กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกันแสดงความคิดเห็น ๓) การเขียนอธิบายประเภทความรู้หรือวิชาการ ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในเร่ืองนั้น ดังตอ ไปน้ี อยา่ งแท้จรงิ อาจเปน็ ความรู้ที่ได้จากหลักฐานและการค้นควา้ หรอื การท่ีได้ยนิ ได้ฟังมาจากแหล่ง • นักเรียนคดิ วา การเขียนอธิบายประเภท ที่เช่ือถือได้ การเขียนจะต้องใช้ความชัดเจน ความง่าย และความถูกต้องของภาษา ซ่ึงจะท�าให้ ความรูห รอื วชิ าการมีจุดมุงหมายในการ ผูอ้ า่ นอา่ นแล้วไดค้ วามรู้และความเขา้ ใจเปน็ อย่างดี เชน่ พระบรมราชาธิบาย พระราชนิพนธ์ใน สือ่ สารอยา งไร รวัชันกเสาาลรท ์ ่ี เด๕ือ นว ่า๕ด ้วแยรธมร ร๑ม๐เ นคียา�่ ม ปราขี ชาตลร ะสกมั ูลฤใทนธกิศรกุง1 สจยลุ าศมกั รซาึ่งช2พ ๑ร๒ะอ๔ง๐ค ์ทตรรงงพกบัระวรันาทช่ี น๒ิพ๗น ธเม์ขษึ้นาเมยนื่อ (แนวตอบ มจี ุดมงุ หมายในการสอ่ื สารสาระ พ.ศ. ๒๔๒๑ เนือ้ ความมีดังน้ี ความรจู ากการศกึ ษาคน ควา ขอมูลและ หลักฐานตางๆ) ธรรมเนยี มราชตระกลู ในกรงุ สยามน ้ี แตกตา่ งจากเมอื งลาว กลา่ วคอื ราชตระกลู ของสยาม • นักเรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายประเภท มหี ลายชน้ั ส่วนของลาว เช่น เชยี งใหม่ หลวงพระบาง ไม่ได้นบั เปน็ ช้นั ถา้ มเี ชื้อสายในราชตระกูล ความรูหรือวชิ าการมลี ักษณะการใชภ าษา ก็เรียกว่าเจ้าทั้งสิ้น ธรรมเนียมราชตระกูลสยามในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ตั้งแต่จุลศักราช อยางไร ๗๑๒ ป ี จนถงึ รชั กาลท ี่ ๕ ธรรมเนยี มที่เรียกชือ่ เสียงยศศกั ด์ิก็ไดเ้ ปลีย่ นแปลงไปหลายครง้ั (แนวตอบ ใชภ าษาทีม่ คี วามชดั เจน เขา ใจงาย ตำาแหน่งยศเจ้านายในพระราชกำาหนดกฎมณเฑียรบาล ซ่ึงตั้งข้ึนในสมัยสมเด็จ และถกู ตอ งตามหลกั การใชภาษา) พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ ในจุลศกั ราช ๗๒๐ ป ี แบ่งเจ้าออกเป็น ๔ ชน้ั • นกั เรียนคิดวา ผทู ่สี ามารถเขียนอธบิ าย ๑. ชนั้ ท ี่ ๑ พระเจ้าลกู เธอเกิดดว้ ยพระอคั รมเหสี เรยี กวา่ สมเดจ็ หน่อพทุ ธเจา้ มียศ ประเภทความรูหรอื วิชาการไดด ีควรมี ใหญ่กว่าเจ้านายท้งั ปวง ตอ้ งอยใู่ นเมอื งหลวง คณุ สมบตั ิอยางไร ๒. ชน้ั ท่ ี ๒ เรยี กวา่ ลกู หลวงเอก เปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าแผน่ ดิน แต่พระมารดา (แนวตอบ คุณสมบัตขิ องผทู สี่ ามารถเขียน ตอ้ งเปน็ พระธดิ าของพระเจา้ แผ่นดินเหมือนกัน จึงเรียกวา่ เปน็ ลูกหลวงเอก พระเจา้ ลกู เธอช้นั นี้ อธบิ ายประเภทความรหู รือวิชาการน้ัน ผเู ขียน มยี ศได้กินเมืองเอก คือ เมอื งพษิ ณโุ ลก เมืองสุโขทัย เมืองนครราชสมี า เปน็ ต้น เรียกวา่ ลูกเธอ ตอ งมคี วามรูความเขา ใจในเรือ่ งทเี่ ขยี นอยาง กินเมืองเอกกไ็ ด้ แทจรงิ อาจเปน ความรูทีไ่ ดจากหลักฐานและ ๓. ชนั้ ท ่ี ๓ พระราชโอรสของพระเจา้ แผน่ ดนิ แตพ่ ระมารดาเปน็ หลานหลวง คอื หลาน การสืบคน หรือไดยินไดฟ งมาจากแหลง ที่ ของพระเจ้าแผน่ ดนิ ตรงๆ เจ้าทเ่ี กิดดว้ ยหลานหลวงนี้ เรยี กวา่ ลกู หลวงโท มยี ศกนิ เมืองโท เช่น นา เชอื่ ถอื ) เมืองสวรรคโลก เมอื งสพุ รรณ เปน็ ตน้ • นักเรียนคดิ วา หากนักเรยี นตอ งการเขียน ๔. ช้ันท่ ี ๔ พระราชโอรสทเี่ กดิ ด้วยพระสนม เรยี กว่า พระเยาวราช คือ เจ้าผู้นอ้ ย ไมไ่ ด้ อธิบายประเภทความรูหรือวชิ าการ นักเรียน กินเมอื ง มวี ธิ ีการสรางความนา เช่ือถอื ของขอมูลทใี่ ช เจ้าทงั้ ๔ ช้นั น ี้ วา่ แตด่ ้วยลกู หลวง พระเยาวราชต้องถวายบังคมพระเจ้าลูกเธอทง้ั สาม ในการเขียนไดอ ยา งไร ชนั้ นน้ั กถ็ วายกนั เปน็ ลาำ ดบั ถดั ไปตามยศ ถงึ จะแกอ่ อ่ นกวา่ กนั อยา่ งไรไมไ่ ดก้ าำ หนดดว้ ยอาย ุ กาำ หนด (แนวตอบ นกั เรียนควรสบื คนขอ มลู จากหลาย เอายศเปน็ สำาคญั ผมู้ ียศน้อยถงึ แก่กว่าก็ต้องไหว้ ต้องเดินตามหลงั แหลง และขอ มลู ดังกลา วตอ งมีแหลงอางอิงที่ นา เช่ือถือ) 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ชนั้ เรียน 92 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการอธิบาย ครผู สู อนควรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขาใจเกี่ยวกบั การเขียนอธบิ ายประเภทความรู ขอ ใดใชการเขียนแบบอธบิ าย หรอื วชิ าการ ผเู ขยี นตองคาํ นึงถงึ ประเด็นตางๆ อยางหลากหลาย โดยเฉพาะอยางยง่ิ 1. เตา หูมกี าํ เนดิ มากวา 2,000 ปในจนี แผน ดนิ ใหญ คนจีนถือวา เตา หู เร่ืองเกย่ี วกบั ภาษา โดยภาษาทใ่ี ชใ นการเขยี นรายงานควรเปนภาษาทางการทีม่ ีความ เปน อาหารที่มคี ณุ คา สูง ถกู ตองเหมาะสม กระชับ และชัดเจน นอกจากการใชภ าษาเขียนแลว อาจอธบิ ายสรา ง 2. ตวงถั่วเหลอื ง นาํ มาแชนํา้ ลา งใหส ะอาด แลวนาํ ไปบด เสร็จแลวกรอง ความเขา ใจดวยการใชต าราง รูปภาพ แผนภาพ หรอื แผนภูมปิ ระกอบการอธบิ ายกอ น กากออกจะไดน ํ้าเตาหูด ิบ การนาํ เสนอทกุ ครัง้ นักเรยี นควรตรวจสอบความถูกตองเหมาะสมของสอ่ื ท่ีใชใ นการ 3. เตา หรู าคาถูกแตมีคณุ คาสงู คุณคาทางโภชนาการที่โดดเดนท่ีสุดของ อธิบายทกุ ครั้ง ทงั้ นี้ เพอื่ ความถูกตองชัดเจนนของเนือ้ หาในการอธิบาย และสง ผลตอ เตา หูคือโปรตนี การสอ่ื สารทสี่ มั ฤทธิผล 4. เตาหูห ลอดเปนเตา หเู น้อื นิ่ม นิยมนาํ มาปรุงเปน แกงจดื วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ตวงถั่วเหลอื ง นาํ มาแชน ํ้าลา งใหสะอาด นักเรยี นควรรู แลว นําไปบด เสร็จแลว กรองกากออกจะไดน ้ําเตา หดู ิบ เพราะขอท่ี 1. ขอท่ี 2. ขอ ที่ 4. เปน การเขียนบรรยาย เนือ้ หาเกีย่ วกบั เตาหู สวนขอท่ี 2. เปน การ 1 สมั ฤทธศิ ก ใชเ รียกปจ ุลศกั ราชท่ลี งทายดวยเลขศูนย อธิบายขน้ั ตอนการทําน้าํ เตา หู 2 จลุ ศักราช ศักราชนอย เริ่มต้งั ภายหลงั พุทธศกั ราช 1181 ป 92 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ประโยช๔น)์ข กองากราเขรียจัดนพอิมธิบพา์หยนปังรสะือเรภะทเบคีย�าบนง�าานถสวาัลรยบ์ รสรณนธ1อิอยน่าุเงคสร้ันาๆะหแ์ ลไะดก้เินขคียวนาคม�าคนร�าออบธคิบลาุมย 1. นกั เรยี นพจิ ารณาตวั อยา งการเขยี นอธบิ าย เน้ือหาในหนงั สอื ดังนี้ ประเภทคาํ นําในหนงั สอื เรียนหนา 93 จากน้นั นักเรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ระเบียบงานสารบรรณ เป็นหัวใจสำ�คัญของก�รปฏิบัติง�นสำ�นักง�น โดยเฉพ�ะ • นกั เรียนคดิ วา บทความท่ียกมามเี นอื้ หา ส่วนร�ชก�ร และหน่วยของท�งร�ชก�ร สถ�นศึกษ�ต่�งๆ ตลอดจนนักศึกษ�ท่ีกำ�ลัง กลาวถึงประเด็นใดบา ง เรยี งตามลาํ ดบั ศกึ ษ�เล่�เรียนอยูใ่ นส�ข�วิช�ทเี่ กยี่ วกบั ก�รเลข�นุก�ร บคุ คลทวั่ ไปประสงคจ์ ะสอบบรรจุ เน้อื หา เข�้ รบั ร�ชก�ร เพร�ะต�มหลกั สตู รก�รสอบได้กำ�หนดใหส้ อบระเบียบง�นส�รบรรณด้วย (แนวตอบ อธิบายแบงเปน ยอ หนา โดย กลา วถงึ ทม่ี าและความสาํ คญั จากนน้ั กลา วถงึ ขณะน้ีท�งร�ชก�รได้ประก�ศใช้ระเบียบง�นส�รบรรณใหม่ เรียกว่� “ระเบียบ เนอื้ หาที่ตองการสอื่ สารสผู อู าน และยอ หนา สำานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. ๒๕๒๖” กำ�หนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ สุดทา ยกลาวท้งิ ทายถึงความคาดหวังในการ ๑ มิถุน�ยน ๒๕๒๖ เป็นต้นไป สำ�นักพิมพ์พัฒน�ศึกษ�ได้พิจ�รณ�แล้วเห็นว่� ส่วน สือ่ สาร) ร�ชก�รก็ดี สถ�นศึกษ� ตลอดจนนสิ ิตนักศึกษ�และประช�ชนทว่ั ไป มคี ว�มจ�ำ เปน็ ทจ่ี ะ • นักเรยี นคิดวา ในตัวอยา งท่ียกมามกี ลวธิ กี าร ต้องมีระเบียบง�นส�รบรรณน้ีไว้เป็นคู่มือในก�รปฏิบัติง�น ศึกษ�เล่�เรียน และเตรียม เรียบเรียงเนื้อหาอยา งไร สอบเข�้ รบั ร�ชก�ร จึงไดจ้ ดั พมิ พ์ระเบยี บส�ำ นกั น�ยกรฐั มนตรี ว�่ ด้วยง�นส�รบรรณ พ.ศ. (แนวตอบ มีการเรียบเรียงเนอื้ หาอยางเปน ๒๕๒๖ ข้ึน ท�้ ยเลม่ มีสรุปส�ระส�ำ คญั ของระเบียบฯ เพ่อื ใหอ้ ่�นและเข�้ ใจในตวั ระเบยี บ ลาํ ดับชัดเจน เพ่อื สรางความสนใจ จากนน้ั ได้ง่�ยขน้ึ อกี ดว้ ย จงึ กลาวถงึ สารหลกั ท่ตี อ งการสื่อ และกลา ว ทง้ิ ทายเพ่ือเนนยา้ํ เนือ้ หา) หวงั เป็นอย�่ งย่งิ ว�่ หนังสือระเบยี บง�นส�รบรรณเลม่ นี้จะเป็นประโยชนอ์ ย�่ งย่ิง 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (ถวลั ย์ สนธอิ นุเคร�ะห)์ สรรพส์ าระ พระราชพธิ ีสบิ สองเดอื น : ยอดความเรียงอธบิ าย ขยายความเขา ใจ Expand พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น เปน็ บทพระราชนพิ นธ์ 1. นักเรยี นยกตวั อยา งการเขยี นอธิบายประเภท ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มเี นอ้ื หาวา่ ดว้ ย ตางๆ ท้ัง 4 ประเภท มาประเภทละ 1 พระราชพิธีต่างๆ ทจ่ี ดั ข้นึ ทง้ั ในสมัยโบราณ และในสมยั ที่ ตวั อยา ง พรอ มวเิ คราะหป ระเด็นตา งๆ ดงั นี้ พระองค์พระราชนิพนธ์ ทรงอธิบายถึงพระราชพิธีต่างๆ ด้วยสาำ นวนภาษาทไ่ี มเ่ ครง่ ครดั อยา่ งตำารา ซ่งึ ในสมัยใหม่ • ตัวอยา งการเขยี นอธิบายประเภทตางๆ ที่ อาจเรียกไดว้ า่ เปน็ หนงั สือประเภทสารคดี นักเรียนยกมามเี น้อื หากลาวถึงอะไรบา ง พระราชพิธีสิบสองเดือนเป็นบทพระราชนิพนธ์ท่ี • ตวั อยา งการเขยี นอธิบายประเภทตา งๆ ท่ี ถือเป็นแบบอย่างของการเขียนความเรียงและตำาราอ้างอิง นักเรยี นยกมามจี ดุ มุงหมายในการเขยี น ท่ีสำาคัญเก่ียวกับพระราชพิธีของไทย จนได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลท่ี ๖ อยางไร วา่ เปน็ “ยอดของความเรยี งอธบิ าย” นอกจากนใี้ นปจั จบุ นั ยงั เปน็ หนงึ่ ในหนงั สอื ดี ๑๐๐ เลม่ ทคี่ นไทย • ตวั อยา งการเขียนอธิบายประเภทตา งๆ ท่ี ควรอ่านอีกด้วย นกั เรยี นยกมามกี ลวิธีการใชภาษาอยา งไร และกลวิธีการใชภ าษาดงั กลาวสง ผลตอการ สือ่ สารอยางไร 93 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอ สอบ O-NET 3. ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอหนา ช้นั เรยี น ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการอธบิ าย เกรด็ แนะครู ขอ ความตอไปนี้เปน การอธบิ ายแบบใด ครูผสู อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกับการเขียนอธบิ ายประเภทคํานาํ การเดนิ ทางในสมยั กอ นใชเกวียนหรือชา งหรือมา ถาไปทางบก ถาเดินทาง โดยคํานําเปนเน้ือความสวนแรกในการนาํ เขา สเู รือ่ ง ชวยแนะใหผ อู า นทราบเนื้อหา เรือก็ใชเ รอื พายหรือเรือแจว การเดินทางกินเวลานาน ผูมนี สิ ัยทางกวจี ึงแตง โดยรวมของเรียงความวากลาวถึงเรอื่ งใดบาง การเขียนคาํ นาํ จึงตอ งเขียนเพือ่ คาํ ประพนั ธพ รรณนาหนทางท่ผี า นไป กระตนุ ความสนใจและดึงดูดความสนใจของผูอาน ดวยวิธีการเรยี บเรยี งเนอ้ื หาอยา ง 1. ใชตวั อยา ง มศี ิลปะสอดคลองกบั หัวขอเร่ืองโดยรวมและเหมาะสมกับเน้ือเร่ือง การเขียนคาํ นํามี 2. กลา วตามลําดบั หลายวิธี ไมวา จะเปน การเร่ิมตนดว ยคาํ ถาม การยกสํานวน สุภาษติ คําคม หรือบท 3. ชี้สาเหตุและผลลพั ธท่สี ัมพนั ธก นั กวี หรอื กลา วถงึ ขอ เทจ็ จริงอื่นๆ จากนนั้ เรียบเรียงเรอ่ื งราว โดยเร่มิ ตนดว ยการบอก 4. เปรยี บเทยี บความเหมือนและความแตกตาง ความหมายหรือการใหค าํ จํากัดความกอนเปนอันดบั แรก จากนัน้ บอกเจตนาในการ เขียน เพอ่ื โนมนาวชกั จงู ใหผูอานเกดิ ความรูสึกคลอ ยตามเนอ้ื หาทีเ่ ขยี น และกระตนุ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ช้สี าเหตแุ ละผลลพั ธท ี่สมั พนั ธก นั เปนการ ความสนใจของผอู า นใหศึกษาเรอื่ งราวในเชงิ ลึกมากยงิ่ ข้นึ แสดงเหตุผลจากสาเหตไุ ปหาผลลพั ธท่สี มั พันธก นั สงั เกตจากการใชคาํ วา จาก ซง่ึ เปนคําสนั ธานในการเช่ือมประโยค นกั เรยี นควรรู คูม อื ครู 93 1 สารบรรณ หนงั สือทเี่ ปนหลกั ฐาน
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain 1. นกั เรียนจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกนั ๓ . หลกั การเขียนอธิบาย แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ คาํ ถาม ดงั ตอไปน้ี การเขียนอธิบายแต่ละประเภท แม้รูปแบบจะต่างกัน แต่ก็มีหลักส�าคัญในการเขียนท่ีมี • นกั เรยี นคดิ วา การวางโครงเร่อื งมคี วามสาํ คญั ความคลา้ ยคลงึ กนั ดังน้ี ตอการเขียนอธบิ ายอยา งไร (แนวตอบ การวางโครงเร่ืองเปนวธิ กี ารจดั ลาํ ดับ ๓.๑ การวางโครงเรอื่ ง ความคิดกอ นการเขียน ซึ่งมคี วามสาํ คัญมาก ในการปอ งกนั ความสบั สน และเปน การวางโครงเร่อื งนบั ว่าสา� คญั มาก เพราะเป็นสงิ่ ปอ้ งกันความสับสน และจะเป็นจดุ หมาย จดุ มงุ หมายในการขยายความหรอื อธบิ ายเรื่อง ในการขยายความหรืออธบิ ายเรือ่ ง เป็นสิง่ ทที่ า� ให้ข้อความตอ่ เนือ่ งกนั เช่น ถ้าเขยี นอธิบายเรอ่ื ง ใหมีความตอ เนื่องกนั ) พรรคการเมอื งในประเทศไทย กอ็ าจจดั ล�าดับหัวขอ้ เร่ืองได ้ ดงั น้ี • นกั เรียนคิดวา การวางโครงเร่อื งในการเขียน ๑. ความนา� อธบิ ายความรูมวี ิธีการทเ่ี หมือนหรือแตกตาง ๒. ความหมายของพรรคการเมือง กนั หรือไม อยางไร ๓. ปหรละกั วกตั าพิ รขรรอคงกพารรรเคมกือางรใเนมปอื รงะใเนทรศะไบทอยบประชาธปิ ไตย1 (แนวตอบ มีวธิ กี ารคิดเหมอื นกัน แตมีความ ๔. แตกตา งดานกลวิธกี ารเขยี น ซงึ่ ประกอบดวย ๕. ส่วนดี ส่วนเสยี ของการปกครองท่ีมพี รรคการเมอื ง การใชภ าษา และการเรยี งลาํ ดับเนอ้ื หา) ๖. สรุปความคดิ เห็นของผูเ้ ขยี นท่ีมีต่อพรรคการเมือง • นักเรียนคิดวา กอ นที่นักเรยี นจะเขยี นอธิบาย เม่อื ตัง้ หวั ขอ้ เรือ่ งแล้ว ผูเ้ ขยี นจะสามารถอธบิ ายขยายความตอ่ ไปไดต้ ามลา� ดับ นักเรยี นมวี ิธกี ารเตรียมโครงเรอื่ งในการเขียน อยางไร ๓.๒ การเรมิ่ เรอื่ ง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งหลากหลายข้นึ อยูกบั ประสบการณ การเร่มิ เรอื่ งในการเขียนอธบิ ายนนั้ ท�าได้หลายวธิ ี เช่น ของนกั เรยี น เปนตน วา การเตรียมโครงเรื่อง ๑) ให้ค�าจ�ากัดความ เป็นการให้ความหมายของเร่ืองท่ีจะเขียน อาจจะยกความหมาย ประกอบดวย 4 ข้ันตอน ไดแ ก ระดมความคิด ตรงกบั ชอื่ เรอ่ื งนัน้ ข้ึนมากล่าว เช่น เรอื่ ง “ความรกั ” ก็อาจขึน้ ตน้ ว่า เลือกและจดั หมวดหมูความคดิ จดั ลําดบั ความคิด จากน้นั จึงนาํ ความคดิ ท่ีไดมาขยาย “ความรัก คอื ความชอบอยา่ งผูกพนั พรอ้ มดว้ ยความชน่ื ชมยนิ ดี” และรวบรวมเปนถอ ยคํา) ๒) น�าวาทะคนส�าคัญหรือค�าคม ขึ้นมากล่าวน�า เช่น ข้ึนต้นด้วยบทพระราชนิพนธ์ 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ รัชกาลท ี่ ๖ วา่ หนา ช้นั เรียน “ความรกั เหมอื นโรคา บนั ดาลตาให้มืดมน อปุ ะสคั คะใดๆ ไมย่ ินและไม่ยล กำาลงั คึกผขิ งั ไว้ ความรกั เหมอื นโคถกึ บย่ อมอย ู่ ณ ทข่ี ัง” กโ็ ลดจากคอกไป (มทั นะพาธา : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว) 94 เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกยี่ วกบั การพิจารณาแนวคิดสําคญั จากขอความ ครูผูส อนควรเพิม่ เติมความรูค วามเขา ใจเกี่ยวกบั การวางโครงเร่ืองในการเขยี น ขอ ใดเปน แนวคิดของขอ ความตอไปน้ี อธิบาย โดยการวางโครงเรื่องเปน การวางกรอบเพอื่ กําหนดสว นประกอบตา งๆ ของ ไมสําคัญหรอกวาชีวิตนเ้ี คยลมหรอื ไมเคยลม แตอยทู ่วี า สามารถลกุ ขนึ้ เนือ้ หาเรอื่ งราวทเี่ ปน แนวทางในการเขียนอธบิ าย โดยนกั เรยี นสามารถกําหนดเน้อื หา ไดท กุ คร้งั ท่ีลม หรอื ไม บางคนเพราะลม จงึ ไดรูขอผิดพลาด แลว นาํ จุดท่ีเคย ในลกั ษณะของหัวขอ จากหวั ขอใหญไลเ รียงลาํ ดบั มาเปน หัวขอยอยลดหลั่นกนั ลงมา พลาดพล้ังนน้ั มาทาํ กําไรใหช ีวิตในอนาคต จนลุกข้นึ ยนื ไดอ กี คร้งั เรื่อยๆ โดยคํานงึ ถงึ ลาํ ดับความสําคญั ของหัวขอ รวมถึงความตอ เนื่องสมั พันธกนั ของ 1. ทกุ คนลวนแตเ คยสมหวังและผิดหวงั ในชวี ิตมาแลว เนอื้ หาเปนหลกั การเขียนโครงเร่อื งทด่ี จี ะชวยใหนักเรียนสามารถกาํ หนดสดั สวนของ 2. การยอมแพอุปสรรคยอ มไมกอใหเ กดิ ประโยชนอะไร เนื้อหาได ชว ยใหเนือ้ ความมีความเปนระเบียบไมสับสน เพ่ือใหผอู านสามารถตดิ ตาม 3. การนาํ ขอ ผดิ พลาดมาเปน บทเรยี นทําใหชวี ติ ประสบความสาํ เร็จได เนอ้ื หาไดอยา งชัดเจน 4. การฟนฟกู จิ การท่ีลม เหลวใหไ ดกาํ ไรไมใชเ ร่ืองเหลอื วสิ ยั ที่จะกระทาํ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. การนําขอ ผดิ พลาดมาเปนบทเรยี นทาํ ให นกั เรียนควรรู ชีวติ ประสบความสาํ เร็จได เพราะขอ ความที่ยกมาไมไ ดน ําเสนอขอเทจ็ จริง หรอื บอกเลา ขอ มูล แตม นี ํ้าเสยี งหรอื เนอ้ื หาในลกั ษณะของการนาํ เสนอ 1 ระบอบประชาธปิ ไตย ระบอบการปกครองที่ถือมตปิ วงชนเปน ใหญ แนวคดิ ขอท่ี 1. จงึ มิใชคําตอบ สว นขอที่ 2. และ ขอท่ี 4. ไมต รงกับสาระ การถือเสยี งขางมากเปนใหญ และใหคณุ คาตอ การเคารพสิทธิมนุษยชน หรือเนอ้ื ความที่ยกมาจึงมใิ ชค ําตอบ 94 คูม อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) ใชห้ ลกั ความรู้หรอื หลกั วชิ าการมาอธบิ ายหวั เรื่อง เชน่ เรอื่ ง “ชาวตา่ งภาษา” ของ 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รวมกนั แสดงความคิดเห็น อัศวพาห ุ เรมิ่ เร่ืองว่า ดงั ตอไปน้ี • นักเรยี นคดิ วา การเรม่ิ เรอื่ งในการเขียน อันคาำ วา่ ต่างภาษา น้ันคอื อะไร อธิบายมคี วามสําคัญตอกลวิธกี ารสอื่ สาร เมื่อแลดูเผินๆ ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาท่ียากเย็นอะไร แต่ถึงเช่นน้ันก็ดี ข้อความซึ่ง เนอ้ื หาในการอธิบายอยางไร ขา้ พเจา้ ไดต้ อบปญั หานใี้ นครง้ั กอ่ นนน้ั เปน็ เหตใุ หค้ นจาำ พวกหนง่ึ รอ้ งคดั คา้ น และแสดงความเหน็ (แนวตอบ การเรม่ิ เร่อื งท่ีดีมคี วามสาํ คัญใน ตา่ งๆ เปน็ อนั มาก ข้าพเจ้าจงึ ยกเหตุข้อนี้เปน็ ขอ้ แก้ตัวในการท่ีจะกลา่ วในเร่ืองนอี้ ีกในทน่ี ี้ การกระตนุ หรอื ดึงดดู ความสนใจของผูอา น คาำ ตอบปญั หาท่ีกลา่ วข้างบนนี้ ควรเราจะหารือพจนานุกรมดวู ่าเขาจะแปลวา่ อย่างไร ใหผูอานใหความสาํ คัญกบั เร่อื งท่ีอา นมาก พจนานุกรมองั กฤษของ เชมเบอร ์ อธบิ ายคาำ ต่างภาษาว่า ดังน้ี ย่ิงขึ้น ถอื เปน จุดเรม่ิ ตนสําคญั ของเรื่อง *“ต่างภาษา” (คณุ ศพั ท์) แปลว่าตา่ งประเทศ ต่างกันด้วยนสิ ยั และลกั ษณะ (นาม) คน ทอ่ี า น) หรือส่ิงทเ่ี ป็นของตา่ งประเทศ คนทไี่ ม่มีความชอบธรรมโดยเต็มแห่งพลเมอื ง • นกั เรยี นคิดวา ในการเขียนอธิบายนัน้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่ากันให้ตรงแท้สำาหรับคนไทยแล้ว คำานี้ต้องแปลว่า คนอื่นๆ นักเรยี นมีวิธกี ารเร่มิ เรื่องดวยวธิ ใี ดบาง ทกุ คนซง่ึ มใิ ช่ไทย ล้วนเปน็ คนต่างภาษาทั้งส้ิน หรืออกี นัยหน่ึง ถา้ ท่านพอใจมากกวา่ อาจเรียกว่า อยางไร “ชาวต่างประเทศ” กไ็ ด้ (แนวตอบ การเร่ิมเรอ่ื งท่ีดปี ระกอบดว ยวธิ กี าร ทีห่ ลากหลาย เปน ตนวา 1. เรมิ่ เรื่องดว ยการ ๔) การเร่ิมเรื่องวิธีอ่ืนๆ การเขียนอธิบายอาจใช้วิธีเริ่มเรื่องแบบอื่นนอกจากที่กล่าวมา ใหค ําจาํ กดั ความ 2. นําวาทะคนสําคัญหรือ แลว้ ได ้ เช่น เริ่มตน้ ด้วยการตงั้ คา� ถามหรอื ขอ้ ปญั หา นทิ านหรือนยิ าย หรืออาจใช้ข้อขดั แย้งทีม่ ี คาํ คมขนึ้ มากลาวนํา 3. ใชหลกั ความรู อยเู่ พอื่ เริ่มการเขยี นอธิบายก็ได้ หรอื หลักวชิ าการมาอธบิ ายหัวขอ และ 4. นักเรียนอาจเริ่มเรอ่ื งดวยวธิ กี ารอนื่ ๆ ที่มี ๓.๓ กระบวนการอธบิ าย ความหลากหลาย อาทิ การตงั้ คาํ ถาม การ ยกเรอ่ื งเลาท่เี ปน อทุ าหรณ หรืออาจยกความ การอธิบายมกี ระบวนการ ดงั น้ี เหน็ ขดั แยงกบั เรอ่ื งทีเ่ ขยี น เพื่อดงึ ดูดความ ๑. เมอ่ื จะอธิบายเร่ืองอะไร กเ็ ขียนเฉพาะเรือ่ งนัน้ ไม่เอาเรื่องอืน่ มาปน สนใจของผูอ าน) ๒. ต้องเขียนตามความรู้ความคิดเห็นของตนเอง ไม่ยืมความคิดของคนอ่ืน อาจจะอ้าง • นักเรียนคดิ วา การเร่มิ เรอื่ งที่ดตี อ งคํานงึ ถึง ความคิดของคนอนื่ บ้างก็ได ้ เพ่อื ให้เหน็ ความคดิ เห็นท่คี ล้ายคลงึ หรือแตกต่างกนั แต่ความคดิ เห็น ประเดน็ ใดบา ง อยา งไร เหล่านั้นไม่เหนอื ความคดิ เห็นของผูเ้ ขียนเอง (แนวตอบ ตองคาํ นงึ ถึงจดุ มงุ หมายในการ ๓. กอ่ นจะอธบิ ายเรอ่ื งอะไร ตอ้ งแน่ใจวา่ รเู้ รอ่ื งนนั้ อยา่ งละเอยี ด และเขา้ ใจเรอื่ งอยา่ งถอ่ งแท ้ สื่อสารและประเภทของงานเขยี น และคาํ นงึ เพราะถา้ ผูเ้ ขียนไม่เข้าใจเร่อื งทจี่ ะเขยี น ก็ไม่สามารถเขียนอธิบายให้ผู้อ่ืนเขา้ ใจแจม่ แจ้งได้ ถงึ ผรู ับสารดวย) ๔. เรียบเรียงถ้อยค�าใหน้ ่าอา่ น นา่ สนใจ เข้าใจงา่ ย และล�าดับความให้ต่อเนือ่ งกัน 2. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรียน 95 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั การอธิบายตามลาํ ดบั ขั้นตอน ครูผูสอนควรเพ่ิมเติมความรูความเขาใจเกี่ยวกับแนวทางในการฝก ทักษะ ถา เรียงลําดับคําอธิบายวธิ ีทําอาหารตอ ไปนจี้ นครบถว น ขอ ใดเปนข้นั ตอน การอธบิ าย ครูควรชแี้ นะนกั เรียนวา ทักษะการอธิบายเปน ทกั ษะทางการส่อื สารท่ี นักเรียนสามารถฝก ฝนได นกั เรียนสามารถฝกทักษะการอธิบายดวยการอา นหรอื ท่ตี อจากขอ 5 ตามโจทย ศึกษาคนควา ขอ มูลตา งๆ จากน้นั ปฏบิ ตั ิ ดงั ตอไปน้ี 1. อานเรื่องใหต ลอดดวยความ 1. ตม นํา้ ในหมอ ดวยไฟกลาง แลวใสต ะไครใบมะกรูด ตัง้ ใจ 2. สรุปใจความสําคญั ของเรอ่ื งเขา ดว ยกนั 3. นาํ ใจความสาํ คัญทส่ี รปุ มาจัดทํา 2. ลางหอยแมลงภู ปมู า กุง และปลาหมกึ ใหสะอาด โครงเร่ืองในการอธิบาย 4. ขยายรายละเอยี ดประเดน็ ตา งๆ พรอ มยกตวั อยางประกอบ 3. ปรุงรสดวยน้ําปลา มะนาว พริกขี้หนู แลว เสริ ฟรอนๆ 4. แลว จงึ ใสกงุ ปลาหมึก และเหด็ ฟาง นอกจากการพฒั นาทกั ษะการอธบิ ายจากการศึกษาคน ควาขอ มูลตา งๆ แลว 5. เม่ือนํ้าเดือดจัดใสห อยแมลงภูและปูมา ในการถายทอดสารหรือขอมลู ออกเปนภาษาเขยี น นักเรยี นควรระลกึ ถงึ แนวทางการ 1. ขอ 1 2. ขอ 2 3. ขอ 3 4. ขอ 4 ฝกทกั ษะการอธบิ าย โดยมรี ายละเอียด ดังตอไปนี้ 1. ตอ งเตรียมตวั ลวงหนา วาจะ อธบิ ายอยา งไร จงึ จะเหมาะสมกบั เรอื่ งและทาํ ใหผ อู นื่ เขา ใจในสาระสาํ คญั ทตี่ อ งการสอ่ื วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. แลวจงึ ใสก ุง ปลาหมกึ และเหด็ ฟาง 2. ความแตกตางของผูรับสาร 3. สื่อประกอบการอธิบาย นอกจากภาษาเขียนแลว สอ่ื ในรปู ตาราง กราฟ หรอื รปู ภาพ รวมถงึ ผงั มโนทศั น กม็ คี วามเหมาะสมในการอธบิ าย พจิ ารณาจากเนื้อความท้ัง 5 ขอ การทําอาหารในขอนี้มีขนั้ ตอนตามลําดบั 4. การจะอธบิ ายสิ่งใดๆ ก็ตาม ใหพิจารณาดวยตนเองวา สามารถสอื่ สารสูผอู า น ดังน้ี 2 - 1 - 5 - 4 - 3 นักเรียนสามารถพิจารณาจากขัน้ ตอนได ดังน้ี ตม น้ํา ไดช ัดเจนมากนอ ยเพยี งไร นา้ํ เดือด ปรุงรส และเสิรฟ คูมอื ครู 95
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกันแสดงความคดิ เหน็ ๓.๔ การสรปุ ความคดิ เหน็ ดังตอไปน้ี • นกั เรียนคิดวา ในการเขยี นอธบิ ายเรื่องใด เมื่อได้อธิบายเร่ืองราวตามหลักวิชาจนสิ้นกระบวนความแล้ว ก็สรุปความคิดเห็นที่มี เร่ืองหนง่ึ นักเรียนจะมีวิธกี ารเขยี นอธบิ าย ต่อเร่ืองน้ันเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง เช่น เรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมืองในประเทศไทย อยางไร ผเู้ ขยี นอธบิ ายเสรจ็ สน้ิ แลว้ กอ็ าจแสดงความคดิ เหน็ ของตนเองถงึ แนวโนม้ ของพรรคการเมอื งไทย (แนวตอบ นักเรยี นเร่ิมตนจากการรวบรวม ในอนาคต เป็นต้น ความคดิ ทเ่ี กี่ยวของกับเรื่องทีน่ ักเรยี นตอ งการ จุดส�าคัญของการเขียนอธิบาย คือ ความชัดเจน และความน่าอ่าน จะต้องเขียนเฉพาะ เขียน จากนนั้ จงึ เลอื กเฉพาะเรอื่ งท่ีเกยี่ วของ เนื้อหาอยา่ งเป็นกลาง จะใส่ความรสู้ ึกหรอื อารมณล์ งไปไม่ได ้ เพราะความมุ่งหมายของการเขียน กบั เรือ่ งทีเ่ ขียน แลวแยกแยะและจดั หมวดหมู อธิบาย คือ การใหค้ วามร้อู ย่างแท้จรงิ เน้อื หา เรยี งลําดับความคดิ ใหเปน ระบบ และ เลอื กใชส าํ นวนภาษาใหตรงกบั ลักษณะของ สิ่งจ�าเป็นส�าหรับผู้อธิบาย คือ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนจะอธิบาย โดยอาศัย เนือ้ หาและความมุง หมายของเรอ่ื ง) • นกั เรยี นคิดวา นกั เรยี นมวี ิธกี ารสรุปความ การสะสมความรู้ ประสบการณ์ที่ต่อเน่ืองกันเป็นระยะเวลายาวนาน ท้ังน้ีจะต้องรวบรวมความรู้ คิดเหน็ อยา งไร ความคิดของตนให้เป็นระเบียบ แม่นย�า ก่อนที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้ รู้จักสังเกตวิธีอธิบายของ (แนวตอบ สรปุ ความคดิ เห็นดวยสาํ นวนภาษา ผ้อู นื่ อยู่เสมอท้งั โดยการอา่ นและการฟัง หาโอกาสฝกึ ฝนให้ถกู วิธีอยา่ งสมา่� เสมอ ของผูเขยี นเอง เพ่ือเนนยํา้ ประเดน็ สาํ คัญของ เรือ่ งท่ีรบั สาร) การเขยี นอธบิ าย เปน็ การสอื่ สารดว้ ยวธิ กี ารเขยี นทใี่ ชม้ ากในชวี ติ ประจาำ วนั ของมนษุ ย ์ • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายที่ดมี ีขอควร โดยเฉพาะข้อเขียนในตำาราวิชาการต่างๆ การอธบิ ายถอื เปน็ หัวใจของงานวชิ าการ แตก่ ารเขียน คาํ นึงในประเด็นใดบา ง อยางไร อธิบายจะสัมฤทธิผลหรือไม่นั้นต้องอาศัยการรู้จักใช้คำาให้ตรงความหมาย ใช้ภาษาที่ง่าย และ (แนวตอบ ขอ ควรคํานงึ ในดานเนือ้ หาทม่ี คี วาม สามารถเข้าใจได้ชัดเจน ดังน้ัน ผู้เขียนจึงควรฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำาเสมอเพื่อพัฒนาทักษะ ชัดเจนตรงประเด็น ครอบคลมุ เกิดจากการ การเขยี นอธิบายให้มีความชาำ นาญ และสามารถนาำ ไปใชใ้ นการสื่อสารไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ คนควาขอ มลู อยา งกวางขวางและนาเชอ่ื ถือ เน้ือหามีความเปนกลาง ใชภ าษาไดถ กู ตอง เหมาะสมกบั เนอื้ หาและจุดมุงหมายในการ สื่อสาร) • นกั เรียนคิดวา นักเรยี นจะมวี ิธกี ารฝก ฝน ทักษะการอธิบายไดอยา งไร (แนวตอบ หมัน่ ศึกษาคนควา มีการส่ังสม ความรอู ยา งสมา่ํ เสมอ เรียบเรยี งอยางเปน ระบบ และสือ่ สารอยางเหมาะสม) 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาช้นั เรยี น 96 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การอธบิ ายตามลาํ ดับข้ันตอน ครูผูส อนควรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับแนวทางในการฝกทกั ษะการ ถาเรียงลาํ ดบั คาํ อธิบายวธิ ที าํ อาหารตอไปนีจ้ นครบถวน ขอใดเปนขั้นตอน เขยี นสรุปความคิดเหน็ ในเรอ่ื งที่อธิบาย การสรปุ ความคิดเห็นเปน การสรุปเน้ือหา ท่ีตอ จากขอ ข ตามโจทย การอธบิ าย เพ่ือเนนย้ําประเด็นสาํ คญั จากเนอ้ื หาท่ีไดอ ธบิ าย การเขียนบทสรุปนั้น ก. นง่ึ กุงใหสุกพอประมาณแลวจดั ใสจ านพักไว ตอ งอาศัยทักษะในการยอความ เพื่อสือ่ สารกับผอู า นใหส ามารถเขาใจไดอยา ง ข. ปอกเปลอื กกุง ผาหลงั แลว ลางใหส ะอาด ถกู ตอง และสามารถวิเคราะหเน้ือหาจากการอธบิ าย เพอื่ จัดทําขอ คิดเห็นหรือ ค. แลวนาํ ไปราดบนตัวกุงทีน่ งึ่ ไว ขอ เสนอแนะทีม่ คี ุณคาได ง. ผสมนาํ้ ปลา น้าํ ตาลทราย นํ้ามะนาว คลกุ เคลากบั ตะไครและ หอมแดงซอย เมือ่ เขยี นเสร็จแลว นกั เรยี นควรอา นทบทวนเนื้อหา เพือ่ พจิ ารณาความเขา ใจ จ. โรยหนา ดวยถว่ั ลสิ งทอดและใบสะระแหน เนื้อหาอยางละเอยี ด ชดั เจน หรือพิจารณาความตอเนอื่ ง การเรียบเรยี ง รวมถึง 1. ขอ ก. 2. ขอ ค. ลกั ษณะการใชภ าษา อาทิ มกี ารใชภาษาตา งระดบั หรอื ไม อยางไร หรอื การใช 3. ขอ ง. 4. ขอ จ. คาํ ศัพทเ ฉพาะวงการหรอื ไม เนือ่ งจากประเด็นดงั กลาวอาจสงผลตอ ความเขา ใจ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. ขอ ก. ถาเรยี งลําดับคําอธิบายวธิ ีทําอาหาร เนอ้ื หา และทําใหการสอื่ สารไมสมั ฤทธผิ ล นักเรยี นควรอา นทบทวนเน้ือหาทุกคร้งั จนครบถวน จะสามารถเรียงลาํ ดับได ดงั นี้ ขอ ข. ขอ ก. ขอ ง. ขอ ค. และ หลงั เรียบเรยี งงานเขยี นเสร็จสมบูรณ เพอ่ื ใหนักเรยี นไดปรับปรุงแกไขใหส มบรู ณ ขอ จ. กอนนาํ เสนอสผู ูอา นทุกคร้ัง 96 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ปกณิ กะ มารยาทในการเขียน 1. นกั เรียนรวมกนั ระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอไปน้ี มารยาทในการเขียน ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ • นักเรียนคิดวา มารยาทในการเขียนอธบิ าย ๑. ควรเขียนตัวหนงั สือให้ชดั เจน อ่านงา่ ย ไมเ่ ขียนตัวใหญ่ หรอื ตวั เลก็ จนเกนิ ไป ประกอบดวยอะไรบาง และการคาํ นึงถึง เขยี นให้มีขนาดเหมาะสมนา่ อา่ น มารยาทในการเขียนสงผลตอ การเขยี น ๒. ควรเขยี นอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อย วรรคตอนใหถ้ กู ตอ้ ง ไม่เขยี นฉีกคาำ อธบิ ายอยางไร ๓. ใชถ้ ้อยคำาทส่ี ภุ าพไพเราะ ไมว่ กวน และไม่ควรเขยี นคำาหยาบ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๔. ควรเขียนคำาท่ีไม่กระทบกระท่ังเสียดสีผู้อื่น ไม่ใช้คำาที่ถากถางเหยียดหยาม ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตุผลของ ให้ผู้อื่นเสยี หาย นกั เรียน เนือ่ งจากการคํานึงถึงมารยาท ๕. ใชภ้ าษาทนี่ ยิ มใชก้ นั ไมค่ วรใชค้ าำ สแลง คาำ ภาษาปาก และไมเ่ ขยี นถอ้ ยคาำ ทแี่ ปล ในการเขียนนอกจากจะทําใหก ารส่อื สาร หรือคาำ ผวนในเชิงลามก ระหวางผูเขียนสผู ูอานสมั ฤทธิผลแลว การเขยี นข้อความ บทความ หรอื หนังสือเพ่อื เผยแพร่ เช่น หนงั สือพมิ พ์ วารสาร มารยาทในการเขียนยังสามารถสรางความ เอกสารตา่ งๆ ตอ้ งมีมารยาทในการเขยี นเพ่มิ เตมิ อีกหลายประการเพื่อความถกู ต้อง ดงั น้ี ประทับใจใหผ ูอานไดเ ปน อยางดี รวมถึง ๑. เมื่อจะยกข้อความมาประกอบส่ิงที่เขียน ต้องให้เกียรติเจ้าของข้อความนั้น เปน การสรา งสมั พันธภาพทดี่ ีระหวา งผูอ าน ดว้ ยการบอกท่ีมาทกุ ครงั้ ว่ามาจากเร่ืองอะไร ของใคร และผเู ขยี นไดอ ีกดวย) ๒. ไมใ่ ชภ้ าษา ถอ้ ยคาำ หรือข้อความท่ที าำ ใหผ้ ู้อืน่ เส่อื มเสยี อับอาย ๓. การเขียนอ้างอิงถึงบุคคล ต้องระมัดระวังในการเขียนคำานำาหน้าช่ือ สะกดช่ือ 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด และนามสกลุ บอกยศ ตาำ แหน่งใหถ้ ูกต้อง ๔. ตอ้ งระมดั ระวงั ไมเ่ ขยี นวจิ ารณส์ งิ่ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเชอ่ื ความศรทั ธา เพราะอาจ ขยายความเขา ใจ Expand เกดิ ผลเสียขึน้ ได้ ๕. ต้องรับผิดชอบข้อความที่ปรากฏในงานเขียนของตน เพราะการเขียนที่ทำาให้ 1. นกั เรียนเลือกหัวขอทนี่ กั เรยี นมคี วามสนใจ ผู้อ่ืนเสียหายจนถึงเสื่อมเสียช่ือเสียงอาจถูกฟ้องร้อง และอาจมีการดำาเนินคดีเรียกร้อง จากนั้นใหน กั เรียนเขยี นอธิบายความรูในหวั ขอ คา่ เสยี หายได้ ดังกลา ว โดยนกั เรยี นนาํ ความรทู ี่นักเรยี นได ๖. ควรใชภ้ าษาเชงิ สรา้ งสรรค์ ไมใ่ ชภ้ าษาหยาบคาย รนุ แรง ยวั่ ยุ เพราะอาจทาำ ให้ ศกึ ษามาปรบั ใชในการเขียน นับต้งั แตการ เกิดเหตุร้ายแรงจนก่อให้เกิดการแตกร้าว กระทบกระเทือนต่อความสงบสุขและความม่นั คง ระดมความคดิ การวางโครงเรื่องในลกั ษณะ ของชาติได้ หัวขอ และการเขยี นขยายความ โดยใช การฝึกฝนทักษะในการเขียนและมีมารยาทในการเขียน มีความจำาเป็นต่อการ องคป ระกอบตา งๆ ทม่ี ีความสอดคลองกนั นาำ ไปใชใ้ นวชิ าชีพต่างๆ เพราะเปน็ ทักษะพ้นื ฐานท่ีทุกคนควรจะรู้ เพ่อื ความถูกตอ้ ง รวดเรว็ ในการทาำ งาน การนาำ เสนองาน นบั เปน็ ขน้ั แรกของการพฒั นาไปสกู่ ารเขยี นในแขนงอนื่ ๆ ตอ่ ไป 2. นกั เรียนจบั คู จากนน้ั นกั เรียนนําโครงเร่ืองท่ี นักเรยี นไดวางไวมาอภิปรายแลกเปลย่ี นความ คิดเหน็ กับเพอื่ นรว มชั้นเรยี นทน่ี ักเรยี นไดจบั คู ไว จากนน้ั นกั เรยี นลงมอื ปฏิบัติการเขียน 3. นกั เรยี นนาํ ผลงานรวมอภปิ รายแลกเปลยี่ น ความคิดเหน็ กบั เพอ่ื นรว มชน้ั เรยี น 97 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั ลักษณะการลาํ ดับขอ ความ ในการปฏิบัติกจิ กรรมขยายความเขาใจ ดวยวิธกี ารใหนักเรยี นเขยี นอธิบายนนั้ เมอื่ เรยี งลําดับขอ ความใหถ ูกตอง ขอใดเปน ลาํ ดับท่ี 4 ครูผูส อนควรเพม่ิ เติมความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกับแนวทางในการฝก ทกั ษะการเขยี น 1. ทานบางอยา งไมจาํ เปน ตอ งใชเ งนิ อยางสรา งสรรค ซ่ึงมีความเก่ียวเนอ่ื งกับกระบวนการคิดและการถายทอดความคิด 2. การใหกาํ ลังใจ การใหค วามยนิ ดี นบั เปนทานท้งั น้นั ผา นกระบวนการการใชภ าษาอยางสรางสรรค นอกจากจะเปนการถายทอดความรู 3. ทานมีรูปแบบหลายอยา งใหเลือกทาํ ได ความคิดผานเนอ้ื หาท่ดี ไี ดแ ลว กระบวนการเขยี นอยา งสรางสรรคยงั มีความสัมพนั ธ 4. การใหค วามรว มมือ การใหแ รงงาน การใหค วามเห็น กับกระบวนการคิดอยา งสรา งสรรคดว ย เนือ่ งจากการสะสมความรใู นคลงั สมอง เมอ่ื ตอ งการถายทอดความคิดออกมาสผู อู า นดวยภาษาเขยี น ทัง้ การใชค ํา วลี ประโยค วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การใหกาํ ลงั ใจ การใหความยนิ ดี นบั เปน รวมถงึ โวหารในการเขียนซึง่ เปนพนื้ ฐานสาํ หรับการสรางสรรคง านเขียนทีด่ ีผานเนือ้ หา และภาษาท่จี รรโลงใจผอู า นไดอีกดวย ทานทงั้ นนั้ หากเรียงลําดบั ขอความใหถกู ตอง สามารถลําดบั ขอความได ดงั น้ี ขอที่ 3. ขอ ที่ 1. ขอ ที่ 4. และขอ ที่ 2. เมือ่ นักเรียนมีความคดิ ทีส่ รา งสรรคแ ลว สิ่งทีน่ กั เรยี นควรดําเนินการตอ ไป คือ การเขียนอยา งสรา งสรรค นกั เรียนตอ งมคี วามใจกวา งพอในการยอมรบั ความคิดเห็น ของผูอ ืน่ รวมถึงคําตเิ ตียนตางๆ อยางสม่าํ เสมอ ยอ มสามารถพฒั นาวธิ ีคดิ และทักษะ การเขยี นไดเปน อยา งดี คูมือครู 97
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เกี่ยวกับ คาำ ถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ จดุ มงุ หมายในการเขียนอธบิ าย ประเภทของ การเขยี นอธิบาย หลักการเขียนอธบิ าย ๑. การเขยี นอธิบายทพ่ี บเห็นในชวี ติ ประจา� วนั มอี ะไรบา้ ง จงอธิบายและยกตัวอย่าง ๒. การเขียนอธิบายเกี่ยวกบั แหลง่ ทอ่ งเที่ยวในชมุ ชน ควรวางโครงเร่ืองอย่างไร 2. นักเรยี นสามารถยกตวั อยางการเขียนอธิบาย ๓. การเขียนเริ่มเรื่องในการอธบิ ายด้วยนิทาน มีจุดมุ่งหมายในการเขยี นอย่างไร ประเภทตา งๆ ทงั้ 4 ประเภท ไดแก การเขียน ๔. การศกึ ษารายละเอียดของเรือ่ งก่อนการเขยี นอธิบายมคี วามส�าคญั หรือไม่ อยา่ งไร อธบิ ายประเภทคาํ จํากดั ความ การเขียนอธิบาย ๕. การเขียนอธบิ ายโดยใช้การเปรียบเทยี บเหมาะสา� หรบั การอธิบายเกยี่ วกบั ส่ิงใด ประเภทเชงิ อรรถ การเขยี นอธบิ ายประเภท ความรหู รอื วิชาการ และการเขยี นอธิบาย เพราะเหตใุ ด จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ ง ประเภทคาํ นาํ มาประเภทละ 1 ตัวอยาง กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ัฒนาการเรยี นรู้ 3. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั จดุ มงุ หมายและกลวิธกี ารใชภ าษาในการเขียน ๑. ใหน้ กั เรยี นเขยี นอธบิ ายวิธกี ารท�าอาหาร ๑ อย่าง ที่นกั เรียนช่ืนชอบหรือถนัด อธิบายประเภทตา งๆ ได ตามหลักการเขียนอธิบาย 4. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหต วั อยางการเขียน ๒. ใหน้ ักเรียนฝกึ เขยี นการเริม่ เรอ่ื งในการเขยี นอธบิ ายดว้ ยวธิ ีต่างๆ โดยก�าหนดเรอื่ ง อธบิ ายประเภทตางๆ ท้งั ในดาน เน้อื หา ภาษา เชน่ รปู แบบ พรอมสรปุ สาระสําคญั ได - การจัดสวนถาด 5. นักเรยี นสามารถเขียนอธบิ ายได - การเยบ็ กระทงใบตอง - การจดั แจกนั ดอกไม้ หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู - การประดิษฐห์ ่นุ ยนต์ ๓. ใหน้ กั เรยี นหาบทความเกยี่ วกบั การเขยี นอธบิ ายสง่ิ ตา่ งๆ มาศกึ ษาเพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกบั จดุ มงุ หมาย ในการเขียนอธบิ าย ประเภทของการเขยี น ในการพัฒนาการเขยี น พร้อมทั้งหาจุดเด่น จุดบกพรอ่ งของบทความดังกล่าว อธบิ าย หลกั การเขียนอธบิ าย 98 2. ตวั อยา งการเขยี นอธบิ ายประเภทตา งๆ ท้งั 4 ประเภท ไดแก การเขียนอธิบายประเภทคาํ จํากัดความ การเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ การเขียนอธบิ ายประเภทความรูหรอื วชิ าการ และการเขียนอธิบายประเภทคาํ นํา 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เก่ยี วกบั จดุ มุงหมาย และกลวิธกี ารใชภาษาในการเขียนอธิบาย 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั จากการวิเคราะห ตวั อยา งการเขียนอธิบายประเภทตางๆ ทง้ั ใน ดา นเนือ้ หา ภาษา และรูปแบบ 5. ความเรียงเชิงอธิบาย 6. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. นักเรียนสามารถยกตัวอยา งไดอ ยางหลากหลาย เปนตนวา การเขียนอธบิ ายความหมายของคํา ขอความ สาํ นวน สภุ าษติ คาํ พงั เพย หัวขอทางวิชาการตา งๆ หวั ขอ การประชุม หัวขอการอภิปราย รวมถงึ ญัตตใิ นการโตวาที 2. การเขียนอธิบายเก่ยี วกบั แหลงทอ งเท่ียวในชมุ ชน นกั เรียนสามารถวางโครงเร่ืองไดอ ยา งหลากหลายขึน้ อยูก บั เหตุผลของนกั เรียน 3. การเขยี นเร่มิ เรอื่ งในการอธบิ ายดวยนิทาน มีจุดมุง หมายในการอธิบายเพ่อื ดงึ ดดู ความสนใจของผอู า น โดยเฉพาะอยา งย่งิ การนําขอ คิดจากนิทานมาใชประโยชน โดย เฉพาะผรู บั สารท่เี ปน เด็ก ทัง้ นผ้ี เู ขยี นตอ งสามารถวเิ คราะหเ นื้อหาของสารและกลวิธกี ารสื่อสารใหมีความสอดคลองกับผอู านหรือผูรับสาร เพอื่ ใหก ารส่ือสารเกิดสมั ฤทธผิ ล 4. การศกึ ษาคนควารายละเอียดหรอื ขอ มลู ของเรื่องท่ใี ชในการเขยี นกอนการเขยี นอธิบาย ถือวา เปนกระบวนการทมี่ คี วามสาํ คัญเปน อยางยิง่ เน่ืองจากการอธบิ ายผสู ง สาร หรือผเู ขียนควรมีความรูค วามเขา ใจในเร่ืองที่เขยี นอยางแทจรงิ เพ่อื ใหผูส ง สารสามารถเรียบเรียงเนอ้ื หาทีใ่ ชในการเขียนไดอ ยา งถูกตอ ง เหมาะสม ครอบคลมุ และตรง ประเดน็ หากผูเขียนไมเ ขาใจเรอื่ งทเ่ี ขียน ก็ไมสามารถเขยี นอธิบายใหผ ูอน่ื เขาใจแจมแจง ได 5. การเขยี นอธิบายโดยใชการเปรยี บเทียบเหมาะสาํ หรับการอธบิ ายเก่ียวกับการนําเสนอขอมูลหรอื เน้ือหาใหมท ่ีมีความขดั แยง กบั เน้ือหาหรือความรูความเขาใจเดมิ ทเ่ี คยมมี า หรืออาจเปน วิธีการอธิบายเพื่อโตแยงความคิดเหน็ กไ็ ด เปน ตนวา หัวขอการอภปิ ราย ญตั ตใิ นการโตว าที 98 คมู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๒ เขียนส่ือสารในรูปแบบตา งๆ ไดต รงตาม วัตถุประสงค โดยใชภ าษาเรยี บเรียงถูกตอง มีขอ มลู และสาระสําคญั ชัดเจน สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป ญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี การเขียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค มคี วามสาํ คัญและ 1. ใฝเ รยี นรู จําเปน ตอชวี ิตประจําวัน โดย 2. มุงมั่นในการทาํ งาน เฉพาะการตดิ ตอ ทางกจิ ธุระตา งๆ มักมี 3. รกั ความเปน ไทย แบบกรอกรายการทวั่ ไปและแบบกรอกรายการ ôหนว่ ยการเรียนรทู ่ี ที่มวี ตั ถุประสงคเฉพาะใหก รอกขอ มลู ดงั นน้ั การมี กระตนุ้ ความสนใจ Engage ความรูค วามเขาใจในเรือ่ งการกรอกขอ ความในแบบ กรอกรายการตา งๆ ตลอดจนมีความตระหนักและให ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปนี้ ความสาํ คัญตอ การกรอกแบบรายการ จะชว ยให • นักเรยี นรจู ักแบบรายการหรอื ไม การเขยี นนน้ั ถกู ตองและตรงตามวตั ถุประสงค แบบรายการที่นักเรยี นรูจักมีลักษณะและ การกรอกแบบรายการ เน้ือหาเกย่ี วกับอะไร ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรูแกนกลาง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูกบั ประสบการณ • เขยี นสือ่ สารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ • การกรอกแบบรายการตา่ งๆ ของนกั เรียน) โดยใช้ภาษาเรยี บเรยี งถกู ต้อง มีข้อมูลและสาระสา� คญั • นักเรียนเคยกรอกแบบรายการหรือไม ชัดเจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) ถา นกั เรียนเคยกรอกแบบรายการหรือแบบ ฟอรมนกั เรยี นเคยกรอกแบบรายการทมี่ ี เนือ้ หาเกย่ี วกบั อะไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูกับประสบการณ ของนักเรยี น) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรียนรเู รือ่ ง การกรอกแบบรายการนี้ ครูผูสอนควรเพิม่ เตมิ ความรู ความเขา ใจเกีย่ วกบั การกรอกแบบรายการ โดยครูผูสอนควรเนนใหน กั เรยี นนาํ ความรู ทางดา นการใชภาษา รวมถงึ ทกั ษะตางๆ มาประยุกตใ ชใ นการกรอกแบบรายการ ครูควรชแ้ี นะนกั เรียนวา การกรอกแบบรายการนนั้ แมจะดูเปน เร่ืองงาย แตผ ลที่เกิด จากการกรอกแบบรายการนัน้ สงผลตอเรื่องอน่ื ๆ หลากหลายดา น โดยเฉพาะ อยา งยง่ิ ขอ ผกู มดั ทางกฎหมาย อาทิ การทาํ สญั ญาเชา หรอื ซอื้ ขาย ผกู รอกแบบรายการ จึงตอ งอาศยั ทักษะความสามารถและความละเอียดรอบคอบในการใชภ าษา ครผู ูสอน ควรเนน ใหน ักเรยี นพิจารณาขอมูลเนือ้ หาทปี่ รากฏในแบบรายการ ดว ยการใหผ กู รอก แบบรายการทําความเขาใจวธิ ีกรอก ปฏิบัติตามขอ บังคับ หรือคําแนะนาํ ในการกรอก แบบรายการอยางเครง ครดั กรอกแบบรายการดวยขอมูลจริง มีความมนั่ ใจในการ กรอก ไมลบหรอื ขดี ฆา พรอ มกรอกแบบรายการดว ยลายมอื ที่ชัดเจนอานงา ย กลาว ไดวา ผูทจ่ี ะสามารถกรอกแบบรายการไดด ีนั้น ตอ งมีคณุ สมบตั พิ ้ืนฐาน คือ เปน ผูมี ความรูค วามเขา ใจในเร่ืองที่จะกรอก มคี วามสามารถในการใชภ าษา มคี วามซอ่ื ตรง รวมถึงมคี วามรอบคอบและความรบั ผิดชอบ คมู่ ือครู 99
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage นักเรยี นพจิ ารณาแบบรายการจากหนงั สือเรยี น ๑. การกรอกแบบรายการ หนา 100 -104 จากน้ันครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี แบบรายการ หมายถึง แบบสําหรับใชกรอกขอความท่ีหนวยงานของรัฐ หรือหนวยงาน ภาคเอกชนจดั ทําขนึ้ เพือ่ ใชประโยชนในหนวยงานนนั้ ๆ • นักเรยี นเคยกรอกแบบรายการชนิดใดบา ง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ๑) ประเภทของแบบกรอกรายการ แบง เปน ๒ ประเภท คอื ไดอยางหลากหลายขน้ึ อยูกับเหตผุ ลของ ๑.๑) แบบกรอกรายการท่ีใชเปนหลักฐาน เชน ใบสมัครงาน ใบตอบรับสินคา นกั เรยี น) แบบกรอกรายการยืมระหวางหองสมุด แบบตอบรับพัสดุไปรษณีย แบบสัญญาซื้อขาย • นกั เรียนคิดวา แบบรายการทน่ี ักเรยี นไดด ู แบบสัญญากูเงิน แบบกรอกรายการตางๆ ของธนาคารพาณิชย เปนตน แบบกรอกรายการ ต้งั แตหนา 100 - 104 มคี วามเหมอื นและความ ดังกลาวสวนใหญมีรูปแบบคงที่ มีความเปนมาตรฐาน อาจมีรายละเอียดตางกันเล็กนอย แตกตา งกันในดา นเนอ้ื หาหรือไม อยา งไร แตใจความสาํ คัญยงั คงเหมือนกัน (แนวตอบ เปนตนวา มีความแตกตา งดา น รายละเอียด ซ่งึ เปน เปา หมายในการกรอก ๑.๒) แบบกรอกรายการที่เปนแบบประเมินผลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงมักจะพบ แบบรายการแตละประเภท) อยูเสมอๆ ไมวาจะเปนแบบสอบถามความคิดเห็น ความพึงพอใจในการใชผลิตภัณฑ สินคา หรอื บริการตา งๆ แบบกรอกรายการดังกลาวจะมรี ปู แบบ เนอ้ื หา แตกตา งกันไปตามวตั ถปุ ระสงค สา� รวจคน้ หา Explore ของการประเมินผลนน้ั ๆ ตัวอยา ง แบบกรอกรายการท่ใี ชเ ปนหลักฐาน นักเรยี นสบื คน ความหมายและความสาํ คัญของ แบบรายการ ประเภทของแบบรายการชนดิ ตางๆ ใบรบั ฝากเงนิ ของธนาคาร รวมถงึ หลักในการกรอกแบบรายการ อธบิ ายความรู้ Explain 1. นักเรียนจัดกลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกัน ๑๐๐ ตั ว อ ย า ง แลกเปลยี่ นความคิดเห็นจากประเด็นคําถาม ดังตอไปนี้ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT • นักเรียนคิดวา แบบรายการหมายถึงอะไร ถา นักเรยี นมคี วามจําเปน ตองกรอกขอความลงในแบบรายการ นักเรียนควร และการกรอกแบบรายการมีความสําคญั จะทาํ สงิ่ ใดกอนเปน อนั ดับแรก อยางไร 1. กรอกขอมลู ตามความเปนจรงิ (แนวตอบ แบบรายการ หมายถึง แบบสาํ หรบั 2. อานขอความในแบบแสดงรายการใหเ ขา ใจ การกรอกขอความทหี่ นว ยงานของรฐั หรอื 3. เลือกถอยคาํ ท่กี ะทัดรัด เพอื่ ใหต รงตามจุดมงุ หมายของแบบรายการ เอกชนจัดทาํ ขนึ้ เพื่อใชป ระโยชนใ นหนวยงาน 4. ปฏบิ ัตติ ามขอ บังคับหรอื คาํ แนะนาํ ในการกรอกแบบรายการนั้นๆ มีความสาํ คญั เน่อื งจากการกรอกขอ มลู ใน อยางเครง ครัด แบบรายการเปน การกรอกตามวัตถปุ ระสงค วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. อานขอ ความในแบบแสดงรายการใหเขาใจ เฉพาะสาํ หรบั การติดตอ กิจธรุ ะแตล ะประเภท) เพราะในการกรอกแบบรายการนกั เรยี นควรอา นทาํ ความเขาใจเน้ือหา รวมถงึ จุดประสงคใ นการกรอกแบบรายการกอ นเปน อันดบั แรก กอนกรอก 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ แบบรายการทกุ ประเภท เกร็ดแนะครู ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเกีย่ วกับการกรอกแบบรายการน้ัน ครู ผูสอนควรเร่มิ ตนเนอ้ื หาการเรยี นการสอนดวยการทบทวนความรูและประสบการณ ของนกั เรยี นเปน สําคญั เพือ่ ใหนักเรยี นมคี วามเขา ใจขั้นพื้นฐานในดานความรูและ ประสบการณจากการกรอกแบบรายการในชวี ติ ประจาํ วนั พรอ มทบทวนวานักเรยี น ประสบปญ หาอยางไรจากการกรอกแบบรายการหรือไม พรอมกนั นั้นครผู สู อนควร ทบทวนความรูความเขา ใจของนกั เรยี นเก่ียวกับความสําคญั ของการกรอกแบบ รายการโดยเชื่อมโยงกับประสบการณเดิมของนกั เรียน หากนกั เรียนกรอกแบบ รายการผิดพลาดจะกอ ใหเ กิดความเสียหายในเรื่องใดบา ง อยา งไร จากน้ันครผู ูสอนจงึ เช่ือมโยงเนอ้ื หาของเรอ่ื ง พรอ มกับใหนักเรียนพิจารณา เปรยี บเทยี บแบบรายการแตล ะแบบวา มเี นอ้ื หาแตกตา งกนั อยา งไร และความแตกตา ง ดานเนอื้ หาดังกลา ว ยอมเกิดจากวตั ถุประสงคใ นการกรอกแบบรายการที่มคี วาม แตกตา งกัน นอกจากนักเรยี นจะสามารถกรอกแบบรายการไดถ ูกตองเหมาะสมแลว นกั เรยี นยงั สามารถสรา งแบบรายการขึ้นมาอยา งครบถวนสมบูรณไ ดอีกดวย 100 คมู่ อื ครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใบสมคั รงาน 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกนั แสดงความคิดเห็น ดังตอไปนี้ ตั ว อ ย่ า ง • แบบกรอกรายการแบง ออกเปน ก่ีประเภท อะไรบาง (แนวตอบ แบบกรอกรายการแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก 1. แบบกรอกรายการ ที่ใชเปนหลักฐาน ซงึ่ แบบกรอกรายการ ชนิดนสี้ วนใหญมีรปู แบบคงท่ี มคี วามเปน มาตรฐาน อาจมีรายละเอียดที่แตกตา งกัน บาง แตใจความสําคญั หรือรูปแบบหลกั ยังคง เหมอื นเดมิ 2. แบบกรอกรายการทีเ่ ปน แบบประเมนิ ผลเก่ียวกบั เร่อื งใดเรือ่ งหน่ึง ซงึ่ แบบกรอกรายการดงั กลาวจะมีรูปแบบ เนอ้ื หา แตกตางกันไปตามวัตถปุ ระสงคข อง การประเมนิ แบบสอบถามแตล ะประเภท) • นกั เรียนคดิ วา การแบงประเภทของแบบ กรอกรายการออกเปน 2 ประเภทขา งตน เปนวธิ ีการแบง ประเภทโดยใชห ลกั เกณฑใ ด (แนวตอบ การแบงแบบรายการท้ัง 2 ประเภท ขึ้นอยกู ับวัตถุประสงคในการนําแบบรายการ ไปใชประโยชนข องแตละหนว ยงาน จงึ สงผล ใหม ีการกาํ หนดเน้ือหาในแบบรายการท่มี ี ความแตกตา งกัน) 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนาช้ันเรียน 101 บูรณาการเช่ือมสาระ เกร็ดแนะครู ครสู ามารถนาํ ความรูเกย่ี วกบั การกรอกแบบรายการในการสมคั รงาน ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเกย่ี วกับการกรอกแบบรายการนั้น ครูผสู อน เชื่อมโยงกับสาระการเรียนรูการงานอาชพี และเทคโนโลยี รายวชิ าการงาน ควรใหนักเรยี นพจิ ารณาเนอื้ หาท่ีปรากฏในแบบรายการวา แบบรายการทที่ าํ การกรอก อาชีพและเทคโนโลยี หนวยการเรยี นรเู รอื่ ง งานอาชพี เนือ้ หาเกี่ยวกับ นน้ั ประกอบดว ยเนือ้ หาเร่อื งใดบางอยางไร โดยพจิ ารณารวมกบั วตั ถุประสงคหรอื แนวทางการเขาสอู าชีพ โดยเชื่อมโยงวธิ ีการกรอกแบบรายการในการ เปาหมายในการกรอกแบบรายการ ซ่งึ มวี ัตถปุ ระสงคแ ตกตางกนั ความแตกตางของ สมคั รงาน เพ่อื แสดงถงึ ขอมูลพ้นื ฐานตา งๆ ในการดาํ เนินชวี ิต รวมถึงระบุ วัตถุประสงคใ นการกรอกแบบรายการดังกลา วยอ มสงผลตอ เนื้อหาทมี่ ีความแตกตา ง รายละเอียดตา งๆ ของตนเองไดอยา งถูกตอ งเหมาะสม เปน พ้ืนฐานทด่ี ี กนั ดว ย และแบบรายการแตล ะประเภทกม็ กี ารนําขอ มูลไปใชแ ตกตา งกนั ดว ย ในการเตรียมตัวสมคั รเขา ทํางาน เหตุนีก้ ารพจิ ารณาเนื้อหาในแบบรายการกอ นท่นี กั เรียนจะกรอกแบบรายการจงึ มีความสําคญั เพราะชว ยใหน กั เรยี นสามารถทราบไดว า แบบรายการที่ปรากฏน้นั เนน ยํา้ ประเดน็ หรือเนอื้ หาในเรือ่ งใดเปนสําคัญ นักเรียนสามารถกรอกเนอ้ื หาดังกลา ว ไดส อดคลองกบั ขอมูลท่ีผูอ อกแบบแบบสอบถามตอ งการ และสามารถนาํ ขอมูล ดังกลา วไปใชไ ดอยางเหมาะสม ค่มู ือครู 101
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรู ตั ว อ ย่ า ง ในประเดน็ ตอไปน้ี • จากการศึกษาแบบรายการจากหนา 100 -103 นักเรียนคดิ วา แบบรายการแตละชนิดมีความ แตกตา งกันหรือไม อยา งไร (แนวตอบ มคี วามแตกตางกนั ดานเนอ้ื หาของ แบบรายการ มกี ารใหรายละเอยี ดโดยเนนย้าํ ประเดน็ สาํ คัญของเนอ้ื หาท่ีมีความแตกตา ง กัน สงผลใหร ายละเอียดในการกรอกแบบ รายการมคี วามแตกตา งกันไปดวย) • นกั เรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ดแบบรายการ แตล ะประเภทจึงมีความแตกตา งกนั และ ความแตกตางกันดงั กลาวสงผลตอ จุดมงุ หมายในการสื่อสารอยางไร (แนวตอบ แบบรายการแตละประเภทมคี วาม แตกตา งกัน เน่อื งจากจดุ มุงหมายและ แนวทางการนําแบบรายการไปใชม ีความ แตกตา งกัน ทาํ ใหแ บบรายการแตล ะประเภท มจี ุดเนน ดา นรายละเอียดทีแ่ ตกตา งกนั นักเรียนสามารถยกตวั อยางแบบรายการ แตละประเภทในหนังสอื เรียนเปรยี บเทยี บกนั ได โดยแบบกรอกรายการทใ่ี ชเปน หลักฐานใน การรับฝากเงินของธนาคารจะพบรายละเอียด ของเจาของบัญชี พรอ มจํานวนเงิน สวนใบ สมัครงานจะเนนประวัตแิ ละประสบการณ เปน หลกั ) 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 102 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดไมเ กี่ยวของ กับคุณสมบตั พิ ืน้ ฐานของผูก รอกแบบรายการ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเก่ยี วกับการกรอกแบบรายการนน้ั ครูผสู อน 1. มที ัศนคติท่ีดี นอกจากจะใหน กั เรียนพจิ ารณาเนอ้ื หาท่ปี รากฏในแบบรายการแลว ครูผูสอนควร 2. มคี วามรบั ผิดชอบ เพิ่มเตมิ ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั แบบรายการวา แบบรายการเปน เอกสารทจ่ี ดั ทํา 3. มคี วามรูความเขา ใจ ขึน้ โดยเวน ที่วา งเอาไวส าํ หรับกรอกรายละเอียดหรือขอความของแตล ะบุคคลลงไป 4. มีความสามารถในการใชภ าษา เพอ่ื ใหสะดวกแกการรวบรวมและนาํ ขอความไปใชประโยชนในดานตา งๆ ตามทีร่ ะบุ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. มที ัศนคติทด่ี ี เพราะคณุ สมบัติพืน้ ฐานของ ขอ มูลเอาไว ฉะน้ัน การใชภาษาในการกรอกแบบรายการจงึ ตอ งสนั้ กระชับ แตให ผกู รอกแบบรายการมีความสอดคลอ งกับขออ่ืนๆ ดงั น้ี มีความซือ่ ตรงและ รายละเอยี ดครอบคลมุ เรอ่ื งทก่ี รอก รับผดิ ชอบ มคี วามรคู วามเขา ใจ มีความสามารถในการใชภาษา และมีความ รอบคอบ สง ผลดตี อ การกรอกแบบรายการไดส มั ฤทธิผล แบบรายการน้ันมหี ลายประเภท ครูควรยกตวั อยางและจัดหมวดหมแู บบรายการ โดยการตัง้ คําถามใหน ักเรียนยกตวั อยางแบบรายการ จากนั้นใหน กั เรียนแยกหมวดหมู และจดั หมวดหมูของแบบรายการแตล ะประเภทตามลกั ษณะเน้อื หาของแบบรายการ โดยใหน ักเรยี นรว มกันพิจารณา เพ่อื ใหน กั เรียนเกดิ ความเขาใจเนอื้ หาในแบบรายการ และเปนพน้ื ฐานในการกรอกรายละเอียดจากแบบรายการไดอยางชัดเจน 102 คู่มือครู
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใบตอบรบั ไปรษณยี ด์ ว่ นพเิ ศษ (EMS) 1. นกั เรียนรว มกันระดมความคิดดว ยการตอบ คําถาม ตอไปนี้ ตั ว อ ย่ า ง • นักเรียนคิดวา การกรอกแบบรายการแตละ ประเภทมีขอดีอยา งไร (แนวตอบ การกรอกแบบรายการมีขอ ดี คอื ใหร ายละเอยี ดครบถวนตรงตามที่ตองการ หากเขียนชแ้ี จงทั้งเรอ่ื งโดยไมม ีการระบุ รายการทตี่ อ งการทราบ เนือ้ หาจะมากเกนิ ไปและไมตรงกบั ความตอ งการของผูอาน มี ความสะดวกสบายในการตอบแบบสอบถาม ไมเ สียเวลา เนื้อหามีความเปน ระเบยี บ และ สะดวกในการดาํ เนินการ) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขยายความเขา้ ใจ Expand ตั ว อ ย่ า ง 1. นกั เรยี นยกตัวอยา งแบบรายการที่ใชเปน หลกั ฐาน พรอ มระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก ตวั อยา่ งแบบฟอรม์ ใบตอบรบั EMS (Express Mail Service) เปน็ บรกิ ารไปรษณยี ด์ ว่ นพเิ ศษ แบบรายการแตล ะประเภทดวยวา การกรอก ซึ่งบริการน้ีสามารถฝากส่งได้ท้ังจดหมาย พัสดุ และธนาณัติ เป็นต้น แบบฟอร์มข้างต้นน้ีมีไว้ แบบรายการทีใ่ ชเ ปน หลักฐานมจี ุดมงุ หมาย ส�าหรับผู้ฝากส่งที่ต้องการหลักฐานการตอบรับของผู้รับ โดยผู้ฝากส่งต้องกรอกรายละเอียดให้ เพอื่ อะไรเปนสําคัญ ครบถ้วนในช่องช่ือและที่อยู่ของผู้ฝากส่งและรายละเอียดของช่ือผู้รับ เมื่อผู้รับได้รับไปรษณีย ์ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตวั อยางไดอยา ง ดงั กลา่ วนแี้ ลว้ ตอ้ งกรอกคา� ตอบรับลงในใบตอบรบั น ี้ จากน้ันบรุ ุษไปรษณีย์จะสง่ ใบตอบรบั EMS หลากหลาย เปน ตน วา ใบสมัครงาน เนน การ ในประเทศกลบั มายงั ผฝู้ ากส่งเพื่อเก็บไว้เปน็ หลักฐาน ใหรายละเอยี ดเก่ียวกับผสู มัครงาน เพอ่ื แสดง ศักยภาพและประสบการณข องผสู มคั รงานเอง 103 ใบตอบรบั สินคาและแบบตอบรับพัสดไุ ปรษณีย จุดมงุ หมายเพ่ือแจงรายละเอียดของสินคา พรอมการตอบรบั แบบสญั ญาซ้อื ขายหรอื กเู งิน จุดมุงหมายเพื่อใหเกดิ ผลผกู พนั ทางกฎหมาย ระหวางสองฝาย รายละเอียดจงึ ตองมีความ ชดั เจน พรอมลงลายมือช่ือในตอนทาย) 2. ครสู ุมนักเรยี น 2-3 คน ออกมานาํ เสนอหนา ชน้ั เรยี น จากน้ันนักเรยี นบันทึกความเขาใจลง ในสมดุ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ขอใด ไมควร ปฏบิ ตั ใิ นการกรอกแบบรายการสัญญา ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเกี่ยวกบั การกรอกแบบรายการนน้ั ครผู สู อน 1. กรอกขอ ความอยา งละเอียด นอกจากจะใหนกั เรียนพิจารณาเน้อื หาทปี่ รากฏในแบบรายการแลว ครผู สู อนควร 2. อานแบบรายการสัญญาอยางละเอียด เพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกับคุณสมบตั ิขัน้ พื้นฐานของผูก รอกแบบรายการวา 3. ปรึกษาผูรูกอนกรอกแบบรายการสญั ญา คุณสมบตั ิพ้นื ฐานของผูก รอกแบบรายการจาํ เปนตอ งมคี ณุ สมบัติ ดังตอ ไปน้ี 4. ลงลายมือชอื่ ในแบบรายการที่ไมไ ดก รอกขอ ความครบถว น ผูก รอกแบบรายการตอ งมีความรคู วามเขาใจทั่วไปเกีย่ วกบั เรือ่ งท่ีตองการกรอก วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ลงลายมอื ช่อื ในแบบรายการท่ไี มไดกรอก มีความรูความเขา ใจเก่ียวกบั ขอ มลู พื้นฐานของตนเอง เชน ขอมูลเกยี่ วกบั วัน เดือน ปเกิด ทีอ่ ยู ภมู ิลําเนาเกิด นามบดิ ามารดา หรือเครือญาติ ชอ่ื ทอ่ี ยขู องบุคคลใกลช ิด ขอ ความครบถวน เนอ่ื งจากการกรอกแบบรายการสญั ญาเปน เอกสารทมี่ ีผล ท่สี ามารถตดิ ตอไดในภาวะฉุกเฉินหรือเมอ่ื เกิดความจาํ เปน หมเู ลือด โรคประจาํ ตวั ผูกพนั ทางกฎหมายระหวางบุคคล 2 ฝา ย หากแบบรายการที่ตองลงลายมอื ประวัตกิ ารแพยา กฎหมายที่เกี่ยวขอ งกบั ตนเอง เร่ืองราวหรอื เหตุการณต า งๆ ชอ่ื มีการกรอกขอมลู ไมค รบถว น อาจมกี ารเปลีย่ นแปลงรายละเอียดของ ทเ่ี กยี่ วขอ ง เมอื่ ผกู รอกแบบรายการมีความรูเ หลา นอ้ี ยางถูกตอ งเหมาะสมแลว สัญญาในภายหลงั ซ่งึ จะสงผลเสียไดใ นอนาคต จะชว ยใหผกู รอกแบบรายการกรอกขอมลู ไดถูกตอง ไมผ ดิ พลาดคลาดเคลอื่ น สามารถกรอกขอมูลไดส อดคลอ งกับจุดมุง หมาย และไมเสียประโยชนท้งั ของตนเอง และผูอ่นื คมู่ อื ครู 103
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนจดั กลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอมรวมกัน แบบกรอกรายการที่เป็นการประเมนิ ผล แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ จากประเด็นคําถาม ดังตอไปนี้ แบบสอบถามความพงึ พอใจในสนิ คา้ และบรกิ าร • นกั เรียนคิดวา แบบกรอกรายการทเี่ ปน การ ประเมนิ ผลมีจุดมงุ หมายในการกรอกแบบ เพศ ❑ ชาย ❑ หญงิ ❑ อาย ุ ............................... ปี รายการอยา งไร ระดับการศกึ ษา ❑ ปริญญาตรี ❑ ปรญิ ญาโท ❑ ปริญญาเอก ❑ อื่นๆ (แนวตอบ จุดมงุ หมายในการกรอกแบบรายการ อาชพี ❑ นกั เรยี น/นักศึกษา ❑ บุคลากร ❑ บคุ คลทั่วไป ประเภททเ่ี ปนการประเมินผล ซ่ึงผูอ่ืนขอ ความรวมมือใหก รอก เพ่ือใหทราบขอเทจ็ จรงิ ประเดน็ ความพึงพอใจ มาก ปานกลาง น้อย ของขอ มลู หรอื ทรรศนะของประชาชนกลุม ตางๆ ท่ีตอบแบบรายการ) ดา้ นบคุ ลากร • นักเรียนคดิ วา การกรอกแบบรายการที่ เปน การประเมินผลตองคํานึงถงึ เรอื่ งใดบา ง ใสใ่ จและกระตือรอื ร้นทจ่ี ะให้บริการ อยางไร (แนวตอบ ความรคู วามเขาใจเนื้อหา ความ ใหค้ า� แนะน�าและตอบค�าถาม สามารถในการใชภ าษา กรอกขอ มลู อยา งตรง- ไปตรงมา เพ่ือใหเ กดิ ความถกู ตอ งของขอ มูล ใหบ้ ริการทันที สะดวกรวดเรว็ เปน การรับผดิ ชอบผลประโยชนทงั้ สว นตน และสว นรวม รวมถงึ กรอกขอมูลดว ยความ พูดจาสภุ าพ ไพเราะ อธั ยาศัยดี รอบคอบ) ด้านบรกิ าร 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ตั ว อ ย่ า ง ให้บรกิ ารชัดเจน ครบถ้วนตามกระบวนการ บรกิ ารอยา่ งเหมาะสม อปุ กรณ์ เครือ่ งมือทนั สมัย ใช้งานงา่ ย มีบอร์ดแจง้ ขา่ วสารชดั เจน ระยะเวลาในการใหบ้ รกิ ารเหมาะสม บรรยากาศ สิ่งอา� นวยความสะดวก ขยายความเขา้ ใจ Expand สิ่งแวดลอ้ มทา� ให้รูส้ กึ ผอ่ นคลาย มที ่นี ง่ั เพยี งพอ 1. นักเรียนยกตัวอยางแบบกรอกรายการท่ีเปนการ สถานทสี่ ะอาดเรยี บร้อย มแี สงสวา่ งเพยี งพอ ประเมนิ ผล พรอมระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก ห้องนา�้ สะอาด แบบรายการ และประเมนิ ผลดวยวา การกรอก ที่จอดรถเพยี งพอ แบบประเมินมีจดุ มงุ หมายเพอ่ื อะไรเปน สําคญั ความคดิ เหน็ เพิม่ เตมิ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถสืบคน ขอ มลู เพ่มิ เตมิ พรอ มยกตัวอยา งการกรอกแบบรายการทเี่ ปน ................................................................................................................................................................................................................................................ การประเมินผลไดจากส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกสป ระเภท ................................................................................................................................................................................................................................................ ออนไลนอยางสือ่ อินเทอรเน็ต) 104 2. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรยี น จากนนั้ นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ลงในสมดุ เกรด็ แนะครู ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเกย่ี วกบั การกรอกแบบรายการนน้ั ครผู ูสอน การกรอกแบบรายการสัญญาในขอใดท่ี ไมควร ปฏบิ ตั ิ ควรเพิม่ เติมความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับคุณสมบัติข้ันพ้นื ฐานของผูก รอกแบบรายการ 1. กรอกขอ มูลดวยลายมอื ท่ชี ัดเจน วา คุณสมบตั ิพ้นื ฐานของผกู รอกแบบรายการจําเปน ตองมีคณุ สมบตั ิ ดังตอ ไปนี้ 2. ปฏิบตั ิตามคําแนะนาํ อยา งเครง ครดั 3. ใชป ากกาหมกึ สดี ําหรอื สีนํ้าเงินเทานนั้ คุณสมบตั ขิ ั้นพืน้ ฐานในการกรอกแบบรายการ คอื ความสามารถในการใชภาษา 4. อา นคาํ อธิบายในแบบแสดงรายการสัญญาอยางรวดเร็ว ความสามารถในการอา นขอ ความและตีความขอ ความที่ปรากฏในแบบรายการได อยางถูกตอ ง และสามารถกรอกแบบรายการไดอ ยา งเหมาะสม เขาใจในจดุ มุง หมาย วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. อา นคําอธิบายในแบบแสดงรายการสัญญา ของการกรอกแบบรายการ ขอ สาํ คญั คือ หากผูกรอกแบบรายการไมเขา ใจแบบ รายการทีก่ รอกในประเด็นใด ใหสอบถามผูรูหรือผูท ม่ี สี ว นเกย่ี วขอ งในประเดน็ น้นั อยา งรวดเร็ว เนื่องจากการกรอกแบบรายการสัญญาเปน เอกสารทมี่ ผี ลผูกพนั นอกจากนี้ ผกู รอกแบบรายการตองมคี วามซอื่ ตรง คอื กรอกขอมลู จรงิ อยา งตรงไป- ทางกฎหมายระหวา งบคุ คล 2 ฝา ย สญั ญานจ้ี ะจัดทําข้นึ เปน แบบรายการ ตรงมา รวมถึงมีความรบั ผดิ ชอบตอ เนอ้ื หาทตี่ นเองไดก รอกลงไปในแบบรายการ เพ่อื ใหคสู ญั ญาเกิดความสะดวก ไมตอ งเรยี บเรียงถอยคาํ ข้นึ เอง เพยี งแต เนอ่ื งจากแบบรายการบางประเภทอาจมผี ลผกู พนั ทางกฎหมาย กอ นกรอกแบบรายการ กรอกขอ มูลเทาน้ัน พรอ มลงลายมือชือ่ กํากับ สญั ญาจึงมีผลสมบรู ณ ฉะน้ัน จึงตอ งพิจารณาอยา งถถ่ี วน กอ นกรอกรายละเอยี ด พรอมลงลายมือชอื่ กํากับ ผกู รอกแบบสญั ญาจงึ ไมค วรรบี อา นเนื้อหารวดเรว็ เกนิ ไป แตค วรอา นดวย เหตนุ ้นี กั เรยี นจงึ ตอ งกรอกขอมลู ดวยความรอบคอบ ความละเอียดถีถ่ ว นและระมดั ระวัง ไมค วรประมาท เพราะหากกรอกขอ มลู โดยไมพ ิจารณาอาจนํามาสูค วามเสยี หายได 104 ค่มู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) หลกั การกรอกแบบรายการ มหี ลกั ในการกรอกแบบรายการต่างๆ ดังน้ี 1. นักเรียนรวมกันระดมความคิดดว ยการตอบ ๑. พจิ ารณาเอกสารใหถ้ ถ่ี ว้ น และทา� ความเขา้ ใจวา่ จะตอ้ งกรอกรายละเอยี ดอะไรบา้ ง คาํ ถาม ตอ ไปน้ี ๒. อา่ นและตคี วามหมายของขอ้ ความในแบบฟอรม์ นนั้ ใหถ้ กู ตอ้ งวา่ เจา้ ของแบบฟอรม์ • นักเรยี นคดิ วา ในการกรอกแบบรายการ ตอ้ งการทราบเกยี่ วกบั อะไร หากไม่แน่ใจตอ้ งถามก่อน อย่าเดาเป็นอนั ขาด ประเภทตางๆ นักเรียนมีขอคํานึงในการ ๓. เขยี นขอ้ ความดว้ ยตนเอง อา่ นงา่ ย และเขยี นรายละเอยี ดเทา่ ทจี่ า� เปน็ กรอกแบบรายการในประเด็นใดบาง อยา งไร ๔. รกั ษาความสะอาด พยายามอยา่ ใหม้ รี อยขดู รอยเปอ้ื น หรอื รอยยบั จนไมน่ า่ ดู (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๕. เขียนให้ได้ใจความกระชับพอเหมาะกับช่องว่าง อย่าเขียนเบียดหรือล้นไปยัง ไดอยางหลากหลาย เปนตน วา อา นเอกสาร ขอ้ ความอน่ื ๆ อยางถถี่ วน และทําความเขาใจรายละเอียด ๖. ควรเขยี นขอ้ มลู ตามความจรงิ ของเอกสาร ตคี วามความหมายใหเขาใจวา ๗. ข้อมูลต้ังแต่ต้นจนถึงข้อสุดท้าย ไม่ควรมีตอนใดขัดแย้งกันเองเพราะท�าให้ขาด เอกสารตอ งการใหก รอกอะไร เขียนขอ ความ ความนา่ เชอ่ื ถอื ดวยตนเอง อา นงา ย และใสเฉพาะราย- ๘. การเขยี นจา� นวนเงนิ ควรตรวจทานดูใหถ้ กู ตอ้ งและควรเขยี นตวั อกั ษรกา� กบั ละเอียดทจี่ าํ เปน เขียนขอมูลตามจริง ขอมลู ๙. เขยี นตวั สะกดการนั ต์ใหถ้ กู ตอ้ ง ไมข ดั แยงกัน เพ่ือสรางความนา เชือ่ ถอื เขียน ๑๐. แบบฟอร์มที่เป็นภาษาต่างประเทศ ผู้กรอกแบบฟอร์มควรกรอกด้วยภาษาน้ันๆ สะกดคาํ ใหถ กู หลกั ภาษา ตรวจทานเอกสาร เวน้ แตจ่ ะมกี ารระบใุ หก้ รอกขอ้ ความเปน็ ภาษาอน่ื อยางละเอียดรอบคอบเสมอ) ๑๑. เอกสารทตี่ ้องมีสา� เนา ควรใส่กระดาษคารบ์ อนใหต้ รงตามจ�านวนทตี่ ้องการ ๑๒. ตรวจทานข้อความที่กรอกอย่างรอบคอบเสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงรายละเอียด 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ท่ีส�าคัญ เช่น การท�าสัญญา การช�าระเงิน เง่ือนไขต่างๆ ตัวเลข ชื่อ-นามสกุล ในเอกสารท่ี เกยี่ วขอ้ งทางกฎหมาย เพราะหากกรอกขอ้ ความผดิ พลาดอาจเกดิ ความเสยี หายภายหลงั ขยายความเขา้ ใจ Expand แบบรายการตา่ งๆ ทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ ประจาำ วนั ไมว่ า่ จะใชเ้ ปน็ หลกั ฐานหรอื ใชป้ ระเมนิ นักเรยี นเลือกแบบกรอกรายการท่ใี ชเ ปน ส่ิงใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ต้องกรอกด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการกรอกแบบรายการท่ีใช้เป็น หลกั ฐานและแบบกรอกรายการท่เี ปน แบบประเมิน- หลักฐานต่างๆ สำาหรับการกรอกแบบรายการที่เป็นแบบประเมินผล ควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับ ผลเกี่ยวกบั เรื่องใดเร่อื งหน่ึงที่นักเรยี นไดท าํ การ สภาพหรือบรกิ ารทีไ่ ดร้ บั เพ่ือให้ขอ้ มูลที่กรอกสามารถนาำ ไปใช้ประโยชน์ได้ และเกิดประโยชน์ สบื คนมาจากการปฏิบัติกิจกรรมขยายความเขา ใจ อยา่ งแทจ้ รงิ ในบทเรยี นที่ผานมา จากนัน้ นกั เรียนนําแบบกรอก รายการดงั กลา วมากรอกรายละเอียด โดยเลอื กใช ภาษาใหเหมาะสมกบั ชนิดของแบบรายการ 105 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู เพราะเหตใุ ดนกั เรยี นจึงตองกรอกแบบรายการดวยความซ่ือตรง ครูผสู อนควรเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั ผลเสยี หายทีเ่ กดิ ขน้ึ จากการ 1. เพอ่ื ใหนกั เรยี นกรอกขอ มลู ไดโดยไมผิดพลาด กรอกแบบรายการ แบงเปน 2 ลักษณะ คอื 2. เพอื่ ปอ งกนั การเสียผลประโยชนของตนเอง 3. เพอื่ ไมใ หเ กิดความเสียหายตอ ขอ มูลที่กรอก 1. เสยี ประโยชนต น การใหร ายละเอยี ดทไี่ มถ กู ตอ งชดั เจนอาจนาํ มาซงึ่ ขอ ผดิ พลาด 4. เพอ่ื ปองกันไมใหเสยี ผลประโยชนทง้ั ผลประโยชนสว นตนและผลประโยชน ตางๆ เชน การกรอกประวตั ิคนไขไ มค รบถวน อาจไดยาทน่ี ํามาสูอาการ แพได หรือการทําขาวของสญู หาย แตใ หร ายละเอยี ดของทอี่ ยูใ นการสง ของ สวนรวม กลับบานไมชดั เจน เปน ตน พฤติกรรมดังกลาวนอกจากจะเกดิ จากความ ไมเขา ใจเน้อื หาในแบบรายการแลว ยงั เกดิ จากความไมเขา ใจวัตถปุ ระสงค วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพอ่ื ปองกันไมใหเ สยี ผลประโยชนท ั้ง และการใหค วามสาํ คัญกบั เนอ้ื หาท่กี รอก จงึ ทําใหกรอกขอ มลู ผิดพลาด ผลประโยชนสวนตนและผลประโยชนส ว นรวม เนื่องจากในการกรอก 2. เสียประโยชนผอู ่นื รวมถงึ ประโยชนข องสว นรวม เชน การสํารวจสาํ มะโน แบบรายการนัน้ ผกู รอกควรกรอกขอมลู ที่เปนจริงเสมอไมค วรใหขอมูลท่ี ประชากรในการจดั สรรสาธารณูปโภค ถาผกู รอกใหขอ มูลเทจ็ หรอื กรอกขอ มูล เปนเท็จ เพราะจะทาํ ใหเกดิ ผลเสยี ตอตนเอง เชน เมือ่ ตองการสง ของแต ไมค รบถว น การประมวลผลขอมลู อาจผิดพลาด สง ผลตอการกาํ หนดนโยบาย กรอกรายละเอียดไมค รบของที่สง อาจไปไมถึงที่หมาย เปน ตน นอกจากน้ี และจัดสรรงบประมาณทผี่ ดิ พลาดไดดว ย ยังสงผลเสยี ตอผอู ืน่ เชน การกรอกแบบสาํ รวจสํามะโนประชากร หากกรอก รายละเอียดทีเ่ ปนเทจ็ อาจเกิดความผดิ พลาดตอฐานขอมูลสงผลเสียตอการ ค่มู ือครู 105 กําหนดนโยบายท่เี กิดจากการแปรขอมูลโดยรวมได
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั คาำ ถามประจาำ หน่วยการเรยี นรู้ ความหมายและความสาํ คัญของแบบรายการ ประเภทของแบบรายการชนดิ ตางๆ รวมถึง ๑. การกรอกแบบรายการมีความเกีย่ วขอ้ งกับชีวิตประจา� วนั หรอื ไม ่ อยา่ งไร หลกั ในการกรอกแบบรายการ ๒. การกรอกแบบรายการไมค่ รบถว้ นมผี ลเสยี อยา่ งไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ ๓. หากไมเ่ ขา้ ใจเกยี่ วกบั รายละเอยี ดทต่ี อ้ งกรอกในแบบกรอกรายการ ควรกรอกหรอื ไม ่ 2. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ียวกบั การ แบงประเภทของแบบกรอกรายการ พรอมระบุ เพราะเหตใุ ด หลกั เกณฑใ นการแบงประเภทและจุดมงุ หมาย ๔. แบบกรอกรายการประเภทใดท่จี า� เปน็ ตอ้ งใช้ความรอบคอบและวิจารณญาณ ในการสอ่ื สารได ในการกรอก จงอธิบาย และยกตัวอยา่ งประกอบ ๕. แบบกรอกรายการที่เปน็ ภาษาต่างประเทศ มีหลักในการกรอกแตกต่างจาก 3. นกั เรียนยกตวั อยา งแบบกรอกรายการท่ใี ช แบบกรอกรายการภาษาไทยอย่างไร เปนหลกั ฐานและแบบกรอกรายการทีเ่ ปน การ ประเมนิ ผล พรอมระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอก กิจกรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ แบบรายการแตล ะประเภทได ๑. ให้นักเรยี นออกแบบแบบกรอกรายการเพือ่ ส�ารวจความคิดเหน็ ในเร่อื งต่างๆ 4. นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกีย่ วกับขอ ทนี่ กั เรยี นสนใจในโรงเรยี น แล้วประเมนิ ผลพร้อมให้ข้อมูลกบั บุคคลทเ่ี กี่ยวขอ้ ง คํานงึ ในการกรอกแบบรายการแตละประเภท เพ่ือน�าไปปรับใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ พรอมยกตัวอยา งประกอบได - วิชาที่เรียนแล้วมคี วามสขุ ทสี่ ดุ 5. นักเรยี นสามารถกรอกแบบรายการประเภท - การบริการในโรงเรยี น ตา งๆ ไดอยางถูกตองเหมาะสม ๒. ให้นักเรยี นร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกับแบบกรอกรายการทส่ี า� รวจความคดิ เห็น หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ของสถาบนั ต่างๆ ว่ามีประโยชน์อยา่ งไรบ้าง แล้วสรุปผลนา� ส่งคร ู ๓. ให้นักเรยี นฝึกเขียนแบบกรอกรายการทีจ่ �าเปน็ ตอ้ งใช้ในชวี ิตประจ�าวัน เพอ่ื ตรวจสอบ 1. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความหมาย และความสาํ คัญของแบบรายการ ประเภทของ ความถูกต้อง และน�าไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ แบบรายการ รวมถึงหลกั ในการกรอก 106 2. ความเรียงสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกับการแบง ประเภทของแบบกรอกรายการ พรอมระบุหลกั เกณฑใ นการแบง ประเภท 3. ตวั อยางแบบรายการทใี่ ชเปน หลกั ฐานและแบบ กรอกรายการทเ่ี ปนการประเมินผล พรอมความ เรยี งระบจุ ุดมงุ หมายในการกรอกแบบรายการ 4. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับขอคาํ นึงใน การกรอกแบบรายการ พรอมตัวอยาง 5. แบบรายการประเภทตา งๆ ท่ีกรอกไดอ ยาง เหมาะสม 6. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. การกรอกแบบรายการมีความเก่ียวของกบั ชีวติ ประจาํ วนั หลายดา น เนื่องจากในการติดตอกจิ ธุระตา งๆ มักมกี ารกรอกแบบรายการทัง้ 2 ประเภท ไดแก แบบกรอก รายการท่ใี ชเ ปน หลักฐาน เชน การสมัครสมาชกิ การสมัครงาน ใบตอบรบั สินคา แบบตอบรบั พสั ดไุ ปรษณีย แบบสัญญาซอ้ื ขายหรือแบบสญั ญากูเ งิน แบบกรอกรายการ ที่เปน แบบประเมนิ ผลเกี่ยวกบั เรื่องใดเร่อื งหน่ึง เชน แบบประเมินความพงึ พอใจของลูกคาในการใชสินคา และบรกิ าร 2. การกรอกแบบรายการไมครบถว นจะสง ผลเสียทง้ั ผลเสยี ตอตนเองโดยตรง เชน หากทาํ สญั ญาซอ้ื ขายแลวกรอกขอความไมค รบถว นยอ มสง ผลเสยี ใหเกิดขอผกู พนั ทางกฎหมายขนึ้ ได นอกจากผลตอ ตนเองแลวยงั สงผลตอ ผอู น่ื หรือสวนรวม เชน หากพจิ ารณาขอ มลู ท่ใี หกรอกคลาดเคล่อื น ยอมสงผลใหก รอกขอ มูลไมต รงกบั แบบสอบถาม การนําขอ มลู ไปใชใ นการวเิ คราะหกอ็ าจมคี วามผดิ พลาดหรือคลาดเคลอ่ื นจากความเปนจริงได 3. หากไมเขาใจรายละเอยี ดในการกรอกแบบรายการ ไมควรกรอก เนอ่ื งจากจะทําใหขอ มูลผิดพลาดหรอื มคี วามคลาดเคลอ่ื นจากจดุ ประสงคใ นการกรอกขอมูลได 4. แบบกรอกขอ มลู ประเภทที่ใชเปน หลักฐานตอ งอาศยั ความรอบคอบและมีวจิ ารณญาณในการกรอกขอ มูล เนื่องจากขอ มลู ท่ีกรอกอาจมีผลผกู พนั ทางกฎหมาย เชน การทาํ สญั ญาซอ้ื ขายหรอื กยู มื เงนิ 5. แบบกรอกรายการภาษาตา งประเทศนั้นควรกรอกตามภาษาท่ปี รากฏในแบบรายการ เวนแตจ ะมีการระบใุ หกรอกขอความเปน ภาษาอ่นื ความแตกตา งจึงขนึ้ อยูกบั ภาษา ที่ใชในการกรอกขอ ความ 106 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ óตอนท่ี การฟง การดู และการพูด นักเรยี นพจิ ารณาภาพหนาตอน จากนน้ั ครู สนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การฟงและการดู เปนทักษะการรับสารทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา • จากความเจรญิ กา วหนา ดานเทคโนโลยีและ ที่ใชในชีวิตประจําวันมากท่ีสุด เปนทักษะพื้นฐานของการพัฒนาศิลปะภาษา การส่อื สารมวลชนในปจจบุ นั นกั เรยี นคดิ วา ดา นอน่ื ๆ ปจ จบุ นั วทิ ยาการตา งๆ ตลอดจนเทคโนโลยแี ละสอ่ื มวลชนเจรญิ กา วหนา ทักษะการสอ่ื สารประเภทใดมคี วามสําคญั อยางรวดเร็ว ทักษะการฟงและการดูจึงย่ิงมีความจําเปนและความสําคัญมากข้ึน ตอชวี ติ ประจาํ วนั ของนักเรยี นมากทส่ี ดุ ผูรับสารจึงควรมีหลักเกณฑและมารยาทในการเลือกฟง เลือกดูส่ือตางๆ เพ่ือให (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอยา ง เกิดประโยชนตอ ตนเองและสังคมมากทส่ี ุด หลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนักเรียน เปนตนวา ทักษะการฟง การดู และการพูด เปนทกั ษะทจี่ าํ เปน ในการสอื่ สารในชีวติ ประจาํ วัน โดยเฉพาะอยางยง่ิ การติดตอ สอื่ สารผานเทคโนโลยที างการสือ่ สาร ประเภทตางๆ) • นกั เรียนคดิ วา ทักษะการฟง การดู และการ พูดมคี วามสมั พันธก นั อยา งไร โดยเฉพาะ อยา งยิง่ การตดิ ตอส่ือสารผานเทคโนโลยีใน ชวี ติ ประจาํ วัน (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง หลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น เชน ทักษะการฟง การดู และการพูดเปน ทกั ษะท่ีจําเปน ในการส่ือสาร ดว ยการรับสาร ทางวัจนภาษาและอวัจนภาษา รวมถึงการ สอื่ สารสองทาง โดยการไดรับขอ มูลและการ ตอบกลับขอ มลู ) เกรด็ แนะครู การเรยี นรูในตอนที่ 3 เร่ือง การฟง การดู และการพูดนี้ ครคู วรเพ่มิ เติมความรู ความเขาใจเกี่ยวกับทักษะการสอ่ื สารและทกั ษะการใชภ าษาจากสาระการเรยี นรูใน กลมุ สาระการเรยี นรูภาษาไทยท้ัง 5 สาระ ประกอบดว ยสาระตา งๆ ดังน้ี สาระทีม่ ี ลักษณะการสอนท่สี ัมพนั ธกนั ในฐานะผูส ง สารและผรู ับสาร คอื สาระการฟง การดู และการพูด การส่อื สารในฐานะผูสง สาร คอื การพดู การสือ่ สารในฐานะผูรับสาร คือ การฟง และการดู ดังนนั้ การจดั การเรียนการสอนตามสาระการเรยี นรูน้ี จงึ ควรจดั ในลักษณะที่แสดงใหเห็นความสัมพนั ธข องทกั ษะการสือ่ สารท้ังการรับสาร และการสงสาร และการท่สี าระนก้ี าํ หนดใหผเู รยี นเรยี นรทู ักษะการรับสารและการ สง สารทั้งสองสว นนี้พรอ มกนั ถือเปน แนวทางท่ีเหมาะสมในการพัฒนาประสทิ ธภิ าพ ในการสือ่ สารมากย่งิ ขึน้ การเรียนรูด ว ยวธิ ีการผสมผสานทกั ษะทางการสือ่ สารท้งั ใน ดา นการรับสารและการสงสาร ถือเปนสวนสําคญั ทีช่ วยใหน ักเรยี นสามารถนาํ องค ความรูทไ่ี ดจ ากการสอื่ สารมาประยกุ ตใ ชในการดาํ เนนิ ชวี ติ ไดเ ปน อยางดี นอกจากน้ี การเรยี นรูทักษะการรบั สารและการสงสารไปพรอ มกนั ยังชวยปรับปรงุ บุคลกิ ภาพ สรา งความมัน่ ใจในตนเองของนักเรยี นใหดียิง่ ขน้ึ คมู่ ือครู 107
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. มีวิจารณญาณในการเลือกเร่อื งที่ฟงและดู ตอนท่ี ๓ 2. มีมารยาทในการฟงและการดู สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป ญหา 4. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพึงประสงค การฟงและการดู 1. ใฝเรยี นรู เปนทักษะการรับสารทั้งวจั นภาษา 2. มุงม่ันในการทํางาน และอวจั นภาษาทใ่ี ชใ นชวี ิตประจําวัน 3. รกั ความเปน ไทย ของมนษุ ยม ากท่สี ุด ในปจจบุ นั ทกั ษะการฟง และการดยู ิ่งมคี วามสําคัญมากขึน้ เพราะความ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ñหนวยการเรยี นรูท่ี เจรญิ กา วหนา ทางเทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน และ กจิ กรรมตางๆ ทชี่ มุ ชนจัดขนึ้ นอกจากนก้ี ารฟง นกั เรียนพจิ ารณาภาพหนา หนวย จากน้ันครู การดยู งั เปน พ้ืนฐานของการพัฒนาทักษะทาง สนทนาซักถามกระตุน ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ภาษาดานอื่นๆ อีกดวย ดงั นนั้ จงึ ตอ งมหี ลักเกณฑ และมารยาทในการเลอื กฟง เลือกดูส่งิ ตา งๆ เพ่อื ให • นักเรยี นคิดวา บุคคลในภาพใชทกั ษะใดบาง ในการส่อื สาร เกดิ ประโยชนต อตนเองและสงั คม (แนวตอบ ทกั ษะการฟง และการดสู อื่ ) หลกั การฟง และการดสู อ่ื • นกั เรียนคดิ วา ทกั ษะการส่อื สารดงั กลาว ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ กนกลาง ขางตนมีความสาํ คญั ตอ โลกยคุ ปจ จบุ ัน ตลอดจนชวี ิตประจําวนั ของนกั เรียนอยา งไร • มีวจิ ารณญาณในการเลือกเร่ืองทฟี่ ังและดู • การเลอื กเรอื่ งทฟ่ี งั และดอู ย่างมวี ิจารณญาณ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอ ยา ง (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๔) • มารยาทในการฟังและการดู หลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของนกั เรยี น) • มีมารยาทในการฟังและการด ู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) เกรด็ แนะครู การเรียนการสอนในหนว ยการฟงและการดูน้นั เปนการเรียนรทู ่ีสาํ คญั เพราะ การฟง และการดู เปน ทกั ษะการส่ือสารท่พี บในชวี ิตประจําวนั มากทสี่ ดุ โดยเฉพาะ อยา งย่งิ ในปจจุบนั เมื่อเทคโนโลยีการติดตอส่ือสารทง้ั ส่อื อินเทอรเน็ต โทรศัพทมือถือ และสอื่ สารมวลชนไมว าจะเปนสอื่ วิทยุ โทรทศั น หรือสอ่ื ทางเลือกตางๆ มกี าร เผยแพรขอมลู ขาวสารและความบนั เทิงไดอยา งหลากหลาย โดยมีวิธกี ารสอื่ สารผา น ท้ังภาพ และเสียง ซง่ึ เปนกระบวนการทีเ่ กดิ ขึน้ พรอมๆ กัน นอกจากนักเรียนจะเปน ผูเสพสื่อ นกั เรยี นยังทาํ หนา ท่ีในฐานะของผสู ง สารไดอกี ดวย นกั เรยี นจงึ ควรเรยี นรู วธิ กี ารฟงและดสู ือ่ รวมถงึ การพจิ ารณาทัศนคติของบคุ คลอืน่ ๆ ท่แี สดงความคิดเหน็ ในส่อื ทีน่ ักเรยี นฟง และดู เพอ่ื ใหนกั เรียนมีวจิ ารณญาณในการรับสาร และไมถูกช้นี ํา ทางความคิด ครูผสู อนจงึ ตอ งจัดกิจกรรมเพอ่ื ฝกใหนักเรียนเขาใจหลักการในการฟง และการดู ซึ่งจะสงผลดีตอตวั ผูเรยี นในการปรบั ประยกุ ตใ ชเปน ทกั ษะสาํ คญั ในการ ดาํ เนินชีวิต 108 ค่มู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ความสําคัญของการฟงและดสู อ่ื ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา ในชวี ิตประจําวันนักเรียน แมวายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงกาวหนาไปอยางไร ความเจริญทางเทคโนโลยีจะพัฒนาข้ึน ไดรบั ขอ มูลหรอื เร่ืองราวขา วสารประเภท เพยี งไหนก็ตาม การฟง และการดูก็ยังคงเปนส่ิงจําเปน ในชีวติ ประจาํ วนั เพราะการฟงเปน พนื้ ฐาน ตางๆ จากแหลงใดบา ง สําคญั ของการเปน ผูรหู รือนักปราชญ ดงั ทสี่ มเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดศิ ร กลา ววา (แนวตอบ เปน ตนวา ปา ยโฆษณาวทิ ยุ โทรทศั น อนิ เทอรเ น็ต) เวน วจิ ารณวางเวน สดับฟง เวน ทีถ่ ามอนั ยงั ไปร ู • นักเรยี นมวี ิธีการทาํ ความเขา ใจเน้ือหาของ เวน เลา ลขิ ติ สัง- เกตวา ง เวน นา ขอมูลขา วสารทีไ่ ดร ับ รวมถงึ วเิ คราะหความ เวนดัง่ กลา ววา ผู ปราชญไดฤ ๅมี นาเชือ่ ถือของขอ มลู อยา งไร (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอ ยา ง (โคลงโลกนติ ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) หลากหลายขน้ึ อยูกับเหตุผลของนกั เรียน) การสดับฟง จึงหมายความวา การฟงอยางตั้งใจและฟงดวยความเอาใจใส การสดับฟง จึงตองครอบคลุมทั้งการฟงจากการอาน การฟงจากส่ืออิเล็กทรอนิกส การฟงขณะดูโทรทัศน การฟงจงึ ตา งจากการไดย ิน เพราะการไดย นิ เปน การท่ีเสยี งผานทางประสาทหูเทานน้ั สา� รวจคน้ หา Explore ๒. ประเภทของการฟงและการดูสอ่ื นกั เรียนสืบคนความสําคญั ประเภท การฟง และการดู แบง เปน ๒ ประเภท ดังน้ี จุดมงุ หมาย ประสทิ ธิภาพ หลกั การ วิธกี ารเลอื ก ๑) การฟง การดูโดยไมตั้งใจ คือ ไมมีเจตนาโดยตรงท่ีจะฟงหรือดู เชน ขณะขับรถ รวมถึงมารยาทในการฟงและการดูสื่อ สายตาดูปายโฆษณาอยางผานๆ หรือเปดวิทยุในรถเพื่อใหเพลินๆ บางครั้งการรับฟงและการดู เชนนี้กอ็ าจเกดิ ประโยชนได เชน การฟง การดสู ารคดสี ้ันๆ หรอื การฟง การดขู าวตนช่วั โมง เปน ตน ๒) การฟง การดูโดยต้ังใจ คือ การฟงและการดูที่มีจุดมุงหมายชัดเจนในการฟงและ อธบิ ายความรู้ Explain การดูในครงั้ นัน้ ๆ เชน การฟงคาํ รายงานในวชิ าตา งๆ การดรู ายการศึกษาทางไกลผา นดาวเทยี ม 1. ครกู าํ หนดสถานการณใหน ักเรยี นแสดงบทบาท เปน ตน สมมตใิ หสอดคลอ งกบั เนอ้ื หาทเ่ี รียน จากนนั้ นักเรียนรวมกนั ระดมความคดิ เห็นดว ยการตอบ คําถาม ตอ ไปนี้ • นกั เรียนคิดวา การเหน็ กับการดู และการฟง กบั การไดยนิ มีความแตกตางกันหรอื ไม และความแตกตา งดังกลา วสงผลตอ กระบวนการคดิ ทเ่ี กิดจากการรบั สารอยา งไร (แนวตอบ มคี วามแตกตางกนั ดา นคุณภาพของ การรับสาร ถา เปน การฟง และการดจู ะ ไดเ น้อื หาครบถว นมากกวาการเห็นและ ▼ การฟงการบรรยายวชิ าการตอ งหาขอมลู เพมิ่ เตมิ เพ่อื เปน การเตรียมความพรอ มและไดรบั ประโยชนจากการฟงมากทส่ี ุด การไดยิน กระบวนการรบั สารดังกลา วยอม ๑๐๙ สงผลตอการประมวลผลความคิดจากขอมลู ทไ่ี ดรบั แตกตางกัน) 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับประสิทธิภาพในการฟง และการดสู ่ือ ดาราหญิงผหู นึง่ แสดงบทรายไดสมจริงจนผูดูบางคนเกลียด เธอไปซอ้ื ของ ตามตลาดแมค า ก็ไมข ายให สดุ ากับลกู สาวอายุ 10 ขวบ ดูละครทดี่ าราผูน้ี ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเร่ืองการฟงและการดสู ่อื น้ัน ครคู วรเนน แสดง สุดาจะคุยกบั ลูกเสมอเวลาดโู ทรทัศน ทบทวนประสบการณของนกั เรยี นเปนหลัก เนอ่ื งจากการส่ือสารท้งั สองประเภท อนั ไดแก การฟง และการดูนั้น เปน การส่ือสารที่เกิดข้นึ ในชีวติ ประจําวันของนักเรียนมาก คําพูดในขอ ใดแสดงวาทกั ษะการดขู องสุดาถูกตอ ง ท่สี ดุ ครูควรชแ้ี นะนักเรียนวา ในชวี ิตประจําวันของนกั เรยี น นักเรยี นใชท ักษะการ 1. ยายคนนใ้ี จรายมาก ลกู ไมควรเอาอยา ง ฟง และการดมู ากกวา ทักษะอยา งอ่ืน ทงั้ เรื่องทีม่ ีความสําคญั กับชีวิตประจําวันและ 2. ลกู อยาไปเกลยี ดเขาเลย เขาแสดงไปตามบทบาทเทานั้น เรอ่ื งอ่นื ๆ ในหลายชว งเวลา และหลากหลายโอกาส ปจ จบุ ันนกั เรยี นจะพบวา ขอ มลู 3. แมว าเราเลิกดูละครเรื่องน้เี ถอะ คนอะไรรา ยจนทนไมไ หวแลว ขา วสารท่ไี หลเวยี นในสอื่ ตา งๆ มเี ปน จาํ นวนมาก และมรี ปู แบบท่ีหลากหลาย การ 4. ลูกตองเขา ใจนะวานเี่ ปน การแสดง ลกู ดเู ขาแลว ลองคิดดวู าทาํ ตวั จดั การขอมูลขาวสารทม่ี คี วามหลากหลายดังกลา วยอ มตอ งอาศัยทักษะความรูและ ประสบการณทีต่ องไดรบั การฝก ฝนอยา งเต็มท่ี เพอื่ ใหมปี ระสิทธภิ าพในการรับขอมูล อยางนน้ั เหมาะไหม ขา วสารทัง้ จากการฟง และการดสู ่ือ ครูควรชแ้ี นะนกั เรียนเพ่มิ เตมิ วา สมรรถภาพการ ฟง และการดูของคนเราไมเทา กนั ข้นึ อยูกับการฝกฝน ย่งิ นกั เรยี นมีอายุมากขึน้ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ลูกตองเขาใจนะวาน่ีเปนการแสดง ลกู ดู ยงิ่ ตอ งรบั ทราบขอ มูลขาวสารทม่ี คี วามซับซอนมากย่งิ ขึ้น การพฒั นาทกั ษะการรับ ขอมลู ขา วสารในขณะนี้จึงถือเปน เรื่องจาํ เปน อยางย่ิง เขาแลว ลองคิดดูวา ทาํ ตวั อยางน้ันเหมาะไหม เพราะสุดาไดใชเนอ้ื หาดงั กลาว ในการส่งั สอนลกู และแนะนําลกู ใหใ ชวจิ ารณญานในการดู สวนขอ อืน่ ๆ มี เหตผุ ล คือ ขอ ท่ี 1. และขอที่ 3. เปน การดวนสรุป สว นขอ ท่ี 2. และขอ ท่ี 4. แมจ ะมลี กั ษณะรว มกันคือ การแสดงตามบทบาท แตข อท่ี 4. มีความชดั เจน ตรงท่ีช้ีใหล ูกใชวจิ ารณญาณในการดู คมู่ อื ครู 109
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. ครสู มุ นกั เรยี นแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ ๓. จุดม่งุ หมายของการฟงั และการดสู ่อื หนาช้ันเรยี น • นักเรียนคดิ วา จดุ มงุ หมายในการฟงและการ ดูสอ่ื มคี วามสมั พนั ธกบั การเลอื กประเภทของ การฟงั และการดมู จี ุดมุ่งหมายหลกั ดงั น้ี สารหรือไม อยา งไร ๑) ฟังและดูเพ่ือให้เกิดความรู้ความคิด เป็นการฟังเพ่ือเพิ่มสาระความรู้ให้กว้างขวาง (แนวตอบ มคี วามสมั พนั ธก ัน เน่ืองจากสอื่ ยงิ่ ขน้ึ เช่น การฟังคา� บรรยายในรายวิชาตา่ งๆ การฟงั ปาฐกถา การฟงั สนุ ทรพจน ์ การฟังเช่นน ี้ แตล ะประเภทมักใหส าระสําคัญ รวมถงึ ผฟู้ ังผูด้ ตู อ้ งใช้ความคดิ ตามและมีวิจารณญาณในการฟงั ความรูส ึกท่แี ตกตางกัน) ๒) ฟังและดเู พื่อให้เกิดความเพลดิ เพลนิ เปน็ การฟงั และการดทู ช่ี ่วยผ่อนคลายอารมณ์ ตึงเครียด เช่น การฟัง การดูละครเพลง การดูละครเวที การฟังโต้วาที การฟังและการดูตลก • นกั เรยี นคดิ วา การส่ือสารดว ยการฟง และ หรือรายการบันเทิงตา่ งๆ การดมู ีขอ จาํ กัดในดา นใดบา ง อยา งไร ๓) ฟังและดูเพ่ือติดต่อส่ือสารในชีวิตประจ�าวัน เป็นการฟังการดูท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ (แนวตอบ การฟง หรือการดสู ื่อโดยสว นใหญ การส่ือสารโต้ตอบกัน เช่น ในการพูดคุยโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยการฟังเพ่ือส่ือสารโต้ตอบกลับไป ไมส ามารถยอนทวนได ผูดูหรอื ผฟู ง จงึ ตอ งใช ใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม เปน็ ตน้ สมาธใิ นการรับสาร และจดจําเรื่องราวตา งๆ ๔) ฟังและดูเพ่ือหาสาระและคติชีวิต เป็นการฟังท่ีมุ่งยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ผู้ฟัง ใหด )ี และผู้ดูจะเกิดปัญญางอกงามขึ้นและมีแนวทางการด�าเนินชีวิตดีงามท่ีผู้ฟังผู้ดูสามารถน�ามาเป็น แนวทางในการปรับปรุงตนเอง อันเป็นการพัฒนาตนเองในทางสร้างสรรค์ เช่น การฟังเทศน์ • นักเรยี นคดิ วา นักเรียนมีวิธีการพฒั นาทกั ษะ การชมการแสดง เปน็ ต้น หรือประสทิ ธิภาพในการฟง และการดูสื่อ อยางไร (แนวตอบ อยูในพนื้ ทีท่ ี่มสี ภาพแวดลอ ม เหมาะสม ต้ังใจดหู รือฟง ใชความคดิ ตดิ ตาม ๔. ประสทิ ธภิ าพการฟงั และการดูสื่อ เรื่องราวและลาํ ดบั เหตุการณไดอยา งถกู ตอ ง นําสาระประโยชนไปประยกุ ตใ ชใน การฟงั และการดูสือ่ ต่างๆ ให้มีประสทิ ธภิ าพ ควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี ชีวิตประจาํ วันได พรอ มทง้ั ประเมนิ เรือ่ งราว ๑. มีความต้ังใจ สนใจเรอ่ื งราวท่ีฟังและดู โดยใชเหตุผลวจิ ารณแยกแยะเนื้อหาทีไ่ ดจาก ๒. ไดย้ ินชัดเจน มีประสาทหดู ี การฟงและดสู อ่ื ประเภทตา งๆ ได) ๓. มีสมาธิในการฟังเพื่อใหจ้ ดจา� เรื่องที่ฟังได้ดี เพราะการฟังน้ันย้อนทวนไมไ่ ด้ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ๔. ใชค้ วามคิดในขณะท่ีฟังและดู ๕. ติดตามเรอ่ื งราวทีฟ่ ังท่ีดูและสามารถลา� ดับเหตกุ ารณ์ไดถ้ ูกต้อง ๖. เขา้ ใจเร่ืองราวทีผ่ ู้พดู พูดและแปลความท่ฟี ังได้ โดยอาศยั ประสบการณพ์ ้ืนฐาน ขยายความเขา้ ใจ Expand ๗. ฟงั และดแู ล้วสามารถนา� สาระประโยชน์จากการฟังและการดูไปใช้ในชีวิตประจา� วนั ได้ 1. นักเรียนรวมกนั อภิปรายและยกตวั อยา งสือ่ ๘. สามารถประเมนิ เรือ่ งราวตา่ งๆ ท่ีไดจ้ ากการฟงั และการด ู โดยใชเ้ หตุผลวิจารณแ์ ยกแยะ สิง่ ทฟ่ี ังและดูได้ ประเภทตางๆ พรอ มอภิปรายวา การฟงและ ดูส่ือประเภทตา งๆ กอใหเ กดิ ประโยชนก ับ นกั เรียนอยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได อยา งหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผลของนกั เรยี น) 110 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั จุดมุงหมายในการฟง เกรด็ แนะครู ครคู วรเพ่ิมเติมความรูค วามเขา ใจเกี่ยวกับทกั ษะการดูซ่ึงเปนทกั ษะท่ีมักใชค วบคู การฟงในขอใดมจี ุดมงุ หมายตางจากขอ อื่น กับทกั ษะการฟง เพ่อื ใหนักเรียนเกดิ การเรยี นรูทกั ษะทงั้ สองประเภทควบคูกนั เพอ่ื 1. วนั ดีฟงถา ยทอดสดการแถลงนโยบายของรัฐบาล ใหส อดคลองกับสภาพสงั คมตลอดจนการดําเนินชวี ติ ของคนในยคุ ขอมูลขาวสาร 2. วนั เพ็ญฟงการอภปิ รายเรื่องใชชีวติ อยา งไรใหพ อเพยี ง ในปจ จบุ ัน ทักษะการดมู ีความสําคัญมากในชีวิตประจําวัน การพฒั นาทกั ษะการดู 3. วันรุงฟง วทิ ยุรายการตลาดเชาขาวสด ชว ยในการรับสารทดี่ ขี ้นึ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอไปน้ี 4. วนั งามฟงเพลงในรายการดนตรีกวศี ลิ ป 1. การดูชวยใหเ กดิ การรับขอมลู ขาวสารไดอ ยางรวดเรว็ มากกวาการฟง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. วนั งามฟง เพลงในรายการดนตรกี วศี ิลป 2. ชวยกระตุน การรบั รู ชว ยใหร ับรูไ ดเ รว็ 3. ชวยในการจดจาํ ไดเ ร็วขน้ึ เพราะการฟง ในขอ ที่ 1. ขอที่ 2. และขอ ที่ 3. มจี ดุ มงุ หมายเพือ่ รบั ขอ มลู 4. เกิดความรูส ึกจรรโลงใจจากภาพท่ดี ู ความรู แตก ารฟงในขอที่ 4. เปนการฟง ทีม่ ีจุดมุงหมายในการจรรโลงใจ ขอท่ี 4. จงึ มีจุดมุงหมายแตกตางจากขออื่น 5. การสอ่ื สารผา นภาพชวยใหส ามารถตดิ ตอส่ือสารโดยไมม ขี อ จาํ กัดดวยปจจัย ตางๆ ไมวา จะเปน ภาษา หรอื ความบกพรอ งทางการสื่อสาร เชน หหู นวก หรืออยใู นพืน้ ทีท่ ีม่ เี สียงรบกวน เปน ตน ดังคาํ กลา วท่วี า ภาพภาพเดียว สามารถแทนคาํ พูดไดนับลานคาํ 110 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ๕. หลักการฟงั และการดูสอ่ื 1. นักเรยี นจัดกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปนี้ • นักเรียนคิดวา การเลาเรื่องหรอื การบอกเลา การฟัง การดูส่ือต่างๆ เป็นทักษะท่ีมีความส�าคัญเพราะเป็นการรับสารที่ท�าให้เกิดการ เน้อื หาจากสอ่ื ประเภทตางๆ มปี ระโยชน เรียนรู ้ และมหี ลกั การฟงั การดสู ่ือตา่ งๆ ดังนี้ ในการประเมนิ สารที่ไดจ ากการฟงและดู ๑) หลักการฟงั จากบคุ คลและการดูจากกจิ กรรมการแสดง อยางไร ๑. เลา่ เร่ืองจากการฟังและดูได้ถูกต้อง (แนวตอบ ความสามารถในการเลาเร่ืองหรือ ๒. แสดงความคดิ ของตนเองทีม่ ตี ่อเร่อื งที่ฟงั และดูได้ บอกเลา เน้อื หาท่ีไดจากการฟงและการดู ๒) หลักการฟงั การดูข่าวและเหตุการณท์ ง้ั เรอ่ื งใกล้ตวั และไกลตวั ยอมเปนสวนสําคญั ในการสะทอ นความ ๑. สามารถฟังแลว้ ถ่ายทอดเร่อื งราวได้ถกู ต้อง เขาใจของนักเรยี นที่มตี อ เนอื้ หาจากเรือ่ งท่ี ๒. สามารถระบแุ หล่งทม่ี าของข่าวได้ ฟงและดู ความเขาใจดังกลาวสามารถนํามา ๓. สามารถวนิ ิจฉยั ได้วา่ ขา่ วนั้นๆ ควรเชอ่ื หรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ใชใ นการประเมนิ สารจากเรอื่ งท่ีฟงและดูได) ๓) หลักการฟงั การดคู า� อธิบายต่างๆ • นักเรยี นคดิ วา เหตใุ ดจึงมีวธิ กี ารประเมนิ ๑. จับใจความส�าคัญได้ เรอ่ื งที่ฟง และดจู ากสือ่ ประเภทตา งๆ ๒. ตอบค�าถามหรอื ปฏบิ ตั ติ ามได้ ตวั อยา งเชน การแสดง ขาวและเหตกุ ารณ ๓. รู้จกั จดบันทกึ ได้ครบถว้ น รวมถงึ คาํ อธบิ ายตา งๆ ดว ยวิธีการท่ี แตกตางกัน (แนวตอบ เน่ืองจากจดุ มุง หมายในการส่อื สาร ของสอื่ แตล ะประเภทมคี วามแตกตา งกนั วิธี สรรพส์ าระ การรับและสงสาร รวมถึงลกั ษณะของสาร ตลอดจนจุดมงุ หมายในการรบั สารจากการ โทรทัศน์ โทรทศั น ์ เปน็ สอ่ื อกี ชนดิ หนง่ึ ซง่ึ ไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งกวา้ งขวางในปจั จบุ นั เนอ่ื งจากเปน็ ฟงและการดสู ื่อแตล ะประเภทกม็ คี วาม ระบบโทรคมนาคมทส่ี ามารถกระจายและรบั ภาพเคลอ่ื นไหวและเสยี งไดใ้ นระยะไกล แตกตางกนั ดว ย การประเมินคุณคาของส่อื คาำ วา่ โทรทศั นใ์ นภาษาไทย มที ม่ี าจากคาำ ยมื ภาษาองั กฤษวา่ television แลว้ เลอื กใชศ้ พั ท์ จงึ มคี วามแตกตางกัน) สนั สกฤตทม่ี ใี ชอ้ ยแู่ ลว้ บญั ญตั ศิ พั ทข์ น้ึ ใชใ้ นภาษาไทย คอื คาำ วา่ โทร (ระยะไกล) และคาำ วา่ ทศั น์ 2. ครสู ุม นักเรียนแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ (การมองเหน็ ) แตม่ กั เรยี กกนั โดยยอ่ วา่ ทวี ี (TV) โทรทศั นเ์ ครอ่ื งแรก (ขาว-ดาำ ) ของโลก สรา้ งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ เปน็ ผลงานการประดษิ ฐข์ องจอหน์ ลอกก ้ี เบรยี ด ชาวสกอตแลนด์ หนาชั้นเรียน ประเทศไทยเรม่ิ มกี ารแพรภ่ าพโทรทศั นเ์ มอ่ื วนั ท ่ี ๒๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยบรษิ ทั ขยายความเขา้ ใจ Expand ไทยโทรทศั น ์ จาำ กดั ทางสถานโี ทรทศั นไ์ ทยทวี ี ชอ่ ง ๔ จากวงั บางขนุ พรหม (ปจั จบุ นั พฒั นาเปน็ สถานโี ทรทศั น ์ โมเดริ น์ ไนนท์ วี ี ออกอากาศคขู่ นานกบั ชอ่ ง MCOT HD ในระบบดจิ ทิ ลั ) 1. นักเรยี นจบั สลากเลอื กฟง และดูสือ่ ประเภทใด ประเภทหน่งึ จากส่ือ 3 ประเภท ไดแ ก ขา ว การแสดง หรือคําอธบิ าย จากนน้ั นกั เรยี นเขียน สรปุ เน้อื หา พรอ มบอกไดวา ส่ิงทดี่ หู รือฟง น้ัน 111 มีจุดมุง หมายอยา งไร บนั ทกึ ความเขา ใจลงใน ขอสอบ O-NET สมดุ 2. ครสู มุ นักเรยี น 3 - 4 คน นําเสนอหนา ชั้นเรยี น ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกับจุดมงุ หมายในการฟง เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปน การฟง เพอ่ื การรับรอู ยางเดนชัด ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู ก่ยี วกับการรับขอ มลู ขา วสารทมี่ ีความหลากหลายในปจจบุ ัน 1. สุรพลฟงละครวิทยเุ รอ่ื ง “ลืมโกรธไดก ค็ ลายเครยี ด” และธรรมชาติของขอมลู ขาวสาร โดยชีแ้ นะใหนกั เรยี นเหน็ วา สอื่ ท่ีนาํ เสนอเรอื่ งราว 2. สนุ ยั ฟงรายการสนทนาเรอ่ื ง “รน่ื รมยใจในเรอื สําราญ” ขา วสารในปจจุบนั มคี วามหลากหลายและมีจํานวนมาก ถกู จัดทําขน้ึ ตามทัศนคติและ 3. สุพรฟงพอ แมเ ลา เรอ่ื ง “พิพธิ ภณั ฑสถานแหงชาติ” ความรูสกึ ของผสู ง สาร ผูร ับสารจงึ ตองรจู ักพจิ ารณาไตรต รองขอ มูลนนั้ ๆ ดวยการ 4. สุนดิ าฟงสักวากลอนสดเร่ือง “รอ ยกรองเพราะเสนาะโสต” รบั สารทง้ั ในการฟง การดู รวมถงึ การอา นอยางมวี จิ ารณญาณ โดยมีขนั้ ตอน ดังนี้ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. สพุ รฟง พอแมเ ลา เรอื่ ง “พิพธิ ภัณฑสถาน- 1. ฟง และดใู หเขา ใจเรอ่ื ง ใหร ูวา เนอ้ื เรอ่ื งเปนอยางไร มสี าระสาํ คญั อะไรบา ง 2. วเิ คราะหเรอ่ื ง ทง้ั ในแงของประเภท รปู แบบ และทศั นคติ หรือแนวคดิ ท่ี แหง ชาต”ิ สอดคลองกบั การฟง เพ่ือการรับรูม ากท่สี ุด เนอ่ื งจากการฟงเนื้อหา ในลักษณะนี้ เปน การรบั รูขอมูลเปน หลัก สวนการฟงในขอที่ 2. และขอท่ี 4. สอดแทรก เปน การฟง เพ่อื ความเพลดิ เพลนิ และขอท่ี 1. เปนการฟง เพ่ือหาสาระและคติ 3. วนิ ิจฉยั เรอ่ื ง คือ การพจิ ารณาเรอื่ งท่ฟี งวาเปน ขอ เทจ็ จริง ความรสู กึ ความ ชีวิต คดิ เหน็ และผสู ง สารหรือผูพ ูด ผแู สดงมเี จตนาอยา งไรในการพูด การแสดง นอกจากนี้ ครคู วรชแ้ี นะใหนกั เรียนศึกษาคนควาขอมลู ขาวสารจากสอื่ สาํ นักตา งๆ อยา งหลากหลาย และนําขอมูลดังกลา วมาเปรียบเทยี บกนั เพื่อใหนักเรยี นไดรบั ขอ มลู ขา วสารที่สมบูรณและเปนผรู บั สารอยางมีวจิ ารณญาณ คู่มอื ครู 111
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคดิ ดวยการตอบ ๖. การเลอื กฟง และเลอื กดูส่ือ คําถาม ตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา นักเรยี นมีวิธีการพิจารณา ในชีวิตประจําวัน มนุษยใชทักษะในการฟงมากกวาทักษะอยางอ่ืน การฟงและการดูจึง ความนาเชอื่ ถอื ของสื่อทีน่ กั เรียนไดฟ งและดู จําเปนตองพิถีพิถัน เพราะการฟงและการดูบางอยางไมคุมคากับเวลาที่เสียไป จึงมีหลักเกณฑ อยางไร การเลอื กฟงและดสู อ่ื ดงั นี้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาความนา เชอ่ื ถือของผูส ง สารวา ผสู ง สารมคี วามรูค วาม ๑. สื่อวิทยโุ ทรทัศน จะมีรายการประจําสถานีในแตละวัน ผฟู ง ผูด ูควรศกึ ษารายการตา งๆ เขา ใจในเร่ืองท่ีฟงมากนอยเพียงไร ขอมลู และ กอ นวา จะออกอากาศในเวลาใด สถานีใด และเลือกจัดสรรเวลาใหต รงกบั สื่อท่ีจะออกอากาศนน้ั ๆ รายละเอียดมีความสมเหตสุ มผลหรือไม เพยี งไร) ๒. เม่ือฟงหรือดูรายการใดแลวพบคําพูดท่ีแปลก สะดุดหู ควรจดบันทึกไวเพ่ือพิจารณา • นกั เรียนคิดวา การเลือกดหู รอื ฟงรายการท่ี วา ขอ ความน้ันถกู ตองหรอื ไม เพราะเหตใุ ด ถาไมถ ูกตอ งควรจะใชคําใด มคี วามเหมาะสมมีความสาํ คัญตอ นกั เรียน อยางไร ๓. ถาเปนการฟงจากแถบบันทึกเสียงตองศึกษาวิธีการใชเครื่องมือตางๆ ของเคร่ืองให (แนวตอบ การเลือกฟง และดสู ือ่ ทม่ี ีคุณคายอม เขาใจ ถา เปน คอมพิวเตอร ตองรูจกั วิธีใชโปรแกรมตางๆ และศกึ ษาวธิ ีใชท ่ถี กู ตอง สรา งความรูค วามเขา ใจท่ีดีใหก ับนักเรียนได หากดูส่อื ท่ไี มเหมาะสมยอ มไมคุมคา กับเวลา ๔. ถาเปนการดูจากส่ืออิเล็กทรอนิกสประเภทคอมพิวเตอร เชน อินเทอรเน็ต ควรรูจัก ท่ีเสียไป โดยเฉพาะอยางย่ิงในสงั คมทีม่ ีความ เว็บไซตท ม่ี เี นอ้ื หาสาระสรา งสรรค เกดิ การเพิ่มพูนความรู กาวหนา ทางเทคโนโลยีและการเขาถึงขอ มูล ขา วสารอยา งหลากหลาย นกั เรยี นตอง ๕. รูจักวิเคราะหขอความท่ีฟงและดู ถารายการใดมีโฆษณามาก ควรพิจารณาภาษา สามารถเลือกสรรขอ มลู มาใชใ หม คี วาม ภาพ การนาํ เสนอวา มคี วามเหมาะสม และนาเชือ่ ถือเพยี งใด เหมาะสม) • นักเรียนคดิ วา นกั เรียนมวี ธิ ีการฟง และดสู อื่ ๖. เลอื กรายการท่เี หมาะกับวยั และใหคณุ คาในการนําไปใชในชวี ิตประจําวนั อนิ เทอรเน็ตอยา งไรใหเ กดิ ประโยชนส ูงสุด (แนวตอบ เลือกจากเวบ็ ไซตท ีม่ ีเนอ้ื หาสาระ สรรพส าระ สรา งสรรคแ ละควรเลอื กดเู ว็บไซตทเ่ี หมาะสม กบั วัย) ÀҾ¹µÃ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ÀҾ¹µÃ ໚¹Êè×ÍÍÕ¡»ÃÐàÀ·Ë¹èÖ§«èÖ§ä´ŒÃѺ¤ÇÒÁ¹ÔÂÁ໚¹ ÍÂÒ‹ §ÁÒ¡ã¹»¨˜ ¨ºØ ¹Ñ à¹Íè× §¨Ò¡à»¹š ÊÍè× ·ÊèÕ ÒÁÒö¶Ò‹ ·ʹ¨¹Ô µ¹Ò¡ÒÃãËŒ ขยายความเขา้ ใจ Expand ໹š ¨Ã§Ô ä´´Œ ÇŒ ÂÀÒ¾áÅÐàÊÂÕ § ¨§Ö ·Òí ã˼Œ Ì٠ºÑ ÊÍè× ËÃÍ× ¼ªŒÙ ÁÊÒÁÒöà¢ÒŒ ã¨ã¹ àÃÍè× §ÃÒǵҋ §æ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §à»¹š û٠¸ÃÃÁ 1. ครูนดั หมายใหนกั เรียนดหู รือฟงสอ่ื โทรทศั นห รอื วทิ ยรุ ายการเดียวกัน จากน้นั นักเรยี นสรุปเน้อื หา ÀҾ¹µÃä·ÂàÃè×ͧáá¤×ÍàÃè×ͧ¹Ò§ÊÒÇÊØÇÃó ¼ŒÙÊÌҧ¤×Í และประเมินคณุ คาของส่อื ที่นักเรียนไดดหู รือฟง ºÃÔÉÑ·ÀҾ¹µÃÂÙ¹ÔàÇÍëÑÅ ÀҾ¹µÃàÃèÍ× §¹éãÕ ªŒ¼ŒáÙ Ê´§·é§Ñ ËÁ´à»š¹ นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ¤¹ä·Â ÊÇ‹ ¹ÀҾ¹µÃà ÃÍè× §âª¤Êͧª¹éÑ à»¹š ÀҾ¹µÃä ·Â·äèÕ ´ÃŒ ºÑ ¡Òà ÂÍÁÃºÑ ãËàŒ »¹š ÀҾ¹µÃà ¾Íè× ¡ÒäҌ àÃÍè× §áá·ÊèÕ ÃÒŒ §â´Â¤¹ä·Âã¹ ¾.È. 2. ครสู ุมนักเรียน 3 - 4 คน นาํ เสนอหนา ช้ันเรยี น òô÷ð ã¹»˜¨¨ØºÑ¹»ÃÐà·Èä·ÂÁÕÀҾ¹µÃ·èÕÁ‹Ø§Ê‹ÙµÅÒ´âÅ¡áÅÐÊÒÁÒö¢éÖ¹ä»Í‹ٺ¹µÒÃÒ§ เกรด็ แนะครู ºçÍ¡«ÍÍ¿¿Èã¹»ÃÐà·ÈÊËÃѰÍàÁÃÔ¡Ò áÅÐÂѧÁÕÀҾ¹µÃä·ÂÍÕ¡ËÅÒÂàÃèÍ× §·èàÕ »š¹·èªÕ è¹× ªÍºáÅÐ ä´ÃŒ ºÑ ÃÒ§ÇÅÑ ã¹à·È¡ÒÅÀҾ¹µÃ¹ Ò¹ÒªÒµÔ ๑๑๒ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นอกจากนักเรยี นจะรูจักหลักในการดแู ละการฟง แลว ครคู วรเพม่ิ เติมความรู นกั เรยี นรวมกนั อภปิ รายและนําเสนอตวั อยา งรายการทนี่ ักเรยี นรับฟง ความเขาใจเก่ยี วกับสื่อประเภทตา งๆ เพอ่ื ใหน กั เรยี นมพี ้ืนฐานความเขา ใจเกีย่ วกบั หรือชมในสือ่ ประเภทใดประเภทหนง่ึ วา มกี ลวิธกี ารนาํ เสนอท่นี าประทบั ใจ ลักษณะของสอื่ แตล ะประเภท และนักเรียนสามารถนาํ ความรพู นื้ ฐานดงั กลาวมาใช อยา งไร แลว วิเคราะหแ ละแสดงความคดิ เหน็ พรอมทงั้ นําเสนอหนา ช้ัน แยกแยะประเภทของสือ่ และการนาํ ไปใชป ระโยชน ซ่งึ อาจสรุปสื่อประเภทตางๆ ได เรียน ดังน้ี 1. สื่อโฆษณา สอื่ ประเภทนผี้ รู ับสารตอ งรูจดุ มงุ หมาย เพราะสวนใหญจะ เปนการส่ือสารท่มี จี ดุ มงุ หมายใหผ รู ับสารมคี วามคิดเหน็ คลอ ยตาม ผฟู งตอ ง กิจกรรมทาทาย พิจารณาไตรตรองกอ นซื้อหรอื กอ นตดั สนิ ใจ 2. สอ่ื เพือ่ ความบันเทงิ เชน เพลง เร่อื งเลา ละคร อาจมกี ารแสดงประกอบดว ย ส่ือเหลา นี้ผูรับสารตอ งใชวจิ ารณญาณ นักเรยี นรวมกนั อภิปรายและยกตัวอยา งการกระทําทไ่ี มปฏบิ ัตติ ามหลกั ในการรบั ชม 3. ขาวสาร สอ่ื ประเภทน้ีผรู บั สารตองมีความพรอมในการรับสารพอ ของการฟงและดูที่นักเรยี นเคยพบ พรอมระบดุ ว ยวา การกระทาํ ดังกลาว สมควร เนอื่ งจากผรู ับสารตองทําความเขาใจเนื้อหา รวมถงึ รจู กั แหลง ขาว การจบั สงผลตอ การส่อื สารอยางไร จากน้นั นกั เรยี นนาํ เสนอหนา ช้ันเรยี น ประเด็น ความมเี หตมุ ผี ล รจู ักเปรยี บเทยี บเนือ้ หาจากที่มาของขา วหลายๆ แหง 4. ปาฐกถา เนือ้ หาประเภทนีผ้ ูร บั สารตองฟงอยา งมีสมาธิเพ่อื จบั ประเด็นสาํ คญั ใหไ ด 5. สุนทรพจน ผฟู ง จะตองรูจักกลน่ั กรองสิ่งท่ีดไี ปเปนแนวทางในการปฏบิ ัติ 112 ค่มู อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๗. มารยาทในการฟังและการดูสื่อ 1. นกั เรยี นรว มกันระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอ ไปน้ี การฟังและการดูสื่อต่างๆ ท่ีเป็นสาธารณะ ผู้ฟังควรฝึกตนเองในด้านมารยาท เพราะถ้า • นกั เรยี นคดิ วา นกั เรยี นควรรักษามารยาทใน ไม่ฝึกฝนอาจท�ากิริยาอาการที่เป็นการรบกวนสมาธิผู้อ่ืนได้ และจะเป็นที่รังเกียจของบุคคล การฟงและการดอู ยางไร รอบข้าง โดยมีแนวทางปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๑. เข้าฟังและดูให้ตรงเวลา ควรไปถึงก่อนการบรรยายหรือดูส่ือ เพราะผู้บรรยายอาจ ไดอยา งหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตผุ ลของ จะมีข้อแนะน�าบางอย่างหรอื กลา่ วสรุป นักเรียนโดยพิจารณาคําตอบจากหนังสือ- ๒. ฟงั และดูดว้ ยความต้ังใจ ไมพ่ ูดคุยกันในขณะทีฟ่ ัง เรยี นหนา 113) ๓. รู้จักจดบันทกึ สาระสา� คญั และจับประเดน็ ขอ้ สงสัย • นักเรียนคิดวา การรักษามารยาทในการดู ๔. เมือ่ จบการบรรยายและการดแู ล้ว อาจถามขอ้ สงสัยดว้ ยอาการและข้อความทีส่ ุภาพ และการฟงกอใหเ กดิ ผลดตี อ ตัวนักเรียนและ ๕. ควรปรบมอื เพอื่ แสดงความพอใจชื่นชมในผูพ้ ดู หรอื เรอ่ื งท่ีฟัง บคุ คลรอบขางอยา งไร ๖. รกั ษากริ ิยามารยาท โดยไมพ่ ูดคุย ไมส่ ง่ เสยี งรบกวนผู้อนื่ ไมล่ กุ จากทีน่ ่งั หรอื ลุกเข้า (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ลุกออกบอ่ ยๆ ไดอยา งหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตผุ ลของ ๗. เมื่อไมพ่ อใจ ตอ้ งรจู้ กั ยับยัง้ ความรูส้ ึกและอารมณ์ทร่ี นุ แรงได้ นักเรยี น เปนตนวา สง ผลดีตอสัมฤทธิผล ๘. ใช้ความคิดไตร่ตรองในขณะท่ีฟังว่า ข้อความท่ีฟังมีการใช้ภาษาที่สละสลวย หรือม ี ในการรับสารทัง้ ตนเองและบุคคลรอบขาง ความน่าเชอ่ื ถอื เพียงใด นอกจากนี้ ยังเปนการรกั ษาสมั พันธภาพท่ีดี ระหวางกนั ไดอีกดว ย) ส่อื ต่างๆ ในชีวิตประจำาวันมีเพื่อการฟังและการดูอย่างมากมาย ส่ือบางชนิดจัดเป็น ส่ือที่ก่อประโยชน์ให้แก่ชีวิตและสังคม ขณะที่บางส่ืออาจมอมเมาให้หลงเชื่อจนเกิดการเปลี่ยน 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ทัศนคติ ตลอดจนเปลย่ี นแปลงวิถชี วี ติ ได้ ท้ังนี้ส่อื บางชนิดอาจเป็นเสมือนดาบสองคมท่มี ที ้งั คณุ และโทษ โดยข้นึ อยกู่ ับผใู้ ช้สอื่ นั้นๆ ดังน้ัน การรเู้ ท่าทันในการเลือกรบั สอื่ ดว้ ยวิธีการฟงั การดู ขยายความเขา้ ใจ Expand นอกจากจะต้องได้รับการฝึกฝนจนเกิดทักษะตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว จะต้องใช้สติไตร่ตรอง ใช้ สมองคิด รวมถึงใช้ประสบการณ์มาร่วมพิจารณาใคร่ครวญก่อนตัดสินใจเชื่อหรือปฏิบัติตาม 1. นักเรยี นจับสลากเลอื กฟงและดสู ื่อประเภทใด และสิ่งสำาคัญที่สุดของการรับสารด้วยการฟังและการดู คือ สามารถนำาประโยชน์จากการฟัง ประเภทหน่งึ จากส่ือ 3 ประเภท ไดแ ก ขา ว การดมู าปรับใชก้ ับการดำาเนินชวี ิตประจำาวันของตนได้ การแสดง หรอื คําอธบิ าย จากนัน้ นักเรียน เขียนบนั ทึกความเขา ใจในประเด็น ตอไปนี้ • เหตผุ ลในการเลอื กฟงและดูสอื่ ประเภท ดังกลา ว • สรุปเน้ือหาทีไ่ ดจ ากสอื่ • ประเมินคณุ คาของสอ่ื 2. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ 3. ครูสมุ นักเรยี น 3-4 คนออกมานําเสนอ หนาช้นั เรยี น 113 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเก่ยี วกับมารยาทในการฟง ครูผสู อนควรเพิ่มเติมเนอ้ื หาทเ่ี กย่ี วขอ งกับอุปสรรคในการฟงและดสู ่อื ซึง่ เปน บุคคลในขอ ใดขาดมารยาทในการฟง สาเหตทุ ท่ี ําใหก ารฟง และการดูส่ือไมม ปี ระสทิ ธภิ าพ โดยมรี ายละเอียด ดังตอ ไปนี้ 1. กรองกาญจนป รบมือเสียงดังหลังจากพิธกี รแนะนําผูบรรยาย 2. ขณะฟง บรรยายมาลมี กั จะซักถามตลอดเวลา 1. การไมยอมรบั ฟงความคิดเห็นของผูอื่น ปด โอกาสในการแลกเปล่ยี นมุมมอง 3. เม่ือวทิ ยากรเรมิ่ บรรยายสิรินากน็ ัง่ ฟง อยางตง้ั ใจ และความคิดเห็นดานอื่น 4. สุชาดาสบตาอาจารยขณะฟง บรรยาย 2. การเลอื กฟง และดแู ตข อ มลู ทต่ี นพงึ พอใจ เนอื่ งจากสอ่ื มใี หเ ลอื กหลายชอ งทาง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ขณะฟงบรรยายมาลีมักจะซักถาม ซ่ึงถือเปน การปด ก้ันการรบั รขู อมูลขาวสาร และเปน การปดก้นั โอกาสในการ เรียนรูจ ากสอ่ื ตางๆ ตลอดเวลา ขอท่ี 1. ขอที่ 3. และขอ ท่ี 4. เปน มารยาทในการฟง แตการ ซักถามตลอดเวลา ขณะวทิ ยากรกําลังบรรยาย เปนการรบกวนสมาธขิ อง 3. การมีทศั นคตทิ ่ไี มพึงประสงคตอการฟงหรือดู ทศั นคตใิ นเชิงลบจะทําใหขาด ผูพดู และผูฟง อ่นื ๆ เนอื่ งจากการหยดุ ชะงกั หรือสะดดุ ในการนาํ เสนอ ความสนใจในสือ่ ทีร่ ับชมหรือรบั ฟง จนกอ ใหเกดิ อคติ สวนทศั นคตใิ นเชิงบวก การลาํ ดบั ความและวิธกี ารนําเสนออาจสับสน ทําใหการฟงไมสมั ฤทธผิ ล จะทาํ ใหผูรบั สารเชื่อฟง และคลอ ยตามไดงา ย จนขาดวิจารณญาณ และทาํ ใหเสยี เวลา 4. ขาดสมาธิในการฟง เมือ่ รับชมหรือรบั ฟงเรอื่ งใดเร่อื งหนงึ่ เปน ระยะเวลานาน มกั จะมคี วามรสู ึกเบ่ือหนาย 5. ขาดความสามารถในการจบั ใจความสําคญั 6. อุปสรรคในการสอื่ สารดานอนื่ ๆ คมู่ ือครู 113
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกีย่ วกบั ความสาํ คัญ คำาถามประจาำ หน่วยการเรยี นรู้ ประเภท จดุ มุงหมาย ประสทิ ธิภาพ หลกั การ วิธกี ารเลือก และมารยาทในการฟงและการดู ๑. การรบั สารด้วยการฟงั และการดมู คี วามสา� คญั อยา่ งไร สื่อได ๒. การฟงั ปาฐกถา ผฟู้ งั มีจุดม่งุ หมายในการฟงั อยา่ งไร ๓. หากนักเรียนต้องการฟงั หรือดสู อื่ เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ คิด คตชิ วี ติ ควรเลอื กฟังและดูส่อื 2. นักเรียนยกตัวอยา งสอ่ื ประเภทตางๆ พรอ ม ประเภทใด บอกประโยชนจากการฟงและการดูสอื่ ได ๔. การฟงั หรือการดขู า่ วสารต่างๆ มปี ระโยชน์อย่างไร ๕. จงอธิบายและยกตวั อย่างวา่ เหตใุ ดจงึ ต้องเลอื กฟงั และดูสอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั วัย 3. นักเรียนสามารถเลอื กฟง และดสู ื่อได 4. นักเรยี นสามารถอธิบายวิธกี ารพัฒนาทกั ษะการ ฟง และการดูสือ่ ได 5. นักเรยี นบอกจดุ มุง หมายในการฟงและการดสู ื่อ ประเภทการแสดง ขาว หรอื คาํ อธบิ าย พรอ ม สรุปเน้อื หาและประเมนิ คณุ คา ของสอื่ ที่นักเรยี น ไดด หู รอื ฟง พรอ มบอกเหตผุ ลในการเลอื กฟง และดูส่อื ประเภทดงั กลา วได หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ัฒนาการเรียนรู้ 1. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับความสําคญั ๑. ใหน้ กั เรียนเลอื กฟังหรอื ดสู อ่ื ๑ รายการ แล้วนา� เสนอหนา้ ช้นั เรียนตามหัวขอ้ ประเภท จุดมุงหมาย ประสทิ ธภิ าพ หลักการ ทีก่ �าหนด วธิ กี ารเลอื ก และมารยาทในการฟง และการดสู อื่ - หลักการเลือกฟังหรอื ดู 2. ตวั อยางสอ่ื ประเภทตา งๆ พรอมบอกประโยชน - คุณคา่ ที่ได้รับจากการฟงั หรือการดู จากการฟงและการดูสอ่ื ๒. ให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกับส่อื ตา่ งๆ ทม่ี ีผลกระทบตอ่ ผู้ฟงั หรอื ผู้ด ู 3. ความเรียงสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกับการเลือกฟง พร้อมเสนอแนวทางแกไ้ ขปญั หาทีเ่ หมาะสม และดูส่ือ ๓. ให้นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั การใชภ้ าษาของส่ือโฆษณาทาง 4. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกบั วธิ กี ารพฒั นา โทรทศั นว์ ่ามลี ักษณะอย่างไร มผี ลดหี รือผลเสยี ต่อผรู้ ับสอ่ื อย่างไร ทักษะการฟงและการดูสื่อ 5. ความเรยี งสรปุ เนอ้ื หา และประเมนิ คุณคาของ สื่อทนี่ กั เรยี นไดด หู รือฟง พรอมระบุเหตุผล ในการเลอื กฟงและดูส่อื ประเภทตา งๆ 6. บันทึกการตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 114 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. การรบั สารดว ยการฟง และการดูมีความสําคัญ เน่ืองจากการรับสารดวยวิธีการดังกลา วมีความจาํ เปน ในชีวติ และพบในชีวติ ประจาํ วันมากทส่ี ดุ ซ่ึงถอื เปน พ้ืนฐานในการ ทาํ ความเขาใจขอมลู ตา งๆ เพอ่ื ใหเ กิดการเรยี นรูในขั้นท่สี งู ขน้ึ โดยเฉพาะอยางย่งิ ในยุคของขอ มลู ขา วสารในปจจุบนั การรบั สารที่มีความรวดเรว็ หลากหลายย่งิ มคี วาม สาํ คญั และมีความจําเปนมากยิง่ ข้ึน 2. การฟงปาฐกถาเปนการฟง โดยมีจดุ มงุ หมายเพือ่ ใหผ ูฟงเกิดความรคู วามคิดจากเนอ้ื หาสาระท่ไี ดฟ ง 3. การฟง เทศน การฟง เรื่องราวท่ใี หข อ คิดสอนใจ หรือการชมการแสดง เปนการฟงหรือดูส่อื ทใ่ี หขอคิดหรอื คตใิ นการดาํ เนนิ ชีวิต เปนการจรรโลงจิตใจของผดู ผู ูฟง เพือ่ ยกระดับจิตใจใหสงู ขึ้น ดงั คํากลาวทวี่ า ดูละครแลวยอนดตู วั 4. การฟงหรอื ดขู า วสารตา งๆ ใหป ระโยชนในดานความรคู วามคดิ เพ่อื นําไปปรบั ใชในการดําเนนิ ชวี ิต 5. สาเหตทุ ่คี วรเลอื กฟง หรือดูสอื่ ใหสอดคลอ งกบั วัยนนั้ เน่ืองจากในแตละชวงวยั วฒุ ิภาวะและประสบการณข องแตล ะคนมคี วามแตกตา งกัน ยอมสงผลตอ ความสามารถ ในการไตรต รองสารตางๆ ท่ไี ดร บั จากสื่อทมี่ ีความแตกตา งกนั นอกจากนี้ การเขาถงึ ส่ือไดอ ยางสะดวกและงายดาย อาจทําใหเ ดก็ ไดรบั สือ่ บางประเภททไ่ี มเหมาะสม ยอ มสง ผลตอ พฤตกิ รรมท่ไี มเหมาะสมของเดก็ ในแตล ะชว งวัยไดอ ีกดว ย 114 ค่มู อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนที่ ๓ 1. สรปุ แนวคิดและแสดงความคดิ เห็นจากเร่ืองท่ี ฟง และดู 2. ประเมนิ เร่อื งท่ีฟงและดู แลว กาํ หนดแนวทาง นําไปประยกุ ตใ ชในการดาํ เนินชวี ติ 3. มวี จิ ารณญาณในการเลอื กเรือ่ งท่ีฟงและดู 4. มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี òหนว ยการเรยี นรทู ่ี ในปจ จุบัน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค ความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี 1. ใฝเรียนรู ทําใหก ารนาํ เสนอขอ มลู ขา วสารตา งๆ 2. มุงมน่ั ในการทํางาน ปรากฏในรปู แบบที่ทันสมยั ผูรับสาร 3. รกั ความเปน ไทย สามารถรบั สารไดท ง้ั จากการฟงและการดู โดยผานสื่ออิเล็กทรอนิกสไ ดอ ยางรวดเร็ว กระตนุ้ ความสนใจ Engage ทักษะการฟง หรือดเู พอ่ื สรปุ ความ จึงมี ความสาํ คัญอยา งยิ่ง เพราะจะทาํ ให ผรู ับสารเขา ใจเรื่องราว สรปุ ความ จากเรอื่ งที่ฟงและดูไดถูกตอ ง ชัดเจน การสรปุ ความจากการฟง การดู นักเรยี นพิจารณาภาพหนาหนวย จากน้ันครู ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ กนกลาง สนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี • สรปุ แนวคดิ และแสดงความคดิ เห็นจากเรอ่ื งท่ีฟงและดู • การสรุปแนวคิดและการแสดงความคิดเหน็ จากเรือ่ งท่ฟี งและดู • นกั เรยี นคดิ วา การจดบันทึกจากการฟง (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๑) • การเลอื กเร่ืองที่ฟง และดูอยา งมวี จิ ารณญาณ ตอ งอาศยั ทักษะใดบาง • มารยาทในการฟง การดู และการพูด • ประเมินเรื่องท่ีฟงและดู แลวกําหนดแนวทางนําไป • นกั เรยี นคดิ วา ทกั ษะการจดบันทึกจากการ ประยุกตใชในการดําเนินชวี ิต (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๓) ฟงมปี ระโยชนอยางไร • มวี ิจารณญาณในการเลือกเรอ่ื งทฟ่ี ง และดู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๔) • มมี ารยาทในการฟง การดู และการพดู (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) เกร็ดแนะครู หนวยการเรียนรนู ี้ ครคู วรเนน ทบทวนความรคู วามเขา ใจในการนําทักษะการฟง และการดูมาใชเปน แนวทางปฏบิ ัตใิ นชวี ิตประจาํ วัน ไมวาจะเปนการทาํ ความเขา ใจ สารจากภาพยนตร ละคร สารคดี สื่ออนิ เทอรเ น็ต รวมถงึ ขา วสารตา งๆ นอกจาก การรับสารจากสือ่ ประเภทตางๆ แลว นักเรียนควรพจิ ารณาการรบั สารดว ยวิธกี าร สนทนา การนําเสนอของผรู ู หรอื การรบั สารจากเรอื่ งราวตา งๆ ในชีวติ ประจําวนั การรบั สารผานการฟง และการดนู ้นั ถอื เปน ทกั ษะการรับสารท่ีมีขอจํากดั คอนขา ง มาก เนื่องจากการรับสารดวยวธิ ีการนี้ เมอ่ื สารถูกสง ออกมาแลวไมอาจยอ นกลับไป ฟงอีกครั้งได ผรู ับสารจงึ ตองมีความพรอ มอยเู สมอ ฉะนั้น นักเรียนจึงควรฝกทกั ษะ การรับสารอยางตอ เน่ือง ยงั เปน การเตรียมความพรอมใหน ักเรยี นสามารถศกึ ษา คนควาและจดั การกับขอมลู ขา วสารทม่ี คี วามหลากหลายไดเ ปนอยางดี ครูผูสอนควรชี้ใหน ักเรยี นเหน็ วา เมอ่ื นักเรยี นไดร ับขอมลู ขา วสารจากสือ่ ประเภท ตางๆ นักเรยี นควรสรุปขอมลู ตางๆ ได นอกจากเปนการตรวจสอบความเขาใจ เนอื้ หาแลว ยงั ชวยใหน กั เรยี นสามารถจดจําขอมูลไดอกี ดว ย ค่มู อื ครู 115
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ๑. หลักการฟง และการดูเพอื่ สรุปความ • นักเรียนชื่นชอบการรบั ขอ มลู ขา วสารดวย การสรุปความจากการฟง การดู คอื การยอ ความชนิดหน่ึงซึง่ ผูฟง หรือดจู ะตอ งทําความ การดหู รอื การฟงจากสื่อรูปแบบใดมากที่สุด เขาใจเน้ือเรื่องและจุดมุงหมายของเรื่อง จึงจะสามารถสรุปประเด็นหรือแนวคิดสําคัญของเร่ืองท่ี • นกั เรยี นมีวิธกี ารทําความเขา ใจและจดจํา ฟงและดูไดดวยสํานวนภาษาของตนเอง เน้อื หาของขอมูลขา วสารจากส่อื ประเภท การฟง และดเู พอ่ื จบั ประเดน็ และสรปุ ความ เปน ทกั ษะเบอื้ งตน ทที่ กุ คนจะตอ งฝก ฝน เพราะ ตางๆ ในชีวิตประจําวันไดอยางไร จะตองติดตามฟงและดูเร่ืองราวตางๆ โดยตลอด ดังน้ัน ตองมีสมาธิในการฟงและดู สามารถ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แยกแยะไดว า ขอ ความใดเปน ใจความสาํ คญั ขอ ความใดเปน พลความ ถา เขา ใจเรอ่ื งราวไดโ ดยตลอด ไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู ับเหตุผลของ ยอมจดจในาํ เกรา่อื รงฟรางวแทต่ฟีละง คแรล้ังะดตสู าอมงจาัรบถปถราะยเดท็นอ1ขดอใหงเผ รอู่ือนื่ งเทข่ีฟา งใจไดได ด คว ือย รูวาผูพูดตองการส่ือสารอะไร นกั เรยี น) เเพปน่ือจปบัระใจเดค็นวาสมําคสัญาํ คัญแ2ลใะจรคูววาาอมะรไอรคง3ือแปลระะรเาดย็นลระอเองซยี ึ่งดขขยอางยเรป่อื รงะเวดิธ็นกี สาํารคฟัญงเพกือ่ าจรับฟใงจเคชวนานม้ีเปมนดี กงั านรี้ฟง สา� รวจคน้ หา Explore ๑. ฟงเรื่องราวใหเขาใจ พยายามจับใจความสําคัญของเรื่องเปนตอนๆ วาเรื่องอะไร ใครทําอะไร ที่ไหน เมอื่ ไร อยางไร นกั เรยี นสืบคนขอ มลู เก่ียวกบั หลกั การฟง และ การดูเพอ่ื สรุปความในประเดน็ ตอไปน้ี ๒. ฟงเรื่องราวที่เปนใจความสําคัญแลวหารายละเอียดของเรื่องท่ีเปนลักษณะปลีกยอย ของใจความสาํ คัญ หรอื ทีเ่ ปน สว นขยายใจความสาํ คญั • หลกั การฟงและดูเพือ่ สรุปความ • แนวทางการสรปุ ความจากการฟง และการดู ๓. สรุปความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสําคัญอยางครบถวน วิธีการสรุปความจากการฟง • มารยาทในการฟง และการดู จะตองคนหาใหพบวาสารใดเปนความคิดสําคัญในเรื่องนั้นๆ แลวสรุปไวเฉพาะใจความสําคัญ โดยเขียนชื่อเรื่อง ผูพูด โอกาสที่ฟง วัน เวลา และสถานท่ีที่ไดฟงหรือดูไวเปนเครื่องเตือน อธบิ ายความรู้ Explain ความทรงจําตอ ไป 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ▼ สื่อส่ิงพิมพห รอื ส่อื อน่ื ๆ ทอ่ี อกแบบอยา งสวยงามสามารถดึงดูดความสนใจไดเ ปนอยา งดี ตอ ไปน้ี • นกั เรียนคิดวา การสรุปความจากการฟงและ ๑๑๖ การดูสอ่ื มคี วามสําคญั ตอการติดตอ สื่อสาร ในยคุ ปจจบุ นั อยา งไร (แนวตอบ เนอื่ งจากการติดตอส่อื สารทมี่ คี วาม รวดเรว็ ในยุคปจ จบุ นั ขอ มลู ขาวสารในหลาย รูปแบบจงึ แพรก ระจายอยา งรวดเรว็ การ ทาํ ความเขาใจ และบนั ทึกขอ มลู จากการ ฟง และดสู ือ่ ดวยวธิ ีการสรปุ ความจึงมีความ สาํ คญั อยา งมาก) 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด นักเรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับผลสัมฤทธใิ์ นการฟง ระดับตา งๆ 1 จับประเด็น การจับขอ ความสําคญั หรือใจความสําคัญของเรอื่ ง แลว หยบิ ยกเอา วินยั ฟงรายการวิทยุ มขี อ ความตอนหน่ึงวา “ตลอดชวี ิตทผ่ี านมาเราจะ ความคิดหลกั หรือประเดน็ ท่ีสําคัญของเรื่องมากลาวยํา้ ใหเดนชดั โดยใชประโยคสน้ั ๆ รูส ึกวาเรายังมีไมพอ ตองมีน่นั มนี เ่ี สยี กอน แลว เราจะอมิ่ จะเต็ม สิ่งหนง่ึ ท่ี แลวเรยี บเรียงใหเ ปนระเบียบ นกั เรยี นสามารถจับประเด็นไดโ ดยฟง เรือ่ งราวทั้งหมด เราไมเ คยไดร บั การสอนก็คือ ไมว าจะพัฒนาความสามารถในการหาเงินทอง ใหเขาใจเสียกอ น แลวจงึ คอยๆ คน หาประเดน็ สาํ คัญในแตล ะตอน จากน้ันพยายาม หาของ หาความรกั ใหไ ดมากสักเทาใดก็ตาม นํา้ ในแกว ไมม วี ันเต็ม เพราะ ตอบคาํ ถามเกี่ยวกับเรื่องทีฟ่ งวา ใคร ทําอะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยา งไร เมือ่ ใด และ ความอยากในใจเราไมเคยหยุด” หลังจากฟงแลว เขาบอกกับตนเองวา ผูพดู ทาํ ไม ผฟู งจะตอ งฟง ดว ยความตั้งใจ เพ่ือใหเกดิ ความเขา ใจ ตอ งการใหคนเราลดความตอ งการของตนเองลงเพอื่ ความสุขในชีวิต 2 ใจความสาํ คญั ขอ ความทมี่ ีสาระครอบคลุมขอ ความอนื่ ๆ ในยอ หนา น้นั หรือ จากสถานการณใ นขอ ความขา งตนแสดงวา วนิ ัยมสี ัมฤทธผิ ลในการฟง ในเรอ่ื งนัน้ ทัง้ หมด สวนขอความทเ่ี หลือเปน สว นขยายใจความสําคัญเทานน้ั ระดบั ใด 3 ใจความรอง ขอ ความท่ขี ยายความใจความสําคัญ เปนการสนบั สนุนใจความ 1. เขาใจจดุ ประสงคข องผพู ูด 2. รับรขู อ ความไดครบถวน สําคญั ใหชัดเจนขึ้น อาจเปน การอธิบายใหร ายละเอียด ใหค าํ จาํ กัดความ ยกตวั อยา ง 3. บอกไดวา สิ่งท่ีฟงนาเชื่อถือ 4. ประเมนิ ไดว าส่งิ ทฟ่ี งมีประโยชน เปรียบเทียบ หรอื แสดงเหตุผลอยางถ่ถี ว น เพอ่ื สนบั สนุนความคิด วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เขาใจจุดประสงคของผูพ ูด หลงั จากทวี่ นิ ยั ฟง แลว วนิ ัยทราบวา ผูพ ูดตองการใหคนเราลดความตอ งการของตนเองลง 116 ค่มู ือครู เพอ่ื ความสขุ ในชวี ติ จงึ สอดคลอ งกบั ความสาํ เรจ็ ในการฟง สว นขอ อนื่ ๆ แสดง ผลสัมฤทธ์ิในการฟงในระดับการใชดลุ ยพินิจ
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒ . แนวทางการสรปุ ความจากการฟงั การดู 1. นกั เรยี นจัดกลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอ ไปนี้ การสรุปความจากการฟัง การดู ควรพิจารณาในด้านเน้ือหาและการใช้ภาษา ท้ังนี้ • นักเรียนคดิ วา การสรปุ ความจากการฟง เน้ือความของสารที่สรุปต้องรักษาเนื้อความเดิมและยังคงใจความส�าคัญไว้ครบถ้วน แนวทางใน และดูมหี ลักการอยา งไร การสรุปความจากการฟงั การด ู มดี งั น้ี (แนวตอบ การสรปุ ความจากการฟง และดูมี ๑. ฟังหรือดูแล้วเก็บใจความส�าคัญของเร่ืองให้รู้ว่าใคร ท�าอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร หลักการสําคัญ คือ ผฟู ง หรอื ผูดคู วรทําความ และบนั ทกึ เรอื่ งยอ่ ไว้ เขา ใจเนือ้ หา จดุ มงุ หมายของเร่อื ง และสรุป ๒. ฟงั หรอื ดเู นอ้ื ความทเี่ กย่ี วขอ้ งใหเ้ ขา้ ใจความหมายอยา่ งชดั แจง้ ทกุ ๆ ตอน ประเดน็ แลวจึงเขียนเรียบเรียงดว ยภาษา ๓. ใช้ภาษาท่ีกระชับ กะทัดรัด และครอบคลุมเนื้อความ ตรงตามวัตถุประสงค์ และมี ของตนเอง) ความหมายชดั เจน • การจบั ประเด็นสาํ คัญจากเร่ืองท่ฟี ง และดูมี ๔. ตง้ั คา� ถามจากเรอื่ งทฟ่ี งั หรอื ด ู เพอื่ ทดสอบความเขา้ ใจในการฟงั ของตนเอง ตง้ั คา� ถาม วธิ กี ารอยา งไร ถามตนเองอยตู่ ลอดเวลาในขณะทฟ่ี งั เพอ่ื เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจพนื้ ฐาน ไดแ้ ก ่ ใคร ทา� อะไร (แนวตอบ นกั เรยี นควรเนน การจับประเดน็ ท่ีไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วน�าค�าถามที่ได้มาสังเคราะห์ ก็จะได้เนื้อความใหม่ท่ีสรุปได้จาก สําคัญจากเรอ่ื งท่ฟี งและดู ดวยการทําความ ความเขา้ ใจของตนเอง เขาใจเน้ือหา จบั ใจความสําคญั จากนนั้ จึง ขยายรายละเอียด พรอ มบอกสาระสําคัญ ตวั อยา่ ง การสรปุ ความจากการฟัง การดู ของเรื่องได จากน้นั จึงระบชุ ื่อเรื่อง ผูพูดหรือ ผสู ง สาร โอกาสทฟี่ ง วนั เวลา และสถานท่ี เรอ่ื ง การดแู ลรกั ษาชมพู่ เพ่อื เปน เคร่ืองเตือนความจํา) ทม่ี า รายการโทรทศั น ์ เกษตรสญั จร • ในขณะทนี่ ักเรียนดูหรือฟง สอ่ื ประเภทตา งๆ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั จากการฟงั การดู นักเรยี นควรปฏิบตั ิตนอยางไร เพ่อื ให การดูแลรักษาชมพู่ในเร่ืองการห่อผล แม้จะต้องท�าด้วยความยากล�าบาก ลงทุนสูง นกั เรียนสามารถสรปุ ความจากสื่อไดด ี และตอ้ งใชเ้ วลานาน แต่ผลท่ไี ด้ก็นับว่าคุ้มคา่ ความส�าคญั ของการห่อผลสา� หรบั ชมพูด่ ังกลา่ ว (แนวตอบ ขณะดหู รือฟงสอ่ื ประเภทตางๆ หากจะเปรียบเทียบกันระหว่างผลท่ีห่อและไม่ได้ห่อแล้ว แม้จะเป็นชมพู่ในต้นเดียวกันก็ตาม นักเรยี นควรต้ังคาํ ถามเพือ่ ทดสอบความ ยงั ไดล้ กั ษณะผลทแ่ี ตกตา่ งกนั มาก เหมอื นมาจากคนละตน้ ทงั้ ในดา้ นรปู รา่ ง ลกั ษณะของผล เขาใจ จากนน้ั จึงสังเคราะหเนือ้ หาความคิด และรสชาต ิ โดยเฉพาะความหวานจะแตกตา่ งกนั มากดว้ ย คอื ผลชมพทู่ ไี่ ดจ้ ากการหอ่ จะไดผ้ ล ของนักเรียน เพื่อทาํ ความเขา ใจประเดน็ ที่มีลักษณะสีผิวนวล สวยงาม ไม่มีรอยด่าง หรือรอยถูกท�าลายจากโรคและแมลง มีเนื้อหนา ตา งๆ ทีน่ าํ เสนออยา งถี่ถว น) กรอบ นา�้ หนกั ผลด ี มรี สชาตหิ อมหวาน สว่ นในผลทไ่ี มไ่ ดห้ อ่ จะมผี วิ กรา้ นแขง็ เนอื้ บาง ไมก่ รอบ และรสหวานนอ้ ยกวา่ 2. ครสู ุมนกั เรยี นแตล ะกลุมออกมานาํ เสนอ หนา ชน้ั เรียน สรุปความเรื่องนี้ งานหนักท่ีสุดและส�าคัญมากในการดูแลรักษาชมพู่ คือ การห่อผลชมพู่ จากต้นเดียวกัน การห่อผลและไม่ห่อผลจะให้ลักษณะผลที่แตกต่างกันมากในด้านรูปร่าง ลักษณะของผล รสชาต ิ และความหวาน 117 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’49 ออกเก่ยี วกับการสรุปสาระสําคญั ครคู วรเพิ่มเตมิ ความรูความเขาใจเกี่ยวกับประโยชนข องการฟงและการดู การจด ขอ ความตอ ไปนมี้ สี าระสําคญั เก่ยี วกบั เรอ่ื งใด บันทกึ หรือการสรปุ เรอ่ื งทีฟ่ งและดู สามารถนําขอมลู ที่บันทึกไวไปเผยแพร เพอ่ื สราง ขาพเจาใครจ ะกลาวแกท ุกทานวา การทํานุบาํ รงุ ประเทศชาตินัน้ มิใชเปน ประโยชนใหกบั ผูอ่นื ไดอกี ดว ย การฟงและการดมู ีประโยชนห รือมีคุณคา ดงั ตอไปน้ี หนา ที่ของผหู นง่ึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปนภาระความรบั ผดิ ชอบของคนไทย 1. ประโยชนสว นตน การฟงเปนเคร่อื งมอื ของการเรยี น ชว ยพัฒนาสตปิ ญ ญา ทกุ คนที่จะตองขวนขวายกระทําหนาทข่ี องตนใหดีทส่ี ดุ เพอื่ ธํารงรกั ษาชาติ ทําใหเกิดความรูแ ละเกดิ ความเฉลยี วฉลาด ชวยปูพน้ื ฐานความคดิ ท่ดี ีใหกบั บานเมืองใหเ จริญมน่ั คงและผาสกุ รม เย็น ผฟู ง นอกจากนี้ การฟงยังเปน ทักษะที่สัมพนั ธก บั การเขยี น เมอ่ื ฟงส่ิงใดแลว ผฟู ง ควรบนั ทกึ สาระ แนวคิด หรอื ขอ สังเกตของผบู ันทกึ จากเรือ่ งท่ีฟง เพอ่ื 1. ความรบั ผดิ ชอบของผูน าํ ชวยใหจดจาํ เรอ่ื งทฟ่ี งไดด ยี ิง่ ขึ้น หรอื ชวยเตอื นความจาํ รวมถงึ สามารถนํา 2. ความสามัคคขี องคนในสงั คม ขอ มูลดังกลาวไปใชในโอกาสตอไปไดอ กี ดว ย 3. ความเจริญมัน่ คงของประเทศ 4. ความสํานกึ รหู นาทขี่ องคนไทย 2. ประโยชนท างสงั คม ทาํ ใหเกดิ ความรูที่เปน ประโยชนต อชาตบิ า นเมอื ง เชน การฟงประกาศ ฟง ปราศรยั ฟงการอภปิ ราย นอกจากนนั้ การฟง ชวยให วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ความสํานกึ รูหนา ทข่ี องคนไทย เนอ้ื หา ประพฤติดี ปฏบิ ตั ใิ หส งั คมเปนสุข เริม่ ตน จากการกลา วแสดงทรรศนะโตแยงในประเด็นทว่ี า “การทํานบุ ํารุง คูม่ ือครู 117 ประเทศชาตนิ ัน้ มิใชเปนหนาทข่ี องผูหนึง่ ผูใดโดยเฉพาะ” พรอมเสนอทรรศนะ วา “เปนภาระความรับผดิ ชอบของคนไทยทกุ คนทจ่ี ะตอ งขวนขวายกระทํา หนาที่ของตนใหด ีท่ีสุด” ทรรศนะดังกลา วจึงมีความสอดคลองกับคาํ ตอบขอ ท่ี 4. ซงึ่ ถอื เปนสาระสําคญั ของเรอ่ื ง
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนรวมกันระดมความคดิ ดวยการตอบ ๓. มารยาทในการฟังและการดู คาํ ถาม ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา มารยาทในการฟง และการดู ๑. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้องหรือมองไปท่ีอื่น อันเป็นการแสดงว่าไม่สนใจ ส่ือสงผลดตี อ การสรปุ ความจากการฟง และ เรอื่ งท่พี ูดและไมเ่ อาหนงั สอื ไปอ่านขณะที่ฟงั หรอื ดู การดสู ่ืออยางไร ๒. รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อ่ืน ไม่รับประทานของขบเคี้ยว เพราะเป็นการ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ท�าลายสมาธิของผู้อ่ืน ควรปิดโทรศัพท์เคล่ือนท่ีเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของผู้อื่น และไม่ควรพา ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูก ับเหตุผลของ เด็กเลก็ ๆ เขา้ โรงภาพยนตรห์ รอื ในทท่ี ีต่ อ้ งการความสงบ นกั เรียน เปน ตนวา สง ผลดตี อสัมฤทธิผล ๓. แสดงกริ ิยาอาการทเี่ หมาะสม ไม่นั่งเกย้ี วพาราสีกันในทส่ี าธารณะที่ตอ้ งการความสงบ ในการรบั สารทงั้ ตอตนเอง โดยการใหความ ในการฟังและการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาผู้อื่นแล้วยังเป็นการแสดงกิริยาท่ีขัดต่อ สนใจเรอื่ งทีก่ าํ ลังดูหรอื ฟง รักษากิรยิ า ขนบธรรมเนียมของไทยอีกด้วย มารยาท มีสมาธจิ ึงสามารถรบั สารไดอยาง ๔. ในการดภู าพไมค่ วรขดี เขียน หรือฉกี ภาพซง่ึ แสดงถึงความไม่มีวฒั นธรรมทด่ี งี าม ครบถวน สงผลดตี อ บุคคลรอบขา งใหส ามารถ รับสารไดด ยี ิ่งขึน้ ดว ย นอกจากน้ี ยังเปนการ การรับสารโดยใช้ทักษะการฟัง การดู เพ่ือให้เกิดผลในทางสร้างสรรค์ ผู้รับสาร รกั ษาสมั พนั ธภาพทด่ี รี ะหวา งกนั ไดอ ีกดวย) ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เพื่อให้การรับสารมีประสิทธิภาพ เม่ือรับสารมาแล้วต้องใช้สติปัญญา • นกั เรียนคิดวา นกั เรยี นมวี ธิ ีการพฒั นา พิจารณาสาร แยกแยะข้อเท็จจริง และสรุปใจความสำาคัญของสารโดยอาศัยการไตร่ตรอง ทักษะการสรุปความจากการฟง และการดูสือ่ วิเคราะห ์ วนิ จิ ฉยั และประเมินคา่ ซงึ่ ตอ้ งหมน่ั ฝกึ ฝนเปน็ ประจำา จงึ จะช่วยใหผ้ ู้รับสารสามารถ อยา งไร นาำ สารทไ่ี ดร้ บั ไปปรบั ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ การดาำ เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล (แนวตอบ นักเรียนควรฝกทักษะการตัง้ คําถาม รวมถงึ ทักษะการจับประเด็นจากสอ่ื ตา งๆ) 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. ครนู ดั หมายใหน กั เรียนดหู รือฟง สอื่ โทรทัศน รายการเดียวกนั จากนน้ั นักเรยี นสรปุ เนอื้ หา จากสื่อที่นกั เรียนไดด ูหรอื ฟง พรอ มบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 2. ครูสุมนักเรยี น 3-4 คนออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรยี น 118 บูรณาการอาเซียน ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดแสดงความสมั พนั ธทีไ่ มเหมาะสม ระหวางผฟู ง กับผูพูด ความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกบั ประเทศในภูมิภาคอาเซียนยอ มสรางความรว มมือ 1. จับตามองผพู ูดตลอดเวลา ท่ีดรี ะหวางกัน โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การทําความเขาใจเกี่ยวกับขอ มูลขาวสารและ 2. ปรบมือใหกาํ ลังใจผูพ ดู สถานการณตางๆ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในปจ จุบนั ยอมสง ผลดีตอ ความรว มมือและลดอคติ 3. แสดงความเขาใจผานทางสหี นา อนั จะนํามาซ่งึ ความขดั แยงได นกั เรียนควรทาํ ความเขาใจขอมูลขา วสารตา งๆ ดว ย 4. ซักถามผูพ ูดเกยี่ วกบั ขอ สงสยั ตา งๆ ตลอดเวลา การสืบคน ขอมูลขา วสารจากสอื่ ตางๆ ที่มคี วามหลากหลาย โดยนกั เรียนสามารถ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ซกั ถามผพู ูดเกี่ยวกับขอสงสยั ตางๆ ตลอด บรู ณาการความรเู ก่ยี วกับทักษะการฟง และการดูอยางมวี จิ ารณญาณมาประยุกตใ ช เวลา เปนมารยาททไ่ี มเ หมาะสมเน่อื งจากอาจกอใหเ กิดความเดือดรอนราํ คาญ เร่ิมตน จากการพจิ ารณาแหลง ขา ววา ขาวที่นําเสนอผา นสอื่ ตางๆ มาจากแหลง ขาวใด แกผูฟงอนื่ ๆ รวมถึงเปนการทําลายสมาธิ ความม่นั ใจ ตลอดจนเนื้อหาหรือ เนื่องจากขา วสวนใหญม ักมที ่มี าจากสํานักขา วตางประเทศ เชน CNN BBC AP สารท่ีผพู ูดตอ งการส่ือไดอ กี ดว ย รอยเตอร เปนตน ซงึ่ เปนสาํ นกั ขา วของประเทศตะวันตก นกั เรียนควรสืบคน ขา วที่ แปลมาจากประเทศตางๆ ในอาเซยี น ซ่ึงเปนการนาํ เสนอจากมมุ มองภายใน เปน ความคดิ เห็นและความรูส กึ ของประเทศในอาเซียนดว ยกนั ยอมเปนแนวทางการสราง ความเขา ใจ ลดอคติ และความขัดแยง รวมถึงเปนพื้นฐานในการสรา งความเขาใจ ระหวา งกันไดเ ปน อยางดี 118 ค่มู อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจำาหนว่ ยการเรียนรู้ 1. นักเรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกับความสําคัญ ของหลักการฟงและดูเพอ่ื สรุปความ แนวทาง ๑. การฟงั และการดเู พ่ือสรุปความเป็นทกั ษะทีจ่ �าเปน็ ตอ้ งใช้ในชวี ิตประจ�าวันหรือไม ่ การสรปุ ความจากการฟง การดู รวมถึง อย่างไร มารยาทในการฟงและการดู ๒. การชมภาพยนตรเ์ พ่ือให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ การนา� ไปใช ้ ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร 2. นกั เรียนสามารถสรปุ ความจากการฟง และการ ๓. หากตอบค�าถามเกยี่ วกบั เรอื่ งทดี่ ู หรอื ฟงั ไมไ่ ด ้ แสดงว่าผดู้ ู หรือผู้ฟัง ดสู อ่ื ประเภทตา งๆ ได มขี ้อบกพร่องอย่างไร และควรแกไ้ ขอยา่ งไร จงอธบิ ายพอสังเขป หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรุปสาระสําคญั เกยี่ วกบั ความสาํ คญั ของหลักการฟง และดเู พอ่ื สรุปความ หลกั การ ๑. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั ดสู ารคดีทน่ี า่ สนใจ ๑ เรือ่ ง นา� มาวิเคราะหแ์ ละแสดง ฟงและดเู พอื่ สรปุ ความ แนวทางการสรปุ ความ ความคดิ เห็นรว่ มกัน แลว้ สรปุ สาระสา� คญั ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการดูสารคดี จากการฟง การดู และมารยาทในการฟง และ การดู ๒. ให้นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั สา� นวนทีก่ า� หนดให้ แลว้ ร่วมกัน สรปุ ความร ู้ และหลกั การนา� ส�านวนไปใช้ในชวี ติ ประจา� วนั ใหเ้ หมาะสม เชน่ 2. ความเรยี งสรุปความจากการฟงและการดูสื่อ ประเภทตา งๆ ได - ฟงั ไม่ได้ศพั ท ์ จับไปกระเดยี ด - สีซอใหค้ วายฟงั 3. บันทึกการตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู - ไมด่ ูตามา้ ตาเรือ ๓. ให้นักเรียนเลอื กฟังรายการวิทยทุ ี่มีประโยชน ์ ๑ รายการ เปน็ เวลา ๑ สปั ดาห ์ แลว้ จดบันทกึ สาระสา� คัญเพ่ือน�าส่งครู 119 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. การฟง และการดูเพื่อสรุปความเปนทกั ษะสาํ คญั ในชวี ติ ประจําวนั เนือ่ งจากทักษะทงั้ สองอยางเปน ทักษะทม่ี นุษยใชม ากทส่ี ุด โดยเฉพาะอยางย่ิงการบรโิ ภคขอมูลขา วสาร ทหี่ ลากหลายในปจ จบุ นั 2. นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็นไดอ ยางหลากหลายขึ้นอยูก บั เหตุผลของนักเรยี น เปนตนวา การทาํ ความเขา ใจเน้ือหา และสังเคราะหขอคิดจากเรอ่ื งประยกุ ตใ ชใน ชวี ติ ประจาํ วนั 3. หากตอบคําถามจากเรอ่ื งท่ฟี งหรอื ดไู มไ ด แสดงวา ผูฟง หรอื ดมู คี วามบกพรองในการทําความเขาใจเรื่องราว ผูฟงและดคู วรพยายามเก็บใจความสาํ คญั ของเร่อื งรวมถึง เหตกุ ารณท ีเ่ กดิ ข้ึน จากน้ันพยายามเชือ่ มโยงเนือ้ หาหรอื เร่ืองราวที่เกดิ ข้ึนใหไ ดเนือ้ ความชัดเจน หรอื ถามผูอน่ื ในเร่ืองทนี่ กั เรยี นยังไมเขา ใจ วา ความเขา ใจดงั กลาวเปน ความเขาใจทถี่ ูกตอ งหรือไม อยา งไร คู่มอื ครู 119
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู 1. พูดในโอกาสตา งๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแยง ตอนที่ ๓ โนมนา วใจ และแสดงแนวคดิ ใหมดวยภาษาที่ ถูกตอ งเหมาะสม 2. มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชน 1. ใฝเรยี นรู อยา งมีประสิทธภิ าพ ยอ มกอใหเกดิ 2. มงุ ม่นั ในการทํางาน ผลดีทั้งแกผ พู ดู และสว นรวม ผูทีป่ ระสบ 3. รกั ความเปนไทย ความสาํ เรจ็ ในหนาทก่ี ารงาน สวนหนง่ึ อาศัย การพูดเปนสอ่ื ชักนําความสาํ เร็จของตน กระตนุ้ ความสนใจ Engage óหนวยการเรียนรูท่ี การฝก ฝนการพดู ควรศกึ ษาหาความรูเพิ่มเติม อยเู สมอ พรอมทงั้ เขาใจหลักการ และหลกั เกณฑ ครเู ปดวีดิทัศนเก่ยี วกบั การพูดจากรายการ ของการพดู เปนอยางดี จงึ จะสงผลใหการพูด โทรทัศนหรอื จากการประกวดประเภทตา งๆ ใหน ักเรยี นดู จากน้ันครูสนทนาซักถามกระตนุ สมั ฤทธผิ ลเปนทีป่ ระทับใจผฟู ง ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชน • นักเรยี นคดิ วา เมอื่ นักเรยี นชมวีดิทัศนด งั กลาว ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู กนกลาง แลว นักเรียนเกดิ ความรูสกึ อยา งไร นกั เรียน เกดิ ความรสู กึ ประทบั ใจจากวดี ิทศั นท ่ีนกั เรียน • พดู ในโอกาสตา งๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแ ยง • การพูดตอที่ประชมุ ชน ไดชมหรอื ไม อยา งไร โนมนาวใจ และเสนอแนวคดิ ใหมด วยภาษา • มารยาทในการฟง การดู และการพดู ท่ีถกู ตองเหมาะสม (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๕) • นกั เรียนคดิ วา องคป ระกอบใดจากการพดู ทที่ ําใหนกั เรียนประทับใจ • มีมารยาทในการฟง การดู และการพดู (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๖) ไดอ ยางหลากหลายข้ึนอยูกบั เหตผุ ลของ นกั เรยี น) เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูเรอ่ื ง การพดู ตอ ที่ประชุมชนนัน้ ในการ จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนหรอื การฝกปฏิบตั ิการพูด ครูผสู อนตองคํานงึ ถึงความ สามารถเกยี่ วกับทักษะทางภาษาของผเู รียนเปน สาํ คัญ เนื่องจากทกั ษะการพูดตอ ที่ ประชมุ ชนน้ันเปน ทักษะทต่ี อ งอาศยั การฝกฝนและความกลา แสดงออก ครผู สู อนจึง ตอ งจดั กจิ กรรมในลักษณะบูรณาการการเรียนรรู ะหวางความรใู นหนวยการเรียนรนู ้ี กบั การเรียนในหนว ยอ่นื ๆ ตวั อยา งเชน การปฏิบตั กิ ิจกรรมการนาํ เสนอหนา ชนั้ เรียน กเ็ ปนกิจกรรมหน่งึ ที่ชว ยพัฒนาทกั ษะการพดู ใหแกผูเรียน ครผู สู อนตอ งฝกใหผ เู รียน รจู ักการเตรียมตวั ทีด่ ีตั้งแตการวางแผนการพูดและการเขยี นโครงรา งบทพูด รจู ัก เรยี บเรียงเนอื้ หา รวมถึงใชภาษาอยางถกู ตองเหมาะสม ตลอดจนตอ งคาํ นงึ ถงึ มารยาทในการพดู ทกุ ครง้ั ทง้ั นข้ี ึ้นอยูกับพ้นื ฐานความสามารถของนกั เรียนแตล ะคน ครคู วรเนนกระตุนใหนักเรยี นพดู แสดงความคดิ เห็นอยางสมํา่ เสมอ เพื่อใหน กั เรียน ไดพัฒนาความคดิ รวมถึงมคี วามมัน่ ใจในการถา ยทอด และสามารถพดู ตอหนาท่ี ประชมุ ชนได 120 ค่มู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ความหมายของการพูดต่อทปี่ ระชุมชน ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การพดู หมายถงึ การถา่ ยทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความตอ้ งการของผูพ้ ดู ออกมา โดยอาศยั ถอ้ ยค�า นา้� เสียง และกริ ยิ าท่าทางทีเ่ หมาะสมกบั สภาพวฒั นธรรม ท�าใหผ้ ฟู้ งั • นกั เรยี นประทับใจนักพูด หรือพธิ ีกรรายการ สามารถรับรู้เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูดได้อย่างกระจ่างชัด และสามารถแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ โทรทศั น หรือผูป ระกาศขา วคนใดมากทสี่ ุด ใหผ้ ู้พูดทราบจนเป็นท่ีเข้าใจตรงกนั ได้ • บุคคลดงั กลาวมคี วามสามารถในการพดู ที่ การพูดที่ดีจึงหมายถึง การพูดท่ีมีวัตถุประสงค์ท่ีแน่ชัดและได้รับการตอบสนองจากผู้ฟัง นกั เรยี นประทับใจอยางไร ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจ รวมท้ังผู้พูดควรมีความจริงใจและมีความรับผิดชอบต่อการพูด ของตน • นกั เรียนทราบหรอื ไมว าทกั ษะการพดู ปฏิกิริยกาตารอพบูดสตน่ออทง่ีปขรอะงชผุมู้ฟังคือทั้งกทา่ีเรปพ็นูดวใัจนนทภ่ีสาาษธาา1รแณละะอวมัจีผนู้ฟภังาเปษ็นา2จ�ากนาวรนพมูดาตก่อหผนู้พ้าูดปตร้อะงชสุมนชในจ ประเภทตางๆ สามารถพัฒนาได ขึ้นอยูก บั เป็นการเปดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัว เป็นท้ังศาสตร์และศิลปซึ่งไม่จ�าเป็น ความต้งั ใจและการฝกฝนของนักเรยี น ต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไป สามารถฝ3ึกฝนได้ นอกจากน้ีการฝึกพูดต่อที่ประชุมชน ยังเป็นวิธี ท่ดี ีอีกวิธีหนง่ึ ในการปรับปรงุ บุคลิกภาพทง้ั ภายในและภายนอก เพอื่ พฒั นาให้เป็นนกั พดู ท่ดี ี สา� รวจคน้ หา Explore ๒. จดุ มุ่งหมายของการพดู ตอ่ ท่ีประชุมชน นกั เรียนสืบคนเกย่ี วกับการพูดตอ ทปี่ ระชุมชน ในประเด็นตา งๆ ดังตอไปนี้ ในการพูดแต่ละคร้ัง ไม่ว่าจะเป็นการพูดระหว่างบุคคล การพูดในกลุ่ม และการพูดต่อที่ ประชมุ ชน ย่อมจะต้องมีจุดม่งุ หมาย โดยทว่ั ไปแล้วจุดมุง่ หมายของการพูด มดี งั นี้ • ความหมายของการพูด ๑) เพื่อบอกเร่ืองราวที่ควรรู้แก่ผู้ฟัง ตามปกติมนุษย์มีความสนใจท่ีจะรู้เรื่องราวในชีวิต • จุดมงุ หมายของการพดู ประจ�าวันที่ก�าลังเกิดขึ้นกับเพื่อนบ้าน กับชาติ หรือกับโลก หรือต้องการเรียนรู้เก่ียวกับอาชีพ • ลักษณะการพูด หรอื ความสา� เรจ็ ของบคุ คลทง้ั ทเี่ สยี ชวี ติ ไปแลว้ และยงั มชี วี ติ อยู่ เพอ่ื นา� สาระความรมู้ าพฒั นาตนเอง • หลกั การพดู หรือเพื่อประเทอื งปญั ญาและจติ ใจ • การเตรยี มตวั พูด ๒) เพอื่ สรา้ งความบนั เทงิ ใจใหแ้ กผ่ ฟู้ งั ตามธรรมดาทกุ คนยอ่ มพอใจทจ่ี ะไดฟ้ งั เรอื่ งราวท่ี • วธิ กี ารพดู ท�าให้ตนเกดิ ความร้สู กึ สนุกสนาน ร่าเรงิ หรือขบขนั ซ่ึงอาจเปน็ เร่อื งเก่ียวกบั ประสบการณส์ ว่ นตวั ขอ้ บกพรอ่ ง หรอื นสิ ยั ของตนเองทท่ี า� ใหผ้ อู้ นื่ เหน็ ขนั หรอื ขอ้ เสนอท่ีโงอ่ ยา่ งนา่ ขนั ตลอดจนการพดู อธบิ ายความรู้ Explain ทเ่ี กย่ี วกบั การผจญภยั ความรกั ความสา� เรจ็ ในชวี ติ และเรอ่ื งของภตู ผปี ศี าจ เรอ่ื งเหลา่ นจี้ ะชว่ ยให้ ผฟู้ งั รสู้ กึ ตนื่ เตน้ เรา้ ใจ สนกุ สนาน และชว่ ยผอ่ นคลายความตงึ เครยี ดในชวี ติ ประจา� วนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ตอไปน้ี 121 • นักเรยี นคิดวา คาํ กลา วท่วี า “การพูดเปน ทง้ั ศาสตรแ ละศิลป” มคี วามหมายวาอยางไร และการพดู ในท่ีประชมุ ชน “เปน ท้ังศาสตร และศลิ ป” หรอื ไม อยางไร (แนวตอบ ตอ งอาศัยความสามารถทั้ง วัจนภาษาและอวจั นภาษาท่แี สดงถึงความ สามารถเฉพาะตัวของผพู ดู เพอื่ ดงึ ความ สนใจจากผูฟ งใหส ามารถสอ่ื สารไดบ รรลุผล) 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั เจตนาในการพูด 1 วจั นภาษา หมายถึง ภาษาถอ ยคํา ไดแ ก คําพดู หรือตัวอกั ษร ขอ ใดเปน เจตนาในการพดู 2 อวัจนภาษา หมายถึง เปน การส่อื สารโดยไมใ ชถ อ ยคํา เรารสู ึกไดถ งึ ความแตกตางเม่ือเราปลูกสม แบบเกษตรอนิ ทรยี เราไมได 3 บุคลิกภาพ ลกั ษณะทา ทางเฉพาะตัวของแตล ะบคุ คลแบง เปน 2 ประเภท คือ บคุ ลกิ ภาพภายนอกเปน สง่ิ ทีส่ ามารถสงั เกตเหน็ ได ไดแ ก รูปราง หนา ตา กิริยา ลงทุนมากตงั้ แตตนปม าใชไ มก พี่ ันบาท ชาวบา นไมเ หมน็ ยาเคมี ไมม ีมลภาวะ ทาทาง การแตง กาย สวนบคุ ลิกภาพภายในเปนสิง่ ทม่ี องไมเ ห็นตอ งอาศัยการเรยี นรู สภาพรางกายเราดขี ้นึ ทันตาเหน็ ตอนแรกคดิ วา ทาํ ยาก เด๋ียวนรี้ ูแลว อยากให เชน ความเชอื่ มนั่ ในตนเอง ความกระตอื รือรน นิสัยใจคอ เปน ตน บุคลกิ ภาพ คนปลกู สมแบบใชสารเคมีหนั มาทําแบบเรากนั มากขึ้น ภายนอกเปนปจจัยหนง่ึ ทส่ี าํ คัญที่ชวยสรา งความประทับใจเมอื่ แรกพบ (First impres- sion) ใหแ กผ ฟู ง หากตองการพูดใหประสบความสําเรจ็ ผพู ูดจึงควรฝกฝนและ 1. บอกกลา วใหค นรจู กั ผลงานเกษตรอินทรียทตี่ นทําอยู ปรบั ปรุงบุคลิกภาพในดานตา งๆ ทง้ั ในเรือ่ งการยนื การเดิน การน่งั การแสดงออก 2. ตักเตอื นใหคนระวังในการกินสมท่ปี ลกู แบบใชส ารเคมี ของทา ทาง การเคลอื่ นไหวบนเวที การแสดงออกของสหี นา ทาทาง นํ้าเสยี ง 3. ชกั ชวนเพ่ือนเกษตรกรใหเปลีย่ นมาทําไรแบบเกษตรอนิ ทรีย การออกเสยี ง ตองสอดคลองกบั เรอ่ื งทพี่ ูด รวมถึงบรรยากาศทพี่ ูด และอารมณของ 4. แนะนาํ คุณคาของสมทไ่ี ดจากไรแบบเกษตรอนิ ทรยี เร่ือง นอกจากนี้ ยังตอ งคํานงึ ถงึ การแตงกายใหถ ูกตอ งตามกาลเทศะดว ย วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ชกั ชวนเพอ่ื นเกษตรกรใหเ ปล่ียนมาทําไร คู่มือครู 121 แบบเกษตรอินทรีย เพราะพิจารณาจากขอ ความท่วี า “เรารูสึกไดถ งึ ความ แตกตา งเมือ่ เราปลกู สม แบบเกษตรอินทรีย” เปน การเปรียบเทียบความ แตกตาง
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนจับคู จากน้นั ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คู ๓) เพอ่ื จงู ใจผฟู้ งั บางครง้ั มนษุ ยม์ คี วามจา� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งพดู เรยี กรอ้ ง ชกั ชวน โนม้ นา้ วจติ ใจ รวมกนั ตอบคําถามหนาชน้ั เรยี นในประเด็น ผฟู้ ังใหร้ สู้ กึ คล้อยตาม แลว้ กระทา� ตามความประสงค์ของผู้พดู ด้วยการทา� ให้เช่ือ การเร้าความรสู้ กึ ตอ ไปนี้ และการสร้างความประทับใจ • นักเรียนคิดวา การพูดตอ ท่ีประชุมชนมี ๓.๑) การทา� ใหเ้ ชอ่ื เปน็ การพดู ทมี่ งุ่ ใหผ้ ฟู้ งั เปลย่ี นแนวคดิ หรอื ยา้� ใหม้ คี วามเชอ่ื มน่ั ใน จุดมงุ หมายอยา งไร แนวคิดนัน้ ๆ มากยิง่ ขนึ้ ทงั้ น้ีผู้พูดจะต้องมีเหตผุ ล มีข้อโตแ้ ยง้ ท่ีมีน้า� หนัก มขี ้อพสิ จู น์ทป่ี ระกอบ (แนวตอบ 1. เพ่อื บอกเรื่องราวทีค่ วรรู ด้วยข้อเท็จจรงิ หรือมขี อ้ วจิ ารณ์ของผเู้ ช่ียวชาญ รวมทัง้ มลี ลี าการพดู ท่นี ่าเช่ือถือ 2. เพือ่ สรางความบันเทงิ 3. เพือ่ จงู ใจผฟู ง) ๓.๒) การเร้าความรู้สึก เป็นการพูดท่มี ุ่งกระต้นุ หรอื เร้าความรู้สกึ ผู้ฟงั ใหป้ ฏบิ ตั ติ าม • นักเรยี นคดิ วา จุดมุงหมายในการพดู ทมี่ ี แนวคิดของผูพ้ ูด ไม่วา่ จะเปน็ การปฏิบัติท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การเมอื ง เศรษฐกจิ สังคม หรือพฤติกรรม ความแตกตางกันสง ผลตอเนอื้ หาในการ สว่ นบคุ คล เชน่ การออกเสยี งเลอื กตง้ั การบรจิ าคเงนิ เพอ่ื การกศุ ล และการออกกา� ลงั กายประจา� วนั สือ่ สารทีม่ คี วามแตกตางกันหรือไม อยา งไร ผู้ฟังจะปฏิบัติตามผู้พูดต่อเมื่อตนเกิดความเช่ือมั่นว่า การปฏิบัติตามนั้นเป็นเร่ืองท่ีสมควรหรือ (แนวตอบ การกําหนดจุดมงุ หมายในการพูด เป็นประโยชน์ ดงั นั้น ผพู้ ดู ต้องพดู อยา่ งมเี หตผุ ล มคี วามจริงใจ และมคี วามปรารถนาดไี ปพรอ้ มๆ ยอมสงผลตอ เนอ้ื หาในการพดู ที่มีความ กนั ดว้ ย แตกตางกนั ) ๓.๓) การสร้างความประทับใจ เป็นการพูดท่ีมุ่งย�้าความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ฟังให้ รสู้ กึ ซาบซง้ึ และตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของความดี ความประณตี งดงาม ศลี ธรรมจรรยา และคา่ นยิ มของ 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด สังคม โดยผ้พู ดู ตอ้ งพยายามใชต้ ัวอย่างทผี่ ู้ฟงั เคยร้เู ห็นและเข้าใจอย่แู ล้ว เพ่อื เน้นใหเ้ ขา้ ใจยง่ิ ขึ้น ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓. ลักษณะการพดู ตอ่ ท่ปี ระชมุ ชน 1. นกั เรยี นแตละคนปฏิบัตกิ จิ กรรม ตอ ไปน้ี ลกั ษณะการพดู ตอ่ ทป่ี ระชมุ ชน แบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้ • นกั เรียนกาํ หนดสนิ คาชิ้นใดช้ินหนึง่ เพื่อ ๑) การพูดเดยี่ วหรอื พูดคนเดยี ว หมายถงึ ผพู้ ดู ตอ้ งพดู ตามลา� พังตอ่ หน้าทป่ี ระชมุ หรอื นําเสนอและขายใหเพ่อื นของนักเรียน ต่อหนา้ ชน้ั เรยี น เรือ่ งที่พูดอาจเปน็ การพดู เลา่ เรอื่ ง พูดแสดงความคิดเหน็ พูดวิจารณ์ พูดชแ้ี จง (แนวตอบ นกั เรยี นอาจยกตัวอยา งปากกา หรือพูดสรุปความอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการเตรียมพร้อมด้านเนื้อหาสาระ คือ ผู้พูดจะต้อง ดินสอ หรือรถจักรยาน รวมถงึ สิง่ ประดิษฐ เตรียมเนือ้ เรอ่ื งให้เหมาะกบั ผู้ฟัง เหมาะกับเวลา โอกาสท่พี ดู รวมทั้งเหมาะกับบคุ ลิกและอปุ นสิ ยั ในจนิ ตนาการ อาทิ ยานอวกาศก็ได) ของผพู้ ดู ดว้ ย ทงั้ นคี้ วรเปน็ เรอ่ื งทมี่ จี ดุ มงุ่ หมายเพยี งประการเดยี ว เพอ่ื ชว่ ยผฟู้ งั ใหจ้ บั ประเดน็ ของ • นักเรยี นคิดวา หากนกั เรยี นตองการขาย เรอื่ งไดถ้ กู ตอ้ งเขา้ ใจเนอ้ื เรอ่ื งไดด้ ี ขอ้ สา� คญั จะตอ้ งเปน็ เรอ่ื งทผี่ พู้ ดู สนใจ มคี วามรแู้ ละประสบการณ์ สนิ คาอยา งใดอยางหน่งึ ใหเพอื่ นของนักเรียน นักเรียนจะมีวิธีการกาํ หนดจุดมงุ หมายใน หลกั การพดู เดยี่ วหรอื พดู คนเดยี ว มหี ลกั สา� คญั ดงั น้ี การขายสินคาอยางไร และนักเรยี นจะมีวิธี ๑. ตอ้ งรจู้ กั การใชส้ ายตาทา่ ทางประกอบการพดู การสบสายตาเปน็ การแสดงออกถงึ การพูดโนมนา วใจใหเพอ่ื นซื้อสินคา โดยนาํ อารมณต์ ามเนอื้ เรอ่ื งทพ่ี ดู สว่ นการแสดงทา่ ทางเปน็ สงิ่ ทชี่ ว่ ยดงึ ดดู ความสนใจของผฟู้ งั และชว่ ย เสนอประเด็นใดบางอยา งไร สรา้ งจนิ ตนาการใหผ้ ฟู้ งั มากยงิ่ ขน้ึ ถงึ แมจ้ ะพดู กบั คนจา� นวนมาก ผพู้ ดู กต็ อ้ งมองไปยงั ผฟู้ งั ใหร้ สู้ กึ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น วา่ กา� ลงั พดู กบั ทกุ คน การเคลอื่ นไหวหรอื การใชท้ า่ ทางทเ่ี หมาะสมเปน็ การแกค้ วามซา้� ซาก แตม่ ี ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยูกับเหตุผลของ ขอ้ ควรระวงั คอื อยา่ เคลอ่ื นไหวมากเกนิ ไปหรอื ยนื อยกู่ บั ทน่ี านๆ นกั เรยี น) 122 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอความตอ ไปน้ีมจี ุดมุง หมายในการพดู สอดคลอ งกับขอ ใดมากทีส่ ดุ ในการจดั การเรยี นการสอนเกีย่ วกบั จดุ มุงหมายในการพดู โดยเฉพาะอยางย่ิงการ ขาพเจาใครจะกลา วแกทุกทา นวา การทํานบุ ํารุงประเทศชาตนิ ้ันมใิ ชเปน พดู เพอื่ จูงใจผูฟงนั้น ครูผูส อนควรเนนยํา้ ใหผเู รยี นเขา ใจแนวคดิ หลกั ของการพูดเพือ่ หนา ท่ขี องผูหนง่ึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปนภาระความรบั ผิดชอบของคนไทย จงู ใจผฟู ง วา มจี ดุ มงุ หมายใหผ ฟู ง เช่ือและมีความคิดคลอยตาม สงผลตอ พฤตกิ รรม ทกุ คนทจ่ี ะตองขวนขวายกระทาํ หนา ท่ีของตนใหด ีทสี่ ดุ เพ่อื ธํารงรักษาชาติ ของผูฟ ง ฉะน้ัน ผูพดู จะตองชี้แจงใหผูฟงเห็นวา ถาไมเช่ือหรอื ปฏบิ ัตติ ามทผี่ ูพ ดู เสนอ บา นเมืองใหเ จรญิ มน่ั คงและผาสุกรม เยน็ แลว จะเกดิ โทษหรอื ผลเสยี อยา งไร โดยครูสามารถแนะนาํ หลักการในการพูดจงู ใจวา 1. เปน การเรา ความรูสึก การพูดชนิดนี้จะประสบความสําเร็จไดด ีมากนอ ยเพยี งไรนัน้ ขน้ึ อยกู ับตวั ผพู ูดเองวา 2. บอกเรือ่ งราวทค่ี วรรแู กผฟู ง มบี คุ ลิกภาพนา เชอ่ื ถือเพียงใด มกี ารใชถอยคาํ ภาษาทง่ี ายแกการเขาใจของกลมุ 3. สรา งความบนั เทิงสนุกสนาน ผูฟงหรอื ไมแ ละท่ีสาํ คญั คือ ผูพดู จะตองมศี ิลปะและจติ วิทยาในการจงู ใจผูฟงไดเ ปน 4. เปนการทาํ ใหผ ูฟง เช่ือดวยเหตผุ ล อยางดี โดยครูผูสอนสามารถใหผ เู รยี นศกึ ษาตวั อยา งการพูดเพอื่ จงู ใจผฟู ง การเรยี นรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เปนการเรา ความรูสึก มุงกระตุนใหผ ฟู ง ปฏบิ ตั ิ เทคนิคในการพดู เพอ่ื นาํ เสนอและสอื่ สารเนอื้ หาทีม่ คี วามหลากหลายยอมสามารถ ตามแนวคิดของผพู ูด ใหส ํานึกรูหนา ที่ของคนไทย สรางประสบการณการเรยี นรูทด่ี ีใหเ กิดข้ึนกับผพู ดู นอกจากน้ี ยงั สามารถนํามาปรบั ใชใ นการพูดสื่อสารของนักเรียน รวมถึงนักเรยี นซง่ึ เปน ผูร บั สารยังมีความรเู ทา ทัน ผพู ดู และวิเคราะหสารหรือเนอื้ หาที่ฟง ไดเ ปนอยา งดี 122 คมู่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๒. ตอ้ งรจู้ กั ใชถ้ อ้ ยคา� ภาษา1คอื ควรรถู้ อ้ ยคา� มาก รจู้ กั ใชถ้ อ้ ยคา� ทห่ี ลากหลายและใช้ 1. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ถอ้ ยคา� ใหเ้ หมาะสมกบั โอกาส สถานท่ี และบคุ คล ตลอดจนรจู้ กั ใชค้ า� พดู ทส่ี น้ั กะทดั รดั เขา้ ใจงา่ ย • นกั เรียนคดิ วา การพดู เดี่ยวและการพูด มีน�้าหนัก มีเสียงรุกเร้าให้เกิดอารมณ์ รู้จักใช้ค�าราชาศัพท์ให้ถูกต้อง สามารถยกตัวอย่างค�าคม หลายคนมคี วามแตกตางในดา นใดบา ง หรอื สภุ าษติ ประกอบการพดู เพอ่ื ชว่ ยเสรมิ เนอ้ื หาใหน้ า่ สนใจและจา� ไดง้ า่ ย อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะการพดู จํานวนผพู ดู และ ๓. ต้องรู้จักใช้น�้าเสียง ควรพูดด้วยน�้าเสียงท่ีสอดคล้องกับอารมณ์ของเร่ืองที่จะพูด วิธกี ารนาํ เสนอ เนือ่ งจากการพูดเดย่ี วเนน น้�าเสียงท่ีน่าฟังท่ีสุด คือ เสียงสนทนาซึ่งดังพอที่ผู้อยู่ไกลสุดจะได้ยิน พูดด้วยอัตราช้าเร็วท่ี การนําเสนอขอมลู สว นการพูดกลุมเนน การ พอเหมาะ มกี ารทอดจงั หวะเลก็ นอ้ ย เนน้ ถอ้ ยคา� หนกั เบา สงู ตา�่ หยดุ หรอื เรว็ กระชนั้ ชดิ ตาม อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ ) เนอื้ ความทพ่ี ดู ออกเสยี งถอ้ ยคา� ชดั เจนถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาและแสดงความเปน็ กนั เอง อกี ทง้ั ควร • นักเรยี นคดิ วา ลกั ษณะการพูดในทปี่ ระชมุ ชน รจู้ กั เวน้ จงั หวะหยดุ เลก็ นอ้ ยกอ่ นและหลงั การแสดงความคดิ เหน็ ทสี่ า� คญั ชนิดใดตองเตรียมตวั มากเปนพิเศษ (แนวตอบ การพดู เดี่ยวหรือการพดู คนเดียว ๔. ต้องรู้จักใช้อารมณ์ขัน ช่วยสร้างบรรยากาศให้มีความสนุกสนาน เสริมผู้พูดให้มี เพราะการพดู ลกั ษณะน้ี ผพู ูดจะตองมี เสนห่ น์ า่ สนใจยง่ิ ขน้ึ ทัง้ ยงั ชว่ ยผ่อนคลายความตึงเครยี ดของผู้ฟัง ถงึ แมว้ า่ เรอ่ื งท่ีพูดจะเปน็ เรื่อง ความรแู ละประสบการณท ีม่ ากพอ ตอ งรจู กั ธรุ กจิ การงาน หรอื เรอ่ื งทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ อารมณเ์ ครยี ดมากเพยี งใดกต็ าม อารมณข์ นั สามารถทา� เรอ่ื งยาก ใชนํา้ เสยี ง ถอยคํา ภาษา ใชตัวอยาง ขอมลู ใหเ้ ปน็ เรอ่ื งงา่ ยได้ และดงึ ความสนใจของผฟู้ งั ไดน้ าน สถิตติ า งๆ ประกอบ อาจใชส ื่อประกอบการ พูด เพ่อื ทาํ ใหเ กดิ ความนา เชือ่ ถือมากยิ่งข้ึน) ๕. ตอ้ งรจู้ กั ใชต้ วั อยา่ ง สถติ ิ หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ หากผพู้ ดู รจู้ กั นา� ตวั อยา่ ง สถติ ิ หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ มาเปรยี บเทยี บอา้ งองิ ได้ จะทา� ใหผ้ ฟู้ งั รสู้ กึ ประทบั ใจ เหน็ ภาพชดั เจนขนึ้ และทา� ใหเ้ กดิ ความ 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ รสู้ กึ เชอื่ ถอื ผพู้ ดู ยง่ิ ขนึ้ ๒) การพูดหม่หู รือพดู หลายคน หมายถึง ผู้พูดตอ้ งมตี ้งั แต่สองคนข้นึ ไป เรอ่ื งทพ่ี ดู เปน็ เร่อื งที่ควรรูท้ วั่ ๆ ไป ไม่เจาะจงเรือ่ งหน่ึงเรือ่ งใดโดยเฉพาะ อาจเป็นปญั หาของครอบครวั หรือของ โรงเรยี นทจี่ า� เปน็ ตอ้ งอาศยั กลมุ่ บคุ คลมาชว่ ยกนั แสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื ชว่ ยกนั แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ขยายความเขา้ ใจ Expand ทเ่ี กดิ ข้ึนให้ลุลว่ งไปได้ การแสดงความคดิ เหน็ ในลกั ษณะเชน่ นี้ คือ การอภิปราย 1. นักเรยี นรว มกันยกตัวอยา งการพดู ตอท่ี ๔. หลกั การพูดตอ่ ทป่ี ระชมุ ชน ประชมุ ชนในลกั ษณะตา งๆ ทั้งการพดู เด่ยี ว หรอื การพดู คนเดียวและการพดู หมูห รือพดู การพูดต่อท่ีประชุมชนท่ีดีควรค�านึงถึงหลักการพูดหรือแนวทางการพูด เพื่อให้การพูด หลายคน พรอมระบุเหตุผลในการแบงประเภท บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายและเหมาะสมกบั สภาพของวฒั นธรรมในการพดู โดยมหี ลกั การทส่ี า� คญั ดงั น้ี การพดู แตละลกั ษณะ ๑) ตอ้ งรเู้ รอ่ื งทพี่ ดู หมายถงึ ทกุ คนควรพูดในเรือ่ งท่ตี นรู้ดีทส่ี ดุ มีประสบการณม์ ากท่สี ดุ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยางไดอ ยา ง หรือผู้พูดจะต้องเช่ือว่า ตนรู้เร่ืองท่ีจะพูดมากกว่าผู้ฟัง จึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น หลากหลาย เปน ตน วา 1. การพดู เดีย่ ว อาทิ และมีความพรอ้ มทีจ่ ะพูด ซ่ึงจะมผี ลท�าให้พดู ไดด้ ีเป็นทีป่ ระทบั ใจของผู้ฟงั หากจา� เป็นจะต้องพดู การพดู เลา เรอื่ ง การพดู วจิ ารณ หรือการสรปุ เรอื่ งทต่ี นรไู้ มล่ ึกซง้ึ เพยี งพอ ก็ต้องศกึ ษาคน้ คว้าเพิ่มเติม จนมคี วามม่ันใจวา่ ตนร้ดู ีพอแล้วจึงพูด 2. การพดู หมูหรือพูดหลายคน อาทิ ๒) ต้องรจู้ ักทป่ี ระชุม หมายถงึ การรู้จกั ลักษณะกว้างๆ บางประการของผฟู้ งั ได้แก่ เพศ การประชุม) วยั ขนาดหรอื จ�านวน ระดบั การศกึ ษา อาชพี ความเชอื่ และศาสนาของผฟู้ งั ทงั้ นจ้ี ะเปน็ ประโยชน์ 2. นกั เรียนรวมกันอภปิ รายวา การพูดท้ังสอง ตอ่ การเตรียมตวั ของผูพ้ ดู ทีจ่ ะสามารถเลอื กใชภ้ าษา เน้อื หา หรอื เร่อื งราวตา่ งๆ ทีเ่ หมาะสมกบั ลกั ษณะตองอาศัยทักษะการพูดเหมอื นกนั 123 หรือไม อยา งไร (แนวตอบ ตอ งอาศัยทักษะพ้ืนฐานเหมือนกัน แตตางกนั ดานรายละเอียด) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู ขอ ความตอ ไปน้ี ไมสอดคลอ ง กบั การพูดในโอกาสใด 1 ถอยคําภาษา จดุ มุง หมายทส่ี าํ คัญตอการพูด คอื ความเขาใจของผฟู ง แต ขา พเจาใครจะกลา วแกท กุ ทา นวา การทํานบุ าํ รุงประเทศชาตินัน้ มใิ ชเ ปน บางครัง้ การใชถอ ยคาํ ภาษาทีผ่ ดิ ความหมายหรือการใชถอยคําภาษาท่ีไมเหมาะสม กเ็ ปน สาเหตทุ ่ที ําใหไ มส ามารถสอื่ สารใหบรรลุจดุ มุงหมายได ดวยเหตุนผ้ี พู ูดจงึ ตอง หนา ที่ของผูหน่งึ ผใู ดโดยเฉพาะ หากเปน ภาระความรบั ผิดชอบของคนไทยทุก ใหค วามสาํ คัญตอ ถอยคาํ ภาษาทีใ่ ชในการพดู โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอไปน้ี คนท่จี ะตองขวนขวายกระทําหนา ทข่ี องตนใหดที ี่สดุ เพ่ือธาํ รงรกั ษาชาตบิ าน เมืองใหเ จรญิ มน่ั คงและผาสกุ รม เยน็ 1. ใชถ อยคาํ ทเี่ ขา ใจงาย ไมควรพูดดวยคําทย่ี าก ตอ งแปลไทยเปนไทยจึงจะ เขา ใจ ซึง่ มกั จะเปน ศัพทเ ฉพาะ 1. การกลาวปาฐกถา หวั ขอ “ปราบทุจริต ลม คอรรปั ชัน” 2. การกลาวเปดงานโครงการ “มุมมองและทศิ ทางการทองเที่ยว” 2. ออกเสียงอยางถกู ตอ ง คําควบกลา้ํ เสยี ง ร ตัว ล ตองออกเสยี งไดช ดั เจน 3. การกลาวสุนทรพจน หวั ขอ “รักชาติ รักประชาธิปไตย” มิฉะนน้ั จะทําใหค วามหมายของคําเปลีย่ นแปลงไป 4. การกลาวสดุดีบคุ คลสาํ คญั เนื่องในงานราํ ลกึ ทหารผา นศกึ 3. หลกี เล่ยี งการใชศ ัพทสแลง ยกเวน ในกรณที ี่เปนคําที่มคี วามหมายสภุ าพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การกลาวเปดงานโครงการ “มมุ มองและ สงั คมยอมรบั และเปน ทเ่ี ขา ใจไดโดยทัว่ ไป ทศิ ทางการทองเท่ยี ว” เน่อื งจากเนือ้ หาของเร่อื งที่พูดไมเ กี่ยวขอ งกับโครงการ 4. หลีกเลยี่ งการใชค าํ ยอ โดยเฉพาะคํายอ ทม่ี ผี ูเ ขาใจเฉพาะกลุม รวมถึงระดบั การใชภาษาไมส อดคลอ งกัน เนอ่ื งจากการใชภ าษาในการพูด 5. ใชค ําพดู ทก่ี ะทดั รดั กระชบั ไดเ นอ้ื หา และไมใ ชค าํ ฟมุ เฟอย เปน การใชภาษาระดบั พธิ ีการ คมู่ ือครู 123
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ความสนใจของผูฟง แตละเพศ แตล ะวยั แตละกลมุ หรือแตละอาชีพ จึงจะยงั ผลใหก ารพูดไดรับ ตอ ไปน้ี ความสําเร็จดวยดี • นกั เรยี นคดิ วา การพูดตอที่ประชุมชนทีด่ ี ผพู ูดควรคาํ นึงถึงเรอ่ื งใดบาง อยา งไร ๓) ตองรจู ักลาํ ดบั เร่ืองใหเปนระเบียบ หมายถงึ การรูจ กั ทักทายท่ีประชุมใหถ กู ตอ ง (แนวตอบ ผูพูดควรมีความรคู วามเขา ใจในเรอ่ื ง เริ่มตนใหต ื่นเตน ดาํ เนินเร่ืองใหกลมกลนื และสรปุ จบใหจับใจ หลักเกณฑก ารลาํ ดับเรือ่ งใหเ ปน ที่จะพดู ผูพดู รจู ักขอ มลู กวางๆ ของผูฟ ง ระเบยี บ เปน การชว ยเหลอื ผฟู ง ใหส ามารถตดิ ตามเรอื่ งราวทผ่ี พู ดู พดู ไดง า ยขนึ้ การทกั ทายทป่ี ระชมุ ไดแ ก เพศ วัย จาํ นวน ระดับการศึกษา ควรใชสรรพนามแทนตวั กลุมบุคคลไมเกิน ๓ กลุม เชน ทา นประธาน ทานวิทยากร และทา นผมู ี อาชพี ความเช่อื และศาสนา เพ่อื ประโยชน เกียรติทุกทาน หลังจากทักทายท่ีประชุมเสร็จแลวใหเริ่มเร่ืองท่ีนาสนใจ เชน ขึ้นตนดวยคําถาม ในการเตรยี มตวั พูด รจู ักวธิ กี ารลําดบั เรอื่ ง เลาเร่อื งท่เี พง่ิ เกิดข้นึ ชวนใหต ิดตาม หรือยกยอ งผูฟง อยางคมคาย ตอจากนนั้ กลา วดาํ เนนิ เรอื่ งให ท่ดี ี รูจักวธิ ีการนําเสนอ และมวี ิธีการพูดให กลมกลนื กบั การขน้ึ ตน ลาํ ดบั เหตกุ ารณก อ นหลงั ใหเ ดน ชดั และเปน เหตเุ ปน ผลกนั ควรยกตวั อยา ง นา สนใจ) หรือสถติ ิขอมลู ตางๆ มาอางองิ ใหผูฟงเห็นภาพ เพ่ือสงเสริมเร่อื งทพี่ ูดใหน าเช่ือถือยงิ่ ขึ้น • นักเรียนคดิ วา การลําดบั เรือ่ งท่ดี มี คี วาม สําคัญตอ การพดู อยา งไร ๔) ตอ งรจู ักวิธพี ดู หมายถงึ การรจู กั เลือกวิธพี ดู ทีเ่ หมาะสมกับสถานการณแตละครง้ั (แนวตอบ การลําดบั เรอื่ งใหเปนระเบยี บ เชน การพูดในบรรยากาศที่โศกเศรา ควรมีวิธีการพูดที่นุมนวล มีนํ้าเสียง และทาทางประกอบ เปนการชวยเหลือผฟู งใหสามารถติดตาม ทีส่ อดคลอ งกบั เนอื้ หาทพ่ี ดู เปนตน ทง้ั นเี้ พือ่ ถา ยทอดความรูส ึกนึกคิดและประสบการณข องผูพดู เร่อื งราวท่พี ดู ไดงา ยขนึ้ ) ไปยังผฟู ง ใหเ กดิ ผลดีและนา สนใจ • นักเรยี นมีวิธีการลาํ ดับเรื่องในการพดู อยา งไร (แนวตอบ การลําดบั ที่ดีควรปฏบิ ัติ ดงั ตอ ไปน้ี ๕) ตองรูจักสรางการพูดใหนาสนใจ หมายถึง ผูพูดจะตองรูจักวิธีท่ีจะทําใหการพูด 1. เรมิ่ เรอ่ื งใหต่นื เตน นาสนใจ มีชวี ิตชีวา เชน ใชสายตาเพื่อแสดงใหผ ูฟง เหน็ วา ผพู ดู ใหค วามสนใจ หรอื ใหค วามสําคญั 2. ดาํ เนนิ เร่อื งใหก ลมกลนื กับผูฟงมากนอยเพียงใด ใชเสียงที่ดัง-เบาปลุกเราความสนใจของผูฟง ใชส่ือประกอบการพูด 3. สรปุ จบใหจบั ใจ) ซงึ่ ผพู ดู ควรฝก ใชใ หเ กดิ ความคลอ งแคลว และทสี่ าํ คญั ไมค วรใหส อ่ื โดดเดน กวา ผพู ดู กลา วคอื ผพู ดู จะใชส่ือก็ตอเม่ือพิจารณาแลวเห็นวาจะชวยสรางความเขาใจในเนื้อหาใหแกผูฟงไดดีกวาคําพูด 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เพยี งประการเดยี ว นอกจากนกี้ ารแตง กายของผพู ดู ยงั ชว ยสรา งความนา สนใจ และความเชอื่ มน่ั ให เกดิ ขึ้นไดเ ปน การสรางความประทับใจเมื่อแรกพบ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นกั เรยี นรว มกันอภิปรายวา นักเรยี นคดิ วา นักเรียนมีวิธกี ารพฒั นาทกั ษะดา นการพดู ดวย วธิ กี ารใดบา งอยางไร และวธิ ีการดงั กลา วจะสง ผลดีตอการพฒั นาการพูดของนักเรยี นอยางไร 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ▼ การพดู ท่ีดจี ะตอ งรูจกั สงั เกตและประเมนิ ผูฟง เพื่อปรบั เปล่ยี นการพูดใหเหมาะสม กอ นการพูด ๑๒๔ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั มารยาทในการพดู ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกี่ยวกับกลวธิ กี ารดําเนนิ เรือ่ งใหม ีลาํ ดบั ขอ ใดเปน คาํ พูดที่ประธานในท่ปี ระชุมควรใชเม่ือตอ งการจะสรปุ ความเห็น ชดั เจน เพ่ือใหผพู ูดสามารถสื่อสารเนือ้ หาสูผูอ า นไดอยางสมั ฤทธผิ ล ดังตอไปน้ี 1. วันน้ีเราไดใชเ วลาในการอภปิ รายกันมายืดเย้อื พอสมควรแลว ผมคดิ 1. ดาํ เนินเร่ืองไปตามลาํ ดบั ควรเริม่ จากจดุ แรกไปสูจุดสดุ ทายทลี ะขั้นตอนตามลาํ ดบั วา เราควรตัดสนิ ใจกนั ไดแ ลว ผูฟง จะสามารถตดิ ตามเร่ืองไปไดตลอด หรอื การพูดอาจเรม่ิ จากเหตุไปสผู ล หรือ 2. ความคิดเหน็ ของผเู ขาประชุมทุกทานลวนนา สนใจ ผมจึงคิดวา จะรบั เร่มิ จากผลนํากลบั มาสเู หตุ แลว แตความเหมาะสม 2. จับอยูในประเด็น การพดู ให ไวพ จิ ารณาในโอกาสตอไป อยใู นประเด็นควรมหี วั ขอ การพดู ครา วๆ อยใู นใจ และอธบิ ายหรือขยายความตาม 3. ขอคดิ เหน็ ตางๆ ทผ่ี เู ขา ประชุมไดเสนอมามีมากพอท่เี ราจะตัดสินใจ หวั ขอ จะชว ยยึดใหก ารพูดอยใู นขอบเขตหรือประเด็นไดม ากขึ้น 3. เนน จดุ มุงหมาย ได ผมจงึ ประมวลความคิดเหน็ ใหท ป่ี ระชมุ พิจารณา เนื้อเรอื่ งท่ดี ีตองมจี ุดมุง หมายของเนอื้ เร่ืองท่ีแนนอน มีความสอดคลองกนั โดยตลอด 4. การประชมุ ครง้ั นีเ้ ราไดเปด โอกาสใหท ุกทานแสดงความคิดเห็นอยาง 4. ใชต วั อยางประกอบตามเรื่องราว ควรยกตวั อยางประกอบ เพื่อใหเ กดิ ความเขาใจ จใุ จ ผมจึงขอยุติการแสดงความคิดเหน็ เนื้อหา 5. เรงเรา ความสนใจ การเรง เราความสนใจของผฟู ง น้ัน เปนสิ่งที่สาํ คัญตอ ง วเิ คราะหคาํ ตอบตอบขอ 3. เพราะใชภาษาไดเ หมาะสม ปฏบิ ตั ถิ ูกตอ ง อาศัยศลิ ปะการพูด การวิเคราะหผ ฟู ง เขา ประกอบดว ย ถอ ยคําที่นา สนใจ คําคม การ ตามบทบาทและหนาที่ของประธาน ดวยการประมวลความคิดเหน็ ของที่ เรียบเรยี งดี เปนปจ จยั ในการเพ่มิ ความสนใจของผฟู งใหเ พม่ิ เปนลาํ ดับ การสอดแทรก ประชุมและแจงทป่ี ระชมุ ใหรวมกนั หาขอยุติ สวนขอ อ่ืนๆ น้ัน เหตุทไี่ มใ ช อารมณข นั ในระหวา งการพูดอยา งเหมาะสม จะชวยสรา งความสนใจไดดีเชน กนั คาํ ตอบ เน่ืองจากขอที่ 1. มีนํ้าเสยี งตําหนิ ขอที่ 2. ไมส อดคลองกบั จดุ มงุ หมายในการส่อื สาร และขอท่ี 4. เปน การรวบรัดการประชุมมากเกนิ ไป 124 คูม่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕. การเตรยี มตวั พูดตอทป่ี ระชมุ ชน 1. นกั เรียนรว มกนั ระดมความคิดดวยการตอบ คําถาม ตอ ไปน้ี การพูดตอท่ีประชุมชนเน่ืองจากมีผูฟงเปนจํานวนมาก ผูฟงยอมตั้งความหวังวาจะไดรับ • นกั เรียนคดิ วา นกั เรยี นมีวิธกี ารเตรียมตัว ความรูและสาระประโยชนจากการฟง ผูพูดจึงตองเตรียมตัวเปนอยางดี มีความเชื่อม่ันในตนเอง พดู ตอที่ประชมุ ชนอยา งไร กลา แสดงออกจงึ จะชว ยใหผ พู ดู ประสบความสาํ เรจ็ ได การเตรยี มตวั พดู ตอ ทปี่ ระชมุ มวี ธิ กี าร ดงั น้ี (แนวตอบ กาํ หนดจุดมุงหมาย วเิ คราะหผ ฟู ง กําหนดขอบเขตของเร่อื ง รวบรวมและ ๑. กําหนดจุดมุงหมายใหชัดเจนวาจะพูดอะไร เพ่ืออะไร มีขอบขายกวางขวางมากนอย เรียบเรยี งเนอ้ื หา จากนน้ั ฝกซอมพดู ) เพยี งใด • นักเรียนคดิ วา เหตุใดจึงตองมีการทาํ ความ เขา ใจผูฟงและสถานท่ีหรอื การวิเคราะห ๒. วเิ คราะหผ ูฟง พิจารณาจํานวนผูฟง เพศ วยั การศกึ ษา สถานภาพทางสงั คม อาชีพ ผฟู ง เพ่อื เตรียมการพูดตอท่ีประชมุ ชน ความสนใจ ความมุงหวัง และทัศนคติที่กลุมผูฟงมีตอเรื่องที่พูดและตัวผูพูด เพื่อนําขอมูลมา (แนวตอบ การวเิ คราะหผ ฟู งนัน้ มสี วนทําให เตรียมพูด และเตรยี มวิธีการใชภาษาใหเ หมาะกับผูฟง ผูพดู ประสบความสําเรจ็ ได เพราะผูพูดจะ เตรยี มตวั พูดไดเหมาะกับความสนใจของ ๓. กาํ หนดขอบเขตของเรอื่ ง โดยคาํ นงึ ถงึ เนอ้ื เรอ่ื งและเวลาทจ่ี ะพดู กาํ หนดประเดน็ สาํ คญั ผูฟง ในดานเพศ วัย อาชีพ การศกึ ษา ใหช ัดเจน เพอื่ ใหสามารถสื่อสารไดบ รรลจุ ุดมุงหมาย) • การฝกซอ มพดู และการสะสมความรูจ าก ๔. รวบรวมเนอ้ื หา จดั เนอื้ หาทผ่ี ฟู ง ไดร บั ประโยชนม ากทส่ี ดุ มกี ารรวบรวมเนอื้ หาจากการ แหลงตา งๆ เพื่อใชในการพดู มคี วามสําคญั ศึกษาคนควาจากการอาน การสัมภาษณ ไตถามผูรู ใชความรูความสามารถของตนเอง แลว อยา งไร จดบนั ทกึ (แนวตอบ การฝก ซอ มพดู เปน การสรางความ ม่นั ใจใหผ ูพ ูด ท้งั การออกเสยี ง จังหวะลีลา ๕. เรียบเรียงเนื้อเรื่อง ผูพูดจัดทําเคาโครงเรื่องใหชัดเจนเปนไปตามลําดับ จะกลาวเปด ในการพูด และความคิดเหน็ ของผฟู ง เร่อื งอยางไร เตรียมการใชภ าษาใหเหมาะสม กะทดั รดั เขาใจงา ย ตรงประเด็น และพอเหมาะกับ สว นความรูกม็ สี ว นทําใหผพู ดู มคี วามมั่นใจ เวลา และนาํ มาใชในการพูดได) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand ▼ หอ งสมดุ เปนแหลงขอมลู ความรทู ่ีดีและสะดวกเหมาะสําหรับการเตรียมศกึ ษาขอ มลู ตางๆ กอ นการพดู ครูใหนกั เรยี นจบั สลากเลอื กหวั ขอ ในการพดู ไดแก เลา ประสบการณ เลา เรื่องจากเรอ่ื งท่ีอา น ประเภทสารคดแี ละบันเทงิ คดที ่นี กั เรยี นประทับใจ จากนั้นนักเรยี นวเิ คราะหอ งคประกอบในการพดู พรอ มรวบรวมขอ มูลเพอ่ื ใชใ นการพูด ๑๒๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เบศรู ณรากษารฐกิจพอเพียง ขอความตอ ไปนี้มกี ลวธิ กี ารลําดับเน้อื หาอยางไร ความสํานึกรู และความเขาใจเก่ียวกับความพอเพียง นับไดวาเปนปจจัยสําคัญ วลั ลีเปน ตวั อยา งลูกทีด่ ี ซง่ึ มคี วามกตัญู ทุกวันเวลาพกั เทย่ี งวลั ลตี องเดนิ ตอ การสรางประเทศใหม นั่ คง แขง็ แรง ท้ังดานความคิด เศรษฐกจิ และสังคม กลับบา นเพื่อไปปอนอาหารเท่ยี งใหค ณุ แมท ีป่ ว ยเปนอัมพาต การกระทําของ ใหนักเรียนคนควาเก่ียวกับภาพยนตร สารคดี หรือบทเพลงที่มีเน้ือหาเกี่ยวกับ วัลลีนี้สมควรแลวที่จะไดร ับรางวลั ดีเดน ดา นความกตัญู ความพอเพยี ง แลว เขยี นสรปุ ความรู ความเขา ใจ หรอื ขอ คดิ ทไี่ ดร บั จากนน้ั ใหแ บง กลมุ 1. ลาํ ดบั ตามเวลา กลุมละ 3-5 คน นาํ ขอมูลมาแลกเปลีย่ นความรรู ว มกนั สงตวั แทนออกมาพดู แสดง 2. ลําดบั ตามสถานที่ ความคิดเห็นวา “ภาพยนตร สารคดี และบทเพลง มีสว นชว ยสรางสํานกึ รเู ก่ียวกับ 3. ลาํ ดบั จากเหตุไปสผู ล ความพอเพียงใหแ กคนในชาตไิ ดอ ยางไร” 4. ลําดบั จากผลไปสเู หตุ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ลําดับจากเหตไุ ปสูผล กลาวถึงการกระทาํ ของวัลลคี ือ ความกตัญทู ม่ี ีตอคณุ ยายทป่ี วยเปนอัมพาต จากนั้นจึงกลา วถงึ ผลลัพธคือ ไดรบั รางวัลดีเดนดา นความกตญั ู คูม่ ือครู 125
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ตอไปน้ี ๖. การซ้อมพูด เป็นการเตรียมพร้อมเพ่ือความมั่นใจ โดยผู้พูดต้องออกเสียงพูดอย่าง • นกั เรยี นคดิ วา การพดู ตอ ทป่ี ระชมุ ชนมวี ิธี การพูดแบบใดบาง อยางไร ถกู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี มลี ลี าจงั หวะ ทา่ ทาง สหี นา้ สายตา นา้� เสยี ง และมผี ฟู้ งั ชว่ ยตชิ มการพดู (แนวตอบ โดยทัว่ ไปมวี ธิ กี ารพูด 4 แบบ 1. การ ๗. ผพู้ ดู จา� เปน็ ตอ้ งรจู้ กั สะสมความรจู้ ากแหลง่ ตา่ งๆ เพอื่ น�าไปใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู สนบั สนนุ การพดู พดู แบบฉับพลัน เปน วธิ กี ารพูดสนทนาปกติ ในชีวติ ประจาํ วัน หรอื การพดู ในโอกาสตา งๆ ใหบ้ รรลผุ ลตามทตี่ นตอ้ งการ การสะสมความรนู้ นั้ หาไดจ้ ากแหลง่ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี อาทิ การพดู อวยพร 2. การอา นตน ฉบบั ๑) ประสบการณ์ของผู้พูดและของบุคคลที่รู้จัก ความรู้และประสบการณ์ท่ีผู้พูดได้ เปนการพดู เพอื่ แถลงตอทีช่ มุ นุมชน 3. การ ทองมาพูด 4. การพดู ทเ่ี ตรยี มตวั ลวงหนา) พยายามสะสมไว้ ยอ่ มจะสามารถนา� ไปใชป้ ระกอบเรอื่ งทตี่ นจะพดู ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เนอื่ งจากเขา้ ใจ ดแี ลว้ ทง้ั ยงั จะชว่ ยกระตนุ้ ใหก้ ลา้ พดู เพราะมคี วามมน่ั ใจในเรอ่ื งทพี่ ดู • นักเรยี นคดิ วา การพดู ในทีป่ ระชมุ ชนวธิ ใี ด เปนการพูดทมี่ ีประสทิ ธิผลมากท่สี ดุ เพราะ ๒) แหลง่ ชมุ นมุ ชนของผพู้ ดู จะเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ของสภาพความเปน็ อยู่ การดา� เนนิ ชวี ติ เหตใุ ด ตลอดจนสภาพวฒั นธรรมตา่ งๆ ของผพู้ ดู ทผ่ี พู้ ดู สามารถนา� ขนึ้ มาพดู ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ ๓) ผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น ปราชญ์ในชุมชน แพทย์ หรือสาธารณสุขจังหวัดจัดเป็น ผเู้ ชย่ี วชาญทงั้ สน้ิ เพราะบคุ คลเหลา่ นจ้ี ะรจู้ กั และเขา้ ใจปญั หาในทอ้ งถนิ่ ทตี่ นอาศยั เปน็ อยา่ งดี (แนวตอบ การพดู ที่เตรยี มตวั ลวงหนา แสดง ๖. วิธีการพูดตอ่ ท่ีประชมุ ชน ความสามารถในการถายทอดความคดิ ผา น คําพูดและทาทาง) • นักเรียนคิดวา ปจจัยใดบา งทท่ี าํ ใหว ิธกี ารพูด การพูดต่อท่ีประชุมชนเป็นวิธีการน�าเสนอสารต่อผู้ฟัง ส่วนจะใช้วิธีใดในการพูดข้ึนอยู่กับ จดุ มงุ่ หมายในการพดู เนอ้ื หา สาระ โอกาส และสถานการณ์ โดยทว่ั ไปวธิ กี ารพดู มี ๔ แบบ ดงั น้ี ตอ ท่ปี ระชมุ ชนมคี วามแตกตา งกัน ๑) การพดู ฉบั พลนั เปน็ วธิ พี ดู ปกติในชวี ติ ประจา� วนั เชน่ การพดู คยุ ในชนั้ เรยี นหรอื ทบ่ี า้ น (แนวตอบ การเลือกใชว ิธใี นการพูดข้ึนอยกู บั การคยุ กันทางโทรศัพท์ การพูดนดั หมายกนั เป็นต้น อนั เปน็ วิธีการทีต่ า่ งฝ่ายต่างผลัดกนั พูดและ โอกาส สถานที่ สถานการณ บคุ คลผรู บั สาร ผลดั กนั ฟงั โดยไมม่ กี ารเตรยี มตวั มากอ่ น ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู่ บั การสะสมความรแู้ ละความคดิ ไวเ้ ปน็ สา� คญั เปน ปจ จยั กาํ หนดจุดมุงหมาย เนอ้ื หา สาระ เม่ือถึงโอกาสทมี่ ผี ู้ขอร้องให้พดู ก็จะสามารถพดู ได้ทนั ทีทันควนั ในการพดู ) ๒) การอา่ นต้นแบบ เปน็ วธิ ีการพดู ท่ีผพู้ ูดมีเรือ่ งสา� คญั ทจ่ี ะตอ้ งแถลงต่อชมุ นมุ ชน หรอื 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ผฝู้ กึ พดู ใหมท่ ยี่ งั ไมม่ คี วามเชอ่ื มนั่ ในตนเองจะนยิ มพดู ดว้ ยวธิ นี ี้ ซง่ึ มผี ลเสยี คอื สายตาจะไมส่ อ่ื สาร ขยายความเขา้ ใจ Expand กบั ผู้ฟัง และถ้าผพู้ ดู ไมไ่ ด้ฝึกซ้อมอ่านกอ่ นออกไปพูดจริง ย่อมเกิดปญั หาในการอา่ น ๓) การทอ่ งมาพดู เปน็ วธิ กี ารพดู ที่ไมเ่ ปน็ ธรรมชาติ ขาดอารมณ์ และขาดการเนน้ ในสว่ น ทสี่ า� คญั บางครง้ั อาจทา� ใหผ้ พู้ ดู ลมื พดู บางคา� หรอื บางวลที สี่ า� คญั ทตี่ นตง้ั ใจจะพดู ก็ได้ ยกเวน้ ผพู้ ดู 1. นกั เรยี นนาํ ขอมลู ท่ีไดจากการวิเคราะหอ งค ทม่ี ีประสบการณ์ในการพดู เช่นน้เี ป็นเวลานานหลายปี และตอ้ งหม่นั ฝกึ ฝนท่องบทอยเู่ สมอ จงึ จะ ประกอบในการพดู และขอ มูลทน่ี กั เรยี นได ช่วยให้พูดได้อย่างม่ันใจ สามารถส่ือสายตากับผู้ฟังได้อย่างทั่วถึง เป็นการถ่ายทอดความรู้ รวบรวมนาํ มาเขยี นบทพูดในหัวขอ ทก่ี ําหนด ความคิด อารมณ์ ความรสู้ กึ และทศั นคตอิ ย่างได้ผล เพ่อื พดู นําเสนอหนา ชน้ั เรยี น 2. นกั เรียนจบั คู จากนนั้ นักเรยี นนาํ บทพูดของ นกั เรยี นมารว มแลกเปลย่ี นความคิดเห็นกับ เพือ่ นรว มช้ันเรียน พรอมแกไ ขบทพดู และฝกซอ มพดู จากบทพูดทีน่ กั เรียนแกไข 126 ปรับปรงุ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกับแนวทางการแสวงหาความรจู ากแหลงขอมลู ตางๆ การกลา วรายงานเปน วธิ ีการพูดตอที่ประชุมชนแบบใด เพ่อื นาํ มาใชเ ปน วัตถุดิบในการพดู นกั เรียนสามารถรวบรวมขอมลู ในการพูดไดดว ย 1. การทอ งมาพูด วิธกี ารตา งๆ ดังตอ ไปนี้ 2. การพดู ฉบั พลัน 3. การอานตนฉบบั 1. รวบรวมจากประสบการณ จะเปนขอมูลที่หยิบมาใชไ ดง าย มีความม่ันใจทส่ี ุด 4. การพูดทีเ่ ตรียมมาลวงหนา 2. รวบรวมจากการคดิ เพม่ิ เติม โดยอาศัยความรหู รือทฤษฎปี ระกอบ 3. รวบรวมจากการอาน เชน อา นหนงั สอื พมิ พ เร่ืองเขยี น นติ ยสาร ตํารา ฯลฯ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การอา นตน ฉบับ เนื่องจากการกลาวรายงาน 4. รวบรวมจากการสงั เกตจดจํา พบอะไรแปลกนาสนใจกจ็ ดจาํ ไว 5. รวบรวมจากการฟง การอภปิ ราย ปาฐกถา บรรยาย บันเทงิ ฯลฯ เปนการพดู แบบบอกเลาหรอื บรรยาย มีจดุ มงุ หมายเพือ่ ใหผ ูฟงไดร บั ความรู การสบื คนขอ มลู ความรตู า งๆ ยอมสง ผลใหนกั เรยี นมีคลังขอมูลความรูที่จะ ความเขาใจ รวมถึงรับทราบเรอ่ื งราวตางๆ หรอื สาธติ ใหท าํ บางส่งิ บางอยาง สามารถนํามาใชใ นการพดู ไดอยา งหลากหลาย และเปน การนาํ เสนอความคดิ เห็นท่ีมี เปน การพูดทม่ี งุ ใหรายละเอียดในดานเนอื้ หาและความเขา ใจมากกวา เปน การ ความแหลมคม ดว ยวิธกี ารอนั แยบยลผานกลวิธที างภาษาทีใ่ ชใ นการพูด นอกจากนี้ ชกั จงู ใหคลอยตาม และไมมุงใหเ กิดปฏกิ ิริยาโตต อบ จงึ มกี ารเตรียมเนื้อหา ขอ มูลทมี่ อี ยูอยา งหลากหลายและทนั ตอ สถานการณ และรายละเอียดลวงหนา พรอมกบั เปน วิธีการพูดจากตนรา งของเอกสาร 126 คูม่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ๔) การพูดท่เี ตรียมล่วงหน้า เป็นวิธกี ารพดู ตอ่ ทปี่ ระชุมชนท่มี ปี ระสิทธิผลทสี่ ดุ โดยผพู้ ดู 1. นกั เรียนสง บทพูด จากนัน้ นกั เรียนพดู นาํ เสนอ เตรียมหวั ขอ้ เรอื่ งการพูดไว้เรียบร้อยแลว้ ตอ่ มาเตรยี มเน้อื เรือ่ งอยา่ งสังเขป แลว้ ลองฝึกซ้อมพดู ในหวั ขอท่ีนักเรียนไดร บั มอบหมาย ทั้ง 3 หัวขอ ตามเน้ือเรื่องท่ีตนได้เตรียมไว้ อาจดูต้นฉบับที่เตรียมไว้บ้างก็ได้ หรือถ้าไม่ดูเลยก็ยิ่งเป็นการดี ไดแ ก เมอื่ พดู จบควรใหเ้ พอื่ นๆ ชว่ ยกนั วจิ ารณ์ ถา้ ปฏบิ ตั ไิ ดต้ ามขนั้ ตอนดงั กลา่ วจะชว่ ยใหม้ นั่ ใจในตนเอง • การพดู เลาประสบการณ เป็นตัวของตัวเอง สามารถสบสายตากับผู้ฟังได้ตลอดเวลา เพิ่มพูนความสามารถท่ีจะถ่ายทอด • การพูดเลาเรื่องจากเรอ่ื งที่อา นประเภท ความคิดได้อย่างจริงใจ รวมทั้งสามารถพัฒนาการใช้ท่าทาง การเคลื่อนไหว และการเปล่ียน สารคดี อิริยาบถให้เป็นธรรมชาติ ซ่ึงช่วยให้ผู้พูดได้แสดงออกอย่างอิสระ เป็นต้นว่า การยกค�าพูดของ • การพูดเลาเร่อื งจากเร่ืองท่อี านประเภท ผอู้ ืน่ มากล่าวอ้างอย่างคา� ต่อค�า หรอื ว่าปากเปล่าก็ได้ หรือถา้ จา� เปน็ ต้องพูดซา�้ เรอ่ื งเดยี วกนั ก็อาจ บนั เทิงคดี หาค�าพดู ที่ไม่ซ้�ากันก็ได้ 2. นักเรยี นเขียนประเมินการพูดของเพอื่ น วิธีการพูดต่อที่ประชุมหรือการพูดให้คนหมู่มากฟังท่ีดีท่ีสุด คือ การพูดที่เตรียมพร้อม ดวยการแสดงความคดิ เห็นจากการพูดนาํ เสนอ ลว่ งหนา้ แต่ในบางโอกาส อาจจา� เปน็ ตอ้ งอา่ นตน้ ฉบบั ประกอบดว้ ย ในกรณที ต่ี อ้ งกลา่ วอา้ งคา� พดู ของเพื่อนในประเด็นเกี่ยวกบั เนอื้ หา การใช ของผู้อื่น หรือกล่าวอ้างสถิติต่างๆ หรือบางทีก็จ�าเป็นท่ีจะต้องท่องบทน�าหรือบทสรุปมาพูดเพ่ือ อวัจนภาษาและวจั นภาษาในการพดู พรอ ม ชว่ ยใหก้ ารพดู เปน็ ธรรมชาตแิ ละนา่ สนใจมากยง่ิ ขน้ึ กลวิธีการนําเสนอวา มีความนาสนใจหรอื ไม มากนอ ยเพียงใด และเพือ่ นของนกั เรยี นควร การพดู ตอ่ ทปี่ ระชมุ ชนเปน็ การสอื่ สารทต่ี อ้ งมคี วามเหมาะสมกบั เวลา สถานท ่ี และบคุ คล เพ่มิ เตมิ ทักษะใดในการพดู นาํ เสนอ เพ่ือให ทรี่ บั สารสง่ สาร ภาษาพดู เปน็ ภาษาเอกลกั ษณข์ องคนไทย มอี งคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ แบบแผน เปน็ ระเบยี บ เพื่อนของนกั เรียนสามารถนําเสนอไดบ รรลุ ปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มา เปน็ มรดกวฒั นธรรมทางภาษาทตี่ อ้ งดแู ล หวงแหนและใชใ้ หเ้ กดิ คณุ คา่ มมี ารยาท ตามความมงุ หมายไดมากยิง่ ขน้ึ มจี รรยาบรรณในการพูด เพอ่ื ใชใ้ นการสอ่ื สารใหเ้ กดิ ประสิทธผิ ลแกต่ นเองและสังคม 3. ครูสุมนกั เรียน 1-2 คน นาํ เสนอความคดิ เหน็ ท่ี มีตอการพูดของเพื่อนในแตล ะครั้ง 127 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นกั เรยี นฝก การพดู ฉบั พลนั ซ่ึงเปน การพูดที่ไมม ีการเตรยี มตัวมากอน ครผู สู อนควรเพม่ิ เติมเก่ยี วกบั แนวทางการประเมินผลการพูด หรอื บางครงั้ อาจ โดยครูผูสอนตั้งประเดน็ ในการสนทนาขึ้น แลว ซกั ถามผูเ รยี นหรอื ใหน ักเรยี น เรยี กวา การวจิ ารณการพูด เปน การพิจารณาตัดสนิ เก่ียวกบั กลวธิ กี ารพูดและเนื้อหา ชว ยกนั อภิปรายเก่ยี วกับหัวขอ น้ันๆ อาจจัดกจิ กรรมกลุม โดยแลกเปล่ยี นกนั การพูด รวมถงึ ขอบกพรอง ท่สี มควรแกไ ขปรบั ปรุง รวมถงึ ปฏกิ ิริยาตอบกลับ (Feed- ภายในกลุม ซงึ่ มีขอ กําหนดวา ทุกคนตอ งพูดแสดงความคิดเห็น back) ของผูฟ งทัง้ ทางวัจนภาษา เชน การติชม เสนอแนะ การวิจารณ เปนตน รวมถึงการใชอวจั นภาษา เชน การปรบมอื พยักหนา สา ยหนา เปน ตน เพ่อื บอกให กิจกรรมทา ทาย ผูพดู ทราบถึงผลสัมฤทธใิ์ นการพูดของตน โดยผพู ดู ตองนําเอาผลการประเมินมา ปรบั ปรงุ การพดู ของตนในโอกาสตอ ไป หรืออาจจะพัฒนาใหดีข้ึนไปอีกกไ็ ด โดย นกั เรยี นหาขอ มลู เกีย่ วกับหวั ขอ ตางๆ มาฝกเขียนบทพูดและฝก ซอมการ ประกอบดว ย เนือ้ หาอารมั ภบทเปน อยา งไร นาสนใจหรอื ไม ตรงกบั เรอ่ื งที่พูดหรอื ไม พดู นําเสนอความรูหรอื เน้ือหาทน่ี ักเรียนรว มกนั กําหนด จากนัน้ พูดนําเสนอ สอดคลองกับจุดมุง หมายหรอื ไม ถูกตอ งตามขอเท็จจริงหรอื ไม มคี ณุ คาพอท่ี หนาชัน้ เรียน จะเสนอตอผูฟงหรอื ไม ยาวหรอื สัน้ เกนิ ไปหรอื ไม การดาํ เนินเรือ่ งเปนไปตามลําดบั หรอื ไม ขอ ความชดั เจนหรือไม การสรปุ ประทับใจหรือไม ใชภาษาเหมาะสมหรอื ไม นอกจากน้ี ยังพิจารณาการพดู ของผูพดู เชน ความเช่อื ม่นั ความกระตอื รือรน การออกเสยี ง การใชส ายตา ลีลาของการพูด สีหนา ทาทาง มารยาทสุภาพเรยี บรอ ย การใชอ ุปกรณประกอบการพดู หรือพจิ ารณาจากความสนใจของผูฟ ง คมู่ อื ครู 127
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับ คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ ความหมายของการพูด จุดมงุ หมายของการพดู ลักษณะการพูด หลักการพูด การเตรียมตวั พดู ๑. การใช้ศิลปะในการพูดมีลักษณะอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ และวธิ กี ารพดู ได ๒. การพดู เพอ่ื ให้ความบันเทิงแก่ผู้ฟัง ควรมีการเตรียมข้อมลู และใชก้ ลวิธีใดในการพูด 2. นกั เรียนสามารถวิเคราะหองคป ระกอบของการ จึงจะท�าให้ผ้ฟู ังประทับใจ พดู และนําไปใชกาํ หนดเนือ้ หาในการพดู ได ๓. เหตใุ ดในการพูดแต่ละครั้งจะตอ้ งค�านึงถึงเพศ วยั และประสบการณข์ องผ้ฟู ัง ๔. การใช้ตวั อยา่ ง สถติ ิ หรือขอ้ มูลมาประกอบในการพูด มีหลกั ในการใชอ้ ยา่ งไร 3. นักเรียนสามารถเลอื กใชส ื่อประกอบการพดู ๕. หากนกั เรียนจะตอ้ งพูดต่อทป่ี ระชมุ ชน นักเรียนควรเตรียมตัวอยา่ งไร จงอธบิ าย ในลักษณะตา งๆ ไดอยางเหมาะสม พอสังเขป 4. นกั เรียนสามารถอธิบายและยกตวั อยางการพดู ในลักษณะตา งๆ ได กิจกรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรียนรู้ 5. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกับวธิ ีการ ๑. ให้นักเรียนรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั เร่อื งทน่ี ักเรียนสนใจ แล้วน�ามาเรยี บเรยี งเปน็ พฒั นาทกั ษะดานการพดู และวิธีการเตรยี มตัว ขอ้ มูลเพอื่ ฝกึ การพูดตอ่ ท่ปี ระชุมชน คนละ ๑ เรือ่ ง แลว้ ให้เพอื่ นในชนั้ เรียนและครู พดู ได ร่วมกันประเมนิ และเสนอแนะขอ้ แก้ไขในการพูด เพือ่ ปรับปรงุ การพูดให้ดขี นึ้ 6. นกั เรียนสามารถเขยี นบทพูดและพดู เลา เร่ือง ๒. เชญิ นกั พูด หรอื วิทยากรทมี่ คี วามเชี่ยวชาญเรือ่ งการพดู มาใหค้ า� แนะนา� ประเภทตา งๆ ได แกน่ กั เรยี นในการฝกึ พูดต่อทปี่ ระชุมชน 7. นักเรียนสามารถประเมนิ ผลการพดู ได ๓. ใหน้ ักเรยี นรวบรวมข้อคิด ค�าคมต่างๆ เพอ่ื เป็นข้อมูลประกอบการพูด มาจดั ทา� เป็นรปู เล่มให้สวยงาม เพือ่ เกบ็ ไว้ศกึ ษาในมุม “ยอดนกั อา่ นอจั ฉรยิ ะ” ในห้องเรยี น หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู 128 1. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกีย่ วกับความหมาย ของการพดู จุดมงุ หมายของการพดู ลักษณะ การพูด หลักการพูด การเตรียมตัวพูด วิธกี าร พูด 2. ความเรยี งสรปุ วิเคราะหอ งคป ระกอบของการพูด และนาํ ไปใชก ําหนดเนอ้ื หาในการพูด 3. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับเลอื กใชส่อื ประกอบการพดู ในลักษณะตา งๆ 4. ความเรียงสรุปสาระสาํ คัญ พรอมตวั อยา ง การพดู ในลักษณะตา งๆ 5. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั เกีย่ วกับวิธกี ารพฒั นา ทักษะดา นการพูดและวิธกี ารเตรียมตวั พดู 6. บทพูดเลาเรือ่ งประเภทตางๆ 7. บันทกึ ประเมินผลการพดู 8. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรียนรู แนวตอบ คําถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. การพดู ถือเปน ศาสตรและศิลป เนอ่ื งจากการพูดเปนการแสดงความสามารถเฉพาะตัวของผูพูด เพื่อสรางความสนใจใหก บั ผูฟง เพ่อื ใหผ ฟู ง เกิดปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง ดวยการใชว ัจนภาษาและอวจั นภาษา โดยมวี ัตถปุ ระสงคเพอ่ื ใหความรู เพอื่ สรา งความบันเทงิ หรือเพื่อจูงใจผฟู ง ทัง้ น้ีเพ่ือโนมนา วจิตใจผูฟ ง ใหบรรลวุ ัตถุประสงคใน การพูด ซ่ึงนักเรยี นสามารถฝกฝนได 2. การพูดเพื่อใหความบันเทงิ กบั ผูฟง ควรมีการเตรยี มขอมลู ดวยการเลือกเรื่อง โดยรวบรวมประสบการณสวนตวั เรื่องเลา ท่มี ีความสนุกสนาน อาทิ เร่อื งเกยี่ วกับการ ผจญภัย ความรกั ความสาํ เรจ็ ในชีวติ เร่ืองภูตผี หรอื เร่อื งทีน่ าต่ืนเตน โดยใชก ลวิธกี ารพูดเพือ่ เรา อารมณความรสู กึ เพือ่ ใหผ ฟู ง เกิดความตืน่ เตน เราใจ สนกุ สนาน และผอ นคลายความตึงเครยี ด 3. เพราะในการเตรยี มการพูดแตล ะครัง้ ตอ งวเิ คราะหผ ฟู ง โดยคํานงึ ถงึ เพศ วัย และประสบการณของผฟู ง เพื่อใหผ พู ูดสามารถเลือกใชภ าษา เนอ้ื หา หรอื เรื่องราวท่ี เหมาะสมกบั ความสนใจของผูฟ ง แตล ะเพศ วยั กลมุ หรืออาชีพ เพือ่ ใหก ารพดู บรรลผุ ลสาํ เร็จดวยดี 4. หลักในการใชต วั อยาง สถติ ิ หรือขอ มลู ประกอบในการพูด ตอ งนําขอมลู ตา งๆ มาใชในการเปรยี บเทียบหรืออา งองิ ใหม ีความนา เช่อื ถอื ของขอ มลู แสดงตัวอยา งขอ มูล อยา งชดั เจน เพือ่ ใหผ อู า นเกดิ ความเขาใจไดช ัดเจน 5. กําหนดจดุ มงุ หมายและขอบขา ยของเน้อื หาในการพูด วเิ คราะหผ ฟู ง ทั้งจํานวน เพศ วยั การศึกษา สถานภาพทางสงั คม อาชีพความสนใจ ความมงุ หวัง และทัศนคติ ของกลมุ ผฟู ง ทมี่ ตี อเร่อื งและตวั ผพู ูด กําหนดขอบเขตของเรือ่ ง โดยคาํ นึงถงึ เนื้อเรอ่ื งและเวลา รวบรวมเนือ้ หาและคัดเฉพาะประเด็นสําคญั เรียบเรยี งเน้ือเรอ่ื ง ฝก ซอ ม พดู และผพู ูดตอ งสะสมองคค วามรูจ ากหลายๆ แหลงใชเปน วตั ถุดบิ ในการพูด 128 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ ôตอนท่ี หลกั ภาษาและการใช ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ภาษา ดังตอไปนี้ • มีผูก ลา ววา โดยปกติแลว ในการสือ่ สารหรือ การสนทนาในชวี ติ ประจาํ วัน คนเราก็ไมไ ด พดู ใหถ กู ตองตามหลักภาษาและหลกั ไวยากรณอ ยแู ลว จึงไมมคี วามจาํ เปนตอง เรยี นหลกั ภาษาและการใชภ าษา นกั เรียนมี ความคิดเห็นตอคํากลา วขา งตน อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ นักเรยี น) • นักเรียนคิดวา เหตใุ ดนกั เรยี นจึงตอ งใช ภาษาใหถกู หลกั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายข้นึ อยกู บั เหตผุ ลของ นกั เรยี น) • นักเรียนคดิ วา ถานักเรียนใชภาษาไมถ ูก หลกั จะสง ผลตอการสอื่ สารอยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยูก บั เหตุผลของ นักเรยี น) ภ า ษ า เ ป น สื่ อ สํ า คั ญ ใ น ก า ร ส่ื อ ส า ร แ ล ะ เ กี่ ย ว ข อ ง กั บ ก า ร ดํ า เ นิ น ชี วิ ต ของมนุษย ถือเปนสวนสําคัญสวนหนึ่งท่ีจะชวยใหชีวิตประสบความสําเร็จ หาก ผูใชภาษามีความรูความเขาใจในหลักเกณฑ วิธีการ และไดฝกฝนอยางถูกตอง ยอมชวยใหผูน้ันมีทักษะในการใชภาษาเปนอยางดี ซึ่งพัฒนาการทางภาษาท่ีดีจะ สงผลใหบุคคลน้ันเปนผูมีเหตุผล มีความเช่ือม่ันในตนเอง มีมนุษยสัมพันธที่ดี ทําใหก ารส่อื สารเกิดประสิทธิภาพ เกร็ดแนะครู ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนในตอนท่ี 4 เร่ือง หลักภาษาและการใชภาษา นัน้ ครผู ูส อนควรเนนทบทวนประสบการณค วามรูความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับ การใชภาษาในชวี ิตประจาํ วัน พรอ มกับเช่ือมโยงเนอ้ื หาในการเรียนการสอนเกย่ี วกับ หลกั ภาษา ครูผูสอนควรเร่ิมตน การเรียนการสอนจากการใชค ําถามกระตนุ ความ สนใจเพ่ือตรวจสอบทศั นคตขิ องนักเรียนทมี่ ตี อรายวชิ าภาษาไทย โดยเฉพาะอยางยิง่ หัวขอเกีย่ วกบั หลกั ภาษา เพื่อใหน กั เรยี นไดต รวจสอบทศั นคติของตนเอง พรอ มกับ ต้งั ขอสังเกตในการใชภ าษาไทยของตนเอง เม่ือนักเรยี นไดตรวจสอบทศั นคตขิ อง นักเรยี นเองแลว ครูควรเชอ่ื มโยงองคความรทู ีเ่ กดิ จากการเรยี นการสอนหลักภาษาให นักเรยี นทาํ ความเขา ใจ พรอ มตง้ั ขอ สังเกตการใชภ าษาในชีวติ ประจําวนั ของนกั เรยี น สอดแทรกในบทเรยี น เพ่อื ใหนักเรยี นปรบั ทศั นคตใิ นการเรยี นการสอนหลักภาษาและ การใชภ าษา เพื่อใหนกั เรียนเกดิ ทัศนคตทิ ่ีดีตอ การเรียนและสามารถนําองคความรู จากบทเรยี นไปปรบั ประยุกตและเชอื่ มโยงกับประสบการณในการสอ่ื สารในชีวิต ประจําวันของนักเรยี นได คมู่ อื ครู 129
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรยี นรู อธบิ ายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และ ตอนที่ ๔ ลกั ษณะของภาษา สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค ภาษา 1. ใฝเ รียนรู เปน เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ นการสอ่ื สารของ 2. มงุ มนั่ ในการทํางาน มนษุ ยเพ่อื ถา ยทอดความรู ความเช่อื 3. รกั ความเปน ไทย ตลอดจนวฒั นธรรมจากบคุ คลหนึง่ ไปยงั อกี บคุ คลหนง่ึ การมคี วามรูค วามเขาใจเกีย่ วกับ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ñหน่วยกำรเรียนร้ทู ี่ ธรรมชาตขิ องภาษา ความหมายของภาษา หนวยเสยี งในภาษา การเปล่ยี นแปลงของภาษา นักเรยี นชมวีดทิ ัศนเ กี่ยวกบั การพูดแถลงขาว และลักษณะท่วั ไปของภาษา ตลอดจนพลังของภาษา หรือการแสดงปาฐกถา รวมถึงการพูดอภิปราย จาก จะชว ยใหใ ชภ าษาเพือ่ สือ่ สารไดชดั เจน ถกู ตองตาม นัน้ ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ วตั ถปุ ระสงค และมีประสิทธิผลมากย่งิ ข้ึน • นักเรียนคิดวา ผพู ูดมกี ลวธิ กี ารสื่อสารความ ธรรมชาตแิ ละพลงั ของภาษา คดิ อารมณความรสู กึ สูผอู า นผา นชอ งทาง ตัวชว้ี ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ใดบาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ • อธิบายธรรมชาติของภาษา พลังของภาษาและ • ธรรมชาตขิ องภาษา ไดอยา งหลากหลายขน้ึ อยูก บั เหตผุ ลของ ลักษณะของภาษา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑) • พลงั ของภาษา นักเรียน เปนตนวา สอ่ื สารผานคาํ พดู สหี นา ทาทาง รวมถึงนาํ้ เสียงในการพูด) • นกั เรยี นคดิ วา นักเรียนสามารถรับรคู วาม- หมายจากการแสดงออกของผพู ูดไดอ ยางไร • นกั เรียนคิดวา ส่งิ ท่สี อื่ สารผานผพู ดู นัน้ เรยี กวา ภาษาหรือไม อยางไร เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน้ี ครูผสู อนควรเชือ่ มโยงเนอ้ื หาในบทเรียนกบั เร่อื งราวหรือ เหตุการณตางๆ ท่เี กิดข้ึนในชวี ติ ประจาํ วันของนักเรยี น โดยเร่ิมตนจากคําถามกระตนุ ความสนใจในหนว ยการเรียนรูนี้ นอกจากครูผสู อนจะใหน กั เรียนศกึ ษาจากวีดทิ ัศน แลว ครผู สู อนควรพยายามตงั้ ขอสังเกตในเรอื่ งตางๆ เพือ่ ใหนกั เรยี นไดเกดิ การ ทบทวนความรขู องนักเรยี นเอง เนอ่ื งจากการใชภ าษาในชวี ิตประจาํ วนั มีความเกี่ยวของ กับวัฒนธรรมทีน่ กั เรยี นไมคอ ยตัง้ คาํ ถาม หรอื มีขอสงั เกตมากนกั การต้งั คําถามหรอื การตั้งขอสังเกตน้ี ยอ มชว ยใหน กั เรียนตง้ั สมมตฐิ านเกย่ี วกับวิธีการใชภ าษาทเ่ี กดิ ขึ้น ในชีวติ ประจาํ วนั ชว ยใหน ักเรยี นเกดิ ความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ภาษามากย่งิ ขนึ้ การ เรยี นรจู ากการต้ังขอสังเกตจะชวยใหนักเรยี นเกิดความเขา ใจในความสมั พนั ธระหวาง ภาษากับวฒั นธรรม และชวยใหน กั เรียนใหค วามสาํ คญั กบั การเรยี นรภู าษาและใชภาษา ไดถกู ตอ งตามหลักภาษามากยง่ิ ขึน้ นกั เรยี นสามารถประยกุ ตค วามรูความเขาใจจาก การเรียนการสอนมาใชใ นชีวติ ประจาํ วันได เพราะความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการใช ภาษาจะสง ผลดีตอตัวนักเรียนในการสรา งสัมพันธภาพระหวา งกนั 130 ค่มู อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ธรรมชาตขิ องภาษา ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • นกั เรยี นคิดวา นักเรียนสามารถเขา ใจความ- ภาษาเปนเครื่องมือท่ีมนุษยใชในการติดตอส่ือสาร เพื่อแลกเปล่ียนความคิด ความเห็น หมายของสิ่งท่ีนักเรยี นรับรู รวมถึงนกั เรยี น ทฤษฎี อารมณ ความรูส กึ หรือเพ่ือทาํ ใหเ กดิ ความเขาใจ ความพึงพอใจ ความเคียดแคน เปน ตน สามารถส่ือสารใหผอู น่ื เกดิ ความเขาใจได กิจกรรมที่ใชภาษามีมากมาย เชน การใหขอ มลู การชีแ้ จง การแสดงความคิดเห็น การโฆษณา อยางไร การอภปิ ราย การเลา เรอ่ื ง การโตแ ยง ตลอดจนการสนทนาในชวี ติ ประจาํ วนั อาจกลา วไดว า กจิ กรรม เกือบท้งั หมดในชีวติ ของมนษุ ยล ว นแตอ าศัยภาษาทงั้ สิน้ • นกั เรียนคดิ วา สีหนา ทา ทาง รวมถงึ นํา้ เสยี ง ในการพดู ถอื เปนภาษาในการส่ือสารหรือไม เครอื่ งหมายท่ีมนุษยใชส ่อื ความหมายกัน เชน สัญญาณไฟ สญั ญาณควนั รหัส ทาทาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ดนตรี เสียง การแตงกาย ฯลฯ เคร่ืองหมายเหลาน้ีไมใชคําพูดแตสามารถใชสื่อสารได จะเห็น ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยูกับเหตผุ ลของ ไดวาแมแผนปายโฆษณาจะใชคําเพียงไมกี่คํา แตใหอารมณหรือความรูสึกพึงพอใจไดมาก และ นกั เรียน) ทําใหทราบจุดประสงคของการโฆษณานั้นดวยภาพเปนสวนใหญ การอธิบายภูมิประเทศก็อาจ แสดงดวยแผนที่ ซึ่งจะทําใหเขาใจไดดีกวาการใชคําพูดเพียงอยางเดียว ภาษาพวกน้ีเรียกวา อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไมใชคําพูด ในปจจุบันภาษาชนิดน้ีมีความสําคัญมากขึ้น และมี สา� รวจคน้ หา Explore หลักเกณฑในการใชมากข้นึ กวาแตก อน นกั เรียนสืบคน ขอ มลู เกยี่ วกับธรรมชาตขิ อง ภาษา รวมถงึ ความหมายและความสําคัญของ ๑.๑ คคําววาาม“หภมาษาาย1”ขออาจงแภบาง ษควาามหมายออกไดเปน ๒ ประเภท คือ ภาษา “ภาษาในความหมายกวา ง” หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พดู (วจั นภาษา) และภาษาที่ไมไดใ ช อธบิ ายความรู้ Explain คําพดู หรือภาษาทา ทาง (อวจั นภาษา) ทัง้ นีภ้ าษา ในความหมายน้ี อาจนับรวมภาษาของสัตวดวย แตเร่ืองภาษาของสัตวนี้ยังมีขอมูลไมมากนัก จึง 1. นักเรียนรว มกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเด็น ไมค อ ยมีใครนํามากลา วรวมกบั ภาษาของมนุษย ตอไปนี้ • นักเรยี นคิดวา ภาษามคี วามสาํ คัญอยา งไร “ภาษาในความหมายแคบ” หมายถึง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ภาษาที่ใชคําพูด จะเปนคําพูดหรือลายลักษณ ไดอยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ อกั ษร ซึ่งเปนเครื่องหมายใชแทนคาํ พดู ก็ได นักเรยี น เปนตน วา ภาษาเปนเครอ่ื งมอื ใน การสื่อสารของมนุษย เพอื่ แลกเปลย่ี นความ ดังนั้น ความหมายของภาษาท่ีเขียนเพ่ือ คดิ อารมณความรสู กึ และใชใ นการติดตอ การสื่อสารในชีวิตประจําวัน ก็คือความหมาย สรา งปฏสิ ัมพนั ธร ะหวา งกนั ) ประการหลังซึ่งหมายถึง ถอยคําที่มนุษยใช • นักเรยี นคิดวา นอกจากคาํ พดู แลววธิ ีการ สื่อความกันได นักภาษาจึงเรียกความหมาย ข อ ง ภา ษ า ใ น แ ง น้ี ว า “ ควา ม ห ม า ย แ ค บ ” การสื่อสารในชีวิตประจําวันจะตองใชทักษะทางภาษา เพราะจํากัดอยูเพียงคําพูดของมนุษยเทานั้น ประกอบกันทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา▼ สื่อสารผา นทางสีหนา ทาทาง รวมถงึ ภาพ ตา งๆ จัดเปน ภาษาหรอื ไม อยา งไร (แนวตอบ จัดเปนภาษาในความหมายอยาง กวาง เปน ภาษาทไ่ี มใ ชคําพูด อาจเปนสีหนา ๑๓๑ ทาทาง สวนภาษาทีเ่ ปน คาํ พูดหรอื สญั ลกั ษณ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT จัดเปน ภาษาในความหมายแคบ) 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ นกั เรยี นควรรู ขอใดแตกตา งจากขอ อืน่ 1 ภาษา คําวา “ภาษา” เปนคาํ ในภาษาสนั สกฤต มาจากรากศัพทวา “ภาษ” 1. เสียงไกข ัน แปลวา พูด ภาษา ตามรปู ศัพทจ ึงแปลวา การพดู ดงั นน้ั ภาษาเปนหวั ใจของ 2. สัญญาณควนั กจิ กรรมการสื่อสารเพราะในการสอ่ื สาร ผสู ง สารจะใชภ าษาเปนสื่อพาสารไปสูผูรบั 3. สญั ญาณไฟจราจร สาร การส่ือสารเปนการตดิ ตอระหวา งมนษุ ยดว ยวธิ ีการตา งๆ ทจ่ี ะใหฝ ายหนึง่ รบั รู 4. จดหมายสมัครงาน ความหมายของอีกฝา ยหนึ่งและเกิดการตอบสนองตรงตามจดุ หมาย ไมว าจะเปน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. จดหมายสมคั รงาน แตกตางจากขอ อืน่ การแสดงความคิด และความตอ งการ ภาษายอมมกี ารเปล่ยี นแปลงตามกาลเวลา เพราะเปน การใชภ าษาในความหมายแคบ ซ่ึงจะใชเพียงคาํ พูดหรือลาย ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุมคน ตามสภาพของสงั คมและเศรษฐกิจ ภาษาในโลกมี ลักษณอักษรแทนคําพดู หรือก็คอื มเี พยี งมนุษยเ ทานัน้ ท่ใี ชภาษาในลักษณะน้ี หลายภาษา ภาษาเหลานมี้ ีท้ังลักษณะทต่ี างกันและเหมือนกนั ไปตามลักษณะพน้ื ฐาน ของภาษาน้ันๆ สงิ่ ทเี่ หมือนกนั อยางเหน็ ไดชัดคอื ภาษาน้ันสามารถสอื่ ความหมาย ประกอบกนั เปน หนว ยท่ีใหญข ้ึนไดและมีการเปล่ยี นแปลง นอกจากน้ี ภาษายัง สามารถถา ยทอดความรูสกึ นกึ คิด ชว ยใหเกดิ การพฒั นาเรียนรอู ีกดวย การใชภาษา เปนทักษะท่ผี ูใชภาษาตองฝกฝนใหเ กดิ ความชํานาญ ไมว า จะเปน การอา น การเขียน การพดู การฟง และการดูสอ่ื ตางๆ รวมท้งั ตอ งใชใ หถกู ตองตามหลักเกณฑท างภาษา เพอ่ื สอื่ สารใหเ กดิ ประสทิ ธิภาพ และมวี ิจารณญาณ คมู่ อื ครู 131
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สา� รวจคน้ หา Explore นักเรียนสบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั ประเภทของภาษา เอสยียางงกไค็รกอื ็ตตาวั มอเกัมษ่ือรม1เนชุษน ยเดพียัฒวนกับาขท้ึน่ีถกา ย็มเีวสิธียีถงาภยาทษอาดไทเสยียเปงพนตูดัวเปอนกั ษสิ่งรอไท่ืนย ในการสื่อสารสิ่งที่ใชแทน ทีใ่ ชในการส่อื สาร ซงึ่ ประกอบดวยลักษณะและ รูปแบบของอวัจนภาษาและวจั นภาษา ๑.๒ ประเภทของภาษาทใี่ ชใ นการสอื่ สาร อธบิ ายความรู้ Explain มนุษยท่ีอยรู ว มกนั ในสังคมสามารถสอ่ื สารกันไดหลายทาง ตงั้ แตการพดู ใหฟง การเขียน ใหอ าน การสอ่ื สารผานสอ่ื เทคโนโลยี ฯลฯ เปน การสง สารดว ยภาษาถอ ยคาํ ถายทอดจากผูสงสาร 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ไปยังผูรับสาร ท้ังน้ีสารจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ขึ้นอยูกับทักษะการใชภาษาของผูรับ2สารและ ความรูในประเด็น ตอ ไปนี้ ผสู งสาร กลาวคือ ผสู ง สารตอ งมคี วามสามารถในการใชถอ ยคาํ สามารถแสดงน้ําเสียง ทาทาง • นกั เรียนคิดวา ภาษาท่ใี ชใ นการส่อื สาร หนา ตา ไดอ ยา งเหมาะสม สว นผรู บั สารตอ งมคี วามสามารถในการตคี วามใหก ระจา ง ทงั้ จากถอ ยคาํ แบง ออกเปน กี่ประเภทอะไรบา ง น้ําเสยี ง บคุ ลกิ แววตา และทา ทางของผสู ง สาร (แนวตอบ แบง เปน 2 ประเภท ไดแ ก วจั นภาษาซงึ่ เปนภาษาคําพดู หรือสัญลกั ษณ ภาษาท่ีใชในการส่อื สารน้ีแบง ได ๒ ประเภท ดังนี้ และอวัจนภาษาเปนภาษาทีไ่ มใชคําพดู ๑) ลักษณะและรูปแบบของอวัจนภาษา อวัจนภาษา คือ ภาษาท่ีไมใชถอยคํา มี อาทิ น้ําเสียง สหี นา ทา ทาง แววตา บุคลิก ลักษณะและรปู แบบท่ีสําคัญ ดงั น้ี รวมถึงทา ทางของผสู งสาร) ๑.๑) การแสดงออกทางใบหนา สามารถบอกเจตนาได เชน 2. นักเรยี นพิจารณาบทประพันธ จากนนั้ นกั เรียน รว มกนั ตอบคําถาม ตอไปนี้ การแสดงออก ย้มิ แยม แจมใส ตกใจ โกรธ “หนา ตาย้มิ แยมแจมใส ทางใบหนา แสดงความจริงใจใหป รากฏ ใชภาษาถอยคําใหงามงด แสดงเจตนา เตม็ ใจ พอใจ ตกใจ ไมเ ตม็ ใจ ไมพอใจ มธุรสวาจาเรื่องสาํ คัญ” • นกั เรยี นคิดวา จากบทประพนั ธขางตน ส่งิ ท่ี ๑.๒) นํ้าเสียง เปนส่ิงสําคัญในการสื่อสารเพราะสามารถบอกอารมณ ความรูสึกของ เรยี กไดว า “ภาษา” ทั้งในความหมายอยา ง ผสู งสาร สงั เกตไดจากนาํ้ เสียง ดงั ตัวอยา งตอไปน้ี กวา งและความหมายอยา งแคบประกอบดว ย อะไรบาง อยา งไร น้าํ เสียง อารมณของผูส ง สาร (แนวตอบ ภาษาในความหมายอยา งกวา งท่ี - เสยี งดังพอไดย นิ สูงตาํ่ พอประมาณ แสดงความสุภาพ ปรากฏในบทประพันธ ไดแก “หนาตาย้ิมแยม แจม ใส” และ “ถอ ยคํา” ซ่งึ “ถอ ยคาํ ” ถอื ยดื เสยี งเล็กนอ ย แสดงความไมสุภาพ ขม ขู เปน การใชภ าษาเฉพาะความหมายอยางแคบ) - เสยี งดงั มาก กระโชกโฮกฮาก สน้ั หว น แสดงความไมแ นใจ ลังเลใจ - เสียงคอ ยเกินไป พูดออยๆ 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๑๓๒ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดเปน อวจั นภาษาทแี่ สดงถงึ ความไมส ุภาพ ครูผูส อนสามารถจัดกิจกรรมเพอ่ื ฝก ใหน กั เรยี นไดร ูจ กั วธิ กี ารเลอื กใชนา้ํ เสียงและ 1. วิทยาธรไดร ับคําชมวาเปนผูช ายทมี่ ีเสนห จะนั่งจะยืนมีทา ทางสภุ าพ ตีความนํ้าเสียงท่แี ฝงมากบั คําพูด เพราะนํา้ เสยี งเปน สิง่ ทผี่ ูร บั สารจะตองตีความเอง นอบนอ มอยเู สมอ การตีความนาํ้ เสยี งไดถกู ตอ งจะทาํ ใหก ารสอ่ื สารมปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ 2. ใครๆ มกั บอกเขาวา ไมนาชอ่ื วินยั เพราะเขาไมมวี นิ ยั เวลานายเรยี กกเ็ ดนิ ลวงกระเปา เขาไปหา นกั เรยี นควรรู 3. สถาพร รีบมาทํางานแตเชาและยิ้มทกั ทายผอู ่ืนดว ยหนาตายิ้มแยมทุกวนั 4. เวลานําเอกสารเขา ไปนําเสนอเจา นาย วิศรตุ จะยนื คอ มตัวรอรับคําสัง่ จาก 1 ตวั อกั ษร สญั ลักษณ หรอื เครอื่ งหมาย สาํ หรบั ใชแทนหนว ยเสยี ง ในภาษา นายเสมอ หนง่ึ ๆ โดยเรียกรวมทง้ั ชดุ หรอื ทงั้ ระบบ โดยท่วั ไป อกั ษรแตละตวั มักจะใชแทน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ใครๆ มักบอกเขาวาไมนาช่อื วินัยเพราะเขา หนว ยเสียงหนึง่ ๆ ซง่ึ อาจเปน เสียงสระ พยญั ชนะ หรอื หนวยเสยี งปลกี ยอ ยอนื่ ๆ ไมมีวินัย เวลานายเรยี กกเ็ ดนิ ลวงกระเปา เขา ไปหา อวัจนภาษาทแ่ี สดงถงึ 2 นํา้ เสียง กระแสเสียง คาํ พูด โดยปริยายหมายถงึ คําพูดท่ีสอ ใหร อู ารมณท่มี ี ความไมสุภาพของวนิ ยั คอื การเดนิ ลว งกระเปา เปน กริ ยิ าทาทางทไี่ มใสใจ อยูในใจ การพจิ ารณาน้าํ เสียงของผูพูดเปนการคนหาความรูสึกของผูพดู ในขณะที่ และขาดความนบั ถือผูอ่ืน โดยเฉพาะผทู ่อี าวโุ สกวา พดู เรอ่ื งน้นั ๆ ซง่ึ เปนความหมายทตี่ องตีความ 132 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นจัดกลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอม ๑.๓) ทำ่ ทำง คอื กิริยาทา่ ทางขณะส่งสาร ไดแ้ ก่ ทา่ นง่ั ท่ายนื และการทรงตัวมผี ล รวมกนั แลกเปลยี่ นความคิดเห็นจากประเด็นคาํ ถาม ต่อการสง่ สาร เชน่ ดังตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา ลักษณะหรือรปู แบบของ ท่าทางสภุ าพ ได้แก่ ทา่ นั่งหรอื ยนื อยา่ งสุภาพ แสดงความนอบนอ้ ม อวจั นภาษาที่สําคัญ ประกอบดวยรูปแบบ ทา่ ทางไม่สภุ าพ ไดแ้ ก ่ ทา่ ยืนท�าตัวตามสบาย เอามอื ลว้ งกระเปา หรอื ทา่ นงั่ ใดบาง นกั เรียนอธบิ ายและยกตัวอยา ง ประกอบ ไขว่ห้างตอ่ หนา้ ผอู้ าวโุ สกวา่ ฯลฯ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถกลา วถึงลกั ษณะ รูปแบบของอวัจนภาษาไดอ ยางหลากหลาย ๑.๔) กำรแต่งกำย ควรแต่งกายให้เหมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และสภาพแวดล้อม ประกอบดวยรปู แบบตา งๆ ดังนี้ การแต่งกายที่สุภาพท้ังเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจและความเช่ือถือ 1. การแสดงออกทางใบหนา สามารถสอ่ื ในตัวผู้พูด แตถ่ า้ แต่งกายไมส่ ุภาพและไมเ่ หมาะสมกับสถานที่ อาจจะท�าใหเ้ กดิ ความเส่อื มศรัทธา เจตนาได 2. นา้ํ เสยี ง สามารถบอกอารมณ เคล่ือนไหวม๑า.ก๕เ)ก กินำไรปเเคพลร่ือานะอไหาจว ดใูเนหขมณอื นะพกาูดรตแอ้ สงดเคงลล่ือะคนรไห1วบ้างพอเหมาะกบั เน้อื หาทพ่ี ูด แต่อย่า ความรูสึกของผสู งสาร โดยสงั เกตจาก ๑.๖) กำรใช้มอื และแขน ขณะพดู ควรใชม้ อื หรือแขนใหส้ อดคลอ้ งกับเรื่องทพ่ี ูด เชน่ ก�ามอื เป็นการแสดงความส�าคัญ นํา้ เสียงได เชน เสยี งดงั มาก กระโชก ผายมือ เป็นการบอกทศิ ทาง โฮกฮาก หรอื สน้ั หว น แสดงความไมสุภาพ ยกมือท้ังสองขา้ งพร้อมกัน เป็นการบอกขนาด ของผสู งสาร หรือสอ่ื เจตนาขมขู เปน ตน 3. ทา ทางในขณะสง สารมผี ลตอ ความสุภาพ ๑.๗) กำรใช้นยั นต์ ำ หรอื แววตาสามารถสอื่ อารมณข์ องผ้พู ูดได้ เช่น แปลกใจ สงสัย เชน ทายืนทาํ ตวั ตามสบาย ลว งกระเปา ม่ันใจ ลังเลใจ สมใจ สะใจ ฯลฯ หรอื ไขวหาง เปนทา ทางทีไ่ มส ภุ าพ เปนตน 4. การแตงกาย 5. การเคล่อื นไหว ๑.๘) กำรใช้ภำษำสัญลักษณ์ต่ำงๆ ที่ก�าหนดขึ้นโดยสังคมกลุ่มต่างๆ หรือภาษา 6. การใชม อื และแขน 7. การใชนยั นตา สากล ล้วนใช้สื่อความหมายแทนสง่ิ ใดส่งิ หน่งึ ใหเ้ ปน็ ทเี่ ข้าใจตรงกนั เชน่ ตัวหนัง2สือ สญั ญาณมือ 8. การใชภาษาสญั ลักษณตางๆ) สัญญาณไฟ ธง ป้ายจราจร สญั ญาณนกหวดี สัญญาณเสียงตา่ งๆ และภาษามือของผูพ้ ิการ 2. ครสู มุ นักเรยี นแตละกลมุ ออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรียน อวัจนภาษาเหล่าน้ี สามารถน�าไปใช้ประกอบกับการใช้วัจนภาษาเพื่อให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ขณะที่พูดอาจใช้มือท�าท่าทางประกอบ ใช้สีหน้า หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ประกอบด้วยได้ ๒) ลักษณะและรปู แบบของวจั นภ�ษ� ภาษาไทยมถี ้อยค�าท่ีแสดงความลดหลั่นชนั้ เชงิ ของภาษาอย่มู าก ทัง้ ถ้อยค�า ส�านวน โวหาร การเลือกสรรถ้อยคา� จงึ เปน็ เรอื่ งสา� คัญที่สุดในการ ขยายความเขา้ ใจ Expand สอ่ื สาร เพราะถ้าใช้ถอ้ ยค�าภาษาผดิ อาจส่งผลใหก้ ารสอื่ สารไม่ตรงเปา้ หมายท่ีตอ้ งการ หรือทา� ให้ 1. ครสู ุม นักเรียน 2-3 คน ออกมานาํ เสนอ เกิดความเข้าใจผิดได้ การใช้วัจนภาษาให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคลจึงเป็นเร่ืองท่ีควรศึกษา ลกั ษณะและรปู แบบการใชอ วจั นภาษา โดย ในท่ีน้ีจะขอยกข้อสังเกตของการใช้วัจนภาษาเพ่ือศึกษา พิจารณา และเลือกใช้ค�าได้ถูกต้อง ออกมาแสดงอวัจนภาษาตา งๆ อาทิ ทาทาง เหมาะสมยง่ิ ขนึ้ ดงั น้ี นา้ํ เสยี งการเคลอ่ื นไหว การใชน ยั นตา การแตง กาย การสอ่ื ความหมายผานภาษา ทาทาง การใชทง้ั วจั นภาษาและอวจั นภาษา 133 ประกอบกัน 2. นักเรยี นท่ีเหลอื รวมกนั ตคี วามหมายของ บรู ณาการเชอื่ มสาระ อวัจนภาษาท่ีนักเรียนส่อื สาร ครสู ามารถนําเนอื้ หาเร่อื ง อวัจนภาษา ซ่ึงเปน การสือ่ สารผา นภาษาที่ นักเรียนควรรู ไมใชถ อ ยคํา บูรณาการเชื่อมโยงกับกลุมสาระการเรียนรู การงานอาชพี และ 1 ละคร การแสดงประเภทหน่งึ ผูแ สดงเรยี กวา ตัวละคร มีเวที หรือสถานทใี่ ชใน เทคโนโลยี รายวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เน้ือหาเก่ยี วกบั การเลอื กใช การแสดง มีบทใหตวั ละครแสดงตามเนื้อเรอื่ ง โดยมากมดี นตรปี ระกอบ มลี กั ษณะ เสอื้ ผาและเครอื่ งแตง กายใหส อดคลองเหมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และ แตกตางกนั ออกไปหลายชนดิ หรอื หมายถงึ การเลน ทใ่ี ชส ัตวเ ปน ตัวแสดง เชน ละคร สภาพแวดลอม ซึ่งเส้ือผาเครอื่ งแตงกายเปนการสือ่ สารผานอวจั นภาษาอยาง ลิง ละครสัตว โดยปริยายหมายถึงความเปน ไปของชีวติ เชน ละครชวี ิต โลกคอื ละคร หนึ่ง ชวยใหค ูส นทนาเกดิ ความประทบั ใจและความเชือ่ ถือในตวั ผูพ ดู แตหาก โรงใหญ เปนตน คาํ วาละครนน้ั มีลกั ษณะการเขยี นทผ่ี ิดเพี้ยนออกไปคอื ละคร ลครฺ มีการแตงกายไมเหมาะสมหรือไมสุภาพยอมลดความนา เชอ่ื ถอื ของตนลง แตม ีความหมายรวมเหมือนกันคอื เปนการแสดงมหรสพอยางหนงึ่ ที่เลน เปนเรอ่ื ง ไปดวย การเลอื กเสือ้ ผาเครอื่ งแตง กายทมี่ คี วามเหมาะสมจงึ เปนการสะทอ น ตางๆ โดยมุง ใหเกิดความบันเทิงใจ บคุ ลิกภาพที่เหมาะสมของตนเองสคู สู นทนาไดอยา งเปนอยา งดี การเรียนรู 2 ภาษามือ ภาษาองั กฤษใชว า sign language เปน อวจั นภาษาอยา งหนงึ่ ท่ี หรือทาํ ความเขาใจวิธกี ารเลือกใชเสื้อผาเคร่ืองแตง กายประเภทตา งๆ ใหม ี ประกอบดวย การสื่อสารดวยมือ การส่อื สารดว ยรางกาย และการใชร มิ ฝปากในการ ความเหมาะสม ถือเปน การใชภ าษากายใหสอดคลอ งกบั สังคมและวัฒนธรรม ส่อื ความหมายแทนการใชเสียงพูด การสอื่ สารจะใชล กั ษณะของมือที่ทาํ เปน สัญลักษณ ไดอกี ทางหนึ่ง การเคล่อื นไหวมอื แขนและรา งกาย และการแสดงความรูสึกทางใบหนา เพอ่ื ชว ยใน การสอ่ื สารความคดิ ภาษาสัญลักษณสว นใหญม กั ใชใ นกลมุ ผูพิการทางหู ซ่ึงรวมทงั้ ผูพกิ ารทางหูเอง ผตู ีความหมาย ผรู วมงาน เพอ่ื น และครอบครวั ของผพู ิการทางหู ซ่ึงอาจจะพอไดย ินบา งหรอื ไมไ ดย นิ เลย คูม่ ือครู 133
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ๒.๑) ค�ำที่มีควำมหมำยเหมือนกัน มีที่ใช้ต่ำงกัน การใช้ค�าเหล่าน้ีต้องค�านึงถึง ตอ ไปน้ี โอกาส สถานท่ี และสมั พันธภาพระหว่างบคุ คล เช่น • นกั เรยี นคิดวา ลักษณะและรปู แบบของ วจั นภาษาท่ีเหมาะสมกับกาลเทศะและบคุ คล ระดบั บคุ คล คำ�ศัพท์ ก�รใช้ภ�ษ� ตอ งคาํ นงึ ถงึ เรื่องใดบา ง อยางไร หากใชไม บคุ คลท่ัวไป รบั ประทาน เหมาะสมจะเกดิ ผลอยางไร พระภิกษุ กิน ฉัน (แนวตอบ เปน ตน วา การใชค ําสอดคลองกับ พ๒ร.ะ๒บ)ร คม�ำวทงศี่เปาน็นวุ ภงำศษ์ ำพูด1 เม ื่อน�าค�าท่ีเป็นภาษาพูด มาเขียเนสเวปย็นภาษาเขียน2จะเขียน สถานภาพของบุคคล หากใชไมเ หมาะสมจะ สง ผลใหการส่ือสารไมสัมฤทธิผล อาจนําไปสู ไม่ตรงกบั เสียงพดู เช่น ความขดั แยงได) 2. ครูสุมนักเรียนยกตัวอยา งการใชวจั นภาษาใน ภาษาพดู : เคา้ เอาของช้นั ไปแลว้ ไม่คืนไดไ้ ง รูปแบบตา งๆ ดงั ตอ ไปน้ี ๒.๓ภ)า ษคาำ� เทขีเ่ยี ปนน็ ภำษำป: ำก3คเ�าขทาเเี่ อปา็นขภอางษฉันาปไปาแกลไ้วมไม่นค่ ยิ นื มไนด�าอ้ มยาา่ งเปไรน็ ภาษาเขียน เช่น • คาํ ท่ีเปน ภาษาพดู ภาษาปาก : เยอะแยะ ใบขับข่ ี มหาลยั (แนวตอบ เคา เอาหนงั สือชน้ั ไป เมอื่ วานน)้ี ภาษาเขียน : มากมาย ใบอนุญาตขับข ่ี มหาวทิ ยาลยั • คําทเ่ี ปน ภาษาปาก ๒.๔) กำรใช้ส�ำนวน เป็นลักษณะเด่นของการสื่อสาร เพ่ือใช้เปรียบเทียบให้ผู้ฟัง (แนวตอบ ผา ผอ นเยอะแยะใชเ ทา ไหรก ็ไมเกา ) เข้าใจได้ทันที ส�านวนเหลา่ นจ้ี ะมคี วามหมายไม่ตรงกับคา� ท่เี ขยี น เชน่ • การใชส ํานวน ใจยกั ษ์ หมายถึง มีจิตใจดรุ ้าย โหดเหย้ี ม (แนวตอบ เขาเปน แมเ ลี้ยงที่ใจยักษ หมายถึง คอแขง็ หมายถึง ทนต่อรสอันเข้มขน้ รุนแรงของสุราได้ มีจิตใจดรุ า ยโหดเหย้ี ม) • การใชศ ัพทเ ฉพาะในอาชพี เดียวกัน ๒.๕) กำรใช้ศัพท์เฉพำะในแวดวงเดียวกัน และกำรใช้ค�ำผวน การใช้ศัพท์เฉพาะใน (แนวตอบ วนั นีผ้ มตอ งข้ึนวอรด คาํ วา “วอรด ” แวดวงเดียวกัน อาจท�าให้คนนอกกลุ่มฟังไม่เข้าใจ เช่น พยาบาลคุยกันว่า “วันนี้ต้องขึ้นวอร์ด หมายถงึ ตกึ ผูป วย) หรือเปล่า” คนที่ไม่เกย่ี วข้องจะไม่รู้วา่ วอร์ด คือ การเข้าเวรปฏิบตั ิหนา้ ที่ หรือการพูดคา� ผวน เช่น • การใชภาษาถิน่ หมาตาย หมายถงึ หมายตา (แนวตอบ คดึ ฮอด หมายถึง คิดถึง ในภาษา แจว้ หลบ หมายถงึ จบแลว้ ถนิ่ อสี าน) การพูดคา� ผวนต้องระมดั ระวงั ไม่ให้หยาบโลน มบี างคา� ท่ีผวนแลว้ มคี วามหมาย • การใชค าํ คะนองและสแลง ทางหยาบโลน จึงต้องพยายามหลกี เล่ยี ง (แนวตอบ เธอแตงตัวสกอยมาก) ๒.๖) กำรใช้ภำษำถิ่น ภาษาถ่ินเป็นภาษาที่ใช้กันเฉพาะหมู่ และนิยมใช้เป็นภาษา พูด แต่มีบางค�าเปน็ ที่รจู้ ักกันดอี ยแู่ ลว้ เช่น ขยายความเขา้ ใจ Expand แซบ ในภาษาถนิ่ อีสาน หมายถึง อร่อย ลา� ในภาษาถน่ิ เหนือ หมายถงึ อรอ่ ย 1. นักเรียนรวบรวมและยกตัวอยางวัจนภาษา หรอย ในภาษาถ่ินใต ้ หมายถงึ อรอ่ ย ประเภทตา งๆ จากนน้ั ใหนกั เรยี นปฏิบตั ิ กจิ กรรมตอคาํ ศพั ททมี่ ีความหมายเหมอื นกัน 2. ครนู ําคาํ ศพั ทท่ีนักเรยี นรวบรวมมาแตงประโยค 134 ใหส อดคลองกบั ระดับภาษา บันทึกลงในสมุด ขอสอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเก่ียวกับวัจนภาษา 1 ภาษาพูด ภาษาท่ีใชพดู จากัน ไมพถิ ีพถิ ันในการใชตามหลกั ภาษามากนกั ขอใดมคี าํ ที่แสดงวัจนภาษา สรางความรสู ึกเปนกนั เอง ใชในกลุม เพือ่ น เปน การติดตอ สอื่ สารทไี่ มเ ปน ทางการ 1. แมมากผิกงิ่ ไม ผวิ ใครจะใครล อง 2 ภาษาเขียน เปนภาษาท่ีเครงครดั ตอการใชถอยคําและคาํ นงึ ถึงหลักภาษา มดั กํากระน้นั ปอง พลหักก็เต็มทน เพือ่ ใชใ หถกู ตอง มักใชในการเขียนมากกวาการพูด มีความสภุ าพ เปน ภาษาท่ีใช 2. น่งิ เงียบสงบงํา บมทิ าํ ประการใด ในระดับพิธกี ารและทางการ ปรากฏประหน่ึงใน บรุ วา งและรา งคน 3. ปรึกษาหารอื กนั ไฉนน้นั กท็ าํ เนา จักเรียกชมุ นุมเรา บแลเห็นประโยชนเลย 3 ภาษาปาก เปนภาษาทีใ่ ชใ นวงจํากัด เชน ภาษาทใี่ ชในครอบครัว ใชร ะหวา ง 4. ลูกขางประดาทา รกกาลขวางไป สามี ภรรยา มารดา บตุ ร หรือใชระหวางเพ่อื นสนิท สถานท่ใี นการใชภ าษาดังกลา ว มกั อยูในพน้ื ทจี่ าํ กดั หรือพน้ื ท่ที ่มี คี วามเปน สว นตวั สงู เน้ือหาของสารที่นําเสนอ หมุนเลน สนุกไฉน ดจุ กนั ฉะน้ันหนอ มักเปน เรือ่ งสนทนาท่วั ไป ไมมขี อ จํากดั ภาษาระดับนมี้ ักใชในการสนทนา ไมน ิยม บันทกึ เปน ลายลักษณอ กั ษร ยกเวน การบันทึกในนวนิยาย หรือเรอ่ื งส้ัน โดยเฉพาะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. มีคําท่ีแสดงวจั นภาษา คือ คาํ วา ปรกึ ษา ในบทสนทนาของตวั ละครเพ่อื สรางความสมจริง ถอ ยคําทใ่ี ชอาจปรากฏคาํ คะนอง หารอื ซงึ่ แสดงใหเห็นวามกี ารพูดคยุ กนั ขอ 1. เปน อวัจนภาษา แสดง ทา ทางหกั ก่งิ ไม ขอ 2. การน่ิงเงียบไมม คี ําพูด และขอ 4. ไมมีการใชค าํ พดู คําภาษาถิน่ รวมถงึ คาํ สแลงไดอีกดวย 134 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Evaluate Explore Explain Expand Explore สา� รวจคน้ หา ๒.๗) กำรใช้ค�ำคะนอง1 และสแลง2เฉพำะสมัย เป็นการใช้ค�าสื่อสารกันเพียงชั่วคราว นกั เรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม สบื คนขอมูล เช่น ซ่าส์ มั่ว ปิ๊ง จ๊าบ ฯลฯ จึงเหมาะที่จะใช้ในการพูดเฉพาะกลุ่มที่สามารถสื่อสารกันอย่าง เก่ียวกบั ลักษณะทั่วไปของภาษา ในประเด็น เขา้ ใจ ไมเ่ หมาะท่จี ะน�าไปใช้ในการสนทนาทัว่ ไปหรือการเขยี น ตอไปนี้ 1. เสยี งสื่อความหมายในภาษา 2. หนว ย ในภาษา 3. การเปลย่ี นแปลงของภาษา 4. ลกั ษณะ ๑.๓ ธรรมชาตขิ องภาษา รว มและลักษณะเฉพาะของภาษา 5. ระเบยี บ แบบแผนของภาษา ภาษาทุกภาษาตา่ งมีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตน แตอ่ ยา่ งไรย่อมมีลักษณะทัว่ ไปร่วมกัน ดังน้ี อธบิ ายความรู้ Explain ๑) ภ�ษ�ใช้เสยี งสอ่ื คว�มหม�ย คนแตล่ ะชาติ แตล่ ะกลุ่ม แต่ละพวก ต่างกา� หนดเสียง ที่ใช้พูดส่ือความหมายเฉพาะในกลุ่มตนว่าจะให้เสียงใดมีความหมายอย่างใด เมื่อใด ด้วยเหตุนี้ 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 1 นําเสนอเรือ่ ง เสยี งสือ่ ความ- เสยี งในแต่ละภาษาจึงตา่ งกนั เชน่ ในภาษาไทยไม่มเี สยี งสะกด ล /l/, ส /s/ อยา่ งในภาษาอังกฤษ หมาย ดว ยการรวมกันตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ หรอื ภาษาอังกฤษไมม่ เี สยี งสะกด ป /p/, ต /t/ เพราะเสียงสะกดน้ีในภาษาอังกฤษตอ้ งมกี ารพน่ ลม • การท่คี นไทยเราเรยี กทอ่ี ยูอ าศัยวา บาน เป็นต้น จะมีก็แต่ค�าที่เกิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติเท่านั้นที่อาจจะมีเสียงใกล้เคียงกันมาก เรอื น คนญป่ี ุนเรียกวา อุจิ นกั เรียนคิดวา กลา่ วคอื อาจคลา้ ยคลงึ กันทง้ั เสียงพยัญชนะและสระ เชน่ ตุ๊กแก (ภาษาไทยกลาง) ต๊กโต (ภาษา เสยี งมีความสัมพนั ธกับภาษาอยางไร ไทยเหนือ) เก๊กโก (ภาษาอังกฤษ) หรอื คลา้ ยคลึงกนั เพยี งเสยี งใดเสยี งหนึ่ง เช่น แมว (ภาษาไทย) (แนวตอบ แสดงใหเหน็ ลกั ษณะเฉพาะของ งาว (ภาษาจนี ) ภาษาแตล ะภาษาที่มีการใชเ สยี งแตกตา งกัน ในการส่ือความหมาย) การท่ีต้องก�าหนดเสียงและความหมายใช้ในภาษาเป็นจ�านวนมาก ท�าให้เสียงที่ใช้ใน • จากคําถามขางตน สะทอนลกั ษณะสาํ คัญ ภาษามีความสัมพันธ์กับความหมายโดยธรรมชาติได้ยาก อาจมีบ้างบางเสียงที่ก�าหนดให้ ของภาษาอยา งไร คลา้ ยคลึงกนั มคี วามหมายใกล้เคยี งกัน หรอื มคี วามหมายไปในทางเดยี วกนั แตก่ ็ไมน่ า่ จะถือวา่ (แนวตอบ เสยี งกบั ความหมายไมม ีความ เสียงสมั พันธก์ บั ความหมายโดยธรรมชาติ ดังเชน่ เซ เฉ เป๋ เหล่ เก เย้ แปลว่า ไม่ตรง ค�าเหล่าน้ี สมั พันธกนั ) คงเปน็ คา� ที่กา� หนดขึน้ ในระยะแรก แต่ภายหลงั ค�าอ่ืนทผ่ี สมสระเดยี วกนั น้ี กม็ ิได้แปลความหมาย • นักเรียนคิดวา คําวา โฮง ครืนๆ เหมียว เช่นนัน้ นอกจากนี้คนท่ีไม่รู้จักค�าเหลา่ นั้นมากอ่ น เม่อื ได้ยนิ คา� เหลา่ นัน้ ก็ไมอ่ าจบอกความหมาย แปรน เปนคําหรอื เสียงทีม่ คี วามสมั พนั ธก บั ได้ทันที ดังน้ัน ถ้าพูดว่า “เสียงสัมพันธ์กับความหมายโดยธรรมชาติ” ก็ควรจะหมายถึง เสียง ความหมายหรอื ไม อยางไร บอกความหมายได้ แม้จะมไิ ด้นดั หมายกนั ไว้ก่อน แมค้ นที่ไม่รูภ้ าษาน้นั ๆ ได้ยินเสยี งคา� เหลา่ น้นั (แนวตอบ เปน คาํ ที่เกดิ จากการเลยี นเสียง กพ็ อจะรู้ความหมายได้เชน่ กนั ถือวาสมั พนั ธกับความหมาย) ค�าหรือเสียงท่ีจะถือว่ามีความสัมพันธ์กับความหมาย มักจะเป็นค�าจ�าพวกท่ีเกิดจาก 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ การเลียนเสียง จะเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น ครืนๆ (เลียนเสียงฟ้าร้อง) หวิวๆ (เลียน เสียงลม) ฯลฯ เลียนเสียงสัตว์ร้อง เช่น เหมียว (เสียงร้องของแมว) โฮ่ง (เสียงเห่าของสุนัข) ขยายความเขา้ ใจ Expand แปร๋น (เสียงร้องของช้าง) ฯลฯ เลียนเสียงเด็กอ่อนหรือเด็กที่ก�าลังหัดพูด เช่น อุแว้ หม่�า อึ ฯลฯ หรือคา� ท่เี ป็นเสียงอทุ าน เช่น โอ๊ย! อูย! เฮอ้ ! เปน็ ตน้ นกั เรยี นยกตวั อยางคาํ ที่มเี สยี งสมั พนั ธกับ ความหมาย พรอมบอกความหมายของคาํ และ 135 บรบิ ททใ่ี ชค ําดังกลาว ขอ สอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเกีย่ วกับหนวยเสยี งในภาษาไทย 1 คําคะนอง คอื คําทพี่ ดู เกินขอบเขต หรอื วาจาอนั ไมสมควร คาํ คะนองเปน คาํ เสยี งของพยางคในขอ ใดมีโครงสรา งตา งกับขออน่ื ทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลงอยตู ลอดเวลา ไมน านก็เสอื่ มความนิยมและเลกิ ใชไปในทีส่ ุด 1. ขวาน คาํ กลมุ ทีใ่ ชเ พื่อทาํ ใหเ กดิ ความหมายเชงิ อารมณ ทําใหภาษามีสีสนั มากกวาเพอ่ื ส่อื 2. หลาม ความหมายท่ีชัดเจน เน่ืองจากคาํ คะนองนนั้ บางครัง้ กไ็ มสามารถบอกความหมาย 3. เผย ทแี่ ทจรงิ ได เพราะมกี ารใชต ามๆ กันมาขนึ้ อยกู ับกลุมผใู ชภ าษากําหนดจนกลาย 4. ฝงู เปน ภาษาเฉพาะกลมุ 2 สแลง หรอื คาํ สแลง หมายถงึ ถอยคําหรอื สํานวนที่ใชเ ขาใจกันเฉพาะกลมุ หรือ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ขวาน เปนเพียงขอ เดยี วท่ีมเี สียงพยญั ชนะ ช่วั ระยะเวลาหน่งึ ไมใ ชภาษาทย่ี อมรับกนั วาถูกตอง ภาษาอังกฤษใชว า slang มีรูป ท่ใี หค วามหมายเชิงสแลงไดโ ดยไมตองพึง่ ปรบิ ท และสามารถจาํ แนกประเภทตาม ตน ควบกนั 2 เสียง ซึง่ ขออ่นื ๆ มีเสยี งพยัญชนะตนเพียงเสยี งเดยี ว ทมี่ าไดเ ปน 6 ประเภท คือ 1. คาํ เปลีย่ นเสยี งหรอื อกั ขรวิธี 2. คําผวน 3. คํายมื 4. คํากําหนดใหมีเสียงเลยี นธรรมชาติ 5. คาํ กาํ หนดใหส่ือความหมายดว ยเสยี ง 6. คาํ ประสมขึ้นใหม และการนําคําทใ่ี ชกนั โดยทวั่ ไปมาใชใ หม ีความหมายใหม ตัวอยาง เชน ยาวไป หมายถึง เทยี่ วกลางคนื จนดึกดน่ื ถงึ เชา เปน ตน คมู่ ือครู 135
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นกลมุ ท่ี 2 นําเสนอเรอื่ ง หนว ยในภาษา ๒) หน่วยในภ�ษ�ประกอบกันเป็นหน่วยท่ีใหญ่ข1้ึน หน่วยในภาษา หมายถึง ส่วน ดวยการรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ประกอบของภาษา หน่วยที่เล็กที่สุดของภาษา คือ หน่วยเสียง หากน�าหน่วยเสียงมาประกอบกัน • หนวยในภาษามคี วามหมายวา อยางไร จะไดห้ นว่ ยท่ีใหญ่ขึน้ คอื พยำงค์ เมอ่ื กา� หนดความหมายใหพ้ ยางค์แล้ว พยางคเ์ หลา่ นนั้ ก็จะเปน็ และมีความสําคญั อยางไร ค�ำ ส�าหรับใช้ในภาษา เพราะคา� กบั พยางค์แตกต่างกันทค่ี า� จ�าเป็นต้องมคี วามหมาย ส่วนพยางค์ (แนวตอบ หนว ยในภาษา หมายถงึ สว น ไม่จ�าเป็นต้องมีความหมายก็ได้ และเม่ือน�าค�ามาประกอบกันเข้าตามระบบการใช้ถ้อยค�าของ ประกอบของภาษา) แตล่ ะภาษา กจ็ ะไดห้ นว่ ยภาษาท่ีใหญ่ข้ึนเปน็ กล่มุ คำ� หรอื วลี ถา้ น�าค�ามาเรยี งล�าดับกนั และได้ • หนวยในภาษาประกอบดว ยอะไรบาง ความหมายครบถ้วนก็กลายเป็น ประโยค ซึ่งจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ส่งสาร และหนวยในภาษาแตละหนว ยมีความ เป็นสา� คัญ แตกตางกนั อยางไร (แนวตอบ หนวยในภาษามอี งคป ระกอบ เสยี ง พย�งค์ คำ� กลุม่ คำ� ประโยค เร่ือง ดงั ตอไปน้ี หนว ยทีไ่ มม ีความหมายไดแก หนวยเสยี งและนําหนวยเสยี งมาประกอบกัน (วล)ี ตามระบบเปน หนวยทีม่ ีความหมาย ไดแ ก คาํ นาํ คาํ มาประกอบกนั เปนประโยค และนาํ ภาษาไทยมีทั้งเสียงพยัญชนะและเสียงสระเช่นเดียวกับภาษาอื่นอีกหลายภาษา และ ประโยคมาประกอบกันเปนขอ ความหรอื ที่พิเศษ คือ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ ท�าให้สามารถสร้างค�าขึ้นได้มากมาย แต่บางค�าอาจ เรื่องราว หนว ยทางภาษาแตละหนวยมีความ มีฐานะเป็นเพียงพยางค์เพราะไม่มีความหมาย เช่น ใช้พยัญชนะ ก ประสมกับเสียงสระ ออ แตกตางกันในดานของระดบั โครงสรางทาง ก็ผันวรรณยกุ ต์ได้ถึง ๕ เสียง คอื กอ ก่อ ก้อ ก๊อ กอ๋ ภาษาทมี่ คี วามแตกตา งกนั ) • นักเรียนบอกลักษณะของหนวยทางภาษา ถา้ นา� เสียงพยัญชนะ ๓ หน่วยเสยี ง เชน่ ง / / ย /j/ ว /w/ กับสระ ๑ เสียง เช่น อา แตละหนว ย และเสยี งวรรณยกุ ต์สามญั จะสามารถสรา้ งพยางค์ได้ถึง ๑๒ เสียง ดังนี้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาคําตอบได จากหนังสือเรียนในหนา 136) งา งาง งาย งาว ยา ยาง ยาย ยาว 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ วา วาง วาย วาว ขยายความเขา้ ใจ Expand ในภาษาไทยกลางไดก้ า� หนดความหมายของคา� เหล่าน้ีใหใ้ ชเ้ พียง ๙ ค�า คือ งา ยา วา ยาง ยาย ยาว วาง วาย วาว แต่มิได้ก�าหนดความหมายให้ งาง งาย งาว อย่างไรกต็ าม 1. นักเรียนยกตัวอยางหนว ยทางภาษาในแตละ ภาษาไทยเหนือได้ก�าหนดความหมายให้ค�า งาย หมายถึง เช้า และ งาว เป็นช่ืออ�าเภอหนึ่ง หนว ย หรือแตล ะระดับ สว่ น งาง ยงั ไม่มีการใช้เป็นค�าในภาษาไทยทกุ ภาค งาง จึงเป็นเพียงพยางค์ท่ีไมม่ ีความหมาย 2. นกั เรียนนําตวั อยา งหนวยทางภาษาในแตละ เมื่อน�าค�าเหล่าน้ันประกอบกัน อาจจะได้ค�าใหม่ กลุ่มค�า หรือประโยคซึ่งต่างจาก หนว ย หรอื แตล ะระดบั โครงสรา งภาษามาใชใ น ภาษาอืน่ เชน่ วางวาย วางยา วายาว ยางยาว งายาย ยายาย วายาย ยายวางยา วายายยาว การปฏิบัตกิ จิ กรรมตอคําศัพทจากหนว ยทาง เปน็ ต้น ภาษาในแตละหนว ยหรอื แตละระดบั นอกจากน้ี ภาษาไทยยังมีวธิ นี �าประโยคมาเรียบเรียงใหไ้ ดป้ ระโยคยาวออกไป โดยจะ อยู่ในรูปประโยคความรวมหรือประโยคความซ้อน เชน่ 136 นกั เรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั หนวยเสียงพยญั ชนะในภาษาไทย 1 หนว ยเสยี ง เปน คาํ ศพั ทเ ฉพาะทางภาษาศาสตร ภาษาองั กฤษใชว า phoneme ขอใดมเี สยี งพยัญชนะตนมากทสี่ ดุ (ไมน บั เสยี งซํา้ ) เปน องคประกอบพนื้ ฐานของภาษาพดู สทั สมาคมระหวา งประเทศนยิ ามหนว ยเสียง 1. ใครมาเปน เจา เขา ครอง วา หมายถึงหนว ยทีเ่ ลก็ ท่สี ุดของเสยี งท่ีใชเ พอ่ื สรา งความหมายตางๆ เมอ่ื เปลงเสียง 2. คงจะตองบงั คบั ขับไส ออกมา ในทางภาษาศาสตรไ ดพ ิจารณาจําแนกหนวยเสียงในภาษาวา หนว ยเสียง 3. เค่ียวเข็ญเยน็ คา่ํ กราํ ไป เปน ภาวะนามธรรมของชุดเสียงพูด โดยใชวธิ ีการเปรยี บเทียบเสยี งและความหมายใน 4. ตามวิสัยเชิงเชนผูเ ปน นาย ภาษาท่เี รยี กวา การใชค เู ทียบเสยี ง ดวยการนาํ คาํ ศัพทท ่มี เี สียงทีต่ องการเปรียบเทียบ วเิ คราะหคาํ ตอบœ ตอบขอ 4. ตามวสิ ยั เชิงเชนผเู ปน นาย มีเสียงพยัญชนะ แตกตางกันหนงึ่ เสียง อาจเปน เสียงสระ พยัญชนะ หรือเสียงวรรณยกุ ต ตวั อยางเชน ตน 7 หนว ยเสยี ง ไดแก /ต/ /ว/ /ส/ /ช/ /ผ/ /ป/ /น/ ในขณะทขี่ อ อืน่ เสยี ง ในภาษาไทยเปรียบเทยี บคําวา เสอื กบั เสอ้ื เปน คาํ ทีม่ คี วามหมายในภาษาและมี พยัญชนะตน 6 เสยี ง เสียงท่ีแตกตา งกัน คือ เสยี งวรรณยุกต เสยี งวรรณยกุ ตท ปี่ รากฏดังกลา วจึงเปน หนว ยเสยี งในภาษา หรอื ในภาษาอังกฤษ “k” ในคาํ วา kit และ skill ออกเสียงตา งกนั แตผพู ดู ภาษาองั กฤษถอื วาเปน เสียงเดียวกัน ดงั นนั้ “k” ในคําทง้ั สองจงึ ถือเปน หนวยเสียงเดียวกนั ในรูป /k/ กรณีเสยี งพูดตา งกนั แตใชห นวยเสยี งเดียวกันนี้ เรียกวา เสียงยอย (allophone) ดังนน้ั จึงถอื วา หนวยเสียงเปน ตัวแสดงคําตา งๆ 136 คมู่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ฉันไปเที่ยว 1. นักเรยี นกลมุ ท่ี 3 นําเสนอเรอ่ื งการเปลย่ี นแปลง ฉันไปเท่ียวกับแม่ ของภาษา ดวยการรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ฉนั ไปเที่ยวหวั หินกบั แม่ • นกั เรียนคิดวา การเปลี่ยนแปลงของภาษา ฉนั ไปเที่ยวหวั หนิ กบั แมแ่ ละนอ้ งๆ เกดิ จากสาเหตใุ ดเปน สาํ คญั ฉันไปเท่ียวหวั หนิ กับแม่และนอ้ งๆ เมอื่ ปดิ เทอมคราวทีแ่ ลว้ (แนวตอบ เกดิ จากการใชภ าษาเพ่ือการสือ่ สาร ในชีวติ ประจําวัน ยอมมคี วามเปลยี่ นแปลง ฉ นั ไปเทย่ี วหัวหนิ กบั แมแ่ ละนอ้ งๆ เมือ่ ปดิ เทอมคราวที่แลว้ สว่ นพอ่ อย่เู ฝ้าบา้ น จากสาเหตุและปจจัยตางๆ เชน การ เพราะตอ้ งเลี้ยงสุนขั อีก ๕ ตัว เปลีย่ นแปลงของสงิ่ แวดลอม การเลกิ ใช สิง่ เกาและรับสิง่ ใหมๆ มาใช เปนตน) การแตง่ ประโยคให้ยาวข้ึนสามารถท�าได้โดยการเตมิ คา� ทเี่ ปน็ ส่วนขยำย ไวห้ ลงั ค�าที่ • นักเรยี นคดิ วา การเปลย่ี นแปลงทางภาษา ต้องการขยาย ต่างจากภาษาอ่ืนโดยเฉพาะภาษาอังกฤษซ่ึงจะน�าส่วนขยายมาไว้ข้างหน้าค�าท่ี สงผลดีหรือไม อยางไร ตอ้ งการขยาย สว่ นภาษาไทยมกี ารเตมิ สว่ นขยาย ดงั น้ี เชน่ ขยายคา� วา่ “เทยี่ ว” ดว้ ยคา� วา่ “กบั แม”่ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ “หวั หนิ ” และ “เมอ่ื ปดิ เทอมคราวทแี่ ลว้ ” นอกจากนยี้ งั ขยายประโยคใหย้ าวขน้ึ ดว้ ยการเตมิ ประโยค เหน็ ไดอยางกวางขวาง เปนตน วา ความ “สว่ นพอ่ อยเู่ ฝา้ บา้ น” และ “เพราะตอ้ งเลย้ี งสนุ ขั อกี ๕ ตวั ” ทา� ใหป้ ระโยคสดุ ทา้ ยเปน็ ประโยคความรวม เปล่ียนแปลงทางภาษายอมข้ึนอยกู บั การใช ภาษา การตกลงรว มกันของคนในสังคม ผสู้ อื่ สารอาจนา� ประโยคตา่ งๆ มาเรยี งกนั ใหไ้ ดค้ วามหมายหลกั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หนว่ ยท่ี รวมถึงการยอมรบั ของคนในสังคมดว ย ท้ังน้ี เกิดจากการรวมกันของประโยคในลกั ษณะดงั กล่าว คอื ย่อหน้ำ หรอื มหรรถสญั ญำ โดยมกั น�า ความเปล่ียนแปลงตางๆ ยอ มเกิดจาก ประโยคท่ียาวไม่มากมาเรียงกันเป็นย่อหน้า มากกว่าจะแต่งประโยคให้ยาวมากๆ เพราะประโยค ปจจยั ทางสังคมและวฒั นธรรมในดา นตางๆ ย่ิงซบั ซอ้ นกย็ ่งิ เขา้ ใจยาก ทา� ใหว้ เิ คราะห์ความหมายยากไปด้วย นักเรียนจงึ สามารถตอบไดห ลายแนวทาง) ๓) ภ�ษ�มีก�รเปลี่ยนแปลง ภาษาท่ีไม่มีการน�ามาใช้ในชีวิตประจ�าวันแล้ว เรียกว่า • ภาษามกี ารเปล่ยี นแปลงในลักษณะใดบา ง ภำษำตำย ภาษาท่ีตายแล้วจะไม่มีการเปล่ียนแปลงอีก เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษา อยางไร ละติน การศึกษาภาษาเหล่านี้ก็เพื่อหาความรู้ในส่วนท่ีเก่ียวข้อง หรือเพ่ือรู้เร่ืองราวที่เขียนด้วย (แนวตอบ ประกอบดวยกระบวนการ ภาษาน้ันๆ เท่าน้ัน เช่น ศึกษาภาษาบาลีเพื่อน�าไปอ่านบทสวดมนต์ หรือศึกษาภาษาสันสกฤต เปลย่ี นแปลงทมี่ คี วามสําคญั ใน 3 ลักษณะ เพอื่ ให้รคู้ วามหมายของคา� ศัพท์ เปน็ ตน้ มิใชศ่ ึกษาเพื่อการส่ือสารในชวี ติ ประจ�าวนั ส่วนภาษาท่ี ดังน้ี ยังใช้อยู่ย่อมมีการเปล่ียนแปลง บางค�าอาจเปล่ียนแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกต บางค�า 1. การเปล่ียนแปลงอันเกิดจาก อาจเปลี่ยนไปโดยสน้ิ เชิง ธรรมชาตขิ องการออกเสยี ง 2. การเปลย่ี นแปลงทางภาษาที่เกิดจากการ ๓.๑) กำรเปลี่ยนแปลงอันเกิดจำกธรรมชำติของกำรออกเสียง เป็นลักษณะทางเสียง รับอทิ ธพิ ลจากภายนอก ที่เกดิ เหมอื นๆ กนั ทุกภาษา เปน็ การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขน้ึ ในชีวิตประจา� วัน ได้แก่ 3. การเปลย่ี นแปลงอนั เกดิ จากปจ จยั ดาน สงิ่ แวดลอ ม) การกลนื เสียง อย่างน้นั ➝ ยังงนั้ การกลายเสยี ง สะพาน ➝ ตะพาน 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด การตดั เสยี ง อุโบสถ ➝ โบสถ์ การกรอ่ นเสียง ลูกอ่อน ➝ ละอ่อน การสับเสยี ง ก ➝ ต ในภาษาถิน่ อีสาน เช่น ตะกรดุ ➝ กะตุด 137 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรยี นสํารวจคําทบั ศัพทภ าษาตางประเทศทีน่ าํ มาใชในภาษาไทย ครูผสู อนควรเพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกี่ยวกับสาเหตใุ นการเปลยี่ นแปลง ในหมวดตา งๆ เชน อาหาร ขา วของเคร่ืองใช อุปกรณไฟฟา และนาํ มา ของภาษาวา ภาษาทกุ ภาษาทย่ี ังใชส ่อื สารกันเปน ปกติในชีวิตประจาํ วนั มีการ วเิ คราะหวา พบภาษาใดมากทีส่ ุด นําความรทู ไ่ี ดไปจัดเปนปายนเิ ทศหรอื เปลย่ี นแปลงเปนเรือ่ งธรรมดา การเปลี่ยนแปลงน้นั อาจเกดิ ขึ้นกับเสียงบางเสียง จัดทําส่อื ประเภทตา งๆ เชน บัตรความรู แผนพบั เปน ตน ความหมายของคําบางคํา รปู ประโยคบางประโยค บางคาํ อาจเลกิ ใช มีคําใหมแ ละ รูปประโยคแบบใหมเกดิ ขึ้น โดยครูผสู อนสามารถเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจจากการ กจิ กรรมทา ทาย ยกตวั อยาง จากคาํ บางคาํ ในปจ จุบันที่มีการออกเสยี งแตกตา งจากคาํ ในสมัยกอน ดังตอ ไปนี้ นกั เรียนรวบรวมคาํ ทบั ศัพทภ าษาตา งประเทศแลวนาํ มาจัดเปนหมวดหมู เปรยี บเทียบคําทบั ศัพทก บั คําศัพทบญั ญตั ขิ องราชบัณฑิตยสถาน นาํ ขอมลู 1. คําบางคําอาจออกเสยี งแตกตา งไปจากเดิม ตัวอยางเชน ทไ่ี ดไ ปจดั เปนปา ยนเิ ทศเผยแพรความรู เสยี งพยญั ชนะ “บ” ตวั อยางเชน บางครงั้ บางที แตก อ นจะออกเสยี งเปน ลางครัง้ ลางที 2. คําบางคาํ อาจมีความหมายตา งจากความหมายเดมิ ตัวอยางเชน คําวา จริต ความหมายเดมิ คอื พน้ื ฐานกิรยิ าอาการหรือความประพฤติ แตใน ปจ จบุ นั มคี วามหมายในทางไมด ี คมู่ ือครู 137
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ดังตอ ไปน้ี • การเปลี่ยนแปลงอนั เกิดจากธรรมชาติของ ท้ังนี้ความหมายอาจคงเดิม หรือความหมายอาจต่างไปจากเดิมก็ได้ นอกจากน้ี ยังมี การเปล่ียนแปลงของภาษาที่เกิดจากการเลียนภาษาของเด็ก เช่น การที่เด็กออกเสียงไม่ตรงกับ การออกเสียงสงผลใหภ าษามลี ักษณะการ ผู้ใหญ่ หรือเข้าใจความหมายของค�าไม่ตรงกับผู้ใหญ่ จัดเป็นการเปล่ียนแปลงทางภาษา เปลย่ี นแปลงอยางไร (แนวตอบ เปน การเปล่ยี นแปลงทางเสยี งทเ่ี กดิ ในลักษณะทีเ่ กิดข้นึ โดยธรรมชาตดิ ้วย ๓.๒) การเปลี่ยนแปลงท่เี กิดจากอทิ ธิพลภายนอก มลี กั ษณะ ดังนี้ เหมือนกันในทกุ ภาษา ไดแ ก การกลืนเสยี ง ๑. การยืมค�า หรือลักษณะการใช้ถ้อยค�า แล้วมิได้ดัดแปลงให้เป็นลักษณะ การกลายเสยี ง การตดั เสยี ง การกรอนเสยี ง การสบั เสยี ง รวมถงึ การเปลีย่ นแปลงที่เกิด ของตนโดยส้ินเชิง จึงมีอิทธิพลท�าให้ภาษาของตนเปล่ียนแปลงไป อาจมีเสียงเพ่ิมข้ึนหรือเสียง แปลกขึ้น เชน่ ภาษาไทยไมม่ เี สยี ง ล /l/ สะกด มีแต่ น /n/ สะกด เมอื่ รับคา� ว่า ฟุตบอล มาใช้ก็มี จากการเลียนภาษาเดก็ ท้ังน้ี ความหมาย ผอู้ อกเสยี ง ล /l/ สะกดในคา� น ี้ ซงึ่ การยมื คา� จากภาษาหนงึ่ เขา้ ไปใชใ้ นอกี ภาษาหนงึ่ ทา� ได ้ ๓ ลกั ษณะ ยงั คงเดิมหรืออาจเปลย่ี นไปจากเดิมกไ็ ด) • การเปล่ียนแปลงทางภาษาทเี่ กิดจากการรับ ดังตอ่ ไปน้ ี อิทธพิ ลจากภายนอกสง ผลใหภ าษามีลกั ษณะ การเปลี่ยนแปลงอยางไร การทบั ศพั ท์ เปน็ วิธกี ารยืมค�าจากภาษาหนึง่ เข้าไปใชใ้ นอีกภาษาหนง่ึ โดยตรง ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง รูป เชน่ (แนวตอบ การยืมคําภาษาตางประเทศแลว มี เทนนสิ = tennis ตั้งไฉ่ กวี ี = kiwi เตา้ เจ้ียว การดดั แปลงใหเขากับภาษาของตน รวมถึง เทอม = term ซอี วิ๊ การใชคําและสํานวนที่ตางไปจากเดมิ ) เมล = mail ทักษณิ • ปจจัยดา นสงิ่ แวดลอมสงผลใหภ าษามี เครดิต = credit วญิ ญาณ การแปลศพั ทค์ า� ยมื เป็นการยืมความหมายของอีกภาษาหนงึ่ มาใช้โดยแปลความหมายของศพั ท์ ลักษณะการเปล่ยี นแปลงอยา งไร ชนดิ ค�าต่อคา� เชน่ (แนวตอบ การเกดิ วิทยาการใหมๆ หรือ black sheep แปลเป็น แกะดา� รูปแบบวิถีชีวติ ท่ีเปล่ียนแปลง สงผลตอการ weekend แปลเปน็ วันสดุ สปั ดาห์ เปลยี่ นแปลงดา นเสยี ง ความหมาย รวมถึง standpoint แปลเปน็ จุดยนื การสรางคําใหมจ ากคาํ เดมิ ทีส่ งผลให การยมื ความหมาย เปน็ วธิ กี ารยืมความหมายซ่งึ เดิมไมม่ ีใช้ในภาษาเขา้ มาใช้ และสร้างค�าข้นึ มาใหม่ ความหมายและหนาทข่ี องคาํ เปลยี่ นแปลงไป เพอ่ื ใชก้ บั ความหมายที่ยืมมา เช่น จากเดมิ ) กิจกรรม ยืมความหมายมาจากค�าวา่ activity 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด วฒั นธรรม ยืมความหมายมาจากค�าว่า culture รายงาน ยมื ความหมายมาจากค�าวา่ report ขยายความเขา้ ใจ Expand ทดสอบ ยมื ความหมายมาจากคา� วา่ test สัมมนา ยืมความหมายมาจากค�าว่า seminar 1. นักเรียนยกตัวอยา งเสยี งหรือคาํ ท่แี สดงความ เปล่ยี นแปลงของภาษา ไดแก การเปลย่ี นแปลง ๒. การใช้ค�าและส�านวนต่างไปจากเดิม เช่น การน�าค�าภาษาต่างประเทศมาใช ้ อันเกิดจากธรรมชาติในการออกเสียง ดังต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ จากอทิ ธพิ ลภายนอก 138 การเปลีย่ นแปลงของสิง่ แวดลอ ม 2. ครสู มุ นกั เรยี น 5 - 6 คน นาํ เสนอหนาชั้นเรียน บรู ณาการเชอ่ื มสาระ เกร็ดแนะครู ครสู ามารถนําเนื้อหาเรอ่ื ง การเปลยี่ นแปลงทางภาษา บูรณาการเชอื่ มโยง ครูควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับสาเหตกุ ารเปลย่ี นแปลงของภาษา กับกลมุ สาระการเรียนรู ภาษาตางประเทศ รายวชิ าภาษาอังกฤษ หรอื ภาษา นอกจากจะเปน การเพ่มิ เตมิ ความรูความเขาใจแลว ยงั ชว ยใหน ักเรยี นเรียนรูในการ ตางประเทศอื่นๆ ทภ่ี าษาไทยไดร บั อทิ ธพิ ลทางภาษา ครสู ามารถบรู ณาการ ตัง้ ขอสงั เกตเก่ียวกับการเปล่ยี นแปลงทางภาษาไดอีกดวย โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี เน้ือหาเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลงทางภาษาท่ีเกดิ จากการรบั อทิ ธิพลภายนอก ไมว า จะเปน การยมื คํา หรือลักษณะการใชถ อ ยคํา และการดัดแปลงถอ ยคํา 1. การพดู ในชีวิตประจาํ วนั ตัวอยา งเชน อยา งนี้ กลมกลนื เสียงเปน อยางงี้ การใชสาํ นวนภาษาใหม ลี กั ษณะสอดคลองกับเสียงในภาษาไทย เพื่อให 2. อทิ ธพิ ลของภาษาอ่นื ตัวอยา งเชน คลนิ กิ เทป เปน ตน รูปแบบประโยคท่ี นกั เรยี นสามารถเปรียบเทียบความเปลย่ี นแปลงดานเสยี งของคาํ ศพั ทภ าษา ตา งประเทศที่รบั มาใชใ นภาษาไทยได โดยเปรยี บเทียบใหเหน็ ความแตกตา ง เพิ่มขึน้ อาทิ เมอ่ื ไปถึงที่น่นั ขาพเจา ไดรบั การตอ นรับอยางอบอุน ดานการออกเสยี งท่มี ีความสอดคลองหรอื แตกตา งจากการออกเสียงใน 3. ความเปล่ียนแปลงของส่งิ แวดลอม ตัวอยางเชน คอมพิวเตอร เอทีเอม็ ภาษาไทย นอกจากนักเรยี นจะไดร ับความรูเกย่ี วกบั ภาษาตา งประเทศแลว 4. การเลียนภาษาของเด็ก อาจใชค าํ ความหมายหรือออกเสียงไมตรงกบั ผูใ หญ ยงั ชว ยใหนักเรยี นสามารถพิจารณาลกั ษณะของเสยี งในภาษาไทยไดช ดั เจน ยิง่ ขึน้ และเมอ่ื เด็กโตขึน้ ก็จะยงั คงใชภาษาลกั ษณะนน้ั ตอ ไปได เชน คาํ วา หนู เสียงของคําทเี่ พ้ยี นไป เน่ืองจากออกเสยี งไมชดั ตัวอยางเชน ไอติม หมํ่า หนม เปน ตน 138 คมู่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ภาษา คา� ความหมาย 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 4 นาํ เสนอเรอื่ ง ลักษณะรว ม ภาษาเขมร ดู และลกั ษณะเฉพาะของภาษา ดวยการรวมกนั ภาษาเปอรเ์ ซีย เมลิ ผ้าแถบ ผ้าห่มผ้หู ญงิ ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ บอก • นกั เรยี นคิดวา ภาษาไทยมีลกั ษณะรว มกบั ภาษาอาหรบั สไบ มีรอยดุน ภาษาอืน่ ๆ ในดานใดบาง อยา งไร ภาษาโปรตุเกส องนุ่ แหง้ (แนวตอบ ลักษณะทค่ี ลายคลงึ กันระหวาง ภาษาญ่ีป่นุ ทลู น้�ามนั หล่อลืน่ ภาษาไทยกบั ภาษาอืน่ ๆ มีดังน้ี 1. ภาษาใช หมูค่ นเดินทาง เสยี งสื่อความหมาย 2. มกี ารสรา งศัพทขึน้ ตรา สแี ดง ดอกไม้ ใหมจากศพั ทเ ดมิ เชน การประสมคํา 3. มี การเชอ่ื มโลหะ การใชส ํานวน และการใชคําในความหมาย นนู , เกด พวกลกู เรือ ใหม 4. มีคําชนิดตา งๆ คลา ยกัน เชน คาํ เครอ่ื งเงิน นาม คํากริยา คาํ ขยาย เปน ตน 5. มีวิธีการ จาระบี ผู้ชายท่ีถกู ตอน ขยายประโยคใหย าวออกไปเรอื่ ยๆ 6. มวี ธิ ี ขายลดราคา การสอ่ื เจตนาคลา ยกัน และ 7. ภาษามีการ คกุหารลาาวบา1น การลงรกั แบบญปี่ ุ่น เปล่ียนแปลงตามกาลเวลา) • นกั เรยี นคดิ วา ภาษาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือลักษณะที่แตกตางจากภาษาอนื่ ในดาน บดั กรี ใดบาง อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะทแ่ี ตกตา งกนั ระหวา ง กะลาสี ภาษาไทยกบั ภาษาอนื่ ๆ มดี งั น้ี 1. ภาษาไทย มเี สยี งวรรณยกุ ตภ าษาอนื่ ไมม ี 2. ภาษาไทย กขันะไทหี ล2่ ถาเรียงคาํ สลบั ทกี่ ันความหมายกจ็ ะ เปลีย่ นแปลง 3. ภาษาไทยมีการใชค าํ ลักษณนาม) เลหลงั 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด กา� มะลอ ๓.๓) การเปลี่ยนแปลงของส่ิงแวดล้อม เชน่ การเลิกสิ่งเกา่ รับสิง่ ใหม่ การรบั ความคดิ ขยายความเขา้ ใจ Expand หรอื กระบวนการใหมๆ่ การสรา้ งสงิ่ ใหมๆ่ เชน่ ขา้ วของเครอ่ื งใช้ กท็ า� ใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงขน้ึ ในภาษา เพราะตอ้ งสรรคา� มาใชเ้ รียกสิ่งใหมๆ่ เชน่ คอมพวิ เตอร์ บุฟเฟต่ ์ จนคา� เดิมอาจสูญไป 1. นักเรียนยกตัวอยา งเสียงหรือคาํ ท่แี สดง หรืออาจจะใช้สื่อความไม่ได้กับผู้ใช้ภาษาที่ต่างรุ่นกันมากๆ เช่น ถ้าพูดว่าแต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าด ลักษณะรว มและลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย คนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้น เพราะปัจจุบันไม่ได้ใช้ค�าน้ีแล้ว แต่จะพูดว่าแต่งตัวดูหรู ดูไฮ (โซ) ท้ังท่ี กับภาษาอ่ืนๆ ความหมายเดียวกัน แตด่ ว้ ยยุคสมัยท่ีเปลี่ยนไปทา� ให้มีค�าใหม่ๆ มาใช้เรยี กแทน 2. ครูสมุ นกั เรยี น 5 - 6 คน นําเสนอหนาชัน้ เรยี น การเปลี่ยนแปลงอีกประการหน่ึงท่ีต้องมีอยู่ทุกภาษา คือ การสร้างค�าใหม่จากค�าเดิม จากนัน้ นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากศัพท์เดิม หรือน�าศัพท์อื่นมาประสมกับศัพท์เดิม เช่น ภาษาไทย มีการประสมค�า ซ้�าค�า ซ้อนค�า เพื่อสร้างค�าใหม่ การน�าค�าเดิมท่ีมีอยู่มาสร้างค�าใหม่น้ี ท�าให้ ภาษาไทยมีค�าหลากหลายมากขึ้น และค�าเหล่านี้จะช่วยให้ส่ิงใหม่ท่ีเกิดขึ้นมีชื่อเรียกที่เป็นท่ีรู้จัก และยอมรบั รว่ มกนั ในสงั คม การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ สง่ิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ภาษานนั้ ๆ เปน็ ภาษา ทยี่ งั ไม่ตาย ยังคงมกี ารปรบั เปล่ยี นตามบรบิ ททางสังคม 139 บูรณาการเชอื่ มสาระ นักเรยี นควรรู ครูสามารถนําเนอ้ื หาเรื่อง การเปล่ยี นแปลงทางภาษา บูรณาการเชอ่ื มโยง 1 กหุ ลาบ เปนดอกไมทขี่ น้ึ ชื่อวา เปน ราชินีดอกไม พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา กบั กลมุ สาระการเรยี นรู ภาษาตา งประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษ หรือภาษา เจา อยูหวั ทรงพระราชนพิ นธบทละครพดู คําฉนั ทเ รือ่ ง “มทั นะพาธา” ขึ้น เพื่อใหเ ปน ตา งประเทศอืน่ ๆ เนอ้ื หาเกี่ยวกบั การรบั อทิ ธพิ ลทางภาษาจากภาษา ตาํ นานดอกกุหลาบของไทย ตางประเทศมาใชในภาษาไทย โดยนักเรียนสามารถนาํ ความรเู กี่ยวกบั คาํ ศัพท 2 ขันที สนั นิษฐานวาเกิดข้นึ คร้ังแรกทเ่ี มืองละกาสช ของชาวสเุ มเรียน แหง ภาษาองั กฤษทพ่ี บใชในชีวติ ประจาํ วันมาใชใ นการยกตัวอยางเปรียบเทียบ อาณาจกั รเมโสโปเตเมีย ขนั ทีแบงเปน 2 ประเภท คอื รวมถงึ วิเคราะหลกั ษณะการใชภ าษาได นอกจากนกั เรียนจะไดร ับความรู ความเขา ใจดานคําศพั ทแลว นกั เรยี นยงั สามารถพิจารณาเปรียบเทยี บ 1. ถกู ตอนโดยตดั แคป ลายองคชาติ ทาํ งานเขตพระราชฐานชน้ั นอก ความหมายของคํากับความหมายจากการบัญญัตศิ ัพทภ าษาตางประเทศ 2. ถกู ตอนโดยตัดทิง้ ทง้ั พวง ทํางานเขตพระราชฐานชน้ั ใน ที่ใชใ นภาษาไทยของราชบณั ฑิตยสถานได คูม่ ือครู 139
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นกลุมที่ 4 นาํ เสนอเรอ่ื ง ระเบียบ ธรรมชาติประการหนึ่งของภาษา คือ การเปล่ียนแปลงโดยมีลักษณะการเปลี่ยนแปลง แบบแผนของภาษา ดวยการรวมกนั ตอบคาํ ถาม ทางด้านเสียง ด้านความหมาย ตลอดจนการสร้างค�า ส�านวนจากศัพท์ค�าเดิมท�าให้ค�าศัพท์น้ันๆ ตอไปน้ี เปล่ียนแปลงความหมายและหน้าท่ีไป ดังน้ัน ผู้ใช้ภาษาจึงควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา • นกั เรยี นคิดวา ระเบยี บแบบแผนทางภาษาคือ เพอ่ื ใหใ้ ช้ภาษาสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ อะไร ๔) ภ�ษ�ต�่ งๆ มลี กั ษณะทตี่ �่ งและคล�้ ยกัน แมว้ ่าภาษาจะมลี ักษณะท่ีต่างกันอยู่บ้าง (แนวตอบ องคประกอบตางๆ ทนี่ ํามาประกอบ แตภ่ าษาก็มีลักษณะทค่ี ล้ายคลึงกนั หลายประการ ดงั น้ี กนั อยา งเปน ระบบ สามารถส่อื ความหมายให เขาใจรวมกนั ไดอ ยา งสมบรู ณ) ๔.๑) ภำษำแต่ละภำษำใช้เสียงส่ือควำมหมำย โดยเสียงท่ีใช้ส่ือความหมายในทุก • นักเรียนคดิ วา หากภาษาไมม ีระเบยี บ ภาษาอย่างน้อยต้องประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นและหน่วยเสียงสระ ซ่ึงบางภาษาอาจมี แบบแผนจะเรียกวา ภาษาหรือไม และความ หนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ประกอบด้วย ไมม รี ะเบียบแบบแผนดงั กลาวจะสง ผลตอ การสื่อสารอยางไร ๔.๒) ภำษำแต่ละภำษำสำมำรถสร้ำงศัพท์ใหม่จำกศัพท์เดิม โดยอาจจะเปล่ียนแปลง (แนวตอบ หากสามารถสือ่ สารได เรยี กวา ศัพทเ์ ดิมหรือน�าศัพทอ์ ืน่ มาประสมกบั ศพั ท์เดิม เช่น ภาษาไทยมกี ารสรา้ งค�าด้วยวธิ ี ภาษา ถา ไมม ีระเบยี บแบบแผนจะสง ผล ตอการสื่อสารทไ่ี มสัมฤทธผิ ล) ● การประสมค�า เช่น รถไฟ น้�าปลา เตารีด ชาวบ้าน ● การซ้อนค�า เชน่ ดูแล ขนุ่ มัว ซ้ือขาย สงู ต่�า 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ● การซ้�าค�า เช่น หลบั ๆ ตื่นๆ ส่วนภาษาองั กฤษมีการเติม Prefix หรอื ค�าอปุ สรรคเติมหนา้ คา� ทา� ใหค้ า� ค�านั้น ขยายความเขา้ ใจ Expand มีความหมายผิดไปจากเดิม เช่น un- (ไม่) ใช้เติมหน้าค�าคุณศัพท์ หรือค�ากริยาวิเศษณ์ ท�าให้ มีความหมายตรงกันข้าม เช่น Suitable แปลว่า เหมาะสม เม่ือเติม un- เป็น Unsuitable นกั เรยี นรว มกันอภปิ รายในประเด็นทว่ี า นกั เรยี น แปลว่า ไม่เหมาะสม ส่วน Suffix หรือค�าปัจจัยเติมท้ายค�า เช่น -Ness เมื่อเติมหลังค�าว่า คิดวา หากนักเรยี นมีความเขา ใจเกีย่ วกบั ลกั ษณะ kind (ใจดี ใจกว้าง) เป็น kindness แปลว่า ความใจดี ในรูปประโยคว่า We’ ll never forget your ทั่วไปทางภาษา นกั เรียนจะสามารถนําองคความรู kindness. เป็นตน้ ดงั กลาวไปปรับใชใหเกิดประโยชนต อ ตวั นกั เรียนได ๔.๓) ภำษำแตล่ ะภำษำมีสำ� นวน และมกี ำรใชค้ �ำในควำมหมำยใหม ่ เชน่ ในภาษาไทย อยางไร มีการใช้ค�าว่า “สีหน้า” ซ่ึงไม่ได้หมายถึง สีของหน้า แต่หมายถึง การแสดงออกทางใบหน้า หรือภาษาอังกฤษมคี า� ว่า hot air ซ่ึงไม่ไดห้ มายความว่า อากาศร้อน ลมร้อน แตห่ มายถงึ การ (แนวตอบ ผูท ีม่ ีความเขา ใจธรรมชาตขิ องภาษา คุยโม้ การแสดงกิรยิ าอาการโออ้ วด เปน็ ตน้ ยอมสามารถใชภาษาไดดีขนึ้ ทัง้ ภาษาดัง้ เดมิ ของตน ๔.๔) ภำษำแต่ละภำษำมีค�ำชนิดต่ำงๆ คล้ำยกัน เช่น ค�านาม ค�าขยายนาม และภาษาตา งประเทศ) ค�ากริยา ค�าขยายกริยา เปน็ ต้น ๔.๕) ภำษำแตล่ ะภำษำมวี ธิ ขี ยำยประโยคใหย้ ำวออกไปไดเ้ รอ่ื ยๆ โดยการเตมิ สว่ นขยาย ตรวจสอบผล Evaluate ๔.๖) ภำษำแตล่ ะภำษำมวี ิธแี สดงควำมคดิ คลำ้ ยกนั ได้ เช่น ทุกภาษาต่างมีประโยคที่ ใช้ถาม ปฏเิ สธ หรอื ใชส้ ง่ั 1. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คญั เกีย่ วกับธรรมชาติของ ๔.๗) ภำษำแตล่ ะภำษำตอ้ งมีกำรเปล่ียนแปลงตำมกำลเวลำ ภาษา รวมถงึ ความหมายและความสําคัญและ ประเภทของภาษา พรอมปฏิบัตกิ ิจกรรมได 140 2. นกั เรยี นสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกับลักษณะทว่ั ไป กจิ กรรมสรา งเสรมิ ของภาษา พรอ มปฏิบัติกิจกรรมได บูรณาการอาเซียน ความรูค วามเขาใจดานภาษาถือวา มคี วามสําคัญยิ่ง เนือ่ งจากภาษาเปน จุด นกั เรียนศกึ ษารวบรวมคําศพั ททม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา เร่มิ ตน หรือเปน แนวทางในการสรางความสมั พนั ธด านสงั คมและวฒั นธรรมของ จากแหลงขอมลู ตางๆ อาทิ หนังสือ อินเทอรเนต็ หรอื การสมั ภาษณผใู หญ ภูมภิ าค และเปน แนวทางในการสรางความรวมมือในดา นตา งๆ ของประชาชน อาทิ คําศัพทที่เรียกชื่อภาชนะ กระบุง กระจาด หรืออปุ กรณท ี่ใชทาํ นา ในภมู ิภาคอาเซียน ทง้ั ในดานเศรษฐกจิ สังคม และวฒั นธรรม ซึง่ ทง้ั หมดลว นมี จากน้ันจัดทาํ เปนหนงั สอื เลม เล็ก จุดเรม่ิ ตนมาจากการตดิ ตอสือ่ สารใหเกิดความเขา ใจท่ีดีตอกนั เปนหลัก ฉะนั้น การเรียนรูภ าษาของประเทศตา งๆ ในภูมภิ าคอาเซียนจึงมคี วามสําคญั นอกจาก กิจกรรมทาทาย นักเรยี นจะมีความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกับภาษาอังกฤษ ซึง่ เปน ภาษาท่ีถกู กาํ หนด ใหเปน ภาษากลางในการตดิ ตอ สื่อสารแลว นกั เรียนควรเรยี นรูภาษาราชการของ นกั เรียนศกึ ษาคาํ ศพั ทท่ีเกดิ ข้ึนใหมในสังคม เปน คําศัพทวัยรุนหรอื แตล ะประเทศ เพอื่ ใหนักเรยี นสามารถสนทนาและรับรขู อมูลขาวสารของประเทศ คาํ ศพั ททนี่ ิยมใชก นั ในอนิ เทอรเนต็ จากนนั้ รวบรวมทาํ เปน หนังสือเลมเล็ก ตา งๆ ได โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การรบั ฟง ขอ มูลขา วสารจากส่ือของแตละประเทศ เปน สําคัญ ซึง่ เปนการรบั รูขอ มลู จากมมุ มองภายใน นกั เรียนสามารถประยกุ ตใ ช ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับลักษณะรวมของภาษาตางๆ เปนพ้นื ฐานในการเรยี นรู หลักภาษาของแตละประเทศ เพื่อใหนักเรยี นสามารถเรยี นรภู าษาในระดับสูงได 140 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๕) ภาษายอมมีสวนประกอบที่เปนระบบ มีระเบียบแบบแผน ภาษาตองมีระบบที่มี ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ระเบียบแบบแผน จึงสามารถใชส่ือสารกนั ใหเ ขา ใจได สว นประกอบท่สี ําคญั คือ สัญลักษณ คํา ดังตอ ไปนี้ ประโยค และความหมาย ทกุ สว นประกอบเหลา นี้ จะรวมกนั อยางเปน ระบบตามระเบยี บแบบแผน ทําใหเกิดเปนภาษาที่สมบูรณ ถาขาดสวนประกอบใดก็จะไมเปนภาษา เชน ตองนําสัญลักษณ • หากมคี นพดู จาหยาบคายหรือพดู จา มาประกอบกันเปนคํา จึงจะเกิดความหมาย การนําคํามาประกอบเปนประโยคก็ตองเรียบเรียง ไมเหมาะสมกบั นักเรียน นักเรยี นจะเกดิ ตามระเบยี บแบบแผนของภาษา ความรสู กึ ตอ บคุ คลนน้ั อยา งไร นกั เรยี นจะมี วธิ กี ารโตต อบอยา งไร และเหตใุ ดจงึ เปน เชน นน้ั ๒. พลังของภาษา สา� รวจคน้ หา Explore ภาษาเปนเคร่ืองมือสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย มนุษยจึงสามารถเรียนรูภาษา เพื่อการดํารงชวี ติ และพัฒนาภาษาของตนเองได นักเรียนสบื คนขอมูลเก่ียวกบั พลงั ของภาษา ภาษาชว ยใหม นษุ ยร จู กั คดิ โดยแสดงออกผา นทางการพดู การเขยี น และการกระทาํ ซง่ึ เปน ผลจากการคดิ ถา ไมม ภี าษามนุษยจะคิดไมไ ด ถา มนุษยม ีภาษานอ ย มีคําศัพทน อยความคิดของ มนษุ ยย อ มแคบไมก วา งไกล ผทู ่ีใชภ าษาไดด จี ะมคี วามคดิ ดดี ว ย สง ผลใหก ารเรยี นรใู นสงิ่ ตา งๆดขี น้ึ ตาม ไปดว ย เชน ผทู รี่ ภู าษาไทยดี มที กั ษะในการอา นดี เมอื่ อา นแลว สามารถจบั ใจความและสรปุ ความได ยอ มสง ผลใหอ านสาระวิชาความรูใ นแขนงตา งๆ ไดอยางเขาใจ ดังนัน้ ผทู จ่ี ะเรียนวชิ าใดๆ ใหไดด ี ควรจะมีทกั ษะทางภาษาไทยอยา งดเี สียกอน เพื่อเปนพน้ื ฐานในการแสวงหาความรตู อ ไป ▼ การอา นหนงั สอื ที่ชอบชว ยใหเกิดความผอ นคลายและเพลิดเพลินไปกบั สาระตางๆท่ีไดรบั ๑๔๑ ลักษณะคําในขอใดมกี ารกลายเสยี ง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู 1. อยางนี้ - ยงั ง้ี 2. สะดอื - สายดือ ครคู วรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกบั พลังของภาษาซ่งึ เปนความสัมพนั ธ 3. หมากพราว - มะพราว ระหวางภาษากบั วัฒนธรรมในการใชภ าษา เนือ่ งจากภาษามีบทบาทสาํ คัญในการ 4. ตะกรดุ - กะตุด กาํ หนดวิธีคิด ขณะเดียวกนั วิธีคิดของผูใชภาษาก็กําหนดวิธกี ารใชภาษาดว ย ฉะน้ัน ความคดิ กับภาษาจึงมีความสมั พันธกนั ความสัมพันธร ะหวางความคิดกับการใช วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สะดอื - สายดอื มีการกลายเสยี งจากสระอะ ภาษาสามารถสรุปเปน หวั ขอ ใหงายตอ การทําความเขาใจของนกั เรยี นได ดงั ตอไปนี้ 1. ภาษาชวยใหค นรูจกั คดิ แลวแสดงออกมาดวยการพูด การเขยี น และ เสียงสนั้ เปน สระอาเสียงยาว ขออน่ื มีการเปลี่ยนแปลงการออกเสยี ง ดังนี้ การกระทาํ 2. ภาษาชว ยใหม นษุ ยพ ฒั นาความคดิ ชว ยธาํ รงสงั คมใหม นษุ ยอ ยรู ว มกนั ขอ 1. อยา งน้ี - ยงั ง้ี มีการกรอ นเสียง ขอ 3. หมากพราว - มะพรา ว มีการ อยางสันติ 3. ภาษาชว ยใหมนษุ ยเกิดการพัฒนา โดยใชภาษาในการแลกเปลยี่ น กรอ นเสียงเชน กนั และขอ 4. ตะกรุด - กะตุด มีการสบั เสยี ง (ภาษาถ่ินอีสาน) ความคดิ เห็น การอภิปรายโตแ ยง เพือ่ นําไปสูผลสรปุ ที่นํามาพฒั นาตนเองและ สังคม 4. ภาษาชวยใหมนษุ ยเ กดิ การเรียนรู 5. ภาษามีพลงั เพราะภาษาประกอบ ดวยเสยี งและความหมาย การใชถ อ ยคําทาํ ใหเกดิ ความรูสกึ ตอผูร บั สาร ความเขา ใจ ความสมั พนั ธร ะหวา งภาษาและวัฒนธรรม ยอ มชว ยใหน ักเรียนสามารถนาํ ความรไู ป ประยกุ ตใ ชไ ดอ ยา งเหมาะสม สอดคลอ งกบั คาํ กลาวทวี่ า การสอ่ื สารผา นภาษา ไมเ พยี งเปนการใชภ าษาใหถ ูกหลักเทาน้นั แตใชใ หสอดคลอ งกับวฒั นธรรม คมู่ ือครู 141
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198