรยี น) • มีมารยาทในการฟังและการด ู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) เกรด็ แนะครู การเรียนการสอนในหนว ยการฟงและการดูน้นั เปนการเรียนรทู ่ีสาํ คญั เพราะ การฟง และการดู เปน ทกั ษะการส่ือสารท่พี บในชวี ิตประจําวนั มากทสี่ ดุ โดยเฉพาะ อยา งย่งิ ในปจจุบนั เมื่อเทคโนโลยีการติดตอส่ือสารทง้ั ส่อื อินเทอรเน็ต โทรศัพทมือถือ และสอื่ สารมวลชนไมว าจะเปนสอื่ วิทยุ โทรทศั น หรือสอ่ื ทางเลือกตางๆ มกี าร เผยแพรขอมลู ขาวสารและความบนั เทิงไดอยา งหลากหลาย โดยมีวิธกี ารสอื่ สารผา น ท้ังภาพ และเสียง ซง่ึ เปนกระบวนการทีเ่ กดิ ขึน้ พรอมๆ กัน นอกจากนักเรียนจะเปน ผูเสพสื่อ นกั เรยี นยังทาํ หนา ท่ีในฐานะของผสู ง สารไดอกี ดวย นกั เรยี นจงึ ควรเรยี นรู วธิ กี ารฟงและดสู ือ่ รวมถงึ การพจิ ารณาทัศนคติของบคุ คลอืน่ ๆ ท่แี สดงความคิดเหน็ ในส่อื ทีน่ ักเรยี นฟง และดู เพอ่ื ใหนกั เรียนมีวจิ ารณญาณในการรับสาร และไมถูกช้นี ํา ทางความคิด ครูผสู อนจงึ ตอ งจัดกิจกรรมเพอ่ื ฝกใหนักเรียนเขาใจหลักการในการฟง และการดู ซึ่งจะสงผลดีตอตวั ผูเรยี นในการปรบั ประยกุ ตใ ชเปน ทกั ษะสาํ คญั ในการ ดาํ เนินชีวิต 108 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ความสําคัญของการฟงและดสู อ่ื ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา ในชวี ิตประจําวันนักเรียน แมวายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงกาวหนาไปอยางไร ความเจริญทางเทคโนโลยีจะพัฒนาข้ึน ไดรบั ขอ มูลหรอื เร่ืองราวขา วสารประเภท เพยี งไหนก็ตาม การฟง และการดูก็ยังคงเปนส่ิงจําเปน ในชีวติ ประจาํ วนั เพราะการฟงเปน พนื้ ฐาน ตางๆ จากแหลงใดบา ง สําคญั ของการเปน ผูรหู รือนักปราชญ ดงั ทสี่ มเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดศิ ร กลา ววา (แนวตอบ เปน ตนวา ปา ยโฆษณาวทิ ยุ โทรทศั น อนิ เทอรเ น็ต)  เวน วจิ ารณวางเวน สดับฟง เวน ทีถ่ ามอนั ยงั ไปร ู • นักเรยี นมวี ิธีการทาํ ความเขา ใจเน้ือหาของ เวน เลา ลขิ ติ สัง- เกตวา ง เวน นา ขอมูลขา วสารทีไ่ ดร ับ รวมถงึ วเิ คราะหความ เวนดัง่ กลา ววา ผู ปราชญไดฤ ๅมี นาเชือ่ ถือของขอ มลู อยา งไร (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอ ยา ง (โคลงโลกนติ ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) หลากหลายขน้ึ อยูกับเหตุผลของนกั เรียน) การสดับฟง จึงหมายความวา การฟงอยางตั้งใจและฟงดวยความเอาใจใส การสดับฟง จึงตองครอบคลุมทั้งการฟงจากการอาน การฟงจากส่ืออิเล็กทรอนิกส การฟงขณะดูโทรทัศน การฟงจงึ ตา งจากการไดย ิน เพราะการไดย นิ เปน การท่ีเสยี งผานทางประสาทหูเทานน้ั สา� รวจคน้ หา Explore ๒. ประเภทของการฟงและการดูสอ่ื นกั เรียนสืบคนความสําคญั ประเภท การฟง และการดู แบง เปน ๒ ประเภท ดังน้ี จุดมงุ หมาย ประสทิ ธิภาพ หลกั การ วิธกี ารเลอื ก ๑) การฟง การดูโดยไมตั้งใจ คือ ไมมีเจตนาโดยตรงท่ีจะฟงหรือดู เชน ขณะขับรถ รวมถึงมารยาทในการฟงและการดูสื่อ สายตาดูปายโฆษณาอยางผานๆ หรือเปดวิทยุในรถเพื่อใหเพลินๆ บางครั้งการรับฟงและการดู เชนนี้กอ็ าจเกดิ ประโยชนได เชน การฟง การดสู ารคดสี ้ันๆ หรอื การฟง การดขู าวตนช่วั โมง เปน ตน ๒) การฟง การดูโดยต้ังใจ คือ การฟงและการดูที่มีจุดมุงหมายชัดเจนในการฟงและ อธบิ ายความรู้ Explain การดูในครงั้ นัน้ ๆ เชน การฟงคาํ รายงานในวชิ าตา งๆ การดรู ายการศึกษาทางไกลผา นดาวเทยี ม 1. ครกู าํ หนดสถานการณใหน ักเรยี นแสดงบทบาท เปน ตน สมมตใิ หสอดคลอ งกบั เนอ้ื หาทเ่ี รียน จากนนั้ นักเรียนรวมกนั ระดมความคดิ เห็นดว ยการตอบ คําถาม ตอ ไปนี้ • นกั เรียนคิดวา การเหน็ กับการดู และการฟง กบั การไดยนิ มีความแตกตางกันหรอื ไม และความแตกตา งดังกลา วสงผลตอ กระบวนการคดิ ทเ่ี กิดจากการรบั สารอยา งไร (แนวตอบ มคี วามแตกตางกนั ดา นคุณภาพของ การรับสาร ถา เปน การฟง และการดจู ะ ไดเ น้อื หาครบถว นมากกวาการเห็นและ ▼ การฟงการบรรยายวชิ าการตอ งหาขอมลู เพมิ่ เตมิ เพ่อื เปน การเตรียมความพรอ มและไดรบั ประโยชนจากการฟงมากทส่ี ุด การไดยิน กระบวนการรบั สารดังกลา วยอม ๑๐๙ สงผลตอการประมวลผลความคิดจากขอมลู ทไ่ี ดรบั แตกตางกัน) 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับประสิทธิภาพในการฟง และการดสู ่ือ ดาราหญิงผหู นึง่ แสดงบทรายไดสมจริงจนผูดูบางคนเกลียด เธอไปซอ้ื ของ ตามตลาดแมค า ก็ไมข ายให สดุ ากับลกู สาวอายุ 10 ขวบ ดูละครทดี่ าราผูน้ี ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเร่ืองการฟงและการดสู ่อื น้ัน ครคู วรเนน แสดง สุดาจะคุยกบั ลูกเสมอเวลาดโู ทรทัศน ทบทวนประสบการณของนกั เรยี นเปนหลัก เนอ่ื งจากการส่ือสารท้งั สองประเภท อนั ไดแก การฟง และการดูนั้น เปน การส่ือสารที่เกิดข้นึ ในชีวติ ประจําวันของนักเรียนมาก คําพูดในขอ ใดแสดงวาทกั ษะการดขู องสุดาถูกตอ ง ท่สี ดุ ครูควรชแ้ี นะนักเรียนวา ในชวี ิตประจําวันของนกั เรยี น นักเรยี นใชท ักษะการ 1. ยายคนนใ้ี จรายมาก ลกู ไมควรเอาอยา ง ฟง และการดมู ากกวา ทักษะอยา งอ่ืน ทงั้ เรื่องทีม่ ีความสําคญั กับชีวิตประจําวันและ 2. ลกู อยาไปเกลยี ดเขาเลย เขาแสดงไปตามบทบาทเทานั้น เรอ่ื งอ่นื ๆ ในหลายชว งเวลา และหลากหลายโอกาส ปจ จบุ ันนกั เรยี นจะพบวา ขอ มลู 3. แมว าเราเลิกดูละครเรื่องน้เี ถอะ คนอะไรรา ยจนทนไมไ หวแลว ขา วสารท่ไี หลเวยี นในสอื่ ตา งๆ มเี ปน จาํ นวนมาก และมรี ปู แบบท่ีหลากหลาย การ 4. ลูกตองเขา ใจนะวานเี่ ปน การแสดง ลกู ดเู ขาแลว ลองคิดดวู าทาํ ตวั จดั การขอมูลขาวสารทม่ี คี วามหลากหลายดังกลา วยอ มตอ งอาศัยทักษะความรูและ ประสบการณทีต่ องไดรบั การฝก ฝนอยา งเต็มท่ี เพอื่ ใหมปี ระสิทธภิ าพในการรับขอมูล อยางนน้ั เหมาะไหม ขา วสารทัง้ จากการฟง และการดสู ่ือ ครูควรชแ้ี นะนกั เรียนเพ่มิ เตมิ วา สมรรถภาพการ ฟง และการดูของคนเราไมเทา กนั ข้นึ อยูกับการฝกฝน ย่งิ นกั เรยี นมีอายุมากขึน้ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ลูกตองเขาใจนะวาน่ีเปนการแสดง ลกู ดู ยงิ่ ตอ งรบั ทราบขอ มูลขาวสารทม่ี คี วามซับซอนมากย่งิ ขึ้น การพฒั นาทกั ษะการรับ ขอมลู ขา วสารในขณะนี้จึงถือเปน เรื่องจาํ เปน อยางย่ิง เขาแลว ลองคิดดูวา ทาํ ตวั อยางน้ันเหมาะไหม เพราะสุดาไดใชเนอ้ื หาดงั กลาว ในการส่งั สอนลกู และแนะนําลกู ใหใ ชวจิ ารณญานในการดู สวนขอ อืน่ ๆ มี เหตผุ ล คือ ขอ ท่ี 1. และขอที่ 3. เปน การดวนสรุป สว นขอ ท่ี 2. และขอ ท่ี 4. แมจ ะมลี กั ษณะรว มกันคือ การแสดงตามบทบาท แตข อท่ี 4. มีความชดั เจน ตรงท่ีช้ีใหล ูกใชวจิ ารณญาณในการดู คมู่ อื ครู 109

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. ครสู มุ นกั เรยี นแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ ๓. จุดม่งุ หมายของการฟงั และการดสู ่อื หนาช้ันเรยี น • นักเรียนคดิ วา จดุ มงุ หมายในการฟงและการ ดูสอ่ื มคี วามสมั พนั ธกบั การเลอื กประเภทของ การฟงั และการดมู จี ุดมุ่งหมายหลกั ดงั น้ี สารหรือไม อยา งไร ๑) ฟังและดูเพ่ือให้เกิดความรู้ความคิด เป็นการฟังเพ่ือเพิ่มสาระความรู้ให้กว้างขวาง (แนวตอบ มคี วามสมั พนั ธก ัน เน่ืองจากสอื่ ยงิ่ ขน้ึ เช่น การฟังคา� บรรยายในรายวิชาตา่ งๆ การฟงั ปาฐกถา การฟงั สนุ ทรพจน ์ การฟังเช่นน ี้ แตล ะประเภทมักใหส าระสําคัญ รวมถงึ ผฟู้ ังผูด้ ตู อ้ งใช้ความคดิ ตามและมีวิจารณญาณในการฟงั ความรูส ึกท่แี ตกตางกัน) ๒) ฟังและดเู พื่อให้เกิดความเพลดิ เพลนิ เปน็ การฟงั และการดทู ช่ี ่วยผ่อนคลายอารมณ์ ตึงเครียด เช่น การฟัง การดูละครเพลง การดูละครเวที การฟังโต้วาที การฟังและการดูตลก • นกั เรยี นคดิ วา การส่ือสารดว ยการฟง และ หรือรายการบันเทิงตา่ งๆ การดมู ีขอ จาํ กัดในดา นใดบา ง อยา งไร ๓) ฟังและดูเพ่ือติดต่อส่ือสารในชีวิตประจ�าวัน เป็นการฟังการดูท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ (แนวตอบ การฟง หรือการดสู ื่อโดยสว นใหญ การส่ือสารโต้ตอบกัน เช่น ในการพูดคุยโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยการฟังเพ่ือส่ือสารโต้ตอบกลับไป ไมส ามารถยอนทวนได ผูดูหรอื ผฟู ง จงึ ตอ งใช ใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม เปน็ ตน้ สมาธใิ นการรับสาร และจดจําเรื่องราวตา งๆ ๔) ฟังและดูเพ่ือหาสาระและคติชีวิต เป็นการฟังท่ีมุ่งยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ผู้ฟัง ใหด )ี และผู้ดูจะเกิดปัญญางอกงามขึ้นและมีแนวทางการด�าเนินชีวิตดีงามท่ีผู้ฟังผู้ดูสามารถน�ามาเป็น แนวทางในการปรับปรุงตนเอง อันเป็นการพัฒนาตนเองในทางสร้างสรรค์ เช่น การฟังเทศน์ • นักเรยี นคดิ วา นักเรียนมีวิธีการพฒั นาทกั ษะ การชมการแสดง เปน็ ต้น หรือประสทิ ธิภาพในการฟง และการดูสื่อ อยางไร (แนวตอบ อยูในพนื้ ทีท่ ี่มสี ภาพแวดลอ ม เหมาะสม ต้ังใจดหู รือฟง ใชความคดิ ตดิ ตาม ๔. ประสทิ ธภิ าพการฟงั และการดูสื่อ เรื่องราวและลาํ ดบั เหตุการณไดอยา งถกู ตอ ง นําสาระประโยชนไปประยกุ ตใ ชใน การฟงั และการดูสือ่ ต่างๆ ให้มีประสทิ ธภิ าพ ควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี ชีวิตประจาํ วันได พรอ มทง้ั ประเมนิ เรือ่ งราว ๑. มีความต้ังใจ สนใจเรอ่ื งราวท่ีฟังและดู โดยใชเหตุผลวจิ ารณแยกแยะเนื้อหาทีไ่ ดจาก ๒. ไดย้ ินชัดเจน มีประสาทหดู ี การฟงและดสู อ่ื ประเภทตา งๆ ได) ๓. มีสมาธิในการฟังเพื่อใหจ้ ดจา� เรื่องที่ฟังได้ดี เพราะการฟังน้ันย้อนทวนไมไ่ ด้ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ๔. ใชค้ วามคิดในขณะท่ีฟังและดู ๕. ติดตามเรอ่ื งราวทีฟ่ ังท่ีดูและสามารถลา� ดับเหตกุ ารณ์ไดถ้ ูกต้อง ๖. เขา้ ใจเร่ืองราวทีผ่ ู้พดู พูดและแปลความท่ฟี ังได้ โดยอาศยั ประสบการณพ์ ้ืนฐาน ขยายความเขา้ ใจ Expand ๗. ฟงั และดแู ล้วสามารถนา� สาระประโยชน์จากการฟังและการดูไปใช้ในชีวิตประจา� วนั ได้ 1. นักเรียนรวมกนั อภิปรายและยกตวั อยา งสือ่ ๘. สามารถประเมนิ เรือ่ งราวตา่ งๆ ท่ีไดจ้ ากการฟงั และการด ู โดยใชเ้ หตุผลวิจารณแ์ ยกแยะ สิง่ ทฟ่ี ังและดูได้ ประเภทตางๆ พรอ มอภิปรายวา การฟงและ ดูส่ือประเภทตา งๆ กอใหเ กดิ ประโยชนก ับ นกั เรียนอยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได อยา งหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผลของนกั เรยี น) 110 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั จุดมุงหมายในการฟง เกรด็ แนะครู ครคู วรเพ่ิมเติมความรูค วามเขา ใจเกี่ยวกับทกั ษะการดูซ่ึงเปนทกั ษะท่ีมักใชค วบคู การฟงในขอใดมจี ุดมงุ หมายตางจากขอ อื่น กับทกั ษะการฟง เพ่อื ใหนักเรียนเกดิ การเรยี นรูทกั ษะทงั้ สองประเภทควบคูกนั เพอ่ื 1. วนั ดีฟงถา ยทอดสดการแถลงนโยบายของรัฐบาล ใหส อดคลองกับสภาพสงั คมตลอดจนการดําเนินชวี ติ ของคนในยคุ ขอมูลขาวสาร 2. วนั เพ็ญฟงการอภปิ รายเรื่องใชชีวติ อยา งไรใหพ อเพยี ง ในปจ จบุ ัน ทักษะการดมู ีความสําคัญมากในชีวิตประจําวัน การพฒั นาทกั ษะการดู 3. วันรุงฟง วทิ ยุรายการตลาดเชาขาวสด ชว ยในการรับสารทดี่ ขี ้นึ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอไปน้ี 4. วนั งามฟงเพลงในรายการดนตรีกวศี ลิ ป 1. การดูชวยใหเ กดิ การรับขอมลู ขาวสารไดอ ยางรวดเรว็ มากกวาการฟง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. วนั งามฟง เพลงในรายการดนตรกี วศี ิลป 2. ชวยกระตุน การรบั รู ชว ยใหร ับรูไ ดเ รว็ 3. ชวยในการจดจาํ ไดเ ร็วขน้ึ เพราะการฟง ในขอ ที่ 1. ขอที่ 2. และขอ ที่ 3. มจี ดุ มงุ หมายเพือ่ รบั ขอ มลู 4. เกิดความรูส ึกจรรโลงใจจากภาพท่ดี ู ความรู แตก ารฟงในขอที่ 4. เปนการฟง ทีม่ ีจุดมุงหมายในการจรรโลงใจ ขอท่ี 4. จงึ มีจุดมุงหมายแตกตางจากขออื่น 5. การสอ่ื สารผา นภาพชวยใหส ามารถตดิ ตอส่ือสารโดยไมม ขี อ จาํ กัดดวยปจจัย ตางๆ ไมวา จะเปน ภาษา หรอื ความบกพรอ งทางการสื่อสาร เชน หหู นวก หรืออยใู นพืน้ ทีท่ ีม่ เี สียงรบกวน เปน ตน ดังคาํ กลา วท่วี า ภาพภาพเดียว สามารถแทนคาํ พูดไดนับลานคาํ 110 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ๕. หลักการฟงั และการดูสอ่ื 1. นักเรยี นจัดกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปนี้ • นักเรียนคิดวา การเลาเรื่องหรอื การบอกเลา การฟัง การดูส่ือต่างๆ เป็นทักษะท่ีมีความส�าคัญเพราะเป็นการรับสารที่ท�าให้เกิดการ เน้อื หาจากสอ่ื ประเภทตางๆ มปี ระโยชน เรียนรู ้ และมหี ลกั การฟงั การดสู ่ือตา่ งๆ ดังนี้ ในการประเมนิ สารที่ไดจ ากการฟงและดู ๑) หลักการฟงั จากบคุ คลและการดูจากกจิ กรรมการแสดง อยางไร ๑. เลา่ เร่ืองจากการฟังและดูได้ถูกต้อง (แนวตอบ ความสามารถในการเลาเร่ืองหรือ ๒. แสดงความคดิ ของตนเองทีม่ ตี ่อเร่อื งที่ฟงั และดูได้ บอกเลา เน้อื หาท่ีไดจากการฟงและการดู ๒) หลักการฟงั การดูข่าวและเหตุการณท์ ง้ั เรอ่ื งใกล้ตวั และไกลตวั ยอมเปนสวนสําคญั ในการสะทอ นความ ๑. สามารถฟังแลว้ ถ่ายทอดเร่อื งราวได้ถกู ต้อง เขาใจของนักเรยี นที่มตี อ เนอื้ หาจากเรือ่ งท่ี ๒. สามารถระบแุ หล่งทม่ี าของข่าวได้ ฟงและดู ความเขาใจดังกลาวสามารถนํามา ๓. สามารถวนิ ิจฉยั ได้วา่ ขา่ วนั้นๆ ควรเชอ่ื หรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ใชใ นการประเมนิ สารจากเรอื่ งท่ีฟงและดูได) ๓) หลักการฟงั การดคู า� อธิบายต่างๆ • นักเรยี นคดิ วา เหตใุ ดจึงมีวธิ กี ารประเมนิ ๑. จับใจความส�าคัญได้ เรอ่ื งที่ฟง และดจู ากสือ่ ประเภทตา งๆ ๒. ตอบค�าถามหรอื ปฏบิ ตั ติ ามได้ ตวั อยา งเชน การแสดง ขาวและเหตกุ ารณ ๓. รู้จกั จดบันทกึ ได้ครบถว้ น รวมถงึ คาํ อธบิ ายตา งๆ ดว ยวิธีการท่ี แตกตางกัน (แนวตอบ เน่ืองจากจดุ มุง หมายในการส่อื สาร ของสอื่ แตล ะประเภทมคี วามแตกตา งกนั วิธี สรรพส์ าระ การรับและสงสาร รวมถึงลกั ษณะของสาร ตลอดจนจุดมงุ หมายในการรบั สารจากการ โทรทัศน์ โทรทศั น ์ เปน็ สอ่ื อกี ชนดิ หนง่ึ ซง่ึ ไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งกวา้ งขวางในปจั จบุ นั เนอ่ื งจากเปน็ ฟงและการดสู ื่อแตล ะประเภทกม็ คี วาม ระบบโทรคมนาคมทส่ี ามารถกระจายและรบั ภาพเคลอ่ื นไหวและเสยี งไดใ้ นระยะไกล แตกตางกนั ดว ย การประเมินคุณคาของส่อื คาำ วา่ โทรทศั นใ์ นภาษาไทย มที ม่ี าจากคาำ ยมื ภาษาองั กฤษวา่ television แลว้ เลอื กใชศ้ พั ท์ จงึ มคี วามแตกตางกัน) สนั สกฤตทม่ี ใี ชอ้ ยแู่ ลว้ บญั ญตั ศิ พั ทข์ น้ึ ใชใ้ นภาษาไทย คอื คาำ วา่ โทร (ระยะไกล) และคาำ วา่ ทศั น์ 2. ครสู ุม นักเรียนแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ (การมองเหน็ ) แตม่ กั เรยี กกนั โดยยอ่ วา่ ทวี ี (TV) โทรทศั นเ์ ครอ่ื งแรก (ขาว-ดาำ ) ของโลก สรา้ งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ เปน็ ผลงานการประดษิ ฐข์ องจอหน์ ลอกก ้ี เบรยี ด ชาวสกอตแลนด์ หนาชั้นเรียน ประเทศไทยเรม่ิ มกี ารแพรภ่ าพโทรทศั นเ์ มอ่ื วนั ท ่ี ๒๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยบรษิ ทั ขยายความเขา้ ใจ Expand ไทยโทรทศั น ์ จาำ กดั ทางสถานโี ทรทศั นไ์ ทยทวี ี ชอ่ ง ๔ จากวงั บางขนุ พรหม (ปจั จบุ นั พฒั นาเปน็ สถานโี ทรทศั น ์ โมเดริ น์ ไนนท์ วี ี ออกอากาศคขู่ นานกบั ชอ่ ง MCOT HD ในระบบดจิ ทิ ลั ) 1. นักเรยี นจบั สลากเลอื กฟง และดูสือ่ ประเภทใด ประเภทหน่งึ จากส่ือ 3 ประเภท ไดแ ก ขา ว การแสดง หรือคําอธบิ าย จากนน้ั นกั เรยี นเขียน สรปุ เน้อื หา พรอ มบอกไดวา ส่ิงทดี่ หู รือฟง น้ัน 111 มีจุดมุง หมายอยา งไร บนั ทกึ ความเขา ใจลงใน ขอสอบ O-NET สมดุ 2. ครสู มุ นักเรยี น 3 - 4 คน นําเสนอหนา ชั้นเรยี น ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกับจุดมงุ หมายในการฟง เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปน การฟง เพอ่ื การรับรอู ยางเดนชัด ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู ก่ยี วกับการรับขอ มลู ขา วสารทมี่ ีความหลากหลายในปจจบุ ัน 1. สุรพลฟงละครวิทยเุ รอ่ื ง “ลืมโกรธไดก ค็ ลายเครยี ด” และธรรมชาติของขอมลู ขาวสาร โดยชีแ้ นะใหนกั เรยี นเหน็ วา สอื่ ท่ีนาํ เสนอเรอื่ งราว 2. สนุ ยั ฟงรายการสนทนาเรอ่ื ง “รน่ื รมยใจในเรอื สําราญ” ขา วสารในปจจุบนั มคี วามหลากหลายและมีจํานวนมาก ถกู จัดทําขน้ึ ตามทัศนคติและ 3. สุพรฟงพอ แมเ ลา เรอ่ื ง “พิพธิ ภณั ฑสถานแหงชาติ” ความรูสกึ ของผสู ง สาร ผูร ับสารจงึ ตองรจู ักพจิ ารณาไตรต รองขอ มูลนนั้ ๆ ดวยการ 4. สุนดิ าฟงสักวากลอนสดเร่ือง “รอ ยกรองเพราะเสนาะโสต” รบั สารทง้ั ในการฟง การดู รวมถงึ การอา นอยางมวี จิ ารณญาณ โดยมีขนั้ ตอน ดังนี้ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. สพุ รฟง พอแมเ ลา เรอื่ ง “พิพธิ ภัณฑสถาน- 1. ฟง และดใู หเขา ใจเรอ่ื ง ใหร ูวา เนอ้ื เรอ่ื งเปนอยางไร มสี าระสาํ คญั อะไรบา ง 2. วเิ คราะหเรอ่ื ง ทง้ั ในแงของประเภท รปู แบบ และทศั นคติ หรือแนวคดิ ท่ี แหง ชาต”ิ สอดคลองกบั การฟง เพ่ือการรับรูม ากท่สี ุด เนอ่ื งจากการฟงเนื้อหา ในลักษณะนี้ เปน การรบั รูขอมูลเปน หลัก สวนการฟงในขอที่ 2. และขอท่ี 4. สอดแทรก เปน การฟง เพ่อื ความเพลดิ เพลนิ และขอท่ี 1. เปนการฟง เพ่ือหาสาระและคติ 3. วนิ ิจฉยั เรอ่ื ง คือ การพจิ ารณาเรอื่ งท่ฟี งวาเปน ขอ เทจ็ จริง ความรสู กึ ความ ชีวิต คดิ เหน็ และผสู ง สารหรือผูพ ูด ผแู สดงมเี จตนาอยา งไรในการพูด การแสดง นอกจากนี้ ครคู วรชแ้ี นะใหนกั เรียนศึกษาคนควาขอมลู ขาวสารจากสอื่ สาํ นักตา งๆ อยา งหลากหลาย และนําขอมูลดังกลา วมาเปรียบเทยี บกนั เพื่อใหนักเรยี นไดรบั ขอ มลู ขา วสารที่สมบูรณและเปนผรู บั สารอยางมีวจิ ารณญาณ คู่มอื ครู 111

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคดิ ดวยการตอบ ๖. การเลอื กฟง และเลอื กดูส่ือ คําถาม ตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา นักเรยี นมีวิธีการพิจารณา ในชีวิตประจําวัน มนุษยใชทักษะในการฟงมากกวาทักษะอยางอ่ืน การฟงและการดูจึง ความนาเชอื่ ถอื ของสื่อทีน่ กั เรียนไดฟ งและดู จําเปนตองพิถีพิถัน เพราะการฟงและการดูบางอยางไมคุมคากับเวลาที่เสียไป จึงมีหลักเกณฑ อยางไร การเลอื กฟงและดสู อ่ื ดงั นี้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาความนา เชอ่ื ถือของผูส ง สารวา ผสู ง สารมคี วามรูค วาม ๑. สื่อวิทยโุ ทรทัศน จะมีรายการประจําสถานีในแตละวัน ผฟู ง ผูด ูควรศกึ ษารายการตา งๆ เขา ใจในเร่ืองท่ีฟงมากนอยเพียงไร ขอมลู และ กอ นวา จะออกอากาศในเวลาใด สถานีใด และเลือกจัดสรรเวลาใหต รงกบั สื่อท่ีจะออกอากาศนน้ั ๆ รายละเอียดมีความสมเหตสุ มผลหรือไม เพยี งไร) ๒. เม่ือฟงหรือดูรายการใดแลวพบคําพูดท่ีแปลก สะดุดหู ควรจดบันทึกไวเพ่ือพิจารณา • นกั เรียนคิดวา การเลือกดหู รอื ฟงรายการท่ี วา ขอ ความน้ันถกู ตองหรอื ไม เพราะเหตใุ ด ถาไมถ ูกตอ งควรจะใชคําใด มคี วามเหมาะสมมีความสาํ คัญตอ นกั เรียน อยางไร ๓. ถาเปนการฟงจากแถบบันทึกเสียงตองศึกษาวิธีการใชเครื่องมือตางๆ ของเคร่ืองให (แนวตอบ การเลือกฟง และดสู ือ่ ทม่ี ีคุณคายอม เขาใจ ถา เปน คอมพิวเตอร ตองรูจกั วิธีใชโปรแกรมตางๆ และศกึ ษาวธิ ีใชท ่ถี กู ตอง สรา งความรูค วามเขา ใจท่ีดีใหก ับนักเรียนได หากดูส่อื ท่ไี มเหมาะสมยอ มไมคุมคา กับเวลา ๔. ถาเปนการดูจากส่ืออิเล็กทรอนิกสประเภทคอมพิวเตอร เชน อินเทอรเน็ต ควรรูจัก ท่ีเสียไป โดยเฉพาะอยางย่ิงในสงั คมทีม่ ีความ เว็บไซตท ม่ี เี นอ้ื หาสาระสรา งสรรค เกดิ การเพิ่มพูนความรู กาวหนา ทางเทคโนโลยีและการเขาถึงขอ มูล ขา วสารอยา งหลากหลาย นกั เรยี นตอง ๕. รูจักวิเคราะหขอความท่ีฟงและดู ถารายการใดมีโฆษณามาก ควรพิจารณาภาษา สามารถเลือกสรรขอ มลู มาใชใ หม คี วาม ภาพ การนาํ เสนอวา มคี วามเหมาะสม และนาเชือ่ ถือเพยี งใด เหมาะสม) • นักเรียนคดิ วา นกั เรียนมวี ธิ ีการฟง และดสู อื่ ๖. เลอื กรายการท่เี หมาะกับวยั และใหคณุ คาในการนําไปใชในชวี ิตประจําวนั อนิ เทอรเน็ตอยา งไรใหเ กดิ ประโยชนส ูงสุด (แนวตอบ เลือกจากเวบ็ ไซตท ีม่ ีเนอ้ื หาสาระ สรรพส าระ สรา งสรรคแ ละควรเลอื กดเู ว็บไซตทเ่ี หมาะสม กบั วัย) ÀҾ¹µÃ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ÀҾ¹µÃ ໚¹Êè×ÍÍÕ¡»ÃÐàÀ·Ë¹èÖ§«èÖ§ä´ŒÃѺ¤ÇÒÁ¹ÔÂÁ໚¹ ÍÂÒ‹ §ÁÒ¡ã¹»¨˜ ¨ºØ ¹Ñ à¹Íè× §¨Ò¡à»¹š ÊÍè× ·ÊèÕ ÒÁÒö¶Ò‹ ·ʹ¨¹Ô µ¹Ò¡ÒÃãËŒ ขยายความเขา้ ใจ Expand ໹š ¨Ã§Ô ä´´Œ ÇŒ ÂÀÒ¾áÅÐàÊÂÕ § ¨§Ö ·Òí ã˼Œ Ì٠ºÑ ÊÍè× ËÃÍ× ¼ªŒÙ ÁÊÒÁÒöà¢ÒŒ ã¨ã¹ àÃÍè× §ÃÒǵҋ §æ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §à»¹š û٠¸ÃÃÁ 1. ครูนดั หมายใหนกั เรียนดหู รือฟงสอ่ื โทรทศั นห รอื วทิ ยรุ ายการเดียวกัน จากน้นั นักเรยี นสรุปเน้อื หา ÀҾ¹µÃä·ÂàÃè×ͧáá¤×ÍàÃè×ͧ¹Ò§ÊÒÇÊØÇÃó ¼ŒÙÊÌҧ¤×Í และประเมินคณุ คาของส่อื ที่นักเรียนไดดหู รือฟง ºÃÔÉÑ·ÀҾ¹µÃÂÙ¹ÔàÇÍÏ«ÑÅ ÀҾ¹µÃàÃèÍ× §¹éãÕ ªŒ¼ŒáÙ Ê´§·é§Ñ ËÁ´à»š¹ นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ¤¹ä·Â ÊÇ‹ ¹ÀҾ¹µÃà ÃÍè× §âª¤Êͧª¹éÑ à»¹š ÀҾ¹µÃä ·Â·äèÕ ´ÃŒ ºÑ ¡Òà ÂÍÁÃºÑ ãËàŒ »¹š ÀҾ¹µÃà ¾Íè× ¡ÒäҌ àÃÍè× §áá·ÊèÕ ÃÒŒ §â´Â¤¹ä·Âã¹ ¾.È. 2. ครสู ุมนักเรียน 3 - 4 คน นาํ เสนอหนา ช้ันเรยี น òô÷ð ã¹»˜¨¨ØºÑ¹»ÃÐà·Èä·ÂÁÕÀҾ¹µÃ·èÕÁ‹Ø§Ê‹ÙµÅÒ´âÅ¡áÅÐÊÒÁÒö¢éÖ¹ä»Í‹ٺ¹µÒÃÒ§ เกรด็ แนะครู ºçÍ¡«ÍÍ¿¿Èã¹»ÃÐà·ÈÊËÃѰÍàÁÃÔ¡Ò áÅÐÂѧÁÕÀҾ¹µÃä·ÂÍÕ¡ËÅÒÂàÃèÍ× §·èàÕ »š¹·èªÕ è¹× ªÍºáÅÐ ä´ÃŒ ºÑ ÃÒ§ÇÅÑ ã¹à·È¡ÒÅÀҾ¹µÃ¹ Ò¹ÒªÒµÔ ๑๑๒ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นอกจากนักเรยี นจะรูจักหลักในการดแู ละการฟง แลว ครคู วรเพม่ิ เติมความรู นกั เรยี นรวมกนั อภปิ รายและนําเสนอตวั อยา งรายการทนี่ ักเรยี นรับฟง ความเขาใจเก่ยี วกับสื่อประเภทตา งๆ เพอ่ื ใหน กั เรยี นมพี ้ืนฐานความเขา ใจเกีย่ วกบั หรือชมในสือ่ ประเภทใดประเภทหนง่ึ วา มกี ลวิธกี ารนาํ เสนอท่นี าประทบั ใจ ลักษณะของสอื่ แตล ะประเภท และนักเรียนสามารถนาํ ความรพู นื้ ฐานดงั กลาวมาใช อยา งไร แลว วิเคราะหแ ละแสดงความคดิ เหน็ พรอมทงั้ นําเสนอหนา ช้ัน แยกแยะประเภทของสือ่ และการนาํ ไปใชป ระโยชน ซ่งึ อาจสรุปสื่อประเภทตางๆ ได เรียน ดังน้ี 1. สื่อโฆษณา สอื่ ประเภทนผี้ รู ับสารตอ งรูจดุ มงุ หมาย เพราะสวนใหญจะ เปนการส่ือสารท่มี จี ดุ มงุ หมายใหผ รู ับสารมคี วามคิดเหน็ คลอ ยตาม ผฟู งตอ ง กิจกรรมทาทาย พิจารณาไตรตรองกอ นซื้อหรอื กอ นตดั สนิ ใจ 2. สอ่ื เพือ่ ความบันเทงิ เชน เพลง เร่อื งเลา ละคร อาจมกี ารแสดงประกอบดว ย ส่ือเหลา นี้ผูรับสารตอ งใชวจิ ารณญาณ นักเรยี นรวมกนั อภิปรายและยกตัวอยา งการกระทําทไ่ี มปฏบิ ัตติ ามหลกั ในการรบั ชม 3. ขาวสาร สอ่ื ประเภทน้ีผรู บั สารตองมีความพรอมในการรับสารพอ ของการฟงและดูที่นักเรยี นเคยพบ พรอมระบดุ ว ยวา การกระทาํ ดังกลาว สมควร เนอื่ งจากผรู ับสารตองทําความเขาใจเนื้อหา รวมถงึ รจู กั แหลง ขาว การจบั สงผลตอ การส่อื สารอยางไร จากน้นั นกั เรยี นนาํ เสนอหนา ช้ันเรยี น ประเด็น ความมเี หตมุ ผี ล รจู ักเปรยี บเทยี บเนือ้ หาจากที่มาของขา วหลายๆ แหง 4. ปาฐกถา เนือ้ หาประเภทนีผ้ ูร บั สารตองฟงอยา งมีสมาธิเพ่อื จบั ประเด็นสาํ คญั ใหไ ด 5. สุนทรพจน ผฟู ง จะตองรูจักกลน่ั กรองสิ่งท่ีดไี ปเปนแนวทางในการปฏบิ ัติ 112 ค่มู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๗. มารยาทในการฟังและการดูสื่อ 1. นกั เรยี นรว มกันระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอ ไปน้ี การฟังและการดูสื่อต่างๆ ท่ีเป็นสาธารณะ ผู้ฟังควรฝึกตนเองในด้านมารยาท เพราะถ้า • นกั เรยี นคดิ วา นกั เรยี นควรรักษามารยาทใน ไม่ฝึกฝนอาจท�ากิริยาอาการที่เป็นการรบกวนสมาธิผู้อ่ืนได้ และจะเป็นที่รังเกียจของบุคคล การฟงและการดอู ยางไร รอบข้าง โดยมีแนวทางปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๑. เข้าฟังและดูให้ตรงเวลา ควรไปถึงก่อนการบรรยายหรือดูส่ือ เพราะผู้บรรยายอาจ ไดอยา งหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตผุ ลของ จะมีข้อแนะน�าบางอย่างหรอื กลา่ วสรุป นักเรียนโดยพิจารณาคําตอบจากหนังสือ- ๒. ฟงั และดูดว้ ยความต้ังใจ ไมพ่ ูดคุยกันในขณะทีฟ่ ัง เรยี นหนา 113) ๓. รู้จักจดบันทกึ สาระสา� คญั และจับประเดน็ ขอ้ สงสัย • นักเรียนคิดวา การรักษามารยาทในการดู ๔. เมือ่ จบการบรรยายและการดแู ล้ว อาจถามขอ้ สงสัยดว้ ยอาการและข้อความทีส่ ุภาพ และการฟงกอใหเ กดิ ผลดตี อ ตัวนักเรียนและ ๕. ควรปรบมอื เพอื่ แสดงความพอใจชื่นชมในผูพ้ ดู หรอื เรอ่ื งท่ีฟัง บคุ คลรอบขางอยา งไร ๖. รกั ษากริ ิยามารยาท โดยไมพ่ ูดคุย ไมส่ ง่ เสยี งรบกวนผู้อนื่ ไมล่ กุ จากทีน่ ่งั หรอื ลุกเข้า (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ลุกออกบอ่ ยๆ ไดอยา งหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตผุ ลของ ๗. เมื่อไมพ่ อใจ ตอ้ งรจู้ กั ยับยัง้ ความรูส้ ึกและอารมณ์ทร่ี นุ แรงได้ นักเรยี น เปนตนวา สง ผลดีตอสัมฤทธิผล ๘. ใช้ความคิดไตร่ตรองในขณะท่ีฟังว่า ข้อความท่ีฟังมีการใช้ภาษาที่สละสลวย หรือม ี ในการรับสารทัง้ ตนเองและบุคคลรอบขาง ความน่าเชอ่ื ถอื เพียงใด นอกจากนี้ ยังเปนการรกั ษาสมั พันธภาพท่ีดี ระหวางกนั ไดอีกดว ย) ส่อื ต่างๆ ในชีวิตประจำาวันมีเพื่อการฟังและการดูอย่างมากมาย ส่ือบางชนิดจัดเป็น ส่ือที่ก่อประโยชน์ให้แก่ชีวิตและสังคม ขณะที่บางส่ืออาจมอมเมาให้หลงเชื่อจนเกิดการเปลี่ยน 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ทัศนคติ ตลอดจนเปลย่ี นแปลงวิถชี วี ติ ได้ ท้ังนี้ส่อื บางชนิดอาจเป็นเสมือนดาบสองคมท่มี ที ้งั คณุ และโทษ โดยข้นึ อยกู่ ับผใู้ ช้สอื่ นั้นๆ ดังน้ัน การรเู้ ท่าทันในการเลือกรบั สอื่ ดว้ ยวิธีการฟงั การดู ขยายความเขา้ ใจ Expand นอกจากจะต้องได้รับการฝึกฝนจนเกิดทักษะตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว จะต้องใช้สติไตร่ตรอง ใช้ สมองคิด รวมถึงใช้ประสบการณ์มาร่วมพิจารณาใคร่ครวญก่อนตัดสินใจเชื่อหรือปฏิบัติตาม 1. นักเรยี นจับสลากเลอื กฟงและดสู ื่อประเภทใด และสิ่งสำาคัญที่สุดของการรับสารด้วยการฟังและการดู คือ สามารถนำาประโยชน์จากการฟัง ประเภทหน่งึ จากส่ือ 3 ประเภท ไดแ ก ขา ว การดมู าปรับใชก้ ับการดำาเนินชวี ิตประจำาวันของตนได้ การแสดง หรอื คําอธบิ าย จากนัน้ นักเรียน เขียนบนั ทึกความเขา ใจในประเด็น ตอไปนี้ • เหตผุ ลในการเลอื กฟงและดูสอื่ ประเภท ดังกลา ว • สรุปเน้ือหาทีไ่ ดจ ากสอื่ • ประเมินคณุ คาของสอ่ื 2. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ 3. ครูสมุ นักเรยี น 3-4 คนออกมานําเสนอ หนาช้นั เรยี น 113 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเก่ยี วกับมารยาทในการฟง ครูผสู อนควรเพิ่มเติมเนอ้ื หาทเ่ี กย่ี วขอ งกับอุปสรรคในการฟงและดสู ่อื ซึง่ เปน บุคคลในขอ ใดขาดมารยาทในการฟง สาเหตทุ ท่ี ําใหก ารฟง และการดูส่ือไมม ปี ระสทิ ธภิ าพ โดยมรี ายละเอียด ดังตอ ไปนี้ 1. กรองกาญจนป รบมือเสียงดังหลังจากพิธกี รแนะนําผูบรรยาย 2. ขณะฟง บรรยายมาลมี กั จะซักถามตลอดเวลา 1. การไมยอมรบั ฟงความคิดเห็นของผูอื่น ปด โอกาสในการแลกเปล่ยี นมุมมอง 3. เม่ือวทิ ยากรเรมิ่ บรรยายสิรินากน็ ัง่ ฟง อยางตง้ั ใจ และความคิดเห็นดานอื่น 4. สุชาดาสบตาอาจารยขณะฟง บรรยาย 2. การเลอื กฟง และดแู ตข อ มลู ทต่ี นพงึ พอใจ เนอื่ งจากสอ่ื มใี หเ ลอื กหลายชอ งทาง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ขณะฟงบรรยายมาลีมักจะซักถาม ซ่ึงถือเปน การปด ก้ันการรบั รขู อมูลขาวสาร และเปน การปดก้นั โอกาสในการ เรียนรูจ ากสอ่ื ตางๆ ตลอดเวลา ขอท่ี 1. ขอที่ 3. และขอ ท่ี 4. เปน มารยาทในการฟง แตการ ซักถามตลอดเวลา ขณะวทิ ยากรกําลังบรรยาย เปนการรบกวนสมาธขิ อง 3. การมีทศั นคตทิ ่ไี มพึงประสงคตอการฟงหรือดู ทศั นคตใิ นเชิงลบจะทําใหขาด ผูพดู และผูฟง อ่นื ๆ เนอื่ งจากการหยดุ ชะงกั หรือสะดดุ ในการนาํ เสนอ ความสนใจในสือ่ ทีร่ ับชมหรือรบั ฟง จนกอ ใหเกดิ อคติ สวนทศั นคตใิ นเชิงบวก การลาํ ดบั ความและวิธกี ารนําเสนออาจสับสน ทําใหการฟงไมสมั ฤทธผิ ล จะทาํ ใหผูรบั สารเชื่อฟง และคลอ ยตามไดงา ย จนขาดวิจารณญาณ และทาํ ใหเสยี เวลา 4. ขาดสมาธิในการฟง เมือ่ รับชมหรือรบั ฟงเรอื่ งใดเร่อื งหนงึ่ เปน ระยะเวลานาน มกั จะมคี วามรสู ึกเบ่ือหนาย 5. ขาดความสามารถในการจบั ใจความสําคญั 6. อุปสรรคในการสอื่ สารดานอนื่ ๆ คมู่ ือครู 113

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกีย่ วกบั ความสาํ คัญ คำาถามประจาำ หน่วยการเรยี นรู้ ประเภท จดุ มุงหมาย ประสทิ ธิภาพ หลกั การ วิธกี ารเลือก และมารยาทในการฟงและการดู ๑. การรบั สารด้วยการฟงั และการดมู คี วามสา� คญั อยา่ งไร สื่อได ๒. การฟงั ปาฐกถา ผฟู้ งั มีจุดม่งุ หมายในการฟงั อยา่ งไร ๓. หากนักเรียนต้องการฟงั หรือดสู อื่ เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ คิด คตชิ วี ติ ควรเลอื กฟังและดูส่อื 2. นักเรียนยกตัวอยา งสอ่ื ประเภทตางๆ พรอ ม ประเภทใด บอกประโยชนจากการฟงและการดูสอื่ ได ๔. การฟงั หรือการดขู า่ วสารต่างๆ มปี ระโยชน์อย่างไร ๕. จงอธิบายและยกตวั อย่างวา่ เหตใุ ดจงึ ต้องเลอื กฟงั และดูสอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั วัย 3. นักเรียนสามารถเลอื กฟง และดสู ื่อได 4. นักเรยี นสามารถอธิบายวิธกี ารพัฒนาทกั ษะการ ฟง และการดูสือ่ ได 5. นักเรยี นบอกจดุ มุง หมายในการฟงและการดสู ื่อ ประเภทการแสดง ขาว หรอื คาํ อธบิ าย พรอ ม สรุปเน้อื หาและประเมนิ คณุ คา ของสอื่ ที่นักเรยี น ไดด หู รอื ฟง พรอ มบอกเหตผุ ลในการเลอื กฟง และดูส่อื ประเภทดงั กลา วได หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ัฒนาการเรียนรู้ 1. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับความสําคญั ๑. ใหน้ กั เรียนเลอื กฟังหรอื ดสู อ่ื ๑ รายการ แล้วนา� เสนอหนา้ ช้นั เรียนตามหัวขอ้ ประเภท จุดมุงหมาย ประสทิ ธภิ าพ หลักการ ทีก่ �าหนด วธิ กี ารเลอื ก และมารยาทในการฟง และการดสู อื่ - หลักการเลือกฟังหรอื ดู 2. ตวั อยางสอ่ื ประเภทตา งๆ พรอมบอกประโยชน - คุณคา่ ที่ได้รับจากการฟงั หรือการดู จากการฟงและการดูสอ่ื ๒. ให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกับส่อื ตา่ งๆ ทม่ี ีผลกระทบตอ่ ผู้ฟงั หรอื ผู้ด ู 3. ความเรียงสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกับการเลือกฟง พร้อมเสนอแนวทางแกไ้ ขปญั หาทีเ่ หมาะสม และดูส่ือ ๓. ให้นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั การใชภ้ าษาของส่ือโฆษณาทาง 4. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกบั วธิ กี ารพฒั นา โทรทศั นว์ ่ามลี ักษณะอย่างไร มผี ลดหี รือผลเสยี ต่อผรู้ ับสอ่ื อย่างไร ทักษะการฟงและการดูสื่อ 5. ความเรยี งสรปุ เนอ้ื หา และประเมนิ คุณคาของ สื่อทนี่ กั เรยี นไดด หู รือฟง พรอมระบุเหตุผล ในการเลอื กฟงและดูส่อื ประเภทตา งๆ 6. บันทึกการตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 114 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. การรบั สารดว ยการฟง และการดูมีความสําคัญ เน่ืองจากการรับสารดวยวิธีการดังกลา วมีความจาํ เปน ในชีวติ และพบในชีวติ ประจาํ วันมากทส่ี ดุ ซ่ึงถอื เปน พ้ืนฐานในการ ทาํ ความเขาใจขอมลู ตา งๆ เพอ่ื ใหเ กิดการเรยี นรูในขั้นท่สี งู ขน้ึ โดยเฉพาะอยางย่งิ ในยุคของขอ มลู ขา วสารในปจจุบนั การรบั สารที่มีความรวดเรว็ หลากหลายย่งิ มคี วาม สาํ คญั และมีความจําเปนมากยิง่ ข้ึน 2. การฟงปาฐกถาเปนการฟง โดยมีจดุ มงุ หมายเพือ่ ใหผ ูฟงเกิดความรคู วามคิดจากเนอ้ื หาสาระท่ไี ดฟ ง 3. การฟง เทศน การฟง เรื่องราวท่ใี หข อ คิดสอนใจ หรือการชมการแสดง เปนการฟงหรือดูส่อื ทใ่ี หขอคิดหรอื คตใิ นการดาํ เนนิ ชีวิต เปนการจรรโลงจิตใจของผดู ผู ูฟง เพือ่ ยกระดับจิตใจใหสงู ขึ้น ดงั คํากลาวทวี่ า ดูละครแลวยอนดตู วั 4. การฟงหรอื ดขู า วสารตา งๆ ใหป ระโยชนในดานความรคู วามคดิ เพ่อื นําไปปรบั ใชในการดําเนนิ ชวี ิต 5. สาเหตทุ ่คี วรเลอื กฟง หรือดูสอื่ ใหสอดคลอ งกบั วัยนนั้ เน่ืองจากในแตละชวงวยั วฒุ ิภาวะและประสบการณข องแตล ะคนมคี วามแตกตา งกัน ยอมสงผลตอ ความสามารถ ในการไตรต รองสารตางๆ ท่ไี ดร บั จากสื่อทมี่ ีความแตกตา งกนั นอกจากนี้ การเขาถงึ ส่ือไดอ ยางสะดวกและงายดาย อาจทําใหเ ดก็ ไดรบั สือ่ บางประเภททไ่ี มเหมาะสม ยอ มสง ผลตอ พฤตกิ รรมท่ไี มเหมาะสมของเดก็ ในแตล ะชว งวัยไดอ ีกดว ย 114 ค่มู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนที่ ๓ 1. สรปุ แนวคิดและแสดงความคดิ เห็นจากเร่ืองท่ี ฟง และดู 2. ประเมนิ เร่อื งท่ีฟงและดู แลว กาํ หนดแนวทาง นําไปประยกุ ตใ ชในการดาํ เนินชวี ติ 3. มวี จิ ารณญาณในการเลอื กเรือ่ งท่ีฟงและดู 4. มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี òหนว ยการเรยี นรทู ่ี ในปจ จุบัน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค ความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี 1. ใฝเรียนรู ทําใหก ารนาํ เสนอขอ มลู ขา วสารตา งๆ 2. มุงมน่ั ในการทํางาน ปรากฏในรปู แบบที่ทันสมยั ผูรับสาร 3. รกั ความเปน ไทย สามารถรบั สารไดท ง้ั จากการฟงและการดู โดยผานสื่ออิเล็กทรอนิกสไ ดอ ยางรวดเร็ว กระตนุ้ ความสนใจ Engage ทักษะการฟง หรือดเู พอ่ื สรปุ ความ จึงมี ความสาํ คัญอยา งยิ่ง เพราะจะทาํ ให ผรู ับสารเขา ใจเรื่องราว สรปุ ความ จากเรอื่ งที่ฟงและดูไดถูกตอ ง ชัดเจน การสรปุ ความจากการฟง การดู นักเรยี นพิจารณาภาพหนาหนวย จากน้ันครู ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ กนกลาง สนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี • สรปุ แนวคดิ และแสดงความคดิ เห็นจากเรอ่ื งท่ีฟงและดู • การสรุปแนวคิดและการแสดงความคิดเหน็ จากเรือ่ งท่ฟี งและดู • นกั เรยี นคดิ วา การจดบันทึกจากการฟง (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๑) • การเลอื กเร่ืองที่ฟง และดูอยา งมวี จิ ารณญาณ ตอ งอาศยั ทักษะใดบาง • มารยาทในการฟง การดู และการพูด • ประเมินเรื่องท่ีฟงและดู แลวกําหนดแนวทางนําไป • นกั เรยี นคดิ วา ทกั ษะการจดบันทึกจากการ ประยุกตใชในการดําเนินชวี ิต (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๓) ฟงมปี ระโยชนอยางไร • มวี ิจารณญาณในการเลือกเรอ่ื งทฟ่ี ง และดู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๔) • มมี ารยาทในการฟง การดู และการพดู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) เกร็ดแนะครู หนวยการเรียนรนู ี้ ครคู วรเนน ทบทวนความรคู วามเขา ใจในการนําทักษะการฟง และการดูมาใชเปน แนวทางปฏบิ ัตใิ นชวี ิตประจาํ วัน ไมวาจะเปนการทาํ ความเขา ใจ สารจากภาพยนตร ละคร สารคดี สื่ออนิ เทอรเ น็ต รวมถงึ ขา วสารตา งๆ นอกจาก การรับสารจากสือ่ ประเภทตางๆ แลว นักเรียนควรพจิ ารณาการรบั สารดว ยวิธกี าร สนทนา การนําเสนอของผรู ู หรอื การรบั สารจากเรอื่ งราวตา งๆ ในชีวติ ประจําวนั การรบั สารผานการฟง และการดนู ้นั ถอื เปน ทกั ษะการรับสารท่ีมีขอจํากดั คอนขา ง มาก เนื่องจากการรับสารดวยวธิ ีการนี้ เมอ่ื สารถูกสง ออกมาแลวไมอาจยอ นกลับไป ฟงอีกครั้งได ผรู ับสารจงึ ตองมีความพรอ มอยเู สมอ ฉะนั้น นักเรียนจึงควรฝกทกั ษะ การรับสารอยางตอ เน่ือง ยงั เปน การเตรียมความพรอมใหน ักเรยี นสามารถศกึ ษา คนควาและจดั การกับขอมลู ขา วสารทม่ี คี วามหลากหลายไดเ ปนอยางดี ครูผูสอนควรชี้ใหน ักเรยี นเหน็ วา เมอ่ื นักเรยี นไดร ับขอมลู ขา วสารจากสือ่ ประเภท ตางๆ นักเรยี นควรสรุปขอมลู ตางๆ ได นอกจากเปนการตรวจสอบความเขาใจ เนอื้ หาแลว ยงั ชวยใหน กั เรยี นสามารถจดจําขอมูลไดอกี ดว ย ค่มู อื ครู 115

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ๑. หลักการฟง และการดูเพอื่ สรุปความ • นักเรียนชื่นชอบการรบั ขอ มลู ขา วสารดวย การสรุปความจากการฟง การดู คอื การยอ ความชนิดหน่ึงซึง่ ผูฟง หรือดจู ะตอ งทําความ การดหู รอื การฟงจากสื่อรูปแบบใดมากที่สุด เขาใจเน้ือเรื่องและจุดมุงหมายของเรื่อง จึงจะสามารถสรุปประเด็นหรือแนวคิดสําคัญของเร่ืองท่ี • นกั เรยี นมีวิธกี ารทําความเขา ใจและจดจํา ฟงและดูไดดวยสํานวนภาษาของตนเอง เน้อื หาของขอมูลขา วสารจากส่อื ประเภท การฟง และดเู พอ่ื จบั ประเดน็ และสรปุ ความ เปน ทกั ษะเบอื้ งตน ทที่ กุ คนจะตอ งฝก ฝน เพราะ ตางๆ ในชีวิตประจําวันไดอยางไร จะตองติดตามฟงและดูเร่ืองราวตางๆ โดยตลอด ดังน้ัน ตองมีสมาธิในการฟงและดู สามารถ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แยกแยะไดว า ขอ ความใดเปน ใจความสาํ คญั ขอ ความใดเปน พลความ ถา เขา ใจเรอ่ื งราวไดโ ดยตลอด ไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตุผลของ ยอมจดจในาํ เกรา่อื รงฟรางวแทต่ฟีละง คแรล้ังะดตสู าอมงจาัรบถปถราะยเดท็นอ1ขดอใหงเผ รอู่ือนื่ งเทข่ีฟา งใจไดได ด คว ือย รูวาผูพูดตองการส่ือสารอะไร นกั เรยี น) เเพปน่ือจปบัระใจเดค็นวาสมําคสัญาํ คัญแ2ลใะจรคูววาาอมะรไอรคง3ือแปลระะรเาดย็นลระอเองซยี ึ่งดขขยอางยเรป่อื รงะเวดิธ็นกี สาํารคฟัญงเพกือ่ าจรับฟใงจเคชวนานม้ีเปมนดี กงั านรี้ฟง สา� รวจคน้ หา Explore ๑. ฟงเรื่องราวใหเขาใจ พยายามจับใจความสําคัญของเรื่องเปนตอนๆ วาเรื่องอะไร ใครทําอะไร ที่ไหน เมอื่ ไร อยางไร นกั เรยี นสืบคนขอ มลู เก่ียวกบั หลกั การฟง และ การดูเพอ่ื สรุปความในประเดน็ ตอไปน้ี ๒. ฟงเรื่องราวที่เปนใจความสําคัญแลวหารายละเอียดของเรื่องท่ีเปนลักษณะปลีกยอย ของใจความสาํ คัญ หรอื ทีเ่ ปน สว นขยายใจความสาํ คญั • หลกั การฟงและดูเพือ่ สรุปความ • แนวทางการสรปุ ความจากการฟง และการดู ๓. สรุปความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสําคัญอยางครบถวน วิธีการสรุปความจากการฟง • มารยาทในการฟง และการดู จะตองคนหาใหพบวาสารใดเปนความคิดสําคัญในเรื่องนั้นๆ แลวสรุปไวเฉพาะใจความสําคัญ โดยเขียนชื่อเรื่อง ผูพูด โอกาสที่ฟง วัน เวลา และสถานท่ีที่ไดฟงหรือดูไวเปนเครื่องเตือน อธบิ ายความรู้ Explain ความทรงจําตอ ไป 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ▼ สื่อส่ิงพิมพห รอื ส่อื อน่ื ๆ ทอ่ี อกแบบอยา งสวยงามสามารถดึงดูดความสนใจไดเ ปนอยา งดี ตอ ไปน้ี • นกั เรียนคิดวา การสรุปความจากการฟงและ ๑๑๖ การดูสอ่ื มคี วามสําคญั ตอการติดตอ สื่อสาร ในยคุ ปจจบุ นั อยา งไร (แนวตอบ เนอื่ งจากการติดตอส่อื สารทมี่ คี วาม รวดเรว็ ในยุคปจ จบุ นั ขอ มลู ขาวสารในหลาย รูปแบบจงึ แพรก ระจายอยา งรวดเรว็ การ ทาํ ความเขาใจ และบนั ทึกขอ มลู จากการ ฟง และดสู ือ่ ดวยวธิ ีการสรปุ ความจึงมีความ สาํ คญั อยา งมาก) 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด นักเรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับผลสัมฤทธใิ์ นการฟง ระดับตา งๆ 1 จับประเด็น การจับขอ ความสําคญั หรือใจความสําคัญของเรอื่ ง แลว หยบิ ยกเอา วินยั ฟงรายการวิทยุ มขี อ ความตอนหน่ึงวา “ตลอดชวี ิตทผ่ี านมาเราจะ ความคิดหลกั หรือประเดน็ ท่ีสําคัญของเรื่องมากลาวยํา้ ใหเดนชดั โดยใชประโยคสน้ั ๆ รูส ึกวาเรายังมีไมพอ ตองมีน่นั มนี เ่ี สยี กอน แลว เราจะอมิ่ จะเต็ม สิ่งหนง่ึ ท่ี แลวเรยี บเรียงใหเ ปนระเบียบ นกั เรยี นสามารถจับประเด็นไดโ ดยฟง เรือ่ งราวทั้งหมด เราไมเ คยไดร บั การสอนก็คือ ไมว าจะพัฒนาความสามารถในการหาเงินทอง ใหเขาใจเสียกอ น แลวจงึ คอยๆ คน หาประเดน็ สาํ คัญในแตล ะตอน จากน้ันพยายาม หาของ หาความรกั ใหไ ดมากสักเทาใดก็ตาม นํา้ ในแกว ไมม วี ันเต็ม เพราะ ตอบคาํ ถามเกี่ยวกับเรื่องทีฟ่ งวา ใคร ทําอะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยา งไร เมือ่ ใด และ ความอยากในใจเราไมเคยหยุด” หลังจากฟงแลว เขาบอกกับตนเองวา ผูพดู ทาํ ไม ผฟู งจะตอ งฟง ดว ยความตั้งใจ เพ่ือใหเกดิ ความเขา ใจ ตอ งการใหคนเราลดความตอ งการของตนเองลงเพอื่ ความสุขในชีวิต 2 ใจความสาํ คญั ขอ ความทมี่ ีสาระครอบคลุมขอ ความอนื่ ๆ ในยอ หนา น้นั หรือ จากสถานการณใ นขอ ความขา งตนแสดงวา วนิ ัยมสี ัมฤทธผิ ลในการฟง ในเรอ่ื งนัน้ ทัง้ หมด สวนขอความทเ่ี หลือเปน สว นขยายใจความสําคัญเทานน้ั ระดบั ใด 3 ใจความรอง ขอ ความท่ขี ยายความใจความสําคัญ เปนการสนบั สนุนใจความ 1. เขาใจจดุ ประสงคข องผพู ูด 2. รับรขู อ ความไดครบถวน สําคญั ใหชัดเจนขึ้น อาจเปน การอธิบายใหร ายละเอียด ใหค าํ จาํ กัดความ ยกตวั อยา ง 3. บอกไดวา สิ่งท่ีฟงนาเชื่อถือ 4. ประเมนิ ไดว าส่งิ ทฟ่ี งมีประโยชน เปรียบเทียบ หรอื แสดงเหตุผลอยางถ่ถี ว น เพอ่ื สนบั สนุนความคิด วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เขาใจจุดประสงคของผูพ ูด หลงั จากทวี่ นิ ยั ฟง แลว วนิ ัยทราบวา ผูพ ูดตองการใหคนเราลดความตอ งการของตนเองลง 116 ค่มู ือครู เพอ่ื ความสขุ ในชวี ติ จงึ สอดคลอ งกบั ความสาํ เรจ็ ในการฟง สว นขอ อนื่ ๆ แสดง ผลสัมฤทธ์ิในการฟงในระดับการใชดลุ ยพินิจ

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒ . แนวทางการสรปุ ความจากการฟงั การดู 1. นกั เรยี นจัดกลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอ ไปนี้ การสรุปความจากการฟัง การดู ควรพิจารณาในด้านเน้ือหาและการใช้ภาษา ท้ังนี้ • นักเรียนคดิ วา การสรปุ ความจากการฟง เน้ือความของสารที่สรุปต้องรักษาเนื้อความเดิมและยังคงใจความส�าคัญไว้ครบถ้วน แนวทางใน และดูมหี ลักการอยา งไร การสรุปความจากการฟงั การด ู มดี งั น้ี (แนวตอบ การสรปุ ความจากการฟง และดูมี ๑. ฟังหรือดูแล้วเก็บใจความส�าคัญของเร่ืองให้รู้ว่าใคร ท�าอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร หลักการสําคัญ คือ ผฟู ง หรอื ผูดคู วรทําความ และบนั ทกึ เรอื่ งยอ่ ไว้ เขา ใจเนือ้ หา จดุ มงุ หมายของเร่อื ง และสรุป ๒. ฟงั หรอื ดเู นอ้ื ความทเี่ กย่ี วขอ้ งใหเ้ ขา้ ใจความหมายอยา่ งชดั แจง้ ทกุ ๆ ตอน ประเดน็ แลวจึงเขียนเรียบเรียงดว ยภาษา ๓. ใช้ภาษาท่ีกระชับ กะทัดรัด และครอบคลุมเนื้อความ ตรงตามวัตถุประสงค์ และมี ของตนเอง) ความหมายชดั เจน • การจบั ประเด็นสาํ คัญจากเร่ืองท่ฟี ง และดูมี ๔. ตง้ั คา� ถามจากเรอื่ งทฟ่ี งั หรอื ด ู เพอื่ ทดสอบความเขา้ ใจในการฟงั ของตนเอง ตง้ั คา� ถาม วธิ กี ารอยา งไร ถามตนเองอยตู่ ลอดเวลาในขณะทฟ่ี งั เพอ่ื เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจพนื้ ฐาน ไดแ้ ก ่ ใคร ทา� อะไร (แนวตอบ นกั เรยี นควรเนน การจับประเดน็ ท่ีไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วน�าค�าถามที่ได้มาสังเคราะห์ ก็จะได้เนื้อความใหม่ท่ีสรุปได้จาก สําคัญจากเรอ่ื งท่ฟี งและดู ดวยการทําความ ความเขา้ ใจของตนเอง เขาใจเน้ือหา จบั ใจความสําคญั จากนนั้ จึง ขยายรายละเอียด พรอ มบอกสาระสําคัญ ตวั อยา่ ง การสรปุ ความจากการฟัง การดู ของเรื่องได จากน้นั จึงระบชุ ื่อเรื่อง ผูพูดหรือ ผสู ง สาร โอกาสทฟี่ ง วนั เวลา และสถานท่ี เรอ่ื ง การดแู ลรกั ษาชมพู่ เพ่อื เปน เคร่ืองเตือนความจํา) ทม่ี า รายการโทรทศั น ์ เกษตรสญั จร • ในขณะทนี่ ักเรียนดูหรือฟง สอ่ื ประเภทตา งๆ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั จากการฟงั การดู นักเรยี นควรปฏิบตั ิตนอยางไร เพ่อื ให การดูแลรักษาชมพู่ในเร่ืองการห่อผล แม้จะต้องท�าด้วยความยากล�าบาก ลงทุนสูง นกั เรียนสามารถสรปุ ความจากสื่อไดด ี และตอ้ งใชเ้ วลานาน แต่ผลท่ไี ด้ก็นับว่าคุ้มคา่ ความส�าคญั ของการห่อผลสา� หรบั ชมพูด่ ังกลา่ ว (แนวตอบ ขณะดหู รือฟงสอ่ื ประเภทตางๆ หากจะเปรียบเทียบกันระหว่างผลท่ีห่อและไม่ได้ห่อแล้ว แม้จะเป็นชมพู่ในต้นเดียวกันก็ตาม นักเรยี นควรต้ังคาํ ถามเพือ่ ทดสอบความ ยงั ไดล้ กั ษณะผลทแ่ี ตกตา่ งกนั มาก เหมอื นมาจากคนละตน้ ทงั้ ในดา้ นรปู รา่ ง ลกั ษณะของผล เขาใจ จากนน้ั จึงสังเคราะหเนือ้ หาความคิด และรสชาต ิ โดยเฉพาะความหวานจะแตกตา่ งกนั มากดว้ ย คอื ผลชมพทู่ ไี่ ดจ้ ากการหอ่ จะไดผ้ ล ของนักเรียน เพื่อทาํ ความเขา ใจประเดน็ ที่มีลักษณะสีผิวนวล สวยงาม ไม่มีรอยด่าง หรือรอยถูกท�าลายจากโรคและแมลง มีเนื้อหนา ตา งๆ ทีน่ าํ เสนออยา งถี่ถว น) กรอบ นา�้ หนกั ผลด ี มรี สชาตหิ อมหวาน สว่ นในผลทไ่ี มไ่ ดห้ อ่ จะมผี วิ กรา้ นแขง็ เนอื้ บาง ไมก่ รอบ และรสหวานนอ้ ยกวา่ 2. ครสู ุมนกั เรยี นแตล ะกลุมออกมานาํ เสนอ หนา ชน้ั เรียน สรุปความเรื่องนี้ งานหนักท่ีสุดและส�าคัญมากในการดูแลรักษาชมพู่ คือ การห่อผลชมพู่ จากต้นเดียวกัน การห่อผลและไม่ห่อผลจะให้ลักษณะผลที่แตกต่างกันมากในด้านรูปร่าง ลักษณะของผล รสชาต ิ และความหวาน 117 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’49 ออกเก่ยี วกับการสรุปสาระสําคญั ครคู วรเพิ่มเตมิ ความรูความเขาใจเกี่ยวกับประโยชนข องการฟงและการดู การจด ขอ ความตอ ไปนมี้ สี าระสําคญั เก่ยี วกบั เรอ่ื งใด บันทกึ หรือการสรปุ เรอ่ื งทีฟ่ งและดู สามารถนําขอมลู ที่บันทึกไวไปเผยแพร เพอ่ื สราง ขาพเจาใครจ ะกลาวแกท ุกทานวา การทํานุบาํ รงุ ประเทศชาตินัน้ มิใชเปน ประโยชนใหกบั ผูอ่นื ไดอกี ดว ย การฟงและการดมู ีประโยชนห รือมีคุณคา ดงั ตอไปน้ี หนา ที่ของผหู นง่ึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปนภาระความรบั ผดิ ชอบของคนไทย 1. ประโยชนสว นตน การฟงเปนเคร่อื งมอื ของการเรยี น ชว ยพัฒนาสตปิ ญ ญา ทกุ คนที่จะตองขวนขวายกระทําหนาทข่ี องตนใหดีทส่ี ดุ เพอื่ ธํารงรกั ษาชาติ ทําใหเกิดความรูแ ละเกดิ ความเฉลยี วฉลาด ชวยปูพน้ื ฐานความคดิ ท่ดี ีใหกบั บานเมืองใหเ จริญมน่ั คงและผาสกุ รม เย็น ผฟู ง นอกจากนี้ การฟงยังเปน ทักษะที่สัมพนั ธก บั การเขยี น เมอ่ื ฟงส่ิงใดแลว ผฟู ง ควรบนั ทกึ สาระ แนวคิด หรอื ขอ สังเกตของผบู ันทกึ จากเรือ่ งท่ีฟง เพอ่ื 1. ความรบั ผดิ ชอบของผูน าํ ชวยใหจดจาํ เรอ่ื งทฟ่ี งไดด ยี ิง่ ขึ้น หรอื ชวยเตอื นความจาํ รวมถงึ สามารถนํา 2. ความสามัคคขี องคนในสงั คม ขอ มูลดังกลาวไปใชในโอกาสตอไปไดอ กี ดว ย 3. ความเจริญมัน่ คงของประเทศ 4. ความสํานกึ รหู นาทขี่ องคนไทย 2. ประโยชนท างสงั คม ทาํ ใหเกดิ ความรูที่เปน ประโยชนต อชาตบิ า นเมอื ง เชน การฟงประกาศ ฟง ปราศรยั ฟงการอภปิ ราย นอกจากนนั้ การฟง ชวยให วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ความสํานกึ รูหนา ทข่ี องคนไทย เนอ้ื หา ประพฤติดี ปฏบิ ตั ใิ หส งั คมเปนสุข เริม่ ตน จากการกลา วแสดงทรรศนะโตแยงในประเด็นทว่ี า “การทํานบุ ํารุง คูม่ ือครู 117 ประเทศชาตนิ ัน้ มิใชเปนหนาทข่ี องผูหนึง่ ผูใดโดยเฉพาะ” พรอมเสนอทรรศนะ วา “เปนภาระความรับผดิ ชอบของคนไทยทกุ คนทจ่ี ะตอ งขวนขวายกระทํา หนาที่ของตนใหด ีท่ีสุด” ทรรศนะดังกลา วจึงมีความสอดคลองกับคาํ ตอบขอ ท่ี 4. ซงึ่ ถอื เปนสาระสําคญั ของเรอ่ื ง

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนรวมกันระดมความคดิ ดวยการตอบ ๓. มารยาทในการฟังและการดู คาํ ถาม ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา มารยาทในการฟง และการดู ๑. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้องหรือมองไปท่ีอื่น อันเป็นการแสดงว่าไม่สนใจ ส่ือสงผลดตี อ การสรปุ ความจากการฟง และ เรอื่ งท่พี ูดและไมเ่ อาหนงั สอื ไปอ่านขณะที่ฟงั หรอื ดู การดสู ่ืออยางไร ๒. รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อ่ืน ไม่รับประทานของขบเคี้ยว เพราะเป็นการ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ท�าลายสมาธิของผู้อ่ืน ควรปิดโทรศัพท์เคล่ือนท่ีเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของผู้อื่น และไม่ควรพา ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูก ับเหตุผลของ เด็กเลก็ ๆ เขา้ โรงภาพยนตรห์ รอื ในทท่ี ีต่ อ้ งการความสงบ นกั เรียน เปน ตนวา สง ผลดตี อสัมฤทธิผล ๓. แสดงกริ ิยาอาการทเี่ หมาะสม ไม่นั่งเกย้ี วพาราสีกันในทส่ี าธารณะที่ตอ้ งการความสงบ ในการรบั สารทงั้ ตอตนเอง โดยการใหความ ในการฟังและการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาผู้อื่นแล้วยังเป็นการแสดงกิริยาท่ีขัดต่อ สนใจเรอื่ งทีก่ าํ ลังดูหรอื ฟง รักษากิรยิ า ขนบธรรมเนียมของไทยอีกด้วย มารยาท มีสมาธจิ ึงสามารถรบั สารไดอยาง ๔. ในการดภู าพไมค่ วรขดี เขียน หรือฉกี ภาพซง่ึ แสดงถึงความไม่มีวฒั นธรรมทด่ี งี าม ครบถวน สงผลดตี อ บุคคลรอบขา งใหส ามารถ รับสารไดด ยี ิ่งขึน้ ดว ย นอกจากน้ี ยังเปนการ การรับสารโดยใช้ทักษะการฟัง การดู เพ่ือให้เกิดผลในทางสร้างสรรค์ ผู้รับสาร รกั ษาสมั พนั ธภาพทด่ี รี ะหวา งกนั ไดอ ีกดวย) ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เพื่อให้การรับสารมีประสิทธิภาพ เม่ือรับสารมาแล้วต้องใช้สติปัญญา • นกั เรียนคิดวา นกั เรยี นมวี ธิ ีการพฒั นา พิจารณาสาร แยกแยะข้อเท็จจริง และสรุปใจความสำาคัญของสารโดยอาศัยการไตร่ตรอง ทักษะการสรุปความจากการฟง และการดูสือ่ วิเคราะห ์ วนิ จิ ฉยั และประเมินคา่ ซงึ่ ตอ้ งหมน่ั ฝกึ ฝนเปน็ ประจำา จงึ จะช่วยใหผ้ ู้รับสารสามารถ อยา งไร นาำ สารทไ่ี ดร้ บั ไปปรบั ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ การดาำ เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล (แนวตอบ นักเรียนควรฝกทักษะการตัง้ คําถาม รวมถงึ ทักษะการจับประเด็นจากสอ่ื ตา งๆ) 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. ครนู ดั หมายใหน กั เรียนดหู รือฟง สอื่ โทรทัศน รายการเดียวกนั จากนน้ั นักเรยี นสรปุ เนอื้ หา จากสื่อที่นกั เรียนไดด ูหรอื ฟง พรอ มบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 2. ครูสุมนักเรยี น 3-4 คนออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรยี น 118 บูรณาการอาเซียน ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดแสดงความสมั พนั ธทีไ่ มเหมาะสม ระหวางผฟู ง กับผูพูด ความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกบั ประเทศในภูมิภาคอาเซียนยอ มสรางความรว มมือ 1. จับตามองผพู ูดตลอดเวลา ท่ีดรี ะหวางกัน โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การทําความเขาใจเกี่ยวกับขอ มูลขาวสารและ 2. ปรบมือใหกาํ ลังใจผูพ ดู สถานการณตางๆ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในปจ จุบนั ยอมสง ผลดีตอ ความรว มมือและลดอคติ 3. แสดงความเขาใจผานทางสหี นา อนั จะนํามาซ่งึ ความขดั แยงได นกั เรียนควรทาํ ความเขาใจขอมูลขา วสารตา งๆ ดว ย 4. ซักถามผูพ ูดเกยี่ วกบั ขอ สงสยั ตา งๆ ตลอดเวลา การสืบคน ขอมูลขา วสารจากสอื่ ตางๆ ที่มคี วามหลากหลาย โดยนกั เรียนสามารถ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ซกั ถามผพู ูดเกี่ยวกับขอสงสยั ตางๆ ตลอด บรู ณาการความรเู ก่ยี วกับทักษะการฟง และการดูอยางมวี จิ ารณญาณมาประยุกตใ ช เวลา เปนมารยาททไ่ี มเ หมาะสมเน่อื งจากอาจกอใหเ กิดความเดือดรอนราํ คาญ เร่ิมตน จากการพจิ ารณาแหลง ขา ววา ขาวที่นําเสนอผา นสอื่ ตางๆ มาจากแหลง ขาวใด แกผูฟงอนื่ ๆ รวมถึงเปนการทําลายสมาธิ ความม่นั ใจ ตลอดจนเนื้อหาหรือ เนื่องจากขา วสวนใหญม ักมที ่มี าจากสํานักขา วตางประเทศ เชน CNN BBC AP สารท่ีผพู ูดตอ งการส่ือไดอ กี ดว ย รอยเตอร เปนตน ซงึ่ เปนสาํ นกั ขา วของประเทศตะวันตก นกั เรียนควรสืบคน ขา วที่ แปลมาจากประเทศตางๆ ในอาเซยี น ซ่ึงเปนการนาํ เสนอจากมมุ มองภายใน เปน ความคดิ เห็นและความรูส กึ ของประเทศในอาเซียนดว ยกนั ยอมเปนแนวทางการสราง ความเขา ใจ ลดอคติ และความขัดแยง รวมถึงเปนพื้นฐานในการสรา งความเขาใจ ระหวา งกันไดเ ปน อยางดี 118 ค่มู อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจำาหนว่ ยการเรียนรู้ 1. นักเรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกับความสําคัญ ของหลักการฟงและดูเพอ่ื สรุปความ แนวทาง ๑. การฟงั และการดเู พ่ือสรุปความเป็นทกั ษะทีจ่ �าเปน็ ตอ้ งใช้ในชวี ิตประจ�าวันหรือไม ่ การสรปุ ความจากการฟง การดู รวมถึง อย่างไร มารยาทในการฟงและการดู ๒. การชมภาพยนตรเ์ พ่ือให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ การนา� ไปใช ้ ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร 2. นกั เรียนสามารถสรปุ ความจากการฟง และการ ๓. หากตอบค�าถามเกยี่ วกบั เรอื่ งทดี่ ู หรอื ฟงั ไมไ่ ด ้ แสดงว่าผดู้ ู หรือผู้ฟัง ดสู อ่ื ประเภทตา งๆ ได มขี ้อบกพร่องอย่างไร และควรแกไ้ ขอยา่ งไร จงอธบิ ายพอสังเขป หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรุปสาระสําคญั เกยี่ วกบั ความสาํ คญั ของหลักการฟง และดเู พอ่ื สรุปความ หลกั การ ๑. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั ดสู ารคดีทน่ี า่ สนใจ ๑ เรือ่ ง นา� มาวิเคราะหแ์ ละแสดง ฟงและดเู พอื่ สรปุ ความ แนวทางการสรปุ ความ ความคดิ เห็นรว่ มกัน แลว้ สรปุ สาระสา� คญั ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการดูสารคดี จากการฟง การดู และมารยาทในการฟง และ การดู ๒. ให้นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั สา� นวนทีก่ า� หนดให้ แลว้ ร่วมกัน สรปุ ความร ู้ และหลกั การนา� ส�านวนไปใช้ในชวี ติ ประจา� วนั ใหเ้ หมาะสม เชน่ 2. ความเรยี งสรุปความจากการฟงและการดูสื่อ ประเภทตา งๆ ได - ฟงั ไม่ได้ศพั ท ์ จับไปกระเดยี ด - สีซอใหค้ วายฟงั 3. บันทึกการตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู - ไมด่ ูตามา้ ตาเรือ ๓. ให้นักเรียนเลอื กฟังรายการวิทยทุ ี่มีประโยชน ์ ๑ รายการ เปน็ เวลา ๑ สปั ดาห ์ แลว้ จดบันทกึ สาระสา� คัญเพ่ือน�าส่งครู 119 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. การฟง และการดูเพื่อสรุปความเปนทกั ษะสาํ คญั ในชวี ติ ประจําวนั เนือ่ งจากทักษะทงั้ สองอยางเปน ทักษะทม่ี นุษยใชม ากทส่ี ุด โดยเฉพาะอยางย่ิงการบรโิ ภคขอมูลขา วสาร ทหี่ ลากหลายในปจ จบุ นั 2. นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็นไดอ ยางหลากหลายขึ้นอยูก บั เหตุผลของนักเรยี น เปนตนวา การทาํ ความเขา ใจเน้ือหา และสังเคราะหขอคิดจากเรอ่ื งประยกุ ตใ ชใน ชวี ติ ประจาํ วนั 3. หากตอบคําถามจากเรอ่ื งท่ฟี งหรอื ดไู มไ ด แสดงวา ผูฟง หรอื ดมู คี วามบกพรองในการทําความเขาใจเรื่องราว ผูฟงและดคู วรพยายามเก็บใจความสาํ คญั ของเร่อื งรวมถึง เหตกุ ารณท ีเ่ กดิ ข้ึน จากน้ันพยายามเชือ่ มโยงเนือ้ หาหรอื เร่ืองราวที่เกดิ ข้ึนใหไ ดเนือ้ ความชัดเจน หรอื ถามผูอน่ื ในเร่ืองทนี่ กั เรยี นยังไมเขา ใจ วา ความเขา ใจดงั กลาวเปน ความเขาใจทถี่ ูกตอ งหรือไม อยา งไร คู่มอื ครู 119

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู 1. พูดในโอกาสตา งๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแยง ตอนที่ ๓ โนมนา วใจ และแสดงแนวคดิ ใหมดวยภาษาที่ ถูกตอ งเหมาะสม 2. มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชน 1. ใฝเรยี นรู อยา งมีประสิทธภิ าพ ยอ มกอใหเกดิ 2. มงุ ม่นั ในการทํางาน ผลดีทั้งแกผ พู ดู และสว นรวม ผูทีป่ ระสบ 3. รกั ความเปนไทย ความสาํ เรจ็ ในหนาทก่ี ารงาน สวนหนง่ึ อาศัย การพูดเปนสอ่ื ชักนําความสาํ เร็จของตน กระตนุ้ ความสนใจ Engage óหนวยการเรียนรูท่ี การฝก ฝนการพดู ควรศกึ ษาหาความรูเพิ่มเติม อยเู สมอ พรอมทงั้ เขาใจหลักการ และหลกั เกณฑ ครเู ปดวีดิทัศนเก่ยี วกบั การพูดจากรายการ ของการพดู เปนอยางดี จงึ จะสงผลใหการพูด โทรทัศนหรอื จากการประกวดประเภทตา งๆ ใหน ักเรยี นดู จากน้ันครูสนทนาซักถามกระตนุ สมั ฤทธผิ ลเปนทีป่ ระทับใจผฟู ง ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชน • นักเรยี นคดิ วา เมอื่ นักเรยี นชมวีดิทัศนด งั กลาว ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู กนกลาง แลว นักเรียนเกดิ ความรูสกึ อยา งไร นกั เรียน เกดิ ความรสู กึ ประทบั ใจจากวดี ิทศั นท ่ีนกั เรียน • พดู ในโอกาสตา งๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแ ยง • การพูดตอที่ประชมุ ชน ไดชมหรอื ไม อยา งไร โนมนาวใจ และเสนอแนวคดิ ใหมด วยภาษา • มารยาทในการฟง การดู และการพดู ท่ีถกู ตองเหมาะสม (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๕) • นกั เรียนคดิ วา องคป ระกอบใดจากการพดู ทที่ ําใหนกั เรียนประทับใจ • มีมารยาทในการฟง การดู และการพดู (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) ไดอ ยางหลากหลายข้ึนอยูกบั เหตผุ ลของ นกั เรยี น) เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูเรอ่ื ง การพดู ตอ ที่ประชุมชนนัน้ ในการ จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนหรอื การฝกปฏิบตั ิการพูด ครูผสู อนตองคํานงึ ถึงความ สามารถเกยี่ วกับทักษะทางภาษาของผเู รียนเปน สาํ คัญ เนื่องจากทกั ษะการพูดตอ ที่ ประชมุ ชนน้ันเปน ทักษะทต่ี อ งอาศยั การฝกฝนและความกลา แสดงออก ครผู สู อนจึง ตอ งจดั กจิ กรรมในลักษณะบูรณาการการเรียนรรู ะหวางความรใู นหนวยการเรียนรนู ้ี กบั การเรียนในหนว ยอ่นื ๆ ตวั อยา งเชน การปฏิบตั กิ ิจกรรมการนาํ เสนอหนา ชนั้ เรียน กเ็ ปนกิจกรรมหน่งึ ที่ชว ยพัฒนาทกั ษะการพดู ใหแกผูเรียน ครผู สู อนตอ งฝกใหผ เู รียน รจู ักการเตรียมตวั ทีด่ ีตั้งแตการวางแผนการพูดและการเขยี นโครงรา งบทพูด รจู ัก เรยี บเรียงเนอื้ หา รวมถึงใชภาษาอยางถกู ตองเหมาะสม ตลอดจนตอ งคาํ นงึ ถงึ มารยาทในการพดู ทกุ ครง้ั ทง้ั นข้ี ึ้นอยูกับพ้นื ฐานความสามารถของนกั เรียนแตล ะคน ครคู วรเนนกระตุนใหนักเรยี นพดู แสดงความคดิ เห็นอยางสมํา่ เสมอ เพื่อใหน กั เรียน ไดพัฒนาความคดิ รวมถึงมคี วามมัน่ ใจในการถา ยทอด และสามารถพดู ตอหนาท่ี ประชมุ ชนได 120 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ความหมายของการพูดต่อทปี่ ระชุมชน ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การพดู หมายถงึ การถา่ ยทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความตอ้ งการของผูพ้ ดู ออกมา โดยอาศยั ถอ้ ยค�า นา้� เสียง และกริ ยิ าท่าทางทีเ่ หมาะสมกบั สภาพวฒั นธรรม ท�าใหผ้ ฟู้ งั • นกั เรยี นประทับใจนักพูด หรือพธิ ีกรรายการ สามารถรับรู้เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูดได้อย่างกระจ่างชัด และสามารถแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ โทรทศั น หรือผูป ระกาศขา วคนใดมากทสี่ ุด ใหผ้ ู้พูดทราบจนเป็นท่ีเข้าใจตรงกนั ได้ • บุคคลดงั กลาวมคี วามสามารถในการพดู ที่ การพูดที่ดีจึงหมายถึง การพูดท่ีมีวัตถุประสงค์ท่ีแน่ชัดและได้รับการตอบสนองจากผู้ฟัง นกั เรยี นประทับใจอยางไร ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจ รวมท้ังผู้พูดควรมีความจริงใจและมีความรับผิดชอบต่อการพูด ของตน • นกั เรียนทราบหรอื ไมว าทกั ษะการพดู ปฏิกิริยกาตารอพบูดสตน่ออทง่ีปขรอะงชผุมู้ฟังคือทั้งกทา่ีเรปพ็นูดวใัจนนทภ่ีสาาษธาา1รแณละะอวมัจีผนู้ฟภังาเปษ็นา2จ�ากนาวรนพมูดาตก่อหผนู้พ้าูดปตร้อะงชสุมนชในจ ประเภทตางๆ สามารถพัฒนาได ขึ้นอยูก บั เป็นการเปดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัว เป็นท้ังศาสตร์และศิลปซึ่งไม่จ�าเป็น ความต้งั ใจและการฝกฝนของนักเรยี น ต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไป สามารถฝ3ึกฝนได้ นอกจากน้ีการฝึกพูดต่อที่ประชุมชน ยังเป็นวิธี ท่ดี ีอีกวิธีหนง่ึ ในการปรับปรงุ บุคลิกภาพทง้ั ภายในและภายนอก เพอื่ พฒั นาให้เป็นนกั พดู ท่ดี ี สา� รวจคน้ หา Explore ๒. จดุ มุ่งหมายของการพดู ตอ่ ท่ีประชุมชน นกั เรียนสืบคนเกย่ี วกับการพูดตอ ทปี่ ระชุมชน ในประเด็นตา งๆ ดังตอไปนี้ ในการพูดแต่ละคร้ัง ไม่ว่าจะเป็นการพูดระหว่างบุคคล การพูดในกลุ่ม และการพูดต่อที่ ประชมุ ชน ย่อมจะต้องมีจุดม่งุ หมาย โดยทว่ั ไปแล้วจุดมุง่ หมายของการพูด มดี งั นี้ • ความหมายของการพูด ๑) เพื่อบอกเร่ืองราวที่ควรรู้แก่ผู้ฟัง ตามปกติมนุษย์มีความสนใจท่ีจะรู้เรื่องราวในชีวิต • จุดมงุ หมายของการพดู ประจ�าวันที่ก�าลังเกิดขึ้นกับเพื่อนบ้าน กับชาติ หรือกับโลก หรือต้องการเรียนรู้เก่ียวกับอาชีพ • ลักษณะการพูด หรอื ความสา� เรจ็ ของบคุ คลทง้ั ทเี่ สยี ชวี ติ ไปแลว้ และยงั มชี วี ติ อยู่ เพอ่ื นา� สาระความรมู้ าพฒั นาตนเอง • หลกั การพดู หรือเพื่อประเทอื งปญั ญาและจติ ใจ • การเตรยี มตวั พูด ๒) เพอื่ สรา้ งความบนั เทงิ ใจใหแ้ กผ่ ฟู้ งั ตามธรรมดาทกุ คนยอ่ มพอใจทจ่ี ะไดฟ้ งั เรอื่ งราวท่ี • วธิ กี ารพดู ท�าให้ตนเกดิ ความร้สู กึ สนุกสนาน ร่าเรงิ หรือขบขนั ซ่ึงอาจเปน็ เร่อื งเก่ียวกบั ประสบการณส์ ว่ นตวั ขอ้ บกพรอ่ ง หรอื นสิ ยั ของตนเองทท่ี า� ใหผ้ อู้ นื่ เหน็ ขนั หรอื ขอ้ เสนอท่ีโงอ่ ยา่ งนา่ ขนั ตลอดจนการพดู อธบิ ายความรู้ Explain ทเ่ี กย่ี วกบั การผจญภยั ความรกั ความสา� เรจ็ ในชวี ติ และเรอ่ื งของภตู ผปี ศี าจ เรอ่ื งเหลา่ นจี้ ะชว่ ยให้ ผฟู้ งั รสู้ กึ ตนื่ เตน้ เรา้ ใจ สนกุ สนาน และชว่ ยผอ่ นคลายความตงึ เครยี ดในชวี ติ ประจา� วนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ตอไปน้ี 121 • นักเรยี นคิดวา คาํ กลา วท่วี า “การพูดเปน ทง้ั ศาสตรแ ละศิลป” มคี วามหมายวาอยางไร และการพดู ในท่ีประชมุ ชน “เปน ท้ังศาสตร และศลิ ป” หรอื ไม อยางไร (แนวตอบ ตอ งอาศัยความสามารถทั้ง วัจนภาษาและอวจั นภาษาท่แี สดงถึงความ สามารถเฉพาะตัวของผพู ดู เพอื่ ดงึ ความ สนใจจากผูฟ งใหส ามารถสอ่ื สารไดบ รรลุผล) 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั เจตนาในการพูด 1 วจั นภาษา หมายถึง ภาษาถอ ยคํา ไดแ ก คําพดู หรือตัวอกั ษร ขอ ใดเปน เจตนาในการพดู 2 อวัจนภาษา หมายถึง เปน การส่อื สารโดยไมใ ชถ อ ยคํา เรารสู ึกไดถ งึ ความแตกตางเม่ือเราปลูกสม แบบเกษตรอนิ ทรยี  เราไมได 3 บุคลิกภาพ ลกั ษณะทา ทางเฉพาะตัวของแตล ะบคุ คลแบง เปน 2 ประเภท คือ บคุ ลกิ ภาพภายนอกเปน สง่ิ ทีส่ ามารถสงั เกตเหน็ ได ไดแ ก รูปราง หนา ตา กิริยา ลงทุนมากตงั้ แตตนปม าใชไ มก พี่ ันบาท ชาวบา นไมเ หมน็ ยาเคมี ไมม ีมลภาวะ ทาทาง การแตง กาย สวนบคุ ลิกภาพภายในเปนสิง่ ทม่ี องไมเ ห็นตอ งอาศัยการเรยี นรู สภาพรางกายเราดขี ้นึ ทันตาเหน็ ตอนแรกคดิ วา ทาํ ยาก เด๋ียวนรี้ ูแลว อยากให เชน ความเชอื่ มนั่ ในตนเอง ความกระตอื รือรน นิสัยใจคอ เปน ตน บุคลกิ ภาพ คนปลกู สมแบบใชสารเคมีหนั มาทําแบบเรากนั มากขึ้น ภายนอกเปนปจจัยหนง่ึ ทส่ี าํ คัญที่ชวยสรา งความประทับใจเมอื่ แรกพบ (First impres- sion) ใหแ กผ ฟู ง หากตองการพูดใหประสบความสําเรจ็ ผพู ูดจึงควรฝกฝนและ 1. บอกกลา วใหค นรจู กั ผลงานเกษตรอินทรียทตี่ นทําอยู ปรบั ปรุงบุคลิกภาพในดานตา งๆ ทง้ั ในเรือ่ งการยนื การเดิน การน่งั การแสดงออก 2. ตักเตอื นใหคนระวังในการกินสมท่ปี ลกู แบบใชส ารเคมี ของทา ทาง การเคลอื่ นไหวบนเวที การแสดงออกของสหี นา ทาทาง นํ้าเสยี ง 3. ชกั ชวนเพ่ือนเกษตรกรใหเปลีย่ นมาทําไรแบบเกษตรอนิ ทรีย การออกเสยี ง ตองสอดคลองกบั เรอ่ื งทพี่ ูด รวมถึงบรรยากาศทพี่ ูด และอารมณของ 4. แนะนาํ คุณคาของสมทไ่ี ดจากไรแบบเกษตรอนิ ทรยี  เร่ือง นอกจากนี้ ยังตอ งคํานงึ ถงึ การแตงกายใหถ ูกตอ งตามกาลเทศะดว ย วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ชกั ชวนเพอ่ื นเกษตรกรใหเ ปล่ียนมาทําไร คู่มือครู 121 แบบเกษตรอินทรีย เพราะพิจารณาจากขอ ความท่วี า “เรารูสึกไดถ งึ ความ แตกตา งเมือ่ เราปลกู สม แบบเกษตรอินทรีย” เปน การเปรียบเทียบความ แตกตาง

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนจับคู จากน้นั ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คู ๓) เพอ่ื จงู ใจผฟู้ งั บางครง้ั มนษุ ยม์ คี วามจา� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งพดู เรยี กรอ้ ง ชกั ชวน โนม้ นา้ วจติ ใจ รวมกนั ตอบคําถามหนาชน้ั เรยี นในประเด็น ผฟู้ ังใหร้ สู้ กึ คล้อยตาม แลว้ กระทา� ตามความประสงค์ของผู้พดู ด้วยการทา� ให้เช่ือ การเร้าความรสู้ กึ ตอ ไปนี้ และการสร้างความประทับใจ • นักเรียนคิดวา การพูดตอ ท่ีประชุมชนมี ๓.๑) การทา� ใหเ้ ชอ่ื เปน็ การพดู ทมี่ งุ่ ใหผ้ ฟู้ งั เปลย่ี นแนวคดิ หรอื ยา้� ใหม้ คี วามเชอ่ื มน่ั ใน จุดมงุ หมายอยา งไร แนวคิดนัน้ ๆ มากยิง่ ขนึ้ ทงั้ น้ีผู้พูดจะต้องมีเหตผุ ล มีข้อโตแ้ ยง้ ท่ีมีน้า� หนัก มขี ้อพสิ จู น์ทป่ี ระกอบ (แนวตอบ 1. เพ่อื บอกเรื่องราวทีค่ วรรู ด้วยข้อเท็จจรงิ หรือมขี อ้ วจิ ารณ์ของผเู้ ช่ียวชาญ รวมทัง้ มลี ลี าการพดู ท่นี ่าเช่ือถือ 2. เพือ่ สรางความบันเทงิ 3. เพือ่ จงู ใจผฟู ง) ๓.๒) การเร้าความรู้สึก เป็นการพูดท่มี ุ่งกระต้นุ หรอื เร้าความรู้สกึ ผู้ฟงั ใหป้ ฏบิ ตั ติ าม • นักเรยี นคดิ วา จุดมุงหมายในการพดู ทมี่ ี แนวคิดของผูพ้ ูด ไม่วา่ จะเปน็ การปฏิบัติท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การเมอื ง เศรษฐกจิ สังคม หรือพฤติกรรม ความแตกตางกันสง ผลตอเนอื้ หาในการ สว่ นบคุ คล เชน่ การออกเสยี งเลอื กตง้ั การบรจิ าคเงนิ เพอ่ื การกศุ ล และการออกกา� ลงั กายประจา� วนั สือ่ สารทีม่ คี วามแตกตางกันหรือไม อยา งไร ผู้ฟังจะปฏิบัติตามผู้พูดต่อเมื่อตนเกิดความเช่ือมั่นว่า การปฏิบัติตามนั้นเป็นเร่ืองท่ีสมควรหรือ (แนวตอบ การกําหนดจุดมงุ หมายในการพูด เป็นประโยชน์ ดงั นั้น ผพู้ ดู ต้องพดู อยา่ งมเี หตผุ ล มคี วามจริงใจ และมคี วามปรารถนาดไี ปพรอ้ มๆ ยอมสงผลตอ เนอ้ื หาในการพดู ที่มีความ กนั ดว้ ย แตกตางกนั ) ๓.๓) การสร้างความประทับใจ เป็นการพูดท่ีมุ่งย�้าความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ฟังให้ รสู้ กึ ซาบซง้ึ และตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของความดี ความประณตี งดงาม ศลี ธรรมจรรยา และคา่ นยิ มของ 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด สังคม โดยผ้พู ดู ตอ้ งพยายามใชต้ ัวอย่างทผี่ ู้ฟงั เคยร้เู ห็นและเข้าใจอย่แู ล้ว เพ่อื เน้นใหเ้ ขา้ ใจยง่ิ ขึ้น ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓. ลักษณะการพดู ตอ่ ท่ปี ระชมุ ชน 1. นกั เรยี นแตละคนปฏิบัตกิ จิ กรรม ตอ ไปน้ี ลกั ษณะการพดู ตอ่ ทป่ี ระชมุ ชน แบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้ • นกั เรียนกาํ หนดสนิ คาชิ้นใดช้ินหนึง่ เพื่อ ๑) การพูดเดยี่ วหรอื พูดคนเดยี ว หมายถงึ ผพู้ ดู ตอ้ งพดู ตามลา� พังตอ่ หน้าทป่ี ระชมุ หรอื นําเสนอและขายใหเพ่อื นของนักเรียน ต่อหนา้ ชน้ั เรยี น เรือ่ งที่พูดอาจเปน็ การพดู เลา่ เรอื่ ง พูดแสดงความคิดเหน็ พูดวิจารณ์ พูดชแ้ี จง (แนวตอบ นกั เรยี นอาจยกตัวอยา งปากกา หรือพูดสรุปความอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการเตรียมพร้อมด้านเนื้อหาสาระ คือ ผู้พูดจะต้อง ดินสอ หรือรถจักรยาน รวมถงึ สิง่ ประดิษฐ เตรียมเนือ้ เรอ่ื งให้เหมาะกบั ผู้ฟัง เหมาะกับเวลา โอกาสท่พี ดู รวมทั้งเหมาะกับบคุ ลิกและอปุ นสิ ยั ในจนิ ตนาการ อาทิ ยานอวกาศก็ได) ของผพู้ ดู ดว้ ย ทงั้ นคี้ วรเปน็ เรอ่ื งทมี่ จี ดุ มงุ่ หมายเพยี งประการเดยี ว เพอ่ื ชว่ ยผฟู้ งั ใหจ้ บั ประเดน็ ของ • นักเรยี นคิดวา หากนกั เรยี นตองการขาย เรอื่ งไดถ้ กู ตอ้ งเขา้ ใจเนอ้ื เรอ่ื งไดด้ ี ขอ้ สา� คญั จะตอ้ งเปน็ เรอ่ื งทผี่ พู้ ดู สนใจ มคี วามรแู้ ละประสบการณ์ สนิ คาอยา งใดอยางหน่งึ ใหเพอื่ นของนักเรียน นักเรียนจะมีวิธีการกาํ หนดจุดมงุ หมายใน หลกั การพดู เดยี่ วหรอื พดู คนเดยี ว มหี ลกั สา� คญั ดงั น้ี การขายสินคาอยางไร และนักเรยี นจะมีวิธี ๑. ตอ้ งรจู้ กั การใชส้ ายตาทา่ ทางประกอบการพดู การสบสายตาเปน็ การแสดงออกถงึ การพูดโนมนา วใจใหเพอ่ื นซื้อสินคา โดยนาํ อารมณต์ ามเนอื้ เรอ่ื งทพ่ี ดู สว่ นการแสดงทา่ ทางเปน็ สงิ่ ทชี่ ว่ ยดงึ ดดู ความสนใจของผฟู้ งั และชว่ ย เสนอประเด็นใดบางอยา งไร สรา้ งจนิ ตนาการใหผ้ ฟู้ งั มากยงิ่ ขน้ึ ถงึ แมจ้ ะพดู กบั คนจา� นวนมาก ผพู้ ดู กต็ อ้ งมองไปยงั ผฟู้ งั ใหร้ สู้ กึ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น วา่ กา� ลงั พดู กบั ทกุ คน การเคลอื่ นไหวหรอื การใชท้ า่ ทางทเ่ี หมาะสมเปน็ การแกค้ วามซา้� ซาก แตม่ ี ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยูกับเหตุผลของ ขอ้ ควรระวงั คอื อยา่ เคลอ่ื นไหวมากเกนิ ไปหรอื ยนื อยกู่ บั ทน่ี านๆ นกั เรยี น) 122 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอความตอ ไปน้ีมจี ุดมุง หมายในการพดู สอดคลอ งกับขอ ใดมากทีส่ ดุ ในการจดั การเรยี นการสอนเกีย่ วกบั จดุ มุงหมายในการพดู โดยเฉพาะอยางย่ิงการ ขาพเจาใครจะกลา วแกทุกทา นวา การทํานบุ ํารุงประเทศชาตนิ ้ันมใิ ชเปน พดู เพอื่ จูงใจผูฟงนั้น ครูผูส อนควรเนนยํา้ ใหผเู รยี นเขา ใจแนวคดิ หลกั ของการพูดเพือ่ หนา ท่ขี องผูหนง่ึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปนภาระความรบั ผิดชอบของคนไทย จงู ใจผฟู ง วา มจี ดุ มงุ หมายใหผ ฟู ง เช่ือและมีความคิดคลอยตาม สงผลตอ พฤตกิ รรม ทกุ คนทจ่ี ะตองขวนขวายกระทาํ หนา ท่ีของตนใหด ีทสี่ ดุ เพ่อื ธํารงรักษาชาติ ของผูฟ ง ฉะน้ัน ผูพดู จะตองชี้แจงใหผูฟงเห็นวา ถาไมเช่ือหรอื ปฏบิ ัตติ ามทผี่ ูพ ดู เสนอ บา นเมืองใหเ จรญิ มน่ั คงและผาสุกรม เยน็ แลว จะเกดิ โทษหรอื ผลเสยี อยา งไร โดยครูสามารถแนะนาํ หลักการในการพูดจงู ใจวา 1. เปน การเรา ความรูสึก การพูดชนิดนี้จะประสบความสําเร็จไดด ีมากนอ ยเพยี งไรนัน้ ขน้ึ อยกู ับตวั ผพู ูดเองวา 2. บอกเรือ่ งราวทค่ี วรรแู กผฟู ง มบี คุ ลิกภาพนา เชอ่ื ถือเพียงใด มกี ารใชถอยคาํ ภาษาทง่ี ายแกการเขาใจของกลมุ 3. สรา งความบนั เทิงสนุกสนาน ผูฟงหรอื ไมแ ละท่ีสาํ คญั คือ ผูพดู จะตองมศี ิลปะและจติ วิทยาในการจงู ใจผูฟงไดเ ปน 4. เปนการทาํ ใหผ ูฟง เช่ือดวยเหตผุ ล อยางดี โดยครูผูสอนสามารถใหผ เู รยี นศกึ ษาตวั อยา งการพูดเพอื่ จงู ใจผฟู ง การเรยี นรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เปนการเรา ความรูสึก มุงกระตุนใหผ ฟู ง ปฏบิ ตั ิ เทคนิคในการพดู เพอ่ื นาํ เสนอและสอื่ สารเนอื้ หาทีม่ คี วามหลากหลายยอมสามารถ ตามแนวคิดของผพู ูด ใหส ํานึกรูหนา ที่ของคนไทย สรางประสบการณการเรยี นรูทด่ี ีใหเ กิดข้ึนกับผพู ดู นอกจากน้ี ยงั สามารถนํามาปรบั ใชใ นการพูดสื่อสารของนักเรียน รวมถึงนักเรยี นซง่ึ เปน ผูร บั สารยังมีความรเู ทา ทัน ผพู ดู และวิเคราะหสารหรือเนอื้ หาที่ฟง ไดเ ปนอยา งดี 122 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๒. ตอ้ งรจู้ กั ใชถ้ อ้ ยคา� ภาษา1คอื ควรรถู้ อ้ ยคา� มาก รจู้ กั ใชถ้ อ้ ยคา� ทห่ี ลากหลายและใช้ 1. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ถอ้ ยคา� ใหเ้ หมาะสมกบั โอกาส สถานท่ี และบคุ คล ตลอดจนรจู้ กั ใชค้ า� พดู ทส่ี น้ั กะทดั รดั เขา้ ใจงา่ ย • นกั เรียนคดิ วา การพดู เดี่ยวและการพูด มีน�้าหนัก มีเสียงรุกเร้าให้เกิดอารมณ์ รู้จักใช้ค�าราชาศัพท์ให้ถูกต้อง สามารถยกตัวอย่างค�าคม หลายคนมคี วามแตกตางในดา นใดบา ง หรอื สภุ าษติ ประกอบการพดู เพอ่ื ชว่ ยเสรมิ เนอ้ื หาใหน้ า่ สนใจและจา� ไดง้ า่ ย อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะการพดู จํานวนผพู ดู และ ๓. ต้องรู้จักใช้น�้าเสียง ควรพูดด้วยน�้าเสียงท่ีสอดคล้องกับอารมณ์ของเร่ืองที่จะพูด วิธกี ารนาํ เสนอ เนือ่ งจากการพูดเดย่ี วเนน น้�าเสียงท่ีน่าฟังท่ีสุด คือ เสียงสนทนาซึ่งดังพอที่ผู้อยู่ไกลสุดจะได้ยิน พูดด้วยอัตราช้าเร็วท่ี การนําเสนอขอมลู สว นการพูดกลุมเนน การ พอเหมาะ มกี ารทอดจงั หวะเลก็ นอ้ ย เนน้ ถอ้ ยคา� หนกั เบา สงู ตา�่ หยดุ หรอื เรว็ กระชนั้ ชดิ ตาม อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ ) เนอื้ ความทพ่ี ดู ออกเสยี งถอ้ ยคา� ชดั เจนถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาและแสดงความเปน็ กนั เอง อกี ทง้ั ควร • นักเรยี นคดิ วา ลกั ษณะการพูดในทปี่ ระชมุ ชน รจู้ กั เวน้ จงั หวะหยดุ เลก็ นอ้ ยกอ่ นและหลงั การแสดงความคดิ เหน็ ทสี่ า� คญั ชนิดใดตองเตรียมตวั มากเปนพิเศษ (แนวตอบ การพดู เดี่ยวหรือการพดู คนเดียว ๔. ต้องรู้จักใช้อารมณ์ขัน ช่วยสร้างบรรยากาศให้มีความสนุกสนาน เสริมผู้พูดให้มี เพราะการพดู ลกั ษณะน้ี ผพู ูดจะตองมี เสนห่ น์ า่ สนใจยง่ิ ขน้ึ ทัง้ ยงั ชว่ ยผ่อนคลายความตึงเครยี ดของผู้ฟัง ถงึ แมว้ า่ เรอ่ื งท่ีพูดจะเปน็ เรื่อง ความรแู ละประสบการณท ีม่ ากพอ ตอ งรจู กั ธรุ กจิ การงาน หรอื เรอ่ื งทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ อารมณเ์ ครยี ดมากเพยี งใดกต็ าม อารมณข์ นั สามารถทา� เรอ่ื งยาก ใชนํา้ เสยี ง ถอยคํา ภาษา ใชตัวอยาง ขอมลู ใหเ้ ปน็ เรอ่ื งงา่ ยได้ และดงึ ความสนใจของผฟู้ งั ไดน้ าน สถิตติ า งๆ ประกอบ อาจใชส ื่อประกอบการ พูด เพ่อื ทาํ ใหเ กดิ ความนา เชือ่ ถือมากยิ่งข้ึน) ๕. ตอ้ งรจู้ กั ใชต้ วั อยา่ ง สถติ ิ หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ หากผพู้ ดู รจู้ กั นา� ตวั อยา่ ง สถติ ิ หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ มาเปรยี บเทยี บอา้ งองิ ได้ จะทา� ใหผ้ ฟู้ งั รสู้ กึ ประทบั ใจ เหน็ ภาพชดั เจนขนึ้ และทา� ใหเ้ กดิ ความ 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ รสู้ กึ เชอื่ ถอื ผพู้ ดู ยง่ิ ขนึ้ ๒) การพูดหม่หู รือพดู หลายคน หมายถึง ผู้พูดตอ้ งมตี ้งั แต่สองคนข้นึ ไป เรอ่ื งทพ่ี ดู เปน็ เร่อื งที่ควรรูท้ วั่ ๆ ไป ไม่เจาะจงเรือ่ งหน่ึงเรือ่ งใดโดยเฉพาะ อาจเป็นปญั หาของครอบครวั หรือของ โรงเรยี นทจี่ า� เปน็ ตอ้ งอาศยั กลมุ่ บคุ คลมาชว่ ยกนั แสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื ชว่ ยกนั แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ขยายความเขา้ ใจ Expand ทเ่ี กดิ ข้ึนให้ลุลว่ งไปได้ การแสดงความคดิ เหน็ ในลกั ษณะเชน่ นี้ คือ การอภิปราย 1. นักเรยี นรว มกันยกตัวอยา งการพดู ตอท่ี ๔. หลกั การพูดตอ่ ทป่ี ระชมุ ชน ประชมุ ชนในลกั ษณะตา งๆ ทั้งการพดู เด่ยี ว หรอื การพดู คนเดียวและการพดู หมูห รือพดู การพูดต่อท่ีประชุมชนท่ีดีควรค�านึงถึงหลักการพูดหรือแนวทางการพูด เพื่อให้การพูด หลายคน พรอมระบุเหตุผลในการแบงประเภท บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายและเหมาะสมกบั สภาพของวฒั นธรรมในการพดู โดยมหี ลกั การทส่ี า� คญั ดงั น้ี การพดู แตละลกั ษณะ ๑) ตอ้ งรเู้ รอ่ื งทพี่ ดู หมายถงึ ทกุ คนควรพูดในเรือ่ งท่ตี นรู้ดีทส่ี ดุ มีประสบการณม์ ากท่สี ดุ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยางไดอ ยา ง หรือผู้พูดจะต้องเช่ือว่า ตนรู้เร่ืองท่ีจะพูดมากกว่าผู้ฟัง จึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น หลากหลาย เปน ตน วา 1. การพดู เดีย่ ว อาทิ และมีความพรอ้ มทีจ่ ะพูด ซ่ึงจะมผี ลท�าให้พดู ไดด้ ีเป็นทีป่ ระทบั ใจของผู้ฟงั หากจา� เป็นจะต้องพดู การพดู เลา เรอื่ ง การพดู วจิ ารณ หรือการสรปุ เรอื่ งทต่ี นรไู้ มล่ ึกซง้ึ เพยี งพอ ก็ต้องศกึ ษาคน้ คว้าเพิ่มเติม จนมคี วามม่ันใจวา่ ตนร้ดู ีพอแล้วจึงพูด 2. การพดู หมูหรือพูดหลายคน อาทิ ๒) ต้องรจู้ ักทป่ี ระชุม หมายถงึ การรู้จกั ลักษณะกว้างๆ บางประการของผฟู้ งั ได้แก่ เพศ การประชุม) วยั ขนาดหรอื จ�านวน ระดบั การศกึ ษา อาชพี ความเชอื่ และศาสนาของผฟู้ งั ทงั้ นจ้ี ะเปน็ ประโยชน์ 2. นกั เรียนรวมกันอภปิ รายวา การพูดท้ังสอง ตอ่ การเตรียมตวั ของผูพ้ ดู ทีจ่ ะสามารถเลอื กใชภ้ าษา เน้อื หา หรอื เร่อื งราวตา่ งๆ ทีเ่ หมาะสมกบั ลกั ษณะตองอาศัยทักษะการพูดเหมอื นกนั 123 หรือไม อยา งไร (แนวตอบ ตอ งอาศัยทักษะพ้ืนฐานเหมือนกัน แตตางกนั ดานรายละเอียด) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู ขอ ความตอ ไปน้ี ไมสอดคลอ ง กบั การพูดในโอกาสใด 1 ถอยคําภาษา จดุ มุง หมายทส่ี าํ คัญตอการพูด คอื ความเขาใจของผฟู ง แต ขา พเจาใครจะกลา วแกท กุ ทา นวา การทํานบุ าํ รุงประเทศชาตินัน้ มใิ ชเ ปน บางครัง้ การใชถอ ยคาํ ภาษาทีผ่ ดิ ความหมายหรือการใชถอยคําภาษาท่ีไมเหมาะสม กเ็ ปน สาเหตทุ ่ที ําใหไ มส ามารถสอื่ สารใหบรรลุจดุ มุงหมายได ดวยเหตุนผ้ี พู ูดจงึ ตอง หนา ที่ของผูหน่งึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปน ภาระความรบั ผิดชอบของคนไทยทุก ใหค วามสาํ คัญตอ ถอยคาํ ภาษาทีใ่ ชในการพดู โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอไปน้ี คนท่จี ะตองขวนขวายกระทําหนา ทข่ี องตนใหดที ี่สดุ เพ่ือธาํ รงรกั ษาชาตบิ าน เมืองใหเ จรญิ มน่ั คงและผาสกุ รม เยน็ 1. ใชถ อยคาํ ทเี่ ขา ใจงาย ไมควรพูดดวยคําทย่ี าก ตอ งแปลไทยเปนไทยจึงจะ เขา ใจ ซึง่ มกั จะเปน ศัพทเ ฉพาะ 1. การกลาวปาฐกถา หวั ขอ “ปราบทุจริต ลม คอรรปั ชัน” 2. การกลาวเปดงานโครงการ “มุมมองและทศิ ทางการทองเที่ยว” 2. ออกเสียงอยางถกู ตอ ง คําควบกลา้ํ เสยี ง ร ตัว ล ตองออกเสยี งไดช ดั เจน 3. การกลาวสุนทรพจน หวั ขอ “รักชาติ รักประชาธิปไตย” มิฉะนน้ั จะทําใหค วามหมายของคําเปลีย่ นแปลงไป 4. การกลาวสดุดีบคุ คลสาํ คญั เนื่องในงานราํ ลกึ ทหารผา นศกึ 3. หลกี เล่ยี งการใชศ ัพทสแลง ยกเวน ในกรณที ี่เปนคําที่มคี วามหมายสภุ าพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การกลาวเปดงานโครงการ “มมุ มองและ สงั คมยอมรบั และเปน ทเ่ี ขา ใจไดโดยทัว่ ไป ทศิ ทางการทองเท่ยี ว” เน่อื งจากเนือ้ หาของเร่อื งที่พูดไมเ กี่ยวขอ งกับโครงการ 4. หลีกเลยี่ งการใชค าํ ยอ โดยเฉพาะคํายอ ทม่ี ผี ูเ ขาใจเฉพาะกลุม รวมถึงระดบั การใชภาษาไมส อดคลอ งกัน เนอ่ื งจากการใชภ าษาในการพูด 5. ใชค ําพดู ทก่ี ะทดั รดั กระชบั ไดเ นอ้ื หา และไมใ ชค าํ ฟมุ เฟอย เปน การใชภาษาระดบั พธิ ีการ คมู่ ือครู 123

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ความสนใจของผูฟง แตละเพศ แตล ะวยั แตละกลมุ หรือแตละอาชีพ จึงจะยงั ผลใหก ารพูดไดรับ ตอ ไปน้ี ความสําเร็จดวยดี • นกั เรยี นคดิ วา การพูดตอที่ประชุมชนทีด่ ี ผพู ูดควรคาํ นึงถึงเรอ่ื งใดบาง อยา งไร ๓) ตองรจู ักลาํ ดบั เร่ืองใหเปนระเบียบ หมายถงึ การรูจ กั ทักทายท่ีประชุมใหถ กู ตอ ง (แนวตอบ ผูพูดควรมีความรคู วามเขา ใจในเรอ่ื ง เริ่มตนใหต ื่นเตน ดาํ เนินเร่ืองใหกลมกลนื และสรปุ จบใหจับใจ หลักเกณฑก ารลาํ ดับเรือ่ งใหเ ปน ที่จะพดู ผูพดู รจู ักขอ มลู กวางๆ ของผูฟ ง ระเบยี บ เปน การชว ยเหลอื ผฟู ง ใหส ามารถตดิ ตามเรอื่ งราวทผ่ี พู ดู พดู ไดง า ยขนึ้ การทกั ทายทป่ี ระชมุ ไดแ ก เพศ วัย จาํ นวน ระดับการศึกษา ควรใชสรรพนามแทนตวั กลุมบุคคลไมเกิน ๓ กลุม เชน ทา นประธาน ทานวิทยากร และทา นผมู ี อาชพี ความเช่อื และศาสนา เพ่อื ประโยชน เกียรติทุกทาน หลังจากทักทายท่ีประชุมเสร็จแลวใหเริ่มเร่ืองท่ีนาสนใจ เชน ขึ้นตนดวยคําถาม ในการเตรยี มตวั พูด รจู ักวธิ กี ารลําดบั เรอื่ ง เลาเร่อื งท่เี พง่ิ เกิดข้นึ ชวนใหต ิดตาม หรือยกยอ งผูฟง อยางคมคาย ตอจากนนั้ กลา วดาํ เนนิ เรอื่ งให ท่ดี ี รูจักวธิ ีการนําเสนอ และมวี ิธีการพูดให กลมกลนื กบั การขน้ึ ตน ลาํ ดบั เหตกุ ารณก อ นหลงั ใหเ ดน ชดั และเปน เหตเุ ปน ผลกนั ควรยกตวั อยา ง นา สนใจ) หรือสถติ ิขอมลู ตางๆ มาอางองิ ใหผูฟงเห็นภาพ เพ่ือสงเสริมเร่อื งทพี่ ูดใหน าเช่ือถือยงิ่ ขึ้น • นักเรียนคดิ วา การลําดบั เรือ่ งท่ดี มี คี วาม สําคัญตอ การพดู อยา งไร ๔) ตอ งรจู ักวิธพี ดู หมายถงึ การรจู กั เลือกวิธพี ดู ทีเ่ หมาะสมกับสถานการณแตละครง้ั (แนวตอบ การลําดบั เรอื่ งใหเปนระเบยี บ เชน การพูดในบรรยากาศที่โศกเศรา ควรมีวิธีการพูดที่นุมนวล มีนํ้าเสียง และทาทางประกอบ เปนการชวยเหลือผฟู งใหสามารถติดตาม ทีส่ อดคลอ งกบั เนอื้ หาทพ่ี ดู เปนตน ทง้ั นเี้ พือ่ ถา ยทอดความรูส ึกนึกคิดและประสบการณข องผูพดู เร่อื งราวท่พี ดู ไดงา ยขนึ้ ) ไปยังผฟู ง ใหเ กดิ ผลดีและนา สนใจ • นักเรยี นมีวิธีการลาํ ดับเรื่องในการพดู อยา งไร (แนวตอบ การลําดบั ที่ดีควรปฏบิ ัติ ดงั ตอ ไปน้ี ๕) ตองรูจักสรางการพูดใหนาสนใจ หมายถึง ผูพูดจะตองรูจักวิธีท่ีจะทําใหการพูด 1. เรมิ่ เรอ่ื งใหต่นื เตน นาสนใจ มีชวี ิตชีวา เชน ใชสายตาเพื่อแสดงใหผ ูฟง เหน็ วา ผพู ดู ใหค วามสนใจ หรอื ใหค วามสําคญั 2. ดาํ เนนิ เร่อื งใหก ลมกลนื กับผูฟงมากนอยเพียงใด ใชเสียงที่ดัง-เบาปลุกเราความสนใจของผูฟง ใชส่ือประกอบการพูด 3. สรปุ จบใหจบั ใจ) ซงึ่ ผพู ดู ควรฝก ใชใ หเ กดิ ความคลอ งแคลว และทสี่ าํ คญั ไมค วรใหส อ่ื โดดเดน กวา ผพู ดู กลา วคอื ผพู ดู จะใชส่ือก็ตอเม่ือพิจารณาแลวเห็นวาจะชวยสรางความเขาใจในเนื้อหาใหแกผูฟงไดดีกวาคําพูด 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เพยี งประการเดยี ว นอกจากนกี้ ารแตง กายของผพู ดู ยงั ชว ยสรา งความนา สนใจ และความเชอื่ มน่ั ให เกดิ ขึ้นไดเ ปน การสรางความประทับใจเมื่อแรกพบ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นกั เรยี นรว มกันอภิปรายวา นักเรยี นคดิ วา นักเรียนมีวิธกี ารพฒั นาทกั ษะดา นการพดู ดวย วธิ กี ารใดบา งอยางไร และวธิ ีการดงั กลา วจะสง ผลดีตอการพฒั นาการพูดของนักเรยี นอยางไร 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ▼ การพดู ท่ีดจี ะตอ งรูจกั สงั เกตและประเมนิ ผูฟง เพื่อปรบั เปล่ยี นการพูดใหเหมาะสม กอ นการพูด ๑๒๔ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั มารยาทในการพดู ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกี่ยวกับกลวธิ กี ารดําเนนิ เรือ่ งใหม ีลาํ ดบั ขอ ใดเปน คาํ พูดที่ประธานในท่ปี ระชุมควรใชเม่ือตอ งการจะสรปุ ความเห็น ชดั เจน เพ่ือใหผพู ูดสามารถสื่อสารเนือ้ หาสูผูอ า นไดอยางสมั ฤทธผิ ล ดังตอไปน้ี 1. วันน้ีเราไดใชเ วลาในการอภปิ รายกันมายืดเย้อื พอสมควรแลว ผมคดิ 1. ดาํ เนินเร่ืองไปตามลาํ ดบั ควรเริม่ จากจดุ แรกไปสูจุดสดุ ทายทลี ะขั้นตอนตามลาํ ดบั วา เราควรตัดสนิ ใจกนั ไดแ ลว ผูฟง จะสามารถตดิ ตามเร่ืองไปไดตลอด หรอื การพูดอาจเรม่ิ จากเหตุไปสผู ล หรือ 2. ความคิดเหน็ ของผเู ขาประชุมทุกทานลวนนา สนใจ ผมจึงคิดวา จะรบั เร่มิ จากผลนํากลบั มาสเู หตุ แลว แตความเหมาะสม 2. จับอยูในประเด็น การพดู ให ไวพ จิ ารณาในโอกาสตอไป อยใู นประเด็นควรมหี วั ขอ การพดู ครา วๆ อยใู นใจ และอธบิ ายหรือขยายความตาม 3. ขอคดิ เหน็ ตางๆ ทผ่ี เู ขา ประชุมไดเสนอมามีมากพอท่เี ราจะตัดสินใจ หวั ขอ จะชว ยยึดใหก ารพูดอยใู นขอบเขตหรือประเด็นไดม ากขึ้น 3. เนน จดุ มุงหมาย ได ผมจงึ ประมวลความคิดเหน็ ใหท ป่ี ระชมุ พิจารณา เนื้อเรอื่ งท่ดี ีตองมจี ุดมุง หมายของเนอื้ เร่ืองท่ีแนนอน มีความสอดคลองกนั โดยตลอด 4. การประชมุ ครง้ั นีเ้ ราไดเปด โอกาสใหท ุกทานแสดงความคิดเห็นอยาง 4. ใชต วั อยางประกอบตามเรื่องราว ควรยกตวั อยางประกอบ เพื่อใหเ กดิ ความเขาใจ จใุ จ ผมจึงขอยุติการแสดงความคิดเหน็ เนื้อหา 5. เรงเรา ความสนใจ การเรง เราความสนใจของผฟู ง น้ัน เปนสิ่งที่สาํ คัญตอ ง วเิ คราะหคาํ ตอบตอบขอ 3. เพราะใชภาษาไดเ หมาะสม ปฏบิ ตั ถิ ูกตอ ง อาศัยศลิ ปะการพูด การวิเคราะหผ ฟู ง เขา ประกอบดว ย ถอ ยคําที่นา สนใจ คําคม การ ตามบทบาทและหนาที่ของประธาน ดวยการประมวลความคิดเหน็ ของที่ เรียบเรยี งดี เปนปจ จยั ในการเพ่มิ ความสนใจของผฟู งใหเ พม่ิ เปนลาํ ดับ การสอดแทรก ประชุมและแจงทป่ี ระชมุ ใหรวมกนั หาขอยุติ สวนขอ อ่ืนๆ น้ัน เหตุทไี่ มใ ช อารมณข นั ในระหวา งการพูดอยา งเหมาะสม จะชวยสรา งความสนใจไดดีเชน กนั คาํ ตอบ เน่ืองจากขอที่ 1. มีนํ้าเสยี งตําหนิ ขอที่ 2. ไมส อดคลองกบั จดุ มงุ หมายในการส่อื สาร และขอท่ี 4. เปน การรวบรัดการประชุมมากเกนิ ไป 124 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕. การเตรยี มตวั พูดตอทป่ี ระชมุ ชน 1. นกั เรียนรว มกนั ระดมความคิดดวยการตอบ คําถาม ตอ ไปน้ี การพูดตอท่ีประชุมชนเน่ืองจากมีผูฟงเปนจํานวนมาก ผูฟงยอมตั้งความหวังวาจะไดรับ • นกั เรียนคดิ วา นกั เรยี นมีวิธกี ารเตรียมตัว ความรูและสาระประโยชนจากการฟง ผูพูดจึงตองเตรียมตัวเปนอยางดี มีความเชื่อม่ันในตนเอง พดู ตอที่ประชมุ ชนอยา งไร กลา แสดงออกจงึ จะชว ยใหผ พู ดู ประสบความสาํ เรจ็ ได การเตรยี มตวั พดู ตอ ทปี่ ระชมุ มวี ธิ กี าร ดงั น้ี (แนวตอบ กาํ หนดจุดมุงหมาย วเิ คราะหผ ฟู ง กําหนดขอบเขตของเร่อื ง รวบรวมและ ๑. กําหนดจุดมุงหมายใหชัดเจนวาจะพูดอะไร เพ่ืออะไร มีขอบขายกวางขวางมากนอย เรียบเรยี งเนอ้ื หา จากนน้ั ฝกซอมพดู ) เพยี งใด • นักเรียนคดิ วา เหตุใดจึงตองมีการทาํ ความ เขา ใจผูฟงและสถานท่ีหรอื การวิเคราะห ๒. วเิ คราะหผ ูฟง พิจารณาจํานวนผูฟง เพศ วยั การศกึ ษา สถานภาพทางสงั คม อาชีพ ผฟู ง เพ่อื เตรียมการพูดตอท่ีประชมุ ชน ความสนใจ ความมุงหวัง และทัศนคติที่กลุมผูฟงมีตอเรื่องที่พูดและตัวผูพูด เพื่อนําขอมูลมา (แนวตอบ การวเิ คราะหผ ฟู งนัน้ มสี วนทําให เตรียมพูด และเตรยี มวิธีการใชภาษาใหเ หมาะกับผูฟง ผูพดู ประสบความสําเรจ็ ได เพราะผูพูดจะ เตรยี มตวั พูดไดเหมาะกับความสนใจของ ๓. กาํ หนดขอบเขตของเรอื่ ง โดยคาํ นงึ ถงึ เนอ้ื เรอ่ื งและเวลาทจ่ี ะพดู กาํ หนดประเดน็ สาํ คญั ผูฟง ในดานเพศ วัย อาชีพ การศกึ ษา ใหช ัดเจน เพอื่ ใหสามารถสื่อสารไดบ รรลจุ ุดมุงหมาย) • การฝกซอ มพดู และการสะสมความรูจ าก ๔. รวบรวมเนอ้ื หา จดั เนอื้ หาทผ่ี ฟู ง ไดร บั ประโยชนม ากทส่ี ดุ มกี ารรวบรวมเนอื้ หาจากการ แหลงตา งๆ เพื่อใชในการพดู มคี วามสําคญั ศึกษาคนควาจากการอาน การสัมภาษณ ไตถามผูรู ใชความรูความสามารถของตนเอง แลว อยา งไร จดบนั ทกึ (แนวตอบ การฝก ซอ มพดู เปน การสรางความ ม่นั ใจใหผ ูพ ูด ท้งั การออกเสยี ง จังหวะลีลา ๕. เรียบเรียงเนื้อเรื่อง ผูพูดจัดทําเคาโครงเรื่องใหชัดเจนเปนไปตามลําดับ จะกลาวเปด ในการพูด และความคิดเหน็ ของผฟู ง เร่อื งอยางไร เตรียมการใชภ าษาใหเหมาะสม กะทดั รดั เขาใจงา ย ตรงประเด็น และพอเหมาะกับ สว นความรูกม็ สี ว นทําใหผพู ดู มคี วามมั่นใจ เวลา และนาํ มาใชในการพูดได) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand ▼ หอ งสมดุ เปนแหลงขอมลู ความรทู ่ีดีและสะดวกเหมาะสําหรับการเตรียมศกึ ษาขอ มลู ตางๆ กอ นการพดู ครูใหนกั เรยี นจบั สลากเลอื กหวั ขอ ในการพดู ไดแก เลา ประสบการณ เลา เรื่องจากเรอ่ื งท่ีอา น ประเภทสารคดแี ละบันเทงิ คดที ่นี กั เรยี นประทับใจ จากนั้นนักเรยี นวเิ คราะหอ งคประกอบในการพดู พรอ มรวบรวมขอ มูลเพอ่ื ใชใ นการพูด ๑๒๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เบศรู ณรากษารฐกิจพอเพียง ขอความตอ ไปนี้มกี ลวธิ กี ารลําดับเน้อื หาอยางไร ความสํานึกรู และความเขาใจเก่ียวกับความพอเพียง นับไดวาเปนปจจัยสําคัญ วลั ลีเปน ตวั อยา งลูกทีด่ ี ซง่ึ มคี วามกตัญู ทุกวันเวลาพกั เทย่ี งวลั ลตี องเดนิ ตอ การสรางประเทศใหม นั่ คง แขง็ แรง ท้ังดานความคิด เศรษฐกจิ และสังคม กลับบา นเพื่อไปปอนอาหารเท่ยี งใหค ณุ แมท ีป่ ว ยเปนอัมพาต การกระทําของ ใหนักเรียนคนควาเก่ียวกับภาพยนตร สารคดี หรือบทเพลงที่มีเน้ือหาเกี่ยวกับ วัลลีนี้สมควรแลวที่จะไดร ับรางวลั ดีเดน ดา นความกตัญู ความพอเพยี ง แลว เขยี นสรปุ ความรู ความเขา ใจ หรอื ขอ คดิ ทไี่ ดร บั จากนน้ั ใหแ บง กลมุ 1. ลาํ ดบั ตามเวลา กลุมละ 3-5 คน นาํ ขอมูลมาแลกเปลีย่ นความรรู ว มกนั สงตวั แทนออกมาพดู แสดง 2. ลําดบั ตามสถานที่ ความคิดเห็นวา “ภาพยนตร สารคดี และบทเพลง มีสว นชว ยสรางสํานกึ รเู ก่ียวกับ 3. ลาํ ดบั จากเหตุไปสผู ล ความพอเพียงใหแ กคนในชาตไิ ดอ ยางไร” 4. ลําดบั จากผลไปสเู หตุ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ลําดับจากเหตไุ ปสูผล กลาวถึงการกระทาํ ของวัลลคี ือ ความกตัญทู ม่ี ีตอคณุ ยายทป่ี วยเปนอัมพาต จากนั้นจึงกลา วถงึ ผลลัพธคือ ไดรบั รางวัลดีเดนดา นความกตญั ู คูม่ ือครู 125

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ตอไปน้ี ๖. การซ้อมพูด เป็นการเตรียมพร้อมเพ่ือความมั่นใจ โดยผู้พูดต้องออกเสียงพูดอย่าง • นกั เรยี นคดิ วา การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชนมวี ิธี การพูดแบบใดบาง อยางไร ถกู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี มลี ลี าจงั หวะ ทา่ ทาง สหี นา้ สายตา นา้� เสยี ง และมผี ฟู้ งั ชว่ ยตชิ มการพดู (แนวตอบ โดยทัว่ ไปมวี ธิ กี ารพูด 4 แบบ 1. การ ๗. ผพู้ ดู จา� เปน็ ตอ้ งรจู้ กั สะสมความรจู้ ากแหลง่ ตา่ งๆ เพอื่ น�าไปใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู สนบั สนนุ การพดู พดู แบบฉับพลัน เปน วธิ กี ารพูดสนทนาปกติ ในชีวติ ประจาํ วัน หรอื การพดู ในโอกาสตา งๆ ใหบ้ รรลผุ ลตามทตี่ นตอ้ งการ การสะสมความรนู้ นั้ หาไดจ้ ากแหลง่ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี อาทิ การพดู อวยพร 2. การอา นตน ฉบบั ๑) ประสบการณ์ของผู้พูดและของบุคคลที่รู้จัก ความรู้และประสบการณ์ท่ีผู้พูดได้ เปนการพดู เพอื่ แถลงตอทีช่ มุ นุมชน 3. การ ทองมาพูด 4. การพดู ทเ่ี ตรยี มตวั ลวงหนา) พยายามสะสมไว้ ยอ่ มจะสามารถนา� ไปใชป้ ระกอบเรอื่ งทตี่ นจะพดู ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เนอื่ งจากเขา้ ใจ ดแี ลว้ ทง้ั ยงั จะชว่ ยกระตนุ้ ใหก้ ลา้ พดู เพราะมคี วามมน่ั ใจในเรอ่ื งทพี่ ดู • นักเรยี นคดิ วา การพดู ในทีป่ ระชมุ ชนวธิ ใี ด เปนการพูดทมี่ ีประสทิ ธิผลมากท่สี ดุ เพราะ ๒) แหลง่ ชมุ นมุ ชนของผพู้ ดู จะเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ของสภาพความเปน็ อยู่ การดา� เนนิ ชวี ติ เหตใุ ด ตลอดจนสภาพวฒั นธรรมตา่ งๆ ของผพู้ ดู ทผ่ี พู้ ดู สามารถนา� ขนึ้ มาพดู ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ ๓) ผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น ปราชญ์ในชุมชน แพทย์ หรือสาธารณสุขจังหวัดจัดเป็น ผเู้ ชย่ี วชาญทงั้ สน้ิ เพราะบคุ คลเหลา่ นจ้ี ะรจู้ กั และเขา้ ใจปญั หาในทอ้ งถนิ่ ทตี่ นอาศยั เปน็ อยา่ งดี (แนวตอบ การพดู ที่เตรยี มตวั ลวงหนา แสดง ๖. วิธีการพูดตอ่ ท่ีประชมุ ชน ความสามารถในการถายทอดความคดิ ผา น คําพูดและทาทาง) • นักเรียนคิดวา ปจจัยใดบา งทท่ี าํ ใหว ิธกี ารพูด การพูดต่อท่ีประชุมชนเป็นวิธีการน�าเสนอสารต่อผู้ฟัง ส่วนจะใช้วิธีใดในการพูดข้ึนอยู่กับ จดุ มงุ่ หมายในการพดู เนอ้ื หา สาระ โอกาส และสถานการณ์ โดยทว่ั ไปวธิ กี ารพดู มี ๔ แบบ ดงั น้ี ตอ ท่ปี ระชมุ ชนมคี วามแตกตา งกัน ๑) การพดู ฉบั พลนั เปน็ วธิ พี ดู ปกติในชวี ติ ประจา� วนั เชน่ การพดู คยุ ในชนั้ เรยี นหรอื ทบ่ี า้ น (แนวตอบ การเลือกใชว ิธใี นการพูดข้ึนอยกู บั การคยุ กันทางโทรศัพท์ การพูดนดั หมายกนั เป็นต้น อนั เปน็ วิธีการทีต่ า่ งฝ่ายต่างผลัดกนั พูดและ โอกาส สถานที่ สถานการณ บคุ คลผรู บั สาร ผลดั กนั ฟงั โดยไมม่ กี ารเตรยี มตวั มากอ่ น ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู่ บั การสะสมความรแู้ ละความคดิ ไวเ้ ปน็ สา� คญั เปน ปจ จยั กาํ หนดจุดมุงหมาย เนอ้ื หา สาระ เม่ือถึงโอกาสทมี่ ผี ู้ขอร้องให้พดู ก็จะสามารถพดู ได้ทนั ทีทันควนั ในการพดู ) ๒) การอา่ นต้นแบบ เปน็ วธิ ีการพดู ท่ีผพู้ ูดมีเรือ่ งสา� คญั ทจ่ี ะตอ้ งแถลงต่อชมุ นมุ ชน หรอื 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ผฝู้ กึ พดู ใหมท่ ยี่ งั ไมม่ คี วามเชอ่ื มนั่ ในตนเองจะนยิ มพดู ดว้ ยวธิ นี ี้ ซง่ึ มผี ลเสยี คอื สายตาจะไมส่ อ่ื สาร ขยายความเขา้ ใจ Expand กบั ผู้ฟัง และถ้าผพู้ ดู ไมไ่ ด้ฝึกซ้อมอ่านกอ่ นออกไปพูดจริง ย่อมเกิดปญั หาในการอา่ น ๓) การทอ่ งมาพดู เปน็ วธิ กี ารพดู ที่ไมเ่ ปน็ ธรรมชาติ ขาดอารมณ์ และขาดการเนน้ ในสว่ น ทสี่ า� คญั บางครง้ั อาจทา� ใหผ้ พู้ ดู ลมื พดู บางคา� หรอื บางวลที สี่ า� คญั ทตี่ นตง้ั ใจจะพดู ก็ได้ ยกเวน้ ผพู้ ดู 1. นกั เรยี นนาํ ขอมลู ท่ีไดจากการวิเคราะหอ งค ทม่ี ีประสบการณ์ในการพดู เช่นน้เี ป็นเวลานานหลายปี และตอ้ งหม่นั ฝกึ ฝนท่องบทอยเู่ สมอ จงึ จะ ประกอบในการพดู และขอ มูลทน่ี กั เรยี นได ช่วยให้พูดได้อย่างม่ันใจ สามารถส่ือสายตากับผู้ฟังได้อย่างทั่วถึง เป็นการถ่ายทอดความรู้ รวบรวมนาํ มาเขยี นบทพูดในหัวขอ ทก่ี ําหนด ความคิด อารมณ์ ความรสู้ กึ และทศั นคตอิ ย่างได้ผล เพ่อื พดู นําเสนอหนา ชน้ั เรยี น 2. นกั เรียนจบั คู จากนนั้ นักเรยี นนาํ บทพูดของ นกั เรยี นมารว มแลกเปลย่ี นความคิดเห็นกับ เพือ่ นรว มช้ันเรียน พรอมแกไ ขบทพดู และฝกซอ มพดู จากบทพูดทีน่ กั เรียนแกไข 126 ปรับปรงุ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกับแนวทางการแสวงหาความรจู ากแหลงขอมลู ตางๆ การกลา วรายงานเปน วธิ ีการพูดตอที่ประชุมชนแบบใด เพ่อื นาํ มาใชเ ปน วัตถุดิบในการพดู นกั เรียนสามารถรวบรวมขอมลู ในการพูดไดดว ย 1. การทอ งมาพูด วิธกี ารตา งๆ ดังตอ ไปนี้ 2. การพดู ฉบั พลัน 3. การอานตนฉบบั 1. รวบรวมจากประสบการณ จะเปนขอมูลที่หยิบมาใชไ ดง าย มีความม่ันใจทส่ี ุด 4. การพูดทีเ่ ตรียมมาลวงหนา 2. รวบรวมจากการคดิ เพม่ิ เติม โดยอาศัยความรหู รือทฤษฎปี ระกอบ 3. รวบรวมจากการอาน เชน อา นหนงั สอื พมิ พ เร่ืองเขยี น นติ ยสาร ตํารา ฯลฯ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การอา นตน ฉบับ เนื่องจากการกลาวรายงาน 4. รวบรวมจากการสงั เกตจดจํา พบอะไรแปลกนาสนใจกจ็ ดจาํ ไว 5. รวบรวมจากการฟง การอภปิ ราย ปาฐกถา บรรยาย บันเทงิ ฯลฯ เปนการพดู แบบบอกเลาหรอื บรรยาย มีจดุ มงุ หมายเพือ่ ใหผ ูฟงไดร บั ความรู การสบื คนขอ มลู ความรตู า งๆ ยอมสง ผลใหนกั เรยี นมีคลังขอมูลความรูที่จะ ความเขาใจ รวมถึงรับทราบเรอ่ื งราวตางๆ หรอื สาธติ ใหท าํ บางส่งิ บางอยาง สามารถนํามาใชใ นการพดู ไดอยา งหลากหลาย และเปน การนาํ เสนอความคดิ เห็นท่ีมี เปน การพูดทม่ี งุ ใหรายละเอียดในดานเนอื้ หาและความเขา ใจมากกวา เปน การ ความแหลมคม ดว ยวิธกี ารอนั แยบยลผานกลวิธที างภาษาทีใ่ ชใ นการพูด นอกจากนี้ ชกั จงู ใหคลอยตาม และไมมุงใหเ กิดปฏกิ ิริยาโตต อบ จงึ มกี ารเตรียมเนื้อหา ขอ มูลทมี่ อี ยูอยา งหลากหลายและทนั ตอ สถานการณ และรายละเอียดลวงหนา พรอมกบั เปน วิธีการพูดจากตนรา งของเอกสาร 126 คูม่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ๔) การพูดท่เี ตรียมล่วงหน้า เป็นวิธกี ารพดู ตอ่ ทปี่ ระชุมชนท่มี ปี ระสิทธิผลทสี่ ดุ โดยผพู้ ดู 1. นกั เรียนสง บทพูด จากนัน้ นกั เรียนพดู นาํ เสนอ เตรียมหวั ขอ้ เรอื่ งการพูดไว้เรียบร้อยแลว้ ตอ่ มาเตรยี มเน้อื เรือ่ งอยา่ งสังเขป แลว้ ลองฝึกซ้อมพดู ในหวั ขอท่ีนักเรียนไดร บั มอบหมาย ทั้ง 3 หัวขอ ตามเน้ือเรื่องท่ีตนได้เตรียมไว้ อาจดูต้นฉบับที่เตรียมไว้บ้างก็ได้ หรือถ้าไม่ดูเลยก็ยิ่งเป็นการดี ไดแ ก เมอื่ พดู จบควรใหเ้ พอื่ นๆ ชว่ ยกนั วจิ ารณ์ ถา้ ปฏบิ ตั ไิ ดต้ ามขนั้ ตอนดงั กลา่ วจะชว่ ยใหม้ นั่ ใจในตนเอง • การพดู เลาประสบการณ เป็นตัวของตัวเอง สามารถสบสายตากับผู้ฟังได้ตลอดเวลา เพิ่มพูนความสามารถท่ีจะถ่ายทอด • การพูดเลาเรื่องจากเรอ่ื งที่อา นประเภท ความคิดได้อย่างจริงใจ รวมทั้งสามารถพัฒนาการใช้ท่าทาง การเคลื่อนไหว และการเปล่ียน สารคดี อิริยาบถให้เป็นธรรมชาติ ซ่ึงช่วยให้ผู้พูดได้แสดงออกอย่างอิสระ เป็นต้นว่า การยกค�าพูดของ • การพูดเลาเร่อื งจากเร่ืองท่อี านประเภท ผอู้ ืน่ มากล่าวอ้างอย่างคา� ต่อค�า หรอื ว่าปากเปล่าก็ได้ หรือถา้ จา� เปน็ ต้องพูดซา�้ เรอ่ื งเดยี วกนั ก็อาจ บนั เทิงคดี หาค�าพดู ที่ไม่ซ้�ากันก็ได้ 2. นักเรยี นเขียนประเมินการพูดของเพอื่ น วิธีการพูดต่อที่ประชุมหรือการพูดให้คนหมู่มากฟังท่ีดีท่ีสุด คือ การพูดที่เตรียมพร้อม ดวยการแสดงความคดิ เห็นจากการพูดนาํ เสนอ ลว่ งหนา้ แต่ในบางโอกาส อาจจา� เปน็ ตอ้ งอา่ นตน้ ฉบบั ประกอบดว้ ย ในกรณที ต่ี อ้ งกลา่ วอา้ งคา� พดู ของเพื่อนในประเด็นเกี่ยวกบั เนอื้ หา การใช ของผู้อื่น หรือกล่าวอ้างสถิติต่างๆ หรือบางทีก็จ�าเป็นท่ีจะต้องท่องบทน�าหรือบทสรุปมาพูดเพ่ือ อวัจนภาษาและวจั นภาษาในการพดู พรอ ม ชว่ ยใหก้ ารพดู เปน็ ธรรมชาตแิ ละนา่ สนใจมากยง่ิ ขน้ึ กลวิธีการนําเสนอวา มีความนาสนใจหรอื ไม มากนอ ยเพียงใด และเพือ่ นของนกั เรยี นควร การพดู ตอ่ ทปี่ ระชมุ ชนเปน็ การสอื่ สารทต่ี อ้ งมคี วามเหมาะสมกบั เวลา สถานท ่ี และบคุ คล เพ่มิ เตมิ ทักษะใดในการพดู นาํ เสนอ เพ่ือให ทรี่ บั สารสง่ สาร ภาษาพดู เปน็ ภาษาเอกลกั ษณข์ องคนไทย มอี งคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ แบบแผน เปน็ ระเบยี บ เพื่อนของนกั เรียนสามารถนําเสนอไดบ รรลุ ปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มา เปน็ มรดกวฒั นธรรมทางภาษาทตี่ อ้ งดแู ล หวงแหนและใชใ้ หเ้ กดิ คณุ คา่ มมี ารยาท ตามความมงุ หมายไดมากยิง่ ขน้ึ มจี รรยาบรรณในการพูด เพอ่ื ใชใ้ นการสอ่ื สารใหเ้ กดิ ประสิทธผิ ลแกต่ นเองและสังคม 3. ครูสุมนกั เรียน 1-2 คน นาํ เสนอความคดิ เหน็ ท่ี มีตอการพูดของเพื่อนในแตล ะครั้ง 127 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นกั เรยี นฝก การพดู ฉบั พลนั ซ่ึงเปน การพูดที่ไมม ีการเตรยี มตัวมากอน ครผู สู อนควรเพม่ิ เติมเก่ยี วกบั แนวทางการประเมินผลการพูด หรอื บางครงั้ อาจ โดยครูผูสอนตั้งประเดน็ ในการสนทนาขึ้น แลว ซกั ถามผูเ รยี นหรอื ใหน ักเรยี น เรยี กวา การวจิ ารณการพูด เปน การพิจารณาตัดสนิ เก่ียวกบั กลวธิ กี ารพูดและเนื้อหา ชว ยกนั อภิปรายเก่ยี วกับหัวขอ น้ันๆ อาจจัดกจิ กรรมกลุม โดยแลกเปล่ยี นกนั การพูด รวมถงึ ขอบกพรอง ท่สี มควรแกไ ขปรบั ปรุง รวมถงึ ปฏกิ ิริยาตอบกลับ (Feed- ภายในกลุม ซงึ่ มีขอ กําหนดวา ทุกคนตอ งพูดแสดงความคิดเห็น back) ของผูฟ งทัง้ ทางวัจนภาษา เชน การติชม เสนอแนะ การวิจารณ เปนตน รวมถึงการใชอวจั นภาษา เชน การปรบมอื พยักหนา สา ยหนา เปน ตน เพ่อื บอกให กิจกรรมทา ทาย ผูพดู ทราบถึงผลสัมฤทธใิ์ นการพูดของตน โดยผพู ดู ตองนําเอาผลการประเมินมา ปรบั ปรงุ การพดู ของตนในโอกาสตอ ไป หรืออาจจะพัฒนาใหดีข้ึนไปอีกกไ็ ด โดย นกั เรยี นหาขอ มลู เกีย่ วกับหวั ขอ ตางๆ มาฝกเขียนบทพูดและฝก ซอมการ ประกอบดว ย เนือ้ หาอารมั ภบทเปน อยา งไร นาสนใจหรอื ไม ตรงกบั เรอ่ื งที่พูดหรอื ไม พดู นําเสนอความรูหรอื เน้ือหาทน่ี ักเรียนรว มกนั กําหนด จากนัน้ พูดนําเสนอ สอดคลองกับจุดมุง หมายหรอื ไม ถูกตอ งตามขอเท็จจริงหรอื ไม มคี ณุ คาพอท่ี หนาชัน้ เรียน จะเสนอตอผูฟงหรอื ไม ยาวหรอื สัน้ เกนิ ไปหรอื ไม การดาํ เนินเรือ่ งเปนไปตามลําดบั หรอื ไม ขอ ความชดั เจนหรือไม การสรปุ ประทับใจหรือไม ใชภาษาเหมาะสมหรอื ไม นอกจากน้ี ยังพิจารณาการพดู ของผูพดู เชน ความเช่อื ม่นั ความกระตอื รือรน การออกเสยี ง การใชส ายตา ลีลาของการพูด สีหนา ทาทาง มารยาทสุภาพเรยี บรอ ย การใชอ ุปกรณประกอบการพดู หรือพจิ ารณาจากความสนใจของผูฟ ง คมู่ อื ครู 127

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับ คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ ความหมายของการพูด จุดมงุ หมายของการพดู ลักษณะการพูด หลักการพูด การเตรียมตวั พดู ๑. การใช้ศิลปะในการพูดมีลักษณะอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ และวธิ กี ารพดู ได ๒. การพดู เพอ่ื ให้ความบันเทิงแก่ผู้ฟัง ควรมีการเตรียมข้อมลู และใชก้ ลวิธีใดในการพูด 2. นกั เรียนสามารถวิเคราะหองคป ระกอบของการ จึงจะท�าให้ผ้ฟู ังประทับใจ พดู และนําไปใชกาํ หนดเนือ้ หาในการพดู ได ๓. เหตใุ ดในการพูดแต่ละครั้งจะตอ้ งค�านึงถึงเพศ วยั และประสบการณข์ องผ้ฟู ัง ๔. การใช้ตวั อยา่ ง สถติ ิ หรือขอ้ มูลมาประกอบในการพูด มีหลกั ในการใชอ้ ยา่ งไร 3. นักเรียนสามารถเลอื กใชส ื่อประกอบการพดู ๕. หากนกั เรียนจะตอ้ งพูดต่อทป่ี ระชมุ ชน นักเรียนควรเตรียมตัวอยา่ งไร จงอธบิ าย ในลักษณะตา งๆ ไดอยางเหมาะสม พอสังเขป 4. นกั เรียนสามารถอธิบายและยกตวั อยางการพดู ในลักษณะตา งๆ ได กิจกรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรียนรู้ 5. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกับวธิ ีการ ๑. ให้นักเรียนรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั เร่อื งทน่ี ักเรียนสนใจ แล้วน�ามาเรยี บเรยี งเปน็ พฒั นาทกั ษะดานการพดู และวิธีการเตรยี มตัว ขอ้ มูลเพอื่ ฝกึ การพูดตอ่ ท่ปี ระชุมชน คนละ ๑ เรือ่ ง แลว้ ให้เพอื่ นในชนั้ เรียนและครู พดู ได ร่วมกันประเมนิ และเสนอแนะขอ้ แก้ไขในการพูด เพือ่ ปรับปรงุ การพูดให้ดขี นึ้ 6. นกั เรียนสามารถเขยี นบทพูดและพดู เลา เร่ือง ๒. เชญิ นกั พูด หรอื วิทยากรทมี่ คี วามเชี่ยวชาญเรือ่ งการพดู มาใหค้ า� แนะนา� ประเภทตา งๆ ได แกน่ กั เรยี นในการฝกึ พูดต่อทปี่ ระชุมชน 7. นักเรียนสามารถประเมนิ ผลการพดู ได ๓. ใหน้ ักเรยี นรวบรวมข้อคิด ค�าคมต่างๆ เพอ่ื เป็นข้อมูลประกอบการพูด มาจดั ทา� เป็นรปู เล่มให้สวยงาม เพือ่ เกบ็ ไว้ศกึ ษาในมุม “ยอดนกั อา่ นอจั ฉรยิ ะ” ในห้องเรยี น หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู 128 1. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกีย่ วกับความหมาย ของการพดู จุดมงุ หมายของการพดู ลักษณะ การพูด หลักการพูด การเตรียมตัวพูด วิธกี าร พูด 2. ความเรยี งสรปุ วิเคราะหอ งคป ระกอบของการพูด และนาํ ไปใชก ําหนดเนอ้ื หาในการพูด 3. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับเลอื กใชส่อื ประกอบการพดู ในลักษณะตา งๆ 4. ความเรียงสรุปสาระสาํ คัญ พรอมตวั อยา ง การพดู ในลักษณะตา งๆ 5. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั เกีย่ วกับวิธกี ารพฒั นา ทักษะดา นการพูดและวิธกี ารเตรียมตวั พดู 6. บทพูดเลาเรือ่ งประเภทตางๆ 7. บันทกึ ประเมินผลการพดู 8. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรียนรู แนวตอบ คําถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. การพดู ถือเปน ศาสตรและศิลป เนอ่ื งจากการพูดเปนการแสดงความสามารถเฉพาะตัวของผูพูด เพื่อสรางความสนใจใหก บั ผูฟง เพ่อื ใหผ ฟู ง เกิดปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง ดวยการใชว ัจนภาษาและอวจั นภาษา โดยมวี ัตถปุ ระสงคเพอ่ื ใหความรู เพอื่ สรา งความบันเทงิ หรือเพื่อจูงใจผฟู ง ทัง้ น้ีเพ่ือโนมนา วจิตใจผูฟ ง ใหบรรลวุ ัตถุประสงคใน การพูด ซ่ึงนักเรยี นสามารถฝกฝนได 2. การพูดเพื่อใหความบันเทงิ กบั ผูฟง ควรมีการเตรยี มขอมลู ดวยการเลือกเรื่อง โดยรวบรวมประสบการณสวนตวั เรื่องเลา ท่มี ีความสนุกสนาน อาทิ เร่อื งเกยี่ วกับการ ผจญภัย ความรกั ความสาํ เรจ็ ในชีวติ เร่ืองภูตผี หรอื เร่อื งทีน่ าต่ืนเตน โดยใชก ลวิธกี ารพูดเพือ่ เรา อารมณความรสู กึ เพือ่ ใหผ ฟู ง เกิดความตืน่ เตน เราใจ สนกุ สนาน และผอ นคลายความตึงเครยี ด 3. เพราะในการเตรยี มการพูดแตล ะครัง้ ตอ งวเิ คราะหผ ฟู ง โดยคํานงึ ถงึ เพศ วัย และประสบการณของผฟู ง เพื่อใหผ พู ูดสามารถเลือกใชภ าษา เนอ้ื หา หรอื เรื่องราวท่ี เหมาะสมกบั ความสนใจของผูฟ ง แตล ะเพศ วยั กลมุ หรืออาชีพ เพือ่ ใหก ารพดู บรรลผุ ลสาํ เร็จดวยดี 4. หลักในการใชต วั อยาง สถติ ิ หรือขอ มลู ประกอบในการพูด ตอ งนําขอมลู ตา งๆ มาใชในการเปรยี บเทียบหรืออา งองิ ใหม ีความนา เช่อื ถอื ของขอ มลู แสดงตัวอยา งขอ มูล อยา งชดั เจน เพือ่ ใหผ อู า นเกดิ ความเขาใจไดช ัดเจน 5. กําหนดจดุ มงุ หมายและขอบขา ยของเน้อื หาในการพูด วเิ คราะหผ ฟู ง ทั้งจํานวน เพศ วยั การศึกษา สถานภาพทางสงั คม อาชีพความสนใจ ความมงุ หวัง และทัศนคติ ของกลมุ ผฟู ง ทมี่ ตี อเร่อื งและตวั ผพู ูด กําหนดขอบเขตของเรือ่ ง โดยคาํ นึงถงึ เนื้อเรอ่ื งและเวลา รวบรวมเนือ้ หาและคัดเฉพาะประเด็นสําคญั เรียบเรยี งเน้ือเรอ่ื ง ฝก ซอ ม พดู และผพู ูดตอ งสะสมองคค วามรูจ ากหลายๆ แหลงใชเปน วตั ถุดบิ ในการพูด 128 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ ôตอนท่ี หลกั ภาษาและการใช ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ภาษา ดังตอไปนี้ • มีผูก ลา ววา โดยปกติแลว ในการสือ่ สารหรือ การสนทนาในชวี ติ ประจาํ วัน คนเราก็ไมไ ด พดู ใหถ กู ตองตามหลักภาษาและหลกั ไวยากรณอ ยแู ลว จึงไมมคี วามจาํ เปนตอง เรยี นหลกั ภาษาและการใชภ าษา นกั เรียนมี ความคิดเห็นตอคํากลา วขา งตน อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ นักเรยี น) • นักเรียนคิดวา เหตใุ ดนกั เรยี นจึงตอ งใช ภาษาใหถกู หลกั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายข้นึ อยกู บั เหตผุ ลของ นกั เรยี น) • นักเรียนคดิ วา ถานักเรียนใชภาษาไมถ ูก หลกั จะสง ผลตอการสอื่ สารอยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยูก บั เหตุผลของ นักเรยี น) ภ า ษ า เ ป  น สื่ อ สํ า คั ญ ใ น ก า ร ส่ื อ ส า ร แ ล ะ เ กี่ ย ว ข  อ ง กั บ ก า ร ดํ า เ นิ น ชี วิ ต ของมนุษย ถือเปนสวนสําคัญสวนหนึ่งท่ีจะชวยใหชีวิตประสบความสําเร็จ หาก ผูใชภาษามีความรูความเขาใจในหลักเกณฑ วิธีการ และไดฝกฝนอยางถูกตอง ยอมชวยใหผูน้ันมีทักษะในการใชภาษาเปนอยางดี ซึ่งพัฒนาการทางภาษาท่ีดีจะ สงผลใหบุคคลน้ันเปนผูมีเหตุผล มีความเช่ือม่ันในตนเอง มีมนุษยสัมพันธที่ดี ทําใหก ารส่อื สารเกิดประสิทธิภาพ เกร็ดแนะครู ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนในตอนท่ี 4 เร่ือง หลักภาษาและการใชภาษา นัน้ ครผู ูส อนควรเนนทบทวนประสบการณค วามรูความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับ การใชภาษาในชวี ิตประจาํ วัน พรอ มกับเช่ือมโยงเนอ้ื หาในการเรียนการสอนเกย่ี วกับ หลกั ภาษา ครูผูสอนควรเร่ิมตน การเรียนการสอนจากการใชค ําถามกระตนุ ความ สนใจเพ่ือตรวจสอบทศั นคตขิ องนักเรียนทมี่ ตี อรายวชิ าภาษาไทย โดยเฉพาะอยางยิง่ หัวขอเกีย่ วกบั หลกั ภาษา เพื่อใหน กั เรยี นไดต รวจสอบทศั นคติของตนเอง พรอ มกับ ต้งั ขอสังเกตในการใชภ าษาไทยของตนเอง เม่ือนักเรยี นไดตรวจสอบทศั นคตขิ อง นักเรยี นเองแลว ครูควรเชอ่ื มโยงองคความรทู ีเ่ กดิ จากการเรยี นการสอนหลักภาษาให นักเรยี นทาํ ความเขา ใจ พรอ มตง้ั ขอ สังเกตการใชภ าษาในชีวติ ประจําวนั ของนกั เรยี น สอดแทรกในบทเรยี น เพ่อื ใหนักเรยี นปรบั ทศั นคตใิ นการเรยี นการสอนหลักภาษาและ การใชภ าษา เพื่อใหนกั เรียนเกดิ ทัศนคตทิ ่ีดีตอ การเรียนและสามารถนําองคความรู จากบทเรยี นไปปรบั ประยุกตและเชอื่ มโยงกับประสบการณในการสอ่ื สารในชีวิต ประจําวันของนักเรยี นได คมู่ อื ครู 129

