Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Published by pearyzaa, 2023-07-23 13:38:54

Description: 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี ๑. การอ่านแปลความ • นักเรยี นอานสารตางๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั การอ่านแปลความ คือ การแปลตามอักษรหรือค�าโดยถือความหมายเป็นส�าคัญ เพ่ือให้ ทงั้ หนงั สือพมิ พ บทความจากสือ่ อินเทอรเ นต็ ผู้อา่ นเข้าใจความหมายตามเนือ้ ความน้ันๆ โดยยงั รักษาเนอ้ื หาและความสา� คญั ของเร่อื งเดิมไวไ้ ด้ รวมถงึ หนงั สือประเภทตา งๆ นกั เรยี นคดิ วา อยา่ งครบถว้ น การแปลความจะไม่ค�านึงถงึ รูปแบบเดมิ ของข้อความเลย นกั เรยี นสามารถทําความเขาใจสารในบทอาน ความสามารถในการแปลความหมาย เป็นพ้ืนฐานของความสามารถในการตีความ การ ไดอ ยางไร สาํ รวจคน หา Explore ขยายความ การน�าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ถ้าอ่านหรือฟังแล้ว แปลความผดิ ไปจากเนอ้ื ความเดมิ ก็จะท�าใหก้ ารตีความ ขยายความ หรอื อน่ื ๆ ผดิ ไปด้วย นักเรียนสบื คนความหมาย และแนวทางการ ข้อความ ถ้อยค�า หรือเรื่องราวท่ีได้ยิน ได้อ่าน อันเป็นถ้อยค�าสามัญ ไม่จ�าเป็นต้อง อา นแปลความในรูปแบบตา งๆ แปลความ เพราะเปน็ เรอื่ งงา่ ยทท่ี กุ คนสามารถทา� ความเขา้ ใจไดท้ นั ทที อี่ า่ น จงึ รคู้ วามหมายไดแ้ จม่ อธบิ ายความรู Explain แจ้งตรงกนั การแปลความหมายมหี ลายรปู แบบ ดงั นี้ ๑. แปลค�าศัพท์เฉพาะให้เป็นภาษาธรรมดา เป็นการแปลความหมายจากระดับหนึ่งไปสู่ อกี ระดับหนงึ่ เชน่ 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ตอไปน้ี • นกั เรยี นคดิ วา จดุ มงุ หมายในการอา นแปลความ บปุ ผา = ดอกไม้ คืออะไร และมรี ูปแบบการอา นอยา งไร (แนวตอบ มีจุดมุงหมายเพอ่ื ใหเกิดความเขาใจ โจทก ์ = ผ้ฟู อ้ ง อยา งครบถว น มหี ลายรปู แบบ คือ การแปล ศัพท สํานวน และสญั ลักษณ) ตุ๋น = หลอกลวง, วธิ ีปรุงอาหารอยา่ งหนึ่ง 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ๒. แปลส�านวน สุภาษติ คา� พังเพย ร้อยกรอง คา� ภาษาบาลสี นั สกฤตท่ีไทยนา� มาใช้ให้เป็น ภาษาสามญั หรอื ในทางกลับกนั เช่น ขยายความเขา ใจ Expand ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ แปลความไดว้ า่ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤตธิ รรม พิศพกั ตรผ์ ่องเพียงบหุ ลันฉาย แปลความได้วา่ ใบหนา้ ผุดผอ่ งราวกับแสงจนั ทร์ ความรู้ท่วมหัวเอาตวั ไมร่ อด แปลความได้วา่ มีวิชาความรูม้ ากแตไ่ มส่ ามารถ พาตนเองให้รอดพ้นจากความ 1. นกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมโดยครูนาํ คําศพั ทเ ฉพาะ หายนะและภัยพิบัติได้ คาํ ราชาศัพท สาํ นวน รวมถึงเครือ่ งหมายตางๆ มาใหน กั เรยี นพิจารณา จากนน้ั ใหน กั เรยี นบอก ๓. แปลเครื่องหมายต่างๆ เชน่ ความหมาย แปลวา่ เพศชาย 2. นกั เรยี นรวบรวมคําศัพท สาํ นวน รวมถึง แปลว่า เพศหญิง เครอื่ งหมายตา งๆ พรอ มบอกความหมาย จากน้ันบันทึกลงในสมุด > แปลว่า มากกวา่ ตรวจสอบผล Evaluate นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกบั 42 การอานแปลความและสามารถอานแปลความได ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการแปลความจากขอ ความท่ีอาน ในขอความตอไปนี้ “หัวใจของธุรกจิ น”้ี มีความหมายตามขอ ใด ครคู วรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเก่ยี วกับการพฒั นาทักษะความคิดจากการอา น หัวใจของธรุ กิจนีแ้ ตกตา งจากท่อี น่ื ซงึ่ อาจจะสนใจพัฒนาผลติ ภัณฑท ี่ดเี ลศิ เนือ่ งจากการอา นเปนพฤติกรรมการรับสารท่มี คี วามคดิ เหน็ เปนแกนกลาง ขณะทอ่ี าน บาง ขยายเครอื ขา ยอยางกวา งขวางบาง สวนเราตอ งยืนหยดั ใหไดทามกลาง ผูอานจะไดใชสมองขบคิดพจิ ารณา คน หาความหมาย และทําความเขาใจขอความ ความเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ ม ท่อี านไปตามลําดบั ความสามารถในการอา นนี้เปน ผลมาจากการฝก สมอง พัฒนา 1. ความมัน่ คงขององคก ร ทกั ษะกระบวนการคิดในขณะท่อี าน ทําใหเ กดิ การพัฒนาทางความคดิ นอกจากการ 2. คุณภาพของสนิ คา พัฒนาทกั ษะทางความคิดแลว ยงั ชว ยพฒั นาจนิ ตนาการ เพราะการอา นทําใหผ ูอา น 3. ความมีสมั พันธภาพทีด่ ี ไดใชความคดิ อยางอิสระ สามารถสรางภาพในใจตนเอง ดวยการตคี วามจากภาษา 4. การเติบโตของธุรกิจ ของผูเขยี น ดงั นัน้ แมจะอา นหนงั สือเลมเดียวกัน แตผูอา นก็อาจมภี าพในใจแตกตา ง วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ความมั่นคงขององคก ร หมายถึง “หวั ใจ กันไปตามจินตนาการของแตล ะคน จากนนั้ ครจู งึ เชอ่ื มโยงความรูเกี่ยวกับทักษะ ของธุรกจิ น”้ี โดยพิจารณาจาก “เราตองยนื หยัดใหไ ด” การอานแปลความ ซึง่ เปนการทําความเขา ใจเนอ้ื หาท่ีแตกตางกนั 42 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การอา่ นตคี วาม ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • นักเรยี นคิดวา เม่ือนกั เรยี นอา นหนงั สอื การอ่านตคี วาม หมายถึง การหาความหมายทซ่ี อ่ นอยู่ในตวั บท หรือการแปลความหมาย การตนู เรอ่ื งส้ัน หรอื นวนยิ าย นักเรียนมี โดยนัย หรือการอธิบายความหมายท่ซี ับซอ้ นให้กระจ่างขนึ้ เชน่ “ดอกหญ้า” ความหมายโดยตรง ความรสู ึกคลอ ยตามตวั ละครในเรอ่ื งหรือไม หมายถงึ ดอกไม้ท่ีขน้ึ อยทู่ ั่วไปตามพืน้ ดิน แต่ความหมายโดยนัย หมายถงึ “สงิ่ ท่ีไมม่ ีคา่ ” หรอื การ ช้ีให้เห็นความหมายของสิ่งที่เป็นรูปธรรมในระดับท่ีเป็นนามธรรมหรือระดับแนวคิด เช่น นิทาน • นกั เรียนคิดวา ความรูส ึกท่ีเกดิ ขน้ึ จากการ กระต่ายกับเต่า พฤติกรรมของสัตว์ทั้งสองในเรื่องมีความหมายโดยตรง คือ สามารถเดินทาง อา นของนักเรียนเหมือนกบั ความรสู กึ ของ ได้เร็วหรือช้าแตกต่างกัน ส่วนการตีความรูปธรรมดังกล่าวคือ การแปลความหมายในระดับ คนอื่นหรือไม อยางไร นามธรรม กลา่ วคอื การนอนพกั ของกระตา่ ย หมายถึง “ความชะล่าใจ” และการเดินชา้ ๆ ของเต่า หมายถงึ “ความเพยี รพยายาม” • นักเรยี นคิดวา เหตุใดนักเรยี นจึงมคี วามรสู กึ จากการอานเร่อื งราวแตกตางกนั โดยทว่ั ไป ภาษาทม่ี ีสองระดบั คอื คา� ท่ีมคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ซึ่งมี สาํ รวจคน หา Explore ความหมายซ่อนอยู่อันเป็นไปตามวฒั นธรรมและความเช่ือ ฯลฯ ภาษาท่ีปรากฏในตัวบท ผู้เขียน อาจใช้ค�าท่ีมีความหมายโดยตรง ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็ได้ความเข้าใจระดับหน่ึง แต่ค�านั้นๆ อาจมี ความหมายโดยนยั ซอ่ นอยดู่ ว้ ย หรอื บางครง้ั ผเู้ ขยี นอาจใชส้ ญั ลกั ษณ์ หากผรู้ บั สารสามารถตคี วาม นักเรียนสบื คน ความหมาย และแนวทางการ อานตีความ โดยหาความหมายที่ซ่อนอย่ไู ด้ ก็จะไดค้ วามเข้าใจในระดับทีล่ ึกซงึ้ ข้ึน การอา่ นตีความมหี ลกั เกณฑ์ในการอา่ น ดงั น้ี อธบิ ายความรู Explain ๑. อา่ นเรื่องทจ่ี ะตคี วามโดยละเอียดเพือ่ ให้เข้าใจความหมาย และประเด็นสา� คญั ๒. พจิ ารณาว่าค�าทีป่ รากฏในเรือ่ งมคี วามหมายอีกระดบั ซอ่ นอย่หู รอื ไม่ เชน่ ความหมาย 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคิดเห็นในประเด็น โดยนัยและสัญลักษณ์ ตอไปน้ี ๓. พจิ าณาวา่ คา� ที่ปรากฏในเร่ืองมีนา�้ เสยี งท่ีเจือความรูส้ ึกใดๆ ซ่อนอยู่หรือไม่ • นกั เรียนคดิ วา การอานตคี วามมคี วาม สาํ คัญอยา งไร ตัวอยา่ งท่ี ๑ การอา่ นตีความ คนหนงึ่ มองเห็นโคลนตม (แนวตอบ การอานตคี วามชว ยใหผ อู า น เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย สามารถทําความเขา ใจเนอื้ หา หรอื สาระ สองคนยลตามชอ่ ง สาํ คญั รวมถึงความหมายท้งั ความหมาย อกี คนตาแหลมคม (ดรุณศึกษา : ภารดา ฟ. ฮีแลร์) โดยตรงและความหมายโดยนยั ไดอ ยา ง จากตัวอย่างข้างต้น ผเู้ ขยี นช้วี า่ คนสองคนมองสิ่งเดียวกนั คนหน่งึ เห็น “โคลนตม” ชดั เจน) อีกคนเห็น “ดวงดาว” ผู้เขียนเลือกใช้ค�าท่ีต้องตีความ มิฉะน้ันจะไม่เข้าใจความหมายที่ผู้เขียน 2. นกั เรยี นจับคู จากนัน้ ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คู ตอ้ งการสอื่ ผอู้ า่ นตอ้ งตคี วามวา่ “โคลนตม” และ “ดวงดาว” มคี วามหมายโดยนยั วา่ อยา่ งไร “โคลน ตม” มีความหมายโดยตรงว่า “ดินเหลว” แต่ความหมายโดยนัยท่ีอาจตีความได้ หมายถึง สิ่งท่ี รวมกันตอบคําถามหนา ช้ันเรียนในประเดน็ ตอ้ ยตา�่ ไม่งดงาม ไร้คา่ ส่วน “ดวงดาว” มคี วามหมายโดยตรงวา่ “ส่งิ ทเี่ หน็ เปน็ ดวงเล็กๆ มแี สง ตอ ไปน้ี ในท้องฟ้า” แต่ความหมายโดยนัยอาจตีความหมายได้ว่า หมายถึง สิ่งท่ีสูงส่ง งดงาม มีคุณค่า • นกั เรียนคิดวา การอานตคี วามมีหลกั เกณฑ หรือวธิ ีการอานอยา งไร (แนวตอบ ผูอา นตอ งพจิ ารณาสาระสําคัญ 43 สารแฝงหรืออารมณความรสู กึ รวมถงึ เจตนา ในการสื่อสารดวย) 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นักเรยี นศกึ ษาคน ควา เกีย่ วกบั ตัวอยา งคํา ขอ ความ หรอื สญั ลักษณ ครผู ูส อนเพิม่ เติมเนือ้ หาเกย่ี วกับการอานตคี วาม โดยการอา นตีความเปนการ ทตี่ อ งแปลความจากแหลงเรียนรตู างๆ รวบรวมตัวอยา งการแปลความ พิจารณาความหมายท่ีผูแตง สอ่ื สารมายงั ผอู าน งานเขียนบางเรอ่ื งผเู ขียนไมไ ดส อ่ื มา 5 ตวั อยาง บนั ทกึ ลงในสมดุ ความหมายอยางชัดเจน ตรงไปตรงมา เพราะตองการแฝงปรัชญาและความหมาย บางประการ หรอื ตอ งการแสดงศิลปะในการใชภาษา หรอื ตองการหลกี เลย่ี งการกลา ว กิจกรรมทา ทาย พาดพงิ ถงึ บุคคลและเหตกุ ารณโดยตรง เพราะเกรงจะมีการละเมดิ กฎหมาย ผอู าน จึงตองอา นดวยวิธีการตคี วาม เพราะการอา นงานเขียนบางชิ้นหากอา นแบบไมตอง นกั เรยี นศกึ ษาทําความเขา ใจเรื่องการอา นแปลความดวยตนเองจาก ตคี วามกจ็ ะมีความหมายอยางหนง่ึ แตหากผานการตคี วามกจ็ ะเปน ความหมายอกี แหลง เรียนรตู า งๆ จากนนั้ บอกความสาํ คัญของการอานท่ตี องแปลความ อยางหน่ึง ดงั น้ัน ผูอา นท่จี ะตีความไดถูกตองตรงกบั จุดมุงหมายของผเู ขียน จะตอ ง โดยยกตวั อยา งสารท่นี กั เรยี นเห็นวาควรใชทกั ษะการอา นแปลความ เปน ผูท่มี คี วามรอบรู ชา งสังเกต และมีประสบการณอยางหลากหลาย โดยสามารถ พจิ ารณาจากองคประกอบในการเขียน ท้งั ในดานรปู แบบการเขียน ผเู ขียน ชวงระยะ เวลาท่ผี ลติ งาน ประเภทของหนงั สือทไี่ ดรับการตพี มิ พ ภาพ เคร่ืองหมายตา งๆ ที่ ปรากฏ ตลอดจนการจดั วางรูปแบบถอยคํารวมถงึ ลกั ษณะเดนของเนือ้ หา คูมือครู 43

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใหนักเรยี นพจิ ารณา ดังน้นั การอ่านตคี วามบทนจ้ี งึ อาจสรุปไดว้ ่า คนเรา “มอง” สงิ่ เดียวกันแต่ “เห็น” ไม่เหมือนกนั ตวั อยา งขอ ความในหนา 44 ภายในระยะเวลา บางคนเห็นว่าสิ่งน้ันไม่งดงาม ไมม่ ปี ระโยชน์ ส่วนอีกคนเหน็ วา่ งดงามและมีประโยชน์ เชน่ เมอื่ 3 นาที จากนนั้ ใหนักเรยี นตีความขอความ มองกองขยะ คนหนง่ึ เหน็ ว่าเปน็ ของไรค้ ่า นา่ รังเกยี จ สกปรก แตอ่ กี คนเห็นวา่ กองขยะเปน็ ของ พรอมบันทึกลงในสมดุ มคี า่ เพราะสามารถแยกขยะ นา� บางส่วนไปใช้ประโยชน์ใหม่ ทา� ให้ขยะกลายเปน็ ของมคี ่าได้ 2. ครสู มุ นกั เรยี น 4-5 คน ออกมานําเสนอ ตวั อยา่ งท่ี ๒ การอ่านตีความ มณ ี เดียวนา 3. นักเรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 3 คน ใหน ักเรยี นนาํ ส่วนสร้าง โลกนี้มิอยูด่ ว้ ย ดลุ ยภาพ ขอ มลู คําศพั ท สํานวน และเคร่ืองหมายตางๆ ทรายและสงิ่ อ่นื มี เพราะน้�าแรงไหน ทนี่ กั เรียนไดร วบรวมไวในกจิ กรรมขยายความ ปวงธาตตุ �า่ กลางด ี หงสท์ อง เดยี วเลย เขาใจเรอ่ื งการอา นแปลความมานําเสนอ ภาคจกั รพาลมิร้าง ชีพดว้ ย จากน้ันใหเพ่อื นในกลุมรว มกันตีความ พรอ ม ภพน้ีมิใช่หลา้ หินชาติ แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กนั กาก็เจา้ ของครอง หมดสิ้นสขุ ศานต์ 4. นักเรียนสมมติสถานการณห รอื แตง ประโยคโดย เมาสมมุตจิ องหอง มีขอ ความหรอื สญั ลักษณดังกลา วปรากฏอยูใน น�้ามิตรแลง้ โลกม้วย ประโยคหรอื สถานการณนั้น จากนัน้ ใหเ พ่อื นใน กลมุ ตคี วามรวมกับบริบท (โลก : องั คาร กัลยาณพงศ์) 5. นักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ • นักเรยี นคิดวา การตคี วามของนักเรยี นมี โคลงสี่สุภาพบทน้ีมีการใช้ค�าที่ตรงกันข้ามเพื่อเสนอความหมายอยู่สองคู่ คือ มณีกับทราย และหงส์ทองกับกา ความหมายตรงของ “มณี” คือ “หินสี” ความหมายตรงของ ความแตกตางจากการตีความของเพอ่ื น “ทราย” คือ “เศษหินขนาดเล็ก” แต่มนุษย์ให้คุณค่าแก่มณี ความหมายโดยนัยของมณี คือ หรือไม อยางไร สง่ิ ทมี่ คี า่ หายาก เปน็ ทตี่ อ้ งการมนษุ ย์ สว่ นทรายเปน็ ของมคี า่ นอ้ ย เพราะมจี า� นวนมาก สว่ นหงส-์ (แนวตอบ มีความแตกตา งกนั ) ทองกบั กาความหมายโดยตรงคอื ทงั้ คเู่ ปน็ สตั วท์ มี่ อี ยตู่ ามธรรมชาติ แตม่ คี วามหมายโดยนยั ตา่ งกนั • นักเรยี นคดิ วา การตคี วามทีม่ ีความแตกตา ง เพราะในสงั คมไทยจะใหค้ ณุ คา่ แกห่ งสม์ ากกวา่ เนอื่ งจากมสี ขี าวและมคี วามงดงาม สว่ นกาเปน็ สตั ว์ กันเกิดจากสาเหตุใดเปนสาํ คัญ ทม่ี ีขนสีด�า ไม่งดงาม ดังน้ัน จึงอาจตีความโคลงบทนี้ได้วา่ โลกน้ปี ระกอบไปดว้ ยสรรพส่งิ ทีม่ ที ั้ง (แนวตอบ ขึ้นอยกู ับมุมมองพืน้ ฐานความรแู ละ “ต�า่ กลาง ด”ี ทั้งหมดมคี ุณค่าตอ่ โลก เพราะท�าใหโ้ ลกเกดิ ความสมดุล มนุษยจ์ งึ ควรใหค้ ณุ ค่าแก่ ประสบการณข องนกั เรยี น) ทุกสง่ิ ทีธ่ รรมชาติมอบให้ 6. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด นอกจากนผ้ี เู้ ขยี นยงั ซอ่ นนา�้ เสยี งที่ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั คนทเ่ี หน็ แตค่ ณุ คา่ ของของสงิ่ สมมตุ ิ ตรวจสอบผล Evaluate คือ มณีและหงส์ ว่าเป็นคนที่มัวเมา เห็นแต่เปลือกนอกของวัตถุ โดยพิจารณาจากการใช้ค�าว่า “เมาสมมุตจิ องหอง หนิ ชาต”ิ 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกับการ 44 อา นตคี วามได 2. นักเรียนสามารถตีความคาํ ศัพท สํานวน และ เครอ่ื งหมายตางๆ รวมถึงสามารถตคี วาม รวมกับบรบิ ท ภายในระยะเวลาทกี่ ําหนดได เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกับการตคี วามจากสํานวน ครูควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั การอานตีความวา การอานตีความ สาํ นวนในขอ ใดใชเติมชองวา งของขอความตอไปน้ีไมไ ด มจี ดุ มงุ หมายเพ่ือพจิ ารณาขอ ความหรอื เรือ่ งน้ันๆ มีความหมายท่แี ทจ ริงวา อยา งไร “ฉันเตือนเธอแลววา อยาไปทะเลาะกบั คนเลวๆ อยา งนน้ั มแี ตผลเสยี และสามารถทจ่ี ะอธบิ ายถงึ เจตนา และความคดิ ของผเู ขยี นไดอ ยา งชัดเจนการ เหมือนเธอ...” ตีความจากการอานจะแตกตางกันไปดว ยสาเหตุหลายประการ ไดแ ก 1. เอาไมซ ีกไปงดั ไมซงุ 1. ความสามารถของแตล ะบคุ คล 2. วยั 3. ประสบการณ 4. ความเขา ใจถอยคาํ 2. เอาทองไปรูกระเบ้ือง 5. ความสามารถในการเปรียบเทียบกบั เร่ืองอืน่ ในการอา นตคี วามนักเรยี นจึงตอง 3. เอาเนอ้ื หนไู ปปะเนือ้ ชาง พจิ ารณาองคป ระกอบตา งๆ ของเนื้อหา โดยมีรายละเอียด ดังตอ ไปน้ี 4. เอาพมิ เสนไปแลกกับเกลือ 1. ความเขา ใจจุดประสงคหรอื เจตนารมณข องผูเขยี นและความหมายของสิ่งท่ีผเู ขยี น วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เอาเนื้อหนไู ปปะเนอ้ื ชา ง มีความหมายวา ไดเ ขยี น 2. แนวคิดสาํ คัญทไี่ ดจ ากการอาน ท่ผี เู ขยี นอาจเสนออยางจงใจหรือไม เอาทรพั ยสินจากคนที่มนี อ ยไปใหแกผ ูทีม่ มี ากกวา ซง่ึ เติมลงในชองวางไมได จงใจก็ได 3. นาํ้ เสียงของผเู ขยี นและสสี ันบรรยากาศในการเขยี นซ่งึ อาจเปนน้าํ เสียง ตา งจากขออ่นื ท่ีหมายถงึ การปะทะกันแลวผลออกมาไมคมุ คา แสดงอารมณขนั ลอ เลียน น้าํ เสยี งออนโยน นุม นวล นา้ํ เสยี งประชดประชัน เสยี ดสี ฯลฯ ซ่งึ บางคร้ังในงานเขยี นเดยี วกนั อาจจะมนี าํ้ เสียงหลายลักษณะปะปนกัน 44 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การอ่านขยายความ ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การอา่ นขยายความ คอื การอา่ นเพอ่ื นา� ขอ้ มลู มาอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ใหม้ คี วามละเอยี ดมากขน้ึ จากเนือ้ ความเดิม ทง้ั น้ีการอ่านขยายความสามารถใชว้ ิธกี ารยกตวั อยา่ งประกอบ หรอื การอา้ งอิง • นกั เรียนคิดวา นกั เรยี นมีวธิ ีการเรียบเรยี ง เปรยี บเทียบ เพอื่ ใหไ้ ด้เน้ือความท่ีกว้างขวางออกไปจนเปน็ ที่เข้าใจยงิ่ ข้ึน ความคิด เพื่อชว ยใหเกิดความเขา ใจ และ จดจาํ เน้ือหาทนี่ ักเรียนอานไดอ ยางไร ตัวอยา่ ง การอา่ นเพื่อขยายความ สาํ รวจคน หา Explore พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนว่า นกั เรยี นสืบคนความหมาย และแนวทางการ เปมโต ชายตี โสโก อา นขยายความ เปมโต ชายต ี ภยํ เปมโต วิปฺปมตุ ตฺ สสฺ อธบิ ายความรู นตฺถ ี โสโก กโุ ต ภยํ Explain ความโศกเกิดจากความรัก ความกลัวเกิดจากความรัก ผู้ที่สละความรักได้แล้ว 1. นักเรยี นจดั กลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอ ม ก็ไมโ่ ศก ก็ไมก่ ลวั รว มกันแลกเปลีย่ นความคิดเห็นจากประเดน็ พุทธภาษิตน้ีให้ข้อคิดว่า ความรักเป็นต้นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัว ผู้ที่ คาํ ถาม ดังตอ ไปนี้ ละความรักได้แลว้ ยอ่ มไม่มคี วามโศก ไม่มคี วามกลวั • นักเรียนคิดวา การอานขยายความ เม่ือบุคคลมีความรักต่อสิ่งใดหรือคนใด เขาก็ต้องการให้สิ่งน้ัน หรือคนนั้นคงอยู่ มคี วามหมายและความสําคญั อยางไร ใหเ้ ขารกั ตลอดไป มนษุ ย์โดยทว่ั ไปยอ่ มจะกลวั วา่ สงิ่ นน้ั ๆ จะสญู หาย หรอื คนทตี่ นรกั จะจากไป ทงั้ ที่ (แนวตอบ การอา นขยายความ คือ การขยาย โดยกฎธรรมชาตแิ ลว้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง รวมทง้ั มนษุ ยแ์ ละสตั วท์ งั้ หลายยอ่ มตอ้ งเปลย่ี นแปลง สญู สลาย ความคดิ หรอื อธิบายใหร ายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ หรือแตกดับท�าลายไปตามสภาพของมันเป็นแน่แท้ ถ้าบุคคลรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ จะสามารถ โดยใชข อเท็จจริงเปนพนื้ ฐาน จากนนั้ ละความรกั ความผกู พนั และความตดิ ใจทม่ี ตี อ่ สงิ่ นนั้ เสยี เพอื่ วา่ เขาจะไมต่ อ้ งเศรา้ โศก ไมต่ อ้ งกลวั ขยายความเพ่อื ใหเกดิ ความเขา ใจสารตา งๆ อกี ต่อไป อยางลึกซง้ึ และชว ยในการจดจาํ ไดเ ปน อยา งดี) • นกั เรยี นคิดวา การอานขยายความ ตวั อย่าง การอา่ นเพือ่ ขยายความ มหี ลกั เกณฑห รือวิธีการอา นอยางไร (แนวตอบ หลักเกณฑในการอา นขยายความ ดขู า้ ดูเมอ่ื ใช้ การหนัก ประกอบดวย 1. การอา นโดยเช่อื มโยงถงึ ดูมติ รพงศารัก เมื่อไร้ สาเหตุและผลลัพธท ส่ี ัมพันธกนั ดูเมียเม่ือไข้จกั จวนชพี 2. ยกตวั อยางขอเท็จจริงมาสนบั สนุน อาจจกั รจู้ ติ ไว้ ว่าร้ายฤาดี 3. อธิบายสง่ิ ท่ีเก่ยี วขอ งเพิ่มเติม (โคลงโลกนติ ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) จะดจู ติ ใจข้าทาส มิตร และภรรยาว่าดหี รือไม ่ ใหด้ ูจากการกระท�าของเขา 4. คาดคะเนความนาจะเปน แนวโนม ที่จะ เกดิ ขึ้นในอนาคต โดยใชขอมูลเดมิ เปน พ้นื ฐาน 5. ขยายความโดยใหน ิยามหรอื 45 ความหมาย 6. ขยายความเปรยี บเทียบเพื่อ ขอสอบ O-NET ใหเ กดิ ความเขา ใจอยางชดั เจน) 2. นักเรียนแตล ะกลมุ ออกมานําเสนอหนาช้นั เรยี น ขอสอบป ’53 ออกเกย่ี วกับการขยายความ เกร็ดแนะครู จากขอ ความตอไปนี้ ก. คืออะไร ครูผูสอนควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับหลักในการขยายความ รวมถงึ 1. ประเทศทภี่ ูมปิ ระเทศสว นใหญเปน ก. ยงั สามารถปลกู สมเปน สนิ คา ทกั ษะในการอานขยายความ เพ่อื เปน การพัฒนาทักษะความคิดของผอู า น ดงั นี้ สง ออกได 2. หลายประเทศพยายามปลูกปาเพอ่ื ลดพื้นที่ของ ก. 1. ตอ งมคี วามรู ความเขาใจพ้ืนฐานเก่ยี วกับเร่ืองที่อา น 3. การลดลงของ ก. หมายถึงการลดพายุฝนและพายทุ ราย 2. พจิ ารณารายละเอยี ดเกีย่ วกับความคิดหลกั ในเรือ่ งนน้ั ๆ ขอ เท็จจริง และ 4. พายทุ รายเปนอนั ตรายอยา งยง่ิ ตอ การเดินทางใน ก. 1. ปา แหงแลง 2. ทะเลทราย ขอ คดิ เห็นในเน้ือเร่อื ง 3. ทด่ี อน 4. ทีร่ กรา ง 3. การเกดิ ความคิดแทรกและความคิดเสรมิ ความคิดแทรกเปนความคดิ ที่ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ทะเลทราย ซึ่งขอ ความทส่ี ่ือถงึ อยา งชดั เจน คือ พายุทรายเปน อนั ตรายอยา งยงิ่ ตอ การเดินทางในทะเลทราย มีความ เกดิ ขน้ึ ในขณะที่อา น สว นความคิดเสรมิ เปนความคิดทเ่ี กิดขึน้ หลงั จากทีอ่ า น สมเหตุสมผลทีส่ ดุ เรื่องจบแลว 4. การลาํ ดบั ขอความท่ีจะนํามาสนับสนุนความคดิ หลกั ขอเท็จจรงิ ขอ คิดเห็น ความรูส กึ อารมณแ ละเจตนาของผเู ขยี น ความคิดแทรก ความคิดเสรมิ ท่ี เกดิ ขึน้ อยางเปนระเบียบ ชัดเจน มีสาระ และมเี หตุผลนาเชอื่ ถอื 5. ควรมตี วั อยาง หรือขอ มูลอ่นื ท่ีจะทําใหเ รื่องมนี ํา้ หนักเปน ทีน่ าเช่ือถอื คมู อื ครู 45

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การดูจิตใจผู้ใดว่าร้ายหรือไม่ ต้องสังเกตจากการกระท�าของคนผู้น้ัน เช่น จะดูว่า ความรใู นประเดน็ ตอ ไปน้ี ข้าทาสมีความอดทนขยันขันแข็งหรือไม่ ให้สังเกตเม่ือใช้งานหนัก เพราะถ้าตั้งใจท�างาน • นักเรียนคดิ วา หลกั การพิจารณาการอา น หมายความว่าข้าทาสน้ันไม่เกียจคร้าน จะดูเพื่อนหรือญาติพ่ีน้องว่าจริงใจหรือไม่ ให้ดูเมื่อเรา ขยายความประกอบดว ยประเด็นใดบาง ยากไร้ เพราะเมื่อเราร�่ารวยย่อมมีเพื่อนฝูงและญาติพ่ีน้องมารุมล้อมมากมาย แต่เม่ือถึงคราว อยา งไร ลา� บากญาตมิ ติ รทจี่ รงิ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ เทา่ นน้ั ทจ่ี ะอยเู่ คยี งขา้ งคอยชว่ ยเหลอิื และจะดวู า่ ภรรยารกั สามี (แนวตอบ การอา นขยายความมหี ลักในการ จรงิ หรอื ไม ่ ใหส้ ังเกตเมื่อสามปี ว่ ยไข้ว่าภรรยาจะคอยปรนนิบตั ิดแู ลสามหี รือไม่ พจิ ารณา ดงั ตอ ไปน้ี 1. ผอู านควรมคี วามรู ความเขาใจพื้นฐานในเรอ่ื งทอี่ าน 2. ผูอ าน สรรพส์ าระ โคลงโลกนิติ ควรพิจารณาเนื้อความ ความคิดเห็นหลัก ขอเทจ็ จริง อารมณค วามรสู กึ ของผูเขยี น สุภาษิต คือ ถ้อยค�ำส�ำนวนท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำน รวมถึงเจตนาหรอื จดุ มุง หมายของผเู ขยี น วา ตอ งการใหตอบสนองในประเด็นใดบา ง มคี วำมหมำยเปน็ คตสิ อนใจ ดงั ท่ปี รำกฏในพระไตรปฎิ กหรอื ท่ีเรียกวำ่ อยางไร 6. พจิ ารณาความคดิ เห็นของตน ในขณะทอี่ า น รวมถึงความคดิ ตอ ยอดจาก พุทธศำสนสุภำษิต ซึ่งเป็นค�ำสอนของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ เร่ืองท่ีอา น) ซึ่งทรงกล่ำวไว้ในรูปของข้อควำมขนำดสั้น แต่มีเน้ือหำและสำระ 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด อนั ลึกซ้งึ สำมำรถน�ำไปใชเ้ ป็นขอ้ คิดในกำรด�ำเนนิ ชีวติ ได้เปน็ อยำ่ งดี อย่ำงไรก็ตำม ในสมัยต่อๆ มำ ได้มีกำรน�ำพุทธศำสน- สุภำษิต ซ่ึงแต่เดิมเป็นคำถำภำษำบำลี มำแปลและเรียบเรียง ขยายความเขา ใจ แต่งเป็นวรรณคดีด้วยค�ำประพันธ์ประเภทต่ำงๆ ที่รู้จักกันอย่ำง Expand แพร่หลำย ไดแ้ ก่ โลกนิติค�ำโคลง หรือโคลงโลกนติ ิ พระนพิ นธ์ใน 1. นกั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3 คน ใหนกั เรียนนํา สมเด็จฯ กรมพระยำเดชำดิศร ซ่ึงได้รับพระกรุณำโปรดเกล้ำจำกพระบำทสมเด็จพระนั่งเกล้ำ- ขอมลู คาํ ศัพท สาํ นวน และเครอื่ งหมายตา งๆ ท่ีนักเรียนไดรวบรวมไวใ นกจิ กรรมขยายความ เจำ้ อยหู่ วั ให้ทรงแต่งข้ึนเพื่อน�ำไปประดับไวท้ ศ่ี ำลำทิศ รอบพระมหำเจดยี ์ ดำ้ นเหนือ ในครำวที่ เขา ใจเรอ่ื งการอานตคี วามมานําเสนอ ภายใน ระยะเวลา 10 นาที จากนน้ั ใหเพ่อื นในกลุม มีกำรปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลำรำม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ โดยมีเนื้อหำว่ำด้วยภำษิต รวมกนั ขยายความ พรอ มแลกเปล่ียนความ คดิ เห็นรวมกนั ในดำ้ นตำ่ งๆ ทง้ั ทำงโลกและทำงธรรม ซง่ึ สำมำรถนำ� ไปปรบั ใชใ้ นชวี ติ ใหด้ ำ� เนนิ ไปในทำงทถ่ี กู ตอ้ ง 2. นักเรียนนาํ ขอมลู จากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการ ดงี ำม อานตคี วามขั้นขยายความเขา ใจที่ไดจ ากการ สมมตสิ ถานการณหรอื แตง ประโยค โดยมี การอ่านเป็นการรับสารท่ีผู้เขียนส่ือให้ผู้อ่านเข้าใจความตามตัวอักษร ผู้อ่านจะ ขอ ความหรือสัญลกั ษณด ังกลาวปรากฏอยใู น ต้องรู้ความหมายของค�าศัพท์ ส�านวน โวหารในเร่ือง อธิบายความหมายได้ถูกต้อง เรียกว่า ประโยคหรอื สถานการณนัน้ จากน้ันใหเ พ่ือน การอ่านแปลความ ถ้าผู้อ่านพิจารณาเนื้อหาสาระ ใจความส�าคัญ และบริบท หรือศึกษาจาก ในกลมุ ขยายความรวมกบั บรบิ ท ภูมิหลังของผู้เขียน ผู้อ่านจะค้นพบความหมายท่ีแฝงไว้ในเนื้อหาน้ัน เรียกว่า การอ่านตีความ การตีความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้อ่านแต่ละคนอาจตีความได้ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้อยู่ที่ความรู้เดิม 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ หรือประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน การอ่านจะท�าให้ผู้รับสารเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น หากผู้อ่านรู้จัก การอธิบาย ขยายความให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย การขยายความจึงเป็นทักษะในการส่งสารท่ีจ�าเป็น ตอ้ งฝึกฝน 46 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การตีความ ครผู ูสอนควรเพิม่ เตมิ ความรูค วามเขา ใจเกีย่ วกับการพัฒนาทักษะการอาน โดย คําทกุ คําในขอใดใชไดท้ังความหมายตรงและความหมายเชิงอุปมา การอานข้นึ อยูกับการกาํ หนดจุดมุงหมายในการอาน เพ่อื ใหน ักเรยี นสามารถเลือกอา น 1. ปนเกลยี ว ปด ฉาก ถกู ขา ไดส อดคลอ งกบั จุดมุงหมายของนกั เรยี น โดยจุดมุงหมายในการอา นมอี งคประกอบ 2. ปด ตา เฝาไข เปลยี่ นมือ ดังตอ ไปน้ี 1. การอา นเพื่อความรอบรู เปนการอา นเพ่ือรับรขู อมูลขาวสาร ขอ เทจ็ จริง 3. วางใจ เปา ป แกเ คล็ด เรอื่ งราวความเคลือ่ นไหวตา งๆ เกย่ี วกับสถานการณป จจุบัน 2. การอานเพ่อื ศกึ ษา 4. ปนหวั กินตะเกียบ ลงคอ หาความรู ผูอ า นควรอา นอยา งละเอยี ดและตอ เนื่อง อา นเพื่อทบทวน เรยี นรู และ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ทกุ คาํ มีท้งั ความหมายตรงและความหมาย จดจาํ สามารถนําขอ มลู ความรูไ ปตอยอดไดเปนอยา งดี 3. การอา นเพ่ือเพิ่มความรู เชงิ อปุ มา โดยมคี วามหมายเชิงอปุ มา ดังนี้ คาํ วา ปนเกลียว หมายถงึ มี ในการประกอบอาชพี สามารถนาํ ไปประกอบอาชีพและพัฒนาศักยภาพในการ ความเห็นไมลงรอยกนั ขดั แยงกนั คาํ วา ปด ฉาก หมายถงึ เลิก หยุด ยตุ ิ ทาํ งาน ผอู า นควรอา นอยา งละเอยี ดเพอื่ ใหเกิดความเขาใจ 4. การอา นเพ่ือเพ่มิ พนู คําวา ถกู ขา หมายถึง เขากัน รชู ัน้ เชิง ประสบการณช ีวติ อานเพ่อื เปน แนวทางในการดําเนินชีวิต 5. การอานเพ่ือความ บนั เทิง โดยเลือกหนงั สือท่ีเหมาะกับรสนยิ มและความสนใจของนักเรียน และ 6. การอา นเพือ่ รบั รสทางวรรณศลิ ป เพ่ือใหเกิดสนุ ทรียภาพทางอารมณและจิตใจ 46 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ปกณิ กะ 1. นักเรียนรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ • นักเรียนคิดวา ในการอานขยายความ ¡Òþ²Ñ ¹Ò·Ñ¡ÉСÒÃ͋ҹ นกั เรยี นจําเปนตอ งอา นขยายความตรงกัน กบั บุคคลอื่นในทุกประเดน็ หรือไม อยา งไร ·¡Ñ ÉСÒÃÍÒ‹ ¹à»¹š ·¡Ñ Éз½èÕ ¡ƒ ½¹áÅо²Ñ ¹Òä´¨Œ Ò¡¡Òý¡ƒ àÅÒ‹ àÃÍè× §·ÍèÕ Ò‹ ¹ã˼Œ ͌٠¹è× ¿§˜ (แนวตอบ เปนตนวา นกั เรียนอาจกลา วถึง áÅСÒú¹Ñ ·¡Ö ÊÒÃзäÕè ´ÃŒ ºÑ ¨Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹â´ÂàÃÂÕ ºàÃÂÕ §à»¹š ÀÒÉҢͧµ¹àͧ ¡Òþ²Ñ ¹Ò·¡Ñ ÉÐ การอานขยายความไมจ าํ เปน ตอ งเหมอื นกัน ¡ÒÃÍÒ‹ ¹ÊÒÁÒö½¡ƒ ä´¨Œ Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹àÃÍ×è §Ê¹éÑ æ ¡Í‹ ¹ áÅÇŒ ¨§Ö ¹Òí àÃÍè× §·ÂÕè ÒÇ¢¹Öé ÁÒÍÒ‹ ¹ ¢³ÐÍÒ‹ ¹ ในทกุ ประเดน็ แตตองพิจารณาตามขอ มูล µÍŒ §¨ºÑ 㨤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ¢Í§àÃÍè× §·ÍÕè Ò‹ ¹´ÇŒ  «§Öè ¡Òþ²Ñ ¹Ò·¡Ñ ÉСÒÃÍÒ‹ ¹ÁáÕ ¹Ç·Ò§»¯ºÔ µÑ Ô ´§Ñ ¹Õé ของสารเปนหลกั และขน้ึ อยูกับความเขา ใจ ของนกั เรียนจากการปฏิบัตกิ จิ กรรมอานแปล ñ. ¡‹Í¹ÍÒ‹ ¹ ¼ÍŒÙ Ò‹ ¹µŒÍ§¡íÒ˹´¨Ø´»ÃÐʧ¤ä ÇŒã¹ã¨¡‹Í¹ÇÒ‹ ¨Ð͋ҹà¾Íè× ÍÐäà હ‹ ความและตคี วาม เชอ่ื มโยงกับประสบการณ à¾è×ͤÇÒÁÃÙŒ à¾è×ͤÇÒÁ¤Ô´ ËÃ×Íà¾è×ͤÇÒÁºÑ¹à·Ô§ áÅеéѧ»ÃÐà´ç¹¤íÒ¶ÒÁ·Õ赌ͧ¡ÒÃÃÙŒ¨Ò¡ ของแตล ะคน) àÃè×ͧ·ÕÍè ‹Ò¹ ·é§Ñ ¹ÕéàÁÍ×è ÍÒ‹ ¹¨º¨Ðä´»Œ ÃÐàÁ¹Ô ÇÒ‹ ¡ÒÃ͋ҹ¤Ã§éÑ ¹äÕé ´¤Œ Òí µÍº·Õµè ŒÍ§¡ÒÃËÃÍ× äÁ‹ • นักเรียนคดิ วา นกั เรยี นสามารถนาํ ทกั ษะ การอา นแปลความ ตีความ และขยายความ ò. ¢³Ð͋ҹ ¼ÍŒÙ ‹Ò¹µŒÍ§ÁÊÕ ÁÒ¸áÔ ÅФÇÒÁʹ㨨´¨‹ÍµÍ‹ àÃÍè× §·èÕ͋ҹâ´ÂÊÒÁÒö มาประยกุ ตใ ชเพื่อพัฒนาทกั ษะการอานใน µÍº¤Òí ¶ÒÁ·µèÕ éѧäÇäŒ ´áŒ ÅŒÇà¢ÂÕ ¹»ÃÐà´ç¹ÊÒí ¤ÑÞ¨Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹ä´Œ ชีวติ ประจาํ วันไดอยา งไร (แนวตอบ ทักษะการอานแปลความ ตีความ ó. ËÅѧÍÒ‹ ¹ ¼ÍÙŒ Ò‹ ¹µÍŒ §ÊÒÁÒöÊÃ»Ø ã¨¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞ ËÃ×ÍÊÃ»Ø »ÃÐà´¹ç ÊÒí ¤ÑÞ¨Ò¡ และขยายความ เปน ทักษะทม่ี ีความตอเน่ือง àÃè×ͧ·ÕÍè Ò‹ ¹´ÇŒ ÂÀÒÉҢͧµ¹àͧ·è¡Õ ÃЪѺ ä´ãŒ ¨¤ÇÒÁ â´ÂÍÒ¨ÊÃØ»´ŒÇ¡ÒÃà¢Õ¹ ¡Ò÷Òí กนั สามารถฝก ฝนและพัฒนาควบคกู นั ได á¼¹ÀÒ¾â¤Ã§àÃ×Íè § ¡Òþٴ ËÃÍ× ¡ÒÃàÅ‹ÒàÃÍ×è §ÂÍ‹ ãËŒ¼ÙÍŒ ×蹿§˜ อยา งเปน ลาํ ดับ) ô. »ÃÐàÁ¹Ô ¼Å¡ÒÃ͋ҹ¢Í§µ¹ÇÒ‹ ä´ŒÊÒÃеÒÁ·µÕè §Ñé ¨´Ø »ÃÐʧ¤ä ÇËŒ ÃÍ× äÁ‹ áÅÐä´Œ 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ÃºÑ »ÃÐ⪹ ËÃÍ× ¤ÇÒÁÃàŒÙ ¾ÁèÔ àµÁÔ ËÃÍ× äÁ‹ ÍÂÒ‹ §äà â´Âà»ÃÂÕ ºà·ÂÕ ºàÃÍè× §·ÍèÕ Ò‹ ¹¡ºÑ »ÃÐʺ¡Òó à´ÁÔ ¨Ð·Òí ãË·Œ ÃÒºÇÒ‹ ¡ÒÃ͋ҹª‹Ç¾Ѳ¹Ò¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁ¤´Ô ËÃÍ× äÁ‹ ตรวจสอบผล Evaluate õ. µÃǨÊͺNjҨ´ºÑ¹·Ö¡ÊÒÃÐÊíÒ¤Ñޤú¶ŒÇ¹µÒÁ·èÕµŒÍ§¡ÒÃËÃ×ÍäÁ‹ ËÒ¡äÁ‹ 1. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั การ ¤Ãº¶ÇŒ ¹¤ÇÃÂÍŒ ¹¡ÅѺä»Í‹Ò¹ áŌǷíÒº¹Ñ ·Ö¡ÊÃ»Ø ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞãËÁ‹ÍÕ¡¤Ã§éÑ อา นขยายความได ö. ¹íÒ¤ÇÒÁÃÙŒ·Õèä´ŒÃѺ¨Ò¡¡Òà 2. นกั เรยี นสามารถขยายความคําศพั ท สํานวน ͋ҹÁÒ»ÃÐÂØ¡µãªŒã¹¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ และเครอ่ื งหมายตางๆ รวมถึงสามารถอา น áÅйíÒá§‹ÁÁØ ·Õ´è ÁÕ Ò¾²Ñ ¹ÒÈÑ¡ÂÀÒ¾¢Í§ ขยายความรวมกบั บริบท ภายในระยะเวลาท่ี µ¹àͧ กาํ หนดได หองสมุดเปนสถานที่หนึ่งท่ีเงียบสงบ ชวยใหผูอาน มสี มาธใิ นการอา นหนงั สือ ๔๗ บรู ณาการเช่อื มสาระ เกร็ดแนะครู ครผู สู อนบูรณาการการเรยี นการสอนเรื่องการอา นขยายความกับกลุมสาระ ครูสามารถแนะนาํ วิธีการอานใหผ เู รียนนําไปปรับใชใ หเ หมาะกบั การจุดมงุ หมาย การเรยี นรูศลิ ปะ รายวิชา ทัศนศลิ ป ดงั น้ี เน่อื งจากการเขียนบทประพนั ธ ของการอา น โดยแบง เปนวธิ ตี า งๆ ดงั ตอ ไปน้ี และงานศลิ ปะมลี ักษณะคลายคลงึ กนั บางประการ คอื มแี นวคดิ ท่วี า การแตง คําประพันธน้นั มกี ารใชคาํ นอ ยแตกินความมาก เชนเดยี วกับภาพศิลปะท่ี 1. การอานแบบกวาด (Scanning) เปน การมองหาประเดน็ สําคัญอยางรวดเร็ว ภาพหนงึ่ ภาพสามารถแทนขอความไดมากมาย ดวยแนวคดิ นี้ใหนกั เรยี นฝก เชน หาหนา หาชือ่ เรอ่ื ง หาคาํ สาํ คญั เปน ตน การอานขยายความจากโคลงโลกนติ ิ โดยการถอดคําประพันธและวาดภาพ ประกอบ เพอื่ ใหเ ขา ใจความหมายไดง า ยและใหน ักเรียนเขยี นโคลงโลกนิติ 2. การอานอยา งคราวๆ (Skimming) คอื การอานอยางเรว็ ๆ เพอ่ื ดูวา มเี นือ้ หา ความหมายและเขยี นขยายความไวดานลางของภาพดวย เพ่อื ใหน ักเรียนเกดิ สาระอะไรทนี่ าสนใจบา ง โดยไมตง้ั ใจท่ีจะคน หาสง่ิ ทเ่ี ฉพาะเจาะจง ความเขาใจเนื้อหาของบทประพันธ รวมถงึ เขา ใจสนุ ทรยี ภาพและจนิ ตภาพ อนั เกดิ จากผัสสะตางๆ จากบทประพนั ธ และสามารถถา ยทอดออกมาเปน 3. การอานเพอ่ื การศกึ ษา หนังสือประเภทตําราวชิ าการตางๆ จดุ มงุ หมาย ภาพ เพือ่ สอ่ื สารสผู ูอ่ืนได คอื ตองการทาํ ความเขา ใจในเนอ้ื หาวชิ าอยา งแทจ ริง อา นอยางต้งั ใจและ จับประเดน็ สาํ คญั ในเรอื่ งทอ่ี านใหไ ด การอานเพอื่ ประโยชนท างการศึกษา ผูอา นควรอา นอยา งละเอยี ดและตอเนอื่ ง อานซา้ํ และทบทวน 4. การอา นแบบคาํ ตอ คาํ มีหนังสือหรอื บทความบางอยางทีต่ องการอา นแบบคํา ตอคาํ เชน หนงั สือสัญญา ซ่งึ ตอ งการความระมัดระวังในการอาน เปน ตน คมู อื ครู 47

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับการอาน ค�าถามประจา� หน่วยการเรียนรู้ แปลความได ๑. การอ่านแปลความมคี วามส�าคญั ตอ่ การอา่ นอยา่ งไร 2. นกั เรียนสามารถอา นแปลความได ๒. การบอกความหมาย การอธบิ าย เปน็ การอา่ นในขั้นตอนใด เพราะเหตใุ ด 3. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ียวกับการอา น ๓. บรบิ ทหรอื ส่งิ แวดล้อมท�าใหค้ วามหมายของคา� เปล่ยี นแปลงไปอย่างไร จงอธบิ าย และยกตวั อยา่ งประกอบ ตคี วามได ๔. “การตีความไม่ใชก่ ารถอดคา� ประพนั ธ”์ นกั เรยี นเหน็ ด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด 4. นักเรียนสามารถอานตีความคําศพั ท สํานวน และ ๕. การอ่านแปลความ ตคี วาม และขยายความ มีความสัมพนั ธ์กนั อย่างไร เคร่ืองหมายตางๆ รวมถึงสามารถตคี วามรว มกับ บรบิ ท ภายในระยะเวลาทีก่ ําหนดได 5. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับการอา น ขยายความได 6. นักเรยี นสามารถอานขยายความคําศพั ท สาํ นวน และเครื่องหมายตา งๆ รวมถงึ สามารถอานขยาย- ความรวมกับบรบิ ท ภายในระยะเวลาที่กาํ หนดได หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกับการอาน ๑. นักเรยี นฝกึ แปลความ ตคี วาม และขยายความจากส�านวนสุภาษิต เช่น แปลความ - รักดหี ามจ่ัว รักชวั่ หามเสา - รักวัวใหผ้ กู รักลูกใหต้ ี 2. ความเรยี งสรุปเน้อื หาการอา นแปลความ - เหน็ ช้างขี้ อยา่ ขีต้ ามช้าง 3. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกบั การอาน ๒. ให้นกั เรียนเลือกอธบิ ายศาสนสภุ าษติ ทนี่ กั เรยี นประทับใจ ๑ ศาสนสภุ าษติ หน้าชัน้ เรียน เพ่ือแลกเปลีย่ นความรูก้ ับเพ่อื นในชน้ั เรยี น ตคี วาม ๓. ให้นักเรยี นรวบรวมค�าที่สอ่ื ตา่ งๆ นยิ มต้ังฉายานักกีฬา นักร้อง นักแสดง 4. ความเรยี งสรุปเนอื้ หาการอานตีความคําศพั ท มาแปลความหมายของฉายาเหล่านั้นใหถ้ กู ต้องตรงตามความหมาย สาํ นวน และเครื่องหมายตา งๆ และความเรยี ง 48 สรุปเนื้อหาการอา นตคี วามรวมกับบริบท ภายใน ระยะเวลาท่กี ําหนด 5. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกบั การอาน ขยายความ 6. ความเรยี งสรปุ เนอ้ื หาการอา นขยายความคาํ ศพั ท สาํ นวน และเคร่อื งหมายตางๆ ความเรยี ง สรปุ เน้ือหาการอานขยายความรวมกับบริบท ภายในระยะเวลาทกี่ าํ หนด 7. บนั ทกึ การตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ความสาํ คญั ของการอา นแปลความ คอื เปน การทาํ ความเขา ใจเนอ้ื หาของสาร โดยยงั คงรกั ษาเนื้อหาและสาระสําคญั ไวไดอยางครบถว น การอานแปลความมีความสําคญั ในฐานะทเ่ี ปน พื้นฐานในการอา นตีความ การอา นขยายความ การนาํ ไปใชใ นการวิเคราะห การสงั เคราะห และการประเมินคา ซึง่ เปน ทกั ษะการอา นในระดับสงู ตอ ไป 2. การบอกความหมาย และการอธิบาย เปนการอา นในขน้ั ของการอานแปลความ เน่ืองจากเปน การทาํ ความเขาใจสารทอี่ านในระดับพนื้ ฐาน กอ นทีจ่ ะทําความเขา ใจสาร ในระดบั ท่ลี ึกซึ้งย่ิงข้นึ อยางการอา นตีความ และการอา นขยายความ 3. บริบทของคาํ หรอื ถอ ยคําทําใหความหมายของคาํ มคี วามเปล่ียนแปลง เนอ่ื งจากการพจิ ารณาถอ ยคําตอ งอาศยั บรบิ ทแวดลอ มในการพจิ ารณา ทั้งความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย ความหมายตามบรบิ ท รวมถงึ เจตนาของผูสงสารดว ย ตัวอยา งเชน การใชโ วหารปฏพิ ากย คอื การใชถ อยคาํ ทีม่ คี วามหมายตรงกันขาม หรือขัดแยงกนั มากลาวอยา งกลมกลืนกนั เพ่ือเพิ่มความหมายใหมนี า้ํ หนักมากย่ิงขน้ึ อาทิ เลวบรสิ ทุ ธิ์ บาปบรสิ ุทธ์ิ สวยเปน บา สวยอยางรา ยกาจ เปน ตน ซง่ึ คําท่ีปรากฏตางมี ความหมายขัดแยงกนั การตีความรว มกบั บริบทแวดลอ มก็มคี วามแตกตา งกันไปดวย 4. เห็นดว ยกับคํากลาวทว่ี า “การตีความไมใ ชการถอดคําประพนั ธ” เนือ่ งจากการถอดคาํ ประพันธจะอยใู นการอานระดับการแปลความ สว นการตีความบทประพนั ธน น้ั ผูอานตอ งพิจารณาสาระสําคัญ สารแฝงหรืออารมณค วามรูสกึ ในบทประพนั ธ รวมถึงเจตนาของผแู ตง โดยพจิ ารณาจากเรื่องที่อา น 5. การอานแปลความ ตีความ และขยายความมีความสัมพนั ธก นั ในฐานะทเ่ี ปนระดบั ขนั้ ของการอานท่ีมีความตอ เนื่องกัน โดยการอานแปลความเปนทกั ษะขนั้ พน้ื ฐานในการ อานตคี วามและขยายความ ซง่ึ สามารถพฒั นาทกั ษะการอา นไดล กึ ซึ้งและมคี วามชัดเจนมากยงิ่ ข้ึนและสงผลตอ ความเขาใจสารมากขน้ึ ตามลาํ ดบั 48 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๑ 1. วเิ คราะห วิจารณ แสดงความคิดเหน็ โตแยง เกย่ี วกบั เรอ่ื งท่อี านและเสนอความคิดใหม อยางมีเหตุผล 2. ตอบคําถามจากการอา นงานเขยี นประเภท ตางๆ ภายในเวลาที่กาํ หนด 3. อานเรอื่ งตางๆ แลว เขยี นกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด บนั ทึก ยอความ และรายงาน 4. มีมารยาทในการอา น ôหน่วยการเรยี นรทู ่ี การอา นของแตละบคุ คล สมรรถนะของผเู รียน ยอมมจี ุดประสงคแตกตางกันออกไป 1. ความสามารถในการส่อื สาร ซึง่ ผอู า นจําเปนตอ งทราบจุดมุงหมาย 2. ความสามารถในการคดิ กอ นอา นทกุ ครง้ั เพราะการอานชวยใหเ กิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา การเรยี นรู เปน การชว ยใหไ ดร ับขา วสาร สาระ 4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ ตางๆ เพ่ือประกอบการตดั สนิ ใจ ชวยใหแ กไ ขปญหา 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ทาํ ใหเกิดความเขาใจท่ีลึกซึง้ และนาํ ความรูไปใช คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ในการแสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกับ เรือ่ งทอ่ี า นได 1. ใฝเ รียนรู 2. มุงมนั่ ในการทาํ งาน 3. รกั ความเปนไทย การอา นเพอื่ แสดงความคดิ เหน็ กระตนุ ความสนใจ Engage สาระการเรียนรูแกนกลาง ตัวช้วี ดั ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปนี้ • การอ่านเพือ่ แสดงความคดิ เห็น • ในชีวิตประจาํ วนั นักเรยี นรับขอมลู ขา วสาร • วเิ คราะห์ วจิ ารณ ์ แสดงความคิดเห็น โต้แยง้ • มีมารยาทในการอ่าน เกี่ยวกบั เรอ่ื งท่อี า่ นและเสนอความคิดใหม่ จากส่อื ประเภทตา งๆ อยูเสมอ นักเรยี น เห็นดว ยกับประเดน็ ตางๆ ทีน่ าํ เสนอผา นสื่อ อยา่ งมเี หตุผล (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๕) หรือไม อยางไร • ตอบค�าถามจากการอา่ นงานเขียนประเภทต่างๆ • นักเรียนมีวธิ ีการพิจารณาอยา งไร • หากนักเรยี นมีความคิดเห็นขัดแยงกันใน ภายในเวลาที่กา� หนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) เรือ่ งท่ีบคุ คลอน่ื นาํ เสนอ นักเรยี นจะมีวิธีการ • อ่านเรือ่ งต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด แสดงความคดิ เห็นอยา งไร บนั ทึก ยอ่ ความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) • มมี ารยาทในการอ่าน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๙) เกร็ดแนะครู หนวยการเรยี นรนู ้ี ครูผูสอนควรเพิ่มความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับทักษะการแสดง ความคิดเหน็ จากการอาน โดยทักษะการแสดงความคิดเหน็ นัน้ เริม่ ตน จากความ สามารถในการใชเ หตผุ ลและสมรรถภาพการใชเหตผุ ลของนักเรียนเอง โดยอาศัย สติปญ ญาความรู และความเขา ใจเร่อื งตางๆ ตามหลกั ความจริง หรอื ขอเท็จจรงิ ท่ี เก่ยี วของ เมือ่ นกั เรียนเรียนรูใ นการใชเหตผุ ล กจ็ ะสามารถตัดสนิ ใจไดอ ยา งถกู ตอง เหมาะสม และสามารถแสวงหาแนวทางในการจัดการความขดั แยงได นอกจากน้ี การใชเ หตุผลยังถือวา มคี วามสาํ คญั มาก การพัฒนาสมรรถภาพการใชเ หตผุ ลชวย ใหก ารพัฒนาคณุ ภาพการใชเ หตผุ ลสงู ขึ้น สามารถใชเหตุผลไดอ ยางหนกั แนน มี ความชดั เจน รัดกุม มหี ลักเกณฑ และสามารถถายทอดอยางเปนระบบ นอกจาก นักเรยี นจะมคี วามสามารถในการใชเหตุผลแลว ยังตองมคี วามสามารถในการใช ภาษาทส่ี อดคลอ งกัน โดยเฉพาะอยางยง่ิ การวเิ คราะหส ารท่ีเกิดจากการอา น เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถจัดการขอ มลู ขาวสารทม่ี คี วามหลากหลายในสังคมแหงขอมลู ขาวสารในยุคปจ จบุ ันไดเปนอยางดี คูมือครู 49

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปนี้ ๑. การอ่านเพ่อื แสดงความคดิ เหน็ • นักเรียนคดิ วา ในปจจุบนั สงั คมไทยมกี ารแสดง การอ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่านพิจารณาเรื่องท่ีอ่านด้วย ความคิดเหน็ ในเร่ืองใดมากที่สุด และนกั เรียน เหตุผล หรือหลักวิชาที่เก่ียวข้องกับการวิเคราะห์ วิจารณ์ แล้วแสดงความคิดเห็นของตนที่มีต่อ มีวธิ ีการแสดงความคดิ เห็นตอประเด็นดงั กลาว องคป์ ระกอบสว่ นต่างๆ ของเรือ่ ง เชน่ ชื่อเรือ่ ง แนวคดิ เนือ้ หาสาระ กลวธิ ีในการนา� เสนอ ภาษา อยา งไร ทีผ่ ู้เขียนเลือกใช้ เปน็ ตน้ โดยอาจแสดงออกดว้ ยวธิ กี ารเขยี น หรอื การพูด สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ องคป์ ระกอบของการแสดงความคดิ เหน็ นักเรียนศึกษาความหมาย และแนวทางการอาน ประกอบดว้ ยสว่ นส�าคญั ๓ สว่ น เพือ่ แสดงความคิดเหน็ ในรูปแบบตา งๆ ๑) ท่มี า คอื ส่วนท่เี ปน็ เร่ืองราวตา่ งๆ หรอื ตน้ เร่อื งท่ผี อู้ ่านตอ้ งการจะแสดงความคดิ เห็น การอา่ นเพือ่ แสดงความคดิ เห็น ผอู้ ่านอาจเป็นผู้เลือกเร่อื งเอง หรอื ถูกกา� หนดก็ได้ อธบิ ายความรู Explain ๒) ขอ้ สนับสนุน คือ ขอ้ เท็จจรงิ หลักการ รวมทั้งขอ้ มูลอนั เปน็ ความคดิ เห็นของผ้อู ื่น ซง่ึ ผู้แสดงความคิดเห็นน�ามาประกอบเพื่อให้ความคิดเห็นของตนมีความน่าเช่ือถือ เพราะการแสดง 1. นักเรยี นจบั คู จากน้ันนักเรียนต้งั คาํ ถามจาก ความคิดเหน็ ดว้ ยอารมณ ์ ความร้สู ึกไม่ใชแ่ นวทางการแสดงความคิดเหน็ ที่เหมาะสม เนื้อหาในกิจกรรมสํารวจคนหา พรอ มผลัดกัน ๓) ขอ้ สรุป คอื สง่ิ ท่ตี อ้ งการส่ือใหผ้ รู้ ับสารยอมรบั หรอื น�าไปปฏบิ ตั ิ โดยข้อสรปุ อาจเป็น ถาม-ตอบปญ หาจากเรอ่ื งทน่ี กั เรยี นศกึ ษาคน ควา ข้อเสนอแนะ ขอ้ สนั นษิ ฐาน หรอื การประเมนิ ค่าสารที่ได้รบั 2. ครูสุม นักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ ๑.๒ แนวทางการอา่ นเพอื่ แสดงความคดิ เหน็ หนา ชน้ั เรียน เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นมขี อ้ มลู ทจ่ี ะนา� ไปใชแ้ สดงความคดิ เหน็ และเพอ่ื ใหค้ วามคดิ เหน็ ทส่ี อ่ื สารไดร้ บั 3. นกั เรยี นรวมกนั สรุปความรูความเขา ใจดวยการ การยอมรบั จา� เป็นตอ้ งมีแนวทางใช้ฝกึ ปฏบิ ัติ ดงั น้ี ตอบคําถาม ตอไปนี้ • นกั เรียนบอกความหมายและความสําคญั ของ ๑. ผู้อา่ นตอ้ งจบั ใจความสา� คญั จากเร่อื งท่ีอ่าน เพอื่ ให้รบั รปู้ ระเดน็ ต่างๆ ท่เี ปน็ สาระส�าคัญ การอานเพื่อแสดงความคิดเห็น ของเรื่อง ในการจับใจความส�าคัญท�าได้โดยพิจารณาชื่อเร่ือง ช่ือ ชื่อตอน ช่ือหัวข้อต่างๆ และ (แนวตอบ การอานและพิจารณาเนอ้ื หาดว ย การจับใจความส�าคญั ในแตล่ ะยอ่ หน้า เพือ่ ให้ทราบประเด็นหลกั ประเด็นยอ่ ย เหตผุ ล พรอมแสดงความคิดเหน็ ดว ยการ ๒. ผอู้ า่ นตอ้ งพจิ ารณารายละเอยี ดอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอื้ หา เชน่ ขอ้ มลู ทางสถติ ิ ตวั อยา่ ง ชนื่ ชม คลอยตาม สนับสนุน ติเตยี น โตแ ยง กรณีศึกษา ตาราง เพราะอาจน�ามาใชป้ ระกอบการแสดงความคิดเห็นได้ และคดั คาน) ๓. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์ข้อเท็จจริงท่ีปรากฏในเร่ือง โดยมีเกณฑ์ว่า ข้อเท็จจริง หมายถึง • นักเรยี นคิดวา หากนักเรยี นตองการแสดง ขอ้ มลู ท่เี ป็นเรือ่ งราว เหตกุ ารณ์ สถานการณ์ท่แี สดงให้เหน็ วา่ ใคร ท�าอะไร เม่อื ไร ท่ีไหน อยา่ งไร ความคิดเหน็ นักเรียนมีแนวทางการศึกษา อาจเป็นการบรรยาย พรรณนา ตัวเลข สถิติ แผนภูมิ รูปภาพ การวิเคราะหข์ ้อเท็จจริงท่ีปรากฏ ขอมลู ดว ยการอานอยางไร ในเร่ือง จะชว่ ยให้ผอู้ า่ นสรปุ หรอื แสดงความคิดเห็นได้วา่ ผู้เขยี นนา� เสนอเรอ่ื งโดยการบดิ เบอื น (แนวตอบ ทาํ ความเขา ใจสารในบทอานกอ น ข้อเทจ็ จรงิ หรอื ไม่ การแสดงความคดิ เห็น ดวยการกาํ หนด ๔. ผู้อา่ นต้องวิเคราะห์ความคิดเหน็ ของผเู้ ขยี น ขอ้ คดิ เห็น หมายถงึ ความคิดความเห็น จดุ มงุ หมายในการอา น เลือกวธิ กี ารอา นวา ท่ีผู้เขียนแสดงไว้ แม้จะไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่มีส่วนช่วยสะท้อนว่าผู้ส่งสารมีเจตนาอย่างไร เปนการอา นเพื่อจับประเด็นหรืออา นเพอื่ ตอ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทน่ี า� เสนอ โดยขอ้ ความทต่ี ามหลงั คา� เหลา่ นม้ี กั จะเปน็ ขอ้ คดิ เหน็ คดิ วา่ เชอ่ื วา่ เหน็ วา่ สรปุ ความ) เหน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ด้วย น่าจะ คง อาจจะเปน็ เพราะ หรือไม่อยา่ งไร 4. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด 50 บรู ณาการอาเซียน ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การพิจารณาทรรศนะที่นําเสนอผา นบทประพันธ กจิ กรรมสงเสรมิ การอานเปนโครงการหนึ่งทอี่ าเซยี นใหความสําคญั ดวยการ ปญ หารนุ พใ่ี ชค วามรนุ แรงกับนกั ศึกษาใหมเกดิ เปน ประจําทุกป ทัง้ ๆ ที่ พยายามรวมมอื กันมาต้งั แต ป พ.ศ. 2510 ซึ่งถอื วาเปนแนวทางทีน่ า สนใจ โดยมี กอ นปก ารศึกษาใหมจ ะเร่มิ ขึน้ ผบู ริหารของกระทรวงศึกษาธกิ ารกไ็ ดมี เปา หมายเพอ่ื ใหเ กดิ การแลกเปล่ียนประสบการณความรแู ละการสรางความเขา ใจ คาํ แนะนาํ ไปยงั สถาบนั การศกึ ษาตางๆ ถึงแนวทางการรบั นอ งทจ่ี ะไมส ราง ในประเทศประชาคมอาเซียน ดว ยการนําเทคโนโลยที างการส่ือสารมาปรบั ใชใ น ปญ หา ตอ จากนผ้ี ูเ กยี่ วของคงตอ งวางแผนและหาแนวทางแกไขปญหาระยะ กจิ กรรมการอา น อาทิ ประเทศสิงคโปรสง เสรมิ การอานของพลเมืองในประเทศโดย ยาวเพราะไมวาจะเปนรุนพ่รี ุน นอ งตางก็เปน ทรพั ยากรบคุ คลของประเทศ สามารถคน ควา เรอ่ื งสั้นผานโทรศัพทมอื ถือได ซงึ่ สะดวกและรวดเร็ว โดยเนน การจัด การแสดงทรรศนะขา งตนของผเู ขยี นเกิดจากขอ ใด กิจกรรมสง เสริมการอานเพ่ือใหพลเมอื งในทกุ กลมุ อาชพี ไมวา จะเปน คนขบั แท็กซ่ี 1. ความรู 2. ความเช่อื ชา งผม ครู มาตั้งกลมุ การอา น หรอื ชมรมการอานในกลมุ อาชีพเดยี วกนั และเนน 3. คานยิ ม 4. ประสบการณ การวางแผนพฒั นาระบบหอ งสมดุ ใหเ ปนหอ งสมดุ ดจิ ทิ ลั สว นประเทศสมาชิกอ่ืนๆ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ประสบการณ เพราะประโยคท่สี นับสนนุ ก็ใหค วามสําคัญกับกิจกรรมหรอื โครงการสง เสริมการอานดว ยเชนกนั ครคู วรจัด คําตอบขอ ที่ 4. คอื “ปญหารนุ พใี่ ชความรนุ แรงกับนักศึกษาใหมเ กิดเปน กจิ กรรมใหนกั เรยี นเปรียบเทียบกจิ กรรมสงเสริมการอานของไทยวามคี วามแตกตาง ประจําทกุ ป” สามารถพิจารณาจากคําวา “เกดิ เปนประจาํ ทกุ ป” กนั กับประเทศอื่นหรอื ไม และประเทศไทยควรสง เสริมการอา นสาํ หรบั คนทกุ เพศ ทุกวัย และทกุ อาชีพหรอื ไม เพ่อื ใหป ระเทศไทยมวี ัฒนธรรมการอา นอยางทัว่ ถงึ 50 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๕. ผู้อ่านต้องตีความสาร ในกรณีที่อ่านสารประเภทเร่ืองสั้น นวนิยาย บทร้อยกรอง 1. ครูขออาสาสมคั ร 2- 3 คน ออกมาอธิบาย เพราะงานเขยี นประเภทนผ้ี เู้ ขยี นจะไมส่ อ่ื สารแนวคดิ ออกมาโดยตรง แตจ่ ะซอ่ นอยู่ในองคป์ ระกอบ ความรใู นประเด็น ตอ ไปนี้ ส่วนต่างๆ ของเรอ่ื ง เช่น แสดงผ่านพฤตกิ รรมของตวั ละคร เปน็ ต้น • นักเรยี นคิดวา ผูท ่ีสามารถอา นแสดงความ ๖. ผู้อ่านต้องพิจารณาความน่าเช่ือถือของเร่ืองท่ีอ่าน โดยพิจารณาเบื้องต้นจากผู้ส่งสาร คิดเหน็ ไดด ี ควรมคี ณุ สมบตั ิอยา งไร วา่ มีความร ู้ ความช�านาญในเรอ่ื งที่เขยี นมากน้อยเพยี งใด รวมถึงขอ้ มูลทนี่ า� มาใชอ้ า้ งอิง (แนวตอบ ผูอ า นมคี วามเขาใจเรื่องที่อา น ๗. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์กลวิธีน�าเสนอของผู้เขียน เช่น การวางโครงเร่ือง การเปิดเรื่อง ลักษณะของสาร ใชภาษาไดอ ยางชัดเจน การด�าเนินเร่ือง เป็นต้น โดยมีแนวทางวิเคราะห์ว่ากลวิธีน�าเสนอเหมาะสมกับเน้ือเรื่องหรือไม่ และใจกวา งยอมรับความคดิ เห็นของผูอ่ืน) และผ้เู ขียนเลอื กใช้กลวธิ ไี ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพียงใด • นกั เรยี นอธบิ ายกระบวนการแสดงความ ๘. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์การใช้ภาษา สังเกตความกลมกลืนระหว่างภาษากับเนื้อเร่ือง คิดเห็นจากองคประกอบในการแสดงความ การใชส้ �านวนโวหาร ความถกู ต้องตามหลกั ภาษา คิดเหน็ ทงั้ 3 สว น ไดแก ทมี่ า ขอสนบั สนนุ ๙. ผู้อ่านต้องตัดสินใจ ประเมินค่า หรือแสดงความคิดเห็นได้ว่าเรื่องท่ีอ่าน ดีหรือไม ่ และขอสรปุ ทั้งทเี่ ห็นดว ยและไมเ ห็นดวย ชอบหรือไม่อย่างไร โดยให้เหตุผลประกอบ ประการส�าคัญควรมีข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ จากเน้อื หาทีอ่ าน หรือเรียกว่า ติเพื่อก่อ ซ่ึงส่ิงท่ีจะน�าไปแสดงความคิดเห็น ก็คือ ข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห ์ (แนวตอบ องคป ระกอบในการแสดงความ สว่ นตา่ งๆ ของเร่ืองทีอ่ ่าน คดิ เห็นท้งั ทเี่ ห็นดว ยและไมเห็นดวย มีองค ประกอบ 3 สวน คอื 1. ท่ีมาและความ ๑.๓ ขอ้ ควรคา� นงึ ในการแสดงความคดิ เหน็ สาํ คัญของขอ เสนอ หรือประเดน็ ทผ่ี แู ตง ตอ งการนาํ เสนอ รวมถงึ สาเหตแุ ละปญ หา การแสดงความคิดเห็นอาจจะแสดงด้วยการพูด หรือการเขียนท่ีประกอบด้วยเหตุผล มี 2. ขอ สนับสนุน ขอ มูล ขอ เทจ็ จรงิ หลักการ ขอ้ มลู หลกั ฐานทผ่ี อู้ น่ื จะเชอื่ ถอื ได ้ การแสดงความคดิ เหน็ จะตอ้ งกลน่ั กรองมาเปน็ อยา่ งดี ภาษาท่ีใช้ ประกอบการพิจารณา เพื่อเพม่ิ ความ ตอ้ งสุภาพและไมท่ า� ให้ผู้อน่ื ได้รบั ความเสยี หาย โดยมีข้อควรค�านึงในการแสดงความคดิ เหน็ ดังน้ี นา เช่ือถือ 3. ขอ สรุป เปา หมายที่ตอ งการสือ่ ๑) ประโยชน์ ความคิดเห็นท่ีดีต้องมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อผู้อ่าน ประโยชน์ในที่น้ ี ใหผฟู ง หรอื ผูอา นยอมรบั และนาํ ไปปฏิบตั ิ ต้องเปน็ ประโยชน์ตอ่ บุคคลส่วนใหญ่ไม่ใชเ่ ฉพาะกลุ่มใดกลมุ่ หนงึ่ อาจมีลกั ษณะเปนขอเสนอแนะ ๒) ความสมเหตุสมผล ความคิดเห็นท่ีดีต้องมีความสมเหตุสมผล มีข้อสนับสนุนที่มี ขอสันนษิ ฐาน รวมถงึ การประเมนิ คา ) ความน่าเชื่อถือเป็นท่ียอมรับของบุคคลทั่วไป กรณีตัวอย่างที่น�ามาอ้างต้องเป็นตัวแทนของกรณี • นักเรียนคดิ วา ในการแสดงความคดิ เห็น ทัง้ หมดได้อยา่ งแท้จรงิ ควรคํานงึ ถงึ ประเด็นใดบาง อยางไร ๓) ความเหมาะสมกับผู้รับสารและกาลเทศะ โดยปกติแล้วการแสดงความคิดเห็น (แนวตอบ เปนตนวา มคี วามสมเหตสุ มผล จะตอ้ งเขยี นเพอื่ ใหบ้ คุ คล หรอื ชมุ ชนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ อา่ น บางเรอื่ งอาจนา� เสนอแกส่ าธารณชนได ้ นา เชือ่ ถือ เหมาะกบั ผูรับสาร) แต่บางเร่ืองก็ไม่ควรแสดงต่อบุคคลทั่วไป ผู้เขียนจึงต้องพิจารณาสารดังกล่าวเพื่อน�าเสนอ ได้ถกู ต้องเหมาะกับกาลเทศะ 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ๔) การใชภ้ าษา ภาษาทใี่ ชต้ อ้ งชดั เจนตรงตามความตอ้ งการ เหมาะสม ไมก่ ระทบกระเทยี บ หรอื ทา� ให้ผู้ฟังตีความไปไดห้ ลายแงม่ มุ 51 ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั โครงสรางของการแสดงเหตุผล ขอ ใดเปนโครงสรา งของการแสดงเหตุผลในขอ ความตอ ไปน้ี ครูควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกบั การแสดงเหตผุ ลจากการอา นสาร ขอ เขาเปนขอทีม่ ีการเคลอ่ื นไหวมาก ตองรบั นา้ํ หนกั ตวั ของเราในกิจวัตร เนอ่ื งจากเปน แนวทางในการใชด ุลยพินจิ ตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางการแกไขปญหา ประจาํ วนั และกจิ กรรมตางๆ ขอ เขามโี อกาสทีจ่ ะเกิดการเสอื่ มไดม ากกวาขอ ในสงั คมประชาธปิ ไตย การแสดงทรรศนะจึงมิใชก ารแตกความสามคั คี อื่นๆ 1. ขอสนบั สนุน ขอ สรุป ขอ สนับสนนุ บเศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง 2. ขอสนบั สนุน ขอสนบั สนุน ขอ สรปุ 3. ขอ สรุป ขอ สนบั สนุน ขอ สรปุ หากมีผูตง้ั คาํ ถาม ถามนกั เรยี นวา “ทาํ ไมตองพอเพยี ง” ใหนกั เรียนแสดงเหตผุ ล 4. ขอ สรปุ ขอ สรุป ขอสนบั สนุน ที่สามารถสรางความกระจางและโนมนาวใหผูถามคลอยตามได ไมต่ํากวา 10 ขอ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เหตุเพราะขอเขา เปน ขอ ท่มี ีการเคลอ่ื นไหว โดยใชว ิธีการสบื คน หรอื แสวงหาความรูจากการอา น เขยี นเหตผุ ลท้งั 10 ขอ ลงใน มาก และตอ งรับนาํ้ หนกั ตวั ของเราในกจิ วตั รประจาํ วนั และกจิ กรรมตางๆ สมุดบันทึกความรู และแสดงหลักฐานการสืบคนดวยบัตรบันทึกขอมูล พรอมระบุ เปน ขอ สนบั สนนุ สว นขอ สรปุ ความวา ขอ เขา มีโอกาสที่จะเกิดการเส่ือมได แหลงอา งองิ มากกวา ขออ่ืนๆ คูมอื ครู 51

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นกั เรยี นศึกษาบทความเรื่อง วยั รนุ กับความ ตวั อย่าง การอา่ นเพอ่ื แสดงความคดิ เห็น รนุ แรง หนา 52 และศกึ ษาบทความแสดงความ คิดเหน็ เรอื่ ง วยั รุน กบั ความรนุ แรง หนา 53 วัยรนุ่ กับความรนุ แรง กําหนดเวลาอานบทความละ 5 นาที นับจากต้นปีท่ีผ่านมา จะมีข่าวท่ีวัยรุ่นก่อความรุนแรงมากมาย เช่น ข่าวท่ีวัยรุ่นใช้ปืนยิงเพื่อน อธบิ ายความรู Explain นักเรียนเสียชีวิต ยกพวกตีกันระหว่างสถาบัน และล่าสุด คือ เมื่องานคอนเสิร์ตทรัพย์สินทางปัญญา ได้มีวัยรุ่นประมาณ ๑,๐๐๐ คน ยกพวกตีกันจนท�าให้มีผู้เสียชีวิต ๒ ราย ปัญหาเหล่านี้ จัดว่าเป็น 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถามจากบทความเรื่อง ปัญหาทางสังคม ทน่ี บั วนั ได้มีแนวโน้มทแ่ี สดงออกถงึ การทวีความรนุ แรงข้ึนเรอ่ื ยๆ วัยรนุ กับความรุนแรง ดังตอ ไปน้ี “วัยรุ่น” เป็นวัยท่ีผู้คนมักเรียกกันว่า “วัยหัวเล้ียวหัวต่อ” เพราะวัยนี้พยายามที่จะค้นหาความ • บทความเรอ่ื ง วยั รุนกับความรุนแรง มเี น้ือหา เข้าใจในตนเอง ย่ิงในโลกปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การติดต่อส่ือสารท�าได้อย่าง กลา วถงึ ประเดน็ ใดบา ง รวดเรว็ สง่ ผลให้โลกทัศนข์ องวยั ร่นุ กวา้ งข้ึน บางคนก็ค้นพบตนเองในทางทถ่ี ูกต้อง แตบ่ างคนหนั เหไป (แนวตอบ เปน ตน วา นาํ เสนอความรนุ แรงของ ในทางที่ผิด ท�าใหเ้ ป็นบอ่ เกดิ ของปัญหาทีเ่ ราเหน็ ในปจั จุบัน วยั รนุ ทีป่ รากฏในส่ือตางๆ พรอมช้ใี หเ หน็ วา ถ้าวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ของความรุนแรงท่ีเกิดข้ึนกับวัยรุ่นในขณะนี้ คิดว่าคงจะมีสาเหตุ สาเหตสุ าํ คัญของปญ หาเรม่ิ ตนจากครอบครัว มาจากหลายๆ ดา้ น ทงั้ การเปลยี่ นแปลงดา้ นอารมณข์ องวยั รนุ่ สภาพครอบครวั สภาพสงั คมตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ และเสนอแนะแนวทางการแกปญ หา) ตัวหล่อหลอมพฤติกรรมของวัยรุ่นผ่านสื่อต่างๆ ท้ังภาพยนตร์ วิดีโอ เกม ท่ีล้วนมีผลต่อความรุนแรง • ผเู ขยี นบทความมีจดุ มุงหมายอยางไร เขา้ ไปอยู่ในจติ ใตส้ า� นกึ โดยที่เขาเองก็ไมร่ ตู้ วั (แนวตอบ เสนอแนวทางการแกป ญ หาการใช ส่ิงส�าคัญที่สุดที่จะบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของวัยรุ่น คือ ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่มี ความรนุ แรงของวัยรนุ ) อิทธิพลส�าคัญท่ีสุดในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของวัยรุ่น ครอบครัวจะเป็นหน่วยพ้ืนฐานที่คอย • บทความดงั กลา วมีกลวิธกี ารใชภาษาอยางไร เสริมสร้างประสบการณ์ของเด็กเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวจะยุ่งยาก (แนวตอบ ลําดับเร่ืองราวไดด ี โดยชีใ้ หเห็นท่มี า สลับซับซ้อนมากขึ้น และมักจะเกิดปัญหาขัดแย้งกันเสมอ อาจสังเกตได้ง่ายว่าวัยรุ่นเร่ิมมีความรู้สึก และความสาํ คัญของปญ หา ยกขอเทจ็ จริง อยากเป็นอสิ ระ ไมอ่ ยากให้ใครมาบังคับ และตอ้ งการเป็นตวั ของตวั เอง ดงั นน้ั ส่วนสา� คัญท่สี ดุ คือ พอ่ สนับสนนุ และเนน ย้ําดวยขอสรปุ พรอม แม่ ต้องเป็นแบบอย่างท่ีดีให้ลูก ควรให้ค�าปรึกษา เข้าใจในชีวิตของเด็กวัยนี้ ไม่ขัดขวาง ห้ามในสิ่งท่ี ขอเสนอแนะอยางชดั เจน) เขาตอ้ งการค้นหา แต่ควรให้คา� ปรึกษาทด่ี เี พราะเดก็ วยั นยี้ ่งิ ห้ามกเ็ หมือนยิ่งยุ • นกั เรียนเห็นดว ยกับเนอ้ื หาในบทความหรือไม โดยท่ัวไปแล้วเด็กวัยรุ่นมักจะเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่เสมอ ท�าให้หันเหชีวิตไปหาเพ่ือน เป็น อยา งไร ส่วนใหญ่ กลุ่มเพ่ือนจึงเป็นส่ิงแวดล้อมที่วัยรุ่นให้ความส�าคัญเหนืออื่นใด จึงเกิดการเกาะติดความเป็น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พรรค เป็นพวก สืบเน่ืองไปจนถึงความเป็นสถาบัน และยึดถือปฏิบัติกฎเกณฑ์ท่ีรุ่นพ่ีในสถาบันตั้งขึ้น ไดอ ยา งหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตผุ ลของ เราจงึ เห็นกลุ่มวยั รนุ่ ตา่ งสถาบนั ยกพวกตีกนั มาตั้งแต่สมยั รุ่นปู ่ รนุ่ พอ่ สืบมาจนถึงรุ่นปัจจบุ ัน นกั เรยี น) จากสาเหตุท่ีท�าให้วัยรุ่นใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา ท�าให้เราเห็นว่าครอบครัวน่าจะเป็น จุดเร่ิมต้นท่ีดีท่ีสุด ในการปลูกฝังอบรมเด็ก สร้างบุคลิกภาพที่ดีให้แก่เด็กเมื่อเขาโตข้ึนและย่างเข้าสู่ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ครูสุม วัยรุ่น พ่อ แม่ ต้องเป็นส่วนส�าคัญในการช้ีแนวทางการด�าเนินชีวิต การแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีท่ี นักเรยี น 4-5 คน ออกมานําเสนอหนา ชัน้ เรยี น ถูกต้อง และต้องเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของวัยรุ่น ไม่ดุด่า หรือปล่อยจนเกินไป เพราะสาเหตุเหล่านี้ ในแตละประเดน็ จะท�าให้วัยรุ่นกลายเป็นคนท่ีก้าวร้าว และตีตัวออกห่างจากครอบครัว ไปม่ัวสุมกับเพ่ือนๆ และเลือก เดนิ ในแนวทางทผี่ ดิ จนกลายเปน็ ปัญหาของสังคมอยา่ งทปี่ รากฏในปจั จบุ ัน (สุชญั ญา วงคเ์ วสช์ : นติ ยสารเพ่ือนวัยรนุ่ ) 52 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกับการใชเ หตผุ ลในการแสดงความคิดเห็น ครคู วรเพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขาใจเก่ียวกบั การอานเพ่อื การแสดงความคดิ เห็น ขอ ใดมกี ารใชเหตผุ ล ครคู วรเนน ใหนกั เรยี นวเิ คราะหค วามรคู วามเขาใจจากการอา นบทความ โดยใชว ิธี 1. การแพทยแผนไทยมรี ากฐานมาจากความพอดี หรอื ความสมดุลของ การอานแบบวเิ คราะห โดยอานอยา งพนิ ิจพจิ ารณาใครค รวญสว นประกอบของการ ชวี ติ ท้ังดา นการกินอาหารและการขบั ถาย อานอยางละเอยี ด และนกั เรียนมีแนวทางการพัฒนาทักษะการอา น ดังตอ ไปนี้ 2. ชีวิตคนไทยยงั คงผูกพนั กบั สมนุ ไพรและใชกนั อยใู นชีวิตประจําวัน 1. พิจารณารปู แบบของเรื่องท่อี า นหรืองานเขยี น เปน การพิจารณารปู แบบลักษณะ ตรงตามตาํ ราการแพทยแผนไทย ของงานเขียนวา เปน งานเขียนรอ ยแกว หรือรอยกรอง รวมถึงพิจารณางานเขียนวา 3. ถงึ แมยาสมุนไพรหลายขนานจะใหประโยชนใ นการรักษาโรค แตถ า เปน งานเขียนประเภทใด สารคดหี รอื บนั เทงิ คดี 2. พิจารณาเน้อื หา เปน การอานเพอ่ื ไมจาํ เปน ควรหลกี เลีย่ ง ไมค วรกินพรํ่าเพรอ่ื แยกแยะวา ขอความใดเปนใจความสําคญั ขอ ความใดคือสวนขยาย ขอความใดคือ 4. คนไทยเรยี นรแู ละสบื ทอดการใชพ ืชสมนุ ไพรเปนยาและอาหารจาก ขอ เทจ็ จริง ขอคดิ เหน็ หรือความรูส ึกของผเู ขยี น 3. พิจารณาการนาํ เสนอเน้อื หา ท้งั บรรพบรุ ุษคนเฒา คนแกจ าํ นวนมากมีสขุ ภาพดีและอายยุ ืน การพจิ ารณาการต้ังช่ือเรือ่ ง การนาํ เร่อื ง การดาํ เนินเรื่อง และการปดเรอ่ื งวามีวิธีการ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. คนไทยเรียนรแู ละสืบทอดการใชพืช อยา งไร 4. พิจารณาการใชภาษา เปน การพจิ ารณาระดับภาษา การใชคาํ ประโยค สมนุ ไพรเปน ยาและอาหารจากบรรพบุรษุ เปน การใชเหตผุ ลและเปน ขอ สาํ นวนโวหารและความเปรียบหรอื ภาพพจนเ ปรยี บเทยี บ เพอื่ ส่อื ความหมายท่ีผูเ ขียน สนบั สนุนวาคนเฒา คนแกจาํ นวนมากมีสุขภาพดีและอายุยนื ขอ อ่นื ๆ มเี พยี ง ตอ งการ ขอสรุป 52 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การแสดงความคดิ เห็นเรอ่ื ง วัยร่นุ กับความรนุ แรง นักเรียนรวมกนั ตอบคําถามจากบทความ บทความเรือ่ ง วัยรนุ่ กับความรนุ แรง ของ สุชญั ญา วงค์เวสช ์ ในหนงั สือนติ ยสารเพ่อื น แสดงความคิดเหน็ เรอ่ื ง วัยรนุ กับความรุนแรง ดังตอไปน้ี วัยร่นุ เขยี นขนึ้ เพือ่ ต้องการนา� เสนอปัญหาของวยั รนุ่ ท่ีก่อความรนุ แรงอยู่ในขณะน้ี โดยผ้เู ขียนได้ วิเคราะห์ถึงสาเหตุของสภาพปัญหาท่ีแท้จริงว่าเกิดจากอะไร ซ่ึงสามารถน�าเสนอเร่ืองราวของ • นักเรียนคิดวา ผูเขียนมีความคิดเหน็ ปัญหาได้อย่างรอบด้าน และมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน ท�าให้ผู้อ่านมองเห็นเร่ืองราวได้ตลอด คลอ ยตามบทความเรอ่ื ง วยั รนุ กบั ความรนุ แรง และสอดคล้อง น่าติดตามอ่านจนจบเร่ืองสามารถชักจูงหรือโน้มน้าวให้ผู้อ่านเห็นจุดประสงค์ของ หรือไม อยา งไร ผเู้ ขยี นทต่ี ้องการนา� เสนอใหท้ ราบถึงปญั หาความรุนแรงของวยั รุ่นมาจากจุดใด ท�าใหผ้ ู้อ่านเข้าใจ (แนวตอบ มคี วามคิดเห็นคลอ ยตาม แตเสนอ จุดประสงค์ท่ีผู้เขียนบทความต้องการสื่อถึงผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตรงประเด็นและสอดคล้องกับ แนวทางการแกป ญหาท่แี ตกตา งกัน) เรอ่ื งราวท่นี า� เสนอได้เป็นอยา่ งดี • นักเรยี นเหน็ ดวยกบั บทความแสดงความ บทความนี้เขียนน�าเสนอล�าดับเรื่องราวได้ดี โดยย่อหน้าแรกได้น�าเสนอปัญหาท่ีรุนแรง คิดเห็นเรอ่ื ง วยั รุนกับความรุนแรง หรอื ไม ของวัยรุ่น ซึ่งผู้อ่านได้รับทราบจากข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่น�าเสนอทางวิทยุ โทรทัศน์ และ อยางไร หนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ท�าให้เกิดความรู้สึกร่วมกันกับปัญหานั้นเป็นอย่างดีว่านั่นคือ ข้อเท็จจริงที่ (แนวตอบ นักเรียนตอบไดอยางหลากหลาย เกิดข้ึนกับวัยรุ่นในขณะน้ี และสามารถชักน�าให้ผู้อ่านคล้อยตามไปถึงสาเหตุท่ีแท้จริงนั้นเร่ิมต้น ข้ึนอยูกบั เหตุผลของนักเรยี น) จากครอบครัว ดังข้อความในย่อหน้าท่ีสี่และย่อหน้าท่ีห้าท่ีสนับสนุนให้เห็นอย่างเด่นชัด ช่วยให้ ผู้อ่านมองเห็นประเด็นปญั หาทห่ี ลายคนอาจมองข้ามวา่ เปน็ เร่ืองหยุมหยมิ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ แตเ่ รอ่ื งราว ขยายความเขา ใจ Expand ดังกลา่ วกลบั เป็นปญั หาท่สี ง่ ผลตอ่ การแสดงออกของวยั รุน่ ในลักษณะรุนแรง เน้ือหาที่ผู้เขียนน�าเสนอจึงเป็นส่ิงกระตุ้นเตือนให้รู้จักและเข้าใจวัยรุ่นได้มากข้ึน และ 1. นกั เรียนเขยี นบทวจิ ารณบทความแสดงความ มองเห็นว่าปัญหาความรุนแรงของวัยรุ่นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม หรือไม่ให้ความส�าคัญ คิดเหน็ เรอ่ื ง วยั รุนกับความรนุ แรง ครสู มุ อีกต่อไป หากแต่ควรเข้าใจและเข้าใกล้เขาให้มากที่สุด การแก้ปัญหาของวัยรุ่นจึงต้องแก้ท่ี นักเรยี นออกมานําเสนอหนา ชน้ั เรยี น สาเหตุที่ท�าให้วัยรุ่นก้าวร้าวใช้ความรุนแรงโดยมองไปที่ครอบครัวต้องเป็นผู้เริ่มแก้ปัญหาและได้ มอบภาระน้ีให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันเพราะแม่ไม่ได้มีหน้าท ่ี 2. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอไปนี้ รบั ผดิ ชอบดแู ลทา� งานภายในบา้ นเพยี งอยา่ งเดยี วเหมอื นในอดตี การแกไ้ ขปญั หาของวยั รนุ่ จงึ เปน็ • นกั เรียนคดิ วา การอานเพอื่ การแสดงความ หน้าที่ของทุกคนท่ีเป็นสมาชิกในครอบครัวโดยต้องให้ความร่วมมือในการเอาใจใส่ดูแลวัยรุ่น คิดเห็นมีความสําคัญอยา งไรในระบอบ มากขึ้น เพือ่ ใหป้ ญั หาความรุนแรงเกดิ น้อยลง ประชาธปิ ไตย บทความนี้จึงเป็นบทความที่ให้ทั้งความรู้และข้อคิดจากเรื่องราววัยรุ่นกับความรุนแรงได้ • นกั เรียนคิดวา การแสดงความคดิ เหน็ อย่างน่าสนใจ รวมท้ังการน�าเสนอเร่ืองราวท่ีเรียบง่ายแต่หนักแน่นด้วยข้อมูลท่ีน�ามาประกอบ เปน การสรา งปญ หาความขดั แยงหรอื เปน กับเรื่องราว จึงท�าให้บทความเรื่องนี้มีจุดที่น่าสนใจ และน�าพาผู้อ่านให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง แนวทางการแกปญหาความขัดแยง ตามทีผ่ ู้เขยี นตอ้ งการช้ีให้เห็นถึงการแกป้ ญั หาวยั รนุ่ กับความรนุ แรงไดเ้ ป็นอย่างดี • นกั เรียนคิดวา นกั เรียนควรแสดงความ คิดเหน็ อยา งไร เพอื่ ลดและแกไ ขปญหา ความคิดเหน็ ของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกตา่ งกันตามความร ู้ ทศั นคต ิ ความเชื่อ ความขัดแยง และประสบการณ์ อยา่ งไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถฝกึ ฝนไดโ้ ดยเร่มิ จากการเปน็ นกั อ่าน ทา� ความ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายแสดง เข้าใจหลักการอ่านเพ่ือแสดงความคิดเห็น และคิดพิจารณาอย่างมีเหตุผล ตลอดจนถ่ายทอด ความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั ดว้ ยภาษาท่ีถกู ตอ้ ง เพ่อื ให้ผู้อา่ นสามารถแสดงความคดิ เห็นได้อย่างมคี ุณค่า เหตผุ ลของนกั เรยี น) 53 3. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเกย่ี วกับหลกั การของการแสดงความคดิ เหน็ ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกับการอา นเพอื่ การแสดงความคิดเห็น ครู ขอใดเปน ประเด็นโตแยง ของขอ ความตอไปนี้ ควรเพมิ่ เติมความรูและทัศนคตพิ น้ื ฐานเกย่ี วกับการแสดงทรรศนะหรือความคดิ เหน็ กรมทางหลวงดาํ เนินการขยายถนนเปนเสน ทางเชอื่ มตออทุ ยานแหงชาติ ในสงั คมประชาธปิ ไตย คนเราไมจ ําเปน ตองมคี วามคดิ เห็นหรอื ความพงึ พอใจในเรอ่ื ง หน่ึงเรอื่ งใดเหมือนกัน ความแตกตา งกนั ทางความคดิ ถอื เปนเร่อื งธรรมดา และบคุ คล เขาใหญใชง บประมาณกวา 69 ลานบาท เพอื่ ลดความคบั ค่ังของการจราจรใน ควรจะยอมรบั ความคดิ เหน็ ท่ีแตกตา ง และวิจารณแ สดงความคดิ เห็นในจดุ บกพรอง วนั หยุด แตการตดั ถนนนอกจากจะสงผลกระทบตอ ส่ิงแวดลอ มแลวยงั กระทบ ของสารทน่ี ําเสนอ ทรรศนะของบุคคลยอมมีความแตกตา งกนั ไปตามประสบการณ ตอความเปนมรดกโลกของเขาใหญด ว ย พน้ื เพ ความรู ทศั นคติ คา นิยม รสนิยม ตลอดจนอัธยาศัย และอุดมการณของแตละ บคุ คล ฉะนนั้ กอนการแสดงทรรศนะนักเรียนจงึ ควรทําความเขาใจเนอื้ หาของสาร 1. โครงการขยายถนนท่เี ขาใหญใชง บประมาณคุมคาหรอื ไม โดยการวิเคราะหขอเทจ็ จรงิ คอื ขอมูล เหตกุ ารณ หรอื เรื่องราวท่สี ามารถพสิ ูจน 2. การตัดถนนสง ผลกระทบตอสง่ิ แวดลอมจริงหรอื ไม และระบุเจาะจงลงไปไดอ ยา งชัดเจนโดยไมม อี คติ นอกจากนี้ นกั เรียนควรวเิ คราะห 3. เขาใหญจะไดรบั การพิจารณาเปนมรดกโลกหรือไม ความคดิ เห็นของผูเ ขียน ซึ่งเปน ขอ มูลที่เกดิ จากความรสู ึกนกึ คิด และทรรศนะคติของ 4. การขยายถนนไปเขาใหญควรดําเนินการตอหรือไม บคุ คล การทําความเขาใจสารในบทอานนนั้ ชวยใหผรู ับสารไดขยายโลกทศั นและ มมุ มองตอส่งิ ตางๆ อยางกวางขวาง ทําใหเ กิดแงม ุมทีห่ ลากหลายในการมองสภาพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การขยายถนนไปเขาใหญค วรดําเนินการ แวดลอ มและสังคมมากย่งิ ขน้ึ ตอ ไปหรือไม คือ จุดมงุ หมายของขอความขางตน สวนทกี่ ลา วถึงงบประมาณ คมู ือครู 53 ผลกระทบตอส่งิ แวดลอ ม และการพจิ ารณาเปนมรดกโลกเปนเพียง ขอ สนบั สนุนทีจ่ ะแสดงความเห็นโตแยง วา การขยายถนนไปเขาใหญควร ดาํ เนนิ การตอ ไปหรือไม

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรุปความหมาย และแนวทาง คา� ถามประจ�าหน่วยการเรยี นรู้ การอานเพอ่ื แสดงความคิดเหน็ ในรปู แบบตางๆ ๑. เหตใุ ดจงึ กล่าววา่ “การแสดงความคดิ เห็นเป็นเร่อื งเฉพาะตวั ของผู้อ่าน” จงอธิบาย 2. นักเรยี นสามารถสรุปคณุ สมบตั ขิ องผทู ่สี ามารถ พอสังเขป อา นแสดงความคิดเหน็ ท่ีดไี ด ๒. “การเขยี นเปน็ งานสาธารณะทผ่ี อู้ ่านสามารถแสดงความคิดเห็นหรอื วิจารณ์ได้” 3. นกั เรียนสามารถสรปุ องคป ระกอบในการแสดง นักเรยี นเห็นดว้ ยกบั ขอ้ ความนีห้ รอื ไม ่ เพราะเหตุใด ความคดิ เหน็ และขอควรคํานึงในการแสดง ๓. การแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งไรทแี่ สดงใหเ้ หน็ ว่าเจ้าของความคิดเหน็ เป็นผมู้ ี ความคิดเหน็ ได มารยาทในการแสดงความคิดเหน็ 4. นกั เรียนสามารถสรุปเนอ้ื หาจากเรื่องทอี่ า นได ๔. การอา่ นอยา่ งมหี ลกั การช่วยในการแสดงความคดิ เห็นไดอ้ ย่างไร จงอธิบาย 5. นักเรียนสามารถวเิ คราะหวิจารณ แสดงความ และยกตัวอยา่ งประกอบ คดิ เห็นโตแยง บทความทอ่ี า นได ๕. หากต้องแสดงความคดิ เห็นในสง่ิ ที่ไม่รู ้ นกั เรียนมแี นวทางปฏิบัตอิ ย่างไร 6. นกั เรียนสามารถตอบคาํ ถามจากการอาน งานเขยี นภายในระยะเวลาทกี่ ําหนดได หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรุปความหมาย และแนวทางการ ๑. ให้นกั เรียนอา่ นขา่ วจากหนังสือพมิ พ ์ แล้วร่วมกันแสดงความคดิ เห็นจากขา่ ว อานเพือ่ แสดงความคดิ เห็นในรปู แบบตา งๆ เพื่อฝกึ กระบวนการแสดงความคิดเห็นรว่ มกนั ๒. ให้นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกบั หนงั สอื อ่านนอกเวลา ๑ เรอ่ื ง แล้วรว่ มกัน 2. ความเรยี งสรปุ คุณสมบัติของผูท ส่ี ามารถอาน อภิปรายและสรุปความคดิ เหน็ ตามประเดน็ ที่ได้กา� หนดไว้ แสดงความคดิ เห็นทดี่ ี ๓. ให้นักเรยี นหาบทความแสดงความคดิ เห็นมาศกึ ษาหลักการแสดงความคิดเห็น เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการอ่าน และแสดงความคิดเห็นจากการอา่ นได้อย่างมี 3. ความเรียงสรปุ องคประกอบในการแสดง ความคดิ เห็น และขอควรคาํ นึงในการแสดง ประสิทธภิ าพ ความคดิ เห็น 4. ความเรยี งสรุปเน้ือหาจากเร่อื งทอี่ านได 5. ความเรียงวเิ คราะหวิจารณ แสดงความคดิ เหน็ โตแ ยงบทความทอ่ี านได 6. แบบบนั ทึกคาํ ตอบจากการอานงานเขียนภายใน ระยะเวลาท่กี ําหนด 7. บนั ทึกการตอบคําถามประจําหนวยการเรยี นรู 54 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 1. เน่อื งจากอาจมีผูอานเพยี งคนเดยี วทม่ี คี วามคิดเหน็ เชนนนั้ ผูอา นคนอ่ืนอาจมีความคิดเห็นท่แี ตกตา งกนั ได ขนึ้ อยกู บั ประสบการณ คานิยม ความรู และความเขา ใจ ในสารจากบทอา นที่มคี วามแตกตางกัน 2. เหน็ ดวยกับคํากลาวทีว่ า การเขยี นเปน งานสาธารณะที่ผอู านสามารถแสดงความคดิ เห็นหรอื วจิ ารณไ ด แมว า งานเขยี นหรอื งานสรา งสรรคแตล ะชน้ิ เกิดจากความคิดเห็น เฉพาะบคุ คลของผเู ขียนกต็ าม แตเมือ่ ความคดิ เหน็ ดงั กลา วปรากฏสูสาธารณชน ผูอ านสามารถวิพากษวจิ ารณงานเขียนดว ยความคดิ ประสบการณ และคา นยิ ม ท้ังท่ี เห็นดว ย และไมเหน็ ดวย เพอ่ื สรางความเขาใจงานเขียนไดอ ยางลกึ ซึ้ง แตทั้งนก้ี ารวิจารณประเดน็ ตางๆ ตอ งตั้งอยบู นพื้นฐานของการทาํ ความเขา ใจสารอยางชดั เจน ทสี่ าํ คัญในปจ จุบันมีแนวคิดเรอ่ื งมรณกรรมของผูแ ตง ซ่ึงเปน การลดความสําคัญของอาํ นาจการตคี วามของผูแตง การตีความการอานถอื เปนอํานาจของผอู า น ผูเขยี นไม สามารถผูกขาดการตคี วามเนอ้ื หาไดเพียงผเู ดียวอกี ตอไป 3. การแสดงความคดิ เหน็ อยา งมีมารยาทนน้ั ผูอา นควรนําเสนอสารทม่ี คี ุณคาตอสาธารณชน มีความสมเหตุสมผล นา เชอื่ ถอื เหมาะกับผรู ับสาร และใชภาษาชัดเจนตรงไป ตรงมา นอกจากนี้ ภาษาและเนอ้ื หาทใี่ ชตองมีความเหมาะสมกบั กาลเทศะ 4. การอา นอยา งมหี ลกั การชวยใหนักเรยี นทําความเขาใจเนื้อหาของสารท่ีนักเรียนอา นไดอยางลกึ ซึง้ ตรงประเด็น เขา ใจความหมายท่ีผูอา นตอ งการสือ่ สารทงั้ ความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนัย รวมถงึ เจตนาของผูสง สารไดอกี ดวย นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา งไดอยา งหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผลของนักเรียน 5. นกั เรียนควรสืบคน ขอมูลพนื้ ฐานจากเร่อื งทนี่ กั เรียนตอ งการแสดงความคดิ เหน็ แตหากเปนการแสดงความคดิ เห็นอยางฉับพลัน นักเรียนควรวิเคราะหเ น้อื หาของสารท่ี นกั เรียนอานอยางรอบดา น ท้งั ขอ ดแี ละขอเสยี รวมถงึ ความคดิ เหน็ ของบุคคลอ่ืน เพ่ือประกอบการตดั สินใจในการแสดงความคิดเห็น 54 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ òตอนที่ การเขยี น ครสู นทนาซักถามเกยี่ วกับประสบการณก าร สอื่ สารในชีวิตประจาํ วนั ของนกั เรียน ทงั้ การพดู ปจจุบันการส่ือสารดวยเทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้นในการดําเนินชีวิต และการเขยี น ซง่ึ เปน กระบวนการสงสาร จากนนั้ ครกู ระตนุ ความสนใจดว ยการสนทนาซกั ถาม แตก ารสอื่ สารดว ยวธิ กี ารเขยี นยงั คงมคี วามสาํ คญั และมคี วามจาํ เปน ตอ การทาํ งาน ดงั ตอ ไปนี้ การติดตอส่อื สารท่ัวไป หากผูเขยี นหรอื เรียกอกี นัยหนึ่งวาผูส งสารเขียนไมถูกตอง ใชถอยคําไมเหมาะสม หรือเขียนไมชัดเจน ผิดจุดประสงค อาจทําใหผูอานหรือ • เมอื่ นกั เรียนไดฟง หรืออานเร่ืองราวตา งๆ ผูรับสารเขาใจผิด มีอคติตอสารที่ไดรับ และสงผลใหการสื่อสารไมสัมฤทธิผล นักเรยี นมีวิธกี ารทาํ ความเขาใจเรอ่ื งราว ดงั นนั้ การเขยี นจงึ มคี วามสาํ คญั เปน อยา งมากในการตดิ ตอ สอ่ื สารทาํ ความเขา ใจกนั ตางๆ อยา งไร (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความ คิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย เนอื่ งจากการ จับใจความสาํ คัญจากเรอ่ื งทฟี่ งหรืออานนัน้ ตอ งอาศัยทกั ษะทางความคิดทีส่ ัมพันธก บั กระบวนการส่อื สาร) • นักเรียนคิดวา หากนักเรียนตองการจดจาํ ขอมลู ท่นี กั เรยี นไดอา นหรือไดฟ ง นักเรียน จะมวี ธิ ีการบนั ทกึ ขอ มลู ในลกั ษณะใดบา ง อยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลาย เปน ตน วา การบนั ทึก ขอ มลู ดว ยการเขยี น) • นักเรียนคิดวา หากนกั เรยี นบนั ทึกขอมลู ดว ยการเขยี นจะเกิดผลดีตอตัวนักเรยี น อยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยา งหลากหลาย เปนตนวา การบนั ทกึ ขอ มลู ดว ยการเขยี นสงผลดตี อ ทักษะในการ คดิ การจบั ประเด็นจากการฟงและการพูด และสงผลดีตอ ขอ มูล คอื สามารถจัดเกบ็ ขอมูลไดเ ปน ระยะเวลานาน) เกรด็ แนะครู การเรียนรูในตอนที่ 2 เรื่อง การเขียนน้ี ครผู สู อนควรทบทวนความรูค วามเขา ใจ ของนกั เรยี นเกยี่ วกับทกั ษะการสอื่ สารในชวี ิตประจําวัน ไมว า จะเปน ทักษะการใช ภาษาจากสาระการเรียนรทู ัง้ 5 สาระ ครผู สู อนควรชแ้ี นะนักเรยี นเกย่ี วกับการเขยี น วา การเขียนนอกจากจะเปนการแสดงความรู ความคดิ ความรสู กึ และความตองการ ของผูสง สารออกไปเปนลายลกั ษณอ ักษร เพือ่ ใหผ รู ับสารสามารถอา นใหเ กดิ ความ เขาใจ ทราบความรู ความคิด ความรูส กึ และความตอ งการแลว การใชภาษาไทยใน การเขียนตอ งคํานึงถงึ แบบแผนทางภาษา สํานวนภาษาตองสามารถส่อื สารเน้ือหา ความรคู วามคดิ ไดอ ยางถกู ตอ งเหมาะสมและมคี วามสมบูรณ รวมถงึ ความชดั เจน ของเนอื้ หา ผูท่จี ะสามารถเขียนถายทอดเน้อื หาเรอื่ งราวไดดีนอกจากจะมรี ะบบการ คดิ ทเ่ี ปน ระบบระเบียบ สามารถประมวลผลความรูความคดิ ไดอ ยา งสมบูรณแ ละมี ความชดั เจนแลว ผสู ง สารหรือผเู ขยี นตองเรียนรใู นการวิเคราะหผ รู บั สารวา ผูร ับสาร สามารถรับสารไดม ากนอ ยเพยี งใด และสารหรือเนอื้ หารวมถึงกลวิธกี ารเขยี นนนั้ มี ความสอดคลอ งกบั ผูรบั สารหรือไม อยางไร เพือ่ ใหน กั เรยี นสามารถส่ือสารเนือ้ หาได อยางสมั ฤทธิผล คมู ือครู 55

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรยี นรู 1. บันทึกการศกึ ษาคนควา เพ่อื นาํ ไปพัฒนาตนเอง ตอนที่ ๒ อยางสม่าํ เสมอ 2. มีมารยาทในการเขยี น สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค การเขยี น 1. ใฝเรียนรู คอื การถายทอดความรู ความคดิ 2. มงุ มน่ั ในการทาํ งาน ความรูส ึก จินตนาการ ความตอ งการของ 3. รกั ความเปนไทย ผสู งสารออกมาเปน ลายลกั ษณอ ักษร เพือ่ ให ผูรบั สารสามารถอา นเขาใจตรงตามท่ีผเู ขยี น กระตนุ ความสนใจ Engage ñหนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ตอ งการได การเขียนใหผอู า นเขาใจสารตรงตาม ทผี่ ูเ ขียนตองการไดนั้น ขึน้ อยูกับองคประกอบ ครสู นทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ หลายประการ เชน ประสบการณและสงิ่ แวดลอ มของ • หากนักเรยี นตองการสงสารดวยวิธีการเขยี น ผเู ขยี นกับผอู า น ทักษะทางภาษา ระบบความคดิ นักเรียนคดิ วา ตองอาศัยองคประกอบใด การเขยี นบนั ทกึ ความรู เปน สาํ คัญ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยางหลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของ • บันทึกการศึกษาคน้ คว้าเพอ่ื น�าไปพัฒนาตนเอง • การเขยี นบนั ทึกความรู้จากแหลง่ เรยี นรูท้ ห่ี ลากหลาย นักเรยี น เปน ตน วา นกั เรยี นสามารถกลาวถงึ อยา่ งสม่า� เสมอ (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๗) • มารยาทในการเขียน องคประกอบทงั้ ในดา นสง่ิ แวดลอ มภายนอก รวมถึงประสบการณ ทักษะในการอานและ • มีมารยาทในการเขียน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๘) การฟงขนึ้ อยกู ับประสบการณท างภาษาและ ประสบการณทางความคิดของแตล ะคน) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรนู ้ี ครูผูสอนควรเพมิ่ เติมความรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั การเขยี น บนั ทึกความรวู า การเขยี นบนั ทกึ ความรเู ปนทักษะการใชภาษาทต่ี องอาศัยทัง้ ทักษะการอา น การฟง และการเขียนประกอบกัน ครูผูสอนควรช้ีแนะนักเรียนวา การพัฒนาทกั ษะการเขียนบันทกึ ความรูน้นั ผูเขียนควรเนน การพฒั นาทกั ษะความรู ความเขาใจเกีย่ วกับการจับใจความสาํ คัญทัง้ จากการฟง และการอาน แลว ถายทอด สารนั้นเปนภาษาเขียนที่เรยี บเรียงสามารถสื่อสารเนื้อหาไดอ ยางกระชบั ชัดเจนและ สามารถใหรายละเอยี ดตางๆ ไดอ ยางครอบคลุม ครคู วรช้ีแนะนกั เรยี นเพิ่มเติมวา การเขียนบนั ทกึ ความรทู ่ดี ีนั้น นกั เรยี นควรมี ความตัง้ ใจในการรับสารเปน อันดับแรก สามารถถา ยทอดเนื้อหาของสารไดอยา ง ชัดเจน โดยเรยี บเรียงเน้ือหาไดอยา งถกู ตอ งและสมบรู ณ ถานักเรียนสรุปความ ไมถ กู ตองหรือไมม ีความชัดเจน กจ็ ะสง ผลตอการสอ่ื สารทีม่ คี วามคลาดเคลือ่ น และกอใหเกดิ ความเขาใจทผ่ี ิดพลาด นอกจากนี้ ยงั สงผลใหน กั เรียนนาํ ขอ มูลที่ บนั ทกึ ไปใชผิดพลาดดว ย 56 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. การเขียนบันทกึ ความรู้จากการอา น ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การเขียนบันทึกความรู้จากการอ่าน หมายถึง การเก็บรวบร1วมข้อมูลจา2กแหล่งต่างๆ เพ่ือน�ามาใช้ในการเขียน ผู้อ่านจ�าเป็นต้องมีทักษะการเขียนสรุปความ ถอดความ และคัดลอก • นกั เรียนคิดวา ทกั ษะการเขยี นมคี วามสาํ คญั ข้อความส�าคัญ การมีระบบการบันทึกท่ีดีจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ อยางไร จากการอ่านไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ช่วยให้การจัดระเบียบข้อมูลที่ได้ (แนวตอบ การเขยี นเปน การถา ยทอดความ จากการอ่านเป็นไปอย่างมีระบบ ทั้งยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและจดจ�าข้อมูลเหล่าน้ันได้โดยง่าย คดิ และความรูสกึ ไปสูผอู าน ชว ยใหผ รู บั สาร การบันทึกการอ่านจึงเป็นทักษะที่มีความส�าคัญและจ�าเป็นอย่างย่ิงต่อการเรียน ทั้งน้ีเพราะ สามารถเขา ใจตรงตามทีผ่ เู ขยี นตองการได) การเรียนจะต้องค้นคว้าเอกสารประกอบการเรียนเป็นจ�านวนมาก นอกจากนี้การบันทึกการอ่าน ยงั ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมีสมาธิในการอ่านอีกดว้ ย • นักเรียนคิดวา การเขียนมีความเกย่ี วขอ งกับ กระบวนการคิดอยา งไร อยา่ งไรกต็ าม ผ้อู า่ นต้องเลือกบันทกึ เฉพาะประเด็นสา� คญั ที่ต้องการน�าไปใช้ ดังนน้ั การ (แนวตอบ การคิดเปนขนั้ ตอนทอ่ี ยใู นใจ บนั ทึกความรจู้ ากการอ่าน ผ้อู ่านตอ้ งมคี วามเขา้ ใจเรอื่ งทอี่ า่ นเปน็ อย่างดี และสรา้ งความคดิ ของ แตก ารเขียนเปน ขั้นตอนในการถา ยทอด ตนเองในขณะท่ีเขยี นบันทึกดว้ ย ขอมลู จากความคดิ เปนตัวอกั ษร) ๑) การบนั ทกึ ความรู้จากการอ่าน ตอ้ งมคี วามสามารถในดา้ นต่างๆ ต่อไปนี้ สาํ รวจคน หา Explore ๑. จับใจความส�าคัญของเรอ่ื งได้ ๒. ทราบว่าขอ้ มลู ใดเกี่ยวขอ้ งกับเรือ่ งท่ตี นตอ้ งการศึกษา นกั เรียนสบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั การเขียนบนั ทกึ ๓. มวี ิธกี ารบันทึกท่เี ป็นระบบ ความรจู ากการอา น ไดแก การบันทึกความรูจาก ๔. สามารถเชอ่ื มโยงหัวข้อสา� คัญต่างๆ เขา้ ด้วยกัน แลว้ นา� ข้อมลู เหล่าน้ันไปเขยี นเปน็ การอาน และวธิ ีการบันทึกความรจู ากการอา น ผังความคิด หรือ mind maps ให้เขา้ ใจได้ง่าย อธบิ ายความรู Explain ๕. เขยี นบันทกึ ด้วยถ้อยค�าของตนเอง ๖. บันทึกแหล่งทมี่ าของขอ้ มูลนั้นๆ ได้อยา่ งชดั เจน 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ตอไปน้ี ๒) วธิ กี ารบนั ทึกความรจู้ ากการอา่ น มีดังนี้ • นกั เรยี นคดิ วา หากนักเรียนตองการเขียน ๑. รจู้ กั เลอื กและมวี ธิ กี ารบนั ทกึ ทเี่ ปน็ ระบบ โดยคา� นงึ ถงึ วตั ถปุ ระสงค์ในการอา่ นเสมอวา่ บันทึกความรจู ากการอาน นกั เรยี นควรมี คณุ สมบัตใิ นการอานอยางไร ตอ้ งการอะไรจากการอา่ น กอ่ นจะลงมอื บนั ทกึ ตอ้ งสา� รวจขอ้ เขยี นนนั้ อยา่ งครา่ วๆ กอ่ น โดยพจิ ารณา (แนวตอบ นักเรียนควรมคี วามสามารถใน วา่ อะไรคือประเด็นความคดิ ส�าคัญของเรื่อง เลือกอ่าน และบนั ทกึ เฉพาะส่งิ ท่เี ก่ยี วข้องกบั ประเด็น การอานจับใจความสาํ คญั ของเรอ่ื ง ทราบ ทตี่ อ้ งการศกึ ษา แยกขอ้ เทจ็ จรงิ กบั ขอ้ คดิ เหน็ ในเรอื่ งทอ่ี า่ นออกจากกนั และแยกระหวา่ งขอ้ คดิ เหน็ ขอ มลู ที่ตนศกึ ษา บันทึกขอมลู อยา งเปน ของตนกับสง่ิ ท่ีได้จากการอา่ น พรอ้ มทัง้ ระบุแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ใหช้ ดั เจนทกุ ครัง้ ระบบ เชือ่ มโยงประเด็นสําคญั ได ใชสํานวน ภาษาไดด ีและสามารถเรียบเรียงดว ยภาษา ในการบันทึกควรน�าหัวข้อส�าคัญๆ จากการอ่านมาวางเป็นเค้าโครงของเรื่องโดยท่ี ของตนเองได และระบุแหลง ทมี่ าของขอมูล เค้าโครงนีม้ ีโครงสร้างเช่นเดียวกับขอ้ เขียนท่ีอ่าน แต่ละหัวข้ออาจใชต้ ัวเลข หรอื ตวั อกั ษรในการ จากสื่อสิ่งพิมพต า งๆ ได) เรียงล�าดบั และการจัดหมวดหม่ขู องหัวขอ้ ย่อยต่างๆ เพือ่ ให้เข้าใจงา่ ย นอกจากน้กี ารบนั ทกึ ทีเ่ ปน็ 2. ครูสมุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ 5๗ หนา ชัน้ เรยี น ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’48 ออกเก่ยี วกบั การจับประเด็นสําคญั จากขอความ 1 การเขียนสรุปความ ประเด็นที่ยอ เอาเฉพาะใจความสาํ คญั ของเร่อื งวา ใคร ขอ ใดเปนประเด็นสาํ คัญของขอความตอไปนี้ ทําอะไร ทีไ่ หน เมอื่ ไร อยางไร การเขยี นสรุปความ เปนการจับใจความสําคัญหรือ ขณะนี้สารวัตรนกั เรยี นทที่ างกระทรวงศึกษาธิการแตงตง้ั จากครอู าจารยมี ความคิดสาํ คญั จากเรือ่ งทีอ่ านหรอื ฟง จากนัน้ นํามาเรียบเรียงเปน ขอ เขยี นขนาดส้นั ทก่ี ลาวถงึ ใจความสาํ คญั ของขอความทงั้ หมด การเขยี นสรปุ ความนนั้ ควรจับใจความ อุปสรรคดา นงบประมาณ และกาํ ลงั เจาหนา ทมี่ ีนอ ย สงผลใหนกั เรียนนักเลง สําคัญของเรื่องหรอื คาํ สาํ คัญของเรอ่ื งทอี่ านหรือฟง วา คาํ ใดเปน คาํ สาํ คญั ท่แี สดงถึง ไมเกรงกลวั อีกทง้ั สถานทบ่ี างแหงไมใ หค วามรว มมอื ในการตรวจคน หรือวา ประเดน็ รวมทง้ั หมด หรอื ชใี้ หเห็นภาพรวมท้ังหมดของเรอ่ื ง และปรากฏในเน้อื หาของ กลา วตกั เตอื น จงึ เสนอแผนงานใหพ จิ ารณาดา นงบประมาณจัดอบรมกําลงั การสรุปความดวย วิธกี ารเขียนสรุปความน้ัน นักเรียนควรเร่ิมตน จากการอานหรอื เจา หนาท่ีสารวัตรนกั เรยี นเพ่มิ เติม ฟง เรอื่ งราวแลว จับคาํ สาํ คญั และใจความสําคญั หรอื ความคดิ สําคญั ของเร่ืองได โดย นกั เรยี นสามารถประยุกตห ลักการอา นจบั ใจความสาํ คัญมาประกอบ ถาเร่ืองทีอ่ านมี 1. การเพิม่ กําลังสารวตั รนักเรยี น หลายยอ หนา นกั เรยี นควรพยายามหาใจความสําคัญหรือความคิดสําคัญของแตล ะ 2. การเพมิ่ งบประมาณในการจัดอบรม ยอหนา จากนัน้ เรียบเรียงแลวเขียนสรุปความใหส ัน้ กระชบั และไดใ จความโดย 3. การกวาดลา งนกั เรยี นนักเลง เรียบเรียงเปนภาษาเขยี น 4. การกวดขันใหส ารวัตรนักเรียนดูแลสถานทีต่ างๆ 2 ถอดความ การแปลใหเขา ใจความหมายมากขึ้น เชน การถอดความจาก วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การเพิ่มงบประมาณในการจัดอบรม รอยกรองเปน รอยแกว เปน ตน ประเด็นสําคญั ของขอความขางตนทีย่ กมา คือ จงึ เสนอแผนงานใหพ จิ ารณา ดา นงบประมาณจัดอบรมกาํ ลงั เจา หนา ทสี่ ารวัตรนกั เรยี นเพิม่ เตมิ สอดคลอ ง กบั คาํ ตอบขอ ท่ี 2. คมู ือครู 57

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นจดั กลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกัน ลักษณะของโครงเรื่องถือเป็นประโยชน์หากต้องการเขียนสรุปความจากประเด็นส�าคัญต่างๆ ท่ีได้ แลกเปลี่ยนความคดิ เห็นจากประเดน็ คําถาม จากการอา่ นดว้ ยการใชภ้ าษาของตนเอง ดงั ตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา นักเรยี นมวี ิธีการเขยี นบันทึก ๒. ทราบวตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั ของขอ้ เขยี น กอ่ นลงมอื บนั ทกึ ตอ้ งทราบวตั ถปุ ระสงค์ ความรูจ ากการอา นอยา งไรบา ง และบทบาทหนา้ ทข่ี องขอ้ เขยี นวา่ มคี วามสา� คญั อยา่ งไร ไมว่ า่ จะตอ้ งการบนั ทกึ ขอ้ ความในขอ้ เขยี น (แนวตอบ นักเรียนมีวิธีการบนั ทึกความรจู าก เพยี งบางสว่ นหรอื ทง้ั หมดกต็ าม ท้ังนี้โดยพจิ ารณาสว่ นตา่ งๆ ดังนี้ การอา นได ดังน้ี 1. บันทกึ อยา งเปน ระบบ 2. ทราบวตั ถปุ ระสงคแ ละความสาํ คญั ของ ● พิจารณาช่ือเรอ่ื ง บทคัดยอ่ หรือบทนา� ขอ เขียนนั้น และเขยี นบันทกึ โดยคํานึงถึง ● อา่ นข้อความในย่อหนา้ แรก วตั ถุประสงคใ นการอา น 3. นาํ ลักษณะขอมูล ● ส�ารวจข้อเขียนอย่างคร่าวๆ และสังเกตวิธีการร้อยเรียงองค์ประกอบต่างๆ ของ มาใชในการเขียนบันทกึ ขอ มูล 4. แสดงความ ข้อเขยี น คิดเหน็ ของตนเองขณะบันทกึ สาระสําคัญท่ไี ด ● อา่ นสว่ นท่ีเปน็ ภาพประกอบและคาดเดาวา่ ผู้เขยี นใชเ้ นือ้ หาส่วนน้ันเพ่อื วตั ถุประสงค์ จากการอาน) อะไร การส�ารวจดังกล่าวเป็นการเร่ิมต้นการอ่านที่มีประสิทธิภาพ ทั้งน้ีเพราะจะท�าให้สามารถ • นกั เรยี นคิดวา นกั เรียนมแี นวทางในการ เลอื กอ่านเฉพาะส่วนทเ่ี กี่ยวขอ้ งสัมพันธ์กับสงิ่ ท่ีต้องการอ่าน ซ่ึงจะชว่ ยประหยัดเวลาในการอา่ นได้ ลาํ ดบั เน้ือหาการเขียนบันทึกความรูจากการ เปน็ อย่างดี อานอยางไร ๓. ทราบลกั ษณะการนา� ขอ้ มลู ตา่ งๆ มาใชใ้ นการเขยี น ขอ้ เขยี นเปน็ จา� นวนมากนา� หลกั การ (แนวตอบ มีวิธีการลําดบั เนือ้ หาการเขยี นได สา� คญั ของเรอ่ื งมารอ้ ยเรยี งเขา้ ดว้ ยกนั ในขณะทบ่ี างเรอื่ งมกี ารเรยี งลา� ดบั เนอื้ หาตามความสา� คญั ดังนี้ 1. ลําดับจากอดตี สปู จ จบุ ัน 2. ลําดบั ในการอ่านเพื่อบันทึกข้อมูลผู้อ่านจ�าเป็นต้องทราบว่า ผู้เขียนเรียบเรียงข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกัน จากขั้นตอนหรือเหตุการณ 3. ลําดับจาก ในลักษณะใด ท้ังน้ีเพื่อให้สามารถค้นหาความคิดส�าคัญและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ แนวคิดกวา งไปหาแนวคิดทชี่ เี้ ฉพาะลงไป ในเรอื่ งได้ การเรยี งลา� ดับเนอื้ หาในการเขียนมีหลายลกั ษณะ ดงั น้ี 4. ลาํ ดับจากสวนที่ใหญไปหาสว นทเ่ี ล็ก) ● จากแนวคิดในอดีตมาจนถึงปัจจบุ ัน • นักเรียนคดิ วา การลําดับเน้ือหาในการเขยี น ● เรียงตามลา� ดบั ขน้ั ตอนหรอื เหตุการณ์ มีความสําคัญอยางไร และการลําดบั เนอ้ื หา ● เรียงจากความสา� คัญมากไปหาความส�าคัญน้อย ที่ดสี งผลตอ การส่อื สารผานการเขยี นได ● เรยี งจากแนวคดิ ที่ไมซ่ บั ซอ้ นไปหาแนวคิดท่ีซับซอ้ นมากท่สี ุด อยา งไร ● เรยี งจากแนวคิดกวา้ งๆ ทวั่ ไปไปหาแนวคิดทเ่ี ฉพาะเจาะจง (แนวตอบ มีความสําคญั มาก เนอื่ งจากเปน การ ● เรียงจากส่วนท่ีใหญ่ทีส่ ุดไปหาสว่ นทีเ่ ล็กทีส่ ดุ สอื่ สารขอ มูลไดเ ปน ลําดบั และมีความชัดเจน ● เรียงจากตัวปัญหาไปสกู่ ารแกป้ ัญหา และสะทอ นวิธีการลําดบั ความคดิ ไดอยาง ● เรยี งจากเหตไุ ปหาผล ชดั เจนอีกดว ย) ๔. แสดงความคิดเห็นของตนเองขณะบันทึกสาระส�าคัญที่ได้จากการอ่าน ผู้เขียนต้อง นา� เสนอความคดิ เหน็ ทมี่ คี วามเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งทอี่ า่ น โดยมกี ารบนั ทกึ ใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน 2. ครูสมุ นักเรยี นแตละกลุมออกมานาํ เสนอ ว่าขอ้ ความสว่ นใดคอื ส่วนที่ไดจ้ ากการอา่ นและขอ้ ความส่วนใดเป็นความคิดเห็นของตนเอง หนา ชัน้ เรียน 58 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครผู สู อนควรช้แี จงความจาํ เปน ในการตง้ั จุดประสงคในการเขยี นอยา งชัดเจน นกั เรยี นรวบรวมบทความทีม่ กี ารลาํ ดบั เนื้อหาในลักษณะตา งๆ ทม่ี ี นัน้ จะชวยใหงานเขยี นท่ไี ดออกมาเปนระบบระเบียบ ไมวกวนเย่ินเยอ เขาใจงา ย ความแตกตา งกัน พรอ มระบุวธิ กี ารลาํ ดับเน้ือหา บนั ทึกลงในสมุด และเปน ไปตามลําดับขน้ั ดังนนั้ ครูผสู อนตอ งใหผเู รียนต้งั จุดประสงคของการเขยี น และวางโครงเรื่องในการเขียนทุกคร้ัง โดยครูสามารถจัดกจิ กรรมโดยใหค วามสําคญั กิจกรรมทาทาย กับการวางจุดประสงคและโครงเร่อื งในการเขยี นเพม่ิ ข้นึ นักเรยี นคน ควา บทความใดบทความหนึ่ง จากน้นั นักเรียนเขยี นลาํ ดับ เน้อื หาในรปู แบบทมี่ คี วามแตกตา งกนั 2 รปู แบบ บนั ทกึ ลงในสมดุ 58 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain Explore สาํ รวจคน หา นักเรียนศกึ ษาบทความเร่อื ง ปาพรคุ วนเครง็ ตัวอยา่ ง การบนั ทึกความรูจ้ ากการอ่าน อธบิ ายความรู Explain ป่าพรุควนเครง็ 1. นักเรยี นจดั กลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอ ม ป่าพรุควนเคร็ง เป็นป่าพรุท่ียังเหลืออยู่ไม่ก่ีแห่งแล้วในประเทศไทย ในอดีตเคยเป็นพ้ืนท่ี รวมกนั แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ ชุ่มน�้าผืนใหญ่ที่มีระบบนิเวศน้�าผิวดินเช่ือมติดต่อกับทะเล มีความอุดมสมบูรณ์และเอ้ืออ�านวย คาํ ถาม ดังตอไปนี้ ประโยชนต์ ่อการดา� รงชวี ติ ของมนุษย์และสัตว์ แตก่ ารเปลยี่ นแปลงท่ีผ่านมาในรอบ ๑๐ ปี มี • นกั เรยี นคดิ วา เรอื่ ง ปา พรคุ วนเครง็ กลา วถงึ ไฟป่าเกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองปีละกว่า ๑๐๐ จุด และสถานการณ์ทวีความรุนแรงข้ึนเร่ือยๆ โดย ประเด็นใดเปน สําคญั เฉพาะในปี ๒๕๕๕ มีไฟไหม้ป่าพรมุ าแล้ว กวา่ ๑๖๐ จดุ ท�าให้พื้นท่ปี ่าพรุไดร้ ับความเสียหาย (แนวตอบ กลา วถงึ ความสาํ คญั ของ ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ ไร่ ซ่ึงคาดว่าเป็นฝีมือมนุษย์ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีป่าถูกบุกรุก ปาพรคุ วนเครง็ โดยฝีมอื มนษุ ย์มากขน้ึ จนทา� ใหป้ ่าพรถุ กู ท�าลายเสียหายอยา่ งรวดเรว็ • นกั เรยี นคิดวา ผูแตงเรอ่ื ง ปาพรคุ วนเคร็ง เดมิ นนั้ ปา่ พรมุ คี วามสมั พนั ธต์ อ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ของประชาชนทอี่ าศยั อยรู่ อบๆ พน้ื ทบ่ี รเิ วณ มีวัตถุประสงคใ นการสอ่ื สารอยางไร ป่าพรุเป็นอย่างมาก ป่าพรุควนเคร็งจึงมีสถานะเป็น “ป่าชุมชน” เพ่ือการเลี้ยงชีพ ชาวบ้าน (แนวตอบ เพอ่ื ชนี้ ําใหเ ห็นความสําคญั ของ ได้เข้าไปเก็บของป่า หาต้นกระจูด กก ปรือ ย่านลิเภา เพ่ือน�าไปแปรรูปเป็นเส่ือ กระสอบ ปา พรุควนเคร็งและรวมกันอนรุ ักษ) ท�าเครื่องจักสาน เคร่ืองประดับ มีการเข้าไปหาพืชผัก และของป่ามาเพ่ือการบริโภค เช่น บัว • นักเรียนคดิ วา เรอื่ ง ปา พรุควนเครง็ เปน ผกั กูด ลา� เทง็ ยอดพชื ชนิดต่างๆ มกี ารจบั สตั วน์ า้� ด้วยเคร่ืองมอื ท่ที �าขน้ึ เอง เชน่ ไซ ลนั ส่มุ เบ็ด งานเขียนประเภทใด เพื่อนา� ไปบรโิ ภคกันในครวั เรอื น หากจบั ไดเ้ ป็นจ�านวนมากกม็ ีการแบ่งปนั แจกจ่าย หรือขายออก (แนวตอบ บทความ) ใหแ้ ก่เพอ่ื นบา้ น หรืออาจแปรรปู เพอ่ื การบริโภคในโอกาสตอ่ ๆ ไป แตห่ ลังจากที่ปา่ พรถุ กู ท�าลาย • นกั เรียนไดขอ คดิ ใดบางจากบทความเรื่อง ก็สง่ ผลให้รายไดข้ องคนในพน้ื ทลี่ ดลงตามไปด้วย ปาพรคุ วนเครง็ ในรอบ ๑๐ ปีท่ีผ่านมา ยังมีการเปล่ียนแปลงท่ีส�าคัญอีกนั่นคือ การสร้างที่ขวางทางน�้า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น แม้ว่าเป็นการป้องกันการรุกล้�าของน้�าเค็มท่ีจะเข้ามาท�าลายพ้ืนที่การเกษตรได้อย่างมี ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูก บั เหตุผลของ ประสิทธิภาพ แต่ก็ท�าให้พ้ืนท่ีป่าพรุถูกท�าลายเช่นกันและยังมีปัญหาระดับน้�าลดลงจากการขุด นกั เรยี น คลองชลประทานต่างๆ ท่ีเปน็ การเรง่ ใหน้ า�้ ในป่าพรุระบายออกไปเรว็ ขนึ้ สง่ ผลใหป้ ่าพรเุ สียหาย จากการท่ีป่าพรุเสียหายจากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะส่งผลให้ประชาชน 2. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ มีรายได้ลดลงแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าด้วย โดยท�าให้นกป่าใกล้สูญพันธ์ุและแหล่ง หนา ชน้ั เรยี น เพาะพนั ธส์ุ ตั วน์ า�้ ลดลง อยา่ งเชน่ ปลาดกุ ลา� พนั ทเ่ี คยมอี ยใู่ นปา่ พรเุ ปน็ จา� นวนมาก แตป่ จั จบุ นั นี้ ไดส้ ญู พนั ธไ์ุ ปแลว้ อกี ทงั้ การทป่ี า่ พรเุ ปน็ แกม้ ลงิ เปน็ แหลง่ บา� บดั นา้� เสยี กอ่ นปลอ่ ยลงสทู่ ะเล ดงั นนั้ ความเสยี หายของป่าพรุจึงทา� ใหแ้ หลง่ เกบ็ กักนา้� และบ�าบดั น้า� เสยี ลดลงด้วย สง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มาทง้ั หมดนนั้ หากไมม่ กี ารควบคมุ ทดี่ พี อในเรอ่ื งการบกุ รกุ เขา้ ใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ ในพ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีการฟื้นฟูด้วยการสร้างจิตส�านึกให้แก่ประชาชนทุกระดับสาขา 59 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’49 ออกเก่ยี วกบั การใชภ าษาในการเขยี นเรยี บเรยี ง ครูผูสอนควรช้แี นะนกั เรียนเกยี่ วกับการรบั สารจากการอานและการฟงวา ผูอา น ขอ ความตอ ไปนใี้ ชวธิ กี ารเขียนตามขอ ใด หรือผูฟงควรจบั ประเด็นและสรุปความจากเร่ืองหรอื ขอความท่ีไดอานหรือฟง ถา เรารจู ักเทคโนโลยคี น หาความรู จัดการขอมูลไดท กุ เวลา ก็สรางมูลคา นอกเหนือไปจากคําสําคญั แลว นกั เรยี นควรจับประเดน็ สําคญั หรือความคิดสาํ คญั ของเร่อื ง (main idea) ซึ่งประเด็นสําคัญนี้จะชว ยใหผอู า นสามารถสรุปเน้อื หาจาก เพ่ิมใหต ัวเองได การอานหรือการฟงไดอ ยางถูกตองเหมาะสม ซ่ึงเปน หลกั การสาํ คญั ในการเขียน 1. เปรยี บเทียบขอ ดีขอเสีย สรปุ ความ ฉะนัน้ เมอ่ื นักเรยี นอานเร่อื งเดียวกันแลวมีความเขา ใจแตกตางกนั จะ 2. ใชภาษาเราใจ ทําใหก ารสรปุ ความแตกตางกันไปดว ย 3. ใชเ หตผุ ล 4. อา งอิงหลักฐาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. ใชเหตผุ ล เนอื่ งจากขอ ความท่ยี กมาขา งตน มกี ารใชส ันธานเช่ือมแสดงความเปน เหตเุ ปน ผลท่ีคลอยตามกัน คอื ใชค ําวา ถา...ก็ คมู ือครู 59

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรยี นนาํ องคค วามรทู ไี่ ดจ ากกจิ กรรมการอา น อาชีพใหรูสึกหวงแหนและรวมมือกันอนุรักษพ้ืนท่ีปาพรุควนเคร็ง อาทิเชน ลดการเผาปาลง เรื่อง ปาพรุควนเคร็ง มาเขยี นบันทกึ ความรจู าก รวมกันปลูกปาตนนํ้า เคารพกฎหมายอยางเครงครัดและรัฐเอาจริงเอาจังในเร่ืองการถือครอง การอานดว ยสํานวนภาษาของนกั เรียน โดยครู ที่ดนิ เปน ตน กย็ ากทีจ่ ะทําใหป าพรคุ ืนความอดุ มสมบูรณกลบั คนื มาดงั เดมิ ได ยดึ รปู แบบการเขยี นตามทปี่ รากฏในหนงั สอื เรยี น หนา 60 ตัวอยา ง การบันทกึ ความรูจากการอา น แหลงการอา น หอ งสมดุ โรงเรยี น 2. ครูสมุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมานําเสนอ ชอื่ หนังสือทอ่ี า น GAT on Demand หนาชนั้ เรียน ชื่อเรือ่ ง ปา พรุควนเครง็ ผแู ตง ไมป รากฏชอ่ื 3. นักเรยี นคดั เลือกงานเขยี นประเภทบทความ ความรูท ่ไี ดจากการอา น ทน่ี กั เรียนประทับใจ จากส่อื สิง่ พมิ พประเภท ปาพรุควนเคร็ง เปนปาพรุท่ียังเหลืออยูไมกี่แหงในประเทศไทย ปาพรุมีความ ตา งๆ รวมถึงสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส จากนนั้ นกั เรียน สัมพันธตอการดําเนินชีวิตของประชาชนท่ีอาศัยอยูรอบๆ เปนแหลงอาหารและการหาเล้ียงชีพ เขียนบันทกึ ความรูจากการอาน โดยพิจารณา แตเนื่องจากปาถูกบุกรุกโดยฝมือมนุษยมากข้ึน สงผลใหประชาชนมีรายไดลดลงและสงผล รปู แบบจากหนังสอื เรียนหนา 60 พรอ มสรปุ ขอมูลในรูปผงั มโนทศั นประกอบการอธบิ าย ตรวจสอบผล Evaluate กระทบตอสตั วป า เชน นกปาใกลส ญู พนั ธุ แหลง เพาะพนั ธุสตั วน ้าํ ลดลง รวมถงึ แหลงเกบ็ กักน้าํ และบําบัดน้ําเสียลดลงดวย หากมีการควบคุมในเร่ืองการบุกรุกปา จะชวยใหปาพรุคืนความ 1. นกั เรยี นสามารถสรุปแนวทางการเขยี นบนั ทึก อดุ มสมบรู ณไดด งั เดิม ความรูจากการอา นได นอกจากน้ผี ูบนั ทึกยงั สามารถสรุปความรูเ ปนแผนผังมโนทัศนไ ด เชน 2. นกั เรียนสามารถเขียนบนั ทึกความรูจากการ ออกปกลฎูกหจิตมสาํายนึก แนวทางแกไ ข ประโยชน แหลแงอหาลหงาอราชีพ อา นงานเขยี นประเภทตางๆ ได ลดการเผาปนนา้ํา บําบเกัด็บน้ํากักน้ํา เสีย ขวางทางน้ําง ักกเก็บ ํน้า ป ูลกปา ต 3. นกั เรียนสามารถยกตัวอยางบทความท่นี กั เรยี น ขุดคลองชลประทาน ประทับใจจากส่ือประเภทตางๆ ทง้ั สื่อส่ิงพิมพ ํจานว และสื่ออิเล็กทรอนิกส พรอ มเขียนบันทกึ ความรู ตุก จากการอา นบทความประเภทตางๆ ได ป ระชาชนขาดรายได น ปาพรุควนเครง็ สาเห ารลดจาํ นวน ไฟปา สตั วป า สญู พนั ธุ ผลของการลด ส่ิงกอสรากงาทรี่ บุกรุก ไมม แี หล ๖๐ เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครเู พิม่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเก่ียวกับการเขียนแผนผงั มโนทัศน (Mind maps) นกั เรียนคนควา บทความเร่ืองใดเรอ่ื งหนง่ึ จากนั้นนักเรยี นเขียน เปน เทคนคิ การจดบนั ทกึ โดยใชส มองทง้ั สองซกี พัฒนาข้ึนโดย โทนี บซู าน ซ่งึ เปน ผังมโนทัศนจากบทความ บนั ทึกลงในสมุด นกั จิตวทิ ยาชาวอังกฤษ หลกั การพนื้ ฐานของผงั มโนทศั น คอื การใชภาพ สัญลกั ษณ คําหรือวลีสั้นๆ สสี ันทม่ี คี วามหลากหลายและโครงสรางทม่ี คี วามหลากหลายกระจาย กิจกรรมทา ทาย ออกจากศนู ยก ลาง เพื่อแสดงความคิดทีส่ ัมพันธกนั และแสดงความความสัมพันธท ี่ ลดหล่ันกนั ไปตามลาํ ดบั แผนผงั ความคดิ ทเ่ี กิดจากการถา ยทอดความคดิ หรอื ขอ มลู นักเรียนนําผงั มโนทัศนเ รอื่ งใดเรอื่ งหนึง่ มาแลกเปล่ียนกนั จากนน้ั ตา งๆ โดยการใชภ าพ สี เสน และการโยงใยแทนการจดบนั ทกึ ทั่วไป เพอ่ื แสดงการ นักเรียนเขยี นขยายความจากผังมโนทัศนทีแ่ ลกเปลย่ี นกบั เพือ่ นของนกั เรยี น เชอ่ื มโยงของขอมลู ตางๆ ซง่ึ งา ยแกการเขาใจและจดจํา บนั ทึกลงในสมดุ หลกั การเขยี นแผนผังมโนทศั นใหม ปี ระสทิ ธิภาพ มีรายละเอยี ด ดงั น้ี แผนผัง มโนทัศนเปนการนําความคิดความเขา ใจทไี่ ดจ ากการสังเกต การอา น การวเิ คราะห และนํามาจัดกลมุ หรอื ประเภทขอมลู ไวด ว ยกนั โดยอาศัยคณุ ลักษณะรวมกันเปน เกณฑ เพอื่ แสดงความสมั พันธอยางมีระบบเปนลําดบั ขนั้ ตอน 60 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การเขยี นบนั ทึกความรจู้ ากการฟงั ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปน้ี • นักเรียนคิดวา ในชีวิตประจาํ วนั ของนกั เรียน นกั เรยี นมีวธิ ีการรบั สารดว ยวธิ กี ารใดมาก มนุษย์อาศัยการฟังเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ต้ังแต่การฟังและเลียนเสียงพูดของพ่อแม่ ทีส่ ดุ ในวัยเด็ก จนถึงการฟังในกระบวนการส่ือสารท่ีซับซ้อนข้ึนเม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การฟังช่วยให้ • นกั เรียนคดิ วา นักเรียนมวี ธิ กี ารทําความ การเรียนรู้ของมนุษย์ขยายวงกว้างขวาง ท้ังเพ่ิมเติมและสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยวิธีการอ่านและ เขา ใจขอมูลขาวสารที่มคี วามหลากหลายนี้ อื่นๆ จากการศึกษาปริมาณการฟังของมนุษย์ท่ีใช้แต่ละวัน พบว่ามนุษย์ใช้เวลาไปกับการฟัง อยา งไร มากกวา่ ทกั ษะอื่นๆ • นกั เรียนคิดวา นักเรียนมวี ธิ ีการใดหรอื ไม ทจ่ี ะชว ยใหน ักเรียนสามารถจดจาํ ขอ มลู จาก ๑) ลกั ษณะของการฟงั การฟงั สารมหี ลายลกั ษณะ แตกตา่ งกนั ไปตามการฝกึ ฝนของแตล่ ะ การฟงไดดียิง่ ข้นึ บุคคล ประสิทธิภาพในการฟังของแต่ละบุคคลยังแตกต่างกันอีกด้วย ซ่ึงพิจารณาได้จากลักษณะ (แนวตอบ การรับสารดวยการฟง เชน การ ของการฟงั ดว้ ยความไม่สมคั รใจ การฟังด้วยความสมัครใจ และการฟงั ท่ีเปน็ นิสยั สนทนากับคนใกลช ิดหรือการรับฟงขา วสาร ๑.๑) การฟังด้วยความไม่สมัครใจ เป็นพฤติกรรมการฟังที่มีประสิทธิภาพในระดับ เหตุการณตา งๆ หรือการฟงและดสู ือ่ ซึ่ง น้อย ผูฟ้ ังอาจจะถกู บังคบั ใหฟ้ งั หรือจา� ใจฝนื อารมณฟ์ งั เรอื่ งที่ตนไม่สนใจ ไม่เหน็ คณุ คา่ สาระของ สารที่ฟัง อาจเป็นการฟังเพ่ือรักษามารยาท เช่น เด็กวัยรุ่นฟังพระเทศน์ เด็กวัยรุ่นจะฟังอย่าง ไม่สนใจเพราะถกู บงั คบั หรอื อยู่ในภาวะจา� ยอมท่ีตอ้ งฟัง ลักษณะการฟงั เชน่ นี้ ผูฟ้ งั จะไมต่ งั้ ใจฟัง วธิ ีการจดบนั ทึกจะชวยใหนักเรยี นจดจาํ ไม่มีสมาธิหรอื จิตใจท่ีจะจดจ่อตอ่ สารท่ีฟงั ทา� ให้รับสารได้ไมค่ รบถ้วน เป็นการฟังทบ่ี กพรอ่ ง และ ขอ มูลขา วสารไดมากข้นึ ) ผ้ฟู ังจะเสยี เวลาฟงั ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ ๑.๒) การฟังด้วยความสมัครใจ เป็นการฟังท่ีมีประสิทธิภาพในระดับสูงข้ึน ผู้ฟังถูก สาํ รวจคน หา ชักจูงโนม้ นา้ วใหฟ้ ังด้วยความเต็มใจ มคี วามสนใจท่ีจะรบั สารและเกิดความต้องการที่จะฟงั จิตใจ Explore จดจอ่ ต่อสารที่ฟงั จงึ ได้รบั ประโยชน์จากการฟัง อย่างไรก็ตามประสิทธภิ าพการฟงั จะเพิม่ มากขนึ้ ถ้าผฟู้ งั จดบันทกึ สารทฟ่ี ัง และน�าไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในชวี ิตหรอื ในการทา� งาน นกั เรียนสบื คน ขอ มลู เก่ยี วกบั การเขียนบนั ทึก ความรูจากการฟง ดังนี้ 1. ลกั ษณะของการฟง ๑.๓) การฟังเป็นนิสัย เป็นการฟังที่มีประสิทธิภาพในระดับสูงซ่ึงทุกคนควรพัฒนาให้ 2. การจดบันทกึ ความรูทไ่ี ดจากการฟง เกิดข้นึ จนเป็นนิสยั โดยเรียนรูแ้ ละฝกึ ฝนอย่างสมา่� เสมอ กลา่ วคือฟงั โดยไม่ต้องบังคบั หรอื ฝืนใจฟงั 3. แนวทางการเขียนบนั ทึกความรจู ากการฟง ฟังเป็นกิจวัตร โดยไม่ค�านึงว่าเป็นเรื่องพูดที่ใช้วาทศิลป์ดีเยี่ยม หรือเป็นเร่ืองท่ีเคยฟังมาแล้ว การมีนิสัยชอบติดตามฟังเร่ืองราวข่าวสารต่างๆ อย่างสม่�าเสมอส่งผลให้เป็นคนรอบรู้ ผู้ท่ีมีนิสัย อธบิ ายความรู Explain รักการฟัง แสวงหาโอกาสท่ีจะฟังเป็นนิจ จะทันโลกทันเหตุการณ์ และได้รับประสบการณ์อย่าง นกวสิ า้ัยงพขนื้วาฐงานสทา�ามใาหร้บถคุนค�าลมเาปใช็น้เป“พ็นหปูสระตู โ”1ยชคนอื ์ใเนปกน็ าผรแฟู้ กงั ้ปมญัากหราู้มตา่ากงๆ ได้ดี อาจกลา่ วได้ว่าการฟงั ทเ่ี ปน็ 1. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปน้ี • นกั เรยี นคิดวา ความพรอ มของผฟู ง สง ผลตอ ๒) การบันทึกความรู้จากการฟัง การฟังและการจดบันทึกเป็นของคู่กัน บันทึกคือ วธิ ีการบันทกึ ความเขา ใจดว ยการเขียน ผลของการสื่อสารระหว่างผู้บรรยายกับผู้ฟัง ค�าบรรยายเป็นเสมือนค�าสนทนาของผู้พูดกับผู้ฟัง หรอื ไม อยางไร ผู้สอนกับผู้เรียน ผลการสนทนาจะประสบผลส�าเร็จเพียงใด ดูได้จากบันทึกที่จด หากผู้ฟังหรือ (แนวตอบ ความพรอมดา นอารมณร วมถึง ผู้เขียนเข้าใจเรื่องท่ีฟังได้ดีบันทึกย่อมดี การฟังให้เข้าใจได้ดีนั้นข้ึนอยู่กับองค์ประกอบหลาย ความสนใจตอเน้ือหาของผฟู ง ยอมสงผล ประการ เช่น ความสนใจในเรือ่ งท่บี รรยาย รปู แบบของการบรรยาย ความพรอ้ มของผฟู้ ัง ตอ การเก็บขอมูลเน้ือหาที่ไดจากการฟง ตลอดจนบุคคลท่มี คี วามสนใจตดิ ตามขอ มลู 61 ขาวสารอยางสมา่ํ เสมอยอ มพฒั นาทกั ษะการ ฟง ไดด ยี งิ่ ขึ้น) 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู กอนท่ีจะเขียนบนั ทึกความรจู ากการฟงและการอานน้ัน นักเรียนจะตอง ครเู พม่ิ เตมิ ความรูค วามเขา ใจเก่ยี วกบั สาเหตหุ รือปจ จยั การนาํ มาซึ่งการฟง ปฏิบตั ใิ นขอ ใดกอ น ดวยความไมสมคั รใจอาจเกดิ จากสาเหตุ ดงั ตอไปนี้ 1. ศึกษาขอ มูลเกีย่ วกบั เรื่องทอ่ี า น 1. ไมตรงกบั เพศ วัย อาชีพ สถานภาพ 2. จบั ใจความสําคัญของเรื่องทอ่ี า น 2. อาจจะเปน เร่อื งที่ขดั กับหลักศลี ธรรมจรรยาหรือวฒั นธรรมความเช่อื ดงั้ เดมิ 3. มวี ิธกี ารบนั ทกึ ทีเ่ ปน ระบบ 3. เปน เร่อื งท่ีไมไ ดอยใู นความสนใจ ความใครร ู 4. เขียนบนั ทึกดวยถอ ยคาํ ของตนเอง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. จับใจความสําคัญของเรื่องที่อา น เพราะถือ นักเรียนควรรู เปนการทําความเขาใจเนอ้ื ของเรอ่ื งทฟ่ี ง ถือวา มีความสาํ คญั ยง่ิ ตอการเขยี น 1 พหสู ูต แปลวา การเกิดของปญ ญา พหูสตู มี 5 ระดบั ผูที่เปนพหูสูตจะตอ งทํา บนั ทกึ ความรทู ้ังจากการฟง และการอา น ถงึ 5 ข้ัน ดงั นี้ ข้ันที่ 1 พหูสสุตา แปลวา ฟง มาก ข้นั ท่ี 2 ธตา แปลวาจําได ข้ันที่ 3 วจสาปรจิ ิตา แปลวา ทองใหคลองปาก ข้นั ท่ี 4 มนสานเุ ปกขิตา คอื เพงจนขนึ้ ใจ จนสามารถสรา งภาพพจนข ้นึ ในใจ ขัน้ ท่ี 5 ทิฏฐยิ าสฏิวทิ ธา แปลวา ขบใหแตกดว ย ทฤษฎี คมู ือครู 61

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นรว มกันระดมความคิดดวยการตอบ นอกจากเรอื่ งการฟงั แลว้ ผเู้ รยี นจะตอ้ งรวู้ ธิ กี ารบนั ทกึ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ คอื รแู้ นวทาง คาํ ถาม ตอไปนี้ และวธิ ีการบนั ทกึ • นกั เรยี นคิดวา นักเรยี นมวี ิธีการเขียนบนั ทึก ความรูจากการฟง อยา งไร ๓) แนวทางการบนั ทกึ ความรจู้ ากการฟงั สมดุ บนั ทกึ เปน็ สงิ่ หนงึ่ ทม่ี คี ณุ คา่ ในการเรยี นรู้ (แนวตอบ นักเรียนตองจดบนั ทกึ ใหครอบคลมุ ผบู้ นั ทกึ ควรมแี นวทางการบนั ทกึ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การบนั ทกึ อาจแยกเปน็ การจดบนั ทกึ กบั การ ทกุ ประเดน็ ลาํ ดับความดวยวธิ กี ารเชอื่ มโยง เขียนบันทกึ โดยทัง้ สองลกั ษณะมีวธิ ีการท่ีคลา้ ยคลึงและแตกตา่ งกนั ขอความใหม ีความตอเนอื่ ง และสามารถ ๓.๑) การจดบันทกึ คอื การเขยี นขอ้ ความที่ได้จากการอ่าน ฟงั ดู อย่างยอ่ ๆ เพ่อื ให้ ลาํ ดบั ความคิดไดอยางเปนระบบไมม ีความ รู้เรอื่ งเดมิ สามารถกลบั ไปทบทวน หรอื คน้ ควา้ เพ่มิ เติมได้ภายหลัง โดยมีแนวทาง ดังน้ี สบั สน รวมถงึ ใหความสาํ คญั กับรายละเอยี ด ทน่ี กั เรยี นไมค นุ เคย หลงั จากจดบนั ทึกความรู ๑. พจิ ารณาแหลง่ ขอ้ มลู ผบู้ นั ทกึ ตอ้ งทราบวธิ กี ารเขา้ ถงึ หรอื การคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากการฟง เสร็จในแตล ะประเดน็ นักเรียน ทตี่ นเองตอ้ งการ ทง้ั ดา้ นความถกู ตอ้ ง ความนา่ เชอื่ ถอื ความละเอยี ด และความทนั สมยั ของขอ้ มลู ควรทบทวนความรูจากการจดบนั ทกึ ทันที โดยเฉพาะอยางย่งิ เมื่อจบการฟง โดยใชเวลา ๒. การจดบนั ทกึ จากการฟงั ควรจดบนั ทกึ เฉพาะใจความสา� คญั หรอื ประเดน็ หลกั ส้นั ๆ เพียง 5 นาที เพ่อื ใหส ามารถจดจํา ของเรือ่ ง ไม่ควรจดบนั ทกึ ทกุ เร่อื งทกุ คา� เพราะจะท�าใหไ้ มส่ ามารถจดบันทึกไดท้ ัน ดงั นั้น ผฟู้ ังจงึ เรื่องราวทีไ่ ดฟงและจดบนั ทึกได) ควรฟังและคิดพจิ ารณาใหด้ ีก่อนวา่ เนือ้ ความใดควรจดบันทกึ เมือ่ ฟงั จบแลว้ ก็ควรกลับมาอ่านและ • นักเรียนบอกวธิ กี ารท่ีชวยใหน กั เรียนสามารถ เติมบนั ทกึ จากการฟงั ใหม่ให้ถูกตอ้ งครบถ้วนกอ่ นที่จะลมื จดบนั ทึกไดอยา งรวดเรว็ และสามารถ จดบันทึกไดค รบถวนทกุ ประเดน็ ๓. การจดบันทึกจากการฟัง ผู้ฟังอาจจดเป็นค�าย่อ หรือเคร่ืองหมายแทนได้ (แนวตอบ จดบันทกึ ดว ยภาษาของตนเอง ชวย เพ่ือความรวดเร็ว และควรใช้อยา่ งสม�า่ เสมอจนคนุ้ เคย เชน่ ก.ม. หมายถงึ กฎหมาย ฿ หมายถงึ ในการทําความเขาใจ รวมถงึ ชวยในการจดจาํ บาท (ค่าเงนิ ) เปน็ ต้น หากจดบนั ทึกไมท่ ัน ผู้จดบนั ทึกควรใช้เคร่อื งหมาย ? แทนลงในขอ้ ความ เนอ้ื หาทไี่ ดจากการฟง กําหนดคาํ ยอ ในการ เพือ่ เตอื นความจา� เม่อื ฟงั จบแลว้ อาจสอบถามจากผพู้ ูด หรอื ผฟู้ งั คนอื่นๆ บันทึก ซึ่งคํายอทน่ี กั เรยี นใชใ นการบนั ทึกนั้น จะตอ งเปนระบบเดยี วกัน เพอ่ื ปอ งกันความ ๔. การจดบันทึกจากการฟงั ผูฟ้ งั ควรบนั ทึกรายละเอยี ดตา่ งๆ ให้ครบถว้ น เช่น สับสน เรียงลําดบั เน้อื หา พรอมบันทึกอยางมี รายละเอียดเกีย่ วกบั ผูพ้ ูด สถานท่ีพูด เวลาทพี่ ูดทั้งเวลาเริม่ ตน้ และเวลาจบ เนื้อหาสาระในการพูด เหตุผล ถาจดไมทันควรขามไปกอ น พรอมใส และช่ือผู้จดบันทึก โดยอาจบันทึกลงในบัตรบันทึกข้อมูลที่ท�าจากกระดาษแข็ง หรือกระดาษท่ีมี เครื่องหมายปรัศนี) ความหนาพอสมควร ใหม้ ขี นาด ๓ × ๕ นิว้ , ๔ × ๖ นิ้ว หรอื ๕ × ๗ น้วิ 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ตัวอย่าง รูปแบบการจดบนั ทึกจากการฟงั ผพู้ ดู ............................................................................ เรอื่ ง............................................................................................................ สถานทพี่ ดู ..................................................................................................................................................................................... ท่ีพดู เมื่อวนั ............................................................. เดือน................................................................... ปี................................. เวลาเริ่ม...................................................น. เวลาสิน้ สดุ ...................................................น. รวมเวลา................................ ผจู้ ดบนั ทึก...................................................................................................................................................................................................................... ......................(..เ.น...้ือ...ห....า..ท...บ่ี ...นั ...ท...ึก...)........................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ หมายเหตุ ........................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ 62 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT การจดบนั ทึกจากการฟง ในขอใดมคี วามสําคัญทสี่ ดุ ครเู พม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการวเิ คราะหข อ เทจ็ จรงิ จากเร่ืองที่ฟง 1. จดบนั ทกึ คําพดู ของผูพูดทุกถอยคํา โดยขอ เทจ็ จริง (fact) หมายถึงขอมลู เหตุการณหรือเรอื่ งราวที่สามารถพสิ จู น และ 2. จดบนั ทึกเฉพาะประเด็นสาํ คญั เทานนั้ สามารถระบุไดอ ยางชัดเจนวา เปน เรอื่ งจริงหรอื เทจ็ โดยไมนาํ ทศั นคตสิ วนบุคคล 3. สรปุ ใจความสาํ คัญจากเรอื่ งทฟ่ี ง แลว จดอยางรวดเร็ว เขามาเก่ยี วของ การรบั สารควรใหค วามสําคญั กับความถูกตอ งของขอ เทจ็ จริง 4. จดบันทกึ เฉพาะเรือ่ งทต่ี นสนใจหรอื เขา ใจอยางละเอียด สวนการวิเคราะหขอ คิดเห็น (opinion) เปนขอ มูลจากความรสู กึ นกึ คิด และทัศนคติ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. สรุปใจความสําคัญจากเรื่องทฟี่ ง แลวจด ของบคุ คล ซ่ึงมีความแตกตา งกนั ไป อยางรวดเรว็ เปนการจดบันทกึ ขอมลู จากการฟง ทถ่ี ูกตอ งที่สุด เพราะ ผูจ ดบนั ทกึ ควรสรปุ ประเด็นสําคญั ท่ไี ดจ ากการฟง และจดบนั ทึกจากความ การพจิ ารณาทศั นคติของผรู บั สารนนั้ ชวยใหผูรับสารสามารถขยายโลกทศั น เขา ใจของตนเอง จึงจะไดขอมลู และองคค วามรูครบถวน และมุมมองตอ สิง่ ตางๆ ใหกวางขวางยงิ่ ขึน้ ชวยใหม มี มุ มองทหี่ ลากหลาย นกั เรยี นสามารถนาํ มมุ มองดงั กลาวมาขยายในการพจิ ารณาสภาพสงั คมวฒั นธรรม รวมถงึ ส่ิงทีแ่ วดลอ มรอบๆ ตนเองได 62 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒) การเขียนบันทึก คือ การเขียนบรรยาย พรรณนาเกี่ยวกับประสบการณของ 1. นักเรยี นรวมกันระดมความคิดดว ยการตอบ ผบู นั ทึก เชน บันทกึ ประจาํ วัน หรอื อนุทนิ บนั ทึกการเดนิ ทางทองเท่ยี ว เปน ตน โดยมแี นวทางท่ี คาํ ถาม ตอ ไปน้ี จะชว ยฝก ฝนใหผูเ ขียนมคี วามชํานาญ ดังนี้ • ขอควรคาํ นงึ ในการบนั ทึกความรจู ากการฟง ประกอบดว ยประเด็นใดบา ง อยางไร ๑. ใหความสนใจ ใสใจรายละเอียดกิจวัตรในชีวิตประจําวันของตนเอง รวมถึง (แนวตอบ นกั เรยี นควรคํานึงถงึ เนอื้ หาท่ไี ดร ับ เหตกุ ารณระหวางวนั ท่นี าสนใจ จากการฟง เปน หลัก โดยควรจบั ประเดน็ จากการฟงใหมคี วามครอบคลุม และจับ ๒. ใชความรู ความเขาใจเก่ยี วกบั ยอหนาในการเรยี บเรียง โดยกําหนดแนวคดิ ประเดน็ สําคญั ทน่ี ักเรยี นไดฟงอยางเดน ชดั วาวันน้ีจะเขียนเก่ยี วกับเร่อื งอะไร รวมถึงควรใชภาษาท่มี ีความกระชบั รัดกุม นอกจากนี้ นักเรียนควรมคี วามเขา ใจเนอ้ื หา ๓. เรียงลําดับสิ่งที่เกิดข้ึนตามขอเท็จจริง ความสมเหตุสมผล เพราะการเรียง ท่ีนักเรียนจดบันทกึ ดวยการใชสาํ นวนภาษา ลําดับท่ีดีจะชวยใหผูอานบันทึกติดตามเรื่องตอไปจนจบ ดวยความสนใจใครรู หากบันทึกมี ของตนเอง) มากกวา หนงึ่ ยอ หนา ผเู ขียนจะตองเช่อื มโยงแตล ะยอ หนา ใหสอดคลองกนั 2. นักเรียนรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น ๔. ภาษาท่ีใชใ นการบนั ทกึ ควรเปน ภาษาทเ่ี ขา ใจงา ย สอ่ื ความชดั เจน สอดคลอ ง ตอไปน้ี กลมกลนื เปน ระดบั เดียวกนั • นักเรียนคิดวา หากนกั เรียนสามารถจบั ประเดน็ จากการฟง รวมถึงนกั เรยี นมีทกั ษะ จะเห็นวา การจดบันทึกและการเขยี นบนั ทึกมีความแตกตา งกัน กลา วคือ การจดบนั ทึก ในการจดบนั ทกึ จากการฟงไดดนี น้ั จะสงผล เปน การบนั ทกึ เฉพาะใจความสาํ คญั ของสงิ่ ทไ่ี ดอ า น ไดฟ ง ไดด ู แตก ารเขยี นบนั ทกึ เปน การเขยี นเพอ่ื ตอ ตัวนักเรียนอยา งไร เลาเรื่อง ดังน้ัน ขอความจึงมีลักษณะของการบรรยาย พรรณนาใหเห็นภาพ จึงปรากฏทั้งสิ่ง (แนวตอบ ผูที่มที ักษะในการจดบันทึกจาก ทีเ่ ปนใจความ และรายละเอียดปลีกยอยอน่ื ๆ การฟงไดสมบรู ณหรือสามารถจดบันทกึ ไดครอบคลุมทุกประเดน็ นนั้ มักจะเปนผูท ่ี สอบไดค ะแนนดี เน่ืองจากมีความจาํ ดแี ละ สามารถจับประเดน็ เน้ือหาทเี่ รยี นไดเปน อยา งดี รวมถึงนักเรยี นสามารถนําทกั ษะการ จับประเด็นจากการฟงดังกลาวไปใชใ นชวี ติ ประจําวนั ชวยใหนักเรยี นสามารถทําความ เขา ใจขอ มูลขาวสารทีม่ ีความหลากหลายได เปน อยางดี) 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ▼ การฟง ทด่ี ตี อ งรจู กั สรปุ ใจความสาํ คญั ใหเ ปน และจดบนั ทกึ สงิ่ ทไี่ ดจ ากการฟง ควบคไู ปดว ยเพอ่ื สะดวกในการศกึ ษาคน ควา ภายหลงั ๖๓ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ยี วกบั ประเด็นสําคญั จากขอความ ครเู พิม่ เตมิ ความรูค วามเขาใจเกย่ี วกับทกั ษะการจดบันทึกจากการฟง ในขณะ ผกู ลา วขอความตอไปนเี้ นน เรือ่ งใดเปนสําคัญ ท่ีนกั เรียนรับฟงเน้ือหาหรอื เรื่องราวตา งๆ นั้น นักเรียนไมสามารถทาํ ความเขาใจ “ขอใหพ วกเรามีความเขม แข็งทจ่ี ะกระทาํ เรอ่ื งทส่ี มควรกระทาํ มคี วาม เนอื้ หาสาระตางๆ ไดค รบถวนทุกถอยคํา โดยเฉพาะอยางยง่ิ การฟง เรอื่ งราวทใ่ี ช ระยะเวลายาวนานหลายชว่ั โมง อดทนและเขา ใจเร่ืองทเ่ี ราไมส ามารถเปลีย่ นแปลงได และมีความฉลาดพอท่ี จะแยกแยะไดว า เรื่องใดเราจะทาํ ได หรือเรื่องใดเหนือความสามารถท่เี ราจะ เพือ่ ใหเกดิ ความชดั เจนดา นเนอ้ื หาสาระจากการฟง อยา งครบถวน การจดบนั ทกึ เปลยี่ นแปลงได” จงึ เปน วธิ ีการชว ยจบั ใจความสําคัญจากการฟง ไดเ ปนอยา งดี นอกจากการจดบันทึก จะชว ยเตือนความจาํ แลว การจดบนั ทกึ ยงั ชวยใหน กั เรียนมีสมาธิในเร่ืองที่ฟง และ 1. พลังและความสามารถ เขา ใจเร่อื งราวท่ีมีความเช่ือมโยงกนั จากเร่ืองทร่ี บั ฟง อกี ดว ย 2. ความมงุ ม่ันและสตปิ ญญา 3. เรอื่ งท่ีควรกระทําและไมค วรกระทาํ การจดบนั ทึกน้ันควรบันทกึ ดว ยขอความส้ันๆ เพื่อใหน ักเรียนสามารถจดจํา 4. เรื่องท่ีเปลีย่ นแปลงไดแ ละเปลี่ยนแปลงไมไ ด ประเด็นตา งๆ ได หรืออาจเขยี นเปนตารางหรอื แผนภาพโครงเร่ืองอยางคราวๆ เพอ่ื ใหร วู า สว นใดเปน ประเดน็ ใหญแ ละประเดน็ ยอ ย เมอ่ื ฟง บรรยายจบ ควรนาํ บนั ทกึ ยอ ย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ความมงุ ม่นั และสติปญญา เพราะขอ นม้ี ี มาเรยี บเรียงใหม และเขียนสรุปความอีกครัง้ หนึ่ง เพื่อทบทวนเนื้อหาที่ฟงไป และ สามารถอานทบทวนเนื้อหาไดอ ีกครง้ั เนือ้ หาครอบคลุมขอความทั้งหมดที่กลาวมา สามารถพิจารณาจากขอความ ไดดงั ตอไปน้ี ความมุง ม่ัน จากขอความที่วา “มีความเขมแขง็ ท่ีจะกระทาํ เร่อื ง คูมอื ครู 63 ทีส่ มควรกระทํา มคี วามอดทนและเขา ใจเรื่องท่ีเราไมสามารถเปล่ียนแปลง ได” สวนสติปญญานนั้ สังเกตจากขอ ความที่วา “ความฉลาดพอที่จะแยกแยะ ไดว า เรอื่ งใดเราจะทําได หรือเร่ืองใดเหนอื ความสามารถทีเ่ ราจะเปลยี่ นแปลง ได” ขอที่ 2. จงึ เปนคําตอบทคี่ รอบคลุมเนื้อหามากที่สุด

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นศึกษาบทวทิ ยกุ ระจายเสียงทางสถานี ตวั อยา่ ง การเขยี นบันทึกความร้จู ากการฟงั วทิ ยุ รายการปา สวยนาํ้ ใส เรื่อง วิกฤตสตั วป าเมอื ง ข้อความทอี่ า่ นกระจายเสียงทางสถานีวทิ ยุ รายการปา่ สวยน�้าใส ไทย โดยครูสมุ นกั เรยี น 1 คน ออกมาอา นบทวิทยุ ใหเพอื่ นฟง เรอ่ื ง วิกฤตสัตวป์ ่าเมืองไทย ในขณะที่เวลาผ่านไปทุกๆ หน่ึงนาที โลกของเราจะสูญเสียพ้ืนท่ีป่าไม้เป็นจ�านวนเท่ากับ อธบิ ายความรู Explain สนามฟุตบอลจ�านวน ๓๗ สนาม ถ้าค�านวณแล้วปรากฏว่า ในหนึ่งปีเราจะเสียพ้ืนที่ป่าไม้ เท่ากับพ้ืนท่ีของประเทศลาวและเขมรรวมกัน ในขณะท่ีป่าไม้ถูกท�าลายไป ถิ่นที่อยู่อาศัยของ 1. นักเรียนบนั ทกึ ความรูจ ากการฟงภายในระยะ สัตว์จ�านวนมากก็ถูกท�าลายไปด้วย ส่งผลให้สัตว์ป่าหลายชนิดมีจ�านวนลดลงอย่างน่าวิตก เวลา 10 นาที บางชนิดก็สูญพันธุ์จากโลกนี้ไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนท่ีสุด คือ การสูญพันธุ์ของสมัน ในอดีตเคยพบอย่างชุกชุมในบริเวณพื้นท่ีราบภาคกลางของประเทศไทย แต่ปัจจุบันเราจะ 2. นกั เรียนรวมกันสรปุ ความรคู วามเขาใจดว ยการ พบเห็นเขาท่ีสวยงามของมันอยู่ตามฝาผนังของนักสะสมของหายาก อีกตัวอย่างหน่ึงคือ ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ในระยะเวลา ๑๐๐ ปี ท่ผี ่านมาเราสญู เสยี เสอื โคร่งไปแลว้ ๙๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ของประชากรท่ีเคย • นกั เรียนคดิ วา เร่อื ง วกิ ฤตสัตวปาเมอื งไทย มีอยู่ในอดตี ปัจจุบนั ทั่วท้งั โลกเหลอื เสือโครง่ เพียง ๕,๐๐๐ ตวั นอกจากน้ยี ังมีสัตว์อีกหลายชนดิ ท่ีนกั เรียนไดฟ ง มเี น้ือหากลาวถึงประเด็นใด ทอี่ ยใู่ นข้ันวกิ ฤตเชน่ เดยี วกับเสอื โคร่ง บาง อยางไร (แนวตอบ กลา วถึงปญ หาเก่ยี วกับการสูญพนั ธุ ประเทศไทยก็ประสบปัญหาป่าไม้ถูกท�าลายอย่างหนักในช่วง ๒ ทศวรรษท่ีผ่านมา ของสัตวป าเมอื งไทย โดยแบง เปน 3 ประเดน็ ท�าให้สัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมหลายชนิดมีสถานภาพอยู่ในขั้นวิกฤต หรือใกล้ท่ี คอื 1. ผลกระทบจากการทําลายปา จะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย แต่ก็ยังมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่คิดแสวงหาผลประโยชน์จากมูลค่า 2. การลกั ลอบซือ้ ขายสัตวปา 3. แมทางการ ของสัตว์ป่าท่ีเหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งสามารถท�าก�าไรที่งดงาม เป็นรองเพียงแค่ก�าไรท่ีได้จากการค้า ไทยจะมีวธิ กี ารปองกนั ปญหา แตป ญหา ยาเสพติด ซ่ึงท้ังสองส่ิงนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมท่ีผิดกฎหมายขั้นร้ายแรงของโลกเลยทีเดียว สตั วป าในเมอื งไทยก็ยังคงอยใู นขนั้ วิกฤต) ประเทศไทยของเราก็เคยได้รับบทเรียนจากการลักลอบซ้ือขายสัตว์ป่าของบุคคลท่ีเห็นแก่ตัว • นกั เรยี นคิดวา เรื่อง วกิ ฤตสัตวปาเมืองไทย ดังกล่าวซ่ึงเกือบจะท�าให้ประเทศไทยของเราสูญเสียรายได้จากการค้าขายระหว่างประเทศ มีวัตถปุ ระสงคในการส่ือสารอยา งไร คิดเป็นจ�านวนเงินแล้วนับเป็นพันล้านบาท พูดง่ายขึ้นก็คือ ห้ามประเทศไทยส่งสินค้าออกไป (แนวตอบ ช้ใี หเ หน็ สภาพปญหาซึง่ อยูใ นขั้น จ�าหน่ายยังต่างประเทศ แต่ก็นับว่าโชคดีท่ีประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการค้า วกิ ฤต) ระหว่างประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ท�าให้ประเทศไทยส่ง • นกั เรียนไดข อ คดิ ใดบางจากการฟงเร่อื ง สินค้าออกไปจ�าหน่ายยังต่างประเทศได้ตามปกติ ถึงแม้จะลงนามในอนุสัญญาไปแล้ว การซ้ือ วิกฤตสัตวปา เมอื งไทย ขายสัตว์ป่าภายในประเทศก็ยังไม่ลดลงเลย จากข้อมูลติดตามตรวจสอบและสอดส่องบริเวณ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น พรมแดนของประเทศไทยและประเทศเพ่ือนบ้าน สัตว์ป่าเป็นสินค้าท่ีมีความต้องการอยู่ใน ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยกู บั เหตผุ ลของ ประเทศจีน โดยเฉพาะอวัยวะของสัตว์ป่าที่ชาวเอเชียตะวันออกนิยมรับประทานกันเป็น นกั เรียน เปน ตนวา วิกฤตสัตวปามีสาเหตุ อย่างมาก และมีความต้องการปริมาณสูงมาก ปัญหาสัตว์ป่าลดจ�านวนลงเน่ืองจากถ่ินอาศัย สําคญั จากนา้ํ มอื ของมนุษย ฉะนั้น เราจึงควร ถูกท�าลายและการล่าเพ่ือการซ้ือขายก็เพียงพอแล้วท่ีจะท�าให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์ ส่วนราชการท่ีมี ชวยกันอนุรกั ษ และรวมมือกันหาแนวทางการ แกไ ขปญหา) 64 3. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาช้นั เรียน เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การจบั ประเด็นสําคญั จากขอความ ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเรื่อง การจดบันทกึ จากการฟงนัน้ ครูผสู อน ขอ ใดไมไ ดกลาวถงึ ในขอ ความตอ ไปนี้ ควรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขา ใจเกยี่ วกับการพัฒนาประสทิ ธิภาพการฟง มแี นวทาง ความสามคั คีนน้ั อาจหมายความถึงเหน็ ชอบเหน็ พอ งกันโดยไมแยง กนั การพัฒนาทกั ษะการฟง ดังตอ ไปน้ี ความจรงิ งานทกุ อยางหรือการอยเู ปนสังคมยอ มตอ งมคี วามแยง กัน ความ คดิ ตางกนั ไมเ สยี หาย แตอ ยทู จ่ี ิตใจของเรา ถาเราใชหลักวชิ าและความ 1. การเตรยี มความพรอ มกอ นการฟง เรม่ิ ตนจากการทาํ ความเขา ใจเรือ่ งทีก่ าํ ลงั ปรองดองดว ยการใชปญ ญา การแยง ตา งๆ ยอมเปน ประโยชน จะฟง รวมถงึ นกั เรียนหรอื ผฟู ง ควรเตรียมความพรอมดานการฟงดวย 1. ไมขัดแยงกนั กอใหเกิดความสามคั คี 2. ตามปกติทุกสงั คมยอ มมีความขัดแยง กนั 2. ผฟู ง ควรตง้ั ใจฟงและมีสมาธิจดจอ กับเรอื่ งทฟี่ ง 3. ความขัดแยงอาจเปนประโยชนห ากเรารจู กั แกไ ขดวยปญ ญา 3. การตั้งคําถามจากเรอื่ งทฟ่ี ง ผูฟง ทด่ี ตี อ งเรียนรูในการคดิ วิเคราะหโ ดยใช 4. หลักวชิ าและความปรองดองสามารถแกไขความขัดแยงไดท กุ อยา ง วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. หลักวิชาและความปรองดองสามารถแกไข วิจารณญาณ รวมถึงรจู กั คิดใครค รวญอยางกวา งขวาง ความขัดแยงไดทุกอยาง เปน ขอ ความที่ไมไ ดก ลา วถึง และขอ ความท่ียกมา 4. จับประเดน็ สาํ คัญของเรื่องท่ฟี ง ฝก การลาํ ดับประเด็น เพือ่ เช่อื มโยงเน้อื หา ไมม ีความหมายครอบคลมุ เนื้อหาในขอนี้ โดยขอความทใี่ หม ามีเน้อื ความ ดงั ตอไปน้ี “หลกั วิชาและความปรองดองดวยการใชปญ ญา การแยงตา งๆ และความคดิ จากเรอื่ งท่ฟี งอยา งเปนระบบ ยอ มเปน ประโยชน” 5. จดบันทึกและเรยี บเรยี งเนอื้ หา โดยพยายามทบทวนความรเู ดิมและขยาย ประเด็นความรูท ี่ไดจากการฟง ใหมคี วามชดั เจน 64 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ก�าลังคนเพียงน้อยนิดต่างก็พยายามปราบปรามกันอย่างเต็มท่ี แต่ก็ไม่สามารถปราบปราม 1. นกั เรยี นนาํ องคความรทู ี่ไดจ ากกิจกรรมการ ได้หมดเพราะผู้กระท�าผิดมีมากมายเหลือเกินและท�ากันอย่างลับๆ จะมีก็เพียงแต่พลังมวลชน ฟงวิทยกุ ระจายเสียงทางสถานวี ิทยุ รายการ ทีจ่ ะชวนกนั สอดสอ่ งดแู ลและชว่ ยกันแจง้ เบาะแสให้แกท่ างราชการทราบ ปาสวยน้ําใส เรอื่ ง วิกฤตสตั วป า เมืองไทย มา เขียนบันทึกความรจู ากการอานดวยสํานวน ตวั อย่าง การเขยี นบนั ทกึ ความรู้จากการฟงั ภาษาของนกั เรยี น โดยครูยึดรปู แบบการเขียน ตามทปี่ รากฏในหนังสือเรยี นหนา 60 ชือ่ เรื่อง วิกฤตสัตวป์ ่าเมืองไทย รายการ ป่าสวยน้�าใส 2. ครสู ุมนักเรยี น 1-2 คน ออกมานาํ เสนอ แหลง่ ทม่ี า สถานีวิทยุ ๘๘.๕ เอฟ.เอม็ . มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งใหม่ หนา ชน้ั เรียน วนั พุธท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ น. 3. นกั เรยี นรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอไปนี้ ความรู้ที่ไดจ้ ากการฟงั เรอื่ ง “วิกฤตสัตวป์ า่ เมอื งไทย” (เป็นขอ้ ๆ) • นกั เรยี นคิดวา การเขยี นบันทึกความรจู าก จากบทความทางวทิ ยเุ รอื่ งน้ี ท�าใหไ้ ดค้ วามรู้ดงั ต่อไปน้ี การฟง และการอา นมลี กั ษณะรวมและ ๑. ถ้าป่าไม้ถูกท�าลาย ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์จ�านวนมากจะถูกท�าลายไปด้วย ลักษณะเฉพาะอยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะรว มกันของการเขียนบันทึก ส่งผลให้ส1ัตว์ป่าหลายชนิดมีจ�านวนลดลง บางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น การสูญพันธุ์ ทั้ง 2 ประเภท คอื เปน การเขียนบนั ทกึ จาก กระบวนการรับสารเหมือนกัน สวนสารมี ของสมัน และการสูญเสยี เสอื โคร่ง ซ่งึ ปัจจบุ ันทว่ั ท้ังโลกเหลือเสือโครง่ เพียง ๕,๐๐๐ ตวั ลักษณะเฉพาะแตกตางกัน โดยมวี ธิ ีการ และยงั มีสตั ว์เล้ียงลูกด้วยนมอีกหลายชนิดทอี่ ยใู่ นข้ันวิกฤตและใกลจ้ ะสญู พนั ธุ์ รบั สารดว ยการอา นมีลกั ษณะเปนลายลักษณ อักษร สว นวธิ ีการรบั สารดว ยการฟงสารจะ ๒. การลักลอบซ้ือขายสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ป่าท่ีชาวเอเชียนิยมรับประทานและ มาในรปู ของเสยี ง ซ่ึงอาศัยทกั ษะในการ เปน็ สนิ คา้ ทมี่ คี วามตอ้ งการในประเทศจนี เปน็ อกี ปจั จยั หนงึ่ ทที่ า� ใหส้ ตั วป์ า่ ในประเทศไทย จบั ประเด็นทแี่ ตกตา งกนั ) สญู พ๓ัน.ธป์ุ ระเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว2่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งสัตว์ป่าและ 4. ครูใหนกั เรียนฟงขา วจากสถานีโทรทศั น รายการใดรายการหน่งึ จากน้นั นักเรยี นเขยี น พชื ปา่ ทใี่ กลจ้ ะสญู พนั ธ์ุ หรอื ทรี่ จู้ กั คนุ้ เคยดใี นตวั ยอ่ วา่ ไซเตส (CITES) แตป่ ญั หาการลกั ลอบ บนั ทกึ ความรู โดยพจิ ารณารปู แบบจากหนงั สอื - ซอ้ื ขายสตั วป์ า่ ยงั เปน็ ปญั หาทย่ี ากจะปราบปรามไดห้ มด เนอื่ งจากผกู้ ระทา� ผดิ มจี า� นวนมาก เรยี นหนา 65 พรอ มสรุปขอมูลในรูปแบบของ และทา� กนั อย่างลบั ๆ ผังมโนทศั นประกอบการอธบิ าย การเขียนบันทึกความรู้ เป็นลักษณะของการจับใจความส�าคัญจากเรื่องที่ได้อ่าน ตรวจสอบผล Evaluate ได้ฟัง หรือได้ดู แล้วน�าสาระมาเรียบเรียงด้วยภาษาที่กระชับ สละสลวย และได้ใจความ สามารถที่จะน�าข้อมูลท่ีบันทึกไว้มาทบทวนเพื่อหาความรู้เพ่ิมเติมได้อย่างรวดเร็วในภายหลัง 1. นักเรียนสามารถสรุปแนวทางการเขียนบนั ทกึ นับว่าเป็นการเขียนบันทึกความรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้และเกิดประโยชน์ต่อผู้บันทึกเป็น ความรจู ากการฟงได อยา่ งย่ิง 2. นกั เรยี นสามารถเขยี นบันทกึ ความรจู ากการฟง 65 สอื่ ประเภทตา งๆ ได ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกบั การจับประเดน็ สาํ คญั จากเรอื่ งท่ฟี ง ครูผูส อนฝก ใหผ เู รยี นไดเ ขียนบันทึกความรูจากการฟง เนนการพัฒนาทกั ษะ คณุ สุรชัยบอกลกู คา วา “บางคนบอกผมวาอยากจะตดิ ต้ังแกสเอ็นจวี ี แต ความรูในการจบั ประเด็นรวมถึงการตีความจากเรอื่ งทีฟ่ ง ดวยการใหน ักเรียน เปรยี บเทียบเร่อื งทฟ่ี ง กับเนื้อหาท่ีเพ่ือนของนักเรียนบนั ทึก จากนั้นจึงใหนกั เรยี น กลวั จะมีปญ หาอ่นื ๆ ตามมา ความจรงิ แลวถา รถของคุณไดร ับการติดต้ังดวย อภิปรายแลกเปลีย่ นความคิดเห็นจากความเขาใจของนกั เรยี น อปุ กรณทไี่ ดมาตรฐานโดยคนติดตง้ั ทีเ่ ช่ียวชาญเฉพาะดา นแลว ละก็ รับรอง ไมม ปี ญ หาอ่ืนๆ ตามมา” นักเรยี นควรรู ขอ ใดตรงกบั คํากลาวของคุณสุรชยั 1 สมนั ช่อื สัตวเค้ยี วเออื้ งชนดิ Cervus schomburgki ในวงศ Cervidae ขนาด 1. อยาเพงิ่ กลวั ถายงั ไมไดล องตดิ ตง้ั เลก็ กวากวางปา ขนสนี ํ้าตาล หางส้นั เขาแตกแขนงมากกวา กวางชนดิ อนื่ เปน กวาง 2. ไมมีปญ หา ถา ผเู ช่ยี วชาญติดต้ังใหตามมาตรฐาน ทมี่ ีเขาสวยงามมาก และมีถ่นิ กาํ เนิดเฉพาะในประเทศไทยเทา นั้น เปน สัตวปาสงวน 3. อยาลงั เลใจ เชญิ ติดตง้ั ไดท นั ที ซ่ึงสูญพนั ธแุ ลว หรือเรียกอกี ชื่อหน่ึงวา เน้อื สมนั 4. ไมม ีปญ หา แตตอ งใหเราตดิ ต้งั ให 2 อนุสญั ญา ความตกลงระหวา งประเทศในเรอ่ื งทีส่ ําคัญเฉพาะเรอื่ ง เชน อนสุ ัญญาเจนวี า วา ดว ยการปฏิบัตติ อเหยื่อสงครามอยางมีมนษุ ยธรรม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ไมมีปญหา ถา ผเู ช่ียวชาญติดตง้ั ใหต าม คูมอื ครู 65 มาตรฐาน สอดคลองกับขอ ความที่วา “ไมม ีปญ หา ถาผเู ชีย่ วชาญติดตั้งให ตามมาตรฐาน”

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรุปแนวทางการเขียนบนั ทึก ค�าถามประจา� หนว่ ยการเรยี นรู้ ความรจู ากการอานได ๑. การจบั ใจความของเร่ืองมคี วามสา� คญั ตอ่ การเขียนบนั ทึกความรู้อย่างไร จงอธิบาย 2. นักเรียนสามารถเขียนบนั ทกึ ความรจู ากการอาน ๒. การบันทึกแหลง่ ทีม่ าของข้อมูลมีประโยชน์หรอื ไม่ อย่างไร งานเขยี นประเภทตา งๆ ได ๓. หากตอ้ งการแสดงความคดิ เห็นจากเรือ่ งท่อี ่าน ควรเขียนบนั ทกึ ความรอู้ ย่างไร 3. นกั เรียนสามารถยกตวั อยา งบทความทน่ี กั เรียน จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ ประทบั ใจจากสอ่ื ประเภทตางๆ ท้งั สอ่ื สิ่งพิมพ ๔. การฟงั ที่มีประสทิ ธภิ าพเปน็ การฟังในลกั ษณะใด จงอธบิ ายพอสังเขป และสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส พรอ มเขยี นบันทกึ ความรู ๕. การจดบันทกึ อย่างมีตรรกะ มปี ระโยชน์ตอ่ การบันทึกความร้อู ย่างไร จากการอานบทความประเภทตา งๆ ได 4. นกั เรียนสามารถสรุปแนวทางการเขยี นบันทึก ความรจู ากการฟง ได 5. นกั เรยี นสามารถเขียนบนั ทกึ ความรูจากการฟง ส่อื ประเภทตางๆ ได หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรุปแนวทางการเขียนบนั ทกึ ความรู ๑. ให้นกั เรียนศกึ ษาความรเู้ กย่ี วกับงานเขยี่ นประเภทเร่ืองสัน้ หรือสารคดีทส่ี นใจ จากการอาน แล้วน�ามาสรปุ ความรดู้ ้วยการนา� เสนอในรปู แบบ Mind Map 2. ความเรียงบันทึกความรูจากการอา นงานเขียน ๒. ให้นักเรียนสอบถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชมุ ชนจากผู้ปกครองหรือผ้รู ู้ ประเภทตา งๆ แลว้ นา� มาเรียบเรียงข้อมูลในรูปแบบของแผน่ พบั เผยแพรค่ วามรูใ้ หแ้ กส่ มาชกิ ในชมุ ชน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความภมู ิใจในชุมชน 3. ตวั อยา งบทความทน่ี กั เรียนประทบั ใจจาก สอ่ื ประเภทตา งๆ ทง้ั สือ่ สิง่ พิมพและสื่อ ๓. ให้นกั เรยี นเข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนาของชมุ ชน แลว้ เขยี นบนั ทกึ ความรู้ท่ีได้รบั อิเลก็ ทรอนิกส พรอมความเรยี งบนั ทกึ ความรู และน�ามาแลกเปลยี่ นความร้กู บั เพ่อื นๆ ในชั้นเรียน จากการอา นบทความประเภทตา งๆ 4. ความเรยี งสรปุ แนวทางการเขยี นบนั ทกึ ความรู จากการฟง 5. ความเรียงบนั ทกึ ความรูจากการฟง สอ่ื ประเภท ตา งๆ 6. บันทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรียนรู 66 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. การจับใจความสาํ คัญของเรอ่ื งมคี วามสําคัญตอ การเขียนบนั ทกึ ความรู เพราะการจับใจความสําคัญถอื เปนทกั ษะสําคัญในการทําความเขา ใจเนื้อหาของเรอื่ งท่ีฟงและอาน ชวยใหผ ูอานหรอื ผฟู งสามารถรบั สารไดอยางครบถวน ครอบคลมุ และตรงกบั ท่ีผสู ง สารตองการส่ือ ชว ยใหการเขียนบนั ทกึ มีความชดั เจน 2. การบันทึกแหลงที่มาของขอมูลมีประโยชนคอื ชว ยใหผ จู ดบนั ทึกทราบแหลง ทม่ี าของขอ มูล ชวยใหผ บู ันทึกสามารถจดจาํ แหลง ทม่ี าของขอมูลได สามารถนาํ มาใชใ นการ อางองิ และชวยใหผ บู ันทึกสามารถสบื คนขอ มูลเพ่มิ เตมิ จากแหลง ขอมูลท่บี ันทึกไวได 3. หากนักเรยี นตองการอานเพื่อแสดงความคิดเห็นนกั เรียนควรบนั ทกึ ความรูดวยวธิ ีการจับใจความสาํ คัญ เนนความสมเหตุสมผล แสดงความเชือ่ มโยงและความตอ เน่ืองกัน ของความคิดเห็น โดยนกั เรียนกลาวถงึ ประเดน็ ตา งๆ ดงั น้ี 1. ท่ีมาและความสาํ คัญของขอ เสนอ หรอื ประเด็นท่ีผแู ตงตองการนาํ เสนอ รวมถงึ สาเหตแุ ละปญหา 2. ขอ สนบั สนนุ ขอมูล ขอเท็จจริง หลักการประกอบการพิจารณา เพื่อเพ่ิมความนาเชอื่ ถือ 3. ขอ สรปุ นกั เรียนสามารถยกตวั อยางไดอ ยางหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผล ของนักเรยี น 4. การฟงทม่ี ีประสิทธิภาพ คือ การฟง ดวยความสมัครใจ โดยมีความสนใจเรื่องทฟ่ี ง จงึ ไดร บั ประโยชนจากการฟง สวนการฟง ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ นนั้ คอื การฟง เปนนิสยั ผูท ่รี บั ฟงขา วสารอยางสมํา่ เสมอ สง ผลใหม ีประสบการณใ นการฟงอยา งกวางขวาง จงึ มที กั ษะการฟงท่ีดสี ามารถวเิ คราะหข อมูลจากการฟง ไดอยา งรอบดา น 5. การจดบนั ทกึ อยางมีตรรกะแสดงถึงความเปน เหตเุ ปน ผลของเนอื้ หาที่นักเรียนไดท ําการบนั ทกึ ชว ยใหน ักเรยี นสามารถจดบันทกึ อยา งเปนระบบ และแสดงถึงความสัมพนั ธ ของเนื้อหา ชวยใหนกั เรียนเขาใจเน้ือหาไดเ ปนอยา งดี 66 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ตอนที่ ๒ 1. การเขยี นสอ่ื สารในรปู แบบตางๆ ไดตรงตาม วัตถปุ ระสงค โดยใชภ าษาเรยี บเรยี งถกู ตอ ง มีขอ มูล และสาระสําคัญชัดเจน 2. เขียนเรยี งความ 3. เขยี นยอความจากสื่อทม่ี รี ูปแบบและเน้อื หา หลากหลาย สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี òหน่วยการเรียนรูท้ ่ี กยาอรคเขวียานมเรจียดงหคมวาามย คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค เปนกระบวนการทีต่ องใชทักษะการเขียน 1. ใฝเ รยี นรู เพ่ือการสอ่ื สารทางความคิดท่ีมนษุ ยใ ชอยูเ สมอ 2. มงุ ม่ันในการทาํ งาน ในชวี ิตประจําวัน ทั้งการเขียนเรยี งความ ยอ ความ 3. รักความเปน ไทย และจดหมาย มกี ระบวนการคิดและรูปแบบทแ่ี ตกตา ง ดังน้ัน ผูเขียนตอ งศึกษาทําความเขาใจใหถองแท กระตนุ ความสนใจ Engage จงึ จะทาํ ใหงานเขียนมีคุณภาพและสามารถ สอื่ สารไดตรงตามเจตนา การเขยี นเรยี งความ ยอ ความ จดหมาย ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ดังตอไปน้ี • การเขยี นสือ่ สารในรูปแบบตา่ งๆ ได้ตรงตาม • การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ • นกั เรียนคิดวา หากนกั เรียนตอ งการสือ่ สาร วัตถปุ ระสงค์ โดยใชภ้ าษาเรยี บเรียงถูกตอ้ ง มขี อ้ มูล • การเขียนเรยี งความ ผา นชองทางอน่ื นอกจากการพดู นกั เรยี น และสาระสา� คญั ชดั เจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) • การเขียนย่อความ สามารถส่ือสารผา นชอ งทางใดไดบาง อยางไร • เขียนเรียงความ (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๒) (แนวตอบ สามารถส่ือสารผา นการเขยี น หรือ • เขียนย่อความจากสอ่ื ทม่ี รี ปู แบบและ การใชอ วจั นภาษาอ่ืนๆ) เนอ�้ หาหลากหลาย (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๓) • นักเรยี นคิดวา การสื่อสารผานการเขยี น สง ผลดีมากกวา การส่ือสารดวยการพูด หรือไม อยา งไร เกร็ดแนะครู หนวยการเรียนรเู ก่ยี วกับการเขยี นเรยี งความ ยอความ และจดหมายนี้ ครผู ูส อน ควรเพมิ่ ความรูความเขาใจเกี่ยวกับทักษะการใชภ าษา นอกจากนกั เรียนจะตองทาํ ความเขาใจเกยี่ วกับการเรียบเรียงคํา ขอ ความ หรอื ประโยคใหถ ูกตอ งตามหลกั การ ใชภ าษา เพอื่ ใหเ กิดความสละสลวยและมคี วามสมบูรณท้ังเนอ้ื หาและความหมาย กอ ใหเ กิดคุณคา ทางวรรณศลิ ป เพอื่ ใหเกิดการถา ยทอดความรู ความคิด อารมณ ความรสู ึกและจนิ ตนาการจากผูเขยี นไปสูผอู า นไดอยางถกู ตองชัดเจน การเขยี นตอง ใชทกั ษะความรใู นดา นหลักการ วิธีการ รวมถึงหลักเกณฑท างภาษา ขณะเดยี วกนั ก็ ตองมีศิลปะในการประพันธ งานเขยี นจงึ เปน ทั้งศาสตรแ ละศลิ ป นอกจากน้ี ครูผสู อน ควรช้ใี หเ หน็ วา ทักษะการสง สารตองมีการฝก ฝนอยา งสมา่ํ เสมอ เพ่อื ใหเ กิดการ สอ่ื สารไดอ ยางมีประสทิ ธภิ าพและสัมฤทธผิ ล ครคู วรแนะนาํ นักเรยี นวา ผูที่ตองการ ถายทอดความรคู วามเขา ใจเรือ่ งราวตา งๆ ผา นทักษะการใชภ าษาจําเปนอยางย่งิ ทจี่ ะ ตอ งใหค วามสําคญั กบั การเรยี นรู การสังเกต การใชภ าษาในชีวิตประจาํ วนั ไมวาการ ใชภาษาจะเกิดขนึ้ กับตนเองในขณะทส่ี อื่ สารผานการเขียนใชภ าษาใหเหมาะสมกับ ประเภทของสือ่ และการสื่อสารแตละประเภท คูมือครู 67

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปนี้ ๑ . การเขียนเรียงความ • นักเรยี นเคยไดย ินคาํ วา “ความเรยี ง” และ “เรยี งความ” หรือไม นักเรียนคดิ วา ทั้งสองคาํ มคี วามหมายเหมือนกันหรือไม อยางไร เรียงความ คือ การเขียนขยายข้อความโดยการเรียงร้อยถ้อยค�าให้เป็นเร่ืองราว โดย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แสดงความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ และความเข้าใจ ด้วยภาษาที่ถูกต้อง ไดอยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตุผลของ เหมาะสม ตรงความหมาย กะทดั รดั สละสลวย เปน็ ระบบท่นี า่ อ่าน นักเรยี น) ๑.๑ องคป์ ระกอบของเรยี งความ องคป์ ระกอบของเรยี งความ แบ่งเปน็ ๓ สว่ น ดงั น้ี สาํ รวจคน หา ๑) ค�ำนำ� เป็นสว่ นแรกทเ่ี ปดิ ประเดน็ ใหผ้ อู้ า่ นทราบว่าจะเขียนเรอื่ งอะไร เปน็ ส่วนทชี่ กั น�า Explore ใหผ้ ู้อ่านสนใจ ท�าใหเ้ รื่องน่าอ่านย่งิ ข้นึ ค�านา� จึงต้องเขยี นใหก้ ระชับ เรา้ ใจ ใคร่รู ้ วิธีเขียนค�าน�า สามารถท�าได้หลายวิธ ี เชน่ นกั เรยี นสืบคน ขอมูลในประเดน็ ตอ ไปน้ี ● เร่ิมตน้ การยกค�าพดู คา� คม หรอื สุภาษติ ทน่ี ่าสนใจ สอดคลอ้ งกับเนอื้ หา • องคประกอบของเรยี งความ ● เร่ิมดว้ ยค�าประพันธ์ • การวางโครงเร่ืองเรียงความ พรอมพจิ ารณา ● เรม่ิ ดว้ ยคา� ถาม การเขยี นคา� นา� นนั้ ผเู้ ขยี นพงึ ระวงั อยา่ เขยี นออ้ มคอ้ ม เขยี นไมต่ รงกบั เนอ้ื เรอ่ื ง เขยี นยาว ตวั อยางการเขียนเรยี งความ • วธิ กี ารเขียนเรียงความ อธบิ ายความรู Explain เกนิ ไป หรอื เขยี นออกตวั เปน็ ทา� นองวา่ ผเู้ ขยี นมคี วามรนู้ อ้ ย หรอื ไมพ่ รอ้ มทจี่ ะเขยี น จะทา� ใหค้ า� นา� ไมน่ า่ สนใจ ๒) เน้ือเรื่อง เป็นส่วนส�าคัญและยาวท่ีสุดของเรียงความ ประกอบด้วยความรู้ ความคิด 1. นกั เรียนจบั คู จากนนั้ ครูสุม นกั เรยี น 2 - 3 คู และขอ้ มลู ทผ่ี เู้ ขยี นคน้ ควา้ และเรยี บเรยี งอยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บ โดยใชย้ อ่ หนา้ ชว่ ยลา� ดบั ประเดน็ รว มกันตอบคาํ ถามหนา ชน้ั เรยี นในประเด็น ซึ่งควรขึ้นย่อหน้าใหม่เมื่อกล่าวถึงประเด็นใหม่ การเขียนเน้ือเรื่องเป็นการขยายความในประเด็น ตอไปน้ี ตา่ งๆ ตามโครงเรอ่ื งทว่ี างไวล้ ว่ งหนา้ แลว้ ในการเขยี นอาจมกี ารยกตวั อยา่ งการอธบิ าย การพรรณนา • นกั เรียนคดิ วา เรยี งความมคี วามหมายวา หรอื ยกโวหารต่างๆ มาประกอบดว้ ย อยา งไร (แนวตอบ การเขยี นขยายความเปน เรอ่ื งราว การเขยี นเนอ้ื เรอ่ื ง ควรยดึ แนวทาง ดงั นี้ แสดงความรู ความคิด ความรูสกึ และความ ๑. มสี ารตั ถภาพ ไดแ้ ก ่ ความถกู ตอ้ ง แจม่ แจง้ สมบรู ณ ์ ผอู้ า่ นสามารถเขา้ ใจเจตนารมณ์ เขา ใจ ถายทอดผา นภาษา ลําดบั เรอ่ื งราว ของผู้เขยี นได้เป็นอยา่ งดี อยา งเปน ระบบนาอา น) ๒. มเี อกภาพ ไดแ้ ก ่ ใจความส�าคัญแต่ละย่อหนา้ จะต้องมีเพียงใจความเดียว ไมอ่ อก • เรยี งความมีองคประกอบอยา งไร และมีความ นอกเร่อื ง สับสน วกวน สมั พนั ธกันอยา งไร ๓. มสี ัมพนั ธภาพ ไดแ้ ก่ เน้อื หาในแตล่ ะย่อหน้าจะตอ้ งมีความสมั พนั ธ์เกยี่ วเน่อื งกัน (แนวตอบ เรียงความมอี งคประกอบ 3 สว น โดยตลอด ยอ่ หนา้ ต่อๆ มา จะตอ้ งเกย่ี วเนอ่ื งสมั พันธ์กบั ย่อหนา้ ทแ่ี ล้ว ไดแ ก คํานาํ เพอ่ื เรา ความสนใจ เน้ือเรอื่ ง ๓) สรปุ เปน็ สว่ นสดุ ทา้ ยของการเขยี นเรยี งความ ผเู้ ขยี นจะตอ้ งเนน้ ความร ู้ ความคดิ หลกั นําเสนอความรู ความคิด ทรรศนะของ หรือประเด็นส�าคัญของเรื่องท่ีเขียนอีกคร้ังให้ได้ใจความและสอดคล้องกับเน้ือเรื่อง การสรุป ผเู ขียน รวมถึงสรปุ เนนยาํ้ ประเดน็ ทนี่ าํ เสนอ องคป ระกอบทง้ั สามสวนทําหนาท่เี รียงรอย เนอ้ื หาเขาดว ยกนั ) 68 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการใชภ าษาในองคป ระกอบตา งๆ ของเรียงความ ครผู ูส อนควรเพมิ่ เติมความรเู กีย่ วกับเรยี งความและความเรยี งวา มคี วามหมาย ขอความตอไปน้ีไมเหมาะทจ่ี ะเปนประโยคแรกในสวนใดของเรียงความ แตกตา งกัน โดยเรยี งความมีรูปแบบการเขียนชดั เจน นยิ มเขยี นดว ยภาษารอยแกว เรอ่ื ง “อาหารไทย” ดวยภาษาแบบทางการและกงึ่ ทางการในระดับเดียวกันหมดทงั้ เรอ่ื ง พรอ มนําเสนอ แงค ดิ และความรูเปน สาํ คญั สว นความเรียง เปน งานเขียนประเภทสารคดีรูปแบบหน่ึง วัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทยดงั กลาวเกิดจากการประสาน ใหแงค ิด และสรา งความเพลดิ เพลิน มีรูปแบบการเขยี นไมต ายตวั ใชภาษาไดห ลาย ภูมิปญญาดานอาหารจากหลายๆ ชาตมิ าดดั แปลงใหเปนอาหารไทย ระดับประกอบกนั มุงนําเสนอแงค ิดและอารมณค วามรสู ึกเปน สําคัญ 1. สวนนําเรือ่ ง 2. สวนขยายความ 3. สวนสรปุ เรือ่ ง 4. การยกตวั อยา ง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. สวนนาํ เรื่อง เพราะปรากฏการใชคาํ วา “ดงั กลา ว” ซ่ึงเปน การกลาวเทา ความ คอื มปี ระโยคกลา วนํากอนหนามาแลว ฉะนนั้ จึงไมสามารถใชเปน สวนนําเร่อื งได 68 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู อาจสรุปด้วยค�าถาม ข้อคิด ค�าคม สุภาษิต บทร้อยกรอง อย่างใดอย่างหน่ึง โดยใช้ถ้อยค�าท ่ี 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น กระชบั คมคาย เพือ่ ให้ผู้อา่ นประทับใจ น�าข้อคดิ ไปไตรต่ รองต่อไปได้ ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา การวางโครงเรอื่ งมีความ ๑.๒ การวางโครงเรอื่ งเรยี งความ สาํ คัญตอ การเขียนเรยี งความอยางไร (แนวตอบ การวางโครงเรอ่ื งเปน วธิ กี ารจัด การวางโครงเร่ือง เป็นการรวบรวมความรู้ ความคิด และจัดล�าดับความคิดให้เป็นระบบ ลําดับความคิดกอ นการเขยี นเรียงความ ถอื ความรู ้ ความคิดบางเรื่องอาจเปน็ ประสบการณ์เดมิ ความรเู้ ดิมของผู้เขยี น หรือเปน็ ความรใู้ หม่ เปนแนวทางในการกาํ หนดเน้อื หา เพ่อื ตอบ ที่ได้จากการสังเกต สอบถาม แลกเปลยี่ นความรู้ในกล่มุ เพือ่ น หรือการคน้ คว้าเพิ่มเติมจากแหลง่ สนองวัตถุประสงคในการส่ือสาร นกั เรยี น เรยี นร้ตู ่างๆ แนวทางการวางโครงเรอื่ งสามารถทา� ได ้ ดงั นี้ สามารถกาํ หนดแนวทางในการเขียนท้งั ๑. ระดมความคิดวา่ มคี �า กลมุ่ ค�า หรอื ข้อความใดท่เี ก่ียวข้องกบั เรอ่ื งทีจ่ ะเขียนบ้าง แล้ว ลกั ษณะของภาษา เน้ือหา รวมถงึ กลวธิ ีใน เขียนคา� กลุ่มคา� หรอื ข้อความนั้นไว้ การเรยี บเรยี ง เพ่ือใหบรรลุเปาหมายในการ ๒. ตงั้ คา� ถามท่สี งสยั ใครห่ าคา� ตอบ เขียนคา� ถามเป็นขอ้ ๆ แลว้ พยายามหาค�าตอบสัน้ ๆ ส่ือสาร) โดยอาจตอบเอง หรือค้นคว้าหาความรูจ้ ากแหลง่ ความร้ตู า่ งๆ • นกั เรยี นมกี ารวางแผนการคน ควา ขอ มูลใน ๓. จัดล�าดับค�าถาม-ค�าตอบน้ันๆ ว่าควรล�าดับก่อนหลังอย่างไร ควรจัดหัวข้อใดในส่วน การเขียนเรียงความอยา งไร ค�านา� เน้อื เร่ือง หรอื สรปุ โดยจดั ใหไ้ มซ่ า้� กัน ไมว่ กวนสับสน และตดั ส่วนที่ไม่จ�าเป็นออก (แนวตอบ เรมิ่ ตนจากขน้ั ตอนแรก นกั เรยี น ระดมความคิด โดยการรวบรวมขอ มูลท่มี ี ตัวอย่าง การวางโครงเรอื่ ง การเขียนเรียงความเรื่อง “การประหยัด” ความเกีย่ วขอ งกับหวั ขอที่จะเขยี นรายงาน ข้ันตอนตอมา คือ การตง้ั คําถามเกี่ยวกบั ๑. รวบรวมความรู้ ความคิด หาค�า ข้อความ สุภาษิต ค�าพังเพยท่ีเก่ียวข้องกับการประหยัด หัวขอ ที่นกั เรยี นจะเขยี นเรยี งความวา ดังตัวอยา่ ง ต่อไปนี้ มปี ระเดน็ ใดบา งท่มี ีความเก่ียวของ และจดั ● ค�าที่เก่ียวขอ้ งกับชอื่ เรือ่ ง เชน่ เก็บ ออม ธนาคาร ประหยัด ตระหน่ี โลภ ฟุม่ เฟอื ย ฟุ้งเฟ้อ ลําดับความคดิ เปน ข้ันตอนสุดทาย) ร่า� รวย ยากจน เปน็ ตน้ ● ขอ้ ความ ภาษติ คา� ประพนั ธ์ทีเ่ สริมความคดิ ความเข้าใจ เช่น “ประหยัดวันน ี้ เปน็ เศรษฐี 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ในวันหนา้ ” “อยา่ อายทา� กิน อย่าหมิ่นเงินนอ้ ย อย่าคอยวาสนา” “เกยี จครา้ นเป็นแมลงวัน ขยนั เป็น แมลงผ้งึ ” เป็นต้น ขยายความเขา ใจ Expand ๒. ตง้ั คา� ถามเกย่ี วกบั ความประหยดั ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ ● การประหยัด หมายความว่าอย่างไร เหมือนกับคา� วา่ ตระหนห่ี รือไม่ ครกู าํ หนดหัวขอเรียงความจากน้นั ใหนักเรียน ● ท�าไมจงึ ต้องประหยดั วางโครงเรื่องการเขียนเรยี งความตามท่นี กั เรยี นได ● เราจะมีวิธปี ระหยัดได้อย่างไร เรยี นมา โดยยึดรปู แบบการเขยี นในหนังสือเรยี น ● การประหยดั สว่ นตัว การประหยัดในครอบครัว การประหยดั ในโรงเรียนท�าไดอ้ ยา่ งไร หนา 69 ● การประหยัดช่วยตนเองและช่วยชาตไิ ด้อย่างไร ● ผลดขี องการประหยดั เปน็ อยา่ งไร ● ตัวอยา่ งนิทานหรือบคุ คลที่รูจ้ กั ประหยดั อดออม มีอะไรบ้าง ● คา� ประพันธ ์ คา� ส่งั สอนท่เี ก่ยี วกับการประหยัด มีอะไรบ้าง 69 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับเนื้อหาในองคประกอบของเรียงความ ครูผูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรเู กยี่ วกับการวางโครงเร่อื งในการเขยี นเรยี งความ โดย ขอ ความตอไปนไ้ี มเปน สว นใดของเรยี งความ โครงเร่ือง หมายถงึ เคา โครงของงานเขยี น เปน การจดั ลําดบั หมวดหมูของขอมูลและ ประเพณีว่ิงควายซ่ึงเปน ประเพณีด้ังเดิมของชาวชลบุรกี ็จะอยูคจู ังหวดั แนวคดิ สําคญั ของเรื่อง จากนัน้ จงึ นาํ แนวคดิ สําคัญของเรอ่ื งที่วางไวม าขยายดวยการ อธิบายใหรายละเอียด รวมถึงใหต ัวอยาง เพ่อื ใชเ ปนแนวทางในการเขยี น ลกั ษณะ ชลบรุ ไี ปอกี นานเทา นาน การเขียนโครงเร่อื งในการเขยี นเรียงความ การวางโครงเรอื่ งมีความสาํ คัญอยางมาก 1. สวนนําเร่อื ง ในการเขยี นเรียงความ เนือ่ งจากการเขียนมกี ารนําเสนอเนอื้ หาอยางเหมาะสม 2. สว นเนือ้ เรื่อง เนอ้ื ความสมั พนั ธก นั มเี อกภาพ ผอู า นสามารถเขา ใจสารไดช ดั เจน นอกจากประโยชน 3. สว นขยายเนอื้ เร่อื ง สาํ หรบั ผูอา นแลว ยังชวยใหผ เู ขยี นสามารถพิจารณาสดั สว นความเหมาะสมของ 4. สว นปดเรอ่ื ง เนื้อหา รวมถึงความชดั เจนอยา งเพียงพอ เคา โครงเร่อื งแบงเปน 2 รปู แบบ ประกอบ ดวย โครงเรื่องแบบหัวขอ และโครงเร่อื งแบบประโยค มีรายละเอียด ดังตอไปน้ี วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. สวนนาํ เร่อื ง เน่ืองจากขอ ความทกี่ ําหนด 1. โครงเรอ่ื งแบบหวั ขอ การเขียนประเด็นสําคัญของเร่อื ง ใหมลี ักษณะเปน ขอสรปุ สงั เกตจากการใชค าํ เชือ่ มคําวา ก็ และเน้อื หาท่ีมี 2. โครงเรือ่ งแบบประโยค โครงเร่อื งทีเ่ กดิ จากการเขยี นประเด็นสําคัญของเรื่อง ลกั ษณะเปน ขอ สรุปมักไมป รากฏในสวนนําเร่ือง เปนประโยคสมบูรณ โครงเรื่องแบบนี้จะสอื่ ความหมายอยางชัดเจนกวา แบบแรก คมู ือครู 69

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรวมกนั ระดมความคิดดว ยการตอบ ๓. จัดลา� ดบั คา� ถามท่จี ะขยายความเปน็ คา� ตอบในเนื้อเร่ือง ดงั นี้ คําถาม ตอไปน้ี (๑) เขยี นค�าน�า ดว้ ยค�าขวัญ สภุ าษิต ชใี้ หเ้ ห็นความส�าคญั ของการประหยดั • นักเรียนคดิ วา การเขยี นเรยี งความมวี ธิ ีการ (๒) ส่วนเนอ้ื หา มีประเด็นต่างๆ ดังนี้ เขยี นอยา งไร ● การประหยัดหมายความวา่ อะไร เหมอื นกบั ค�าวา่ ตระหน่ีหรอื ไม่ (แนวตอบ เขียนตามโครงเร่ือง โดยขยาย ● ความสา� คญั ของการประหยดั ขอ ความ ดวยสํานวนภาษาท่มี ีความเหมาะสม ● เราจะมีวธิ ีประหยดั ไดอ้ ย่างไรบา้ ง กับเนอื้ หา และเขยี นโดยแบง เนอ้ื หาออกเปน ● ผลดขี องการประหยดั 3 สว น คอื คาํ นาํ เนอ้ื เรื่อง และสรุป) ● ตวั อย่างบุคคล นิทาน ทีเ่ ก่ยี วกับการประหยัด • นักเรยี นคดิ วา เรยี งความที่ดีควรมลี ักษณะ ๔. สรุปความส�าคัญ ความจ�าเป็นที่คนเราต้องรู้จักประหยัดอดออม เพ่ือช่วยคน ช่วยชาติ อยางไร ด้วยคา� ประพันธ ์ คา� ขวัญ (แนวตอบ มีลักษณะ ดังนี้ 1. มีเอกภาพ คอื ทุกสวนมคี วามเกย่ี วเนือ่ งเปน เร่ืองเดยี วกนั ๑.๓ วธิ กี ารเขยี นเรยี งความ 2. มีสัมพันธภาพ คอื ทุกสว นมคี วามสัมพันธ กนั เปน ลาํ ดับ 3. มสี ารัตถภาพ มีเนือ้ หาสาระ การเขยี นเรียงความที่ดคี วรมีวิธกี าร ดังน้ี ถกู ตองสมบรู ณแ ละเนนยาํ้ ประเดน็ ได ๑. เขยี นเรยี งความตามโครงเรอื่ งทก่ี า� หนด โดยใชค้ า� ขอ้ ความ สภุ าษติ ท่ีไดค้ ดิ ไวใ้ นตอนตน้ เหมาะสม) ประกอบการเขยี น ขยายขอ้ ความจากโครงเรอ่ื ง โดยใชส้ า� นวนโวหารทเี่ หมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ ง มหี ลกั ฐาน • นกั เรียนคิดวา การอานทบทวนเรยี งความ ขอ้ มลู ประกอบ หรอื อา้ งอิงจากแหล่งทเี่ ชอื่ ถอื ได ้ เพ่ือสนบั สนุนงานเขียนใหม้ ีคณุ คา่ นา่ สนใจ และใหผูอ นื่ วิพากษว ิจารณห รอื ใหข อคิดเหน็ ในการแบง่ สว่ นคา� นา� เนอื้ เรอ่ื ง สรปุ ตอ้ งยอ่ หนา้ ในแตล่ ะสว่ น โดยไมต่ อ้ งบอกวา่ สว่ นใด คอื เพิม่ เติมมผี ลตอ การเขียนเรียงความ อยางไร ค�านา� เนอ้ื เรื่อง หรือสรปุ ผ้อู า่ นจะเข้าใจได้เอง สา� หรับเนอ้ื หาหากมีหลายประเด็นแตล่ ะประเดน็ (แนวตอบ มีผลดใี นการตรวจสอบความเขาใจ ต้องย่อหน้า ฉะนน้ั ในการเขียนเรยี งความจะตอ้ งมีอย่างนอ้ ย ๓ ยอ่ หนา้ คือ ค�านา� เนอื้ เร่ือง และ รวมถงึ ความสมบูรณของเนือ้ หา) สรปุ โดยเฉพาะสว่ นเนอ้ื เรอื่ งนน้ั ไมจ่ �ากดั วา่ จะตอ้ งมกี ยี่ อ่ หนา้ แลว้ แตว่ า่ จะแตกประเดน็ ไดก้ ป่ี ระเดน็ ๒. อ่านทบทวนข้อความที่เขียนว่าสอดคล้อง เป็นเร่ืองเดียวกันตามประเด็นในโครงเรื่อง 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ท่กี �าหนดหรือไม ่ เกีย่ วเนอื่ งกนั ตามลา� ดับถูกตอ้ ง สมบรู ณ ์ ครบถ้วนหรือไม่ ๓. ใหเ้ พือ่ นๆ หรือผรู้ ูอ้ า่ น แล้ววพิ ากษว์ ิจารณ์ใหข้ ้อเสนอแนะเพ่ิมเติม ขยายความเขา ใจ Expand ๔. ผู้เขียนอ่านทบทวน พิจารณาข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม แล้วน�ามาเขียน เรยี บเรยี งใหม่อีกครัง้ เปน็ เนอื้ หาเรยี งความท่ถี กู ตอ้ งตามรปู แบบและมคี ณุ ค่าน่าอ่าน นักเรียนเขียนเนื้อหาเพ่มิ เตมิ จากโครงเรื่องเดมิ ในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการวางโครงเรอื่ งท่นี ักเรยี นได สรรพส์ าระ เรยี นมาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมในหนงั สือเรยี นหนา 69 ลักษณะของเรียงความทีด่ ี เรียงความที่ดคี วรมีคุณลกั ษณะ ดังนี้ ๑. มเี อกภาพ คอื เนอ้ื หาทกุ สว่ นมคี วามเกีย่ วเน่อื งเป็นเรือ่ งเดียวกัน ไม่กลา่ วนอกเรอ่ื ง นอกประเด็น ๒. มีสัมพันธภาพ คือ เนอื้ หาทุกสว่ นมีความสัมพนั ธเ์ ก่ยี วเน่อื งกันตามลาำ ดบั ไมส่ บั สน ๓. มีสารตั ถภาพ คือ เน้ือหาแต่ละสว่ นมคี วามสมบรู ณ์ ถกู ตอ้ ง ครบถ้วน 70 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั เน้ือหาในการเขยี นเรยี งความ ในการปฏบิ ัตกิ ารเขียนเรียงความน้นั ครผู สู อนควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขาใจ ถาตองการเขยี นเรียงความเก่ียวกับสถานทที่ องเทยี่ วแหง ใดแหงหนง่ึ รวมถงึ ทักษะเกีย่ วกับการเขยี น ในการลงมือเขียนเรียงความนัน้ ผูเ ขยี นตองมีสมาธิ เนอ้ื หาในขอ ใดจําเปนนอ ยท่ีสุด ขณะที่ลงมอื เขยี นตามโครงเรอ่ื งท่ีเตรยี มไวนนั้ ตองระมัดระวงั เรอ่ื งการใชส ํานวนภาษา 1. มัคคเุ ทศก เชน การคัดลอกเน้อื หาจากตน ฉบับเดมิ มาใชในงานเขยี นของตน หรอื เรียบเรยี ง 2. พาหนะและเสน ทางคมนาคม ความคดิ ตามตน ฉบบั ครูควรชแี้ นะนักเรียนวา นักเรยี นสามารถแกป ญหาดงั กลา วได 3. ท่ตี ้ังและสภาพอากาศ ดว ยการอา นขอ มลู ทป่ี รากฏทั้งหมดใหจบเสยี กอน แลวจงึ สรุปเนื้อหาในแตล ะประเด็น 4. สง่ิ ที่นา สนใจและประโยชน รวมถงึ เพิ่มเตมิ ความคิดลงไป จากนัน้ จงึ เรียบเรยี งดว ยภาษาของตนเอง ในสวนการ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. มคั คุเทศก อาจกลา วถึงไดในเรยี งความ ลงมอื เขยี น ไมว านกั เรียนจะเลอื กเขียนดว ยวิธีใดก็ตาม แตควรคาํ นงึ ไวเ สมอวา แตก็ไมถ อื วาเปน เน้อื หาท่มี ีความสาํ คัญเม่อื เปรยี บเทยี บกบั เนือ้ หาในขอ อ่ืนๆ ควรลงมอื เขียนใหอ ยใู นโครงเร่อื งที่วางไว สวนขอที่ 2. ขอที่ 3. และขอที่ 4. เปนเนือ้ หาทมี่ คี วามจําเปนอยา งยิ่ง เนอื่ งจากเปนขอ มูลสําคญั ทผ่ี ูรบั สารควรไดรับ ทั้งดา นของท่ตี ง้ั และสภาพ นอกจากน้ี ครูควรช้ีแนะแนวทางในการพฒั นาทกั ษะการทบทวนและแกไขขอ อากาศ การเดนิ ทาง รวมถึงสง่ิ ของอํานวยความสะดวกตางๆ บกพรองในงานเขยี น ในงานเขยี นเรียงความนักเรียนควรระมัดระวังในขอ บกพรอ งของ การเขยี นเรียงความ ดงั ตอไปน้ี การจัดระบบความคิดในโครงเร่อื งมคี วามเหมาะสม หรอื ไม มากนอยเพียงไร นําเสนอความคิด ขยายความเขาใจ มคี วามตอเน่อื งหรอื ไม 70 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ตวั อย่าง เรยี งความ นักเรียนศกึ ษาเรยี งความเรื่อง สาํ นกึ รกั บานเกิด จากหนงั สอื เรยี นหนา 71-73 ส�ำนกึ รักบ้ำนเกิด อ่างทองเป็นเมืองที่ราบลุ่มขนาดเล็กทางภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ซึ่งหล่อเล้ียง อธบิ ายความรู Explain ด้วยแม่น�้าส�าคัญ ๒ สาย คอื แมน่ า้� เจ้าพระยา และแม่นา�้ น้อยท่ีท�าใหด้ นิ แดนแห่งนี้อดุ มสมบรู ณ์ ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลายชนิดตลอดทั้งปี วิถีชีวิตของชาวอ่างทองส่วนใหญ่ด�าเนิน 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ไปอย่างเรียบง่าย ธรรมดา และสมถะ ตามแบบอย่างของสังคมชนบท มีความผูกพันกับการ ตอไปน้ี ท�าเกษตรกรรมและยึดม่ันในการจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นแหล่งก�าเนิดของวัฒนธรรม • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรอื่ ง สาํ นึกรกั ขนบธรรมเนียมประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิน่ ทีก่ ่อเกิดมาจากวถิ ีชีวิตของบรรพชนชาวอ่างทอง บา นเกิด มเี นอ้ื หากลา วถึงประเดน็ ใดบา ง ในอดีตที่สืบทอดมาสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน แม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง ๑๐๘ อยางไร กโิ ลเมตรเท่าน้ัน (แนวตอบ นกั เรียนสามารถกลา วถงึ เนอื้ หา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อ่างทองถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านท่ีส�าคัญมาก ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “แขวง โดยแบง ตามองคประกอบของเรยี งความได เมอื งวเิ ศษไชยชาญ” อนั เปน็ บา้ นเกดิ เมอื งนอนของนายดอก นายทองแกว้ สองวรี บรุ ษุ ผหู้ าญกลา้ ดงั น้ี 1. คาํ นาํ กลา วถึงภาพรวมของจงั หวดั ยอมเสียสละพลีกาย เพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ ท่านท้ังสองได้เข้าร่วมกับชาวบ้าน อา งทองบานเกดิ ของผเู ขยี น 2. เนอ้ื เรื่อง บางระจันเข้าต่อสู้กับพม่าอย่างเข้มแข็ง โดยมิได้เกรงกลัวต่อภยันตราย ลูกหลานชาวอ่างทอง นาํ เสนอเนอ้ื หาสอดคลอ งกบั คาํ นาํ โดยแยก ทุกคนต่างร�าลึกสดุดี และเชิดชูวีรชนไทยใจกล้าไว้ในใจตลอดมา ท้ังยังมีความภาคภูมิใจใน เปนประวัตคิ วามเปน มาของจงั หวัดอางทอง สายโลหิตท่ีอยู่ภายในร่างกายของชาวอ่างทองทุกคน อ่างทองเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา ลักษณะเดนดานศิลปวฒั นธรรม ภูมิปญญา มีวัดวาอารามต้ังเรียงอยู่ริมสองฟากฝั่งแม่น้�า อันสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนในอดีตท่ีแม่น้�า วถิ ีชีวิต 3. สรปุ ปด ทายดวยการแสดงความ มีความส�าคัญต่อการคมนาคม และการต้ังชุมชนของมนุษย์ เช่น ตลาดวิเศษชัยชาญ ชุมชน รูส กึ ภมู ิใจ เพอ่ื ปลกุ จติ สาํ นึกใหร ักบานเกิด) ริมแม่น้�าน้อยท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าร้อยปี ความวิจิตรงดงามของแต่ละวัดที่มีทั้งด้าน • นกั เรยี นคดิ วา ชอื่ เรยี งความเรื่อง สาํ นกึ รกั ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมด้วยฝีมือของช่างในอดีตท่ีตกทอดสู่ปัจจุบัน อีกท้ังพระพุทธรูป บานเกดิ มคี วามสมั พนั ธก บั เนือ้ หาหรือไม ลว้ นมีพทุ ธศิลปอ์ ันงดงามท่ีสอดแทรกในความเกา่ แกแ่ ละความศกั ดิ์สทิ ธิ์ อาทิ พระพุทธไสยาสน์ อยางไร องค์ใหญ่ วัดขุนอินทประมูล พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกวรวิหาร พระมหาพุทธพิมพ ์ (แนวตอบ มีความสอดคลอ งกนั เนอื่ งจาก วัดไชโยวรวิหาร นับว่าเป็นปัญญาของคนรุ่นเก่าท่ีสอดแทรกประวัติความเป็นมา และการ เนอ้ื หาของเรอื่ งมีเปาหมายเพอ่ื ปลุกจิตสาํ นกึ เปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมแฝงฝากฝีมือท้ังด้านสถาปัตยกรรม วัตถุโบราณ วัด และภาพวาด ใหชาวอางทองรักบานเกิด) ที่ท�าให้ย้อนเวลาสู่อดีตผ่านดวงตา และความรู้สึกได้อย่างดี ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของ • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรื่อง สํานกึ รัก สงั คมในปัจจบุ นั น้ี บา นเกิด มกี ลวธิ ดี งึ ดดู ความสนใจของผอู า น อ่างทองเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ มีเขตการปกครอง ๗ อ�าเภอ และมีประชากรเพียงแค่ อยางไร ๒๐๐,๐๐๐ กว่าคน แต่ฝมี ือและความสามารถของคนอา่ งทองน้ันเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร เร่มิ ต้น (แนวตอบ กลา วถึงประเดน็ โดยรวมของเรือ่ ง ที่อ�าเภอโพธ์ิทอง มีศูนย์ศิลปหัตถกรรมงานจักสานบ้านบางเจ้าฉ่า ซึ่งมีผลงานจักสาน ท่ีมี และชใ้ี หเหน็ เร่ืองราวเกี่ยวกบั การปลกุ เอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกประดิดประดอยขึ้นจากความคิด และสองมือบรรจงสร้างสรรค์ด้วย จติ สาํ นกึ ) 71 2. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกีย่ วกับเนือ้ หาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบัติการเขียนเรยี งความนั้น ครูผูสอนควรเพม่ิ เติมความรคู วามเขา ใจและ ขอความตอ ไปนีไ้ มอาจใชเปน สวนใดของเรยี งความ ความสาํ คัญของการเขยี นเรยี งความ โดยครูผูสอนควรชแ้ี นะนกั เรียนวา เรียงความ ตลาดโรงเกลือท่นี จี่ งึ เปรยี บไดดั่ง “สวรรคของนักช็อปเดนิ ดนิ ” ท่แี ตล ะวนั เปน การเขยี นแสดงความรู ความคดิ ความรสู กึ จนิ ตนาการ และความเขา ใจของผเู ขยี น ดวยภาษาทถี่ กู ตอ ง สละสลวย และมีศลิ ปะ เรียบเรียงความคิดและเนอื้ หาที่สมบรู ณ ตงั้ แตเชา จรดเย็นจะมนี ักทอ งเที่ยวนับพันนบั หมน่ื ทยอยเดินทางมาจับจายซอื้ นาอา น ประกอบดวยเอกภาพ สัมพนั ธภาพ และสารตั ถภาพ ตองอาศัยทักษะอยา ง หาสินคาแบรนดเนมราคาถูก คณุ ภาพดจี ากทั่วทกุ มุมโลก ใครทเี่ คยบอกวา หลากหลาย ทงั้ ทกั ษะทางความคิด ทักษะการเขยี น การใชภาษาท่ีดแี ละ ของถูกมกั ไมดี ของดีมกั ไมถ กู เหน็ ทจี ะใชกับท่ีนีไ่ มไ ดแน มปี ระสิทธภิ าพประกอบกัน 1. สว นนําเร่ือง ผูเขยี นจําเปน ตอ งศกึ ษาหลกั เกณฑก ารเขียน ดว ยการหมั่นฝกฝนอยางสมํา่ เสมอ 2. สว นเนื้อเรื่อง และควรศกึ ษาเรยี งความที่ดีเปนแบบอยา งอยา งสมา่ํ เสมอ 3. สว นขยายความ 4. สวนสรปุ ผูทสี่ ามารถถา ยทอดความรสู ึกนกึ คิดของตนเอง เพอื่ ใหข อ มลู จรรโลงใจ และโนมนา วใจผูอา นได ยอมสรา งความสมั พนั ธก ับผอู ่นื ไดดี และสามารถปฏบิ ัติงาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. สว นนําเร่อื ง ขอความทยี่ กมาสามารถใชไ ด ไดสาํ เรจ็ สมความมงุ หมาย ทัง้ สว นเนื้อเรือ่ ง สวนขยายความ และสวนสรุป แตไมสามารถใชเปน สว นนาํ เรอ่ื ง ตอ งมลี ักษณะเปนการเกริน่ เร่อื ง เพอ่ื การเรียกความสนใจของผูร บั สาร กอ นจะถึงสวนทเี่ ปนเน้อื เรื่อง คูม ือครู 71

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ความต้ังใจจริง เกิดเป็นผลงานท่ีโดดเด่นสวยงาม มีความละเอียดลออ ทุกๆ ลายท่ีถักทอมา ตอไปนี้ สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของชาวบ้านได้ดีทีเดียว ต่อมาท่ีอ�าเภอป่าโมก มีหมู่บ้านที่ท�ากลองท่ีใหญ่ • นกั เรยี นคดิ วา เรยี งความเรือ่ ง สํานึกรักบาน ท่ีสุดในโลกอยู่ท่ีต�าบลเอกราช กลองทุกใบจากท่ีนี่มีคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งท�ามาจากฝีมือของช่าง เกดิ มกี ลวิธกี ารลําดบั เนือ้ หาอยางไร ช้ันครูท่ีถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เริ่มจากการขัดเกลาท่อนไม้ให้กลายเป็นกลอง ขึงหนังกลองด้วย (แนวตอบ มกี ลวธิ ีการลาํ ดบั ดว ยการกลาวถงึ ความประณีต ด้วยความช�านาญเชิงช่างและการดนตรี ท�าให้กลองทุกใบมีเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ภาพรวมของเนอ้ื หาในสว นของคาํ นาํ จากนน้ั ที่ต�าบลบางเสด็จมีการปั้นตุ๊กตาชาววัง ภูมิปัญญาจากร้ัววัง ที่ปั้นดินจากท้องทุ่งนาให้กลายเป็น จึงกลาวถึงรายละเอยี ดตา งๆ ในสว นของ ตุ๊กตาท่ีมีชีวิตชีวา ด้วยความช�านาญ ละเอียด และอดทน ท�าให้ตุ๊กตาทุกตัวที่อยู่ในอิริยาบถ เนอื้ หา โดยแยกเปน ประเด็นตางๆ อยา งเปน ของวัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่นพ้ืนบ้าน เช่น มอญซ่อนผ้า ม้าก้านกล้วย ตีวงล้อ ลาํ ดบั พรอมปลุกจิตสํานกึ รักบา นเกดิ ในชวง รีรีข้าวสาร ฯลฯ สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ น้ีเป็นส่ิงทเ่ี ชอ่ื มโยงปจั จบุ ันสอู่ ดีต ดว้ ยเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ที่นา� ทาย และสรปุ เรอ่ื งไดครอบคลมุ ตรงประเดน็ “ทรัพย์ในดิน สินในน้�า” อันอุดมสมบูรณ์ในท้องถ่ินเมืองอ่างทอง มารังสรรค์เป็นผลงานทอง และมคี วามนา สนใจ สามารถเนน ยํ้าความ หัตถศิลป์ช้ินเอกด้วยความมีฝีมือและความสามารถของคนในอดีต รวมทั้งเป็นส่ิงที่เชื่อมต่อ สาํ คัญของเนือ้ หาไดเ ปน อยางด)ี คนเฒ่าคนแกก่ บั คนรุ่นใหม ่ เพื่อสืบสานสรา้ งสรรค ์ ภูมิปัญญาเหล่านบ้ี นวถิ แี หง่ ความยง่ั ยนื • นกั เรียนคดิ วา กลวธิ กี ารลําดบั เน้อื หา สิ่งส�าคัญที่สุดอาชีพหลักของชาวอ่างทองที่เกิดมาจากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอ้ือ เรยี งความเรอื่ ง สาํ นึกรักบา นเกิด มีความ อ�านวยจึงท�าให้ “การท�านา” ของคนอ่างทองท่ีมีการปลูกข้าวเต็มท้องทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตา สอดคลอ งกนั หรือไม และวิธีการลําดบั เน้อื หา ยามออกรวงก็จะเต็มไปด้วยต้นข้าวสีทองอร่าม นอกจากน้ียังมีการปลูกสวนผัก-ผลไม้ ตามแนว ดงั กลา วสง ผลตอความเขาใจเนื้อหาหรอื ไม พระราชด�าริเศรษฐกิจพอเพียง และด้วยความท่ีอ่างทองเป็นแหล่งเกษตรกรรม ชาวบ้านต่าง อยา งไร สามารถหาของรอบตัวมาใช้ท้ังการบริโภคและอุปโภค จึงท�าให้เป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ และมี (แนวตอบ มกี ลวิธีการลําดับเนื้อหาอยางเปน ความพอเพียง อีกท้ังจังหวัดอ่างทองยังเป็น “อู่ข้าว อู่น้�า” ท่ีส�าคัญของประเทศที่พรั่งพร้อม ระบบ โดยกลา วถงึ ประเดน็ หลกั จากนน้ั จงึ ไปด้วยท่งุ นาเขียวในท่รี าบลุ่มแหง่ นี้ ขยายรายละเอยี ดและเนนย้าํ ประเดน็ พรอม ชาวอา่ งทองทกุ คนจงึ ควรมีความรกั ความหวงแหน และภาคภูมิใจในแผน่ ดนิ ถิน่ เกิดแหง่ น้ี ช้นี าํ ความคิดเหน็ ในตอนทา ย) ร่วมกันด�ารงและสืบทอดศิลปะทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อฟื้นวัฒนธรรม • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรือ่ ง สาํ นึกรกั บาน ฟื้นประวัติศาสตร์ และฟื้นจิตส�านึกรักท้องถิ่น มิเพิกเฉยปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่าน้ีสูญหาย หรือ เกิด มีกลวธิ ีการเนนย้ําสาระสาํ คัญหรอื ไม ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น โดยเฉพาะพลังส�านึกรักบ้านเกิดของลูกหลานเยาวชนคนรุ่นใหม่ มี อยา งไร ท้ังทางก�าลังแรงกาย และก�าลังความคิดที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาถ่ินฐานบ้านเกิดแห่งน้ี (แนวตอบ เนนยา้ํ สาระสาํ คญั สวนสรุปเน้อื หา ใหม้ ีความเจริญน่าอยู ่ เป็นที่รูจ้ กั ด้วยส่ิงทตี่ นเองได้ศกึ ษาเลา่ เรยี นมา หรือความช�านาญของตนมา และชีใ้ หเหน็ คณุ คา ของวิถีชีวิตชาวอา งทองที่ ทา� ประโยชนเ์ พ่ือทดแทนบุญคณุ บา้ นเกิดอันเป็นท่ีรักยง่ิ เปน็ ที่พง่ึ พา และท่ีอาศยั ของเราทุกคน ควรรักษาไวส บื ไป) แผ่นดินเกิดมีคุณแก่เรา และเราท�าให้แผ่นดินเกิดอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร แหล่งน�้ากินน�้าใช้ และทรัพยากรต่างๆ มีความเจริญรุ่งเรือง น่าอยู่ ผู้คนมีคุณภาพ 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ชีวิตท่ีดี โดยมีวัดเป็นสิ่งยึดเหน่ียวจิตใจ ท�าให้อ่างทองมีความสงบสุขตลอดมา อีกทั้งของเด่น ของดีที่ปรากฏในค�าขวัญท่องเที่ยว คลังวัฒนธรรมพื้นบ้านแห่งลุ่มน้�าเจ้าพระยา ท�าให้ชาว 72 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’48 ออกเกี่ยวกบั เน้อื หาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบตั ิการเขียนเรียงความน้ัน ครผู ูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขา ใจ ขอ ความตอ ไปน้ีไมอ าจเปน สว นใดของเรยี งความ เก่ยี วกับกลวธิ กี ารลําดับความในยอหนา ซ่งึ มีความสําคญั ทัง้ ในดา นเนอ้ื หา กลวิธีการ วยั รุนเปน วยั ของความเปล่ียนแปลง ความไมมัน่ คงทางดา นจติ ใจของวัยรนุ เขยี น รวมถงึ การลําดบั ความคิดจากเนือ้ หาทอี่ า นได การลาํ ดับความในยอหนากระทาํ มตี วั แปรหลายตัว ท่สี าํ คัญคอื ความรูสึกท่มี คี ุณคา ในตนเอง ครอบครวั สว นหนง่ึ ไดห ลายวิธี ดงั ตอ ไปนี้ 1. การลําดบั ความตามเวลา คอื การเรยี บเรียงขอความตาม วดั คณุ คาของเด็กท่กี ารเรยี น ปญหาหลกั ของวยั รุนจงึ มอี ยสู องเรื่อง คอื ปญหา เหตุการณหรือเรอ่ื งราวท่เี กดิ ขนึ้ ตามลําดับกอ น-หลัง เชน การเลาประสบการณ เลา ภายในครอบครวั และปญ หาการเรยี น หากเด็กรสู กึ วา ตนเองไมมีคา จะทําให เรอ่ื ง หรือการอธิบายวิธกี ารทาํ ส่งิ ตา งๆ ยอ หนา ลกั ษณะนมี้ ักไมม ใี จความสําคัญ เกดิ ผลอ่นื ๆ ตามมามากมาย เชน ขาดเปาหมายในชีวติ ถกู เพื่อนชกั จูงใน 2. การลาํ ดบั ความตามพืน้ ที่ คอื การเรียบเรียงขอ ความตามลาํ ดบั ภาพหรือสง่ิ ท่ีมอง ทางท่ีผิด เปนตน เหน็ ยอ หนา ลกั ษณะนม้ี กั ไมมใี จความสาํ คญั 3. การลาํ ดบั ความตามความสาํ คัญ คอื 1. คํานํา 2. เนอ้ื เร่ือง การเรยี บเรยี งขอความตามลาํ ดบั ความสําคญั กอ นหลัง 4. การลาํ ดับความจากขอ สรุป 3. สวนขยาย 4. สรปุ ไปสรู ายละเอียด 5. การลําดับความจากรายละเอยี ดไปสขู อสรุป 6. การลาํ ดบั ความ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. สรุป ไมสามารถเปนสว นสรุปได เนอื่ งจาก จากคาํ ถามไปสคู ําตอบ ยอ หนา ลกั ษณะนี้มกั ไมป รากฏใจความสาํ คญั ทเ่ี ดน ชัด ไมมีลักษณะการขมวดปมของเรือ่ ง หรอื การหยบิ ยกเรื่องอื่นมากลาวเนน ยาํ้ 7. การลาํ ดบั ความจากเหตไุ ปสูผล 8. การลาํ ดบั ความจากผลไปสเู หตุ ประเด็นสาํ คญั อีกครั้งหนึ่ง หรือการกลา วแนะนาํ แตอยางใด เมอ่ื พจิ ารณา เนื้อหาแลวสามารถเปน องคประกอบของเรียงความในสว นอ่นื ๆ ได ทั้งคํานาํ 72 คูมอื ครู โดยมีลกั ษณะเกริ่นนาํ เรือ่ ง เน้ือเรอื่ งนาํ เสนอเนื้อหา และสวนขยายจากการให รายละเอียดและการยกตัวอยา ง

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain อ่างทองทุกคนสามารถบอกชาวไทยและชาวโลกได้ว่า “เป็นคนอ่างทอง” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ด้วยผลงานและแหล่งท่องเท่ียวที่สวยงาม ความเป็นลูกหลานคนกล้า และเมืองท่ีอุดมสมบูรณ์ ความรูใ นประเดน็ ตอ ไปนี้ “ในน�้ามีปลาในนามีข้าว” แห่งนี้ ด้วยความส�านึกรักบ้านเกิดและภาคภูมิใจ จนท�าให้เมือง • เมอ่ื นักเรยี นอานเรียงความเรอ่ื ง สํานึกรัก “สองพระนอน” คงอยู่สืบไปด้วยกระแสแห่งความรัก ความหวงแหนของคนรุ่นเก่า ท่ีลูกหลาน บานเกดิ นกั เรียนมคี วามประทับใจเน้อื หา ชาวอ่างทองทกุ คนสมั ผสั ได้ ของเรยี งความหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ (เรยี งความชนะเลศิ อันดบั ที ่ ๑ โครงการสา� นึกรกั บา้ นเกิด ของบริษทั โทเทิล แอคเซส คอมมูนเิ คช่นั (ดีแทค) : ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ นายวรฉัตร นา้ มงั คละกุล) นักเรียน) • นักเรยี นคิดวา เรียงความเรื่อง สาํ นกึ รกั บาน จากเรยี งความเรอื่ ง สา� นกึ รกั บา้ นเกดิ รางวลั ชนะเลศิ โครงการสา� นกึ รกั บา้ นเกดิ เปน็ งานเขยี น เกดิ มคี ุณคาดา นใดบา ง อยา งไร เรยี งความทดี่ ี แสดงใหเ้ หน็ องคป์ ระกอบและโครงสรา้ งของการเขยี นทเ่ี ปน็ ตวั อยา่ งทด่ี ีในการเขยี น (แนวตอบ เนอื้ หามเี อกภาพ รอ ยเรยี งเรอ่ื งราว เรียงความ ดังนี้ ตอเนือ่ งกนั และนาํ เสนอสาระไดอ ยาง ๑. มคี วามสมบูรณใ์ นองคป์ ระกอบ ครบถ้วนทั้ง ๓ ส่วน คอื สมบรู ณช ดั เจน) ๑.๑ ค�าน�า เป็นส่วนแรกท่ีผู้เขียนเรียงความเปิดประเด็นให้ผู้อ่านทราบว่าจะเขียน เร่ืองราวใดท่ีเก่ียวกับส�านึกรักบ้านเกิด ซ่ึงคือจังหวัดอ่างทอง โดยกล่าวถึงภาพรวมทั้งหมดของ 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด จังหวัดอา่ งทอง ในด้านของสภาพภูมิศาสตร์ วถิ ีชีวิตความเปน็ อยู่ วัฒนธรรมประเพณที ี่สา� คัญๆ ดว้ ยภาษาท่เี รียบงา่ ย กะทัดรดั ตรงไปตรงมา และสอดคล้องกบั ช่ือเร่อื ง ขยายความเขา ใจ Expand ๑.๒ เนอ้ื เรอ่ื ง ผเู้ ขยี นนา� เสนอเนอื้ เรอ่ื งแยกออกเปน็ ตอนตามที่ไดเ้ ขยี นเสนอไวใ้ นคา� นา� มกี ารนา� เสนอเนอ้ื เรอื่ งอยา่ งเปน็ ล�าดบั ขนั้ ตอน โดยเรมิ่ จากประวตั คิ วามเปน็ มาของจงั หวดั อา่ งทอง 1. นกั เรยี นนําโครงเรือ่ งเรียงความท่ีนกั เรียนได ตง้ั แตส่ มยั โบราณจนถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะเดน่ ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญั ญาของชาวอา่ งทอง เรยี บเรยี งไวจ ากกิจกรรมขยายความเขา ใจ ในอา� เภอตา่ งๆ การประกอบอาชพี ของชาวอา่ งทอง และปดิ ทา้ ยเนอ้ื เรอื่ งดว้ ยการปลกุ จติ ส�านกึ ของ หนา 69 มาเรยี บเรียงเปน เรยี งความฉบับ ชาวอา่ งทองใหภ้ ูมิใจและสา� นกึ รกั ในบา้ นเกิด จงึ ทา� ใหเ้ น้อื เร่อื งมคี วามสัมพนั ธ์สอดคล้อง นา่ อา่ น สมบรู ณ นกั เรยี นนาํ เรยี งความทน่ี ักเรยี น นา่ ติดตามไดต้ ลอดทั้งเร่อื ง เรยี บเรยี งขนึ้ มาแลกเปล่ียนความคดิ เห็นกับ ๑.๓ สรปุ ผเู้ ขยี นสามารถสรปุ เรอ่ื งไดค้ รอบคลมุ และตรงประเดน็ โดยใชถ้ อ้ ยคา� สา� คญั ๆ เพือ่ น จากน้ันนักเรยี นนาํ ขอคิดเหน็ ดังกลา ว เช่น “เป็นคนอา่ งทอง” “ในน�า้ มปี ลาในนามีข้าว” “สองพระนอน” มาช่วยสรปุ เร่ืองไดอ้ ย่างนา่ สนใจ ไปแกไขเพ่ิมเติม ใหเรียงความมีความสมบรู ณ ๒. มลี กั ษณะเปน็ เอกภาพ เนอ้ื หาของคา� นา� เนอื้ เรอ่ื ง และสรปุ เกยี่ วเนอ่ื งเปน็ เรอ่ื งเดยี วกนั มากยงิ่ ขึ้น ทา� ให้เนอ้ื หาทุกตอนท่นี า� เสนอมสี ัมพนั ธภาพเก่ยี วเนอื่ งกันตามล�าดับ ไมส่ ับสน และมีสารัตถภาพ คือ เนอ้ื หาในแต่ละสว่ นมีความสมบูรณ์สอดคลอ้ งกบั ช่อื เรือ่ ง 2. ครสู มุ นักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชัน้ เรียน 73 ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสามารถสรปุ ความหมาย องคประกอบ และวธิ ีการเขียนเรียงความได 2. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหล ักษณะเดนของ เรยี งความได 3. นกั เรียนสามารถเขียนเรียงความได ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกับเน้ือหาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบัติการเขียนเรียงความนน้ั ครผู ูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจ ขอมูลสว นใดมคี วามสาํ คัญนอ ยท่ีสดุ สําหรบั เรียงความเร่ือง “สนุ ทรภูก วี เกยี่ วกบั รูปแบบและองคป ระกอบของเรยี งความ เรยี งความมีรปู แบบหรอื ลักษณะ ตายตวั กลา วคอื แมวา ความยาวของเรียงความจะมไี มจาํ กัด ขน้ึ อยกู ับขอบเขต เอกของโลก” ประเด็นทีน่ าํ เสนอ และเน้ือหาทงั้ หมดจะแบงออกเปน 3 สว น คือ สวนคํานาํ เน้ือหา (ก) พระอาจารยถ วายพระอักษรพระเจาลกู เธอในรัชกาลที่ 2 และเปน กวี และสวนสรุป ครคู วรแนะนํานกั เรยี นเกยี่ วกับการเรียบเรียงเน้ือหาในองคประกอบ ของเรยี งความ ดงั ตอ ไปนี้ 1. การต้งั ช่ือเรอื่ ง ตอ งเลอื กชื่อเรื่องใหนาสนใจ ในราชสํานักทพี่ ระองคโ ปรดมาก (ข) กวีผเู ปน เลิศในการแตง กลอนแปด 2. การเขยี นคํานาํ ควรแนะใหทราบเนื้อหาภาพรวมของเร่อื ง 3. เนอ้ื เร่ือง จัดเปน มผี ลงานทง้ั ประเภทนริ าศ นทิ าน บทละคร บทเสภา และสภุ าษติ (ค) เกดิ ใน องคป ระกอบสาํ คญั ท่สี ุดในเรียงความ เพราะเปนสว นทบ่ี รรจเุ นื้อหาสาระ ความ รัชกาลท่ี 1 บรเิ วณสถานรี ถไฟบางกอกนอยในปจ จบุ นั ถวายตวั เปน ขา รสู ึกนึกคดิ ทงั้ หมดไว เพอ่ื ควบคมุ รายละเอยี ดของเรยี งความใหต อ เน่ืองสมั พนั ธกนั ในกรมพระราชวงั หลงั ตัง้ แตยังเดก็ (ง) ในรัชกาลตอมาไมไ ดร บั ราชการจึง ท้ังการลาํ ดับเรอ่ื ง ยอ หนาสอ่ื ความคดิ ชัดเจน ความสัมพันธของยอ หนาและประโยค ออกบวช ไดร บั พระอปุ การะจากสมเดจ็ ฯ เจา ฟา กรมขุนอศิ เรศรังสรรค ชว งน้ี การขยายรายละเอียด เสริมความ และเนนความ 4. สว นสรปุ กลาวปด เรือ่ ง ไมให แตงวรรณคดีไวห ลายเรอ่ื ง (จ) องคก รยูเนสโกประกาศยกยองใหเปน บุคคล รายละเอยี ดอืน่ ใด เนนสาระสาํ คญั กระตนุ ใหสนใจ ประทบั ใจ และเกิดความคดิ สําคัญที่มีผลงานดีเดนทางดา นวัฒนธรรมระดับโลก อยา งใดอยางหนึ่ง 1. สว น (ก) 2. สวน (ค) 3. สว น (ง) 4. สว น (จ) วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สว น (ค) เพราะเกย่ี วกับการเกิดและ ถวายตัวเปน ขา ในกรมวงั ต้งั แตเ ดก็ เปน ประวัติชีวิตทมี่ คี วามสาํ คญั นอยท่ีสดุ คมู อื ครู 73

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี ๒. การเขียนย่อความ • นักเรียนคิดวา หากนักเรียนตอ งรับขอ มลู ย่อความ เป็นค�าที่ใช้กันโดยทั่วไปในวิชาภาษาไทยในความหมายของการลดให้ส้ัน จํานวนมากนกั เรียนจะสามารถจัดการกบั เป็นการเรียบเรียงเสนอเฉพาะใจความส�าคัญของเรื่องอย่างย่อๆ เพ่ือให้สามารถอ่านเข้าใจได้ ขอ มลู ดงั กลาวไดอยา งไร อยา่ งรวดเรว็ มีสาระถูกต้อง ครบถว้ น และสมบรู ณ์ตามเรอื่ งเดิม • นกั เรยี นคิดวา นักเรยี นมีวธิ กี ารใดในการ การเขียนย่อความอาจย่อจากข้อเขียนร้อยแก้ว ร้อยกรอง เร่ืองที่ย่ออาจเป็นวิชาการ จัดการขอมลู รวมถึงวธิ กี ารใดบางในการชวย สารคดี บันเทิงคดี จดหมาย แจ้งความ ประกาศ ค�าส่ัง แถลงการณ์ หรืออาจย่อความจาก บันทกึ ขอมูล การฟังปาฐกถา ค�าปราศรยั โอวาท คา� บรรยาย อภิปราย ก็ได้ (แนวตอบ การยอความหรือการสรปุ ความ) ๒.๑ โครงสรา้ งของยอ่ ความ สาํ รวจคน หา Explore โครงสร้างของย่อความข้ึนอยู่กับประเภทของเร่ืองท่ีน�ามาย่อ โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วย นกั เรียนสบื คน เนือ้ หาการเขยี นยอ ความ ยอ่ หนา้ แรกบอกแหลง่ ทม่ี าของเรอื่ ง เพอื่ ความสะดวกในการอา่ นรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ จากตน้ ฉบบั ดงั ตอไปนี้ และยอ่ หน้าต่อไปเป็นสาระของเรื่องทยี่ ่อความ ส�าหรับย่อหน้าแรกซึ่งบอกแหล่งท่ีมา ควรใช้รูปแบบของรายการทางบรรณานุกรม • ความหมาย เพราะให้ข้อมลู เกยี่ วกบั แหล่งทม่ี าได้สมบรู ณ ์ หรอื ในวิชาภาษาไทยมักใหร้ ายละเอียด ดงั น้ี • การเขียนยอความ ๑) ยอ่ ควำมเรียงร้อยแกว้ ธรรมดำ เช่น นิยาย นิทาน ตา� นาน ประวตั ิ ฯลฯ ให้บอกชอ่ื • โครงสรางของการยอ ความ เรือ่ ง ชื่อผแู้ ต่ง ที่มา ดังน้ี • ความสําคญั ของการยอความ • หลกั การยอ ความ ย่อเรอื่ ง ของ จาก.................................................... ................................................................ ................................... ความวา่ .......................................................................................................................................................................................... อธบิ ายความรู Explain .......................................................................................................................................................................................................... 1. นักเรียนจบั คู จากน้ันครูสมุ นักเรยี น 2 - 3 คู รว มกนั ตอบคําถามหนาช้ันเรยี นในประเด็น ๒) ย่อควำมเรยี งทีต่ ัดตอนมำ ให้บอกช่ือเร่อื ง ช่ือผแู้ ต่ง ทีม่ า ดงั นี้ ตอไปน้ี ย่อเรอ่ื ง .......................................... ของ .................................................. คัดมาจากเรื่อง ..................................... • นักเรียนคิดวา การเขียนยอ ความตองอาศยั ความวา่ .......................................................................................................................................................................................... ทักษะการใชภ าษาดา นใดบา ง อยางไร (แนวตอบ การเขยี นยอ ความเปน ทกั ษะการใช ........................................................................................................................................................................................................... ภาษาทต่ี อ งอาศัยทักษะการอา น การฟง และ การเขียนประกอบกนั นกั เรยี นสามารถจับใจ ๓) ย่อประกำศ แจ้งควำม แถลงกำรณ์ ระเบียบ ค�ำส่ัง ก�ำหนดกำร ฯลฯ ให้บอก ความสําคัญและสาระสําคัญจากส่ิงทอี่ า นหรอื ประเภท เรื่องอะไร ของใคร วนั เดอื นปที อ่ี อก ดังน้ี ฟงไดอ ยา งเหมาะสม และถา ยทอดสารน้ัน เปนภาษาเขยี นทีเ่ รียบเรียงโดยสอื่ ความได ยอ่ แถลงการณเ์ รอ่ื ง ...................................................... ของ ............................................... ลงวนั ท ่ี ............................ อยา งเขา ใจ) ความวา่ ............................................................................................................................................................................................ 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ........................................................................................................................................................................................................... 74 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดไมใ ช ลกั ษณะการยอความ ในการปฏบิ ตั กิ ารเขียนยอความนั้น ครผู ูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรูค วามเขาใจ 1. บอกประเภทของขอ ความทยี่ อ เกีย่ วกบั ทักษะการใชภาษาทีต่ องอาศัยทั้งทกั ษะทางดา นการอาน การฟง และ 2. เปล่ียนสรรพนามเดมิ ทใี่ ชสรรพนามบุรุษที่ 1 เปน คําสรรพนามบุรุษท่ี 2 การเขียนประกอบกนั ทง้ั น้ี ข้ึนอยูกบั ความสามารถในการใชภ าษา การจบั ใจความ 3. ยอ ความโดยใชค าํ ราชาศพั ทต ามขอความเดมิ สาํ คัญหรือสาระสําคัญจากส่ิงที่อา นหรือเรอ่ื งราวท่ีไดรบั ฟงเพ่อื ใหเ กดิ ความเขา ใจ 4. ยอความจดหมายโตตอบตอ งระบวุ ันทล่ี งไปดว ย อยา งถกู ตอง สิ่งเหลานี้เปนทกั ษะพนื้ ฐานท่ตี องไดร บั การฝก ฝน ในการติดตามรับฟง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เปลี่ยนสรรพนามเดมิ ท่ีใชสรรพนามบุรุษที่ 1 รวมถงึ พิจารณาเรอื่ งราวที่ไดร บั ฟงอยา งตอเนอ่ื งโดยตลอด ดังนัน้ ผทู ต่ี องการยอความ เปน คาํ สรรพนามบรุ ุษท่ี 2 ไมใชล กั ษณะการยอความ เพราะการยอ ความตอง จึงตอ งมีสมาธิในการฟง และสามารถแยกแยะไดว า ขอความใดเปนใจความสาํ คัญ และ เปลยี่ นสรรพนามเดมิ ทใี่ ชส รรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 (ฉนั ขาพเจา เรา ผม ดฉิ นั ) และ ขอความใดเปนพลความ ถาเราเขา ใจเรอ่ื งราวไดโดยตลอดแลว ยอ มจดจําเร่อื งราว สรรพนามบุรษุ ท่ี 2 (เธอ เจา แก) เปนคําสรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 (เขา เธอ ทาน ที่ฟง และสามารถถา ยทอดใหค นอ่ืนฟงไดด วย ในการรับสารทัง้ การฟง และการดู ผูเขียน) รวมถงึ การอา นแตล ะครั้ง เราตองจับประเด็นของเรื่องท่ฟี ง ได คือ รูวา ผูพดู ตองการ สอ่ื สารอะไร เปนประเด็นสาํ คญั และรูวาอะไรคือประเดน็ รองทท่ี าํ หนา ท่ีขยายประเด็น สาํ คญั การฟง เชน นเ้ี ปน การฟง เพอ่ื จบั ใจความสาํ คญั และใจความรอง รวมถงึ รายละเอยี ด ของเรอ่ื ง 74 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๔) ย่อจดหมำยโตต้ อบ สำร หนงั สอื รำชกำร1 ให้บอกประเภท เป็นของใคร เลขทเ่ี ทา่ ไร 1. นกั เรียนรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเดน็ ลงวันทเี่ ท่าไร ถึงใคร เรอ่ื งอะไร ดงั นี้ ตอ ไปนี้ • นักเรยี นบอกความหมายของการเขยี น ยอ่ หนังสือราชการของ .................................................. เลขท่ี .................................. ลงวนั ท่ ี ......................... ยอ ความ ถึง เร่อื ง ................................................................................................... (แนวตอบ การยอความ หมายถึง การลดให ................................................................................. สน้ั โดยการเรียบเรียงและนาํ เสนอเฉพาะ ใจความสําคัญอยา งยอ ๆ เพือ่ ใหส ามารถ ความวา่ ....................................................................................................................................................................................... ทําความเขา ใจเน้ือหาไดอ ยางรวดเร็ว มีสาระ ถูกตอ ง ครบถว น และสมบรู ณต ามเรื่องเดิม) ......................................................................................................................................................................................................... • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นยอ ความตอ ง คํานงึ ถงึ รปู แบบการเขียนในประเด็นใดบาง หมายเหตุ ในการย่อจดหมายหลายฉบับติดต่อกันให้ใช้แบบขึ้นต้นจดหมายเฉพาะฉบับ อยา งไร แรก ส่วนฉบับต่อๆ ไปให้ย่อต่อจากฉบับแรกโดยใช้ค�าพูดเช่ือมต่อกัน เช่น บอกว่าใครตอบ (แนวตอบ การยอ ความมีรูปแบบเฉพาะท่มี ี เม่อื ไร ความว่าอยา่ งไร ความแตกตา งกัน ขนึ้ อยกู บั ประเภทของ ๕) ย่อรำยงำน พระรำชดำ� ร2ัส โอวำท3 สุนทรพจน4์ ปำฐกถำ5 ให้บอกประเภท ของใคร เนื้อหาท่จี ะนํามาใชในการยอ ความ โดย มแี ก่ใคร เร่ืองอะไร เนอื่ งในโอกาสใด ที่ไหน เม่อื ไร ดังน้ี รปู แบบการยอความประกอบดวย 2 สวน คอื สวนที่ 1 สวนขึน้ ตน หรือสวนนาํ ย่อ ........................................................ ของ .................................................... (แสดง ให้ พระราชทาน) แก ่ เปนสว นท่รี ะบทุ ม่ี าของเรอ่ื ง และสว นที่ 2 เรื่อง เนอ่ื งใน ........................................................ สว นเนอ้ื ความ เปน สวนเนื้อหาทไี่ ดจ ากการ .................................................................... .......................................... ยอเรื่องทอ่ี านหรือฟง) ณ .................................................... วนั ท ่ี ...................... (ถา้ ยอ่ จากหนงั สอื ใหล้ งชอื่ หนงั สอื ปที พี่ มิ พ ์ และเลขหนา้ ) 2. ครูสุมนกั เรยี น 6 คน ออกมานําเสนอโครงสรา ง ความว่า ....................................................................................................................................................................................... ของยอความในรูปแบบตา งๆ ทงั้ 6 รูปแบบ ไดแ ก ......................................................................................................................................................................................................... • ยอความเรยี งรอ ยแกว ธรรมดา • ยอ ความเรียงที่ตดั ตอนมา ถา้ เปน็ การยอ่ รายงานท่มี คี �าปราศรัยของผตู้ อบรบั รายงานด้วย อาจย่อเปน็ รูปแบบ ดังน้ี • ยอ ประกาศแจง ความแถลงการณ ระเบียบ ย่อรายงานของ ............................................................................. ใน ........................................................................ เรอ่ื ง คาํ สั่ง กําหนดการ ฯลฯ ....................................................................... และคา� ปราศรยั ของ ความวา่ ................................................................................. • ยอจดหมายโตต อบ สาร หนงั สอื ราชการ • ยอ รายงาน พระราชดาํ รัส โอวาท สนุ ทรพจน ......................................................................................................................................................................................................... ปาฐกถา • ยอบทรอ ยกรอง ........................................................................................................................................................................................................ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (ผตู้ อบ) กลา่ วตอบวา่ ............................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................................... ๖) ย่อบทร้อยกรอง ให้บอกย่อเรอ่ื งอะไร ใช้คา� ประพันธ์ประเภทใด ใครเปน็ ผแู้ ต่ง จาก หนังสอื อะไร หน้าใด ดงั น้ี ยอ่ เรื่อง ......................................................... ประเภทค�าประพันธ์ .............................................................. ของ จากหนงั สอื หนา้...................................................................... ..................................................... ................................... ความวา่ ................................................................................................................................................................................ ......................................................................................................................................................................................................... 75 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู ขอ ใดใชภาษาสอดคลองกับลกั ษณะการเขียนยอความมากทส่ี ดุ 1 หนงั สือราชการ เอกสารท่เี ปนหลกั ฐานในราชการ ไดแก หนงั สอื ทีม่ ีไปมา 1. พ่ีกุงสบตาพี่กอลฟไมว างตา ระหวางสวนราชการ หนงั สือที่สว นราชการมไี ปถึงหนวยงานอ่นื ซ่งึ ไมใชสวน 2. เธอเปน คนสวยอยา งรายกาจ ราชการ หนงั สอื ที่หนวยงานอน่ื ซง่ึ ไมใ ชสว นราชการหรือท่ีบุคคลภายนอกมมี าถงึ 3. ปก ชงกาแฟไดอรอ ยเลศิ ลํ้า สวนราชการ เอกสารท่ีทางราชการจัดทาํ ข้ึนเพือ่ เปน หลักฐาน และเอกสารท่ีทาง 4. เขาไปลอยกระทงกับเพ่อื นๆ ราชการจดั ทาํ ขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรอื ขอบังคบั 2 พระราชดาํ รสั เปน คาํ ราชาศัพทใ ชก บั พระมหากษัตรยิ  หมายถึง คําพูด วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เขาไปลอยกระทงกับเพ่อื นๆ เนอ่ื งจากใช 3 โอวาท เปน คาํ ภาษาบาลี หมายถงึ คําแนะนาํ คําตกั เตอื น คํากลา วสอน ภาษาส้นั กระชบั และสอ่ื ความไดช ดั เจน สวนขออ่นื ๆ ใชภ าษาฟมุ เฟอ ย สังเกตจากสาํ นวนตา งๆ ท่นี ํามาขยายประโยค 4 สนุ ทรพจน คําพดู ที่ประธานหรอื บุคคลสาํ คญั เปน ตน กลาวในพธิ ีการหรือใน โอกาสสําคญั ตา งๆ เชน นายกรฐั มนตรกี ลาวสุนทรพจนในทปี่ ระชมุ สมชั ชาใหญ สหประชาชาติ เปน ตน 755 ปาฐกถา ถอ ยคําหรอื เร่ืองราวที่บรรยายในท่ีชมุ นมุ ชน คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนจับคู จากน้นั ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คู ตวั อย่าง บทร้อยกรอง นมัสการอาจริยคุณ รวมกันตอบคาํ ถามหนา ชน้ั เรยี นในประเดน็ ตอ ไปน้ี อน่ึงข้าคา� นบั นอ้ ม ต่อพระครผู กู้ ารญุ • นักเรียนคิดวา การยอความมคี วามสําคญั โอบเออ้ื และเจอื จนุ อนสุ าสน์ทุกส่งิ สรรพ์ อยา งไร ยงั บ ทราบก็ไดท้ ราบ ทง้ั บุญบาปทกุ สงิ่ อนั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ชีแ้ จงและแบ่งปนั ขยายอตั ถใ์ ห้ชัดเจน ไดอยางหลากหลายขน้ึ อยกู ับเหตุผลของ จติ มากดว้ ยเมตตา และกรณุ า บ เอยี งเอน นกั เรยี น เปน ตน วา 1. ชวยประหยดั เวลาของ เหมอื นท่านมาแกล้งเกณฑ ์ ให้ฉลาดและแหลมคม ผูอา น การยอความชว ยใหนักเรยี นสามารถ ขจดั เขลาบรรเทาโม- หะจติ มืดทงี่ นุ งม ตดิ ตามเร่อื งราวไดอยางรวดเรว็ โดยใชเวลา กังขา ณ อารมณ์ กส็ ว่างกระจา่ งใจ ไมน าน 2. ชวยใหเขา ใจเรือ่ งทมี่ ีเน้ือหามาก คุณสว่ นนคี้ วรนบั ถอื ว่าเลิศ ณ แดนไตร เนื้อหายาก หรือมีความซับซอนไดด ขี ้นึ ชว ย ควรนกึ และตรึกใน จิตน้อมนยิ มชม ใหเ รียบเรียงเน้ือหาไดง ายขนึ้ และชวยในการ ทําความเขา ใจเน้อื เร่อื งไดชดั เจนย่งิ ข้นึ 3. (นมัสการอาจารยิ คณุ : นอ้ ย อาจารยางกูร) ชว ยใหเ ขาใจสาระสําคญั สามารถจบั ประเด็น ไดอ ยา งครบถว น ถกู ตอง และมีความสมบรู ณ ย่อความเร่อื ง นมัสการอาจรยิ าคุณ ประเภทค�าประพนั ธ์ อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๑๑ ของ มากย่งิ ขึ้น 4. ชว ยใหผ อู านเรอ่ื งยอรับรู พระยาศรสี ุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จากหนังสือเรียนวรรณคดวี ิจกั ษ์ หน้า ๑๕ ความวา่ เรื่องราวเบื้องตน และนําไปใชป ระโยชนได) บทรอ้ ยกรองบทน้ี กล่าวถงึ การทีค่ รูอาจารย์สอนศิษย์ให้พ้นจากความโง่เขลา ความ • นกั เรียนคิดวา การยอ ความมีประโยชนต อ ไม่รู้ ความมัวเมาในสิ่งผิด เพ่ือจะได้เป็นคนดีในสังคม ครูเป็นบุคคลท่ีเปี่ยมไปด้วยความเมตตา การเรียนของนกั เรยี นอยางไร กรณุ า จึงสอนศิษย์ทั้งโดยการอธิบายและการแบง่ ปนั หรอื การให้วิชาความรู้โดยไมห่ วง ด้วยเหตุน้ี (แนวตอบ เปนตน วา การเขยี นยอ ความเปน จึงถือวา่ พระคุณของครูนน้ั ยงิ่ ใหญ่ในสามโลก ไม่ว่าจะเป็นมนษุ ย์ สวรรค ์ หรือบาดาล ควรท่ีศิษย์ ทกั ษะการใชภ าษาท่ีตอ งอาศยั ทกั ษะการ จะกตญั ญรู คู้ ณุ ใชภ าษาท้งั ทักษะการอาน การฟง และการ เขียนประกอบกนั การเขาใจลักษณะเนอ้ื หา ๒.๒ ความสา� คญั ของการยอ่ ความ และการจับใจความสาํ คญั จึงเปนการพัฒนา ทกั ษะในการคิดทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั การสื่อสารและ การยอ่ ความมีความส�าคัญและมีประโยชน์ ดงั นี้ พฒั นาความรูค วามสามารถของนักเรยี น) ๑. ช่วยประหยดั เวลาของผู้อ่าน เร่อื งท่มี คี วามยาวมากตอ้ งใชเ้ วลาอ่านนาน การย่อความ จะทา� ให้ติดตามเร่ืองไดร้ วดเรว็ โดยใช้เวลาไม่มากนัก 2. นักเรียนแตละคสู รุปความเขาใจในรปู แบบผงั ๒. ช่วยให้เข้าใจเรื่องที่มีเนื้อหามาก เนื้อหายาก หรือมีความซับซ้อนได้ดีขึ้น เร่ืองที่มี มโนทศั น ความซบั ซอ้ นและยงุ่ ยาก อาจทา� ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความสบั สนได้ การยอ่ ความจงึ ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเรยี บเรยี ง เน้อื เรื่องไดง้ ่ายขึ้น และชว่ ยใหท้ า� ความเข้าใจเร่อื งได้ดขี ้นึ 76 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั สาระสําคญั จากเรอื่ งท่อี าน ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมการเขยี นยอ ความน้ัน ครูผูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรูค วาม 1) ปจ จุบนั หัตถกรรมท่ผี ลติ จากกระดาษเสนใยพชื กาํ ลงั ไดร ับความนิยม เขา ใจเกย่ี วกับทกั ษะกระบวนการจัดระบบความคดิ ของนกั เรยี นในการยอ ความ อยา งกวางขวาง นอกจากกระดาษสาแลว ยังมีเสนใยจากพชื อื่นๆ อีก เชน ดว ยการใหนักเรยี นศกึ ษาคน ควา เน้อื หาเก่ยี วกับการยอความ โดยทําความเขาใจ ใยสบั ปะรด กาบกลว ย เปลือกขา วโพด มูลชา ง ฟางขา ว ผักตบชวา ฯลฯ / โครงสรางของเนอื้ หาเรื่องราวทีป่ รากฏในหนงั สือเรียน จากน้ันประเมนิ คุณคาดาน 2) เพราะเปน ผลติ ภณั ฑทแี่ ลเหน็ ความสวยงามของเสน ใยจากธรรมชาติ / 3) เนอื้ หาในการยอ ความจากหนงั สอื เรียนกอนเปน อนั ดบั แรก การเรียนรูก ารประเมินคา วสั ดุจากธรรมชาตเิ หลา น้ีมอี ยูมากมายในเมืองไทย เปน การเพิม่ มลู คา ดว ยวิธี งานเขยี น จะชวยใหนักเรยี นสามารถพจิ ารณางานเขียนแตล ะประเภทวา มีความ งายๆ จากภมู ปิ ญญาทอ งถนิ่ / 4) ลงทุนนอ ยเกดิ ประโยชนตอส่งิ แวดลอม สมบรู ณท งั้ ในดา นเนอ้ื หา ภาษา และรปู แบบหรอื ไม อยา งไร มแี นวทางในการปรบั ปรงุ มกี ารสรางงานสรา งรายไดใ หแ กทอ งถิ่น เน้อื หาดงั กลา วหรือไม อยางไร โดยนักเรียนนาํ องคความรูทัง้ หมดของนกั เรยี นทีม่ อี ยู สว นใดเปนสาระสําคญั ของขอ ความขา งตน มาใชใ นการตัง้ สมมตฐิ านการเรยี นรู จากนน้ั จึงทําการวเิ คราะหเ นื้อหา กระบวนการ 1. สวนท่ี 1 และ 2 2. สว นที่ 2 และ 3 ดงั กลา ว ชวยใหน กั เรยี นพฒั นาทักษะของตนเอง เพอื่ เติมเตม็ จุดบกพรอ งของตนเอง 3. สว นท่ี 3 และ 4 4. สว นที่ 4 และ 1 ได เชน นักเรียนขาดทักษะความรูใ นการจับประเดน็ ทักษะการเรียบเรียงความคิด วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. สว นท่ี 3 และ 4 เพราะเปนสวนท่แี สดง ผา นภาษายงั ไมด พี อ เปนตน คุณประโยชนข องการผลิตกระดาษจากเสน ใยธรรมชาติ แตสวนที่ 1 และ 2 เปนการขยายรายละเอียดและใหเ หตผุ ลสนับสนุน 76 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓. ช่วยให้เข้าใจสาระส�าคัญ การย่อความช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็นส�าคัญของเร่ืองได้ 1. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย สมบูรณ์ ครบถ้วน และถูกตอ้ งได้งา่ ยข้นึ ความรูใ นประเดน็ ตอ ไปน้ี ๔. ช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้อ่านจากต้นฉบับจริงได้รับประโยชน์จากการอ่าน การติดตามสาระ • นักเรียนคิดวา หลกั การเขยี นยอ ความตอ ง ความรู้ด้วยการอ่านเร่ืองย่อโดยไม่ได้อ่านจากต้นฉบับจริง สามารถท�าให้ผู้อ่านรับรู้เร่ืองราวได ้ อาศัยทกั ษะในการสอ่ื สารทกั ษะใดเปน อยา่ งคร่าวๆ แตส่ ามารถพิจารณาเนอื้ หา และน�าประโยชน์ไปใช้ได้ สาํ คัญ (แนวตอบ ทักษะดา นการอา นซงึ่ เปนทักษะ ๒.๓ หลกั การยอ่ ความ ดานการรบั สารและทกั ษะดา นการเขียนซึง่ เปน ทักษะดา นการสงสาร โดยนักเรียนที่ การย่อความ ประกอบดว้ ยทักษะส�าคญั ๒ ประการ คอื การอา่ นและการเขียน ตองการเขียนยอความตอ งอาศยั ทักษะใน ๑) กำรอ่ำนเพื่อย่อควำม เป็นการอ่านแบบสรุปความ หรือการอ่านจับใจความส�าคัญ การสอ่ื สารท้งั สองทกั ษะมาประกอบกัน เพอื่ ของเรอื่ ง ซึ่งมีขั้นตอน ดงั น้ี ใหส ามารถสื่อสารไดบ รรลุผล) ๑. อา่ นเรอื่ งทจี่ ะเขยี นยอ่ ความทง้ั หมดอยา่ งละเอยี ด เพอื่ ใหท้ ราบวา่ เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั • นักเรยี นคิดวา นกั เรียนมหี ลักการอา น อะไร ใคร ทา� อะไร ที่ไหน เมอื่ ไร อยา่ งไร สาํ หรับการยอ ความอยา งไร ๒. แยกอา่ นและทา� ความเขา้ ใจเรือ่ งแตล่ ะยอ่ หน้าอย่างละเอียด (แนวตอบ 1. อานเรือ่ งทีจ่ ะเขยี นยอความ ๓. จับความคิดหลัก หรือประโยคใจความส�าคัญในแต่ละย่อหน้า ความคิดหลัก อยา งละเอยี ด เพอ่ื ใหท ราบรายละเอียดของ หมายถงึ ความร ู้ ความคดิ ท่ีผู้เขียนเสนอตอ่ ผอู้ ่าน ในแต่ละย่อหน้าจะต้องมคี วามคดิ หลกั ท่ีผอู้ า่ น เหตุการณใ นเรอ่ื งวา ใคร ทําอะไร ท่ีไหน สรุปไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี ว ซ่ึงมกั แสดงด้วยประโยคใจความสา� คัญซึ่งอาจอย่ตู ้นย่อหน้า กลางยอ่ หนา้ เม่ือไร และอยางไร 2. อานทาํ ความเขาใจ หรือท้ายย่อหน้า ส่วนประกอบอ่ืนๆ ได้แก่ ประโยคขยายความหรือพลความ ซึ่งท�าหน้าท่ีขยาย เนื้อหาแตละยอ หนา อยา งละเอียด 3. อา น ใจความส�าคัญ หรือความคิดหลักในย่อหน้าเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนย่ิงข้ึน เช่น รายละเอียด เก็บใจความสําคญั ของเนอ้ื หาอยางละเอยี ด ขอ้ เปรียบเทียบ ตวั อยา่ ง ย่อหน้าบางแบบอาจมคี วามคิดหลักแตไ่ ม่มีประโยคใจความสา� คญั มีแต่ พจิ ารณาใจความหลักและใจความรอง ประโยคขยายความเรยี งต่อเนื่องกนั ไป รวมถงึ พิจารณาสาระสาํ คัญโดยรวมของเร่อื ง ๒) กำรเขียนเพ่ือย่อควำม เป็นการเรียบเรียงสาระส�าคัญที่บันทึกไว้จากการอ่าน โดย ทอี่ านดวย) มีหลัก ดงั นี้ • นักเรียนคิดวา ขนาดของยอ ความควรมี ๒.๑) ขอ้ ความท่ยี ่อ ความยาวเทา ใด เพราะเหตใุ ดจึงเปน เชน นั้น ๑. มีเฉพาะสาระส�าคญั คอื ความคดิ หลัก ส่วนที่เปน็ พลความตดั ออกทง้ั หมด (แนวตอบ พจิ ารณาตามความเหมาะสม ๒. ในกรณีท่ีสาระส�าคัญซ�้ากันหลายๆ แห่ง เม่ือน�ามาเรียบเรียงให้กล่าว ของใจความสาํ คัญ โดยปกตมิ ักมเี นอื้ หา เพยี งครง้ั เดียว ประมาณรอยละ 20-30 ของเนอื้ หาเดิม ๓. ครอบคลมุ ประเดน็ สา� คญั ของเรอื่ งไดค้ รบถว้ น สมบรู ณ ์ ถกู ตอ้ งตามเรอื่ งเดมิ หากยอสน้ั เกนิ ไปจะไมไดใ จความครบถวน) ๔. ข้อความที่เป็นค�าพูดอยู่ในเคร่ืองหมายอัญประกาศ ถ้าไม่ใช่ประเด็นส�าคัญ ใหต้ ดั ออก ถ้าเปน็ ประเด็นสา� คัญให้สรปุ สัน้ ๆ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 77 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การจบั ประเดน็ จากเรือ่ งท่อี า น ในการปฏิบัติการเขยี นยอ ความน้นั ครผู สู อนควรเพม่ิ เตมิ ความรูค วามเขา ใจ ขอ ใดทขี่ อ ความตอ ไปนี้ไมไดก ลา วถงึ เก่ยี วกับทกั ษะกระบวนการจัดระบบความคดิ ในการยอความ เพื่อชวยใหน กั เรียน ผลติ ภณั ฑปโตรเคมชี วยใหเรามีของใชที่น่ิมข้ึน เบาข้นึ ยืดหยุนขึน้ สามารถยอความไดอยางมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล โดยมีเทคนคิ วิธีการในการ จับประเด็นจากการฟงและการอาน โดยมีวิธกี าร ดังตอไปน้ี สามารถทาํ รปู แบบและสสี นั ไดหลากหลายดังใจ สามารถใชแทนวัสดธุ รรมชาติ เชน ไม ซึ่งเปน ทรพั ยากรธรรมชาตทิ นี่ ับวันจะรอยหรอลงไปทุกที 1. นักเรียนควรตั้งใจฟงหรอื อาน และฟงหรืออา นเรือ่ งราวใหเ ขา ใจ พยายาม จบั ใจความสาํ คญั ของเรอ่ื งในแตล ะตอนวา มเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั อะไร มเี หตกุ ารณใ ด 1. ขอเดนของผลิตภณั ฑปโตรเคมี เกิดขน้ึ บา ง ใครทําอะไร ท่ไี หน เมอื่ ไร อยา งไร โดยอา น ฟง และดใู หเ ขาใจ 2. ประโยชนของผลติ ภณั ฑปโตรเคมี อยางนอ ย 2 เท่ียว เพือ่ ใหไ ดแนวคดิ ที่สาํ คัญ 3. ประเภทของผลิตภณั ฑปโตรเคมี 4. ความสาํ คญั ของผลิตภณั ฑป โ ตรเคมี 2. ฟงหรอื อานเรอ่ื งราวทีเ่ ปน ใจความสาํ คัญแลวหารายละเอียดของเร่ืองทีเ่ ปน ลกั ษณะปลกี ยอยของใจความสําคัญ หรือทเ่ี ปน สว นขยายใจความสาํ คัญ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ประเภทของผลติ ภณั ฑปโ ตรเคมี ไมปรากฏ สรุปความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสาํ คัญอยางครบถวน บันทกึ ดว ยขอ ความ ทีก่ ะทดั รัดและชัดเจนเขยี นรา งขอ ความส้นั ๆ ท่จี ดไว ขัดเกลาและตบแตง ในขอ ความที่ยกมาขา งตน แตป รากฏขอความในขอ อืน่ ๆ รางขอ ความสอ่ื ความหมายไดแ จม แจงชดั เจน คมู อื ครู 77

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรวมกันระดมความคิดดวยการตอบ ๕. ข้อความท่ีย่อเรียงล�าดับอย่างไรก็ได้ให้อ่านเข้าใจง่าย ไม่จ�าเป็นต้องเรียง คาํ ถาม ตอ ไปน้ี ลา� ดับตามเร่อื งเดมิ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นยอความมีหลักการ ๒.๒) ส�านวนภาษา หรือวิธีการในการเขยี นอยางไร (แนวตอบ เรยี บเรยี งใจความสําคัญ ๑. ใช้ส�านวนภาษาของผู้ย่อ โดยเป็นการเรียบเรียงเนื้อความใหม่ ไม่ควรใช ้ วัตถปุ ระสงคของขอความ หรอื ความคดิ หลัก ส�านวนภาษาของเร่อื งเดิม และตอ้ งไมต่ ดั ต่อประโยคใจความสา� คญั ของตน้ ฉบบั ของเรือ่ งที่อาน สว นทเี่ ปนพลความควรตัดออก ห รอื ใช้ส รรพ นาม 1บ๒รุ ษุ. ทเร่ ี ยี ๓บ เหร้าียมงเใปช็น้สรเรรื่อพงนราามวใบนุรรษุ ูปทแ ี่ บ๑บ แร้อลยะ แ๒ก ้วใ นถก้าาจระยก่อลคา่ ววาถมึงบุคคลอื่น ใหใ้ ชช้ อ่ื เขียนเรียบเรยี งใหครอบคลุมประเด็นสาํ คัญ ๓. ใชส้ �านวนภาษาที่ด ี มีความกะทัดรัด ชัดเจน สละสลวย น่าอา่ น และถูกตอ้ ง ของเรอื่ งอยา งครบถวน) ตามหลกั การใชภ้ าษา เช่น การใชร้ าชาศพั ท์ • นกั เรยี นคดิ วา การเขียนยอ ความมีหลกั การใช ๔. สา� นวนภาษาหรือค�ายาก ค�ายาว ในเรื่องเดิมใหเ้ ปลี่ยนมาใช้ค�าธรรมดา ภาษาอยางไร อกั ษรยอ่ นน้ั เปน็ ท่รี๕ู้จ.กั ไกมัน่จแ�าพเปร็น่หตลา้อยง ใเชช้อ่นัก ษกรทยม่อ. ในรสขช้อ2.ค รว.าสม.พท.3ี่ย ท่อ ทนทอ. กจากช่ือเดิมจะยาวมากและ (แนวตอบ นกั เรยี นควรเรียบเรยี งโดยใชสํานวน ๖. ถ้าเรื่องเดิมเป็นรอ้ ยกรองให้ยอ่ ความเปน็ รอ้ ยแก้ว ภาษาของตนเอง ใหใ ชสรรพนามบุรษุ ที่ 3 ๗. ใช้ส�านวนภาษาท่ีคงไว้ซ่ึงลีลาหรือน�้าเสียงให้เหมือนเดิม เช่น ความรู้สึก แทนการใชสรรพนามบรุ ุษท่ี 1 และ 2 ท่ี สะเทอื นใจ ปรากฏในเรอ่ื ง โดยเรียบเรียงดวยภาษาระดบั ๒.๓) ความยาวของย่อความ ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนว่า ย่อความควรมีสัดส่วนเหลือ ทางการหรอื กง่ึ ทางการ โดยไมจําเปน ตองเรียง เทา่ ไรจากเรื่องเดิม หรือเร่ืองขนาดใด ควรย่อใหส้ ้ันเทา่ ใด ข้นึ อยกู่ บั ความต้องการและการนา� ไป ลาํ ดบั เรอื่ งตามเร่อื งเดิม เนน ภาษาท่กี ระชับ ใช้ประโยชน ์ และทส่ี �าคญั คอื สาระสา� คัญและพลความในเร่อื งเดิม ชัดเจน และถูกตอง) หากเร่อื งใดมสี าระสา� คัญมาก พลความน้อย ยอ่ ความกจ็ ะไม่สน้ั คือ ประมาณ ๑ ใน ๒ ของเรอื่ งเดิม เพราะถา้ ย่อสัน้ มากไป จะไมไ่ ด้ใจความครบถ้วนตามเรือ่ งเดิม 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด การย่อความเป็นทักษะอย่างหนึ่งท่ีต้องอาศัยการฝึกฝน ผู้ที่มีความสามารถในการ เขียนเป็นอย่างดีมักเป็นผู้ที่มีทักษะในการอ่านที่ดีด้วย ทั้งน้ีเพราะคนท่ีอ่านได้เข้าใจถูกต้อง ขยายความเขา ใจ Expand สามารถจับใจความส�าคัญได้จะเป็นคนท่ีมีความคิดกระจ่าง และสามารถเขียนสื่อสารความคิด ของตนไดอ้ ย่างชดั เจน ดังน้นั ความสามารถในการอ่านจึงควบคู่ไปกบั ความสามารถในการเขยี น ครูจัดทาํ สลากจํานวน 6 หมายเลข ใหน กั เรียน การอ่านเพื่อให้มีทักษะในการจับใจความแล้วน�ามาเขียนย่อความได้อย่างชัดเจน จึงต้องอาศัย จับสลากเลือกหัวขอในการยอ ความ จากนั้นให การฝึกฝนโดยปฏิบัติตามหลักการย่อความข้างต้น ซึ่งช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการอ่านและเขียน นกั เรียนคน หางานเขยี นแตละประเภท พรอมเขยี น ย่อความมากขนึ้ ยอความตามโครงสรางการเขียนยอ ความในหนา 74-75 และตามแนวทางการเขยี นยอความท่นี ักเรยี น ไดเ รียนมา ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับการ 78 ยอ ความได 2. นักเรียนสามารถเขยี นยอความจากงานเขยี น ประเภทตา งๆ ได นกั เรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การจบั ใจความสาํ คัญจากเร่ืองท่อี า น 1 สรรพนาม การใชค าํ สรรพนามในการเขียนยอความ นักเรยี นตองมีความ ขอใดเปน ใจความสําคญั ของขอ ความตอไปนี้ ระมดั ระวงั อยา งย่ิง ในการเขียนยอความผูเขียนควรใชส รรพนามบรุ ษุ ที่ 3 แทนบคุ คล อาหารญ่ปี นุ ทเ่ี ดนๆ คือ ปลาซ่ึงมีโปรตนี ทีด่ ีกวาเนือ้ สตั วช นิดอ่นื เพราะ อ่ืนๆ ท่กี ลาวถึง โดยสรรพนามท่ีใชในการพดู มี 3 ชนดิ ดังตอ ไปนี้ 1. สรรพนาม มีโอเมกา 3 ซ่ึงชว ยลดอัตราเส่ียงตอ โรคหวั ใจและโรคหลอดเลอื ด และยังมี บรุ ษุ ที่ 1 ใชแ ทนผสู ง สาร (ผพู ดู ) เชน ฉนั ดิฉัน ผม ขาพเจา เรา หนู เปนตน วติ ามิน เกลอื แรมาก อีกทัง้ อาหารญป่ี ุนมกั ใชสาหรา ยเปนสวนประกอบหลกั 2. สรรพนามบรุ ษุ ที่ 2 ใชแ ทนผรู ับสาร (ผทู พี่ ูดดว ย) เชน ทาน คณุ เธอ แก ใตเทา ซง่ึ มีท้ังโปรตนี ไอโอดนี และใยอาหาร จึงชว ยเร่ืองการยอ ยและระบบขบั ถาย เปนตน 3. สรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแ ทนผทู ี่กลาวถึง เชน ทา น เขา มัน เธอ แก เปนตน 1. อาหารญ่ปี นุ มคี ุณคาทางโภชนาการสูง 2 รสช. ยอมาจาก คณะรักษาความสงบเรียบรอ ยแหง ชาติ หรอื รสช. (National 2. อาหารญีป่ ุนใหโปรตีนสงู กวาอาหารชาตอิ ื่น Peace Keeping Council - NPKC) เปน คณะนายทหารทกี่ อ การรฐั ประหาร ยดึ 3. อาหารญปี่ ุน ชวยรกั ษาโรคตางๆ อาํ นาจจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวณั เม่อื วนั ท่ี 23 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ. 2534 4. อาหารญปี่ ุน ชวยควบคุมน้ําหนกั ได 3 ร.ส.พ. ยอ มาจาก องคก ารรบั สงสินคา และพัสดุภัณฑเปนหนว ยงานรัฐวิสาหกิจ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อาหารญปี่ ุน มคี ุณคา ทางโภชนาการสูง ในอดตี ของไทย ภายใตก ารกาํ กับดูแลของกระทรวงคมนาคม มหี นา ที่ดําเนนิ กิจการ เปนคําตอบที่ครอบคลมุ เนือ้ หาทง้ั หมด สารอาหารในอาหารญ่ีปุนประกอบ ขนสง สินคา ใหบริการแกหนวยงานราชการ และประชาชนท่วั ไป ดว ยโปรตีน วติ ามนิ เกลอื แร รวมทั้งโปรตีน ไอโอดีน และใยอาหาร 78 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การเขียนจดหมาย ครสู นทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดังตอไปน้ี ปจ จุบนั โลกมีการพัฒนาทางการสื่อสารโทรคมนาคมไดสะดวกและรวดเร็ว สามารถพูดคุย หรือสงขอมูลโตตอบกันไดในทันที แตการส่ือสารผานจดหมายก็ยังคงมีความสําคัญตอการ • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นจดหมายยังคงมี สอ่ื สารในชวี ติ ประจาํ วัน จดหมายท่ีใชสอ่ื สารกนั อยูทุกวันนแี้ บง ออกเปน ๔ ประเภท ดงั น้ี ความสําคัญตอ การส่อื สารในโลกปจจุบนั ท่ีมี ความกาวหนาดา นเทคโนโลยใี นการสือ่ สาร ๑) จดหมายสวนตัว เปนจดหมายท่ีเขียนติดตอระหวางบุคคลท่ีคุนเคยกัน ญาติสนิท หรอื ไม อยา งไร ครู อาจารย เพื่อไตถามทุกขสุขสว นตวั เลาเรื่องราวที่พบเหน็ มา แสดงความเสยี ใจ แสดงความ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ยินดี ขอบคณุ หรือแจงกิจธุระบางอยางที่มีความเกยี่ วขอ งกันระหวางผสู งกบั ผูรบั ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตผุ ลของ นกั เรียน) ๒) จดหมายธุรกิจ เปนจดหมายที่เขียนติดตอกันระหวางบริษัท หางราน และองคกร ตางๆ เพื่อตดิ ตอ กันในเรอื่ งเกยี่ วกบั ธรุ กจิ พาณิชยกรรม และการเงิน สาํ รวจคน หา Explore ๓) จดหมายกิจธรุ ะ เปนจดหมายทบี่ คุ คลเขยี นติดตอ กบั บุคคลอ่นื หรอื ระหวางบุคคลกับ นกั เรยี นสบื คนเกย่ี วกับความหมาย รูปแบบ บรษิ ัท หา งรา น องคก ร เพ่อื แจงธุระตางๆ เชน นัดหมาย ขอสมคั รงาน ขอทราบผลการสอบ และแนวทางการเขียนจดหมายประเภทตางๆ ดงั นี้ บรรจพุ นักงาน ขอความชวยเหลอื และขอคาํ แนะนาํ เพ่อื ประโยชนในดานการงานตา งๆ • จดหมายสวนตัว ๔) จดหมายราชการ หรือท่ีเรียกวาหนังสือราชการ เปนจดหมายที่เขียนติดตอกัน • จดหมายธุรกิจ ระหวางสวนราชการตางๆ หรือบุคคลเขียนไปถึงสวนราชการ หรือสวนราชการมีไปถึงสวน • จดหมายกจิ ธรุ ะ ราชการดวยกันเอง หรือมีไปถึงตัวบุคคล การเขียนจดหมายราชการตองคํานึงถึงแบบของ • จดหมายราชการ หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณดวย ขอความในหนังสือดังกลาวถือเปนหลักฐานทาง ราชการ มสี ภาพผกู มัดถาวร ดงั นัน้ จงึ ควรเขียนใหก ระจา งและชดั เจน อธบิ ายความรู Explain ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 1. นักเรียนนําตัวอยางจดหมายทงั้ 4 ประเภท มา อธิบายใหเ พื่อนฟง จากนน้ั รวมกันตอบคําถาม ...จึงเรยี นเชญิ ทานเปนวิทยากรเพ่อื แสดงปาฐกถา เรอ่ื ง “การใชภาษาไทย ตอไปนี้ ในชวี ิตประจําวัน” แกส มาชิกชมรมวิชาภาษาไทย... • นักเรยี นคิดวา การแบง ประเภทของ ขอใดกลา วถงึ ลกั ษณะเนือ้ ความในจดหมายไดถ กู ตอ งทีส่ ดุ จดหมายออกเปน 4 ประเภท ไดแ ก 1. สงขา วเหตุการณ จดหมายสวนตวั จดหมายธรุ กิจ จดหมาย 2. ขอความรว มมอื กิจธรุ ะ และจดหมายราชการ เปน การแบง 3. มเี ร่ืองปรกึ ษา ประเภทของจดหมายโดยยดึ อะไรเปนเกณฑ 4. สมานไมตรี ในการแบง (แนวตอบ ยึดวตั ถปุ ระสงคในการสือ่ สารเปน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ขอความรว มมือ เปนการเขียนจดหมายโดย เกณฑใ นการแบงประเภทของจดหมาย ซง่ึ วตั ถปุ ระสงคเ ปน ตัวกําหนดเนอ้ื หา ภาษา มจี ุดมุงหมายเพ่ือขอความรว มมือและความอนุเคราะหจ ากหนวยงานหรอื บคุ คล สอดคลอ งกับเนอื้ ความท่ีหยิบยกมาขา งตนมากทสี่ ดุ ๗๙ รวมถงึ รูปแบบวิธกี ารในการสือ่ สาร) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู ในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการเขียนจดหมายน้ัน ครผู สู อนควรเพิ่มเตมิ ความรูความ เขา ใจเก่ยี วกบั ความรูเ บ้ืองตน ในการเขียนจดหมาย การตดิ ตอสือ่ สารผา นจดหมาย เปนการตดิ ตอ กับบคุ คลอน่ื เพอ่ื ขอความรวมมือชว ยเหลอื ท้ังการติดตอสว นตัว และการติดตอกจิ ธรุ ะ ซ่ึงมีลักษณะของเน้ือหาแตกตางกนั ไป ไมวาจะเปน การสง ขาวเหตกุ ารณ การเชอื่ มความสมั พันธ การสนทนาปราศรัย การใหคาํ แนะนาํ และ กจิ กรรมทัว่ ไป จดหมายแตล ะประเภทลวนมีวัตถปุ ระสงคหรือจดุ มุงหมายในการ ตดิ ตอส่อื สารทม่ี ีความแตกตา งกนั ไป ลักษณะการใชภาษาในการเขียนจดหมายจึงมี ความแตกตางกัน ครคู วรชแี้ นะวา นอกจากผเู ขียนจะมคี วามรคู วามเขาใจเกีย่ วกับการใชภาษาไทย เปน อยา งดี ทงั้ ในเรือ่ งคํา วลี ประโยค สาํ นวนภาษา ระดบั ภาษา รวมถึงทกั ษะ การเขียนเบอ้ื งตน แลว ผูเขยี นควรมีความรูเ ก่ยี วกับรูปแบบการเขยี นจดหมายกจิ ธุระ ลักษณะตางๆ และนาํ ความรูเ กย่ี วกับการใชภาษาลกั ษณะตางๆ มาปรบั ใช เพ่อื ให การส่อื สารสมั ฤทธิผล คมู ือครู 79

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนจบั คู จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 - 3 คู ตวั อยา่ ง จดหมายราชการ รว มกนั ตอบคําถามหนาชนั้ เรียนในประเด็น ตอไปน้ี คณะโบราณคด ี มหาวิทยาลยั ศิลปากร • นกั เรยี นคิดวา จดหมายทปี่ รากฏในหนา 80 ถนนหนา้ พระลาน กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ เปนจดหมายประเภทใด และนักเรียนมีวธิ ี การสังเกตเบือ้ งตน อยางไร ข อคว ามอนุเคราะห1์บุคลากรเปน็ วิทยาก๑ร๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ (แนวตอบ จดหมายราชการ สังเกตไดจ าก เรื่อง รูปแบบของจดหมาย ซ่ึงมีตราเคร่อื งหมาย เรยี น ผอู้ �านวยการสา� นกั ศิลปากรท่ี ๑๕ ภเู ก็ต ราชการปรากฏบนหวั กระดาษของจดหมาย รวมถึงมีรปู แบบการเขยี นท่ีมีลกั ษณะชัดเจน ด้วยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมกับกรมศิลปากร จัดโครงการเสวนา เปน แบบแผน รวมถงึ มกี ารใชภ าษาสนั้ กระชบั สรรสาระวัฒนธรรม (ปีที่ ๗) ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ - กันยายน ๒๕๔๘ และสามารถสื่อความไดอ ยางตรงไปตรงมา) โดยในเดอื นตลุ าคม ๒๕๔๗ น้ ี ทางคณะฯ จดั บรรยายในวันเสารท์ ่ ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗ ในหัวข้อ • นกั เรียนคดิ วา จดหมายแตละประเภทมี “ยอ้ นเส้นทางสายไหมทางทะเล : ทุ่งตกึ เมืองท่าการคา้ นานาชาต”ิ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. รปู แบบแตกตางกันหรอื ไม และเพราะเหตุใด ณ ห้องประชุมด�ารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ในการน้ีคณะโบราณคดี จดหมายแตละประเภทจึงมรี ูปแบบที่ ใคร่ขอความอนุเคราะห์ให้ ร้อยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ เป็นวิทยากรในการบรรยายเร่ือง แตกตา งกนั “ยอ้ นเสน้ ทางสายไหมทางทะเล : ทงุ่ ตกึ เมอื งทา่ การคา้ นานาชาต”ิ ในวนั เสารท์ ่ี ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๔๗ (แนวตอบ จดหมายแตละประเภทมีรปู แบบท่ี เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุมด�ารงราชานภุ าพ พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ตา งกัน ขน้ึ อยูก ับวัตถุประสงคใ นการเขียน เน่ืองจากวตั ถปุ ระสงคในการสือ่ สารมคี วาม จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดพจิ ารณาด้วย จกั ขอบพระคุณยงิ่ แตกตา งกนั จงึ เปน ตัวกําหนดวธิ ีการสือ่ สาร ทแ่ี ตกตางกนั รวมถึงการสง จดหมายใน ขอแสดงความนับถือ รูปแบบทีเ่ หมาะสมยอ มเปน การใหเกยี รติ ผรู ับจดหมาย สอดคลอ งกับหลกั การส่ือสาร (รองศาสตราจารย์ชนญั วงษ์วภิ าค) โดยคํานึงถงึ ผรู บั สารเปนหลกั และการเขยี น จดหมายตามระเบยี บแบบแผน ยอ มสง ผลดี รองคณบดฝี ่ายกจิ กรรมพิเศษ ตอความสัมพนั ธระหวางผูรับและผูสง ปฏิบตั ริ าชการแทนคณบดีคณะโบราณคดี จดหมายได) ส�านักงานเลขานกุ ารคณะโบราณคดี 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ โทรศพั ท์. ๐-๒๒๒๔-๗๖๘๔ โทรสาร. ๐-๒๒๒๖-๕๓๕๕ จดหมายแต่ละประเภทมีรูปแบบและการใช้ภาษาท่ีแตกต่างกัน ในระดับชั้นน้ีควรฝึก เขยี นจดหมายกจิ ธุระ ซึง่ เปน็ จดหมายทสี่ ามารถน�าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวนั ได้ 80 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การใชภาษาในการสอื่ สารผานเนื้อความ ในการปฏิบัติกจิ กรรมการเขียนจดหมายนั้น ครูผูส อนควรเพิม่ เติมความรคู วาม ในจดหมายกจิ ธุระ เขา ใจเก่ยี วกบั รูปแบบการเขียนจดหมายในลกั ษณะตา งๆ ซึ่งมีจดุ ประสงคใ นการ ขอ ความสว นใดในจดหมายกิจธุระตอ ไปน้ไี มจ ําเปนตองกลา วถงึ สือ่ สารทแ่ี ตกตางกัน ดวยการใหนักเรียนศกึ ษาคน ควาเนอ้ื หาเกีย่ วกับรปู แบบของ 1) ดวยชมรมวิทยาศาสตรจะจัดการแขงขันโตว าทรี ะดับมัธยมศกึ ษาตอน จดหมายจากหนงั สือเรียน จากน้นั ประเมินคณุ คาดานเนือ้ หาในการเขียนจดหมาย ปลาย เนอ่ื งในงานสปั ดาหว ทิ ยาศาสตร ระหวางวนั ที่ 20-22 สิงหาคม 2551 จากหนงั สือเรียน / 2) ซ่ึงการแขงขนั โตวาทจี ําเปน ตองมีคณะกรรมการตัดสินเพอ่ื หาผูชนะ / 3) ในการนี้จึงขอเรียนเชิญทา นเปนกรรมการตัดสนิ การโตวาทรี อบชงิ ชนะเลศิ นกั เรยี นควรรู / 4) ในวนั พุธที่ 22 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00-14.30 น. ณ หอ งประชมุ 1. สว นท่ี 1 2. สวนท่ี 2 1 ขอความอนุเคราะห เปนเน้ือหาในการเขียนจดหมายเพือ่ ขอความรว มมือ 3. สวนท่ี 3 4. สว นที่ 4 ลักษณะหน่งึ ทงั้ จากหนวยงานหรือองคกรตา งๆ ในการเขยี นนน้ั เริ่มตนจากการ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สว นที่ 2 เพราะจดหมายกิจธุระเนน การ ช่ืนชมหนว ยงานหรอื องคก ร จากนน้ั จึงแจง ใหท ราบวาผเู ขยี นกาํ ลงั ดาํ เนนิ กิจกรรมใด สอ่ื สารใหบ รรลุเปาหมายเปนหลกั การเพ่ิมรายละเอยี ดจะมีเฉพาะสวนท่ีมี สง ผลตอสังคมอยา งไร เพอ่ื ใหผ ูร ับใหก ารสนบั สนนุ หรอื เกิดความตอ งการทีจ่ ะให ความจาํ เปนเทาน้ัน การส่อื สารผา นจดหมายกจิ ธุระที่สําเรจ็ ไดน ้นั จะตอ งมี ความชว ยเหลอื จากน้ันจงึ ระบรุ ายละเอยี ดตา งๆ ของส่ิงทตี่ องการขอความรว มมือ การใชภ าษาทถี่ กู ตอ ง กระชับ รดั กุม และตรงประเดน็ ซงึ่ สอดคลอ งกบั สวนท่ี 1 สวนท่ี 3 และสวนที่ 4 สว นในขอที่ 2. ถือเปน สวนเกนิ 80 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ๓.๑ การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ 1. นกั เรียนรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ตอ ไปน้ี จดหมายกจิ ธุระเป็นจดหมายทเี่ ขียนตดิ ตอ่ กับบุคคล หรือองคก์ รตา่ งๆ เชน่ หา้ งร้าน บริษทั • นักเรียนคิดวา ในการเขียนจดหมายเพื่อ สมาคม ฯลฯ เพื่อติดต่อกิจธุระต่างๆ แม้แต่นักเรียนก็ต้องเขียนจดหมายกิจธุระอยู่เสมอๆ เช่น กจิ ธุระ นักเรียนควรมคี วามรูดา นใดบาง เขยี นจดหมายขอลาหยดุ เรยี นเมอ่ื เจบ็ ปว่ ย มกี จิ ธรุ ะจา� เปน็ หรอื เชญิ วทิ ยากรมาบรรยาย ขอเขา้ ชม อยางไร กจิ การของสถานประกอบการตา่ งๆ เปน็ ตน้ (แนวตอบ ความรูเก่ียวกับหลักภาษา ตั้งแต การเขียนจดหมายกิจธรุ ะตอ้ งใชภ้ าษากะทัดรดั และตรงประเด็น เพอ่ื สื่อสารให้ผอู้ ่านเขา้ ใจ เรื่องคาํ สาํ นวน ระดับภาษา และการเขยี น ตรงกนั โดยมรี ปู แบบการเขียนเชน่ เดยี วกบั หนงั สือราชการ ดังตวั อย่าง รวมถงึ ลักษณะของจดหมาย ข้นั ตอน และ รูปแบบการเขยี น) ตวั อย่าง แบบการเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นจดหมายกิจธุระมี จุดมงุ หมายใดเปน สําคัญ โรงเรียนปลกู ปัญญา (แนวตอบ จดหมายกิจธุระเปนการแบง ๑๔๒ ถ. ตะนาว พระนคร ประเภทของจดหมายตามวัตถุประสงคใน กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐ การสอ่ื สาร โดยจดหมายกจิ ธรุ ะเปน จดหมาย ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ ที่เขยี นติดตอ กับบุคคลหรือองคก รตางๆ เพื่อ ติดตอ กิจธรุ ะตางๆ) เรอื่ ง ............................................................................ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะมี เรยี น ............................................................................ กลวิธีการใชภ าษาอยางไร ส่งิ ท่ีสง่ มาด้วย ....................................................... (แนวตอบ ภาษาที่ใชในการเขยี นจดหมาย กจิ ธุระควรเปน ภาษาระดับทางการ มีการใช ........................................................................................................................................................................................................................... ภาษาเขยี นอยา งถูกตอ ง กระชบั ชดั เจนตรง ................................................................................................................................................................................................................................................ ประเดน็ สุภาพ สละสลวย มีความเหมาะสม ................................................................................................................................................................................................................................................ และนาอาน เพ่ือสอื่ สารใหผูอา นเกิดความ ................................................................................................................................................................................................................................................ เขาใจตรงกนั ) ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ 2. ครูสมุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมานําเสนอรปู แบบ การเขียนจดหมายกจิ ธุระวาประกอบดวย ขอแสดงความนบั ถอื สวนใดบาง อยางไร 3. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด (นายปญั ญวีร์ โรจนหริ ญั พงศ์) ขยายความเขา ใจ Expand ผ้อู า� นวยการโรงเรยี นปลูกปญั ญา 1. ครนู าํ ตวั อยางจดหมายกจิ ธรุ ะทไ่ี มส มบรู ณ ทง้ั ในดานรปู แบบ เนื้อหา และภาษา มาให 81 นักเรียนพจิ ารณา จากนน้ั ใหน กั เรียนรว มกนั ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT แกไขจดหมายใหม ีความสมบรู ณ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ การเขยี นจดหมายกจิ ธุระในขอ ใดใชค ําขึน้ ตนไดถูกตองเหมาะสมกับ สถานภาพของผูรับ เกรด็ แนะครู ขอ ผูรับ คําขึ้นตน คําลงทาย ในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการเขยี นจดหมายน้นั ครผู ูสอนควรเพิม่ เติมความรูความ 1. พระภิกษุ นมัสการ ดว ยความเคารพอยางสูง เขา ใจเกีย่ วกับความหมายและความสาํ คญั ในการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ ซึง่ เปน 2. คณุ ครู กราบเทา ดวยความเคารพ จดหมายที่บคุ คลเขียนติดตอ กบั บุคคลหรอื บรษิ ัท หางรา น รวมถึงองคกรตา งๆ เพื่อ 3. วทิ ยากรพิเศษ เรยี น ขอแสดงความนับถือ แจง กิจธรุ ะ เชน จดหมายลากิจ จดหมายขอความชว ยเหลอื จดหมายขอบคุณ 4. คุณปู กราบเทา ขอแสดงความนบั ถือ เปนตน การพจิ ารณาวา จดหมายฉบบั ใดเปน จดหมายกิจธุระไดหรือไมน้ัน สามารถ พิจารณาไดจ ากจุดประสงคใ นการส่อื สาร เนือ้ หา ลลี าการใชภาษา รวมถึงรูปแบบท่ี วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ผูรบั คอื “วทิ ยากรพิเศษ” ใชค ําขนึ้ ตน วา ใชในการตดิ ตอ ส่อื สารเปน สําคัญ ฉะน้ัน ในการเขียนจดหมายเพอื่ การติดตอส่อื สาร จึงตองคํานงึ ถงึ ประเด็นดงั กลา วขา งตนเปน สําคญั การท่จี ะบรรยายเรือ่ งราวตางๆ “เรียน” ใชค าํ ลงทา ยวา “ขอแสดงความนับถือ” ขออ่ืนๆ ใชคาํ ไมถกู ตอง คอื ผานทางจดหมายไดน ั้น ยอ มตอ งอาศัยภาษาและถอ ยคาํ สาํ นวนในจดหมายเปนสอ่ื - ขอที่ 1. พระภิกษุ คําลงทา ยตอ งใชวา “ขอนมสั การดวยความเคารพ” ขอ ท่ี กลางในการถา ยทอดสาร ภาษาที่ใชในการเขียนจดหมายตองเปนภาษาระดับทางการ 2. คุณครใู ชคาํ ขึน้ ตนวา “เรยี น” หรอื “กราบเรยี น” และขอท่ี 4. คําลงทา ยท่ี หรือกึ่งทางการ สนั้ กระชบั ไดใจความชัดเจน เพ่ือใหผูอานเกดิ ความเขา ใจเนอื้ หา ใชก บั คุณปูต อ งใชวา “ดวยความเคารพอยางสงู ” ไดอยา งชดั เจน และสามารถปฏิบัติตามเน้ือหาทีป่ รากฏในจดหมายได จดหมาย กิจธรุ ะน้ัน ตอ งเนนความนาเช่ือถือ ความเหมาะสม และความเปนระเบยี บสวยงาม เปน สําคญั ผูเขยี นจงึ ตองเอาใจใสใ นรายละเอียดตา งๆ อยางถถ่ี ว น คมู อื ครู 81

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นศกึ ษาตัวอยางจดหมายกจิ ธรุ ะ : แบบของจดหมำยกิจธุระ จดหมายเชญิ วิทยากร ในหนังสือเรยี นหนา 82 ส่วนท ่ี ๑ ประกอบด้วย หน่วยงานเจา้ ของจดหมาย วนั เดอื น ป ี จุดมุง่ หมายของการเขียน อธบิ ายความรู Explain จดหมายกิจธุระฉบับนั้น ซึ่งใช้ค�าว่า “เรื่อง” ค�าขึ้นต้นใช้ค�าว่า “เรียน” ตามด้วยช่ือต�าแหน่ง หรือช่ือบุคคลท่ีจดหมายฉบับน้ันส่งไปถึง ถ้ามีรายละเอียดหรือข้อมูลต่างๆ ส่งไปด้วย ก็ใช้ 1. นักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกนั แสดง คา� วา่ “ส่งิ ท่ีสง่ มาด้วย” ความคิดเหน็ ในประเดน็ ตอไปน้ี • จดหมายเชิญวทิ ยากร มอี งคป ระกอบใดบาง สว่ นที่ ๒ เปน็ ใจความของจดหมายกจิ ธุระฉบบั นน้ั ซ่ึงอาจมีหลายยอ่ หนา้ กไ็ ด้ อยางไร สว่ นท่ี ๓ ประกอบดว้ ย คา� ลงทา้ ย ซง่ึ สว่ นใหญใ่ ชค้ �าวา่ “ขอแสดงความนับถอื ” มีลายเซน็ (แนวตอบ นักเรียนสามารถพิจารณาคําตอบ พร้อมวงเล็บชอื่ สกลุ เต็ม และตา� แหน่งของผู้เขยี นจดหมาย จากขอ มลู ในหนงั สอื เรียนหนา 82 โดยแบง องคประกอบออกเปน สามสว น) ตวั อย่าง จดหมายกจิ ธรุ ะ : จดหมายเชญิ วิทยากร • นกั เรยี นคิดวา จดหมายเชญิ วทิ ยากร มกี ลวธิ ี การเขยี นอยางไร โรงเรยี นไทยศกึ ษา ถนนวภิ าวดรี งั สติ (แนวตอบ นอกจากองคประกอบดา นรปู แบบใน รงั สิต บางเขน กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐ การเขียนจดหมายแลว มกี ารกลา วถงึ การจัด ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กิจกรรม วันเวลา และวัตถุประสงคในการจดั กิจกรรม จากนั้นจึงกลาวชน่ื ชมคุณสมบตั ขิ อง เรอ่ื ง ขอเชญิ วทิ ยากร วทิ ยากรท่มี คี วามสอดคลอ งกับลักษณะของ เรียน คุณนติ ิรฐั เอยี่ มระหง การจัดกจิ กรรม และกลาวเรยี นเชิญ พรอ มระบุ เนอื่ งดว้ ยทางโรงเรยี นไทยศกึ ษาจะจดั งานวนั สง่ิ แวดลอ้ มไทยขนึ้ ในวนั ศกุ รท์ ี่ ๔ ธนั วาคม วันเวลาในการจัดกิจกรรม และเนนย้าํ ๒๕๕๒ โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนตระหนักในคุณค่าของส่ิงแวดล้อมและรณรงค์ให้นักเรียน เน้ือความในตอนทา ย) ร่วมใจรักษาส่ิงแวดล้อม ทางโรงเรียนตระหนักดีว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรอบรู้ในเร่ือง ส่ิงแวดล้อม จึงขอเรียนเชิญท่านเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “รักษาส่ิงแวดล้อมเพื่อวันพรุ่งนี้” 2. ครสู ุมนักเรียน 1-2 คน ออกมานาํ เสนอรปู แบบ ในวันศุกรท์ ่ ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ หอประชุมโรงเรียนไทยศกึ ษา การเขียนจดหมายกจิ ธุระ จากน้นั นกั เรียนบันทกึ จึงเรียนมาเพื่อโปรดอนุเคราะห์เป็นวิทยากร ตามวัน เวลา และสถานท่ีดังกล่าว และ ความเขาใจลงในสมุด ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนด้ี ้วย ขยายความเขา ใจ Expand ขอแสดงความนับถอื สมศักด ิ์ ภักดี 1. ครนู าํ ตัวอยางจดหมายกจิ ธุระซึ่งเปน จดหมาย เชญิ วทิ ยากรทไ่ี มส มบูรณ ทั้งในดา นรูปแบบ (นายสมศักด์ ิ ภกั ด)ี เนอ้ื หา และภาษา มาใหนกั เรียนพิจารณา ผอู้ �านวยการโรงเรียนไทยศกึ ษา จากน้ันใหนักเรียนรว มกันแกไ ขจดหมายใหมี ความสมบูรณ 82 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการใชภ าษาในจดหมายกิจธรุ ะ ในการปฏิบัตกิ ิจกรรมการเขียนจดหมายนัน้ ครูผูสอนควรเพม่ิ เติมความรคู วาม ขอความสวนใดไมเหมาะจะใชใ นจดหมายกิจธรุ ะ เขา ใจเกยี่ วกบั ความหมายและความสําคญั ในการเขียนจดหมายกิจธรุ ะ เพื่อให 1) บัดนี้ถงึ กาํ หนดทจี่ ะตอ งยืนยันการเดนิ ทางไปทองเที่ยวกับบริษัท “เทย่ี ว นักเรยี นเกิดความเขาใจและเกิดความต้งั ใจปฏบิ ตั ิกจิ กรรมในชนั้ เรียนมาย่งิ ขึน้ โดยมี ทวั่ แดน” แลว /2) ขอใหท านจองลวงหนา กบั บรษิ ทั ชําระเงินคาเดนิ ทาง รายละเอยี ด ดังตอไปน้ี 1. จดหมายกิจธุระชว ยใหผ ูส งสารและผรู ับสารตดิ ตอสอ่ื สาร ภายในวันท่ี 10 มกราคม ศกน้ี /3) ถา ทานไมจายเงินตามเวลาดงั กลา วก็ กันงา ยขึน้ และประหยดั คาใชจา ยในการเดินทาง 2. จดหมายกิจธรุ ะเปน เอกสาร แปลวาทานสละสิทธ์ทิ ี่เคยจองไวกอนหนานี้ /4) ทางบรษิ ัทจะมอบสทิ ธิส์ ว น สําคัญ ใชเปน หลกั ฐานในการตดิ ตอส่อื สารกนั ระหวา งหนวยงาน ทั้งหนว ยงานรัฐบาล ของทานแกผ จู องในรายชอ่ื สาํ รองตอไป และหนว ยงานเอกชน ในปจ จบุ ันถงึ แมวาจะมกี ารใชโทรศัพทหรอื การติดตอ ทาง 1. สวนท่ี 1 2. สว นที่ 2 อินเทอรเน็ตทีส่ ะดวกและรวดเร็วกวา แตบ างครัง้ การใชจดหมายในการตดิ ตอ สอ่ื สาร 3. สว นที่ 3 4. สวนที่ 4 กม็ ีความจําเปน นอกจากจะใชในการตดิ ตอสอ่ื สารแลว ยงั สามารถใชเปนหลกั ฐาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. สว นท่ี 3 ถา ทา นไมจายเงนิ ตามเวลา ทางกฎหมายไดอกี ดวย 4. การใชจดหมายกจิ ธุระสามารถสือ่ สารเร่อื งราวไดอยา ง ดังกลาวก็แปลวา ทานสละสทิ ธ์ทิ เี่ คยจองไวกอนหนานี้ เปน ขอความทม่ี ี เหมาะสม ชว ยสรา งสัมพันธภาพทด่ี ีระหวา งบุคคลและหนวยงาน 5. จดหมายกิจธุระ ลกั ษณะการใชภาษาผิดระดบั ควรใชว า “หากทา นไมช าํ ระเงินตามระยะเวลา อาจจะใชต ิดตอเรอ่ื งกจิ ธุระระหวา งบุคคล 6. สามารถแจง เร่ืองราวตางๆ ไดตาม ที่กาํ หนด ถือวา ทา นสละสิทธ์”ิ จุดมงุ หมาย ความชดั เจนของขอ มลู และประโยชนเ ปนสําคญั 82 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สาํ รวจคน หา ตวั อยา่ ง จดหมายกจิ ธุระ : จดหมายสมคั รงาน นกั เรียนศึกษาตัวอยา งจดหมายกิจธุระ : จดหมายสมัครงานและตวั อยา งประวัตยิ อ ใน ๔/๕๖ ถนนอู่ทองใน เขตดสุ ิต หนังสอื เรยี นหนา 83 - 84 แขวงบางซ่อื กรงุ เทพฯ ๑๐๘๐๐ อธบิ ายความรู Explain ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ เร่อื ง สมคั รงานในต�าแหนง่ เลขานุการ 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ เรยี น ผจู้ ดั การฝ่ายบุคคลบรษิ ัทศรีสุข จ�ากัด ตอไปนี้ สงิ่ ท่สี ่งมาดว้ ย • จดหมายสมัครงาน มอี งคประกอบเหมอื น จดหมายเชิญวิทยากรหรอื ไม อยางไร ดฉิ นั ไดท้ ราบขา่ วจากประกาศของกรมแรงงาน เมอื่ วนั ท ่ี ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๕๒ วา่ บรษิ ทั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถพจิ ารณาคําตอบ ศรีสุข จ�ากัด ต้องการรับพนักงานในต�าแหน่งเลขานุการ ๒ ต�าแหน่ง ดิฉันขอสมัครรับใช้ท่าน จากขอ มลู ในหนังสอื เรียนหนา 82 โดยแบง ในตา� แหน่งดงั กล่าว จงึ ขอเสนอให้ท่านพจิ ารณาความเหมาะสม รายละเอียดต่อไปนี้ องคป ระกอบออกเปน สามสวนเชนเดียวกนั ดิฉันช่ือ นางสาวลดาวลั ย ์ คงมนั่ อาย ุ ๒๓ ปี สัญชาติไทย มสี ุขภาพสมบูรณ์แขง็ แรง แตเน้ือหามีรายละเอยี ดแตกตา งกนั ) ส�าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา • นักเรยี นคิดวา จดหมายสมคั รงาน มกี ลวิธี ๒๕๕๐ ตลอดระยะเวลา ๔ ป ี ทดี่ ฉิ นั ศกึ ษาอยใู่ นสถาบันน ้ี ดฉิ ันฝึกฝนการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ การเขียนอยางไร และทักษะการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมต่างๆ เป็นอย่างดี ดิฉันสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ (แนวตอบ นอกจากองคป ระกอบดา นรปู แบบ คลอ่ งแคล่ว และสามารถพมิ พด์ ดี ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษไดน้ าทลี ะ ๗๐ ค�า ระหวา่ งการ ในการเขยี นจดหมายแลว มกี ารกลา วถงึ ศึกษาดิฉันเคยฝกึ งานดา้ นเลขานกุ ารทบ่ี รษิ ทั โชคอนนั ต์ จ�ากดั (มหาชน) เปน็ เวลา ๓ เดือน แหลง ขอ มูลแจงการรับสมัครงาน จากนั้นจึง เมื่อจบการศึกษาแล้ว ดิฉันได้ท�างานที่บริษัท ไทยพัฒนา จ�ากัด ในต�าแหน่งผู้ช่วย แนะนําตนเองในยอหนาถัดมา พรอ มระบุ เลขานุการกรรมการผู้จัดการเป็นเวลา ๑ ปี สาเหตุที่ลาออกเพราะดิฉันต้องการประสบการณ์ ความสามารถพเิ ศษ ในยอ หนา ตอมากลาว- ในการท�างานท่ีมากขึ้น เพ่ือเป็นการรับรองความรู้และความประพฤติในการท�างาน ท่านอาจ ถงึ ประสบการณ กลา วถึงผรู บั รองในยอหนา สอบถามไดท้ ี่ ถดั มา และใหชอ งทางการติดตอในยอ หนา ๑. ผศ. ดร. อไุ รพร แกว้ เจรญิ อาจารยป์ ระจา� คณะอกั ษรศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร สดุ ทายของเนอื้ หา) โทร. ๐-๒๑๒๓-๙๙๙๙ ๒. นายชนะ สุขสการ หัวหน้าทรัพยากรบุคคล บริษัทโชคอนันต์ จ�ากัด (มหาชน) 2. ครูสมุ นักเรียน 1-2 คน ออกมานําเสนอรูปแบบ โทร. ๐-๒๔๒๓-๑๗๘๖ การเขียนจดหมายสมัครงาน จากน้นั นกั เรียน ๓. นางวรรณมาลี สุภากร เลขานุการกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยพัฒนา จ�ากัด บันทึกความเขา ใจลงในสมดุ โทร. ๐-๒๔๑๑-๕๕๕๕ ขอให้ดิฉันได้มีโอกาสได้พบท่าน เพ่ือเรียนท่านด้วยตนเองว่า ดิฉันจะรับใช้ท่าน ขยายความเขา ใจ ไดอ้ ย่างไรบา้ ง ทา่ นสามารถติดต่อดิฉันได้ตามทอ่ี ยูข่ ้างต้น หรือโทร. ๐-๒๙๖๓-๔๐๐๐ ขอแสดงความนับถอื Expand (นางสาวลดาวลั ย ์ คงมั่น) 1. ครูนําตวั อยางจดหมายกิจธรุ ะซึ่งเปนจดหมาย สมคั รงานที่ไมส มบรู ณ ทัง้ ในดานรูปแบบ ขอสอบ O-NET เนอ้ื หา และภาษา มาใหน ักเรยี นพิจารณา ขอ สอบป ’52 ออกเก่ียวกบั การใชภ าษาในจดหมายกจิ ธรุ ะ ขอความสว นใดเหมาะจะใชใ นจดหมายกิจธุระ 83 จากน้นั ใหนกั เรียนรวมกนั แกไ ขจดหมายใหม ี 1) พรอ มกนั นี้ผมขออนญุ าตสง เอกสารเก่ียวกับการพัฒนาสินคา มาใหดู ความสมบูรณ เผือ่ จะเปนประโยชนก ับสมาชกิ / 2) ทั้งนีไ้ มไ ดหมายความวาทานจะตอ ง ดาํ เนนิ การผลติ ตามหลักการใหมนจี้ งึ จะสง สินคามาขายได / 3) รายละเอียด 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด อืน่ ๆ เกี่ยวกับสินคา มีอยอู กี มากที่ศูนยฯ ถาทา นจะแวะไปกย็ ินดตี อนรบั / 4) หากทานมขี อ ของใจสามารถติดตอไดใ นเวลาทําการ ตามหมายเลขโทรศัพท เกรด็ แนะครู ทา ยจดหมายนี้ 1. สว นที่ 1 2. สวนที่ 2 ในการปฏิบัตกิ จิ กรรมการเขียนจดหมายสมัครงานนน้ั ครผู สู อนนอกจากจะให 3. สวนท่ี 3 4. สว นท่ี 4 ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั โครงสรา งและรูปแบบของจดหมายสมคั รงานแลว ครูผูส อน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. สวนที่ 4 จดหมายกจิ ธุระตอ งใชภาษา ควรเนน ใหความรูความเขาใจเกย่ี วกับวตั ถุประสงคในการเขียนจดหมายสมคั รงาน ระดบั กงึ่ ทางการข้นึ ไปตามระดับภาษาท่ใี ชใ นสวนที่ 4 สว นในขอ อน่ื ๆ ควรมี วา จดหมายสมัครงานเปนสวนสําคญั ในการแนะนาํ ตวั ของผสู มัครงาน เปนการเปด การแกไข ดงั ตอไปนี้ ขอ ที่ 1. แกคําวา ดู เปน พจิ ารณา ขอ ท่ี 2. แกคําวา โอกาสใหผ ูรบั สมัครงานเห็นแงมุมตา งๆ ของผสู มคั รงานผานทางจดหมายสมัครงาน ไมไ ด เปน มไิ ด ขอ ที่ 3. แกค ําวา อีกมาก เปน หลายประการ และคําวา แวะ ทีม่ กี ารแนะนาํ ตัวเอง ทงั้ ในดา นประวัตยิ อทแ่ี สดงความสามารถตางๆ นอกจากนี้ ยงั เปน เย่ยี มชม เปนขอ มลู เบอื้ งตนในการสะทอนบคุ ลกิ ภาพของผปู ฏิบัติงานวาเปน อยางไร เพ่ือให ผูรับสมคั รพจิ ารณาตัดสนิ ในลําดบั ตอ ไป ควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการ ใชภาษาทส่ี ะทอนบคุ ลิกภาพของผูส มัคร ฉะนัน้ การเขียนจดหมายสมคั รงานจึงมิได เปน เพยี งการกลาวถึงขอ มลู เบอ้ื งตน ของผสู มัครงาน รวมถึงประวัตยิ อของผสู มัครงาน เทา นั้น แตเปนการแสดงถึงบคุ ลกิ ภาพของผสู มคั รงานวา เปนเชน ไร ดว ยการถา ยทอด ผานภาษาทง้ั วจั นภาษาและอวจั นภาษาในจดหมายสมัครงาน คมู อื ครู 83

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนจดั กลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอมรว มกัน ตัวอยา ง ใบประวตั ยิ อ แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ จากประเดน็ คาํ ถาม ดังตอไปนี้ นางสาวลดาวลั ย คงมั่น • นักเรยี นคิดวา มกี ารระบุขอ มลู ใดบา ง ในประวตั ิยอ ๑. ท่ีอยูปจ จุบัน ๔/๕๖ ถนนอูทองใน เขตดสุ ติ (แนวตอบ เรม่ิ ตนโดยระบชุ ือ่ และรายละเอียด ๒. ประวัติสว นตัว แขวงบางซอ่ื กทม. ๑๐๘๐๐ ในการติดตอ กลับ ประสบการณการทาํ งาน ๒๓ ป / ๒ มนี าคม ๒๕๒๙ ทผ่ี านมา ขอ มูลดานการศกึ ษา ทักษะความ ๒.๑ อาย/ุ ปเกดิ พทุ ธ สามารถ และบุคคลหรือหลักฐานอางอิง) ๒.๒ ศาสนา ๔๘ กก. / สวนสงู ๑๖๕ ซม. • นักเรียนคิดวา นกั เรยี นสามารถนาํ ความรู ๒.๓ นา้ํ หนัก/สวนสูง ไทย / ไทย เก่ียวกับหลักการสอื่ สารมาใชในการเขยี น ๒.๔ สัญชาต/ิ เชื้อชาติ โสด ประวตั ยิ อ ไดอยา งไรบา ง ๒.๕ สถานภาพการสมรส แข็งแรง (แนวตอบ กอนเขียนประวตั ยิ อ นกั เรียนควร ๒.๖ สุขภาพ โรงเรียนสตรีกรงุ เทพฯ วเิ คราะหผ รู ับสาร พรอมกําหนดจดุ ประสงค ๓. การศกึ ษา คณะอกั ษรศาสตร มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ในการส่อื สาร เมื่อนักเรียนทราบจดุ ประสงค ๓.๑ มธั ยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๕๐ ของตนเอง ตาํ แหนง งานหรอื ลักษณะงาน ๓.๒ ปรญิ ญาตรี ฝกงานดานเลขานุการท่ีบริษัท โชคอนันต จํากัด ทตี่ นเองตอ งการ และทราบทกั ษะความ ๔. ประสบการณ (มหาชน) ๓ เดอื น ระหวางวนั ท่ี ๑ มถิ นุ ายน - ๓๑ สามารถทจี่ าํ เปนสาํ หรับการปฏบิ ัติงานแลว สิงหาคม ๒๕๕๑ นกั เรยี นจึงจะสามารถนําความรูด ังกลา วมา ๕. กจิ กรรมนอกหลกั สูตร - เลขานกุ ารสโมสรนกั ศกึ ษาคณะอักษรศาสตร ประยกุ ตใ ชได) - ประชาสมั พันธชมรมศลิ ปะการแสดง • นกั เรยี นคดิ วา ประวัติยอ ที่ดคี วรมกี ลวิธีการ ๖. ผลงาน - ประธานชมรมศลิ ปะการพดู เขยี นอยางไร ๗. คุณสมบัติพิเศษ ประชาสัมพันธเผยแพรก จิ กรรมชมรมศลิ ปะ (แนวตอบ จดั รูปแบบและสรปุ เนื้อหาใหกระชับ การแสดงจนเปนท่ีรูจ ักของคนทว่ั ไป และเดน ชดั ตรงประเด็น ขอมูลตงั้ อยู - พิมพดีดภาษาไทยและภาษาอังกฤษไดนาทีละ บนพืน้ ฐานของความจรงิ และตรวจสอบได ๗๐ คาํ ใชภาษาไดถ ูกตองชดั เจน) - มคี วามเปนผูนํา - สามารถพดู และเขียนภาษาองั กฤษ จนี 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ และญ่ปี นุ ไดเ ปนอยางดี หนา ชั้นเรียน ๘๔ บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครูสามารถนาํ ความรูเ กีย่ วกบั การเขียนจดหมายสมคั รงานเช่ือมโยงกับ เกรด็ แนะครู สาระการเรยี นรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี รายวิชาการงานอาชพี และ เทคโนโลยี หนวยการเรียนรเู รือ่ ง งานอาชพี เนอ้ื หาเกี่ยวกับแนวทางการ ในการปฏิบตั กิ จิ กรรมการเขียนจดหมายสมคั รงานน้นั ครผู ูสอนนอกจากจะให เขาสูอาชพี โดยเชอื่ มโยงการเขียนจดหมายสมัครงานทีถ่ ูกตอ งเหมาะสม ความรคู วามเขาใจเกีย่ วกับโครงสรางและรปู แบบของจดหมายสมคั รงานแลว ครู สามารถนาํ เสนอบุคลิกภาพอันโดดเดน และสรางภาพลกั ษณท ีด่ ใี นการ ผสู อนควรเนน ใหค วามรูค วามเขา ใจเก่ียวกับประวตั ิยอ (Resume) ซง่ึ เปน เคร่อื งมอื นําเสนอตนเองเพ่ือเขาทํางานไดอยา งถกู ตองเหมาะสม ท้ังในดา นการใช ทางการตลาดอยางหน่ึง มจี ุดมงุ หมายเพ่อื นาํ เสนอตนเอง บอกถึงความสําเร็จใน ภาษา และการสอื่ สารที่สอดคลองกับความตอ งการของผูร บั สาร นกั เรียน อาชีพการงานทผี่ านมา รวมถงึ คณุ สมบัตแิ ละความสามารถ เปน เครอื่ งพสิ จู นว า สามารถประยกุ ตความรูความเขาใจดังกลาวไปใชใ นการดําเนินชวี ิตได ผูส มัครงานมคี ุณสมบตั ิเหมาะสมกับงานทส่ี มัคร วธิ ีการเขยี นประวตั ิยอ (Resume) เปน อยางดี เร่ิมตนจากการวางเปา หมายและการทาํ ความเขาใจประวัติของตนวา สอดคลองกับ ตาํ แหนง งานทส่ี มัครหรือไม ในการเขยี นขอ มลู ตา งๆ นนั้ ผเู ขียนควรใชภาษาทีส่ น้ั กระชบั แตมีความชัดเจน รวมถึงแฝงลกั ษณะเดน ของตนเองดว ย ควรจะเลือก รูปแบบทอ่ี า นงาย ดเู รยี บรอ ย สบายตา ยกเวน หากเปน ตาํ แหนงงานท่ีตองการ ความคิดสรา งสรรค ควรใหดูสะดดุ ตาแตอานงา ย ควรเลอื กใชคาํ สุภาพบง บอก ความหมายทีช่ ดั เจนและสละสลวย เพ่อื ดงึ ดูดความสนใจของผรู ับสมัครงาน 84 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ ขอ ควรคาํ นงึ ในการเขยี นจดหมาย 1. นักเรยี นรวมกันระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอไปน้ี ๑. เขียนขอความในจดหมายใหชัดเจน จะชวยใหเกิดประโยชนท้ังผูสงสารและผูรับสาร • นักเรียนคดิ วา ในการเขียนจดหมาย นกั เรียนควรคํานงึ ในเรื่องใดบาง อยา งไร ตามที่ตัง้ วตั ถุประสงคไว (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขนึ้ อยูก บั เหตผุ ลของ ๒. ใชรูปแบบของจดหมายใหถูกตองซึ่งแสดงใหเห็นถึงความเปนผูรูจักกาลเทศะ และ นักเรยี น เปนตน วา 1. เรยี บเรยี งดวย สาํ นวนภาษาทีม่ ีความชัดเจน เพือ่ ใหเกิด สงผลใหก ารสงจดหมายฉบบั น้ันสัมฤทธิผล ประโยชนท ง้ั ผรู ับสารและผูสง สารไดตรงตาม วัตถปุ ระสงคใ นการสื่อสารทีต่ ้ังไว 2. ใช ๓. แสดงมารยาทที่เหมาะสมกับ รูปแบบจดหมายใหถูกตอ งตามกาลเทศะและ การสื่อสาร เพอื่ สรา งสัมพนั ธภาพทดี่ รี ะหวาง บุคคลท่ีติดตอดวย ท้ังการเลือกใชถอยคํา ผรู บั และผสู ง สาร ชวยใหก ารส่ือสารสมั ฤทธ-ิ ผล 3. คํานงึ ถงึ มารยาททเี่ หมาะสมในการ ภาษา ความสะอาด กระดาษเขียนจดหมาย สื่อสาร ทง้ั มารยาทในการใชถอยคาํ สาํ นวน ภาษา การใชก ระดาษ ความเปน ระเบยี บ และความเปนระเบียบของลายมือ หรือการ ▼▼ ของลายมือ และองคประกอบอน่ื ๆ 4. บรรจุ ซองดว ยความเรยี บรอย จา หนาซองถกู ตอ ง จดั หนา กระดาษ โดยระบชุ อ่ื ที่อยผู รู ับ และรหัสไปรษณียอ ยาง ชดั เจน) ๔. การบรรจุซองจะตองเรียบรอย 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด จาหนา ซองใหช ัดเจน โดยเขยี นระบุช่อื ผูรบั การสงจดหมายใหสัมฤทธิผล ผูจัดสงตองเขียนหรือพิมพที่อยูของ ผูร บั ใหถูกตองชัดเจน ทอี่ ยู และรหัสไปรษณียใหชดั เจน ¨§Ö ¡ÅÒ‹ Çä´ÇŒ Ò‹ 㹡ÒÃà¢ÂÕ ¹§Ò¹à¢ÂÕ ¹áµÅ‹ лÃÐàÀ· ໹š ¡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒà¾Í×è ¶Ò‹ ·ʹ¤ÇÒÁÃÙŒ ขยายความเขา ใจ Expand ¤ÇÒÁ¤´Ô ã˼Œ ÍÙŒ ¹è× ·ÃÒºâ´ÂãªÀŒ ÒÉÒ໹š ÊÍ×è ¼·ŒÙ ÁèÕ ¤Õ ÇÒÁôŒÙ ¨Õ ÐÊÒÁÒö¨´Ñ ÃÐàºÂÕ º¤ÇÒÁ¤´Ô ´Õ áÅÐèٌ ¡Ñ àÅ×͡㪌ÀÒÉÒ¶‹Ò·ʹ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁ¤´Ô ¹é¹Ñ ä´ŒÍÂÒ‹ §àËÁÒÐÊÁ ÁÈÕ ÅÔ »Ð㹡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒ ¨Ð·Òí ãËŒ 1. นกั เรียนเขยี นจดหมายสมคั รงาน พรอม §Ò¹à¢ÂÕ ¹¹¹éÑ Á¤Õ س¤‹Ò ¹Ò‹ ͋ҹ áÅйҋ ʹ㨠â´Â੾ÒСÒÃà¢ÂÕ ¹àÃÂÕ §¤ÇÒÁ «§Öè ໚¹¡Òö‹Ò·ʹ ประวตั ยิ อ ตามตาํ แหนงงานและหนวยงานที่ ¤ÇÒÁÌ٠¤ÇÒÁ¤´Ô ¨ÐµÍŒ §ÇÒ§â¤Ã§àÃÍè× §ãË´Œ Õ áÅÐà¢ÂÕ ¹´ÇŒ ÂÀÒÉÒ·¶Õè ¡Ù µÍŒ § ÊÇ‹ ¹¡ÒÃÂÍ‹ ¤ÇÒÁµÍŒ §¨ºÑ 㨠ครกู ําหนด ¤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ¢Í§àÃ×èͧÃÒǵҋ §æ ãËŒ¡ÃЪºÑ ᵋä´ãŒ ¨¤ÇÒÁ¤Ãº¶ŒÇ¹¶Ù¡µŒÍ§ÊÁºÙó àËÁÒÐÊíÒËÃºÑ ¼·ÙŒ ÁÕè àÕ ÇÅҹ͌  ᵵ‹ ÍŒ §¡Ò÷ÃÒºàÃÍ×è §ÃÒÇ·§éÑ ËÁ´ ¼·ÙŒ ÂèÕ Í‹ ¤ÇÒÁ໹š Á¡Ñ ¨ÐµÍŒ §à»¹š ¹¡Ñ ÍÒ‹ ¹ ¤¹·ÍèÕ Ò‹ ¹ 2. ครูสุม นักเรียน 1 - 2 คนออกมานําเสนอ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §ÃÇ´àÃÇç áÅШºÑ 㨤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ä´´Œ ¨Õ ÐÊÒÁÒöÂÍ‹ ¤ÇÒÁä´´Œ ´Õ ÇŒ  㹢³Ðà´ÂÕ Ç¡¹Ñ ¡ÒÃà¢ÂÕ ¹ หนา ชน้ั เรียน ¨´ËÁÒ ¼·ŒÙ ÊèÕ ÒÁÒöà¢ÂÕ ¹¨´ËÁÒÂä´Œ´µÕ ŒÍ§Ãˌ٠ÅÑ¡¡ÒÃà¢ÂÕ ¹ ÁÕÁÒÃÂҷ㹡ÒÃà¢Õ¹ ãªÀŒ ÒÉÒä´Œ ÍÂÒ‹ §¶Ù¡µŒÍ§áÅÐàËÁÒÐÊÁ à¾Í×è ã˼Œ ÍÙŒ ¹×è ÃºÑ ÃàŒÙ ÃÍ×è §ÃÒÇ·µÕè ÍŒ §¡ÒÃÊ×èÍÊÒÃä´ŒµÃ§µÒÁÇµÑ ¶»Ø ÃÐʧ¤ ๘๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนสิง่ ที่ควรคาํ นึงถึงมากที่สดุ ในการเขยี นจดหมาย ในการปฏิบัติกิจกรรมการเขียนจดหมายน้ัน ครูผสู อนควรเนนใหความรู 1. ใชป ากกาสีนาํ้ เงินหรอื สดี ําในการเขียน ความเขา ใจเก่ยี วกบั มารยาทในการเขียนจดหมายดว ย เนอื่ งจากการเขยี นจดหมาย 2. ใชร ูปแบบจดหมายใหถูกตองตรงตามวัตถปุ ระสงค นอกจากจะเปน การสือ่ สารทางวจั นภาษาผานการใชถอยคาํ แลว การเขียนจดหมาย 3. ตรวจสอบการเขียนสะกดคาํ ใหถกู ตอ งตามหลกั ภาษา ยงั ประกอบดว ยการสือ่ สารผา นอวจั นภาษาคอื ภาษาทไ่ี มมีการใชถอยคาํ ไดแก 4. เรยี บเรียงเนื้อความดว ยอักษรทีเ่ รยี บรอยอานงา ยและสวยงาม รูปแบบของจดหมาย ลกั ษณะการใชกระดาษ ซ่งึ สะทอนบุคลกิ ภาพของผูเขียน และเปนใบเบิกทางในการทําความรจู กั และสรา งความสัมพันธอ ันดีระหวางกันได วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ใชร ปู แบบจดหมายใหถ กู ตอ งตรงตาม ในอนาคต วตั ถุประสงค เปนสง่ิ ทต่ี องคาํ นึงถึงเปนลาํ ดับแรก โดยผเู ขียนตอ งคํานงึ วา เขียนถงึ ใคร เพอื่ อะไร เนอ้ื หาเปน อยา งไร เพ่ือใหส ามารถสอื่ สารสผู ูอา นได ประสบความสาํ เรจ็ และเปนการรักษาสมั พันธภาพท่ดี ีระหวางกัน คูมอื ครู 85

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรียนรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ปกณิ กะ • นักเรยี นคิดวา ความรคู วามสามารถดาน การเขยี นเรียงความ การยอ ความ และการ ´Ç§µÃÒä»ÃɳÂÕ Ò¡Ã เขยี นจดหมายเปน ทกั ษะท่ีมีความสัมพนั ธก นั อยา งไร ดวงตราไปรษณียากร หรือแสตมปŠเป็นหลัก°าน (แนวตอบ เปน ทักษะทเ่ี กิดจากกระบวนการคิด การªำาระค่าบรÔการไปรษณีย์ มักเป็นกระดาษรูปส่ีเหล่ียม และการจดั ระบบความคดิ อยางเปน ระเบียบ เพ่ือตÔดบน«อง¨ดหมาย แต่แสตมปŠที่มีรูปร่างหรือทำา¨าก ถายทอดผา นภาษา เพอื่ ใชใ นการสอื่ สารอยาง วสั ดุอน่ื ก็มีอยู่บา้ ง มศี ิลปะ) • การเขียนเรียงความ การยอความ และการ แสตมปมŠ กั พมÔ พอ์ อกเปน็ แ¼น่ ประกอบดว้ ยแสตมปŠ เขียนจดหมายมคี วามสําคญั ตอการติดตอ หลายดวง ปกตอÔ ยูร่ ะหว่าง òð ถÖง ñòð ดวง มกี ารปรรุ ู สอื่ สารในสังคมยุคปจจุบันหรือไม อยางไร รอบดวงแสตมปŠ (¿˜นแสตมปŠ) ด้านหลังแสตมปŠมีกาว (แนวตอบ ในยคุ ที่มีความกาวหนา ดา น เคลอื บอยู่ กระดาษทã่ี ªพ้ มÔ พม์ กั แทรกสง่Ô พเÔ Èษไวเ้ พอ่ื ปอ‡ งกนั เทคโนโลยีทกั ษะการเขยี นดงั กลา วถอื เปน การปลอมแปลง เªน่ ลายน้าำ หรือดา้ ยสี พื้นฐานในการติดตอส่อื สาร ผูทม่ี คี วามรคู วาม สามารถในทกั ษะทั้งสามอยา ง ถือเปนผทู ่มี ี แสตมปŠªุดแรก¢องไทย คือ ªุดâสÌÈ ออกãª้ ทกั ษะการคิดและการจัดระเบยี บความคดิ ไดด ี เปน็ ครงั้ เมื่อวันที่ ô สÔงหาคม พ.È. òôòö ประกอบดว้ ย จึงสามารถนาํ ไปประยุกต และปรบั เปล่ียนให แสตมปŠราคาหนÖ่งâสÌÈ (ครÖ่งอั°) หน่Öงอั° หน่Öงเสี้ยว มคี วามสอดคลอ งกับส่ือที่เปลีย่ นแปลง และ (สองอ°ั ) หนง่Ö «ีก (สอ่ี °ั ) และหนÖง่ สลÖง (สÔบหกอั°) สามารถตอบสนองกระบวนการตดิ ตอสือ่ สาร ไดอยางรวดเรว็ ) นอก¨ากน้ีãนสมัยน้ันยังมีแสตมปŠอีกดวงราคา หนÖ่งเ¿œ„อง (แปดอั°) แต่เนื่อง¨ากส่งมาถÖงไทยล่าª้า 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ¨Öงไม่มีการãª้งาน¨รÔง แสตมปŠªุดน้ีออกแบบและพÔมพ์ท่ี กรุงลอนดอน สหราªอาณา¨ักร ãนª่วงน้ันไทยยังไม่ได้ ตรวจสอบผล Evaluate เ¢้าร่วมเป็นสมาªÔกสหÀาพสากลไปรษณีย์ ¨Öงไม่มีªื่อ ประเทÈปราก¯ สว่ นแสตมปทŠ สี่ ง่ั พมÔ พª์ ดุ ตอ่ æ มาเปน็ ไปตาม 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั การ ก®¢องสหÀาพสากลไปรษณีย์ กลา่ วคอื มีªอื่ ประเทÈและ เขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะได ราคาãนÀาษาองั กÄษ และมคี าำ วา่ “postage” «ง่Ö หมายถงÖ เป็นการªาำ ระค่าไปรษณยี ์ 2. นกั เรียนสามารถเขยี นจดหมายกจิ ธุระประเภท ตา งๆ ได 86 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดกลา วถึงลักษณะการใชภาษาในการเขยี นเรยี งความ ยอความ และ ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการจัดการเรียนการสอนเกยี่ วกับการเขียนนน้ั ครูผูสอน จดหมายไมถ กู ตอ งท่สี ดุ ควรเนน พฒั นาทักษะการเขียนของนักเรียน โดยเนนการพฒั นาระบบการคดิ เปน หลัก 1. การเขยี นเรียงความควรใชภ าษาท่สี ้ันกระชบั และไดใจความ เนือ่ งจากงานเขียนท่ดี ียอ มเกิดจากการคดิ ที่เปน ระบบ จากน้นั จงึ นําแนวความคิดที่ 2. เรยี งความสามารถใชโ วหารแบบพรรณนาโวหารได ไดม าถายทอดผา นภาษา ดว ยการเลือกสรรกล่นั กรองและเรียบเรียงความรู ความคิด 3. การเขียนยอ ความเนน การพรรณนาเชนเดียวกับการเขยี นเรียงความ อารมณ ความรสู ึกออกมาผานภาษาดว ยความประณตี ชัดเจน ในการปฏบิ ัติกจิ กรรม 4. การเขียนจดหมายสวนตัวสามารถใชภ าษาระดบั ไมเ ปนทางการได สรา งสรรคง านเขยี นน้นั ตอ งอาศยั การพฒั นาทกั ษะการเขียนอยา งถกู ตอ งเหมาะสม วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การเขยี นยอ ความเนนการพรรณนาเชนเดียว และเปนกระบวนการ ชวยใหผ ูเขียนเกิดความรคู วามชํานาญในการใชภ าษา และ กบั การเขยี นเรยี งความ เปน คาํ ตอบทไี่ มถ ูกตอง เนื่องจากการเขยี นยอ ความ สามารถเลอื กใชภ าษาไดเหมาะสมสอดคลอ งกับเนอ้ื หาหรือจดุ มุงหมายในการสอ่ื สาร ตอ งใชภ าษาที่ส้นั กระชับเทานั้น เพราะการยอความเนน การจับใจความสาํ คัญ โดยจดุ มงุ หมายในการเขียนนนั้ มรี ายละเอียด คอื เพ่ือใหเกิดความรู ความเขาใจ และตัดพลความท้งิ ทง้ั หมด สอื่ อารมณความรูสึก และเพ่ือโนมนาวใจใหเกดิ ความคดิ คลอ ยตาม ฉะน้ัน นกั เรียน ควรตงั้ จดุ มุงหมายในการเขียนไวกอนเปนอันดบั แรกกอนท่นี ักเรยี นจะลงมือเขียน ชวยใหน ักเรยี นสามารถเลือกสรรเนอ้ื หา รปู แบบ และภาษาไดเหมาะสมกบั งานเขียน แตล ะประเภทไดง ายยงิ่ ขึ้น 86 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจำาหน่วยการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนสามารถสรุปความหมาย องคป ระกอบ และวธิ กี ารเขยี นเรียงความได ๑. การวางโครงเร่ืองก่อนการเขียนเรยี งความมีความสา� คัญอยา่ งไร ๒. การเลอื กหวั ข้อเร่ืองในการเขียนเรียงความ มคี วามจ�าเป็นหรือไม ่ อยา่ งไร 2. นักเรียนสามารถวิเคราะหค ณุ คา ของงานเขียน ๓. การยอ่ ความจากสอื่ ต่างๆ มปี ระโยชนต์ อ่ การสือ่ สารอย่างไร ประเภทเรยี งความได ๔. การยอ่ ความจากบทรอ้ ยกรองมีวิธกี ารอย่างไร จงอธิบาย ๕. ในยุคทก่ี ารส่อื สารมีความเจรญิ กา้ วหน้าเชน่ ปจั จุบัน การเขียนจดหมายกจิ ธุระ 3. นกั เรยี นสามารถเขยี นเรียงความได 4. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกบั มคี วามส�าคัญอย่างไรตอ่ ชีวิตประจ�าวนั การยอความได 5. นักเรยี นสามารถเขียนยอ ความจากงานประเภท ตา งๆ ได 6. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั การ เขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะได 7. นักเรียนสามารถเขียนจดหมายกิจธรุ ะประเภท ตางๆ ได กิจกรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรียนรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. ให้นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ปัญหาสง่ิ แวดล้อมในปัจจุบนั แลว้ เขยี นสรุป 1. ความเรียงสรปุ ความหมาย องคป ระกอบ ความรู้เพือ่ เขียนเรยี งความเกี่ยวกับการอนรุ กั ษ์สิง่ แวดล้อม คนละ ๑ เรอื่ ง และวิธีการเขยี นเรยี งความ ๒. จดั กิจกรรมประกวดเรียงความเชิงสรา้ งสรรค์ในหัวขอ้ เร่ืองทีก่ า� ลังเปน็ ที่สนใจของ 2. ความเรยี งวเิ คราะหคณุ คา ของเรียงความ สังคม เชน่ 3. เรยี งความตามหวั ขอทก่ี าํ หนด 4. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกบั - ถงุ ผ้าช่วยลดโลกรอ้ น - พลงั งานทดแทน การยอ ความ - ละครเกาหลกี ับสงั คมไทย 5. ยอความจากงานประเภทตางๆ - ความสุขกับชีวิตที่พอเพยี ง 6. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกับการเขียน ๓. ใหน้ ักเรียนเลอื กฟงั ดู หรืออ่านเร่อื งทน่ี กั เรียนสนใจจากสอ่ื ต่างๆ แลว้ เล่าเร่อื งให้ จดหมายกจิ ธรุ ะ เพอ่ื นๆ ในชน้ั เรยี นฟัง เพ่ือแลกเปลย่ี นข้อมูลความรทู้ ี่น่าสนใจและเปน็ ประโยชน์ 7. จดหมายกิจธรุ ะประเภทตา งๆ ๔. นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับความส�าคัญของจดหมาย 8. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรยี นรู ในชีวติ ประจ�าวนั ๕. ใหน้ ักเรียนศกึ ษาค้นคว้าเกี่ยวกบั ความเป็นมาและวิวฒั นาการของจดหมายจากอดตี ถงึ ปจั จุบนั แลว้ จัดทา� เปน็ รายงานส่งครู 87 แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. การวางโครงเรื่องกอ นการเขยี นเรียงความมคี วามสาํ คัญ ถอื เปนการจดั ระเบียบความคิดใหเ ปนระบบและมีความชัดเจน โดยเริม่ ตนดวยการเกริ่นนํา บอกท่มี าหรอื สาเหตุ ของเรอ่ื ง ตามดว ยเน้ือเร่อื ง และการเรยี งลาํ ดบั เน้ือเร่อื ง จากน้นั ย้ําประเดน็ ในตอนสดุ ทาย เพื่อใหเกิดความเดน ชดั ถอื เปนแนวทางการศกึ ษาคน ควา ขอ มูลของผเู ขยี น และชวยใหผเู ขียนสามารถเขียนขยายประเด็นความคดิ และใชส ํานวนภาษาใหม ีความเหมาะสมกับเรือ่ งท่ตี อ งการเขยี น โดยยงั คงสาระสาํ คัญของเรือ่ งเอาไวไ ดอ ยางเดนชดั 2. การเลอื กหวั ขอเร่ืองในการเขยี นเรยี งความถอื วา มคี วามจาํ เปน อยา งมาก เน่อื งจากการเลือกหัวขอเรอ่ื งเปน การกําหนดจดุ มุง หมายในการเขียนวา เรอ่ื งที่เขยี นเรยี งความนั้น ผเู ขยี นตอ งการใหผอู า นทราบเรื่องอะไร ซ่ึงเปน การเร่มิ ตน กระบวนการคิดลาํ ดับแรก นาํ ไปสูว ิธีการกําหนดเน้อื หา 3. การเขียนยอ ความจากส่ือตา งๆ มปี ระโยชนต อการส่ือสาร ดังนี้ 1. ชวยประหยดั เวลาของผูอา นหรือผฟู ง การยอความชว ยใหนักเรียนสามารถติดตามเรอ่ื งราวไดอยา ง รวดเรว็ โดยใชเ วลาไมนาน 2. ชวยใหเ ขาใจเร่ืองท่มี เี นื้อหามาก เนื้อหายาก หรือมีความซบั ซอนไดด ีมากขึ้น ชวยใหเรยี บเรียงเน้ือหาไดงา ยขน้ึ และชว ยในการทําความ เขา ใจเน้ือเรื่องไดชดั เจนยิ่งขน้ึ 3. ชวยใหเขาใจสาระสําคัญ สามารถจบั ประเด็นไดอ ยา งครบถวน ถกู ตอ ง และมคี วามสมบรู ณมากย่ิงขึน้ 4. ชว ยใหผ ูอานเร่อื งยอ รบั รู เร่ืองราวเบื้องตน และนําไปใชป ระโยชนไ ด 4. การเขยี นยอ ความจากบทรอยกรองประกอบดวย 2 สวน คือ ในสว นตนกลา วถึงท่ีมาของเรือ่ ง ยอ เรื่องอะไร ใชค าํ ประพันธประเภทใด ใครเปน ผูแตงจากหนังสืออะไร หนาใด และในสว นของเนอ้ื ความกลา วถงึ เน้ือหาและยอความโดยใชส าํ นวนรอยแกว 5. นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนักเรยี น โดยนกั เรยี นอาจกลา วถึงทักษะในการเขยี นท่ีสง ผลดตี อการตดิ ตอสือ่ สารที่มคี วาม รวดเร็ว ยอมทําใหการสอ่ื สารสมั ฤทธผิ ลมากย่งิ ขึ้น คูม ือครู 87

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรยี นรู เขยี นส่ือสารในรูปแบบตางๆ ไดต รงตาม ตอนที่ ๒ วัตถุประสงค โดยใชภาษาเรียบเรยี งถูกตอง มีขอมูล และสาระสําคัญชดั เจน สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค การเขยี นอธบิ าย 1. ใฝเ รยี นรู เปนการเขียนท่มี ุงใหผ ูอานเขา ใจ 2. มุงมน่ั ในการทํางาน เร่ืองราวอยา งใดอยางหนึง่ ไดโ ดยถูกตอ ง 3. รักความเปน ไทย ชดั เจน การเขยี นอธบิ ายเปนการเขยี น เชิงปฏิบัติทผ่ี เู ขียนจะตองมคี วามรู ความเขาใจ กระตนุ ความสนใจ Engage óหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี เกยี่ วกบั เร่ืองทเี่ ขยี น จดุ มงุ หมาย ประเภท และ วธิ กี ารเขยี นอธบิ าย จงึ จะชว ยใหก ารเขียนอธิบาย ครสู มุ นักเรยี นออกมาเลา ถงึ เสน ทางการเดนิ ทาง การเขยี นอธบิ าย สมั ฤทธิผลตรงตามจดุ ประสงคท ก่ี าํ หนดไว จากบา นของนักเรียนมาโรงเรียน จากน้นั ครูสนทนา ซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • นกั เรยี นคิดวา เพ่ือนของนักเรียนใชก ลวธิ ีการ • เขยี นสอ่ื สารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ • การเขยี นสือ่ สารด้วยการเขียนอธิบาย เลา เรอ่ื งอยา งไร โดยใชภ้ าษาเรียบเรยี งถกู ตอ้ ง มีขอ้ มูลและสาระส�าคัญ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ชดั เจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) ไดอ ยางหลากหลาย เปนตน วา มกี ารลาํ ดบั เหตุการณอ ยางตอ เน่ืองตามลําดบั และเลา เร่อื งอยา งเปน ระบบ) • นักเรียนคิดวา เพอ่ื นของนกั เรยี นใชวิธีการใด ในการเลาเร่อื ง (แนวตอบ การพูดอธิบาย) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน้ี ครผู สู อนควรเนน การทบทวนความรูความเขาใจของนักเรียน เก่ียวกบั วิธีการสื่อสารดว ยการอธบิ าย ซงึ่ เปน วิธีการสอ่ื สารทพี่ บมากในชวี ติ ประจาํ วนั โดยครูใชค ําถามกระตุนความสนใจเพือ่ ใหนกั เรียนพจิ ารณาลักษณะและกลวิธกี ารใช ภาษาท่มี คี วามแตกตางกันไปตามจดุ มงุ หมายในการส่อื สาร เพือ่ ใหน กั เรยี นสามารถ เลอื กใชท ักษะการสื่อสาร และกลวธิ กี ารสอ่ื สารไดอ ยางสอดคลองเหมาะสมกบั เน้อื หา ครผู ูส อนควรเนนกระบวนการทบทวนความรูค วามเขาใจของนักเรยี น ดวยการเพ่มิ เตมิ ความรเู ก่ียวกบั การสือ่ สารผา นการเขียนโดยใชก ลวธิ กี ารอธบิ าย ซึง่ เปน กลวิธกี าร ส่ือสารความคดิ ของบุคคลโดยมีจุดประสงคใ หผอู า นสิน้ ความสงสัยหรอื ความของใจ เปน สําคัญ การส่ือสารดวยกลวิธกี ารอธบิ ายจะสมั ฤทธิผลหรอื ไมน้ัน พจิ ารณาไดจาก ผลที่เกดิ ขึน้ กบั ผอู า นหรือผรู บั สารวา มีความเขา ใจหรือไม มากนอ ยเพียงไร ไมสบั สน ในเนือ้ หาหรอื เรื่องราว มองเหน็ ภาพชดั เจน และสามารถปฏิบตั ิไดสอดคลอ งกับจุด มุงหมายในการส่ือสาร ซ่งึ นกั เรยี นตองอาศัยความสามารถในการฝก ฝนดวยตนเอง อยา งสมาํ่ เสมอ 88 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. จดุ มงุ หมายของการเขยี นอธิบาย ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การเขียนอธิบายมีความมุงหมายใหผูอานเขาใจเร่ืองราวอยางใดอยางหนึ่งอยางถูกตอง ชัดเจน เชน อธิบายวิธีการทําขนมครก อธิบายวิธีใชเคร่ืองซักผา อธิบายหลักการใชภาษาไทย • นกั เรยี นคดิ วา นักเรยี นใชก ลวธิ กี ารเขยี น อธบิ ายวธิ นี ั่งกรรมฐาน อธิบายศัพทเ ทคนคิ อธบิ ายสุภาษติ และคาํ พังเพย เปน ตน อธิบายในโอกาสใดบาง อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความ ในดา นความรแู ละความคดิ การอธบิ ายมคี วามจาํ เปน มาก ครทู ส่ี อนนกั เรยี นอยทู กุ วนั กต็ อ ง คดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยูกบั เหตผุ ล มีการอธิบายเนื้อหาของวิชาใหนักเรียนเขาใจ การเขียนตําราทุกสาขาวิชาก็คือการเขียนอธิบาย ของนกั เรยี น) เนอื้ หาวชิ าของสาขานนั้ ๆ คาํ แนะนาํ ตา งๆ เชน คาํ แนะนาํ การปอ งกนั โรคตดิ ตอ คาํ แนะนาํ การปลกู พืชเศรษฐกิจ คําแนะนาํ การเล้ยี งทารกดว ยนมมารดา เปน ตน สาํ รวจคน หา Explore การเขียนอธิบายจึงมีความสําคัญมากตอการสื่อสาร เน่ืองจากการชี้แจงเรื่องตางๆ นักเรยี นสืบคนขอมูลเกยี่ วกบั การเขียนอธิบาย หากไมสามารถถายทอดไปยังบุคคลอ่ืนๆ ไดอยางถูกตองชัดเจน การสื่อสารยอมไมประสบความ ดังตอ ไปนี้ สาํ เร็จได • จดุ มุงหมายในการเขยี นอธบิ าย ในปจ จบุ นั มกี ารเขยี นอธบิ ายเกดิ ขนึ้ มากมาย เชน หนงั สอื คมู อื ตา งๆ ทเี่ ขยี นอธบิ ายการใช • ประเภทของการเขียนอธิบาย หนงั สือหรือตํารา เปล้อื ง ณ นคร กลาวถึงการเขียนอธิบายวา หมายถงึ การบอกเลา เร่ืองราว • หลักการเขียนอธบิ าย จากความรทู ่ีไดจ ากการสงั เกตพจิ ารณา หรือความรูที่ไดม าจากการศกึ ษาสบื คนหรอื ความคดิ อา น อยางหน่ึงอยางใดอันเกิดในใจ โดยมีลักษณะสําคัญ คือ ความแจมแจงชัดเจนกับความนาอาน อธบิ ายความรู Explain และการเขียนอธิบายจะใสอารมณของผูเขียนลงไปดวยไมได ตองเขียนอยางมีอุเบกขา เพราะ ความมุง หมายของการเขยี นนี้ คือ การใหความรู 1. นกั เรียนจับคู จากนน้ั ครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู รว มกนั ตอบคําถามหนา ชนั้ เรยี นในประเดน็ การเขียนอธิบายจึงเปนการเขียนเชิงปฏิบัติท่ีมีจุดมุงหมายเพื่อขยายความ ตีความ หรือ ตอ ไปนี้ แสดงเน้ือหาความรูใหกระจา ง รวมทั้งการวิเคราะหขอ เทจ็ จรงิ และการใหเหตผุ ลตา งๆ • นักเรยี นบอกความหมายของการอธิบาย (แนวตอบ หมายถึงการบอกเลา เรอ่ื งราวท่ีได ▼ การเขียนอธิบายขาวท่ปี รากฏในหนังสือพมิ พ ผูอา นตอ งใชว ิจารณญาณในการอานและวเิ คราะหข อ เท็จจรงิ จากการคนควา หรือจากความคิดของตนเอง ถา ยทอดเฉพาะประเด็นสาํ คัญอยา งชัดเจน) ๘๙ • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นอธิบายมี จดุ มุงหมายและมคี วามสําคัญอยา งไร (แนวตอบ มจี ดุ มงุ หมายเพอ่ื ใหผอู า นเขา ใจ เรอื่ งราวอยา งชดั เจน ซ่ึงถือเปนวธิ ีการใช ภาษาอยา งหน่ึง มคี วามสําคญั ตอกลวธิ ีการ สอ่ื สาร เนอ่ื งจากเปนวธิ ีการถายทอดสารให เกดิ ความเขา ใจอยางถูกตอ งและชัดเจน) 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ จากนน้ั ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาชน้ั เรยี น ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั ประเภทของการเขียนอธบิ าย ครผู สู อนควรเพิม่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกยี่ วกับจุดมงุ หมายในการอธิบาย ขอ ความตอ ไปนี้ใชวธิ ีการอธบิ ายตามขอใด ทง้ั การพดู และการเขียน โดยการอธิบายนัน้ เปนการสงสารเพ่ือใหความคิดเร่ืองใด คาํ วา สึนามิในภาษาญี่ปนุ หมายถงึ คลน่ื อา วจอดเรอื (harbor wave) เรอ่ื งหนง่ึ กระจา งชัดเจน มักใชใ นงานเขียนประเภทงานวชิ าการ และการเขียนเน้อื หา ตาํ ราตา งๆ โดยมีจุดมงุ หมายเพื่อนาํ ประเดน็ ขอ สงสัยมาใชในการอธิบายใหเขาใจ เน่อื งจากประเทศญป่ี นุ มภี ูมปิ ระเทศเปนเกาะมีชายฝง ทะเลยาว ตามชายฝง แจมแจง การใชก ลวิธกี ารอธบิ ายนนั้ สามารถใชสอดแทรกในการเลา เรื่อง เพื่อชี้แจง มอี า วใหญน อ ยอยมู าก หากเปน อา วแคบๆ ซึ่งเปนท่จี อดเรือความรุนแรงของ ปญหา การใชว ธิ ีการอธิบายสามารถใชเ สรมิ ความ เพ่ือใหเนอ้ื หาของเรื่องมคี วาม คล่ืนสนึ ามิจะมีมากขึ้นอีกหลายเทา เขา ใจกระจางชัดเจนมากย่งิ ขนึ้ จึงถอื กันวา อธิบายมักใชควบคูก บั การบรรยาย รวม ถึงการพรรณนา นอกจากน้ี การอธบิ ายน้มี ักใชในการอธิบายลาํ ดบั ข้ันตอน วิธกี าร 1. นิยาม และใหต วั อยา ง การวิเคราะหห รือจาํ แนกเน้ือหาออกเปนประเภท หรือเปนหมวดหมู และการอธิบาย 2. นิยาม และใหเ หตผุ ล ความหมายของคํา การอธบิ ายมีหลายลกั ษณะ เชน การอธิบายตามลาํ ดับขนั้ 3. ใหตวั อยาง และเปรยี บเทยี บ การอธิบายดว ยการใหน ยิ าม หรอื คาํ จํากดั ความ การยกตวั อยา ง การเปรียบเทียบ 4. ใหเหตุผล และเปรียบเทียบ การชีส้ าเหตแุ ละผลลพั ธท ีส่ ัมพนั ธกัน และการใชอปุ กรณหรอื ภาษาประกอบ เปน ตน ในการเขียนอธิบายนักเรยี นจึงตองใชทักษะทางการสือ่ สารอยา งรอบดาน ซงึ่ สมั พันธ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. นยิ าม และใหเ หตุผล เพราะขอความท่ี กบั ทกั ษะการคิดทีต่ อ งอาศัยการฝก ฝนอยางสมํ่าเสมอ กาํ หนดใหมกี ารใหนิยามจากขอความที่วา คาํ วาสนึ ามใิ นภาษาญ่ปี นุ หมายถึง คูมือครู 89 คลื่นอาวจอดเรือ (harbor wave) และมีการใหเ หตุผลในตอนที่กลา ววา ประเทศญีป่ นุ มีภมู ิประเทศเปนเกาะมีชายฝงทะเลยาว ตามชายฝงมีอา วใหญ นอ ยอยูมาก หากเปนอา วแคบๆ ซง่ึ เปนท่ีจอดเรือความรนุ แรงของคลน่ื สึนามิ จะมมี ากขึ้นอกี หลายเทา

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นจัดกลมุ กลุม ละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกนั ๒ . ประเภทของการเขียนอธิบาย แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ จากประเดน็ คําถาม ดงั ตอไปน้ี การเขียนอธบิ ายอาจจา� แนกประเภทได้ ๔ ประเภท ดงั นี้ • นกั เรยี นคดิ วา การเขียนอธบิ ายประกอบดวย ๑) การเขยี นอธิบายประเภทคา� จา� กัดความ ไดแ้ ก่ การเขียนอธบิ ายความหมายของคา� การเขียนประเภทใดบาง อยา งไร ข้อความ ส�านว1น สุภาษิต ค�าพังเพย หัวข้อทางวิชาการต่างๆ ตลอดจนหัวข้อประชุม หัวข้อ (แนวตอบ ในหนังสอื เรียนเลมนจ้ี ําแนกการ อภิปราย ญตั ติในการโต้วาที เป็นตน้ การใหค้ �าจา� กดั ความแตล่ ะเร่ืองจะตอ้ งกระชับ ชัดเจน และ เขยี นอธบิ ายออกเปน 4 ประเภท ไดแ ก การ เขา้ ใจง่าย เช่น เขียนอธบิ ายประเภทคาํ จาํ กัดความ การเขียน อธบิ ายประเภทเชงิ อรรถ การเขียนอธบิ าย กานดา (แบบ) น. หญิงทร่ี กั ประเภทความรหู รือวิชาการ และการเขียน กานต์ (แบบ) ว. เปน็ ที่รัก, โดยมากใช้เปน็ ส่วนท้ายของสมาส เช่น คำาวา่ อธบิ ายประเภทคํานาํ ) • นักเรียนคิดวา มีวิธีการแบง ประเภทการเขียน จันทรกานต ์ เปน็ ทีร่ กั ของพระจันทร ์ ไดแ้ ก ่ แก้วผลกึ ที่ถูกแสงจนั ทร์ อธิบายอยา งไร แล้วมีเหงือ่ , คู่กับ สูรยกานต ์ เปน็ ทีร่ ักของพระอาทติ ย ์ ไดแ้ ก ่ แกว้ (แนวตอบ การแบงประเภทการเขยี นอธบิ าย ท่รี วมแสงอาทติ ย์ใหเ้ กิดไฟได ้ (ส.) เปน การแบงตามลักษณะเน้อื หาและ กานท ์ (โบ) น. บทกลอน เช่น สารสยามภาคพรอ้ ง กลกานท์ นีฤ้ ๅ (ยวน จุดมุงหมายในการสอ่ื สาร จงึ ทาํ ใหมีการแบง พา่ ย) ประเภทการอธิบายในลักษณะตางๆ) กานน ๑ (-นน) (แบบ) น. ป่า, ดง, เช่น อันว่าท้องเขาวงกฏกานน. • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายประเภทการ (ม.คำาหลวง วนปเวสน์). (ป.; ส.) ใหค าํ จาํ กัดความมจี ดุ มุงหมายในการเขยี น กานน ๒ (-นน) น. ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง (Vitex Pubescens) ในวงศ์ อยางไร Verbenaceae มที างปกั ษ์ใต ้ เน้อื ไม้แขง็ แรงทนทาน, ทางปักษ์ใต้ (แนวตอบ เพอื่ อธิบายความหมาย และกําหนด มกั เรียกสั้นๆ ว่า นน ทางภาคกลางเรียก สมอกานน. แนวทางการทําความเขา ใจเร่อื งใดเรอื่ งหน่งึ กานพลู (-พลู) น. ดอกตมู รวมทัง้ ก้านดอกของต้นกานพลู ซงึ่ เป็นพรรณไม้ รวมกนั ) ขนาดย่อมชนดิ หน่ึง (Eugenia aromatica) ในวงศ์ Myrtaceae มี • นักเรยี นยกตวั อยางการเขยี นอธบิ ายประเภท รสเผด็ รอ้ น นับเขา้ ในเคร่อื งเทศ. (ทมิฬ กริ ามบ)ู . คาํ จํากัดความ (แนวตอบ เปนตน วา ความหมายของคาํ ๒) การเขียนอธิบายประเภทเชิงอรรถ เป็นค�าอธิบายหรือข้ออ้างอิงท่ีเขียนหรือพิมพ์ไว้ สาํ นวน สภุ าษติ หวั ขอ ทางวชิ าการตางๆ) ทส่ี ่วนล่างของหนงั สือหรอื ตอนทา้ ยของเรือ่ ง อาจจะเป็นการขยายความ ให้ความหมาย บอกทมี่ า • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธิบายประเภท ของเรอ่ื ง หรือคา� ทป่ี รากฏอยู่ในเนือ้ เรือ่ ง แตส่ ่วนที่เป็นเชิงอรรถจะไมเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เน้อื เรื่อง หรอื คาํ จํากัดความมลี กั ษณะรวมดา นการใชภาษา ไม่สมควรท่ีจะมาปะปนอยู่ในเน้ือเรื่อง เพราะจะท�าให้เสียรสหรือเสียความไป การเขียนเชิงอรรถ อยางไร เป็นการเขียนอธิบายอย่างหน่ึงซ่ึงต้องกระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (แนวตอบ ใชภ าษากระชบั ชัดเจน และเขาใจ เขยี นเชงิ อรรถอธบิ ายขยายความ โดยใชเ้ ครอื่ งหมายดอกจนั * และเชงิ อรรถอา้ งองิ แหลง่ ทคี่ น้ ควา้ งาย) โดยใสต่ ัวเลขกา� กับ ดังนี้ 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ 90 หนา ช้นั เรยี น เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั วิธีการหรือลักษณะการอธิบาย ประเภทการ ครผู ูสอนควรเพิ่มเติมความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั ประเภทของการอธิบายดว ยการ อธบิ ายตามลาํ ดบั ข้ันตอน เขียนอธิบายประเภทคําจาํ กดั ความ ซ่ึงเปนการระบุความหมายของคําศัพท เพื่อให เมื่อพิจารณาการใชภาษาแสดงลําดับความในคําอธิบายวธิ ีทําอาหาร เกิดความเขาใจตรงกัน จากน้ันจงึ ใชวธิ กี ารอธบิ ายความหมายของคําศัพท ซ่ึงเรียก ตอ ไปนแ้ี ลว ขอใดเปนขนั้ ตอนที่ 4 ไดอ กี อยางวา การนยิ ามความหมาย การนิยามความหมายน้ีสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ ช ก. ปน ทอดมนั เปนแผน กลม นาํ ไปทอดจนสกุ ในการทําความเขา ใจคาํ ศพั ทห รือเรือ่ งราวตางๆ ใหมีความชดั เจนตรงกัน เชน การให ข. ใสไ ขไ ก ถ่วั ฝก ยาวซอย ใบมะกรูดซอย นวดตอ ไป คําจํากดั ความในขอกฎหมายตางๆ การใหค ําจัดกัดความเก่ยี วกบั ญตั ติหรอื ขอ ถกเถียง ค. ผสมเน้อื ปลากรายกบั น้าํ พริกแกงเผ็ด นวดใหเขา กนั หรอื การใหคําจาํ กัดความเก่ียวกบั คาํ ศัพทหรือทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร ง. พรมนา้ํ เกลือทลี ะนอยขณะนวด แลว นวดจนเหนยี วไดท ี่ จ. ตกั ทอดมนั ข้นึ พักไวใหสะเดด็ นํ้ามัน เสิรฟพรอ มอาจาด นกั เรียนควรรู 1. ขอ ก. 2. ขอ ข. 3. ขอ ค. 4. ขอ จ. 1 ญัตติ ขอ เสนอเพอื่ ลงมติ เชน ผูแทนราษฎรเสนอญตั ตเิ ขา สสู ภา เพอื่ ขอใหท ี่ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ขอ ก. เพราะคําอธบิ ายวธิ กี ารทําอาหาร ประชมุ ลงมตวิ าจะเห็นชอบดวยหรือไม หรือหมายถงึ หวั ขอโตวาที เชน โตวาทีใน สามารถเรยี งลําดบั ได คอื ขอ ค. ขอ ข. ขอ ง. ขอ ก. และขอ จ. ญัตตวิ า ขนุ ชางดีกวา ขุนแผน 90 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ตวั อยา่ ง การอ้างอิงเชิงอรรถ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกันแสดงความคดิ เห็น ดังตอ ไปน้ี นทิ านเรอ่ื งอหิ รา่ นราชธรรม เปน็ วรรณคดที มี่ มี าตง้ั แตอ่ ยธุ ยา เปน็ เรอ่ื งทใี่ หแ้ งค่ ดิ แกค่ นในสงั คม • นักเรยี นคิดวา การเขยี นอธบิ ายประเภท ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นปกครอง หรือผู้ท่ีอยู่ใต้ปกครองว่าทุกคนล้วนมีบทบาทที่ส�าคัญ มีส่วนช่วย เชิงอรรถมจี ดุ มุงหมายในการสอ่ื สารอยางไร ในการพฒั นาสงั คม หากมคี วามสา� นกึ ในบทบาทหนา้ ทข่ี องตน และปฏบิ ตั ติ นใหด้ ที ส่ี ดุ ยอ่ มนา� มา (แนวตอบ เชิงอรรถมีจดุ มงุ หมายในการ ซ่ึงความสงบสุขในสงั คม อกี ทัง้ ได้สอดแทรกคติธรรมทด่ี ดี ว้ ย อธิบายหรอื ใชใ นการอา งอิงขอ มูล เพื่อขยาย นิทานเร่ืองน้ีเดิมทีเรียกว่า “นิทานสิบสองเหลี่ยม”* ต่อมาเมื่อราชบัณฑิตสภาได้จัด ใหค วามหมาย หรอื บอกท่มี าของเรื่อง ใหผู พิมพ์หนังสือนิทานชุดนี้จึงมีการเรียกช่ือใหม่ว่า “นิทานอิหร่านราชธรรม” โดยสมเด็จฯ กรม อานเขาใจ รวมถงึ เพมิ่ ความนา เช่ือถือของ พระยาด�ารงราชานุภาพ ได้ปรารภว่า “เรื่องสิบสองเหลี่ยม เห็นว่าไม่ชวนอ่านเหมือนเป็น นาม เรอ่ื งท่อี า นมากยิง่ ขน้ึ ) ปิดคา่ ของหนงั สือ นิทานเหล่าน้สี ิเป็นของพวกแขกอหิ ร่านและว่าดว้ ยราชธรรม จึงให้ชื่อเสยี ใหม่ • นกั เรยี นคิดวา การเขยี นอธบิ ายประเภท ว่า นิทานอิหรา่ นราชธรรม”๑ เชิงอรรถมลี ักษณะอยางไร นิทานอิหร่านราชธรรมมีที่มาตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพทรงสนั นษิ ฐานวา่ (แนวตอบ เชงิ อรรถเปนคาํ อธิบายหรือขอ คงเป็นเรื่องท่ีชาวเปอร์เซียน�าเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อครั้งพระเจ้าแผ่นดิน อางองิ ท่เี ขยี นหรอื พมิ พไวทส่ี วนลา งของ เปอรเ์ ซยี โปรดใหแ้ ตง่ ราชทตู เขา้ มาเกลยี้ กลอ่ มให้พระองค์เขา้ รีตศาสนาอสิ ลาม โดยฉบบั แรกเป็น หนังสือหรอื ตอนทา ยของเรอ่ื ง อาจเปน การ ของขนุ กลั ยาบด ี ขนุ นางแขกเปอรเ์ ซยี ทเ่ี ขา้ มารบั ราชการในอยธุ ยา ทา่ นไดร้ วบรวมและเรยี บเรยี ง ขยายความ ใหค วามหมาย หรอื บอกทม่ี า นิทานดังกล่าวถวายพระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ เมือ่ พ.ศ. ๒๒๙๕๒ ของเร่ืองหรอื คําที่ปรากฏอยูในเนื้อเรอื่ ง ซ่ึง สวนทเี่ ปนเชิงอรรถจะไมเ ก่ยี วขอ งกับเน้อื หา *กุสุมา รักษมณี กล่าวว่า นิทานเร่ืองน้ีได้กล่าวถึงพระมณฑปที่ประดิษฐานพระศพพระเจ้าเนาวสว่านว่าเป็น ของเรื่อง) มณฑปสิบสองเหล่ียม จึงเปน็ เหตุให้คนไทยในสมัยกอ่ นเรียกนทิ านชุดนวี้ ่า นทิ านสบิ สองเหล่ยี ม • นักเรยี นคดิ วา เพราะเหตุใดในการเขียน อธบิ ายจึงตอ งเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ ๑นิทานอิหร่านราชธรรม (พระนคร : องคก์ ารค้าของครุ ุสภา, ๒๕๐๖), หน้า ง. แยกออกมาจากเนือ้ เรอ่ื ง ๒กุสมุ า รกั ษมณี, “ลลิ ิตอิหร่านราชธรรม วรรณคดใี นอฐั มและนวมรชั กาล”, ศลิ ปวัฒนธรรม ๖, ๘ (มถิ ุนายน (แนวตอบ เน่ืองจากเชิงอรรถไมมีความ ๒๕๒๘) : หนา้ ๖๘. เกีย่ วของกบั เน้อื เรื่อง และไมน าํ มาปะปน กับเน้อื เร่ือง เพราะอาจทําใหเ สยี รสหรือเสีย จากตัวอย่างเชิงอรรถขา้ งต้น จะเหน็ ไดว้ า่ ความไป) เชิงอรรถ* เปน็ การอธิบายเพ่ิมเตมิ • นกั เรยี นคิดวา การเขียนอธิบายประเภท เชิงอรรถท ี่ ๑ และ ๒ เป็นการบอกแหลง่ ทม่ี าของการอา้ งองิ เชิงอรรถมกี ลวิธกี ารใชภาษาอยางไร (แนวตอบ การเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ ตอ งใชภาษาทีม่ คี วามกระชับ ชดั เจน และ เขา ใจงา ย) 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนา ชัน้ เรียน 91 ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั รปู แบบการอธิบาย ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอความตอ ไปน้ไี มใช วธิ ีอธบิ ายตามแบบใด ครูผูส อนควรเพิม่ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ประเภทของการอธิบายดว ย “โรคอบุ ตั ิเหตุซํา้ ” เปนโรคทีก่ ลบั มาระบาดใหม หลังจากเคยเกิดข้นึ แลว การเขียนอธิบายประเภทเชิงอรรถซ่งึ เปน กระบวนการอางอิงอยา งหนึ่ง เหตุผลทต่ี อง หายไป หรอื พบหลงั จากไมเ คยมีการระบาดในพ้นื ทีเ่ ดิมมาเปนเวลานาน เชน มกี ารเขยี นอางองิ เชงิ อรรถนัน้ ดว ยคํานงึ ถึงมารยาท รวมถึงขอ บังคบั ทางกฎหมาย โรคเทา ชา ง ไขทรพิษ เปนตน ผูเขยี นตอ งระบรุ ายการอา งอิงในการใชขอมูลทกุ คร้ัง เพ่อื ใหเ กยี รตแิ กเจาของขอ มูล 1. นิยาม 2. ใหต วั อยาง ท่ใี ชใ นการศึกษา และเปนการยืนยันแนวคดิ ทผ่ี ูเ ขยี นยกมากลาวไดอ กี ดวย การเขียน 3. เปรยี บเทียบ 4. กลาวซํา้ โดยใชถ อ ยคําอืน่ เชิงอรรถอางอิงนั้นจะชวยใหผ อู านสามารถไปสบื คน เน้ือหาทป่ี รากฏ เพื่อขยายความรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เปรียบเทยี บ เพราะขอ ความท่ยี กมาไม ความคิดใหก วางไกลมากยงิ่ ขน้ึ ได ปรากฏกลวธิ กี ารเปรียบเทยี บ แตป รากฏกลวิธีตางๆ ดังน้ี ขอ ที่ 1. นิยาม อธิบายศพั ทเ บ้ืองตนของคําวา โรคอบุ ตั ซิ าํ้ ขอ ท่ี 2. การใหตวั อยาง จากการ นอกจากน้ี ครูผสู อนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขา ใจเก่ียวกบั การเขยี นเชิงอรรถ ยกตัวอยาง โรคเทา ชาง ไขทรพิษ สว นขอที่ 4. กลา วซ้ําโดยใชถอ ยคาํ อื่น อางองิ วา เชิงอรรถอางองิ มวี ิธกี ารเขยี นทีห่ ลากหลายขึ้นอยูกับหนวยงานเปน จากขอความที่วา “เปน โรคท่ีกลับมาระบาดใหม” และ “พบหลงั จากไมเ คยมี ผกู าํ หนดใช เมื่อนักเรียนตอ งการเขียนเชงิ อรรถอางอิงนกั เรยี นตอ งพิจารณาดวยวา การระบาดในพื้นทเ่ี ดิมมาเปนเวลานาน” หนวยงานหรอื สถาบันดงั กลา วมีการใชเชงิ อรรถในลักษณะใด เพอ่ื ใหส ามารถเขยี น เรยี บเรยี งไดอยางถกู ตอ งเหมาะสมกับระเบยี บขอบังคบั ของหนว ยงาน รวมถึงผูเขยี น ตอ งศกึ ษารายละเอียดของรูปแบบการเขียนใหละเอยี ดรอบคอบตามทห่ี นว ยงานหรอื สถาบนั ดังกลาวกาํ หนดใหถ กู ตอ งตามหลักเกณฑ คูมอื ครู 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook