กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี ๑. การอ่านแปลความ • นักเรยี นอานสารตางๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั การอ่านแปลความ คือ การแปลตามอักษรหรือค�าโดยถือความหมายเป็นส�าคัญ เพ่ือให้ ทงั้ หนงั สือพมิ พ บทความจากสือ่ อินเทอรเ นต็ ผู้อา่ นเข้าใจความหมายตามเนือ้ ความน้ันๆ โดยยงั รักษาเนอ้ื หาและความสา� คญั ของเร่อื งเดิมไวไ้ ด้ รวมถงึ หนงั สือประเภทตา งๆ นกั เรยี นคดิ วา อยา่ งครบถว้ น การแปลความจะไม่ค�านึงถงึ รูปแบบเดมิ ของข้อความเลย นกั เรยี นสามารถทําความเขาใจสารในบทอาน ความสามารถในการแปลความหมาย เป็นพ้ืนฐานของความสามารถในการตีความ การ ไดอ ยางไร สาํ รวจคน หา Explore ขยายความ การน�าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ถ้าอ่านหรือฟังแล้ว แปลความผดิ ไปจากเนอ้ื ความเดมิ ก็จะท�าใหก้ ารตีความ ขยายความ หรอื อน่ื ๆ ผดิ ไปด้วย นักเรียนสบื คนความหมาย และแนวทางการ ข้อความ ถ้อยค�า หรือเรื่องราวท่ีได้ยิน ได้อ่าน อันเป็นถ้อยค�าสามัญ ไม่จ�าเป็นต้อง อา นแปลความในรูปแบบตา งๆ แปลความ เพราะเปน็ เรอื่ งงา่ ยทท่ี กุ คนสามารถทา� ความเขา้ ใจไดท้ นั ทที อี่ า่ น จงึ รคู้ วามหมายไดแ้ จม่ อธบิ ายความรู Explain แจ้งตรงกนั การแปลความหมายมหี ลายรปู แบบ ดงั นี้ ๑. แปลค�าศัพท์เฉพาะให้เป็นภาษาธรรมดา เป็นการแปลความหมายจากระดับหนึ่งไปสู่ อกี ระดับหนงึ่ เชน่ 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ตอไปน้ี • นกั เรยี นคดิ วา จดุ มงุ หมายในการอา นแปลความ บปุ ผา = ดอกไม้ คืออะไร และมรี ูปแบบการอา นอยา งไร (แนวตอบ มีจุดมุงหมายเพอ่ื ใหเกิดความเขาใจ โจทก ์ = ผ้ฟู อ้ ง อยา งครบถว น มหี ลายรปู แบบ คือ การแปล ศัพท สํานวน และสญั ลักษณ) ตุ๋น = หลอกลวง, วธิ ีปรุงอาหารอยา่ งหนึ่ง 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ๒. แปลส�านวน สุภาษติ คา� พังเพย ร้อยกรอง คา� ภาษาบาลสี นั สกฤตท่ีไทยนา� มาใช้ให้เป็น ภาษาสามญั หรอื ในทางกลับกนั เช่น ขยายความเขา ใจ Expand ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ แปลความไดว้ า่ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤตธิ รรม พิศพกั ตรผ์ ่องเพียงบหุ ลันฉาย แปลความได้วา่ ใบหนา้ ผุดผอ่ งราวกับแสงจนั ทร์ ความรู้ท่วมหัวเอาตวั ไมร่ อด แปลความได้วา่ มีวิชาความรูม้ ากแตไ่ มส่ ามารถ พาตนเองให้รอดพ้นจากความ 1. นกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมโดยครูนาํ คําศพั ทเ ฉพาะ หายนะและภัยพิบัติได้ คาํ ราชาศัพท สาํ นวน รวมถึงเครือ่ งหมายตางๆ มาใหน กั เรยี นพิจารณา จากนน้ั ใหน กั เรยี นบอก ๓. แปลเครื่องหมายต่างๆ เชน่ ความหมาย แปลวา่ เพศชาย 2. นกั เรยี นรวบรวมคําศัพท สาํ นวน รวมถึง แปลว่า เพศหญิง เครอื่ งหมายตา งๆ พรอ มบอกความหมาย จากน้ันบันทึกลงในสมุด > แปลว่า มากกวา่ ตรวจสอบผล Evaluate นักเรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกบั 42 การอานแปลความและสามารถอานแปลความได ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการแปลความจากขอ ความท่ีอาน ในขอความตอไปนี้ “หัวใจของธุรกจิ น”้ี มีความหมายตามขอ ใด ครคู วรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเก่ยี วกับการพฒั นาทักษะความคิดจากการอา น หัวใจของธรุ กิจนีแ้ ตกตา งจากท่อี น่ื ซงึ่ อาจจะสนใจพัฒนาผลติ ภัณฑท ี่ดเี ลศิ เนือ่ งจากการอา นเปนพฤติกรรมการรับสารท่มี คี วามคดิ เหน็ เปนแกนกลาง ขณะทอ่ี าน บาง ขยายเครอื ขา ยอยางกวา งขวางบาง สวนเราตอ งยืนหยดั ใหไดทามกลาง ผูอานจะไดใชสมองขบคิดพจิ ารณา คน หาความหมาย และทําความเขาใจขอความ ความเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ ม ท่อี านไปตามลําดบั ความสามารถในการอา นนี้เปน ผลมาจากการฝก สมอง พัฒนา 1. ความมัน่ คงขององคก ร ทกั ษะกระบวนการคิดในขณะท่อี าน ทําใหเ กดิ การพัฒนาทางความคดิ นอกจากการ 2. คุณภาพของสนิ คา พัฒนาทกั ษะทางความคิดแลว ยงั ชว ยพฒั นาจนิ ตนาการ เพราะการอา นทําใหผ ูอา น 3. ความมีสมั พันธภาพทีด่ ี ไดใชความคดิ อยางอิสระ สามารถสรางภาพในใจตนเอง ดวยการตคี วามจากภาษา 4. การเติบโตของธุรกิจ ของผูเขยี น ดงั นัน้ แมจะอา นหนงั สือเลมเดียวกัน แตผูอา นก็อาจมภี าพในใจแตกตา ง วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ความมั่นคงขององคก ร หมายถึง “หวั ใจ กันไปตามจินตนาการของแตล ะคน จากนนั้ ครจู งึ เชอ่ื มโยงความรูเกี่ยวกับทักษะ ของธุรกจิ น”้ี โดยพิจารณาจาก “เราตองยนื หยัดใหไ ด” การอานแปลความ ซึง่ เปนการทําความเขา ใจเนอ้ื หาท่ีแตกตางกนั 42 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การอา่ นตคี วาม ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • นักเรยี นคิดวา เม่ือนกั เรยี นอา นหนงั สอื การอ่านตคี วาม หมายถึง การหาความหมายทซ่ี อ่ นอยู่ในตวั บท หรือการแปลความหมาย การตนู เรอ่ื งส้ัน หรอื นวนยิ าย นักเรียนมี โดยนัย หรือการอธิบายความหมายท่ซี ับซอ้ นให้กระจ่างขนึ้ เชน่ “ดอกหญ้า” ความหมายโดยตรง ความรสู ึกคลอ ยตามตวั ละครในเรอ่ื งหรือไม หมายถงึ ดอกไม้ท่ีขน้ึ อยทู่ ั่วไปตามพืน้ ดิน แต่ความหมายโดยนัย หมายถงึ “สงิ่ ท่ีไมม่ ีคา่ ” หรอื การ ช้ีให้เห็นความหมายของสิ่งที่เป็นรูปธรรมในระดับท่ีเป็นนามธรรมหรือระดับแนวคิด เช่น นิทาน • นกั เรียนคิดวา ความรูส ึกท่ีเกดิ ขน้ึ จากการ กระต่ายกับเต่า พฤติกรรมของสัตว์ทั้งสองในเรื่องมีความหมายโดยตรง คือ สามารถเดินทาง อา นของนักเรียนเหมือนกบั ความรสู กึ ของ ได้เร็วหรือช้าแตกต่างกัน ส่วนการตีความรูปธรรมดังกล่าวคือ การแปลความหมายในระดับ คนอื่นหรือไม อยางไร นามธรรม กลา่ วคอื การนอนพกั ของกระตา่ ย หมายถึง “ความชะล่าใจ” และการเดินชา้ ๆ ของเต่า หมายถงึ “ความเพยี รพยายาม” • นักเรยี นคิดวา เหตุใดนักเรยี นจึงมคี วามรสู กึ จากการอานเร่อื งราวแตกตางกนั โดยทว่ั ไป ภาษาทม่ี ีสองระดบั คอื คา� ท่ีมคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ซึ่งมี สาํ รวจคน หา Explore ความหมายซ่อนอยู่อันเป็นไปตามวฒั นธรรมและความเช่ือ ฯลฯ ภาษาท่ีปรากฏในตัวบท ผู้เขียน อาจใช้ค�าท่ีมีความหมายโดยตรง ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็ได้ความเข้าใจระดับหน่ึง แต่ค�านั้นๆ อาจมี ความหมายโดยนยั ซอ่ นอยดู่ ว้ ย หรอื บางครง้ั ผเู้ ขยี นอาจใชส้ ญั ลกั ษณ์ หากผรู้ บั สารสามารถตคี วาม นักเรียนสบื คน ความหมาย และแนวทางการ อานตีความ โดยหาความหมายที่ซ่อนอย่ไู ด้ ก็จะไดค้ วามเข้าใจในระดับทีล่ ึกซงึ้ ข้ึน การอา่ นตีความมหี ลกั เกณฑ์ในการอา่ น ดงั น้ี อธบิ ายความรู Explain ๑. อา่ นเรื่องทจ่ี ะตคี วามโดยละเอียดเพือ่ ให้เข้าใจความหมาย และประเด็นสา� คญั ๒. พจิ ารณาว่าค�าทีป่ รากฏในเรือ่ งมคี วามหมายอีกระดบั ซอ่ นอย่หู รอื ไม่ เชน่ ความหมาย 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคิดเห็นในประเด็น โดยนัยและสัญลักษณ์ ตอไปน้ี ๓. พจิ าณาวา่ คา� ที่ปรากฏในเร่ืองมีนา�้ เสยี งท่ีเจือความรูส้ ึกใดๆ ซ่อนอยู่หรือไม่ • นกั เรียนคดิ วา การอานตคี วามมคี วาม สาํ คัญอยา งไร ตัวอยา่ งท่ี ๑ การอา่ นตีความ คนหนงึ่ มองเห็นโคลนตม (แนวตอบ การอานตคี วามชว ยใหผ อู า น เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย สามารถทําความเขา ใจเนอื้ หา หรอื สาระ สองคนยลตามชอ่ ง สาํ คญั รวมถึงความหมายท้งั ความหมาย อกี คนตาแหลมคม (ดรุณศึกษา : ภารดา ฟ. ฮีแลร์) โดยตรงและความหมายโดยนยั ไดอ ยา ง จากตัวอย่างข้างต้น ผเู้ ขยี นช้วี า่ คนสองคนมองสิ่งเดียวกนั คนหน่งึ เห็น “โคลนตม” ชดั เจน) อีกคนเห็น “ดวงดาว” ผู้เขียนเลือกใช้ค�าท่ีต้องตีความ มิฉะน้ันจะไม่เข้าใจความหมายที่ผู้เขียน 2. นกั เรยี นจับคู จากนัน้ ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คู ตอ้ งการสอื่ ผอู้ า่ นตอ้ งตคี วามวา่ “โคลนตม” และ “ดวงดาว” มคี วามหมายโดยนยั วา่ อยา่ งไร “โคลน ตม” มีความหมายโดยตรงว่า “ดินเหลว” แต่ความหมายโดยนัยท่ีอาจตีความได้ หมายถึง สิ่งท่ี รวมกันตอบคําถามหนา ช้ันเรียนในประเดน็ ตอ้ ยตา�่ ไม่งดงาม ไร้คา่ ส่วน “ดวงดาว” มคี วามหมายโดยตรงวา่ “ส่งิ ทเี่ หน็ เปน็ ดวงเล็กๆ มแี สง ตอ ไปน้ี ในท้องฟ้า” แต่ความหมายโดยนัยอาจตีความหมายได้ว่า หมายถึง สิ่งท่ีสูงส่ง งดงาม มีคุณค่า • นกั เรียนคิดวา การอานตคี วามมีหลกั เกณฑ หรือวธิ ีการอานอยา งไร (แนวตอบ ผูอา นตอ งพจิ ารณาสาระสําคัญ 43 สารแฝงหรืออารมณความรสู กึ รวมถงึ เจตนา ในการสื่อสารดวย) 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นักเรยี นศกึ ษาคน ควา เกีย่ วกบั ตัวอยา งคํา ขอ ความ หรอื สญั ลักษณ ครผู ูส อนเพิม่ เติมเนือ้ หาเกย่ี วกับการอานตคี วาม โดยการอา นตีความเปนการ ทตี่ อ งแปลความจากแหลงเรียนรตู างๆ รวบรวมตัวอยา งการแปลความ พิจารณาความหมายท่ีผูแตง สอ่ื สารมายงั ผอู าน งานเขียนบางเรอ่ื งผเู ขียนไมไ ดส อ่ื มา 5 ตวั อยาง บนั ทกึ ลงในสมดุ ความหมายอยางชัดเจน ตรงไปตรงมา เพราะตองการแฝงปรัชญาและความหมาย บางประการ หรอื ตอ งการแสดงศิลปะในการใชภาษา หรอื ตองการหลกี เลย่ี งการกลา ว กิจกรรมทา ทาย พาดพงิ ถงึ บุคคลและเหตกุ ารณโดยตรง เพราะเกรงจะมีการละเมดิ กฎหมาย ผอู าน จึงตองอา นดวยวิธีการตคี วาม เพราะการอา นงานเขียนบางชิ้นหากอา นแบบไมตอง นกั เรยี นศกึ ษาทําความเขา ใจเรื่องการอา นแปลความดวยตนเองจาก ตคี วามกจ็ ะมีความหมายอยางหนง่ึ แตหากผานการตคี วามกจ็ ะเปน ความหมายอกี แหลง เรียนรตู า งๆ จากนนั้ บอกความสาํ คัญของการอานท่ตี องแปลความ อยางหน่ึง ดงั น้ัน ผูอา นท่จี ะตีความไดถูกตองตรงกบั จุดมุงหมายของผเู ขียน จะตอ ง โดยยกตวั อยา งสารท่นี กั เรยี นเห็นวาควรใชทกั ษะการอา นแปลความ เปน ผูท่มี คี วามรอบรู ชา งสังเกต และมีประสบการณอยางหลากหลาย โดยสามารถ พจิ ารณาจากองคประกอบในการเขียน ท้งั ในดานรปู แบบการเขียน ผเู ขียน ชวงระยะ เวลาท่ผี ลติ งาน ประเภทของหนงั สือทไี่ ดรับการตพี มิ พ ภาพ เคร่ืองหมายตา งๆ ที่ ปรากฏ ตลอดจนการจดั วางรูปแบบถอยคํารวมถงึ ลกั ษณะเดนของเนือ้ หา คูมือครู 43
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใหนักเรยี นพจิ ารณา ดังน้นั การอ่านตคี วามบทนจ้ี งึ อาจสรุปไดว้ ่า คนเรา “มอง” สงิ่ เดียวกันแต่ “เห็น” ไม่เหมือนกนั ตวั อยา งขอ ความในหนา 44 ภายในระยะเวลา บางคนเห็นว่าสิ่งน้ันไม่งดงาม ไมม่ ปี ระโยชน์ ส่วนอีกคนเหน็ วา่ งดงามและมีประโยชน์ เชน่ เมอื่ 3 นาที จากนนั้ ใหนักเรยี นตีความขอความ มองกองขยะ คนหนง่ึ เหน็ ว่าเปน็ ของไรค้ ่า นา่ รังเกยี จ สกปรก แตอ่ กี คนเห็นวา่ กองขยะเปน็ ของ พรอมบันทึกลงในสมดุ มคี า่ เพราะสามารถแยกขยะ นา� บางส่วนไปใช้ประโยชน์ใหม่ ทา� ให้ขยะกลายเปน็ ของมคี ่าได้ 2. ครสู มุ นกั เรยี น 4-5 คน ออกมานําเสนอ ตวั อยา่ งท่ี ๒ การอ่านตีความ มณ ี เดียวนา 3. นักเรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 3 คน ใหน ักเรยี นนาํ ส่วนสร้าง โลกนี้มิอยูด่ ว้ ย ดลุ ยภาพ ขอ มลู คําศพั ท สํานวน และเคร่ืองหมายตางๆ ทรายและสงิ่ อ่นื มี เพราะน้�าแรงไหน ทนี่ กั เรียนไดร วบรวมไวในกจิ กรรมขยายความ ปวงธาตตุ �า่ กลางด ี หงสท์ อง เดยี วเลย เขาใจเรอ่ื งการอา นแปลความมานําเสนอ ภาคจกั รพาลมิร้าง ชีพดว้ ย จากน้ันใหเพ่อื นในกลุมรว มกันตีความ พรอ ม ภพน้ีมิใช่หลา้ หินชาติ แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กนั กาก็เจา้ ของครอง หมดสิ้นสขุ ศานต์ 4. นักเรียนสมมติสถานการณห รอื แตง ประโยคโดย เมาสมมุตจิ องหอง มีขอ ความหรอื สญั ลักษณดังกลา วปรากฏอยูใน น�้ามิตรแลง้ โลกม้วย ประโยคหรอื สถานการณนั้น จากนัน้ ใหเ พ่อื นใน กลมุ ตคี วามรวมกับบริบท (โลก : องั คาร กัลยาณพงศ์) 5. นักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ • นักเรยี นคิดวา การตคี วามของนักเรยี นมี โคลงสี่สุภาพบทน้ีมีการใช้ค�าที่ตรงกันข้ามเพื่อเสนอความหมายอยู่สองคู่ คือ มณีกับทราย และหงส์ทองกับกา ความหมายตรงของ “มณี” คือ “หินสี” ความหมายตรงของ ความแตกตางจากการตีความของเพอ่ื น “ทราย” คือ “เศษหินขนาดเล็ก” แต่มนุษย์ให้คุณค่าแก่มณี ความหมายโดยนัยของมณี คือ หรือไม อยางไร สง่ิ ทมี่ คี า่ หายาก เปน็ ทตี่ อ้ งการมนษุ ย์ สว่ นทรายเปน็ ของมคี า่ นอ้ ย เพราะมจี า� นวนมาก สว่ นหงส-์ (แนวตอบ มีความแตกตา งกนั ) ทองกบั กาความหมายโดยตรงคอื ทงั้ คเู่ ปน็ สตั วท์ มี่ อี ยตู่ ามธรรมชาติ แตม่ คี วามหมายโดยนยั ตา่ งกนั • นักเรยี นคดิ วา การตคี วามทีม่ ีความแตกตา ง เพราะในสงั คมไทยจะใหค้ ณุ คา่ แกห่ งสม์ ากกวา่ เนอื่ งจากมสี ขี าวและมคี วามงดงาม สว่ นกาเปน็ สตั ว์ กันเกิดจากสาเหตุใดเปนสาํ คัญ ทม่ี ีขนสีด�า ไม่งดงาม ดังน้ัน จึงอาจตีความโคลงบทนี้ได้วา่ โลกน้ปี ระกอบไปดว้ ยสรรพส่งิ ทีม่ ที ั้ง (แนวตอบ ขึ้นอยกู ับมุมมองพืน้ ฐานความรแู ละ “ต�า่ กลาง ด”ี ทั้งหมดมคี ุณค่าตอ่ โลก เพราะท�าใหโ้ ลกเกดิ ความสมดุล มนุษยจ์ งึ ควรใหค้ ณุ ค่าแก่ ประสบการณข องนกั เรยี น) ทุกสง่ิ ทีธ่ รรมชาติมอบให้ 6. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด นอกจากนผ้ี เู้ ขยี นยงั ซอ่ นนา�้ เสยี งที่ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั คนทเ่ี หน็ แตค่ ณุ คา่ ของของสงิ่ สมมตุ ิ ตรวจสอบผล Evaluate คือ มณีและหงส์ ว่าเป็นคนที่มัวเมา เห็นแต่เปลือกนอกของวัตถุ โดยพิจารณาจากการใช้ค�าว่า “เมาสมมุตจิ องหอง หนิ ชาต”ิ 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกับการ 44 อา นตคี วามได 2. นักเรียนสามารถตีความคาํ ศัพท สํานวน และ เครอ่ื งหมายตางๆ รวมถึงสามารถตคี วาม รวมกับบรบิ ท ภายในระยะเวลาทกี่ ําหนดได เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกับการตคี วามจากสํานวน ครูควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั การอานตีความวา การอานตีความ สาํ นวนในขอ ใดใชเติมชองวา งของขอความตอไปน้ีไมไ ด มจี ดุ มงุ หมายเพ่ือพจิ ารณาขอ ความหรอื เรือ่ งน้ันๆ มีความหมายท่แี ทจ ริงวา อยา งไร “ฉันเตือนเธอแลววา อยาไปทะเลาะกบั คนเลวๆ อยา งนน้ั มแี ตผลเสยี และสามารถทจ่ี ะอธบิ ายถงึ เจตนา และความคดิ ของผเู ขยี นไดอ ยา งชัดเจนการ เหมือนเธอ...” ตีความจากการอานจะแตกตางกันไปดว ยสาเหตุหลายประการ ไดแ ก 1. เอาไมซ ีกไปงดั ไมซงุ 1. ความสามารถของแตล ะบคุ คล 2. วยั 3. ประสบการณ 4. ความเขา ใจถอยคาํ 2. เอาทองไปรูกระเบ้ือง 5. ความสามารถในการเปรียบเทียบกบั เร่ืองอืน่ ในการอา นตคี วามนักเรยี นจึงตอง 3. เอาเนอ้ื หนไู ปปะเนือ้ ชาง พจิ ารณาองคป ระกอบตา งๆ ของเนื้อหา โดยมีรายละเอียด ดังตอ ไปน้ี 4. เอาพมิ เสนไปแลกกับเกลือ 1. ความเขา ใจจุดประสงคหรอื เจตนารมณข องผูเขยี นและความหมายของสิ่งท่ีผเู ขยี น วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เอาเนื้อหนไู ปปะเนอ้ื ชา ง มีความหมายวา ไดเ ขยี น 2. แนวคิดสาํ คัญทไี่ ดจ ากการอาน ท่ผี เู ขยี นอาจเสนออยางจงใจหรือไม เอาทรพั ยสินจากคนที่มนี อ ยไปใหแกผ ูทีม่ มี ากกวา ซง่ึ เติมลงในชองวางไมได จงใจก็ได 3. นาํ้ เสียงของผเู ขยี นและสสี ันบรรยากาศในการเขยี นซ่งึ อาจเปนน้าํ เสียง ตา งจากขออ่นื ท่ีหมายถงึ การปะทะกันแลวผลออกมาไมคมุ คา แสดงอารมณขนั ลอ เลียน น้าํ เสยี งออนโยน นุม นวล นา้ํ เสยี งประชดประชัน เสยี ดสี ฯลฯ ซ่งึ บางคร้ังในงานเขยี นเดยี วกนั อาจจะมนี าํ้ เสียงหลายลักษณะปะปนกัน 44 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การอ่านขยายความ ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การอา่ นขยายความ คอื การอา่ นเพอ่ื นา� ขอ้ มลู มาอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ใหม้ คี วามละเอยี ดมากขน้ึ จากเนือ้ ความเดิม ทง้ั น้ีการอ่านขยายความสามารถใชว้ ิธกี ารยกตวั อยา่ งประกอบ หรอื การอา้ งอิง • นกั เรียนคิดวา นกั เรยี นมีวธิ ีการเรียบเรยี ง เปรยี บเทียบ เพอื่ ใหไ้ ด้เน้ือความท่ีกว้างขวางออกไปจนเปน็ ที่เข้าใจยงิ่ ข้ึน ความคิด เพื่อชว ยใหเกิดความเขา ใจ และ จดจาํ เน้ือหาทนี่ ักเรียนอานไดอ ยางไร ตัวอยา่ ง การอา่ นเพื่อขยายความ สาํ รวจคน หา Explore พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนว่า นกั เรยี นสืบคนความหมาย และแนวทางการ เปมโต ชายตี โสโก อา นขยายความ เปมโต ชายต ี ภยํ เปมโต วิปฺปมตุ ตฺ สสฺ อธบิ ายความรู นตฺถ ี โสโก กโุ ต ภยํ Explain ความโศกเกิดจากความรัก ความกลัวเกิดจากความรัก ผู้ที่สละความรักได้แล้ว 1. นักเรยี นจดั กลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอ ม ก็ไมโ่ ศก ก็ไมก่ ลวั รว มกันแลกเปลีย่ นความคิดเห็นจากประเดน็ พุทธภาษิตน้ีให้ข้อคิดว่า ความรักเป็นต้นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัว ผู้ที่ คาํ ถาม ดังตอ ไปนี้ ละความรักได้แลว้ ยอ่ มไม่มคี วามโศก ไม่มคี วามกลวั • นักเรียนคิดวา การอานขยายความ เม่ือบุคคลมีความรักต่อสิ่งใดหรือคนใด เขาก็ต้องการให้สิ่งน้ัน หรือคนนั้นคงอยู่ มคี วามหมายและความสําคญั อยางไร ใหเ้ ขารกั ตลอดไป มนษุ ย์โดยทว่ั ไปยอ่ มจะกลวั วา่ สงิ่ นน้ั ๆ จะสญู หาย หรอื คนทตี่ นรกั จะจากไป ทงั้ ที่ (แนวตอบ การอา นขยายความ คือ การขยาย โดยกฎธรรมชาตแิ ลว้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง รวมทง้ั มนษุ ยแ์ ละสตั วท์ งั้ หลายยอ่ มตอ้ งเปลย่ี นแปลง สญู สลาย ความคดิ หรอื อธิบายใหร ายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ หรือแตกดับท�าลายไปตามสภาพของมันเป็นแน่แท้ ถ้าบุคคลรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ จะสามารถ โดยใชข อเท็จจริงเปนพนื้ ฐาน จากนนั้ ละความรกั ความผกู พนั และความตดิ ใจทม่ี ตี อ่ สงิ่ นนั้ เสยี เพอื่ วา่ เขาจะไมต่ อ้ งเศรา้ โศก ไมต่ อ้ งกลวั ขยายความเพ่อื ใหเกดิ ความเขา ใจสารตา งๆ อกี ต่อไป อยางลึกซง้ึ และชว ยในการจดจาํ ไดเ ปน อยา งดี) • นกั เรยี นคิดวา การอานขยายความ ตวั อย่าง การอา่ นเพือ่ ขยายความ มหี ลกั เกณฑห รือวิธีการอา นอยางไร (แนวตอบ หลักเกณฑในการอา นขยายความ ดขู า้ ดูเมอ่ื ใช้ การหนัก ประกอบดวย 1. การอา นโดยเช่อื มโยงถงึ ดูมติ รพงศารัก เมื่อไร้ สาเหตุและผลลัพธท ส่ี ัมพันธกนั ดูเมียเม่ือไข้จกั จวนชพี 2. ยกตวั อยางขอเท็จจริงมาสนบั สนุน อาจจกั รจู้ ติ ไว้ ว่าร้ายฤาดี 3. อธิบายสง่ิ ท่ีเก่ยี วขอ งเพิ่มเติม (โคลงโลกนติ ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) จะดจู ติ ใจข้าทาส มิตร และภรรยาว่าดหี รือไม ่ ใหด้ ูจากการกระท�าของเขา 4. คาดคะเนความนาจะเปน แนวโนม ที่จะ เกดิ ขึ้นในอนาคต โดยใชขอมูลเดมิ เปน พ้นื ฐาน 5. ขยายความโดยใหน ิยามหรอื 45 ความหมาย 6. ขยายความเปรยี บเทียบเพื่อ ขอสอบ O-NET ใหเ กดิ ความเขา ใจอยางชดั เจน) 2. นักเรียนแตล ะกลมุ ออกมานําเสนอหนาช้นั เรยี น ขอสอบป ’53 ออกเกย่ี วกับการขยายความ เกร็ดแนะครู จากขอ ความตอไปนี้ ก. คืออะไร ครูผูสอนควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับหลักในการขยายความ รวมถงึ 1. ประเทศทภี่ ูมปิ ระเทศสว นใหญเปน ก. ยงั สามารถปลกู สมเปน สนิ คา ทกั ษะในการอานขยายความ เพ่อื เปน การพัฒนาทักษะความคิดของผอู า น ดงั นี้ สง ออกได 2. หลายประเทศพยายามปลูกปาเพอ่ื ลดพื้นที่ของ ก. 1. ตอ งมคี วามรู ความเขาใจพ้ืนฐานเก่ยี วกับเร่ืองที่อา น 3. การลดลงของ ก. หมายถึงการลดพายุฝนและพายทุ ราย 2. พจิ ารณารายละเอยี ดเกีย่ วกับความคิดหลกั ในเรือ่ งนน้ั ๆ ขอ เท็จจริง และ 4. พายทุ รายเปนอนั ตรายอยา งยง่ิ ตอ การเดินทางใน ก. 1. ปา แหงแลง 2. ทะเลทราย ขอ คดิ เห็นในเน้ือเร่อื ง 3. ทด่ี อน 4. ทีร่ กรา ง 3. การเกดิ ความคิดแทรกและความคิดเสรมิ ความคิดแทรกเปนความคดิ ที่ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ทะเลทราย ซึ่งขอ ความทส่ี ่ือถงึ อยา งชดั เจน คือ พายุทรายเปน อนั ตรายอยา งยงิ่ ตอ การเดินทางในทะเลทราย มีความ เกดิ ขน้ึ ในขณะที่อา น สว นความคิดเสรมิ เปนความคิดทเ่ี กิดขึน้ หลงั จากทีอ่ า น สมเหตุสมผลทีส่ ดุ เรื่องจบแลว 4. การลาํ ดบั ขอความท่ีจะนํามาสนับสนุนความคดิ หลกั ขอเท็จจรงิ ขอ คิดเห็น ความรูส กึ อารมณแ ละเจตนาของผเู ขยี น ความคิดแทรก ความคิดเสรมิ ท่ี เกดิ ขึน้ อยางเปนระเบียบ ชัดเจน มีสาระ และมเี หตุผลนาเชอื่ ถอื 5. ควรมตี วั อยาง หรือขอ มูลอ่นื ท่ีจะทําใหเ รื่องมนี ํา้ หนักเปน ทีน่ าเช่ือถอื คมู อื ครู 45
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การดูจิตใจผู้ใดว่าร้ายหรือไม่ ต้องสังเกตจากการกระท�าของคนผู้น้ัน เช่น จะดูว่า ความรใู นประเดน็ ตอ ไปน้ี ข้าทาสมีความอดทนขยันขันแข็งหรือไม่ ให้สังเกตเม่ือใช้งานหนัก เพราะถ้าตั้งใจท�างาน • นักเรียนคดิ วา หลกั การพิจารณาการอา น หมายความว่าข้าทาสน้ันไม่เกียจคร้าน จะดูเพื่อนหรือญาติพ่ีน้องว่าจริงใจหรือไม่ ให้ดูเมื่อเรา ขยายความประกอบดว ยประเด็นใดบาง ยากไร้ เพราะเมื่อเราร�่ารวยย่อมมีเพื่อนฝูงและญาติพ่ีน้องมารุมล้อมมากมาย แต่เม่ือถึงคราว อยา งไร ลา� บากญาตมิ ติ รทจี่ รงิ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ เทา่ นน้ั ทจ่ี ะอยเู่ คยี งขา้ งคอยชว่ ยเหลอิื และจะดวู า่ ภรรยารกั สามี (แนวตอบ การอา นขยายความมหี ลักในการ จรงิ หรอื ไม ่ ใหส้ ังเกตเมื่อสามปี ว่ ยไข้ว่าภรรยาจะคอยปรนนิบตั ิดแู ลสามหี รือไม่ พจิ ารณา ดงั ตอ ไปน้ี 1. ผอู านควรมคี วามรู ความเขาใจพื้นฐานในเรอ่ื งทอี่ าน 2. ผูอ าน สรรพส์ าระ โคลงโลกนิติ ควรพิจารณาเนื้อความ ความคิดเห็นหลัก ขอเทจ็ จริง อารมณค วามรสู กึ ของผูเขยี น สุภาษิต คือ ถ้อยค�ำส�ำนวนท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำน รวมถึงเจตนาหรอื จดุ มุง หมายของผเู ขยี น วา ตอ งการใหตอบสนองในประเด็นใดบา ง มคี วำมหมำยเปน็ คตสิ อนใจ ดงั ท่ปี รำกฏในพระไตรปฎิ กหรอื ท่ีเรียกวำ่ อยางไร 6. พจิ ารณาความคดิ เห็นของตน ในขณะทอี่ า น รวมถึงความคดิ ตอ ยอดจาก พุทธศำสนสุภำษิต ซึ่งเป็นค�ำสอนของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ เร่ืองท่ีอา น) ซึ่งทรงกล่ำวไว้ในรูปของข้อควำมขนำดสั้น แต่มีเน้ือหำและสำระ 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด อนั ลึกซ้งึ สำมำรถน�ำไปใชเ้ ป็นขอ้ คิดในกำรด�ำเนนิ ชีวติ ได้เปน็ อยำ่ งดี อย่ำงไรก็ตำม ในสมัยต่อๆ มำ ได้มีกำรน�ำพุทธศำสน- สุภำษิต ซ่ึงแต่เดิมเป็นคำถำภำษำบำลี มำแปลและเรียบเรียง ขยายความเขา ใจ แต่งเป็นวรรณคดีด้วยค�ำประพันธ์ประเภทต่ำงๆ ที่รู้จักกันอย่ำง Expand แพร่หลำย ไดแ้ ก่ โลกนิติค�ำโคลง หรือโคลงโลกนติ ิ พระนพิ นธ์ใน 1. นกั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3 คน ใหนกั เรียนนํา สมเด็จฯ กรมพระยำเดชำดิศร ซ่ึงได้รับพระกรุณำโปรดเกล้ำจำกพระบำทสมเด็จพระนั่งเกล้ำ- ขอมลู คาํ ศัพท สาํ นวน และเครอื่ งหมายตา งๆ ท่ีนักเรียนไดรวบรวมไวใ นกจิ กรรมขยายความ เจำ้ อยหู่ วั ให้ทรงแต่งข้ึนเพื่อน�ำไปประดับไวท้ ศ่ี ำลำทิศ รอบพระมหำเจดยี ์ ดำ้ นเหนือ ในครำวที่ เขา ใจเรอ่ื งการอานตคี วามมานําเสนอ ภายใน ระยะเวลา 10 นาที จากนน้ั ใหเพ่อื นในกลุม มีกำรปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลำรำม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ โดยมีเนื้อหำว่ำด้วยภำษิต รวมกนั ขยายความ พรอ มแลกเปล่ียนความ คดิ เห็นรวมกนั ในดำ้ นตำ่ งๆ ทง้ั ทำงโลกและทำงธรรม ซง่ึ สำมำรถนำ� ไปปรบั ใชใ้ นชวี ติ ใหด้ ำ� เนนิ ไปในทำงทถ่ี กู ตอ้ ง 2. นักเรียนนาํ ขอมลู จากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการ ดงี ำม อานตคี วามขั้นขยายความเขา ใจที่ไดจ ากการ สมมตสิ ถานการณหรอื แตง ประโยค โดยมี การอ่านเป็นการรับสารท่ีผู้เขียนส่ือให้ผู้อ่านเข้าใจความตามตัวอักษร ผู้อ่านจะ ขอ ความหรือสัญลกั ษณด ังกลาวปรากฏอยใู น ต้องรู้ความหมายของค�าศัพท์ ส�านวน โวหารในเร่ือง อธิบายความหมายได้ถูกต้อง เรียกว่า ประโยคหรอื สถานการณนัน้ จากน้ันใหเ พ่ือน การอ่านแปลความ ถ้าผู้อ่านพิจารณาเนื้อหาสาระ ใจความส�าคัญ และบริบท หรือศึกษาจาก ในกลมุ ขยายความรวมกบั บรบิ ท ภูมิหลังของผู้เขียน ผู้อ่านจะค้นพบความหมายท่ีแฝงไว้ในเนื้อหาน้ัน เรียกว่า การอ่านตีความ การตีความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้อ่านแต่ละคนอาจตีความได้ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้อยู่ที่ความรู้เดิม 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ หรือประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน การอ่านจะท�าให้ผู้รับสารเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น หากผู้อ่านรู้จัก การอธิบาย ขยายความให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย การขยายความจึงเป็นทักษะในการส่งสารท่ีจ�าเป็น ตอ้ งฝึกฝน 46 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การตีความ ครผู ูสอนควรเพิม่ เตมิ ความรูค วามเขา ใจเกีย่ วกับการพัฒนาทักษะการอาน โดย คําทกุ คําในขอใดใชไดท้ังความหมายตรงและความหมายเชิงอุปมา การอานข้นึ อยูกับการกาํ หนดจุดมุงหมายในการอาน เพ่อื ใหน ักเรยี นสามารถเลือกอา น 1. ปนเกลยี ว ปด ฉาก ถกู ขา ไดส อดคลอ งกบั จุดมุงหมายของนกั เรยี น โดยจุดมุงหมายในการอา นมอี งคประกอบ 2. ปด ตา เฝาไข เปลยี่ นมือ ดังตอ ไปน้ี 1. การอา นเพื่อความรอบรู เปนการอา นเพ่ือรับรขู อมูลขาวสาร ขอ เทจ็ จริง 3. วางใจ เปา ป แกเ คล็ด เรอื่ งราวความเคลือ่ นไหวตา งๆ เกย่ี วกับสถานการณป จจุบัน 2. การอานเพ่อื ศกึ ษา 4. ปนหวั กินตะเกียบ ลงคอ หาความรู ผูอ า นควรอา นอยา งละเอยี ดและตอ เนื่อง อา นเพื่อทบทวน เรยี นรู และ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ทกุ คาํ มีท้งั ความหมายตรงและความหมาย จดจาํ สามารถนําขอ มลู ความรูไ ปตอยอดไดเปนอยา งดี 3. การอา นเพ่ือเพิ่มความรู เชงิ อปุ มา โดยมคี วามหมายเชิงอปุ มา ดังนี้ คาํ วา ปนเกลียว หมายถงึ มี ในการประกอบอาชพี สามารถนาํ ไปประกอบอาชีพและพัฒนาศักยภาพในการ ความเห็นไมลงรอยกนั ขดั แยงกนั คาํ วา ปด ฉาก หมายถงึ เลิก หยุด ยตุ ิ ทาํ งาน ผอู า นควรอา นอยา งละเอยี ดเพอื่ ใหเกิดความเขาใจ 4. การอา นเพ่ือเพ่มิ พนู คําวา ถกู ขา หมายถึง เขากัน รชู ัน้ เชิง ประสบการณช ีวติ อานเพ่อื เปน แนวทางในการดําเนินชีวิต 5. การอานเพ่ือความ บนั เทิง โดยเลือกหนงั สือท่ีเหมาะกับรสนยิ มและความสนใจของนักเรียน และ 6. การอา นเพือ่ รบั รสทางวรรณศลิ ป เพ่ือใหเกิดสนุ ทรียภาพทางอารมณและจิตใจ 46 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ปกณิ กะ 1. นักเรียนรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ • นักเรียนคิดวา ในการอานขยายความ ¡Òþ²Ñ ¹Ò·Ñ¡ÉСÒÃ͋ҹ นกั เรยี นจําเปนตอ งอา นขยายความตรงกัน กบั บุคคลอื่นในทุกประเดน็ หรือไม อยา งไร ·¡Ñ ÉСÒÃÍÒ‹ ¹à»¹š ·¡Ñ Éз½èÕ ¡ƒ ½¹áÅо²Ñ ¹Òä´¨Œ Ò¡¡Òý¡ƒ àÅÒ‹ àÃÍè× §·ÍèÕ Ò‹ ¹ã˼Œ ͌٠¹è× ¿§˜ (แนวตอบ เปนตนวา นกั เรียนอาจกลา วถึง áÅСÒú¹Ñ ·¡Ö ÊÒÃзäÕè ´ÃŒ ºÑ ¨Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹â´ÂàÃÂÕ ºàÃÂÕ §à»¹š ÀÒÉҢͧµ¹àͧ ¡Òþ²Ñ ¹Ò·¡Ñ ÉÐ การอานขยายความไมจ าํ เปน ตอ งเหมอื นกัน ¡ÒÃÍÒ‹ ¹ÊÒÁÒö½¡ƒ ä´¨Œ Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹àÃÍ×è §Ê¹éÑ æ ¡Í‹ ¹ áÅÇŒ ¨§Ö ¹Òí àÃÍè× §·ÂÕè ÒÇ¢¹Öé ÁÒÍÒ‹ ¹ ¢³ÐÍÒ‹ ¹ ในทกุ ประเดน็ แตตองพิจารณาตามขอ มูล µÍŒ §¨ºÑ 㨤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ¢Í§àÃÍè× §·ÍÕè Ò‹ ¹´ÇŒ  «§Öè ¡Òþ²Ñ ¹Ò·¡Ñ ÉСÒÃÍÒ‹ ¹ÁáÕ ¹Ç·Ò§»¯ºÔ µÑ Ô ´§Ñ ¹Õé ของสารเปนหลกั และขน้ึ อยูกับความเขา ใจ ของนกั เรียนจากการปฏิบัตกิ จิ กรรมอานแปล ñ. ¡‹Í¹ÍÒ‹ ¹ ¼ÍŒÙ Ò‹ ¹µŒÍ§¡íÒ˹´¨Ø´»ÃÐʧ¤ä ÇŒã¹ã¨¡‹Í¹ÇÒ‹ ¨Ð͋ҹà¾Íè× ÍÐäà હ‹ ความและตคี วาม เชอ่ื มโยงกับประสบการณ à¾è×ͤÇÒÁÃÙŒ à¾è×ͤÇÒÁ¤Ô´ ËÃ×Íà¾è×ͤÇÒÁºÑ¹à·Ô§ áÅеéѧ»ÃÐà´ç¹¤íÒ¶ÒÁ·Õ赌ͧ¡ÒÃÃÙŒ¨Ò¡ ของแตล ะคน) àÃè×ͧ·ÕÍè ‹Ò¹ ·é§Ñ ¹ÕéàÁÍ×è ÍÒ‹ ¹¨º¨Ðä´»Œ ÃÐàÁ¹Ô ÇÒ‹ ¡ÒÃ͋ҹ¤Ã§éÑ ¹äÕé ´¤Œ Òí µÍº·Õµè ŒÍ§¡ÒÃËÃÍ× äÁ‹ • นักเรียนคดิ วา นกั เรยี นสามารถนาํ ทกั ษะ การอา นแปลความ ตีความ และขยายความ ò. ¢³Ð͋ҹ ¼ÍŒÙ ‹Ò¹µŒÍ§ÁÊÕ ÁÒ¸áÔ ÅФÇÒÁʹ㨨´¨‹ÍµÍ‹ àÃÍè× §·èÕ͋ҹâ´ÂÊÒÁÒö มาประยกุ ตใ ชเพื่อพัฒนาทกั ษะการอานใน µÍº¤Òí ¶ÒÁ·µèÕ éѧäÇäŒ ´áŒ ÅŒÇà¢ÂÕ ¹»ÃÐà´ç¹ÊÒí ¤ÑÞ¨Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹ä´Œ ชีวติ ประจาํ วันไดอยา งไร (แนวตอบ ทักษะการอานแปลความ ตีความ ó. ËÅѧÍÒ‹ ¹ ¼ÍÙŒ Ò‹ ¹µÍŒ §ÊÒÁÒöÊÃ»Ø ã¨¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞ ËÃ×ÍÊÃ»Ø »ÃÐà´¹ç ÊÒí ¤ÑÞ¨Ò¡ และขยายความ เปน ทักษะทม่ี ีความตอเน่ือง àÃè×ͧ·ÕÍè Ò‹ ¹´ÇŒ ÂÀÒÉҢͧµ¹àͧ·è¡Õ ÃЪѺ ä´ãŒ ¨¤ÇÒÁ â´ÂÍÒ¨ÊÃØ»´ŒÇ¡ÒÃà¢Õ¹ ¡Ò÷Òí กนั สามารถฝก ฝนและพัฒนาควบคกู นั ได á¼¹ÀÒ¾â¤Ã§àÃ×Íè § ¡Òþٴ ËÃÍ× ¡ÒÃàÅ‹ÒàÃÍ×è §ÂÍ‹ ãËŒ¼ÙÍŒ ×蹿§˜ อยา งเปน ลาํ ดับ) ô. »ÃÐàÁ¹Ô ¼Å¡ÒÃ͋ҹ¢Í§µ¹ÇÒ‹ ä´ŒÊÒÃеÒÁ·µÕè §Ñé ¨´Ø »ÃÐʧ¤ä ÇËŒ ÃÍ× äÁ‹ áÅÐä´Œ 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ÃºÑ »ÃÐ⪹ ËÃÍ× ¤ÇÒÁÃàŒÙ ¾ÁèÔ àµÁÔ ËÃÍ× äÁ‹ ÍÂÒ‹ §äà â´Âà»ÃÂÕ ºà·ÂÕ ºàÃÍè× §·ÍèÕ Ò‹ ¹¡ºÑ »ÃÐʺ¡Òó à´ÁÔ ¨Ð·Òí ãË·Œ ÃÒºÇÒ‹ ¡ÒÃ͋ҹª‹Ç¾Ѳ¹Ò¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁ¤´Ô ËÃÍ× äÁ‹ ตรวจสอบผล Evaluate õ. µÃǨÊͺNjҨ´ºÑ¹·Ö¡ÊÒÃÐÊíÒ¤Ñޤú¶ŒÇ¹µÒÁ·èÕµŒÍ§¡ÒÃËÃ×ÍäÁ‹ ËÒ¡äÁ‹ 1. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั การ ¤Ãº¶ÇŒ ¹¤ÇÃÂÍŒ ¹¡ÅѺä»Í‹Ò¹ áŌǷíÒº¹Ñ ·Ö¡ÊÃ»Ø ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞãËÁ‹ÍÕ¡¤Ã§éÑ อา นขยายความได ö. ¹íÒ¤ÇÒÁÃÙŒ·Õèä´ŒÃѺ¨Ò¡¡Òà 2. นกั เรยี นสามารถขยายความคําศพั ท สํานวน ͋ҹÁÒ»ÃÐÂØ¡µãªŒã¹¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ และเครอ่ื งหมายตางๆ รวมถึงสามารถอา น áÅйíÒá§‹ÁÁØ ·Õ´è ÁÕ Ò¾²Ñ ¹ÒÈÑ¡ÂÀÒ¾¢Í§ ขยายความรวมกบั บริบท ภายในระยะเวลาท่ี µ¹àͧ กาํ หนดได หองสมุดเปนสถานที่หนึ่งท่ีเงียบสงบ ชวยใหผูอาน มสี มาธใิ นการอา นหนงั สือ ๔๗ บรู ณาการเช่อื มสาระ เกร็ดแนะครู ครผู สู อนบูรณาการการเรยี นการสอนเรื่องการอา นขยายความกับกลุมสาระ ครูสามารถแนะนาํ วิธีการอานใหผ เู รียนนําไปปรับใชใ หเ หมาะกบั การจุดมงุ หมาย การเรยี นรูศลิ ปะ รายวิชา ทัศนศลิ ป ดงั น้ี เน่อื งจากการเขียนบทประพนั ธ ของการอา น โดยแบง เปนวธิ ตี า งๆ ดงั ตอ ไปน้ี และงานศลิ ปะมลี ักษณะคลายคลงึ กนั บางประการ คอื มแี นวคดิ ท่วี า การแตง คําประพันธน้นั มกี ารใชคาํ นอ ยแตกินความมาก เชนเดยี วกับภาพศิลปะท่ี 1. การอานแบบกวาด (Scanning) เปน การมองหาประเดน็ สําคัญอยางรวดเร็ว ภาพหนงึ่ ภาพสามารถแทนขอความไดมากมาย ดวยแนวคดิ นี้ใหนกั เรยี นฝก เชน หาหนา หาชือ่ เรอ่ื ง หาคาํ สาํ คญั เปน ตน การอานขยายความจากโคลงโลกนติ ิ โดยการถอดคําประพันธและวาดภาพ ประกอบ เพอื่ ใหเ ขา ใจความหมายไดง า ยและใหน ักเรียนเขยี นโคลงโลกนิติ 2. การอานอยา งคราวๆ (Skimming) คอื การอานอยางเรว็ ๆ เพอ่ื ดูวา มเี นือ้ หา ความหมายและเขยี นขยายความไวดานลางของภาพดวย เพ่อื ใหน ักเรียนเกดิ สาระอะไรทนี่ าสนใจบา ง โดยไมตง้ั ใจท่ีจะคน หาสง่ิ ทเ่ี ฉพาะเจาะจง ความเขาใจเนื้อหาของบทประพันธ รวมถงึ เขา ใจสนุ ทรยี ภาพและจนิ ตภาพ อนั เกดิ จากผัสสะตางๆ จากบทประพนั ธ และสามารถถา ยทอดออกมาเปน 3. การอานเพอ่ื การศกึ ษา หนังสือประเภทตําราวชิ าการตางๆ จดุ มงุ หมาย ภาพ เพือ่ สอ่ื สารสผู ูอ่ืนได คอื ตองการทาํ ความเขา ใจในเนอ้ื หาวชิ าอยา งแทจ ริง อา นอยางต้งั ใจและ จับประเดน็ สาํ คญั ในเรอื่ งทอ่ี านใหไ ด การอานเพอื่ ประโยชนท างการศึกษา ผูอา นควรอา นอยา งละเอยี ดและตอเนอื่ ง อานซา้ํ และทบทวน 4. การอา นแบบคาํ ตอ คาํ มีหนังสือหรอื บทความบางอยางทีต่ องการอา นแบบคํา ตอคาํ เชน หนงั สือสัญญา ซ่งึ ตอ งการความระมัดระวังในการอาน เปน ตน คมู อื ครู 47
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับการอาน ค�าถามประจา� หน่วยการเรียนรู้ แปลความได ๑. การอ่านแปลความมคี วามส�าคญั ตอ่ การอา่ นอยา่ งไร 2. นกั เรียนสามารถอา นแปลความได ๒. การบอกความหมาย การอธบิ าย เปน็ การอา่ นในขั้นตอนใด เพราะเหตใุ ด 3. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ียวกับการอา น ๓. บรบิ ทหรอื ส่งิ แวดล้อมท�าใหค้ วามหมายของคา� เปล่ยี นแปลงไปอย่างไร จงอธบิ าย และยกตวั อยา่ งประกอบ ตคี วามได ๔. “การตีความไม่ใชก่ ารถอดคา� ประพนั ธ”์ นกั เรยี นเหน็ ด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด 4. นักเรียนสามารถอานตีความคําศพั ท สํานวน และ ๕. การอ่านแปลความ ตคี วาม และขยายความ มีความสัมพนั ธ์กนั อย่างไร เคร่ืองหมายตางๆ รวมถึงสามารถตคี วามรว มกับ บรบิ ท ภายในระยะเวลาทีก่ ําหนดได 5. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับการอา น ขยายความได 6. นักเรยี นสามารถอานขยายความคําศพั ท สาํ นวน และเครื่องหมายตา งๆ รวมถงึ สามารถอานขยาย- ความรวมกับบรบิ ท ภายในระยะเวลาที่กาํ หนดได หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกับการอาน ๑. นักเรยี นฝกึ แปลความ ตคี วาม และขยายความจากส�านวนสุภาษิต เช่น แปลความ - รักดหี ามจ่ัว รักชวั่ หามเสา - รักวัวใหผ้ กู รักลูกใหต้ ี 2. ความเรยี งสรุปเน้อื หาการอา นแปลความ - เหน็ ช้างขี้ อยา่ ขีต้ ามช้าง 3. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกบั การอาน ๒. ให้นกั เรียนเลือกอธบิ ายศาสนสภุ าษติ ทนี่ กั เรยี นประทับใจ ๑ ศาสนสภุ าษติ หน้าชัน้ เรียน เพ่ือแลกเปลีย่ นความรูก้ ับเพ่อื นในชน้ั เรยี น ตคี วาม ๓. ให้นักเรยี นรวบรวมค�าที่สอ่ื ตา่ งๆ นยิ มต้ังฉายานักกีฬา นักร้อง นักแสดง 4. ความเรยี งสรุปเนอื้ หาการอานตีความคําศพั ท มาแปลความหมายของฉายาเหล่านั้นใหถ้ กู ต้องตรงตามความหมาย สาํ นวน และเครื่องหมายตา งๆ และความเรยี ง 48 สรุปเนื้อหาการอา นตคี วามรวมกับบริบท ภายใน ระยะเวลาท่กี ําหนด 5. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกบั การอาน ขยายความ 6. ความเรยี งสรปุ เนอ้ื หาการอา นขยายความคาํ ศพั ท สาํ นวน และเคร่อื งหมายตางๆ ความเรยี ง สรปุ เน้ือหาการอานขยายความรวมกับบริบท ภายในระยะเวลาทกี่ าํ หนด 7. บนั ทกึ การตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ความสาํ คญั ของการอา นแปลความ คอื เปน การทาํ ความเขา ใจเนอ้ื หาของสาร โดยยงั คงรกั ษาเนื้อหาและสาระสําคญั ไวไดอยางครบถว น การอานแปลความมีความสําคญั ในฐานะทเ่ี ปน พื้นฐานในการอา นตีความ การอา นขยายความ การนาํ ไปใชใ นการวิเคราะห การสงั เคราะห และการประเมินคา ซึง่ เปน ทกั ษะการอา นในระดับสงู ตอ ไป 2. การบอกความหมาย และการอธิบาย เปนการอา นในขน้ั ของการอานแปลความ เน่ืองจากเปน การทาํ ความเขาใจสารทอี่ านในระดับพนื้ ฐาน กอ นทีจ่ ะทําความเขา ใจสาร ในระดบั ท่ลี ึกซึ้งย่ิงข้นึ อยางการอา นตีความ และการอา นขยายความ 3. บริบทของคาํ หรอื ถอ ยคําทําใหความหมายของคาํ มคี วามเปล่ียนแปลง เนอ่ื งจากการพจิ ารณาถอ ยคําตอ งอาศยั บรบิ ทแวดลอ มในการพจิ ารณา ทั้งความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย ความหมายตามบรบิ ท รวมถงึ เจตนาของผูสงสารดว ย ตัวอยา งเชน การใชโ วหารปฏพิ ากย คอื การใชถ อยคาํ ทีม่ คี วามหมายตรงกันขาม หรือขัดแยงกนั มากลาวอยา งกลมกลืนกนั เพ่ือเพิ่มความหมายใหมนี า้ํ หนักมากย่ิงขน้ึ อาทิ เลวบรสิ ทุ ธิ์ บาปบรสิ ุทธ์ิ สวยเปน บา สวยอยางรา ยกาจ เปน ตน ซง่ึ คําท่ีปรากฏตางมี ความหมายขัดแยงกนั การตีความรว มกบั บริบทแวดลอ มก็มคี วามแตกตา งกันไปดวย 4. เห็นดว ยกับคํากลาวทว่ี า “การตีความไมใ ชการถอดคําประพนั ธ” เนือ่ งจากการถอดคาํ ประพันธจะอยใู นการอานระดับการแปลความ สว นการตีความบทประพนั ธน น้ั ผูอานตอ งพิจารณาสาระสําคัญ สารแฝงหรืออารมณค วามรูสกึ ในบทประพนั ธ รวมถึงเจตนาของผแู ตง โดยพจิ ารณาจากเรื่องที่อา น 5. การอานแปลความ ตีความ และขยายความมีความสัมพนั ธก นั ในฐานะทเ่ี ปนระดบั ขนั้ ของการอานท่ีมีความตอ เนื่องกัน โดยการอานแปลความเปนทกั ษะขนั้ พน้ื ฐานในการ อานตคี วามและขยายความ ซง่ึ สามารถพฒั นาทกั ษะการอา นไดล กึ ซึ้งและมคี วามชัดเจนมากยงิ่ ข้ึนและสงผลตอ ความเขาใจสารมากขน้ึ ตามลาํ ดบั 48 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๑ 1. วเิ คราะห วิจารณ แสดงความคิดเหน็ โตแยง เกย่ี วกบั เรอ่ื งท่อี านและเสนอความคิดใหม อยางมีเหตุผล 2. ตอบคําถามจากการอา นงานเขยี นประเภท ตางๆ ภายในเวลาที่กาํ หนด 3. อานเรอื่ งตางๆ แลว เขยี นกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด บนั ทึก ยอความ และรายงาน 4. มีมารยาทในการอา น ôหน่วยการเรยี นรทู ่ี การอา นของแตละบคุ คล สมรรถนะของผเู รียน ยอมมจี ุดประสงคแตกตางกันออกไป 1. ความสามารถในการส่อื สาร ซึง่ ผอู า นจําเปนตอ งทราบจุดมุงหมาย 2. ความสามารถในการคดิ กอ นอา นทกุ ครง้ั เพราะการอานชวยใหเ กิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา การเรยี นรู เปน การชว ยใหไ ดร ับขา วสาร สาระ 4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ ตางๆ เพ่ือประกอบการตดั สนิ ใจ ชวยใหแ กไ ขปญหา 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ทาํ ใหเกิดความเขาใจท่ีลึกซึง้ และนาํ ความรูไปใช คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ในการแสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกับ เรือ่ งทอ่ี า นได 1. ใฝเ รียนรู 2. มุงมนั่ ในการทาํ งาน 3. รกั ความเปนไทย การอา นเพอื่ แสดงความคดิ เหน็ กระตนุ ความสนใจ Engage สาระการเรียนรูแกนกลาง ตัวช้วี ดั ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปนี้ • การอ่านเพือ่ แสดงความคดิ เห็น • ในชีวิตประจาํ วนั นักเรยี นรับขอมลู ขา วสาร • วเิ คราะห์ วจิ ารณ ์ แสดงความคิดเห็น โต้แยง้ • มีมารยาทในการอ่าน เกี่ยวกบั เรอ่ื งท่อี า่ นและเสนอความคิดใหม่ จากส่อื ประเภทตา งๆ อยูเสมอ นักเรยี น เห็นดว ยกับประเดน็ ตางๆ ทีน่ าํ เสนอผา นสื่อ อยา่ งมเี หตุผล (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๕) หรือไม อยางไร • ตอบค�าถามจากการอา่ นงานเขียนประเภทต่างๆ • นักเรียนมีวธิ ีการพิจารณาอยา งไร • หากนักเรยี นมีความคิดเห็นขัดแยงกันใน ภายในเวลาที่กา� หนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) เรือ่ งท่ีบคุ คลอน่ื นาํ เสนอ นักเรยี นจะมีวิธีการ • อ่านเรือ่ งต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด แสดงความคดิ เห็นอยา งไร บนั ทึก ยอ่ ความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) • มมี ารยาทในการอ่าน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๙) เกร็ดแนะครู หนวยการเรยี นรนู ้ี ครูผูสอนควรเพิ่มความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับทักษะการแสดง ความคิดเหน็ จากการอาน โดยทักษะการแสดงความคิดเหน็ นัน้ เริม่ ตน จากความ สามารถในการใชเ หตผุ ลและสมรรถภาพการใชเหตผุ ลของนักเรียนเอง โดยอาศัย สติปญ ญาความรู และความเขา ใจเร่อื งตางๆ ตามหลกั ความจริง หรอื ขอเท็จจรงิ ท่ี เก่ยี วของ เมือ่ นกั เรียนเรียนรูใ นการใชเหตผุ ล กจ็ ะสามารถตัดสนิ ใจไดอ ยา งถกู ตอง เหมาะสม และสามารถแสวงหาแนวทางในการจัดการความขดั แยงได นอกจากน้ี การใชเ หตุผลยังถือวา มคี วามสาํ คญั มาก การพัฒนาสมรรถภาพการใชเ หตผุ ลชวย ใหก ารพัฒนาคณุ ภาพการใชเ หตผุ ลสงู ขึ้น สามารถใชเหตุผลไดอ ยางหนกั แนน มี ความชดั เจน รัดกุม มหี ลักเกณฑ และสามารถถายทอดอยางเปนระบบ นอกจาก นักเรยี นจะมคี วามสามารถในการใชเหตุผลแลว ยังตองมคี วามสามารถในการใช ภาษาทส่ี อดคลอ งกัน โดยเฉพาะอยางยง่ิ การวเิ คราะหส ารท่ีเกิดจากการอา น เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถจัดการขอ มลู ขาวสารทม่ี คี วามหลากหลายในสังคมแหงขอมลู ขาวสารในยุคปจ จบุ ันไดเปนอยางดี คูมือครู 49
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปนี้ ๑. การอ่านเพ่อื แสดงความคดิ เหน็ • นักเรียนคดิ วา ในปจจุบนั สงั คมไทยมกี ารแสดง การอ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่านพิจารณาเรื่องท่ีอ่านด้วย ความคิดเหน็ ในเร่ืองใดมากที่สุด และนกั เรียน เหตุผล หรือหลักวิชาที่เก่ียวข้องกับการวิเคราะห์ วิจารณ์ แล้วแสดงความคิดเห็นของตนที่มีต่อ มีวธิ ีการแสดงความคดิ เห็นตอประเด็นดงั กลาว องคป์ ระกอบสว่ นต่างๆ ของเรือ่ ง เชน่ ชื่อเรือ่ ง แนวคดิ เนือ้ หาสาระ กลวธิ ีในการนา� เสนอ ภาษา อยา งไร ทีผ่ ู้เขียนเลือกใช้ เปน็ ตน้ โดยอาจแสดงออกดว้ ยวธิ กี ารเขยี น หรอื การพูด สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ องคป์ ระกอบของการแสดงความคดิ เหน็ นักเรียนศึกษาความหมาย และแนวทางการอาน ประกอบดว้ ยสว่ นส�าคญั ๓ สว่ น เพือ่ แสดงความคิดเหน็ ในรูปแบบตา งๆ ๑) ท่มี า คอื ส่วนท่เี ปน็ เร่ืองราวตา่ งๆ หรอื ตน้ เร่อื งท่ผี อู้ ่านตอ้ งการจะแสดงความคดิ เห็น การอา่ นเพือ่ แสดงความคดิ เห็น ผอู้ ่านอาจเป็นผู้เลือกเร่อื งเอง หรอื ถูกกา� หนดก็ได้ อธบิ ายความรู Explain ๒) ขอ้ สนับสนุน คือ ขอ้ เท็จจรงิ หลักการ รวมทั้งขอ้ มูลอนั เปน็ ความคดิ เห็นของผ้อู ื่น ซง่ึ ผู้แสดงความคิดเห็นน�ามาประกอบเพื่อให้ความคิดเห็นของตนมีความน่าเช่ือถือ เพราะการแสดง 1. นักเรยี นจบั คู จากน้ันนักเรียนต้งั คาํ ถามจาก ความคิดเหน็ ดว้ ยอารมณ ์ ความร้สู ึกไม่ใชแ่ นวทางการแสดงความคิดเหน็ ที่เหมาะสม เนื้อหาในกิจกรรมสํารวจคนหา พรอ มผลัดกัน ๓) ขอ้ สรุป คอื สง่ิ ท่ตี อ้ งการส่ือใหผ้ รู้ ับสารยอมรบั หรอื น�าไปปฏบิ ตั ิ โดยข้อสรปุ อาจเป็น ถาม-ตอบปญ หาจากเรอ่ื งทน่ี กั เรยี นศกึ ษาคน ควา ข้อเสนอแนะ ขอ้ สนั นษิ ฐาน หรอื การประเมนิ ค่าสารที่ได้รบั 2. ครูสุม นักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ ๑.๒ แนวทางการอา่ นเพอื่ แสดงความคดิ เหน็ หนา ชน้ั เรียน เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นมขี อ้ มลู ทจ่ี ะนา� ไปใชแ้ สดงความคดิ เหน็ และเพอ่ื ใหค้ วามคดิ เหน็ ทส่ี อ่ื สารไดร้ บั 3. นกั เรยี นรวมกนั สรุปความรูความเขา ใจดวยการ การยอมรบั จา� เป็นตอ้ งมีแนวทางใช้ฝกึ ปฏบิ ัติ ดงั น้ี ตอบคําถาม ตอไปนี้ • นกั เรียนบอกความหมายและความสําคญั ของ ๑. ผู้อา่ นตอ้ งจบั ใจความสา� คญั จากเร่อื งท่ีอ่าน เพอื่ ให้รบั รปู้ ระเดน็ ต่างๆ ท่เี ปน็ สาระส�าคัญ การอานเพื่อแสดงความคิดเห็น ของเรื่อง ในการจับใจความส�าคัญท�าได้โดยพิจารณาชื่อเร่ือง ช่ือ ชื่อตอน ช่ือหัวข้อต่างๆ และ (แนวตอบ การอานและพิจารณาเนอ้ื หาดว ย การจับใจความส�าคญั ในแตล่ ะยอ่ หน้า เพือ่ ให้ทราบประเด็นหลกั ประเด็นยอ่ ย เหตผุ ล พรอมแสดงความคิดเหน็ ดว ยการ ๒. ผอู้ า่ นตอ้ งพจิ ารณารายละเอยี ดอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอื้ หา เชน่ ขอ้ มลู ทางสถติ ิ ตวั อยา่ ง ชนื่ ชม คลอยตาม สนับสนุน ติเตยี น โตแ ยง กรณีศึกษา ตาราง เพราะอาจน�ามาใชป้ ระกอบการแสดงความคิดเห็นได้ และคดั คาน) ๓. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์ข้อเท็จจริงท่ีปรากฏในเร่ือง โดยมีเกณฑ์ว่า ข้อเท็จจริง หมายถึง • นักเรยี นคิดวา หากนักเรยี นตองการแสดง ขอ้ มลู ท่เี ป็นเรือ่ งราว เหตกุ ารณ์ สถานการณ์ท่แี สดงให้เหน็ วา่ ใคร ท�าอะไร เม่อื ไร ท่ีไหน อยา่ งไร ความคิดเหน็ นักเรียนมีแนวทางการศึกษา อาจเป็นการบรรยาย พรรณนา ตัวเลข สถิติ แผนภูมิ รูปภาพ การวิเคราะหข์ ้อเท็จจริงท่ีปรากฏ ขอมลู ดว ยการอานอยางไร ในเร่ือง จะชว่ ยให้ผอู้ า่ นสรปุ หรอื แสดงความคิดเห็นได้วา่ ผู้เขยี นนา� เสนอเรอ่ื งโดยการบดิ เบอื น (แนวตอบ ทาํ ความเขา ใจสารในบทอานกอ น ข้อเทจ็ จรงิ หรอื ไม่ การแสดงความคดิ เห็น ดวยการกาํ หนด ๔. ผู้อา่ นต้องวิเคราะห์ความคิดเหน็ ของผเู้ ขยี น ขอ้ คดิ เห็น หมายถงึ ความคิดความเห็น จดุ มงุ หมายในการอา น เลือกวธิ กี ารอา นวา ท่ีผู้เขียนแสดงไว้ แม้จะไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่มีส่วนช่วยสะท้อนว่าผู้ส่งสารมีเจตนาอย่างไร เปนการอา นเพื่อจับประเด็นหรืออา นเพอื่ ตอ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทน่ี า� เสนอ โดยขอ้ ความทต่ี ามหลงั คา� เหลา่ นม้ี กั จะเปน็ ขอ้ คดิ เหน็ คดิ วา่ เชอ่ื วา่ เหน็ วา่ สรปุ ความ) เหน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ด้วย น่าจะ คง อาจจะเปน็ เพราะ หรือไม่อยา่ งไร 4. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด 50 บรู ณาการอาเซียน ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั การพิจารณาทรรศนะที่นําเสนอผา นบทประพันธ กจิ กรรมสงเสรมิ การอานเปนโครงการหนึ่งทอี่ าเซยี นใหความสําคญั ดวยการ ปญ หารนุ พใ่ี ชค วามรนุ แรงกับนกั ศึกษาใหมเกดิ เปน ประจําทุกป ทัง้ ๆ ที่ พยายามรวมมอื กันมาต้งั แต ป พ.ศ. 2510 ซึ่งถอื วาเปนแนวทางทีน่ า สนใจ โดยมี กอ นปก ารศึกษาใหมจ ะเร่มิ ขึน้ ผบู ริหารของกระทรวงศึกษาธกิ ารกไ็ ดมี เปา หมายเพอ่ื ใหเ กดิ การแลกเปล่ียนประสบการณความรแู ละการสรางความเขา ใจ คาํ แนะนาํ ไปยงั สถาบนั การศกึ ษาตางๆ ถึงแนวทางการรบั นอ งทจ่ี ะไมส ราง ในประเทศประชาคมอาเซียน ดว ยการนําเทคโนโลยที างการส่ือสารมาปรบั ใชใ น ปญ หา ตอ จากนผ้ี ูเ กยี่ วของคงตอ งวางแผนและหาแนวทางแกไขปญหาระยะ กจิ กรรมการอา น อาทิ ประเทศสิงคโปรสง เสรมิ การอานของพลเมืองในประเทศโดย ยาวเพราะไมวาจะเปนรุนพ่รี ุน นอ งตางก็เปน ทรพั ยากรบคุ คลของประเทศ สามารถคน ควา เรอ่ื งสั้นผานโทรศัพทมอื ถือได ซงึ่ สะดวกและรวดเร็ว โดยเนน การจัด การแสดงทรรศนะขา งตนของผเู ขยี นเกิดจากขอ ใด กิจกรรมสง เสริมการอานเพ่ือใหพลเมอื งในทกุ กลมุ อาชพี ไมวา จะเปน คนขบั แท็กซ่ี 1. ความรู 2. ความเช่อื ชา งผม ครู มาตั้งกลมุ การอา น หรอื ชมรมการอานในกลมุ อาชีพเดยี วกนั และเนน 3. คานยิ ม 4. ประสบการณ การวางแผนพฒั นาระบบหอ งสมดุ ใหเ ปนหอ งสมดุ ดจิ ทิ ลั สว นประเทศสมาชิกอ่ืนๆ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ประสบการณ เพราะประโยคท่สี นับสนนุ ก็ใหค วามสําคัญกับกิจกรรมหรอื โครงการสง เสริมการอานดว ยเชนกนั ครคู วรจัด คําตอบขอ ที่ 4. คอื “ปญหารนุ พใี่ ชความรนุ แรงกับนักศึกษาใหมเ กิดเปน กจิ กรรมใหนกั เรยี นเปรียบเทียบกจิ กรรมสงเสริมการอานของไทยวามคี วามแตกตาง ประจําทกุ ป” สามารถพิจารณาจากคําวา “เกดิ เปนประจาํ ทกุ ป” กนั กับประเทศอื่นหรอื ไม และประเทศไทยควรสง เสริมการอา นสาํ หรบั คนทกุ เพศ ทุกวัย และทกุ อาชีพหรอื ไม เพ่อื ใหป ระเทศไทยมวี ัฒนธรรมการอา นอยางทัว่ ถงึ 50 คูม ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๕. ผู้อ่านต้องตีความสาร ในกรณีที่อ่านสารประเภทเร่ืองสั้น นวนิยาย บทร้อยกรอง 1. ครูขออาสาสมคั ร 2- 3 คน ออกมาอธิบาย เพราะงานเขยี นประเภทนผ้ี เู้ ขยี นจะไมส่ อ่ื สารแนวคดิ ออกมาโดยตรง แตจ่ ะซอ่ นอยู่ในองคป์ ระกอบ ความรใู นประเด็น ตอ ไปนี้ ส่วนต่างๆ ของเรอ่ื ง เช่น แสดงผ่านพฤตกิ รรมของตวั ละคร เปน็ ต้น • นักเรยี นคิดวา ผูท ่ีสามารถอา นแสดงความ ๖. ผู้อ่านต้องพิจารณาความน่าเช่ือถือของเร่ืองท่ีอ่าน โดยพิจารณาเบื้องต้นจากผู้ส่งสาร คิดเหน็ ไดด ี ควรมคี ณุ สมบตั ิอยา งไร วา่ มีความร ู้ ความช�านาญในเรอ่ื งที่เขยี นมากน้อยเพยี งใด รวมถึงขอ้ มูลทนี่ า� มาใชอ้ า้ งอิง (แนวตอบ ผูอ า นมคี วามเขาใจเรื่องที่อา น ๗. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์กลวิธีน�าเสนอของผู้เขียน เช่น การวางโครงเร่ือง การเปิดเรื่อง ลักษณะของสาร ใชภาษาไดอ ยางชัดเจน การด�าเนินเร่ือง เป็นต้น โดยมีแนวทางวิเคราะห์ว่ากลวิธีน�าเสนอเหมาะสมกับเน้ือเรื่องหรือไม่ และใจกวา งยอมรับความคดิ เห็นของผูอ่ืน) และผ้เู ขียนเลอื กใช้กลวธิ ไี ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพียงใด • นกั เรยี นอธบิ ายกระบวนการแสดงความ ๘. ผู้อ่านต้องวิเคราะห์การใช้ภาษา สังเกตความกลมกลืนระหว่างภาษากับเนื้อเร่ือง คิดเห็นจากองคประกอบในการแสดงความ การใชส้ �านวนโวหาร ความถกู ต้องตามหลกั ภาษา คิดเหน็ ทงั้ 3 สว น ไดแก ทมี่ า ขอสนบั สนนุ ๙. ผู้อ่านต้องตัดสินใจ ประเมินค่า หรือแสดงความคิดเห็นได้ว่าเรื่องท่ีอ่าน ดีหรือไม ่ และขอสรปุ ทั้งทเี่ ห็นดว ยและไมเ ห็นดวย ชอบหรือไม่อย่างไร โดยให้เหตุผลประกอบ ประการส�าคัญควรมีข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ จากเน้อื หาทีอ่ าน หรือเรียกว่า ติเพื่อก่อ ซ่ึงส่ิงท่ีจะน�าไปแสดงความคิดเห็น ก็คือ ข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห ์ (แนวตอบ องคป ระกอบในการแสดงความ สว่ นตา่ งๆ ของเร่ืองทีอ่ ่าน คดิ เห็นท้งั ทเี่ ห็นดว ยและไมเห็นดวย มีองค ประกอบ 3 สวน คอื 1. ท่ีมาและความ ๑.๓ ขอ้ ควรคา� นงึ ในการแสดงความคดิ เหน็ สาํ คัญของขอ เสนอ หรือประเดน็ ทผ่ี แู ตง ตอ งการนาํ เสนอ รวมถงึ สาเหตแุ ละปญ หา การแสดงความคิดเห็นอาจจะแสดงด้วยการพูด หรือการเขียนท่ีประกอบด้วยเหตุผล มี 2. ขอ สนับสนุน ขอ มูล ขอ เทจ็ จรงิ หลักการ ขอ้ มลู หลกั ฐานทผ่ี อู้ น่ื จะเชอื่ ถอื ได ้ การแสดงความคดิ เหน็ จะตอ้ งกลน่ั กรองมาเปน็ อยา่ งดี ภาษาท่ีใช้ ประกอบการพิจารณา เพื่อเพม่ิ ความ ตอ้ งสุภาพและไมท่ า� ให้ผู้อน่ื ได้รบั ความเสยี หาย โดยมีข้อควรค�านึงในการแสดงความคดิ เหน็ ดังน้ี นา เช่ือถือ 3. ขอ สรุป เปา หมายที่ตอ งการสือ่ ๑) ประโยชน์ ความคิดเห็นท่ีดีต้องมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อผู้อ่าน ประโยชน์ในที่น้ ี ใหผฟู ง หรอื ผูอา นยอมรบั และนาํ ไปปฏิบตั ิ ต้องเปน็ ประโยชน์ตอ่ บุคคลส่วนใหญ่ไม่ใชเ่ ฉพาะกลุ่มใดกลมุ่ หนงึ่ อาจมีลกั ษณะเปนขอเสนอแนะ ๒) ความสมเหตุสมผล ความคิดเห็นท่ีดีต้องมีความสมเหตุสมผล มีข้อสนับสนุนที่มี ขอสันนษิ ฐาน รวมถงึ การประเมนิ คา ) ความน่าเชื่อถือเป็นท่ียอมรับของบุคคลทั่วไป กรณีตัวอย่างที่น�ามาอ้างต้องเป็นตัวแทนของกรณี • นักเรียนคดิ วา ในการแสดงความคดิ เห็น ทัง้ หมดได้อยา่ งแท้จรงิ ควรคํานงึ ถงึ ประเด็นใดบาง อยางไร ๓) ความเหมาะสมกับผู้รับสารและกาลเทศะ โดยปกติแล้วการแสดงความคิดเห็น (แนวตอบ เปนตนวา มคี วามสมเหตสุ มผล จะตอ้ งเขยี นเพอื่ ใหบ้ คุ คล หรอื ชมุ ชนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ อา่ น บางเรอื่ งอาจนา� เสนอแกส่ าธารณชนได ้ นา เชือ่ ถือ เหมาะกบั ผูรับสาร) แต่บางเร่ืองก็ไม่ควรแสดงต่อบุคคลทั่วไป ผู้เขียนจึงต้องพิจารณาสารดังกล่าวเพื่อน�าเสนอ ได้ถกู ต้องเหมาะกับกาลเทศะ 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ๔) การใชภ้ าษา ภาษาทใี่ ชต้ อ้ งชดั เจนตรงตามความตอ้ งการ เหมาะสม ไมก่ ระทบกระเทยี บ หรอื ทา� ให้ผู้ฟังตีความไปไดห้ ลายแงม่ มุ 51 ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั โครงสรางของการแสดงเหตุผล ขอ ใดเปนโครงสรา งของการแสดงเหตุผลในขอ ความตอ ไปน้ี ครูควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกบั การแสดงเหตผุ ลจากการอา นสาร ขอ เขาเปนขอทีม่ ีการเคลอ่ื นไหวมาก ตองรบั นา้ํ หนกั ตวั ของเราในกิจวัตร เนอ่ื งจากเปน แนวทางในการใชด ุลยพินจิ ตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางการแกไขปญหา ประจาํ วนั และกจิ กรรมตางๆ ขอ เขามโี อกาสทีจ่ ะเกิดการเสอื่ มไดม ากกวาขอ ในสงั คมประชาธปิ ไตย การแสดงทรรศนะจึงมิใชก ารแตกความสามคั คี อื่นๆ 1. ขอสนบั สนุน ขอ สรุป ขอ สนับสนนุ บเศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง 2. ขอสนบั สนุน ขอสนบั สนุน ขอ สรปุ 3. ขอ สรุป ขอ สนบั สนุน ขอ สรปุ หากมีผูตง้ั คาํ ถาม ถามนกั เรยี นวา “ทาํ ไมตองพอเพยี ง” ใหนกั เรียนแสดงเหตผุ ล 4. ขอ สรปุ ขอ สรุป ขอสนบั สนุน ที่สามารถสรางความกระจางและโนมนาวใหผูถามคลอยตามได ไมต่ํากวา 10 ขอ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เหตุเพราะขอเขา เปน ขอ ท่มี ีการเคลอ่ื นไหว โดยใชว ิธีการสบื คน หรอื แสวงหาความรูจากการอา น เขยี นเหตผุ ลท้งั 10 ขอ ลงใน มาก และตอ งรับนาํ้ หนกั ตวั ของเราในกจิ วตั รประจาํ วนั และกจิ กรรมตางๆ สมุดบันทึกความรู และแสดงหลักฐานการสืบคนดวยบัตรบันทึกขอมูล พรอมระบุ เปน ขอ สนบั สนนุ สว นขอ สรปุ ความวา ขอ เขา มีโอกาสที่จะเกิดการเส่ือมได แหลงอา งองิ มากกวา ขออ่ืนๆ คูมอื ครู 51
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นกั เรยี นศึกษาบทความเรื่อง วยั รนุ กับความ ตวั อย่าง การอา่ นเพอ่ื แสดงความคดิ เห็น รนุ แรง หนา 52 และศกึ ษาบทความแสดงความ คิดเหน็ เรอื่ ง วยั รุน กบั ความรนุ แรง หนา 53 วัยรนุ่ กับความรนุ แรง กําหนดเวลาอานบทความละ 5 นาที นับจากต้นปีท่ีผ่านมา จะมีข่าวท่ีวัยรุ่นก่อความรุนแรงมากมาย เช่น ข่าวท่ีวัยรุ่นใช้ปืนยิงเพื่อน อธบิ ายความรู Explain นักเรียนเสียชีวิต ยกพวกตีกันระหว่างสถาบัน และล่าสุด คือ เมื่องานคอนเสิร์ตทรัพย์สินทางปัญญา ได้มีวัยรุ่นประมาณ ๑,๐๐๐ คน ยกพวกตีกันจนท�าให้มีผู้เสียชีวิต ๒ ราย ปัญหาเหล่านี้ จัดว่าเป็น 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถามจากบทความเรื่อง ปัญหาทางสังคม ทน่ี บั วนั ได้มีแนวโน้มทแ่ี สดงออกถงึ การทวีความรนุ แรงข้ึนเรอ่ื ยๆ วัยรนุ กับความรุนแรง ดังตอ ไปน้ี “วัยรุ่น” เป็นวัยท่ีผู้คนมักเรียกกันว่า “วัยหัวเล้ียวหัวต่อ” เพราะวัยนี้พยายามที่จะค้นหาความ • บทความเรอ่ื ง วยั รุนกับความรุนแรง มเี น้ือหา เข้าใจในตนเอง ย่ิงในโลกปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การติดต่อส่ือสารท�าได้อย่าง กลา วถงึ ประเดน็ ใดบา ง รวดเรว็ สง่ ผลให้โลกทัศนข์ องวยั ร่นุ กวา้ งข้ึน บางคนก็ค้นพบตนเองในทางทถ่ี ูกต้อง แตบ่ างคนหนั เหไป (แนวตอบ เปน ตน วา นาํ เสนอความรนุ แรงของ ในทางที่ผิด ท�าใหเ้ ป็นบอ่ เกดิ ของปัญหาทีเ่ ราเหน็ ในปจั จุบัน วยั รนุ ทีป่ รากฏในส่ือตางๆ พรอมช้ใี หเ หน็ วา ถ้าวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ของความรุนแรงท่ีเกิดข้ึนกับวัยรุ่นในขณะนี้ คิดว่าคงจะมีสาเหตุ สาเหตสุ าํ คัญของปญ หาเรม่ิ ตนจากครอบครัว มาจากหลายๆ ดา้ น ทงั้ การเปลยี่ นแปลงดา้ นอารมณข์ องวยั รนุ่ สภาพครอบครวั สภาพสงั คมตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ และเสนอแนะแนวทางการแกปญ หา) ตัวหล่อหลอมพฤติกรรมของวัยรุ่นผ่านสื่อต่างๆ ท้ังภาพยนตร์ วิดีโอ เกม ท่ีล้วนมีผลต่อความรุนแรง • ผเู ขยี นบทความมีจดุ มุงหมายอยางไร เขา้ ไปอยู่ในจติ ใตส้ า� นกึ โดยที่เขาเองก็ไมร่ ตู้ วั (แนวตอบ เสนอแนวทางการแกป ญ หาการใช ส่ิงส�าคัญที่สุดที่จะบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของวัยรุ่น คือ ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่มี ความรนุ แรงของวัยรนุ ) อิทธิพลส�าคัญท่ีสุดในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของวัยรุ่น ครอบครัวจะเป็นหน่วยพ้ืนฐานที่คอย • บทความดงั กลา วมีกลวิธกี ารใชภาษาอยางไร เสริมสร้างประสบการณ์ของเด็กเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวจะยุ่งยาก (แนวตอบ ลําดับเร่ืองราวไดด ี โดยชีใ้ หเห็นท่มี า สลับซับซ้อนมากขึ้น และมักจะเกิดปัญหาขัดแย้งกันเสมอ อาจสังเกตได้ง่ายว่าวัยรุ่นเร่ิมมีความรู้สึก และความสาํ คัญของปญ หา ยกขอเทจ็ จริง อยากเป็นอสิ ระ ไมอ่ ยากให้ใครมาบังคับ และตอ้ งการเป็นตวั ของตวั เอง ดงั นน้ั ส่วนสา� คัญท่สี ดุ คือ พอ่ สนับสนนุ และเนน ย้ําดวยขอสรปุ พรอม แม่ ต้องเป็นแบบอย่างท่ีดีให้ลูก ควรให้ค�าปรึกษา เข้าใจในชีวิตของเด็กวัยนี้ ไม่ขัดขวาง ห้ามในสิ่งท่ี ขอเสนอแนะอยางชดั เจน) เขาตอ้ งการค้นหา แต่ควรให้คา� ปรึกษาทด่ี เี พราะเดก็ วยั นยี้ ่งิ ห้ามกเ็ หมือนยิ่งยุ • นกั เรียนเห็นดว ยกับเนอ้ื หาในบทความหรือไม โดยท่ัวไปแล้วเด็กวัยรุ่นมักจะเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่เสมอ ท�าให้หันเหชีวิตไปหาเพ่ือน เป็น อยา งไร ส่วนใหญ่ กลุ่มเพ่ือนจึงเป็นส่ิงแวดล้อมที่วัยรุ่นให้ความส�าคัญเหนืออื่นใด จึงเกิดการเกาะติดความเป็น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พรรค เป็นพวก สืบเน่ืองไปจนถึงความเป็นสถาบัน และยึดถือปฏิบัติกฎเกณฑ์ท่ีรุ่นพ่ีในสถาบันตั้งขึ้น ไดอ ยา งหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตผุ ลของ เราจงึ เห็นกลุ่มวยั รนุ่ ตา่ งสถาบนั ยกพวกตีกนั มาตั้งแต่สมยั รุ่นปู ่ รนุ่ พอ่ สืบมาจนถึงรุ่นปัจจบุ ัน นกั เรยี น) จากสาเหตุท่ีท�าให้วัยรุ่นใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา ท�าให้เราเห็นว่าครอบครัวน่าจะเป็น จุดเร่ิมต้นท่ีดีท่ีสุด ในการปลูกฝังอบรมเด็ก สร้างบุคลิกภาพที่ดีให้แก่เด็กเมื่อเขาโตข้ึนและย่างเข้าสู่ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ครูสุม วัยรุ่น พ่อ แม่ ต้องเป็นส่วนส�าคัญในการช้ีแนวทางการด�าเนินชีวิต การแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีท่ี นักเรยี น 4-5 คน ออกมานําเสนอหนา ชัน้ เรยี น ถูกต้อง และต้องเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของวัยรุ่น ไม่ดุด่า หรือปล่อยจนเกินไป เพราะสาเหตุเหล่านี้ ในแตละประเดน็ จะท�าให้วัยรุ่นกลายเป็นคนท่ีก้าวร้าว และตีตัวออกห่างจากครอบครัว ไปม่ัวสุมกับเพ่ือนๆ และเลือก เดนิ ในแนวทางทผี่ ดิ จนกลายเปน็ ปัญหาของสังคมอยา่ งทปี่ รากฏในปจั จบุ ัน (สุชญั ญา วงคเ์ วสช์ : นติ ยสารเพ่ือนวัยรนุ่ ) 52 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกับการใชเ หตผุ ลในการแสดงความคิดเห็น ครคู วรเพ่มิ เตมิ ความรคู วามเขาใจเก่ียวกบั การอานเพ่อื การแสดงความคดิ เห็น ขอ ใดมกี ารใชเหตผุ ล ครคู วรเนน ใหนกั เรยี นวเิ คราะหค วามรคู วามเขาใจจากการอา นบทความ โดยใชว ิธี 1. การแพทยแผนไทยมรี ากฐานมาจากความพอดี หรอื ความสมดุลของ การอานแบบวเิ คราะห โดยอานอยา งพนิ ิจพจิ ารณาใครค รวญสว นประกอบของการ ชวี ติ ท้ังดา นการกินอาหารและการขบั ถาย อานอยางละเอยี ด และนกั เรียนมีแนวทางการพัฒนาทักษะการอา น ดังตอ ไปนี้ 2. ชีวิตคนไทยยงั คงผูกพนั กบั สมนุ ไพรและใชกนั อยใู นชีวิตประจําวัน 1. พิจารณารปู แบบของเรื่องท่อี า นหรืองานเขยี น เปน การพิจารณารปู แบบลักษณะ ตรงตามตาํ ราการแพทยแผนไทย ของงานเขียนวา เปน งานเขียนรอ ยแกว หรือรอยกรอง รวมถึงพิจารณางานเขียนวา 3. ถงึ แมยาสมุนไพรหลายขนานจะใหประโยชนใ นการรักษาโรค แตถ า เปน งานเขียนประเภทใด สารคดหี รอื บนั เทงิ คดี 2. พิจารณาเน้อื หา เปน การอานเพอ่ื ไมจาํ เปน ควรหลกี เลีย่ ง ไมค วรกินพรํ่าเพรอ่ื แยกแยะวา ขอความใดเปนใจความสําคญั ขอ ความใดคือสวนขยาย ขอความใดคือ 4. คนไทยเรยี นรแู ละสบื ทอดการใชพ ืชสมนุ ไพรเปนยาและอาหารจาก ขอ เทจ็ จริง ขอคดิ เหน็ หรือความรูส ึกของผเู ขยี น 3. พิจารณาการนาํ เสนอเน้อื หา ท้งั บรรพบรุ ุษคนเฒา คนแกจ าํ นวนมากมีสขุ ภาพดีและอายยุ ืน การพจิ ารณาการต้ังช่ือเรือ่ ง การนาํ เร่อื ง การดาํ เนินเรื่อง และการปดเรอ่ื งวามีวิธีการ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. คนไทยเรียนรแู ละสืบทอดการใชพืช อยา งไร 4. พิจารณาการใชภาษา เปน การพจิ ารณาระดับภาษา การใชคาํ ประโยค สมนุ ไพรเปน ยาและอาหารจากบรรพบุรษุ เปน การใชเหตผุ ลและเปน ขอ สาํ นวนโวหารและความเปรียบหรอื ภาพพจนเ ปรยี บเทยี บ เพอื่ ส่อื ความหมายท่ีผูเ ขียน สนบั สนุนวาคนเฒา คนแกจาํ นวนมากมีสุขภาพดีและอายุยนื ขอ อ่นื ๆ มเี พยี ง ตอ งการ ขอสรุป 52 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การแสดงความคดิ เห็นเรอ่ื ง วัยร่นุ กับความรนุ แรง นักเรียนรวมกนั ตอบคําถามจากบทความ บทความเรือ่ ง วัยรนุ่ กับความรนุ แรง ของ สุชญั ญา วงค์เวสช ์ ในหนงั สือนติ ยสารเพ่อื น แสดงความคิดเหน็ เรอ่ื ง วัยรนุ กับความรุนแรง ดังตอไปน้ี วัยร่นุ เขยี นขนึ้ เพือ่ ต้องการนา� เสนอปัญหาของวยั รนุ่ ท่ีก่อความรนุ แรงอยู่ในขณะน้ี โดยผ้เู ขียนได้ วิเคราะห์ถึงสาเหตุของสภาพปัญหาท่ีแท้จริงว่าเกิดจากอะไร ซ่ึงสามารถน�าเสนอเร่ืองราวของ • นักเรียนคิดวา ผูเขียนมีความคิดเหน็ ปัญหาได้อย่างรอบด้าน และมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน ท�าให้ผู้อ่านมองเห็นเร่ืองราวได้ตลอด คลอ ยตามบทความเรอ่ื ง วยั รนุ กบั ความรนุ แรง และสอดคล้อง น่าติดตามอ่านจนจบเร่ืองสามารถชักจูงหรือโน้มน้าวให้ผู้อ่านเห็นจุดประสงค์ของ หรือไม อยา งไร ผเู้ ขยี นทต่ี ้องการนา� เสนอใหท้ ราบถึงปญั หาความรุนแรงของวยั รุ่นมาจากจุดใด ท�าใหผ้ ู้อ่านเข้าใจ (แนวตอบ มคี วามคิดเห็นคลอ ยตาม แตเสนอ จุดประสงค์ท่ีผู้เขียนบทความต้องการสื่อถึงผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตรงประเด็นและสอดคล้องกับ แนวทางการแกป ญหาท่แี ตกตา งกัน) เรอ่ื งราวท่นี า� เสนอได้เป็นอยา่ งดี • นักเรยี นเหน็ ดวยกบั บทความแสดงความ บทความนี้เขียนน�าเสนอล�าดับเรื่องราวได้ดี โดยย่อหน้าแรกได้น�าเสนอปัญหาท่ีรุนแรง คิดเห็นเรอ่ื ง วยั รุนกับความรุนแรง หรอื ไม ของวัยรุ่น ซึ่งผู้อ่านได้รับทราบจากข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่น�าเสนอทางวิทยุ โทรทัศน์ และ อยางไร หนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ท�าให้เกิดความรู้สึกร่วมกันกับปัญหานั้นเป็นอย่างดีว่านั่นคือ ข้อเท็จจริงที่ (แนวตอบ นักเรียนตอบไดอยางหลากหลาย เกิดข้ึนกับวัยรุ่นในขณะน้ี และสามารถชักน�าให้ผู้อ่านคล้อยตามไปถึงสาเหตุท่ีแท้จริงนั้นเร่ิมต้น ข้ึนอยูกบั เหตุผลของนักเรยี น) จากครอบครัว ดังข้อความในย่อหน้าท่ีสี่และย่อหน้าท่ีห้าท่ีสนับสนุนให้เห็นอย่างเด่นชัด ช่วยให้ ผู้อ่านมองเห็นประเด็นปญั หาทห่ี ลายคนอาจมองข้ามวา่ เปน็ เร่ืองหยุมหยมิ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ แตเ่ รอ่ื งราว ขยายความเขา ใจ Expand ดังกลา่ วกลบั เป็นปญั หาท่สี ง่ ผลตอ่ การแสดงออกของวยั รุน่ ในลักษณะรุนแรง เน้ือหาที่ผู้เขียนน�าเสนอจึงเป็นส่ิงกระตุ้นเตือนให้รู้จักและเข้าใจวัยรุ่นได้มากข้ึน และ 1. นกั เรียนเขยี นบทวจิ ารณบทความแสดงความ มองเห็นว่าปัญหาความรุนแรงของวัยรุ่นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม หรือไม่ให้ความส�าคัญ คิดเหน็ เรอ่ื ง วยั รุนกับความรนุ แรง ครสู มุ อีกต่อไป หากแต่ควรเข้าใจและเข้าใกล้เขาให้มากที่สุด การแก้ปัญหาของวัยรุ่นจึงต้องแก้ท่ี นักเรยี นออกมานําเสนอหนา ชน้ั เรยี น สาเหตุที่ท�าให้วัยรุ่นก้าวร้าวใช้ความรุนแรงโดยมองไปที่ครอบครัวต้องเป็นผู้เริ่มแก้ปัญหาและได้ มอบภาระน้ีให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันเพราะแม่ไม่ได้มีหน้าท ่ี 2. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอไปนี้ รบั ผดิ ชอบดแู ลทา� งานภายในบา้ นเพยี งอยา่ งเดยี วเหมอื นในอดตี การแกไ้ ขปญั หาของวยั รนุ่ จงึ เปน็ • นกั เรียนคดิ วา การอานเพอื่ การแสดงความ หน้าที่ของทุกคนท่ีเป็นสมาชิกในครอบครัวโดยต้องให้ความร่วมมือในการเอาใจใส่ดูแลวัยรุ่น คิดเห็นมีความสําคัญอยา งไรในระบอบ มากขึ้น เพือ่ ใหป้ ญั หาความรุนแรงเกดิ น้อยลง ประชาธปิ ไตย บทความนี้จึงเป็นบทความที่ให้ทั้งความรู้และข้อคิดจากเรื่องราววัยรุ่นกับความรุนแรงได้ • นกั เรียนคิดวา การแสดงความคดิ เหน็ อย่างน่าสนใจ รวมท้ังการน�าเสนอเร่ืองราวท่ีเรียบง่ายแต่หนักแน่นด้วยข้อมูลท่ีน�ามาประกอบ เปน การสรา งปญ หาความขดั แยงหรอื เปน กับเรื่องราว จึงท�าให้บทความเรื่องนี้มีจุดที่น่าสนใจ และน�าพาผู้อ่านให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง แนวทางการแกปญหาความขัดแยง ตามทีผ่ ู้เขยี นตอ้ งการช้ีให้เห็นถึงการแกป้ ญั หาวยั รนุ่ กับความรนุ แรงไดเ้ ป็นอย่างดี • นกั เรียนคิดวา นกั เรียนควรแสดงความ คิดเหน็ อยา งไร เพอื่ ลดและแกไ ขปญหา ความคิดเหน็ ของแต่ละบุคคลย่อมมีความแตกตา่ งกันตามความร ู้ ทศั นคต ิ ความเชื่อ ความขัดแยง และประสบการณ์ อยา่ งไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถฝกึ ฝนไดโ้ ดยเร่มิ จากการเปน็ นกั อ่าน ทา� ความ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายแสดง เข้าใจหลักการอ่านเพ่ือแสดงความคิดเห็น และคิดพิจารณาอย่างมีเหตุผล ตลอดจนถ่ายทอด ความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั ดว้ ยภาษาท่ีถกู ตอ้ ง เพ่อื ให้ผู้อา่ นสามารถแสดงความคดิ เห็นได้อย่างมคี ุณค่า เหตผุ ลของนกั เรยี น) 53 3. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเกย่ี วกับหลกั การของการแสดงความคดิ เหน็ ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกับการอา นเพอื่ การแสดงความคิดเห็น ครู ขอใดเปน ประเด็นโตแยง ของขอ ความตอไปนี้ ควรเพมิ่ เติมความรูและทัศนคตพิ น้ื ฐานเกย่ี วกับการแสดงทรรศนะหรือความคดิ เหน็ กรมทางหลวงดาํ เนินการขยายถนนเปนเสน ทางเชอื่ มตออทุ ยานแหงชาติ ในสงั คมประชาธปิ ไตย คนเราไมจ ําเปน ตองมคี วามคดิ เห็นหรอื ความพงึ พอใจในเรอ่ื ง หน่ึงเรอื่ งใดเหมือนกัน ความแตกตา งกนั ทางความคดิ ถอื เปนเร่อื งธรรมดา และบคุ คล เขาใหญใชง บประมาณกวา 69 ลานบาท เพอื่ ลดความคบั ค่ังของการจราจรใน ควรจะยอมรบั ความคดิ เหน็ ท่ีแตกตา ง และวิจารณแ สดงความคดิ เห็นในจดุ บกพรอง วนั หยุด แตการตดั ถนนนอกจากจะสงผลกระทบตอ ส่ิงแวดลอ มแลวยงั กระทบ ของสารทน่ี ําเสนอ ทรรศนะของบุคคลยอมมีความแตกตา งกนั ไปตามประสบการณ ตอความเปนมรดกโลกของเขาใหญด ว ย พน้ื เพ ความรู ทศั นคติ คา นิยม รสนิยม ตลอดจนอัธยาศัย และอุดมการณของแตละ บคุ คล ฉะนนั้ กอนการแสดงทรรศนะนักเรียนจงึ ควรทําความเขาใจเนอื้ หาของสาร 1. โครงการขยายถนนท่เี ขาใหญใชง บประมาณคุมคาหรอื ไม โดยการวิเคราะหขอเทจ็ จรงิ คอื ขอมูล เหตกุ ารณ หรอื เรื่องราวท่สี ามารถพสิ ูจน 2. การตัดถนนสง ผลกระทบตอสง่ิ แวดลอมจริงหรอื ไม และระบุเจาะจงลงไปไดอ ยา งชัดเจนโดยไมม อี คติ นอกจากนี้ นกั เรียนควรวเิ คราะห 3. เขาใหญจะไดรบั การพิจารณาเปนมรดกโลกหรือไม ความคดิ เห็นของผูเ ขียน ซึ่งเปน ขอ มูลที่เกดิ จากความรสู ึกนกึ คิด และทรรศนะคติของ 4. การขยายถนนไปเขาใหญควรดําเนินการตอหรือไม บคุ คล การทําความเขาใจสารในบทอานนนั้ ชวยใหผรู ับสารไดขยายโลกทศั นและ มมุ มองตอส่งิ ตางๆ อยางกวางขวาง ทําใหเ กิดแงม ุมทีห่ ลากหลายในการมองสภาพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การขยายถนนไปเขาใหญค วรดําเนินการ แวดลอ มและสังคมมากย่งิ ขน้ึ ตอ ไปหรือไม คือ จุดมงุ หมายของขอความขางตน สวนทกี่ ลา วถึงงบประมาณ คมู ือครู 53 ผลกระทบตอส่งิ แวดลอ ม และการพจิ ารณาเปนมรดกโลกเปนเพียง ขอ สนบั สนุนทีจ่ ะแสดงความเห็นโตแยง วา การขยายถนนไปเขาใหญควร ดาํ เนนิ การตอ ไปหรือไม
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรุปความหมาย และแนวทาง คา� ถามประจ�าหน่วยการเรยี นรู้ การอานเพอ่ื แสดงความคิดเหน็ ในรปู แบบตางๆ ๑. เหตใุ ดจงึ กล่าววา่ “การแสดงความคดิ เห็นเป็นเร่อื งเฉพาะตวั ของผู้อ่าน” จงอธิบาย 2. นักเรยี นสามารถสรุปคณุ สมบตั ขิ องผทู ่สี ามารถ พอสังเขป อา นแสดงความคิดเหน็ ท่ีดไี ด ๒. “การเขยี นเปน็ งานสาธารณะทผ่ี อู้ ่านสามารถแสดงความคิดเห็นหรอื วิจารณ์ได้” 3. นกั เรียนสามารถสรปุ องคป ระกอบในการแสดง นักเรยี นเห็นดว้ ยกบั ขอ้ ความนีห้ รอื ไม ่ เพราะเหตุใด ความคดิ เหน็ และขอควรคํานึงในการแสดง ๓. การแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งไรทแี่ สดงใหเ้ หน็ ว่าเจ้าของความคิดเหน็ เป็นผมู้ ี ความคิดเหน็ ได มารยาทในการแสดงความคิดเหน็ 4. นกั เรียนสามารถสรุปเนอ้ื หาจากเรื่องทอี่ า นได ๔. การอา่ นอยา่ งมหี ลกั การช่วยในการแสดงความคดิ เห็นไดอ้ ย่างไร จงอธิบาย 5. นักเรียนสามารถวเิ คราะหวิจารณ แสดงความ และยกตัวอยา่ งประกอบ คดิ เห็นโตแยง บทความทอ่ี า นได ๕. หากต้องแสดงความคดิ เห็นในสง่ิ ที่ไม่รู ้ นกั เรียนมแี นวทางปฏิบัตอิ ย่างไร 6. นกั เรียนสามารถตอบคาํ ถามจากการอาน งานเขยี นภายในระยะเวลาทกี่ ําหนดได หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรุปความหมาย และแนวทางการ ๑. ให้นกั เรียนอา่ นขา่ วจากหนังสือพมิ พ ์ แล้วร่วมกันแสดงความคดิ เห็นจากขา่ ว อานเพือ่ แสดงความคดิ เห็นในรปู แบบตา งๆ เพื่อฝกึ กระบวนการแสดงความคิดเห็นรว่ มกนั ๒. ให้นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกบั หนงั สอื อ่านนอกเวลา ๑ เรอ่ื ง แล้วรว่ มกัน 2. ความเรยี งสรปุ คุณสมบัติของผูท ส่ี ามารถอาน อภิปรายและสรุปความคดิ เหน็ ตามประเดน็ ที่ได้กา� หนดไว้ แสดงความคดิ เห็นทดี่ ี ๓. ให้นักเรยี นหาบทความแสดงความคดิ เห็นมาศกึ ษาหลักการแสดงความคิดเห็น เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการอ่าน และแสดงความคิดเห็นจากการอา่ นได้อย่างมี 3. ความเรียงสรปุ องคประกอบในการแสดง ความคดิ เห็น และขอควรคาํ นึงในการแสดง ประสิทธภิ าพ ความคดิ เห็น 4. ความเรยี งสรุปเน้ือหาจากเร่อื งทอี่ านได 5. ความเรียงวเิ คราะหวิจารณ แสดงความคดิ เหน็ โตแ ยงบทความทอ่ี านได 6. แบบบนั ทึกคาํ ตอบจากการอานงานเขียนภายใน ระยะเวลาท่กี ําหนด 7. บนั ทึกการตอบคําถามประจําหนวยการเรยี นรู 54 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 1. เน่อื งจากอาจมีผูอานเพยี งคนเดยี วทม่ี คี วามคิดเหน็ เชนนนั้ ผูอา นคนอ่ืนอาจมีความคิดเห็นท่แี ตกตา งกนั ได ขนึ้ อยกู บั ประสบการณ คานิยม ความรู และความเขา ใจ ในสารจากบทอา นที่มคี วามแตกตางกัน 2. เหน็ ดวยกับคํากลาวทีว่ า การเขยี นเปน งานสาธารณะที่ผอู านสามารถแสดงความคดิ เห็นหรอื วจิ ารณไ ด แมว า งานเขยี นหรอื งานสรา งสรรคแตล ะชน้ิ เกิดจากความคิดเห็น เฉพาะบคุ คลของผเู ขียนกต็ าม แตเมือ่ ความคดิ เหน็ ดงั กลา วปรากฏสูสาธารณชน ผูอ านสามารถวิพากษวจิ ารณงานเขียนดว ยความคดิ ประสบการณ และคา นยิ ม ท้ังท่ี เห็นดว ย และไมเหน็ ดวย เพอ่ื สรางความเขาใจงานเขียนไดอ ยางลกึ ซึ้ง แตทั้งนก้ี ารวิจารณประเดน็ ตางๆ ตอ งตั้งอยบู นพื้นฐานของการทาํ ความเขา ใจสารอยางชดั เจน ทสี่ าํ คัญในปจ จุบันมีแนวคิดเรอ่ื งมรณกรรมของผูแ ตง ซ่ึงเปน การลดความสําคัญของอาํ นาจการตคี วามของผูแตง การตีความการอานถอื เปนอํานาจของผอู า น ผูเขยี นไม สามารถผูกขาดการตคี วามเนอ้ื หาไดเพียงผเู ดียวอกี ตอไป 3. การแสดงความคดิ เหน็ อยา งมีมารยาทนน้ั ผูอา นควรนําเสนอสารทม่ี คี ุณคาตอสาธารณชน มีความสมเหตุสมผล นา เชอื่ ถอื เหมาะกับผรู ับสาร และใชภาษาชัดเจนตรงไป ตรงมา นอกจากนี้ ภาษาและเนอ้ื หาทใี่ ชตองมีความเหมาะสมกบั กาลเทศะ 4. การอา นอยา งมหี ลกั การชวยใหนักเรยี นทําความเขาใจเนื้อหาของสารท่ีนักเรียนอา นไดอยางลกึ ซึง้ ตรงประเด็น เขา ใจความหมายท่ีผูอา นตอ งการสือ่ สารทงั้ ความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนัย รวมถงึ เจตนาของผูสง สารไดอกี ดวย นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา งไดอยา งหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผลของนักเรียน 5. นกั เรียนควรสืบคน ขอมูลพนื้ ฐานจากเร่อื งทนี่ กั เรียนตอ งการแสดงความคดิ เหน็ แตหากเปนการแสดงความคดิ เห็นอยางฉับพลัน นักเรียนควรวิเคราะหเ น้อื หาของสารท่ี นกั เรียนอานอยางรอบดา น ท้งั ขอ ดแี ละขอเสยี รวมถงึ ความคดิ เหน็ ของบุคคลอ่ืน เพ่ือประกอบการตดั สินใจในการแสดงความคิดเห็น 54 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ òตอนที่ การเขยี น ครสู นทนาซักถามเกยี่ วกับประสบการณก าร สอื่ สารในชีวิตประจาํ วนั ของนกั เรียน ทงั้ การพดู ปจจุบันการส่ือสารดวยเทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้นในการดําเนินชีวิต และการเขยี น ซง่ึ เปน กระบวนการสงสาร จากนนั้ ครกู ระตนุ ความสนใจดว ยการสนทนาซกั ถาม แตก ารสอื่ สารดว ยวธิ กี ารเขยี นยงั คงมคี วามสาํ คญั และมคี วามจาํ เปน ตอ การทาํ งาน ดงั ตอ ไปนี้ การติดตอส่อื สารท่ัวไป หากผูเขยี นหรอื เรียกอกี นัยหนึ่งวาผูส งสารเขียนไมถูกตอง ใชถอยคําไมเหมาะสม หรือเขียนไมชัดเจน ผิดจุดประสงค อาจทําใหผูอานหรือ • เมอื่ นกั เรียนไดฟง หรืออานเร่ืองราวตา งๆ ผูรับสารเขาใจผิด มีอคติตอสารที่ไดรับ และสงผลใหการสื่อสารไมสัมฤทธิผล นักเรยี นมีวิธกี ารทาํ ความเขาใจเรอ่ื งราว ดงั นนั้ การเขยี นจงึ มคี วามสาํ คญั เปน อยา งมากในการตดิ ตอ สอ่ื สารทาํ ความเขา ใจกนั ตางๆ อยา งไร (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความ คิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย เนอื่ งจากการ จับใจความสาํ คัญจากเรอ่ื งทฟี่ งหรืออานนัน้ ตอ งอาศัยทกั ษะทางความคิดทีส่ ัมพันธก บั กระบวนการส่อื สาร) • นักเรียนคิดวา หากนักเรียนตองการจดจาํ ขอมลู ท่นี กั เรยี นไดอา นหรือไดฟ ง นักเรียน จะมวี ธิ ีการบนั ทกึ ขอ มลู ในลกั ษณะใดบา ง อยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลาย เปน ตน วา การบนั ทึก ขอ มลู ดว ยการเขยี น) • นักเรียนคิดวา หากนกั เรยี นบนั ทึกขอมลู ดว ยการเขยี นจะเกิดผลดีตอตัวนักเรยี น อยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยา งหลากหลาย เปนตนวา การบนั ทกึ ขอ มลู ดว ยการเขยี นสงผลดตี อ ทักษะในการ คดิ การจบั ประเด็นจากการฟงและการพูด และสงผลดีตอ ขอ มูล คอื สามารถจัดเกบ็ ขอมูลไดเ ปน ระยะเวลานาน) เกรด็ แนะครู การเรียนรูในตอนที่ 2 เรื่อง การเขียนน้ี ครผู สู อนควรทบทวนความรูค วามเขา ใจ ของนกั เรยี นเกยี่ วกับทกั ษะการสอื่ สารในชวี ิตประจําวัน ไมว า จะเปน ทักษะการใช ภาษาจากสาระการเรียนรทู ัง้ 5 สาระ ครผู สู อนควรชแ้ี นะนักเรยี นเกย่ี วกับการเขยี น วา การเขียนนอกจากจะเปนการแสดงความรู ความคดิ ความรสู กึ และความตองการ ของผูสง สารออกไปเปนลายลกั ษณอ ักษร เพือ่ ใหผ รู ับสารสามารถอา นใหเ กดิ ความ เขาใจ ทราบความรู ความคิด ความรูส กึ และความตอ งการแลว การใชภาษาไทยใน การเขียนตอ งคํานึงถงึ แบบแผนทางภาษา สํานวนภาษาตองสามารถส่อื สารเน้ือหา ความรคู วามคดิ ไดอ ยางถกู ตอ งเหมาะสมและมคี วามสมบูรณ รวมถงึ ความชดั เจน ของเนอื้ หา ผูท่จี ะสามารถเขียนถายทอดเน้อื หาเรอื่ งราวไดดีนอกจากจะมรี ะบบการ คดิ ทเ่ี ปน ระบบระเบียบ สามารถประมวลผลความรูความคดิ ไดอ ยา งสมบูรณแ ละมี ความชดั เจนแลว ผสู ง สารหรือผเู ขยี นตองเรียนรใู นการวิเคราะหผ รู บั สารวา ผูร ับสาร สามารถรับสารไดม ากนอ ยเพยี งใด และสารหรือเนอื้ หารวมถึงกลวิธกี ารเขยี นนนั้ มี ความสอดคลอ งกบั ผูรบั สารหรือไม อยางไร เพือ่ ใหน กั เรยี นสามารถส่ือสารเนือ้ หาได อยางสมั ฤทธิผล คมู ือครู 55
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรยี นรู 1. บันทึกการศกึ ษาคนควา เพ่อื นาํ ไปพัฒนาตนเอง ตอนที่ ๒ อยางสม่าํ เสมอ 2. มีมารยาทในการเขยี น สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค การเขยี น 1. ใฝเรียนรู คอื การถายทอดความรู ความคดิ 2. มงุ มน่ั ในการทาํ งาน ความรูส ึก จินตนาการ ความตอ งการของ 3. รกั ความเปนไทย ผสู งสารออกมาเปน ลายลกั ษณอ ักษร เพือ่ ให ผูรบั สารสามารถอา นเขาใจตรงตามท่ีผเู ขยี น กระตนุ ความสนใจ Engage ñหนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ตอ งการได การเขียนใหผอู า นเขาใจสารตรงตาม ทผี่ ูเ ขียนตองการไดนั้น ขึน้ อยูกับองคประกอบ ครสู นทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ หลายประการ เชน ประสบการณและสงิ่ แวดลอ มของ • หากนักเรยี นตองการสงสารดวยวิธีการเขยี น ผเู ขยี นกับผอู า น ทักษะทางภาษา ระบบความคดิ นักเรียนคดิ วา ตองอาศัยองคประกอบใด การเขยี นบนั ทกึ ความรู เปน สาํ คัญ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยางหลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของ • บันทึกการศึกษาคน้ คว้าเพอ่ื น�าไปพัฒนาตนเอง • การเขยี นบนั ทึกความรู้จากแหลง่ เรยี นรูท้ ห่ี ลากหลาย นักเรยี น เปน ตน วา นกั เรยี นสามารถกลาวถงึ อยา่ งสม่า� เสมอ (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๗) • มารยาทในการเขียน องคประกอบทงั้ ในดา นสง่ิ แวดลอ มภายนอก รวมถึงประสบการณ ทักษะในการอานและ • มีมารยาทในการเขียน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๘) การฟงขนึ้ อยกู ับประสบการณท างภาษาและ ประสบการณทางความคิดของแตล ะคน) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรนู ้ี ครูผูสอนควรเพมิ่ เติมความรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั การเขยี น บนั ทึกความรวู า การเขยี นบนั ทกึ ความรเู ปนทักษะการใชภาษาทต่ี องอาศัยทัง้ ทักษะการอา น การฟง และการเขียนประกอบกัน ครูผูสอนควรช้ีแนะนักเรียนวา การพัฒนาทกั ษะการเขียนบันทกึ ความรูน้นั ผูเขียนควรเนน การพฒั นาทกั ษะความรู ความเขาใจเกีย่ วกับการจับใจความสาํ คัญทัง้ จากการฟง และการอาน แลว ถายทอด สารนั้นเปนภาษาเขียนที่เรยี บเรียงสามารถสื่อสารเนื้อหาไดอ ยางกระชบั ชัดเจนและ สามารถใหรายละเอยี ดตางๆ ไดอ ยางครอบคลุม ครคู วรช้ีแนะนกั เรยี นเพิ่มเติมวา การเขียนบนั ทกึ ความรทู ่ดี ีนั้น นกั เรยี นควรมี ความตัง้ ใจในการรับสารเปน อันดับแรก สามารถถา ยทอดเนื้อหาของสารไดอยา ง ชัดเจน โดยเรยี บเรียงเน้ือหาไดอยา งถกู ตอ งและสมบรู ณ ถานักเรียนสรุปความ ไมถ กู ตองหรือไมม ีความชัดเจน กจ็ ะสง ผลตอการสอ่ื สารทีม่ คี วามคลาดเคลือ่ น และกอใหเกดิ ความเขาใจทผ่ี ิดพลาด นอกจากนี้ ยงั สงผลใหน กั เรียนนาํ ขอ มูลที่ บนั ทกึ ไปใชผิดพลาดดว ย 56 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. การเขียนบันทกึ ความรู้จากการอา น ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดังตอ ไปนี้ การเขียนบันทึกความรู้จากการอ่าน หมายถึง การเก็บรวบร1วมข้อมูลจา2กแหล่งต่างๆ เพ่ือน�ามาใช้ในการเขียน ผู้อ่านจ�าเป็นต้องมีทักษะการเขียนสรุปความ ถอดความ และคัดลอก • นกั เรียนคิดวา ทกั ษะการเขยี นมคี วามสาํ คญั ข้อความส�าคัญ การมีระบบการบันทึกท่ีดีจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ อยางไร จากการอ่านไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ช่วยให้การจัดระเบียบข้อมูลที่ได้ (แนวตอบ การเขยี นเปน การถา ยทอดความ จากการอ่านเป็นไปอย่างมีระบบ ทั้งยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและจดจ�าข้อมูลเหล่าน้ันได้โดยง่าย คดิ และความรูสกึ ไปสูผอู าน ชว ยใหผ รู บั สาร การบันทึกการอ่านจึงเป็นทักษะที่มีความส�าคัญและจ�าเป็นอย่างย่ิงต่อการเรียน ทั้งน้ีเพราะ สามารถเขา ใจตรงตามทีผ่ เู ขยี นตองการได) การเรียนจะต้องค้นคว้าเอกสารประกอบการเรียนเป็นจ�านวนมาก นอกจากนี้การบันทึกการอ่าน ยงั ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมีสมาธิในการอ่านอีกดว้ ย • นักเรียนคิดวา การเขียนมีความเกย่ี วขอ งกับ กระบวนการคิดอยา งไร อยา่ งไรกต็ าม ผ้อู า่ นต้องเลือกบันทกึ เฉพาะประเด็นสา� คญั ที่ต้องการน�าไปใช้ ดังนน้ั การ (แนวตอบ การคิดเปนขนั้ ตอนทอ่ี ยใู นใจ บนั ทึกความรจู้ ากการอ่าน ผ้อู ่านตอ้ งมคี วามเขา้ ใจเรอื่ งทอี่ า่ นเปน็ อย่างดี และสรา้ งความคดิ ของ แตก ารเขียนเปน ขั้นตอนในการถา ยทอด ตนเองในขณะท่ีเขยี นบันทึกดว้ ย ขอมลู จากความคดิ เปนตัวอกั ษร) ๑) การบนั ทกึ ความรู้จากการอ่าน ตอ้ งมคี วามสามารถในดา้ นต่างๆ ต่อไปนี้ สาํ รวจคน หา Explore ๑. จับใจความส�าคัญของเรอ่ื งได้ ๒. ทราบว่าขอ้ มลู ใดเกี่ยวขอ้ งกับเรือ่ งท่ตี นตอ้ งการศึกษา นกั เรียนสบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั การเขียนบนั ทกึ ๓. มวี ิธกี ารบันทึกท่เี ป็นระบบ ความรจู ากการอา น ไดแก การบันทึกความรูจาก ๔. สามารถเชอ่ื มโยงหัวข้อสา� คัญต่างๆ เขา้ ด้วยกัน แลว้ นา� ข้อมลู เหล่าน้ันไปเขยี นเปน็ การอาน และวธิ ีการบันทึกความรจู ากการอา น ผังความคิด หรือ mind maps ให้เขา้ ใจได้ง่าย อธบิ ายความรู Explain ๕. เขยี นบันทกึ ด้วยถ้อยค�าของตนเอง ๖. บันทึกแหล่งทมี่ าของขอ้ มูลนั้นๆ ได้อยา่ งชดั เจน 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ตอไปน้ี ๒) วธิ กี ารบนั ทึกความรจู้ ากการอา่ น มีดังนี้ • นกั เรยี นคดิ วา หากนักเรียนตองการเขียน ๑. รจู้ กั เลอื กและมวี ธิ กี ารบนั ทกึ ทเี่ ปน็ ระบบ โดยคา� นงึ ถงึ วตั ถปุ ระสงค์ในการอา่ นเสมอวา่ บันทึกความรจู ากการอาน นกั เรยี นควรมี คณุ สมบัตใิ นการอานอยางไร ตอ้ งการอะไรจากการอา่ น กอ่ นจะลงมอื บนั ทกึ ตอ้ งสา� รวจขอ้ เขยี นนนั้ อยา่ งครา่ วๆ กอ่ น โดยพจิ ารณา (แนวตอบ นักเรียนควรมคี วามสามารถใน วา่ อะไรคือประเด็นความคดิ ส�าคัญของเรื่อง เลือกอ่าน และบนั ทกึ เฉพาะส่งิ ท่เี ก่ยี วข้องกบั ประเด็น การอานจับใจความสาํ คญั ของเรอ่ื ง ทราบ ทตี่ อ้ งการศกึ ษา แยกขอ้ เทจ็ จรงิ กบั ขอ้ คดิ เหน็ ในเรอื่ งทอ่ี า่ นออกจากกนั และแยกระหวา่ งขอ้ คดิ เหน็ ขอ มลู ที่ตนศกึ ษา บันทึกขอมลู อยา งเปน ของตนกับสง่ิ ท่ีได้จากการอา่ น พรอ้ มทัง้ ระบุแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ใหช้ ดั เจนทกุ ครัง้ ระบบ เชือ่ มโยงประเด็นสําคญั ได ใชสํานวน ภาษาไดด ีและสามารถเรียบเรียงดว ยภาษา ในการบันทึกควรน�าหัวข้อส�าคัญๆ จากการอ่านมาวางเป็นเค้าโครงของเรื่องโดยท่ี ของตนเองได และระบุแหลง ทมี่ าของขอมูล เค้าโครงนีม้ ีโครงสร้างเช่นเดียวกับขอ้ เขียนท่ีอ่าน แต่ละหัวข้ออาจใชต้ ัวเลข หรอื ตวั อกั ษรในการ จากสื่อสิ่งพิมพต า งๆ ได) เรียงล�าดบั และการจัดหมวดหม่ขู องหัวขอ้ ย่อยต่างๆ เพือ่ ให้เข้าใจงา่ ย นอกจากน้กี ารบนั ทกึ ทีเ่ ปน็ 2. ครูสมุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ 5๗ หนา ชัน้ เรยี น ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’48 ออกเก่ยี วกบั การจับประเด็นสําคญั จากขอความ 1 การเขียนสรุปความ ประเด็นที่ยอ เอาเฉพาะใจความสาํ คญั ของเร่อื งวา ใคร ขอ ใดเปนประเด็นสาํ คัญของขอความตอไปนี้ ทําอะไร ทีไ่ หน เมอื่ ไร อยางไร การเขยี นสรุปความ เปนการจับใจความสําคัญหรือ ขณะนี้สารวัตรนกั เรยี นทที่ างกระทรวงศึกษาธิการแตงตง้ั จากครอู าจารยมี ความคิดสาํ คญั จากเรือ่ งทีอ่ านหรอื ฟง จากนัน้ นํามาเรียบเรียงเปน ขอ เขยี นขนาดส้นั ทก่ี ลาวถงึ ใจความสาํ คญั ของขอความทงั้ หมด การเขยี นสรปุ ความนนั้ ควรจับใจความ อุปสรรคดา นงบประมาณ และกาํ ลงั เจาหนา ทมี่ ีนอ ย สงผลใหนกั เรียนนักเลง สําคัญของเรื่องหรอื คาํ สาํ คัญของเรอ่ื งทอี่ านหรือฟง วา คาํ ใดเปน คาํ สาํ คญั ท่แี สดงถึง ไมเกรงกลวั อีกทง้ั สถานทบ่ี างแหงไมใ หค วามรว มมอื ในการตรวจคน หรือวา ประเดน็ รวมทง้ั หมด หรอื ชใี้ หเห็นภาพรวมท้ังหมดของเรอ่ื ง และปรากฏในเน้อื หาของ กลา วตกั เตอื น จงึ เสนอแผนงานใหพ จิ ารณาดา นงบประมาณจัดอบรมกําลงั การสรุปความดวย วิธกี ารเขียนสรุปความน้ัน นักเรียนควรเร่ิมตน จากการอานหรอื เจา หนาท่ีสารวัตรนกั เรยี นเพ่มิ เติม ฟง เรอื่ งราวแลว จับคาํ สาํ คญั และใจความสําคญั หรอื ความคดิ สําคญั ของเร่ืองได โดย นกั เรยี นสามารถประยุกตห ลักการอา นจบั ใจความสาํ คัญมาประกอบ ถาเร่ืองทีอ่ านมี 1. การเพิม่ กําลังสารวตั รนักเรยี น หลายยอ หนา นกั เรยี นควรพยายามหาใจความสําคัญหรือความคิดสําคัญของแตล ะ 2. การเพมิ่ งบประมาณในการจัดอบรม ยอหนา จากนัน้ เรียบเรียงแลวเขียนสรุปความใหส ัน้ กระชบั และไดใ จความโดย 3. การกวาดลา งนกั เรยี นนักเลง เรียบเรียงเปนภาษาเขยี น 4. การกวดขันใหส ารวัตรนักเรียนดูแลสถานทีต่ างๆ 2 ถอดความ การแปลใหเขา ใจความหมายมากขึ้น เชน การถอดความจาก วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การเพิ่มงบประมาณในการจัดอบรม รอยกรองเปน รอยแกว เปน ตน ประเด็นสําคญั ของขอความขางตนทีย่ กมา คือ จงึ เสนอแผนงานใหพ จิ ารณา ดา นงบประมาณจัดอบรมกาํ ลงั เจา หนา ทสี่ ารวัตรนกั เรยี นเพิม่ เตมิ สอดคลอ ง กบั คาํ ตอบขอ ท่ี 2. คมู ือครู 57
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นจดั กลมุ กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกัน ลักษณะของโครงเรื่องถือเป็นประโยชน์หากต้องการเขียนสรุปความจากประเด็นส�าคัญต่างๆ ท่ีได้ แลกเปลี่ยนความคดิ เห็นจากประเดน็ คําถาม จากการอา่ นดว้ ยการใชภ้ าษาของตนเอง ดงั ตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา นักเรยี นมวี ิธีการเขยี นบันทึก ๒. ทราบวตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั ของขอ้ เขยี น กอ่ นลงมอื บนั ทกึ ตอ้ งทราบวตั ถปุ ระสงค์ ความรูจ ากการอา นอยา งไรบา ง และบทบาทหนา้ ทข่ี องขอ้ เขยี นวา่ มคี วามสา� คญั อยา่ งไร ไมว่ า่ จะตอ้ งการบนั ทกึ ขอ้ ความในขอ้ เขยี น (แนวตอบ นักเรียนมีวิธีการบนั ทึกความรจู าก เพยี งบางสว่ นหรอื ทง้ั หมดกต็ าม ท้ังนี้โดยพจิ ารณาสว่ นตา่ งๆ ดังนี้ การอา นได ดังน้ี 1. บันทกึ อยา งเปน ระบบ 2. ทราบวตั ถปุ ระสงคแ ละความสาํ คญั ของ ● พิจารณาช่ือเรอ่ื ง บทคัดยอ่ หรือบทนา� ขอ เขียนนั้น และเขยี นบันทกึ โดยคํานึงถึง ● อา่ นข้อความในย่อหนา้ แรก วตั ถุประสงคใ นการอา น 3. นาํ ลักษณะขอมูล ● ส�ารวจข้อเขียนอย่างคร่าวๆ และสังเกตวิธีการร้อยเรียงองค์ประกอบต่างๆ ของ มาใชในการเขียนบันทกึ ขอ มูล 4. แสดงความ ข้อเขยี น คิดเหน็ ของตนเองขณะบันทกึ สาระสําคัญท่ไี ด ● อา่ นสว่ นท่ีเปน็ ภาพประกอบและคาดเดาวา่ ผู้เขยี นใชเ้ นือ้ หาส่วนน้ันเพ่อื วตั ถุประสงค์ จากการอาน) อะไร การส�ารวจดังกล่าวเป็นการเร่ิมต้นการอ่านที่มีประสิทธิภาพ ทั้งน้ีเพราะจะท�าให้สามารถ • นกั เรยี นคิดวา นกั เรียนมแี นวทางในการ เลอื กอ่านเฉพาะส่วนทเ่ี กี่ยวขอ้ งสัมพันธ์กับสงิ่ ท่ีต้องการอ่าน ซ่ึงจะชว่ ยประหยัดเวลาในการอา่ นได้ ลาํ ดบั เน้ือหาการเขียนบันทึกความรูจากการ เปน็ อย่างดี อานอยางไร ๓. ทราบลกั ษณะการนา� ขอ้ มลู ตา่ งๆ มาใชใ้ นการเขยี น ขอ้ เขยี นเปน็ จา� นวนมากนา� หลกั การ (แนวตอบ มีวิธีการลําดบั เนือ้ หาการเขยี นได สา� คญั ของเรอ่ื งมารอ้ ยเรยี งเขา้ ดว้ ยกนั ในขณะทบ่ี างเรอื่ งมกี ารเรยี งลา� ดบั เนอื้ หาตามความสา� คญั ดังนี้ 1. ลําดับจากอดตี สปู จ จบุ ัน 2. ลําดบั ในการอ่านเพื่อบันทึกข้อมูลผู้อ่านจ�าเป็นต้องทราบว่า ผู้เขียนเรียบเรียงข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกัน จากขั้นตอนหรือเหตุการณ 3. ลําดับจาก ในลักษณะใด ท้ังน้ีเพื่อให้สามารถค้นหาความคิดส�าคัญและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ แนวคิดกวา งไปหาแนวคิดทชี่ เี้ ฉพาะลงไป ในเรอื่ งได้ การเรยี งลา� ดับเนอื้ หาในการเขียนมีหลายลกั ษณะ ดงั น้ี 4. ลาํ ดับจากสวนที่ใหญไปหาสว นทเ่ี ล็ก) ● จากแนวคิดในอดีตมาจนถึงปัจจบุ ัน • นักเรียนคดิ วา การลําดับเน้ือหาในการเขยี น ● เรียงตามลา� ดบั ขน้ั ตอนหรอื เหตุการณ์ มีความสําคัญอยางไร และการลําดบั เนอ้ื หา ● เรียงจากความสา� คัญมากไปหาความส�าคัญน้อย ที่ดสี งผลตอ การส่อื สารผานการเขยี นได ● เรยี งจากแนวคดิ ที่ไมซ่ บั ซอ้ นไปหาแนวคิดท่ีซับซอ้ นมากท่สี ุด อยา งไร ● เรยี งจากแนวคิดกวา้ งๆ ทวั่ ไปไปหาแนวคิดทเ่ี ฉพาะเจาะจง (แนวตอบ มีความสําคญั มาก เนอื่ งจากเปน การ ● เรียงจากส่วนท่ีใหญ่ทีส่ ุดไปหาสว่ นทีเ่ ล็กทีส่ ดุ สอื่ สารขอ มูลไดเ ปน ลําดบั และมีความชัดเจน ● เรียงจากตัวปัญหาไปสกู่ ารแกป้ ัญหา และสะทอ นวิธีการลําดบั ความคดิ ไดอยาง ● เรยี งจากเหตไุ ปหาผล ชดั เจนอีกดว ย) ๔. แสดงความคิดเห็นของตนเองขณะบันทึกสาระส�าคัญที่ได้จากการอ่าน ผู้เขียนต้อง นา� เสนอความคดิ เหน็ ทมี่ คี วามเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งทอี่ า่ น โดยมกี ารบนั ทกึ ใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน 2. ครูสมุ นักเรยี นแตละกลุมออกมานาํ เสนอ ว่าขอ้ ความสว่ นใดคอื ส่วนที่ไดจ้ ากการอา่ นและขอ้ ความส่วนใดเป็นความคิดเห็นของตนเอง หนา ชัน้ เรียน 58 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครผู สู อนควรช้แี จงความจาํ เปน ในการตง้ั จุดประสงคในการเขยี นอยา งชัดเจน นกั เรยี นรวบรวมบทความทีม่ กี ารลาํ ดบั เนื้อหาในลักษณะตา งๆ ทม่ี ี นัน้ จะชวยใหงานเขยี นท่ไี ดออกมาเปนระบบระเบียบ ไมวกวนเย่ินเยอ เขาใจงา ย ความแตกตา งกัน พรอ มระบุวธิ กี ารลาํ ดับเน้ือหา บนั ทึกลงในสมุด และเปน ไปตามลําดับขน้ั ดังนนั้ ครูผสู อนตอ งใหผเู รียนต้งั จุดประสงคของการเขยี น และวางโครงเรื่องในการเขียนทุกคร้ัง โดยครูสามารถจัดกจิ กรรมโดยใหค วามสําคญั กิจกรรมทาทาย กับการวางจุดประสงคและโครงเร่อื งในการเขยี นเพม่ิ ข้นึ นักเรยี นคน ควา บทความใดบทความหนึ่ง จากน้นั นักเรียนเขยี นลาํ ดับ เน้อื หาในรปู แบบทมี่ คี วามแตกตา งกนั 2 รปู แบบ บนั ทกึ ลงในสมดุ 58 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain Explore สาํ รวจคน หา นักเรียนศกึ ษาบทความเร่อื ง ปาพรคุ วนเครง็ ตัวอยา่ ง การบนั ทึกความรูจ้ ากการอ่าน อธบิ ายความรู Explain ป่าพรุควนเครง็ 1. นักเรยี นจดั กลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอ ม ป่าพรุควนเคร็ง เป็นป่าพรุท่ียังเหลืออยู่ไม่ก่ีแห่งแล้วในประเทศไทย ในอดีตเคยเป็นพ้ืนท่ี รวมกนั แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ ชุ่มน�้าผืนใหญ่ที่มีระบบนิเวศน้�าผิวดินเช่ือมติดต่อกับทะเล มีความอุดมสมบูรณ์และเอ้ืออ�านวย คาํ ถาม ดังตอไปนี้ ประโยชนต์ ่อการดา� รงชวี ติ ของมนุษย์และสัตว์ แตก่ ารเปลยี่ นแปลงท่ีผ่านมาในรอบ ๑๐ ปี มี • นกั เรยี นคดิ วา เรอื่ ง ปา พรคุ วนเครง็ กลา วถงึ ไฟป่าเกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองปีละกว่า ๑๐๐ จุด และสถานการณ์ทวีความรุนแรงข้ึนเร่ือยๆ โดย ประเด็นใดเปน สําคญั เฉพาะในปี ๒๕๕๕ มีไฟไหม้ป่าพรมุ าแล้ว กวา่ ๑๖๐ จดุ ท�าให้พื้นท่ปี ่าพรุไดร้ ับความเสียหาย (แนวตอบ กลา วถงึ ความสาํ คญั ของ ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ ไร่ ซ่ึงคาดว่าเป็นฝีมือมนุษย์ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีป่าถูกบุกรุก ปาพรคุ วนเครง็ โดยฝีมอื มนษุ ย์มากขน้ึ จนทา� ใหป้ ่าพรถุ กู ท�าลายเสียหายอยา่ งรวดเรว็ • นกั เรยี นคิดวา ผูแตงเรอ่ื ง ปาพรคุ วนเคร็ง เดมิ นนั้ ปา่ พรมุ คี วามสมั พนั ธต์ อ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ของประชาชนทอี่ าศยั อยรู่ อบๆ พน้ื ทบ่ี รเิ วณ มีวัตถุประสงคใ นการสอ่ื สารอยางไร ป่าพรุเป็นอย่างมาก ป่าพรุควนเคร็งจึงมีสถานะเป็น “ป่าชุมชน” เพ่ือการเลี้ยงชีพ ชาวบ้าน (แนวตอบ เพอ่ื ชนี้ ําใหเ ห็นความสําคญั ของ ได้เข้าไปเก็บของป่า หาต้นกระจูด กก ปรือ ย่านลิเภา เพ่ือน�าไปแปรรูปเป็นเส่ือ กระสอบ ปา พรุควนเคร็งและรวมกันอนรุ ักษ) ท�าเครื่องจักสาน เคร่ืองประดับ มีการเข้าไปหาพืชผัก และของป่ามาเพ่ือการบริโภค เช่น บัว • นักเรียนคดิ วา เรอื่ ง ปา พรุควนเครง็ เปน ผกั กูด ลา� เทง็ ยอดพชื ชนิดต่างๆ มกี ารจบั สตั วน์ า้� ด้วยเคร่ืองมอื ท่ที �าขน้ึ เอง เชน่ ไซ ลนั ส่มุ เบ็ด งานเขียนประเภทใด เพื่อนา� ไปบรโิ ภคกันในครวั เรอื น หากจบั ไดเ้ ป็นจ�านวนมากกม็ ีการแบ่งปนั แจกจ่าย หรือขายออก (แนวตอบ บทความ) ใหแ้ ก่เพอ่ื นบา้ น หรืออาจแปรรปู เพอ่ื การบริโภคในโอกาสตอ่ ๆ ไป แตห่ ลังจากที่ปา่ พรถุ กู ท�าลาย • นกั เรียนไดขอ คดิ ใดบางจากบทความเรื่อง ก็สง่ ผลให้รายไดข้ องคนในพน้ื ทลี่ ดลงตามไปด้วย ปาพรคุ วนเครง็ ในรอบ ๑๐ ปีท่ีผ่านมา ยังมีการเปล่ียนแปลงท่ีส�าคัญอีกนั่นคือ การสร้างที่ขวางทางน�้า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น แม้ว่าเป็นการป้องกันการรุกล้�าของน้�าเค็มท่ีจะเข้ามาท�าลายพ้ืนที่การเกษตรได้อย่างมี ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยูก บั เหตุผลของ ประสิทธิภาพ แต่ก็ท�าให้พ้ืนท่ีป่าพรุถูกท�าลายเช่นกันและยังมีปัญหาระดับน้�าลดลงจากการขุด นกั เรยี น คลองชลประทานต่างๆ ท่ีเปน็ การเรง่ ใหน้ า�้ ในป่าพรุระบายออกไปเรว็ ขนึ้ สง่ ผลใหป้ ่าพรเุ สียหาย จากการท่ีป่าพรุเสียหายจากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะส่งผลให้ประชาชน 2. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ มีรายได้ลดลงแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าด้วย โดยท�าให้นกป่าใกล้สูญพันธ์ุและแหล่ง หนา ชน้ั เรยี น เพาะพนั ธส์ุ ตั วน์ า�้ ลดลง อยา่ งเชน่ ปลาดกุ ลา� พนั ทเ่ี คยมอี ยใู่ นปา่ พรเุ ปน็ จา� นวนมาก แตป่ จั จบุ นั นี้ ไดส้ ญู พนั ธไ์ุ ปแลว้ อกี ทงั้ การทป่ี า่ พรเุ ปน็ แกม้ ลงิ เปน็ แหลง่ บา� บดั นา้� เสยี กอ่ นปลอ่ ยลงสทู่ ะเล ดงั นนั้ ความเสยี หายของป่าพรุจึงทา� ใหแ้ หลง่ เกบ็ กักนา้� และบ�าบดั น้า� เสยี ลดลงด้วย สง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มาทง้ั หมดนนั้ หากไมม่ กี ารควบคมุ ทดี่ พี อในเรอ่ื งการบกุ รกุ เขา้ ใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ ในพ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีการฟื้นฟูด้วยการสร้างจิตส�านึกให้แก่ประชาชนทุกระดับสาขา 59 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’49 ออกเก่ยี วกบั การใชภ าษาในการเขยี นเรยี บเรยี ง ครูผูสอนควรช้แี นะนกั เรียนเกยี่ วกับการรบั สารจากการอานและการฟงวา ผูอา น ขอ ความตอ ไปนใี้ ชวธิ กี ารเขียนตามขอ ใด หรือผูฟงควรจบั ประเด็นและสรุปความจากเร่ืองหรอื ขอความท่ีไดอานหรือฟง ถา เรารจู ักเทคโนโลยคี น หาความรู จัดการขอมูลไดท กุ เวลา ก็สรางมูลคา นอกเหนือไปจากคําสําคญั แลว นกั เรยี นควรจับประเดน็ สําคญั หรือความคิดสาํ คญั ของเร่อื ง (main idea) ซึ่งประเด็นสําคัญนี้จะชว ยใหผอู า นสามารถสรุปเน้อื หาจาก เพ่ิมใหต ัวเองได การอานหรือการฟงไดอ ยางถูกตองเหมาะสม ซ่ึงเปน หลกั การสาํ คญั ในการเขียน 1. เปรยี บเทียบขอ ดีขอเสีย สรปุ ความ ฉะนัน้ เมอ่ื นักเรยี นอานเร่อื งเดียวกันแลวมีความเขา ใจแตกตางกนั จะ 2. ใชภาษาเราใจ ทําใหก ารสรปุ ความแตกตางกันไปดว ย 3. ใชเ หตผุ ล 4. อา งอิงหลักฐาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. ใชเหตผุ ล เนอื่ งจากขอ ความท่ยี กมาขา งตน มกี ารใชส ันธานเช่ือมแสดงความเปน เหตเุ ปน ผลท่ีคลอยตามกัน คอื ใชค ําวา ถา...ก็ คมู ือครู 59
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรยี นนาํ องคค วามรทู ไี่ ดจ ากกจิ กรรมการอา น อาชีพใหรูสึกหวงแหนและรวมมือกันอนุรักษพ้ืนท่ีปาพรุควนเคร็ง อาทิเชน ลดการเผาปาลง เรื่อง ปาพรุควนเคร็ง มาเขยี นบันทกึ ความรจู าก รวมกันปลูกปาตนนํ้า เคารพกฎหมายอยางเครงครัดและรัฐเอาจริงเอาจังในเร่ืองการถือครอง การอานดว ยสํานวนภาษาของนกั เรียน โดยครู ที่ดนิ เปน ตน กย็ ากทีจ่ ะทําใหป าพรคุ ืนความอดุ มสมบูรณกลบั คนื มาดงั เดมิ ได ยดึ รปู แบบการเขยี นตามทปี่ รากฏในหนงั สอื เรยี น หนา 60 ตัวอยา ง การบันทกึ ความรูจากการอา น แหลงการอา น หอ งสมดุ โรงเรยี น 2. ครูสมุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมานําเสนอ ชอื่ หนังสือทอ่ี า น GAT on Demand หนาชนั้ เรียน ชื่อเรือ่ ง ปา พรุควนเครง็ ผแู ตง ไมป รากฏชอ่ื 3. นักเรยี นคดั เลือกงานเขยี นประเภทบทความ ความรูท ่ไี ดจากการอา น ทน่ี กั เรียนประทับใจ จากส่อื สิง่ พมิ พประเภท ปาพรุควนเคร็ง เปนปาพรุท่ียังเหลืออยูไมกี่แหงในประเทศไทย ปาพรุมีความ ตา งๆ รวมถึงสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส จากนนั้ นกั เรียน สัมพันธตอการดําเนินชีวิตของประชาชนท่ีอาศัยอยูรอบๆ เปนแหลงอาหารและการหาเล้ียงชีพ เขียนบันทกึ ความรูจากการอาน โดยพิจารณา แตเนื่องจากปาถูกบุกรุกโดยฝมือมนุษยมากข้ึน สงผลใหประชาชนมีรายไดลดลงและสงผล รปู แบบจากหนังสอื เรียนหนา 60 พรอ มสรปุ ขอมูลในรูปผงั มโนทศั นประกอบการอธบิ าย ตรวจสอบผล Evaluate กระทบตอสตั วป า เชน นกปาใกลส ญู พนั ธุ แหลง เพาะพนั ธุสตั วน ้าํ ลดลง รวมถงึ แหลงเกบ็ กักน้าํ และบําบัดน้ําเสียลดลงดวย หากมีการควบคุมในเร่ืองการบุกรุกปา จะชวยใหปาพรุคืนความ 1. นกั เรยี นสามารถสรุปแนวทางการเขยี นบนั ทึก อดุ มสมบรู ณไดด งั เดิม ความรูจากการอา นได นอกจากน้ผี ูบนั ทึกยงั สามารถสรุปความรูเ ปนแผนผังมโนทัศนไ ด เชน 2. นกั เรียนสามารถเขียนบนั ทึกความรูจากการ ออกปกลฎูกหจิตมสาํายนึก แนวทางแกไ ข ประโยชน แหลแงอหาลหงาอราชีพ อา นงานเขยี นประเภทตางๆ ได ลดการเผาปนนา้ํา บําบเกัด็บน้ํากักน้ํา เสีย ขวางทางน้ําง ักกเก็บ ํน้า ป ูลกปา ต 3. นกั เรียนสามารถยกตัวอยางบทความท่นี กั เรยี น ขุดคลองชลประทาน ประทับใจจากส่ือประเภทตางๆ ทง้ั สื่อส่ิงพิมพ ํจานว และสื่ออิเล็กทรอนิกส พรอ มเขียนบันทกึ ความรู ตุก จากการอา นบทความประเภทตางๆ ได ป ระชาชนขาดรายได น ปาพรุควนเครง็ สาเห ารลดจาํ นวน ไฟปา สตั วป า สญู พนั ธุ ผลของการลด ส่ิงกอสรากงาทรี่ บุกรุก ไมม แี หล ๖๐ เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครเู พิม่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเก่ียวกับการเขียนแผนผงั มโนทัศน (Mind maps) นกั เรียนคนควา บทความเร่ืองใดเรอ่ื งหนง่ึ จากนั้นนักเรยี นเขียน เปน เทคนคิ การจดบนั ทกึ โดยใชส มองทง้ั สองซกี พัฒนาข้ึนโดย โทนี บซู าน ซ่งึ เปน ผังมโนทัศนจากบทความ บนั ทึกลงในสมุด นกั จิตวทิ ยาชาวอังกฤษ หลกั การพนื้ ฐานของผงั มโนทศั น คอื การใชภาพ สัญลกั ษณ คําหรือวลีสั้นๆ สสี ันทม่ี คี วามหลากหลายและโครงสรางทม่ี คี วามหลากหลายกระจาย กิจกรรมทา ทาย ออกจากศนู ยก ลาง เพื่อแสดงความคิดทีส่ ัมพันธกนั และแสดงความความสัมพันธท ี่ ลดหล่ันกนั ไปตามลาํ ดบั แผนผงั ความคดิ ทเ่ี กิดจากการถา ยทอดความคดิ หรอื ขอ มลู นักเรียนนําผงั มโนทัศนเ รอื่ งใดเรอื่ งหนึง่ มาแลกเปล่ียนกนั จากนน้ั ตา งๆ โดยการใชภ าพ สี เสน และการโยงใยแทนการจดบนั ทกึ ทั่วไป เพอ่ื แสดงการ นักเรียนเขยี นขยายความจากผังมโนทัศนทีแ่ ลกเปลย่ี นกบั เพือ่ นของนกั เรยี น เชอ่ื มโยงของขอมลู ตางๆ ซง่ึ งา ยแกการเขาใจและจดจํา บนั ทึกลงในสมดุ หลกั การเขยี นแผนผังมโนทศั นใหม ปี ระสทิ ธิภาพ มีรายละเอยี ด ดงั น้ี แผนผัง มโนทัศนเปนการนําความคิดความเขา ใจทไี่ ดจ ากการสังเกต การอา น การวเิ คราะห และนํามาจัดกลมุ หรอื ประเภทขอมลู ไวด ว ยกนั โดยอาศัยคณุ ลักษณะรวมกันเปน เกณฑ เพอื่ แสดงความสมั พันธอยางมีระบบเปนลําดบั ขนั้ ตอน 60 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การเขยี นบนั ทึกความรจู้ ากการฟงั ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตอไปน้ี • นักเรียนคิดวา ในชีวิตประจาํ วนั ของนกั เรียน นกั เรยี นมีวธิ ีการรบั สารดว ยวธิ กี ารใดมาก มนุษย์อาศัยการฟังเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ต้ังแต่การฟังและเลียนเสียงพูดของพ่อแม่ ทีส่ ดุ ในวัยเด็ก จนถึงการฟังในกระบวนการส่ือสารท่ีซับซ้อนข้ึนเม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การฟังช่วยให้ • นกั เรียนคดิ วา นักเรียนมวี ธิ กี ารทําความ การเรียนรู้ของมนุษย์ขยายวงกว้างขวาง ท้ังเพ่ิมเติมและสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยวิธีการอ่านและ เขา ใจขอมูลขาวสารที่มคี วามหลากหลายนี้ อื่นๆ จากการศึกษาปริมาณการฟังของมนุษย์ท่ีใช้แต่ละวัน พบว่ามนุษย์ใช้เวลาไปกับการฟัง อยา งไร มากกวา่ ทกั ษะอื่นๆ • นกั เรียนคิดวา นักเรียนมวี ธิ ีการใดหรอื ไม ทจ่ี ะชว ยใหน ักเรียนสามารถจดจาํ ขอ มลู จาก ๑) ลกั ษณะของการฟงั การฟงั สารมหี ลายลกั ษณะ แตกตา่ งกนั ไปตามการฝกึ ฝนของแตล่ ะ การฟงไดดียิง่ ข้นึ บุคคล ประสิทธิภาพในการฟังของแต่ละบุคคลยังแตกต่างกันอีกด้วย ซ่ึงพิจารณาได้จากลักษณะ (แนวตอบ การรับสารดวยการฟง เชน การ ของการฟงั ดว้ ยความไม่สมคั รใจ การฟังด้วยความสมัครใจ และการฟงั ท่ีเปน็ นิสยั สนทนากับคนใกลช ิดหรือการรับฟงขา วสาร ๑.๑) การฟังด้วยความไม่สมัครใจ เป็นพฤติกรรมการฟังที่มีประสิทธิภาพในระดับ เหตุการณตา งๆ หรือการฟงและดสู ือ่ ซึ่ง น้อย ผูฟ้ ังอาจจะถกู บังคบั ใหฟ้ งั หรือจา� ใจฝนื อารมณฟ์ งั เรอื่ งที่ตนไม่สนใจ ไม่เหน็ คณุ คา่ สาระของ สารที่ฟัง อาจเป็นการฟังเพ่ือรักษามารยาท เช่น เด็กวัยรุ่นฟังพระเทศน์ เด็กวัยรุ่นจะฟังอย่าง ไม่สนใจเพราะถกู บงั คบั หรอื อยู่ในภาวะจา� ยอมท่ีตอ้ งฟัง ลักษณะการฟงั เชน่ นี้ ผูฟ้ งั จะไมต่ งั้ ใจฟัง วธิ ีการจดบนั ทึกจะชวยใหนักเรยี นจดจาํ ไม่มีสมาธิหรอื จิตใจท่ีจะจดจ่อตอ่ สารท่ีฟงั ทา� ให้รับสารได้ไมค่ รบถ้วน เป็นการฟังทบ่ี กพรอ่ ง และ ขอ มูลขา วสารไดมากข้นึ ) ผ้ฟู ังจะเสยี เวลาฟงั ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ ๑.๒) การฟังด้วยความสมัครใจ เป็นการฟังท่ีมีประสิทธิภาพในระดับสูงข้ึน ผู้ฟังถูก สาํ รวจคน หา ชักจูงโนม้ นา้ วใหฟ้ ังด้วยความเต็มใจ มคี วามสนใจท่ีจะรบั สารและเกิดความต้องการที่จะฟงั จิตใจ Explore จดจอ่ ต่อสารที่ฟงั จงึ ได้รบั ประโยชน์จากการฟัง อย่างไรก็ตามประสิทธภิ าพการฟงั จะเพิม่ มากขนึ้ ถ้าผฟู้ งั จดบันทกึ สารทฟ่ี ัง และน�าไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในชวี ิตหรอื ในการทา� งาน นกั เรียนสบื คน ขอ มลู เก่ยี วกบั การเขียนบนั ทึก ความรูจากการฟง ดังนี้ 1. ลกั ษณะของการฟง ๑.๓) การฟังเป็นนิสัย เป็นการฟังที่มีประสิทธิภาพในระดับสูงซ่ึงทุกคนควรพัฒนาให้ 2. การจดบันทกึ ความรูทไ่ี ดจากการฟง เกิดข้นึ จนเป็นนิสยั โดยเรียนรูแ้ ละฝกึ ฝนอย่างสมา่� เสมอ กลา่ วคือฟงั โดยไม่ต้องบังคบั หรอื ฝืนใจฟงั 3. แนวทางการเขียนบนั ทึกความรจู ากการฟง ฟังเป็นกิจวัตร โดยไม่ค�านึงว่าเป็นเรื่องพูดที่ใช้วาทศิลป์ดีเยี่ยม หรือเป็นเร่ืองท่ีเคยฟังมาแล้ว การมีนิสัยชอบติดตามฟังเร่ืองราวข่าวสารต่างๆ อย่างสม่�าเสมอส่งผลให้เป็นคนรอบรู้ ผู้ท่ีมีนิสัย อธบิ ายความรู Explain รักการฟัง แสวงหาโอกาสท่ีจะฟังเป็นนิจ จะทันโลกทันเหตุการณ์ และได้รับประสบการณ์อย่าง นกวสิ า้ัยงพขนื้วาฐงานสทา�ามใาหร้บถคุนค�าลมเาปใช็น้เป“พ็นหปูสระตู โ”1ยชคนอื ์ใเนปกน็ าผรแฟู้ กงั ้ปมญัากหราู้มตา่ากงๆ ได้ดี อาจกลา่ วได้ว่าการฟงั ทเ่ี ปน็ 1. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปน้ี • นกั เรยี นคิดวา ความพรอ มของผฟู ง สง ผลตอ ๒) การบันทึกความรู้จากการฟัง การฟังและการจดบันทึกเป็นของคู่กัน บันทึกคือ วธิ ีการบันทกึ ความเขา ใจดว ยการเขียน ผลของการสื่อสารระหว่างผู้บรรยายกับผู้ฟัง ค�าบรรยายเป็นเสมือนค�าสนทนาของผู้พูดกับผู้ฟัง หรอื ไม อยางไร ผู้สอนกับผู้เรียน ผลการสนทนาจะประสบผลส�าเร็จเพียงใด ดูได้จากบันทึกที่จด หากผู้ฟังหรือ (แนวตอบ ความพรอมดา นอารมณร วมถึง ผู้เขียนเข้าใจเรื่องท่ีฟังได้ดีบันทึกย่อมดี การฟังให้เข้าใจได้ดีนั้นข้ึนอยู่กับองค์ประกอบหลาย ความสนใจตอเน้ือหาของผฟู ง ยอมสงผล ประการ เช่น ความสนใจในเรือ่ งท่บี รรยาย รปู แบบของการบรรยาย ความพรอ้ มของผฟู้ ัง ตอ การเก็บขอมูลเน้ือหาที่ไดจากการฟง ตลอดจนบุคคลท่มี คี วามสนใจตดิ ตามขอ มลู 61 ขาวสารอยางสมา่ํ เสมอยอ มพฒั นาทกั ษะการ ฟง ไดด ยี งิ่ ขึ้น) 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู กอนท่ีจะเขียนบนั ทึกความรจู ากการฟงและการอานน้ัน นักเรียนจะตอง ครเู พม่ิ เตมิ ความรูค วามเขา ใจเก่ยี วกบั สาเหตหุ รือปจ จยั การนาํ มาซึ่งการฟง ปฏิบตั ใิ นขอ ใดกอ น ดวยความไมสมคั รใจอาจเกดิ จากสาเหตุ ดงั ตอไปนี้ 1. ศึกษาขอ มูลเกีย่ วกบั เรื่องทอ่ี า น 1. ไมตรงกบั เพศ วัย อาชีพ สถานภาพ 2. จบั ใจความสําคัญของเรื่องทอ่ี า น 2. อาจจะเปน เร่อื งที่ขดั กับหลักศลี ธรรมจรรยาหรือวฒั นธรรมความเช่อื ดงั้ เดมิ 3. มวี ิธกี ารบนั ทกึ ทีเ่ ปน ระบบ 3. เปน เร่อื งท่ีไมไ ดอยใู นความสนใจ ความใครร ู 4. เขียนบนั ทึกดวยถอ ยคาํ ของตนเอง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. จับใจความสําคัญของเรื่องที่อา น เพราะถือ นักเรียนควรรู เปนการทําความเขาใจเนอ้ื ของเรอ่ื งทฟ่ี ง ถือวา มีความสาํ คญั ยง่ิ ตอการเขยี น 1 พหสู ูต แปลวา การเกิดของปญ ญา พหูสตู มี 5 ระดบั ผูที่เปนพหูสูตจะตอ งทํา บนั ทกึ ความรทู ้ังจากการฟง และการอา น ถงึ 5 ข้ัน ดงั นี้ ข้ันที่ 1 พหูสสุตา แปลวา ฟง มาก ข้นั ท่ี 2 ธตา แปลวาจําได ข้ันที่ 3 วจสาปรจิ ิตา แปลวา ทองใหคลองปาก ข้นั ท่ี 4 มนสานเุ ปกขิตา คอื เพงจนขนึ้ ใจ จนสามารถสรา งภาพพจนข ้นึ ในใจ ขัน้ ท่ี 5 ทิฏฐยิ าสฏิวทิ ธา แปลวา ขบใหแตกดว ย ทฤษฎี คมู ือครู 61
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นรว มกันระดมความคิดดวยการตอบ นอกจากเรอื่ งการฟงั แลว้ ผเู้ รยี นจะตอ้ งรวู้ ธิ กี ารบนั ทกึ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ คอื รแู้ นวทาง คาํ ถาม ตอไปนี้ และวธิ ีการบนั ทกึ • นกั เรยี นคิดวา นักเรยี นมวี ิธีการเขียนบนั ทึก ความรูจากการฟง อยา งไร ๓) แนวทางการบนั ทกึ ความรจู้ ากการฟงั สมดุ บนั ทกึ เปน็ สงิ่ หนงึ่ ทม่ี คี ณุ คา่ ในการเรยี นรู้ (แนวตอบ นักเรียนตองจดบนั ทกึ ใหครอบคลมุ ผบู้ นั ทกึ ควรมแี นวทางการบนั ทกึ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การบนั ทกึ อาจแยกเปน็ การจดบนั ทกึ กบั การ ทกุ ประเดน็ ลาํ ดับความดวยวธิ กี ารเชอื่ มโยง เขียนบันทกึ โดยทัง้ สองลกั ษณะมีวธิ ีการท่ีคลา้ ยคลึงและแตกตา่ งกนั ขอความใหม ีความตอเนอื่ ง และสามารถ ๓.๑) การจดบันทกึ คอื การเขยี นขอ้ ความที่ได้จากการอ่าน ฟงั ดู อย่างยอ่ ๆ เพ่อื ให้ ลาํ ดบั ความคิดไดอยางเปนระบบไมม ีความ รู้เรอื่ งเดมิ สามารถกลบั ไปทบทวน หรอื คน้ ควา้ เพ่มิ เติมได้ภายหลัง โดยมีแนวทาง ดังน้ี สบั สน รวมถงึ ใหความสาํ คญั กับรายละเอยี ด ทน่ี กั เรยี นไมค นุ เคย หลงั จากจดบนั ทึกความรู ๑. พจิ ารณาแหลง่ ขอ้ มลู ผบู้ นั ทกึ ตอ้ งทราบวธิ กี ารเขา้ ถงึ หรอื การคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากการฟง เสร็จในแตล ะประเดน็ นักเรียน ทตี่ นเองตอ้ งการ ทง้ั ดา้ นความถกู ตอ้ ง ความนา่ เชอื่ ถอื ความละเอยี ด และความทนั สมยั ของขอ้ มลู ควรทบทวนความรูจากการจดบนั ทกึ ทันที โดยเฉพาะอยางย่งิ เมื่อจบการฟง โดยใชเวลา ๒. การจดบนั ทกึ จากการฟงั ควรจดบนั ทกึ เฉพาะใจความสา� คญั หรอื ประเดน็ หลกั ส้นั ๆ เพียง 5 นาที เพ่อื ใหส ามารถจดจํา ของเรือ่ ง ไม่ควรจดบนั ทกึ ทกุ เร่อื งทกุ คา� เพราะจะท�าใหไ้ มส่ ามารถจดบันทึกไดท้ ัน ดงั นั้น ผฟู้ ังจงึ เรื่องราวทีไ่ ดฟงและจดบนั ทึกได) ควรฟังและคิดพจิ ารณาใหด้ ีก่อนวา่ เนือ้ ความใดควรจดบันทกึ เมือ่ ฟงั จบแลว้ ก็ควรกลับมาอ่านและ • นักเรียนบอกวธิ กี ารท่ีชวยใหน กั เรียนสามารถ เติมบนั ทกึ จากการฟงั ใหม่ให้ถูกตอ้ งครบถ้วนกอ่ นที่จะลมื จดบนั ทึกไดอยา งรวดเรว็ และสามารถ จดบันทึกไดค รบถวนทกุ ประเดน็ ๓. การจดบันทึกจากการฟัง ผู้ฟังอาจจดเป็นค�าย่อ หรือเคร่ืองหมายแทนได้ (แนวตอบ จดบันทกึ ดว ยภาษาของตนเอง ชวย เพ่ือความรวดเร็ว และควรใช้อยา่ งสม�า่ เสมอจนคนุ้ เคย เชน่ ก.ม. หมายถงึ กฎหมาย ฿ หมายถงึ ในการทําความเขาใจ รวมถงึ ชวยในการจดจาํ บาท (ค่าเงนิ ) เปน็ ต้น หากจดบนั ทึกไมท่ ัน ผู้จดบนั ทึกควรใช้เคร่อื งหมาย ? แทนลงในขอ้ ความ เนอ้ื หาทไี่ ดจากการฟง กําหนดคาํ ยอ ในการ เพือ่ เตอื นความจา� เม่อื ฟงั จบแลว้ อาจสอบถามจากผพู้ ูด หรอื ผฟู้ งั คนอื่นๆ บันทึก ซึ่งคํายอทน่ี กั เรยี นใชใ นการบนั ทึกนั้น จะตอ งเปนระบบเดยี วกัน เพอ่ื ปอ งกันความ ๔. การจดบันทึกจากการฟงั ผูฟ้ งั ควรบนั ทึกรายละเอยี ดตา่ งๆ ให้ครบถว้ น เช่น สับสน เรียงลําดบั เน้อื หา พรอมบันทึกอยางมี รายละเอียดเกีย่ วกบั ผูพ้ ูด สถานท่ีพูด เวลาทพี่ ูดทั้งเวลาเริม่ ตน้ และเวลาจบ เนื้อหาสาระในการพูด เหตุผล ถาจดไมทันควรขามไปกอ น พรอมใส และช่ือผู้จดบันทึก โดยอาจบันทึกลงในบัตรบันทึกข้อมูลที่ท�าจากกระดาษแข็ง หรือกระดาษท่ีมี เครื่องหมายปรัศนี) ความหนาพอสมควร ใหม้ ขี นาด ๓ × ๕ นิว้ , ๔ × ๖ นิ้ว หรอื ๕ × ๗ น้วิ 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ตัวอย่าง รูปแบบการจดบนั ทึกจากการฟงั ผพู้ ดู ............................................................................ เรอื่ ง............................................................................................................ สถานทพี่ ดู ..................................................................................................................................................................................... ท่ีพดู เมื่อวนั ............................................................. เดือน................................................................... ปี................................. เวลาเริ่ม...................................................น. เวลาสิน้ สดุ ...................................................น. รวมเวลา................................ ผจู้ ดบนั ทึก...................................................................................................................................................................................................................... ......................(..เ.น...้ือ...ห....า..ท...บ่ี ...นั ...ท...ึก...)........................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ หมายเหตุ ........................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ 62 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT การจดบนั ทึกจากการฟง ในขอใดมคี วามสําคัญทสี่ ดุ ครเู พม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการวเิ คราะหข อ เทจ็ จรงิ จากเร่ืองที่ฟง 1. จดบนั ทกึ คําพดู ของผูพูดทุกถอยคํา โดยขอ เทจ็ จริง (fact) หมายถึงขอมลู เหตุการณหรือเรอื่ งราวที่สามารถพสิ จู น และ 2. จดบนั ทึกเฉพาะประเด็นสาํ คญั เทานนั้ สามารถระบุไดอ ยางชัดเจนวา เปน เรอื่ งจริงหรอื เทจ็ โดยไมนาํ ทศั นคตสิ วนบุคคล 3. สรปุ ใจความสาํ คัญจากเรอื่ งทฟ่ี ง แลว จดอยางรวดเร็ว เขามาเก่ยี วของ การรบั สารควรใหค วามสําคญั กับความถูกตอ งของขอ เทจ็ จริง 4. จดบันทกึ เฉพาะเรือ่ งทต่ี นสนใจหรอื เขา ใจอยางละเอียด สวนการวิเคราะหขอ คิดเห็น (opinion) เปนขอ มูลจากความรสู กึ นกึ คิด และทัศนคติ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. สรุปใจความสําคัญจากเรื่องทฟี่ ง แลวจด ของบคุ คล ซ่ึงมีความแตกตา งกนั ไป อยางรวดเรว็ เปนการจดบันทกึ ขอมลู จากการฟง ทถ่ี ูกตอ งที่สุด เพราะ ผูจ ดบนั ทกึ ควรสรปุ ประเด็นสําคญั ท่ไี ดจ ากการฟง และจดบนั ทึกจากความ การพจิ ารณาทศั นคติของผรู บั สารนนั้ ชวยใหผูรับสารสามารถขยายโลกทศั น เขา ใจของตนเอง จึงจะไดขอมลู และองคค วามรูครบถวน และมุมมองตอ สิง่ ตางๆ ใหกวางขวางยงิ่ ขึน้ ชวยใหม มี มุ มองทหี่ ลากหลาย นกั เรยี นสามารถนาํ มมุ มองดงั กลาวมาขยายในการพจิ ารณาสภาพสงั คมวฒั นธรรม รวมถงึ ส่ิงทีแ่ วดลอ มรอบๆ ตนเองได 62 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒) การเขียนบันทึก คือ การเขียนบรรยาย พรรณนาเกี่ยวกับประสบการณของ 1. นักเรยี นรวมกันระดมความคิดดว ยการตอบ ผบู นั ทึก เชน บันทกึ ประจาํ วัน หรอื อนุทนิ บนั ทึกการเดนิ ทางทองเท่ยี ว เปน ตน โดยมแี นวทางท่ี คาํ ถาม ตอ ไปน้ี จะชว ยฝก ฝนใหผูเ ขียนมคี วามชํานาญ ดังนี้ • ขอควรคาํ นงึ ในการบนั ทึกความรจู ากการฟง ประกอบดว ยประเด็นใดบา ง อยางไร ๑. ใหความสนใจ ใสใจรายละเอียดกิจวัตรในชีวิตประจําวันของตนเอง รวมถึง (แนวตอบ นกั เรยี นควรคํานึงถงึ เนอื้ หาท่ไี ดร ับ เหตกุ ารณระหวางวนั ท่นี าสนใจ จากการฟง เปน หลัก โดยควรจบั ประเดน็ จากการฟงใหมคี วามครอบคลุม และจับ ๒. ใชความรู ความเขาใจเก่ยี วกบั ยอหนาในการเรยี บเรียง โดยกําหนดแนวคดิ ประเดน็ สําคญั ทน่ี ักเรยี นไดฟงอยางเดน ชดั วาวันน้ีจะเขียนเก่ยี วกับเร่อื งอะไร รวมถึงควรใชภาษาท่มี ีความกระชบั รัดกุม นอกจากนี้ นักเรียนควรมคี วามเขา ใจเนอ้ื หา ๓. เรียงลําดับสิ่งที่เกิดข้ึนตามขอเท็จจริง ความสมเหตุสมผล เพราะการเรียง ท่ีนักเรียนจดบันทกึ ดวยการใชสาํ นวนภาษา ลําดับท่ีดีจะชวยใหผูอานบันทึกติดตามเรื่องตอไปจนจบ ดวยความสนใจใครรู หากบันทึกมี ของตนเอง) มากกวา หนงึ่ ยอ หนา ผเู ขียนจะตองเช่อื มโยงแตล ะยอ หนา ใหสอดคลองกนั 2. นักเรียนรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น ๔. ภาษาท่ีใชใ นการบนั ทกึ ควรเปน ภาษาทเ่ี ขา ใจงา ย สอ่ื ความชดั เจน สอดคลอ ง ตอไปน้ี กลมกลนื เปน ระดบั เดียวกนั • นักเรียนคิดวา หากนกั เรียนสามารถจบั ประเดน็ จากการฟง รวมถึงนกั เรยี นมีทกั ษะ จะเห็นวา การจดบันทึกและการเขยี นบนั ทึกมีความแตกตา งกัน กลา วคือ การจดบนั ทึก ในการจดบนั ทกึ จากการฟงไดดนี น้ั จะสงผล เปน การบนั ทกึ เฉพาะใจความสาํ คญั ของสงิ่ ทไ่ี ดอ า น ไดฟ ง ไดด ู แตก ารเขยี นบนั ทกึ เปน การเขยี นเพอ่ื ตอ ตัวนักเรียนอยา งไร เลาเรื่อง ดังน้ัน ขอความจึงมีลักษณะของการบรรยาย พรรณนาใหเห็นภาพ จึงปรากฏทั้งสิ่ง (แนวตอบ ผูที่มที ักษะในการจดบันทึกจาก ทีเ่ ปนใจความ และรายละเอียดปลีกยอยอน่ื ๆ การฟงไดสมบรู ณหรือสามารถจดบันทกึ ไดครอบคลุมทุกประเดน็ นนั้ มักจะเปนผูท ่ี สอบไดค ะแนนดี เน่ืองจากมีความจาํ ดแี ละ สามารถจับประเดน็ เน้ือหาทเี่ รยี นไดเปน อยา งดี รวมถึงนักเรยี นสามารถนําทกั ษะการ จับประเด็นจากการฟงดังกลาวไปใชใ นชวี ติ ประจําวนั ชวยใหนักเรยี นสามารถทําความ เขา ใจขอ มูลขาวสารทีม่ ีความหลากหลายได เปน อยางดี) 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ▼ การฟง ทด่ี ตี อ งรจู กั สรปุ ใจความสาํ คญั ใหเ ปน และจดบนั ทกึ สงิ่ ทไี่ ดจ ากการฟง ควบคไู ปดว ยเพอ่ื สะดวกในการศกึ ษาคน ควา ภายหลงั ๖๓ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ยี วกบั ประเด็นสําคญั จากขอความ ครเู พิม่ เตมิ ความรูค วามเขาใจเกย่ี วกับทกั ษะการจดบันทึกจากการฟง ในขณะ ผกู ลา วขอความตอไปนเี้ นน เรือ่ งใดเปนสําคัญ ท่ีนกั เรียนรับฟงเน้ือหาหรอื เรื่องราวตา งๆ นั้น นักเรียนไมสามารถทาํ ความเขาใจ “ขอใหพ วกเรามีความเขม แข็งทจ่ี ะกระทาํ เรอ่ื งทส่ี มควรกระทาํ มคี วาม เนอื้ หาสาระตางๆ ไดค รบถวนทุกถอยคํา โดยเฉพาะอยางยง่ิ การฟง เรอื่ งราวทใ่ี ช ระยะเวลายาวนานหลายชว่ั โมง อดทนและเขา ใจเร่ืองทเ่ี ราไมส ามารถเปลีย่ นแปลงได และมีความฉลาดพอท่ี จะแยกแยะไดว า เรื่องใดเราจะทาํ ได หรือเรื่องใดเหนือความสามารถท่เี ราจะ เพือ่ ใหเกดิ ความชดั เจนดา นเนอ้ื หาสาระจากการฟง อยา งครบถวน การจดบนั ทกึ เปลยี่ นแปลงได” จงึ เปน วธิ ีการชว ยจบั ใจความสําคัญจากการฟง ไดเ ปนอยา งดี นอกจากการจดบันทึก จะชว ยเตือนความจาํ แลว การจดบนั ทกึ ยงั ชวยใหน กั เรียนมีสมาธิในเร่ืองที่ฟง และ 1. พลังและความสามารถ เขา ใจเร่อื งราวท่ีมีความเช่ือมโยงกนั จากเร่ืองทร่ี บั ฟง อกี ดว ย 2. ความมงุ ม่ันและสตปิ ญญา 3. เรอื่ งท่ีควรกระทําและไมค วรกระทาํ การจดบนั ทึกน้ันควรบันทกึ ดว ยขอความส้ันๆ เพื่อใหน ักเรียนสามารถจดจํา 4. เรื่องท่ีเปลีย่ นแปลงไดแ ละเปลี่ยนแปลงไมไ ด ประเด็นตา งๆ ได หรืออาจเขยี นเปนตารางหรอื แผนภาพโครงเร่ืองอยางคราวๆ เพอ่ื ใหร วู า สว นใดเปน ประเดน็ ใหญแ ละประเดน็ ยอ ย เมอ่ื ฟง บรรยายจบ ควรนาํ บนั ทกึ ยอ ย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ความมงุ ม่นั และสติปญญา เพราะขอ นม้ี ี มาเรยี บเรียงใหม และเขียนสรุปความอีกครัง้ หนึ่ง เพื่อทบทวนเนื้อหาที่ฟงไป และ สามารถอานทบทวนเนื้อหาไดอ ีกครง้ั เนือ้ หาครอบคลุมขอความทั้งหมดที่กลาวมา สามารถพิจารณาจากขอความ ไดดงั ตอไปน้ี ความมุง ม่ัน จากขอความที่วา “มีความเขมแขง็ ท่ีจะกระทาํ เร่อื ง คูมอื ครู 63 ทีส่ มควรกระทํา มคี วามอดทนและเขา ใจเรื่องท่ีเราไมสามารถเปล่ียนแปลง ได” สวนสติปญญานนั้ สังเกตจากขอ ความที่วา “ความฉลาดพอที่จะแยกแยะ ไดว า เรอื่ งใดเราจะทําได หรือเร่ืองใดเหนอื ความสามารถทีเ่ ราจะเปลยี่ นแปลง ได” ขอที่ 2. จงึ เปนคําตอบทคี่ รอบคลุมเนื้อหามากที่สุด
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นศึกษาบทวทิ ยกุ ระจายเสียงทางสถานี ตวั อยา่ ง การเขยี นบันทึกความร้จู ากการฟงั วทิ ยุ รายการปา สวยนาํ้ ใส เรื่อง วิกฤตสตั วป าเมอื ง ข้อความทอี่ า่ นกระจายเสียงทางสถานีวทิ ยุ รายการปา่ สวยน�้าใส ไทย โดยครูสมุ นกั เรยี น 1 คน ออกมาอา นบทวิทยุ ใหเพอื่ นฟง เรอ่ื ง วิกฤตสัตวป์ ่าเมืองไทย ในขณะที่เวลาผ่านไปทุกๆ หน่ึงนาที โลกของเราจะสูญเสียพ้ืนท่ีป่าไม้เป็นจ�านวนเท่ากับ อธบิ ายความรู Explain สนามฟุตบอลจ�านวน ๓๗ สนาม ถ้าค�านวณแล้วปรากฏว่า ในหนึ่งปีเราจะเสียพ้ืนที่ป่าไม้ เท่ากับพ้ืนท่ีของประเทศลาวและเขมรรวมกัน ในขณะท่ีป่าไม้ถูกท�าลายไป ถิ่นที่อยู่อาศัยของ 1. นักเรียนบนั ทกึ ความรูจ ากการฟงภายในระยะ สัตว์จ�านวนมากก็ถูกท�าลายไปด้วย ส่งผลให้สัตว์ป่าหลายชนิดมีจ�านวนลดลงอย่างน่าวิตก เวลา 10 นาที บางชนิดก็สูญพันธุ์จากโลกนี้ไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนท่ีสุด คือ การสูญพันธุ์ของสมัน ในอดีตเคยพบอย่างชุกชุมในบริเวณพื้นท่ีราบภาคกลางของประเทศไทย แต่ปัจจุบันเราจะ 2. นกั เรียนรวมกันสรปุ ความรคู วามเขาใจดว ยการ พบเห็นเขาท่ีสวยงามของมันอยู่ตามฝาผนังของนักสะสมของหายาก อีกตัวอย่างหน่ึงคือ ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ในระยะเวลา ๑๐๐ ปี ท่ผี ่านมาเราสญู เสยี เสอื โคร่งไปแลว้ ๙๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ของประชากรท่ีเคย • นกั เรียนคดิ วา เร่อื ง วกิ ฤตสัตวปาเมอื งไทย มีอยู่ในอดตี ปัจจุบนั ทั่วท้งั โลกเหลอื เสือโครง่ เพียง ๕,๐๐๐ ตวั นอกจากน้ยี ังมีสัตว์อีกหลายชนดิ ท่ีนกั เรียนไดฟ ง มเี น้ือหากลาวถึงประเด็นใด ทอี่ ยใู่ นข้ันวกิ ฤตเชน่ เดยี วกับเสอื โคร่ง บาง อยางไร (แนวตอบ กลา วถึงปญ หาเก่ยี วกับการสูญพนั ธุ ประเทศไทยก็ประสบปัญหาป่าไม้ถูกท�าลายอย่างหนักในช่วง ๒ ทศวรรษท่ีผ่านมา ของสัตวป าเมอื งไทย โดยแบง เปน 3 ประเดน็ ท�าให้สัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมหลายชนิดมีสถานภาพอยู่ในขั้นวิกฤต หรือใกล้ท่ี คอื 1. ผลกระทบจากการทําลายปา จะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย แต่ก็ยังมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่คิดแสวงหาผลประโยชน์จากมูลค่า 2. การลกั ลอบซือ้ ขายสัตวปา 3. แมทางการ ของสัตว์ป่าท่ีเหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งสามารถท�าก�าไรที่งดงาม เป็นรองเพียงแค่ก�าไรท่ีได้จากการค้า ไทยจะมีวธิ กี ารปองกนั ปญหา แตป ญหา ยาเสพติด ซ่ึงท้ังสองส่ิงนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมท่ีผิดกฎหมายขั้นร้ายแรงของโลกเลยทีเดียว สตั วป าในเมอื งไทยก็ยังคงอยใู นขนั้ วิกฤต) ประเทศไทยของเราก็เคยได้รับบทเรียนจากการลักลอบซ้ือขายสัตว์ป่าของบุคคลท่ีเห็นแก่ตัว • นกั เรยี นคิดวา เรื่อง วกิ ฤตสัตวปาเมืองไทย ดังกล่าวซ่ึงเกือบจะท�าให้ประเทศไทยของเราสูญเสียรายได้จากการค้าขายระหว่างประเทศ มีวัตถปุ ระสงคในการส่ือสารอยา งไร คิดเป็นจ�านวนเงินแล้วนับเป็นพันล้านบาท พูดง่ายขึ้นก็คือ ห้ามประเทศไทยส่งสินค้าออกไป (แนวตอบ ช้ใี หเ หน็ สภาพปญหาซึง่ อยูใ นขั้น จ�าหน่ายยังต่างประเทศ แต่ก็นับว่าโชคดีท่ีประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการค้า วกิ ฤต) ระหว่างประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ท�าให้ประเทศไทยส่ง • นกั เรียนไดข อ คดิ ใดบางจากการฟงเร่อื ง สินค้าออกไปจ�าหน่ายยังต่างประเทศได้ตามปกติ ถึงแม้จะลงนามในอนุสัญญาไปแล้ว การซ้ือ วิกฤตสัตวปา เมอื งไทย ขายสัตว์ป่าภายในประเทศก็ยังไม่ลดลงเลย จากข้อมูลติดตามตรวจสอบและสอดส่องบริเวณ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น พรมแดนของประเทศไทยและประเทศเพ่ือนบ้าน สัตว์ป่าเป็นสินค้าท่ีมีความต้องการอยู่ใน ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยกู บั เหตผุ ลของ ประเทศจีน โดยเฉพาะอวัยวะของสัตว์ป่าที่ชาวเอเชียตะวันออกนิยมรับประทานกันเป็น นกั เรียน เปน ตนวา วิกฤตสัตวปามีสาเหตุ อย่างมาก และมีความต้องการปริมาณสูงมาก ปัญหาสัตว์ป่าลดจ�านวนลงเน่ืองจากถ่ินอาศัย สําคญั จากนา้ํ มอื ของมนุษย ฉะนั้น เราจึงควร ถูกท�าลายและการล่าเพ่ือการซ้ือขายก็เพียงพอแล้วท่ีจะท�าให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์ ส่วนราชการท่ีมี ชวยกันอนุรกั ษ และรวมมือกันหาแนวทางการ แกไ ขปญหา) 64 3. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาช้นั เรียน เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การจบั ประเด็นสําคญั จากขอความ ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเรื่อง การจดบันทกึ จากการฟงนัน้ ครูผสู อน ขอ ใดไมไ ดกลาวถงึ ในขอ ความตอ ไปนี้ ควรเพ่ิมเตมิ ความรูความเขา ใจเกยี่ วกับการพัฒนาประสทิ ธิภาพการฟง มแี นวทาง ความสามคั คีนน้ั อาจหมายความถึงเหน็ ชอบเหน็ พอ งกันโดยไมแยง กนั การพัฒนาทกั ษะการฟง ดังตอ ไปน้ี ความจรงิ งานทกุ อยางหรือการอยเู ปนสังคมยอ มตอ งมคี วามแยง กัน ความ คดิ ตางกนั ไมเ สยี หาย แตอ ยทู จ่ี ิตใจของเรา ถาเราใชหลักวชิ าและความ 1. การเตรยี มความพรอ มกอ นการฟง เรม่ิ ตนจากการทาํ ความเขา ใจเรือ่ งทีก่ าํ ลงั ปรองดองดว ยการใชปญ ญา การแยง ตา งๆ ยอมเปน ประโยชน จะฟง รวมถงึ นกั เรียนหรอื ผฟู ง ควรเตรียมความพรอมดานการฟงดวย 1. ไมขัดแยงกนั กอใหเกิดความสามคั คี 2. ตามปกติทุกสงั คมยอ มมีความขัดแยง กนั 2. ผฟู ง ควรตง้ั ใจฟงและมีสมาธิจดจอ กับเรอื่ งทฟี่ ง 3. ความขัดแยงอาจเปนประโยชนห ากเรารจู กั แกไ ขดวยปญ ญา 3. การตั้งคําถามจากเรอื่ งทฟ่ี ง ผูฟง ทด่ี ตี อ งเรียนรูในการคดิ วิเคราะหโ ดยใช 4. หลักวชิ าและความปรองดองสามารถแกไขความขัดแยงไดท กุ อยา ง วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. หลักวิชาและความปรองดองสามารถแกไข วิจารณญาณ รวมถึงรจู กั คิดใครค รวญอยางกวา งขวาง ความขัดแยงไดทุกอยาง เปน ขอ ความที่ไมไ ดก ลา วถึง และขอ ความท่ียกมา 4. จับประเดน็ สาํ คัญของเรื่องท่ฟี ง ฝก การลาํ ดับประเด็น เพือ่ เช่อื มโยงเน้อื หา ไมม ีความหมายครอบคลมุ เนื้อหาในขอนี้ โดยขอความทใี่ หม ามีเน้อื ความ ดงั ตอไปน้ี “หลกั วิชาและความปรองดองดวยการใชปญ ญา การแยงตา งๆ และความคดิ จากเรอื่ งท่ฟี งอยา งเปนระบบ ยอ มเปน ประโยชน” 5. จดบันทึกและเรยี บเรยี งเนอื้ หา โดยพยายามทบทวนความรเู ดิมและขยาย ประเด็นความรูท ี่ไดจากการฟง ใหมคี วามชดั เจน 64 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ก�าลังคนเพียงน้อยนิดต่างก็พยายามปราบปรามกันอย่างเต็มท่ี แต่ก็ไม่สามารถปราบปราม 1. นกั เรยี นนาํ องคความรทู ี่ไดจ ากกิจกรรมการ ได้หมดเพราะผู้กระท�าผิดมีมากมายเหลือเกินและท�ากันอย่างลับๆ จะมีก็เพียงแต่พลังมวลชน ฟงวิทยกุ ระจายเสียงทางสถานวี ิทยุ รายการ ทีจ่ ะชวนกนั สอดสอ่ งดแู ลและชว่ ยกันแจง้ เบาะแสให้แกท่ างราชการทราบ ปาสวยน้ําใส เรอื่ ง วิกฤตสตั วป า เมืองไทย มา เขียนบันทึกความรจู ากการอานดวยสํานวน ตวั อย่าง การเขยี นบนั ทกึ ความรู้จากการฟงั ภาษาของนกั เรยี น โดยครูยึดรปู แบบการเขียน ตามทปี่ รากฏในหนังสือเรยี นหนา 60 ชือ่ เรื่อง วิกฤตสัตวป์ ่าเมืองไทย รายการ ป่าสวยน้�าใส 2. ครสู ุมนักเรยี น 1-2 คน ออกมานาํ เสนอ แหลง่ ทม่ี า สถานีวิทยุ ๘๘.๕ เอฟ.เอม็ . มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งใหม่ หนา ชน้ั เรียน วนั พุธท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ น. 3. นกั เรยี นรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอไปนี้ ความรู้ที่ไดจ้ ากการฟงั เรอื่ ง “วิกฤตสัตวป์ า่ เมอื งไทย” (เป็นขอ้ ๆ) • นกั เรยี นคิดวา การเขยี นบันทึกความรจู าก จากบทความทางวทิ ยเุ รอื่ งน้ี ท�าใหไ้ ดค้ วามรู้ดงั ต่อไปน้ี การฟง และการอา นมลี กั ษณะรวมและ ๑. ถ้าป่าไม้ถูกท�าลาย ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์จ�านวนมากจะถูกท�าลายไปด้วย ลักษณะเฉพาะอยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะรว มกันของการเขียนบันทึก ส่งผลให้ส1ัตว์ป่าหลายชนิดมีจ�านวนลดลง บางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น การสูญพันธุ์ ทั้ง 2 ประเภท คอื เปน การเขียนบนั ทกึ จาก กระบวนการรับสารเหมือนกัน สวนสารมี ของสมัน และการสูญเสยี เสอื โคร่ง ซ่งึ ปัจจบุ ันทว่ั ท้ังโลกเหลือเสือโครง่ เพียง ๕,๐๐๐ ตวั ลักษณะเฉพาะแตกตางกัน โดยมวี ธิ ีการ และยงั มีสตั ว์เล้ียงลูกด้วยนมอีกหลายชนิดทอี่ ยใู่ นข้ันวิกฤตและใกลจ้ ะสญู พนั ธุ์ รบั สารดว ยการอา นมีลกั ษณะเปนลายลักษณ อักษร สว นวธิ ีการรบั สารดว ยการฟงสารจะ ๒. การลักลอบซ้ือขายสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ป่าท่ีชาวเอเชียนิยมรับประทานและ มาในรปู ของเสยี ง ซ่ึงอาศัยทกั ษะในการ เปน็ สนิ คา้ ทมี่ คี วามตอ้ งการในประเทศจนี เปน็ อกี ปจั จยั หนงึ่ ทที่ า� ใหส้ ตั วป์ า่ ในประเทศไทย จบั ประเด็นทแี่ ตกตา งกนั ) สญู พ๓ัน.ธป์ุ ระเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว2่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งสัตว์ป่าและ 4. ครูใหนกั เรียนฟงขา วจากสถานีโทรทศั น รายการใดรายการหน่งึ จากน้นั นักเรยี นเขยี น พชื ปา่ ทใี่ กลจ้ ะสญู พนั ธ์ุ หรอื ทรี่ จู้ กั คนุ้ เคยดใี นตวั ยอ่ วา่ ไซเตส (CITES) แตป่ ญั หาการลกั ลอบ บนั ทกึ ความรู โดยพจิ ารณารปู แบบจากหนงั สอื - ซอ้ื ขายสตั วป์ า่ ยงั เปน็ ปญั หาทย่ี ากจะปราบปรามไดห้ มด เนอื่ งจากผกู้ ระทา� ผดิ มจี า� นวนมาก เรยี นหนา 65 พรอ มสรุปขอมูลในรูปแบบของ และทา� กนั อย่างลบั ๆ ผังมโนทศั นประกอบการอธบิ าย การเขียนบันทึกความรู้ เป็นลักษณะของการจับใจความส�าคัญจากเรื่องที่ได้อ่าน ตรวจสอบผล Evaluate ได้ฟัง หรือได้ดู แล้วน�าสาระมาเรียบเรียงด้วยภาษาที่กระชับ สละสลวย และได้ใจความ สามารถที่จะน�าข้อมูลท่ีบันทึกไว้มาทบทวนเพื่อหาความรู้เพ่ิมเติมได้อย่างรวดเร็วในภายหลัง 1. นักเรียนสามารถสรุปแนวทางการเขียนบนั ทกึ นับว่าเป็นการเขียนบันทึกความรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้และเกิดประโยชน์ต่อผู้บันทึกเป็น ความรจู ากการฟงได อยา่ งย่ิง 2. นกั เรยี นสามารถเขยี นบันทกึ ความรจู ากการฟง 65 สอื่ ประเภทตา งๆ ได ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกบั การจับประเดน็ สาํ คญั จากเรอื่ งท่ฟี ง ครูผูส อนฝก ใหผ เู รยี นไดเ ขียนบันทึกความรูจากการฟง เนนการพัฒนาทกั ษะ คณุ สุรชัยบอกลกู คา วา “บางคนบอกผมวาอยากจะตดิ ต้ังแกสเอ็นจวี ี แต ความรูในการจบั ประเด็นรวมถึงการตีความจากเรอื่ งทีฟ่ ง ดวยการใหน ักเรียน เปรยี บเทียบเร่อื งทฟ่ี ง กับเนื้อหาท่ีเพ่ือนของนักเรียนบนั ทึก จากนั้นจึงใหนกั เรยี น กลวั จะมีปญ หาอ่นื ๆ ตามมา ความจรงิ แลวถา รถของคุณไดร ับการติดต้ังดวย อภิปรายแลกเปลีย่ นความคิดเห็นจากความเขาใจของนกั เรยี น อปุ กรณทไี่ ดมาตรฐานโดยคนติดตง้ั ทีเ่ ช่ียวชาญเฉพาะดา นแลว ละก็ รับรอง ไมม ปี ญ หาอ่ืนๆ ตามมา” นักเรยี นควรรู ขอ ใดตรงกบั คํากลาวของคุณสุรชยั 1 สมนั ช่อื สัตวเค้ยี วเออื้ งชนดิ Cervus schomburgki ในวงศ Cervidae ขนาด 1. อยาเพงิ่ กลวั ถายงั ไมไดล องตดิ ตง้ั เลก็ กวากวางปา ขนสนี ํ้าตาล หางส้นั เขาแตกแขนงมากกวา กวางชนดิ อนื่ เปน กวาง 2. ไมมีปญ หา ถา ผเู ช่ยี วชาญติดต้ังใหตามมาตรฐาน ทมี่ ีเขาสวยงามมาก และมีถ่นิ กาํ เนิดเฉพาะในประเทศไทยเทา นั้น เปน สัตวปาสงวน 3. อยาลงั เลใจ เชญิ ติดตง้ั ไดท นั ที ซ่ึงสูญพนั ธแุ ลว หรือเรียกอกี ชื่อหน่ึงวา เน้อื สมนั 4. ไมม ีปญ หา แตตอ งใหเราตดิ ต้งั ให 2 อนุสญั ญา ความตกลงระหวา งประเทศในเรอ่ื งทีส่ ําคัญเฉพาะเรอื่ ง เชน อนสุ ัญญาเจนวี า วา ดว ยการปฏิบัตติ อเหยื่อสงครามอยางมีมนษุ ยธรรม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ไมมีปญหา ถา ผเู ช่ียวชาญติดตง้ั ใหต าม คูมอื ครู 65 มาตรฐาน สอดคลองกับขอ ความที่วา “ไมม ีปญ หา ถาผเู ชีย่ วชาญติดตั้งให ตามมาตรฐาน”
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรุปแนวทางการเขียนบนั ทึก ค�าถามประจา� หนว่ ยการเรยี นรู้ ความรจู ากการอานได ๑. การจบั ใจความของเร่ืองมคี วามสา� คญั ตอ่ การเขียนบนั ทึกความรู้อย่างไร จงอธิบาย 2. นักเรียนสามารถเขียนบนั ทกึ ความรจู ากการอาน ๒. การบันทึกแหลง่ ทีม่ าของข้อมูลมีประโยชน์หรอื ไม่ อย่างไร งานเขยี นประเภทตา งๆ ได ๓. หากตอ้ งการแสดงความคดิ เห็นจากเรือ่ งท่อี ่าน ควรเขียนบนั ทกึ ความรอู้ ย่างไร 3. นกั เรียนสามารถยกตวั อยา งบทความทน่ี กั เรียน จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ ประทบั ใจจากสอ่ื ประเภทตางๆ ท้งั สอ่ื สิ่งพิมพ ๔. การฟงั ที่มีประสทิ ธภิ าพเปน็ การฟังในลกั ษณะใด จงอธบิ ายพอสังเขป และสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส พรอ มเขยี นบันทกึ ความรู ๕. การจดบันทกึ อย่างมีตรรกะ มปี ระโยชน์ตอ่ การบันทึกความร้อู ย่างไร จากการอานบทความประเภทตา งๆ ได 4. นกั เรียนสามารถสรุปแนวทางการเขยี นบันทึก ความรจู ากการฟง ได 5. นกั เรยี นสามารถเขียนบนั ทกึ ความรูจากการฟง ส่อื ประเภทตางๆ ได หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรุปแนวทางการเขียนบนั ทกึ ความรู ๑. ให้นกั เรียนศกึ ษาความรเู้ กย่ี วกับงานเขยี่ นประเภทเร่ืองสัน้ หรือสารคดีทส่ี นใจ จากการอาน แล้วน�ามาสรปุ ความรดู้ ้วยการนา� เสนอในรปู แบบ Mind Map 2. ความเรียงบันทึกความรูจากการอา นงานเขียน ๒. ให้นักเรียนสอบถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชมุ ชนจากผู้ปกครองหรือผ้รู ู้ ประเภทตา งๆ แลว้ นา� มาเรียบเรียงข้อมูลในรูปแบบของแผน่ พบั เผยแพรค่ วามรูใ้ หแ้ กส่ มาชกิ ในชมุ ชน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความภมู ิใจในชุมชน 3. ตวั อยา งบทความทน่ี กั เรียนประทบั ใจจาก สอ่ื ประเภทตา งๆ ทง้ั สือ่ สิง่ พิมพและสื่อ ๓. ให้นกั เรยี นเข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนาของชมุ ชน แลว้ เขยี นบนั ทกึ ความรู้ท่ีได้รบั อิเลก็ ทรอนิกส พรอมความเรยี งบนั ทกึ ความรู และน�ามาแลกเปลยี่ นความร้กู บั เพ่อื นๆ ในชั้นเรียน จากการอา นบทความประเภทตา งๆ 4. ความเรยี งสรปุ แนวทางการเขยี นบนั ทกึ ความรู จากการฟง 5. ความเรียงบนั ทกึ ความรูจากการฟง สอ่ื ประเภท ตา งๆ 6. บันทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรียนรู 66 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. การจับใจความสาํ คัญของเรอ่ื งมคี วามสําคัญตอ การเขียนบนั ทกึ ความรู เพราะการจับใจความสําคัญถอื เปนทกั ษะสําคัญในการทําความเขา ใจเนื้อหาของเรอื่ งท่ีฟงและอาน ชวยใหผ ูอานหรอื ผฟู งสามารถรบั สารไดอยางครบถวน ครอบคลมุ และตรงกบั ท่ีผสู ง สารตองการส่ือ ชว ยใหการเขียนบนั ทกึ มีความชดั เจน 2. การบันทึกแหลงที่มาของขอมูลมีประโยชนคอื ชว ยใหผ จู ดบนั ทึกทราบแหลง ทม่ี าของขอ มูล ชวยใหผ บู ันทึกสามารถจดจาํ แหลง ทม่ี าของขอมูลได สามารถนาํ มาใชใ นการ อางองิ และชวยใหผ บู ันทึกสามารถสบื คนขอ มูลเพ่มิ เตมิ จากแหลง ขอมูลท่บี ันทึกไวได 3. หากนักเรยี นตองการอานเพื่อแสดงความคิดเห็นนกั เรียนควรบนั ทกึ ความรูดวยวธิ ีการจับใจความสาํ คัญ เนนความสมเหตุสมผล แสดงความเชือ่ มโยงและความตอ เน่ืองกัน ของความคิดเห็น โดยนกั เรียนกลาวถงึ ประเดน็ ตา งๆ ดงั น้ี 1. ท่ีมาและความสาํ คัญของขอ เสนอ หรอื ประเด็นท่ีผแู ตงตองการนาํ เสนอ รวมถงึ สาเหตแุ ละปญหา 2. ขอ สนบั สนนุ ขอมูล ขอเท็จจริง หลักการประกอบการพิจารณา เพื่อเพ่ิมความนาเชอื่ ถือ 3. ขอ สรปุ นกั เรียนสามารถยกตวั อยางไดอ ยางหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผล ของนักเรยี น 4. การฟงทม่ี ีประสิทธิภาพ คือ การฟง ดวยความสมัครใจ โดยมีความสนใจเรื่องทฟ่ี ง จงึ ไดร บั ประโยชนจากการฟง สวนการฟง ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ นนั้ คอื การฟง เปนนิสยั ผูท ่รี บั ฟงขา วสารอยางสมํา่ เสมอ สง ผลใหม ีประสบการณใ นการฟงอยา งกวางขวาง จงึ มที กั ษะการฟงท่ีดสี ามารถวเิ คราะหข อมูลจากการฟง ไดอยา งรอบดา น 5. การจดบนั ทกึ อยางมีตรรกะแสดงถึงความเปน เหตเุ ปน ผลของเนอื้ หาที่นักเรียนไดท ําการบนั ทกึ ชว ยใหน ักเรยี นสามารถจดบันทกึ อยา งเปนระบบ และแสดงถึงความสัมพนั ธ ของเนื้อหา ชวยใหนกั เรียนเขาใจเน้ือหาไดเ ปนอยา งดี 66 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ตอนที่ ๒ 1. การเขยี นสอ่ื สารในรปู แบบตางๆ ไดตรงตาม วัตถปุ ระสงค โดยใชภ าษาเรยี บเรยี งถกู ตอ ง มีขอ มูล และสาระสําคัญชัดเจน 2. เขียนเรยี งความ 3. เขยี นยอความจากสื่อทม่ี รี ูปแบบและเน้อื หา หลากหลาย สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี òหน่วยการเรียนรูท้ ่ี กยาอรคเขวียานมเรจียดงหคมวาามย คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค เปนกระบวนการทีต่ องใชทักษะการเขียน 1. ใฝเ รยี นรู เพ่ือการสอ่ื สารทางความคิดท่ีมนษุ ยใ ชอยูเ สมอ 2. มงุ ม่ันในการทาํ งาน ในชวี ิตประจําวัน ทั้งการเขียนเรยี งความ ยอ ความ 3. รักความเปน ไทย และจดหมาย มกี ระบวนการคิดและรูปแบบทแ่ี ตกตา ง ดังน้ัน ผูเขียนตอ งศึกษาทําความเขาใจใหถองแท กระตนุ ความสนใจ Engage จงึ จะทาํ ใหงานเขียนมีคุณภาพและสามารถ สอื่ สารไดตรงตามเจตนา การเขยี นเรยี งความ ยอ ความ จดหมาย ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ดังตอไปน้ี • การเขยี นสือ่ สารในรูปแบบตา่ งๆ ได้ตรงตาม • การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ • นกั เรียนคิดวา หากนกั เรียนตอ งการสือ่ สาร วัตถปุ ระสงค์ โดยใชภ้ าษาเรยี บเรียงถูกตอ้ ง มขี อ้ มูล • การเขียนเรยี งความ ผา นชองทางอน่ื นอกจากการพดู นกั เรยี น และสาระสา� คญั ชดั เจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) • การเขียนย่อความ สามารถส่ือสารผา นชอ งทางใดไดบาง อยางไร • เขียนเรียงความ (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๒) (แนวตอบ สามารถส่ือสารผา นการเขยี น หรือ • เขียนย่อความจากสอ่ื ทม่ี รี ปู แบบและ การใชอ วจั นภาษาอ่ืนๆ) เนอ�้ หาหลากหลาย (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๓) • นักเรยี นคิดวา การสื่อสารผานการเขยี น สง ผลดีมากกวา การส่ือสารดวยการพูด หรือไม อยา งไร เกร็ดแนะครู หนวยการเรียนรเู ก่ยี วกับการเขยี นเรยี งความ ยอความ และจดหมายนี้ ครผู ูส อน ควรเพมิ่ ความรูความเขาใจเกี่ยวกับทักษะการใชภ าษา นอกจากนกั เรียนจะตองทาํ ความเขาใจเกยี่ วกับการเรียบเรียงคํา ขอ ความ หรอื ประโยคใหถ ูกตอ งตามหลกั การ ใชภ าษา เพอื่ ใหเ กิดความสละสลวยและมคี วามสมบูรณท้ังเนอ้ื หาและความหมาย กอ ใหเ กิดคุณคา ทางวรรณศลิ ป เพอื่ ใหเกิดการถา ยทอดความรู ความคิด อารมณ ความรสู ึกและจนิ ตนาการจากผูเขยี นไปสูผอู า นไดอยางถกู ตองชัดเจน การเขยี นตอง ใชทกั ษะความรใู นดา นหลักการ วิธีการ รวมถึงหลักเกณฑท างภาษา ขณะเดยี วกนั ก็ ตองมีศิลปะในการประพันธ งานเขยี นจงึ เปน ทั้งศาสตรแ ละศลิ ป นอกจากน้ี ครูผสู อน ควรช้ใี หเ หน็ วา ทักษะการสง สารตองมีการฝก ฝนอยา งสมา่ํ เสมอ เพ่อื ใหเ กิดการ สอ่ื สารไดอ ยางมีประสทิ ธภิ าพและสัมฤทธผิ ล ครคู วรแนะนาํ นักเรยี นวา ผูที่ตองการ ถายทอดความรคู วามเขา ใจเรือ่ งราวตา งๆ ผา นทักษะการใชภ าษาจําเปนอยางย่งิ ทจี่ ะ ตอ งใหค วามสําคญั กบั การเรยี นรู การสังเกต การใชภ าษาในชีวิตประจาํ วนั ไมวาการ ใชภาษาจะเกิดขนึ้ กับตนเองในขณะทส่ี อื่ สารผานการเขียนใชภ าษาใหเหมาะสมกับ ประเภทของสือ่ และการสื่อสารแตละประเภท คูมือครู 67
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปนี้ ๑ . การเขียนเรียงความ • นักเรยี นเคยไดย ินคาํ วา “ความเรยี ง” และ “เรยี งความ” หรือไม นักเรียนคดิ วา ทั้งสองคาํ มคี วามหมายเหมือนกันหรือไม อยางไร เรียงความ คือ การเขียนขยายข้อความโดยการเรียงร้อยถ้อยค�าให้เป็นเร่ืองราว โดย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แสดงความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ และความเข้าใจ ด้วยภาษาที่ถูกต้อง ไดอยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตุผลของ เหมาะสม ตรงความหมาย กะทดั รดั สละสลวย เปน็ ระบบท่นี า่ อ่าน นักเรยี น) ๑.๑ องคป์ ระกอบของเรยี งความ องคป์ ระกอบของเรยี งความ แบ่งเปน็ ๓ สว่ น ดงั น้ี สาํ รวจคน หา ๑) ค�ำนำ� เป็นสว่ นแรกทเ่ี ปดิ ประเดน็ ใหผ้ อู้ า่ นทราบว่าจะเขียนเรอื่ งอะไร เปน็ ส่วนทชี่ กั น�า Explore ใหผ้ ู้อ่านสนใจ ท�าใหเ้ รื่องน่าอ่านย่งิ ข้นึ ค�านา� จึงต้องเขยี นใหก้ ระชับ เรา้ ใจ ใคร่รู ้ วิธีเขียนค�าน�า สามารถท�าได้หลายวิธ ี เชน่ นกั เรยี นสืบคน ขอมูลในประเดน็ ตอ ไปน้ี ● เร่ิมตน้ การยกค�าพดู คา� คม หรอื สุภาษติ ทน่ี ่าสนใจ สอดคลอ้ งกับเนอื้ หา • องคประกอบของเรยี งความ ● เร่ิมดว้ ยค�าประพันธ์ • การวางโครงเร่ืองเรียงความ พรอมพจิ ารณา ● เรม่ิ ดว้ ยคา� ถาม การเขยี นคา� นา� นนั้ ผเู้ ขยี นพงึ ระวงั อยา่ เขยี นออ้ มคอ้ ม เขยี นไมต่ รงกบั เนอ้ื เรอ่ื ง เขยี นยาว ตวั อยางการเขียนเรยี งความ • วธิ กี ารเขียนเรียงความ อธบิ ายความรู Explain เกนิ ไป หรอื เขยี นออกตวั เปน็ ทา� นองวา่ ผเู้ ขยี นมคี วามรนู้ อ้ ย หรอื ไมพ่ รอ้ มทจี่ ะเขยี น จะทา� ใหค้ า� นา� ไมน่ า่ สนใจ ๒) เน้ือเรื่อง เป็นส่วนส�าคัญและยาวท่ีสุดของเรียงความ ประกอบด้วยความรู้ ความคิด 1. นกั เรียนจบั คู จากนนั้ ครูสุม นกั เรยี น 2 - 3 คู และขอ้ มลู ทผ่ี เู้ ขยี นคน้ ควา้ และเรยี บเรยี งอยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บ โดยใชย้ อ่ หนา้ ชว่ ยลา� ดบั ประเดน็ รว มกันตอบคาํ ถามหนา ชน้ั เรยี นในประเด็น ซึ่งควรขึ้นย่อหน้าใหม่เมื่อกล่าวถึงประเด็นใหม่ การเขียนเน้ือเรื่องเป็นการขยายความในประเด็น ตอไปน้ี ตา่ งๆ ตามโครงเรอ่ื งทว่ี างไวล้ ว่ งหนา้ แลว้ ในการเขยี นอาจมกี ารยกตวั อยา่ งการอธบิ าย การพรรณนา • นกั เรียนคดิ วา เรยี งความมคี วามหมายวา หรอื ยกโวหารต่างๆ มาประกอบดว้ ย อยา งไร (แนวตอบ การเขยี นขยายความเปน เรอ่ื งราว การเขยี นเนอ้ื เรอ่ื ง ควรยดึ แนวทาง ดงั นี้ แสดงความรู ความคิด ความรูสกึ และความ ๑. มสี ารตั ถภาพ ไดแ้ ก ่ ความถกู ตอ้ ง แจม่ แจง้ สมบรู ณ ์ ผอู้ า่ นสามารถเขา้ ใจเจตนารมณ์ เขา ใจ ถายทอดผา นภาษา ลําดบั เรอ่ื งราว ของผู้เขยี นได้เป็นอยา่ งดี อยา งเปน ระบบนาอา น) ๒. มเี อกภาพ ไดแ้ ก ่ ใจความส�าคัญแต่ละย่อหนา้ จะต้องมีเพียงใจความเดียว ไมอ่ อก • เรยี งความมีองคประกอบอยา งไร และมีความ นอกเร่อื ง สับสน วกวน สมั พนั ธกันอยา งไร ๓. มสี ัมพนั ธภาพ ไดแ้ ก่ เน้อื หาในแตล่ ะย่อหน้าจะตอ้ งมีความสมั พนั ธ์เกยี่ วเน่อื งกัน (แนวตอบ เรียงความมอี งคประกอบ 3 สว น โดยตลอด ยอ่ หนา้ ต่อๆ มา จะตอ้ งเกย่ี วเนอ่ื งสมั พันธ์กบั ย่อหนา้ ทแ่ี ล้ว ไดแ ก คํานาํ เพอ่ื เรา ความสนใจ เน้ือเรอื่ ง ๓) สรปุ เปน็ สว่ นสดุ ทา้ ยของการเขยี นเรยี งความ ผเู้ ขยี นจะตอ้ งเนน้ ความร ู้ ความคดิ หลกั นําเสนอความรู ความคิด ทรรศนะของ หรือประเด็นส�าคัญของเรื่องท่ีเขียนอีกคร้ังให้ได้ใจความและสอดคล้องกับเน้ือเรื่อง การสรุป ผเู ขียน รวมถึงสรปุ เนนยาํ้ ประเดน็ ทนี่ าํ เสนอ องคป ระกอบทง้ั สามสวนทําหนาท่เี รียงรอย เนอ้ื หาเขาดว ยกนั ) 68 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการใชภ าษาในองคป ระกอบตา งๆ ของเรียงความ ครผู ูส อนควรเพมิ่ เติมความรเู กีย่ วกับเรยี งความและความเรยี งวา มคี วามหมาย ขอความตอไปน้ีไมเหมาะทจ่ี ะเปนประโยคแรกในสวนใดของเรียงความ แตกตา งกัน โดยเรยี งความมีรูปแบบการเขียนชดั เจน นยิ มเขยี นดว ยภาษารอยแกว เรอ่ื ง “อาหารไทย” ดวยภาษาแบบทางการและกงึ่ ทางการในระดับเดียวกันหมดทงั้ เรอ่ื ง พรอ มนําเสนอ แงค ดิ และความรูเปน สาํ คญั สว นความเรียง เปน งานเขียนประเภทสารคดีรูปแบบหน่ึง วัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทยดงั กลาวเกิดจากการประสาน ใหแงค ิด และสรา งความเพลดิ เพลิน มีรูปแบบการเขยี นไมต ายตวั ใชภาษาไดห ลาย ภูมิปญญาดานอาหารจากหลายๆ ชาตมิ าดดั แปลงใหเปนอาหารไทย ระดับประกอบกนั มุงนําเสนอแงค ิดและอารมณค วามรสู ึกเปน สําคัญ 1. สวนนําเรือ่ ง 2. สวนขยายความ 3. สวนสรปุ เรือ่ ง 4. การยกตวั อยา ง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. สวนนาํ เรื่อง เพราะปรากฏการใชคาํ วา “ดงั กลา ว” ซ่ึงเปน การกลาวเทา ความ คอื มปี ระโยคกลา วนํากอนหนามาแลว ฉะนนั้ จึงไมสามารถใชเปน สวนนําเร่อื งได 68 คูม ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู อาจสรุปด้วยค�าถาม ข้อคิด ค�าคม สุภาษิต บทร้อยกรอง อย่างใดอย่างหน่ึง โดยใช้ถ้อยค�าท ่ี 1. นักเรียนรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น กระชบั คมคาย เพือ่ ให้ผู้อา่ นประทับใจ น�าข้อคดิ ไปไตรต่ รองต่อไปได้ ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา การวางโครงเรอื่ งมีความ ๑.๒ การวางโครงเรอื่ งเรยี งความ สาํ คัญตอ การเขียนเรยี งความอยางไร (แนวตอบ การวางโครงเรอ่ื งเปน วธิ กี ารจัด การวางโครงเร่ือง เป็นการรวบรวมความรู้ ความคิด และจัดล�าดับความคิดให้เป็นระบบ ลําดับความคิดกอ นการเขยี นเรียงความ ถอื ความรู ้ ความคิดบางเรื่องอาจเปน็ ประสบการณ์เดมิ ความรเู้ ดิมของผู้เขยี น หรือเปน็ ความรใู้ หม่ เปนแนวทางในการกาํ หนดเน้อื หา เพ่อื ตอบ ที่ได้จากการสังเกต สอบถาม แลกเปลยี่ นความรู้ในกล่มุ เพือ่ น หรือการคน้ คว้าเพิ่มเติมจากแหลง่ สนองวัตถุประสงคในการส่ือสาร นกั เรยี น เรยี นร้ตู ่างๆ แนวทางการวางโครงเรอื่ งสามารถทา� ได ้ ดงั นี้ สามารถกาํ หนดแนวทางในการเขียนท้งั ๑. ระดมความคิดวา่ มคี �า กลมุ่ ค�า หรอื ข้อความใดท่เี ก่ียวข้องกบั เรอ่ื งทีจ่ ะเขียนบ้าง แล้ว ลกั ษณะของภาษา เน้ือหา รวมถงึ กลวธิ ีใน เขียนคา� กลุ่มคา� หรอื ข้อความนั้นไว้ การเรยี บเรยี ง เพ่ือใหบรรลุเปาหมายในการ ๒. ตงั้ คา� ถามท่สี งสยั ใครห่ าคา� ตอบ เขียนคา� ถามเป็นขอ้ ๆ แลว้ พยายามหาค�าตอบสัน้ ๆ ส่ือสาร) โดยอาจตอบเอง หรือค้นคว้าหาความรูจ้ ากแหลง่ ความร้ตู า่ งๆ • นกั เรยี นมกี ารวางแผนการคน ควา ขอ มูลใน ๓. จัดล�าดับค�าถาม-ค�าตอบน้ันๆ ว่าควรล�าดับก่อนหลังอย่างไร ควรจัดหัวข้อใดในส่วน การเขียนเรียงความอยา งไร ค�านา� เน้อื เร่ือง หรอื สรปุ โดยจดั ใหไ้ มซ่ า้� กัน ไมว่ กวนสับสน และตดั ส่วนที่ไม่จ�าเป็นออก (แนวตอบ เรมิ่ ตนจากขน้ั ตอนแรก นกั เรยี น ระดมความคิด โดยการรวบรวมขอ มูลท่มี ี ตัวอย่าง การวางโครงเรอื่ ง การเขียนเรียงความเรื่อง “การประหยัด” ความเกีย่ วขอ งกับหวั ขอที่จะเขยี นรายงาน ข้ันตอนตอมา คือ การตง้ั คําถามเกี่ยวกบั ๑. รวบรวมความรู้ ความคิด หาค�า ข้อความ สุภาษิต ค�าพังเพยท่ีเก่ียวข้องกับการประหยัด หัวขอ ที่นกั เรยี นจะเขยี นเรยี งความวา ดังตัวอยา่ ง ต่อไปนี้ มปี ระเดน็ ใดบา งท่มี ีความเก่ียวของ และจดั ● ค�าที่เก่ียวขอ้ งกับชอื่ เรือ่ ง เชน่ เก็บ ออม ธนาคาร ประหยัด ตระหน่ี โลภ ฟุม่ เฟอื ย ฟุ้งเฟ้อ ลําดับความคดิ เปน ข้ันตอนสุดทาย) ร่า� รวย ยากจน เปน็ ตน้ ● ขอ้ ความ ภาษติ คา� ประพนั ธ์ทีเ่ สริมความคดิ ความเข้าใจ เช่น “ประหยัดวันน ี้ เปน็ เศรษฐี 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ในวันหนา้ ” “อยา่ อายทา� กิน อย่าหมิ่นเงินนอ้ ย อย่าคอยวาสนา” “เกยี จครา้ นเป็นแมลงวัน ขยนั เป็น แมลงผ้งึ ” เป็นต้น ขยายความเขา ใจ Expand ๒. ตง้ั คา� ถามเกย่ี วกบั ความประหยดั ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ ● การประหยัด หมายความว่าอย่างไร เหมือนกับคา� วา่ ตระหนห่ี รือไม่ ครกู าํ หนดหัวขอเรียงความจากน้นั ใหนักเรียน ● ท�าไมจงึ ต้องประหยดั วางโครงเรื่องการเขียนเรยี งความตามท่นี กั เรยี นได ● เราจะมีวิธปี ระหยัดได้อย่างไร เรยี นมา โดยยึดรปู แบบการเขยี นในหนังสือเรยี น ● การประหยดั สว่ นตัว การประหยัดในครอบครัว การประหยดั ในโรงเรียนท�าไดอ้ ยา่ งไร หนา 69 ● การประหยัดช่วยตนเองและช่วยชาตไิ ด้อย่างไร ● ผลดขี องการประหยดั เปน็ อยา่ งไร ● ตัวอยา่ งนิทานหรือบคุ คลที่รูจ้ กั ประหยดั อดออม มีอะไรบ้าง ● คา� ประพันธ ์ คา� ส่งั สอนท่เี ก่ยี วกับการประหยัด มีอะไรบ้าง 69 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับเนื้อหาในองคประกอบของเรียงความ ครูผูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรเู กยี่ วกับการวางโครงเร่อื งในการเขยี นเรยี งความ โดย ขอ ความตอไปนไ้ี มเปน สว นใดของเรยี งความ โครงเร่ือง หมายถงึ เคา โครงของงานเขยี น เปน การจดั ลําดบั หมวดหมูของขอมูลและ ประเพณีว่ิงควายซ่ึงเปน ประเพณีด้ังเดิมของชาวชลบุรกี ็จะอยูคจู ังหวดั แนวคดิ สําคญั ของเรื่อง จากนัน้ จงึ นาํ แนวคดิ สําคัญของเรอ่ื งที่วางไวม าขยายดวยการ อธิบายใหรายละเอียด รวมถึงใหต ัวอยาง เพ่อื ใชเ ปนแนวทางในการเขยี น ลกั ษณะ ชลบรุ ไี ปอกี นานเทา นาน การเขียนโครงเร่อื งในการเขยี นเรียงความ การวางโครงเรอื่ งมีความสาํ คัญอยางมาก 1. สวนนําเร่อื ง ในการเขยี นเรียงความ เนือ่ งจากการเขียนมกี ารนําเสนอเนอื้ หาอยางเหมาะสม 2. สว นเนือ้ เรื่อง เนอ้ื ความสมั พนั ธก นั มเี อกภาพ ผอู า นสามารถเขา ใจสารไดช ดั เจน นอกจากประโยชน 3. สว นขยายเนอื้ เร่อื ง สาํ หรบั ผูอา นแลว ยังชวยใหผ เู ขยี นสามารถพิจารณาสดั สว นความเหมาะสมของ 4. สว นปดเรอ่ื ง เนื้อหา รวมถึงความชดั เจนอยา งเพียงพอ เคา โครงเร่อื งแบงเปน 2 รปู แบบ ประกอบ ดวย โครงเรื่องแบบหัวขอ และโครงเร่อื งแบบประโยค มีรายละเอียด ดังตอไปน้ี วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. สวนนาํ เร่อื ง เน่ืองจากขอ ความทกี่ ําหนด 1. โครงเรอ่ื งแบบหวั ขอ การเขียนประเด็นสําคัญของเร่อื ง ใหมลี ักษณะเปน ขอสรปุ สงั เกตจากการใชค าํ เชือ่ มคําวา ก็ และเน้อื หาท่ีมี 2. โครงเรือ่ งแบบประโยค โครงเร่อื งทีเ่ กดิ จากการเขยี นประเด็นสําคัญของเรื่อง ลกั ษณะเปน ขอ สรุปมักไมป รากฏในสวนนําเร่ือง เปนประโยคสมบูรณ โครงเรื่องแบบนี้จะสอื่ ความหมายอยางชัดเจนกวา แบบแรก คมู ือครู 69
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรวมกนั ระดมความคิดดว ยการตอบ ๓. จัดลา� ดบั คา� ถามท่จี ะขยายความเปน็ คา� ตอบในเนื้อเร่ือง ดงั นี้ คําถาม ตอไปน้ี (๑) เขยี นค�าน�า ดว้ ยค�าขวัญ สภุ าษิต ชใี้ หเ้ ห็นความส�าคญั ของการประหยดั • นักเรียนคดิ วา การเขยี นเรยี งความมวี ธิ ีการ (๒) ส่วนเนอ้ื หา มีประเด็นต่างๆ ดังนี้ เขยี นอยา งไร ● การประหยัดหมายความวา่ อะไร เหมอื นกบั ค�าวา่ ตระหน่ีหรอื ไม่ (แนวตอบ เขียนตามโครงเร่ือง โดยขยาย ● ความสา� คญั ของการประหยดั ขอ ความ ดวยสํานวนภาษาท่มี ีความเหมาะสม ● เราจะมีวธิ ีประหยดั ไดอ้ ย่างไรบา้ ง กับเนอื้ หา และเขยี นโดยแบง เนอ้ื หาออกเปน ● ผลดขี องการประหยดั 3 สว น คอื คาํ นาํ เนอ้ื เรื่อง และสรุป) ● ตวั อย่างบุคคล นิทาน ทีเ่ ก่ยี วกับการประหยัด • นักเรยี นคดิ วา เรยี งความที่ดีควรมลี ักษณะ ๔. สรุปความส�าคัญ ความจ�าเป็นที่คนเราต้องรู้จักประหยัดอดออม เพ่ือช่วยคน ช่วยชาติ อยางไร ด้วยคา� ประพันธ ์ คา� ขวัญ (แนวตอบ มีลักษณะ ดังนี้ 1. มีเอกภาพ คอื ทุกสวนมคี วามเกย่ี วเนือ่ งเปน เร่ืองเดยี วกนั ๑.๓ วธิ กี ารเขยี นเรยี งความ 2. มีสัมพันธภาพ คอื ทุกสว นมคี วามสัมพันธ กนั เปน ลาํ ดับ 3. มสี ารัตถภาพ มีเนือ้ หาสาระ การเขยี นเรียงความที่ดคี วรมีวิธกี าร ดังน้ี ถกู ตองสมบรู ณแ ละเนนยาํ้ ประเดน็ ได ๑. เขยี นเรยี งความตามโครงเรอื่ งทก่ี า� หนด โดยใชค้ า� ขอ้ ความ สภุ าษติ ท่ีไดค้ ดิ ไวใ้ นตอนตน้ เหมาะสม) ประกอบการเขยี น ขยายขอ้ ความจากโครงเรอ่ื ง โดยใชส้ า� นวนโวหารทเี่ หมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ ง มหี ลกั ฐาน • นกั เรียนคิดวา การอานทบทวนเรยี งความ ขอ้ มลู ประกอบ หรอื อา้ งอิงจากแหล่งทเี่ ชอื่ ถอื ได ้ เพ่ือสนบั สนุนงานเขียนใหม้ ีคณุ คา่ นา่ สนใจ และใหผูอ นื่ วิพากษว ิจารณห รอื ใหข อคิดเหน็ ในการแบง่ สว่ นคา� นา� เนอื้ เรอ่ื ง สรปุ ตอ้ งยอ่ หนา้ ในแตล่ ะสว่ น โดยไมต่ อ้ งบอกวา่ สว่ นใด คอื เพิม่ เติมมผี ลตอ การเขียนเรียงความ อยางไร ค�านา� เนอ้ื เรื่อง หรือสรปุ ผ้อู า่ นจะเข้าใจได้เอง สา� หรับเนอ้ื หาหากมีหลายประเด็นแตล่ ะประเดน็ (แนวตอบ มีผลดใี นการตรวจสอบความเขาใจ ต้องย่อหน้า ฉะนน้ั ในการเขียนเรยี งความจะตอ้ งมีอย่างนอ้ ย ๓ ยอ่ หนา้ คือ ค�านา� เนอื้ เร่ือง และ รวมถงึ ความสมบูรณของเนือ้ หา) สรปุ โดยเฉพาะสว่ นเนอ้ื เรอื่ งนน้ั ไมจ่ �ากดั วา่ จะตอ้ งมกี ยี่ อ่ หนา้ แลว้ แตว่ า่ จะแตกประเดน็ ไดก้ ป่ี ระเดน็ ๒. อ่านทบทวนข้อความที่เขียนว่าสอดคล้อง เป็นเร่ืองเดียวกันตามประเด็นในโครงเรื่อง 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ท่กี �าหนดหรือไม ่ เกีย่ วเนอื่ งกนั ตามลา� ดับถูกตอ้ ง สมบรู ณ ์ ครบถ้วนหรือไม่ ๓. ใหเ้ พือ่ นๆ หรือผรู้ ูอ้ า่ น แล้ววพิ ากษว์ ิจารณ์ใหข้ ้อเสนอแนะเพ่ิมเติม ขยายความเขา ใจ Expand ๔. ผู้เขียนอ่านทบทวน พิจารณาข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม แล้วน�ามาเขียน เรยี บเรยี งใหม่อีกครัง้ เปน็ เนอื้ หาเรยี งความท่ถี กู ตอ้ งตามรปู แบบและมคี ณุ ค่าน่าอ่าน นักเรียนเขียนเนื้อหาเพ่มิ เตมิ จากโครงเรื่องเดมิ ในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการวางโครงเรอื่ งท่นี ักเรยี นได สรรพส์ าระ เรยี นมาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมในหนงั สือเรยี นหนา 69 ลักษณะของเรียงความทีด่ ี เรียงความที่ดคี วรมีคุณลกั ษณะ ดังนี้ ๑. มเี อกภาพ คอื เนอ้ื หาทกุ สว่ นมคี วามเกีย่ วเน่อื งเป็นเรือ่ งเดียวกัน ไม่กลา่ วนอกเรอ่ื ง นอกประเด็น ๒. มีสัมพันธภาพ คือ เนอื้ หาทุกสว่ นมีความสัมพนั ธเ์ ก่ยี วเน่อื งกันตามลาำ ดบั ไมส่ บั สน ๓. มีสารตั ถภาพ คือ เน้ือหาแต่ละสว่ นมคี วามสมบรู ณ์ ถกู ตอ้ ง ครบถ้วน 70 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั เน้ือหาในการเขยี นเรยี งความ ในการปฏบิ ัตกิ ารเขียนเรียงความน้นั ครผู สู อนควรเพ่ิมเติมความรคู วามเขาใจ ถาตองการเขยี นเรียงความเก่ียวกับสถานทที่ องเทยี่ วแหง ใดแหงหนง่ึ รวมถงึ ทักษะเกีย่ วกับการเขยี น ในการลงมือเขียนเรียงความนัน้ ผูเ ขยี นตองมีสมาธิ เนอ้ื หาในขอ ใดจําเปนนอ ยท่ีสุด ขณะที่ลงมอื เขยี นตามโครงเรอ่ื งท่ีเตรยี มไวนนั้ ตองระมัดระวงั เรอ่ื งการใชส ํานวนภาษา 1. มัคคเุ ทศก เชน การคัดลอกเน้อื หาจากตน ฉบับเดมิ มาใชในงานเขยี นของตน หรอื เรียบเรยี ง 2. พาหนะและเสน ทางคมนาคม ความคดิ ตามตน ฉบบั ครูควรชแี้ นะนักเรียนวา นักเรยี นสามารถแกป ญหาดงั กลา วได 3. ท่ตี ้ังและสภาพอากาศ ดว ยการอา นขอ มลู ทป่ี รากฏทั้งหมดใหจบเสยี กอน แลวจงึ สรุปเนื้อหาในแตล ะประเด็น 4. สง่ิ ที่นา สนใจและประโยชน รวมถงึ เพิ่มเตมิ ความคิดลงไป จากนัน้ จงึ เรียบเรยี งดว ยภาษาของตนเอง ในสวนการ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. มคั คุเทศก อาจกลา วถึงไดในเรยี งความ ลงมอื เขยี น ไมว านกั เรียนจะเลอื กเขียนดว ยวิธีใดก็ตาม แตควรคาํ นงึ ไวเ สมอวา แตก็ไมถ อื วาเปน เน้อื หาท่มี ีความสาํ คัญเม่อื เปรยี บเทยี บกบั เนือ้ หาในขอ อ่ืนๆ ควรลงมอื เขียนใหอ ยใู นโครงเร่อื งที่วางไว สวนขอที่ 2. ขอที่ 3. และขอที่ 4. เปนเนือ้ หาทมี่ คี วามจําเปนอยา งยิ่ง เนอื่ งจากเปนขอ มูลสําคญั ทผ่ี ูรบั สารควรไดรับ ทั้งดา นของท่ตี ง้ั และสภาพ นอกจากน้ี ครูควรช้ีแนะแนวทางในการพฒั นาทกั ษะการทบทวนและแกไขขอ อากาศ การเดนิ ทาง รวมถึงสง่ิ ของอํานวยความสะดวกตางๆ บกพรองในงานเขยี น ในงานเขยี นเรียงความนักเรียนควรระมัดระวังในขอ บกพรอ งของ การเขยี นเรียงความ ดงั ตอไปน้ี การจัดระบบความคิดในโครงเร่อื งมคี วามเหมาะสม หรอื ไม มากนอยเพียงไร นําเสนอความคิด ขยายความเขาใจ มคี วามตอเน่อื งหรอื ไม 70 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ตวั อย่าง เรยี งความ นักเรียนศกึ ษาเรยี งความเรื่อง สาํ นกึ รกั บานเกิด จากหนงั สอื เรยี นหนา 71-73 ส�ำนกึ รักบ้ำนเกิด อ่างทองเป็นเมืองที่ราบลุ่มขนาดเล็กทางภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ซึ่งหล่อเล้ียง อธบิ ายความรู Explain ด้วยแม่น�้าส�าคัญ ๒ สาย คอื แมน่ า้� เจ้าพระยา และแม่นา�้ น้อยท่ีท�าใหด้ นิ แดนแห่งนี้อดุ มสมบรู ณ์ ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลายชนิดตลอดทั้งปี วิถีชีวิตของชาวอ่างทองส่วนใหญ่ด�าเนิน 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ไปอย่างเรียบง่าย ธรรมดา และสมถะ ตามแบบอย่างของสังคมชนบท มีความผูกพันกับการ ตอไปน้ี ท�าเกษตรกรรมและยึดม่ันในการจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นแหล่งก�าเนิดของวัฒนธรรม • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรอื่ ง สาํ นึกรกั ขนบธรรมเนียมประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิน่ ทีก่ ่อเกิดมาจากวถิ ีชีวิตของบรรพชนชาวอ่างทอง บา นเกิด มเี นอ้ื หากลา วถึงประเดน็ ใดบา ง ในอดีตที่สืบทอดมาสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน แม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง ๑๐๘ อยางไร กโิ ลเมตรเท่าน้ัน (แนวตอบ นกั เรียนสามารถกลา วถงึ เนอื้ หา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อ่างทองถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านท่ีส�าคัญมาก ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “แขวง โดยแบง ตามองคประกอบของเรยี งความได เมอื งวเิ ศษไชยชาญ” อนั เปน็ บา้ นเกดิ เมอื งนอนของนายดอก นายทองแกว้ สองวรี บรุ ษุ ผหู้ าญกลา้ ดงั น้ี 1. คาํ นาํ กลา วถึงภาพรวมของจงั หวดั ยอมเสียสละพลีกาย เพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ ท่านท้ังสองได้เข้าร่วมกับชาวบ้าน อา งทองบานเกดิ ของผเู ขยี น 2. เนอ้ื เรื่อง บางระจันเข้าต่อสู้กับพม่าอย่างเข้มแข็ง โดยมิได้เกรงกลัวต่อภยันตราย ลูกหลานชาวอ่างทอง นาํ เสนอเนอ้ื หาสอดคลอ งกบั คาํ นาํ โดยแยก ทุกคนต่างร�าลึกสดุดี และเชิดชูวีรชนไทยใจกล้าไว้ในใจตลอดมา ท้ังยังมีความภาคภูมิใจใน เปนประวัตคิ วามเปน มาของจงั หวัดอางทอง สายโลหิตท่ีอยู่ภายในร่างกายของชาวอ่างทองทุกคน อ่างทองเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา ลักษณะเดนดานศิลปวฒั นธรรม ภูมิปญญา มีวัดวาอารามต้ังเรียงอยู่ริมสองฟากฝั่งแม่น้�า อันสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนในอดีตท่ีแม่น้�า วถิ ีชีวิต 3. สรปุ ปด ทายดวยการแสดงความ มีความส�าคัญต่อการคมนาคม และการต้ังชุมชนของมนุษย์ เช่น ตลาดวิเศษชัยชาญ ชุมชน รูส กึ ภมู ิใจ เพอ่ื ปลกุ จติ สาํ นึกใหร ักบานเกิด) ริมแม่น้�าน้อยท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าร้อยปี ความวิจิตรงดงามของแต่ละวัดที่มีทั้งด้าน • นกั เรยี นคดิ วา ชอื่ เรยี งความเรื่อง สาํ นกึ รกั ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมด้วยฝีมือของช่างในอดีตท่ีตกทอดสู่ปัจจุบัน อีกท้ังพระพุทธรูป บานเกดิ มคี วามสมั พนั ธก บั เนือ้ หาหรือไม ลว้ นมีพทุ ธศิลปอ์ ันงดงามท่ีสอดแทรกในความเกา่ แกแ่ ละความศกั ดิ์สทิ ธิ์ อาทิ พระพุทธไสยาสน์ อยางไร องค์ใหญ่ วัดขุนอินทประมูล พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกวรวิหาร พระมหาพุทธพิมพ ์ (แนวตอบ มีความสอดคลอ งกนั เนอื่ งจาก วัดไชโยวรวิหาร นับว่าเป็นปัญญาของคนรุ่นเก่าท่ีสอดแทรกประวัติความเป็นมา และการ เนอ้ื หาของเรอื่ งมีเปาหมายเพอ่ื ปลุกจิตสาํ นกึ เปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมแฝงฝากฝีมือท้ังด้านสถาปัตยกรรม วัตถุโบราณ วัด และภาพวาด ใหชาวอางทองรักบานเกิด) ที่ท�าให้ย้อนเวลาสู่อดีตผ่านดวงตา และความรู้สึกได้อย่างดี ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของ • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรื่อง สํานกึ รัก สงั คมในปัจจบุ นั น้ี บา นเกิด มกี ลวธิ ดี งึ ดดู ความสนใจของผอู า น อ่างทองเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ มีเขตการปกครอง ๗ อ�าเภอ และมีประชากรเพียงแค่ อยางไร ๒๐๐,๐๐๐ กว่าคน แต่ฝมี ือและความสามารถของคนอา่ งทองน้ันเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร เร่มิ ต้น (แนวตอบ กลา วถึงประเดน็ โดยรวมของเรือ่ ง ที่อ�าเภอโพธ์ิทอง มีศูนย์ศิลปหัตถกรรมงานจักสานบ้านบางเจ้าฉ่า ซึ่งมีผลงานจักสาน ท่ีมี และชใ้ี หเหน็ เร่ืองราวเกี่ยวกบั การปลกุ เอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกประดิดประดอยขึ้นจากความคิด และสองมือบรรจงสร้างสรรค์ด้วย จติ สาํ นกึ ) 71 2. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกีย่ วกับเนือ้ หาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบัติการเขียนเรยี งความนั้น ครูผูสอนควรเพม่ิ เติมความรคู วามเขา ใจและ ขอความตอ ไปนีไ้ มอาจใชเปน สวนใดของเรยี งความ ความสาํ คัญของการเขยี นเรยี งความ โดยครูผูสอนควรชแ้ี นะนกั เรียนวา เรียงความ ตลาดโรงเกลือท่นี จี่ งึ เปรยี บไดดั่ง “สวรรคของนักช็อปเดนิ ดนิ ” ท่แี ตล ะวนั เปน การเขยี นแสดงความรู ความคดิ ความรสู กึ จนิ ตนาการ และความเขา ใจของผเู ขยี น ดวยภาษาทถี่ กู ตอ ง สละสลวย และมีศลิ ปะ เรียบเรียงความคิดและเนอื้ หาที่สมบรู ณ ตงั้ แตเชา จรดเย็นจะมนี ักทอ งเที่ยวนับพันนบั หมน่ื ทยอยเดินทางมาจับจายซอื้ นาอา น ประกอบดวยเอกภาพ สัมพนั ธภาพ และสารตั ถภาพ ตองอาศัยทักษะอยา ง หาสินคาแบรนดเนมราคาถูก คณุ ภาพดจี ากทั่วทกุ มุมโลก ใครทเี่ คยบอกวา หลากหลาย ทงั้ ทกั ษะทางความคิด ทักษะการเขยี น การใชภาษาท่ีดแี ละ ของถูกมกั ไมดี ของดีมกั ไมถ กู เหน็ ทจี ะใชกับท่ีนีไ่ มไ ดแน มปี ระสิทธภิ าพประกอบกัน 1. สว นนําเร่ือง ผูเขยี นจําเปน ตอ งศกึ ษาหลกั เกณฑก ารเขียน ดว ยการหมั่นฝกฝนอยางสมํา่ เสมอ 2. สว นเนื้อเรื่อง และควรศกึ ษาเรยี งความที่ดีเปนแบบอยา งอยา งสมา่ํ เสมอ 3. สว นขยายความ 4. สวนสรปุ ผูทสี่ ามารถถา ยทอดความรสู ึกนกึ คิดของตนเอง เพอื่ ใหข อ มลู จรรโลงใจ และโนมนา วใจผูอา นได ยอมสรา งความสมั พนั ธก ับผอู ่นื ไดดี และสามารถปฏบิ ัติงาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. สว นนําเร่อื ง ขอความทยี่ กมาสามารถใชไ ด ไดสาํ เรจ็ สมความมงุ หมาย ทัง้ สว นเนื้อเรือ่ ง สวนขยายความ และสวนสรุป แตไมสามารถใชเปน สว นนาํ เรอ่ื ง ตอ งมลี ักษณะเปนการเกริน่ เร่อื ง เพอ่ื การเรียกความสนใจของผูร บั สาร กอ นจะถึงสวนทเี่ ปนเน้อื เรื่อง คูม ือครู 71
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ความต้ังใจจริง เกิดเป็นผลงานท่ีโดดเด่นสวยงาม มีความละเอียดลออ ทุกๆ ลายท่ีถักทอมา ตอไปนี้ สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของชาวบ้านได้ดีทีเดียว ต่อมาท่ีอ�าเภอป่าโมก มีหมู่บ้านที่ท�ากลองท่ีใหญ่ • นกั เรยี นคดิ วา เรยี งความเรือ่ ง สํานึกรักบาน ท่ีสุดในโลกอยู่ท่ีต�าบลเอกราช กลองทุกใบจากท่ีนี่มีคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งท�ามาจากฝีมือของช่าง เกดิ มกี ลวิธกี ารลําดบั เนือ้ หาอยางไร ช้ันครูท่ีถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เริ่มจากการขัดเกลาท่อนไม้ให้กลายเป็นกลอง ขึงหนังกลองด้วย (แนวตอบ มกี ลวธิ ีการลาํ ดบั ดว ยการกลาวถงึ ความประณีต ด้วยความช�านาญเชิงช่างและการดนตรี ท�าให้กลองทุกใบมีเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ภาพรวมของเนอ้ื หาในสว นของคาํ นาํ จากนน้ั ที่ต�าบลบางเสด็จมีการปั้นตุ๊กตาชาววัง ภูมิปัญญาจากร้ัววัง ที่ปั้นดินจากท้องทุ่งนาให้กลายเป็น จึงกลาวถึงรายละเอยี ดตา งๆ ในสว นของ ตุ๊กตาท่ีมีชีวิตชีวา ด้วยความช�านาญ ละเอียด และอดทน ท�าให้ตุ๊กตาทุกตัวที่อยู่ในอิริยาบถ เนอื้ หา โดยแยกเปน ประเด็นตางๆ อยา งเปน ของวัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่นพ้ืนบ้าน เช่น มอญซ่อนผ้า ม้าก้านกล้วย ตีวงล้อ ลาํ ดบั พรอมปลุกจิตสํานกึ รักบา นเกดิ ในชวง รีรีข้าวสาร ฯลฯ สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ น้ีเป็นส่ิงทเ่ี ชอ่ื มโยงปจั จบุ ันสอู่ ดีต ดว้ ยเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ที่นา� ทาย และสรปุ เรอ่ื งไดครอบคลมุ ตรงประเดน็ “ทรัพย์ในดิน สินในน้�า” อันอุดมสมบูรณ์ในท้องถ่ินเมืองอ่างทอง มารังสรรค์เป็นผลงานทอง และมคี วามนา สนใจ สามารถเนน ยํ้าความ หัตถศิลป์ช้ินเอกด้วยความมีฝีมือและความสามารถของคนในอดีต รวมทั้งเป็นส่ิงที่เชื่อมต่อ สาํ คัญของเนือ้ หาไดเ ปน อยางด)ี คนเฒ่าคนแกก่ บั คนรุ่นใหม ่ เพื่อสืบสานสรา้ งสรรค ์ ภูมิปัญญาเหล่านบ้ี นวถิ แี หง่ ความยง่ั ยนื • นกั เรียนคดิ วา กลวธิ กี ารลําดบั เน้อื หา สิ่งส�าคัญที่สุดอาชีพหลักของชาวอ่างทองที่เกิดมาจากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอ้ือ เรยี งความเรอื่ ง สาํ นึกรักบา นเกิด มีความ อ�านวยจึงท�าให้ “การท�านา” ของคนอ่างทองท่ีมีการปลูกข้าวเต็มท้องทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตา สอดคลอ งกนั หรือไม และวิธีการลําดบั เน้อื หา ยามออกรวงก็จะเต็มไปด้วยต้นข้าวสีทองอร่าม นอกจากน้ียังมีการปลูกสวนผัก-ผลไม้ ตามแนว ดงั กลา วสง ผลตอความเขาใจเนื้อหาหรอื ไม พระราชด�าริเศรษฐกิจพอเพียง และด้วยความท่ีอ่างทองเป็นแหล่งเกษตรกรรม ชาวบ้านต่าง อยา งไร สามารถหาของรอบตัวมาใช้ท้ังการบริโภคและอุปโภค จึงท�าให้เป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ และมี (แนวตอบ มกี ลวิธีการลําดับเนื้อหาอยางเปน ความพอเพียง อีกท้ังจังหวัดอ่างทองยังเป็น “อู่ข้าว อู่น้�า” ท่ีส�าคัญของประเทศที่พรั่งพร้อม ระบบ โดยกลา วถงึ ประเดน็ หลกั จากนน้ั จงึ ไปด้วยท่งุ นาเขียวในท่รี าบลุ่มแหง่ นี้ ขยายรายละเอยี ดและเนนย้าํ ประเดน็ พรอม ชาวอา่ งทองทกุ คนจงึ ควรมีความรกั ความหวงแหน และภาคภูมิใจในแผน่ ดนิ ถิน่ เกิดแหง่ น้ี ช้นี าํ ความคิดเหน็ ในตอนทา ย) ร่วมกันด�ารงและสืบทอดศิลปะทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อฟื้นวัฒนธรรม • นักเรียนคิดวา เรยี งความเรือ่ ง สาํ นึกรกั บาน ฟื้นประวัติศาสตร์ และฟื้นจิตส�านึกรักท้องถิ่น มิเพิกเฉยปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่าน้ีสูญหาย หรือ เกิด มีกลวธิ ีการเนนย้ําสาระสาํ คัญหรอื ไม ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น โดยเฉพาะพลังส�านึกรักบ้านเกิดของลูกหลานเยาวชนคนรุ่นใหม่ มี อยา งไร ท้ังทางก�าลังแรงกาย และก�าลังความคิดที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาถ่ินฐานบ้านเกิดแห่งน้ี (แนวตอบ เนนยา้ํ สาระสาํ คญั สวนสรุปเน้อื หา ใหม้ ีความเจริญน่าอยู ่ เป็นที่รูจ้ กั ด้วยส่ิงทตี่ นเองได้ศกึ ษาเลา่ เรยี นมา หรือความช�านาญของตนมา และชีใ้ หเหน็ คณุ คา ของวิถีชีวิตชาวอา งทองที่ ทา� ประโยชนเ์ พ่ือทดแทนบุญคณุ บา้ นเกิดอันเป็นท่ีรักยง่ิ เปน็ ที่พง่ึ พา และท่ีอาศยั ของเราทุกคน ควรรักษาไวส บื ไป) แผ่นดินเกิดมีคุณแก่เรา และเราท�าให้แผ่นดินเกิดอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร แหล่งน�้ากินน�้าใช้ และทรัพยากรต่างๆ มีความเจริญรุ่งเรือง น่าอยู่ ผู้คนมีคุณภาพ 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ชีวิตท่ีดี โดยมีวัดเป็นสิ่งยึดเหน่ียวจิตใจ ท�าให้อ่างทองมีความสงบสุขตลอดมา อีกทั้งของเด่น ของดีที่ปรากฏในค�าขวัญท่องเที่ยว คลังวัฒนธรรมพื้นบ้านแห่งลุ่มน้�าเจ้าพระยา ท�าให้ชาว 72 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’48 ออกเกี่ยวกบั เน้อื หาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบตั ิการเขียนเรียงความน้ัน ครผู ูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขา ใจ ขอ ความตอ ไปน้ีไมอ าจเปน สว นใดของเรยี งความ เก่ยี วกับกลวธิ กี ารลําดับความในยอหนา ซ่งึ มีความสําคญั ทัง้ ในดา นเนอ้ื หา กลวิธีการ วยั รุนเปน วยั ของความเปล่ียนแปลง ความไมมัน่ คงทางดา นจติ ใจของวัยรนุ เขยี น รวมถงึ การลําดบั ความคิดจากเนือ้ หาทอี่ า นได การลาํ ดับความในยอหนากระทาํ มตี วั แปรหลายตัว ท่สี าํ คัญคอื ความรูสึกท่มี คี ุณคา ในตนเอง ครอบครวั สว นหนง่ึ ไดห ลายวิธี ดงั ตอ ไปนี้ 1. การลําดบั ความตามเวลา คอื การเรยี บเรียงขอความตาม วดั คณุ คาของเด็กท่กี ารเรยี น ปญหาหลกั ของวยั รุนจงึ มอี ยสู องเรื่อง คอื ปญหา เหตุการณหรือเรอ่ื งราวท่เี กดิ ขนึ้ ตามลําดับกอ น-หลัง เชน การเลาประสบการณ เลา ภายในครอบครวั และปญ หาการเรยี น หากเด็กรสู กึ วา ตนเองไมมีคา จะทําให เรอ่ื ง หรือการอธิบายวิธกี ารทาํ ส่งิ ตา งๆ ยอ หนา ลกั ษณะนมี้ ักไมม ใี จความสําคัญ เกดิ ผลอ่นื ๆ ตามมามากมาย เชน ขาดเปาหมายในชีวติ ถกู เพื่อนชกั จูงใน 2. การลาํ ดบั ความตามพืน้ ที่ คอื การเรียบเรียงขอ ความตามลาํ ดบั ภาพหรือสง่ิ ท่ีมอง ทางท่ีผิด เปนตน เหน็ ยอ หนา ลกั ษณะนม้ี กั ไมมใี จความสาํ คญั 3. การลาํ ดบั ความตามความสาํ คัญ คอื 1. คํานํา 2. เนอ้ื เร่ือง การเรยี บเรยี งขอความตามลาํ ดบั ความสําคญั กอ นหลัง 4. การลาํ ดับความจากขอ สรุป 3. สวนขยาย 4. สรปุ ไปสรู ายละเอียด 5. การลําดับความจากรายละเอยี ดไปสขู อสรุป 6. การลาํ ดบั ความ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. สรุป ไมสามารถเปนสว นสรุปได เนอื่ งจาก จากคาํ ถามไปสคู ําตอบ ยอ หนา ลกั ษณะนี้มกั ไมป รากฏใจความสาํ คญั ทเ่ี ดน ชัด ไมมีลักษณะการขมวดปมของเรือ่ ง หรอื การหยบิ ยกเรื่องอื่นมากลาวเนน ยาํ้ 7. การลาํ ดบั ความจากเหตไุ ปสูผล 8. การลาํ ดบั ความจากผลไปสเู หตุ ประเด็นสาํ คญั อีกครั้งหนึ่ง หรือการกลา วแนะนาํ แตอยางใด เมอ่ื พจิ ารณา เนื้อหาแลวสามารถเปน องคประกอบของเรียงความในสว นอ่นื ๆ ได ทั้งคํานาํ 72 คูมอื ครู โดยมีลกั ษณะเกริ่นนาํ เรือ่ ง เน้ือเรอื่ งนาํ เสนอเนื้อหา และสวนขยายจากการให รายละเอียดและการยกตัวอยา ง
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain อ่างทองทุกคนสามารถบอกชาวไทยและชาวโลกได้ว่า “เป็นคนอ่างทอง” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ด้วยผลงานและแหล่งท่องเท่ียวที่สวยงาม ความเป็นลูกหลานคนกล้า และเมืองท่ีอุดมสมบูรณ์ ความรูใ นประเดน็ ตอ ไปนี้ “ในน�้ามีปลาในนามีข้าว” แห่งนี้ ด้วยความส�านึกรักบ้านเกิดและภาคภูมิใจ จนท�าให้เมือง • เมอ่ื นักเรยี นอานเรียงความเรอ่ื ง สํานึกรัก “สองพระนอน” คงอยู่สืบไปด้วยกระแสแห่งความรัก ความหวงแหนของคนรุ่นเก่า ท่ีลูกหลาน บานเกดิ นกั เรียนมคี วามประทับใจเน้อื หา ชาวอ่างทองทกุ คนสมั ผสั ได้ ของเรยี งความหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ (เรยี งความชนะเลศิ อันดบั ที ่ ๑ โครงการสา� นึกรกั บา้ นเกิด ของบริษทั โทเทิล แอคเซส คอมมูนเิ คช่นั (ดีแทค) : ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ นายวรฉัตร นา้ มงั คละกุล) นักเรียน) • นักเรยี นคิดวา เรียงความเรื่อง สาํ นกึ รกั บาน จากเรยี งความเรอื่ ง สา� นกึ รกั บา้ นเกดิ รางวลั ชนะเลศิ โครงการสา� นกึ รกั บา้ นเกดิ เปน็ งานเขยี น เกดิ มคี ุณคาดา นใดบา ง อยา งไร เรยี งความทดี่ ี แสดงใหเ้ หน็ องคป์ ระกอบและโครงสรา้ งของการเขยี นทเ่ี ปน็ ตวั อยา่ งทด่ี ีในการเขยี น (แนวตอบ เนอื้ หามเี อกภาพ รอ ยเรยี งเรอ่ื งราว เรียงความ ดังนี้ ตอเนือ่ งกนั และนาํ เสนอสาระไดอ ยาง ๑. มคี วามสมบูรณใ์ นองคป์ ระกอบ ครบถ้วนทั้ง ๓ ส่วน คอื สมบรู ณช ดั เจน) ๑.๑ ค�าน�า เป็นส่วนแรกท่ีผู้เขียนเรียงความเปิดประเด็นให้ผู้อ่านทราบว่าจะเขียน เร่ืองราวใดท่ีเก่ียวกับส�านึกรักบ้านเกิด ซ่ึงคือจังหวัดอ่างทอง โดยกล่าวถึงภาพรวมทั้งหมดของ 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด จังหวัดอา่ งทอง ในด้านของสภาพภูมิศาสตร์ วถิ ีชีวิตความเปน็ อยู่ วัฒนธรรมประเพณที ี่สา� คัญๆ ดว้ ยภาษาท่เี รียบงา่ ย กะทัดรดั ตรงไปตรงมา และสอดคล้องกบั ช่ือเร่อื ง ขยายความเขา ใจ Expand ๑.๒ เนอ้ื เรอ่ื ง ผเู้ ขยี นนา� เสนอเนอื้ เรอ่ื งแยกออกเปน็ ตอนตามที่ไดเ้ ขยี นเสนอไวใ้ นคา� นา� มกี ารนา� เสนอเนอ้ื เรอื่ งอยา่ งเปน็ ล�าดบั ขนั้ ตอน โดยเรมิ่ จากประวตั คิ วามเปน็ มาของจงั หวดั อา่ งทอง 1. นกั เรยี นนําโครงเรือ่ งเรียงความท่ีนกั เรียนได ตง้ั แตส่ มยั โบราณจนถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะเดน่ ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญั ญาของชาวอา่ งทอง เรยี บเรยี งไวจ ากกิจกรรมขยายความเขา ใจ ในอา� เภอตา่ งๆ การประกอบอาชพี ของชาวอา่ งทอง และปดิ ทา้ ยเนอ้ื เรอื่ งดว้ ยการปลกุ จติ ส�านกึ ของ หนา 69 มาเรยี บเรียงเปน เรยี งความฉบับ ชาวอา่ งทองใหภ้ ูมิใจและสา� นกึ รกั ในบา้ นเกิด จงึ ทา� ใหเ้ น้อื เร่อื งมคี วามสัมพนั ธ์สอดคล้อง นา่ อา่ น สมบรู ณ นกั เรยี นนาํ เรยี งความทน่ี ักเรยี น นา่ ติดตามไดต้ ลอดทั้งเร่อื ง เรยี บเรยี งขนึ้ มาแลกเปล่ียนความคดิ เห็นกับ ๑.๓ สรปุ ผเู้ ขยี นสามารถสรปุ เรอ่ื งไดค้ รอบคลมุ และตรงประเดน็ โดยใชถ้ อ้ ยคา� สา� คญั ๆ เพือ่ น จากน้ันนักเรยี นนาํ ขอคิดเหน็ ดังกลา ว เช่น “เป็นคนอา่ งทอง” “ในน�า้ มปี ลาในนามีข้าว” “สองพระนอน” มาช่วยสรปุ เร่ืองไดอ้ ย่างนา่ สนใจ ไปแกไขเพ่ิมเติม ใหเรียงความมีความสมบรู ณ ๒. มลี กั ษณะเปน็ เอกภาพ เนอ้ื หาของคา� นา� เนอื้ เรอ่ื ง และสรปุ เกยี่ วเนอ่ื งเปน็ เรอ่ื งเดยี วกนั มากยงิ่ ขึ้น ทา� ให้เนอ้ื หาทุกตอนท่นี า� เสนอมสี ัมพนั ธภาพเก่ยี วเนอื่ งกันตามล�าดับ ไมส่ ับสน และมีสารัตถภาพ คือ เนอ้ื หาในแต่ละสว่ นมีความสมบูรณ์สอดคลอ้ งกบั ช่อื เรือ่ ง 2. ครสู มุ นักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชัน้ เรียน 73 ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสามารถสรปุ ความหมาย องคประกอบ และวธิ ีการเขียนเรียงความได 2. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหล ักษณะเดนของ เรยี งความได 3. นกั เรียนสามารถเขียนเรียงความได ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกับเน้ือหาและองคประกอบในการเขยี นเรียงความ ในการปฏิบัติการเขียนเรียงความนน้ั ครผู ูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขาใจ ขอมูลสว นใดมคี วามสาํ คัญนอ ยท่ีสดุ สําหรบั เรียงความเร่ือง “สนุ ทรภูก วี เกยี่ วกบั รูปแบบและองคป ระกอบของเรยี งความ เรยี งความมีรปู แบบหรอื ลักษณะ ตายตวั กลา วคอื แมวา ความยาวของเรียงความจะมไี มจาํ กัด ขน้ึ อยกู ับขอบเขต เอกของโลก” ประเด็นทีน่ าํ เสนอ และเน้ือหาทงั้ หมดจะแบงออกเปน 3 สว น คือ สวนคํานาํ เน้ือหา (ก) พระอาจารยถ วายพระอักษรพระเจาลกู เธอในรัชกาลที่ 2 และเปน กวี และสวนสรุป ครคู วรแนะนํานกั เรยี นเกยี่ วกับการเรียบเรียงเน้ือหาในองคประกอบ ของเรยี งความ ดงั ตอ ไปนี้ 1. การต้งั ช่ือเรอื่ ง ตอ งเลอื กชื่อเรื่องใหนาสนใจ ในราชสํานักทพี่ ระองคโ ปรดมาก (ข) กวีผเู ปน เลิศในการแตง กลอนแปด 2. การเขยี นคํานาํ ควรแนะใหทราบเนื้อหาภาพรวมของเร่อื ง 3. เนอ้ื เร่ือง จัดเปน มผี ลงานทง้ั ประเภทนริ าศ นทิ าน บทละคร บทเสภา และสภุ าษติ (ค) เกดิ ใน องคป ระกอบสาํ คญั ท่สี ุดในเรียงความ เพราะเปนสว นทบ่ี รรจเุ นื้อหาสาระ ความ รัชกาลท่ี 1 บรเิ วณสถานรี ถไฟบางกอกนอยในปจ จบุ นั ถวายตวั เปน ขา รสู ึกนึกคดิ ทงั้ หมดไว เพอ่ื ควบคมุ รายละเอยี ดของเรยี งความใหต อ เน่ืองสมั พนั ธกนั ในกรมพระราชวงั หลงั ตัง้ แตยังเดก็ (ง) ในรัชกาลตอมาไมไ ดร บั ราชการจึง ท้ังการลาํ ดับเรอ่ื ง ยอ หนาสอ่ื ความคดิ ชัดเจน ความสัมพันธของยอ หนาและประโยค ออกบวช ไดร บั พระอปุ การะจากสมเดจ็ ฯ เจา ฟา กรมขุนอศิ เรศรังสรรค ชว งน้ี การขยายรายละเอียด เสริมความ และเนนความ 4. สว นสรปุ กลาวปด เรือ่ ง ไมให แตงวรรณคดีไวห ลายเรอ่ื ง (จ) องคก รยูเนสโกประกาศยกยองใหเปน บุคคล รายละเอยี ดอืน่ ใด เนนสาระสาํ คญั กระตนุ ใหสนใจ ประทบั ใจ และเกิดความคดิ สําคัญที่มีผลงานดีเดนทางดา นวัฒนธรรมระดับโลก อยา งใดอยางหนึ่ง 1. สว น (ก) 2. สวน (ค) 3. สว น (ง) 4. สว น (จ) วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สว น (ค) เพราะเกย่ี วกับการเกิดและ ถวายตัวเปน ขา ในกรมวงั ต้งั แตเ ดก็ เปน ประวัติชีวิตทมี่ คี วามสาํ คญั นอยท่ีสดุ คมู อื ครู 73
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี ๒. การเขียนย่อความ • นักเรียนคิดวา หากนักเรียนตอ งรับขอ มลู ย่อความ เป็นค�าที่ใช้กันโดยทั่วไปในวิชาภาษาไทยในความหมายของการลดให้ส้ัน จํานวนมากนกั เรียนจะสามารถจัดการกบั เป็นการเรียบเรียงเสนอเฉพาะใจความส�าคัญของเรื่องอย่างย่อๆ เพ่ือให้สามารถอ่านเข้าใจได้ ขอ มลู ดงั กลาวไดอยา งไร อยา่ งรวดเรว็ มีสาระถูกต้อง ครบถว้ น และสมบรู ณ์ตามเรอื่ งเดิม • นกั เรยี นคิดวา นักเรยี นมีวธิ กี ารใดในการ การเขียนย่อความอาจย่อจากข้อเขียนร้อยแก้ว ร้อยกรอง เร่ืองที่ย่ออาจเป็นวิชาการ จัดการขอมลู รวมถึงวธิ กี ารใดบางในการชวย สารคดี บันเทิงคดี จดหมาย แจ้งความ ประกาศ ค�าส่ัง แถลงการณ์ หรืออาจย่อความจาก บันทกึ ขอมูล การฟังปาฐกถา ค�าปราศรยั โอวาท คา� บรรยาย อภิปราย ก็ได้ (แนวตอบ การยอความหรือการสรปุ ความ) ๒.๑ โครงสรา้ งของยอ่ ความ สาํ รวจคน หา Explore โครงสร้างของย่อความข้ึนอยู่กับประเภทของเร่ืองท่ีน�ามาย่อ โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วย นกั เรียนสบื คน เนือ้ หาการเขยี นยอ ความ ยอ่ หนา้ แรกบอกแหลง่ ทม่ี าของเรอื่ ง เพอื่ ความสะดวกในการอา่ นรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ จากตน้ ฉบบั ดงั ตอไปนี้ และยอ่ หน้าต่อไปเป็นสาระของเรื่องทยี่ ่อความ ส�าหรับย่อหน้าแรกซึ่งบอกแหล่งท่ีมา ควรใช้รูปแบบของรายการทางบรรณานุกรม • ความหมาย เพราะให้ข้อมลู เกยี่ วกบั แหล่งทม่ี าได้สมบรู ณ ์ หรอื ในวิชาภาษาไทยมักใหร้ ายละเอียด ดงั น้ี • การเขียนยอความ ๑) ยอ่ ควำมเรียงร้อยแกว้ ธรรมดำ เช่น นิยาย นิทาน ตา� นาน ประวตั ิ ฯลฯ ให้บอกชอ่ื • โครงสรางของการยอ ความ เรือ่ ง ชื่อผแู้ ต่ง ที่มา ดังน้ี • ความสําคญั ของการยอความ • หลกั การยอ ความ ย่อเรอื่ ง ของ จาก.................................................... ................................................................ ................................... ความวา่ .......................................................................................................................................................................................... อธบิ ายความรู Explain .......................................................................................................................................................................................................... 1. นักเรียนจบั คู จากน้ันครูสมุ นักเรยี น 2 - 3 คู รว มกนั ตอบคําถามหนาช้ันเรยี นในประเด็น ๒) ย่อควำมเรยี งทีต่ ัดตอนมำ ให้บอกช่ือเร่อื ง ช่ือผแู้ ต่ง ทีม่ า ดงั นี้ ตอไปน้ี ย่อเรอ่ื ง .......................................... ของ .................................................. คัดมาจากเรื่อง ..................................... • นักเรียนคิดวา การเขียนยอ ความตองอาศยั ความวา่ .......................................................................................................................................................................................... ทักษะการใชภ าษาดา นใดบา ง อยางไร (แนวตอบ การเขยี นยอ ความเปน ทกั ษะการใช ........................................................................................................................................................................................................... ภาษาทต่ี อ งอาศัยทักษะการอา น การฟง และ การเขียนประกอบกนั นกั เรยี นสามารถจับใจ ๓) ย่อประกำศ แจ้งควำม แถลงกำรณ์ ระเบียบ ค�ำส่ัง ก�ำหนดกำร ฯลฯ ให้บอก ความสําคัญและสาระสําคัญจากส่ิงทอี่ า นหรอื ประเภท เรื่องอะไร ของใคร วนั เดอื นปที อ่ี อก ดังน้ี ฟงไดอ ยา งเหมาะสม และถา ยทอดสารน้ัน เปนภาษาเขยี นทีเ่ รียบเรียงโดยสอื่ ความได ยอ่ แถลงการณเ์ รอ่ื ง ...................................................... ของ ............................................... ลงวนั ท ่ี ............................ อยา งเขา ใจ) ความวา่ ............................................................................................................................................................................................ 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ........................................................................................................................................................................................................... 74 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดไมใ ช ลกั ษณะการยอความ ในการปฏบิ ตั กิ ารเขียนยอความนั้น ครผู ูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรูค วามเขาใจ 1. บอกประเภทของขอ ความทยี่ อ เกีย่ วกบั ทักษะการใชภาษาทีต่ องอาศัยทั้งทกั ษะทางดา นการอาน การฟง และ 2. เปล่ียนสรรพนามเดมิ ทใี่ ชสรรพนามบุรุษที่ 1 เปน คําสรรพนามบุรุษท่ี 2 การเขียนประกอบกนั ทง้ั น้ี ข้ึนอยูกบั ความสามารถในการใชภ าษา การจบั ใจความ 3. ยอ ความโดยใชค าํ ราชาศพั ทต ามขอความเดมิ สาํ คัญหรือสาระสําคัญจากส่ิงที่อา นหรือเรอ่ื งราวท่ีไดรบั ฟงเพ่อื ใหเ กดิ ความเขา ใจ 4. ยอความจดหมายโตตอบตอ งระบวุ ันทล่ี งไปดว ย อยา งถกู ตอง สิ่งเหลานี้เปนทกั ษะพนื้ ฐานท่ตี องไดร บั การฝก ฝน ในการติดตามรับฟง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เปลี่ยนสรรพนามเดมิ ท่ีใชสรรพนามบุรุษที่ 1 รวมถงึ พิจารณาเรอื่ งราวที่ไดร บั ฟงอยา งตอเนอ่ื งโดยตลอด ดังนัน้ ผทู ต่ี องการยอความ เปน คาํ สรรพนามบรุ ุษท่ี 2 ไมใชล กั ษณะการยอความ เพราะการยอ ความตอง จึงตอ งมีสมาธิในการฟง และสามารถแยกแยะไดว า ขอความใดเปนใจความสาํ คัญ และ เปลยี่ นสรรพนามเดมิ ทใี่ ชส รรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 (ฉนั ขาพเจา เรา ผม ดฉิ นั ) และ ขอความใดเปนพลความ ถาเราเขา ใจเรอ่ื งราวไดโดยตลอดแลว ยอ มจดจําเร่อื งราว สรรพนามบุรษุ ท่ี 2 (เธอ เจา แก) เปนคําสรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 (เขา เธอ ทาน ที่ฟง และสามารถถา ยทอดใหค นอ่ืนฟงไดด วย ในการรับสารทัง้ การฟง และการดู ผูเขียน) รวมถงึ การอา นแตล ะครั้ง เราตองจับประเด็นของเรื่องท่ฟี ง ได คือ รูวา ผูพดู ตองการ สอ่ื สารอะไร เปนประเด็นสาํ คญั และรูวาอะไรคือประเดน็ รองทท่ี าํ หนา ท่ีขยายประเด็น สาํ คญั การฟง เชน นเ้ี ปน การฟง เพอ่ื จบั ใจความสาํ คญั และใจความรอง รวมถงึ รายละเอยี ด ของเรอ่ื ง 74 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๔) ย่อจดหมำยโตต้ อบ สำร หนงั สอื รำชกำร1 ให้บอกประเภท เป็นของใคร เลขทเ่ี ทา่ ไร 1. นกั เรียนรวมกนั แสดงความคิดเหน็ ในประเดน็ ลงวันทเี่ ท่าไร ถึงใคร เรอ่ื งอะไร ดงั นี้ ตอ ไปนี้ • นักเรยี นบอกความหมายของการเขยี น ยอ่ หนังสือราชการของ .................................................. เลขท่ี .................................. ลงวนั ท่ ี ......................... ยอ ความ ถึง เร่อื ง ................................................................................................... (แนวตอบ การยอความ หมายถึง การลดให ................................................................................. สน้ั โดยการเรียบเรียงและนาํ เสนอเฉพาะ ใจความสําคัญอยา งยอ ๆ เพือ่ ใหส ามารถ ความวา่ ....................................................................................................................................................................................... ทําความเขา ใจเน้ือหาไดอ ยางรวดเร็ว มีสาระ ถูกตอ ง ครบถว น และสมบรู ณต ามเรื่องเดิม) ......................................................................................................................................................................................................... • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นยอ ความตอ ง คํานงึ ถงึ รปู แบบการเขียนในประเด็นใดบาง หมายเหตุ ในการย่อจดหมายหลายฉบับติดต่อกันให้ใช้แบบขึ้นต้นจดหมายเฉพาะฉบับ อยา งไร แรก ส่วนฉบับต่อๆ ไปให้ย่อต่อจากฉบับแรกโดยใช้ค�าพูดเช่ือมต่อกัน เช่น บอกว่าใครตอบ (แนวตอบ การยอ ความมีรูปแบบเฉพาะท่มี ี เม่อื ไร ความว่าอยา่ งไร ความแตกตา งกัน ขนึ้ อยกู บั ประเภทของ ๕) ย่อรำยงำน พระรำชดำ� ร2ัส โอวำท3 สุนทรพจน4์ ปำฐกถำ5 ให้บอกประเภท ของใคร เนื้อหาท่จี ะนํามาใชในการยอ ความ โดย มแี ก่ใคร เร่ืองอะไร เนอื่ งในโอกาสใด ที่ไหน เม่อื ไร ดังน้ี รปู แบบการยอความประกอบดวย 2 สวน คอื สวนที่ 1 สวนขึน้ ตน หรือสวนนาํ ย่อ ........................................................ ของ .................................................... (แสดง ให้ พระราชทาน) แก ่ เปนสว นท่รี ะบทุ ม่ี าของเรอ่ื ง และสว นที่ 2 เรื่อง เนอ่ื งใน ........................................................ สว นเนอ้ื ความ เปน สวนเนื้อหาทไี่ ดจ ากการ .................................................................... .......................................... ยอเรื่องทอ่ี านหรือฟง) ณ .................................................... วนั ท ่ี ...................... (ถา้ ยอ่ จากหนงั สอื ใหล้ งชอื่ หนงั สอื ปที พี่ มิ พ ์ และเลขหนา้ ) 2. ครูสุมนกั เรยี น 6 คน ออกมานําเสนอโครงสรา ง ความว่า ....................................................................................................................................................................................... ของยอความในรูปแบบตา งๆ ทงั้ 6 รูปแบบ ไดแ ก ......................................................................................................................................................................................................... • ยอความเรยี งรอ ยแกว ธรรมดา • ยอ ความเรียงที่ตดั ตอนมา ถา้ เปน็ การยอ่ รายงานท่มี คี �าปราศรัยของผตู้ อบรบั รายงานด้วย อาจย่อเปน็ รูปแบบ ดังน้ี • ยอ ประกาศแจง ความแถลงการณ ระเบียบ ย่อรายงานของ ............................................................................. ใน ........................................................................ เรอ่ื ง คาํ สั่ง กําหนดการ ฯลฯ ....................................................................... และคา� ปราศรยั ของ ความวา่ ................................................................................. • ยอจดหมายโตต อบ สาร หนงั สอื ราชการ • ยอ รายงาน พระราชดาํ รัส โอวาท สนุ ทรพจน ......................................................................................................................................................................................................... ปาฐกถา • ยอบทรอ ยกรอง ........................................................................................................................................................................................................ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (ผตู้ อบ) กลา่ วตอบวา่ ............................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................................... ๖) ย่อบทร้อยกรอง ให้บอกย่อเรอ่ื งอะไร ใช้คา� ประพันธ์ประเภทใด ใครเปน็ ผแู้ ต่ง จาก หนังสอื อะไร หน้าใด ดงั น้ี ยอ่ เรื่อง ......................................................... ประเภทค�าประพันธ์ .............................................................. ของ จากหนงั สอื หนา้...................................................................... ..................................................... ................................... ความวา่ ................................................................................................................................................................................ ......................................................................................................................................................................................................... 75 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู ขอ ใดใชภาษาสอดคลองกับลกั ษณะการเขียนยอความมากทส่ี ดุ 1 หนงั สือราชการ เอกสารท่เี ปนหลกั ฐานในราชการ ไดแก หนงั สอื ทีม่ ีไปมา 1. พ่ีกุงสบตาพี่กอลฟไมว างตา ระหวางสวนราชการ หนงั สือที่สว นราชการมไี ปถึงหนวยงานอ่นื ซ่งึ ไมใชสวน 2. เธอเปน คนสวยอยา งรายกาจ ราชการ หนงั สอื ที่หนวยงานอน่ื ซง่ึ ไมใ ชสว นราชการหรือท่ีบุคคลภายนอกมมี าถงึ 3. ปก ชงกาแฟไดอรอ ยเลศิ ลํ้า สวนราชการ เอกสารท่ีทางราชการจัดทาํ ข้ึนเพือ่ เปน หลักฐาน และเอกสารท่ีทาง 4. เขาไปลอยกระทงกับเพ่อื นๆ ราชการจดั ทาํ ขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรอื ขอบังคบั 2 พระราชดาํ รสั เปน คาํ ราชาศัพทใ ชก บั พระมหากษัตรยิ หมายถึง คําพูด วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เขาไปลอยกระทงกับเพ่อื นๆ เนอ่ื งจากใช 3 โอวาท เปน คาํ ภาษาบาลี หมายถงึ คําแนะนาํ คําตกั เตอื น คํากลา วสอน ภาษาส้นั กระชบั และสอ่ื ความไดช ดั เจน สวนขออ่นื ๆ ใชภ าษาฟมุ เฟอ ย สังเกตจากสาํ นวนตา งๆ ท่นี ํามาขยายประโยค 4 สนุ ทรพจน คําพดู ที่ประธานหรอื บุคคลสาํ คญั เปน ตน กลาวในพธิ ีการหรือใน โอกาสสําคญั ตา งๆ เชน นายกรฐั มนตรกี ลาวสุนทรพจนในทปี่ ระชมุ สมชั ชาใหญ สหประชาชาติ เปน ตน 755 ปาฐกถา ถอ ยคําหรอื เร่ืองราวที่บรรยายในท่ีชมุ นมุ ชน คูมอื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนจับคู จากน้นั ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คู ตวั อย่าง บทร้อยกรอง นมัสการอาจริยคุณ รวมกันตอบคาํ ถามหนา ชน้ั เรยี นในประเดน็ ตอ ไปน้ี อน่ึงข้าคา� นบั นอ้ ม ต่อพระครผู กู้ ารญุ • นักเรียนคิดวา การยอความมคี วามสําคญั โอบเออ้ื และเจอื จนุ อนสุ าสน์ทุกส่งิ สรรพ์ อยา งไร ยงั บ ทราบก็ไดท้ ราบ ทง้ั บุญบาปทกุ สงิ่ อนั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ชีแ้ จงและแบ่งปนั ขยายอตั ถใ์ ห้ชัดเจน ไดอยางหลากหลายขน้ึ อยกู ับเหตุผลของ จติ มากดว้ ยเมตตา และกรณุ า บ เอยี งเอน นกั เรยี น เปน ตน วา 1. ชวยประหยดั เวลาของ เหมอื นท่านมาแกล้งเกณฑ ์ ให้ฉลาดและแหลมคม ผูอา น การยอความชว ยใหนักเรยี นสามารถ ขจดั เขลาบรรเทาโม- หะจติ มืดทงี่ นุ งม ตดิ ตามเร่อื งราวไดอยางรวดเรว็ โดยใชเวลา กังขา ณ อารมณ์ กส็ ว่างกระจา่ งใจ ไมน าน 2. ชวยใหเขา ใจเรือ่ งทมี่ ีเน้ือหามาก คุณสว่ นนคี้ วรนบั ถอื ว่าเลิศ ณ แดนไตร เนื้อหายาก หรือมีความซับซอนไดด ขี ้นึ ชว ย ควรนกึ และตรึกใน จิตน้อมนยิ มชม ใหเ รียบเรียงเน้ือหาไดง ายขนึ้ และชวยในการ ทําความเขา ใจเน้อื เร่อื งไดชดั เจนย่งิ ข้นึ 3. (นมัสการอาจารยิ คณุ : นอ้ ย อาจารยางกูร) ชว ยใหเ ขาใจสาระสําคญั สามารถจบั ประเด็น ไดอ ยา งครบถว น ถกู ตอง และมีความสมบรู ณ ย่อความเร่อื ง นมัสการอาจรยิ าคุณ ประเภทค�าประพนั ธ์ อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๑๑ ของ มากย่งิ ขึ้น 4. ชว ยใหผ อู านเรอ่ื งยอรับรู พระยาศรสี ุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จากหนังสือเรียนวรรณคดวี ิจกั ษ์ หน้า ๑๕ ความวา่ เรื่องราวเบื้องตน และนําไปใชป ระโยชนได) บทรอ้ ยกรองบทน้ี กล่าวถงึ การทีค่ รูอาจารย์สอนศิษย์ให้พ้นจากความโง่เขลา ความ • นกั เรียนคิดวา การยอ ความมีประโยชนต อ ไม่รู้ ความมัวเมาในสิ่งผิด เพ่ือจะได้เป็นคนดีในสังคม ครูเป็นบุคคลท่ีเปี่ยมไปด้วยความเมตตา การเรียนของนกั เรยี นอยางไร กรณุ า จึงสอนศิษย์ทั้งโดยการอธิบายและการแบง่ ปนั หรอื การให้วิชาความรู้โดยไมห่ วง ด้วยเหตุน้ี (แนวตอบ เปนตน วา การเขยี นยอ ความเปน จึงถือวา่ พระคุณของครูนน้ั ยงิ่ ใหญ่ในสามโลก ไม่ว่าจะเป็นมนษุ ย์ สวรรค ์ หรือบาดาล ควรท่ีศิษย์ ทกั ษะการใชภ าษาท่ีตอ งอาศยั ทกั ษะการ จะกตญั ญรู คู้ ณุ ใชภ าษาท้งั ทักษะการอาน การฟง และการ เขียนประกอบกนั การเขาใจลักษณะเนอ้ื หา ๒.๒ ความสา� คญั ของการยอ่ ความ และการจับใจความสาํ คญั จึงเปนการพัฒนา ทกั ษะในการคิดทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั การสื่อสารและ การยอ่ ความมีความส�าคัญและมีประโยชน์ ดงั นี้ พฒั นาความรูค วามสามารถของนักเรยี น) ๑. ช่วยประหยดั เวลาของผู้อ่าน เร่อื งท่มี คี วามยาวมากตอ้ งใชเ้ วลาอ่านนาน การย่อความ จะทา� ให้ติดตามเร่ืองไดร้ วดเรว็ โดยใช้เวลาไม่มากนัก 2. นักเรียนแตละคสู รุปความเขาใจในรปู แบบผงั ๒. ช่วยให้เข้าใจเรื่องที่มีเนื้อหามาก เนื้อหายาก หรือมีความซับซ้อนได้ดีขึ้น เร่ืองที่มี มโนทศั น ความซบั ซอ้ นและยงุ่ ยาก อาจทา� ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความสบั สนได้ การยอ่ ความจงึ ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเรยี บเรยี ง เน้อื เรื่องไดง้ ่ายขึ้น และชว่ ยใหท้ า� ความเข้าใจเร่อื งได้ดขี ้นึ 76 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั สาระสําคญั จากเรอื่ งท่อี าน ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมการเขยี นยอ ความน้ัน ครูผูสอนควรเพมิ่ เตมิ ความรูค วาม 1) ปจ จุบนั หัตถกรรมท่ผี ลติ จากกระดาษเสนใยพชื กาํ ลงั ไดร ับความนิยม เขา ใจเกย่ี วกับทกั ษะกระบวนการจัดระบบความคดิ ของนกั เรยี นในการยอ ความ อยา งกวางขวาง นอกจากกระดาษสาแลว ยังมีเสนใยจากพชื อื่นๆ อีก เชน ดว ยการใหนักเรยี นศกึ ษาคน ควา เน้อื หาเก่ยี วกับการยอความ โดยทําความเขาใจ ใยสบั ปะรด กาบกลว ย เปลือกขา วโพด มูลชา ง ฟางขา ว ผักตบชวา ฯลฯ / โครงสรางของเนอื้ หาเรื่องราวทีป่ รากฏในหนงั สือเรียน จากน้ันประเมนิ คุณคาดาน 2) เพราะเปน ผลติ ภณั ฑทแี่ ลเหน็ ความสวยงามของเสน ใยจากธรรมชาติ / 3) เนอื้ หาในการยอ ความจากหนงั สอื เรียนกอนเปน อนั ดบั แรก การเรียนรูก ารประเมินคา วสั ดุจากธรรมชาตเิ หลา น้ีมอี ยูมากมายในเมืองไทย เปน การเพิม่ มลู คา ดว ยวิธี งานเขยี น จะชวยใหนักเรยี นสามารถพจิ ารณางานเขียนแตล ะประเภทวา มีความ งายๆ จากภมู ปิ ญญาทอ งถนิ่ / 4) ลงทุนนอ ยเกดิ ประโยชนตอส่งิ แวดลอม สมบรู ณท งั้ ในดา นเนอ้ื หา ภาษา และรปู แบบหรอื ไม อยา งไร มแี นวทางในการปรบั ปรงุ มกี ารสรางงานสรา งรายไดใ หแ กทอ งถิ่น เน้อื หาดงั กลา วหรือไม อยางไร โดยนักเรียนนาํ องคความรูทัง้ หมดของนกั เรยี นทีม่ อี ยู สว นใดเปนสาระสําคญั ของขอ ความขา งตน มาใชใ นการตัง้ สมมตฐิ านการเรยี นรู จากนน้ั จึงทําการวเิ คราะหเ นื้อหา กระบวนการ 1. สวนท่ี 1 และ 2 2. สว นที่ 2 และ 3 ดงั กลา ว ชวยใหน กั เรยี นพฒั นาทักษะของตนเอง เพอื่ เติมเตม็ จุดบกพรอ งของตนเอง 3. สว นท่ี 3 และ 4 4. สว นที่ 4 และ 1 ได เชน นักเรียนขาดทักษะความรูใ นการจับประเดน็ ทักษะการเรียบเรียงความคิด วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. สว นท่ี 3 และ 4 เพราะเปนสวนท่แี สดง ผา นภาษายงั ไมด พี อ เปนตน คุณประโยชนข องการผลิตกระดาษจากเสน ใยธรรมชาติ แตสวนที่ 1 และ 2 เปนการขยายรายละเอียดและใหเ หตผุ ลสนับสนุน 76 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓. ช่วยให้เข้าใจสาระส�าคัญ การย่อความช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็นส�าคัญของเร่ืองได้ 1. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย สมบูรณ์ ครบถ้วน และถูกตอ้ งได้งา่ ยข้นึ ความรูใ นประเดน็ ตอ ไปน้ี ๔. ช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้อ่านจากต้นฉบับจริงได้รับประโยชน์จากการอ่าน การติดตามสาระ • นักเรียนคิดวา หลกั การเขยี นยอ ความตอ ง ความรู้ด้วยการอ่านเร่ืองย่อโดยไม่ได้อ่านจากต้นฉบับจริง สามารถท�าให้ผู้อ่านรับรู้เร่ืองราวได ้ อาศัยทกั ษะในการสอ่ื สารทกั ษะใดเปน อยา่ งคร่าวๆ แตส่ ามารถพิจารณาเนอื้ หา และน�าประโยชน์ไปใช้ได้ สาํ คัญ (แนวตอบ ทักษะดา นการอา นซงึ่ เปนทักษะ ๒.๓ หลกั การยอ่ ความ ดานการรบั สารและทกั ษะดา นการเขียนซึง่ เปน ทักษะดา นการสงสาร โดยนักเรียนที่ การย่อความ ประกอบดว้ ยทักษะส�าคญั ๒ ประการ คอื การอา่ นและการเขียน ตองการเขียนยอความตอ งอาศยั ทักษะใน ๑) กำรอ่ำนเพื่อย่อควำม เป็นการอ่านแบบสรุปความ หรือการอ่านจับใจความส�าคัญ การสอ่ื สารท้งั สองทกั ษะมาประกอบกัน เพอื่ ของเรอื่ ง ซึ่งมีขั้นตอน ดงั น้ี ใหส ามารถสื่อสารไดบ รรลุผล) ๑. อา่ นเรอื่ งทจี่ ะเขยี นยอ่ ความทง้ั หมดอยา่ งละเอยี ด เพอื่ ใหท้ ราบวา่ เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั • นักเรยี นคิดวา นกั เรียนมหี ลักการอา น อะไร ใคร ทา� อะไร ที่ไหน เมอื่ ไร อยา่ งไร สาํ หรับการยอ ความอยา งไร ๒. แยกอา่ นและทา� ความเขา้ ใจเรือ่ งแตล่ ะยอ่ หน้าอย่างละเอียด (แนวตอบ 1. อานเรือ่ งทีจ่ ะเขยี นยอความ ๓. จับความคิดหลัก หรือประโยคใจความส�าคัญในแต่ละย่อหน้า ความคิดหลัก อยา งละเอยี ด เพอ่ื ใหท ราบรายละเอียดของ หมายถงึ ความร ู้ ความคดิ ท่ีผู้เขียนเสนอตอ่ ผอู้ ่าน ในแต่ละย่อหน้าจะต้องมคี วามคดิ หลกั ท่ีผอู้ า่ น เหตุการณใ นเรอ่ื งวา ใคร ทําอะไร ท่ีไหน สรุปไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี ว ซ่ึงมกั แสดงด้วยประโยคใจความสา� คัญซึ่งอาจอย่ตู ้นย่อหน้า กลางยอ่ หนา้ เม่ือไร และอยางไร 2. อานทาํ ความเขาใจ หรือท้ายย่อหน้า ส่วนประกอบอ่ืนๆ ได้แก่ ประโยคขยายความหรือพลความ ซึ่งท�าหน้าท่ีขยาย เนื้อหาแตละยอ หนา อยา งละเอียด 3. อา น ใจความส�าคัญ หรือความคิดหลักในย่อหน้าเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนย่ิงข้ึน เช่น รายละเอียด เก็บใจความสําคญั ของเนอ้ื หาอยางละเอยี ด ขอ้ เปรียบเทียบ ตวั อยา่ ง ย่อหน้าบางแบบอาจมคี วามคิดหลักแตไ่ ม่มีประโยคใจความสา� คญั มีแต่ พจิ ารณาใจความหลักและใจความรอง ประโยคขยายความเรยี งต่อเนื่องกนั ไป รวมถงึ พิจารณาสาระสาํ คัญโดยรวมของเร่อื ง ๒) กำรเขียนเพ่ือย่อควำม เป็นการเรียบเรียงสาระส�าคัญที่บันทึกไว้จากการอ่าน โดย ทอี่ านดวย) มีหลัก ดงั นี้ • นักเรียนคิดวา ขนาดของยอ ความควรมี ๒.๑) ขอ้ ความท่ยี ่อ ความยาวเทา ใด เพราะเหตใุ ดจึงเปน เชน นั้น ๑. มีเฉพาะสาระส�าคญั คอื ความคดิ หลัก ส่วนที่เปน็ พลความตดั ออกทง้ั หมด (แนวตอบ พจิ ารณาตามความเหมาะสม ๒. ในกรณีท่ีสาระส�าคัญซ�้ากันหลายๆ แห่ง เม่ือน�ามาเรียบเรียงให้กล่าว ของใจความสาํ คัญ โดยปกตมิ ักมเี นอื้ หา เพยี งครง้ั เดียว ประมาณรอยละ 20-30 ของเนอื้ หาเดิม ๓. ครอบคลมุ ประเดน็ สา� คญั ของเรอื่ งไดค้ รบถว้ น สมบรู ณ ์ ถกู ตอ้ งตามเรอื่ งเดมิ หากยอสน้ั เกนิ ไปจะไมไดใ จความครบถวน) ๔. ข้อความที่เป็นค�าพูดอยู่ในเคร่ืองหมายอัญประกาศ ถ้าไม่ใช่ประเด็นส�าคัญ ใหต้ ดั ออก ถ้าเปน็ ประเด็นสา� คัญให้สรปุ สัน้ ๆ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 77 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การจบั ประเดน็ จากเรือ่ งท่อี า น ในการปฏิบัติการเขยี นยอ ความน้นั ครผู สู อนควรเพม่ิ เตมิ ความรูค วามเขา ใจ ขอ ใดทขี่ อ ความตอ ไปนี้ไมไดก ลา วถงึ เก่ยี วกับทกั ษะกระบวนการจัดระบบความคดิ ในการยอความ เพื่อชวยใหน กั เรียน ผลติ ภณั ฑปโตรเคมชี วยใหเรามีของใชที่น่ิมข้ึน เบาข้นึ ยืดหยุนขึน้ สามารถยอความไดอยางมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล โดยมีเทคนคิ วิธีการในการ จับประเด็นจากการฟงและการอาน โดยมีวิธกี าร ดังตอไปน้ี สามารถทาํ รปู แบบและสสี นั ไดหลากหลายดังใจ สามารถใชแทนวัสดธุ รรมชาติ เชน ไม ซึ่งเปน ทรพั ยากรธรรมชาตทิ นี่ ับวันจะรอยหรอลงไปทุกที 1. นักเรียนควรตั้งใจฟงหรอื อาน และฟงหรืออา นเรือ่ งราวใหเ ขา ใจ พยายาม จบั ใจความสาํ คญั ของเรอ่ื งในแตล ะตอนวา มเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั อะไร มเี หตกุ ารณใ ด 1. ขอเดนของผลิตภณั ฑปโตรเคมี เกิดขน้ึ บา ง ใครทําอะไร ท่ไี หน เมอื่ ไร อยา งไร โดยอา น ฟง และดใู หเ ขาใจ 2. ประโยชนของผลติ ภณั ฑปโตรเคมี อยางนอ ย 2 เท่ียว เพือ่ ใหไ ดแนวคดิ ที่สาํ คัญ 3. ประเภทของผลิตภณั ฑปโตรเคมี 4. ความสาํ คญั ของผลิตภณั ฑป โ ตรเคมี 2. ฟงหรอื อานเรอ่ื งราวทีเ่ ปน ใจความสาํ คัญแลวหารายละเอียดของเร่ืองทีเ่ ปน ลกั ษณะปลกี ยอยของใจความสําคัญ หรือทเ่ี ปน สว นขยายใจความสาํ คัญ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ประเภทของผลติ ภณั ฑปโ ตรเคมี ไมปรากฏ สรุปความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสาํ คัญอยางครบถวน บันทกึ ดว ยขอ ความ ทีก่ ะทดั รัดและชัดเจนเขยี นรา งขอ ความส้นั ๆ ท่จี ดไว ขัดเกลาและตบแตง ในขอ ความที่ยกมาขา งตน แตป รากฏขอความในขอ อืน่ ๆ รางขอ ความสอ่ื ความหมายไดแ จม แจงชดั เจน คมู อื ครู 77
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรวมกันระดมความคิดดวยการตอบ ๕. ข้อความท่ีย่อเรียงล�าดับอย่างไรก็ได้ให้อ่านเข้าใจง่าย ไม่จ�าเป็นต้องเรียง คาํ ถาม ตอ ไปน้ี ลา� ดับตามเร่อื งเดมิ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นยอความมีหลักการ ๒.๒) ส�านวนภาษา หรือวิธีการในการเขยี นอยางไร (แนวตอบ เรยี บเรยี งใจความสําคัญ ๑. ใช้ส�านวนภาษาของผู้ย่อ โดยเป็นการเรียบเรียงเนื้อความใหม่ ไม่ควรใช ้ วัตถปุ ระสงคของขอความ หรอื ความคดิ หลัก ส�านวนภาษาของเร่อื งเดิม และตอ้ งไมต่ ดั ต่อประโยคใจความสา� คญั ของตน้ ฉบบั ของเรือ่ งที่อาน สว นทเี่ ปนพลความควรตัดออก ห รอื ใช้ส รรพ นาม 1บ๒รุ ษุ. ทเร่ ี ยี ๓บ เหร้าียมงเใปช็น้สรเรรื่อพงนราามวใบนุรรษุ ูปทแ ี่ บ๑บ แร้อลยะ แ๒ก ้วใ นถก้าาจระยก่อลคา่ ววาถมึงบุคคลอื่น ใหใ้ ชช้ อ่ื เขียนเรียบเรยี งใหครอบคลุมประเด็นสาํ คัญ ๓. ใชส้ �านวนภาษาที่ด ี มีความกะทัดรัด ชัดเจน สละสลวย น่าอา่ น และถูกตอ้ ง ของเรอื่ งอยา งครบถวน) ตามหลกั การใชภ้ าษา เช่น การใชร้ าชาศพั ท์ • นกั เรยี นคดิ วา การเขียนยอ ความมีหลกั การใช ๔. สา� นวนภาษาหรือค�ายาก ค�ายาว ในเรื่องเดิมใหเ้ ปลี่ยนมาใช้ค�าธรรมดา ภาษาอยางไร อกั ษรยอ่ นน้ั เปน็ ท่รี๕ู้จ.กั ไกมัน่จแ�าพเปร็น่หตลา้อยง ใเชช้อ่นัก ษกรทยม่อ. ในรสขช้อ2.ค รว.าสม.พท.3ี่ย ท่อ ทนทอ. กจากช่ือเดิมจะยาวมากและ (แนวตอบ นกั เรยี นควรเรียบเรยี งโดยใชสํานวน ๖. ถ้าเรื่องเดิมเป็นรอ้ ยกรองให้ยอ่ ความเปน็ รอ้ ยแก้ว ภาษาของตนเอง ใหใ ชสรรพนามบุรษุ ที่ 3 ๗. ใช้ส�านวนภาษาท่ีคงไว้ซ่ึงลีลาหรือน�้าเสียงให้เหมือนเดิม เช่น ความรู้สึก แทนการใชสรรพนามบรุ ุษท่ี 1 และ 2 ท่ี สะเทอื นใจ ปรากฏในเรอ่ื ง โดยเรียบเรียงดวยภาษาระดบั ๒.๓) ความยาวของย่อความ ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนว่า ย่อความควรมีสัดส่วนเหลือ ทางการหรอื กง่ึ ทางการ โดยไมจําเปน ตองเรียง เทา่ ไรจากเรื่องเดิม หรือเร่ืองขนาดใด ควรย่อใหส้ ้ันเทา่ ใด ข้นึ อยกู่ บั ความต้องการและการนา� ไป ลาํ ดบั เรอื่ งตามเร่อื งเดิม เนน ภาษาท่กี ระชับ ใช้ประโยชน ์ และทส่ี �าคญั คอื สาระสา� คัญและพลความในเร่อื งเดิม ชัดเจน และถูกตอง) หากเร่อื งใดมสี าระสา� คัญมาก พลความน้อย ยอ่ ความกจ็ ะไม่สน้ั คือ ประมาณ ๑ ใน ๒ ของเรอื่ งเดิม เพราะถา้ ย่อสัน้ มากไป จะไมไ่ ด้ใจความครบถ้วนตามเรือ่ งเดิม 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด การย่อความเป็นทักษะอย่างหนึ่งท่ีต้องอาศัยการฝึกฝน ผู้ที่มีความสามารถในการ เขียนเป็นอย่างดีมักเป็นผู้ที่มีทักษะในการอ่านที่ดีด้วย ทั้งน้ีเพราะคนท่ีอ่านได้เข้าใจถูกต้อง ขยายความเขา ใจ Expand สามารถจับใจความส�าคัญได้จะเป็นคนท่ีมีความคิดกระจ่าง และสามารถเขียนสื่อสารความคิด ของตนไดอ้ ย่างชดั เจน ดังน้นั ความสามารถในการอ่านจึงควบคู่ไปกบั ความสามารถในการเขยี น ครูจัดทาํ สลากจํานวน 6 หมายเลข ใหน กั เรียน การอ่านเพื่อให้มีทักษะในการจับใจความแล้วน�ามาเขียนย่อความได้อย่างชัดเจน จึงต้องอาศัย จับสลากเลือกหัวขอในการยอ ความ จากนั้นให การฝึกฝนโดยปฏิบัติตามหลักการย่อความข้างต้น ซึ่งช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการอ่านและเขียน นกั เรียนคน หางานเขยี นแตละประเภท พรอมเขยี น ย่อความมากขนึ้ ยอความตามโครงสรางการเขียนยอ ความในหนา 74-75 และตามแนวทางการเขยี นยอความท่นี ักเรยี น ไดเ รียนมา ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับการ 78 ยอ ความได 2. นักเรียนสามารถเขยี นยอความจากงานเขยี น ประเภทตา งๆ ได นกั เรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การจบั ใจความสาํ คัญจากเร่ืองท่อี า น 1 สรรพนาม การใชค าํ สรรพนามในการเขียนยอความ นักเรยี นตองมีความ ขอใดเปน ใจความสําคญั ของขอ ความตอไปนี้ ระมดั ระวงั อยา งย่ิง ในการเขียนยอความผูเขียนควรใชส รรพนามบรุ ษุ ที่ 3 แทนบคุ คล อาหารญ่ปี นุ ทเ่ี ดนๆ คือ ปลาซ่ึงมีโปรตนี ทีด่ ีกวาเนือ้ สตั วช นิดอ่นื เพราะ อ่ืนๆ ท่กี ลาวถึง โดยสรรพนามท่ีใชในการพดู มี 3 ชนดิ ดังตอ ไปนี้ 1. สรรพนาม มีโอเมกา 3 ซ่ึงชว ยลดอัตราเส่ียงตอ โรคหวั ใจและโรคหลอดเลอื ด และยังมี บรุ ษุ ที่ 1 ใชแ ทนผสู ง สาร (ผพู ดู ) เชน ฉนั ดิฉัน ผม ขาพเจา เรา หนู เปนตน วติ ามิน เกลอื แรมาก อีกทัง้ อาหารญป่ี ุนมกั ใชสาหรา ยเปนสวนประกอบหลกั 2. สรรพนามบรุ ษุ ที่ 2 ใชแ ทนผรู ับสาร (ผทู พี่ ูดดว ย) เชน ทาน คณุ เธอ แก ใตเทา ซง่ึ มีท้ังโปรตนี ไอโอดนี และใยอาหาร จึงชว ยเร่ืองการยอ ยและระบบขบั ถาย เปนตน 3. สรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแ ทนผทู ี่กลาวถึง เชน ทา น เขา มัน เธอ แก เปนตน 1. อาหารญ่ปี นุ มคี ุณคาทางโภชนาการสูง 2 รสช. ยอมาจาก คณะรักษาความสงบเรียบรอ ยแหง ชาติ หรอื รสช. (National 2. อาหารญีป่ ุนใหโปรตีนสงู กวาอาหารชาตอิ ื่น Peace Keeping Council - NPKC) เปน คณะนายทหารทกี่ อ การรฐั ประหาร ยดึ 3. อาหารญปี่ ุน ชวยรกั ษาโรคตางๆ อาํ นาจจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวณั เม่อื วนั ท่ี 23 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ. 2534 4. อาหารญปี่ ุน ชวยควบคุมน้ําหนกั ได 3 ร.ส.พ. ยอ มาจาก องคก ารรบั สงสินคา และพัสดุภัณฑเปนหนว ยงานรัฐวิสาหกิจ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อาหารญปี่ ุน มคี ุณคา ทางโภชนาการสูง ในอดตี ของไทย ภายใตก ารกาํ กับดูแลของกระทรวงคมนาคม มหี นา ที่ดําเนนิ กิจการ เปนคําตอบที่ครอบคลมุ เนือ้ หาทง้ั หมด สารอาหารในอาหารญ่ีปุนประกอบ ขนสง สินคา ใหบริการแกหนวยงานราชการ และประชาชนท่วั ไป ดว ยโปรตีน วติ ามนิ เกลอื แร รวมทั้งโปรตีน ไอโอดีน และใยอาหาร 78 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การเขียนจดหมาย ครสู นทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดังตอไปน้ี ปจ จุบนั โลกมีการพัฒนาทางการสื่อสารโทรคมนาคมไดสะดวกและรวดเร็ว สามารถพูดคุย หรือสงขอมูลโตตอบกันไดในทันที แตการส่ือสารผานจดหมายก็ยังคงมีความสําคัญตอการ • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นจดหมายยังคงมี สอ่ื สารในชวี ติ ประจาํ วัน จดหมายท่ีใชสอ่ื สารกนั อยูทุกวันนแี้ บง ออกเปน ๔ ประเภท ดงั น้ี ความสําคัญตอ การส่อื สารในโลกปจจุบนั ท่ีมี ความกาวหนาดา นเทคโนโลยใี นการสือ่ สาร ๑) จดหมายสวนตัว เปนจดหมายท่ีเขียนติดตอระหวางบุคคลท่ีคุนเคยกัน ญาติสนิท หรอื ไม อยา งไร ครู อาจารย เพื่อไตถามทุกขสุขสว นตวั เลาเรื่องราวที่พบเหน็ มา แสดงความเสยี ใจ แสดงความ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ยินดี ขอบคณุ หรือแจงกิจธุระบางอยางที่มีความเกยี่ วขอ งกันระหวางผสู งกบั ผูรบั ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตผุ ลของ นกั เรียน) ๒) จดหมายธุรกิจ เปนจดหมายที่เขียนติดตอกันระหวางบริษัท หางราน และองคกร ตางๆ เพื่อตดิ ตอ กันในเรอื่ งเกยี่ วกบั ธรุ กจิ พาณิชยกรรม และการเงิน สาํ รวจคน หา Explore ๓) จดหมายกิจธรุ ะ เปนจดหมายทบี่ คุ คลเขยี นติดตอ กบั บุคคลอ่นื หรอื ระหวางบุคคลกับ นกั เรยี นสบื คนเกย่ี วกับความหมาย รูปแบบ บรษิ ัท หา งรา น องคก ร เพ่อื แจงธุระตางๆ เชน นัดหมาย ขอสมคั รงาน ขอทราบผลการสอบ และแนวทางการเขียนจดหมายประเภทตางๆ ดงั นี้ บรรจพุ นักงาน ขอความชวยเหลอื และขอคาํ แนะนาํ เพ่อื ประโยชนในดานการงานตา งๆ • จดหมายสวนตัว ๔) จดหมายราชการ หรือท่ีเรียกวาหนังสือราชการ เปนจดหมายที่เขียนติดตอกัน • จดหมายธุรกิจ ระหวางสวนราชการตางๆ หรือบุคคลเขียนไปถึงสวนราชการ หรือสวนราชการมีไปถึงสวน • จดหมายกจิ ธรุ ะ ราชการดวยกันเอง หรือมีไปถึงตัวบุคคล การเขียนจดหมายราชการตองคํานึงถึงแบบของ • จดหมายราชการ หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณดวย ขอความในหนังสือดังกลาวถือเปนหลักฐานทาง ราชการ มสี ภาพผกู มัดถาวร ดงั นัน้ จงึ ควรเขียนใหก ระจา งและชดั เจน อธบิ ายความรู Explain ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 1. นักเรียนนําตัวอยางจดหมายทงั้ 4 ประเภท มา อธิบายใหเ พื่อนฟง จากนน้ั รวมกันตอบคําถาม ...จึงเรยี นเชญิ ทานเปนวิทยากรเพ่อื แสดงปาฐกถา เรอ่ื ง “การใชภาษาไทย ตอไปนี้ ในชวี ิตประจําวัน” แกส มาชิกชมรมวิชาภาษาไทย... • นักเรยี นคิดวา การแบง ประเภทของ ขอใดกลา วถงึ ลกั ษณะเนือ้ ความในจดหมายไดถ กู ตอ งทีส่ ดุ จดหมายออกเปน 4 ประเภท ไดแ ก 1. สงขา วเหตุการณ จดหมายสวนตวั จดหมายธรุ กิจ จดหมาย 2. ขอความรว มมอื กิจธรุ ะ และจดหมายราชการ เปน การแบง 3. มเี ร่ืองปรกึ ษา ประเภทของจดหมายโดยยดึ อะไรเปนเกณฑ 4. สมานไมตรี ในการแบง (แนวตอบ ยึดวตั ถปุ ระสงคในการสือ่ สารเปน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ขอความรว มมือ เปนการเขียนจดหมายโดย เกณฑใ นการแบงประเภทของจดหมาย ซง่ึ วตั ถปุ ระสงคเ ปน ตัวกําหนดเนอ้ื หา ภาษา มจี ุดมุงหมายเพ่ือขอความรว มมือและความอนุเคราะหจ ากหนวยงานหรอื บคุ คล สอดคลอ งกับเนอื้ ความท่ีหยิบยกมาขา งตนมากทสี่ ดุ ๗๙ รวมถงึ รูปแบบวิธกี ารในการสือ่ สาร) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู ในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการเขียนจดหมายน้ัน ครผู สู อนควรเพิ่มเตมิ ความรูความ เขา ใจเก่ยี วกบั ความรูเ บ้ืองตน ในการเขียนจดหมาย การตดิ ตอสือ่ สารผา นจดหมาย เปนการตดิ ตอ กับบคุ คลอน่ื เพอ่ื ขอความรวมมือชว ยเหลอื ท้ังการติดตอสว นตัว และการติดตอกจิ ธรุ ะ ซ่ึงมีลักษณะของเน้ือหาแตกตางกนั ไป ไมวาจะเปน การสง ขาวเหตกุ ารณ การเชอื่ มความสมั พันธ การสนทนาปราศรัย การใหคาํ แนะนาํ และ กจิ กรรมทัว่ ไป จดหมายแตล ะประเภทลวนมีวัตถปุ ระสงคหรือจดุ มุงหมายในการ ตดิ ตอส่อื สารทม่ี ีความแตกตา งกนั ไป ลักษณะการใชภาษาในการเขียนจดหมายจึงมี ความแตกตางกัน ครคู วรชแี้ นะวา นอกจากผเู ขียนจะมคี วามรคู วามเขาใจเกีย่ วกับการใชภาษาไทย เปน อยา งดี ทงั้ ในเรือ่ งคํา วลี ประโยค สาํ นวนภาษา ระดบั ภาษา รวมถึงทกั ษะ การเขียนเบอ้ื งตน แลว ผูเขยี นควรมีความรูเ ก่ยี วกับรูปแบบการเขยี นจดหมายกจิ ธุระ ลักษณะตางๆ และนาํ ความรูเ กย่ี วกับการใชภาษาลกั ษณะตางๆ มาปรบั ใช เพ่อื ให การส่อื สารสมั ฤทธิผล คมู ือครู 79
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนจบั คู จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 - 3 คู ตวั อยา่ ง จดหมายราชการ รว มกนั ตอบคําถามหนาชนั้ เรียนในประเด็น ตอไปน้ี คณะโบราณคด ี มหาวิทยาลยั ศิลปากร • นกั เรยี นคิดวา จดหมายทปี่ รากฏในหนา 80 ถนนหนา้ พระลาน กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ เปนจดหมายประเภทใด และนักเรียนมีวธิ ี การสังเกตเบือ้ งตน อยางไร ข อคว ามอนุเคราะห1์บุคลากรเปน็ วิทยาก๑ร๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ (แนวตอบ จดหมายราชการ สังเกตไดจ าก เรื่อง รูปแบบของจดหมาย ซ่ึงมีตราเคร่อื งหมาย เรยี น ผอู้ �านวยการสา� นกั ศิลปากรท่ี ๑๕ ภเู ก็ต ราชการปรากฏบนหวั กระดาษของจดหมาย รวมถึงมีรปู แบบการเขยี นท่ีมีลกั ษณะชัดเจน ด้วยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมกับกรมศิลปากร จัดโครงการเสวนา เปน แบบแผน รวมถงึ มกี ารใชภ าษาสนั้ กระชบั สรรสาระวัฒนธรรม (ปีที่ ๗) ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ - กันยายน ๒๕๔๘ และสามารถสื่อความไดอ ยางตรงไปตรงมา) โดยในเดอื นตลุ าคม ๒๕๔๗ น้ ี ทางคณะฯ จดั บรรยายในวันเสารท์ ่ ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗ ในหัวข้อ • นกั เรียนคดิ วา จดหมายแตละประเภทมี “ยอ้ นเส้นทางสายไหมทางทะเล : ทุ่งตกึ เมืองท่าการคา้ นานาชาต”ิ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. รปู แบบแตกตางกันหรอื ไม และเพราะเหตุใด ณ ห้องประชุมด�ารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ในการน้ีคณะโบราณคดี จดหมายแตละประเภทจึงมรี ูปแบบที่ ใคร่ขอความอนุเคราะห์ให้ ร้อยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ เป็นวิทยากรในการบรรยายเร่ือง แตกตา งกนั “ยอ้ นเสน้ ทางสายไหมทางทะเล : ทงุ่ ตกึ เมอื งทา่ การคา้ นานาชาต”ิ ในวนั เสารท์ ่ี ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๔๗ (แนวตอบ จดหมายแตละประเภทมีรปู แบบท่ี เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุมด�ารงราชานภุ าพ พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ตา งกัน ขน้ึ อยูก ับวัตถุประสงคใ นการเขียน เน่ืองจากวตั ถปุ ระสงคในการสือ่ สารมคี วาม จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดพจิ ารณาด้วย จกั ขอบพระคุณยงิ่ แตกตา งกนั จงึ เปน ตัวกําหนดวธิ ีการสือ่ สาร ทแ่ี ตกตางกนั รวมถึงการสง จดหมายใน ขอแสดงความนับถือ รูปแบบทีเ่ หมาะสมยอ มเปน การใหเกยี รติ ผรู ับจดหมาย สอดคลอ งกับหลกั การส่ือสาร (รองศาสตราจารย์ชนญั วงษ์วภิ าค) โดยคํานึงถงึ ผรู บั สารเปนหลกั และการเขยี น จดหมายตามระเบยี บแบบแผน ยอ มสง ผลดี รองคณบดฝี ่ายกจิ กรรมพิเศษ ตอความสัมพนั ธระหวางผูรับและผูสง ปฏิบตั ริ าชการแทนคณบดีคณะโบราณคดี จดหมายได) ส�านักงานเลขานกุ ารคณะโบราณคดี 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ โทรศพั ท์. ๐-๒๒๒๔-๗๖๘๔ โทรสาร. ๐-๒๒๒๖-๕๓๕๕ จดหมายแต่ละประเภทมีรูปแบบและการใช้ภาษาท่ีแตกต่างกัน ในระดับชั้นน้ีควรฝึก เขยี นจดหมายกจิ ธุระ ซึง่ เปน็ จดหมายทสี่ ามารถน�าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวนั ได้ 80 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การใชภาษาในการสอื่ สารผานเนื้อความ ในการปฏิบัติกจิ กรรมการเขียนจดหมายนั้น ครูผูส อนควรเพิม่ เติมความรคู วาม ในจดหมายกจิ ธุระ เขา ใจเก่ยี วกบั รูปแบบการเขียนจดหมายในลกั ษณะตา งๆ ซึ่งมีจดุ ประสงคใ นการ ขอ ความสว นใดในจดหมายกิจธุระตอ ไปน้ไี มจ ําเปนตองกลา วถงึ สือ่ สารทแ่ี ตกตางกัน ดวยการใหนักเรียนศกึ ษาคน ควาเนอ้ื หาเกีย่ วกับรปู แบบของ 1) ดวยชมรมวิทยาศาสตรจะจัดการแขงขันโตว าทรี ะดับมัธยมศกึ ษาตอน จดหมายจากหนงั สือเรียน จากน้นั ประเมินคณุ คาดานเนือ้ หาในการเขียนจดหมาย ปลาย เนอ่ื งในงานสปั ดาหว ทิ ยาศาสตร ระหวางวนั ที่ 20-22 สิงหาคม 2551 จากหนงั สือเรียน / 2) ซ่ึงการแขงขนั โตวาทจี ําเปน ตองมีคณะกรรมการตัดสินเพอ่ื หาผูชนะ / 3) ในการนี้จึงขอเรียนเชิญทา นเปนกรรมการตัดสนิ การโตวาทรี อบชงิ ชนะเลศิ นกั เรยี นควรรู / 4) ในวนั พุธที่ 22 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00-14.30 น. ณ หอ งประชมุ 1. สว นท่ี 1 2. สวนท่ี 2 1 ขอความอนุเคราะห เปนเน้ือหาในการเขียนจดหมายเพือ่ ขอความรว มมือ 3. สวนท่ี 3 4. สว นที่ 4 ลักษณะหน่งึ ทงั้ จากหนวยงานหรือองคกรตา งๆ ในการเขยี นนน้ั เริ่มตนจากการ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สว นที่ 2 เพราะจดหมายกิจธุระเนน การ ช่ืนชมหนว ยงานหรอื องคก ร จากนน้ั จึงแจง ใหท ราบวาผเู ขยี นกาํ ลงั ดาํ เนนิ กิจกรรมใด สอ่ื สารใหบ รรลุเปาหมายเปนหลกั การเพ่ิมรายละเอยี ดจะมีเฉพาะสวนท่ีมี สง ผลตอสังคมอยา งไร เพอ่ื ใหผ ูร ับใหก ารสนบั สนนุ หรอื เกิดความตอ งการทีจ่ ะให ความจาํ เปนเทาน้ัน การส่อื สารผา นจดหมายกจิ ธุระที่สําเรจ็ ไดน ้นั จะตอ งมี ความชว ยเหลอื จากน้ันจงึ ระบรุ ายละเอยี ดตา งๆ ของส่ิงทตี่ องการขอความรว มมือ การใชภ าษาทถี่ กู ตอ ง กระชับ รดั กุม และตรงประเดน็ ซงึ่ สอดคลอ งกบั สวนท่ี 1 สวนท่ี 3 และสวนที่ 4 สว นในขอที่ 2. ถือเปน สวนเกนิ 80 คูม อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ๓.๑ การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ 1. นกั เรียนรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ตอ ไปน้ี จดหมายกจิ ธุระเป็นจดหมายทเี่ ขียนตดิ ตอ่ กับบุคคล หรือองคก์ รตา่ งๆ เชน่ หา้ งร้าน บริษทั • นักเรียนคิดวา ในการเขียนจดหมายเพื่อ สมาคม ฯลฯ เพื่อติดต่อกิจธุระต่างๆ แม้แต่นักเรียนก็ต้องเขียนจดหมายกิจธุระอยู่เสมอๆ เช่น กจิ ธุระ นักเรียนควรมคี วามรูดา นใดบาง เขยี นจดหมายขอลาหยดุ เรยี นเมอ่ื เจบ็ ปว่ ย มกี จิ ธรุ ะจา� เปน็ หรอื เชญิ วทิ ยากรมาบรรยาย ขอเขา้ ชม อยางไร กจิ การของสถานประกอบการตา่ งๆ เปน็ ตน้ (แนวตอบ ความรูเก่ียวกับหลักภาษา ตั้งแต การเขียนจดหมายกิจธรุ ะตอ้ งใชภ้ าษากะทัดรดั และตรงประเด็น เพอ่ื สื่อสารให้ผอู้ ่านเขา้ ใจ เรื่องคาํ สาํ นวน ระดับภาษา และการเขยี น ตรงกนั โดยมรี ปู แบบการเขียนเชน่ เดยี วกบั หนงั สือราชการ ดังตวั อย่าง รวมถงึ ลักษณะของจดหมาย ข้นั ตอน และ รูปแบบการเขยี น) ตวั อย่าง แบบการเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นจดหมายกิจธุระมี จุดมงุ หมายใดเปน สําคัญ โรงเรียนปลกู ปัญญา (แนวตอบ จดหมายกิจธุระเปนการแบง ๑๔๒ ถ. ตะนาว พระนคร ประเภทของจดหมายตามวัตถุประสงคใน กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐ การสอ่ื สาร โดยจดหมายกจิ ธรุ ะเปน จดหมาย ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ ที่เขยี นติดตอ กับบุคคลหรือองคก รตางๆ เพื่อ ติดตอ กิจธรุ ะตางๆ) เรอื่ ง ............................................................................ • นกั เรียนคดิ วา การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะมี เรยี น ............................................................................ กลวิธีการใชภ าษาอยางไร ส่งิ ท่ีสง่ มาด้วย ....................................................... (แนวตอบ ภาษาที่ใชในการเขยี นจดหมาย กจิ ธุระควรเปน ภาษาระดับทางการ มีการใช ........................................................................................................................................................................................................................... ภาษาเขยี นอยา งถูกตอ ง กระชบั ชดั เจนตรง ................................................................................................................................................................................................................................................ ประเดน็ สุภาพ สละสลวย มีความเหมาะสม ................................................................................................................................................................................................................................................ และนาอาน เพ่ือสอื่ สารใหผูอา นเกิดความ ................................................................................................................................................................................................................................................ เขาใจตรงกนั ) ................................................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................................................ 2. ครูสมุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมานําเสนอรปู แบบ การเขียนจดหมายกจิ ธุระวาประกอบดวย ขอแสดงความนบั ถอื สวนใดบาง อยางไร 3. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด (นายปญั ญวีร์ โรจนหริ ญั พงศ์) ขยายความเขา ใจ Expand ผ้อู า� นวยการโรงเรยี นปลูกปญั ญา 1. ครนู าํ ตวั อยางจดหมายกจิ ธรุ ะทไ่ี มส มบรู ณ ทง้ั ในดานรปู แบบ เนื้อหา และภาษา มาให 81 นักเรียนพจิ ารณา จากนน้ั ใหน กั เรียนรว มกนั ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT แกไขจดหมายใหม ีความสมบรู ณ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ การเขยี นจดหมายกจิ ธุระในขอ ใดใชค ําขึน้ ตนไดถูกตองเหมาะสมกับ สถานภาพของผูรับ เกรด็ แนะครู ขอ ผูรับ คําขึ้นตน คําลงทาย ในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการเขยี นจดหมายน้นั ครผู ูสอนควรเพิม่ เติมความรูความ 1. พระภิกษุ นมัสการ ดว ยความเคารพอยางสูง เขา ใจเกีย่ วกับความหมายและความสาํ คญั ในการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ ซึง่ เปน 2. คณุ ครู กราบเทา ดวยความเคารพ จดหมายที่บคุ คลเขียนติดตอ กบั บุคคลหรอื บรษิ ัท หางรา น รวมถึงองคกรตา งๆ เพื่อ 3. วทิ ยากรพิเศษ เรยี น ขอแสดงความนับถือ แจง กิจธรุ ะ เชน จดหมายลากิจ จดหมายขอความชว ยเหลอื จดหมายขอบคุณ 4. คุณปู กราบเทา ขอแสดงความนบั ถือ เปนตน การพจิ ารณาวา จดหมายฉบบั ใดเปน จดหมายกิจธุระไดหรือไมน้ัน สามารถ พิจารณาไดจ ากจุดประสงคใ นการส่อื สาร เนือ้ หา ลลี าการใชภาษา รวมถึงรูปแบบท่ี วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ผูรบั คอื “วทิ ยากรพิเศษ” ใชค ําขนึ้ ตน วา ใชในการตดิ ตอ ส่อื สารเปน สําคัญ ฉะน้ัน ในการเขียนจดหมายเพอื่ การติดตอส่อื สาร จึงตองคํานงึ ถงึ ประเด็นดงั กลา วขา งตนเปน สําคญั การท่จี ะบรรยายเรือ่ งราวตางๆ “เรียน” ใชค าํ ลงทา ยวา “ขอแสดงความนับถือ” ขออ่ืนๆ ใชคาํ ไมถกู ตอง คอื ผานทางจดหมายไดน ั้น ยอ มตอ งอาศัยภาษาและถอ ยคาํ สาํ นวนในจดหมายเปนสอ่ื - ขอที่ 1. พระภิกษุ คําลงทา ยตอ งใชวา “ขอนมสั การดวยความเคารพ” ขอ ท่ี กลางในการถา ยทอดสาร ภาษาที่ใชในการเขียนจดหมายตองเปนภาษาระดับทางการ 2. คุณครใู ชคาํ ขึน้ ตนวา “เรยี น” หรอื “กราบเรยี น” และขอท่ี 4. คําลงทา ยท่ี หรือกึ่งทางการ สนั้ กระชบั ไดใจความชัดเจน เพ่ือใหผูอานเกดิ ความเขา ใจเนอื้ หา ใชก บั คุณปูต อ งใชวา “ดวยความเคารพอยางสงู ” ไดอยา งชดั เจน และสามารถปฏิบัติตามเน้ือหาทีป่ รากฏในจดหมายได จดหมาย กิจธรุ ะน้ัน ตอ งเนนความนาเช่ือถือ ความเหมาะสม และความเปนระเบยี บสวยงาม เปน สําคญั ผูเขยี นจงึ ตองเอาใจใสใ นรายละเอียดตา งๆ อยางถถ่ี ว น คมู อื ครู 81
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นศกึ ษาตัวอยางจดหมายกจิ ธรุ ะ : แบบของจดหมำยกิจธุระ จดหมายเชญิ วิทยากร ในหนังสือเรยี นหนา 82 ส่วนท ่ี ๑ ประกอบด้วย หน่วยงานเจา้ ของจดหมาย วนั เดอื น ป ี จุดมุง่ หมายของการเขียน อธบิ ายความรู Explain จดหมายกิจธุระฉบับนั้น ซึ่งใช้ค�าว่า “เรื่อง” ค�าขึ้นต้นใช้ค�าว่า “เรียน” ตามด้วยช่ือต�าแหน่ง หรือช่ือบุคคลท่ีจดหมายฉบับน้ันส่งไปถึง ถ้ามีรายละเอียดหรือข้อมูลต่างๆ ส่งไปด้วย ก็ใช้ 1. นักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกนั แสดง คา� วา่ “ส่งิ ท่ีสง่ มาด้วย” ความคิดเหน็ ในประเดน็ ตอไปน้ี • จดหมายเชิญวทิ ยากร มอี งคป ระกอบใดบาง สว่ นที่ ๒ เปน็ ใจความของจดหมายกจิ ธุระฉบบั นน้ั ซ่ึงอาจมีหลายยอ่ หนา้ กไ็ ด้ อยางไร สว่ นท่ี ๓ ประกอบดว้ ย คา� ลงทา้ ย ซง่ึ สว่ นใหญใ่ ชค้ �าวา่ “ขอแสดงความนับถอื ” มีลายเซน็ (แนวตอบ นักเรียนสามารถพิจารณาคําตอบ พร้อมวงเล็บชอื่ สกลุ เต็ม และตา� แหน่งของผู้เขยี นจดหมาย จากขอ มลู ในหนงั สอื เรียนหนา 82 โดยแบง องคประกอบออกเปน สามสว น) ตวั อย่าง จดหมายกจิ ธรุ ะ : จดหมายเชญิ วิทยากร • นกั เรยี นคิดวา จดหมายเชญิ วทิ ยากร มกี ลวธิ ี การเขยี นอยางไร โรงเรยี นไทยศกึ ษา ถนนวภิ าวดรี งั สติ (แนวตอบ นอกจากองคประกอบดา นรปู แบบใน รงั สิต บางเขน กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐ การเขียนจดหมายแลว มกี ารกลา วถงึ การจัด ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กิจกรรม วันเวลา และวัตถุประสงคในการจดั กิจกรรม จากนั้นจึงกลาวชน่ื ชมคุณสมบตั ขิ อง เรอ่ื ง ขอเชญิ วทิ ยากร วทิ ยากรท่มี คี วามสอดคลอ งกับลักษณะของ เรียน คุณนติ ิรฐั เอยี่ มระหง การจัดกจิ กรรม และกลาวเรยี นเชิญ พรอ มระบุ เนอื่ งดว้ ยทางโรงเรยี นไทยศกึ ษาจะจดั งานวนั สง่ิ แวดลอ้ มไทยขนึ้ ในวนั ศกุ รท์ ี่ ๔ ธนั วาคม วันเวลาในการจัดกิจกรรม และเนนย้าํ ๒๕๕๒ โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนตระหนักในคุณค่าของส่ิงแวดล้อมและรณรงค์ให้นักเรียน เน้ือความในตอนทา ย) ร่วมใจรักษาส่ิงแวดล้อม ทางโรงเรียนตระหนักดีว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรอบรู้ในเร่ือง ส่ิงแวดล้อม จึงขอเรียนเชิญท่านเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “รักษาส่ิงแวดล้อมเพื่อวันพรุ่งนี้” 2. ครสู ุมนักเรียน 1-2 คน ออกมานาํ เสนอรปู แบบ ในวันศุกรท์ ่ ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ หอประชุมโรงเรียนไทยศกึ ษา การเขียนจดหมายกจิ ธุระ จากน้นั นกั เรียนบันทกึ จึงเรียนมาเพื่อโปรดอนุเคราะห์เป็นวิทยากร ตามวัน เวลา และสถานท่ีดังกล่าว และ ความเขาใจลงในสมุด ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนด้ี ้วย ขยายความเขา ใจ Expand ขอแสดงความนับถอื สมศักด ิ์ ภักดี 1. ครนู าํ ตัวอยางจดหมายกจิ ธุระซึ่งเปน จดหมาย เชญิ วทิ ยากรทไ่ี มส มบูรณ ทั้งในดา นรูปแบบ (นายสมศักด์ ิ ภกั ด)ี เนอ้ื หา และภาษา มาใหนกั เรียนพิจารณา ผอู้ �านวยการโรงเรียนไทยศกึ ษา จากน้ันใหนักเรียนรว มกันแกไ ขจดหมายใหมี ความสมบูรณ 82 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกับการใชภ าษาในจดหมายกิจธรุ ะ ในการปฏิบัตกิ ิจกรรมการเขียนจดหมายนัน้ ครูผูสอนควรเพม่ิ เติมความรคู วาม ขอความสวนใดไมเหมาะจะใชใ นจดหมายกิจธรุ ะ เขา ใจเกยี่ วกบั ความหมายและความสําคญั ในการเขียนจดหมายกิจธรุ ะ เพื่อให 1) บัดนี้ถงึ กาํ หนดทจี่ ะตอ งยืนยันการเดนิ ทางไปทองเที่ยวกับบริษัท “เทย่ี ว นักเรยี นเกิดความเขาใจและเกิดความต้งั ใจปฏบิ ตั ิกจิ กรรมในชนั้ เรียนมาย่งิ ขึน้ โดยมี ทวั่ แดน” แลว /2) ขอใหท านจองลวงหนา กบั บรษิ ทั ชําระเงินคาเดนิ ทาง รายละเอยี ด ดังตอไปน้ี 1. จดหมายกิจธุระชว ยใหผ ูส งสารและผรู ับสารตดิ ตอสอ่ื สาร ภายในวันท่ี 10 มกราคม ศกน้ี /3) ถา ทานไมจายเงินตามเวลาดงั กลา วก็ กันงา ยขึน้ และประหยดั คาใชจา ยในการเดินทาง 2. จดหมายกิจธรุ ะเปน เอกสาร แปลวาทานสละสิทธ์ทิ ี่เคยจองไวกอนหนานี้ /4) ทางบรษิ ัทจะมอบสทิ ธิส์ ว น สําคัญ ใชเปน หลกั ฐานในการตดิ ตอส่อื สารกนั ระหวา งหนวยงาน ทั้งหนว ยงานรัฐบาล ของทานแกผ จู องในรายชอ่ื สาํ รองตอไป และหนว ยงานเอกชน ในปจ จบุ ันถงึ แมวาจะมกี ารใชโทรศัพทหรอื การติดตอ ทาง 1. สวนท่ี 1 2. สว นที่ 2 อินเทอรเน็ตทีส่ ะดวกและรวดเร็วกวา แตบ างครัง้ การใชจดหมายในการตดิ ตอ สอ่ื สาร 3. สว นที่ 3 4. สวนที่ 4 กม็ ีความจําเปน นอกจากจะใชในการตดิ ตอสอ่ื สารแลว ยงั สามารถใชเปนหลกั ฐาน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. สว นท่ี 3 ถา ทา นไมจายเงนิ ตามเวลา ทางกฎหมายไดอกี ดวย 4. การใชจดหมายกจิ ธุระสามารถสือ่ สารเร่อื งราวไดอยา ง ดังกลาวก็แปลวา ทานสละสทิ ธ์ทิ เี่ คยจองไวกอนหนานี้ เปน ขอความทม่ี ี เหมาะสม ชว ยสรา งสัมพันธภาพทด่ี ีระหวา งบุคคลและหนวยงาน 5. จดหมายกิจธุระ ลกั ษณะการใชภาษาผิดระดบั ควรใชว า “หากทา นไมช าํ ระเงินตามระยะเวลา อาจจะใชต ิดตอเรอ่ื งกจิ ธุระระหวา งบุคคล 6. สามารถแจง เร่ืองราวตางๆ ไดตาม ที่กาํ หนด ถือวา ทา นสละสิทธ์”ิ จุดมงุ หมาย ความชดั เจนของขอ มลู และประโยชนเ ปนสําคญั 82 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สาํ รวจคน หา ตวั อยา่ ง จดหมายกจิ ธุระ : จดหมายสมคั รงาน นกั เรียนศึกษาตัวอยา งจดหมายกิจธุระ : จดหมายสมัครงานและตวั อยา งประวัตยิ อ ใน ๔/๕๖ ถนนอู่ทองใน เขตดสุ ิต หนังสอื เรยี นหนา 83 - 84 แขวงบางซ่อื กรงุ เทพฯ ๑๐๘๐๐ อธบิ ายความรู Explain ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ เร่อื ง สมคั รงานในต�าแหนง่ เลขานุการ 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ เรยี น ผจู้ ดั การฝ่ายบุคคลบรษิ ัทศรีสุข จ�ากัด ตอไปนี้ สงิ่ ท่สี ่งมาดว้ ย • จดหมายสมัครงาน มอี งคประกอบเหมอื น จดหมายเชิญวิทยากรหรอื ไม อยางไร ดฉิ นั ไดท้ ราบขา่ วจากประกาศของกรมแรงงาน เมอื่ วนั ท ่ี ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๕๒ วา่ บรษิ ทั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถพจิ ารณาคําตอบ ศรีสุข จ�ากัด ต้องการรับพนักงานในต�าแหน่งเลขานุการ ๒ ต�าแหน่ง ดิฉันขอสมัครรับใช้ท่าน จากขอ มลู ในหนังสอื เรียนหนา 82 โดยแบง ในตา� แหน่งดงั กล่าว จงึ ขอเสนอให้ท่านพจิ ารณาความเหมาะสม รายละเอียดต่อไปนี้ องคป ระกอบออกเปน สามสวนเชนเดียวกนั ดิฉันช่ือ นางสาวลดาวลั ย ์ คงมนั่ อาย ุ ๒๓ ปี สัญชาติไทย มสี ุขภาพสมบูรณ์แขง็ แรง แตเน้ือหามีรายละเอยี ดแตกตา งกนั ) ส�าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา • นักเรยี นคิดวา จดหมายสมคั รงาน มกี ลวิธี ๒๕๕๐ ตลอดระยะเวลา ๔ ป ี ทดี่ ฉิ นั ศกึ ษาอยใู่ นสถาบันน ้ี ดฉิ ันฝึกฝนการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ การเขียนอยางไร และทักษะการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมต่างๆ เป็นอย่างดี ดิฉันสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ (แนวตอบ นอกจากองคป ระกอบดา นรปู แบบ คลอ่ งแคล่ว และสามารถพมิ พด์ ดี ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษไดน้ าทลี ะ ๗๐ ค�า ระหวา่ งการ ในการเขยี นจดหมายแลว มกี ารกลา วถงึ ศึกษาดิฉันเคยฝกึ งานดา้ นเลขานกุ ารทบ่ี รษิ ทั โชคอนนั ต์ จ�ากดั (มหาชน) เปน็ เวลา ๓ เดือน แหลง ขอ มูลแจงการรับสมัครงาน จากนั้นจึง เมื่อจบการศึกษาแล้ว ดิฉันได้ท�างานที่บริษัท ไทยพัฒนา จ�ากัด ในต�าแหน่งผู้ช่วย แนะนําตนเองในยอหนาถัดมา พรอ มระบุ เลขานุการกรรมการผู้จัดการเป็นเวลา ๑ ปี สาเหตุที่ลาออกเพราะดิฉันต้องการประสบการณ์ ความสามารถพเิ ศษ ในยอ หนา ตอมากลาว- ในการท�างานท่ีมากขึ้น เพ่ือเป็นการรับรองความรู้และความประพฤติในการท�างาน ท่านอาจ ถงึ ประสบการณ กลา วถึงผรู บั รองในยอหนา สอบถามไดท้ ี่ ถดั มา และใหชอ งทางการติดตอในยอ หนา ๑. ผศ. ดร. อไุ รพร แกว้ เจรญิ อาจารยป์ ระจา� คณะอกั ษรศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร สดุ ทายของเนอื้ หา) โทร. ๐-๒๑๒๓-๙๙๙๙ ๒. นายชนะ สุขสการ หัวหน้าทรัพยากรบุคคล บริษัทโชคอนันต์ จ�ากัด (มหาชน) 2. ครูสมุ นักเรียน 1-2 คน ออกมานําเสนอรูปแบบ โทร. ๐-๒๔๒๓-๑๗๘๖ การเขียนจดหมายสมัครงาน จากน้นั นกั เรียน ๓. นางวรรณมาลี สุภากร เลขานุการกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยพัฒนา จ�ากัด บันทึกความเขา ใจลงในสมดุ โทร. ๐-๒๔๑๑-๕๕๕๕ ขอให้ดิฉันได้มีโอกาสได้พบท่าน เพ่ือเรียนท่านด้วยตนเองว่า ดิฉันจะรับใช้ท่าน ขยายความเขา ใจ ไดอ้ ย่างไรบา้ ง ทา่ นสามารถติดต่อดิฉันได้ตามทอ่ี ยูข่ ้างต้น หรือโทร. ๐-๒๙๖๓-๔๐๐๐ ขอแสดงความนับถอื Expand (นางสาวลดาวลั ย ์ คงมั่น) 1. ครูนําตวั อยางจดหมายกิจธรุ ะซึ่งเปนจดหมาย สมคั รงานที่ไมส มบรู ณ ทัง้ ในดานรูปแบบ ขอสอบ O-NET เนอ้ื หา และภาษา มาใหน ักเรยี นพิจารณา ขอ สอบป ’52 ออกเก่ียวกบั การใชภ าษาในจดหมายกจิ ธรุ ะ ขอความสว นใดเหมาะจะใชใ นจดหมายกิจธุระ 83 จากน้นั ใหนกั เรียนรวมกนั แกไ ขจดหมายใหม ี 1) พรอ มกนั นี้ผมขออนญุ าตสง เอกสารเก่ียวกับการพัฒนาสินคา มาใหดู ความสมบูรณ เผือ่ จะเปนประโยชนก ับสมาชกิ / 2) ทั้งนีไ้ มไ ดหมายความวาทานจะตอ ง ดาํ เนนิ การผลติ ตามหลักการใหมนจี้ งึ จะสง สินคามาขายได / 3) รายละเอียด 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด อืน่ ๆ เกี่ยวกับสินคา มีอยอู กี มากที่ศูนยฯ ถาทา นจะแวะไปกย็ ินดตี อนรบั / 4) หากทานมขี อ ของใจสามารถติดตอไดใ นเวลาทําการ ตามหมายเลขโทรศัพท เกรด็ แนะครู ทา ยจดหมายนี้ 1. สว นที่ 1 2. สวนที่ 2 ในการปฏิบัตกิ จิ กรรมการเขียนจดหมายสมัครงานนน้ั ครผู สู อนนอกจากจะให 3. สวนท่ี 3 4. สว นท่ี 4 ความรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั โครงสรา งและรูปแบบของจดหมายสมคั รงานแลว ครูผูส อน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. สวนที่ 4 จดหมายกจิ ธุระตอ งใชภาษา ควรเนน ใหความรูความเขาใจเกย่ี วกับวตั ถุประสงคในการเขียนจดหมายสมคั รงาน ระดบั กงึ่ ทางการข้นึ ไปตามระดับภาษาท่ใี ชใ นสวนที่ 4 สว นในขอ อน่ื ๆ ควรมี วา จดหมายสมัครงานเปนสวนสําคญั ในการแนะนาํ ตวั ของผสู มัครงาน เปนการเปด การแกไข ดงั ตอไปนี้ ขอ ที่ 1. แกคําวา ดู เปน พจิ ารณา ขอ ท่ี 2. แกคําวา โอกาสใหผ ูรบั สมัครงานเห็นแงมุมตา งๆ ของผสู มคั รงานผานทางจดหมายสมัครงาน ไมไ ด เปน มไิ ด ขอ ที่ 3. แกค ําวา อีกมาก เปน หลายประการ และคําวา แวะ ทีม่ กี ารแนะนาํ ตัวเอง ทงั้ ในดา นประวัตยิ อทแ่ี สดงความสามารถตางๆ นอกจากนี้ ยงั เปน เย่ยี มชม เปนขอ มลู เบอื้ งตนในการสะทอนบคุ ลกิ ภาพของผปู ฏิบัติงานวาเปน อยางไร เพ่ือให ผูรับสมคั รพจิ ารณาตัดสนิ ในลําดบั ตอ ไป ควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกับการ ใชภาษาทส่ี ะทอนบคุ ลิกภาพของผูส มัคร ฉะนัน้ การเขียนจดหมายสมคั รงานจึงมิได เปน เพยี งการกลาวถึงขอ มลู เบอ้ื งตน ของผสู มัครงาน รวมถึงประวัตยิ อของผสู มัครงาน เทา นั้น แตเปนการแสดงถึงบคุ ลกิ ภาพของผสู มคั รงานวา เปนเชน ไร ดว ยการถา ยทอด ผานภาษาทง้ั วจั นภาษาและอวจั นภาษาในจดหมายสมัครงาน คมู อื ครู 83
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนจดั กลมุ กลมุ ละ 4 - 5 คน พรอมรว มกัน ตัวอยา ง ใบประวตั ยิ อ แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ จากประเดน็ คาํ ถาม ดังตอไปนี้ นางสาวลดาวลั ย คงมั่น • นักเรยี นคิดวา มกี ารระบุขอ มลู ใดบา ง ในประวตั ิยอ ๑. ท่ีอยูปจ จุบัน ๔/๕๖ ถนนอูทองใน เขตดสุ ติ (แนวตอบ เรม่ิ ตนโดยระบชุ ือ่ และรายละเอียด ๒. ประวัติสว นตัว แขวงบางซอ่ื กทม. ๑๐๘๐๐ ในการติดตอ กลับ ประสบการณการทาํ งาน ๒๓ ป / ๒ มนี าคม ๒๕๒๙ ทผ่ี านมา ขอ มูลดานการศกึ ษา ทักษะความ ๒.๑ อาย/ุ ปเกดิ พทุ ธ สามารถ และบุคคลหรือหลักฐานอางอิง) ๒.๒ ศาสนา ๔๘ กก. / สวนสงู ๑๖๕ ซม. • นักเรียนคิดวา นกั เรยี นสามารถนาํ ความรู ๒.๓ นา้ํ หนัก/สวนสูง ไทย / ไทย เก่ียวกับหลักการสอื่ สารมาใชในการเขยี น ๒.๔ สัญชาต/ิ เชื้อชาติ โสด ประวตั ยิ อ ไดอยา งไรบา ง ๒.๕ สถานภาพการสมรส แข็งแรง (แนวตอบ กอนเขียนประวตั ยิ อ นกั เรียนควร ๒.๖ สุขภาพ โรงเรียนสตรีกรงุ เทพฯ วเิ คราะหผ รู ับสาร พรอมกําหนดจดุ ประสงค ๓. การศกึ ษา คณะอกั ษรศาสตร มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ในการส่อื สาร เมื่อนักเรียนทราบจดุ ประสงค ๓.๑ มธั ยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๕๐ ของตนเอง ตาํ แหนง งานหรอื ลักษณะงาน ๓.๒ ปรญิ ญาตรี ฝกงานดานเลขานุการท่ีบริษัท โชคอนันต จํากัด ทตี่ นเองตอ งการ และทราบทกั ษะความ ๔. ประสบการณ (มหาชน) ๓ เดอื น ระหวางวนั ท่ี ๑ มถิ นุ ายน - ๓๑ สามารถทจี่ าํ เปนสาํ หรับการปฏบิ ัติงานแลว สิงหาคม ๒๕๕๑ นกั เรยี นจึงจะสามารถนําความรูด ังกลา วมา ๕. กจิ กรรมนอกหลกั สูตร - เลขานกุ ารสโมสรนกั ศกึ ษาคณะอักษรศาสตร ประยกุ ตใ ชได) - ประชาสมั พันธชมรมศลิ ปะการแสดง • นกั เรยี นคดิ วา ประวัติยอ ที่ดคี วรมกี ลวิธีการ ๖. ผลงาน - ประธานชมรมศลิ ปะการพดู เขยี นอยางไร ๗. คุณสมบัติพิเศษ ประชาสัมพันธเผยแพรก จิ กรรมชมรมศลิ ปะ (แนวตอบ จดั รูปแบบและสรปุ เนื้อหาใหกระชับ การแสดงจนเปนท่ีรูจ ักของคนทว่ั ไป และเดน ชดั ตรงประเด็น ขอมูลตงั้ อยู - พิมพดีดภาษาไทยและภาษาอังกฤษไดนาทีละ บนพืน้ ฐานของความจรงิ และตรวจสอบได ๗๐ คาํ ใชภาษาไดถ ูกตองชดั เจน) - มคี วามเปนผูนํา - สามารถพดู และเขียนภาษาองั กฤษ จนี 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ และญ่ปี นุ ไดเ ปนอยางดี หนา ชั้นเรียน ๘๔ บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครูสามารถนาํ ความรูเ กีย่ วกบั การเขียนจดหมายสมคั รงานเช่ือมโยงกับ เกรด็ แนะครู สาระการเรยี นรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี รายวิชาการงานอาชพี และ เทคโนโลยี หนวยการเรียนรเู รือ่ ง งานอาชพี เนอ้ื หาเกี่ยวกับแนวทางการ ในการปฏิบตั กิ จิ กรรมการเขียนจดหมายสมคั รงานน้นั ครผู ูสอนนอกจากจะให เขาสูอาชพี โดยเชอื่ มโยงการเขียนจดหมายสมัครงานทีถ่ ูกตอ งเหมาะสม ความรคู วามเขาใจเกีย่ วกับโครงสรางและรปู แบบของจดหมายสมคั รงานแลว ครู สามารถนาํ เสนอบุคลิกภาพอันโดดเดน และสรางภาพลกั ษณท ีด่ ใี นการ ผสู อนควรเนน ใหค วามรูค วามเขา ใจเก่ียวกับประวตั ิยอ (Resume) ซง่ึ เปน เคร่อื งมอื นําเสนอตนเองเพ่ือเขาทํางานไดอยา งถกู ตองเหมาะสม ท้ังในดา นการใช ทางการตลาดอยางหน่ึง มจี ุดมงุ หมายเพ่อื นาํ เสนอตนเอง บอกถึงความสําเร็จใน ภาษา และการสอื่ สารที่สอดคลองกับความตอ งการของผูร บั สาร นกั เรียน อาชีพการงานทผี่ านมา รวมถงึ คณุ สมบัตแิ ละความสามารถ เปน เครอื่ งพสิ จู นว า สามารถประยกุ ตความรูความเขาใจดังกลาวไปใชใ นการดําเนินชวี ิตได ผูส มัครงานมคี ุณสมบตั ิเหมาะสมกับงานทส่ี มัคร วธิ ีการเขยี นประวตั ิยอ (Resume) เปน อยางดี เร่ิมตนจากการวางเปา หมายและการทาํ ความเขาใจประวัติของตนวา สอดคลองกับ ตาํ แหนง งานทส่ี มัครหรือไม ในการเขยี นขอ มลู ตา งๆ นนั้ ผเู ขียนควรใชภาษาทีส่ น้ั กระชบั แตมีความชัดเจน รวมถึงแฝงลกั ษณะเดน ของตนเองดว ย ควรจะเลือก รูปแบบทอ่ี า นงาย ดเู รยี บรอ ย สบายตา ยกเวน หากเปน ตาํ แหนงงานท่ีตองการ ความคิดสรา งสรรค ควรใหดูสะดดุ ตาแตอานงา ย ควรเลอื กใชคาํ สุภาพบง บอก ความหมายทีช่ ดั เจนและสละสลวย เพ่อื ดงึ ดูดความสนใจของผรู ับสมัครงาน 84 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ ขอ ควรคาํ นงึ ในการเขยี นจดหมาย 1. นักเรยี นรวมกันระดมความคดิ ดว ยการตอบ คาํ ถาม ตอไปน้ี ๑. เขียนขอความในจดหมายใหชัดเจน จะชวยใหเกิดประโยชนท้ังผูสงสารและผูรับสาร • นักเรียนคดิ วา ในการเขียนจดหมาย นกั เรียนควรคํานงึ ในเรื่องใดบาง อยา งไร ตามที่ตัง้ วตั ถุประสงคไว (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขนึ้ อยูก บั เหตผุ ลของ ๒. ใชรูปแบบของจดหมายใหถูกตองซึ่งแสดงใหเห็นถึงความเปนผูรูจักกาลเทศะ และ นักเรยี น เปนตน วา 1. เรยี บเรยี งดวย สาํ นวนภาษาทีม่ ีความชัดเจน เพือ่ ใหเกิด สงผลใหก ารสงจดหมายฉบบั น้ันสัมฤทธิผล ประโยชนท ง้ั ผรู ับสารและผูสง สารไดตรงตาม วัตถปุ ระสงคใ นการสื่อสารทีต่ ้ังไว 2. ใช ๓. แสดงมารยาทที่เหมาะสมกับ รูปแบบจดหมายใหถูกตอ งตามกาลเทศะและ การสื่อสาร เพอื่ สรา งสัมพนั ธภาพทดี่ รี ะหวาง บุคคลท่ีติดตอดวย ท้ังการเลือกใชถอยคํา ผรู บั และผสู ง สาร ชวยใหก ารส่ือสารสมั ฤทธ-ิ ผล 3. คํานงึ ถงึ มารยาททเี่ หมาะสมในการ ภาษา ความสะอาด กระดาษเขียนจดหมาย สื่อสาร ทง้ั มารยาทในการใชถอยคาํ สาํ นวน ภาษา การใชก ระดาษ ความเปน ระเบยี บ และความเปนระเบียบของลายมือ หรือการ ▼▼ ของลายมือ และองคประกอบอน่ื ๆ 4. บรรจุ ซองดว ยความเรยี บรอย จา หนาซองถกู ตอ ง จดั หนา กระดาษ โดยระบชุ อ่ื ที่อยผู รู ับ และรหัสไปรษณียอ ยาง ชดั เจน) ๔. การบรรจุซองจะตองเรียบรอย 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด จาหนา ซองใหช ัดเจน โดยเขยี นระบุช่อื ผูรบั การสงจดหมายใหสัมฤทธิผล ผูจัดสงตองเขียนหรือพิมพที่อยูของ ผูร บั ใหถูกตองชัดเจน ทอี่ ยู และรหัสไปรษณียใหชดั เจน ¨§Ö ¡ÅÒ‹ Çä´ÇŒ Ò‹ 㹡ÒÃà¢ÂÕ ¹§Ò¹à¢ÂÕ ¹áµÅ‹ лÃÐàÀ· ໹š ¡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒà¾Í×è ¶Ò‹ ·ʹ¤ÇÒÁÃÙŒ ขยายความเขา ใจ Expand ¤ÇÒÁ¤´Ô ã˼Œ ÍÙŒ ¹è× ·ÃÒºâ´ÂãªÀŒ ÒÉÒ໹š ÊÍ×è ¼·ŒÙ ÁèÕ ¤Õ ÇÒÁôŒÙ ¨Õ ÐÊÒÁÒö¨´Ñ ÃÐàºÂÕ º¤ÇÒÁ¤´Ô ´Õ áÅÐèٌ ¡Ñ àÅ×͡㪌ÀÒÉÒ¶‹Ò·ʹ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁ¤´Ô ¹é¹Ñ ä´ŒÍÂÒ‹ §àËÁÒÐÊÁ ÁÈÕ ÅÔ »Ð㹡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒ ¨Ð·Òí ãËŒ 1. นกั เรียนเขยี นจดหมายสมคั รงาน พรอม §Ò¹à¢ÂÕ ¹¹¹éÑ Á¤Õ س¤‹Ò ¹Ò‹ ͋ҹ áÅйҋ ʹ㨠â´Â੾ÒСÒÃà¢ÂÕ ¹àÃÂÕ §¤ÇÒÁ «§Öè ໚¹¡Òö‹Ò·ʹ ประวตั ยิ อ ตามตาํ แหนงงานและหนวยงานที่ ¤ÇÒÁÌ٠¤ÇÒÁ¤´Ô ¨ÐµÍŒ §ÇÒ§â¤Ã§àÃÍè× §ãË´Œ Õ áÅÐà¢ÂÕ ¹´ÇŒ ÂÀÒÉÒ·¶Õè ¡Ù µÍŒ § ÊÇ‹ ¹¡ÒÃÂÍ‹ ¤ÇÒÁµÍŒ §¨ºÑ 㨠ครกู ําหนด ¤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ¢Í§àÃ×èͧÃÒǵҋ §æ ãËŒ¡ÃЪºÑ ᵋä´ãŒ ¨¤ÇÒÁ¤Ãº¶ŒÇ¹¶Ù¡µŒÍ§ÊÁºÙó àËÁÒÐÊíÒËÃºÑ ¼·ÙŒ ÁÕè àÕ ÇÅҹ͌  ᵵ‹ ÍŒ §¡Ò÷ÃÒºàÃÍ×è §ÃÒÇ·§éÑ ËÁ´ ¼·ÙŒ ÂèÕ Í‹ ¤ÇÒÁ໹š Á¡Ñ ¨ÐµÍŒ §à»¹š ¹¡Ñ ÍÒ‹ ¹ ¤¹·ÍèÕ Ò‹ ¹ 2. ครูสุม นักเรียน 1 - 2 คนออกมานําเสนอ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §ÃÇ´àÃÇç áÅШºÑ 㨤ÇÒÁÊÒí ¤ÞÑ ä´´Œ ¨Õ ÐÊÒÁÒöÂÍ‹ ¤ÇÒÁä´´Œ ´Õ ÇŒ  㹢³Ðà´ÂÕ Ç¡¹Ñ ¡ÒÃà¢ÂÕ ¹ หนา ชน้ั เรียน ¨´ËÁÒ ¼·ŒÙ ÊèÕ ÒÁÒöà¢ÂÕ ¹¨´ËÁÒÂä´Œ´µÕ ŒÍ§Ãˌ٠ÅÑ¡¡ÒÃà¢ÂÕ ¹ ÁÕÁÒÃÂҷ㹡ÒÃà¢Õ¹ ãªÀŒ ÒÉÒä´Œ ÍÂÒ‹ §¶Ù¡µŒÍ§áÅÐàËÁÒÐÊÁ à¾Í×è ã˼Œ ÍÙŒ ¹×è ÃºÑ ÃàŒÙ ÃÍ×è §ÃÒÇ·µÕè ÍŒ §¡ÒÃÊ×èÍÊÒÃä´ŒµÃ§µÒÁÇµÑ ¶»Ø ÃÐʧ¤ ๘๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนสิง่ ที่ควรคาํ นึงถึงมากที่สดุ ในการเขยี นจดหมาย ในการปฏิบัติกิจกรรมการเขียนจดหมายน้ัน ครูผสู อนควรเนนใหความรู 1. ใชป ากกาสีนาํ้ เงินหรอื สดี ําในการเขียน ความเขา ใจเก่ยี วกบั มารยาทในการเขียนจดหมายดว ย เนอื่ งจากการเขยี นจดหมาย 2. ใชร ูปแบบจดหมายใหถูกตองตรงตามวัตถปุ ระสงค นอกจากจะเปน การสือ่ สารทางวจั นภาษาผานการใชถอยคาํ แลว การเขียนจดหมาย 3. ตรวจสอบการเขียนสะกดคาํ ใหถกู ตอ งตามหลกั ภาษา ยงั ประกอบดว ยการสือ่ สารผา นอวจั นภาษาคอื ภาษาทไ่ี มมีการใชถอยคาํ ไดแก 4. เรยี บเรียงเนื้อความดว ยอักษรทีเ่ รยี บรอยอานงา ยและสวยงาม รูปแบบของจดหมาย ลกั ษณะการใชกระดาษ ซ่งึ สะทอนบุคลกิ ภาพของผูเขียน และเปนใบเบิกทางในการทําความรจู กั และสรา งความสัมพันธอ ันดีระหวางกันได วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ใชร ปู แบบจดหมายใหถ กู ตอ งตรงตาม ในอนาคต วตั ถุประสงค เปนสง่ิ ทต่ี องคาํ นึงถึงเปนลาํ ดับแรก โดยผเู ขียนตอ งคํานงึ วา เขียนถงึ ใคร เพอื่ อะไร เนอ้ื หาเปน อยา งไร เพ่ือใหส ามารถสอื่ สารสผู ูอา นได ประสบความสาํ เรจ็ และเปนการรักษาสมั พันธภาพท่ดี ีระหวางกัน คูมอื ครู 85
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรียนรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ปกณิ กะ • นักเรยี นคิดวา ความรคู วามสามารถดาน การเขยี นเรียงความ การยอ ความ และการ ´Ç§µÃÒä»ÃɳÂÕ Ò¡Ã เขยี นจดหมายเปน ทกั ษะท่ีมีความสัมพนั ธก นั อยา งไร ดวงตราไปรษณียากร หรือแสตมปŠเป็นหลัก°าน (แนวตอบ เปน ทักษะทเ่ี กิดจากกระบวนการคิด การªำาระค่าบรÔการไปรษณีย์ มักเป็นกระดาษรูปส่ีเหล่ียม และการจดั ระบบความคดิ อยางเปน ระเบียบ เพ่ือตÔดบน«อง¨ดหมาย แต่แสตมปŠที่มีรูปร่างหรือทำา¨าก ถายทอดผา นภาษา เพอื่ ใชใ นการสอื่ สารอยาง วสั ดุอน่ื ก็มีอยู่บา้ ง มศี ิลปะ) • การเขียนเรียงความ การยอความ และการ แสตมปมŠ กั พมÔ พอ์ อกเปน็ แ¼น่ ประกอบดว้ ยแสตมปŠ เขียนจดหมายมคี วามสําคญั ตอการติดตอ หลายดวง ปกตอÔ ยูร่ ะหว่าง òð ถÖง ñòð ดวง มกี ารปรรุ ู สอื่ สารในสังคมยุคปจจุบันหรือไม อยางไร รอบดวงแสตมปŠ (¿˜นแสตมปŠ) ด้านหลังแสตมปŠมีกาว (แนวตอบ ในยคุ ที่มีความกาวหนา ดา น เคลอื บอยู่ กระดาษทã่ี ªพ้ มÔ พม์ กั แทรกสง่Ô พเÔ Èษไวเ้ พอ่ื ปอ‡ งกนั เทคโนโลยีทกั ษะการเขยี นดงั กลา วถอื เปน การปลอมแปลง เªน่ ลายน้าำ หรือดา้ ยสี พื้นฐานในการติดตอส่อื สาร ผูทม่ี คี วามรคู วาม สามารถในทกั ษะทั้งสามอยา ง ถือเปนผทู ่มี ี แสตมปŠªุดแรก¢องไทย คือ ªุดâสÌÈ ออกãª้ ทกั ษะการคิดและการจัดระเบยี บความคดิ ไดด ี เปน็ ครงั้ เมื่อวันที่ ô สÔงหาคม พ.È. òôòö ประกอบดว้ ย จึงสามารถนาํ ไปประยุกต และปรบั เปล่ียนให แสตมปŠราคาหนÖ่งâสÌÈ (ครÖ่งอั°) หน่Öงอั° หน่Öงเสี้ยว มคี วามสอดคลอ งกับส่ือที่เปลีย่ นแปลง และ (สองอ°ั ) หนง่Ö «ีก (สอ่ี °ั ) และหนÖง่ สลÖง (สÔบหกอั°) สามารถตอบสนองกระบวนการตดิ ตอสือ่ สาร ไดอยางรวดเรว็ ) นอก¨ากน้ีãนสมัยน้ันยังมีแสตมปŠอีกดวงราคา หนÖ่งเ¿œ„อง (แปดอั°) แต่เนื่อง¨ากส่งมาถÖงไทยล่าª้า 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ¨Öงไม่มีการãª้งาน¨รÔง แสตมปŠªุดน้ีออกแบบและพÔมพ์ท่ี กรุงลอนดอน สหราªอาณา¨ักร ãนª่วงน้ันไทยยังไม่ได้ ตรวจสอบผล Evaluate เ¢้าร่วมเป็นสมาªÔกสหÀาพสากลไปรษณีย์ ¨Öงไม่มีªื่อ ประเทÈปราก¯ สว่ นแสตมปทŠ สี่ ง่ั พมÔ พª์ ดุ ตอ่ æ มาเปน็ ไปตาม 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั การ ก®¢องสหÀาพสากลไปรษณีย์ กลา่ วคอื มีªอื่ ประเทÈและ เขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะได ราคาãนÀาษาองั กÄษ และมคี าำ วา่ “postage” «ง่Ö หมายถงÖ เป็นการªาำ ระค่าไปรษณยี ์ 2. นกั เรียนสามารถเขยี นจดหมายกจิ ธุระประเภท ตา งๆ ได 86 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดกลา วถึงลักษณะการใชภาษาในการเขยี นเรยี งความ ยอความ และ ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการจัดการเรียนการสอนเกยี่ วกับการเขียนนน้ั ครูผูสอน จดหมายไมถ กู ตอ งท่สี ดุ ควรเนน พฒั นาทักษะการเขียนของนักเรียน โดยเนนการพฒั นาระบบการคดิ เปน หลัก 1. การเขยี นเรียงความควรใชภ าษาท่สี ้ันกระชบั และไดใจความ เนือ่ งจากงานเขียนท่ดี ียอ มเกิดจากการคดิ ที่เปน ระบบ จากน้นั จงึ นําแนวความคิดที่ 2. เรยี งความสามารถใชโ วหารแบบพรรณนาโวหารได ไดม าถายทอดผา นภาษา ดว ยการเลือกสรรกล่นั กรองและเรียบเรียงความรู ความคิด 3. การเขียนยอ ความเนน การพรรณนาเชนเดียวกับการเขยี นเรียงความ อารมณ ความรสู ึกออกมาผานภาษาดว ยความประณตี ชัดเจน ในการปฏบิ ัติกจิ กรรม 4. การเขียนจดหมายสวนตัวสามารถใชภ าษาระดบั ไมเ ปนทางการได สรา งสรรคง านเขยี นน้นั ตอ งอาศยั การพฒั นาทกั ษะการเขียนอยา งถกู ตอ งเหมาะสม วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การเขยี นยอ ความเนนการพรรณนาเชนเดียว และเปนกระบวนการ ชวยใหผ ูเขียนเกิดความรคู วามชํานาญในการใชภ าษา และ กบั การเขยี นเรยี งความ เปน คาํ ตอบทไี่ มถ ูกตอง เนื่องจากการเขยี นยอ ความ สามารถเลอื กใชภ าษาไดเหมาะสมสอดคลอ งกับเนอ้ื หาหรือจดุ มุงหมายในการสอ่ื สาร ตอ งใชภ าษาที่ส้นั กระชับเทานั้น เพราะการยอความเนน การจับใจความสาํ คัญ โดยจดุ มงุ หมายในการเขียนนนั้ มรี ายละเอียด คอื เพ่ือใหเกิดความรู ความเขาใจ และตัดพลความท้งิ ทง้ั หมด สอื่ อารมณความรูสึก และเพ่ือโนมนาวใจใหเกดิ ความคดิ คลอ ยตาม ฉะน้ัน นกั เรียน ควรตงั้ จดุ มุงหมายในการเขียนไวกอนเปนอันดบั แรกกอนท่นี ักเรยี นจะลงมือเขียน ชวยใหน ักเรยี นสามารถเลือกสรรเนอ้ื หา รปู แบบ และภาษาไดเหมาะสมกบั งานเขียน แตล ะประเภทไดง ายยงิ่ ขึ้น 86 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจำาหน่วยการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนสามารถสรุปความหมาย องคป ระกอบ และวธิ กี ารเขยี นเรียงความได ๑. การวางโครงเร่ืองก่อนการเขียนเรยี งความมีความสา� คัญอยา่ งไร ๒. การเลอื กหวั ข้อเร่ืองในการเขียนเรียงความ มคี วามจ�าเป็นหรือไม ่ อยา่ งไร 2. นักเรียนสามารถวิเคราะหค ณุ คา ของงานเขียน ๓. การยอ่ ความจากสอื่ ต่างๆ มปี ระโยชนต์ อ่ การสือ่ สารอย่างไร ประเภทเรยี งความได ๔. การยอ่ ความจากบทรอ้ ยกรองมีวิธกี ารอย่างไร จงอธิบาย ๕. ในยุคทก่ี ารส่อื สารมีความเจรญิ กา้ วหน้าเชน่ ปจั จุบัน การเขียนจดหมายกจิ ธุระ 3. นกั เรยี นสามารถเขยี นเรียงความได 4. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกบั มคี วามส�าคัญอย่างไรตอ่ ชีวิตประจ�าวนั การยอความได 5. นักเรยี นสามารถเขียนยอ ความจากงานประเภท ตา งๆ ได 6. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั การ เขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะได 7. นักเรียนสามารถเขียนจดหมายกิจธรุ ะประเภท ตางๆ ได กิจกรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรียนรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. ให้นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ปัญหาสง่ิ แวดล้อมในปัจจุบนั แลว้ เขยี นสรุป 1. ความเรียงสรปุ ความหมาย องคป ระกอบ ความรู้เพือ่ เขียนเรยี งความเกี่ยวกับการอนรุ กั ษ์สิง่ แวดล้อม คนละ ๑ เรอื่ ง และวิธีการเขยี นเรยี งความ ๒. จดั กิจกรรมประกวดเรียงความเชิงสรา้ งสรรค์ในหัวขอ้ เร่ืองทีก่ า� ลังเปน็ ที่สนใจของ 2. ความเรยี งวเิ คราะหคณุ คา ของเรียงความ สังคม เชน่ 3. เรยี งความตามหวั ขอทก่ี าํ หนด 4. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกบั - ถงุ ผ้าช่วยลดโลกรอ้ น - พลงั งานทดแทน การยอ ความ - ละครเกาหลกี ับสงั คมไทย 5. ยอความจากงานประเภทตางๆ - ความสุขกับชีวิตที่พอเพยี ง 6. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกับการเขียน ๓. ใหน้ ักเรียนเลอื กฟงั ดู หรืออ่านเร่อื งทน่ี กั เรียนสนใจจากสอ่ื ต่างๆ แลว้ เล่าเร่อื งให้ จดหมายกจิ ธรุ ะ เพอ่ื นๆ ในชน้ั เรยี นฟัง เพ่ือแลกเปลย่ี นข้อมูลความรทู้ ี่น่าสนใจและเปน็ ประโยชน์ 7. จดหมายกิจธรุ ะประเภทตา งๆ ๔. นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับความส�าคัญของจดหมาย 8. บนั ทกึ การตอบคําถามประจําหนว ยการเรยี นรู ในชีวติ ประจ�าวนั ๕. ใหน้ ักเรียนศกึ ษาค้นคว้าเกี่ยวกบั ความเป็นมาและวิวฒั นาการของจดหมายจากอดตี ถงึ ปจั จุบนั แลว้ จัดทา� เปน็ รายงานส่งครู 87 แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. การวางโครงเรื่องกอ นการเขยี นเรียงความมคี วามสาํ คัญ ถอื เปนการจดั ระเบียบความคิดใหเ ปนระบบและมีความชัดเจน โดยเริม่ ตนดวยการเกริ่นนํา บอกท่มี าหรอื สาเหตุ ของเรอ่ื ง ตามดว ยเน้ือเร่อื ง และการเรยี งลาํ ดบั เน้ือเร่อื ง จากน้นั ย้ําประเดน็ ในตอนสดุ ทาย เพื่อใหเกิดความเดน ชดั ถอื เปนแนวทางการศกึ ษาคน ควา ขอ มูลของผเู ขยี น และชวยใหผเู ขียนสามารถเขียนขยายประเด็นความคดิ และใชส ํานวนภาษาใหม ีความเหมาะสมกับเรือ่ งท่ตี อ งการเขยี น โดยยงั คงสาระสาํ คัญของเรือ่ งเอาไวไ ดอ ยางเดนชดั 2. การเลอื กหวั ขอเร่ืองในการเขยี นเรยี งความถอื วา มคี วามจาํ เปน อยา งมาก เน่อื งจากการเลือกหัวขอเรอ่ื งเปน การกําหนดจดุ มุง หมายในการเขียนวา เรอ่ื งที่เขยี นเรยี งความนั้น ผเู ขยี นตอ งการใหผอู า นทราบเรื่องอะไร ซ่ึงเปน การเร่มิ ตน กระบวนการคิดลาํ ดับแรก นาํ ไปสูว ิธีการกําหนดเน้อื หา 3. การเขียนยอ ความจากส่ือตา งๆ มปี ระโยชนต อการส่ือสาร ดังนี้ 1. ชวยประหยดั เวลาของผูอา นหรือผฟู ง การยอความชว ยใหนักเรียนสามารถติดตามเรอ่ื งราวไดอยา ง รวดเรว็ โดยใชเ วลาไมนาน 2. ชวยใหเ ขาใจเร่ืองท่มี เี นื้อหามาก เนื้อหายาก หรือมีความซบั ซอนไดด ีมากขึ้น ชวยใหเรยี บเรียงเน้ือหาไดงา ยขน้ึ และชว ยในการทําความ เขา ใจเน้ือเรื่องไดชดั เจนยิ่งขน้ึ 3. ชวยใหเขาใจสาระสําคัญ สามารถจบั ประเด็นไดอ ยา งครบถวน ถกู ตอ ง และมคี วามสมบรู ณมากย่ิงขึน้ 4. ชว ยใหผ ูอานเร่อื งยอ รบั รู เร่ืองราวเบื้องตน และนําไปใชป ระโยชนไ ด 4. การเขยี นยอ ความจากบทรอยกรองประกอบดวย 2 สวน คือ ในสว นตนกลา วถึงท่ีมาของเรือ่ ง ยอ เรื่องอะไร ใชค าํ ประพันธประเภทใด ใครเปน ผูแตงจากหนังสืออะไร หนาใด และในสว นของเนอ้ื ความกลา วถงึ เน้ือหาและยอความโดยใชส าํ นวนรอยแกว 5. นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนักเรยี น โดยนกั เรยี นอาจกลา วถึงทักษะในการเขยี นท่ีสง ผลดตี อการตดิ ตอสือ่ สารที่มคี วาม รวดเร็ว ยอมทําใหการสอ่ื สารสมั ฤทธผิ ลมากย่งิ ขึ้น คูม ือครู 87
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรยี นรู เขยี นส่ือสารในรูปแบบตางๆ ไดต รงตาม ตอนที่ ๒ วัตถุประสงค โดยใชภาษาเรียบเรยี งถูกตอง มีขอมูล และสาระสําคัญชดั เจน สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญ หา 4. ความสามารถในการใชทักษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค การเขยี นอธบิ าย 1. ใฝเ รยี นรู เปนการเขียนท่มี ุงใหผ ูอานเขา ใจ 2. มุงมน่ั ในการทํางาน เร่ืองราวอยา งใดอยางหนึง่ ไดโ ดยถูกตอ ง 3. รักความเปน ไทย ชดั เจน การเขยี นอธบิ ายเปนการเขยี น เชิงปฏิบัติทผ่ี เู ขียนจะตองมคี วามรู ความเขาใจ กระตนุ ความสนใจ Engage óหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี เกยี่ วกบั เร่ืองทเี่ ขยี น จดุ มงุ หมาย ประเภท และ วธิ กี ารเขยี นอธบิ าย จงึ จะชว ยใหก ารเขียนอธิบาย ครสู มุ นักเรยี นออกมาเลา ถงึ เสน ทางการเดนิ ทาง การเขยี นอธบิ าย สมั ฤทธิผลตรงตามจดุ ประสงคท ก่ี าํ หนดไว จากบา นของนักเรียนมาโรงเรียน จากน้นั ครูสนทนา ซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • นกั เรยี นคิดวา เพ่ือนของนักเรียนใชก ลวธิ ีการ • เขยี นสอ่ื สารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ • การเขยี นสือ่ สารด้วยการเขียนอธิบาย เลา เรอ่ื งอยา งไร โดยใชภ้ าษาเรียบเรยี งถกู ตอ้ ง มีขอ้ มูลและสาระส�าคัญ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ชดั เจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) ไดอ ยางหลากหลาย เปนตน วา มกี ารลาํ ดบั เหตุการณอ ยางตอ เน่ืองตามลําดบั และเลา เร่อื งอยา งเปน ระบบ) • นักเรียนคิดวา เพอ่ื นของนกั เรยี นใชวิธีการใด ในการเลาเร่อื ง (แนวตอบ การพูดอธิบาย) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน้ี ครผู สู อนควรเนน การทบทวนความรูความเขาใจของนักเรียน เก่ียวกบั วิธีการสื่อสารดว ยการอธบิ าย ซงึ่ เปน วิธีการสอ่ื สารทพี่ บมากในชวี ติ ประจาํ วนั โดยครูใชค ําถามกระตุนความสนใจเพือ่ ใหนกั เรียนพจิ ารณาลักษณะและกลวิธกี ารใช ภาษาท่มี คี วามแตกตางกันไปตามจดุ มงุ หมายในการส่อื สาร เพือ่ ใหน กั เรยี นสามารถ เลอื กใชท ักษะการสื่อสาร และกลวธิ กี ารสอ่ื สารไดอ ยางสอดคลองเหมาะสมกบั เน้อื หา ครผู ูส อนควรเนนกระบวนการทบทวนความรูค วามเขาใจของนักเรยี น ดวยการเพ่มิ เตมิ ความรเู ก่ียวกบั การสือ่ สารผา นการเขียนโดยใชก ลวธิ กี ารอธบิ าย ซึง่ เปน กลวิธกี าร ส่ือสารความคดิ ของบุคคลโดยมีจุดประสงคใ หผอู า นสิน้ ความสงสัยหรอื ความของใจ เปน สําคัญ การส่ือสารดวยกลวิธกี ารอธบิ ายจะสมั ฤทธิผลหรอื ไมน้ัน พจิ ารณาไดจาก ผลที่เกดิ ขึน้ กบั ผอู า นหรือผรู บั สารวา มีความเขา ใจหรือไม มากนอ ยเพียงไร ไมสบั สน ในเนือ้ หาหรอื เรื่องราว มองเหน็ ภาพชดั เจน และสามารถปฏิบตั ิไดสอดคลอ งกับจุด มุงหมายในการส่ือสาร ซ่งึ นกั เรยี นตองอาศัยความสามารถในการฝก ฝนดวยตนเอง อยา งสมาํ่ เสมอ 88 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. จดุ มงุ หมายของการเขยี นอธิบาย ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี การเขียนอธิบายมีความมุงหมายใหผูอานเขาใจเร่ืองราวอยางใดอยางหนึ่งอยางถูกตอง ชัดเจน เชน อธิบายวิธีการทําขนมครก อธิบายวิธีใชเคร่ืองซักผา อธิบายหลักการใชภาษาไทย • นกั เรยี นคดิ วา นักเรยี นใชก ลวธิ กี ารเขยี น อธบิ ายวธิ นี ั่งกรรมฐาน อธิบายศัพทเ ทคนคิ อธบิ ายสุภาษติ และคาํ พังเพย เปน ตน อธิบายในโอกาสใดบาง อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความ ในดา นความรแู ละความคดิ การอธบิ ายมคี วามจาํ เปน มาก ครทู ส่ี อนนกั เรยี นอยทู กุ วนั กต็ อ ง คดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยูกบั เหตผุ ล มีการอธิบายเนื้อหาของวิชาใหนักเรียนเขาใจ การเขียนตําราทุกสาขาวิชาก็คือการเขียนอธิบาย ของนกั เรยี น) เนอื้ หาวชิ าของสาขานนั้ ๆ คาํ แนะนาํ ตา งๆ เชน คาํ แนะนาํ การปอ งกนั โรคตดิ ตอ คาํ แนะนาํ การปลกู พืชเศรษฐกิจ คําแนะนาํ การเล้ยี งทารกดว ยนมมารดา เปน ตน สาํ รวจคน หา Explore การเขียนอธิบายจึงมีความสําคัญมากตอการสื่อสาร เน่ืองจากการชี้แจงเรื่องตางๆ นักเรยี นสืบคนขอมูลเกยี่ วกบั การเขียนอธิบาย หากไมสามารถถายทอดไปยังบุคคลอ่ืนๆ ไดอยางถูกตองชัดเจน การสื่อสารยอมไมประสบความ ดังตอ ไปนี้ สาํ เร็จได • จดุ มุงหมายในการเขยี นอธบิ าย ในปจ จบุ นั มกี ารเขยี นอธบิ ายเกดิ ขนึ้ มากมาย เชน หนงั สอื คมู อื ตา งๆ ทเี่ ขยี นอธบิ ายการใช • ประเภทของการเขียนอธิบาย หนงั สือหรือตํารา เปล้อื ง ณ นคร กลาวถึงการเขียนอธิบายวา หมายถงึ การบอกเลา เร่ืองราว • หลักการเขียนอธบิ าย จากความรทู ่ีไดจ ากการสงั เกตพจิ ารณา หรือความรูที่ไดม าจากการศกึ ษาสบื คนหรอื ความคดิ อา น อยางหน่ึงอยางใดอันเกิดในใจ โดยมีลักษณะสําคัญ คือ ความแจมแจงชัดเจนกับความนาอาน อธบิ ายความรู Explain และการเขียนอธิบายจะใสอารมณของผูเขียนลงไปดวยไมได ตองเขียนอยางมีอุเบกขา เพราะ ความมุง หมายของการเขยี นนี้ คือ การใหความรู 1. นกั เรียนจับคู จากนน้ั ครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู รว มกนั ตอบคําถามหนา ชนั้ เรยี นในประเดน็ การเขียนอธิบายจึงเปนการเขียนเชิงปฏิบัติท่ีมีจุดมุงหมายเพื่อขยายความ ตีความ หรือ ตอ ไปนี้ แสดงเน้ือหาความรูใหกระจา ง รวมทั้งการวิเคราะหขอ เทจ็ จรงิ และการใหเหตผุ ลตา งๆ • นักเรยี นบอกความหมายของการอธิบาย (แนวตอบ หมายถึงการบอกเลา เรอ่ื งราวท่ีได ▼ การเขียนอธิบายขาวท่ปี รากฏในหนังสือพมิ พ ผูอา นตอ งใชว ิจารณญาณในการอานและวเิ คราะหข อ เท็จจรงิ จากการคนควา หรือจากความคิดของตนเอง ถา ยทอดเฉพาะประเด็นสาํ คัญอยา งชัดเจน) ๘๙ • นักเรยี นคดิ วา การเขยี นอธิบายมี จดุ มุงหมายและมคี วามสําคัญอยา งไร (แนวตอบ มจี ดุ มงุ หมายเพอ่ื ใหผอู า นเขา ใจ เรอื่ งราวอยา งชดั เจน ซ่ึงถือเปนวธิ ีการใช ภาษาอยา งหน่ึง มคี วามสําคญั ตอกลวธิ ีการ สอ่ื สาร เนอ่ื งจากเปนวธิ ีการถายทอดสารให เกดิ ความเขา ใจอยางถูกตอ งและชัดเจน) 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ จากนน้ั ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนาชน้ั เรยี น ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั ประเภทของการเขียนอธบิ าย ครผู สู อนควรเพิม่ เตมิ ความรคู วามเขาใจเกยี่ วกับจุดมงุ หมายในการอธิบาย ขอ ความตอ ไปนี้ใชวธิ ีการอธบิ ายตามขอใด ทง้ั การพดู และการเขียน โดยการอธิบายนัน้ เปนการสงสารเพ่ือใหความคิดเร่ืองใด คาํ วา สึนามิในภาษาญี่ปนุ หมายถงึ คลน่ื อา วจอดเรอื (harbor wave) เรอ่ื งหนง่ึ กระจา งชัดเจน มักใชใ นงานเขียนประเภทงานวชิ าการ และการเขียนเน้อื หา ตาํ ราตา งๆ โดยมีจุดมงุ หมายเพื่อนาํ ประเดน็ ขอ สงสัยมาใชในการอธิบายใหเขาใจ เน่อื งจากประเทศญป่ี นุ มภี ูมปิ ระเทศเปนเกาะมีชายฝง ทะเลยาว ตามชายฝง แจมแจง การใชก ลวิธกี ารอธบิ ายนนั้ สามารถใชสอดแทรกในการเลา เรื่อง เพื่อชี้แจง มอี า วใหญน อ ยอยมู าก หากเปน อา วแคบๆ ซึ่งเปนท่จี อดเรือความรุนแรงของ ปญหา การใชว ธิ ีการอธิบายสามารถใชเ สรมิ ความ เพ่ือใหเนอ้ื หาของเรื่องมคี วาม คล่ืนสนึ ามิจะมีมากขึ้นอีกหลายเทา เขา ใจกระจางชัดเจนมากย่งิ ขนึ้ จึงถอื กันวา อธิบายมักใชควบคูก บั การบรรยาย รวม ถึงการพรรณนา นอกจากน้ี การอธบิ ายน้มี ักใชในการอธิบายลาํ ดบั ข้ันตอน วิธกี าร 1. นิยาม และใหต วั อยา ง การวิเคราะหห รือจาํ แนกเน้ือหาออกเปนประเภท หรือเปนหมวดหมู และการอธิบาย 2. นิยาม และใหเ หตผุ ล ความหมายของคํา การอธบิ ายมีหลายลกั ษณะ เชน การอธิบายตามลาํ ดับขนั้ 3. ใหตวั อยาง และเปรยี บเทยี บ การอธิบายดว ยการใหน ยิ าม หรอื คาํ จํากดั ความ การยกตวั อยา ง การเปรียบเทียบ 4. ใหเหตุผล และเปรียบเทียบ การชีส้ าเหตแุ ละผลลพั ธท ีส่ ัมพนั ธกัน และการใชอปุ กรณหรอื ภาษาประกอบ เปน ตน ในการเขียนอธิบายนักเรยี นจึงตองใชทักษะทางการสือ่ สารอยา งรอบดาน ซงึ่ สมั พันธ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. นยิ าม และใหเ หตุผล เพราะขอความท่ี กบั ทกั ษะการคิดทีต่ อ งอาศัยการฝก ฝนอยางสมํ่าเสมอ กาํ หนดใหมกี ารใหนิยามจากขอความที่วา คาํ วาสนึ ามใิ นภาษาญ่ปี นุ หมายถึง คูมือครู 89 คลื่นอาวจอดเรือ (harbor wave) และมีการใหเ หตุผลในตอนที่กลา ววา ประเทศญีป่ นุ มีภมู ิประเทศเปนเกาะมีชายฝงทะเลยาว ตามชายฝงมีอา วใหญ นอ ยอยูมาก หากเปนอา วแคบๆ ซง่ึ เปนท่ีจอดเรือความรนุ แรงของคลน่ื สึนามิ จะมมี ากขึ้นอกี หลายเทา
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นจัดกลมุ กลุม ละ 4 - 5 คน พรอ มรวมกนั ๒ . ประเภทของการเขียนอธิบาย แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ จากประเดน็ คําถาม ดงั ตอไปน้ี การเขียนอธบิ ายอาจจา� แนกประเภทได้ ๔ ประเภท ดงั นี้ • นกั เรยี นคดิ วา การเขียนอธบิ ายประกอบดวย ๑) การเขยี นอธิบายประเภทคา� จา� กัดความ ไดแ้ ก่ การเขียนอธบิ ายความหมายของคา� การเขียนประเภทใดบาง อยา งไร ข้อความ ส�านว1น สุภาษิต ค�าพังเพย หัวข้อทางวิชาการต่างๆ ตลอดจนหัวข้อประชุม หัวข้อ (แนวตอบ ในหนังสอื เรียนเลมนจ้ี ําแนกการ อภิปราย ญตั ติในการโต้วาที เป็นตน้ การใหค้ �าจา� กดั ความแตล่ ะเร่ืองจะตอ้ งกระชับ ชัดเจน และ เขยี นอธบิ ายออกเปน 4 ประเภท ไดแ ก การ เขา้ ใจง่าย เช่น เขียนอธบิ ายประเภทคาํ จาํ กัดความ การเขียน อธบิ ายประเภทเชงิ อรรถ การเขียนอธบิ าย กานดา (แบบ) น. หญิงทร่ี กั ประเภทความรหู รือวิชาการ และการเขียน กานต์ (แบบ) ว. เปน็ ที่รัก, โดยมากใช้เปน็ ส่วนท้ายของสมาส เช่น คำาวา่ อธบิ ายประเภทคํานาํ ) • นักเรียนคิดวา มีวิธีการแบง ประเภทการเขียน จันทรกานต ์ เปน็ ทีร่ กั ของพระจันทร ์ ไดแ้ ก ่ แก้วผลกึ ที่ถูกแสงจนั ทร์ อธิบายอยา งไร แล้วมีเหงือ่ , คู่กับ สูรยกานต ์ เปน็ ทีร่ ักของพระอาทติ ย ์ ไดแ้ ก ่ แกว้ (แนวตอบ การแบงประเภทการเขยี นอธบิ าย ท่รี วมแสงอาทติ ย์ใหเ้ กิดไฟได ้ (ส.) เปน การแบงตามลักษณะเน้อื หาและ กานท ์ (โบ) น. บทกลอน เช่น สารสยามภาคพรอ้ ง กลกานท์ นีฤ้ ๅ (ยวน จุดมุงหมายในการสอ่ื สาร จงึ ทาํ ใหมีการแบง พา่ ย) ประเภทการอธิบายในลักษณะตางๆ) กานน ๑ (-นน) (แบบ) น. ป่า, ดง, เช่น อันว่าท้องเขาวงกฏกานน. • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธบิ ายประเภทการ (ม.คำาหลวง วนปเวสน์). (ป.; ส.) ใหค าํ จาํ กัดความมจี ดุ มุงหมายในการเขยี น กานน ๒ (-นน) น. ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง (Vitex Pubescens) ในวงศ์ อยางไร Verbenaceae มที างปกั ษ์ใต ้ เน้อื ไม้แขง็ แรงทนทาน, ทางปักษ์ใต้ (แนวตอบ เพอื่ อธิบายความหมาย และกําหนด มกั เรียกสั้นๆ ว่า นน ทางภาคกลางเรียก สมอกานน. แนวทางการทําความเขา ใจเร่อื งใดเรอื่ งหน่งึ กานพลู (-พลู) น. ดอกตมู รวมทัง้ ก้านดอกของต้นกานพลู ซงึ่ เป็นพรรณไม้ รวมกนั ) ขนาดย่อมชนดิ หน่ึง (Eugenia aromatica) ในวงศ์ Myrtaceae มี • นักเรยี นยกตวั อยางการเขยี นอธบิ ายประเภท รสเผด็ รอ้ น นับเขา้ ในเคร่อื งเทศ. (ทมิฬ กริ ามบ)ู . คาํ จํากัดความ (แนวตอบ เปนตน วา ความหมายของคาํ ๒) การเขียนอธิบายประเภทเชิงอรรถ เป็นค�าอธิบายหรือข้ออ้างอิงท่ีเขียนหรือพิมพ์ไว้ สาํ นวน สภุ าษติ หวั ขอ ทางวชิ าการตางๆ) ทส่ี ่วนล่างของหนงั สือหรอื ตอนทา้ ยของเรือ่ ง อาจจะเป็นการขยายความ ให้ความหมาย บอกทมี่ า • นกั เรียนคดิ วา การเขียนอธิบายประเภท ของเรอ่ื ง หรือคา� ทป่ี รากฏอยู่ในเนือ้ เรือ่ ง แตส่ ่วนที่เป็นเชิงอรรถจะไมเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เน้อื เรื่อง หรอื คาํ จํากัดความมลี กั ษณะรวมดา นการใชภาษา ไม่สมควรท่ีจะมาปะปนอยู่ในเน้ือเรื่อง เพราะจะท�าให้เสียรสหรือเสียความไป การเขียนเชิงอรรถ อยางไร เป็นการเขียนอธิบายอย่างหน่ึงซ่ึงต้องกระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (แนวตอบ ใชภ าษากระชบั ชัดเจน และเขาใจ เขยี นเชงิ อรรถอธบิ ายขยายความ โดยใชเ้ ครอื่ งหมายดอกจนั * และเชงิ อรรถอา้ งองิ แหลง่ ทคี่ น้ ควา้ งาย) โดยใสต่ ัวเลขกา� กับ ดังนี้ 2. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ 90 หนา ช้นั เรยี น เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั วิธีการหรือลักษณะการอธิบาย ประเภทการ ครผู ูสอนควรเพิ่มเติมความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั ประเภทของการอธิบายดว ยการ อธบิ ายตามลาํ ดบั ข้ันตอน เขียนอธิบายประเภทคําจาํ กดั ความ ซ่ึงเปนการระบุความหมายของคําศัพท เพื่อให เมื่อพิจารณาการใชภาษาแสดงลําดับความในคําอธิบายวธิ ีทําอาหาร เกิดความเขาใจตรงกัน จากน้ันจงึ ใชวธิ กี ารอธบิ ายความหมายของคําศัพท ซ่ึงเรียก ตอ ไปนแ้ี ลว ขอใดเปนขนั้ ตอนที่ 4 ไดอ กี อยางวา การนยิ ามความหมาย การนิยามความหมายน้ีสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ ช ก. ปน ทอดมนั เปนแผน กลม นาํ ไปทอดจนสกุ ในการทําความเขา ใจคาํ ศพั ทห รือเรือ่ งราวตางๆ ใหมีความชดั เจนตรงกัน เชน การให ข. ใสไ ขไ ก ถ่วั ฝก ยาวซอย ใบมะกรูดซอย นวดตอ ไป คําจํากดั ความในขอกฎหมายตางๆ การใหค ําจัดกัดความเก่ยี วกบั ญตั ติหรอื ขอ ถกเถียง ค. ผสมเน้อื ปลากรายกบั น้าํ พริกแกงเผ็ด นวดใหเขา กนั หรอื การใหคําจาํ กัดความเก่ียวกบั คาํ ศัพทหรือทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร ง. พรมนา้ํ เกลือทลี ะนอยขณะนวด แลว นวดจนเหนยี วไดท ี่ จ. ตกั ทอดมนั ข้นึ พักไวใหสะเดด็ นํ้ามัน เสิรฟพรอ มอาจาด นกั เรียนควรรู 1. ขอ ก. 2. ขอ ข. 3. ขอ ค. 4. ขอ จ. 1 ญัตติ ขอ เสนอเพอื่ ลงมติ เชน ผูแทนราษฎรเสนอญตั ตเิ ขา สสู ภา เพอื่ ขอใหท ี่ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ขอ ก. เพราะคําอธบิ ายวธิ กี ารทําอาหาร ประชมุ ลงมตวิ าจะเห็นชอบดวยหรือไม หรือหมายถงึ หวั ขอโตวาที เชน โตวาทีใน สามารถเรยี งลําดบั ได คอื ขอ ค. ขอ ข. ขอ ง. ขอ ก. และขอ จ. ญัตตวิ า ขนุ ชางดีกวา ขุนแผน 90 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ตวั อยา่ ง การอ้างอิงเชิงอรรถ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกันแสดงความคดิ เห็น ดังตอ ไปน้ี นทิ านเรอ่ื งอหิ รา่ นราชธรรม เปน็ วรรณคดที มี่ มี าตง้ั แตอ่ ยธุ ยา เปน็ เรอ่ื งทใี่ หแ้ งค่ ดิ แกค่ นในสงั คม • นักเรยี นคิดวา การเขยี นอธบิ ายประเภท ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นปกครอง หรือผู้ท่ีอยู่ใต้ปกครองว่าทุกคนล้วนมีบทบาทที่ส�าคัญ มีส่วนช่วย เชิงอรรถมจี ดุ มุงหมายในการสอ่ื สารอยางไร ในการพฒั นาสงั คม หากมคี วามสา� นกึ ในบทบาทหนา้ ทข่ี องตน และปฏบิ ตั ติ นใหด้ ที ส่ี ดุ ยอ่ มนา� มา (แนวตอบ เชิงอรรถมีจดุ มงุ หมายในการ ซ่ึงความสงบสุขในสงั คม อกี ทัง้ ได้สอดแทรกคติธรรมทด่ี ดี ว้ ย อธิบายหรอื ใชใ นการอา งอิงขอ มูล เพื่อขยาย นิทานเร่ืองน้ีเดิมทีเรียกว่า “นิทานสิบสองเหลี่ยม”* ต่อมาเมื่อราชบัณฑิตสภาได้จัด ใหค วามหมาย หรอื บอกท่มี าของเรื่อง ใหผู พิมพ์หนังสือนิทานชุดนี้จึงมีการเรียกช่ือใหม่ว่า “นิทานอิหร่านราชธรรม” โดยสมเด็จฯ กรม อานเขาใจ รวมถงึ เพมิ่ ความนา เช่ือถือของ พระยาด�ารงราชานุภาพ ได้ปรารภว่า “เรื่องสิบสองเหลี่ยม เห็นว่าไม่ชวนอ่านเหมือนเป็น นาม เรอ่ื งท่อี า นมากยิง่ ขน้ึ ) ปิดคา่ ของหนงั สือ นิทานเหล่าน้สี ิเป็นของพวกแขกอหิ ร่านและว่าดว้ ยราชธรรม จึงให้ชื่อเสยี ใหม่ • นกั เรยี นคิดวา การเขยี นอธบิ ายประเภท ว่า นิทานอิหรา่ นราชธรรม”๑ เชิงอรรถมลี ักษณะอยางไร นิทานอิหร่านราชธรรมมีที่มาตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพทรงสนั นษิ ฐานวา่ (แนวตอบ เชงิ อรรถเปนคาํ อธิบายหรือขอ คงเป็นเรื่องท่ีชาวเปอร์เซียน�าเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อครั้งพระเจ้าแผ่นดิน อางองิ ท่เี ขยี นหรอื พมิ พไวทส่ี วนลา งของ เปอรเ์ ซยี โปรดใหแ้ ตง่ ราชทตู เขา้ มาเกลยี้ กลอ่ มให้พระองค์เขา้ รีตศาสนาอสิ ลาม โดยฉบบั แรกเป็น หนังสือหรอื ตอนทา ยของเรอ่ื ง อาจเปน การ ของขนุ กลั ยาบด ี ขนุ นางแขกเปอรเ์ ซยี ทเ่ี ขา้ มารบั ราชการในอยธุ ยา ทา่ นไดร้ วบรวมและเรยี บเรยี ง ขยายความ ใหค วามหมาย หรอื บอกทม่ี า นิทานดังกล่าวถวายพระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ เมือ่ พ.ศ. ๒๒๙๕๒ ของเร่ืองหรอื คําที่ปรากฏอยูในเนื้อเรอื่ ง ซ่ึง สวนทเี่ ปนเชิงอรรถจะไมเ ก่ยี วขอ งกับเน้อื หา *กุสุมา รักษมณี กล่าวว่า นิทานเร่ืองน้ีได้กล่าวถึงพระมณฑปที่ประดิษฐานพระศพพระเจ้าเนาวสว่านว่าเป็น ของเรื่อง) มณฑปสิบสองเหล่ียม จึงเปน็ เหตุให้คนไทยในสมัยกอ่ นเรียกนทิ านชุดนวี้ ่า นทิ านสบิ สองเหล่ยี ม • นักเรยี นคดิ วา เพราะเหตุใดในการเขียน อธบิ ายจึงตอ งเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ ๑นิทานอิหร่านราชธรรม (พระนคร : องคก์ ารค้าของครุ ุสภา, ๒๕๐๖), หน้า ง. แยกออกมาจากเนือ้ เรอ่ื ง ๒กุสมุ า รกั ษมณี, “ลลิ ิตอิหร่านราชธรรม วรรณคดใี นอฐั มและนวมรชั กาล”, ศลิ ปวัฒนธรรม ๖, ๘ (มถิ ุนายน (แนวตอบ เน่ืองจากเชิงอรรถไมมีความ ๒๕๒๘) : หนา้ ๖๘. เกีย่ วของกบั เน้อื เรื่อง และไมน าํ มาปะปน กับเน้อื เร่ือง เพราะอาจทําใหเ สยี รสหรือเสีย จากตัวอย่างเชิงอรรถขา้ งต้น จะเหน็ ไดว้ า่ ความไป) เชิงอรรถ* เปน็ การอธิบายเพ่ิมเตมิ • นกั เรยี นคิดวา การเขียนอธิบายประเภท เชิงอรรถท ี่ ๑ และ ๒ เป็นการบอกแหลง่ ทม่ี าของการอา้ งองิ เชิงอรรถมกี ลวิธกี ารใชภาษาอยางไร (แนวตอบ การเขยี นอธิบายประเภทเชิงอรรถ ตอ งใชภาษาทีม่ คี วามกระชับ ชดั เจน และ เขา ใจงา ย) 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ หนา ชัน้ เรียน 91 ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั รปู แบบการอธิบาย ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอความตอ ไปน้ไี มใช วธิ ีอธบิ ายตามแบบใด ครูผูส อนควรเพิม่ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ประเภทของการอธิบายดว ย “โรคอบุ ตั ิเหตุซํา้ ” เปนโรคทีก่ ลบั มาระบาดใหม หลังจากเคยเกิดข้นึ แลว การเขียนอธิบายประเภทเชิงอรรถซ่งึ เปน กระบวนการอางอิงอยา งหนึ่ง เหตุผลทต่ี อง หายไป หรอื พบหลงั จากไมเ คยมีการระบาดในพ้นื ทีเ่ ดิมมาเปนเวลานาน เชน มกี ารเขยี นอางองิ เชงิ อรรถนัน้ ดว ยคํานงึ ถึงมารยาท รวมถึงขอ บังคบั ทางกฎหมาย โรคเทา ชา ง ไขทรพิษ เปนตน ผูเขยี นตอ งระบรุ ายการอา งอิงในการใชขอมูลทกุ คร้ัง เพ่อื ใหเ กยี รตแิ กเจาของขอ มูล 1. นิยาม 2. ใหต วั อยาง ท่ใี ชใ นการศึกษา และเปนการยืนยันแนวคดิ ทผ่ี ูเ ขยี นยกมากลาวไดอ กี ดวย การเขียน 3. เปรยี บเทียบ 4. กลาวซํา้ โดยใชถ อ ยคําอืน่ เชิงอรรถอางอิงนั้นจะชวยใหผ อู านสามารถไปสบื คน เน้ือหาทป่ี รากฏ เพื่อขยายความรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เปรียบเทยี บ เพราะขอ ความท่ยี กมาไม ความคิดใหก วางไกลมากยงิ่ ขน้ึ ได ปรากฏกลวธิ กี ารเปรียบเทยี บ แตป รากฏกลวิธีตางๆ ดังน้ี ขอ ที่ 1. นิยาม อธิบายศพั ทเ บ้ืองตนของคําวา โรคอบุ ตั ซิ าํ้ ขอ ท่ี 2. การใหตวั อยาง จากการ นอกจากน้ี ครูผสู อนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขา ใจเก่ียวกบั การเขยี นเชิงอรรถ ยกตัวอยาง โรคเทา ชาง ไขทรพิษ สว นขอที่ 4. กลา วซ้ําโดยใชถอ ยคาํ อื่น อางองิ วา เชิงอรรถอางองิ มวี ิธกี ารเขยี นทีห่ ลากหลายขึ้นอยูกับหนวยงานเปน จากขอความที่วา “เปน โรคท่ีกลับมาระบาดใหม” และ “พบหลงั จากไมเ คยมี ผกู าํ หนดใช เมื่อนักเรียนตอ งการเขียนเชงิ อรรถอางอิงนกั เรยี นตอ งพิจารณาดวยวา การระบาดในพื้นทเ่ี ดิมมาเปนเวลานาน” หนวยงานหรอื สถาบันดงั กลา วมีการใชเชงิ อรรถในลักษณะใด เพอ่ื ใหส ามารถเขยี น เรยี บเรยี งไดอยางถกู ตอ งเหมาะสมกับระเบยี บขอบังคบั ของหนว ยงาน รวมถึงผูเขยี น ตอ งศกึ ษารายละเอียดของรูปแบบการเขียนใหละเอยี ดรอบคอบตามทห่ี นว ยงานหรอื สถาบนั ดังกลาวกาํ หนดใหถ กู ตอ งตามหลักเกณฑ คูมอื ครู 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198