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรยี นรู อธบิ ายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และ ตอนที่ ๔ ลกั ษณะของภาษา สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค ภาษา 1. ใฝเ รียนรู เปน เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ นการสอ่ื สารของ 2. มงุ มนั่ ในการทํางาน มนษุ ยเพ่อื ถา ยทอดความรู ความเช่อื 3. รกั ความเปน ไทย ตลอดจนวฒั นธรรมจากบคุ คลหนึง่ ไปยงั อกี บคุ คลหนง่ึ การมคี วามรูค วามเขาใจเกีย่ วกับ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ñหน่วยกำรเรียนร้ทู ี่ ธรรมชาตขิ องภาษา ความหมายของภาษา หนวยเสยี งในภาษา การเปล่ยี นแปลงของภาษา นักเรยี นชมวีดทิ ัศนเ กี่ยวกบั การพูดแถลงขาว และลักษณะท่วั ไปของภาษา ตลอดจนพลังของภาษา หรือการแสดงปาฐกถา รวมถึงการพูดอภิปราย จาก จะชว ยใหใ ชภ าษาเพือ่ สือ่ สารไดชดั เจน ถกู ตองตาม นัน้ ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ วตั ถปุ ระสงค และมีประสิทธิผลมากย่งิ ข้ึน • นักเรียนคิดวา ผพู ูดมกี ลวธิ กี ารสื่อสารความ ธรรมชาตแิ ละพลงั ของภาษา คดิ อารมณความรสู กึ สูผอู า นผา นชอ งทาง ตัวชว้ี ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ใดบาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ • อธิบายธรรมชาติของภาษา พลังของภาษาและ • ธรรมชาตขิ องภาษา ไดอยา งหลากหลายขน้ึ อยูก บั เหตผุ ลของ ลักษณะของภาษา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑) • พลงั ของภาษา นักเรียน เปนตนวา สอ่ื สารผานคาํ พดู สหี นา ทาทาง รวมถึงนาํ้ เสียงในการพูด) • นกั เรยี นคดิ วา นักเรียนสามารถรับรคู วาม- หมายจากการแสดงออกของผพู ูดไดอ ยางไร • นกั เรียนคิดวา ส่งิ ท่สี อื่ สารผานผพู ดู นัน้ เรยี กวา ภาษาหรือไม อยางไร เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน้ี ครูผสู อนควรเชือ่ มโยงเนอ้ื หาในบทเรียนกบั เร่อื งราวหรือ เหตุการณตางๆ ท่เี กิดข้ึนในชวี ติ ประจาํ วันของนักเรยี น โดยเร่ิมตนจากคําถามกระตนุ ความสนใจในหนว ยการเรียนรูนี้ นอกจากครูผสู อนจะใหน กั เรียนศกึ ษาจากวีดทิ ัศน แลว ครผู สู อนควรพยายามตงั้ ขอสังเกตในเรอื่ งตางๆ เพือ่ ใหนกั เรยี นไดเกดิ การ ทบทวนความรขู องนักเรยี นเอง เนอ่ื งจากการใชภ าษาในชวี ิตประจาํ วนั มีความเกี่ยวของ กับวัฒนธรรมทีน่ กั เรยี นไมคอ ยตัง้ คาํ ถาม หรอื มีขอสงั เกตมากนกั การต้งั คําถามหรอื การตั้งขอสังเกตน้ี ยอ มชว ยใหน กั เรียนตง้ั สมมตฐิ านเกย่ี วกับวิธีการใชภ าษาทเ่ี กดิ ขึ้น ในชีวติ ประจาํ วนั ชว ยใหน ักเรยี นเกดิ ความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ภาษามากย่งิ ขนึ้ การ เรยี นรจู ากการต้ังขอสังเกตจะชวยใหนักเรยี นเกิดความเขา ใจในความสมั พนั ธระหวาง ภาษากับวฒั นธรรม และชวยใหน กั เรียนใหค วามสาํ คญั กบั การเรยี นรภู าษาและใชภาษา ไดถกู ตอ งตามหลักภาษามากยง่ิ ขึน้ นกั เรยี นสามารถประยกุ ตค วามรูความเขาใจจาก การเรียนการสอนมาใชใ นชีวติ ประจาํ วันได เพราะความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการใช ภาษาจะสง ผลดีตอตัวนักเรียนในการสรา งสัมพันธภาพระหวา งกนั 130 ค่มู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ธรรมชาตขิ องภาษา ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • นกั เรยี นคิดวา นักเรียนสามารถเขา ใจความ- ภาษาเปนเครื่องมือท่ีมนุษยใชในการติดตอส่ือสาร เพื่อแลกเปล่ียนความคิด ความเห็น หมายของสิ่งท่ีนักเรยี นรับรู รวมถึงนกั เรยี น ทฤษฎี อารมณ ความรูส กึ หรือเพ่ือทาํ ใหเ กดิ ความเขาใจ ความพึงพอใจ ความเคียดแคน เปน ตน สามารถส่ือสารใหผอู น่ื เกดิ ความเขาใจได กิจกรรมที่ใชภาษามีมากมาย เชน การใหขอ มลู การชีแ้ จง การแสดงความคิดเห็น การโฆษณา อยางไร การอภปิ ราย การเลา เรอ่ื ง การโตแ ยง ตลอดจนการสนทนาในชวี ติ ประจาํ วนั อาจกลา วไดว า กจิ กรรม เกือบท้งั หมดในชีวติ ของมนษุ ยล ว นแตอ าศัยภาษาทงั้ สิน้ • นกั เรียนคดิ วา สีหนา ทา ทาง รวมถงึ นํา้ เสยี ง ในการพดู ถอื เปนภาษาในการส่ือสารหรือไม เครอื่ งหมายท่ีมนุษยใชส ่อื ความหมายกัน เชน สัญญาณไฟ สญั ญาณควนั รหัส ทาทาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ดนตรี เสียง การแตงกาย ฯลฯ เคร่ืองหมายเหลาน้ีไมใชคําพูดแตสามารถใชสื่อสารได จะเห็น ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยูกับเหตผุ ลของ ไดวาแมแผนปายโฆษณาจะใชคําเพียงไมกี่คํา แตใหอารมณหรือความรูสึกพึงพอใจไดมาก และ นกั เรียน) ทําใหทราบจุดประสงคของการโฆษณานั้นดวยภาพเปนสวนใหญ การอธิบายภูมิประเทศก็อาจ แสดงดวยแผนที่ ซึ่งจะทําใหเขาใจไดดีกวาการใชคําพูดเพียงอยางเดียว ภาษาพวกน้ีเรียกวา อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไมใชคําพูด ในปจจุบันภาษาชนิดน้ีมีความสําคัญมากขึ้น และมี สา� รวจคน้ หา Explore หลักเกณฑในการใชมากข้นึ กวาแตก อน นกั เรียนสืบคน ขอ มลู เกยี่ วกับธรรมชาตขิ อง ภาษา รวมถงึ ความหมายและความสําคัญของ ๑.๑ คคําววาาม“หภมาษาาย1”ขออาจงแภบาง ษควาามหมายออกไดเปน ๒ ประเภท คือ ภาษา “ภาษาในความหมายกวา ง” หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พดู (วจั นภาษา) และภาษาที่ไมไดใ ช อธบิ ายความรู้ Explain คําพดู หรือภาษาทา ทาง (อวจั นภาษา) ทัง้ นีภ้ าษา ในความหมายน้ี อาจนับรวมภาษาของสัตวดวย แตเร่ืองภาษาของสัตวนี้ยังมีขอมูลไมมากนัก จึง 1. นักเรียนรว มกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ไมค อ ยมีใครนํามากลา วรวมกบั ภาษาของมนุษย ตอไปนี้ • นักเรยี นคิดวา ภาษามคี วามสาํ คัญอยา งไร “ภาษาในความหมายแคบ” หมายถึง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ภาษาที่ใชคําพูด จะเปนคําพูดหรือลายลักษณ ไดอยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ อกั ษร ซึ่งเปนเครื่องหมายใชแทนคาํ พดู ก็ได นักเรยี น เปนตน วา ภาษาเปนเครอ่ื งมอื ใน การสื่อสารของมนุษย เพอื่ แลกเปลย่ี นความ ดังนั้น ความหมายของภาษาท่ีเขียนเพ่ือ คดิ อารมณความรสู กึ และใชใ นการติดตอ การสื่อสารในชีวิตประจําวัน ก็คือความหมาย สรา งปฏสิ ัมพนั ธร ะหวา งกนั ) ประการหลังซึ่งหมายถึง ถอยคําที่มนุษยใช • นักเรยี นคิดวา นอกจากคาํ พดู แลววธิ ีการ สื่อความกันได นักภาษาจึงเรียกความหมาย ข อ ง ภา ษ า ใ น แ ง  น้ี ว  า “ ควา ม ห ม า ย แ ค บ ” การสื่อสารในชีวิตประจําวันจะตองใชทักษะทางภาษา เพราะจํากัดอยูเพียงคําพูดของมนุษยเทานั้น ประกอบกันทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา▼ สื่อสารผา นทางสีหนา ทาทาง รวมถงึ ภาพ ตา งๆ จัดเปน ภาษาหรอื ไม อยา งไร (แนวตอบ จัดเปนภาษาในความหมายอยาง กวาง เปน ภาษาทไ่ี มใ ชคําพูด อาจเปนสีหนา ๑๓๑ ทาทาง สวนภาษาทีเ่ ปน คาํ พูดหรอื สญั ลกั ษณ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT จัดเปน ภาษาในความหมายแคบ) 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ นกั เรยี นควรรู ขอใดแตกตา งจากขอ อืน่ 1 ภาษา คําวา “ภาษา” เปนคาํ ในภาษาสนั สกฤต มาจากรากศัพทวา “ภาษ” 1. เสียงไกข ัน แปลวา พูด ภาษา ตามรปู ศัพทจ ึงแปลวา การพดู ดงั นน้ั ภาษาเปนหวั ใจของ 2. สัญญาณควนั กจิ กรรมการสื่อสารเพราะในการสอ่ื สาร ผสู ง สารจะใชภ าษาเปนสื่อพาสารไปสูผูรบั 3. สญั ญาณไฟจราจร สาร การส่ือสารเปนการตดิ ตอระหวา งมนษุ ยดว ยวธิ ีการตา งๆ ทจ่ี ะใหฝ ายหนึง่ รบั รู 4. จดหมายสมัครงาน ความหมายของอีกฝา ยหนึ่งและเกิดการตอบสนองตรงตามจดุ หมาย ไมว าจะเปน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. จดหมายสมคั รงาน แตกตางจากขอ อืน่ การแสดงความคิด และความตอ งการ ภาษายอมมกี ารเปล่ยี นแปลงตามกาลเวลา เพราะเปน การใชภ าษาในความหมายแคบ ซ่ึงจะใชเพียงคาํ พูดหรือลาย ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุมคน ตามสภาพของสงั คมและเศรษฐกิจ ภาษาในโลกมี ลักษณอักษรแทนคําพดู หรือก็คอื มเี พยี งมนุษยเ ทานัน้ ท่ใี ชภาษาในลักษณะน้ี หลายภาษา ภาษาเหลานมี้ ีท้ังลักษณะทต่ี างกันและเหมือนกนั ไปตามลักษณะพน้ื ฐาน ของภาษาน้ันๆ สงิ่ ทเี่ หมือนกนั อยางเหน็ ไดชัดคอื ภาษาน้ันสามารถสอื่ ความหมาย ประกอบกนั เปน หนว ยท่ีใหญข ้ึนไดและมีการเปล่ยี นแปลง นอกจากน้ี ภาษายัง สามารถถา ยทอดความรูสกึ นกึ คิด ชว ยใหเกดิ การพฒั นาเรียนรอู ีกดวย การใชภาษา เปนทักษะท่ผี ูใชภาษาตองฝกฝนใหเ กดิ ความชํานาญ ไมว า จะเปน การอา น การเขียน การพดู การฟง และการดูสอ่ื ตางๆ รวมท้งั ตอ งใชใ หถกู ตองตามหลักเกณฑท างภาษา เพอ่ื สอื่ สารใหเ กดิ ประสทิ ธิภาพ และมวี ิจารณญาณ คมู่ อื ครู 131

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สา� รวจคน้ หา Explore นักเรียนสบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั ประเภทของภาษา เอสยียางงกไค็รกอื ็ตตาวั มอเกัมษ่ือรม1เนชุษน ยเดพียัฒวนกับาขท้ึน่ีถกา ย็มเีวสิธียีถงาภยาทษอาดไทเสยียเปงพนตูดัวเปอนกั ษสิ่งรอไท่ืนย ในการสื่อสารสิ่งที่ใชแทน ทีใ่ ชในการส่อื สาร ซงึ่ ประกอบดวยลักษณะและ รูปแบบของอวัจนภาษาและวจั นภาษา ๑.๒ ประเภทของภาษาทใี่ ชใ นการสอื่ สาร อธบิ ายความรู้ Explain มนุษยท่ีอยรู ว มกนั ในสังคมสามารถสอ่ื สารกันไดหลายทาง ตงั้ แตการพดู ใหฟง การเขียน ใหอ าน การสอ่ื สารผานสอ่ื เทคโนโลยี ฯลฯ เปน การสง สารดว ยภาษาถอ ยคาํ ถายทอดจากผูสงสาร 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ไปยังผูรับสาร ท้ังน้ีสารจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ขึ้นอยูกับทักษะการใชภาษาของผูรับ2สารและ ความรูในประเด็น ตอ ไปนี้ ผสู งสาร กลาวคือ ผสู ง สารตอ งมคี วามสามารถในการใชถอ ยคาํ สามารถแสดงน้ําเสียง ทาทาง • นกั เรียนคิดวา ภาษาท่ใี ชใ นการส่อื สาร หนา ตา ไดอ ยา งเหมาะสม สว นผรู บั สารตอ งมคี วามสามารถในการตคี วามใหก ระจา ง ทงั้ จากถอ ยคาํ แบง ออกเปน กี่ประเภทอะไรบา ง น้ําเสยี ง บคุ ลกิ แววตา และทา ทางของผสู ง สาร (แนวตอบ แบง เปน 2 ประเภท ไดแ ก วจั นภาษาซงึ่ เปนภาษาคําพดู หรือสัญลกั ษณ ภาษาท่ีใชในการส่อื สารน้ีแบง ได ๒ ประเภท ดังนี้ และอวัจนภาษาเปนภาษาทีไ่ มใชคําพดู ๑) ลักษณะและรูปแบบของอวัจนภาษา อวัจนภาษา คือ ภาษาท่ีไมใชถอยคํา มี อาทิ น้ําเสียง สหี นา ทา ทาง แววตา บุคลิก ลักษณะและรปู แบบท่ีสําคัญ ดงั น้ี รวมถึงทา ทางของผสู งสาร) ๑.๑) การแสดงออกทางใบหนา สามารถบอกเจตนาได เชน 2. นักเรยี นพิจารณาบทประพันธ จากนนั้ นกั เรียน รว มกนั ตอบคําถาม ตอไปนี้ การแสดงออก ย้มิ แยม แจมใส ตกใจ โกรธ “หนา ตาย้มิ แยมแจมใส ทางใบหนา แสดงความจริงใจใหป รากฏ ใชภาษาถอยคําใหงามงด แสดงเจตนา เตม็ ใจ พอใจ ตกใจ ไมเ ตม็ ใจ ไมพอใจ มธุรสวาจาเรื่องสาํ คัญ” • นกั เรยี นคิดวา จากบทประพนั ธขางตน ส่งิ ท่ี ๑.๒) นํ้าเสียง เปนส่ิงสําคัญในการสื่อสารเพราะสามารถบอกอารมณ ความรูสึกของ เรยี กไดว า “ภาษา” ทั้งในความหมายอยา ง ผสู งสาร สงั เกตไดจากนาํ้ เสียง ดงั ตัวอยา งตอไปน้ี กวา งและความหมายอยา งแคบประกอบดว ย อะไรบาง อยา งไร น้าํ เสียง อารมณของผูส ง สาร (แนวตอบ ภาษาในความหมายอยา งกวา งท่ี - เสยี งดังพอไดย นิ สูงตาํ่ พอประมาณ แสดงความสุภาพ ปรากฏในบทประพันธ ไดแก “หนาตาย้ิมแยม แจม ใส” และ “ถอ ยคํา” ซ่งึ “ถอ ยคาํ ” ถอื ยดื เสยี งเล็กนอ ย แสดงความไมสุภาพ ขม ขู เปน การใชภ าษาเฉพาะความหมายอยางแคบ) - เสยี งดงั มาก กระโชกโฮกฮาก สน้ั หว น แสดงความไมแ นใจ ลังเลใจ - เสียงคอ ยเกินไป พูดออยๆ 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๑๓๒ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดเปน อวจั นภาษาทแี่ สดงถงึ ความไมส ุภาพ ครูผูส อนสามารถจัดกิจกรรมเพอ่ื ฝก ใหน กั เรยี นไดร ูจ กั วธิ กี ารเลอื กใชนา้ํ เสียงและ 1. วิทยาธรไดร ับคําชมวาเปนผูช ายทมี่ ีเสนห จะนั่งจะยืนมีทา ทางสภุ าพ ตีความนํ้าเสียงท่แี ฝงมากบั คําพูด เพราะนํา้ เสยี งเปน สิง่ ทผี่ ูร บั สารจะตองตีความเอง นอบนอ มอยเู สมอ การตีความนาํ้ เสยี งไดถกู ตอ งจะทาํ ใหก ารสอ่ื สารมปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ 2. ใครๆ มกั บอกเขาวา ไมนาชอ่ื วินยั เพราะเขาไมมวี นิ ยั เวลานายเรยี กกเ็ ดนิ ลวงกระเปา เขาไปหา นกั เรยี นควรรู 3. สถาพร รีบมาทํางานแตเชาและยิ้มทกั ทายผอู ่ืนดว ยหนาตายิ้มแยมทุกวนั 4. เวลานําเอกสารเขา ไปนําเสนอเจา นาย วิศรตุ จะยนื คอ มตัวรอรับคําสัง่ จาก 1 ตวั อกั ษร สญั ลักษณ หรอื เครอื่ งหมาย สาํ หรบั ใชแทนหนว ยเสยี ง ในภาษา นายเสมอ หนง่ึ ๆ โดยเรียกรวมทง้ั ชดุ หรอื ทงั้ ระบบ โดยท่วั ไป อกั ษรแตละตวั มักจะใชแทน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ใครๆ มักบอกเขาวาไมนาช่อื วินัยเพราะเขา หนว ยเสียงหนึง่ ๆ ซง่ึ อาจเปน เสียงสระ พยญั ชนะ หรอื หนวยเสยี งปลกี ยอ ยอนื่ ๆ ไมมีวินัย เวลานายเรยี กกเ็ ดนิ ลวงกระเปา เขา ไปหา อวัจนภาษาทแ่ี สดงถงึ 2 นํา้ เสียง กระแสเสียง คาํ พูด โดยปริยายหมายถงึ คําพูดท่ีสอ ใหร อู ารมณท่มี ี ความไมสุภาพของวนิ ยั คอื การเดนิ ลว งกระเปา เปน กริ ยิ าทาทางทไี่ มใสใจ อยูในใจ การพจิ ารณาน้าํ เสียงของผูพูดเปนการคนหาความรูสึกของผูพดู ในขณะที่ และขาดความนบั ถือผูอ่ืน โดยเฉพาะผทู ่อี าวโุ สกวา พดู เรอ่ื งน้นั ๆ ซง่ึ เปนความหมายทตี่ องตีความ 132 คู่มือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นจัดกลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอม ๑.๓) ทำ่ ทำง คอื กิริยาทา่ ทางขณะส่งสาร ไดแ้ ก่ ทา่ นง่ั ท่ายนื และการทรงตัวมผี ล รวมกนั แลกเปลยี่ นความคิดเห็นจากประเด็นคาํ ถาม ต่อการสง่ สาร เชน่ ดังตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา ลักษณะหรือรปู แบบของ ท่าทางสภุ าพ ได้แก่ ทา่ นั่งหรอื ยนื อยา่ งสุภาพ แสดงความนอบนอ้ ม อวจั นภาษาที่สําคัญ ประกอบดวยรูปแบบ ทา่ ทางไม่สภุ าพ ไดแ้ ก ่ ทา่ ยืนท�าตัวตามสบาย เอามอื ลว้ งกระเปา หรอื ทา่ นงั่ ใดบาง นกั เรียนอธบิ ายและยกตัวอยา ง ประกอบ ไขว่ห้างตอ่ หนา้ ผอู้ าวโุ สกวา่ ฯลฯ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถกลา วถึงลกั ษณะ รูปแบบของอวัจนภาษาไดอ ยางหลากหลาย ๑.๔) กำรแต่งกำย ควรแต่งกายให้เหมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และสภาพแวดล้อม ประกอบดวยรปู แบบตา งๆ ดังนี้ การแต่งกายที่สุภาพท้ังเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจและความเช่ือถือ 1. การแสดงออกทางใบหนา สามารถสอ่ื ในตัวผู้พูด แตถ่ า้ แต่งกายไมส่ ุภาพและไมเ่ หมาะสมกับสถานที่ อาจจะท�าใหเ้ กดิ ความเส่อื มศรัทธา เจตนาได 2. นา้ํ เสยี ง สามารถบอกอารมณ เคล่ือนไหวม๑า.ก๕เ)ก กินำไรปเเคพลร่ือานะอไหาจว ดใูเนหขมณอื นะพกาูดรตแอ้ สงดเคงลล่ือะคนรไห1วบ้างพอเหมาะกบั เน้อื หาทพ่ี ูด แต่อย่า ความรูสึกของผสู งสาร โดยสงั เกตจาก ๑.๖) กำรใช้มอื และแขน ขณะพดู ควรใชม้ อื หรือแขนใหส้ อดคลอ้ งกับเรื่องทพ่ี ูด เชน่ ก�ามอื เป็นการแสดงความส�าคัญ นํา้ เสียงได เชน เสยี งดงั มาก กระโชก ผายมือ เป็นการบอกทศิ ทาง โฮกฮาก หรอื สน้ั หว น แสดงความไมสุภาพ ยกมือท้ังสองขา้ งพร้อมกัน เป็นการบอกขนาด ของผสู งสาร หรือสอ่ื เจตนาขมขู เปน ตน 3. ทา ทางในขณะสง สารมผี ลตอ ความสุภาพ ๑.๗) กำรใช้นยั นต์ ำ หรอื แววตาสามารถสอื่ อารมณข์ องผ้พู ูดได้ เช่น แปลกใจ สงสัย เชน ทายืนทาํ ตวั ตามสบาย ลว งกระเปา ม่ันใจ ลังเลใจ สมใจ สะใจ ฯลฯ หรอื ไขวหาง เปนทา ทางทีไ่ มส ภุ าพ เปนตน 4. การแตงกาย 5. การเคล่อื นไหว ๑.๘) กำรใช้ภำษำสัญลักษณ์ต่ำงๆ ที่ก�าหนดขึ้นโดยสังคมกลุ่มต่างๆ หรือภาษา 6. การใชม อื และแขน 7. การใชนยั นตา สากล ล้วนใช้สื่อความหมายแทนสง่ิ ใดส่งิ หน่งึ ใหเ้ ปน็ ทเี่ ข้าใจตรงกนั เชน่ ตัวหนัง2สือ สญั ญาณมือ 8. การใชภาษาสญั ลักษณตางๆ) สัญญาณไฟ ธง ป้ายจราจร สญั ญาณนกหวดี สัญญาณเสียงตา่ งๆ และภาษามือของผูพ้ ิการ 2. ครสู มุ นักเรยี นแตละกลมุ ออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรียน อวัจนภาษาเหล่าน้ี สามารถน�าไปใช้ประกอบกับการใช้วัจนภาษาเพื่อให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ขณะที่พูดอาจใช้มือท�าท่าทางประกอบ ใช้สีหน้า หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ประกอบด้วยได้ ๒) ลักษณะและรปู แบบของวจั นภ�ษ� ภาษาไทยมถี ้อยค�าท่ีแสดงความลดหลั่นชนั้ เชงิ ของภาษาอย่มู าก ทัง้ ถ้อยค�า ส�านวน โวหาร การเลือกสรรถ้อยคา� จงึ เปน็ เรอื่ งสา� คัญที่สุดในการ ขยายความเขา้ ใจ Expand สอ่ื สาร เพราะถ้าใช้ถอ้ ยค�าภาษาผดิ อาจส่งผลใหก้ ารสอื่ สารไม่ตรงเปา้ หมายท่ีตอ้ งการ หรือทา� ให้ 1. ครสู ุม นักเรียน 2-3 คน ออกมานาํ เสนอ เกิดความเข้าใจผิดได้ การใช้วัจนภาษาให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคลจึงเป็นเร่ืองท่ีควรศึกษา ลกั ษณะและรปู แบบการใชอ วจั นภาษา โดย ในท่ีน้ีจะขอยกข้อสังเกตของการใช้วัจนภาษาเพ่ือศึกษา พิจารณา และเลือกใช้ค�าได้ถูกต้อง ออกมาแสดงอวัจนภาษาตา งๆ อาทิ ทาทาง เหมาะสมยง่ิ ขนึ้ ดงั น้ี นา้ํ เสยี งการเคลอ่ื นไหว การใชน ยั นตา การแตง กาย การสอ่ื ความหมายผานภาษา ทาทาง การใชทง้ั วจั นภาษาและอวจั นภาษา 133 ประกอบกัน 2. นักเรยี นท่ีเหลอื รวมกนั ตคี วามหมายของ บรู ณาการเชอื่ มสาระ อวัจนภาษาท่ีนักเรียนส่อื สาร ครสู ามารถนําเนอื้ หาเร่อื ง อวัจนภาษา ซ่ึงเปน การสือ่ สารผา นภาษาที่ นักเรียนควรรู ไมใชถ อ ยคํา บูรณาการเชื่อมโยงกับกลุมสาระการเรียนรู การงานอาชพี และ 1 ละคร การแสดงประเภทหน่งึ ผูแ สดงเรยี กวา ตัวละคร มีเวที หรือสถานทใี่ ชใน เทคโนโลยี รายวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เน้ือหาเก่ยี วกบั การเลอื กใช การแสดง มีบทใหตวั ละครแสดงตามเนื้อเรอื่ ง โดยมากมดี นตรปี ระกอบ มลี กั ษณะ เสอื้ ผาและเครอื่ งแตง กายใหส อดคลองเหมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และ แตกตางกนั ออกไปหลายชนดิ หรอื หมายถงึ การเลน ทใ่ี ชส ัตวเ ปน ตัวแสดง เชน ละคร สภาพแวดลอม ซึ่งเส้ือผาเครอื่ งแตงกายเปนการสือ่ สารผานอวจั นภาษาอยาง ลิง ละครสัตว โดยปริยายหมายถึงความเปน ไปของชีวติ เชน ละครชวี ิต โลกคอื ละคร หนึ่ง ชวยใหค ูส นทนาเกดิ ความประทบั ใจและความเชือ่ ถือในตวั ผูพ ดู แตหาก โรงใหญ เปนตน คาํ วาละครนน้ั มีลกั ษณะการเขยี นทผ่ี ิดเพี้ยนออกไปคอื ละคร ลครฺ มีการแตงกายไมเหมาะสมหรือไมสุภาพยอมลดความนา เชอ่ื ถอื ของตนลง แตม ีความหมายรวมเหมือนกันคอื เปนการแสดงมหรสพอยางหนงึ่ ที่เลน เปนเรอ่ื ง ไปดวย การเลอื กเสือ้ ผาเครอื่ งแตง กายทมี่ คี วามเหมาะสมจงึ เปนการสะทอ น ตางๆ โดยมุง ใหเกิดความบันเทิงใจ บคุ ลิกภาพที่เหมาะสมของตนเองสคู สู นทนาไดอยา งเปนอยา งดี การเรียนรู 2 ภาษามือ ภาษาองั กฤษใชว า sign language เปน อวจั นภาษาอยา งหนงึ่ ท่ี หรือทาํ ความเขาใจวิธกี ารเลือกใชเสื้อผาเคร่ืองแตง กายประเภทตา งๆ ใหม ี ประกอบดวย การสื่อสารดวยมือ การส่อื สารดว ยรางกาย และการใชร มิ ฝปากในการ ความเหมาะสม ถือเปน การใชภ าษากายใหสอดคลอ งกบั สังคมและวัฒนธรรม ส่อื ความหมายแทนการใชเสียงพูด การสอื่ สารจะใชล กั ษณะของมือที่ทาํ เปน สัญลักษณ ไดอกี ทางหนึ่ง การเคล่อื นไหวมอื แขนและรา งกาย และการแสดงความรูสึกทางใบหนา เพอ่ื ชว ยใน การสอ่ื สารความคดิ ภาษาสัญลักษณสว นใหญม กั ใชใ นกลมุ ผูพิการทางหู ซ่ึงรวมทงั้ ผูพกิ ารทางหูเอง ผตู ีความหมาย ผรู วมงาน เพอ่ื น และครอบครวั ของผพู ิการทางหู ซ่ึงอาจจะพอไดย ินบา งหรอื ไมไ ดย นิ เลย คูม่ ือครู 133

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ๒.๑) ค�ำที่มีควำมหมำยเหมือนกัน มีที่ใช้ต่ำงกัน การใช้ค�าเหล่าน้ีต้องค�านึงถึง ตอ ไปน้ี โอกาส สถานท่ี และสมั พันธภาพระหว่างบคุ คล เช่น • นกั เรยี นคิดวา ลักษณะและรปู แบบของ วจั นภาษาท่ีเหมาะสมกับกาลเทศะและบคุ คล ระดบั บคุ คล คำ�ศัพท์ ก�รใช้ภ�ษ� ตอ งคาํ นงึ ถงึ เรื่องใดบา ง อยางไร หากใชไม บคุ คลท่ัวไป รบั ประทาน เหมาะสมจะเกดิ ผลอยางไร พระภิกษุ กิน ฉัน (แนวตอบ เปน ตน วา การใชค ําสอดคลองกับ พ๒ร.ะ๒บ)ร คม�ำวทงศี่เปาน็นวุ ภงำศษ์ ำพูด1 เม ื่อน�าค�าท่ีเป็นภาษาพูด มาเขียเนสเวปย็นภาษาเขียน2จะเขียน สถานภาพของบุคคล หากใชไมเ หมาะสมจะ สง ผลใหการส่ือสารไมสัมฤทธิผล อาจนําไปสู ไม่ตรงกบั เสียงพดู เช่น ความขดั แยงได) 2. ครูสุมนักเรียนยกตัวอยา งการใชวจั นภาษาใน ภาษาพดู : เคา้ เอาของช้นั ไปแลว้ ไม่คืนไดไ้ ง รูปแบบตา งๆ ดงั ตอ ไปน้ี ๒.๓ภ)า ษคาำ� เทขีเ่ยี ปนน็ ภำษำป: ำก3คเ�าขทาเเี่ อปา็นขภอางษฉันาปไปาแกลไ้วมไม่นค่ ยิ นื มไนด�าอ้ มยาา่ งเปไรน็ ภาษาเขียน เช่น • คาํ ท่ีเปน ภาษาพดู ภาษาปาก : เยอะแยะ ใบขับข่ ี มหาลยั (แนวตอบ เคา เอาหนงั สือชน้ั ไป เมอื่ วานน)้ี ภาษาเขียน : มากมาย ใบอนุญาตขับข ่ี มหาวทิ ยาลยั • คําทเ่ี ปน ภาษาปาก ๒.๔) กำรใช้ส�ำนวน เป็นลักษณะเด่นของการสื่อสาร เพ่ือใช้เปรียบเทียบให้ผู้ฟัง (แนวตอบ ผา ผอ นเยอะแยะใชเ ทา ไหรก ็ไมเกา ) เข้าใจได้ทันที ส�านวนเหลา่ นจ้ี ะมคี วามหมายไม่ตรงกับคา� ท่เี ขยี น เชน่ • การใชส ํานวน ใจยกั ษ์ หมายถึง มีจิตใจดรุ ้าย โหดเหย้ี ม (แนวตอบ เขาเปน แมเ ลี้ยงที่ใจยักษ หมายถึง คอแขง็ หมายถึง ทนต่อรสอันเข้มขน้ รุนแรงของสุราได้ มีจิตใจดรุ า ยโหดเหย้ี ม) • การใชศ ัพทเ ฉพาะในอาชพี เดียวกัน ๒.๕) กำรใช้ศัพท์เฉพำะในแวดวงเดียวกัน และกำรใช้ค�ำผวน การใช้ศัพท์เฉพาะใน (แนวตอบ วนั นีผ้ มตอ งข้ึนวอรด คาํ วา “วอรด ” แวดวงเดียวกัน อาจท�าให้คนนอกกลุ่มฟังไม่เข้าใจ เช่น พยาบาลคุยกันว่า “วันนี้ต้องขึ้นวอร์ด หมายถงึ ตกึ ผูป วย) หรือเปล่า” คนที่ไม่เกย่ี วข้องจะไม่รู้วา่ วอร์ด คือ การเข้าเวรปฏิบตั ิหนา้ ที่ หรือการพูดคา� ผวน เช่น • การใชภาษาถิน่ หมาตาย หมายถงึ หมายตา (แนวตอบ คดึ ฮอด หมายถึง คิดถึง ในภาษา แจว้ หลบ หมายถงึ จบแลว้ ถนิ่ อสี าน) การพูดคา� ผวนต้องระมดั ระวงั ไม่ให้หยาบโลน มบี างคา� ท่ีผวนแลว้ มคี วามหมาย • การใชค าํ คะนองและสแลง ทางหยาบโลน จึงต้องพยายามหลกี เล่ยี ง (แนวตอบ เธอแตงตัวสกอยมาก) ๒.๖) กำรใช้ภำษำถิ่น ภาษาถ่ินเป็นภาษาที่ใช้กันเฉพาะหมู่ และนิยมใช้เป็นภาษา พูด แต่มีบางค�าเปน็ ที่รจู้ ักกันดอี ยแู่ ลว้ เช่น ขยายความเขา้ ใจ Expand แซบ ในภาษาถนิ่ อีสาน หมายถึง อร่อย ลา� ในภาษาถน่ิ เหนือ หมายถงึ อรอ่ ย 1. นักเรียนรวบรวมและยกตัวอยางวัจนภาษา หรอย ในภาษาถ่ินใต ้ หมายถงึ อรอ่ ย ประเภทตา งๆ จากนน้ั ใหนกั เรยี นปฏิบตั ิ กจิ กรรมตอคาํ ศพั ททมี่ ีความหมายเหมอื นกัน 2. ครนู ําคาํ ศพั ทท่ีนักเรยี นรวบรวมมาแตงประโยค 134 ใหส อดคลองกบั ระดับภาษา บันทึกลงในสมุด ขอสอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเก่ียวกับวัจนภาษา 1 ภาษาพูด ภาษาท่ีใชพดู จากัน ไมพถิ ีพถิ ันในการใชตามหลกั ภาษามากนกั ขอใดมคี าํ ที่แสดงวัจนภาษา สรางความรสู ึกเปนกนั เอง ใชในกลุม เพือ่ น เปน การติดตอ สอื่ สารทไี่ มเ ปน ทางการ 1. แมมากผิกงิ่ ไม ผวิ ใครจะใครล อง 2 ภาษาเขียน เปนภาษาท่ีเครงครดั ตอการใชถอยคําและคาํ นงึ ถึงหลักภาษา มดั กํากระน้นั ปอง พลหักก็เต็มทน เพือ่ ใชใ หถกู ตอง มักใชในการเขียนมากกวาการพูด มีความสภุ าพ เปน ภาษาท่ีใช 2. น่งิ เงียบสงบงํา บมทิ าํ ประการใด ในระดับพิธกี ารและทางการ ปรากฏประหน่ึงใน บรุ วา งและรา งคน 3. ปรึกษาหารอื กนั ไฉนน้นั กท็ าํ เนา จักเรียกชมุ นุมเรา บแลเห็นประโยชนเลย 3 ภาษาปาก เปนภาษาทีใ่ ชใ นวงจํากัด เชน ภาษาทใี่ ชในครอบครัว ใชร ะหวา ง 4. ลูกขางประดาทา รกกาลขวางไป สามี ภรรยา มารดา บตุ ร หรือใชระหวางเพ่อื นสนิท สถานท่ใี นการใชภ าษาดังกลา ว มกั อยูในพน้ื ทจี่ าํ กดั หรือพน้ื ท่ที ่มี คี วามเปน สว นตวั สงู เน้ือหาของสารที่นําเสนอ หมุนเลน สนุกไฉน ดจุ กนั ฉะน้ันหนอ มักเปน เรือ่ งสนทนาท่วั ไป ไมมขี อ จํากดั ภาษาระดับนมี้ ักใชในการสนทนา ไมน ิยม บันทกึ เปน ลายลักษณอ กั ษร ยกเวน การบันทึกในนวนิยาย หรือเรอ่ื งส้ัน โดยเฉพาะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. มีคําท่ีแสดงวจั นภาษา คือ คาํ วา ปรกึ ษา ในบทสนทนาของตวั ละครเพ่อื สรางความสมจริง ถอ ยคําทใ่ี ชอาจปรากฏคาํ คะนอง หารอื ซงึ่ แสดงใหเห็นวามกี ารพูดคยุ กนั ขอ 1. เปน อวัจนภาษา แสดง ทา ทางหกั ก่งิ ไม ขอ 2. การน่ิงเงียบไมม คี ําพูด และขอ 4. ไมมีการใชค าํ พดู คําภาษาถิน่ รวมถงึ คาํ สแลงไดอีกดวย 134 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Evaluate Explore Explain Expand Explore สา� รวจคน้ หา ๒.๗) กำรใช้ค�ำคะนอง1 และสแลง2เฉพำะสมัย เป็นการใช้ค�าสื่อสารกันเพียงชั่วคราว นกั เรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม สบื คนขอมูล เช่น ซ่าส์ มั่ว ปิ๊ง จ๊าบ ฯลฯ จึงเหมาะที่จะใช้ในการพูดเฉพาะกลุ่มที่สามารถสื่อสารกันอย่าง เก่ียวกบั ลักษณะทั่วไปของภาษา ในประเด็น เขา้ ใจ ไมเ่ หมาะท่จี ะน�าไปใช้ในการสนทนาทัว่ ไปหรือการเขยี น ตอไปนี้ 1. เสยี งสื่อความหมายในภาษา 2. หนว ย ในภาษา 3. การเปลย่ี นแปลงของภาษา 4. ลกั ษณะ ๑.๓ ธรรมชาตขิ องภาษา รว มและลักษณะเฉพาะของภาษา 5. ระเบยี บ แบบแผนของภาษา ภาษาทุกภาษาตา่ งมีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตน แตอ่ ยา่ งไรย่อมมีลักษณะทัว่ ไปร่วมกัน ดังน้ี อธบิ ายความรู้ Explain ๑) ภ�ษ�ใช้เสยี งสอ่ื คว�มหม�ย คนแตล่ ะชาติ แตล่ ะกลุ่ม แต่ละพวก ต่างกา� หนดเสียง ที่ใช้พูดส่ือความหมายเฉพาะในกลุ่มตนว่าจะให้เสียงใดมีความหมายอย่างใด เมื่อใด ด้วยเหตุนี้ 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 1 นําเสนอเรือ่ ง เสยี งสือ่ ความ- เสยี งในแต่ละภาษาจึงตา่ งกนั เชน่ ในภาษาไทยไม่มเี สยี งสะกด ล /l/, ส /s/ อยา่ งในภาษาอังกฤษ หมาย ดว ยการรวมกันตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ หรอื ภาษาอังกฤษไมม่ เี สยี งสะกด ป /p/, ต /t/ เพราะเสียงสะกดน้ีในภาษาอังกฤษตอ้ งมกี ารพน่ ลม • การท่คี นไทยเราเรยี กทอ่ี ยูอ าศัยวา บาน เป็นต้น จะมีก็แต่ค�าที่เกิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติเท่านั้นที่อาจจะมีเสียงใกล้เคียงกันมาก เรอื น คนญป่ี ุนเรียกวา อุจิ นกั เรียนคิดวา กลา่ วคอื อาจคลา้ ยคลงึ กันทง้ั เสียงพยัญชนะและสระ เชน่ ตุ๊กแก (ภาษาไทยกลาง) ต๊กโต (ภาษา เสยี งมีความสัมพนั ธกับภาษาอยางไร ไทยเหนือ) เก๊กโก (ภาษาอังกฤษ) หรอื คลา้ ยคลึงกนั เพยี งเสยี งใดเสยี งหนึ่ง เช่น แมว (ภาษาไทย) (แนวตอบ แสดงใหเหน็ ลกั ษณะเฉพาะของ งาว (ภาษาจนี ) ภาษาแตล ะภาษาที่มีการใชเ สยี งแตกตา งกัน ในการส่ือความหมาย) การท่ีต้องก�าหนดเสียงและความหมายใช้ในภาษาเป็นจ�านวนมาก ท�าให้เสียงที่ใช้ใน • จากคําถามขางตน สะทอนลกั ษณะสาํ คัญ ภาษามีความสัมพันธ์กับความหมายโดยธรรมชาติได้ยาก อาจมีบ้างบางเสียงที่ก�าหนดให้ ของภาษาอยา งไร คลา้ ยคลึงกนั มคี วามหมายใกล้เคยี งกัน หรอื มคี วามหมายไปในทางเดยี วกนั แตก่ ็ไมน่ า่ จะถือวา่ (แนวตอบ เสยี งกบั ความหมายไมม ีความ เสียงสมั พันธก์ บั ความหมายโดยธรรมชาติ ดังเชน่ เซ เฉ เป๋ เหล่ เก เย้ แปลว่า ไม่ตรง ค�าเหล่าน้ี สมั พันธกนั ) คงเปน็ คา� ที่กา� หนดขึน้ ในระยะแรก แต่ภายหลงั ค�าอ่ืนทผ่ี สมสระเดยี วกนั น้ี กม็ ิได้แปลความหมาย • นักเรียนคิดวา คําวา โฮง ครืนๆ เหมียว เช่นนัน้ นอกจากนี้คนท่ีไม่รู้จักค�าเหลา่ นั้นมากอ่ น เม่อื ได้ยนิ คา� เหลา่ นัน้ ก็ไมอ่ าจบอกความหมาย แปรน เปนคําหรอื เสียงทีม่ คี วามสมั พนั ธก บั ได้ทันที ดังน้ัน ถ้าพูดว่า “เสียงสัมพันธ์กับความหมายโดยธรรมชาติ” ก็ควรจะหมายถึง เสียง ความหมายหรอื ไม อยางไร บอกความหมายได้ แม้จะมไิ ด้นดั หมายกนั ไว้ก่อน แมค้ นที่ไม่รูภ้ าษาน้นั ๆ ได้ยินเสยี งคา� เหลา่ น้นั (แนวตอบ เปน คาํ ที่เกดิ จากการเลยี นเสียง กพ็ อจะรู้ความหมายได้เชน่ กนั ถือวาสมั พนั ธกับความหมาย) ค�าหรือเสียงท่ีจะถือว่ามีความสัมพันธ์กับความหมาย มักจะเป็นค�าจ�าพวกท่ีเกิดจาก 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ การเลียนเสียง จะเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น ครืนๆ (เลียนเสียงฟ้าร้อง) หวิวๆ (เลียน เสียงลม) ฯลฯ เลียนเสียงสัตว์ร้อง เช่น เหมียว (เสียงร้องของแมว) โฮ่ง (เสียงเห่าของสุนัข) ขยายความเขา้ ใจ Expand แปร๋น (เสียงร้องของช้าง) ฯลฯ เลียนเสียงเด็กอ่อนหรือเด็กที่ก�าลังหัดพูด เช่น อุแว้ หม่�า อึ ฯลฯ หรือคา� ท่เี ป็นเสียงอทุ าน เช่น โอ๊ย! อูย! เฮอ้ ! เปน็ ตน้ นกั เรยี นยกตวั อยางคาํ ที่มเี สยี งสมั พนั ธกับ ความหมาย พรอมบอกความหมายของคาํ และ 135 บรบิ ททใ่ี ชค ําดังกลาว ขอ สอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเกีย่ วกับหนวยเสยี งในภาษาไทย 1 คําคะนอง คอื คําทพี่ ดู เกินขอบเขต หรอื วาจาอนั ไมสมควร คาํ คะนองเปน คาํ เสยี งของพยางคในขอ ใดมีโครงสรา งตา งกับขออน่ื ทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลงอยตู ลอดเวลา ไมน านก็เสอื่ มความนิยมและเลกิ ใชไปในทีส่ ุด 1. ขวาน คาํ กลมุ ทีใ่ ชเ พื่อทาํ ใหเ กดิ ความหมายเชงิ อารมณ ทําใหภาษามีสีสนั มากกวาเพอ่ื ส่อื 2. หลาม ความหมายท่ีชัดเจน เน่ืองจากคาํ คะนองนนั้ บางครัง้ กไ็ มสามารถบอกความหมาย 3. เผย ทแี่ ทจรงิ ได เพราะมกี ารใชต ามๆ กันมาขนึ้ อยกู ับกลุมผใู ชภ าษากําหนดจนกลาย 4. ฝงู เปน ภาษาเฉพาะกลมุ 2 สแลง หรอื คาํ สแลง หมายถงึ ถอยคําหรอื สํานวนที่ใชเ ขาใจกันเฉพาะกลมุ หรือ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ขวาน เปนเพียงขอ เดยี วท่ีมเี สียงพยญั ชนะ ช่วั ระยะเวลาหน่งึ ไมใ ชภาษาทย่ี อมรับกนั วาถูกตอง ภาษาอังกฤษใชว า slang มีรูป ท่ใี หค วามหมายเชิงสแลงไดโ ดยไมตองพึง่ ปรบิ ท และสามารถจาํ แนกประเภทตาม ตน ควบกนั 2 เสียง ซึง่ ขออ่นื ๆ มีเสยี งพยัญชนะตนเพียงเสยี งเดยี ว ทมี่ าไดเ ปน 6 ประเภท คือ 1. คาํ เปลีย่ นเสยี งหรอื อกั ขรวิธี 2. คําผวน 3. คํายมื 4. คํากําหนดใหมีเสียงเลยี นธรรมชาติ 5. คาํ กาํ หนดใหส่ือความหมายดว ยเสยี ง 6. คาํ ประสมขึ้นใหม และการนําคําทใ่ี ชกนั โดยทวั่ ไปมาใชใ หม ีความหมายใหม ตัวอยาง เชน ยาวไป หมายถึง เทยี่ วกลางคนื จนดึกดน่ื ถงึ เชา เปน ตน คมู่ ือครู 135

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นกลมุ ท่ี 2 นําเสนอเรอื่ ง หนว ยในภาษา ๒) หน่วยในภ�ษ�ประกอบกันเป็นหน่วยท่ีใหญ่ข1้ึน หน่วยในภาษา หมายถึง ส่วน ดวยการรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ประกอบของภาษา หน่วยที่เล็กที่สุดของภาษา คือ หน่วยเสียง หากน�าหน่วยเสียงมาประกอบกัน • หนวยในภาษามคี วามหมายวา อยางไร จะไดห้ นว่ ยท่ีใหญ่ขึน้ คอื พยำงค์ เมอ่ื กา� หนดความหมายใหพ้ ยางค์แล้ว พยางคเ์ หลา่ นนั้ ก็จะเปน็ และมีความสําคญั อยางไร ค�ำ ส�าหรับใช้ในภาษา เพราะคา� กบั พยางค์แตกต่างกันทค่ี า� จ�าเป็นต้องมคี วามหมาย ส่วนพยางค์ (แนวตอบ หนว ยในภาษา หมายถงึ สว น ไม่จ�าเป็นต้องมีความหมายก็ได้ และเม่ือน�าค�ามาประกอบกันเข้าตามระบบการใช้ถ้อยค�าของ ประกอบของภาษา) แตล่ ะภาษา กจ็ ะไดห้ นว่ ยภาษาท่ีใหญ่ข้ึนเปน็ กล่มุ คำ� หรอื วลี ถา้ น�าค�ามาเรยี งล�าดับกนั และได้ • หนวยในภาษาประกอบดว ยอะไรบาง ความหมายครบถ้วนก็กลายเป็น ประโยค ซึ่งจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ส่งสาร และหนวยในภาษาแตละหนว ยมีความ เป็นสา� คัญ แตกตางกนั อยางไร (แนวตอบ หนวยในภาษามอี งคป ระกอบ เสยี ง พย�งค์ คำ� กลุม่ คำ� ประโยค เร่ือง ดงั ตอไปน้ี หนว ยทีไ่ มม ีความหมายไดแก หนวยเสยี งและนําหนวยเสยี งมาประกอบกัน (วล)ี ตามระบบเปน หนวยทีม่ ีความหมาย ไดแ ก คาํ นาํ คาํ มาประกอบกนั เปนประโยค และนาํ ภาษาไทยมีทั้งเสียงพยัญชนะและเสียงสระเช่นเดียวกับภาษาอื่นอีกหลายภาษา และ ประโยคมาประกอบกันเปนขอ ความหรอื ที่พิเศษ คือ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ ท�าให้สามารถสร้างค�าขึ้นได้มากมาย แต่บางค�าอาจ เรื่องราว หนว ยทางภาษาแตละหนวยมีความ มีฐานะเป็นเพียงพยางค์เพราะไม่มีความหมาย เช่น ใช้พยัญชนะ ก ประสมกับเสียงสระ ออ แตกตางกันในดานของระดบั โครงสรางทาง ก็ผันวรรณยกุ ต์ได้ถึง ๕ เสียง คอื กอ ก่อ ก้อ ก๊อ กอ๋ ภาษาทมี่ คี วามแตกตา งกนั ) • นักเรียนบอกลักษณะของหนวยทางภาษา ถา้ นา� เสียงพยัญชนะ ๓ หน่วยเสยี ง เชน่ ง / / ย /j/ ว /w/ กับสระ ๑ เสียง เช่น อา แตละหนว ย และเสยี งวรรณยกุ ต์สามญั จะสามารถสรา้ งพยางค์ได้ถึง ๑๒ เสียง ดังนี้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาคําตอบได จากหนังสือเรียนในหนา 136) งา งาง งาย งาว ยา ยาง ยาย ยาว 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ วา วาง วาย วาว ขยายความเขา้ ใจ Expand ในภาษาไทยกลางไดก้ า� หนดความหมายของคา� เหล่าน้ีใหใ้ ชเ้ พียง ๙ ค�า คือ งา ยา วา ยาง ยาย ยาว วาง วาย วาว แต่มิได้ก�าหนดความหมายให้ งาง งาย งาว อย่างไรกต็ าม 1. นักเรียนยกตัวอยางหนว ยทางภาษาในแตละ ภาษาไทยเหนือได้ก�าหนดความหมายให้ค�า งาย หมายถึง เช้า และ งาว เป็นช่ืออ�าเภอหนึ่ง หนว ย หรือแตล ะระดับ สว่ น งาง ยงั ไม่มีการใช้เป็นค�าในภาษาไทยทกุ ภาค งาง จึงเป็นเพียงพยางค์ท่ีไมม่ ีความหมาย 2. นกั เรียนนําตวั อยา งหนวยทางภาษาในแตละ เมื่อน�าค�าเหล่าน้ันประกอบกัน อาจจะได้ค�าใหม่ กลุ่มค�า หรือประโยคซึ่งต่างจาก หนว ย หรอื แตล ะระดบั โครงสรา งภาษามาใชใ น ภาษาอืน่ เชน่ วางวาย วางยา วายาว ยางยาว งายาย ยายาย วายาย ยายวางยา วายายยาว การปฏิบัตกิ จิ กรรมตอคําศัพทจากหนว ยทาง เปน็ ต้น ภาษาในแตละหนว ยหรอื แตละระดบั นอกจากน้ี ภาษาไทยยังมีวธิ นี �าประโยคมาเรียบเรียงใหไ้ ดป้ ระโยคยาวออกไป โดยจะ อยู่ในรูปประโยคความรวมหรือประโยคความซ้อน เชน่ 136 นกั เรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั หนวยเสียงพยญั ชนะในภาษาไทย 1 หนว ยเสยี ง เปน คาํ ศพั ทเ ฉพาะทางภาษาศาสตร ภาษาองั กฤษใชว า phoneme ขอใดมเี สยี งพยัญชนะตนมากทสี่ ดุ (ไมน บั เสยี งซํา้ ) เปน องคประกอบพนื้ ฐานของภาษาพดู สทั สมาคมระหวา งประเทศนยิ ามหนว ยเสียง 1. ใครมาเปน เจา เขา ครอง วา หมายถึงหนว ยทีเ่ ลก็ ท่สี ุดของเสยี งท่ีใชเ พอ่ื สรา งความหมายตางๆ เมอ่ื เปลงเสียง 2. คงจะตองบงั คบั ขับไส ออกมา ในทางภาษาศาสตรไ ดพ ิจารณาจําแนกหนวยเสียงในภาษาวา หนว ยเสียง 3. เค่ียวเข็ญเยน็ คา่ํ กราํ ไป เปน ภาวะนามธรรมของชุดเสียงพูด โดยใชวธิ ีการเปรยี บเทียบเสยี งและความหมายใน 4. ตามวิสัยเชิงเชนผูเ ปน นาย ภาษาท่เี รยี กวา การใชค เู ทียบเสยี ง ดวยการนาํ คาํ ศัพทท ่มี เี สียงทีต่ องการเปรียบเทียบ วเิ คราะหคาํ ตอบœ ตอบขอ 4. ตามวสิ ยั เชิงเชนผเู ปน นาย มีเสียงพยัญชนะ แตกตางกันหนงึ่ เสียง อาจเปน เสียงสระ พยัญชนะ หรือเสียงวรรณยกุ ต ตวั อยางเชน ตน 7 หนว ยเสยี ง ไดแก /ต/ /ว/ /ส/ /ช/ /ผ/ /ป/ /น/ ในขณะทขี่ อ อืน่ เสยี ง ในภาษาไทยเปรียบเทยี บคําวา เสอื กบั เสอ้ื เปน คาํ ทีม่ คี วามหมายในภาษาและมี พยัญชนะตน 6 เสยี ง เสียงท่ีแตกตา งกัน คือ เสยี งวรรณยุกต เสยี งวรรณยกุ ตท ปี่ รากฏดังกลา วจึงเปน หนว ยเสยี งในภาษา หรอื ในภาษาอังกฤษ “k” ในคาํ วา kit และ skill ออกเสียงตา งกนั แตผพู ดู ภาษาองั กฤษถอื วาเปน เสียงเดียวกัน ดงั นนั้ “k” ในคําทง้ั สองจงึ ถือเปน หนวยเสียงเดียวกนั ในรูป /k/ กรณีเสยี งพูดตา งกนั แตใชห นวยเสยี งเดียวกันนี้ เรียกวา เสียงยอย (allophone) ดังนน้ั จึงถอื วา หนวยเสียงเปน ตัวแสดงคําตา งๆ 136 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ฉันไปเที่ยว 1. นักเรยี นกลมุ ท่ี 3 นําเสนอเรอ่ื งการเปลย่ี นแปลง ฉันไปเท่ียวกับแม่ ของภาษา ดวยการรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ฉนั ไปเที่ยวหวั หินกบั แม่ • นกั เรียนคิดวา การเปลี่ยนแปลงของภาษา ฉนั ไปเที่ยวหวั หนิ กบั แมแ่ ละนอ้ งๆ เกดิ จากสาเหตใุ ดเปน สาํ คญั ฉันไปเท่ียวหวั หนิ กับแม่และนอ้ งๆ เมอื่ ปดิ เทอมคราวทีแ่ ลว้ (แนวตอบ เกดิ จากการใชภ าษาเพ่ือการสือ่ สาร ในชีวติ ประจําวัน ยอมมคี วามเปลยี่ นแปลง ฉ นั ไปเทย่ี วหัวหนิ กบั แมแ่ ละนอ้ งๆ เมือ่ ปดิ เทอมคราวที่แลว้ สว่ นพอ่ อย่เู ฝ้าบา้ น จากสาเหตุและปจจัยตางๆ เชน การ เพราะตอ้ งเลี้ยงสุนขั อีก ๕ ตัว เปลีย่ นแปลงของสงิ่ แวดลอม การเลกิ ใช สิง่ เกาและรับสิง่ ใหมๆ มาใช เปนตน) การแตง่ ประโยคให้ยาวข้ึนสามารถท�าได้โดยการเตมิ คา� ทเี่ ปน็ ส่วนขยำย ไวห้ ลงั ค�าที่ • นักเรยี นคดิ วา การเปลย่ี นแปลงทางภาษา ต้องการขยาย ต่างจากภาษาอ่ืนโดยเฉพาะภาษาอังกฤษซ่ึงจะน�าส่วนขยายมาไว้ข้างหน้าค�าท่ี สงผลดีหรือไม อยางไร ตอ้ งการขยาย สว่ นภาษาไทยมกี ารเตมิ สว่ นขยาย ดงั น้ี เชน่ ขยายคา� วา่ “เทยี่ ว” ดว้ ยคา� วา่ “กบั แม”่ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ “หวั หนิ ” และ “เมอ่ื ปดิ เทอมคราวทแี่ ลว้ ” นอกจากนยี้ งั ขยายประโยคใหย้ าวขน้ึ ดว้ ยการเตมิ ประโยค เหน็ ไดอยางกวางขวาง เปนตน วา ความ “สว่ นพอ่ อยเู่ ฝา้ บา้ น” และ “เพราะตอ้ งเลย้ี งสนุ ขั อกี ๕ ตวั ” ทา� ใหป้ ระโยคสดุ ทา้ ยเปน็ ประโยคความรวม เปล่ียนแปลงทางภาษายอมข้ึนอยกู บั การใช ภาษา การตกลงรว มกันของคนในสังคม ผสู้ อื่ สารอาจนา� ประโยคตา่ งๆ มาเรยี งกนั ใหไ้ ดค้ วามหมายหลกั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หนว่ ยท่ี รวมถึงการยอมรบั ของคนในสังคมดว ย ท้ังน้ี เกิดจากการรวมกันของประโยคในลกั ษณะดงั กล่าว คอื ย่อหน้ำ หรอื มหรรถสญั ญำ โดยมกั น�า ความเปล่ียนแปลงตางๆ ยอ มเกิดจาก ประโยคท่ียาวไม่มากมาเรียงกันเป็นย่อหน้า มากกว่าจะแต่งประโยคให้ยาวมากๆ เพราะประโยค ปจจยั ทางสังคมและวฒั นธรรมในดา นตางๆ ย่ิงซบั ซอ้ นกย็ ่งิ เขา้ ใจยาก ทา� ใหว้ เิ คราะห์ความหมายยากไปด้วย นักเรียนจงึ สามารถตอบไดห ลายแนวทาง) ๓) ภ�ษ�มีก�รเปลี่ยนแปลง ภาษาท่ีไม่มีการน�ามาใช้ในชีวิตประจ�าวันแล้ว เรียกว่า • ภาษามกี ารเปล่ยี นแปลงในลักษณะใดบา ง ภำษำตำย ภาษาท่ีตายแล้วจะไม่มีการเปล่ียนแปลงอีก เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษา อยางไร ละติน การศึกษาภาษาเหล่านี้ก็เพื่อหาความรู้ในส่วนท่ีเก่ียวข้อง หรือเพ่ือรู้เร่ืองราวที่เขียนด้วย (แนวตอบ ประกอบดวยกระบวนการ ภาษาน้ันๆ เท่าน้ัน เช่น ศึกษาภาษาบาลีเพื่อน�าไปอ่านบทสวดมนต์ หรือศึกษาภาษาสันสกฤต เปลย่ี นแปลงทมี่ คี วามสําคญั ใน 3 ลักษณะ เพอื่ ให้รคู้ วามหมายของคา� ศัพท์ เปน็ ตน้ มิใชศ่ ึกษาเพื่อการส่ือสารในชวี ติ ประจ�าวนั ส่วนภาษาท่ี ดังน้ี ยังใช้อยู่ย่อมมีการเปล่ียนแปลง บางค�าอาจเปล่ียนแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกต บางค�า 1. การเปล่ียนแปลงอันเกิดจาก อาจเปลี่ยนไปโดยสน้ิ เชิง ธรรมชาตขิ องการออกเสยี ง 2. การเปลย่ี นแปลงทางภาษาที่เกิดจากการ ๓.๑) กำรเปลี่ยนแปลงอันเกิดจำกธรรมชำติของกำรออกเสียง เป็นลักษณะทางเสียง รับอทิ ธพิ ลจากภายนอก ที่เกดิ เหมอื นๆ กนั ทุกภาษา เปน็ การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขน้ึ ในชีวิตประจา� วัน ได้แก่ 3. การเปลย่ี นแปลงอนั เกดิ จากปจ จยั ดาน สงิ่ แวดลอ ม) การกลนื เสียง อย่างน้นั ➝ ยังงนั้ การกลายเสยี ง สะพาน ➝ ตะพาน 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด การตดั เสยี ง อุโบสถ ➝ โบสถ์ การกรอ่ นเสียง ลูกอ่อน ➝ ละอ่อน การสับเสยี ง ก ➝ ต ในภาษาถิน่ อีสาน เช่น ตะกรดุ ➝ กะตุด 137 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรยี นสํารวจคําทบั ศัพทภ าษาตางประเทศทีน่ าํ มาใชในภาษาไทย ครูผสู อนควรเพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกี่ยวกับสาเหตใุ นการเปลยี่ นแปลง ในหมวดตา งๆ เชน อาหาร ขา วของเคร่ืองใช อุปกรณไฟฟา และนาํ มา ของภาษาวา ภาษาทกุ ภาษาทย่ี ังใชส ่อื สารกันเปน ปกติในชีวิตประจาํ วนั มีการ วเิ คราะหวา พบภาษาใดมากทีส่ ุด นําความรทู ไ่ี ดไปจัดเปนปายนเิ ทศหรอื เปลย่ี นแปลงเปนเรือ่ งธรรมดา การเปลี่ยนแปลงน้นั อาจเกดิ ขึ้นกับเสียงบางเสียง จัดทําส่อื ประเภทตา งๆ เชน บัตรความรู แผนพบั เปน ตน ความหมายของคําบางคํา รปู ประโยคบางประโยค บางคาํ อาจเลกิ ใช มีคําใหมแ ละ รูปประโยคแบบใหมเกดิ ขึ้น โดยครูผสู อนสามารถเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจจากการ กจิ กรรมทา ทาย ยกตวั อยาง จากคาํ บางคาํ ในปจ จุบันที่มีการออกเสยี งแตกตา งจากคาํ ในสมัยกอน ดังตอ ไปนี้ นกั เรียนรวบรวมคาํ ทบั ศัพทภ าษาตา งประเทศแลวนาํ มาจัดเปนหมวดหมู เปรยี บเทียบคําทบั ศัพทก บั คําศัพทบญั ญตั ขิ องราชบัณฑิตยสถาน นาํ ขอมลู 1. คําบางคําอาจออกเสยี งแตกตา งไปจากเดิม ตัวอยางเชน ทไ่ี ดไ ปจดั เปนปา ยนเิ ทศเผยแพรความรู เสยี งพยญั ชนะ “บ” ตวั อยางเชน บางครงั้ บางที แตก อ นจะออกเสยี งเปน ลางครัง้ ลางที 2. คําบางคาํ อาจมีความหมายตา งจากความหมายเดมิ ตัวอยางเชน คําวา จริต ความหมายเดมิ คอื พน้ื ฐานกิรยิ าอาการหรือความประพฤติ แตใน ปจ จบุ นั มคี วามหมายในทางไมด ี คมู่ ือครู 137

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ดังตอ ไปน้ี • การเปลี่ยนแปลงอนั เกิดจากธรรมชาติของ ท้ังนี้ความหมายอาจคงเดิม หรือความหมายอาจต่างไปจากเดิมก็ได้ นอกจากน้ี ยังมี การเปล่ียนแปลงของภาษาที่เกิดจากการเลียนภาษาของเด็ก เช่น การที่เด็กออกเสียงไม่ตรงกับ การออกเสียงสงผลใหภ าษามลี ักษณะการ ผู้ใหญ่ หรือเข้าใจความหมายของค�าไม่ตรงกับผู้ใหญ่ จัดเป็นการเปล่ียนแปลงทางภาษา เปลย่ี นแปลงอยางไร (แนวตอบ เปน การเปล่ยี นแปลงทางเสยี งทเ่ี กดิ ในลักษณะทีเ่ กิดข้นึ โดยธรรมชาตดิ ้วย ๓.๒) การเปลี่ยนแปลงท่เี กิดจากอทิ ธิพลภายนอก มลี กั ษณะ ดังนี้ เหมือนกันในทกุ ภาษา ไดแ ก การกลืนเสยี ง ๑. การยืมค�า หรือลักษณะการใช้ถ้อยค�า แล้วมิได้ดัดแปลงให้เป็นลักษณะ การกลายเสยี ง การตดั เสยี ง การกรอนเสยี ง การสบั เสยี ง รวมถงึ การเปลีย่ นแปลงที่เกิด ของตนโดยส้ินเชิง จึงมีอิทธิพลท�าให้ภาษาของตนเปล่ียนแปลงไป อาจมีเสียงเพ่ิมข้ึนหรือเสียง แปลกขึ้น เชน่ ภาษาไทยไมม่ เี สยี ง ล /l/ สะกด มีแต่ น /n/ สะกด เมอื่ รับคา� ว่า ฟุตบอล มาใช้ก็มี จากการเลียนภาษาเดก็ ท้ังน้ี ความหมาย ผอู้ อกเสยี ง ล /l/ สะกดในคา� น ี้ ซงึ่ การยมื คา� จากภาษาหนงึ่ เขา้ ไปใชใ้ นอกี ภาษาหนงึ่ ทา� ได ้ ๓ ลกั ษณะ ยงั คงเดิมหรืออาจเปลย่ี นไปจากเดิมกไ็ ด) • การเปล่ียนแปลงทางภาษาทเี่ กิดจากการรับ ดังตอ่ ไปน้ ี อิทธพิ ลจากภายนอกสง ผลใหภ าษามีลกั ษณะ การเปลี่ยนแปลงอยางไร การทบั ศพั ท์ เปน็ วิธกี ารยืมค�าจากภาษาหนึง่ เข้าไปใชใ้ นอีกภาษาหนง่ึ โดยตรง ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง รูป เชน่ (แนวตอบ การยืมคําภาษาตางประเทศแลว มี เทนนสิ = tennis ตั้งไฉ่ กวี ี = kiwi เตา้ เจ้ียว การดดั แปลงใหเขากับภาษาของตน รวมถึง เทอม = term ซอี วิ๊ การใชคําและสํานวนที่ตางไปจากเดมิ ) เมล = mail ทักษณิ • ปจจัยดา นสงิ่ แวดลอมสงผลใหภ าษามี เครดิต = credit วญิ ญาณ การแปลศพั ทค์ า� ยมื เป็นการยืมความหมายของอีกภาษาหนงึ่ มาใช้โดยแปลความหมายของศพั ท์ ลักษณะการเปล่ยี นแปลงอยา งไร ชนดิ ค�าต่อคา� เชน่ (แนวตอบ การเกดิ วิทยาการใหมๆ หรือ black sheep แปลเป็น แกะดา� รูปแบบวิถีชีวติ ท่ีเปล่ียนแปลง สงผลตอการ weekend แปลเปน็ วันสดุ สปั ดาห์ เปลยี่ นแปลงดา นเสยี ง ความหมาย รวมถึง standpoint แปลเปน็ จุดยนื การสรางคําใหมจ ากคาํ เดมิ ทีส่ งผลให การยมื ความหมาย เปน็ วธิ กี ารยืมความหมายซ่งึ เดิมไมม่ ีใช้ในภาษาเขา้ มาใช้ และสร้างค�าข้นึ มาใหม่ ความหมายและหนาทข่ี องคาํ เปลยี่ นแปลงไป เพอ่ื ใชก้ บั ความหมายที่ยืมมา เช่น จากเดมิ ) กิจกรรม ยืมความหมายมาจากค�าวา่ activity 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด วฒั นธรรม ยืมความหมายมาจากค�าว่า culture รายงาน ยมื ความหมายมาจากค�าวา่ report ขยายความเขา้ ใจ Expand ทดสอบ ยมื ความหมายมาจากคา� วา่ test สัมมนา ยืมความหมายมาจากค�าว่า seminar 1. นักเรียนยกตัวอยา งเสยี งหรือคาํ ท่แี สดงความ เปล่ยี นแปลงของภาษา ไดแก การเปลย่ี นแปลง ๒. การใช้ค�าและส�านวนต่างไปจากเดิม เช่น การน�าค�าภาษาต่างประเทศมาใช ้ อันเกิดจากธรรมชาติในการออกเสียง ดังต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ จากอทิ ธพิ ลภายนอก 138 การเปลีย่ นแปลงของสิง่ แวดลอ ม 2. ครสู มุ นกั เรยี น 5 - 6 คน นาํ เสนอหนาชั้นเรียน บรู ณาการเชอ่ื มสาระ เกร็ดแนะครู ครสู ามารถนําเนื้อหาเรอ่ื ง การเปลยี่ นแปลงทางภาษา บูรณาการเชอื่ มโยง ครูควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับสาเหตกุ ารเปลย่ี นแปลงของภาษา กับกลมุ สาระการเรียนรู ภาษาตางประเทศ รายวชิ าภาษาอังกฤษ หรอื ภาษา นอกจากจะเปน การเพ่มิ เตมิ ความรูความเขาใจแลว ยงั ชว ยใหน ักเรยี นเรียนรูในการ ตางประเทศอื่นๆ ทภ่ี าษาไทยไดร บั อทิ ธพิ ลทางภาษา ครสู ามารถบรู ณาการ ตัง้ ขอสงั เกตเก่ียวกับการเปล่ยี นแปลงทางภาษาไดอีกดวย โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี เน้ือหาเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลงทางภาษาท่ีเกดิ จากการรบั อทิ ธิพลภายนอก ไมว า จะเปน การยมื คํา หรือลักษณะการใชถ อ ยคํา และการดัดแปลงถอ ยคํา 1. การพดู ในชีวิตประจาํ วนั ตัวอยา งเชน อยา งนี้ กลมกลนื เสียงเปน อยางงี้ การใชสาํ นวนภาษาใหม ลี กั ษณะสอดคลองกับเสียงในภาษาไทย เพื่อให 2. อทิ ธพิ ลของภาษาอ่นื ตัวอยา งเชน คลนิ กิ เทป เปน ตน รูปแบบประโยคท่ี นกั เรยี นสามารถเปรียบเทียบความเปลย่ี นแปลงดานเสยี งของคาํ ศพั ทภ าษา ตา งประเทศที่รบั มาใชใ นภาษาไทยได โดยเปรยี บเทียบใหเหน็ ความแตกตา ง เพิ่มขึน้ อาทิ เมอ่ื ไปถึงที่น่นั ขาพเจา ไดรบั การตอ นรับอยางอบอุน ดานการออกเสยี งท่มี ีความสอดคลองหรอื แตกตา งจากการออกเสียงใน 3. ความเปล่ียนแปลงของส่งิ แวดลอม ตัวอยางเชน คอมพิวเตอร เอทีเอม็ ภาษาไทย นอกจากนักเรยี นจะไดร ับความรูเกย่ี วกบั ภาษาตา งประเทศแลว 4. การเลียนภาษาของเด็ก อาจใชค าํ ความหมายหรือออกเสียงไมตรงกบั ผูใ หญ ยงั ชว ยใหนักเรยี นสามารถพิจารณาลกั ษณะของเสยี งในภาษาไทยไดช ดั เจน ยิง่ ขึน้ และเมอ่ื เด็กโตขึน้ ก็จะยงั คงใชภาษาลกั ษณะนน้ั ตอ ไปได เชน คาํ วา หนู เสียงของคําทเี่ พ้ยี นไป เน่ืองจากออกเสยี งไมชดั ตัวอยางเชน ไอติม หมํ่า หนม เปน ตน 138 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ภาษา คา� ความหมาย 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 4 นาํ เสนอเรอื่ ง ลักษณะรว ม ภาษาเขมร ดู และลกั ษณะเฉพาะของภาษา ดวยการรวมกนั ภาษาเปอรเ์ ซีย เมลิ ผ้าแถบ ผ้าห่มผ้หู ญงิ ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ บอก • นกั เรยี นคิดวา ภาษาไทยมีลกั ษณะรว มกบั ภาษาอาหรบั สไบ มีรอยดุน ภาษาอืน่ ๆ ในดานใดบาง อยา งไร ภาษาโปรตุเกส องนุ่ แหง้ (แนวตอบ ลักษณะทค่ี ลายคลงึ กันระหวาง ภาษาญ่ีป่นุ ทลู น้�ามนั หล่อลืน่ ภาษาไทยกบั ภาษาอืน่ ๆ มีดังน้ี 1. ภาษาใช หมูค่ นเดินทาง เสยี งสื่อความหมาย 2. มกี ารสรา งศัพทขึน้ ตรา สแี ดง ดอกไม้ ใหมจากศพั ทเ ดมิ เชน การประสมคํา 3. มี การเชอ่ื มโลหะ การใชส ํานวน และการใชคําในความหมาย นนู , เกด พวกลกู เรือ ใหม 4. มีคําชนิดตา งๆ คลา ยกัน เชน คาํ เครอ่ื งเงิน นาม คํากริยา คาํ ขยาย เปน ตน 5. มีวิธีการ จาระบี ผู้ชายท่ีถกู ตอน ขยายประโยคใหย าวออกไปเรอื่ ยๆ 6. มวี ธิ ี ขายลดราคา การสอ่ื เจตนาคลา ยกัน และ 7. ภาษามีการ คกุหารลาาวบา1น การลงรกั แบบญปี่ ุ่น เปล่ียนแปลงตามกาลเวลา) • นกั เรยี นคดิ วา ภาษาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือลักษณะที่แตกตางจากภาษาอนื่ ในดาน บดั กรี ใดบาง อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะทแ่ี ตกตา งกนั ระหวา ง กะลาสี ภาษาไทยกบั ภาษาอนื่ ๆ มดี งั น้ี 1. ภาษาไทย มเี สยี งวรรณยกุ ตภ าษาอนื่ ไมม ี 2. ภาษาไทย กขันะไทหี ล2่ ถาเรียงคาํ สลบั ทกี่ ันความหมายกจ็ ะ เปลีย่ นแปลง 3. ภาษาไทยมีการใชค าํ ลักษณนาม) เลหลงั 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด กา� มะลอ ๓.๓) การเปลี่ยนแปลงของส่ิงแวดล้อม เชน่ การเลิกสิ่งเกา่ รับสิง่ ใหม่ การรบั ความคดิ ขยายความเขา้ ใจ Expand หรอื กระบวนการใหมๆ่ การสรา้ งสงิ่ ใหมๆ่ เชน่ ขา้ วของเครอ่ื งใช้ กท็ า� ใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงขน้ึ ในภาษา เพราะตอ้ งสรรคา� มาใชเ้ รียกสิ่งใหมๆ่ เชน่ คอมพวิ เตอร์ บุฟเฟต่ ์ จนคา� เดิมอาจสูญไป 1. นักเรียนยกตัวอยา งเสียงหรือคาํ ท่แี สดง หรืออาจจะใช้สื่อความไม่ได้กับผู้ใช้ภาษาที่ต่างรุ่นกันมากๆ เช่น ถ้าพูดว่าแต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าด ลักษณะรว มและลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย คนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้น เพราะปัจจุบันไม่ได้ใช้ค�าน้ีแล้ว แต่จะพูดว่าแต่งตัวดูหรู ดูไฮ (โซ) ท้ังท่ี กับภาษาอ่ืนๆ ความหมายเดียวกัน แตด่ ว้ ยยุคสมัยท่ีเปลี่ยนไปทา� ให้มีค�าใหม่ๆ มาใช้เรยี กแทน 2. ครูสมุ นกั เรยี น 5 - 6 คน นําเสนอหนาชัน้ เรยี น การเปลี่ยนแปลงอีกประการหน่ึงท่ีต้องมีอยู่ทุกภาษา คือ การสร้างค�าใหม่จากค�าเดิม จากนัน้ นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากศัพท์เดิม หรือน�าศัพท์อื่นมาประสมกับศัพท์เดิม เช่น ภาษาไทย มีการประสมค�า ซ้�าค�า ซ้อนค�า เพื่อสร้างค�าใหม่ การน�าค�าเดิมท่ีมีอยู่มาสร้างค�าใหม่น้ี ท�าให้ ภาษาไทยมีค�าหลากหลายมากขึ้น และค�าเหล่านี้จะช่วยให้ส่ิงใหม่ท่ีเกิดขึ้นมีชื่อเรียกที่เป็นท่ีรู้จัก และยอมรบั รว่ มกนั ในสงั คม การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ สง่ิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ภาษานนั้ ๆ เปน็ ภาษา ทยี่ งั ไม่ตาย ยังคงมกี ารปรบั เปล่ยี นตามบรบิ ททางสังคม 139 บูรณาการเชอื่ มสาระ นักเรยี นควรรู ครูสามารถนําเนอ้ื หาเรื่อง การเปล่ยี นแปลงทางภาษา บูรณาการเชอ่ื มโยง 1 กหุ ลาบ เปนดอกไมทขี่ น้ึ ชื่อวา เปน ราชินีดอกไม พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา กบั กลมุ สาระการเรยี นรู ภาษาตา งประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษ หรือภาษา เจา อยูหวั ทรงพระราชนพิ นธบทละครพดู คําฉนั ทเ รือ่ ง “มทั นะพาธา” ขึ้น เพื่อใหเ ปน ตา งประเทศอืน่ ๆ เนอ้ื หาเกี่ยวกบั การรบั อทิ ธพิ ลทางภาษาจากภาษา ตาํ นานดอกกุหลาบของไทย ตางประเทศมาใชในภาษาไทย โดยนักเรียนสามารถนาํ ความรเู กี่ยวกบั คาํ ศัพท 2 ขันที สนั นิษฐานวาเกิดข้นึ คร้ังแรกทเ่ี มืองละกาสช ของชาวสเุ มเรียน แหง ภาษาองั กฤษทพ่ี บใชในชีวติ ประจาํ วันมาใชใ นการยกตัวอยางเปรียบเทียบ อาณาจกั รเมโสโปเตเมีย ขนั ทีแบงเปน 2 ประเภท คอื รวมถงึ วิเคราะหลกั ษณะการใชภ าษาได นอกจากนกั เรียนจะไดร ับความรู ความเขา ใจดานคําศพั ทแลว นกั เรยี นยงั สามารถพิจารณาเปรียบเทยี บ 1. ถกู ตอนโดยตดั แคป ลายองคชาติ ทาํ งานเขตพระราชฐานชน้ั นอก ความหมายของคํากับความหมายจากการบัญญัตศิ ัพทภ าษาตางประเทศ 2. ถกู ตอนโดยตัดทิง้ ทง้ั พวง ทํางานเขตพระราชฐานชน้ั ใน ที่ใชใ นภาษาไทยของราชบณั ฑิตยสถานได คูม่ ือครู 139

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นกลุมที่ 4 นาํ เสนอเรอ่ื ง ระเบียบ ธรรมชาติประการหนึ่งของภาษา คือ การเปล่ียนแปลงโดยมีลักษณะการเปลี่ยนแปลง แบบแผนของภาษา ดวยการรวมกนั ตอบคาํ ถาม ทางด้านเสียง ด้านความหมาย ตลอดจนการสร้างค�า ส�านวนจากศัพท์ค�าเดิมท�าให้ค�าศัพท์น้ันๆ ตอไปน้ี เปล่ียนแปลงความหมายและหน้าท่ีไป ดังน้ัน ผู้ใช้ภาษาจึงควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา • นกั เรยี นคิดวา ระเบยี บแบบแผนทางภาษาคือ เพอ่ื ใหใ้ ช้ภาษาสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ อะไร ๔) ภ�ษ�ต�่ งๆ มลี กั ษณะทตี่ �่ งและคล�้ ยกัน แมว้ ่าภาษาจะมลี ักษณะท่ีต่างกันอยู่บ้าง (แนวตอบ องคประกอบตางๆ ทนี่ ํามาประกอบ แตภ่ าษาก็มีลักษณะทค่ี ล้ายคลึงกนั หลายประการ ดงั น้ี กนั อยา งเปน ระบบ สามารถส่อื ความหมายให เขาใจรวมกนั ไดอ ยา งสมบรู ณ) ๔.๑) ภำษำแต่ละภำษำใช้เสียงส่ือควำมหมำย โดยเสียงท่ีใช้ส่ือความหมายในทุก • นักเรียนคดิ วา หากภาษาไมม ีระเบยี บ ภาษาอย่างน้อยต้องประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นและหน่วยเสียงสระ ซ่ึงบางภาษาอาจมี แบบแผนจะเรียกวา ภาษาหรือไม และความ หนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ประกอบด้วย ไมม รี ะเบียบแบบแผนดงั กลาวจะสง ผลตอ การสื่อสารอยางไร ๔.๒) ภำษำแต่ละภำษำสำมำรถสร้ำงศัพท์ใหม่จำกศัพท์เดิม โดยอาจจะเปล่ียนแปลง (แนวตอบ หากสามารถสือ่ สารได เรยี กวา ศัพทเ์ ดิมหรือน�าศัพทอ์ ืน่ มาประสมกบั ศพั ท์เดิม เช่น ภาษาไทยมกี ารสรา้ งค�าด้วยวธิ ี ภาษา ถา ไมม ีระเบยี บแบบแผนจะสง ผล ตอการสื่อสารทไ่ี มสัมฤทธผิ ล) ● การประสมค�า เช่น รถไฟ น้�าปลา เตารีด ชาวบ้าน ● การซ้อนค�า เชน่ ดูแล ขนุ่ มัว ซ้ือขาย สงู ต่�า 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ● การซ้�าค�า เช่น หลบั ๆ ตื่นๆ ส่วนภาษาองั กฤษมีการเติม Prefix หรอื ค�าอปุ สรรคเติมหนา้ คา� ทา� ใหค้ า� ค�านั้น ขยายความเขา้ ใจ Expand มีความหมายผิดไปจากเดิม เช่น un- (ไม่) ใช้เติมหน้าค�าคุณศัพท์ หรือค�ากริยาวิเศษณ์ ท�าให้ มีความหมายตรงกันข้าม เช่น Suitable แปลว่า เหมาะสม เม่ือเติม un- เป็น Unsuitable นกั เรยี นรว มกันอภปิ รายในประเด็นทว่ี า นกั เรยี น แปลว่า ไม่เหมาะสม ส่วน Suffix หรือค�าปัจจัยเติมท้ายค�า เช่น -Ness เมื่อเติมหลังค�าว่า คิดวา หากนักเรยี นมีความเขา ใจเกีย่ วกบั ลกั ษณะ kind (ใจดี ใจกว้าง) เป็น kindness แปลว่า ความใจดี ในรูปประโยคว่า We’ ll never forget your ทั่วไปทางภาษา นกั เรียนจะสามารถนําองคความรู kindness. เป็นตน้ ดงั กลาวไปปรับใชใหเกิดประโยชนต อ ตวั นกั เรียนได ๔.๓) ภำษำแตล่ ะภำษำมีสำ� นวน และมกี ำรใชค้ �ำในควำมหมำยใหม ่ เชน่ ในภาษาไทย อยางไร มีการใช้ค�าว่า “สีหน้า” ซ่ึงไม่ได้หมายถึง สีของหน้า แต่หมายถึง การแสดงออกทางใบหน้า หรือภาษาอังกฤษมคี า� ว่า hot air ซ่ึงไม่ไดห้ มายความว่า อากาศร้อน ลมร้อน แตห่ มายถงึ การ (แนวตอบ ผูท ีม่ ีความเขา ใจธรรมชาตขิ องภาษา คุยโม้ การแสดงกิรยิ าอาการโออ้ วด เปน็ ตน้ ยอมสามารถใชภาษาไดดีขนึ้ ทัง้ ภาษาดัง้ เดมิ ของตน ๔.๔) ภำษำแต่ละภำษำมีค�ำชนิดต่ำงๆ คล้ำยกัน เช่น ค�านาม ค�าขยายนาม และภาษาตา งประเทศ) ค�ากริยา ค�าขยายกริยา เปน็ ต้น ๔.๕) ภำษำแตล่ ะภำษำมวี ธิ ขี ยำยประโยคใหย้ ำวออกไปไดเ้ รอ่ื ยๆ โดยการเตมิ สว่ นขยาย ตรวจสอบผล Evaluate ๔.๖) ภำษำแตล่ ะภำษำมวี ิธแี สดงควำมคดิ คลำ้ ยกนั ได้ เช่น ทุกภาษาต่างมีประโยคที่ ใช้ถาม ปฏเิ สธ หรอื ใชส้ ง่ั 1. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คญั เกีย่ วกับธรรมชาติของ ๔.๗) ภำษำแตล่ ะภำษำตอ้ งมีกำรเปล่ียนแปลงตำมกำลเวลำ ภาษา รวมถงึ ความหมายและความสําคัญและ ประเภทของภาษา พรอมปฏิบัตกิ ิจกรรมได 140 2. นกั เรยี นสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกับลักษณะทว่ั ไป กจิ กรรมสรา งเสรมิ ของภาษา พรอ มปฏิบัติกิจกรรมได บูรณาการอาเซียน ความรูค วามเขาใจดานภาษาถือวา มคี วามสําคัญยิ่ง เนือ่ งจากภาษาเปน จุด นกั เรียนศกึ ษารวบรวมคําศพั ททม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา เร่มิ ตน หรือเปน แนวทางในการสรางความสมั พนั ธด านสงั คมและวฒั นธรรมของ จากแหลงขอมลู ตางๆ อาทิ หนังสือ อินเทอรเนต็ หรอื การสมั ภาษณผใู หญ ภูมภิ าค และเปน แนวทางในการสรางความรวมมือในดา นตา งๆ ของประชาชน อาทิ คําศัพทที่เรียกชื่อภาชนะ กระบุง กระจาด หรืออปุ กรณท ี่ใชทาํ นา ในภมู ิภาคอาเซียน ทง้ั ในดานเศรษฐกจิ สังคม และวฒั นธรรม ซึง่ ทง้ั หมดลว นมี จากน้ันจัดทาํ เปนหนงั สอื เลม เล็ก จุดเรม่ิ ตนมาจากการตดิ ตอสือ่ สารใหเกิดความเขา ใจท่ีดีตอกนั เปนหลัก ฉะนั้น การเรียนรูภ าษาของประเทศตา งๆ ในภูมภิ าคอาเซียนจึงมคี วามสําคญั นอกจาก กิจกรรมทาทาย นักเรยี นจะมีความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกับภาษาอังกฤษ ซึง่ เปน ภาษาท่ีถกู กาํ หนด ใหเปน ภาษากลางในการตดิ ตอ สื่อสารแลว นกั เรียนควรเรยี นรูภาษาราชการของ นกั เรียนศกึ ษาคาํ ศพั ทท่ีเกดิ ข้ึนใหมในสังคม เปน คําศัพทวัยรุนหรอื แตล ะประเทศ เพอื่ ใหนักเรยี นสามารถสนทนาและรับรขู อมูลขาวสารของประเทศ คาํ ศพั ททนี่ ิยมใชก นั ในอนิ เทอรเนต็ จากนนั้ รวบรวมทาํ เปน หนังสือเลมเล็ก ตา งๆ ได โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การรบั ฟง ขอ มูลขา วสารจากส่ือของแตละประเทศ เปน สําคัญ ซึง่ เปนการรบั รูขอ มลู จากมมุ มองภายใน นกั เรียนสามารถประยกุ ตใ ช ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับลักษณะรวมของภาษาตางๆ เปนพ้นื ฐานในการเรยี นรู หลักภาษาของแตละประเทศ เพื่อใหนักเรยี นสามารถเรยี นรภู าษาในระดับสูงได 140 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๕) ภาษายอมมีสวนประกอบที่เปนระบบ มีระเบียบแบบแผน ภาษาตองมีระบบที่มี ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ระเบียบแบบแผน จึงสามารถใชส่ือสารกนั ใหเ ขา ใจได สว นประกอบท่สี ําคญั คือ สัญลักษณ คํา ดังตอ ไปนี้ ประโยค และความหมาย ทกุ สว นประกอบเหลา นี้ จะรวมกนั อยางเปน ระบบตามระเบยี บแบบแผน ทําใหเกิดเปนภาษาที่สมบูรณ ถาขาดสวนประกอบใดก็จะไมเปนภาษา เชน ตองนําสัญลักษณ • หากมคี นพดู จาหยาบคายหรือพดู จา มาประกอบกันเปนคํา จึงจะเกิดความหมาย การนําคํามาประกอบเปนประโยคก็ตองเรียบเรียง ไมเหมาะสมกบั นักเรียน นักเรยี นจะเกดิ ตามระเบยี บแบบแผนของภาษา ความรสู กึ ตอ บคุ คลนน้ั อยา งไร นกั เรยี นจะมี วธิ กี ารโตต อบอยา งไร และเหตใุ ดจงึ เปน เชน นน้ั ๒. พลังของภาษา สา� รวจคน้ หา Explore ภาษาเปนเคร่ืองมือสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย มนุษยจึงสามารถเรียนรูภาษา เพื่อการดํารงชวี ติ และพัฒนาภาษาของตนเองได นักเรียนสบื คนขอมูลเก่ียวกบั พลงั ของภาษา ภาษาชว ยใหม นษุ ยร จู กั คดิ โดยแสดงออกผา นทางการพดู การเขยี น และการกระทาํ ซง่ึ เปน ผลจากการคดิ ถา ไมม ภี าษามนุษยจะคิดไมไ ด ถา มนุษยม ีภาษานอ ย มีคําศัพทน อยความคิดของ มนษุ ยย อ มแคบไมก วา งไกล ผทู ่ีใชภ าษาไดด จี ะมคี วามคดิ ดดี ว ย สง ผลใหก ารเรยี นรใู นสงิ่ ตา งๆดขี น้ึ ตาม ไปดว ย เชน ผทู รี่ ภู าษาไทยดี มที กั ษะในการอา นดี เมอื่ อา นแลว สามารถจบั ใจความและสรปุ ความได ยอ มสง ผลใหอ านสาระวิชาความรูใ นแขนงตา งๆ ไดอยางเขาใจ ดังนัน้ ผทู จ่ี ะเรียนวชิ าใดๆ ใหไดด ี ควรจะมีทกั ษะทางภาษาไทยอยา งดเี สียกอน เพื่อเปนพน้ื ฐานในการแสวงหาความรตู อ ไป ▼ การอา นหนงั สอื ที่ชอบชว ยใหเกิดความผอ นคลายและเพลิดเพลินไปกบั สาระตางๆท่ีไดรบั ๑๔๑ ลักษณะคําในขอใดมกี ารกลายเสยี ง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู 1. อยางนี้ - ยงั ง้ี 2. สะดอื - สายดือ ครคู วรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกบั พลังของภาษาซ่งึ เปนความสัมพนั ธ 3. หมากพราว - มะพราว ระหวางภาษากบั วัฒนธรรมในการใชภ าษา เนือ่ งจากภาษามีบทบาทสาํ คัญในการ 4. ตะกรดุ - กะตุด กาํ หนดวิธีคิด ขณะเดียวกนั วิธีคิดของผูใชภาษาก็กําหนดวิธกี ารใชภาษาดว ย ฉะน้ัน ความคดิ กับภาษาจึงมีความสมั พันธกนั ความสัมพันธร ะหวางความคิดกับการใช วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สะดอื - สายดอื มีการกลายเสยี งจากสระอะ ภาษาสามารถสรุปเปน หวั ขอ ใหงายตอ การทําความเขาใจของนกั เรยี นได ดงั ตอไปนี้ 1. ภาษาชวยใหค นรูจกั คดิ แลวแสดงออกมาดวยการพูด การเขยี น และ เสียงสนั้ เปน สระอาเสียงยาว ขออน่ื มีการเปลี่ยนแปลงการออกเสยี ง ดังนี้ การกระทาํ 2. ภาษาชว ยใหม นษุ ยพ ฒั นาความคดิ ชว ยธาํ รงสงั คมใหม นษุ ยอ ยรู ว มกนั ขอ 1. อยา งน้ี - ยงั ง้ี มีการกรอ นเสียง ขอ 3. หมากพราว - มะพรา ว มีการ อยางสันติ 3. ภาษาชว ยใหมนษุ ยเกิดการพัฒนา โดยใชภาษาในการแลกเปลยี่ น กรอ นเสียงเชน กนั และขอ 4. ตะกรุด - กะตุด มีการสบั เสยี ง (ภาษาถ่ินอีสาน) ความคดิ เห็น การอภิปรายโตแ ยง เพือ่ นําไปสูผลสรปุ ที่นํามาพฒั นาตนเองและ สังคม 4. ภาษาชวยใหมนษุ ยเ กดิ การเรียนรู 5. ภาษามีพลงั เพราะภาษาประกอบ ดวยเสยี งและความหมาย การใชถ อ ยคําทาํ ใหเกดิ ความรูสกึ ตอผูร บั สาร ความเขา ใจ ความสมั พนั ธร ะหวา งภาษาและวัฒนธรรม ยอ มชว ยใหน ักเรียนสามารถนาํ ความรไู ป ประยกุ ตใ ชไ ดอ ยา งเหมาะสม สอดคลอ งกบั คาํ กลาวทวี่ า การสอ่ื สารผา นภาษา ไมเ พยี งเปนการใชภ าษาใหถ ูกหลักเทาน้นั แตใชใ หสอดคลอ งกับวฒั นธรรม คมู่ ือครู 141


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook