Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Published by pearyzaa, 2023-07-23 13:38:54

Description: 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบคูม อื ครู กลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ภาษาไทย สําหรบั ครู หลกั ภาษาและการใชภาษา 4ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ ลักษณะเดน คูมือครู Version ใหม ขยายพน้ื ที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดมิ จดั แบงพ้นื ท่อี อกเปน โซน เพ่ือคน หาขอมูลไดง าย สะดวก รวดเร็ว และดูเปน ระเบียบ กระตนุ Enคgวagาeมสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate Explore เปาหมายการเรยี นรู สมรรถนะของผูเ รยี น คณุ ลักษณะอันพึงประสงค โซน 1 หนา หนา โซน 1 หนังสือเรียน หนังสือเรียน กระตนุ ความสนใจ Engage ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ สอบ O-NET สาํ รวจคน หา Explore บรู ณาการเช่ือมสาระ อธบิ ายความรู Explain โซน 3 ขยายความเขา ใจ Expand กจิ กรรมสรา งเสรมิ กิจกรรมทาทาย ตรวจสอบผล Evaluate โซน 2 โซน 3 เกร็ดแนะครู No. คูม ือครู นกั เรียนควรรู โซน 2 บเศูรณราษกาฐรกิจพอเพียง บรู ณาการอาเซยี น มมุ IT คมู อื ครู No. โซน 1 ข้นั ตอนการสอนแบบ 5Es โซน 2 ชวยครเู ตรยี มสอน โซน 3 ชวยครเู ตรยี มนกั เรยี น เพื่อใหครเู ตรยี มจดั กจิ กรรมการเรยี น เพือ่ ชว ยลดภาระครผู สู อน โดยแนะนาํ เพ่อื ใหค รูสะดวกตอการจดั กิจกรรม โดย การสอน โดยแนะนาํ ข้ันตอนการสอนและ เกร็ดความรูส าํ หรบั ครู ความรูเสริมสาํ หรบั แนะนาํ กจิ กรรมบรู ณาการเชอื่ มระหวา งสาระหรอื การจดั กิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอยี ด นกั เรียน รวมทั้งบรู ณาการความรูสอู าเซียน กลุมสาระการเรียนรู วิชา กจิ กรรมสรา งเสรมิ เพ่ือใหนกั เรยี นบรรลุตามตัวชวี้ ัด กิจกรรมบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง และ กจิ กรรมทาทาย รวมถึงเนอ้ื หาทเี่ คยออกขอสอบ มมุ IT O-NET แนวขอ สอบ NT/O-NET ทเ่ี นน การคดิ พรอ มเฉลยและคาํ อธบิ ายอยา งละเอยี ด

แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชใ นคูมอื ครู 1. แถบสี 5Es แถบสีแสดงขนั้ ตอนการสอนและการจัดกจิ กรรม แบบ 5Es เพ่ือใหครูทราบวาเปนข้ันการสอนขน้ั ใด สีแดง สเี ขียว สีสม สฟี า สมี ว ง กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล 2เสร�ม Engage Explore Explain Expand Evaluate • เปนขน้ั ที่ผูสอนเลอื กใช • เปน ข้ันทผ่ี สู อน • เปน ข้นั ทผ่ี ูสอน • เปน ข้ันทีผ่ ูสอน เทคนคิ กระตุน ใหผ ูเ รียนสํารวจ • เปนขั้นที่ผูส อน ความสนใจ เพอ่ื โยง ปญ หา และศึกษา ใหผ ูเ รยี นคนหา ใหผ เู รยี นนําความรู เขา สูบทเรยี น ขอมลู คาํ ตอบ จนเกดิ ความรู ไปคิดคน ตอๆ ไป ประเมนิ มโนทัศน เชงิ ประจกั ษ ของผูเ รียน 2. สัญลักษณ สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค • แสดงเปา หมายการเรียนรูท ่นี ักเรียน ขอ สอบ O-NET • ชแ้ี นะเนอ้ื หาทเ่ี คยออกขอ สอบ ตอ งบรรลุตามตวั ชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ (เฉพาะวชิ า ชน้ั ทส่ี อบ O-NET) O-NET โดยยกตวั อยา งขอ สอบ ที่จะตองมี และคณุ ลกั ษณะที่พงึ เกดิ ขนึ้ พรอ มวเิ คราะหค าํ ตอบ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET อยา งละเอยี ด เปา หมายการเรยี นรู กบั นักเรียน (เฉพาะระดบั ชน้ั • เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน หลักฐานแสดง • แสดงรอ งรอยหลักฐานตามภาระงาน มธั ยมศกึ ษาตอนตน ) ผลการเรยี นรู การคดิ และเปน แนวขอ สอบ เกรด็ แนะครู ทค่ี รูมอบหมาย เพ่อื แสดงผลการเรียนรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT NT/O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา ตามตวั ชี้วดั ตอนตน มที งั้ ปรนยั - อตั นยั (เฉพาะระดบั ชน้ั พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด • แทรกความรูเสริมสาํ หรบั ครู ขอ เสนอแนะ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย) • เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน ขอ ควรระวงั ขอ สังเกต แนวทางการจดั กจิ กรรมและอน่ื ๆ เพ่ือประโยชนใ นการ การคดิ และเปน แนวขอ สอบ จดั การเรยี นการสอน O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย มที ง้ั ปรนยั - อตั นยั • ขยายความรเู พ่มิ เตมิ จากเนอ้ื หา เพ่ือให พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด นักเรียนควรรู ครนู ําไปใชอธบิ ายเพิ่มเติมใหน กั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม ไดม ีความรมู ากข้ึน เชอื่ มกบั สาระหรอื กลมุ สาระ บรู ณาการเชอ่ื มสาระ การเรยี นรู ระดบั ชนั้ หรอื วชิ าอน่ื ทเ่ี กย่ี วขอ ง • กจิ กรรมเสริมสรา งพฤติกรรมและปลกู ฝง คา นิยมตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง บูรณาการ เศรษฐกจิ พอเพยี ง • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม • ความรหู รอื กจิ กรรมเสรมิ ใหค รนู าํ ไปใช กจิ กรรมสรา งเสรมิ ซอ มเสรมิ สาํ หรบั นกั เรยี นทคี่ วร เตรยี มความพรอ มใหก บั นกั เรยี นกอ นเขา สู ไดร บั การพฒั นาการเรยี นรู ประชาคมอาเซยี นใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการอาเซียน บรู ณาการกบั วชิ าทกี่ าํ ลงั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม • แนะนําแหลง คน ควาจากเว็บไซต เพ่อื ให กจิ กรรมทา ทาย ตอ ยอดสาํ หรบั นกั เรยี นทเ่ี รยี นรู ไดอ ยา งรวดเรว็ และตอ งการ ครแู ละนกั เรยี นไดเขาถงึ ขอ มูลความรู ทา ทายความสามารถในระดบั ทสี่ งู ขนึ้ มมุ IT ท่ีหลากหลาย ทั้งไทยและตา งประเทศ คมู อื ครู

5Es การจัดกิจกรรมตามขน้ั ตอนวฏั จักรการเรยี นรู 5Es ขั้นตอนการสอนท่ีสัมพันธกับข้ันตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซ่ึงผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขนั้ ตอนการเรียนรู ดงั นี้ ข้นั ที่ 1 กระตนุ ความสนใจ (Engage) เส3ร�ม เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพ่ือกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณท่ีนาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรหู รือประสบการณเดมิ ของผเู รยี น เพอ่ื เชอ่ื มโยงผเู รียนเขา สูความรูของบทเรียนใหม ชว ยใหผูเรยี นสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรยี นรูของบทเรียนได จงึ เปนข้ันตอนการสอนทีส่ าํ คัญ เพราะเปน การเตรยี มความพรอ มและสราง แรงจงู ใจใฝเ รียนรูแกผ ูเ รยี น ขนั้ ท่ี 2 สาํ รวจคน หา (Explore) เปน ขน้ั ทผี่ สู อนเปด โอกาสใหผ เู รยี นลงมอื ศกึ ษา สงั เกต หรอื รว มมอื กนั สาํ รวจ เพอ่ื ใหเ หน็ ขอบขา ยของประเดน็ หรอื ปญ หา รวมถงึ วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูท่ีจะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเดน็ หรือปญ หาที่จะศึกษาคน ควาอยา งถอ งแทแลว กล็ งมือปฏิบัติเพ่อื เก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธกี ารตา งๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อา นคนควาขอมลู จากเอกสาร แหลง ขอ มลู ตา งๆ จนไดข อมลู ความรูทเ่ี กีย่ วขอ งกับประเด็นหรอื ปญหาที่ศกึ ษา ข้ันที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปน ข้นั ที่ผูสอนมปี ฏสิ ัมพันธกับผเู รยี น เชน ใหการแนะนํา ตั้งคาํ ถามกระตุน ใหค ดิ เพ่อื ใหผ เู รยี นคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในข้ันท่ี 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนน้ีฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยา งเปน ระบบ ขัน้ ท่ี 4 ขยายความเขา ใจ (Expand) เปนขั้นท่ีผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูท่ีเกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูท่ีสรางข้ึนใหมไปเช่ือมโยง กบั ประสบการณเ ดมิ โดยนาํ ขอ สรปุ ทไี่ ดไ ปใชอ ธบิ ายเหตกุ ารณต า งๆ หรอื นาํ ไปปฏบิ ตั ใิ นสถานการณใ หมๆ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ชวี ติ ประจาํ วนั ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งข้ึน ในข้ันตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสรมิ สรา งวิสัยทัศนใ หก วางไกลออกไป ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) เปน ขน้ั ทผ่ี สู อนประเมนิ มโนทศั นข องผเู รยี น โดยตรวจสอบจากความคดิ ทเี่ ปลย่ี นไปและความคดิ รวบยอดทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏบิ ตั ิ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคดิ หรอื ยอมรับเหตผุ ลของคนอืน่ เพือ่ การ สรา งสรรคค วามรรู ว มกนั ผเู รยี นสามารถประเมนิ ผลการเรยี นรขู องตนเอง เพอื่ สรปุ ผลวา มคี วามรอู ะไรเพม่ิ ขนึ้ มาบา ง เกดิ ความเขา ใจ มากนอ ยเพียงใด และจะนําความรูเหลา นน้ั ไปประยุกตใชใ นการเรียนรเู ร่อื งอน่ื ๆ หรือในชวี ิตประจาํ วันไดอยางไร ผูเรียนจะเกดิ เจตคติ และเห็นคณุ คา ของตนเองจากผลการเรียนรูท ี่เกดิ ขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูท่ีมีความสุขอยา งแทจ รงิ การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามข้ันตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรยี นรทู ่มี ีประสิทธภิ าพ สง ผลตอ การยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ของผูเรยี น ตามเปา หมายของการปฏริ ูปการศึกษาทศวรรษท่ี 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทกุ ประการ คมู อื ครู

คําอธิบายรายวิชา กลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1-2 รายวชิ า ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภ าษา ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เวลา 60 ช่วั โมง/ป รหัสวชิ า ท………………………………… เส4ร�ม ฝกทักษะการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด การวิเคราะหและประเมินคาวรรณคดีและ วรรณกรรมโดยฝก ทกั ษะเกยี่ วกับการอา นออกเสียง ตีความ แปลความ และขยายความ คาดคะเนเหตกุ ารณ เร่ืองท่ีอาน วิเคราะหวิจารณ แสดงความคิดเห็น โตแยงเกี่ยวกับเร่ืองที่อาน และเสนอความคิดใหมอยางมี เหตุผล ฝกทักษะการเขียนบรรยาย เขียนพรรณนา เขียนโนมนาว เขียนโครงการและรายงานการดําเนิน โครงการ เขียนรายงานการประชุม ประเมินคุณคางานเขียนในดานตางๆ ฝกทักษะการพูดสรุปแนวคิดและ แสดงความคิดเห็นจากเรอ่ื งทฟ่ี ง และดู ประเมนิ เรื่องทฟี่ ง และดู และศกึ ษาเกีย่ วกับระดบั ของภาษา วเิ คราะหว ถิ ไี ทย ประเมนิ คา ความรแู ละขอ คดิ จากวรรณคดแี ละวรรณกรรม ทอ งจาํ บทอาขยานทก่ี าํ หนด และบทรอยกรองทมี่ ีคณุ คาตามความสนใจ โดยใชกระบวนการอานเพือ่ สรางความรคู วามคิดนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต กระบวนการเขียน เขียนสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟง การดู และการพดู สามารถเลอื กฟง ดู และพดู แสดงความรคู วามคดิ อยา งมวี จิ ารณญาณและสรา งสรรค เพอื่ ใหเ ขา ใจ ธรรมชาตภิ าษาและหลกั ภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษา ภมู ปิ ญ ญาทางภาษา วเิ คราะหว จิ ารณว รรณคดี และวรรณกรรมอยางเหน็ คณุ คา และนํามาประยุกตใ ชใ นชีวิต รกั ษาภาษาไทยไวเ ปน สมบตั ขิ องชาตแิ ละมีนิสยั รกั การอา น การเขยี น มมี ารยาทในการอา น การเขียน การฟง การดู และการพดู ตัวช้วี ดั ท 1.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ท 2.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ท 3.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ท 4.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/7 รวม 24 ตวั ชวี้ ัด คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ˹§Ñ Ê×ÍàÃÂÕ ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾é¹× °Ò¹ ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.๔ ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี ๔ กลุม สาระการเรยี นรูภาษาไทย ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ผูเรียบเรียง นายภาสกร เกดิ ออ น นางสาวระวีวรรณ อินทรประพนั ธ นางฟองจันทร สุขยงิ่ นางกลั ยา สหชาตโิ กสยี  นางสาวศรีวรรณ ชอยหริ ญั ผตู รวจ นางประนอม พงษเผือก นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร นางวรวรรณ คงมานุสรณ บรรณาธิการ นายเอกรินทร สมี่ หาศาล พิมพค ร้งั ท่ี ๑๐ สงวนลิขสทิ ธิ์ตามพระราชบญั ญตั ิ ISBN : 978-616-203-565-4 รหสั สนิ คา ๓๔๑๑๐๐๖ ¾ÔÁ¾¤ Ãé§Ñ ·èÕ 10 คณะผจู ดั ทําคมู ือครู ประนอม พงษเผอื ก ÃËÑÊÊ¹Ô ¤ÒŒ 3441011 นงลกั ษณ เจนนาวี สมปอง ประทปี ชวง

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪤ŒËíÒ¹¹íÒѧÊ×ÍàÃÕ¹ ชใสชวะป ยดรพวะกัฒกแอนกบากหโผกดาูเานรรยรังียจเเสรนันดยีือ้ือกตภแพนเหาารลาักฒรมาียะษาเตหนนรเรารกียลสาไงดิรตันกศทอตาคาสักกนยายมวูตายมใวานหรรซภสิชมสแรล่ึงาาาราอลัเกรพูคพยปะนะสวขวื้นตนกแูตาชิอฐัวาภลมรางารชะแาเพผนเข้ีวกษรกนืู้าเัดียารนาหใฐรนีจยปเกาลวนใรนนรลักันดูแื้อะใากภผเกหหจองลลานาํกาสกมุษปสกชาาลสาารลารมกั าแระตศาาษระเลงิึกรมะณแขะเถษกินปบั้นกทใาาผงพนชาารขอลรงเรภ้ืนั้นรอใภาฐาพชยีพกยาาษนภรเื้ษนวนปอาราิชาฐภไูนมษอขาาทาเหาาพอนสยษนเนง้ืนรลไาชทวพิดมฐไมายําทุอทาอนตคกยนงยธี้ิวาคสทศชาราปรังน้ัก่ีผมเรถารรูมเเียขรงะูกาธั นขียากชตยใึ้นรนอมจอูตเท๒บศงงพาาุอก๕ตกึ ม่ือย่ืนคษา๕โใมคนๆาหใ๑หปรหตเทงปททลอไสี่จ้ังนี่ดักง๔ระคเสกภารชว่ืํงอาีายาวรหสษนมยาํนาารทยหูแดไเวําพทรลใิชใหับหื่ยอะา ผเู รยี นไดร บั ความรอู ยา งมภปี ารษะาสไทิ ทธยภิ าเพปนเอกลักษณของชาติ เปนสมบัติทางวัฒนธรรมอันทําใหเกิดเอกภาพ และเปนเครื่องมือท่ีใชในการติดตอส่ือสารเพ่ือสรางความเขาใจและความสัมพันธอันดีของ ¨ÊѴд¡ÇÅ¡‹ØÁá๡é×Í¡‹ ËÒÃÒ¨à»´Ñ š¹¡ËÒ¹Ãà‹ÇÃÂÕÂค¡¹Òน¡ÃÒàใÃÃนÕÂʹÍช¹ÃŒÙ าติ นà㡹อÃ˹Ôèก¹¹Ç‹จíÒÂàา·¾Õè¨è×ÍกÐãËàนÃŒàÕ¢ี้ ¹ÒŒ ãภ¨¶า§Ö ษÊÒาÃÐไÊทíÒ¤ยÞÑ ยังเปนเครื่องมือสําคัญท»â´ี่ช¡ÂÔ³วÁ¡Õáยзàใû¡นš¹à»¤ก¹šÇÒÃาÁÐรÂÃÐÙŒàแ¾æèÔÁสàµวÔÁง¨หÒ¡าà¹คé×ÍËวÒามรู ทั้งจากหนังสือและแหDลesงigขnอËม¹ÒŒูลáºสºาãËรÁส‹ ÊนÇเÂท§ÒÁศ¾ทÁÔ ¾้ัง นôี้ผÊูÕเรียนจะตองมีความรูความเขาใจ และ เลือกสรรใชภาษาไทยµทÅÍี่ถ´ูกàÅต‹Áอª‹ÇงÂãËเพÍŒ ‹Ò่ือ¹·ธÒí ํา¤ÇรÒงÁไà¢วÒŒ ซã¨่ึงä´เŒ§อÒ‹ Âกภาพของชาติไทย และสามารถนําไปใชตอนท่ี ๒ ปกณิ กะ ª¤ààà¹Ë¶«×¾ÍË´ÔÂÒÖè§ÈÁʹÒÁªË׺ÍèÕºµÕéÕªÒ¹â¹ÒÒÂ×èÍÅÁèÖ·§¡¾¹µäѺ਌»ÍíÒ¶¤Í֧Ť§´ÒäíѹÒÊÖ§à×ÍÇŒ´ÇÊÁèºÕÁÂŒÁ‹ÒÕÂÕÕÊÒ·µÕ¡·§ÕèºèÕÁ¹ŒÒ¡ÅÒÃҵѺàÖ§·¤¨Òí»¤¤Ô´ÅÒ¹š ¡íÒ֧ᨤ·Á¡Ö«§íÒèÕà¤ÒŒäÍÊÖè§¹µ¢¹Àع¤è×ÍêäÒØâ¹§Ò×è;·Å¨àäà·Â§ÁҷáԹÊãÕèãÕÂÂàªÁ¢ª¡»ËàŒÑÍŒµÂàÚ¹Áç⌹ÕªÕÂÒ亡µÍ×è¡·¾ÃíÒ·¶ªÅÂÒתÍèÕÖè×ͧ³Ö§ãªÍÍãµ¹¹à¡ËÇŒ¹ËÍ´ÔàÑÂÁäçÊ´¹ËÇ‹ÇÁÂÕյǹ‹ÒЧŒ‹ÒÖè§ à¶ÒÊèÕºÒ· ñ ผพแลูเัฒระียนวบารทสรเรณาํกั ียหษคงระดไับดอีแหาแลชนบะพีงัวงสตรเนือรา ณเ้ืองรๆหยีกนารเหพอรมรลือ่อาปักก๑ยภรเวปะเาิชลโนษายมพาช๒แืน้นลฐขเะาอลกนภงมาตาภรนษไใôาดเชาอษแงากแไทลหยะสลชงัักน้ัคภมมาธั ษยามแศลึกะษกาาปรทใชี่ ๔ภานษี้าทา๑งคเณลมะหนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ตอนท่ี การเขยี นบนั ทกึ ควตวั ชี้วดั á·ÁŒÍ΋§¶‹ÍèÔ¹§ÊÍÍ๪Â)‹¹‹Ò§à仼ùšÑ¡¡µáçµ¹Œ¤ÒÁº µ(íÒÀÅÒÖ§¤ÂàѧËÁ¹Õª×Íè×Í)àüÕ¡ѡµÍÕ¡íÒ¹ËÔ¹ÅÒÂ(ÍÀÂÒ‹¤Ò§Í«ÕÊèÖ§Òá¹µ)¡µá‹Ò¤§à¡´Ñ¹ÒÐÍÍ¡(¡ä»ÃÐãà¹ËáõÕè§‹Å-Ð ¡»ÍËàÅàÅÍͶҌÁÒà¡ÒÒÂÃËäÁµÕ´ÇÅÕÅҼ͌ÂÂèÕÁ¡Ñ šִÁɺ´á൳ÃÔº¡àÂíÒÔàÃÐÒÊÅ¡ÇÕÂСÕà֧ͳº¢ÅàÍ«ä»ÕÂÁã¡ÁÇÍš¹ºàÁ‹¡»äÁÊàÕ¢Áãš¹ÁÕàÕʹº¢ŒàË×èÍÕà¶Õ¢ŒÒÊ¢ÒÇáÕ¡ءÅͩǨŌÁºµ¡Ñ´ÕºÅãÒÁÃØ¡º´¼ÁÙ»ÊÕÍÍàÅ¢áÕÇÃÒ¡ÁŒÍŒÒ‹ҴÁÁÃÕ§ØË§ÁÕÊÙ»ËÕ¤ÅÕ´Õ¢ÃŹÒÍ‹ÒÒŒÒÂǧǡ´»‚ หลาผยเู ปขตรียทะอนก่ผี งกาเูกผผับขรารููสยีผรับงเคนอูไชสสดวตานาาานอรรกมปงอสารทกรอารูสักาะมเกคกึขรสษามอืไยีบระดาจนถทกนเกินปใอาาน้ัหาตงรนารผนภณนลถขูอาาเา้ึนาแ ขกาษยยลอานาาลทะยใรเจกัสขอกูรตคษง่ิาดะบั รแใวบณคจองวาบวสตองมดาคคาาักลตมกรปมวษออตรารทารมงูมระผ่ีคกรงขกคเเูวาตพอเอขิดราขางอ่ืียบขมมใยีนอหคงนิดามรมู ุงเนนหใหนผังูสเรือียเนรียเขนาใรจาใยนวภิชาาษพาื้นไทฐยานกวภางาขษ้ึนาไทมียทักหษละักกภาราษใชาภแาลษะากเาพร่ือใชกภาราสษื่อาสนา้ี รมทีเนี่ส้ืูองขห้ึนา••มอบมียนัา่ารทงยสกึามกท�่าาใเรนสศกมกึาอษราเ(ขคทีย้น น๒ค.ว๑(า้ท เม พ๒.ือ่๔.น๑-๖ า�มไ/๗ป.๔)พ-ฒั๖/น๘า)ตนเอง ••สมาการาระรยกเขาาทียรนในเบรกันยี าทรนเึกขรคูแ้ียวนกามนรกจู้ าลกาแงหล่งเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย • àÅÁ´è×ÍÍâÒ´¡¹Ò¤Ã·ÇÒŒÍÁ§ÃÍŒÍ×´¹·ŒÍ§à¿‡Í : ÊÃþ¤Ø³·Ò§ÂÒ ¤ÇÃÃѺ»Ãзҹʴ à¾ÃÒÐà͹ä«Áã¹µíÒÅÖ§¨Ð‹ÍÂÊÅÒ • áÁÁż´Ò´µÅ¤ÍÒíÍ¹Ñ Òã¡Ñä¡Ë¿àÒÊÅŒ Ãк¤ËàѹÍÃ:Í×ÂÕ ãã´Íªº¼ÒŒãµ¡ÊºíÒÒÁáËáÍÃÂºÑ Ñ¡×Í)¹ÃàÒéíÊÒ¡º¤Êà¹éÑ ¹´à×èÍ͵ҧáÒí¨¾µÒ¡Í¹‹ á¡Òíé ºÁ·ÃÅÒÔ৺ǡóѴàÔ ·Çµ³Õèà‹Í»·Âš¹àÕè »á¹š Ũй¾¡×ªÇÒ‹Á¨Õ¾ÐÔÉËÒÂ: • ¹íÒ㺵íÒÅÖ§Ê´ (ãªäŒ ´´Œ ÊÕ Òí ËÃºÑ ภขผยสอูใองชงมผภมชลนาวใษุษหยาใยบหมาุคผษีคถคูนืวอาลา้ันเเนปปมม้ันนรนีทูเคสสักปวว่ืษอนานะสมผสใําเูมนําขคคีกเาัหญาัญใตรจใสใุผในชนวลกภนหาาหลมรษนักีคสา่ึงเว่ือเกทปาสณ่ีจมนาะเฑอรชชย แ่ืวอวายลมิธงใะั่นดีกหเีาใชกนซรีว่ีย่ึงติตแพวนปขลัฒเรอะอนะไงงสดากกบฝมับาคกีมรกวฝนทาานุษารมองยดสยภสําําาาัมเเงษรนพถ็จาินันูกทชหตธี่ดีวทอาีจิตกง่ีดะี ทาํ ใหก ารสื่อสารเกิดประสิทธภิ าพ กรวามรเทขั้งียมนีควกาามรฟคิดงทก่ีแาจรมดชู แัดละแกลาะรสพาูดมาไรดถอนยําา ภงามษปี ารไะปสปทิ รธับภิ ใาชพในทชงั้ีวนิต้กี ปารระทจผ่ี ําเูวรันียนทจั้งะกสาารมอาารนถµÇÑ ªÕéÇÑ´áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·èÕËÅÑ¡Êٵà 169 ¡Òí ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶§Ö à»Ò‡ ËÁใชÒÂภã¹า¡ษÒÃาÈÖ¡ไÉทÒยไดอยางมีประสิทธิภาพ จําเปนตองเรียนรู จ¤íดÒ¶จÒÁํา»ÃฝШกíÒËท¹ํา‹Ç¡แÒÃลàÃะÕÂน¹ÃําÙŒáไÅปСใÔ¨ช¡ÃใÃนÁÊชÃีวŒÒ§ิตÊÃä Êã¹ÃÊþÒÃʏ ÐÒ¡ÃÒÐÃààûÕ¹š ¹ÊÃÒÙŒááй¨¡ÒÅ¡ปàÒ¹ร§×Íé ะËà¾Òจ×èÍาํ ¹à¾วÍèÔÁ¡นั ¾àËÙ¹¹áÍ× Å¨ÐÒ¢¡Â·ÒèÁÕÂÕ ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾è×ÍãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁդسÀÒ¾ºÃÃÅØÁҵðҹ áÅеÑǪÇéÕ ´Ñ ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃãÙŒ ËŒ¡ÇÒŒ §¢ÇÒ§ÍÍ¡ä»คณะผูเรียบเรียงมีความม่ันใจวา สถานศึกษาท่ีเลือกใชหนังสือเรียนชุดนี้ จะพัฒนา คหชน้ัุณลกัมภสธั ายูตพมรแแศลกึกะนษคกาุณลปาทลงัก่ี ก๔ษา-รณ๖ศะึกททษกุ ่ีพาปขึงรน้ั ปะพรกะนื้ าสรฐงาคนขพอทุ งผธศูเรกั ียรนาชได๒ต๕าม๕ม๑าตกรลฐุมาสนากระากราเรรียเรนยี รนูแผรลูเภู ระายี ตษบัวาเชรไท้ีวยี ัดยง๖จ.กําาเกปกรอเนวลนาาใตือเวนขขอรกาชอเาง๑ฟจวเคีวใพ.ะ็บภลจง๒ิตวอิถแไาสาป.อ๓ถซีพพือลม่อื รเกา.ตะิถว๔มนะเอดกกทิทถันจป่ือนั้.๕าูสาีม่ําายนฟถถกรฟ.ื่อเว๖ุโเีเคกูนาาปงทนพันร.ศเหอตดํานูื้อรจงปรใเมเอรงัทักกหาลนสนมสืนอแงพะัศาวือนาเกนหด้ีกวริวิเสนกอาลรุษคูรรฟลาเารรวตาือรรรายราจงดาºะยฟอไใาะยพใäจะมูจดçÍมกะ´สรชมงกาเา¡คีหาÃŒรแทกสาลีรกส«ตเºÑวราขลพราแักถÍสใาÃองาทยดะอือถÒษÍรมา่ืสองãกกร§เ่ีแาค¿นบ¹รรอะเหÇาาะหกลูจะวรใ¿ีใ»บิเÅÑรมเรนดลคากัมวÈห˜ã¨ันดปาดมก็ก¹พวãา¨ตูบทรแะเ¹ิธàาทะทØบºก·ุใกะลาึกสูรสี»ใดรÑจ่ี¹ฟดิคÈับชงะฟเมÃอํา¡»กอําสเโÍวÐงื่อถงลนสปàÒพาÃÂยียàยัแ»แมาà·ÅอืถิกรÒร‹ÐÃางูด¹ลšไลÀาÈÍากเ§è×แàºแสงตมท¨พะะ·Á¤กÒน§ÊจกไÃลปอÃดÂนถþี่แÒ¹È่ิมมกÔÉËีัดใร§òÔะรÍÒÀง¡ูกูานÂปäääÃวมÑพ·ใคสÇะÁศô·ã´Òเ·¹ตหѰถแาลµเ¹ÀชรตุมÃูน¾ึ´ÂกŒ÷µภÍÂอทคตากÒรº‹Ñ»ÒÀ่ือาÇคŒคÂษÃàÁง§รเทãุณล¾ðัก¨ง˜ÁÒÂถ湏¹วาวÊËคÕÀาาๆ¨ะค¾ÂÀษÃสือÒลกาคǵ‹àŒวยววÒºØÔ¡¹»ÒÂอ¹ะม¹ะาเัäบÃาิธรกแ¾นั¹Ñ¾Òพ¹šดµ´¹อÒมใÀใรจีกเลาàหÂáÀͪŒนõุดวียยู¹ÒพะàาผรÅะҏ¹Òáตûล¾กหใงÍèา×รศใµิวÙ¹ÒЋ¾ฟูäชŵšใร¹า§างÂดใู·§àเÔกึÔดàÂШคงÊชทÃรอง¹ÊตÇàมค¹»ÂษกÒ·นÂÕผําèÍื่×µÍนเี่เอàวีÑโ§¡¹µšค§สบัใèÕาÃÁดูÃําÍÃฆรÁรดàèÃ×ÍÃว«àรีย‹ไØÕ¡§ส»¨คูจÃÕÀàก»Ù§ปษ่ืิธอÑÅʾไ§»Ö¹šอ่ืÍè×วดเá¸Òาปี·ใ‹ÙงµใÍชèณ×§ÃÊรทþชÃบรชâÒมí¡ÐÅศÍè×Àน¡Ãªฟจ่ีÂทาãันใàÒ·ือÁจÒึกÒ¤¤ËนÀะ¹มÃถ่ีงทÊèÕ¾´ึงต×ͼŒÊษอ·อ¤ชµแากูÒมâึกÃàÂŒÙÍาอาÒŒËินÃีวÃกลÅÁºÑต¹§ีงไหàรäèก×͹ิตเÃÒ¡ะªÊวอ·ๆµาท§ลอÍè×èÖ§Ãปก¹éÑÍè×áเคยง¹ë¶§ักพาอËàาÅรàÍวกáÒ»ขèÖ§¶กÃเรรÃะื่อÐաçรäาก¹šèÍÒ׋อÍา×จเด´Ê¡ÊพËพรÂน§Àณศ¼งําูจ·ŒÃÒÒตÅ·¹ิจÒªิŒ็ÙจตเวนѺÇึงÊèÕฑÁÒéãคาÕ;ÁาานัÊ้ัน¤ÃªÂงÒ´รÊรÂรÀÒØŒÇคŒ¼ÇàๆๆÃณ¨่ือÒ¹ณçÌáÙวÒÒ¶¹ÔÁâèÍ×µงÃาÊÁ´ร¾า¢Òµใ§³Ã´รéÂÖ¹¹ภห÷䏹Âูจ¤·¶§ÔÂäèàาÕÒ¹·ัก»à»¹ÂÁ¼¡ษ¢é§Ñšµ¹·äÍŒÒÙàÊŒÒา·Ë»ãäèÕ·ÃÃÂô¨ÂÁš¹ãŒÒ‹ÙèªÕºããËÃŒ´§è¹×¹¹¹ºÑŒ¤àª»µ¡×;͚¹ÒÒº.ÃÈÃáÒ.ŧР๕ .๔ แแ.๓บ ใ๒บนแบ.๑ เบ.บกกพ ห. กกาบรรากรราอกากาอกรกะรไรกรกเรมอกหอรรากเ่รอากตยขรอยก ใุกา้ากดจกแใายจแงาบรกอเรบภบกาทธบารยรี่บิีเ่ษปราวปาายารก็นยยไะกบั ภทเกาแภราายราลทษรไอยะมมใายลยดค่ตคีา่ะกทรวา่งเตอบ่จีางไวัรปมยี�าถอเดรวเ้ ปกยะนทน็เี่ย่ามตี่ทงตวอ้ผีศปข้องล ร้องกมเะใงสรกชหีกอยีคอ้คลบัอกบวักชาำยใานใีวา่มถนแติงรกไบาปอราบรมบ ระจกกคจปงรรอา�อออรบวธกะกันแบิจรแหลาาาำ ตยะยรหกวอืกแนติจไาลว่าม่าระยรง ่ ยณคกจอกาวายญตกรรา่ วักาเงอรรณไยียอรนา่กงหรปู้รรอื ะไกมอ ่ บ ๓.๒ ค ใ. วห ขาใอน้ห ม๑ งกัน้ถเ.สก เ-พทกูักรถ- ใือ่่นีตเ ียหกจิารวน้อนักาบน้ยีกิชรง�าเฝนัักนราบ ไรึกเตียรทแปรรเว่า่รนล่ีเกิปยีขมงรสะามนรยีๆียกนรนบันอน ใสนัา�ใใวอแนแจไชรแ่ากบปโลใา้ใ้สมรนแหบใว้งดงปีชบโสมเ้กเงรกร้ใรบรรคีคงหะียิดอรแเววโ้เนรปคยกากบายี รมช์พรมิดบนะานสัฒคปกโย ุขยอ์ิดรรแนกทชะยอเลาาหโ่านก่สี้วรยกง็นรดุ์ทปชาไาเร่จีรรนกยะบา�เ์ย่ีกรเเา้มวปาียงกรนิน็น เบัแผตพรแลลู้อ้ือ่ บ้วพงสสบใรา�ชรก้อรปุใ้ รวมนผอจใชลหกคีวนรว้ขิตาา�าอ้ ปยมสมรกคง่ ูละาคดิจกรรเ�าทับห ู วี่สบ็นนั า�คุใ รนคเวพเลจร่ือท่ือคตีเ่งวกรตา่ยีวมา่ จวงคสขๆดิ ออ้ เ บงห ็น 106 ๑๑๒

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ÊÒúÑÞ ๑ตอนท่ี หนา การอาน ๑ - ๕๔ หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอา นออกเสยี งบทรอยแกวและบทรอ ยกรอง ๒ หนวยการเรียนรทู ่ี ๒ การอา นสือ่ ส่ิงพมิ พและสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส ๑๙ หนว ยการเรยี นรูท่ี ๓ การอา นแปลความ ตีความ และขยายความ ๔๑ หนว ยการเรยี นรูท ี่ ๔ การอานเพือ่ แสดงความคิดเห็น ๔๙ ๒ตอนที่ การเขียน ๕๕ - ๑๐๖ หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๑ การเขยี นบนั ทึกความรู ๕๖ หนว ยการเรยี นรูท่ี ๒ การเขยี นเรยี งความ ยอความ จดหมาย ๖๗ หนวยการเรยี นรูที่ ๓ การเขยี นอธิบาย ๘๘ หนวยการเรียนรทู ่ี ๔ การกรอกแบบรายการ ๙๙

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๓ตอนท่ี หนา การฟง การดู และการพดู ๑๐๗ - ๑๒๘ หนวยการเรียนรูท่ี ๑ หลกั การฟงและการดูสือ่ ๑๐๘ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๒ การสรปุ ความจากการฟง การดู ๑๑๕ หนวยการเรยี นรูที่ ๓ การพดู ตอท่ปี ระชมุ ชน ๑๒๐ ๔ตอนที่ หลกั ภาษาและการใชภาษา ๑๒๙ - ๑๘๖ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๑ ธรรมชาตแิ ละพลังของภาษา ๑๓๐ หนว ยการเรียนรูท่ี ๒ ลกั ษณะของภาษาไทย ๑๔๔ หนวยการเรียนรูท ี่ ๓ คาํ ราชาศัพท ๑๕๖ หนว ยการเรียนรทู ่ี ๔ การแตง คาํ ประพันธประเภทกาพยแ ละโคลง ๑๗๑ บรรณานกุ รม ๑๘๗

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ ñตอนท่ี การอา น ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี การอา นเปน เครอื่ งมอื ทสี่ าํ คญั อยา งหนง่ึ ในการแสวงหาความรเู พอ่ื พฒั นา • นกั เรยี นรจู กั หนงั สือท่ีมเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั อะไร ตนเองใหเ ปน ผูร อบรู ทันเหตกุ ารณ และสามารถอานสารตางๆ ไดอยา งแตกฉาน บา ง พรอ มยกตวั อยางรายชอ่ื หนังสือท่ี ถูกตองตามอักขรวิธี ซึ่งปจจุบันมีสื่อตางๆ ใหเลือกอยางหลากหลายทั้งประเภท นักเรียนรจู ัก รอ ยแกว และรอ ยกรอง หากผอู า นเขา ใจหลกั การอา นและมวี จิ ารณญาณในการเลอื ก (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น อา นสารทมี่ คี ณุ คา ยอ มสง ผลใหก ารอา นเกดิ ประโยชนแ ละผอู า นไดร บั อรรถรสจาก ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของ การอา น นกั เรยี น เปน ตนวา นวนยิ าย เชน ลบั แล, แกงคอย ความสขุ ของกะทิ คําพิพากษา เปนตน วรรณกรรมเยาวชน เชน แฮรร ่ี พอตเตอร แมงมุมเพือ่ นรัก เปนตน รวมถงึ หนังสือประเภทสารคดี และนติ ยสาร) • หนงั สอื เลมใดท่นี กั เรียนชอบมากทส่ี ุด เพราะเหตุใดนักเรยี นจงึ ชอบอานหนงั สอื เลม นัน้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยาง หลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตผุ ลของนักเรียน เปนตนวา แฮรร ่ี พอตเตอร เนอ่ื งจาก มเี นื้อหาสนกุ สนานสงเสริมจนิ ตนาการ สรางสรรค และใหข อ คดิ ที่ดโี ดยเฉพาะขอ คดิ เก่ียวกับการเสยี สละ) • นกั เรยี นมวี ธิ กี ารเลือกอานหนังสืออยา งไร และหนงั สือแตละประเภทมจี ุดมงุ หมายใน การอานและการทาํ ความเขาใจแตกตางกนั หรือไมอ ยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรยี น) เกร็ดแนะครู ในการจดั การเรียนการสอนเน้ือหาเกี่ยวกบั การอา นน้นั ครูควรเนน ทบทวนความรู และประสบการณเ ดมิ ของนกั เรียนเปนหลัก รวมถงึ เพม่ิ เติมความรูเกีย่ วกับหลกั การ พิจารณาเลอื กอา นหนังสอื โดยกลา วถงึ ลักษณะของหนงั สอื แตละประเภทมีการนาํ เสนอ เนื้อหาท่มี ีความแตกตา งกัน การกําหนดวัตถปุ ระสงคในการอานยอมมีความแตกตา ง กนั ไปดวย สง ผลตอวธิ กี ารอา น และการเลอื กอานหนังสือเพ่อื ตอบสนองวตั ถปุ ระสงค ของแตล ะคน ความรดู ังกลาวยอมเปนพน้ื ฐานในการเลอื กอา นหนงั สือใหส อดคลอง กับจดุ มงุ หมายของนักเรยี น และนกั เรียนสามารถนาํ ขอ มลู ความรทู ไี่ ดไปประยุกตท งั้ ในดา นการเลือกอา นหนงั สือและการสืบคน ขอมลู ความรไู ด นอกจากน้ี ครูผูส อนควร พจิ ารณาความสามารถในการอา นของนักเรียนแตละคนวา นกั เรียนแตละคนมีพน้ื ฐาน การอานในระดบั ใด อยา งไร เน่ืองจากยังมีการอานในอีกลกั ษณะหนึ่งซึ่งมจี ดุ มงุ หมาย ในการอา นเพ่ือการสงสาร คือ การอานออกเสยี ง ทัง้ การอา นออกเสยี งบทรอยแกว และบทรอ ยกรอง ครูผูสอนจึงควรเนน ใหนักเรียนทําความเขา ใจเนื้อหารวมถึงอรรถรส ของสารจากบทประพันธกอ นเปน อันดบั แรก จากนัน้ จึงส่อื สารเน้ือหาในบทประพันธ ถา ยทอดสผู ูอานดวยวิธีการอานออกเสยี ง คมู อื ครู 1

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู 1. อา นออกเสียงบทรอ ยแกว และบทรอยกรองได ตอนท่ี ๑ อยางถูกตอง ไพเราะ และเหมาะสมกบั เรอื่ งท่ี อา น 2. ตอบคําถามจากการอานงานเขยี นประเภท ตา งๆ ภายในเวลาทีก่ าํ หนด สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค การอา น เปน ทักษะท่สี าํ คญั ในการรบั สาร 1. ใฝเ รยี นรู มคี วามจําเปนในชวี ติ ประจาํ วนั ไมวาจะเปน 2. มุง มน่ั ในการทํางาน 3. รักความเปน ไทย กระตนุ ความสนใจ Engage ñหนวยการเรยี นรทู ่ี การอา นออกเสียงหรืออานในใจ โดยเฉพาะการ อานออกเสียงจําเปน อยางยงิ่ ทจ่ี ะตอ งศึกษาและ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • เมื่อนกั เรยี นอา นวรรณคดไี ทยเรือ่ งตา งๆ อาทิ ทําความเขา ใจเกย่ี วกับรูปแบบ จงั หวะ และ ทว งทาํ นองในการอานใหเขา ใจ ฝกอานใหถกู ตอง ขุนชาง ขนุ แผน พระอภัยมณี อิเหนา นักเรียน เคยสงั เกตบา งหรอื ไมวา การอา นออกเสยี ง ชัดเจน จึงจะทาํ ใหก ารอานสัมฤทธผิ ล ชวยใหว รรณคดีมีความไพเราะยิ่งขึน้ นกั เรียน และเกิดประโยชนส ูงสุด คิดวา เหตใุ ดจึงเปนเชนน้นั (แนวตอบ การอานออกเสยี งมคี วามไพเราะจาก การอา นออกเสยี งบทรอ ยแกว และ สมั ผสั การเลน เสยี ง เลน คํา) บทรอ ยกรอง • นกั เรยี นคดิ วา การอานออกเสยี งมีความสําคญั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรูแกนกลาง อยางไร (แนวตอบ นกั เรียนตอบไดหลากหลาย เปนตน วา • อา นออกเสยี งบทรอ ยแกวและบทรอยกรองไดอ ยาง • การอานออกเสียงบทรอยแกว เปน การสอ่ื สารกบั บคุ คลอื่นผา นการอาน) ถูกตอ ง ไพเราะ และเหมาะสมกับเรื่องทอ่ี า น • การอานออกเสียงบทรอ ยกรอง (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๖) เกร็ดแนะครู ครคู วรเนนทบทวนความรูและประสบการณเดมิ ของนกั เรยี นเปนหลัก และครคู วร เพิ่มเตมิ ความรเู ก่ียวกับหลกั การสอ่ื สารผานการอา นออกเสยี ง ซึ่งเปนการสื่อสารกับ บุคคลอน่ื หากนักเรยี นเปน บุคคลทีก่ าํ ลังทาํ หนา ทีถ่ า ยทอดสารผานการอา นออกเสียง นกั เรยี นตอ งคํานึงถงึ มารยาทในการอา น รวมถึงหลักการอานออกเสยี งที่ดี นอกจากน้ี ในการจดั การเรียนการสอนเก่ียวกับการอานออกเสยี ง ครูผสู อนควรคํานงึ ถงึ ความ สามารถเฉพาะตวั ของนักเรียนแตล ะคน เนื่องจากนกั เรียนแตละคนมคี วามสามารถ เฉพาะตวั แตกตางกนั เชน ความสามารถในการใชเสียง ไมว า จะเปน การเออ้ื นเสียง ทอดเสียง การใสอารมณความรสู กึ ในบทประพันธ เปนตน ครูผูสอนจึงไมค วรบังคบั นกั เรียนใหอา นออกเสยี งใหม คี วามไพเราะเพยี งอยา งเดียว แตครคู วรเนน ทักษะการ พจิ ารณาบทประพนั ธ การทําความเขา ใจเนื้อหา อารมณ และความรสู ึกในบทประพันธ ดวย เพอ่ื ใหนักเรยี นไดเ รียนรูทกั ษะอยา งอื่นพรอ มกัน การเรียนรูทกั ษะการอา นให ไพเราะเพยี งอยางเดียว อาจสงผลใหน ักเรียนเกดิ ความรูส ึกทไี่ มดีทง้ั ตอครูผสู อนและ วิชาภาษาไทย จนอาจนําไปสอู คติตอ การเรียนการสอนวชิ าภาษาไทยไดในทา ยที่สดุ 2 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. การอานบทรอ ยแกว ครูนาํ ตัวอยา งวีดทิ ศั นท ม่ี ีการนาํ เสนอขา วมา เปด ใหน ักเรยี นชม จากน้นั นักเรยี นรวมกันถายทอด รอยแกว หมายถึง บทประพันธที่เรียบเรียงดวยภาษาท่ีใชเขียนหรือพูดกันท่ัวไป ภาษา ประสบการณ โดยครใู ชค าํ ถามกระตนุ ความสนใจ ท่ีใชส ําหรบั รอยแกวไมม ีการบงั คับสมั ผสั หรอื กําหนดจาํ นวนคาํ แตอ ยา งใด เปนภาษาที่ใชส ่ือสาร ดงั ตอ ไปน้ี เพอื่ ใหเ กิดความเขา ใจเปนสําคญั • นักเรยี นคดิ วา วดี ทิ ศั นท น่ี กั เรียนไดรับชม รปู แบบของงานเขียนประเภทรอ ยแกว แบงออกไดเ ปน ๒ ประเภทใหญๆ ดังน้ี ขางตน หากพจิ ารณาในดานของเน้ือหา ๑. บันเทิงคดี เปนลักษณะงานเขียนท่ีมีเนื้อหามุงเสนอเร่ืองที่แตงขึ้นจากจินตนาการ วดี ทิ ัศนดงั กลาวจัดเปน ผลงานประเภท เพอื่ ความเพลดิ เพลนิ เปน หลกั ไดแ ก นทิ าน เรอื่ งสน้ั นวนยิ าย นยิ ายองิ พงศาวดาร และนทิ านชาดก บนั เทิงคดหี รอื สารคดี ๒. สารคดี เปนลักษณะงานเขียนที่มีเนื้อหามุงเสนอขอเท็จจริงที่เปนความรู ขอคิด (แนวตอบ ผลงานสารคด)ี เปน หลกั ไดแก ความเรยี ง บทความ สารคดี รายงาน ตาํ รา พงศาวดาร กฎหมาย จดหมายเหตุ พระราชหตั ถเลขา จารึก และคัมภรี ศาสนา สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ หลกั การอา นออกเสยี งบทรอ ยแกว นกั เรียนศกึ ษารปู แบบงานเขยี นประเภท รอ ยแกวทง้ั งานเขยี นประเภทบนั เทิงคดีและ เปนการอานออกเสียงธรรมดาหรือส่ือสารใหผูอื่นเขาใจเรื่องราวท่ีอานได มีหลักการอาน งานเขียนประเภทสารคดี พรอมศึกษาหลกั การ ดงั นี้ อานออกเสียงรอ ยแกวและหลกั การอานในใจ ๑. ศึกษาเรื่องที่อานใหเขาใจโดยตลอดเสียกอน โดยเขาใจท้ังสาระสําคัญของเร่ืองและ อธบิ ายความรู Explain ขอ ความทกุ ขอความ เพอ่ื จะแบง วรรคตอนในการอานไดอ ยางเหมาะสม 1. นกั เรียนจดั กลุม กลุม ละ 4 - 5 คน พรอ ม ๒. อานใหถูกตองตามอักขรวิธีในภาษา ท้ังภาษาไทยและภาษาท่ียืมมาจากภาษาอ่ืนๆ รว มกันแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นจากประเดน็ เชน บาลี สันสกฤต เขมร เปนตน รวมท้ังคําที่ถูกตองตามความนิยม โดยอาศัยหลักการอาน คาํ ถาม ดังตอ ไปนี้ จากพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานเปน สาํ คญั • นักเรยี นคิดวา รูปแบบงานเขียนประเภท สารคดีและบนั เทิงคดมี คี วามเหมือนและ ๓. อานอยางมีสมาธิและมั่นใจ ▼ การอานออกเสียงท่ีถูกตองชัดเจนเกิดจากการปลูกฝงการอาน ความแตกตางกนั อยางไร ไมอ า นผดิ อา นตก หรอื อา นเตมิ ขณะอา นตอ ง ที่ดี และฝก อานจนเกิดทกั ษะ (แนวตอบ มคี วามแตกตา งในดานเนือ้ หา ควบคุมสายตาใหไลไปตามตัวอักษรทุกตัว และกลวธิ กี ารนําเสนอ โดยบันเทงิ คดีมี ในแตละบรรทัดจากซายไปขวา ดวยความ การนาํ เสนอดวยการผูกเรอื่ งราว ไมเนน รวดเรว็ วอ งไว และรอบคอบ แลว ยอ นสายตา สาระหรอื ขอเทจ็ จรงิ สวนสารคดีเนน กลบั ลงไปยังบรรทัดถัดไปอยางแมน ยาํ ขอเท็จจริงเปน หลัก ในสว นของเปา หมาย การสือ่ สารกแ็ ตกตางกัน โดยบันเทิงคดี ๔. อานออกเสียงใหเปนเสียงพูด เนนความเพลิดเพลนิ สว นสารคดเี นน สาระ อยา งธรรมชาติทสี่ ดุ โดยเนนเสียงหนกั เบา ความรูเปน หลกั ) สงู ต่าํ ตามลักษณะการพดู โดยท่วั ไป ท้งั น้ี ขน้ึ อยกู บั เนื้อหาทอ่ี า นออกเสยี งเปนสาํ คญั 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ๓ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรยี นอานลกั ษณะของงานเขยี นรอ ยแกว จากแหลง เรยี นรตู า งๆ ครูควรเพม่ิ เติมความรูเกย่ี วกับวธิ ีการจาํ แนกงานทงั้ สองประเภทระหวา งงาน จากนัน้ ใหนักเรยี นรวบรวมงานเขียน 10 ประเภท มาพิจารณาจัดแบงวา สารคดแี ละงานบนั เทงิ คดี ซงึ่ เปนการจําแนกตามประเภทของเน้ือหา โดยงาน เปน งานเขียนประเภทใด โดยบอกเกณฑใ นการแบง จากนน้ั บันทกึ ลงในสมุด ประเภทสารคดีใหความสําคญั กบั เนอ้ื หา ขอ เท็จจรงิ ซึ่งแตกตา งจากงานบนั เทงิ คดี ท่เี นน กลวิธกี ารนาํ เสนอเพือ่ ใหเ กดิ ความบนั เทงิ ความแตกตางของเนื้อหาจึงนาํ ไปสู กจิ กรรมทา ทาย กลวิธีการนําเสนอทม่ี ีความแตกตางกนั การอานงานเขยี นทง้ั สองประเภทไมว า จะเปน งานสารคดหี รือบันเทงิ คดใี นขณะที่อาน นักเรียนควรพจิ ารณาเนื้อหารวมถงึ ประเมินคา นกั เรยี นศึกษาหลกั การอา นออกเสยี งรอ ยแกว จากแหลงเรียนรตู า งๆ เพือ่ สารจากบทอาน เพื่อใหน กั เรียนเกิดการตคี วามเนือ้ หา นอกจากจะเปนการสราง ใชเปนแนวทางในการคดั เลอื กงานวรรณกรรมประเภทรอยแกวสาํ หรบั อา น ความเขา ใจเน้อื หาจากบทอา นแลว เมื่อนกั เรยี นตองการอา นออกเสยี ง ซงึ่ เปนการ วเิ คราะหสาร นกั เรยี นสรปุ สาระสําคญั ของเรอ่ื งท่ีอา นลงในสมุด อา นเพือ่ สงสารใหผอู านเกิดความเขาใจ ยงั กอใหเกิดอรรถรสในการสอ่ื สารไดเ ปน อยา งดี นอกจากนี้ ครคู วรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั ทกั ษะการอานเพื่อ ทําความเขา ใจสารใหม คี วามลกึ ซง้ึ เพือ่ ใหนักเรยี นสามารถตีความอารมณความรูสึก และจุดมงุ หมายในการสือ่ สารไดดีย่งิ ขน้ึ ชวยใหนกั เรยี นเลือกใชน ้าํ เสียง จงั หวะลลี า ในการอา นไดส อดคลอ งกลมกลืนกับเน้ือหาท่นี ําเสนอ คูมอื ครู 3

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรว มกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ๕. อ่านออกเสียงให้ดังพอสมควร ให้เหมาะกับสถานท่ีและจ�านวนผู้ฟัง ไม่ดังหรือค่อย • นกั เรียนคิดวา การอานออกเสียงและการอา น จนเกินไป จะทา� ใหผ้ ้ฟู ังเกดิ ความรา� คาญและไมส่ นใจ ในใจมีเปา หมายในการสอื่ สารท่ีแตกตา งกนั ๖. ก�าหนดความเร็วให้เหมาะสมกับผู้ฟังและเรื่องที่อ่าน ไม่อ่านเร็วหรือช้าเกินไป การ หรอื ไม อยางไร อ่านเร็วเกินไปท�าให้ผู้ฟังจับใจความไม่ทัน แต่การอ่านช้าเกินไปท�าให้ผู้ฟังเกิดความร�าคาญได้ (แนวตอบ มีเปาหมายในการสอื่ สารท่ีแตกตา ง ผูอ้ ่านจงึ ตอ้ งพจิ ารณาพนื้ ความรขู้ องผ้ฟู ังและพิจารณาประเภทของเร่ืองทอ่ี า่ นด้วย กนั โดยการอานในใจเปนการมงุ สอ่ื สารกับ ๗. อ่านให้ถูกจังหวะวรรคตอน ต้องอ่านให้จบค�าและได้ใจความ ถ้าเป็นค�ายาวหรือค�า ตนเอง จงึ เนนความเขาใจเนื้อหาของเรอ่ื งเปน หลายพยางค์ ไม่ควรหยดุ กลางคา� หรอื ตัดประโยคจนเสยี ความ หลัก สว นการอานออกเสียงมุงสอื่ สารกบั ผูอืน่ ๘. อ่านเน้นค�าท่ีส�าคัญและค�าที่ต้องการ เพื่อให้เกิดจินตภาพที่ต้องการ ควรเน้น การอา นจึงตองเนน นาํ้ เสยี งที่มีความชดั เจน เฉพาะคา� ไม่ใช่ท้งั วรรคหรอื ท้งั ประโยค เช่น เพือ่ สื่อเนอื้ หาท่เี ดนชดั ) • นกั เรียนคิดวา จดุ มุงหมายในการอา นท่ีมี “พิมนง่ิ งนั คำ� พดู ของแม่บาดลึกเข้ำไปในควำมร้สู กึ ” ความแตกตางกนั สงผลตอ หลกั การอา นทม่ี ี ความแตกตางกันหรือไม อยางไร ๙. เม่ืออ่านข้อความท่ีมีเครื่องหมายวรรคตอนก�ากับ ควรอ่านให้ถูกต้องตามหลักภาษา (แนวตอบ สงผลตอ วธิ กี ารอานที่แตกตา งกนั ส่วนค�าที่ใชอ้ กั ษรยอ่ ตอ้ งอ่านให้เต็มค�า เช่น เนอ่ื งจากการอานออกเสยี งตองคํานงึ ถึงปจ จัย หลายอยาง โดยเฉพาะอยา งย่ิงความชัดเจน ทลู เกล้ำฯ อำ่ นว่ำ ทนู - เกล้ำ - ทูน - กระ - หมอ่ ม ของนํา้ เสยี ง นักเรียนสามารถยกหลกั การอาน พ.ศ. อำ่ นวำ่ พดุ - ทะ - สกั - กะ - หรำด ออกเสียงบทรอยแกวในหนา 3 และ 4 มา ประกอบการอธบิ ายเพิ่มเตมิ ได) ๑๐. เม่ืออ่านจบย่อหน้าหน่ึงควรผ่อนลมหายใจและเมื่อข้ึนย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียง ทอดเสียงใหช้ า้ ลงกวา่ ปกตเิ ลก็ น้อย เพ่ือดึงความสนใจจากผู้ฟัง จากนน้ั จงึ ใชเ้ สียงในระดับปกติ 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ๑.๒ การอา่ นในใจ ขยายความเขา ใจ Expand การอ่านในใจ เป็นการท�าความเข้าใจสัญลักษณ์ที่มีผู้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร 1. นักเรยี นยกตัวอยางงานเขยี นประเภทบนั เทงิ คดี รปู ภาพ และเครอ่ื งหมายตา่ งๆ แล้วผอู้ า่ นจะตอ้ งท�าความเขา้ ใจโดยแปลสัญลกั ษณท์ ี่บันทึกไว้นนั้ และสารคดคี นละ 2 ตวั อยา ง ให้ตรงตามความต้องการของผู้บันทึก การอ่านในใจจึงใช้เพียงสายตากวาดไปตามตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์ต่างๆ แล้วใช้ความคิดแปลความ ตีความ รับสารต่างๆ ที่อ่านน้ัน ท�าให้ผู้อ่านได้รับ 2. นักเรยี นคนควางานเขียนประเภทบนั เทิงคดี ความร้ ู ความคิด และความบันเทิง อันเปน็ จุดมงุ่ หมายของการอ่านโดยทว่ั ไป และสารคดี ประเภทละ 1 ตวั อยาง พรอ มสรปุ การอ่านที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพ่ือ เนือ้ หาที่ไดจ ากการอาน จากน้นั รวมกันอภิปราย ศึกษาหาความร ู้ เพื่อหาค�าตอบ หรือเพื่อความบันเทิงน้ัน ผู้อ่านตอ้ งอา่ นอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ วิธี วา งานเขียนท้งั สองประเภทมีความแตกตางกัน ทีจ่ ะช่วยใหอ้ า่ นอย่างมปี ระสิทธิภาพได้นั้น ผู้อา่ นต้องสามารถจบั ใจความสา� คญั ของเรื่องท่ีอ่านได้ อยางไร ต้องรู้ว่าเรื่องที่ตนอ่านนั้นผู้เขียนกล่าวถึงอะไร มุ่งเสนอความคิดหลักว่าอย่างไร และฝึกอย่าง สม�่าเสมอ เพื่อให้สามารถจับใจความจากข้อความหรือเรื่องราวท่ีอ่านได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็น ตรวจสอบผล Evaluate ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ในการแสวงหาความรู้หรือความบันเทงิ ในเวลาอันจ�ากดั นักเรียนสามารถบอกความแตกตางระหวางงาน 4 บนั เทิงคดแี ละสารคดี พรอ มยกตัวอยางประกอบได เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการจับสาระสาํ คญั ของเร่ือง ครคู วรเพ่ิมเตมิ ความรูเ ก่ียวกับการอานและการประเมนิ คางานเขียนประเภท ขอ ใดเปนสาระสําคัญของขอความตอ ไปน้ี บันเทิงคดแี ละงานเขยี นประเภทสารคดี เมือ่ นกั เรยี นมีความรูค วามเขาใจเก่ยี วกับงาน คนสว นใหญไมค อ ยรูตัว ยังคงอยากไดอ ะไรทม่ี ากขึ้นๆ ไมวาจะเปน เขยี นแตล ะประเภท รวมถงึ เขาใจจดุ มงุ หมายของงานเขียนแตละประเภทแลว นกั เรยี น เงินทอง เกยี รติยศชอ่ื เสยี ง หรอื ความรัก และก็มักจะไมไ ดดังใจนึก สามารถนาํ ความรูดังกลา วมาเปน พื้นฐานในการอานและการทาํ ความเขา ใจเนอ้ื หาใน ความทุกขก ย็ ่งิ มมี ากข้นึ ตามวัยทีม่ ากขึน้ ดว ย บทอา นได โดยการอา นแบบประเมนิ คา เปนการตดั สนิ ความถูกตอ ง เที่ยงตรง และ 1. คนเราเมอ่ื อายมุ ากขนึ้ กย็ อ มมคี วามอยากไดม ากขน้ึ ตามวยั คุณคาของเรอื่ งทีอ่ านวา มคี วามชัดเจนหรอื ไม มากนอยเพยี งไร มีความนาเชอ่ื ถอื ใน 2. ถา คนเรามคี วามอยากไดไ มม ที ส่ี น้ิ สดุ กจ็ ะยงิ่ มคี วามทกุ ข ระดบั ใด มีคณุ คา หรือไม อยา งไร โดยพจิ ารณาเนื้อหา วิธกี ารนาํ เสนอ และการใช 3. คนสวนใหญอ ยากไดของบางอยา งแลว ไมได จงึ เกดิ ความทุกขใจ ภาษา การประเมนิ คา งานเขยี นจงึ ตองอาศยั การพิจารณาไตรตรองอยางละเอียดถ่ถี วน 4. สวนใหญค วามทุกขของคนเกดิ จากความอยากไดเ งินทองเกยี รติยศ โดยอาศัยขอ มลู หลักเกณฑ และเหตผุ ล นอกจากน้ี การอา นเพ่ือพจิ ารณาประเมนิ คา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ถา คนเรามีความอยากไดไมมีท่สี ิ้นสดุ ก็ งานเขียนแตละประเภท ยังตอ งพิจารณาตามประเภทของงานเขียนเปนหลกั โดยมี จะย่ิงมคี วามทกุ ข พจิ ารณาจากขอความทวี่ า “...อยากไดอ ะไรทม่ี ากข้นึ ๆ... รายละเอียด ดงั น้ี 1. สารคดี พิจารณาเน้อื หาวา มีการนําเสนอความรูท น่ี าสนใจ ความทกุ ขก ็ยงิ่ มมี ากข้ึน...” มีความถกู ตอง และนา เชอื่ ถือ 2. บนั เทงิ คดี พจิ ารณาจากองคป ระกอบของเร่ืองเปน สําคญั เพ่อื ใหน กั เรยี นเกดิ ความเขา ใจและถายทอดเนอ้ื หาไดอยา งชดั เจน 4 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การอ่านบทร้อยกรอง ครูนําตัวอยางวดี ทิ ศั นท ่มี ีการอา นบทรอยกรอง แบบใสทาํ นอง และการอา นแบบไมใ สทํานอง คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนมาต้ังแต่โบราณ ด้วยเหตุน้ี ถ้อยค�าส�านวนที่ได้ยินได้ฟัง มาเปดใหน กั เรยี นฟง หรือครอู านบทรอยกรอง อยเู่ สมอ จึงมักมเี สยี งสัมผสั คล้องจองกนั เช่น ก่อร่างสรา้ งตัว ข้าวยากหมากแพง คดในข้องอใน- แบบไมใ สท าํ นองและบทรอยกรองแบบใสท าํ นอง กระดกู จองหองพองขน แมแ้ ตเ่ พลงสา� หรับเด็กร้องเลน่ เชน่ รีรขี า้ วสาร สองทะนานข้าวเปลือก ใหนักเรียนฟง โดยใชบทประพนั ธใดกไ็ ด ซง่ึ บท เลอื กท้องใบลาน คดข้าวใสจ่ าน เปน็ ตน้ ประพันธทีน่ าํ มาอา นหรอื เปด ใหนักเรยี นฟง ตอ ง ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ ระดับเสียง เปน บทประพนั ธเดียวกัน จากนัน้ นักเรยี นรวมกนั เม่ือน�าถ้อยค�ามาเรียงร้อยเข้าด้วยกันแล้วจะก่อให้เกิดบทร้อยกรองหลายลักษณะ เช่น กาพย ์ ถายทอดประสบการณ โดยครใู ชคําถามกระตนุ กลอน โคลง ร่าย ฉนั ท์ นอกจากนนั้ ยงั มกี ารนา� บทร้อยกรองบางรปู แบบมาประสมประสานกัน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ แลว้ เรียกว่า กาพย์หอ่ โคลงบา้ ง กาพยเ์ หบ่ า้ ง ลลิ ิตบ้าง บทรอ้ ยกรองทค่ี นไทยไดส้ ร้างสรรคม์ าแต่ โบราณนีล้ ว้ นงดงามดว้ ยวรรณศิลปท์ ้ังสิ้น๑ • นักเรยี นคดิ วา การอานบทรอ ยกรองแบบ ดังน้ัน การอ่านบทร้อยกรองให้มีความไพเราะ เกิดความซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมนั้น ใสท าํ นองมคี วามแตกตางจากการอา นบท ผูอ้ า่ นต้องอา่ นบทร้อยกรองทง้ั อ่านออกเสียงเปน็ ท�านองตา่ งๆ ตามลกั ษณะฉันทลกั ษณอ์ นั เป็นส่ิง รอยกรองดว ยเสียงธรรมดาโดยไมมีการใส ก�าหนดทา� นองให้แตกต่างกันออกไป ทาํ นองหรือไม อยา งไร ๒.๑ ลกั ษณะของบทรอ้ ยกรองประเภทตา่ งๆ • นักเรียนรสู ึกชื่นชอบการอา นบทรอยกรอง แบบใดมากกวา กนั ระหวา งการอานบท บทร้อยกรองแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน จึงมีวิธีการอ่านที่ต่างกันโดยข้ึนอยู่กับ รอ ยกรองแบบใสท ํานองและการอา นบท บทรอ้ ยกรองประเภทนัน้ ๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการอ่านบทรอ้ ยกรองได้ ดังน้ี รอ ยกรองดว ยเสียงธรรมดา ๑. โคลง เป็นค�าประพันธ์ด้ังเดิมของไทย นิยมแต่งอย่างแพร่หลายอย่างน้อยราว ตน้ กรุงศรีอยธุ ยา ส�าหรับโคลงส่สี ุภาพถอื เป็นโคลงท่ีได้รบั อิทธิพลจากโคลงท่ีแพร่หลายในลา้ นนา • นกั เรยี นคดิ วา หากคนอานบทรอยกรอง แทนโคลงดนั้ ท่ีใชอ้ ยแู่ ตเ่ ดมิ ดว้ ยฉนั ทลกั ษณท์ ่ีไมซ่ บั ซอ้ นจงึ ถอื เอาโคลงสสี่ ภุ าพเปน็ พน้ื ฐานสา� หรบั เปนคนละคนกันจะสงผลตอทวงทํานองของ การแต่งและอา่ นคา� ประพนั ธป์ ระเภทโคลงในปัจจบุ ัน บทรอ ยกรองที่มีความแตกตางกนั หรอื ไม ๒. ฉันท์ เป็นค�าประพันธ์ประเภทหนงึ่ มีการบังคบั เสยี งหนกั เสยี งเบา (คร ุ ลห)ุ โดยอาจ อยางไร จา� แนกลกั ษณะการแตง่ ออกเป็น ๒ ชว่ ง ไดแ้ ก่ ฉันท์รุน่ เก่า เชน่ สมุทรโฆษ อนิรทุ ธ ์ ฉันท์ปัจจบุ ัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น อาจพจิ ารณาว่า เรม่ิ ต้งั แตส่ มยั รัชกาลที ่ ๓ เรอื่ ยมา เรมิ่ มกี ารน�าคา� บาลี สันสกฤต มาใช้มากขนึ้ ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ คลา้ ยกบั เปน็ การบงั คบั คร ุ ลห ุ ซงึ่ ลกั ษณะดงั กลา่ วมาสมบรู ณป์ รากฏชดั เจนในผลงานของชติ บรุ ทตั นกั เรยี น) ๓. กาพย ์ เปน็ คา� ประพนั ธป์ ระเภทหนงึ่ ของไทย ทนี่ ยิ มแตง่ ม ี ๓ ประเภท คอื กาพยย์ าน ี ๑๑ กาพยฉ์ บัง ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ ในสมัยโบราณนิยมแตง่ กาพย์ทัง้ ๓ ประเภทน้สี ลับกัน สาํ รวจคน หา Explore ๑กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธิการ, อ่านอยา่ งไรให้ไดร้ ส (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว, ม.ป.ป.), หน้า ๓๐. นกั เรียนสบื คนขอ มลู เกยี่ วกบั การอา น บทรอ ยกรองใน 2 ลกั ษณะ คือ การอา นออกเสียง 5 ธรรมดาและการอา นทํานองเสนาะ พรอมศกึ ษา คุณสมบัติของผูอา นบทรอ ยกรองและหลกั เกณฑ ในการอานบทรอยกรอง บรู ณาการเช่อื มสาระ บูรณาการอาเซียน ครูสามารถนาํ เน้อื หาเร่อื ง การอานทาํ นองเสนาะ บูรณาการเชื่อมโยงกบั ครชู ีใ้ หน ักเรยี นเห็นความสาํ คญั ของการอา น โดยยกโครงการอทุ ยานการเรยี นรู กลมุ สาระการเรียนรู ศลิ ปะ รายวชิ าดนตรี-นาฏศลิ ป เน้อื หาเกีย่ วกบั การขับ TK park มาเปน ตวั อยาง ซึง่ เรมิ่ จัดประชุมวชิ าการประจาํ ป 2554 เพ่อื แลกเปลยี่ น รอ งเพลงไทย โดยนกั เรียนสามารถทาํ ความเขา ใจหลักการและขนั้ ตอนการ ประสบการณโ ครงการสง เสริมการอานในระดบั อาเซยี น จากสิงคโปร ลาว และ ขับรองเพลงไทย และสามารถนําองคความรูจากรายวชิ าดงั กลา วมาฝกฝน เวยี ดนาม เพอื่ เตรียมความพรอมกอ นเขาสูเวทีอาเซียนในป 2558 ความสําเรจ็ ในการ เพือ่ ใหเ กิดการอานบทประพนั ธโ ดยใชท ํานองเสนาะไดอ ยา งเหมาะสม รณรงคก ารอานเม่อื ป 2548 กับโครงการ Read Singapore การจดั กจิ กรรมสง เสรมิ การอาน 1,600 ครง้ั ตอป สามารถผลักดนั การอานเปน วาระของชาตไิ ดสาํ เร็จ ปจจบุ ัน ประเทศสิงคโปรจึงเปนประเทศตน แบบในการรณรงคการอา นในภูมิภาคอาเซยี น นอกจากความสําเร็จของประเทศสงิ คโปรแ ลว ยงั มปี ระเทศเวยี ดนามและสาธารณรัฐ ประชาชนลาว มาแลกเปล่ียนประสบการณและแนวทางการแกไขปญ หาการรณรงค การอาน จากสถานการณก ารอา นในเวียดนาม ภาครัฐสงเสริมการสรางหองสมดุ 100 แหง ภายใน 1 ป แตส ําหรบั สาธารณรฐั ประชาชนลาว มเี พยี งองคก ร “ฮกั อา น” ที่ ขับเคลอื่ นแนวคิดนี้ และยังมปี ญหาขาดแคลนหองสมุด และหนงั สือ ซง่ึ ประเทศไทย สามารถนําบทเรียนจากการแกไ ขปญ หาของประเทศเพอื่ นบา นมาเปน แนวทางในการ สง เสริมการอา น เพื่อพัฒนาการอานของประชาชนตอไป คมู อื ครู 5

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครเู ปด วีดิทศั นเก่ียวกับการอา นบทรอ ยกรองใน ๔. กลอน เป็นค�าประพันธ์ที่เกิดหลังสุด แต่งง่ายที่สุด และเป็นที่นิยมแพร่หลายมาก สองลกั ษณะ คอื การอานออกเสียงธรรมดาและ ทสี่ ุด ด้วยกลอนจะมีจงั หวะและทา� นองเฉพาะตัว คือ กลอน ๑ บท ม ี ๔ วรรค ไดแ้ ก ่ วรรคสดบั การอานทํานองเสนาะใหนักเรยี นฟง จากน้ัน วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง การอ่านค�ากลอนจะเน้นให้เห็นสัมผัสนอกที่ถูกต้องชัดเจน นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ และถา้ มสี ัมผสั ในเพิม่ ดว้ ยจะชว่ ยใหค้ �ากลอนมคี วามไพเราะย่ิงขนึ้ • บทรอยกรองทีน่ ักเรยี นไดฟ งขางตน มลี ักษณะคําประพันธป ระเภทใด ๕. รา่ ย เปน็ คา� ประพันธท์ ีเ่ กา่ แกท่ ี่สดุ ของไทย ขอ้ บังคับตา่ งๆ มีเพยี งค�าสดุ ท้ายสง่ สมั ผสั (แนวตอบ คาํ ตอบขึน้ อยกู ับบทรอ ยกรองทค่ี รู ไปยงั วรรคถดั ไป จะมีกี่วรรคก็ได ้ รา่ ยสภุ าพจะมีวรรคละ ๕ คา� สว่ นร่ายยาวเปน็ รา่ ยที่ไมก่ �าหนด ยกมาใหน ักเรียนฟง ) โจค�าลนงวสนอคง�าสใุภนาวพรรหครหอื นโคึ่งลๆง สแาตม่ลสะุภวารพร คหอาากจเมปีค็น�ารม่ายากดนน้ั 1จ้อะยจแบตดกว้ ตย่าโงคกลันงส อถง้าดเป้ัน็นหรร่าอื ยโคสลุภงาสพาจมะดจน้ั บ ดก้วายร • นักเรยี นคิดวา การอา นบทรอ ยกรองท้งั สอง กร่าา� ยห นปดรจะกังหอวบะดใ้วนยก ารรา่ อยา่ สนุภราา่ พย ชรนา่ ดิยตโบา่ รงาๆณ จ 2ึงรไา่ มยแ่ดนนั้ น่ แอลนะ รท่า้ังยนยเ้ี าพวราะจา� นวนคา� ค�าประพนั ธป์ ระเภท ประเภทมคี วามแตกตา งกันอยา งไร (แนวตอบ การอา นท้งั สองแบบขางตนมคี วาม ๒.๒ กบทารรอ้ อยา่ กนรอบงทหรรืออ้ กยวนีกพิ รนอธง3 ์ มวี ธิ กี ารอ่านได ้ ๒ ลักษณะ กลา่ วคือ อา่ นออกเสยี งธรรมดา แตกตางกัน โดยการอา นแบบใสทํานองหรือ การอา นทาํ นองเสนาะ เนน ความไพเราะของ โดยอา่ นออกเสยี งเชน่ เดียวกับการอ่านร้อยแกว้ และการอ่านทา� นองเสนาะ คือ อ่านเป็นท�านอง เสียง ทง้ั สาํ เนียงสูง ตํ่า หนัก เบา ยาว ส้นั เพือ่ ความไพเราะ ทอดเสยี ง เอ้ือนเสียง เนน จงั หวะ เนน สัมผัส อ ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดธรรมดาเหมือนอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ในทม่ี ีความไพเราะ ชดั เจน และทาํ ใหเ กิด แตต่ ้องเว้นจงั หวะวรรคตอนให้ถูกต้องตามลกั ษณะบงั คับของค�าประพันธ์แตล่ ะชนิด มีการเนน้ ค�า อารมณค ลอยตาม ผอู านจงึ ตอ งมสี ําเนียงและ รับสมั ผัสเพ่ือเพ่มิ ความไพเราะ รวมทั้งสามารถใสอ่ ารมณ์ใหเ้ หมาะสมสอดคล้องกับเนอื้ หาทอ่ี ่านได้ นาํ้ เสยี งเหมาะสมกบั ลกั ษณะเน้ือความท่อี า น สวนการอา นออกเสียงธรรมดาเนนจังหวะและ อา่ นทา� นองเสนาะ เป็นการอ่านทีม่ ีส�าเนียงสงู ต่�า หนัก เบา ยาว สัน้ ทอดเสยี ง เอ้ือน การแบง วรรค สามารถเพมิ่ ความไพเราะดวย เสียง เน้นจังหวะ เน้นสัมผัสในชัดเจนไพเราะ และท�าให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม ดังนั้น ผู้อ่าน การใสอารมณใ นบทประพันธได) ต้องมีสา� เนียง น�้าเสียงทีเ่ หมาะสมกบั ลักษณะเน้ือความทีอ่ า่ น เช่น บทเลา้ โลม เกยี้ วพาราส ี ตดั พ้อ โกรธเกรย้ี ว คร่�าครวญ โศกเศร้า ซึง่ เปน็ สง่ิ ทตี่ ้องฝึกฝนโดยเฉพาะ 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ๑) คณุ สมบตั ขิ องผูอ้ า่ น ๑. มีความรู้เร่ืองฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน เพ่ือให้สามารถอ่านได้อย่าง ถูกต้องแมน่ ย�า ๒. มคี วามชา่ งสงั เกต รอบคอบ ปฏภิ าณไหวพรบิ ดี ๓. มีทักษะและสมาธิในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตกหล่น หรือต่อเติม ท�าให้เสีย ความไพเราะ ๔. มีความเพยี รพยายาม มีความอดทนในการฝกึ ฝนการอ่านอย่างสม�า่ เสมอ ๕. มคี วามรกั และสนใจการอา่ นอย่างแทจ้ ริง อันจะนา� ไปส่คู วามแตกฉานในการอา่ น ๖. มีความเชอ่ื มั่นในตนเอง กล้าแสดงออก ๗. มสี ุขภาพดี ๘. มนี า้� เสยี งแจม่ ใส อวัยวะในการออกเสยี งไมผ่ ิดปกติ 6 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT คําประพันธที่กาํ หนดเสยี งบงั คับเสียงหนกั เสียงเบา ใชภาษาบาลสี นั สกฤต 1 รา ยดนั้ ชอ่ื รา ยชนิดหนง่ึ บทหนึง่ มี 5 วรรคขนึ้ ไป วรรคหนึ่งใชต ้งั แต 5 - 7 คํา เปน พืน้ ในการแตง ผูอ า นจะตองจดจําจงั หวะใหแ มน ยํา และจะตองจบดวยบาทท่ี 3 และที่ 4 ของโคลงดัน้ ววิ ธิ มาลี นอกน้ันเหมอื นรา ยสุภาพ ขอความขา งตนเปน การอา นคาํ ประพนั ธประเภทใด 2 รายโบราณ ชอ่ื รา ยชนิดหน่งึ นิยมใชในวรรณคดโี บราณ ไมนยิ มคาํ เอกคําโท 1. โคลง ไมจาํ กัดวรรคและคาํ แตมักใชวรรคละ 5 คําและใชคาํ เทา กันทุกวรรค 2. ฉนั ท 3 กวนี ิพนธ คาํ ประพันธท กี่ วีแตงขึน้ อยา งมศี ิลปะ งานประเภทกวนี พิ นธใ นปจจบุ ัน 3. กาพย มไิ ดจ ํากัดเฉพาะบทประพันธท ่มี ีการแตง สอดคลอ งกับฉันทลกั ษณใ นบทประพนั ธ 4. ราย เทานั้น แตง านกวนี ิพนธยังมีความหมายรวมถงึ บทประพนั ธท ไ่ี มบงั คับฉันทลักษณ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ฉันท เพราะฉนั ทเ ปน คําประพันธท ีเ่ ครงครัด อยา งกลอนเปลา อีกดวย การอานบทกวีนพิ นธผูอา นจึงควรพินจิ พจิ ารณาคุณคาดว ย เสียงหนกั -เสียงเบา หรือคําคร-ุ ลหุ และดว ยเหตุที่ฉนั ทเ ปนคาํ ประพันธที่ การเปด ประสาทสมั ผัสตางๆ ไดแก หู ตา จมูก ล้นิ กาย รวมถึงใจของผอู าน เพื่อให บัญญตั ใิ หใชค ําคร-ุ ลหทุ กุ บททุกบาท จึงยากท่ีจะใชค ําไทยมาแตง เพราะ เกิดการรบั รแู ละเขาถึงอรรถรสท่อี ยูในบทกวี เชน เม่ือผอู า นอา นแลวเกดิ จนิ ตภาพเห็น คําลหุในภาษาไทยมีนอ ย จึงตองอาศัยภาษาบาลีสันสกฤตเปนพน้ื ในการแตง แสงหรอื ภาพอยา งไร ไดย ินเสียงเชนใด ไดกล่ินใด ไดล ม้ิ รสหรือสมั ผัสอยางไร ผูอ า น ควรใชว ธิ ีการอานออกเสียง เพอ่ื ฝก ใหป ระสาทสมั ผสั ไดรบั รอู ยา งเตม็ ท่ี 6 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) หลักเกณฑในการอาน 1. นกั เรยี นรวมกันระดมความคดิ ดว ยการ ถาจําเปน สา๑ม.ารศถกึ เษขาียคนาํ คปณระะพ1จนั ําธนช วนนดิ คตําา งคๆรุ ใหเ ขา ใจถอ งแท จดจาํ รปู แบบ และขอ บงั คบั ใหแ มน ยาํ ตอบคําถาม ตอไปนี้ ลหุ กาํ กับลงในบทรอยกรองได • นักเรียนคดิ วา นกั เรยี นมีวธิ กี ารฝกฝนตนเอง ๒. อานบทรอยกรองเปนสําเนียงการอานรอยแกวธรรมดา อานออกเสียงดังชัดเจน อยางไร เพ่อื ใหนกั เรยี นมีคณุ สมบตั ิในการ ใหไดจังหวะ หรือชวงเสียงตามรูปแบบรอยกรองชนิดน้ันๆ ออกเสียงคําตางๆ ใหถูกตองชัดเจน อา นออกเสียงทด่ี ี โดยเฉพาะการอา นตัว ร ล ตวั ควบกลา้ํ และออกเสียงใหถ ูกตอ งตามระดบั เสยี งวรรณยุกต (แนวตอบ นกั เรียนสามารถนาํ เสนอไดอยา ง ๓. ฝกอานทอดเสียงโดยอานผอนเสียงและผอนจังหวะใหชาลง เปนข้ันตอนท่ี หลากหลาย เปน ตน วา นกั เรียนตอ งศึกษา ตอ เน่ืองจากการอา นคาํ แตละคําใหชดั เจน โดยใหผฝู กอา นลากเสียงใหยาวออกไปเล็กนอ ยแลว จึง คนควา ขอ มลู เกีย่ วกบั ฉันทลกั ษณ สรา ง อา นทอดเส๔ียง. นอั้นานใสทํานองเสนาะ2ซึ่งมีลักษณะสําคัญ คือ การแบงชวงเสียงของคําในวรรค พนื้ ฐานในการอา น ดว ยการฝก ฝนอยา ง ในบาท ในบทไดถูกตอง สอดคลองกับลักษณะวรรณศิลปที่มีอยูในบทรอยกรองนั้นๆ การใส สม่าํ เสมอเพอื่ ใหมคี วามเช่ียวชาญจนเกิด ทํานองเสนาะน้ีใหเลือกแบบแผนท่ีนิยมกันมาก ผูอานตองใชความสามารถเฉพาะตัวในการอาน ความกลา แสดงออกและมีความเชือ่ ม่นั ใน โดยคาํ นงึ ถงึ ความไพเราะเปน สาํ คัญ ตนเอง) ๕. ฝกอานบทรอยกรองชนิดตางๆ เพ่ือใหรูจังหวะ วรรคตอน ทวงทํานอง ลีลา • นกั เรียนคิดวา การอา นออกเสียงธรรมดา จนเกิดความแมนยําในทํานองแลว จึงเพ่ิมศิลปะในการอานที่จะทําใหการอานทํานองเสนาะ และการอา นทํานองเสนาะมหี ลกั เกณฑใ น เกดิ ความไพเราะย่ิงขนึ้ โดยมวี ธิ ีการ ดงั น้ี การอานอยา งไร ผูอา นตอ งคาํ นึงถึงประเด็น ● การทอดเสยี ง คอื วิธกี ารอา นโดยผอนเสยี ง ผอนจงั หวะใหช าลง ใดบา ง อยางไร ● การเอื้อนเสียง คือ การลากเสียงชาๆ เพ่ือใหเขาจังหวะและไวหางเสียง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอยาง เพอื่ ความไพเราะ หลากหลาย โดยผูอ า นตอ งมคี วามรูทั้ง ● การครน่ั เสียง คือ การทํา3 ฉันทลักษณแ ละการใชเสยี ง ตลอดจน มีความเขา ใจเนอื้ หาและสามารถใสอารมณ เสียงใหสะดุดสะเทือน เพ่ือความไพเราะ ในการอานได) 2. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด เหมาะสมกับบทรอยกรองบางตอน ขยายความเขา ใจ Expand ● การครวญเสียง คือ การ สอดแทรกเสยี งเออ้ื น หรอื สาํ เนยี งครวญครา่ํ ราํ พนั ใชไ ดท งั้ กรณที ตี่ อ งการขอรอ ง วงิ วอน นกั เรียนฝกการอา นออกเสียง โดยเรมิ่ ตน หรือสําหรับอารมณโศก จากการอานออกเสยี งธรรมดาจากน้ันจึงเปล่ียน ● การหลบเสียง คือ การ เปนการอา นออกเสียงทาํ นองเสนาะ โดยฝก ฝนการ เปล่ียนเสียง หรือหักเสียงหลบจากสูงลงไป การสวดโอเอวิหารรายเปนลักษณะของเสียงเสนาะไทยหน่ึงในเกา อา นตามบทประพนั ธในวีดิทัศนท ี่ครนู ํามาเปด ให ตํ่า หรือจากเสียงต่ําข้ึนไปสูง เปนการหลบ ▼ชนดิ คอื การสวด การขับ การเห การกลอม การพากย การวา นักเรียนฟง การแหล การรอง และการอาน ซง่ึ ไดร ับความนิยมมาตงั้ แตส มยั จากการออกเสียงทีเ่ กินความสามารถ อยธุ ยาจนถงึ ปจจุบนั ๗ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู โออกเรามีกรรมจะทําไฉน จึงจะไดแ นบชิดขนิษฐา 1 คณะ กลุมคําท่จี ัดใหมลี กั ษณะเปนไปตามรปู แบบของรอ ยกรองแตล ะประเภท คําทขี่ ีดเสนใตอา นอยางไรจึงจะไพเราะ ประกอบดว ยบท บาท วรรค และคาํ ตามจาํ นวนท่กี าํ หนด กลาวไดวา คณะ ซึ่ง 1. อา นทอดเสยี งแลวปลอ ยใหหางเสียงผวนขน้ึ จมกู เปนขอกาํ หนดเกย่ี วกบั รูปแบบของรอ ยกรองแตละประเภทจะตองประกอบดว ย บท 2. อานครน่ั เสียงใหน าํ้ เสยี งตดิ ขดั สะเทอื นอารมณ บาท วรรค และคําจาํ นวนเทา ใด นอกจากน้ี ยังสอ่ื ถึงหลักเกณฑทใ่ี ชใ นการแตง 3. อานเปลย่ี นเสียงจากเสยี งตา่ํ ขึน้ ไปเสียงสงู ฉนั ทว รรณพฤติ มี 8 คณะ คอื ช คณะ ต คณะ น คณะ ภ คณะ ม คณะ ย คณะ ร 4. อา นหลบเสยี งจากเสยี งสงู ลงไปเสียงตา่ํ คณะ ส คณะ แตล ะคณะมี 3 คาํ หรอื 3 พยางค โดยถือครแุ ละลหุเปนหลัก 2 ทาํ นองเสนาะ วิธกี ารอานออกเสียงอยางไพเราะตามลีลาของบทรอยกรอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การอานพยางคส ุดทา ยของวรรคดวยการ ประเภทโคลง ฉนั ท กาพย กลอน เปน การอานคาํ ประพันธทม่ี ีทาํ นองเสยี งสูง-ต่ํา มีจังหวะลีลาและการเออ้ื นเสยี งเปน ทํานองแตกตางกนั ไปตามลกั ษณะชนดิ ของ ทอดเสยี งแลว ปลอยใหห างเสยี งผวนขึ้นจมูกเปน เสยี ง ฮือ้ ฮอื เบาๆ คลาย คาํ ประพนั ธน น้ั มีจุดมงุ หมายเพือ่ ใหเกิดความไพเราะเปนสาํ คัญ เสียงคราง ไหน-ฮอ้ื หรอื ไหน-ฮึ ซง่ึ จะทําใหบ ทรอยกรองมคี วามไพเราะ 3 การครั่นเสยี ง เทคนิคอยางหน่งึ ในการขบั รอ งเพลงใหมีความไพเราะโดยการ ทําใหเสียงส่ันสะเทือนภายในลําคอ คมู ือครู 7

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นแบงกลุมออกเปน 5 กลมุ จากนน้ั ให ● การกระแทกเสียง คอื การลงเสยี งในแต่ละคา� ให้หนักเปน็ พิเศษ มักใชบ้ รรยาย นักเรียนจบั สลาก เพื่อศกึ ษาลักษณะเดน และวิธี ความโกรธ ความเข้มแขง็ หรอื ตอนทตี่ ้องการความศกั ด์สิ ทิ ธ๒ิ์ การอานบทประพันธ 5 ประเภท ไดแ ก โคลง ฉนั ท ๖. ฝึกใส่อารมณ์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเน้ือความท่ีอ่าน ท�าได้โดยการออกเสียง กาพย กลอน และราย พรอ มฝกอานบทประพันธ หนกั เบา ออ่ นโยน ชา้ เรว็ กระแทกกระทนั้ ทอดเสยี งเนบิ ชา้ ละมนุ ละไม เสยี งสงู ตา่� โดยเปลยี่ นแปลง แตละประเภทในหนังสอื เรยี น จากนั้นนักเรียน เสยี งไปตามอารมณ์ความร้สู กึ ของบทรอ้ ยกรองแต่ละวรรคแต่ละตอน นาํ เสนอหนาช้นั เรียน ๓) วิธีการอ่าน การอ่านท�านองเสนาะของค�าประพันธ์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันด้านท�านอง ลีลา อธบิ ายความรู Explain การทอดเสยี ง และความสามารถของผอู้ า่ น สว่ นจงั หวะจะคลา้ ยคลงึ กนั สว่ นมากจะอา่ นตามทา� นอง ลีลาท่ีได้รบั การสง่ั สอนกนั มา การอ่านจะไพเราะหรือไม่ ขึน้ อยกู่ บั น้�าเสยี งและความสามารถของ 1. นักเรียนกลุมท่ี 1 นําเสนอวิธกี ารอานกลอน ผูอ้ ่าน สุภาพ โดยนักเรียนนําเสนอแผนผังบทประพันธ โดยมเี ครื่องหมายวรรคตอนในการอา่ น ดงั น้ี พรอมยกตวั อยา งประกอบจากหนา 8 เคร่อื งหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ เครือ่ งหมาย // หมายถงึ การหยดุ เว้นชว่ งจงั หวะท่ียาวกว่าเครือ่ งหมาย / 2. สมาชกิ กลุมที่ 1 รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปนี้ ๓.๑) การอ่านกลอนสภุ าพ • คําประพันธป ระเภทกลอนสุภาพมลี กั ษณะ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะกลอนของกลอนสุภาพ โดยมีลีลาการอ่าน เดน อยางไร ดังน้ี (แนวตอบ ลักษณะเดน คือ มจี ังหวะและ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) นักเลงกลอนในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ได้ ทวงทํานองเฉพาะตัว คอื กลอน 1 บท มี 4 กล่าวถึงลีลาของกลอนสภุ าพไว้ ดังนี้ วรรค ไดแ ก วรรคสดบั วรรครบั วรรครอง และวรรคสง การอานคําประพนั ธป ระเภท กลอนสภุ ำพ/แปดคำ� /ประจ�ำบอ่ น// อ่ำนสำมตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง// กลอนจะเนนสัมผสั นอกชัดเจน หากมสี ัมผัส ตอนตน้ สำม/ตอนสอง/ตอ้ งแสดง// ในความไพเราะจะเพิ่มขน้ึ ดว ย) ใตหอ้ฟนำสดำฟมัดแจ/ช้งดั/สคำวมำคม�ำ//ตคำรมบกจร�ำะนสววนน//1// • นกั เรยี นคดิ วา การอา นคําประพันธประเภท วกำ�ำงหจนังดหบวะท//กระะทยะ�ำ/นกอะงส/ตมั ้อผงสั ก//ระบวน2// กลอนสุภาพแบบทํานองเสนาะมขี อ ควรคาํ นงึ จึงจะชวน/ฟังเสนำะ/เพรำะจบั ใจ// ในการอา นอยางไร (แนวตอบ เปน ตน วา อา นถกู ทว งทํานอง (ประชุม ลำ� น�ำ : หลวงธรรมำภิมณฑ์ (ถึก จติ รกถกึ )) อักขรวิธี ใสอ ารมณใหส อดคลอ งกับบท ประพนั ธ อา นใหถกู ชวงจงั หวะของบท เนอื่ งจากกลอนสภุ าพวรรคหนง่ึ อาจมจี า� นวนคา� ๖-๙ คา� มไิ ดม้ ี ๘ คา� เสมอไป ประพนั ธ) ดงั นน้ั ถา้ จะอา่ น “ตอนตน้ สาม ตอนสอง ตอ้ งแสดง ตอนสามแจง้ สามคา� ครบจา� นวน” กค็ งจะไมไ่ ด ้ ตอ้ ง “กา� หนดบท ระยะ กะสมั ผัส” และ “วางจงั หวะ กะทา� นอง ต้องกระบวน” “จงึ จะชวน ฟงั เสนาะ 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เพราะจบั ใจ” ๒. การเออ้ื นเสียงทอดเสยี ง การอ่านทา� นองเสนาะ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค ในวรรคท่ ี ๑ และ ๒ ลดเสียงตา�่ ลงในวรรคท ่ี ๓ และลดเสียงต่�าลงไปอีกจนเปน็ เสยี งพ้นื ระดบั ต�า่ ในต้นวรรคที่ ๔ การทอดเสียง นิยมทอดเสียงระหว่างวรรคไปยังค�ารับสัมผัสซ่ึงเป็นต�าแหน่งท ่ี ๒กรมวิชาการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, อา่ นอย่างไรใหไ้ ด้รส (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว, ม.ป.ป.), หน้า ๓๔-๓๙. 8 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เผยอแยกยอด/ทรดุ ก/็ หลดุ หกั ขอใดอานจงั หวะวรรคตอนไดถูกตอ ง เสียดายนัก/นกึ นานํ้าตา/กระเด็น ในการนําเสนอผลงานหนา ชน้ั เรยี น ครคู วรกระตนุ ใหน กั เรยี นตอบคําถามโดย 1. ท้ังองค/ ฐานรานราวถงึ /เกา แฉก จะมหิ มด/ลว งหนา /ทันตาเหน็ ใชแ ผนผงั หรือตัวอยา งบทประพนั ธทน่ี ักเรยี นเตรียมมา เพ่อื ใชในการอธบิ ายใหเกดิ 2. โอเจดีย/ ทสี่ รางยัง/ราง/รัก คดิ กเ็ ปน/อนจิ จงั เสีย/ทงั้ นนั้ ความเขา ใจอยางชดั เจนและชว ยใหผ ูฟ งสามารถเห็นภาพจากแผนผงั ทนี่ ําเสนอได 3. กระน้หี รอื /ช่อื เสยี ง/เกยี รติยศ 4. เปนผูดีมี/มากแลว /ยากเยน็ นักเรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. กลอนสุภาพทมี่ ีจํานวนวรรคละ 8 คาํ จะแบง 1 กระสวน แบบ เชน อยาคบพวกหญงิ พาลสันดานช่วั ทแ่ี ตงตัวไวจ รติ ผดิ กระสวน (สภุ าษติ สนุ ทรภ)ู แบบตวั อยา งสาํ หรับสรา งหรือทาํ ของจริง เชน กระสวนเรอื น จงั หวะการอา นเปน 3-2-3 ซึ่งกค็ ือ กระนห้ี รือ/ชือ่ เสยี ง/เกยี รตยิ ศ กระสวนเส้อื จะมิหมด/ลว งหนา/ทันตาเหน็ 2 กระบวน ขบวน แบบแผน เชน กระบวนหนังสือไทย ชัน้ เชิง เชน ทํากระบวน งามกระบวนเนตรเงาเสนห ง ํา หรือหมายถึงลําดบั เชน แลขนุ หม่ืนชาวสานทง้ั ปวงเฝา ตามกระบวน สวนในกฎหมายตราสามดวง หมายถงึ วธิ ีการ เชน จดั กระบวนพจิ ารณา 8 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู แบ่งช่วงเสียงด้วย นอกจากน้ีการออกเสียงสูงต�่า สั้นยาว หนักเบา และการทอดเสียง ต้อง 1. สมาชกิ กลมุ ท่ี 1 รว มกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ พจิ ารณาลลี าและเน้อื ความของบทร้อยกรองประกอบดว้ ย • นักเรยี นคิดวา คาํ ประพนั ธประเภทกลอน สภุ าพมีหลกั การแบงวรรคตอนและการ ขอ้ ควรค�านงึ ในการอา่ นทา� นองเสนาะประเภทกลอน เอือ้ นเสยี งอยา งไร ๑. อา่ นให้ถูกทา� นองของกลอนประเภทนน้ั ๆ (แนวตอบ เปนตน วา 1. การแบงชวงเสยี ง ๒. อา่ นออกเสยี งคา� ใหถ้ กู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี ออกเสยี งตวั ร ล ตวั ควบกลา�้ และ เนอ่ื งจากจํานวนคาํ ในแตละวรรค อาจมี เสียงวรรณยุกต์ใหถ้ ูกตอ้ ง 6-9 คาํ มใิ ชม ี 8 คาํ เสมอ การอานจึงตอ ง ๓. อ่านค�าใหเ้ อือ้ สมั ผัสในเพอ่ื เพ่มิ ความไพเราะ เช่น วางจังหวะและทาํ นองใหมคี วามเหมาะสม 2. หลกั การเอือ้ นเสยี งทอดเสียง นิยมอา น คิดถงึ บำทบพิตรอดิศร อ่ำนว่ำ อะ - ดิด - สอน เพ่อื เออ้ื สัมผัสกบั ค�ำว่ำ บพติ ร เสยี งสงู ในวรรคที่ 1 และ 2 ลดเสียงตา่ํ ลง ขำ้ อตุ สำ่ หม์ ำเคำรพอภิวันท์ อ่ำนวำ่ อบ - พิ - วนั เพอ่ื เออ้ื สมั ผัสกบั ค�ำวำ่ เคำรพ ในวรรคท่ี 3 และลดเสยี งตา่ํ ลงไปอีกจนเปน บญุ บันดำลดลจิตพระธิดา อำ่ นวำ่ ทดิ - ดำ เพอื่ เออ้ื สัมผสั กับค�ำว่ำ จติ เสยี งพ้นื ระดับตา่ํ ในตน วรรคที่ 4 นอกจากน้ี ยงั นิยมทอดเสียงระหวางวรรคไปยังคาํ รบั ๔. ตอ้ งใสอ่ ารมณ์ใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ ความ หากผอู้ า่ นเขา้ ใจเนอื้ ความทง้ั หมด สัมผสั ในวรรคตอไป ทั้งนี้ ตองพิจารณาลลี า หรอื เน้ือความในตอนที่อ่าน และมลี ีลาอารมณต์ ามน้ัน เชน่ เนื้อความบรรยายธรรมชาตคิ วรอา่ น และเน้อื ความของบทรอ ยกรองประกอบดวย) ดว้ ยเสยี งเนบิ นมุ่ กงั วาน แจม่ ใส ชดั เจน ความดงั ของเสยี งประมาณ ๓ ใน ๔ ของเสียงตน ส่วน บทตน้ื ตนั ต้องอ่านด้วยลลี าชา้ บ้าง เรว็ บ้าง ดังบ้าง คอ่ ยบา้ ง เพื่อให้ต่ืนเต้น เรา้ ใจตามความหมาย 2. สมาชิกในกลมุ ที่ 1 สาธติ วิธีการแบง วรรคตอน ของเน้อื ความ ทง้ั นเี้ พอื่ ใหก้ ระทบอารมณข์ องผฟู้ งั การอาน พรอมสาธิตวิธีการอา นออกเสยี ง ๕. อา่ นใหถ้ กู ชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของกลอน และต้องคา� นึงถงึ ความเหมาะสม บทรอยกรองดว ยเสยี งธรรมดาและการอาน ความถูกต้องตามความหมายและเนื้อความของบทกลอนที่อ่านด้วย มิฉะน้ันอาจส่ือความหมาย ทาํ นองเสนาะ ผดิ พลาดได ้ เชน่ 3. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ แขกเตา้ จับเต่ารา้ งร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี ขยายความเขา ใจ Expand ควรอ่าน แขกเตำ้ /จบั เต่ำรำ้ ง/ร้อง จงึ จะไดค้ วาม เพราะเตา่ รา้ งเป็นชือ่ ของต้นไม้ ชนดิ หนง่ึ ถกู ตามจังหวะของกลอน แตค่ วามหมายจะผดิ ไป หากอ่าน แขกเตำ้ /จบั เตำ่ /ร้ำงรอ้ ง ๓.๒) การอ่านกาพย์ 1. ครูนําบทประพนั ธป ระเภทกลอนสุภาพ เร่ือง ๑. กาพยย์ าน ี ๑๑ อิเหนา จากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรอื จังหวะของกาพยย์ าน ี ๑๑ หนา 246 มาใหน ักเรียนพจิ ารณาบนกระดาน วรรคหนา้ ๕ ค�า อา่ นแบง่ เสียง ๒ ชว่ ง เป็น ๐๐/๐๐๐ วรรคหลงั ๖ ค�า อ่านแบ่งเสียง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐๐/๐๐๐ 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1-2 คนใหออกมาชวยกันแบง วรรคตอนในการอา นบทประพันธ พระเสดจ็ /โดยแดนชล// ทรงเรอื ต้น/งำมเฉดิ ฉำย// กิ่งแก้ว/แพร้วพรรณรำย// พำยออ่ นหยับ/จบั งำมงอน// 3. นักเรยี นในหองอา นบทรอยกรองโดยไมใ ส ลว้ นรูปสัตว/์ แสนยำกร// ทาํ นองพรอ มกนั นำวำ/แนน่ เป็นขนดั // สำครลั่น/คร่ันครน้ื ฟอง// เรือร้วิ /ทวิ ธงสลอน// (กำพย์เห่เรอื : เจ้ำฟ้ำธรรมธเิ บศร์) 9 ขอ ใดอา นออกเสียงสัมผัสไมถกู ตอ ง ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู 1. คดิ ถึงบาทบพติ รอดิศร อา นวา 2. ขา ขอเคารพอภิวนั ท อา นวา อะ- ดิด- สอน ในการจัดการเรียนการสอนเกย่ี วกับกลวธิ ีการอานทํานองเสนาะจากบทประพันธ 3. ขาขอคาํ นบั อภวิ าท อานวา อะ-พ-ิ วนั นอกจากครูผูสอนจะใหค วามรคู วามเขาใจเกยี่ วกับฉนั ทลักษณใ นบทประพนั ธ รวมถึง 4. ขาขอเคารพอภวิ นั ท อานวา อบั - พ-ิ วาด กลวิธกี ารอา นและการออกเสยี งบทประพันธแลว ครผู ูสอนควรเพม่ิ เติมความรูค วาม อบ-พ-ิ วัน เขา ใจเกี่ยวกบั การทาํ ความเขา ใจสารในบทอานอยางชดั เจนถองแท ครผู สู อนควรชี้แนะ นักเรียนวา การที่นักเรียนจะสามารถส่อื สารความคิดและประสบการณทีป่ รากฏในบท วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การอานคาํ ประพนั ธใหไ พเราะตองอานให อานไดอ ยางเหมาะสมหรือถกู ตอ งตามเจตนาของผูแตงไดน้นั ผอู านตอ งทําความเขา ใจ เนือ้ หาในบทอานอยางถองแทเ สยี กอน ดว ยการพจิ ารณาความหมายนับต้งั แตระดับคํา คําในวรรคมีเสียงสมั ผัสกับคาํ ทีอ่ ยูติดกัน ดังนี้ ขอ 1. อานวา อะ- ดิด- สอน ตลอดจนจุดมุงหมาย ทัศนคติ และน้าํ เสียงของผูแ ตง การทําความเขาใจดังกลา วควร สัมผัสกบั คาํ วา พิตร ขอ 3. อา นวา อบั - พิ-วาด สมั ผัสกับคาํ วา นับ ขอ 4. มคี วามชัดเจน ผอู า นตอ งสรางจินตภาพจากการอาน เชน การทาํ ความเขาใจสหี นา อานวา อบ-พิ-วัน สัมผัสกบั คาํ วา เคารพ ขอทีไ่ มม ีเสียงสมั ผัสกนั จึงอาน ทา ทาง อารมณ ความรสู ึกของตัวละครในบทประพนั ธท่ีอาน ฉากที่ปรากฏ รวมท้ัง ไมถกู ตอ ง องคป ระกอบอ่ืนที่ปรากฏจากประสาทสัมผสั ไมวาจะเปน รูป รส กลิน่ เสียง หรอื บรรยากาศ ความทุกข เศรา เจบ็ ปวด เปน ตน เพอ่ื ใหผอู า นสามารถถายทอดอารมณ ความรูสึกจากบทประพนั ธผานการอา นไดอ ยา งกระจา งชัด นอกจากนี้ ส่ิงท่ีผูอา นควร คํานึงถึงเปนสาํ คญั คอื การเคารพจดุ มงุ หมายเดมิ ของผแู ตง คูมือครู 9

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 2 นําเสนอวิธีการอานกาพย (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามต�าแหน่งที่ส่ง โดยนักเรียนเลือกนําเสนอแผนผงั ฉนั ทลักษณ รับสมั ผัสและเออ้ื นระหว่างทา้ ยวรรค ของบทประพนั ธป ระเภทกาพยฉ บงั 16 พรอ ม ๒. กาพยฉ์ บงั ๑๖ ยกตวั อยา งบทประพนั ธประกอบ จากนนั้ สาธติ วิธกี ารแบงวรรคตอน และอา นออกเสียง (๑) การแบ่งชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของกาพยฉ์ บัง ๑๖ วรรคท ่ี ๑ และ ๓ มีวรรคละ ๖ คา� อ่านแบง่ เสยี ง ๓ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐ 2. สมาชกิ กลุมที่ 2 รว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี /๐๐ • คาํ ประพนั ธประเภทกาพยม ีลักษณะเดน วรรคท่ี ๒ ม ี ๔ ค�า อ่านแบง่ เสียง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐ อยา งไร (แนวตอบ มีระเบียบบงั คบั คลา ยฉนั ท) กลำงไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ฟงั เสยี ง/เพียงเพลง// • นกั เรยี นคิดวา คาํ ประพันธประเภทกาพย ซอเจ้ง/จำ� เรยี ง/เวียงวงั // เพยี งฆ้อง/กลองระฆงั // ฉบัง 16 มีการแบง วรรคตอนและการเอ้อื น เสียงอยางไร ยงู ทอง/ร้องกะโตง้ /โหง่ ดัง// (กำพยพ์ ระไชยสรุ ิยำ : สนุ ทรภู่) (แนวตอบ 1. การแบงชว งเสียง เนอ่ื งจากวรรค แตรสังข์/กังสดำล/ขำนเสยี ง// ที่ 1 และ 3 มีวรรคละ 6 คาํ อา นแบงเสยี ง เปน 3 ชวง ชวงละ 2 คํา สว นวรรคที่ 2 (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามต�าแหน่งที่ส่ง มี 4 คํา อา นแบง เสยี ง 2 ชวง 2. นิยมอาน รบั สมั ผสั และเอื้อนระหว่างท้ายวรรค ทอดเสียงตามตําแหนง ท่ีสง รบั สมั ผสั และ ๓. กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ เออ้ื นทา ยวรรค และทอดเสียงกอนจบบท) (๑) การแบง่ ช่วงเสียง หรือจงั หวะของกาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ • นักเรยี นคิดวา การอา นทาํ นองเสนาะในบท ม ี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คา� อา่ นแบ่งเสยี ง ๒ ช่วง เปน็ ๐๐/๐๐ ประพนั ธประเภทกาพยม ขี อควรคํานึงในการ อา นอยา งไร วนั น้ัน/จนั ทร// (แนวตอบ พจิ ารณาคาํ ตอบในหนา 10 เร่ือง มีดำรำกร// เป็นบริวำร// ขอควรคํานึงในการอานกาพย เหน็ สน้ิ /ดนิ ฟำ้ // ในป่ำ/ท่ำธำร// มำล/ี คลบ่ี ำน// ใบกำ้ น/อรชร// (กำพย์พระไชยสุรยิ ำ : สุนทรภ)ู่ ขยายความเขา ใจ Expand (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนเสียงค�าท้ายวรรค โดยเฉพาะท้าย วรรคท ี่ ๖ รวมถงึ ค�ารับส่งสัมผสั และเมอ่ื จะขึน้ บทใหม่ 1. ครูนําบทประพันธประเภทกาพยฉบงั 16 เรือ่ ง คาํ นมัสการพระธรรมคณุ มาใหน กั เรียน ขอ้ ควรค�านงึ ในการอา่ นกาพย์ พจิ ารณาบนกระดาน ๑. อา่ นใหถ้ ูกตอ้ งตามอกั ขรวิธี เชน่ ● การอ่านค�าท่ีประสมด้วยสระเสียงสั้นและสระเสียงยาว อย่าอ่าน 2. ครูสมุ นักเรียน 1-2 คนใหออกมาชว ยกนั แบง ผดิ เพย้ี น วรรคตอน นกั เรยี นอานออกเสยี งพรอ มกัน ● การอา่ นพยัญชนะบางตัว เชน่ ฤ ฑ ร ล และคา� ควบกล้�า ควรศึกษา ใหด้ วี ่าอ่านออกเสียงอย่างไร ทั้งต้องพจิ ารณาเรื่องการอา่ นเอ้อื สัมผสั และรับสัมผสั ● การอ่านให้ถูกต้องตามเสียงวรรณยุกต์ เช่น เม่ือไร ไม่อ่านเป็น เม่ือไหร่ 10 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เพยี งฆอ งกลองระฆงั ยูงทองรอ งกะโตง โหงดัง ในการจดั การเรยี นการสอนเกี่ยวกบั กลวธิ ีการอา นทาํ นองเสนาะจากบทประพันธ แตรสังขกังสดาลขานเสียง เพยี งฆอง/กลองระฆงั // นอกจากครผู ูสอนจะใหความรูความเขา ใจเก่ียวกับจนิ ตภาพในการส่ือสารจากบท คาํ ประพันธข างตนตอ งอา นตามขอใด เพยี งฆอ ง/กลอง/ระฆัง// ประพันธแลว ครผู ูสอนควรเพ่มิ เติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับวิธกี ารถา ยทอดสาร 1. ยงู ทองรอ ง/กะโตง โหงดัง เพียงฆอ ง/กลองระฆัง// จากบทอา น ดว ยการนําประสบการณจ ากบทอา นมารวมพิจารณาสารจากบทอาน แตรสงั ข/กงั สดาลขานเสยี ง// เพียงฆอง/กลองระฆัง// ดวย ท้งั ในดานความคดิ และอารมณค วามรูสกึ ครผู ูสอนควรชแ้ี นะนักเรียนวา การ 2. ยูงทอง/รอ งกะโตง /โหง ดัง สรา งสรรคบ ทประพันธข องกวีในแตล ะบทหรือคาํ พูดของตวั ละครนั้น เกิดจากการ แตรสงั ข/กงั สดาล/ขานเสยี ง// ผสมผสานความคดิ และอารมณความรสู ึกจากบทประพันธนาํ มาผนวกรวมกบั บท 3. ยูงทอง/รอ งกะโตง โหง ดัง ประพนั ธ เพื่อสอ่ื สารเนอื้ หาสผู ูอาน ผอู านจงึ ควรพนิ ิจพจิ ารณานํ้าเสียงในบทกวีวา แตรสังข/กงั สดาลขานเสยี ง// กวีนาํ เสนอในลักษณะเชนไร เนือ่ งจากการนําเสนอในบทประพันธแตล ะบทยอ มมี 4. ยูงทอง/รอ งกะโตง โหง ดัง ความแตกตา งกนั ไปตามบริบทของผพู ูด และในการถายทอดความรูสกึ จากภาษา แตรสังข/กงั สดาล/ขานเสียง// เขียนสูภ าษาพดู ผอู า นตองนําเอาอารมณความรูส กึ จากประสบการณของตนมา ถา ยทอดผานทางนํา้ เสียงดว ย วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. แบงจังหวะการอา นวรรคทม่ี ี 6 คาํ ปกติแบง 10 คูม อื ครู เปน 2/2/2 แตวรรคแรกอาน 2/4 พจิ ารณาเนอ้ื ความเปนหลัก เพราะคําทกี่ วี ใชเ ปนคาํ ที่ควรอานใหเ สยี งตอ เน่อื งกัน

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เพราะจังหวะท�านองของกาพย์แต่ละ 1. นกั เรียนกลุมที่ 3 นําเสนอวธิ กี ารอาน ประเภทแตกต่างกัน จึงควรศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจเพอื่ อ่านไดอ้ ย่างถูกต้อง โคลงส่สี ุภาพ โดยนกั เรยี นนําเสนอแผนผัง ค วามรู้ส ึกค ล ้อย ต า มแ๓ล. ะใเชก้นิด้�าจเินสตียภงใานพก1 าเรชอ่น่า นเในหื้อ้สคอวดาคมลบ้อรงรกยับาคย�าธแรลระมเชนา้ือตคิ วคามวร อเพ่าน่ือดให้วย้ผเู้อส่าียนงเนกุ่มิด ฉันทลักษณของบทประพันธ พรอมยกตัวอยาง กังวาน แจ่มใส ชัดเจน เน้ือความต่ืนเต้น ควรอ่านด้วยลีลาช้าบ้าง เร็วบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง บทประพันธประกอบ สามารถพจิ ารณาไดจาก เพอื่ ให้ตนื่ เตน้ เปน็ ต้น หนังสือเรียนหนา 11 จากน้นั สาธติ วิธกี ารแบง ๔. ใชเ้ สยี งในการอา่ นอย่างมีศลิ ปะ เช2่น 3 วรรคตอนการอา น และอานออกเสียง ● การเอื้อนเสียง ทั้งเสียงค�าเป็นและเสียงค�าตาย ควรลากเสียงให้เข้า จังหวะและไวห้ างเสียงให้ไพเราะ 2. สมาชิกกลุมท่ี 3 รวมกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ● การทอดเสียง เพ่ือให้เกิดความไพเราะ หรือเพื่อให้ทราบว่าบทท่ีอ่าน ตอ ไปนี้ กา� ลงั จะจบ ควรฝกึ ออกเสียงใหแ้ นบเนียน • คําประพนั ธป ระเภทโคลงสี่สภุ าพมลี ักษณะ ● การรวบคา� ควรฝึกใหล้ งจังหวะไดพ้ อดี 4 เดนอยา งไร ● การเชือ่ มเสยี ง ในกรณที ีบ่ ทอา่ นมคี า� ยตั ิภงั ค์ ควรฝึกการอา่ นออกเสยี ง (แนวตอบ โคลงเปน รอ ยกรองที่มีระเบยี บ ต่อเนอ่ื งกัน ผู้ฟังจะไดท้ ราบว่าค�าท่อี ่านคอื คา� ว่าอะไร บงั คับคณะ คาํ เอก คาํ โท และสัมผสั เปน สําคัญ) ๓.๓) การอ่านโคลงสี่สุภาพ • นกั เรยี นคดิ วา คาํ ประพันธประเภทโคลงส่-ี ๑. การแบง่ ชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของโคลงสส่ี ุภาพ สภุ าพ มหี ลักการแบง วรรคตอนและการ วรรคหนา้ ๕ คา� อ่านแบ่งเสยี ง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐๐ หรอื ๐๐๐/๐๐ เอ้ือนเสยี งอยางไร (แนวตอบ 1. การแบง ชว งเสยี ง แบงเปน วรรคหลัง ๒ ค�า อ่าน ๑ ช่วง ถ้ามีค�าสร้อยอ่านเพิ่มอีก ๑ ช่วง เป็น 2 ชว ง คือ ชว งแรก 2 คํา ชวงทส่ี อง 3 คํา ๒ ช่วง หรืออาจสลับกันได สวนวรรคหลงั แบงการ วรรคหลังบาทท ี่ ๔ มี ๔ ค�า อา่ นแบ่งเสียง ๒ ช่วง เปน็ ๐๐/๐๐ อา นชว งละ 2 คํา ถามีคําสรอยอา นเพมิ่ เปน อกี หนึ่งชว ง 2. นยิ มเออื้ นเสียงทายวรรค เสียงฦๅเสยี ง/เล่าอา้ ง// อันใด/พเี่ อย// (คา� สร้อย) บาทท ่ี ๑ แรกของแตล ะบาท และในบทที่ 2 อาจ เสยี งย่อมยอ/ยศใคร// ท่ัวหล้า// บาทท่ี ๒ เอือ้ นเสียงคําอื่นๆ ได และสามารถ สองเขือพ/ี่ หลับใหล// ลมื ตน่ื //ฤๅพี/่ / (ค�าสร้อย) บาทที่ ๓ ทอดเสยี งตามตําแหนง รบั สัมผสั ได เมื่อจบ สองพี/่ คดิ เองอ้า// อยา่ ได้/ถา5มเผอื // บาทที่ ๔ ตอนสุดทายตองชะลอจงั หวะใหชา ลงกวา เดิม ทอดเสยี งยาวตรงคาํ รองสุดทายและ (ลิลติ พระลอ : ไมป่ รากฏนามผูแ้ ต่ง) คําสดุ ทา ย) ๒. การเอ้ือนเสียงทอดเสียง นิยมอ่านเอ้ือนเสียงท้ายวรรคแรกของแต่ละบาท 3. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด และในบทท ่ี ๒ อาจเอื้อนเสียงได้ถึงคา� ที ่ ๑ ค�าท่ ี ๒ ของวรรคท ่ี ๒ และบาทท่ี ๔ ระหวา่ งค�าท่ ี ๒ กบั ค�าที่ ๓ ของวรรคท ่ี ๒ และทอดเสียงตามต�าแหนง่ รบั สมั ผัส ขอ้ เสนอแนะการอา่ นโคลงสี่สุภาพใหเ้ สนาะ ๑. อ่านให้ถูกต้องตามข้อบังคับของค�าเอกและค�าโท โคลงส่ีสุภาพมีค�าเอก ๗ แหง่ คา� โท ๔ แหง่ ค�าเอกน้ันสามารถใช้คา� ตายแทนได้ เวลาอ่านผูอ้ ่านต้องคา� นงึ ถงึ ต�าแหน่งของ คา� เอกและค�าโทให้ได้ แล้วตรวจสอบวา่ ค�าในตา� แหน่งนน้ั จะอ่านอย่างไรจงึ จะถูกฉันทลักษณ์ เช่น 11 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู นักเรยี นเลอื กบทประพันธที่นักเรียนช่นื ชอบมา 1-2 บท บนั ทึกลงในสมุด 1 จินตภาพ ภาพท่ีเกดิ จากความนึกคิดหรือท่คี ดิ วา ควรจะเปนเชน นั้น ภาพลักษณ และระบวุ า เปนคาํ ประพันธชนิดใด นกั เรียนอธิบายลักษณะคาํ ประพันธนัน้ ก็วา ภาษาอังกฤษใชวา image 2 คาํ เปน คาํ สระยาวท่ไี มมตี วั สะกด และคําในมาตรา กง กน กม เกย เกอว กิจกรรมทาทาย 3 คําตาย คาํ สระสน้ั ท่ไี มม ีตัวสะกดพวกหน่งึ และคาํ ในมาตราแม กก กด กบ นักเรยี นรวบรวมตวั อยา งคําประพนั ธช นดิ ตา งๆ ไดแ ก โคลง ฉนั ท กาพย กลอน และรา ย ชนิดละ 1-2 บท จากวรรณคดเี รื่องตางๆ 4 คาํ ยัตภิ งั ค เครื่องหมายวรรคตอนสากลอยางหนง่ึ ใชส ญั ลกั ษณขีดแนวนอนส้ันๆ กลางบรรทัด ( - ) 5 ลิลิตพระลอ ลลิ ติ เปนช่อื คําประพันธป ระเภทรอ ยกรองแบบหนง่ึ ซ่งึ ใชโคลงและ รา ยแตง ตอ กันเปนเรอ่ื งยาว วรรณคดีทีแ่ ตงตามแบบแผนลลิ ติ มกั จะใชร า ยและโคลง สลบั กนั เปน ชว งๆ ตามจังหวะ ลลี า และทว งทํานอง และความเหมาะสมของเนื้อหา ในชวงนั้นๆ ลิลติ ที่ไดร บั การยกยองจากวรรณคดสี โมสรวา เปนยอดของกลอนลิลิต คอื ลลิ ิตพระลอ เมื่อ พ.ศ. 2459 แตงขึ้นอยา งประณตี งดงาม มคี วามไพเราะของถอยคาํ 11และเตม็ ไปดว ยสนุ ทรียทางภาษา พรรณนาเร่ืองดวยอารมณท่ีหลากหลาย คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ กลมุ ท่ี 3 รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเด็น นกแรงบนิ ได้เพอื่ เวหา ตอ ไปน้ี หมูจ่ ระเขเ้ ตา่ ปลา พง่ึ น้า� • นกั เรียนคิดวา การอานทาํ นองเสนาะใน เขญ็ ใจพึ่งราชา จอมราช บทประพันธป ระเภทโคลงสีส่ ภุ าพ มขี อ ควร ลูกออ่ นอ้อนกลืนกล�า้ เพอื่ น�า้ นมแรง คาํ นึงในการอานอยา งไร (แนวตอบ อานใหถ ูกฉนั ทลักษณโดยเฉพาะ (โคลงโลกนิต ิ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร) บังคับฉนั ทลักษณค าํ เอกคําโท ไมอ านฉกี คาํ ใชน ํ้าเสียงใหสอดคลองกับบทประพนั ธ เพื่อ ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของการใช้ค�ายัติภังค์ มีโคลงหลายบทท่ีใช้ค�า ดงึ ดูดใหผฟู งคลอ ยตาม เมื่อจบตอนสุดทาย ยัติภังค์ ทั้งท่ีปรากฏและไม่ปรากฏเครื่องหมาย ผู้อ่านจึงต้องพิจารณาค�าท่ีใช้ในโคลงให้เข้าใจ ตองชะลอจังหวะใหชา ลงกวาเดิม ทอดเสียง หากพบค�าเดยี วกันเขยี นแยกวรรคกนั จะตอ้ งอ่านค�าทแ่ี ยกนนั้ ใหผ้ ฟู้ งั ทราบว่าเปน็ คา� ใดแน ่ เชน่ ยาวตรงคาํ รองสุดทายและคาํ สดุ ทาย) เ หมือนลเ�ามพ็ดูดเพูหิง่ชหรร้อตัยน 1ร์ าย พรอยพราย 2. นักเรยี นท่ีเปน สมาชกิ ในกลมุ ท่ี 3 สาธิตวธิ กี าร รอบกอ้ ย แบงวรรคตอนการอาน พรอ มสาธติ วิธีการอา น วบั วบั จับเนตรสาย- สวาทสบ- เนตรเอย ออกเสยี งบทรอ ยกรองดวยเสียงธรรมดาและ วบั เช่นเห็นห่งิ ห้อย หับหม้านนานเห็น การอา นทํานองเสนาะ (โคลงนิราศสพุ รรณ : สนุ ทรภ)ู่ 3. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด บาทท่ี ๓ มคี า� ยัติภังค ์ ๒ ค�า คือ “สายสวาท” และ “สบเนตร” ดังนั้น จังหวะท่ี ตกหลังค�าว่า “สาย” และค�าว่า “สบ” จึงทอดเสียงได้น้อยที่สุด เพราะต้องอ่านค�าถัดไปให้ผู้ฟัง ขยายความเขา ใจ Expand ทราบวา่ คา� คูน่ ีค้ ืออะไร 1. ครนู าํ บทประพันธป ระเภทโคลงสส่ี ภุ าพ เร่อื ง ๓. ใช้น้�าเสียงในการอ่านให้เหมาะสมสอดคล้องกับเน้ือความ เพ่ือดึงดูดให้ผู้ฟัง นริ าศนรินทรคําโคลง จากหนงั สือเรียนรายวชิ า คลอ้ ยตามบทประพันธ ์ ท้ังยังท�าให้ผู้ฟังเกิดภาพ2พจน์และอารมณร์ ว่ มไดง้ า่ ย ดงั เชน่ พืน้ ฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ● การอา่ นบทรัก บทนิราศ ควรปรบั เสยี งใหน้ ุม่ นวลและเบากวา่ เสยี งปกติ ม.4 หนา 249 มาใหน กั เรียนพิจารณาบนกระดาน ● การอา่ นบทเศร้า ควรครน่ั เสยี ง ครวญเสียง อ่านชา้ และเนิบกวา่ ปกติ ● การอ่านบทตลกขบขัน ควรใช้เสียงให้มีชีวิตชีวา เน้นบางค�า หรือเน้น 2. ครสู ุมนักเรยี น 1-2 คน ออกมาชว ยกันแบงวรรค ความสา� คัญให้เดน่ ชดั ตอนในการอานบทประพนั ธ ● การอา่ นบทกล่าวเกนิ จรงิ ควรใช้เสียงปกติ เนน้ คา� ให้ความหมายเกินจรงิ ๔. เมือ่ จะจบตอนทอ่ี า่ นตอ้ งชะลอจังหวะใหช้ ้าลงกว่าเดิม แลว้ ทอดเสยี งยาวกวา่ 3. นักเรียนในหองอา นบทรอ ยกรองพรอ มกนั โดย ทกุ คร้งั ตรงคา� รองสดุ ทา้ ยและค�าสดุ ท้าย เพือ่ ให้ผู้ฟงั ทราบว่ากา� ลงั จะสนิ้ กระแสความที่อ่าน ไมต องใสทาํ นอง ๓.๔) การอ่านฉันท์ ๑. อินทรวิเชียรฉันท ์ ๑๑ บบาาททเโอทก (๑) แ ั ผ น ผั ังั อ ิน ุ ั ท ร ั ุ ว เิ ชั ั ยี ร ฉั ันท ์ ๑๑ ุ ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ั ั ั ั 12 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT คาํ ประพันธในขอใดตองอานทอดเสยี งใหนอยที่สุด 1 เพชรรัตน แกวทม่ี ีความแข็งแรงท่สี ดุ และมีนํ้าแวววาวมากกวาพลอยอนื่ 1. ทนุสนธซ์ิ งึ่ นานน้ํา นองพนา สณฑเ ฮย 2 นริ าศ เปนลักษณะคําประพนั ธช นดิ หน่งึ โดยลกั ษณะคาํ ประพนั ธด ังกลาว 2. หนปจ ฉิมทศิ า ทวมไซร เปน การแบงประเภทของคาํ ประพันธตามลกั ษณะของเนือ้ หาในบทประพันธ ซึง่ 3. คอื ทัพอริรา- มญั หมู นีน้ า ประกอบดว ยลักษณะสําคญั 3 ประการ ดังตอไปนี้ 1. การเคลื่อนท่ี เปน การเคลอ่ื นท่ี 4. สมดง่ั ลกั ษณฝน ไท ธเรศนั้นอยาแหนง ของบุคคลและเวลา โดยการเคลอ่ื นท่ขี องบคุ คล คอื การเดินทางพรากจากสถานที่ ที่เคยอยูอาศัย พบไดใ นวรรณคดนี ริ าศทว่ั ไป สว นการเคลื่อนท่ขี องเวลา เชน การ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. คือทัพอริรา- มัญหมู น้ีนา เปลย่ี นแปลงของฤดกู าลตางๆ พบไดใ นวรรณคดเี รอื่ ง โคลงทวาทศมาส 2. การ คราํ่ ครวญ อาจเปนการครํ่าครวญถึงนางอันเปนทร่ี ัก ซงึ่ พบในวรรณคดีท่วั ไป หรอื ตอ งอา นรวบเสยี งคาํ วา “รามัญ” แมจ ะเขียนแยกกนั ดว ยเครอ่ื งหมายยัตภิ ังค อาจครา่ํ ครวญถึงพระมหากษตั ริย เชน นิราศกวางตุง เปนตน และ 3. การใช ( - ) แตเวลาอานตองอา นคาํ ใหมเี สยี งตอ กันเพือ่ ใหผฟู งรวู า เปน คาํ เดียวกัน ธรรมชาติท่พี บเหน็ ตลอดการเดินทางเปน สื่อเปรยี บเทยี บ พรรณนาความรัก ความอาลยั ลกั ษณะเดน อยา งหนง่ึ ของบทประพนั ธป ระเภทนริ าศ โดยสว นใหญม กั มี ความเศรา เพราะรา งรกั เปน แกน เรอ่ื ง โดยมนี างในนริ าศเปน อปุ มานทิ ศั นข องความสขุ 12 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู (๒) การแบ่งช่วงเสียงหรอื จังหวะ 1. นักเรยี นกลุมท่ี 4 นาํ เสนอวิธีการอา นฉันท วรรคหนา้ ๕ คา� อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เปน็ oo/ooo โดยนักเรยี นนําเสนอแผนผังฉนั ทลกั ษณข อง วรรคหลงั ๖ คา� อา่ นแบง่ เสยี ง ๒ ช่วง เป1น็ ooo/ooo บทประพันธ ครใู หนกั เรยี นเลือกบทประพนั ธ บงเนื้อ/กเ็ นอ้ื เตน้ // พศิ เสน้ /สรรี ร์ วั // ประเภทอินทรวิเชียรฉันท พรอ มยกตวั อยาง ท่ัวรำ่ ง/และท้งั ตวั // หกร็ิตะโอริก้/เ/ลรอะะรหวิ ไลห่ังวไ/ป//2/ บทประพนั ธประกอบ นกั เรยี นสามารถ พิจารณาตัวอยา งไดจ ากหนงั สอื เรยี น เพ่งแผลำดห3/ลอังน/ลำถะใลจำ/ม/โล// ระกะรอ่ ย/เพรำะรอยหวำย// 2. นักเรยี นทเ่ี ปน สมาชกิ กลุม ท่ี 4 รวมกนั (สำมัคคเี ภทค�ำฉนั ท์ : ชติ บรุ ทตั ) ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธป ระเภทอนิ ทรวิเชยี รฉนั ท (๓) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนท่ี ๒ ค�า ท้ายวรรคท่ี ๒ ของบาทที่ ๑ มลี กั ษณะเดนอยางไร และท้ายวรรคท ่ี ๑ ของบาทท ่ี ๒ แต่ทั้งน้ีต้องดคู วามเหมาะสมของเสียงของค�าในแตล่ ะวรรคดว้ ย (แนวตอบ มกี ารกาํ หนดบังคบั เสียงหนักเบา ๒. วสนั ตดิลกฉันท ์ ๑๔ (คร-ุ ลห)ุ อยางเครงครัด จึงใชค าํ ภาษาบาลี (๑) แผนผังวสนั ตดิลกฉนั ท ์ ๑๔ สนั สกฤตเปน หลัก) • นกั เรียนคดิ วา คําประพันธประเภทฉนั ทมี บาทเอก ั ั ัุ ุ ัุ ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั หลกั การแบงวรรคตอนและการเอ้ือนเสียง บาทโท ั ั ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั อยา งไร (แนวตอบ 1. การแบง ชว งเสียง หรือจงั หวะ (๒) การแบ่งชว่ งเสยี งหรอื จังหวะ เนื่องจากวรรคหนามี 5 คาํ การอานแบง เปน วรรคหนา้ มี ๘ ค�า อ่านแบง่ เสียง ๓ ช่วง เป็น oo/oo/oooo 2 ชวง คอื ชวงแรก 2 คํา ชว งท่ีสอง 3 คาํ วรรคหลังมี ๖ คา� อา่ นแบง่ เสียง ๒ ช่วง เปน็ ooo/ooo สวนวรรคหลัง 6 คาํ แบง การอา นเปน 2 ชว ง ชว งละ 3 คํา 2. การเออื้ นเสยี งทอด เรืองรอง/พระมน/ทริ พิจติ ร// กรจุ ลเิ พรขิศ/4/อพลิมงำกนรบณน/์ 5/// เสยี ง นิยมทอดเสียงไปยงั คํารบั สมั ผัส หาก ก่องแก้ว/และกำญ/จนระคน// พจิ ารณาตามตําแหนงของคาํ นิยมเอ้อื นเสียง ดลฟำก/ทิฆัมพร// ที่ทา ยวรรคท่ี 2 ของบาทโท และระหวาง ช่อฟำ้ /ก็เฟ้ือย/กลจะฟดั // นภศูล/สลำ้ งลอย// คําท่ี 5 คําท่ี 6 ของวรรคท่ี 2 บาทท่ี 1 และ บรำล/ี พิไล/พิศบวร// บาทที่ 2) (อลิ รำชคำ� ฉนั ท์ : ผัน สำลกั ษณ)์ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ให้ทอดเสียงไปยังค�ารับสัมผัสตามต�าแหน่ง นยิ มเอื้อนเสียงที่ท้ายวรรคท่ี ๒ ของบาทโท และระหวา่ งคา� ที่ ๕ ค�าท ี่ ๖ ของวรรคท่ี ๒ บาทที่ ๑ และบาทที่ ๒ ข้อควรค�านงึ ในการอา่ นฉันท์ ๑. ต้องศึกษาลักษณะของฉันทลักษณ์ให้เข้าใจ ต้องรู้ค�าครุ ค�าลหุ และคณะ ของฉนั ท์แต่ละประเภท 13 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู คาํ ประพนั ธในขอใดมิไดแสดงอารมณเ กร้ียวกราดกระแทกน้าํ เสยี ง 1 สรรี  รากศัพทมาจากภาษาบาลี แปลวา รา งกาย 1. เอออุเหมอลิ ลาชะลาไฉน ประพาสบเกรงบก ลัวกระทาํ อุกอาจ อหงั การ 2. เรานี่แหละจะสาปจะสรรใหสาแกใจ นะเจา แนะ นางอิลลา 2 แลหลงั /ละลามโล// หติ โอ/ เลอะหลัง่ ไป// บทประพนั ธบ ทน้ีมีความดเี ดนดาน จะทาํ ไฉน การเลนเสียงสัมผสั อกั ษรหรือสัมผัสพยญั ชนะ คือ ล จากคาํ วา แล หลงั ละ ลาม โล 3. แสงสกาววโิ รจนน ภาประจกั ษ แฉลม เฉลาและโสภติ นัก เลอะ หลั่ง ในการอา นทาํ นองเสนาะบทประพนั ธท่ีมเี สียงสัมผัสอักษรเสยี งเดียวกนั ณ ฉนั ใด ดงั ตัวอยางขางตน นักเรยี นควรระมัดระวังในการอานโดยอา นออกเสยี งใหถกู ตอง 4. กลกะกากะหวาดขมังธนู บหอนจะเห็นธวัชริปู ชัดเจนตามฉันทลกั ษณ โดยไมก ลืนเสยี ง ขณะเดียวกนั นักเรียนควรอานบทประพันธ สลี า ถอย ใหส อดคลอ งกบั อารมณค วามรสู กึ ในบทประพนั ธดว ย เพ่ือใหผฟู ง เขาใจเนอื้ หา จากบทประพนั ธไ ดอยางชัดเจน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เปน ตอนท่ีนางมัทนาราํ พงึ รําพันกบั ดวงดาว 3 ผาด คาํ วเิ ศษณ ผา นหรือเคลอื่ นไปเรว็ (มักใชแกกริยาเห็น) มองแตเผนิ ๆ ท่สี องแสงสกาวบนทอ งฟา ไมม ีนาํ้ เสยี งเกรย้ี วกราด ซึ่งตา งจากขออนื่ ท่ใี ช 4 รจุ เิ รข มีลายงาม มีลายสกุ ใส คําตายในคาํ ประพนั ธท ่จี ะใหเสยี งสัน้ ติดขดั ทาํ ใหเสียงรสู กึ ถึงอารมณโ กรธ เกรี้ยวกราด 5 ทฆิ มั พร เปนการสรา งคาํ ดวยวธิ ีการสมาสอยา งมสี นธิ ระหวา งคาํ วา ทีฆ + อมพฺ ร ซ่งึ หมายถงึ ทอ งฟา คูม อื ครู 13

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชิกกลุม ที่ 4 รว มกนั ตอบคําถามในประเดน็ ๒. การแบง่ จังหวะในการอ่านฉนั ทต์ อ้ งแมน่ ยา� ถูกต้อง หากคา� ใดมีเคร่ืองหมาย ตอไปน้ี ยตั ภิ ังคค์ น่ั ตอ้ งอ่านคา� เตม็ กอ่ นแล้วจึงอ่านตามคณะฉนั ท์ • นกั เรยี นคดิ วา การอานทาํ นองเสนาะในบท ประพนั ธประเภทฉันทมขี อ ควรคํานงึ ในการ สงู ลิ่วละลานนั- ยนพ้นประมาณหมาย อา นอยา งไร สูง-ลิ่ว/ละ-ลาน-นยั // ยะ-นะ-พ้น/ประ-มาน-หมาย// (แนวตอบ เปน ตนวา อานใหถ ูกฉันทลกั ษณ โดยเฉพาะบังคับคาํ ครุ ลหุ และคณะของฉันท ๓. ค�าท่ีรับสัมผัสกันต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดกว่าปกติ ถ้าเป็นสัมผัสนอก แตละประเภท การแบงจงั หวะในการอา นถกู - ตอ้ งทอดเสียงใหม้ ีจงั หวะยาวกวา่ ปกติ ดังตวั อย่างท่อี า่ นเนน้ เสียงค�าวา่ กุด สุด ดังนี้ ตอ งแมน ยํา ไมอา นฉกี คํา หากมีเครอื่ งหมาย ยตั ภิ งั คค ัน่ ตอ งอานเตม็ คาํ กอน แลวจงึ อาน ขา้ แตพ่ ระจอมจุฬมกุฎ บรสิ ทุ ธกิ าำ จาย ตามคณะ คาํ ทรี่ บั สัมผัสกนั ตอ งอา นเนนเสยี ง ขา้ -แต/่ พระ-จอม/จ-ุ ละ-มะ-กุด// บอ-ริ-สดุ /ทิ-กาำ -จาย// ใหช ดั กวา ปกติ ถา เปน สมั ผสั นอกตอ งทอดเสยี ง ใหยาวกวาปกติ ใชน า้ํ เสยี งใหสอดคลอ งกบั ๔. ไมอ่ ่านเอ้อื นเสียงทค่ี �าลห ุ เพราะมเี สยี งเบาและสนั้ ประเภทของฉันท เพ่ือดึงดดู ใหผ ูฟง คลอยตาม ๕. การใสท่ า� นอง ตอ้ งเอือ้ นท�านองให้ถูกต้องตามประเภทของฉันทแ์ ต่ละชนดิ เมื่อจบตอนสุดทา ยตอ งเอ้อื นเสยี งใหชา ลง ๖. การใส่อารมณ์ ต้องฝึกฝนการถ่ายทอดอารมณ์และน้�าเสียงให้เหมาะสม กวาเดิม ทอดเสียงชา ลงจนกระทง่ั จบ) สอดคล้องกับเน้ือเรื่อง โดยพยายามไว้จังหวะในบทและบาทของฉันท์ จึงจะท�าให้การอ่านฉันท์ ไพเราะน่าฟงั 2. นักเรียนที่เปน สมาชิกในกลุม ท่ี 4 สาธติ วธิ ีการ ๗. การอา่ นตอนจบของบทตอ้ งเออื้ นเสยี งและทอดจงั หวะใหช้ า้ ลงจนกระทงั่ จบ แบง วรรคตอนการอาน พรอ มสาธิตวธิ กี ารอาน ออกเสียงบทรอ ยกรองดว ยเสียงธรรมดาและ ๓.๕) การอา่ นร่าย การอานทาํ นองเสนาะ ๑. รา่ ยยาว (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะของร่ายยาว ร่ายยาวในแต่ละวรรคมักมีค�า 3. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เกิน ๕ ค�า ผู้อ่านควรแบ่งช่วงเสียงตามกลุ่มค�าท่ีจบความหนึ่ง หรืออ่านติดต่อกันให้จบวรรค เน้นเสียงคา� ท่รี ับสมั ผสั เพือ่ ใหไ้ ด้รับรสจากเสยี งสมั ผัส ขยายความเขา ใจ Expand ราชา สญฺชโย/ปางเม่ือพระทูลกระหม่อมจอมนราธิบดีศรีสญชัย/ได้ฟังพระโอรส 1. ครูนาํ บทประพนั ธป ระเภทอนิ ทรวิเชียรฉันท ทูลร่ำาพิไร/พระทัยเธอเร่าร้อนทีประหน่ึงว่าจะผ่อนให้/แล้วจึ่งผินพระพักตร์มาตรัส เรอ่ื ง คํานมสั การมาตาปต ุคุณและคํานมัสการ- ปราศรัย/กับพระสุณิสาศรีสะใภ้ว่า/มัทรีเอ่ย/พาพ่อชาลีมาไย/จะไปด้วยผัวหรือพระลูก อาจริยคุณจากหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐาน รัก/อนิจจานิจจาเอ่ย/ไม่ควรเลยจะประดักประเดิด/ดูเอาเถิดไม่เกรงกลัว/เจ้าโกรธพ่อหรือ ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม.4 วา่ ขับผัวจากบุร/ี มทั รีจะไปด้วยผัวกเ็ ปน็ ได้/พระลกู เอย่ /อย่าไปเลยฟังพ่อวา่ / หนา 247 มาใหน ักเรยี นพจิ ารณาบนกระดาน (มหาเวสสนั ดรชาดก ทานกณั ฑ ์ : สาำ นักวัดถนน) 2. ครสู มุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมาชว ยกนั แบง วรรคตอนในการอานบทประพนั ธ (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ส่วนมากนิยมเอ้ือนท้ายวรรคเมื่อจบความหน่ึง และเอือ้ นที่กลางวรรคสุดทา้ ยซึง่ เปน็ วรรคจบรา่ ย 3. นกั เรียนในหองอานบทรอยกรองโดยไมใ ส ทํานองพรอ มกนั 14 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขุนผคู กู าํ กบั เปน ทพั หลงั พรง่ั พฤนท ในการเรยี นการสอนอา นคาํ ประพนั ธน้ัน ครผู ูสอนควรฝกทกั ษะการอา นให ข่คี ชนิ ทรพาหนะ นามชนะจาํ บงั ถกู ตองและชํานาญดว ย หากครผู สู อนทานใดไมถนัด สามารถใชแ ถบบนั ทกึ เสียง ขอใดกลา วถกู ตอ งเก่ยี วกับการอานรา ย การอานคําประพนั ธห รอื เชญิ วทิ ยากรทม่ี ีความสามารถเฉพาะดา นมาใหความรกู ับ 1. อานคําสงสัมผสั “พฤนท” วา พริน นักเรียน โดยครผู ูสอนตอ งคาํ นงึ ถึงความสามารถเฉพาะของแตละบุคคลเปน หลกั 2. อา นคําสงสัมผัส “พฤนท” วา พะรนึ เนื่องจากนักเรยี นแตล ะคนมีขอจาํ กัดที่แตกตางกัน 3. อา นคํารบั สมั ผัส “คชินทร” วา คะ-ชนิ -ทอน 4. อา นคาํ รบั สัมผสั “คชนิ ทร” วา คะ-ชิน-ทะ-ระ การเรยี นการสอนอา นบทประพันธน ี้ ครผู สู อนควรคํานึงวา มีจดุ มงุ หมายสาํ คญั คอื เพ่อื ใหนกั เรยี นสามารถอา นบทประพันธไ ดถ กู ตอ งตามรปู แบบคาํ ประพนั ธ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อานคําสงสมั ผสั “พฤนท” วา พรนิ จะรับ เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถพิจารณาความไพเราะของบทประพนั ธจากจงั หวะลีลาและ อารมณในบทประพันธ รวมถงึ มีการเออื้ นเสยี งทีถ่ ูกตองเปน หลัก สว นการอานให สัมผสั กับ “คชินทร” อานไดอยา งเดียววา คะ-ชนิ ซ่งึ เปน ลักษณะของรายท่ี มีความไพเราะนน้ั เปนพฒั นาการในลําดบั ถัดไป ตองอาศยั การฝก ฝนและความ คําทา ยวรรคจะตอ งสงสมั ผัสไปยงั คําใดคาํ หนง่ึ ในวรรคถัดไป ดงั นน้ั สามารถเฉพาะบคุ คล การอา นใหถ กู ตอ งตามฉนั ทลกั ษณ จงึ ตอ งพจิ ารณาคาํ รบั -สง สมั ผสั ระหวา งวรรค 14 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒. รา่ ยสภุ าพ 1. นักเรียนกลมุ ท่ี 5 นาํ เสนอวิธกี ารอานราย (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน่ึงมี ๕ ค�า แบ่งช่วงเสียง ๒ ช่วง โดยนกั เรยี นนําเสนอแผนผงั ประเภทรา ยสภุ าพ เปน็ ooo/oo ในบางแหง่ อาจแบ่ง เปน็ oo/ooo เพ่อื ไม่ให้ค�าฉีก พรอ มยกตวั อยา งประกอบจากหนงั สอื เรยี น ศรีสทิ ธ์ิ/พศิ ำลภพ/ เลอหลำ้ ลบ/ล่มสวรรค์/ จรรโลงโลก/กวำ่ กว้ำง/ 2. นกั เรียนทีเ่ ปน สมาชิกกลุมที่ 4 รวมกนั ตอบ แผนแผ่นผำ้ ง/เมืองเมรุ/ ศรีอยุธเยนทร/์ แยม้ ฟ้ำ/ แจกแสงจ้ำ/เจดิ จนั ทร/์ คาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี เพียงรพิพรรณ/ผ่องด้ำว/ ขนุ หำญหำ้ ว/แหนบำท/ สระทกุ ข์รำษฎร์/รอนเสย้ี น/ • คําประพนั ธประเภทรา ยสภุ าพมลี กั ษณะเดน สำ่ ยเศิกเหลีย้ น/ล่งหลำ้ / รำญรำบหนำ้ /เภรนิ / เขญ็ ขำ่ วยนิ /ยอบตวั / อยางไร ควบคอ้ มหวั /ไหวล้ ะลำ้ ว/ ทุกไทน้ำว/มำลยน์ ้อม/ ขอออกออ้ ม/มำอ่อน/ (แนวตอบ มบี ังคับคณะ สมั ผัส รายสุภาพ ผ่อนแผน่ ดิน/ให้ผำย/ ขยำย/แผ่นฟำ้ ใหแ้ ผว้ / เลีย้ งทแกล้ว/ให้กล้ำ/ บงั คับคําเอก คาํ โทดวย) พระยศไท้/เทดิ ฟ้ำ/ เฟื่องฟุ้ง/ทศธรรม// ท่ำนแฮ • นักเรียนคิดวา คําประพันธป ระเภทรายมี หลักการแบง วรรคตอนและการเอือ้ นเสียง (นริ ำศนรนิ ทร์ : นรนิ ทรธเิ บศร)์ อยางไร (แนวตอบ 1. วรรคหนามี 5 คาํ การอานแบง (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านร่ายเม่ืออ่านถึงค�ารับสัมผัส ผู้อ่านต้อง เปน 2 ชวง คอื ชวงแรก 3 คํา ชว งที่สอง เน้นเสยี ง หรอื ทอดเสยี งให้เหมาะกบั เนอ้ื ความ และตอ้ งทอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรค เมอื่ อ่านถึง 2 คํา สามารถปรบั เปลยี่ นได เพอ่ื ไมใ หฉกี คาํ ตอนจบซึ่งจบด้วยโคลงสอง ให้เอื้อนเสียงท้ายวรรคให้ยาวนานกว่าทอดเสียงท้ายวรรคอ่ืนๆ เพื่อ 2. นยิ มเออ้ื นเสยี งทอดเสยี ง เม่อื อานถงึ ให้ผูฟ้ งั ทราบวา่ เรื่องทฟ่ี งั อยูก่ า� ลงั จะจบ คํารับสมั ผัส ควรอา นใหเ หมาะกบั เน้ือความ และตอ งทอดเสยี งตอนทา ยวรรค เม่อื ถึง ข้อควรคา� นึงในการอ่านรา่ ย ตอนจบใหเ ออื้ นเสียงยาวนานกวาวรรคอื่น) ๑. การอ่านร่ายทุกชนิดจะมีท�านองเหมือนกัน คือ ท�านองสูงอ่านด้วยเสียง • นกั เรียนคดิ วา การอา นทํานองเสนาะในบท ระดับเดียวกัน การลงจังหวะอยู่ท่ีท้ายวรรคทุกวรรค ส่วนจะอ่านด้วยลีลาช้าเร็วเพียงใดข้ึนอยู่กับ ประพันธป ระเภทรา ยมขี อ ควรคาํ นงึ ในการ อารมณ์ท่ีปรากฏตามเน้ือความ แต่เม่ืออ่านพบค�าที่มีเสียงสูงจะนิยมอ่านหลบเสียงลงต่�าให้อยู่ใน อานอยางไร ระดบั เสยี งอา่ นปกติและตอ้ งทอดเสียงทา้ ยวรรคทุกวรรค (แนวตอบ สามารถพจิ ารณาเพิม่ เติมจากเรอื่ ง ๒. ร่ายส่วนใหญ่จะมีวรรคละ ๕ ค�า ซึ่งไม่มีปัญหาในการอ่านให้จบวรรค ขอ ควรคํานึงในการอา นราย ในหนา 15) ภายใน ๑ ช่วงลมหายใจ ยกเว้นร่ายยาว ซึ่งแต่ละวรรคมักมีค�าเกินกว่า ๕ ค�า หรือเกินกว่า ๑ ช่วงลมหายใจ ผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณตัดสินว่าควรจะหยุดผ่อนลมหายใจช่วงใด ต้อง 3. นกั เรยี นที่เปน สมาชกิ ในกลุม ท่ี 5 สาธิตวธิ ีการ ฝกึ ฝนการกักลมหายใจ เพอื่ อา่ นใหจ้ บวรรค แบงวรรคตอน พรอ มอา นออกเสียง ๓. การใส่อารมณ์ในการอ่านร่าย ผู้อ่านจะต้องพิจารณาลักษณะเน้ือความว่า เป็นประเภทใด เพ่ือให้ใช้น�้าเสียงในการอ่านได้เหมาะสมสัมพันธ์กับอารมณ์และเน้ือความ ท�าให้ ขยายความเขา ใจ Expand กระทบใจผู้อ่าน เชน่ ● เน้ือความแสดงอารมณ์เศร้า น้�าเสียงควรเบาลง สั่นเครือ จังหวะการ 1. นักเรียนพิจารณาบทประพันธป ระเภท อ่านชา้ ลงกว่าปกติ รา ยสภุ าพ เร่อื ง นริ าศนรินทรคําโคลง ● เน้ือความแสดงอารมณ์โกรธ น้�าเสียงควรหนักแน่น เน้นเสียงดัง จากหนงั สือเรยี น หนา 15 กว่าเดิม กระชับ สั้น หว้ น 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1-2 คน ออกมาแบง วรรคตอน 15 3. นกั เรยี นอา นบทรอ ยกรองพรอ มกนั ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู การอานคาํ ประพันธใ นขอ ใดมีลักษณะคาํ ประพนั ธป ระเภทรายสภุ าพ ครคู วรเพ่ิมเติมความรูเ กยี่ วกบั การอานบทประพนั ธประเภทรา ยสภุ าพ 1. ปางเมอื่ พระทูลกระหมอ มจอมนราธิบดีศรสี ญั ชัย/ ไดฟงพระโอรสทูลร่ําพไิ ร โดยกลา วถึง การอานรา ยสุภาพทาํ นองสงู อา นดวยเสียงระดบั เดยี วกัน และลงจงั หวะ 2. พระทบั เธอเรา รอนประหนง่ึ วาจะผอนให/ แลว จึ่งผินพระพักตรมาตรสั ท่ีทา ยวรรคทุกวรรค สวนลลี าการอา นขนึ้ อยูกับเนอ้ื ความ เมื่อพบคําเสยี งสงู นิยมหลบ เสยี งลงตา่ํ และทอดเสยี งทา ยวรรคทุกวรรค ตองพิจารณาชวงเวลาในการกักเกบ็ และ ปราศรัย การปลอยลมหายใจในการอานใหดี เมอื่ จบตอนสดุ ทา ยตองเอื้อนเสียงใหชาลงกวา 3. แผนแผนผา ง/เมืองเมรุ/ศรีอยุธเยนทร/แยม ฟา/ เดิมจนกระทัง่ จบ เพอ่ื ใหเกิดการใชเสยี งทส่ี มบรู ณ ทง้ั ความไพเราะและความชัดเจน 4. พระสุณิสาศรีสะใภวา/มทั รีเอย /พาพอ ชาลีมาไย/จะไปไดผวั หรือพระลกู รัก นกั เรียนจงึ ควรฝก ฝนตนเองทง้ั การอานและการใชเ สียงอยางสมํา่ เสมอ เพื่อใหเกดิ ความเชย่ี วชาญเมอ่ื นาํ มาประยกุ ตใ ช วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะเปนลักษณะคาํ ประพันธป ระเภทราย สภุ าพ สังเกตไดจากการแบงจังหวะการอาน วรรคหนง่ึ มี 5 คํา แบงเปน 2 ชวง ดังน้ี แผนแผนผา ง/เมอื งเมรุ/และ ศรีอยธุ เยนทร/ แยม ฟา/ สวนขอ อืน่ เปนรา ยยาวที่แตละวรรคมักมคี าํ เกิน 5 คาํ คูมอื ครู 15

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรียนจดั กลมุ ใหม โดยใหแตล ะกลุมมีสมาชกิ ● เนอื้ ความบรรยายการรบการตอ่ ส ู้ นา�้ เสยี งดัง หนกั แน่น ห้วน กระชับ ไมน อ ยกวา 5 คน และสมาชกิ ในกลุมตองเปน ● เน้ือความตัดพ้อต่อวา่ นา�้ เสียงตา�่ เน้นบ้าง สะบดั เสียงบ้าง ตัวแทนนาํ เสนอวิธีการอานบทประพนั ธท ง้ั 5 ● เนื้อความส่ังสอน น�้าเสียงปานกลางไม่เบาไม่ดังเกินไป เน้นเสียงท ่ี ประเภท คือ โคลง ฉนั ท กาพย กลอน และรา ย ค�าสอนแตไ่ มห่ ้วน ๔. การอา่ นตอนจบของรา่ ยทกุ ชนดิ ผู้อ่านต้องทอดเสียงให้ยาวนานกวา่ การ 2. สมาชกิ ภายในกลุมรวมแลกเปลย่ี นความรู ความ ทอดเสยี งทา้ ยวรรคอื่นๆ เพ่ือให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กา� ลังจะจบ เขาใจในการฝก อานบทประพันธแตละประเภท ประกอบดว ยบทประพันธ จาํ นวน 5 บท ๒.๓ การอา่ นและพจิ ารณาบทรอ้ ยกรอง จากหนงั สือเรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม. 4 ซ่งึ ใชป ฏิบัติ การอา่ นบทร้อยกรองมีแนวทางในการอา่ นและพิจารณาตามองคป์ ระกอบ ดงั น้ี กจิ กรรมขยายความเขา ใจ ดงั น้ี ๑) เน้ือหาสาระ บทร้อยกรองท่ีดีมีคุณค่าจะต้องมีเน้ือหาท่ีแสดงความรู้สึกนึกคิดที่ • ประเภทกลอนสุภาพ บทประพนั ธเ รอื่ ง อิเหนา เป็นประโยชน์แก่การด�ารงชีวิต ผู้อ่านต้องหาค�าตอบให้ได้ว่าได้รับอะไรจากการอ่านบทร้อยกรอง หนา 246 นน้ั บา้ ง • ประเภทกาพยฉบงั 16 บทประพันธเ ร่อื ง ๒) รูปแบบ หมายถึง ลักษณะการประพันธ์หรือฉันทลักษณ์ และศิลปะในการประพันธ ์ คํานมัสการพระธรรมคณุ หนา 29 ได้แก่ • ประเภทโคลงส่สี ภุ าพ บทประพันธเร่ือง นิราศ ๑. ลักษณะการประพันธ์ ผู้อ่านควรทราบว่าบทร้อยกรองท่ีอ่านเป็นค�าประพันธ ์ นรินทรคําโคลง หนา 249 ชนดิ ใด ผู้ประพนั ธป์ ระพันธ์ตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เลอื กใชฉ้ ันทลักษณ์ได้เหมาะสมกบั เนอ้ื หาหรือไม่ • ประเภทอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท บทประพนั ธเ รอื่ ง ๒. ศิลปะการประพันธ์ การพิจารณาศิลปะการประพันธ์ควรพิจารณาในด้านต่างๆ คาํ นมัสการมาตาปตุคณุ และคาํ นมัสการ ตอ่ ไปน ี้ อาจรยิ คณุ หนา 247 ● การสรรค�า ถ้อยค�าท่ีใช้ในบทร้อยกรองมักเป็นค�าท่ีมีลักษณะพิเศษ • ประเภทรายสุภาพ บทประพันธเ ร่ือง นิราศ นอกจากน้ีการสรรค�าควรสอดคล้องกับเนื้อหาและรูปแบบ จึงจะเกิดความกลมกลืนมีศิลปะ เช่น นรินทรค ําโคลง หนา 15 ถ้ากวีใชศ้ พั ท์วา่ ทวิ า ราตร ี บรุ ุษ นงลักษณ ์ ก็จะเห็นได้ว่าเนอ้ื หาและรปู แบบจะต้องเป็นร้อยกรอง ที่ค่อนข้างวิจิตรบรรจง หากใช้ค�าธรรมดาต้องใช้กับค�าประพันธ์ประเภทกลอน ร่าย กาพย์ เช่น 3. นกั เรยี นทดสอบความสามารถในการอา นทํานอง ตรากตร�า ล�าเค็ญ ซมซาน เปน็ ตน้ เสนาะ โดยใหนักเรียนจับสลากเลือกอาน ● การใช้ภาพพจน์ คือ การใช้ค�าสร้างภาพ ภาพพจน์ที่กวีใช้มีหลายชนิด บทประพันธบ ทใดบทหน่งึ จากบทประพนั ธท ่ีครู ดว้ ยกนั เชน่ อุปมา อุปลกั ษณ ์ บุคคลวัต สัทพจน ์ เป็นต้น มอบหมายใหน กั เรยี นฝก ฝน อปุ มา การเปรยี บเทยี บวา่ สงิ่ หนง่ึ เหมอื นอกี สง่ิ หนงึ่ เชน่ สวยเหมอื นนางฟา้ อปุ ลักษณ ์ การเปรยี บเทยี บวา่ ส่งิ หนงึ่ เป็นอกี สงิ่ หนง่ึ เช่น ขอเป็นเกือกทอง 4. ครูประเมินผลการเรยี นรูเปนรายกลมุ รองบาทา บคุ คลวตั การสมมตสิ งิ่ ตา่ งๆ ใหม้ กี ริ ยิ าอาการ ความรสู้ กึ เหมอื นมนษุ ย ์ เชน่ ทะเลไมเ่ คยหลบั ใหล สัทพจน ์ การใชค้ า� เพ่อื เลยี นเสียงธรรมชาต ิ เชน่ ครนื ครืนคล่ืนพริ ณุ ทั่วหล้า 16 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเพิ่มเตมิ ความรเู กยี่ วกับการอานบทประพันธประเภทรายสุภาพ โดยกลาว- นักเรียนฝก อา นทาํ นองเสนาะใหถูกตอ งตามฉันทลักษณแ ละสามารถ ถึงวธิ ีการอานรายสภุ าพทาํ นองสงู ควรอา นดวยเสยี งระดับเดยี วกนั และลงจังหวะท่ี อานทาํ นองเสนาะดว ยวธิ ีการเบอ้ื งตน สาํ หรับนักเรยี นทีไ่ มถ นดั การอาน ทายวรรคทุกวรรค สว นลีลาการอา นบทประพันธประเภทรา ยสภุ าพนน้ั ข้ึนอยูกบั เน้อื - ทํานองเสนาะ ครูผสู อนอาจจัดกิจกรรมโดยจัดนักเรียนเปนกลมุ และให ความในบทประพันธ เมื่อพบคําเสยี งสูงนิยมหลบเสียงลงต่ํา และทอดเสยี งทา ยวรรค นักเรยี นที่มคี วามสามารถเปน ตน แบบและสอนเพอื่ นในกลุมอา น ทุกวรรค ตอ งพจิ ารณาชว งเวลาในการกกั เก็บและการปลอยลมหายใจในการอา นให ดี เม่ือจบตอนสดุ ทายตอ งเอ้อื นเสยี งใหชาลงกวาเดมิ จนกระทงั่ จบ เพอื่ ใหเกดิ การใช กิจกรรมทาทาย เสยี งทีส่ มบรู ณ ท้งั ความไพเราะและความชัดเจน การฝกอา นออกเสยี งบทรอยกรองนนั้ ครูผสู อนสามารถจัดกิจกรรมให นอกจากความไพเราะจากการใชเ สยี งในการอา นทาํ นองเสนาะแลว ขอ คาํ นึงที่ ผเู รียนไดฝ ก อานออกเสยี งจากแถบบนั ทกึ เสียง หรอื เชญิ วิทยากรทมี่ ีความ สําคัญในการอานทาํ นองเสนาะ คือ อรรถรสจากถอยคําอนั เกดิ จากบทประพนั ธ โดย สามารถพเิ ศษ โดยใหฝกวธิ ีการอานทถี่ ูกตอง เชน การเออ้ื นเสยี ง การ ผอู า นพิจารณาวา บทประพนั ธท อ่ี า นน้นั มเี นอื้ หาอยางไร นาํ เสนออารมณแ บบใด โดย ทอดเสยี ง และการใสอารมณค วามรสู กึ ใหสอดคลองกบั บทประพนั ธ เปนตน พจิ ารณาบทประพันธจากรสวรรณคดีวา บทประพันธน ําเสนอรสอารมณเชน ไร เพ่ือ ใหผ อู านสามารถถายทอดอารมณความรูสกึ จากบทประพันธใ หม คี วามเขมขน และ สามารถสอ่ื สารอารมณค วามรูสึกจากบทประพันธผา นผอู า นสูผ ูฟ งไดเปน อยา งดี 16 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สาํ รวจคน หา ● ความไพเราะ รสของบทร้อยกรองอยู่ที่เสียง ซ่ึงเกิดจากกลวิธีการซ�้าค�า นักเรียนศกึ ษาหลักการอานและพิจารณา การซา�้ วลี การเลน่ ค�า การเล่นสมั ผสั และลลี าจงั หวะ เช่น บทรอ ยกรองในดา นเนือ้ หาสาระและรปู แบบ ระรื่นร่นื ช่นื ชมด้วยลมพลวิ้ ละลวิ่ ลว่ิ ริว้ คล่นื ครนื ผวำ อธบิ ายความรู Explain ละลอกเร่อื ยกระทบกระทั่งฝงั่ สุธำ ละลำนตำรวิวำบอำบนที 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น (ภำพพิมพ์ใจสองฝงั่ เจำ้ พระยำ : นภิ ำ บำงยีข่ นั ) ตอ ไปนี้ คา� ร่นื ร่ืน หมายถึง ช่ืน, สบายใจจากสายลมท่ีพัดผ่าน ลิ่วลว่ิ หมายถึง คลน่ื ท่ีเคลอ่ื น • นักเรยี นคิดวา บทประพันธท นี่ กั เรียนใชใน ไปโดยเร็วเป็นระลอกกระทบฝั่ง มองดูสวยงาม ตื่นตา เป็นศิลปะการสรรค�ามาใช้ท�าให้ผู้อ่าน การปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ผี านมา มคี วามโดดเดน เหน็ ภาพตาม ดานเน้ือหาและรปู แบบอยางไร ● ความหมายลึกซ้ึงกินใจ บทร้อยกรองในบางคร้ังอาจใช้ค�าธรรมดาท่ีใช ้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น สื่อสารในชีวิตประจ�าวัน แต่เมื่อน�ามาร้อยเรียงเป็นข้อความก็สามารถสื่อความหมายท่ีลึกซึ้ง ไดอ ยา งหลากหลาย โดยยกบทประพนั ธ กนิ ใจได ้ เชน่ “บทนมสั การมาตาปติ คุ ณุ ” ทกี่ ลา่ วถงึ บดิ ามารดาทเ่ี ฝา้ เลย้ี งลกู จนเตบิ โต โดยไมค่ ดิ ถงึ บทใดบทหน่งึ ทน่ี ักเรียนประทับใจ เปน ตนวา ความลา� บากของตน พระคณุ ของท่านทัง้ สองชดใช้อยา่ งไรก็ไม่หมด กลา วถึงบทชมดงในเรือ่ งอเิ หนา มกี ารเลนคาํ ข้ำขอนบชนกคณุ ชนนีเปน็ เค้ำมูล และใชภ าพพจน รวมถึงใชขนบนิราศในการ ผดุงจวบเจรญิ วยั ประพันธ นกั เรียนสามารถพจิ ารณาเพ่ิมเตมิ ผกู้ อบนุกุลพนู บ บ�ำรำศนริ ำไกล ไดจากบทประพันธที่นักเรียนยกมา) ฟมู ฟักทะนถุ นอม บ คดิ ยำกล�ำบำกกำย • นกั เรียนคิดวา การอานทาํ นองเสนาะชว ย ถนอมเลยี้ ง ฤ รวู้ ำย ใหนกั เรยี นเกิดความเขา ใจและซาบซ้ึงใน แสนยำกเทำ่ ไรๆ จนได้รอดเปน็ กำยำ อรรถรสของบทประพนั ธป ระเภทรอยกรอง ตรำกทนระคนทุกข์ ชนนีคือภผู ำ เพิ่มมากขนึ้ หรือไม อยา งไร ก็ บ เทียบ บ เทยี มทัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ปกปอ้ งซง่ึ อันตรำย จะสนองคุณำนันต์ ไดอยางหลากหลาย เปน ตน วา ชว ยใหเ กดิ เปรียบหนักชนกคณุ อดุ มเลิศประเสริฐคณุ ความซาบซง้ึ ในทวงทํานองเสยี งสัมผัส ตลอดจนรสอารมณจ ากบทประพันธ) ใหญ่พืน้ พสนุ ธรำ พระยำศรีสนุ ทรโวหำร (น้อย อำจำรยำงกรู ) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เหลือท่ีจะแทนทด แท้บชู ไนยอนั การอ่านเปน็ ทักษะการส่อื สารทีส่ �าคญั และจา� เป็น เพราะเป็นเคร่ืองมอื ในการแสวงหา ขยายความเขา ใจ ความรู้ เพื่อให้เป็นคนทันโลกทันเหตุการณ์ ผู้อ่านควรค�านึงถึงหลักการอ่านให้สอดคล้อง Expand กับลักษณะการอ่านแล้วน�ามาใช้อย่างเหมาะสม การอ่านจึงจะสัมฤทธิผล เช่น หากเป็นการ อา่ นออกเสยี งจะทา� ใหเ้ สยี งนน้ั นา่ ฟงั ผฟู้ งั เกดิ อารมณค์ ลอ้ ยตาม หากเปน็ การอา่ นในใจ ผอู้ า่ นจะไดร้ บั 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองที่ ความรู้ ความเขา้ ใจ ความบนั เทิง อย่างแท้จรงิ ผูอ้ า่ นจงึ ต้องหมั่นฝกึ ฝนอยเู่ สมอ เพื่อให้เกิด นักเรยี นประทบั ใจ จากน้นั นักเรียนอธิบาย ทักษะ และสามารถนา� ไปใชใ้ นการส่อื สารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ คุณคา ดา นเนือ้ หาสาระและคณุ คา ทาง วรรณศลิ ป พรอ มนําบทประพันธด ังกลาว 17 มาอา นทํานองเสนาะ 2. ครูสุม นกั เรยี น 2-3 คน ออกมาอานทํานอง เสนาะ พรอ มนาํ เสนอคุณคา ทางวรรณศิลป ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกบั การอา นและพจิ ารณาบทรอ ยกรอง ขอ ใดตคี วามไดต รงกบั ขอ ความตอไปนี้ ลาภยศถาบรรดาดีทมี่ อี ยู รวยเลศิ หรอู ยเู รอื นทองสองลานสาม ครูควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับการพจิ ารณารสจากวรรณคดีหรอื สมบัติมากลากไมไหวใครจะปราม สดุ ทา ยหามแตรางเนาเทานั้นเอง วรรณกรรม รสของบทประพันธในทนี่ ค้ี ือ รสของความไพเราะและความงดงามทาง 1. บางคนโชคดไี ดล าภยศและเงินทองโดยไมมีใครขวางได ภาษา นักเรียนสามารถพิจารณารสท่ใี ชในการอา นและพจิ ารณาบทรอยกรองได 2. คนเราไมควรโลภมากเอาแตตักตวงความรํ่ารวย ในทีส่ ุดกแ็ บกไมไ หว ดงั รายละเอยี ด ตอไปน้ี 1. รสถอ ย (คาํ พดู ) แตล ะคาํ มรี สในคําของตัวเอง ผอู า นจะ 3. สมบตั ทิ ้งั หลายไมใ ชส ิ่งจีรังยั่งยนื มคี วามเปล่ยี นแปรอยเู สมอ ตอ งอานใหเ กดิ รสถอย 2. รสความ (เร่อื งราวทอี่ าน) ขอ ความท่อี านมเี รือ่ งราวเกยี่ วกบั 4. คนเราเมอื่ ถงึ คราวตายก็เอาเกยี รตยิ ศและทรัพยส นิ ติดตวั ไปไมไ ด อะไร เชน โศกเศรา สนกุ สนาน ตนื่ เตน โกรธ รกั เปนตน ขณะท่อี า น ผูอ า นตอ งอาน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. “ลาภยศถาบรรดาดที ม่ี อี ยู” คอื เกยี รติยศ ใหม ลี ลี าไปตามลกั ษณะของเนอื้ เรอื่ งนน้ั ๆ 3. รสทํานอง (ระบบเสยี งสงู ต่ําซ่ึงมจี ังหวะ และ “เรือนทองสองลานสาม” คือ ทรัพยสิน แตเ มือ่ ถงึ คราวตายก็ “หามแต สั้นยาว) ในบทรอ ยกรองไทยจะประกอบดวยทาํ นองตางๆ เชน ทาํ นองโคลง ทาํ นอง รางเนา เทา นัน้ เอง” ไมสามารถเอาเกียรติยศและทรัพยสนิ ติดตวั ไปได ฉนั ท ทาํ นองกาพย ทาํ นองกลอน และทาํ นองรา ย เปน ตน ผอู า นจะตอ งอา นใหถ กู ตอ ง ตามทาํ นองของรอ ยกรองนนั้ 4. รสคลองจอง ในบทรอยกรองตอ งมคี าํ คลอ งจอง ใน คําคลองจองนั้นตอ งใหออกเสยี งตอเนื่องกัน โดยเนน สัมผสั นอกเปน สําคญั 5. รสภาพ เสียงทําใหเ กดิ ภาพ ในแตละคาํ จะแฝงไปดวยภาพ ในการอา นใหเหน็ ภาพ ตองใชเ สียง สงู -ต่าํ ดัง-คอ ย แลว แตจะใหเกิดภาพอยางไร คมู อื ครู 17

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสรปุ สาระสําคญั เกีย่ วกับความแตกตา ง คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ ในการอานบทรอ ยกรองธรรมดาและการอา น ทาํ นองเสนาะ ๑. การอา่ นออกเสียงรอ้ ยแก้วเป็นทักษะทจ่ี า� เปน็ ต้องฝึกฝนหรือไม่ อยา่ งไร ๒. การศึกษาฉันทลกั ษณ์ของค�าประพันธแ์ ตล่ ะประเภทก่อนอา่ นบทร้อยกรอง 2. นกั เรยี นสรปุ คณุ สมบัตเิ กี่ยวกับการอาน ออกเสียงบทรอ งกรองทีด่ ไี ด มีความจ�าเปน็ หรือไม่ อย่างไร ๓. การอ่านบทร้อยกรองประเภทค�าฉนั ท ์ มีหลกั ในการอา่ นอย่างไร 3. นกั เรยี นอานออกเสียงบทรอ ยกรองประเภท จงอธบิ ายและยกตัวอยา่ งประกอบ โคลง ฉันท กาพย กลอน และรา ยได ๔. คณุ สมบัติของผูท้ จ่ี ะอ่านทา� นองเสนาะได้ดมี ีอะไรบา้ ง จงอธบิ าย ๕. การอ่านท�านองเสนาะแบบกระแทกเสยี ง มักจะใช้กบั การอ่านเนือ้ หาในลกั ษณะใด 4. นกั เรยี นสรปุ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธแ ละหลกั เกณฑ ในการอา นได จงอธบิ ายและยกตัวอยา่ ง 5. นักเรียนสรุปสาระสาํ คญั ดานเนือ้ หาและรูปแบบ จากบทประพนั ธท นี่ กั เรยี นไดอ า น พรอมระบุ ความสมั พันธก บั การอานทาํ นองเสนาะได 6. นักเรยี นอานบทประพนั ธพรอมบอกคณุ คา ดาน เนือ้ หาและวรรณศลิ ปจากบทประพันธไ ด หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับความ ๑. ใหน้ กั เรียนจับคกู่ นั ฝึกอ่านท�านองเสนาะให้ถกู ตอ้ งตามขนั้ ตอนการอา่ น แลว้ ตชิ ม แตกตา งในการอานบทรอยกรองธรรมดาและ หรือให้ข้อเสนอแนะซึ่งกันและกนั การอานทาํ นองเสนาะ พรอมตัวอยา งประกอบ ๒. ให้นักเรยี นเลอื กวรรคทองในวรรณคดที ่ชี ่ืนชอบมาฝึกอา่ นท�านองเสนาะใหถ้ ูกตอ้ ง 2. ความเรียงสรปุ คุณสมบัติเกีย่ วกับการอา น และมคี วามไพเราะ ออกเสียง ๓. จดั โครงการประกวดการอ่านเพื่อให้นกั เรยี นเหน็ ความสา� คัญของการอ่านและ 3. ความเรียงบันทกึ ขอมลู การอานออกเสียง ฝกึ การอ่านออกเสียงใหถ้ กู ต้อง ชัดเจน เช่น บทรอยแกวประเภทบันเทิงคดีและสารคดี - โครงการประกวดผปู้ ระกาศขา่ ววัยใส 4. ความเรยี งสรปุ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธแ ละหลกั เกณฑ - โครงการประกวดเยาวชนเสียงเสนาะ การอา น 18 5. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คัญดานเนื้อหาและ รปู แบบจากบทประพันธท่นี ักเรียนไดอ าน พรอมระบคุ วามสมั พันธร ะหวางคณุ คา ของ บทประพันธก บั การอานทาํ นองเสนาะได 6. บันทึกการอานออกเสียงบทรอ ยกรอง 7. ความเรียงสรุปเน้อื หาและคุณคา ทางวรรณศลิ ป จากบทประพันธ 8. บันทึกการตอบคําถามประจาํ หนวยการเรียนรู แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. นักเรยี นสามารถตอบไดอยา งหลากหลาย เนอ่ื งจากการอานรอยแกว เปน ทักษะท่จี าํ เปน ตอ งฝก ฝนอยา งสม่าํ เสมอ ทั้งความรูในดา นเนอื้ หาและการออกเสียงทมี่ ีความ ถูกตอ งชัดเจน เพือ่ สรางอรรถรสในการอาน 2. การศึกษาฉันทลักษณกอ นการฝกอานคําประพันธประเภทบทรอ ยกรองมีความจําเปน อยา งมาก เนอ่ื งจากฉันทลักษณท าํ หนาทีก่ ําหนดทํานองใหบ ทรอ ยกรองแตล ะ ประเภทมคี วามแตกตางกนั ท้งั การแบง วรรคตอนและทว งทํานองการอาน 3. ตอ งมีความเขาใจฉนั ทลักษณ ทงั้ คําครุ ลหุ ของฉันทแ ตล ะประเภท ตลอดจนการแบงจังหวะที่ถกู ตอ ง รวมถงึ ตอ งคํานงึ ถึงการเนน สยี งในคําท่ที าํ หนาทีร่ ับสมั ผัสและ เอ้ือนเสียงใหถูกตอ งตามลักษณะของฉันทแตละประเภท จากนัน้ จงึ เอ้อื นเสยี งและทอดจงั หวะใหช าลงในชว งทาย 4. นกั เรยี นสามารถตอบไดอยางหลากหลาย เปนตน วา ตอ งหมัน่ ศึกษาคนควาความรเู ก่ียวกับฉันทลักษณ ความรพู นื้ ฐานในการอาน หมั่นฝก ฝนอยางสมา่ํ เสมอเพอ่ื ใหมี ความเชี่ยวชาญจนเกดิ ความกลา แสดงออกและมีความเช่ือม่ันในตนเอง 5. การอานทาํ นองเสนาะแบบกระแทกเสยี ง มักใชบรรยายความโกรธ ความเขม แข็ง หรือความศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ เน่อื งจากมกี ารลงเสยี งในแตละคาํ หนักเปน พิเศษ ตวั อยางเชน “เอออเุ หมนะมงึ ชชิ า งกระไร ททุ าสสถุลฉะนไ้ี ฉน กม็ าเปน ศกึ บ ถึงละมึงกย็ ังมเิ หน็ จะนอ ยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด” เน้ือหาจากวรรณคดเี รือ่ งสามัคคเี ภท- คาํ ฉนั ท ประพันธโ ดยนายชติ บุรทตั 18 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ตอนที่ ๑ 1. ตอบคําถามจากการอา นงานเขียนประเภท ตางๆ ภายในเวลาทีก่ าํ หนด 2. อา นเร่ืองตา งๆ แลวเขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ บนั ทกึ ยอความ และรายงาน 3. สังเคราะหความรจู ากการอา นส่ือส่ิงพิมพ สอ่ื อิเล็กทรอนิกสและแหลง เรยี นรตู า งๆ ฯลฯ 4. มมี ารยาทในการอา น 5. วเิ คราะหและประเมินการใชภ าษาจากสอ่ื สิง่ พิมพแ ละส่อื อิเลก็ ทรอนกิ ส ในโลกปจจบุ นั สมรรถนะของผูเ รยี น 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชทักษะชีวติ 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี เทคโนโลยกี ารพมิ พมีความเจริญกาวหนา อยา งรวดเร็วดว ยวทิ ยาการท่ีทนั สมยั และ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค สามารถเผยแพรสอ่ื สิง่ พิมพตางๆ ไดอ ยาง รวดเรว็ และมีความหลากหลายในการนาํ เสนอ 1. ใฝเรยี นรู òหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ขอ มลู ขาวสาร และความบันเทงิ ในรูปแบบ 2. มงุ ม่นั ในการทํางาน ของสื่อส่งิ พมิ พป ระเภทหนังสอื ท้งั สารคดแี ละ 3. รกั ความเปน ไทย บันเทงิ คดี ตลอดจนสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกสตา งๆ ดงั นัน้ ผอู า นตอ งมคี วามรูความเขาใจในสอ่ื ท่ีอา นและเลือกอา น ใหเ หมาะสมจงึ จะทาํ ใหการอานสัมฤทธผิ ล การอา นสอ่ื สง่ิ พมิ พ และสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส กระตนุ ความสนใจ Engage ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง นกั เรียนพจิ ารณาภาพหนาหนว ย จากน้ันครู สนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปนี้ • ตอบค�าถามจากการอ่านงานเขยี นประเภทต่างๆ ภายใน • อ่านสอื่ ส�งิ พิมพแ์ ละสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ เวลาทกี่ �าหนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) • มารยาทในการอา่ น • นักเรียนคิดวา ปจ จุบนั ชอ งทางการสอ่ื สาร • การประเมินการใชภ้ าษาจากสื่อสงิ� พมิ พ์และสื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์ ของมนษุ ยมีลกั ษณะอยา งไร • อ่านเรือ่ งตา่ งๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยา ง ย่อความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) หลากหลาย) • สังเคราะห์ความร้จู ากการอ่านส่อื สง�ิ พิมพ์ ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ และแหลง่ เรยี นรู้ตา่ งๆ ฯลฯ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๘) • มีมารยาทในการอ่าน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๙) • วเิ คราะหแ์ ละประเมินการใชภ้ าษาจากสือ่ ส�งิ พมิ พ์ และส่อื อิเล็กทรอนิกส์ (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๗) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน ี้ ครคู วรแนะนําใหน กั เรยี นตระหนกั และเห็นความสาํ คญั ของการอา น โดยครเู นนทบทวนความรแู ละประสบการณเดิมท่นี กั เรียนพบเหน็ ใน ชวี ติ ประจําวัน เพื่อใหน ักเรยี นไดทบทวนความรูและเชอ่ื มโยงเนื้อหาในบทเรียนกบั การดาํ เนนิ ชวี ิตของนักเรียน และสามารถนําองคค วามรูจ ากการเรียนการสอน ไป ประยุกตใชใ นชวี ติ ประจําวันได นอกจากนี้ ครคู วรชใ้ี หน กั เรียนเห็นความสาํ คัญของ การอา นวา หากนักเรียนมีทกั ษะในการอานสือ่ ประเภทตางๆ นกั เรยี นจะมีความ สามารถในการจัดการขอมลู ขา วสารท่ีมีความหลากหลายและกวา งขวางในโลก แหง ขาวสารในยคุ ปจจุบนั ได พรอมกนั นัน้ ครคู วรแนะใหน กั เรยี นตระหนกั ถงึ ความ สําคัญของการอานวา ความสามารถในการอานมคี วามสําคัญและจาํ เปนอยางยง่ิ ตอ การเปน พลเมืองท่มี ีคุณภาพในสังคมปจจุบนั องคการศกึ ษาวิทยาศาสตรแ ละ วัฒนธรรมแหง สหประชาชาติ (UNESCO) ใชความสามารถในการรูหนังสอื ของ ประชากรประเทศตางๆ เปน ดัชนีชวี้ ดั ระดับการพัฒนาประเทศ คูมอื ครู 19

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปน้ี ๑. การอ่านส่ือสงิ่ พมิ พ์ • นักเรยี นรจู กั ส่อื สิ่งพมิ พประเภทใดบา ง พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายค�าทเี่ กย่ี วกบั “สอ่ื สง่ิ พมิ พ์” ไวว้ า่ ยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตวั อยา งไดอ ยาง “ส่ือ หมายถงึ ก. ท�าการติดต่อให้ถงึ กนั ชักน�าใหร้ ู้จักกัน หลากหลาย เปน ตนวา หนงั สอื พิมพ และ น. ผู้หรอื สิง่ ทท่ี า� การติดต่อให้ถึงกัน หรอื ชกั นา� ให้รจู้ ักกนั ” หนังสือประเภทตา งๆ) “พิมพ ผหา้ มทายา� ใถหึงเ้ ปก็น.ต วัถห่ายนแงั สบือบห, รใือชร้เปู ครรอื่อยง จโักดรยกกดาตรัวกหดนหังรสอื ือกหารรใือชภพ้ าิมพพใหห้ตนิ ิด 1บเคนรวอ่ื ัตงถกุ ล เชว่นิธี • นกั เรียนคดิ วา สอ่ื สง่ิ พิมพแตล ะประเภทมี แผน่ กระดาษ ความแตกตา งกนั หรือไม อยางไร เคมี หรอื วธิ อี ื่นใด อันอาจใหเ้ กิดเป็นสงิ่ พิมพข ้ึนหลายส�าเนา” (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตัวอยา งไดอยา ง “สิ่งพิมพ  หมายถงึ สมุด แผ่นกระดาษ หรอื วัตถใุ ดๆ ที่พิมพขนึ้ รวมตลอดทั้งบทเพลง หลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น แผนที ่ แผนผงั แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ใบประกาศ แผน่ เสยี ง หรอื สง่ิ อืน่ ใดอนั มีลักษณะ เปนตนวา มคี วามแตกตา งกนั ดา นวิธีการ เช่นเดียวกัน” นาํ เสนอและดานเนอ้ื หา) ดงั นัน้ “ส่อื สิง่ พมิ พ”์ มคี วามหมายว่า สง่ิ ที่พมิ พ์ขึน้ ไมว่ า่ จะเป็นแผน่ กระดาษหรือวตั ถุใดๆ สาํ รวจคน หา Explore ด้วยวิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นช้ินงานท่ีมีลักษณะเหมือนต้นฉบับข้ึนหลายส�าเนาปริมาณมาก เพ่อื เป็นสง่ิ ท่ที า� การตดิ ต่อ หรอื ชกั นา� ให้บคุ คลอน่ื ได้เหน็ หรือทราบขอ้ ความตา่ งๆ สอ่ื ส่งิ พิมพ์ในปจั จบุ ันมคี วามหลากหลาย และเขา้ ถึงผูอ้ ่านได้อย่างรวดเร็ว ท้ังนี้สือ่ ส่งิ พมิ พ์ นักเรยี นศึกษาคน ควาความหมาย วัตถปุ ระสงค มีหลายประเภท และแต่ละประเภทมกี ลุ่มเปา หมายทีแ่ ตกต่างกัน และหลักเกณฑในการแบงประเภทส่ือสิง่ พิมพ ๑) ส่อื สงิ่ พมิ พ์ประเภท2หนังสือ ไดแ้ ก่ อธบิ ายความรู Explain ๑.๑) หนังสอื สารคดี ตา� รา แบบเรียน เป็นส่ือสง่ิ พมิ พ์ท่แี สดงเน้อื หาวิชาการในศาสตร์ ความรู้ต่างๆ เพ่ือส่ือให้ผู้อ่านเข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อส่ิงพิมพ์ท่ีเน้น 1. นกั เรยี นรว มกนั ระดมความคดิ ดว ยการ ความรอู้ ย่างถกู ตอ้ ง ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ๑.๒) หนังสือบันเทิงคดี เป็นส่ือสิ่งพิมพ์ท่ีผลิตข้ึนโดยใช้เร่ืองราวสมมติ เพื่อให้ผู้อ่าน • นกั เรียนคดิ วา วัตถุประสงคในการผลติ ได้รับความเพลิดเพลินสนกุ สนาน มกั มขี นาดเล็ก เรยี กว่า หนงั สอื ฉบับกระเปา (Pocket Book) สื่อสิ่งพมิ พแ ตล ะประเภทคอื อะไร สงผลตอ วธิ ีการนําเสนอหรือไม อยา งไร ส่ือสิง่ พิมพมหี ลากหลายประเภท ผูอ านท่ดี ีจงึ ควรเลอื กอา นสือ่ สงิ่ พิมพท ีม่ ีสาระประโยชนแ ละเหมาะสมกับตนเอง▼ (แนวตอบ ส่อื สงิ่ พมิ พแตละประเภทมี วตั ถุประสงคในการส่อื สารเพ่อื ตดิ ตอ ชกั นํา 20 ใหผ อู ื่นไดเห็นหรือทราบขอความ ซ่งึ สื่อแตละ ประเภทสามารถสื่อสารสกู ลุมเปา หมายที่มี ความแตกตางกนั สง ผลตอวธิ กี ารส่ือสารทมี่ ี ความแตกตา งกันดว ย) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชื่อมสาระ ครบู ูรณาการความรเู กี่ยวกบั การอา นส่ือส่ิงพิมพกับวิชาในกลุมสาระ ในการเรียนการสอนเร่อื งการอานส่อื สงิ่ พิมพและสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกสน้นั ปจ จบุ ัน การเรียนรสู ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา รายวชิ าสุขศกึ ษา ซึ่งเปนกลุม วิชาท่มี ี มีส่ือตา งๆ เขา มามบี ทบาทในชวี ติ ประจําวันมากข้นึ ทง้ั ดา นสาระและบันเทงิ การเผยแพรข อมลู ขา วสารและความรเู กี่ยวกับโรคระบาด แนวทางการ ครผู สู อนตองเนนยํา้ ในเร่ืองการเลอื กรับส่อื เพราะสอ่ื แตล ะประเภทมีขอดีและขอเสีย ปอ งกันโรค ครูใหนกั เรียนนาํ แผนพับตางๆ ในวชิ าสขุ ศึกษามาเปนแหลง รวมถึงจดุ มุงหมายในการจดั ทําแตกตางกนั ไป นอกจากนี้ ครูผูส อนยังตอ งจัด เรยี นรู โดยใหน กั เรยี นพิจารณาการนาํ เสนอเน้ือหาดวยรูปแบบของส่ือชนิด กิจกรรมใหผ ูเรยี นไดร ูจกั การวเิ คราะหสังเคราะหความรู ตลอดจนแนวคิดท่ี น้ัน วา มคี วามเหมาะสมหรอื ไม อยา งไร นักเรียนบอกขอดีหรอื ขอ ดอยของ สอดแทรกอยูใ นเรือ่ งทอ่ี านดว ย เพอื่ ใหส ามารถนําไปปรับใชใหเ กิดประโยชนตอไป การนําเสนอขอมลู ดว ยส่อื ชนิดดังกลาว นกั เรียนสรางองคความรูเ รอื่ งสื่อสิง่ พิมพเพอื่ เผยแพรข า วสาร โดยนาํ นกั เรยี นควรรู ขอมูลความรูท ่นี ักเรยี นคดิ วามีประโยชนและนาสนใจจากวชิ าสขุ ศึกษามา จัดทําสง่ิ พมิ พเ พื่อเผยแพรความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั สุขภาพและอนามยั 1 พมิ พห นิ การเขียนภาพลงบนหนิ ปนู ดว ยวสั ดทุ เ่ี ปน ไข เชน แทง ดินสอหรือวัสดุ ในโรงเรยี นได อ่นื ๆ ที่ไมละลายในนาํ้ แลวกดลงบนกระดาษ 2 สารคดี เร่อื งทเี่ รียบเรยี งขน้ึ จากความจรงิ ไมใ ชจากจนิ ตนาการ 20 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain Explore สาํ รวจคน หา นักเรียนศกึ ษาคนควาเกยี่ วกับลักษณะเดนของ ๒) สื่อสิ่งพิมพเพื่อเผยแพรขาวสาร สื่อสงิ่ พิมพประเภทตางๆ ดงั ตอไปน้ี ไดแ ก ๒.๑) หนังสือพิมพ1เปนสื่อส่ิงพิมพที่ • กลมุ ที่ 1 สื่อสงิ่ พิมพประเภทหนงั สอื • กลุม ท่ี 2 สือ่ สิ่งพมิ พเพอ่ื เผยแพรขา วสาร ผลติ ขนึ้ เพ่อื นําเสนอเรื่องราว ขา วสาร ภาพ และ • กลุมท่ี 3 ส่งิ พมิ พเ พอ่ื การบรรจุภัณฑ ความคิดเห็น ในลักษณะแผนพิมพแผนใหญท่ีใช วธิ กี ารพบั รวมกนั สอื่ สง่ิ พมิ พช นดิ นพ้ี มิ พเ ผยแพร อธบิ ายความรู Explain ทัง้ รายวนั ร๒าย.๒ส)ปั วดาารหส าแร2ลนะติรายยสเาดร3ือเนปน สอื่ สง่ิ พมิ พ 1. นักเรยี นแตละกลมุ รวมกันตอบคําถามใน ทผ่ี ลติ ขน้ึ เพอ่ื นาํ เสนอสาระ ขา ว ความบนั เทงิ ทมี่ ี ประเด็นท่ีวา ส่ือส่ิงพมิ พแตละประเภทมี รปู แบบการนาํ เสนอที่โดดเดน สะดุดตา และสรา ง ลกั ษณะเดนแตกตางจากสือ่ สง่ิ พมิ พป ระเภท ความสนใจใหก บั ผอู า น ทง้ั นกี้ ารผลติ มกี ารกาํ หนด อนื่ ๆ อยา งไร ระยะเวลาเผยแพรท่ีแนนอน ท้ังลักษณะวารสาร ▼▼ โบรชวั รส นิ คา เปน สอื่ สง่ิ พมิ พท ผี่ ผู ลติ จดั ทาํ ขน้ึ เพอื่ นาํ เสนอ (แนวตอบ นักเรียนแตละกลมุ สามารถตอบได นติ ยสาร รายปกษ (๑๕ วัน) และรายเดอื น สินคาและบรกิ าร อยา งหลากหลาย โดยแบง การนําเสนอเปนกลุม ดงั ตอ ไปนี้ ๒.๓) จุลสาร เปนส่ือสิ่งพิมพที่ผลิตขึ้นแบบไมมุงหวังผลกําไร เปนแบบใหเปลา กลุมท่ี 1 ส่อื สงิ่ พมิ พประเภทหนังสอื แบง ตาม โดยใหผูอ านไดศ ึกษาหาความรู มีกําหนดการเผยแพรเ ปน ครงั้ ๆ หรอื ลําดบั ตา งๆ ในวาระพิเศษ เน้อื หา ไดแ ก ประเภทสารคดี มุง นาํ ๒.๔) สง่ิ พมิ พโฆษณา เสนอขอ เทจ็ จรงิ และประเภทบันเทงิ ๑. โบรชัวร (Brochure) เปนคําท่ียืมมาจากภาษาฝร่ังเศสโดยใชเรียกทับศัพท คดเี ปน การนาํ เสนอเร่ืองราวสมมติ สอ่ื สงิ่ พมิ พท มี่ ลี กั ษณะเปน สมดุ เลม เลก็ ๆ เยบ็ ตดิ กนั เปน เลม จาํ นวน ๘ หนา เปน อยา งนอ ย มปี กหนา กลมุ ที่ 2 สือ่ สง่ิ พิมพเ พื่อเผยแพรขา วสาร มุง และปกหลัง แสดงเนอ้ื หาโฆษณาสนิ คา เนนวัตถปุ ระสงคในการสือ่ สารเปน หลกั สง ผลใหม ีรปู แบบการนาํ เสนอ ๒. ใบปลิว (Leaflet, Handbill) ทแี่ ตกตา งกัน ไดแ ก 1. หนงั สอื พมิ พ เปนส่ือส่ิงพิมพใบเดียว ที่เนนการประกาศ หรือ นําเสนอขา วสาร และความคดิ เหน็ โฆษณา ลักษณะเน้ือหาเปนขอความที่ผูอานอาน 2. วารสารและนติ ยสาร นําเสนอ แลวเขาใจงาย สาระขาวสาร เดนดานรูปแบบ ๓. แผนพับ (Folder) เปนสื่อ การนาํ เสนอ 3. จลุ สาร มุงนาํ เสนอ สิ่งพิมพที่ผลิตโดยเนนการนําเสนอและการสรุป ขอมูลเฉพาะดาน 4. สงิ่ พิมพเพื่อการ ใจความสําคญั มีลกั ษณะการพับเปนรูปเลม ตางๆ โฆษณานําเสนอเนอื้ หาของสารเพือ่ ๔. ใบปด (Poster) เปนสื่อสิ่ง- การโนมนาวใจ พมิ พโฆษณา โดยใชป ด ตามสถานทต่ี า งๆ มีขนาด แผนพับเปนสื่อสิ่งพิมพที่มีรูปลักษณสวยงาม เนื้อหา กลุมท่ี 3 ส่งิ พิมพเพื่อการบรรจภุ ัณฑ ใช ใหญเปนพิเศษ ซ่ึงเนนการนําเสนออยางโดดเดน สาระเนน เฉพาะใจความสาํ คญั โดยใชภ าษาทสี่ น้ั กระชบั อา น สําหรบั หอ หุมผลิตภัณฑส ินคาตางๆ ดึงดูดความสนใจ เขาใจงา ย ๒๑ มีจดุ มุงหมายเพือ่ ใหข อมลู ของสินคา และผลติ ภัณฑ) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู พาดหัวขา วหนงั สอื พมิ พข อ ใดเนนการนาํ เสนอเฉพาะขอ เทจ็ จรงิ 1 หนงั สอื พิมพ เปน สิ่งพิมพน ําเสนอขา วและความเห็นถา ยทอดสูประชาชน 1. โทรทัศนดาวเทียมเขา ถึงงาย ผปู ระกอบการอ้าํ อึง้ คิดตา งจาก กสทช. หนงั สือพมิ พฉบับแรกของประเทศไทยชือ่ วา “บางกอกรีคอรเดอร” (Bangkok 2. แอร นิวซแี ลนด ยกเลกิ เทยี่ วบนิ หลายสายหลงั ภเู ขาไฟยังคงปะทุ Recorder) หรือ “หนงั สอื จดหมายเหตุ” มขี ึ้นคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 3. กฟผ. แจงเครียด คาดป 56 ความตองการไฟฟา เพม่ิ 3.5 % 2387 เปนหนังสอื พมิ พฉ บับปฐมฤกษ จัดพมิ พโ ดย หมอบรดั เลย (Dr. Dan Beach 4. ธุรกิจลอ งเรือเจาพระยาพุงกระฉดู เงินสะพดั 700 ลาน Bradley, M.D.) มชิ ชันนารชี าวอเมริกัน โดยใชต วั พิมพท่เี รียกวา “บรัดเลยเ หล่ียม” วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. แอร นวิ ซแี ลนด ยกเลกิ เท่ยี วบนิ หลายสาย จดั พิมพทงั้ ภาษาไทยและองั กฤษ ในระยะแรกเรมิ่ ออกฉบบั รายเดือน ตอมาเปลย่ี น หลังภเู ขาไฟยงั คงปะทุ เสนอแตข อ เท็จจรงิ วา เกิดเหตุการณอ ะไร ขอ 1. มีคํา เปน รายปกษหรือรายคร่ึงเดือน แตออกไดเพียงสองปก ต็ อ งเลกิ กจิ การ หนังสอื พมิ พ แสดงทศั นะหรือความเห็นวา “อ้าํ อง้ึ ” ขอ 3. มีคําแสดงทศั นะหรอื ความเห็นวา บางกอกรคี อรเ ดอรไดนําเอาวธิ กี ารรายงานขา วและการเขียนบทความแบบวิพากษ “แจงเครียด” และขอ 4. มคี ําแสดงทศั นะหรอื ความเหน็ วา “พงุ กระฉูด” วจิ ารณ ซึง่ เปนของใหมใ นสมยั นั้นเขา มาเผยแพรอยางกวา งขวาง 2 วารสาร ในภาษาอังกฤษใชวา journal เปน สิ่งพิมพท่ีเสนอเรื่องราวหรอื บทความทางวิชาการ 3 นติ ยสาร ในภาษาอังกฤษใชวา magazine สิ่งพิมพท่ปี ระกอบดว ยบทความ ท่วั ไปและการบนั เทิง คูม อื ครู 21

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ๓) ส่งิ พมิ พเ์ พือ่ การบรรจุภณั ฑ ์ เปน็ สอื่ สงิ่ พมิ พท์ ี่ใชใ้ นการหอ่ หมุ้ ผลติ ภณั ฑก์ ารคา้ ตา่ งๆ • นกั เรยี นคดิ วา การแบง ส่ือสง่ิ พมิ พออกเปน แยกเปน็ ส่งิ พมิ พ์หลัก ไดแ้ ก่ สงิ่ พิมพท์ ี่ใช้ปดรอบขวด หรือกระปองผลิตภณั ฑ์การคา้ สิง่ พมิ พ์รอง 3 ประเภท ไดแ ก สอ่ื สิ่งพิมพป ระเภทหนงั สือ ได้แก่ สงิ่ พมิ พ์ทเ่ี ปน็ กลอ่ งบรรจุ หรือลงั สอ่ื สิ่งพมิ พเ พอื่ เผยแพรขาวสาร และ สอ่ื สง่ิ พมิ พป ระเภทบรรจภุ ณั ฑ เปน วธิ กี ารแบง สื่อสงิ่ พมิ พป์ ระเภทต่างๆ ทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ ประจา� วันมที ้งั รปู แบบของหนงั สือ หนงั สอื พมิ พ์ ประเภทสื่อส่งิ พิมพโดยใชอ ะไรเปน เกณฑ วารสาร นิตยสาร ทนี่ �าเสนอข่าวสาร สาระและบันเทงิ เชน่ บทความ นทิ าน เร่ืองสัน้ นวนิยาย ในการแบงประเภท เป็นต้น ผู้อา่ นจงึ ควรทราบวิธกี ารอา่ น เขา้ ใจลักษณะหรอื ประเภทของสารทป่ี รากฏอยู่ในสิ่งพมิ พ์ (แนวตอบ เกณฑในการแบงประเภทสื่อส่ิงพมิ พ มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจภาษาในระดับค�า วลี ประโยค ส�านวนภาษา และก�าหนดเปาหมาย ประกอบดว ย 3 สว น คือ 1. ลักษณะของสอื่ ในการอ่านชดั เจนเพือ่ ช่วยใหก้ ารอ่านมปี ระสทิ ธิภาพ และตรงตามวัตถปุ ระสงค์ในการอ่าน 2. เนอื้ หา 3. วตั ถปุ ระสงคในการส่อื สาร ซ่งึ ท้ังสามสวนมีองคประกอบท่ีสอดประสาน ส่วนประกอบ แจ้ง ¹éÓÇÒ‹ ¹ËÒ§¨ÃÐࢌ ชอื่ อาหารภาษาไทย สมั พนั ธกัน เปนตวั กําหนดรูปแบบ ลกั ษณะ เฉพาะส่วนที่ส�าคัญ และวธิ ีการเผยแพรสอ่ื แตละประเภท) เป็นร้อยละของ Aloe Vera Juice รูปภาพให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ • นกั เรียนคดิ วา การพิจารณาสือ่ สิ่งพมิ พ น�้าหนัก เรียงจาก หรือชอ่ื ตรา (ถ้ามี) ประเภทตา งๆ ตอ งคาํ นึงถึงหลกั การใดบา ง ปรมิ าณมากไปนอ้ ย ปริมาตรสุทธิ มีหน่วยเป็นระบบเมตริก อยางไร เช่น ลบ.ซม. ซม๓ มล. มิลลิลติ ร (แนวตอบ การพจิ ารณาสอื่ สิง่ พิมพแ ตละ ประเภทตอ งคํานงึ ถึงประเด็นตางๆ ไดแก เลขสารบบอาหารหรอื เลข อย. ใหแ้ สดง 1. ประเภทของสื่อ 2. รูปแบบ 3. ลักษณะ ตามท่ีได้รับแจ้งรายละเอียดของอาหาร การใชภาษาใหส อดคลองกบั ประเภทของส่ือ สว นประกอบท่ีสำคญั โดยประมาณ แตล่ ะชนดิ ในเครอื่ งหมาย อย. ดว้ ยอกั ษร 4. กลุมเปา หมายในการส่ือสาร 5. วัตถุ- น้ำวา นหางจระเข ๘๐% ขนาดความสูงไมน่ อ้ ยกว่า ๒ มม. สีของ ประสงคใ นการเผยแพร) นำ้ ตาล ๑๙% 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เดก็ ไมควรรบั ประทาน ปรมิ าตรสุทธิ ๒๕๐ ซม.๓ ตวั อกั ษรตดั กบั พน้ื ภายในกรอบสขี อง อย. ไมใชอาหารทางการแพทย และกรอบสตี ัดสพี ้ืนของฉลาก หยดุ บรโิ ภคเมื่อมีอาการผดิ ปกติ ผลิต ๒๑ ๐๗ ๕๒ ๖๑-๒-๑๐๐๔๔-๒-๐๐๐๕ ชอื่ ทีอ่ ยผู่ ผู้ ลิต โดยมคี �าวา่ ผลติ โดย ชุมชนบานทา “ผลติ โดย” นา� หนา้ ๓/๕๐ หมู ๑ ต.บา นทา อ.บางไทร จ.อยธุ ยา คา� เตอื นใหแ้ สดงดว้ ยอกั ษรสแี ดงชนดิ ไมเ่ ลก็ กวา่ ๒ วนั เดือนปท่ีผลิต โดยมีค�าว่า “ผลิต” กา� กับ มม. เหน็ ไดช้ ัดเจนในกรอบสเี่ หลี่ยม ขยายความเขา ใจ Expand สรรพส าระ นักเรียนแตล ะกลุมรวบรวมสอ่ื แตล ะประเภท ©ÅÒ¡âÀª¹Ò¡Òà ÃäŒÙ nj䴻Œ ÃÐ⪹ จากนนั้ วิเคราะหอ งคป ระกอบของสอ่ื ตามหลักการ พรอ มบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ©ÅÒ¡·èÕáÊ´§¢ŒÍÁÙÅâÀª¹Ò¡ÒâͧÍÒËÒê‹ÇÂãËŒ·ÃÒº¶Ö§ª¹Ô´áÅлÃÔÁÒ³ÊÒÃÍÒËÒ÷èÕ¨Ð ä´ŒÃºÑ ¨Ò¡¡ÒÃÃºÑ »ÃзҹÍÒËÒù¹éÑ æ à¾Õ§ᤋ͋ҹ©ÅÒ¡áÅйíҢ͌ ÁÙÅÊÒÃÍÒËÒâͧÍÒËÒÃᵋÅÐ ตรวจสอบผล Evaluate Í‹ҧÁÒà»ÃÂÕ ºà·Õº¡¹Ñ àÅÍ× ¡ÍÒËÒ÷ÕÁè Õä¢Á¹Ñ ËÃ×Í¾Å§Ñ §Ò¹¹ŒÍ·èÊÕ ´Ø à·‹Ò¹¡Õé ªç ‹Ç¤Ǻ¤ÁØ ¹éíÒ˹ѡ áÅÐËÅÕ¡àÅèÕ§ÊÒÃÍÒËÒ÷ÕèäÁ‹µŒÍ§¡ÒÃä´Œ ઋ¹ ໚¹âÃ¤äµ «èÖ§µŒÍ§¤Çº¤ØÁ»ÃÔÁÒ³â«à´ÕÂÁ ËÃ×Í µÍŒ §¡ÒäǺ¤ØÁ¤ÍàÅÊàµÍÃÍÅà¾ÂÕ §á¤‹ÍÒ‹ ¹©ÅÒ¡¡Êç ÒÁÒöËÅ¡Õ àÅèÂÕ §äÁ«‹ Íé× ÍÒËÒ÷èÁÕ àÕ ¡ÅÍ× ¼ÊÁÍ‹٠㹻ÃÁÔ Ò³ÁÒ¡ÁÒºÃâÔ À¤ ¹ÑºÇ‹Ò໚¹»ÃÐ⪹¡Ñº¼Œ·Ù èãÕ Ê‹ã¨Ê¢Ø ÀÒ¾ ËÃ×ͼÙÊŒ §Ù ÇÂÑ ·Õ»è dž Â໚¹âäàÃÍé× Ã§Ñ «Öè§¡ÒÃ͋ҹ©ÅÒ¡à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§»ÃÔÁÒ³¾Åѧ§Ò¹áÅÐÊÒÃÍÒËÒ÷Õèä´ŒÃѺ ÊÒÁÒö͋ҹ䴌§‹ÒÂæ â´Â´Ù¨Ò¡©ÅÒ¡âÀª¹Ò¡Òà 1. นกั เรียนสามารถแบง ประเภทของส่อื ได 22 2. นกั เรียนยกตัวอยา งสือ่ ประเภทหนังสือ สอื่ เพื่อ กจิ กรรมสรา งเสรมิ การเผยแพร และสื่อเพ่ือการบรรจุภณั ฑ พรอม วิเคราะหองคป ระกอบของส่อื ได เกรด็ แนะครู ครผู ูสอนควรเพิม่ เติมความรูเ กี่ยวกบั วตั ถุประสงคใ นการเลือกอา นส่ิงพมิ พ นักเรยี นอา นและทบทวนความรเู รื่องส่ิงพมิ พเ พ่อื การบรรจภุ ัณฑ ประเภทตา งๆ โดยมีรายละเอียด ดังตอไปนี้ 1. การอา นเพอื่ หาความรู ไดแ ก การ จากนน้ั ยกตวั อยา งสิง่ พิมพเ พื่อการบรรจุภัณฑ ครูเรยี กถามทีละคน อา นงานประเภทตาํ ราทางวชิ าการ สารคดีทางวชิ าการ การวจิ ัย ฯลฯ ถาหนังสือที่ นกั เรียนบอกสิ่งพมิ พน ้นั พรอมอธิบายเหตุผลประกอบ มีสาระเดยี วกนั ควรอา นจากผเู ขียนหลายๆ คน เพ่อื เปน การตรวจสอบความถกู ตอง แมน ยําของเนื้อหา 2. การอานเพอื่ ความบนั เทิง ไดแ ก ประเภทสารคดที อ งเทย่ี ว กจิ กรรมทาทาย นวนิยาย เร่ืองสนั้ เร่ืองแปล ฯลฯ แมจะเปนการอา นเพอ่ื ความบนั เทงิ แตผ ูอานจะ ไดค วามรทู ีส่ อดแทรกอยใู นเรื่องดว ย 3. การอา นเพ่อื ทราบขา วสารความคิด ไดแ ก นักเรียนอานและทบทวนความรูเ ร่ืองสิ่งพิมพเ พ่อื การบรรจุภณั ฑ แลว ประเภทบทความ บทวจิ ารณ ขาว รายงานการประชุม ฯลฯ ขอควรระวงั ในการอา น จัดทําส่งิ พมิ พเพือ่ การบรรจุภณั ฑ โดยเลือกสง่ิ พิมพทน่ี ักเรียนประทบั ใจ งานเขยี นประเภทน้ี คอื ผูอ า นมกั เลือกอา นสอ่ื ที่สอดคลอ งกับความคดิ และความชอบ มาเปนตนแบบในการสรา งส่งิ พมิ พเ พื่อการบรรจภุ ัณฑข องนกั เรียน ของตน จึงทาํ ใหปด กั้นการรับรแู ละแนวคิดดา นอ่ืนๆ 4. การอา นเพือ่ จุดประสงค เฉพาะในการอานแตล ะคร้งั ไดแ ก การอานที่ไมไ ดเจาะจงแตเปน การอา นเปน ครัง้ คราวในเรื่องทตี่ นสนใจหรืออยากรู ครคู วรชแี้ นะใหนกั เรียนเห็นความสาํ คญั ของ การอาน และหมนั่ ฝก ทักษะการอานและการคดิ อยางสมาํ่ เสมอ 22 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. กเราื่อรงสอ้ัน1่าคนือสงาือ่ นเสขีย่งิ นพท่ีคิมล้าพยนว์ปนริยาะยเภแตท่มีขเนราดอ่ื สง้ันแสละัน้ ไม่ซับซ้อน เปลื้อง ณ นคร ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ (๒๕๑๔ : ๗๑) ใหค้ วามหมายวา่ “เรอ่ื งส้ัน หมายถงึ เรอื่ งซง่ึ บรรจคุ า� ประมาณ ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ค�า เป็นเรื่องทอ่ี ่านรวดเดียวจบในระยะเวลาไม่เกินสส่ี บิ นาที กระชบั และมพี ฤติการณส์ �าคญั อยา่ งเดยี ว • นักเรียนรูจกั สอ่ื สง่ิ พิมพป ระเภทเร่อื งสน้ั โดยเฉพาะ” หรอื ไม และเร่อื งส้ันมลี ักษณะอยา งไร พฤติกรรกมลขา่ อวงโดตยวั สลระุปครเตรอ้ ่ืองงมสุ่ง้ันไจปะสตู่จ้อุดงสมา� ีขคนญั า2ขดอสงัน้ เรโ่ือคงรง(cเรlimอ่ื งaงx่า)ย ใชต้ วั ละครน้อย การกระทา� และ ๑) องคป์ ระกอบของเรอ่ื งสน้ั • นกั เรยี นเคยอานเรือ่ งส้นั เรอื่ งอะไรบา ง ๑.๑) แนวคิดหรอื แกน่ ของเร่ือง แนวคิด คือ สาระสา� คัญของเรื่องทีเ่ ขยี นข้นึ เรอ่ื งสัน้ นักเรียนมีความคดิ เหน็ หรือมีความประทับใจ จะมีแนวคิดส�าคัญเพียงจุดเดียว และจะเป็นแก่นของเรื่อง การเสนอแนวคิดอาจบอกตรงๆ บอก ตอเร่ืองสั้นที่นักเรียนอา นหรอื ไม อยางไร ผ่านตัวละคร อยู่ท่ีช่ือเร่ือง หรืออาจจะต้องตีความเอง เม่ืออ่านเร่ืองส้ันจบแล้ว ความหมายท่ี ผู้อ่านสรุปได๑ค้ .๒อื แ) นโควครงดิ เขรอื่องงเ3 รค่ือืงอสนั้ กเารรือ่ ผงูกนเั้นค้าซโ่งึคเรรงือ่ ขงสอัน้งเทร่ีดื่อีตง้องกเ�าขหียนนดใหทผ้ ิศูอ้ ท่าานงเขขอ้าใงจเแรื่อกง่นเรวอื่ ่างจะให้ สาํ รวจคน หา Explore เหตกุ ารณเ์ กิดขึน้ อยา่ งไร และจบอยา่ งไร เพ่อื จะไดแ้ สดงจดุ มุ่งหมายของเรื่องอยา่ งเดน่ ชัด โดย ค�านงึ ถึงความนา่ ตดิ ตาม นักเรียนคน ควาขอ มลู เกย่ี วกบั ความหมาย ๑.๓) เนอ้ื เรื่อง คือ เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ อาจเป็นเพียงส่วนหน่ึงของชีวิต องคป ระกอบ และแนวทางในการอานเร่ืองสนั้ เปน็ เรอื่ งราวบางแง่มุมไม่ใชเ่ รือ่ งราวละเอยี ดทั้งชีวิตของตวั ละคร ๑.๔) ตัวละคร บทสนทนา ตัวละครหลักมีเพียง ๑-๒ ตวั ตัวละครอ่นื มีเท่าทจี่ า� เป็น อธบิ ายความรู Explain เท่านั้น ตัวละครและบทสนทนาจะเล่าเร่ือง แสดงพฤติกรรมในเหตุการณ์ท่ีสมเหตุสมผล บท สนทนาจะใช้เท่าทีจ่ �าเปน็ เพือ่ ท�าให้เน้ือเรอื่ งและตัวละครมชี ีวิตชวี า 1. นักเรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ๑.๕) ฉาก ผู้เขียนจะใชก้ ารบรรยาย หรือบอกผ่านบทสนทนา อาจเป็นฉากในชวี ติ จรงิ ตอไปน้ี หรอื เหนอื จรงิ แตจ่ ะไมบ่ รรยายอยา่ งชดั เจนเหมอื นนวนยิ าย ฉากแมจ้ ะมคี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม • นกั เรยี นคิดวา งานบนั เทิงคดปี ระเภท ของตัวละคร สอดคล้องกับโครงเร่ืองและแนวคิด หากผู้เขียนน�าเสนอฉากท่ีผู้อ่านไม่รู้จัก เช่น เร่อื งสัน้ มีความแตกตา งกับงานบันเทิงคดี ฉากในตา่ งประเทศจะต้องบรรยายละเอยี ดข้ึนเพ่อื ใหผ้ ู้อ่านสร้างจนิ ตนาการได้ ประเภทอน่ื หรือไมอ ยา งไร ๒) ชนิดของเรื่องสั้น ผู้อ่านเร่ืองสั้นสามารถเข้าใจเจตนาของผู้เขียนได้ ถ้าผู้อ่านทราบ (แนวตอบ มคี วามแตกตา งกัน เปน ตนวา ชนิดของเรื่องสั้น แบง่ เร่ืองส้ันได้ ๔ ชนดิ คอื ดา นขนาดของเรื่องมขี นาดสั้น โครงเร่ือง ๒.๑) ชนิดผูกเร่ือง เป็นเร่ืองส้ันท่ีมีการก�าหนดเค้าเร่ืองไว้อย่างซับซ้อน มีการผูก ไมซ บั ซอ น ตวั ละครนอ ย พฤตกิ รรมของ ปมเร่ืองให้เกดิ ความฉงนสนเท่ห์ บางครัง้ เนอื้ เรอื่ งก็ท�าใหผ้ ้อู า่ นเขวไปทางหนง่ึ แตพ่ อถึงตอนจบ ตวั ละครมงุ ไปสจู ดุ สุดยอด และนาํ เสนอ กลบั หกั มมุ เป็นการจบทีผ่ ู้อา่ นคาดไมถ่ งึ แกนเรือ่ งอยา งเดนชดั เพียงประเด็นเดยี ว) ๒.๒) ชนิดเพ่งแสดงลักษณะของตัวละคร เป็นเรื่องสั้นท่ีมุ่งแสดงให้เห็นบุคลิกภาพ • นักเรยี นคิดวา เรื่องส้ันท่ดี หี รอื เรอ่ื งส้นั ที่มี ของตัวละครเป็นหลัก เป็นการวาดภาพตัวละครเพื่อช้ีให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละคร ซ่ึงจะมี คณุ คาทางวรรณศลิ ป ควรมอี งคป ระกอบ ของเรอ่ื งเปนอยางไร นักเรียนอธบิ ายพรอม 23 ยกตวั อยา งประกอบ (แนวตอบ องคป ระกอบของเรอ่ื งมีความ สอดคลอ งกลมกลนื กนั ชว ยเนน ยํา้ แนวคิด ของเรอ่ื งใหม คี วามเดน ชดั กระชับสงผลตอ การดาํ เนนิ เร่ืองทมี่ ชี วี ติ ชวี า ทงั้ โครงเร่อื ง เนอ้ื หา ตัวละคร และฉาก) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ลักษณะสาระสาํ คัญของการเขยี นเร่อื งส้ัน จะมแี นวคิดสําคญั เพียงจดุ เดียว ทีส่ ําคัญท่ีสุดในเร่อื ง นําเสนอโดยบอกตรงๆ บอกผานตัวละครหรืออาจจะ 1 เรื่องสัน้ แปลจากคาํ ภาษาอังกฤษวา Short story เปน งานเขยี นเลา เร่ืองราวท่ี ตีความเอง เรื่องส้นั ทดี่ จี ะตอ งใหผูอา นตคี วามเอง มีขนาดสั้น โดยเขียนจาํ ลองสภาพชวี ิตของสังคมสว นหนึง่ สว นใด โดยมุงสรา งความ ขอ ความขา งตนเปน องคป ระกอบของเรือ่ งสน้ั ในขอ ใด บนั เทงิ ใจแกผอู า นเปน สําคัญ โดยเหตกุ ารณท เ่ี กิดขึ้นในเรื่องนําเสนอประเดน็ สาํ คญั 1. โครงเรื่อง 2. เน้อื เรือ่ ง อยา งใดอยางหนึ่งเปน หลักเพียงประเดน็ เดยี ว เหตุการณดงั กลาวจึงนําไปสูจุดสงู สดุ 3. ฉาก 4. แนวคดิ หรือแกน ของเรื่อง ของเรื่องเพียงหนึง่ เดียว 2 จุดสาํ คญั แปลจากคาํ ภาษาอังกฤษวา Climax เรอ่ื งความขดั แยง น้ันจะตอ ง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. แนวคิดหรอื แกน ของเรื่อง เพราะลักษณะ ขมวดปมหรือบีบใหตองมีการจัดการแกไ ขปญ หา หรอื เกดิ การแตกหกั เปน วิธกี าร เดินเรอ่ื งไปสจู ุดแตกหัก กอ นจะคลค่ี ลาย มกั อยตู อนทา ยของเรือ่ ง การดําเนินเร่ือง สําคัญของเรอ่ื งส้ัน คือ จะมเี พียงแนวคดิ เดียว นกั เขียนจะกาํ หนดแนวคิด หรือพฤติกรรมของตัวละครยอ มขึน้ อยูก ับตัวละครวา มีอุปสรรคใดเกิดขน้ึ กบั ตวั ละคร กอ นเปน ส่ิงแรก สว นผูอานจะรูแ นวคดิ ของเร่อื งไดนนั้ ตอ งอานจบเรื่องกอ น สว นใหญมกั จะมีเพยี งปมเดยี ว เมื่อตวั ละครสามารถคลคี่ ลายปญ หาได อนั เปน จดุ สาํ คญั ของเร่ือง เนอื้ เร่ืองก็จบลง ยกเวน เรอื่ งสนั้ ชนดิ ผูกปมอาจมีหลากหลายปม หรอื มหี ลายขอขดั แยง หรือหลายปญหา 3 โครงเรือ่ ง การลําดับเหตุการณในการดําเนินเรือ่ ง คมู ือครู 23

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นจบั คู จากนั้นครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู ความโดดเด่นเปน็ พิเศษ เชน่ เกร้ยี วกราด เมตตากรณุ า ฉลาดเกนิ คน มคี วามเชอื่ ในสิ่งใดสงิ่ หนึง่ รวมกันตอบคาํ ถามหนาชั้นเรยี นในประเดน็ อยา่ งฝงั ใจ เร่อื งสน้ั ท่แี สดงลกั ษณะตัวละครนีผ้ เู้ ขยี นสามารถส่อื สารเรือ่ งราวไดอ้ ยา่ งสมจริง และ ตอไปน้ี สอดคลอ้ งกบั ความรู้สกึ ทีต่ ้องการ • เรอ่ื งสน้ั แบง ออกเปน ก่ีชนดิ อะไรบาง ๒.๓) ชนิดถือฉากเป็นส่วนส�าคัญ เป็นเรื่องส้ันที่ผู้เขียนเน้นการพรรณนาฉาก โดยมี (แนวตอบ เร่อื งสน้ั แบง ออกเปน 4 ชนดิ ไดแ ก ตวั ละครเป็นส่วนประกอบทเ่ี กย่ี วโยงอยู่ในฉากนนั้ ผเู้ ขียนจะบรรยายฉากอย่างละเอยี ดจนผู้อ่าน 1. ชนดิ ผกู เรอ่ื ง กาํ หนดเคา เร่ืองไวอยาง สามารถเห็นภาพจากการอ่านได้ชัดเจน ซับซอน ๒.๔) ชนดิ แสดงแนวความคดิ เหน็ เปน็ เรอื่ งสนั้ แนวอดุ มคติทีต่ ้องการชี้ให้เห็นประเดน็1 2. ชนิดเพงลกั ษณะตัวละคร มงุ แสดงบุคลกิ ตัวละครเปนหลัก คกาวราวมพิ คาิดกใดษคส์ วงั าคมมคโดิดยหผน่าึ่งนทตี่ผวั ู้เลขะียคนร2ต้องการจะบอก หรือชี้ให้เห็นความเชื่อในสิ่งหน่ึงส่ิงใด รวมถึง 3. ชนดิ ถอื ฉากเปนสว นสาํ คญั เนนพรรณนา ๓) แนวทางในการอา่ นเรือ่ งสน้ั การอา่ นเรื่องสน้ั มีประเด็นท่คี วรสังเกต ดงั น้ี ฉาก ๑. พจิ ารณาชือ่ เรอ่ื ง และเนือ้ เรอ่ื งวา่ สอดคลอ้ งกนั หรอื ไม่ เพียงใด 4. ชนิดแสดงแนวความคดิ เหน็ นําเสนอ ๒. พิจารณารูปแบบการเขียนว่า ใช้แนวการเขียนแบบใด เช่น การเขียนโดยใช้ แนวคดิ เปนหลัก) เหตกุ ารณ์เปน็ หลัก หรอื ใช้ความรสู้ กึ ท่มี ีตอ่ สถานการณ์ท่เี กิดข้นึ หรือใช้สัญลักษณ์ ๓. วิเคราะหว์ จิ ารณล์ กั ษณะเด่นของเร่อื งสน้ั เช่น โครงเร่อื ง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา ใจ Expand ส�านวนภาษา วิธีด�าเนินเร่อื ง โดยอาจใชห้ ลกั เกณฑท์ ่ีกล่าวไว้แล้วมาประกอบการพจิ ารณา ๔. พิจารณาแก่นเร่ืองว่าคืออะไร ผู้เขียนสามารถสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจน 1. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ หรอื คลุมเครอื • หากผูอา นเขา ใจชนดิ ของเร่ืองสั้นจะกอ ให ๕. สรุปความคิดเห็นของผู้เขียนจากการอ่านเร่ืองที่เป็นผลงานของเขาหลายๆ เรื่อง เกิดประโยชนด า นใดบาง อยา งไร เชน่ ตอ้ งการพัฒนาสังคมให้ดีข้นึ ตอ้ งการชี้ใหเ้ ห็นความสา� คญั ของการศึกษา (แนวตอบ หากผูอานเขา ใจชนิดของเรอื่ งสั้น จะชวยใหผูอานสามารถทําความเขา ใจเจตนา ตวั อย่าง เรือ่ งสั้น ของผูแ ตง สง ผลตอการพิจารณาองคประกอบ ฉนั คอื ตน้ ไม้ ทนี่ าํ ไปสูความเขาใจแกนเรอ่ื งได) • นักเรียนคดิ วา องคประกอบของเรอื่ งสน้ั ฉันยืนต้นอยู่ในป่าลึก ล�าต้นของฉันสูงใหญ่เด่นอยู่ท่ามกลางหมู่พฤกษาท้ังหลาย นอกจาก ถอื เปนสวนสาํ คัญสําหรบั ใชเปน แนวทาง ภเู ขาเท่านนั้ ทีฉ่ ันด้อยกวา่ กงิ่ กา้ นใบของฉนั แน่นหนาและแผก่ ว้าง แสงอาทิตยไ์ ม่อาจสอ่ งลอดได้ ในการอา นเรือ่ งส้ันหรอื ไม อยา งไร เบ้ืองล่างจึงร่มรื่น ล�าธารน้อยๆ ไหลผ่านใกล้ล�าต้นฉันไป น้�าในล�าธารใสจนเห็นกรวดทราย (แนวตอบ องคประกอบของเรื่องสั้นถอื เปน ทอ้ งธารและปลาวา่ ยเวยี น ทกุ วนั จะมสี ตั วป์ า่ นานาชนดิ มากนิ นา�้ ทล่ี า� ธารสายน ้ี บางตวั พอกนิ เสรจ็ สว นสาํ คัญในการวเิ คราะหแ ละทาํ ความเขา ใจ จะอาศยั ใตร้ ่มใบของฉันนอนหลับอยา่ งเปน็ สุข เนอ้ื หาของเร่ืองสนั้ นํามาสูการวพิ ากษวิจารณ ฤดูน้�าหลาก น�้าจะเต็มล�าธารล้นตลิ่งมาถึงฉัน น�้าไหลแรงแต่ฉันก็มีรากหย่ังลึกลงไปในดิน ไดอ ยางชัดเจน) น้า� ไมอ่ าจพาฉนั เคล่ือนย้ายไปไหนได้ 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด 24 นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT โครงเร่ือง ตวั ละคร ฉาก บทสนทนาหรือสาํ นวนภาษา วิธดี าํ เนินเรื่อง 1 อดุ มคติ จินตนาการท่ีถือวาเปนมาตรฐานความดี ความงามและความจรงิ ใชเปน หลกั เกณฑป ระกอบการพจิ ารณา 2 การวพิ ากษสงั คมโดยผานตัวละคร มาจากคาํ วา วพิ ากษ หมายถึง การ ขอใดตรงกบั ขอความขา งตน พจิ ารณาตัดสนิ หรอื การประเมินเร่ืองใดเรื่องหนงึ่ โดยผูแตงมกั นาํ เสนอทัศนะของ 1. พิจารณาช่ือเรื่องสั้น ตนเองผานองคป ระกอบในการดําเนนิ เรอ่ื ง โดยเฉพาะองคประกอบสาํ คัญ คือ 2. พจิ ารณารปู แบบการเขียนเรอ่ื งส้ัน ตวั ละคร ซ่งึ เปน บคุ คลที่ผเู ขยี นสมมติข้ึนเพ่ือใหท าํ พฤติกรรมตามเหตกุ ารณในเร่อื ง 3. สรปุ ความคิดเหน็ ของผอู านเรอ่ื งสัน้ หรือเปนผทู ่ไี ดรบั ผลจากเหตุการณท่เี กดิ ขึน้ การสรา งตวั ละครมักคาํ นึงถึงการสรา ง 4. วเิ คราะหว ิจารณล ักษณะเดน ของเรือ่ งสน้ั ลักษณะนสิ ัยของตวั ละครใหมีความสมจรงิ เปน ตัวแทนของบคุ คลในสังคม ฉะนั้น วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. วเิ คราะหวิจารณลักษณะเดน ของเรอ่ื งส้ัน ผูแตง จึงนยิ มนาํ เสนอทัศนะของตนผานตวั ละคร ดวยการเลา เรือ่ งสะทอ นภาพความ องคประกอบของเรอ่ื งสั้น ไดแก โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา และวธิ ี เปน ไปของสังคมตลอดจนสภาพบา นเมืองในแงม มุ ตา งๆ ท้งั การเมืองการปกครอง ดําเนินเร่อื ง สามารถนาํ มาใชเปน หลกั เกณฑในการวเิ คราะหเรือ่ งสั้น ซึ่งผอู า น การดาํ เนินชวี ิต ความเปนอยูแ ละคานยิ มของคนในสังคมผานการกระทาํ และความ จะตอ งวเิ คราะหลกั ษณะเดน โดยพิจารณาจากองคป ระกอบขางตน คิดของตัวละคร เพราะตัวละครในเรื่องส้ันมกั ถูกจําลองหรอื สรา งข้ึนเพอ่ื เปนตัวแทน ในการเลาเร่อื ง ประสบเหตุการณและชะตากรรมตา งๆ การพิจารณาเหตุการณของ เร่ือง อารมณความรูสกึ ของตวั ละคร ยอมแฝงสาระสําคญั ดา นปรชั ญาไวอยา งลุมลึก 24 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ฉนั ไมร่ วู้ ่า ฉนั ยืนต้นอยู่นานเท่าไร แตเ่ ม่อื จ�าความได้ ฉันไดย้ นื อยู่ ณ ท่แี ห่งนแี้ ลว้ รอบด้าน นักเรียนนับ 1-7 เรียงลําดับตอไปเรื่อยๆ ให เปน็ ป่าโปร่ง ไกลออกไปเป็นเทือกเขาสลบั ซับซอ้ น นกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 7 กลุม ตามตวั เลข ยามเช้าอากาศหนาว เท่ียงแดดร้อน ลมพัดตลอดเวลา บางขณะลมแรง ใบและกิ่งของฉัน จากน้นั นักเรยี นศกึ ษาคนควาเรอ่ื งส้นั เรอื่ ง ฉนั คือ แกว่งไกวไม่หยุดหย่อน ฝนตกบ่อย ฉันชอบสายฝนเพราะฝนท�าให้ฉันสดช่ืนและได้ช�าระก่ิงใบ ตนไม ภายในระยะเวลา 10 นาที แบง ตามกลุมได ของฉนั ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ ดังนี้ ฉันออกลูกในหน้าฝน ลูกของฉันเป็นเม็ดเล็กๆ สีเหลืองเข้ม ดกเต็มต้น อีกา นกเอี้ยง นก ขุนทอง และนกอีกหลายชนิดจะมากินลูกของฉันเต็มไปหมด พวกมันจิกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย • กลมุ ที่ 1 เลา เร่ืองยอ ส่งเสียงร้องอ้ืออึง ตัวนี้อิ่มบินจากไป ตัวใหม่มาแทน กินก็กินไปเถิด ฉันไม่ว่าหรอก ฉันมีลูก • กลุมที่ 2 ช่ือเร่ือง เหลือเฟือให้เหล่านกกินไปนานเป็นเดือนทีเดียว หรือถ้านกไม่กิน พอถึงเวลาเม่ือลูกแก่จัดมันก็ • กลมุ ท่ี 3 รูปแบบการเขยี น จะหลดุ จากขัว้ ตกหลน่ ลงไปในลา� ธารไหลไปตามน�า้ เป็นอาหารของปลาเช่นกัน • กลุมท่ี 4 องคประกอบ นกนานาชนิดเหล่าน้ีท�าให้ฉันเพลิดเพลินเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ฉันจึงอยากออกลูกทั้งปี • กลุมที่ 5 แกนเรอื่ ง เพ่ือฉันจะไดอ้ ยูใ่ กล้พวกมัน ถา้ ฉนั จะไมช่ อบพวกมันอยู่บา้ งกต็ รงทน่ี กบางตัวกินแลว้ ชอบถ่ายรด • กลุมที่ 6 ความคิดเห็นของผูแตง กิง่ ใบของฉนั • กลุมท่ี 7 ชนดิ ของเรอื่ งสน้ั ฉันยืนตน้ อยู่อย่างสงบ ฉนั มีตน้ ไม้ สัตวป์ า่ สายลม และแสงแดดเป็นเพ่ือน มองไปทางไหน กง็ ามสดชน่ื ฉนั ชอบทีน่ ่ ี ฉันคงจะต้องอยู่ทน่ี ไี่ ปอีกนานแสนนานทเี ดียว อธบิ ายความรู Explain วันหนึ่งพรานป่ามายืนอยู่ใกล้ฉัน นายพรานมองไปที่ริมธาร ซ่ึงเป็นพ้ืนทรายและกรวดหิน เห็นรอยเท้าสัตว์มากมาย ต้ังแต่คืนน้ันนายพรานจึงปีนขึ้นท�าห้างบนต้นของฉันเพื่อคอยส่องยิง 1. นักเรยี นกลุมท่ี 1 นําเสนอเรอื่ งยอเรอื่ ง ฉันคอื สัตว์ ตนไม ดงั ตอไปน้ี คืนไหนเดือนหงาย ดวงจันทร์ข้ึนเต็มดวงเหนือเขาสูง ป่าสว่าง คืนไหนเดือนมืดจะมีดาว • นักเรยี นเลา เรอ่ื งยอ เตม็ ฟา้ (แนวตอบ เลาถึงเร่อื งราวของฉันซึง่ เปนตน ไม หลายคืนฉันได้ยินเสียงปืนดังแผดก้อง พร้อมกับสัตว์ท่ีถูกกระสุนปืนร้องลั่นก้องไปทั้งป่า ยืนตน ผา นวนั เวลาและความเปลี่ยนแปลง ฉนั ไมช่ อบเสยี งปนื และการกระท�าของพรานป่าเลย ฉนั ไมเ่ ขา้ ใจด้วยวา่ มนษุ ย์ทา� เชน่ น้นั เพ่ืออะไร ของส่ิงแวดลอ ม และเหตกุ ารณต า งๆ กัน ท�าไมต้องฆ่ากันด้วย ฉันสงสารสัตว์ป่าที่น่ารักเหล่าน้ันมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออะไร จนกลายเปนตน ไมศ ักดส์ิ ิทธิ์ กระท่งั ปจจบุ ัน พวกมนั ได ้ นอกจากยืนดูดว้ ยความอดทน ฉนั ก็ยังไมเขาใจการกระทําของมนษุ ย และ นายพรานมาที่นบี่ อ่ ยครง้ั บางคร้งั ก็มาคนเดยี ว บางครง้ั กม็ ากนั หลายคน ดูเขาสนกุ กบั การ ตอ งการหลกี หนีจากความเส่อื มโทรมของ กระท�าของเขา ต่อมาได้เปล่ียนหน้ากันเร่ือยๆ เป็นสัญญาณแจ้งเหตุว่าตรงน้ีก�าลังเร่ิมจะไม่สงบ สภาพแวดลอ มในปจ จุบนั ) เสียแลว้ นานจนกระทั่งไม่มีสัตว์จะยิง เหล่านักล่าสัตว์จึงหายไป ความสบายใจกลับมาหาฉันอีก 2. นักเรยี นกลุม ที่ 2 นําเสนอช่ือเรอ่ื ง ดงั ตอ ไปน้ี ครั้งหนึ่ง ระยะต่อมามีคนแปลกหน้าผ่านมาบ่อย ทุกครั้งที่ผ่านมาทางนี้พวกเขาจะแวะอาบน้�า • นักเรยี นคิดวา ชอ่ื เรอ่ื ง ฉันคือตนไม ในล�าธารและนอนพักผอ่ นท่ีใต้ต้นของฉันครงั้ ละนานๆ บางคณะถงึ กบั กางเต็นทค์ ้างคืนเลยกม็ ี มคี วามสอดคลอ งกับเนอ้ื หาหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ สอดคลองกันจากการเลาเรอื่ ง 25 ผา นฉัน นาํ เสนอสารสาํ คญั เกี่ยวกบั ความ เส่อื มโทรมของสภาพแวดลอมทางธรรมชาต)ิ 3. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู หลายคืนฉันไดย นิ เสยี งปน ปนดงั แผดกอง พรอ มกบั สตั วท่ถี ูกกระสนุ ปน รองล่นั กองปา ฉันไมช อบเสยี งปนและการกระทาํ ของพรานปา เลย ฉนั ไมเ ขาใจ ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการอา นเรอื่ งส้ันนนั้ ทกั ษะพ้นื ฐานท่นี กั เรียนทกุ คนควร ดว ยวามนุษยทาํ เชน นนั้ เพ่อื อะไรกัน ทาํ ไมตองฆากันดวย ฉันสงสารสัตวปาที่ มีนั่นคือ ทักษะการอา น โดยเฉพาะทักษะการอานเพ่อื เกบ็ เน้ือความและเหตุการณ นา รกั เหลา นนั้ แตฉนั ไมร ูวา จะชวยเหลือพวกมนั ได นอกจากยนื ดดู ว ยความ ในเรือ่ ง หรือทเี่ รยี กงา ยๆ วา การอานเอาเร่ือง การอา นเอาเรอื่ งเปน ทักษะการอาน อดทน ลักษณะหนง่ึ เมอ่ื ผูอ า นตอ งการทราบเรอ่ื งราวทผ่ี เู ขยี นไดม ีการนําเสนอไวในบท “ฉัน” ในขอ ความขางตน คอื ขอ ใด ประพันธ ในระหวางท่ีนกั เรียนกาํ ลังอานทาํ ความเขา ใจเน้ือหาอยูนั้น นักเรียนตอง 1. ตน ไม 2. สัตวปา คดิ ตดิ ตามเร่ืองราวใหม ีความตอ เนื่องกันไป จงึ สามารถเก็บเนอ้ื ความของเรอื่ งได 3. ดวงจันทร 4. นายพราน ตอเนื่องโดยตลอด เร่ืองท่ีอา นอาจเปนเรือ่ งราวเก่ียวกบั เหตุการณท ี่เกดิ ขน้ึ ในเร่อื ง ของตัวละครทีต่ องประสบกบั เหตุการณใ ดบางอยางไร โดยมหี ลักในการจดจําวา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. ตน ไม เพราะพจิ ารณาจาก “ฉนั ไมช อบเสยี ง ใคร ทาํ อะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยางไร ดว ยเหตผุ ลอะไร การกระทาํ ของตัวละครใน เรอ่ื งกอใหเกิดผลอยางไร การอานเอาเรื่องทไ่ี ดใจความครบถว นสมบรู ณ นอกจาก ปน และการกระทําของพรานปาเลย” “ฉนั สงสารสัตวป า” ดงั น้นั “ฉนั ” จงึ นักเรียนตองรเู ร่อื งและเขา ใจเนือ้ หาของเรอ่ื งโดยตลอดแลว นักเรยี นตอ งจดจํา ไมใชนายพรานและสตั วปา และ “ยืนดูดว ยความอดทน” ส่ิงที่จะยนื ได คือ เนือ้ หาทไ่ี ดจ ากการอา นดว ย ท้ังน้ี ทกั ษะการอานและการจดจาํ ยอมขึ้นอยูก ับทกั ษะ ตนไมไมใ ชดวงจนั ทร เฉพาะตัวของแตละคน และความพยายามในการฝกฝนทกั ษะอยางสม่าํ เสมอยอ ม พฒั นาศักยภาพของนกั เรยี นไดเปน อยา งดี คูมอื ครู 25

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นกลุม ที่ 3 นําเสนอรปู แบบการเขียน มีอยู่คณะหนึ่งค้างอยู่หลายคืน คนหนึ่งในคณะเอาธูปเทียนและดอกไม้ป่าสีขาวมากราบ ดงั ตอ ไปน้ี ไหว้ฉัน แลว้ ปักธปู ไวท้ ่โี คนตน้ เขาทา� เชน่ นีท้ กุ วนั จนก้านธปู ปักอยู่ก�าโต แล้วกจ็ ากไป • นักเรยี นคิดวา เรือ่ งสน้ั เรอ่ื ง ฉนั คือตนไม ต้ังแต่นั้นมาใครผ่านมาท่ีน่ีจะท�าตามอย่างบ้าง บางคนไม่ได้เตรียมธูปมาก็ยกมือเปล่าไหว้ มรี ปู แบบการเขยี น และกลวิธีการเลาเรื่อง ฉัน ฉันงงต่อการกระท�าของมนุษย์มาก สงสัยว่าเขากราบไหว้ฉันท�าไม ฉันกลายเป็นส่ิงที่ต้อง อยางไร เนน ประเด็นใดเปนพิเศษ กราบไหว้ไปแล้วหรือ ฉันรู้ตัวฉันดีว่าฉันเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาที่ยืนรอวันตายเหมือนสิ่งที่มีชีวิต (แนวตอบ รูปแบบการเขียนเนนการแสดงความ ทั้งหลาย รสู ึกทีม่ ตี อเหตกุ ารณเ ปนหลกั โดยเลาเรอื่ ง เปน็ อยูเ่ ช่นน้ีมานานมาก จนเป็นประเพณีว่าใครผา่ นมาปา่ น้ีจะตอ้ งมาบูชาฉนั ก่อน ผานตัวละครผเู ลา เรือ่ ง โดยใชสรรพนาม นานหลายปีต่อมา ล�าต้นของฉันแข็งแรงและบึกบึนยิ่งข้ึน พร้อมกันน้ันป่าเร่ิมไม่เป็นป่า มี บรุ ุษท่ี 1 ในการเลาเรื่อง จงึ สามารถถายทอด ชาวบ้านบกุ รุกมาสร้างบ้านและหักร้างถางพง ทา� ไรบ่ า้ ง เก็บของปา่ ขายบา้ ง จากครอบครัวเดยี ว ความรูสึกและเน้อื หาอยางชัดเจน) ทยอยเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ จนกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทุกครอบครัวนับถือฉัน สังเกตได้จากใครผ่านก็ ตอ้ งยกมอื ไหว ้ หรือบางคนจะเอาอาหารใสก่ ระทงเลก็ ๆ มาวางไวท้ ี่โคนต้นของฉนั เหมือนตั้งใจให้ 2. นักเรยี นกลุมท่ี 4 นาํ เสนอองคป ระกอบ ฉันกินอย่างนั้นแหละ โธ่...ฉันจะกินได้อย่างไร ปากของฉันก็คือรากท่ีหย่ังลึกลงไปในดิน ฉันกิน ดังตอ ไปน้ี ไดแ้ ตน่ า้� อยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั ทิ้งอาหารไวก้ เ็ ทา่ กบั ให้เป็นอาหารอันโอชะของสตั วอ์ น่ื ไป • นกั เรยี นคิดวา เร่ืองสนั้ เรอ่ื ง ฉนั คอื ตน ไม มี ก่อนเข้าพรรษาในปีหนึ่ง ชาวบ้านถึงกับแห่เป็นขบวนเอาผ้าแดงมาห่มให้ฉันใกล้โคนต้น องคป ระกอบของเร่อื งอยางไร สงผลตอการ พวกเขาช่วยกันตัดหญ้าท�าความสะอาด ขุดดินยกพ้ืนสูงไว้เป็นท่ีปักธูปเทียนและวางของ ดําเนินเรอื่ งที่มีความสมจริงหรือไม อยา งไร สกั การบชู า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอ ยาง ตั้งแต่น้ันมาได้เกิดเป็นธรรมเนียมทุกปีว่าจะต้องเอาผ้าแดงมาเปล่ียนให้ฉัน พวกชาวบ้าน หลากหลายขน้ึ อยูกับเหตผุ ลของนกั เรยี น โดย จัดทา� เป็นพธิ ีใหญโ่ ต เรม่ิ ตน้ ด้วยการแห่เปน็ ขบวนกลองยาว ตามดว้ ยผา้ แดงผืนยาว ซง่ึ พวกเขา นกั เรียนพจิ ารณาองคประกอบตางๆ อาทิ ชว่ ยกนั จับรมิ ผา้ ๒ ข้างแหม่ า ก่อนเอาผา้ แดงผนื เก่าออกเอาผืนใหมห่ ่มแทน ขบวนแหต่ ้องเดนิ โครงเร่อื ง ตวั ละคร ฉาก และภาษา วา มี รอบฉัน ๓ รอบ และผูเ้ ปน็ หัวหน้าจุดธูปบอกกลา่ วใหฉ้ นั ทราบก่อน ความสอดประสานกลมกลนื กันหรือไม มาก ฉันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านอย่างเต็มภาคภูมิไปเสียแล้วหรือนี่ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉัน นอยเพียงไร) ศกั ด์ิสิทธอ์ิ ย่างไร หรือฉันไดช้ ว่ ยใหใ้ ครโชคดีถกู หวยเบอรบ์ า้ ง ผ้คู นจึงนบั ถือฉันนัก มนุษยบ์ างครั้ง ท�าอะไร ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันเคยเห็นเครื่องบินบินผ่านไปบนฟ้า ฉันยกย่องปัญญาของมนุษย์ 3. นกั เรียนกลุมท่ี 5 นําเสนอแกนเรือ่ ง ดงั ตอ ไปนี้ ท่สี ามารถเหาะเหินเดนิ อากาศได ้ แต่ขณะเดยี วกนั ฉนั กง็ งไปหมดทีม่ ากราบไหวต้ น้ ไม้อย่างฉนั • นกั เรียนคิดวา เรอื่ งส้ันเรอ่ื ง ฉันคอื ตนไม โลกช่างเจริญเรว็ เหลอื เกนิ ช่ัวไมน่ านมนุษยเ์ ร่ิมมาอยู่ในปา่ มากขึน้ ถนนใหญเ่ ร่ิมตดั ผ่านมา มีแกน เรื่องอยา งไร ฉันเห็นการสร้างถนนของมนุษย์ทุกวัน เริ่มต้ังแต่การส�ารวจ ถางป่า และรถแทรกเตอร์ขนาด (แนวตอบ นาํ เสนอความเสื่อมโทรมของ ใหญ่กรยุ ทาง และดเู หมอื นวา่ แนวถนนจะตดั ผ่านมายังทที่ ่ฉี นั ยนื เสียดว้ ย ถ้าเปน็ เชน่ นน้ั จรงิ ฉนั ก็ ธรรมชาตทิ เี่ กิดจากการกระทาํ ของมนษุ ย) คงต้องถกู ตัดท้งิ เหมอื นตน้ ไม้นอ้ ยใหญ่ทีถ่ กู ตดั ทิ้งมาแล้ว ฉนั เรมิ่ วติ ก 4. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ 26 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บางคนเอาอาหารใสกระทงเล็กๆ มาวางไวทโ่ี คนตนของฉนั เหมอื นต้งั ใจให เกร็ดแนะครู ฉนั กนิ น้ันแหละ โธ. ..ฉันจะกนิ ไดอยา งไร ปากของฉันก็คอื รากทีห่ ยั่งลึกลงไป ในดนิ ฉันกินไดแ ตนํ้าอยา งเดียวเทานั้น ท้ิงอาหารไวก ็เทา กับใหเ ปน อาหารอนั ในการเรยี นการสอนเกีย่ วกับการอา นเรือ่ งส้ันนน้ั นอกจากครูจะใหนักเรียน โอชะของสัตวอ ่นื พจิ ารณารูปแบบงานเขยี นและองคประกอบของเรอื่ งส้ันแลว ครูผสู อนควรเพ่มิ เติม ขอใดคือความหมายของคาํ อทุ านในขอความขา งตน เนอื้ หาเก่ยี วกับการอา นพจิ ารณาคุณคาของเรือ่ งสน้ั ใหกับนักเรียนดว ย เพราะ 1. รสู กึ ตกใจ เร่ืองสน้ั ทดี่ ีนนั้ ตองแฝงแนวคดิ หรอื สะทอนสงั คมในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึงใหก บั 2. รูส กึ เหน็ ใจ ผอู าน สามารถพจิ ารณาคุณคา ของเรื่องสั้นในประเดน็ ตอไปนี้ 3. รูส ึกเสียดาย 4. รูสึกประหลาดใจ 1. คุณคา ทางอารมณ หมายถึง แรงบันดาลใจทเ่ี กิดขนึ้ จากผปู ระพนั ธ แลว วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. รูสึกเสียดาย การใชคําอทุ านวา “โธ” ปกติ ถา ยโยงมายังผูอา น ซึ่งผอู านจะตคี วามวรรณกรรมนั้นๆ ออกมา ซงึ่ อาจจะ มักใชเ พื่อแสดงความรูส กึ อนาถใจ สงสาร หรือเสยี ดาย ซง่ึ ขอความนีบ้ ง บอก ตรงหรอื คลายกบั ผปู ระพนั ธก ไ็ ด ความเสยี ดายของตนไมตออาหารในกระทงทมี่ นุษยนํามาต้งั ใหก นิ แตต น ไม ไมส ามารถกนิ ได 2. คุณคา ทางปญญา มีความรูส อดแทรกทง้ั ทางดานวทิ ยาการ ความรรู อบตวั ความรูเทาทันคน ความเห็นอกเห็นใจตอเพ่อื นมนุษยด วยกัน 3. คณุ คา ทางศลี ธรรม เม่อื อา นแลว ตองไดข อ คดิ เตอื นใจ 4. คุณคา ทางสงั คม เพราะงานเขียนมักสอดแทรกสภาพบา นเมืองและ สภาพสงั คมในยคุ สมยั ของผเู ขียน 26 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู หลังจากนัน้ มีมนษุ ย ์ ๒ คน แบกขวานคมกรบิ และเล่ือยมาพิงไว้ท่ีโคนตน้ เพ่อื เตรยี มจะตัด 1. นกั เรยี นกลุมท่ี 6 นาํ เสนอความคิดเหน็ ของ ฉันทิ้ง ต้นไม้อย่างฉันยืนทนแดดทนฝนมานานปี เวลาถึงคราวตายก็ตายเอาง่ายๆ เหลือเกิน ผแู ตง ดังตอ ไปนี้ นกั ตดั ตน้ ไมท้ งั้ ๒ เรม่ิ จดุ ธปู เทยี นไหวฉ้ นั ปากของเขาขมบุ ขมบิ ดซู ิ จะฆา่ ฟนั ฉนั แลว้ ยงั มาไหวฉ้ นั อกี • นักเรยี นคดิ วา ผูแตง มีความคิดเหน็ อยา งไร จะมปี ระโยชนอ์ นั ใดเลา่ ฉนั นน้ั เตรยี มตวั ลม้ ทง้ั ยนื ตงั้ แตว่ นิ าทแี รกทเี่ หน็ ขวานในมอื ของคนทง้ั สอง (แนวตอบ ตอ งการชี้ใหเห็นความเสือ่ มโทรม ไม่ทันที่ขวานอันคมกริบจะถากผิวเนื้อฉัน ทันใดนั้นฉันได้ยินเสียงของชาวบ้านจ�านวนมาก ของธรรมชาติ ซึง่ เกดิ จากการกระทาํ ของ เดนิ แหเ่ ปน็ ขบวนเขา้ มา หลายคนในขบวนตะโกนเสยี งดัง ฉันฟังไมร่ ูห้ รอกวา่ ตะโกนวา่ อะไรบ้าง มนุษย) แตท่ �าให้ชายท่ีกา� ลังจบั ขวานหยุดชะงกั ได ้ เสยี งมนุษยค์ ุยกนั จอแจแล้วก็ชวนกันกลับเลกิ ใชข้ วาน ท่ีจะฟาดฉันอีกต่อไป ฉันรอดตายอย่างหวุดหวิด ถ้าชาวบ้านมาช้าไปสักนิดฉันคงต้องล้มไป 2. นกั เรยี นกลุมที่ 7 นาํ เสนอชนดิ ของเรือ่ งส้นั ท้ังยนื อยูต่ รงนัน้ แต่ถงึ อย่างไรฉนั กไ็ มแ่ นใ่ จวา่ มนษุ ย์จะไม่หวนกลับมาทา� ร้ายฉันอกี ดังตอไปนี้ พระอาทิตย์โผล่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้วก็ตกลับชายฝั่งนี้ จากวันเป็นเดือนทุกอย่างหายเงียบไป • นกั เรียนคิดวา ชนดิ ของเร่อื งสน้ั ในเร่ือง ฉนั พักหน่ึง ฉันรอชะตากรรมอยู่นาน ไม่รู้ว่ามนุษย์จะท�าอย่างไรกับฉันแน่ ชาวบ้านก็ยังมากราบ คือตนไม มลี ักษณะอยา งไร สงผลตอ คณุ คา ไหว้ฉันไมข่ าด ของเร่ืองหรือไม อยางไร ชายแต่งกายชุดสีกากีมีขีดสีเหลืองบนบ่ามาดูถนนบ่อยคร้ัง ให้คนงานกางแผนที่ออก (แนวตอบ เร่อื งสัน้ ชนิดแสดงแนวความคดิ เหน็ ส่องกล้อง ดงึ เทปวัด ทกุ คนท่ีมาจะยืนอยู่ใต้ต้นของฉัน บางคนจะดูฉันอย่างหม่ินๆ และไม่ยอม ช้ีใหเ หน็ ความสาํ คญั ของส่งิ แวดลอม และ ยกมอื ไหว้ฉนั เหมอื นคนอน่ื ๆ ฉันว่าเขาคิดถูกแลว้ ที่ทา� เชน่ น้ัน วิพากษปญหาสง่ิ แวดลอ มวาเกดิ จากการ ฉันคงเป็นต้นไม้ท่ีศักด์ิสิทธิ์จริงๆ เพราะปรากฏว่าพวกช่างได้ท�าถนนเบ่ียงหลบฉันออกไป กระทําของมนษุ ย) เลก็ นอ้ ยเพยี งให้ล�าต้นของฉันพ้นแนวถนนเทา่ นนั้ ฉนั จึงมีสทิ ธิ์ยืนอยทู่ ่ีเดิมอยา่ งสง่าได้อกี ต่อไป จากสภาพป่ากลายเป็นถนนลูกรัง คนงานท�างานกันฝุ่นคลุ้ง เสียงเครื่องยนต์ดัง ถนน 3. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ลาดยางราบเรยี บและทา� สะพานคอนกรตี ข้ามล�าธารอยา่ งดี ฉนั เห็นการกระทา� ของมนษุ ย์ทกุ วนั จนกระท่ังถนนเปิดให้เดินรถได้ เสียงรบกวนกลับย่ิงรุนแรงขึ้นอีก บนถนนมีรถแล่นไม่ขาด ระยะ บางคันแล่นเร็วมากผ่านฉันไปเหมือนต้องการให้ถึงจุดหมายในวินาทีน้ัน บางคันแล่น ช้าเพราะหนักด้วยสิ่งท่ีบรรทุกมาเต็ม แทบทุกคันเวลาผ่านฉันไปถ้าไม่กดแตรดังก็จะจอดรถ เอาพวงมาลยั ดอกมะลบิ า้ ง ดอกพลาสติกบ้างมาบชู าฉัน จากเร่ิมต้นจนบัดน้ี ฉันยังไม่เข้าใจการกระท�าของมนุษย์เลย ฉันเบ่ือ ฉันร�าคาญต่อ สง่ิ แวดลอ้ มทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม ่ มองลงไปในลา� ธารนา้� กไ็ มใ่ สสะอาดเหมอื นกอ่ น ฝนุ่ กม็ าก ใบและกงิ่ กา้ น ของฉนั สกปรกไปดว้ ยฝ่นุ ละอองทัง้ วัน ฉันนกึ ถึงอดีตครัง้ ฉันยนื อยใู่ นปา่ ลกึ นึกถึงความสงบเงียบ ในปา่ เสยี งน�า้ ไหล นกรอ้ ง ต่อไปน้ีฉันคงไมม่ ีวนั ได้พบมนั อีกแลว้ นอกจากความว่นุ วายตา่ งๆ ที่ มนษุ ยม์ อบใหแ้ กฉ่ นั ถงึ เวลานฉ้ี นั จึงอยากมตี นี เหลือเกนิ เพื่อฉันจะได้เดนิ หนไี ปจากตรงนี้ (ฉันคือตน้ ไม ้ : ไมตรี ลิมปชิ าต)ิ 27 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ทรรศนะของผแู ตง ครูควรเพมิ่ เติมความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกับประเภทของตวั ละคร โดยตัวละคร ผกู ลา วขอความตอ ไปนเ้ี นนเรื่องใดเปนสาํ คญั สามารถแบง ตามลําดบั ความสาํ คัญในการดําเนินเรอ่ื งได 2 ระดบั คอื ตวั ละครเอก ขอใหพวกเรามคี วามเขมแข็งท่จี ะกระทาํ เรื่องท่ีสมควรกระทํา มคี วาม และตัวประกอบ ความสาํ คัญของตัวละครจะมคี วามแตกตางกนั ข้ึนอยกู บั บทบาท ของตัวละครท่ีมผี ลตอ การดาํ เนนิ เรอ่ื ง นอกจากนี้ ในการพิจารณาความสมจริง อดทนและเขา ใจเรื่องทีเ่ ราไมส ามารถเปลยี่ นแปลงได และมคี วามฉลาดพอที่ ของตัวละครที่สง ผลตอบทบาทในการดําเนนิ เรอื่ ง สามารถแบงตัวละครไดเ ปน 2 จะแยกแยะไดวา เรือ่ งใดเราจะทาํ ได หรือเรื่องใดเหนอื ความสามารถท่ีเราจะ ประเภท คอื ตัวละครทม่ี มี ิติเดยี ว ซึ่งเปนตัวละครที่มลี กั ษณะนิสัยเดยี วกัน โดยไมม ี เปลย่ี นแปลงได ความเปล่ยี นแปลงดา นลกั ษณะนสิ ยั ตลอดทั้งเรือ่ ง และตัวละครประเภทหลายมติ ิ ซงึ่ มีความเปลีย่ นแปลงของบุคลิกภาพตามเหตุการณและส่ิงแวดลอม 1. พลังและความสามารถ 2. ความมงุ มน่ั และสตปิ ญญา 3. เรือ่ งทีค่ วรกระทาํ และไมควรกระทํา 4. เรอื่ งที่เปลีย่ นแปลงไดแ ละเปลี่ยนแปลงไมไ ด วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ความมงุ ม่ันและสติปญ ญา ผแู ตง กลาวถึง ความมงุ มนั่ วาใหมคี วามเขม แข็งและอดทน สวนดา นสตปิ ญ ญา คอื สามารถ แยกแยะไดว า เรอื่ งใดทาํ ไดเ รอื่ งใดทําไมไ ด คมู ือครู 27

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage Expand Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ 1. นักเรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ตวั อยา่ ง การวเิ คราะห์เรอื่ งสัน้ • นกั เรียนคิดวา องคป ระกอบของเรื่องส้ัน ฉนั คือตน้ ไม้ เรื่อง ฉันคือตนไม มีความสมบูรณดา น วรรณศิลปอยางไร เรื่องสั้น “ฉันคือต้นไม้” ของไมตรี ลิมปิชาติ เป็นเรื่องท่ีเน้นให้เยาวชนไทยตระหนัก • นกั เรียนสามารถนําขอคดิ ทไ่ี ดจ ากเรื่องสน้ั ในคุณค่าและความส�าคัญของสิ่งแวดล้อม โดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านตัวละคร “ต้นไม้” เป็น เร่อื ง ฉันคือตนไม มาประยกุ ตใชในชีวิต ตัวละครเอก ซึ่งช่ือเรื่องและเนื้อหาภายในเร่ืองมีความสอดคล้องกัน ท�าให้ผู้อ่านเห็นภาพของ ประจําวันไดอยางไร ตน้ ไม้ทมี่ ชี ิวี ิต จิตใจ ความรสู้ กึ โครงเร่ือง เป็นเร่ืองของ “ฉัน” คือ ต้นไม้ที่บอกเล่าความสุขของตนเองท่ีอยู่ในป่าลึก 2. นกั เรยี นแตล ะกลมุ ศกึ ษาเร่อื งสัน้ ทนี่ ักเรียน ตอ่ มาความวุน่ วายก็เกดิ ขนึ้ เพราะความเจริญ ถนนทกี่ �าลังจะตดั ผ่านป่าแห่งนีท้ �าใหต้ ้องตดั ต้นไม้ ประทบั ใจ พรอ มวเิ คราะหอ งคประกอบของ ออกไป ซงึ่ ผเู้ ขยี นไดส้ อดแทรกความเชอ่ื ของคนไทยเกย่ี วกบั ตน้ ไมใ้ หญท่ ท่ี า� ให ้ “ฉนั ” ไมถ่ กู ทา� ลาย เรื่องสัน้ ตามแนวทางที่ไดเ รยี นมา จากน้นั แตผ่ ู้เขยี นก็ทง้ิ ประเดน็ ไว้ใหผ้ อู้ ่านขบคดิ วา่ ตน้ ไมจ้ ะมีความสุขจริงหรือไม ่ บันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เนื้อเร่ืองเร่ิมต้นโดย “ฉัน” ซึ่งเป็นต้นไม้เล่าเร่ืองราวของตนเองที่อยู่ในป่าอย่างมีความสุข แต่เม่ือความเจริญเดินทางมาถึง ต้นไม้ท้ังหมดก็ต้องหลีกทาง มนุษย์เลือกความเจริญมากกว่า ตรวจสอบผล Evaluate ธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามค่านิยม ความเช่ือของมนุษย์ซึ่งเกิดจากความกลัว ว่าถ้าท�าลาย ตน้ ไมใ้ หญจ่ ะมสี ิ่งไม่ดเี กิดข้นึ ท�าให้ “ฉัน” ไม่ถูกทา� ลาย 1. นักเรียนสามารถวิเคราะหเร่ืองส้นั ได ผู้แต่งก�าหนดให้ “ฉัน” เป็นตัวละครเอก และมีตัวละครเพียงตัวเดียว เป็นศูนย์กลางของ 2. นักเรยี นสามารถยกตัวอยา งเรือ่ งสน้ั ได เรื่องทั้งหมด เล่าเรื่องตามล�าดับเวลา เหตุการณ์ก่อน-หลัง มุ่งถ่ายทอดภาพชีวิต ความคิด ความรสู้ กึ ของตน้ ไมท้ เ่ี ฝา้ มองการกระทา� ของมนษุ ยท์ ไ่ี มว่ า่ จะตดั ตน้ ไม ้ หรอื ทา� ลายอยา่ งไรกไ็ มอ่ าจ หลีกหนไี ด้ มนษุ ย์ท�าราวกบั วา่ เปน็ เจา้ ของธรรมชาติ เรอ่ื ง “ฉนั คอื ตน้ ไม”้ มฉี ากทน่ี า่ สนใจคอื “ปา่ ลกึ ” ซงึ่ เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ของ “ฉนั ” กบั เพอ่ื นสตั ว์ ตา่ งๆ ทอ่ี ยกู่ นั แบบถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั ผเู้ ขยี นใชถ้ อ้ ยคา� ไมซ่ บั ซอ้ น กระชบั ใหภ้ าพชดั เจน แมจ้ ะไมม่ ี บทสนทนา แต่การบรรยายฉาก ท�าใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ วา่ “ฉัน” กา� ลงั สนทนากบั ผอู้ า่ น จากโครงเร่ืองที่ผู้เขียนวางไว้อย่างเหมาะสม คือ ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นเร่ืองที่มุ่งสื่อสาร แนวคิดกับเยาวชน ผ่านการใช้ภาษาที่เรียบง่าย กระชับ ให้ภาพชัดเจน ท�าให้เกิดความรู้สึก เขา้ ใจ เห็นใจ “ฉัน” จากทีเ่ คยอยอู่ ย่างมีความสขุ ในป่าลกึ เม่อื ความเจริญเข้ามาแลว้ มนษุ ยเ์ ลือก ความเจรญิ ท�าใหต้ ้นไมบ้ างส่วนถกู ท�าลาย เหลอื เพียง “ฉัน” ท่ียงั ยืนตน้ อยดู่ ้วยความเชอ่ื ค่านยิ ม ของมนุษย์ เมื่อวิเคราะห์โดยมองในมุมของต้นไม้ ความเช่ือน้ีอาจไม่ได้สร้างความสุขให้แก่ ต้นไม้เลย เพราะถ้าต้นไมม้ อี วยั วะที่ใชเ้ ดินได ้ ต้นไมก้ ็คงจะเดินหนไี ปเสยี จากตรงน้ี สิง่ ท่ไี ดร้ ับจาก การอา่ นเรอื่ งสนั้ น ้ี คอื มนษุ ยไ์ มค่ วรคดิ วา่ ตนเปน็ เจา้ ของทกุ สรรพสงิ่ ไมค่ วรมองเฉพาะผลประโยชน์ ของตน แต่จะต้องอยู่ร่วมกับทุกสรรพส่ิงแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เหมือนท่ีธรรมชาติอยู่ร่วมกัน เพราะธรรมชาตไิ มเ่ คยท�ารา้ ยมนุษย์ 28 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ฉนั ยงั ไมเขาใจการกระทาํ ของมนุษยเลย ฉนั เบ่อื ฉนั รําคาญตอ ส่ิงแวดลอม ครคู วรสอดแทรกเรื่องเลา และเกร็ดความเชื่อทีป่ รากฏในเร่ืองสัน้ ใหแกผ ูเรียน เชน ที่เกดิ ขนึ้ ใหม มองลงไปในลําธารนํา้ ก็ไมใสสะอาดเหมือนกอน ฝุนก็มาก ใบ การหม ผาแดงใหก บั ตน ไมน้นั เปนประเพณกี ารหม ผา แดงมีทีม่ าตัง้ แตส มยั พทุ ธกาล และกงิ่ กา นของฉนั สกปรกไปดว ยฝุนละอองทง้ั วนั เลา กนั วา หลังจากท่พี ระพุทธเจา ตรสั รูไ ด 3 พรรษา กไ็ ดเ กิดความเดือดรอ นวุนวาย ขอใดคอื ประโยคใจความสําคญั ของขอความขา งตน เกดิ ภยั พบิ ัติตางๆ ข้นึ ท่ีเมืองเวสาลี โจรผรู า ยเขนฆา ชาวเมือง ผูคนลมตายไปเปน 1. ฉนั ราํ คาญตอส่ิงแวดลอ มทเ่ี กดิ ขึ้นใหม จาํ นวนมาก แตเมอ่ื พระพทุ ธเจา เสด็จไปโปรด ความเดอื ดรอ นเหลาน้ันกห็ มดส้นิ ไป 2. ฉันยงั ไมเ ขา ใจการกระทําของมนษุ ยเ ลย ชาวบานชาวเมืองตา งก็สรรเสรญิ พระองคเ ปนการใหญ แตพระองคตรัสวา ท่เี ปน เชน นี้ 3. มองลงไปในลาํ ธารนาํ้ ก็ไมใสสะอาดเหมือนกอ น มิใชค วามอัศจรรย แตเปน เพราะอานุภาพแหง บุญบารมีท่พี ระองคเคยเอาผา ประดบั 4. ใบและกงิ่ กา นของฉันสกปรกไปดว ยฝุนละอองทั้งวนั บชู าเจดียในอดีตชาติ ความเช่ือน้จี งึ สืบทอดมาถงึ ปจจุบนั พุทธศาสนกิ ชนจงึ นาํ เอา วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ฉนั ยงั ไมเ ขา ใจการกระทําของมนษุ ยเ ลย ผืนผาสีแดงมาหมคลุมใหองคพ ระเจดีย โดยหวังใหชีวิตในชาติหนาของตัวเองมคี วาม เปนประโยคใจความสาํ คญั ของขอความขางตน สว นขอ อน่ื ๆ เปนสว นขยาย สงบรมเย็น การหมผาแดงใหตน ไมท เ่ี คารพจงึ ใชว ธิ กี ารหมผาแดงเปน การเลยี นแบบ ของประโยคทวี่ า ฉนั ยังไมเ ขา ใจการกระทําของมนุษย มาจากการหมผาองคเ จดยี  28 คมู ือครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การอา่ นสอ่ื ส่งิ พมิ พ์ประเภทนวนยิ าย ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปนี้ • นกั เรยี นเคยอานนวนิยายเรือ่ งใดบาง และ นวนิยายแปลตามศัพท์ว่า “นิยายใหม่” มาจากค�าว่า novel เป็นงานเขียนร้อยแก้วท่ีให้ ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน มีคนให้ค�าจ�ากัดความของนวนิยายไว้ต่างๆ กัน แต่ที่ชัดเจนและง่ายที่สุด นักเรียนประทับใจนวนิยายเรอ่ื งใดมากทสี่ ดุ คือ ม.ล. บุญเหลอื เทพยสวุ รรณ ไดอ้ ธบิ ายไวอ้ ยา่ งสัน้ ๆ ว่า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง “ธรรมชาติของนวนิยายน้ัน อย่างที่หน่ึงคือเป็นเรื่องแต่ง มีตัวละคร มักใช้กลวิธีท่ีท�าให ้ หลากหลายขนึ้ อยกู บั ประสบการณ ผู้อ่านแลเห็นได้ง่ายว่าไม่ใช่เร่ืองจริง เป็นเรื่องสมมติ แม้จะแต่งเร่ืองของบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงๆ ของนกั เรยี น) ก็จะท�าให้คนอ่านรู้ว่าไม่ได้เขียนเรื่องจริง แต่วิธีเจรจาของตัวละครในเรื่องจะเลียนแบบชีวิตจริง • นักเรยี นคิดวา นวนยิ ายกบั เรือ่ งสัน้ มคี วาม มากท่ีสุด วิธีเจรจาหรือการสนทนาของตัวละครนิยมให้เป็นไปตามฐานะ ตามวัย และพยายาม เหมอื นและความแตกตา งกนั หรือไม อยางไร วาดภาพให้เห็นอาการกิรยิ าของตวั ละครใหช้ ัด ซึ่งเปน็ สว่ นหนึง่ ในการช่วยดา� เนนิ เรอ่ื ง” (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอ ยา ง ๑) องคป์ ระกอบของนวนยิ าย นวนยิ ายเปน็ เรอื่ งเลา่ รอ้ ยแกว้ ทย่ี ดึ หลกั ความจรงิ กลา่ วคอื หลากหลายขึน้ อยูกบั เหตผุ ลของนักเรยี น) เขียนให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเท่าท่ีจะสามารถท�าได้ แต่ไม่ได้พยายามแสดงให้เห็นว่าเป็น เรื่องท่ีเกิดขึ้นจริงเป็นเพียงเร่ืองแต่งข้ึนเท่าน้ัน องค์ประกอบส�าคัญของนวนิยายท่ีจะท�าให้ผู้อ่าน สาํ รวจคน หา Explore เกดิ ความบนั เทงิ มดี งั นี้ ๑.๑) โครงเรื่อง เป็นเค้าโครงของพฤติกรรมต่างๆ นวนิยายแต่ละเรื่องจะมีโครงเรื่อง นกั เรยี นสืบคนความหมาย องคป ระกอบของ ใหญ่และโครงเรื่องย่อย โครงเรื่องใหญ่ หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวพันกับปัญหาความขัดแย้งท่ีส�าคัญ นวนิยาย และแนวทางการอา นนวนยิ าย ของตัวละครเอก โครงเรื่องย่อย คอื เร่อื งท่ีแทรกอยู่ในโครงเรอ่ื งใหญ่ มคี วามส�าคญั นอ้ ย แต่เสริม ให้เรื่องสนุกสนานขึ้น ในโครงเร่ืองจะมีส่วนประกอบที่ส�าคัญอยู่ ๒ ประการ คือ พฤติกรรมท่ี อธบิ ายความรู Explain เป็นการกระท�าของตัวละครในเรื่องและความขัดแย้งในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ความขัดแย้ง ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนภายใน 1. นกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน พรอม ตนเอง เปน็ ตน้ รวมกันแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ จากประเด็น ๑.๒) แก่นเรื่องหรือความคิดหลัก คือ จุดส�าคัญของเรื่องท่ีจะเช่ือมโยงเรื่องท้ังหมด คาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี เข้าด้วยกัน เพื่อส่ือความคิดของผู้แต่ง แก่นเรื่องมีหลายแนวทาง เช่น แนวแสดงทรรศนะ • นกั เรยี นบอกความหมายของนวนิยาย เป็นแนวท่ีผู้เขียนเสนอความคิดเห็นต่อส่ิงหนึ่งส่ิงใด เช่น ความแค้น ความหึงหวง ความกลัว พรอ มเปรยี บเทยี บวา นวนยิ ายและเร่อื งสั้น แนวแสดงพฤติกรรม เป็นแนวท่ีผู้เขียนเน้นพฤติกรรมของตัวละคร เช่น พฤติกรรมตอบแทน มีลักษณะรว มและลกั ษณะเฉพาะอยางไร บุญคณุ ตลอดทั้งเรอื่ ง (แนวตอบ นวนยิ าย หมายถึง งานบันเทิงคดี ๑.๓) ตัวละคร คือ ผู้ท่ีมีบทบาทในเร่ือง จะต้องเหมือนมนุษย์หรือเทียบเท่า มีชีวิต ประเภทหน่งึ มลี กั ษณะเปน เร่อื งเลา รอยแกว จิตใจ แสดงอารมณ์ บทบาท ค�าพูด และมปี ฏิกริ ิยาเช่นคนจรงิ ๆ พฤติกรรมทต่ี วั ละครแสดงออก ทย่ี ดึ ความสมจรงิ ของเรอื่ งเปน เกณฑ ต้องน่าเชอื่ ถือ พิจารณา ซง่ึ ถอื เปนลกั ษณะรวมกบั เรื่องสั้น สวนลกั ษณะเฉพาะทม่ี ีความแตกตา งจาก 29 เรอื่ งส้นั คือ นวนยิ ายมีขนาดยาวกวา เร่ืองส้ัน สงผลใหม ีองคป ระกอบทม่ี คี วาม ซับซอนมากกวา เรือ่ งสั้น) 2. ครูสุม นกั เรียนแตล ะกลุมออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรยี น ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับแนวคิดที่ไดจ ากการอา น ครูผูสอนควรเพ่มิ เตมิ และใหรายละเอยี ดเรอื่ งการสรา งปมขดั แยงของตัวละคร ขอใดเปนแนวคิดของขอความตอ ไปนี้ ความขดั แยง เปนองคป ระกอบสําคัญของโครงเรื่อง เพราะความขดั แยงเปน เหตุสาํ คัญ ไมส าํ คญั หรอกวาชวี ิตน้เี คยลม หรอื ไมเ คยลม แตอ ยทู ่วี าสามารถลุกขน้ึ ท่ีทําใหเ กิดเหตกุ ารณต างๆ ขึ้น นวนยิ าย เรื่องสนั้ รวมถึงบทละครทไี่ มม ีความขัดแยง ถอื เปนงานเขยี นท่ีไมมโี ครงเรอื่ ง การเขยี นหรือแตง บทประพนั ธประเภทน้จี ึงกําหนด ไดทุกครง้ั ทลี่ ม หรอื ไม บางคนเพราะลมจงึ ไดรขู อ ผดิ พลาด แลว นาํ จุดที่เคย ใหม คี วามขดั แยง เกิดขน้ึ เสมอ ย่งิ ความขดั แยง มคี วามซับซอ น จะยงิ่ ทําใหการดาํ เนนิ พลาดพลงั้ นน้ั มาทาํ กําไรใหชีวิตในอนาคต จนลุกขึ้นยนื ไดอีกคร้งั เรอ่ื งมคี วามนาสนใจมากยง่ิ ขึน้ ความขดั แยงที่เปนสว นประกอบของโครงเรอ่ื งจะมี 4 ประเภท มอี งคป ระกอบ ดงั ตอ ไปนี้ 1. ความขดั แยง ระหวางมนษุ ยก ับธรรมชาติ ความ 1. ทุกคนลวนแตเคยสมหวังและผิดหวังในชวี ิตมาแลว ขัดแยง ลกั ษณะน้เี ปนการกาํ หนดใหต ัวละครตองตอสูก ับธรรมชาติ หรือความขัดแยง 2. การยอมแพอ ปุ สรรคยอ มไมกอใหเกดิ ประโยชนอ ะไร ระหวางมนุษยก บั โชคชะตา อาจมที ้งั ดา นดแี ละดานราย 2. ความขดั แยง ระหวางมนษุ ย 3. การนําขอผิดพลาดมาเปนบทเรียนทาํ ใหช ีวิตประสบความสําเร็จได กับสงั คมท่ีมนุษยอ าศยั อยู 3. ความขัดแยงระหวา งมนษุ ยก บั มนุษย คอื ความขัดแยง 4. การฟน ฟูกจิ การที่ลมเหลวใหไดก าํ ไรไมใ ชเ ร่ืองเหลือวสิ ัยทจี่ ะกระทํา ระหวางตัวละครกบั ตวั ละคร 4. ความขดั แยง ระหวา งมนษุ ยกบั ตนเอง อาจเปน ความ ขดั แยง ทางกายภาพ เชน ความพกิ าร หรอื ความขดั แยง ภายในใจของตนเอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การนาํ ขอผดิ พลาดมาเปน บทเรยี นทาํ ให ชวี ิตประสบความสาํ เรจ็ ได เปน แนวคดิ ของขอ ความ ซ่งึ สื่อไดตรงกบั ขอ ความ ในขา งตน ที่วา “แลวนาํ จดุ ท่เี คยพลาดพลัง้ น้นั มาทาํ กาํ ไรใหช วี ิตในอนาคต” คมู อื ครู 29

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกนั แสดงความคิดเห็น ตัวละครสา� คัญในเรื่องเรยี กว่า ตัวละครเอก1ตวั ละครอื่นเป็นตัวประกอบ2วิธีแสดงลักษณะ ดังตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา ความแตกตา งดา นขนาดของ นิสัยของตัวละครอาจท�าได้หลายวิธี เช่น ผู้แต่งบรรยายนิสัยของตัวละครเองจากการสังเกต เรอ่ื งระหวางเรอื่ งสน้ั และนวนิยาย สงผลตอ เนอ้ื หาทมี่ ีความซับซอ น ตลอดจนกลวิธีทาง ภายนอก หรืออธิบายความคิด ความรู้สึกภายในจิตใจของตัวละคร บางคร้ังอาจใช้วิธีท่ีตัวละคร วรรณศลิ ปของนวนิยายหรือไม อยา งไร (แนวตอบ ขนาดของเรอ่ื งมีผลตอ เนอ้ื หาและ แสดงตัวตนดว้ ยคา� พูดและพฤตกิ รรม หรอื ใชว้ ธิ ีกลา่ วถงึ ปฏกิ ริ ิยาของตัวละครอืน่ ๆ ทม่ี ตี อ่ ตัวละคร การดําเนนิ เรือ่ งของนวนิยาย เน่อื งจากความ ซับซอนของเน้อื หา การดําเนินเรื่อง และ คเตชวัือน่ นน้ัตนัวสิเลพัยะือ่รค่าเรปเทรน็ งิี่มเคีมนริตสิ ื่อิเยั งดเชียศี้ววรา่ า้3เสเปปรน็ ็น้อบยตคุ ัวเคลปละน็ เคชตรน่้นทใี่มดอีลกีโักดปษยรณทะเัว่ะภนไทปิสหแัยลนปว้่งึรตเะปวัจน็ล�าตหะคัวรรลือใะแนคสนรดวทงนม่ีนิยีหิสาลัยยาดแย้าบมน่งิตเเดปิ4ียโ็นดวยต๒มลปีลอรกัดะษเเรภณื่อทงะ มิตขิ องตัวละคร สงผลตอ ความเขม ขนของ เนอื้ หา และคณุ คาทางวรรณศิลป) นิสยั หลายอย่างเปลย่ี นไปตามเหตกุ ารณแ์ ละสง่ิ แวดล้อม อยา่ งไรก็ตาม ตวั ละครที่ดตี ้องมีลกั ษณะ • นักเรียนคดิ วา องคประกอบดานโครงเร่ือง และแกน เรอ่ื งของนวนิยายมีความแตกตา ง สมจรงิ จากองคประกอบของเร่อื งส้ันอยางไร ผูอ า น ๑.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉาก คอื ข้อเทจ็ จริงเก่ยี วกับสงิ่ ต่างๆ ทีป่ รากฏในเนอื้ เรอื่ ง มีวธิ พี จิ ารณาองคประกอบแตล ะสว นอยางไร บอกให้รู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดที่ใด การใช้ฉากท่ีมีจริงและเป็นท่ีรู้จักย่อมท�าให้เรื่องมีความสมจริง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดโดย มากขึ้น ฉากที่ดีควรสอดคล้องกับเน้ือเรื่องและช่วยสร้างบรรยากาศ นอกจากนี้ควรถูกต้อง พิจารณาองคป ระกอบในแตล ะสวน ไดดงั นี้ ตามสภาพความเปน็ จรงิ ฉากทมี่ คี วามถกู ตอ้ งตามสภาพภมู ศิ าสตรแ์ ละเหตกุ ารณ์ในประวตั ศิ าสตร์ 1. โครงเร่ือง เน่ืองจากนวนยิ ายมขี นาดยาว ช่วยส่งเสริมนวนิยายเรื่องนั้นให้มีคุณค่าเพ่ิมข้ึนเป็นอย่างมาก ในทางตรงกันข้ามจุดอ่อนของ โครงเรอ่ื งของนวนิยายจงึ มลี ักษณะซอ นกนั ฉากบางเร่ืองท�าให้คุณค่าของเรื่องด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย ผู้แต่งที่ประณีตจึงเอาใจใส่ต่อความ ระหวางโครงเรอื่ งหลัก ซ่งึ เปนความขัดแยง ถกู ตอ้ งของฉาก ของตัวละครเอก และโครงเร่ืองยอ ยทแ่ี ทรกใน ๑.๕) บทสนทนา คือ การโต้ตอบระหว่างตัวละคร บทสนทนาจะต้องช่วยสร้างความ เนอ้ื หา สง ผลใหก ารดําเนินเรอื่ งมีความ สมจริง เป็นธรรมชาติ คล้ายคลึงกับชีวิตจริงและต้องเหมาะสมกับบุคลิกลักษณะของตัวละคร เขม ขน มากขน้ึ 2. แกน เรอื่ ง เปน จดุ สาํ คญั และ แตล่ ะตัว จดุ เชอื่ มโยงเรือ่ งท้งั หมด มแี นวทางในการ พิจารณาแกนเรื่อง คอื ทรรศนะของผูเขียน ลักษณะบทสนทนาที่ดี ควรช่วยให้เนื้อเร่ืองคืบหน้าไป ท�าให้เห็นลักษณะนิสัยของ และพฤตกิ รรมของตัวละคร) ตัวละครชัดเจน และช่วยให้เห็นสภาพสังคม ประเพณี วัฒนธรรม การศึกษา การปกครอง สภาพเศรษฐกิจและอ่ืนๆ ประกอบไปด้วย ดังน้ัน บทสนทนาจึงเป็นส่วนประกอบที่ท�าให้ผู้อ่าน 2. ครูสุมนกั เรียนแตล ะกลมุ ออกมานาํ เสนอ เข้าใจเร่ืองราวพฤติกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น การอ่านนวนิยายจะเห็นว่าบทสนทนาจะแยกออกจาก หนา ชน้ั เรียน บทบรรยายหรือบทพรรณนา ๑.๖) ทรรศนะของผูแ้ ตง่ คอื ขอ้ คิดเหน็ ของผแู้ ต่งทต่ี อ้ งการเสนอตอ่ ผู้อ่าน ส่วนใหญ่ เสนอผา่ นตวั ละครในเรือ่ ง เช่น “ดอกไมส้ ด” เสนอทรรศนะเกี่ยวกับผู้ดีในนวนยิ ายเรอื่ ง สามชาย ว่าผดู้ ีท่แี ทจ้ รงิ คือ ผ้ทู ีย่ ังคงมีความประพฤติดี ไมว่ ่าจะตกตา�่ หรอื ยากจนเพยี งใด เปน็ ตน้ ๑.๗) ท่วงท�านองแต่งหรือกลวิธี คือ ลักษณะวิธีการของผู้แต่งท่ีจะแสดงความคิด ความรู้สึก เพื่อให้เนื้อเร่ืองด�าเนนิ ไปตามโครงเร่ืองทผ่ี ูกไว้ รวมไปถึงการเลอื กใช้สา� นวนภาษา 30 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดไมใช ประเด็นทต่ี อ งพจิ ารณาในการอานเพือ่ ใหท ราบเรอื่ งราว 1 ตวั ละครเอก คือ ตวั ละครที่มบี ทบาทสําคญั ในการดําเนินเร่อื ง หรอื เหตกุ ารณ 1. ตัวละครในเร่ืองคอื ใครบาง และมลี ักษณะนิสัยอยา งไร ตา งๆ ของเร่ือง บคุ คลที่มีความสาํ คญั ของเรือ่ ง มกั ถกู เรยี กวาตัวละครหลักของเรื่อง 2. บทสนทนาของตวั ละครในเร่ืองมีลักษณะเดน อยา งไร 2 ตวั ประกอบ หรือตวั ละครประกอบ คอื ตวั ละครซงึ่ มบี ทบาทในฐานะ 3. การกระทาํ ของตัวละครทาํ ใหเ กิดผลอะไรตามมา สว นประกอบของการดาํ เนินเร่อื งเทานน้ั แตจะตอ งมีการกระทําอยางตอเนือ่ งหรือ 4. ตวั ละครแตล ะตวั ไดกระทําสิ่งใดบา ง เกีย่ วพันกบั ตวั ละครเอก เพือ่ ใหเ รือ่ งดําเนินไปสเู ปาหมาย โดยอาจเปน การกระทําทมี่ ี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. บทสนทนาของตวั ละครในเรื่องมีลกั ษณะ บทบาทสนับสนุนหรือขดั แยง กบั ตวั ละครเอกก็ได เดนอยางไร เปนส่งิ ท่ีชว ยส่ือลกั ษณะนิสยั ของตัวละคร เปนกลวธิ ีที่ทําใหเ ร่อื ง 3 ตัวละครที่มมี ิติเดยี ว เรยี กอีกอยา งวา ตวั ละครทม่ี ลี ักษณะแบน เปนตัวละครที่ นาติดตาม แตไ มใ ชป ระเดน็ คําถามในการอานเพอื่ ทําใหทราบเรอื่ งราว มีความรูส กึ นกึ คิดเพยี งดานเดียว ไมวา เกดิ ปมปญ หาใดกจ็ ะแสดงพฤติกรรม โดยตลอด เพราะบทสนทนาเกยี่ วของกบั การใชภ าษาทีจ่ ะชวยสรางอรรถรส เหมือนเดิม อาทิ เปน คนดี เม่ือมีใครมาทํารา ยก็ยงั กระทาํ พฤติกรรมเชน เดิม ทาํ ใหเ รอื่ งมคี วามสนุกสนาน และสมจรงิ ยง่ิ ขึ้น 4 ตัวละครทีม่ ีหลายมิติ เรยี กอีกอยางวา ตวั ละครที่มีลักษณะกลม มนี ิสัยและ ความคดิ เปลี่ยนแปลงไปตามปมปญหาที่เกดิ ขน้ึ มกี ารพัฒนาการทางดานความคดิ และอารมณ 30 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) แนวทางในการอ่านนวนิยาย คนส่วนใหญ่เมื่อหยิบนวนิยายขึ้นมาอ่านก็มุ่งหวัง 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ความเพลิดเพลินเป็นหลัก ไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาอย่างจริงจัง แต่นวนิยายเป็นเร่ืองของชีวิต การ ดังตอไปนี้ อ่านนวนิยายแลว้ นา� มาพินิจพจิ ารณาแม้เพยี งเล็กน้อย ย่อมจะให้แงค่ ดิ หรือบทเรยี นแก่ผูอ้ า่ นบา้ ง • นกั เรยี นคิดวา ตวั ละครในนวนิยายมคี วาม การพจิ ารณานวนิยายจะต้องน�าองค์ประกอบของนวนยิ ายมาเป็นเกณฑ์ ดงั นี้ สาํ คญั อยา งไร ๒.๑) เนอ้ื เรื่อง โครงเร่ือง และแก่นเร่ือง เม่ืออ่านนวนิยายเรื่องใดแล้วควรจะเล่า (แนวตอบ มีความสาํ คญั ในฐานะท่ีทําหนา ท่ี เรือ่ งย่อได้ บอกได้ว่าใชก้ ลวธิ อี ะไรบ้างในการดา� เนนิ เร่อื ง และรู้ว่าแก่นหรอื แนวคดิ หลกั ของเร่ือง ดาํ เนนิ เรือ่ ง และสรางความสมจรงิ ) คอื อะไร โครงเร่ืองต่อเน่อื งสัมพนั ธก์ นั หรือไม่ • นักเรียนคดิ วา ตัวละครในนวนยิ ายมคี วาม ๒.๒) ตัวละคร ผูอ้ ่านตอ้ งอธิบายได้วา่ ตวั ละครตัวใดเปน็ ตัวเอก มีลักษณะนสิ ัยอย่างไร แตกตางจากตัวละครในเรื่องสัน้ อยา งไรและ เพราะเหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั หรอื อะไรคอื สาเหตขุ องพฤตกิ รรม และตวั ละครแตล่ ะตวั สรา้ งไดส้ มจรงิ ตัวละครท่ีเหมาะสมในการดาํ เนินเร่ืองควร หรือไม่ มีลักษณะอยา งไร ๒.๓) ฉากและบรรยากาศ ผู้แตง่ จะกลา่ วถงึ สถานที่ ชว่ งเวลา เหตกุ ารณ์ ภูมิประเทศ (แนวตอบ ตวั ละครที่เหมาะสมควรมีลกั ษณะ หรอื บรรยากาศใดๆ กต็ าม ผอู้ า่ นตอ้ งพจิ ารณาความสมจรงิ และความถกู ตอ้ งตรงกบั ชว่ งเวลา หรอื สมจรงิ ทัง้ จติ ใจ อารมณ บทบาท บทสนทนา สภาพการณ์ในเรอ่ื งน้นั ตลอดจนพิจารณาวา่ ฉากและบรรยากาศมีอทิ ธิพลตอ่ ตวั ละครหรือไม่ การดําเนนิ พฤตกิ รรมอยา งสมเหตุสมผล ๒.๔) บทสนทนา สา� นวนภาษา และกลวธิ ใี นการแตง่ นวนยิ ายควรใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกบั นวนยิ ายจะมีตัวละครที่มีความซบั ซอนของ ตัวละคร เช่น วัย การอบรม และยุคสมัย เพ่ือจะได้แสดงบุคลิกกับลักษณะของตัวละครได้ พฤตกิ รรมมากกวา เร่ืองสน้ั เนอื่ งจากมกี าร และควรแยกคา� บรรยายกบั ค�าเจรจาหรอื สา� นวนภาษาของตัวละครใหเ้ ห็นเด่นชัด ดําเนินเรอ่ื งขนาดยาว ผอู านจงึ สามารถ ทาํ ความเขาใจตัวละครไดอ ยางลึกซ้ึง) ในแง่ของกลวิธีที่จะน�าเสนอเรื่องให้มีความน่าสนใจ พิจารณาว่าผู้แต่งเลือกใช้ • นักเรยี นคดิ วา บทสนทนามคี วามสําคัญตอ เหมาะสมหรือไม่ เช่น อาจเดินเรื่องสลับไปสลับมา เล่าเหตุการณ์ต่างสถานที่ในเวลาเดียวกัน การพิจารณานวนยิ ายอยา งไร ผแู้ ตง่ บรรยายเร่ืองเองทงั้ หมด เปน็ ตน้ (แนวตอบ บทสนทนาโตตอบสามารถสราง ๒.๕) ทรรศนะของผู้แต่ง การมองหาทรรศนะของผู้แต่งต้องมองจากส่วนต่างๆ ของ ความสมจริงของตัวละครใหเ ปน ธรรมชาติ นวนิยาย เช่น จากค�าพูดของตัวละคร จากวิธีการที่ผู้แต่งบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ จากทรรศนะ เหมาะกบั บุคลิกของตวั ละคร ชวยสรางความ ของตวั เอก เป็นตน้ เขา ใจเนอ้ื เร่อื ง พฤติกรรม ลักษณะนสิ ยั ของตวั ละคร และสะทอนสภาพสงั คมและ ผู้แต่งนวนิยายแฝงทรรศนะไว้มากเพียงใด ผู้อ่านก็ต้องพิจารณาให้มากขึ้น บางคร้ัง วฒั นธรรมซึง่ สอดคลอ งกับฉากในเร่อื งได อาจรางเลือนจนต้องอ่านงานของผู้แต่งคนนั้นหลายๆ เร่ืองก็มี อย่างไรก็ตามนักอ่านที่ดีน่าจะ เปนอยางดี) ลองพิจารณาว่า นวนิยายเร่ืองท่ีตนอ่านอยู่นี้ ผู้แต่งแฝงทรรศนะหรือปรัชญาไว้หรือไม่และ ทรรศนะนนั้ คืออะไร 2. ครูสมุ นักเรยี นแตล ะกลมุ ออกมานาํ เสนอ หนา ชนั้ เรียน กจิ กรรมสรา งเสรมิ 31 นักเรียนศกึ ษาแนวทางในการอานนวนยิ ายจากแหลง เรยี นรูอ ่นื เพม่ิ เตมิ เกร็ดแนะครู เชน เวบ็ ไซต ตําราการวิจารณว รรณกรรม เปน ตน จากนั้นใหนกั เรียนสรปุ องคประกอบของนวนยิ ายเปน ผงั มโนทศั น จากนนั้ บนั ทึกสง ครู ครูควรเพิ่มเติมความรเู ก่ียวกับลักษณะและความสําคัญของตัวละครในนวนิยาย การสรางตวั ละครในนวนยิ ายน้นั ผเู ขียนจะสมมติใหต วั ละครเปนส่ิงใดกไ็ ด ไมวา จะ กิจกรรมทา ทาย เปน คน สตั ว สิง่ ของ เทวดา เปน ตน แนวทางในการสรา งตวั ละครในงานบันเทงิ คดี มี 4 ลักษณะ ซึ่งนักเรียนสามารถนําลกั ษณะหรือแนวทางการสรา งตัวละครไป นกั เรยี นศึกษาแนวทางในการอา นนวนยิ ายจากแหลง เรียนรูอ น่ื เพิ่มเตมิ ประยกุ ตในการวิเคราะหง านเขยี นประเภทบนั เทิงคดไี ด โดยแนวทางการสรา ง เชน เว็บไซต ตาํ ราการวจิ ารณว รรณกรรม เปนตน จากนน้ั นกั เรียนเลอื ก ตวั ละคร มี 4 แนวทาง ดงั น้ี 1. ตัวละครตองสรา งอยา งสมจริง คือ สรางตัวละคร นวนยิ ายที่นกั เรียนประทับใจ บอกเหตุผล และเขียนวิเคราะหแ ยก ใหมลี กั ษณะพฤติกรรมตามธรรมชาติ ดงั นน้ั ผูเขยี นจึงตองทราบวา ลักษณะโดย องคป ระกอบของนวนยิ ายท่ีนักเรียนเลอื ก จากนัน้ บนั ทึกสงครู ธรรมชาติของพฤตกิ รรมตวั ละครน้ันเปนอยางไร 2. สรา งตามอดุ มคติ เปนการสรา ง ตัวละครตามลกั ษณะที่คนท่ัวไปคาดหวัง โดยใชอดุ มการณ ความศรัทธา รวมถงึ ระบบคา นิยม ดังนัน้ ตวั ละครในแบบอดุ มคติจึงมักดีงามเกนิ บคุ คลธรรมดาสามญั จนขาดความสมจริงไป 3. สรา งตวั ละครแบบเหนือจริง เชน ตัวละครมีพลังวเิ ศษ เหนอื มนุษย เปนตน 4. สรางโดยใชต ัวละครแบบฉบับ คือ สรางตัวละครใหมีลกั ษณะ คงท่ที ง้ั อารมณและพฤติกรรม คมู ือครู 31

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นกั เรียนนับ 1-9 เรยี งลําดับตอ ไปเรื่อยๆ ตัวอยา่ ง นวนิยาย บึงหญา้ ปา่ ใหญ่ ใหน ักเรียนแบง กลุม ออกเปน 9 กลมุ ตามตวั เลข จากนั้นศึกษานวนิยายเร่อื ง บึงหญา ปาใหญ ยา่ งเขา้ ฤดูฝน ต้นอะไรๆ กพ็ ากันรีบงอก แตกใบออ่ นๆ ออกมาจนดนิ ไมม่ ีทวี่ า่ ง หลังจากฝน หนา 31-36 ภายในระยะเวลา 20 นาที แบง ตาม สาดซัดพื้น ปลุกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่นอนฝังดินให้ต่ืน มาโป่งหน่อแตกใบ ทุกหนทุกแห่งเต็มไป กลุมได ดังน้ี ด้วยลูกพืชแย่งกันขึ้น พวกลูกมะขามเทศ ทั้งมะขามเปรี้ยวก็เขียวพรึ่บเป็นลานอยู่เต็มใต้ต้นแม่ ของมัน ต่างพากันหย่ังรากใสๆ ลงไปให้ลึกตอนท่ีดินยังอ่อนนุ่มอยู่ด้วยน้�าฝน แล้วม้วนตัวอายๆ • กลุมท่ี 1 เลาเร่ืองยอ ขน้ึ มาชูเมด็ เปดิ เหมอื นปีก • กลุมที่ 2 ช่ือเรอ่ื ง พวกเถาวลั ยท์ ่ีชตู ้นตรงกบั เขาไมเ่ ปน็ กเ็ ลือ้ ยทอดยอดออกไปไมย่ อมหยุด อยากให้แมลงปอ • กลมุ ท่ี 3 โครงเร่อื ง เกาะ ทุกข้อแตกใบไม่บกไม่พร่อง เข้าคลุกกิ่งไม้แห้งและต้นไม้ตาย ให้ดูเป็นพุ่มสีเขียวคืนกลับ • กลุมท่ี 4 แกน เร่อื ง มชี วี ติ ชวี าขนึ้ มาใหม่ • กลมุ ท่ี 5 ตวั ละคร ทั้งต้นหญ้าและป่าใหญ่ต่างฟูหนีแผ่นดิน ขยับสูงขึ้นไปๆ เช้าวันน้ีตลอดฝั่งแควที่ไหลเอ่ือย • กลุมท่ี 6 ฉากและบรรยากาศ ล้วนแล้วแต่ต้นไม้ขนาดโอบไม่รอบ ข้ึนอยู่มากต้นจนเดินหลีกไม่พ้น ท�าให้ทางเล็กๆ ริมฝั่งต้อง • กลุมท่ี 7 บทสนทนา คดโค้งอ้อมไปมา พากันยืนสงบ รอคอยแสงแดดอุ่น อยากอวดใบใหม่ที่ก�าลังเติบโตใบเต็มและ • กลุมที่ 8 ทรรศนะของผแู ตง ยังไมม่ ีรูพรุน ด้วยว่าเดอื นนี้ใบไม้ชา่ งมากมายเสียจนแมลงลืมกนิ • กลุมที่ 9 ทวงทํานองการแตง แผ่นดนิ ทง้ั หมูบ่ ้านกา� ลังอิม่ เอิบ ใจผมเต้นกระทบอก นกเป็นร้อยๆ เริ่มรอ้ งเพลงเพรยี กอยู่ตามยอดไม้ทีแ่ ดดออ่ นค่อยๆ ส่องมาแล้ว มนั เกาะอยู่ อธบิ ายความรู Explain ตามปลายก่ิงที่ผลหวานๆ ชอบมาเกิด พากันกระพือปีกริกๆ โผบินข้ึนไปแล้วกลับลงเกาะ เริงโลด กระโดดเต้นอยูก่ บั การขยับกลับตัว แลว้ กเ็ อยี งหัวลงดูว่าผมเดนิ มากบั ใคร มนั กระพือปกี 1. นักเรียนกลุม ท่ี 1 นาํ เสนอเรอ่ื งยอ ดงั ตอ ไปน้ี ทักถ่ีๆ แล้วหุบปีกพับ พอเห็นผมยิ้มให้ มันก็บินปร๋ออวดปีกที่ขยับเร็วจนโปร่งใส ตัวกลมๆ • นักเรียนเลา เร่อื งยอนวนยิ ายเรอ่ื ง บึงหญา เทา่ น้นั ท่ีเห็นด�าๆ ห่างไป ปาใหญเฉพาะท่ีตัดตอนมาใหเ รยี น ฤดูฝนอันสดใสปลุกผมให้ต่ืนข้ึนมา ให้ลิ้มรสความลี้ลับแห่งเม็ดฝนเมื่อยามตกต้องแผ่นดิน (แนวตอบ เนอ้ื หากลาวถึงความอุดมสมบรู ณ เพ่ือการเกิดใหม่ของพฤกษามาท�าให้โลกน้ีเป็นอุทยานสีเขียวประดับดอกไม้ ใครหนอจะนึกเช่ือ ของฤดฝู น ความงดงามของวัยเยาว และวัน ว่าฤดูร้อนเคยมาอยูท่ ่นี ่ ี อากาศขนุ่ ๆ ไมม่ แี ล้ว ฤดูฝนปดั ควนั มวั ๆ ไปเสียจากฟา้ น�า้ ฝนกวาดผืน เปดเรยี นวนั แรกของตัวละครเอก) พสธุ าเสยี ใหม่จนไมเ่ หลอื ฝุน่ สายน้�าในล�าแควไหลเร็วกวา่ หนา้ แล้ง และเออ่ ขึ้นมาถึงครึ่งคอ่ นฝ่ัง ใครจะยง้ั เท้าไว้ได้ ใครจะยง้ั ใจไวอ้ ย ู่ “ตน้ ไม ้ ตน้ ไม”้ ผมตะโกน “แกกินน้า� ฝนอร่อยไหม” 2. นักเรียนกลมุ ที่ 2 นําเสนอชือ่ เร่อื ง ดังตอ ไปน้ี แล้วกว็ ง่ิ ทง้ิ แม่หา่ งไป รองเทา้ ใหม่สง่ เสียงดังกบั ๆ กอ้ งไปในราวปา่ สะท้อนกลบั มาท�าให้ผมตอ้ ง • นักเรยี นคิดวา ชือ่ เรือ่ ง บงึ หญา ปา ใหญ หยุดกึก ใจเต้นระทึก จ้องมองท่ีริมทางข้างหน้า ดอกไม้ป่าเริ่มบานกันบ้างแล้วพลางก็นึก มีความสอดคลองกบั เนอื้ หาหรอื ไม อยางไร ตรกึ ตรองอยดู่ ้วยค�าถามมากมาย ผมวง่ิ หนา้ ตัง้ กลับไปทางเก่า (แนวตอบ สอดคลอ งกัน เนอื่ งจากเน้ือหา “แมจ่ า๋ ท�าไมสแี ดงชอบมาอยู่ตามดอกไม้” กลา วถงึ ความอดุ มสมบูรณข องธรรมชาติ ในชนบทและความสุขในวยั เยาว) 3. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 32 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอใดใชภาษาตางจากขอ อ่ืน ครคู วรเพ่มิ เติมความรเู กี่ยวกบั ความสําคญั ของชื่อเรอื่ งในงานวรรณกรรม 1. น้ําฝนกวาดผนื พสุธาใหมจ นไมเหลือฝุน เนอื่ งจากการตั้งชือ่ เรอื่ งยอ มนําเสนอประเดน็ สําคัญ รวมถึงจุดเนน ของเนื้อหาใน 2. นกเปน รอยๆ เริ่มรอ งเพลงเพรยี กอยตู ามยอดไม วรรณกรรมแตละเรือ่ ง และการพจิ ารณาชื่อเรื่องจะชวยใหผ อู า นสามารถทาํ ความ 3. การเกดิ ใหมของพฤกษามาทาํ ใหโ ลกนี้เปน อทุ ยานสเี ขียว เขา ใจแกน เรอื่ งหรอื สารสําคญั ทีผ่ ูเ ขยี นตอ งการส่ือสารใหผ ูอ า นทราบ อาจเปนความ 4. กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขยา ก่ิงไมเ หนอื หวั ทาํ ลกู ไมปาหลน จรงิ อยา งใดอยา งหน่งึ ที่เกิดข้นึ กับโลกและชวี ติ ของมนษุ ย เชน ความรัก ความแคน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขยาก่งิ ไม ความซ่อื สตั ย ความยตุ ิธรรม ความอยตุ ธิ รรม ความเชือ่ ความหลง ความตาย ความ เหนอื หวั ทาํ ลกู ไมป า หลน ซง่ึ ตา งจากขอ อน่ื ทใี่ ชภ าษากวี ถอ ยคาํ ทใ่ี ชม คี วามพเิ ศษ อดอยากยากแคน ความกลวั แนวคิดหลกั ของเรอื่ งน้นั ผเู ขียนจะไมส่อื ความหมาย ไมใ ชค าํ ทใ่ี ชท วั่ ไป ขอ ที่ 1. คาํ วา “พสธุ า” ขอ ท่ี 2. คาํ วา “เพรยี ก” และขอ ที่ 3. โดยตรง แตจะซอนสาระสําคัญของเรือ่ งไวในบทสนทนาหรอื คาํ บรรยาย ตลอดจน คําวา “พฤกษา” พฤติกรรมตางๆ ที่เกิดข้ึนกบั ตัวละครตลอดการดําเนินเร่อื ง ฉะนนั้ การพิจารณา ช่ือเร่อื งจงึ เปรยี บเหมือนเสน ทางนาํ ไปสูค วามเขา ใจแกนเรอ่ื งหรือสาระสาํ คัญของเร่อื ง 32 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู แม่ย้ิมละไม แล้วผมก็วิ่งออกหน้าไปอีก อยากไปให้ไกลแสนไกลสุดกู่ อยู่ๆ มีเสียงพึบพับ 1. นักเรียนกลุม ท่ี 3 นาํ เสนอโครงเร่ือง ดงั ตอไปน้ี จากทางด้านขวาราวกับใครสะบัดผ้าผืนใหญ่ ผมชะงักตัวตรง ปลาก็ฮุบโผงจากล�าแควทางซ้าย • นวนยิ ายเรือ่ ง บงึ หญา ปา ใหญเ ฉพาะที่ จนผมต้องหันขวับไปดู กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขย่าก่ิงไม้เหนือหัวท�าลูกไม้ป่าหล่น อะไร ตดั ตอนมาใหเรยี นมโี ครงเรื่องอยางไร มาท�าใหป้ ่าตืน่ ผมตวั สน่ั (แนวตอบ โครงเรื่องหรือลาํ ดบั เหตุการณใ น เรอื่ ง เปดเรื่องโดยกลา วถงึ ความอดุ มสมบูรณ ออ้ กลว้ ยป่าน่นั เอง มันสะบัดพรบึ แผใ่ บยอดสีเขยี วออ่ นกางออกเตม็ ที่ ขึ้นตั้งตา้ นลม ใบอืน่ ของธรรมชาติในทองถิน่ ชนบทเมื่อถงึ ฤดฝู น ที่อ่อนโอนลงข้างๆ สเี ขียวเขม้ เรม่ิ แตกเปน็ ร้วิ ๆ กพ็ ลิกพลวิ้ พลอยไปกบั เขา พอใบยอดมันโยกเยก เปนโครงเร่อื งหลัก และความงดงามของวัย เท่านนั้ ผมก็ตาคา้ ง ตั้งทา่ จะวง่ิ กลับไปหาแม่ทีเ่ ดนิ ใกลเ้ ข้ามา เยาว จากนัน้ จงึ กลา วถงึ ความขาดแคลนของ เด็กนักเรียนในชว งเปดเรยี นใหม) “มันล้อลมนะ่ ลูก” แม่มองท่ีใบกลว้ ยโบกไหว “ลมมันชอบเลน่ ด้วยหรือแม่จา๋ ” 2. นักเรยี นกลุมที่ 4 นาํ เสนอแกน เรือ่ ง ดงั ตอ ไปน้ี ใบกล้วยนัน้ กา� ลงั โยกซ้ายย้ายขวา พลกิ ใบไปมา แล้วลมก็พดั เลยเข้าไปทางตน้ ไม้ใหญ่ ทใ่ี บ • นวนิยายเรอื่ ง บงึ หญาปาใหญเฉพาะท่ี แบนๆ ส่งเสียงกรูเกรยี ว หมนุ ควงอยกู่ บั ปลายข้ัวเลก็ ๆ ของมัน กา้ นใบเรียวๆ มไี ว้ใหใ้ บมากมาย ตัดตอนมา มแี กน เรือ่ งอยา งไร กระพือพัด ดังกับต้นไม้ต้องการความเย็นอยู่เป็นอาจิณ ความลับเหล่าน้ีท�าให้ผมโล่งใจ จนต้อง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง ว่ิงต่อ พอถึงตรงทท่ี างยบุ ต่า� ขวางอยูผ่ มหยดุ ดไู มก่ ล้าเดินลง หลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของนักเรียน “คลองน�า้ แห้งไงลูก” แมต่ ะโกนให้ผมกล้า เน่อื งจากมกี ารตัดเน้ือหาเพียงบางชวง “แมจ่ า๋ คลองมนั รอนา�้ ใชไ่ หม” เทา นั้น) “ใชจ่ ้ะ พอหน้าแควนา้� หลาก น้�ากไ็ หลเข้าคลองไปทางน้ีแหละ” “นา้� มนั ไปไหน” 3. นักเรยี นกลมุ ท่ี 5 นาํ เสนอตัวละคร ดงั ตอ ไปน้ี “ไปสวนหลงั บา้ นเราซิลูก” • นวนิยายเร่อื ง บงึ หญา ปาใหญเฉพาะท่ี “ไปสวนแล้วไปไหน” ตดั ตอนมา มตี วั ละครใดบา ง และตัวละคร “ไปถนนทมี่ รี ถยนตว์ ่ิง” แตละตวั สรางอยา งสมจริงหรอื ไม อยา งไร “ไปถนนท่ีรถว่งิ แลว้ ไปไหน” (แนวตอบ ตวั ละครผูเลา เรอ่ื งทําหนาท่ดี าํ เนนิ “ไปบึงหญ้าใหญจ่ ้ะลูก” เรอื่ ง และใชภาษาสอดคลอ งกับชวงวยั ของ “โอ๋ บงึ หญ้าใหญ่ นา�้ ไปอยทู่ ี่นั่นท�าไมแม่จ๋า มนั อยากใหป้ ลาโตหรือ” ตัวละคร) แม่อมุ้ ผมข้นึ เอว แล้วเดนิ ลงคลองแห้งๆ ท่ีเตม็ ไปดว้ ยรอยควายย่า� พอขา้ มพน้ คลองไปแล้ว แม่ก็วางผมลงเดนิ เดนิ ๆ ไปจนถึงทางควายขรุขระ ทางน้นั กห็ ายไปทางป่าขวามอื อีกคงจะไปถงึ 4. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด บึงหญา้ ใหญ่ ควายคงชอบไปกินหญ้าทีร่ ิมบึงใหญ่ แต่มีรอยควายใหม่ๆ ไปตามทางข้างหน้าเรา รอยเล็กและรอยใหญ่ อาจจะเป็นควายแม่ กับลูกแอของมัน พอเดินตามรอยไปได้ไม่ทันนาน ผมก็ต้องชะงัก ย้ังเท้าไว้ตรงที่มีกองเบ้อเร่ิม กลมเกลีย้ งขวางทาง แมลงหวี่บินตอมวอ่ น ควันอ่อนๆ ก�าลงั กรนุ่ ลอยขึน้ ควายคงจะเพงิ่ ผ่านไป เม่อื ครู่ 33 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนการใชภาษาท่แี สดงใหเ หน็ สภาพสังคมชดั เจนทส่ี ุด ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูเกย่ี วกบั กลวธิ กี ารนําเสนอลกั ษณะนสิ ัยของตัวละครท่ี 1. เปดเรยี นใหมว นั แรกจะหาใครใหมเ อีย่ มทั้งหมดแทบไมม เี ลย ปรากฏในงานวรรณกรรม มกี ลวิธีการนาํ เสนอ 5 วธิ ี ทง้ั การนําเสนอทางตรงและ 2. โบสถเ ดนจับแสงเปน ประกายพราวอยูตรงหมูไมต น โต ทางออม นักเรียนสามารถพิจารณาองคประกอบของวรรณกรรม เพ่ือทาํ ความเขาใจ 3. แมว างผมลงเดิน เดนิ ๆ ไปจนถงึ ทางควายขรขุ ระ พฤตกิ รรมของตวั ละคร และแนวคดิ สาํ คัญของเร่ือง ดังตอ ไปนี้ 4. เดอื นนีใ้ บไมช างมากมายเสยี จนแมลงลืมกนิ • การบรรยายลกั ษณะนิสัยของตัวละครทางตรง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. แมว างผมลงเดนิ เดินๆ ไปจนถึงทางควาย 1. ผแู ตง เปน ผูบรรยายรปู รางลักษณะ และความรูส กึ ของตวั ละครเอง 2. ผูเขยี นกําหนดใหตัวละครตัวอ่ืนๆ สนทนา กลาวถงึ ขรขุ ระ แสดงใหเ หน็ ภาพของสังคมชนบทท่ีมีทางเดนิ เทา ยงั ไมมีรถราว่ิงผาน บนเสน ทางน้ัน และมคี วายซง่ึ จะอยทู ามกลางธรรมชาติ เปน ภาพของคนมี • การบรรยายลักษณะนิสยั ของตวั ละครทางออ ม ความใกลช ิดกับธรรมชาติ 1. ผแู ตง ใหผอู านทราบลักษณะนิสัยของตวั ละครดว ยการบรรยายการกระทํา รวมถงึ พฤติกรรมของตัวละครตัวน้นั 2. ผูแตง ใหผูอานทราบลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครจากบทสนทนา 3. ผแู ตง ใหผ ูอ า นทราบลักษณะนสิ ยั ของตวั ละครดว ยการบรรยายความคดิ ของตวั ละครตวั นัน้ คมู ือครู 33

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นกลมุ ที่ 6 นําเสนอฉากและบรรยากาศ “ออ้ มไปซลิ ูก ออ้ มไป ไมน่ ่าเกลยี ดหรอกเหน็ ไหม แมลงมนั ดีใจ ถา้ ววั ควายถา่ ยมา” ดงั ตอ ไปน้ี แม่หลายคนก�าลังลากจูงลูกสาวมาเข้าโรงเรียน บางคนแก่แล้ว เป็นยาย เป็นป้า แต่ก็ยัง • นักเรียนคดิ วา ฉากและบรรยากาศในเรอื่ ง เป็นแม่ ต่างก็มีลูกตัวเล็กๆ อายุไล่เล่ียกัน เด็กผู้ชายบางคนเดินร้องไห้น�้าตาไหลพรากมาข้าง บึงหญา ปาใหญ มีความเหมาะสมกบั หน้าพ่อท่ีถือไม้เรียว เกือบทุกคนไม่ใส่เส้ือ จึงพากันโผล่พุงกลมเป่งออกมาอวด บ้างใส่เส้ือยาว เนื้อหาหรือไม รวมถงึ ฉากและบรรยากาศใน จนคลมุ เขา่ หลวมโพรกเพราะเอาเสอ้ื พอ่ มาใส ่ เปดิ เรยี นใหมว่ นั แรกจะหาใครใหมเ่ อย่ี มทงั้ หมดแทบ เรอ่ื งมอี ิทธิพลตอตัวละครหรือไม อยา งไร ไมม่ เี ลย ทกุ คนจึงมองรองเท้าของผมดว้ ยสายตาเปน็ มัน (แนวตอบ ฉากและบรรยากาศมคี วามสมจริง เพื่อนๆ ของแม่ท่ีช่างมากมาย พากันรุมเข้ามาทักทาย ไถ่ถาม ท�าให้ผมต้องซ่อนหน้า เน่ืองจากมอี ทิ ธพิ ลตอตัวละคร สง ผลตอการ โอดครวญซ�้าๆ ถา ยทอดอารมณค วามรูสึกของตวั ละคร “แมจ่ า๋ กลับบา้ นเรานะแมน่ ะ” ผูเลา เรื่องไดเปนอยา งด)ี “ตายจริง ลกู ชายใครพูดจาจ๊ะจ๋าน่าฟัง” แม่คนหน่ึงมองมาทางผม “กแ็ มค่ นสวยเขาอยากได้ลกู คนแรกเป็นลูกสาวไง ดันเกิดมาเป็นลูกชายเสยี น”ี่ เพอื่ นสนทิ 2. นกั เรียนกลุมที่ 7 นาํ เสนอบทสนทนา ดังตอไปนี้ ของแมอ่ ธิบายท�าใหท้ กุ คนหวั เราะ แม่กย็ ้ิมน้อยย้มิ ใหญ่ • นักเรยี นคดิ วา บทสนทนามคี วามเหมาะสม ผมจึงยึดผ้าถุงของแม่เสียจนแน่น แล้วซบหน้าซ่อนตาลงไป ไม่อยากเห็นใครๆ อีก หูผ่ึง กับการดาํ เนนิ เร่ืองหรือไม และบทสนทนาใน คอยฟังคนเขาพูดกัน แม้จะมองไม่เห็น ผมก็ยังได้ยิน เสียงลนลานร้อนใจของบรรดาแม่ๆ ท่ีวิ่ง เร่ืองสงผลตอคณุ คาทางวรรณศิลปอยางไร ถามกันด้วยความกังวล “เออ ลูกใครสอบเลื่อนชั้นสองได้ มีลูกใครไหม ใครเห็นลูกใครสอบได้ (แนวตอบ บทสนทนาของตวั ละครมกี ารใช ช้นั สองบ้าง” ภาษาเหมาะสมกบั ตวั ละครทง้ั วยั และยคุ สมัย “ลูกฉนั สอบได”้ เสยี งแม่คนหนงึ่ ตอบอยา่ งภาคภมู ิ “ลูกบ้านโน้นเขาก็สอบได้” แสดงบุคลิกของตวั ละครไดอยางเดน ชดั ) “ของฉนั สอบขนึ้ ช้ันสี่ไดต้ ่างหาก” “อยุ๊ ตายแม่คณุ ช่างเก่งจรงิ ๆ ลกู บา้ นเราน้อยคนจะขึ้นถึงช้ัน ๔ ทง้ั หมบู่ ้านนี่นับคนไดเ้ ลย 3. นักเรยี นกลุมท่ี 8 นําเสนอทรรศนะของผูแตง มีแต่พวกจะตอ้ งเอาออกจากโรงเรยี นกลางคัน ก็จะอะไรเสียอกี ละ่ อายุมันเกิน ๑๕ น่ะ ใครเป็น ดงั ตอ ไปน้ี พ่อเปน็ แม่มีหรอื จะทนดพู วกมนั ซ้า� ชน้ั อย่ไู ด ้ ของฉันอายุ ๑๒ แล้วเพงิ่ เรียนแค่ชัน้ หน่งึ ” • นักเรยี นคิดวา ผูแ ตงแฝงทรรศนะใดไวบ าง “เรามันคนท�ากินนะ ก็ต้องอาศัยเด็กดูน้อง เฝ้าบ้าน เลี้ยงควาย กว่าจะไปเข้าโรงเรียนก็ และทรรศนะใดทผ่ี แู ตงใหค วามสาํ คญั มาก อายใุ กลเ้ กินเกณฑแ์ ล้ว ไหนละ่ ลูกใครท่ีวา่ ขนึ้ ชั้นสองได้” ทีส่ ดุ “ลกู ฉันจะ้ ทา� ไมหรอื ” (แนวตอบ ทรรศนะเกี่ยวกบั ความอดุ มสมบูรณ “อย่าพูดดังไป อยากจะขอหนังสือเก่าที่ใช้แล้วให้ไอ้หนูของฉัน ปีน้ีแย่ ข้าวโพดไม่ได้ฝัก ของธรรมชาติ และความงดงามของวัยเยาว) กบั เขา ของฉันเข้าโรงเรยี นรวมคนน้ดี ว้ ยเป็นสามแลว้ ” “โอย หนงั สอื นะ่ จะไปเอาอะไรเหลือ กระดาษบางๆ จะมาทนมอื ลกู ชายฉันไดไ้ ง” 4. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด “แล้วเส้ือแสงมนั คบั หรอื ยังละ่ ” “ออ๋ ถ้าเสื้อละกพ็ อจะได้ มันกนิ จกุ นั จรงิ ๆ โตรวดโตเร็วจนเส้อื ซ้ือใหแ้ ทบไม่ทนั พรงุ่ น้ีฉนั จะเอามาให ้ แต่ตอ้ งไปเยบ็ กระดมุ เอาเองนะ ไม่มเี หลือติดเสอื้ เลยสกั เม็ด” 34 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดใชบ รรยายโวหาร ครคู วรเพิ่มเติมความรเู กี่ยวกบั การนาํ เสนอฉากและบรรยากาศ เพอ่ื ใหน ักเรยี น 1. อยๆู มีเสยี งพึบพบั จากทางดา นขวาราวกับใครสะบัดผาผืนใหญ นาํ องคค วามรูดังกลา วไปประยุกตใชใ นการวิเคราะหเนอ้ื หา และการประเมนิ คณุ คา 2. ผมก็ตาคาง ตงั้ ทาจะวงิ่ กลับไปหาแมท ่ีเดนิ ใกลเ ขามา ทางวรรณศิลปจ ากบทประพันธ ครูควรเพม่ิ เตมิ ความรเู กยี่ วกับกลวธิ กี ารสรา งฉาก 3. ใบกลว ยนั้นกาํ ลังโยกซา ยยา ยขวา พลิกใบไปมา และเสนอฉาก การสรา งฉากจําเปน ตอ งอาศัยวธิ ีการหลายอยาง เชน คาํ บรรยาย 4. รองเทา ใหมสงเสยี งกบั ๆ กอ งไปในราวปา ของผแู ตง การกลาวถึงภมู ิหลังของเรื่อง ซ่ึงเปน เหตุการณท างประวัตศิ าสตรห รือ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ผมกต็ าคาง ตงั้ ทาจะวิง่ กลบั ไปหาแมท ่ีเดนิ ประเพณีทอ งถิน่ ซึ่งรวมทง้ั การใชภาษาถ่นิ ของตวั ละครดว ย เพ่ือชว ยใหผูอ านทราบ ใกลเ ขา มา เปน เหตกุ ารณที่ทาํ ใหเหน็ การดําเนินเรอื่ ง สว นขออืน่ เปน การให วา เนอ้ื หาของเรอ่ื งเกดิ ข้ึนที่ไหน อยางไร ในสมยั ใด และส่ือสารกนั ดวยภาษาอะไร รายละเอยี ดของสง่ิ ตา งๆ เพอื่ ใหผ อู า นเหน็ ภาพชดั ขน้ึ เปน การใชพ รรณนาโวหาร นอกจากนี้ ผูแตงยงั สามารถสรางฉากไดอกี หลายวธิ ี ดงั ตัวอยาง ตอไปน้ี 1. สรางฉากอยางสมจริง ตองมีความรูความเขา ใจหลากหลายดาน 2. สรางฉากตามอุดมคติ ฉากท่สี รา งขน้ึ จากความคาดหวังมกั มีลักษณะดงี าม กวา ท่เี ปนอยูจ รงิ 3. สรา งฉากใหมีลักษณะเหนือจรงิ คือ การสรางฉากใหมีลักษณะเหนือความเปน จรงิ ตามธรรมชาติ เพอ่ื มุงใหผ ูอานไดรับความตนื่ เตน ทางอารมณเ ปนสําคญั 34 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู “เส้ือลูกสาวฉันท่ีไม่ใช้แล้วก็มีจ้ะ ใครอยากได้บ้าง กระเป๋าเสื้อขาดไปหน่อย เย็บเสียนิด 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 9 นําเสนอทว งทํานองการแตง กค็ งใช้ได”้ แม่อีกคนว่า ดังตอไปนี้ “งน้ั หรือ ไมเ่ ปน็ ไรหรอก ฉันไปเย็บได้” • นกั เรยี นคดิ วา นวนิยายเรือ่ ง บงึ หญาปาใหญ ผมก็ค่อยๆ กล้าขยับเข้าไปแล้วก้มลงดูใกล้ๆ “มันท�าด้วยหญ้า” ผมร้องล่ันรีบกระโดด มกี ลวิธกี ารใชภาษาทีม่ คี วามเหมาะสม ยืนขึน้ แลว้ กน็ ึกรักมนั ขึน้ มา ชา่ งกลมเกลย้ี งและเขียวเขม้ เตม็ ไปด้วยหญา้ หนา้ ฝน หรือไม อยา งไร พอเดินไปได้อีกสักประเด๋ียว ถึงตรงที่มีเสียงนกกวักร้องก้อง ก็เจอะสีเขียวอย่างเดียวกัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย คราวนีเ้ หลวเป๋วกระจดั กระจายอยู่เตม็ ทาง ขึ้นอยูก ับเหตผุ ลของนกั เรียน เปนตน วา “ของลูกแอใช่ไหมแม่จา๋ ” ผมร้องเสียงดงั หันไปมองแม่ มีกลวิธกี ารใชภาษาเหมาะสม มีการพรรณนา “อย่นู ั่นไง เจา้ ควายน้อย” แม่ชีม้ อื ไปขา้ งหน้า ภาพของธรรมชาติอยางมีชวี ิตชวี า โดยใช ลูกแอหัวโหนกตัวหน่ึงเขายังไม่ทันขึ้น ก�าลังวิ่งไปรอบๆ แม่ของมันที่เค้ียวหญ้าเพลิน ภาพพจนแบบบคุ คลวตั ดว ยการใหส ิ่งทม่ี ใิ ช จนน้�าลายฟูมฟอง ถกแต่หญ้าอ่อนดังพร่ึดๆ ไม่ยอมกินอ่ืน เพ่ือจะได้ถ่ายเป็นสีเขียวออกมา มนษุ ยก ระทาํ กริ ยิ าเชน เดียวกับมนษุ ย) กองกลมๆ อีก ลกู แอวง่ิ หกหนา้ หกหลังวนไปได้ครู่หนง่ึ ก็หยดุ เข้าไปดุนๆ ดูดนมทท่ี ้องแม่ของมนั แลว้ กท็ �า 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เป็นหยุดเบิ่งตาราวกับว่าเป็นควายใหญ่ พอเห็นผมสนใจ มันก็ท�าทีเป็นเล็มหญ้าเลียนแบบ แม่ของมัน ขยายความเขา ใจ Expand “แม่จ๋าดลู กู แอน่นั มนั หดั เปน็ ควายตงั้ แตเ่ ลก็ ๆ แนะ่ ๆ” ผมเขย่ามอื แม่ เด็กนักเรียนตัวโตๆ ส่งเสียงเอะอะตามหลังมา แล้ววิ่งแซงขึ้นหน้าไป หลายคนไม่มีเส้ือใส ่ 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี บางคนหอบหนงั สอื เก่าๆ เทา้ เปลา่ เปลือย • เมอ่ื นกั เรยี นพิจารณาองคประกอบของ “ประเด๋ียวลูกแม่ก็จะได้เป็นนักเรยี นเหมือนเขารู้ไหม” แม่พูดแล้วกย็ ้ิมดูอ่มิ ใจ นวนิยายเรือ่ ง บึงหญาปาใหญแลว นักเรยี น แล้วทางเล็กๆ ท่ีเราแม่ลูกก�าลังเดินก็ทะลุเปิดโล่งเป็นลานใหญ่ โบสถ์เด่นจับแสงเป็น คิดวา นวนยิ ายเรื่อง บงึ หญา ปาใหญ ประกายพราวอยู่ตรงหมู่ไม้ต้นโต เจดีย์ยอดแหลมเรียงแถวสลอนอยู่ข้างศาลาทึม ใครๆ ก็ก�าลัง มีความโดดเดนดานวรรณศลิ ปอ ยา งไร จูงลกู จูงหลานเขา้ ไปยังศาลานน้ั ใจผมเตน้ เหน็ คนมากๆ เขา้ ก็ตืน่ แผต่ ัวส่ัน คนหนอช่างมากมาย นักเรียนมวี ิธีการพจิ ารณาอยา งไร มาจากไหนกนั ย่ิงใกล้ศาลาเข้าไปหัวใจกด็ จู ะยง่ิ เต้นแรงข้ึน ศาลาก็หลังโตข้นึ ต้นก้ามปเู ก่าแก่ที่ (แนวตอบ นกั เรียนอภิปรายไดห ลากหลาย แผ่ก่ิงคลุมฟ้าก็ใหญ่ขึ้น ตะไคร่จับเขียวอยู่ตามเปลือกหยาบ ท�าให้ดูเหมือนกับเป็นไม้มีขน ขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนักเรยี น เปนตน วา ออกดอกสีชมพูพราว ต้นสะตือก็แตกกิ่งไปชนกัน ออกฝักสีน�้าตาลแบนๆ ต่างท้ิงเงาก่ิงเป็น มีการใชพ รรณนาโวหารในการกลาวถึง ทางยาวทาบลานตัดกันไปมา ให้ร่มแก่บรรดาแม่ๆ ท่ีพาลูกมาเข้าโรงเรียน ซึ่งก�าลังส่งเสียงขรม ภาพธรรมชาตแิ ละใชภาพพจนท่มี ีความ คยุ กันอยา่ งไมอ่ อมเสียง หลากหลาย โดยเฉพาะอยางยิ่งภาพพจน มีทางหลายสายจากหมู่ไม้โดยรอบเข้ามายังศาลาใหญ่ ทางเหล่าน้ีจะไปถึงไหนหนอ แบบบุคคลวตั สอดคลอ งกบั กลวิธีการ ท้ังใต้วัดและเหนือวัด ล้วนแต่เป็นทางท่ีผมยังไม่เคยเดินท้ังน้ัน อีกทั้งฝั่งแควฟากตะวันตกโน้น เลาเรอื่ ง) ซึ่งผมยังไมเ่ คยข้ามเรือไปแตะ เทา้ คนเรานีแ่ หละทีท่ า� ทางข้นึ มาแลว้ กเ็ ดินกันจนทางสึก 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด 35 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอใด ไมอาจ อนุมานไดจ ากขอ ความตอ ไปนี้ ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูเกี่ยวกบั ทวงทาํ นองการแตงของผูแตง หรือสไตลก ารเขียน ...เชา วันนี้ สมบตั ิคา งปอันไดแ กห นังสอื เนาๆ เกา หลดุ ลุย กบั เสอ้ื ถอดสี ทวงทํานองในการแตง วรรณกรรมของผูแตงแตล ะคน ซึ่งตา งมีลกั ษณะเดน เฉพาะตวั มรี รู ่วั ลม จะถกู เปลยี่ นมือ จากคนรุนหนงึ่ ไปยงั อกี รนุ หนงึ่ ... ไมซ้าํ แบบกนั ทงั้ น้ีเปนเพราะผแู ตง แตล ะคนตา งก็มีแบบแผนในการเลือกสรรคาํ 1. ทกุ คนจะไดใ ชเหมอื นกนั การเลอื กใชส าํ นวนโวหารและวิธีเรียบเรียงประโยคแตกตา งกัน นอกจากนี้ ผูแตง 2. ถอื วา เปนวิทยาทาน แตล ะคนยงั มีทศั นคตหิ รือทาที (tone) ตอส่งิ ใดสิ่งหนง่ึ แตกตางกนั ดว ย ดังน้ัน ลีลา 3. ไมต อ งเสยี เงินซ้อื ในการเขียนของนกั เขียนแตล ะคนจงึ มีลกั ษณะเฉพาะแตกตางกัน เหตุนีก้ ารท่ีผอู า น 4. ลดภาวะโลกรอ น หลายคนสามารถรไู ดว า ตนกาํ ลงั อานงานเขยี นของคนใด จงึ เกดิ จากการพิจารณา ในประเดน็ ตา งๆ ดงั ตอไปน้ี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ลดภาวะโลกรอ น เพราะเจตนาของผกู ลา ว 1. การเลือกสรรคํา หมายถงึ วธิ ีการเลือกสรรคาํ มาใชในการสรางสรรค ขอ ความขางตน คอื การชวยเหลือผูท่ีขาดแคลนดวยการบริจาคหนังสอื และ วรรณกรรมใหเ หมาะสมทงั้ รสคําและรสความ เส้อื ผา เพื่อใหผูทข่ี าดแคลนสามารถนาํ ไปใชป ระโยชนไ ดเ หมอื นคนอนื่ 2. การเลอื กใชส าํ นวนโวหาร หมายถงึ การพยายามคดิ หาวิธกี ารเพ่ือทําใหง าน เขียนของตนมคี ุณคา นาอาน ทง้ั ภาพในจิตใจและภาพพจน 3. วธิ กี ารเรยี บเรียงประโยค หมายถึง วธิ กี ารสรา งประโยคอันเปน ลกั ษณะเฉพาะ ของผูแตง แตละคน คมู อื ครู 35

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย “แมจ่ า๋ บา้ นเราอยใู่ ตว้ ัดใชไ่ หมจ๊ะ” ผมถาม ความรูใ นประเด็น ตอไปน้ี “จ้ะ” แม่บอกว่ายังมีทางจากเหนือวัด และโน่นที่ถนน ซึ่งนานๆ จะมีรถยนต์วิ่ง อยู่ไกล • นักเรยี นคดิ วา นอกจากนกั เรียนจะอาน ออกไปทางตะวันขึ้น ก็มีทางจากเหนือและใต้เลยถนนออกไปคือ บึงหญ้าใหญ่ที่ป่าไม้สูงบังอยู่ นวนิยายเพ่อื ความบันเทงิ แลว นกั เรยี น ผมใจระริก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สักวันผมจะตระเวนไปให้ท่ัวถึง อะไรบ้างหนอท่ีรอคอย สามารถพจิ ารณาประเด็นใดเพิม่ เติมไดบา ง ผมอย่ ู ไว้ใหผ้ มโตอีกหนอ่ ยจะไม่มีแต่ทางใตว้ ัดบา้ นผมเท่าน้นั หรอก แมจ่ ๋า จะตอ้ งกนิ ขา้ วอีกกคี่ �า (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย ฉนั จงึ จะโต ข้นึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรยี น เปน ตน วา เช้าวันน้ี สมบัติค้างปีอันได้แก่หนังสือเน่าๆ เก่าหลุดลุ่ย กับเส้ือถอดสีมีรูรั่วลม จะถูก นอกจากนกั เรยี นจะอา นเพอ่ื ความบนั เทิงแลว เปลี่ยนมือ จากคนร่นุ หนึง่ ไปยงั อีกรุน่ หนึง่ น่นั เป็นส่งิ ที่คาดไม่ถงึ และผมได้ยนิ กับหู นวนิยายยังชวยใหน ักเรียนไดข อ คิดที่สามารถ “พอ่ แมพ่ ี่น้องขา” เสียงครูพูด “วันนฉ้ี ันดีใจท่ไี ดม้ าสอนลูกหลานท่ีน่ ี พี่ปา้ น้าอาไมร่ งั เกยี จ นาํ ไปใชเปนบทเรียนในการดําเนินชวี ิตได) กัน มีอะไรก็แบ่งกัน ฉันไม่มีวันจะทิ้งลูกหลานบ้านนี้ไปไหนได้อีกแล้ว” เสียงครูส่ัน “หนังสือ ที่ไมใ่ ช้แลว้ ถ้าให้ลูกบา้ นอ่ืนไปอ่าน ถือว่าเปน็ วิทยาทานนะคะ ให้สงิ่ ทีเ่ ป็นความรู้กัน ลูกบา้ นเรา 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ จะได้เจริญทันบ้านอื่นเขา ยังหาใครให้ไม่ได้ก็ให้เอาหนังสือเก่า เสื้อกางเกงเก่ามาไว้ที่ครูก่อน ได้คะ่ ” “ครู” เสยี งผู้ชายพูด “ปนี ีข้ องผมคอ่ ยยังชว่ั ไม่ตอ้ งเสียเงนิ ซอื้ โชคดี ทแี รก แหม ผมกลุม้ จะแย่กบั ไอ้หนูมนั ” แลว้ ก็หวั ร่อดังลน่ั “ท�าไมว่าโชคดีล่ะ” เสียงป้าคนหนึ่งสงสัย “เออ แกพูดยังไง ฉันฟังแล้วงงๆ ไอ้หนู มันสอบตกหรือไร” “มันก็ไม่ตกหรอก” เสียงพ่อคนเดิมว่าแล้วก็หัวร่อฮ่าฮ่าอีก “มันก็อยู่ชั้นเดิมเหมือนเมื่อ ปีกลายน่นั แหละ เลยไม่ตอ้ งเสียเงนิ ซอ้ื หนังสอื ใหมๆ่ ” พอ่ ๆ แม่ๆ กห็ วั เราะชอบใจ ครูผ้ชู ายไดช้ ่องก็ประกาศวา่ “เอ้า ลกู ใครท่โี ชคร้ายได้เลอื่ นชนั้ จะต้องใช้หนงั สืออะไรเรยี นบา้ งก็ใหไ้ ปท่โี ตะ๊ ครสู �าเภาท่ีมกี องหนงั สอื ใหมๆ่ นั่น ส่วนลกู ใครทเ่ี พิ่ง จะพามาเขา้ เรียน ให้พาไปลงทะเบยี นที่โต๊ะครูลกู จนั ทน์โนน่ ” ผมลืมตาขน้ึ และจา� ครสู าว ๒ คนได้ ครูส�าเภาอ่อนหวาน ครูลูกจันทน์ก็แจ่มใส ครูใหม่ของผมอยู่ท่ามกลางกองหนังสือใหม่ กล่ินกระดาษหอม ทัง้ ดินสอลายๆ กระดานชนวน ดินสอหิน ทุกอย่างใหม่เอ่ียมสมบูรณ์ราวกับ ฤดูฝน (ตัดตอนมาจากบึงหญ้าปา่ ใหญ ่ : เทพศริ ิ สุขโสภา) 36 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดใชน ้ําเสียงเชงิ สงสัย ครคู วรเพิ่มเตมิ ความรเู กีย่ วกบั การวิเคราะหค ุณคา ของงานเขียนประเภทบนั เทิง- 1. อะไรบา งหนอท่ีรอคอยผมอยู ไวใ หผ มโตอกี หนอยจะไมมแี ตทางใตว ดั บา น คดี ทัง้ งานเขยี นประเภทเรอื่ งสน้ั และนวนิยาย ครคู วรเนนใหน กั เรยี นพจิ ารณาคณุ คา ผมเทา นนั้ หรอก ของงานเขียนประเภทบันเทิงคดดี ว ยตวั ของนกั เรยี นเอง รวมถงึ การตัดสินคุณคา ของ 2. เส้ือลูกสาวฉนั ท่ีไมใ ชแ ลวกม็ ีจะ ใครอยากไดบา ง กระเปาเส้ือขาดไปหนอ ย เรือ่ งตามความคิดเหน็ และทัศนคติของนกั เรยี น ประกอบดวยคณุ คาทางอารมณ และ เย็บเสียนิดกค็ งใชได คุณคาทางปญ ญา โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ ไปนี้ 3. พ่ีปา นา อาไมรงั เกียจกัน มอี ะไรกแ็ บง กนั ฉันไมมวี นั จะทิ้งลกู หลานบา นนี้ไป ไหนไดอีกแลว 1. คุณคาทางอารมณ ผอู านมีความรสู กึ อยา งไรตอเน้อื หาวรรณกรรมท่ีไดอ าน 4. เทา คนเรานี่แหละทท่ี าํ ทางขน้ึ มาแลวกเ็ ดนิ กันจนทางสกึ มคี วามสนุกสนานเพลนิ จากเนอื้ หาท่อี า นมากนอ ยเพยี งไร เกิดความรสู ึกคลอยตาม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. อะไรบา งหนอทรี่ อคอยผมอยู ไวใ หผ มโตอีก อารมณค วามรสู กึ ของตวั ละครในบทประพันธม ากนอยเพยี งไร รวมถึงมอี ารมณค วาม หนอ ยจะไมมีแตท างใตว ดั บานผมเทาน้นั หรอก มนี าํ้ เสียงสงสัยอยากรูอ ยาก รสู ึกเปลีย่ นแปลงไปกบั เร่ืองราวหรอื ทอ งเร่ืองหรอื ไม อยางไร เหน็ ขอ 2. มคี ําถามแตไมไดแ สดงความสงสยั ขอที่ 3. และขอ ท่ี 4. เปน เพียง การบอกเลา 2. คุณคา ทางปญ ญา คือ การพิจารณาคณุ คา ดา นตางๆ ทเี่ กดิ ขึน้ กับผอู า น เชน ใหข อคดิ คติสอนใจ ใหแ นวทางในการดําเนินชวี ิต หรอื แสดงแนวทางในการดาํ เนิน ชีวติ หรอื แสดงแนวคิดหรอื อุดมการณต างๆ ทส่ี อดแทรกในบทประพันธ ซ่งึ กอใหเกิด ความคิดและนําไปสคู วามแตกฉานทางสตปิ ญ ญาใหเ กดิ ข้ึนแกผอู านดว ย 36 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวEvจaสluอatบe ผล Engage Explore Explain Expand ขยายความเขา ใจ Expand ตวั อยา่ ง การวิเคราะห์นวนิยาย 1. นักเรยี นพิจารณาขอความ จากนั้นรวมกัน บงึ หญ้าปา่ ใหญ่ อภปิ รายในประเด็น ตอ ไปน้ี “การอา นนวนยิ ายนอกจากจะสามารถสราง แนวคิดหรือแก่นเร่ืองของนวนิยายเรื่อง “บึงหญ้าป่าใหญ่” หนึ่งในหนังสือ ๑๐๐ เล่ม ความบันเทิงใหกับผูอานแลว ยังใหแ งค ดิ หรอื ที่เยาวชนไทยควรอ่าน คอื สงิ่ มชี ีวิตทุกชีวติ ควรอยู่รว่ มกนั ด้วยความรกั ความเข้าใจ ความผูกพัน บทเรียนในการดาํ เนินชวี ติ แกผ ูอานไดอ กี ดว ย” ความช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน การตั้งช่ือเร่ืองช่วยท�าให้ผู้อ่านท�าความเข้าใจเร่ืองได้ง่ายข้ึน • นักเรียนเห็นดว ยกบั คํากลาวขางตนหรอื ไม กล่าวคือ รู้วา่ เน้อื หาจะกลา่ วถงึ สิ่งใดบา้ ง อยางไร จากแนวคิดหรือแก่นเร่ือง ผู้เขียนจึงได้สร้างโครงเร่ือง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรื่อง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย เพือ่ ถ่ายทอดแนวคดิ ไปสผู่ ู้อา่ น โดยสว่ นทต่ี ดั ตอนมานเ้ี ปน็ เหตุการณ์ท่เี กิดขึ้นกบั ตวั ละครตวั หนึง่ ขน้ึ อยูก บั เหตุผลของนักเรียน) ในเรอื่ ง กา� ลงั จะเดนิ ทางไปโรงเรยี น ซง่ึ กวา่ จะถงึ โรงเรยี นกต็ อ้ งเดนิ ผา่ นปา่ ใหญ ่ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ระหวา่ งการเดินทาง ร้อยเรยี งต่อเน่อื งเช่ือมโยงกัน มีความสอดคล้องกับชื่อเรือ่ ง 2. นกั เรยี นแตละกลมุ ศึกษานวนยิ ายทีน่ กั เรียน เนื้อเร่ืองโดยรวมของนวนิยายเรื่อง “บึงหญ้าป่าใหญ่” เป็นเรื่องราวของเด็กชายสองคน ประทับใจ พรอมวิเคราะหองคป ระกอบและ (ผมและโทน) ท่ีรักและผูกพันกับชีวิตในชนบท เป็นเพ่ือนรุ่นพ่ีรุ่นน้องที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คุณคาทางวรรณศลิ ปต ามแนวทางที่ไดเ รยี นมา วันเวลาผ่านไปเดก็ คนหนึง่ มโี อกาสได้ไปศึกษาต่อทอ่ี ่ืน ตอ้ งจากบา้ นไป แตอ่ กี คนหน่งึ ไม่มโี อกาส จากนนั้ บันทึกความเขาใจลงในสมุดสง ครู ได้ศึกษาเล่าเรียน มีชีวิตอยู่กับป่าและบึงเช่นเดิม แต่คนทั้งสองก็ยังมีความอ่อนโยนในหัวใจ เน้อื เรือ่ งเฉพาะท่ตี ัดตอนมาน้ี กล่าวถึง เด็กชายคนหน่งึ ทีก่ า� ลังเดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยมแี ม่มาส่ง ตรวจสอบผล Evaluate ตลอดทางก่อนถึงโรงเรียนต้องผ่านป่าใหญ่ ท�าให้เขาต่ืนตาต่ืนใจกับความเป็นไปของธรรมชาติ รอบตวั 1. นักเรยี นสามารถวิเคราะหน วนิยายได ตัวละคร เฉพาะทต่ี ัดตอนมานี ้ มตี ัวละครทีด่ �าเนินเร่ืองไดแ้ ก ่ “ผม” และแม ่ โดยพฤติกรรม 2. นักเรียนสามารถยกตัวอยางนวนยิ าย ของผมสะทอ้ นบคุ ลกิ ของตวั ละครวา่ เปน็ เดก็ ชา่ งสงั เกต สนใจทจ่ี ะเรยี นรโู้ ลกกวา้ ง แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ยังคงมีความกล้าๆ กลัวๆ ตามประสาเด็ก ส่วนตัวละคร “แม่” สะท้อนแนวคิดส�าคัญเกี่ยวกับ พรอมวิเคราะหองคประกอบของนวนิยายได การเลยี้ งดลู กู ทผี่ เู้ ขยี นไดส้ อดแทรกไว ้ คอื พอ่ แมม่ สี ว่ นอยา่ งมากตอ่ การปลกู ฝงั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ของลกู เหน็ ไดจ้ ากตอนท ่ี “ผม” ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะเดนิ ขา้ มคลองแหง้ ๆ “แม”่ กผ็ ลกั ดนั ทจี่ ะใหก้ า้ วขา้ มไป นอกจากน้ียังเป็นแม่ท่ีตอบค�าถามของลูกในทุกๆ ข้อ จึงท�าให้ “ผม” เป็นเด็กท่ีมีความสุขกับ การสงั เกตและตั้งคา� ถาม ฉาก “บงึ หญา้ ปา่ ใหญ”่ เปน็ นวนยิ ายทพี่ รรณนาฉากไดน้ า่ สนใจ ใหร้ ายละเอยี ดชดั เจน แสดง ให้เห็นพฤติกรรมของท้ังพืชและสัตว์ เช่น อาการสะบัดใบของกล้วยป่า กิริยาอาการบินของนก นอกจากปา่ ใหญแ่ ลว้ เฉพาะทต่ี ดั ตอนมานย้ี งั มโี รงเรยี นเปน็ ฉากสา� คญั อกี ฉากหนง่ึ ผเู้ ขยี นบรรยาย ใหเ้ หน็ ทงั้ ลักษณะทต่ี ง้ั สภาพของโรงเรียน รวมถงึ บรรยากาศของการเปดิ เทอมวันแรก ซึ่งนับเป็น ประสบการณ์ร่วมทผ่ี อู้ า่ นทกุ คนเคยประสบมาก่อน จึงทา� ใหเ้ กิดภาพตามได ้ ทง้ั หมดถกู นา� เสนอ คผ่าวนรคภา่ าแษกา่กทา่ีเรรเียปบน็ งห่ายน ่งึ ชในัดหเจนนัง สกือล ๑วิธ๐ีไ๐ม ่ซเับลม่ซ ้อทน่ีเ ยจาึงวนชับนไไทด้วย่าคนววรนอ่าิยนา1ยเร่ืองน้ีมีความน่าสนใจ และ 37 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’51 ออกเก่ยี วกับประสิทธภิ าพในการอาน 1 หนงั สอื ๑๐๐ เลม ที่เยาวชนไทยควรอาน โครงการคัดเลือกหนงั สือดีทเี่ ดก็ และ ขอใดเปน การอานทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ เยาวชนไทยควรอา น เปนโครงการวจิ ัยตอเนื่องจากโครงการวิจยั คัดเลอื กหนงั สือดี 1. สุดาอา นแลว รูวาเร่ืองนมี้ ที มี่ าจากไหน ๑๐๐ เลม ทีค่ นไทยควรอา น โดยมีจุดมงุ หมายเพ่อื กระตนุ ใหเ ดก็ และเยาวชนไทยรกั 2. สุรียอ านแลวรวู า ตัวละครใดเปน ตัวเอก การอา นหนงั สอื มากขนึ้ และมคี มู อื ในการอา นหนงั สอื ดี โดยมหี ลกั เกณฑใ นการคดั เลอื ก 3. สุภาอานแลวรวู า สาระสาํ คัญของเรอื่ งคืออะไร ดังน้ี 4. สพุ จนอา นแลว รวู าตอนจบของเรือ่ งจะเปน อยางไร • เปน หนงั สือประเภทบนั เทงิ คดี ทเี่ ขียนข้นึ เองโดยไมจ าํ กัดยคุ สมยั วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. สุภาอานแลว รูวาสาระสาํ คัญของเรือ่ งคอื • มีความคิดรเิ ร่มิ สรา งสรรค มเี น้อื หาสง เสรมิ ความเขา ใจชีวิต สังคม และมี อะไร การอา นที่มปี ระสิทธิภาพมากท่ีสดุ คอื อานแลวจับสาระสําคญั ของ ศิลปะในการเขยี นทีด่ ี เรือ่ งได • มเี น้ือหา ทว งทํานอง ภาพประกอบเหมาะสมกับวยั • เปน การวางพ้นื ฐานในการอา นวรรณคดที ่ีเปน แบบฉบบั ของไทย คูม อื ครู 37

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ๔. การอา่ นส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ดังตอไปน้ี • ในชีวิตประจําวันนักเรียนใชส ื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส ประเภทใดเปนสว นใหญ และนักเรยี นใชส อ่ื มนุษย์ในยุคปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยี ส่งผล อเิ ล็กทรอนกิ สสืบคน เนอื้ หาเรือ่ งราวเก่ยี วกบั ให้สามารถส่ือสารกันได้ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ จากความเจริญก้าวหน้าทางด้าน อะไรบา ง เทคโนโลยีท�าให้ติดต่อกันได้ในลักษณะของ สาํ รวจคน หา Explore เครอื ขา่ ยการส่ือสารขอ้ มูล (network) สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวกและ นกั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั ความหมายและ รวดเร็ว นอกจากน้ันเครือข่ายการสื่อสาร ความสําคญั ของส่ืออิเล็กทรอนกิ ส ประเภทของ แบบไรส้ ายทา� ใหก้ ารรบั ขอ้ มลู ขา่ วสารเปน็ ไปได้ สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส และแนวทางในการอานส่ือ โดยทั่วถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีทุกคนรู้จัก อเิ ลก็ ทรอนิกส คอื อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) ซง่ึ เชอื่ มโยงอปุ กรณ์ อธบิ ายความรู Explain คอมพิวเตอร์ท่ัวโลกเข้าด้วยกัน จากการท่ี 1. นกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเหน็ ในประเด็น อินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้ โดยไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ ตอ ไปนี้ • นกั เรียนคดิ วา สอื่ อเิ ล็กทรอนกิ สม ีความ ที่ใดในโลก จึงเป็นช่องทางในการแลกเปล่ียน สําคัญตอ การดาํ เนนิ ชวี ิตของคนในปจจุบัน อยางไร ▼ คอมพิวเตอรเปน ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกสทใ่ี ชส าํ หรับการคน ควา ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี บริการต่างๆ ถูก (แนวตอบ เปน ตน วา ชวยในการติดตอส่ือสาร สร้างข้ึนโดยอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทาง รวมถึงการคน ควา ขอ มูลขาวสารไดอ ยาง กวา งขวางรวดเรว็ ) ในการน�าสง่ เช่น จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ กระดานขา่ ว และบรกิ ารสนทนาโตต้ อบทันที เป็นต้น ๑) ความหมายของสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ 2. นกั เรียนจบั คู จากนั้นครูสุมนกั เรียน 2 - 3 คู รว มกันตอบคําถามหนาชั้นเรยี นในประเด็น ไดใ้ ห้ความหมายของคา� ว่า “สอ่ื ” ว่าหมายถงึ สง่ิ ที่ตดิ ต่อให้ถึงกัน ชกั น�าให้รู้จกั กนั สื่อหรือมเี ดีย (media) มรี ากศพั ทม์ าจากภาษาละตนิ แปลวา่ “ระหวา่ ง” ซงึ่ หมายถงึ สงิ่ ทบ่ี รรจขุ า่ วสารเพอ่ื กอ่ ให้ เกดิ การสอ่ื สารตามวัตถุประสงค์ จงึ กล่าวไดว้ า่ “ส่อื ” คือ ตัวกลางการนา� เสนอข้อมลู ข่าวสาร ส่ือมี วิวัฒนาการอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่รูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ หนังสือ แผนท่ี และรูปภาพไปจนถึงส่ือที่ ตอ ไปนี้ นา� เสนอขอ้ มลู ขา่ วสารโดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส”์ ซงึ่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร • ส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ สแบง ออกเปน ก่ปี ระเภท ทนี่ �าเสนอจะอยู่ในรูปของขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ และใช้อปุ กรณ์ในการอ่าน เชน่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ อะไรบา ง นกั เรยี นยกตวั อยางการใชส ื่อ อเิ ลก็ ทรอนิกสแตล ะประเภท ตั้งโตะ คอมพวิ เตอร์แบบพกพา โทรศพั ท์เคลอื่ นที่ เป็นต้น (แนวตอบ แบงเปน 2 ประเภท ไดแก ๒) ประเภทของสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ สส์ ามารถจา� แนกตามวิธกี ารเขา้ ถงึ ได้ สือ่ อิเลก็ ทรอนิกสป ระเภทออฟไลน ซ่งึ ขอ มูล ๒ ประเภทใหญๆ่ คือ สือ่ อเิ ล็กทรอนิกสป์ ระเภทออฟไลน์ และส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ ถูกเกบ็ ในอุปกรณบนั ทกึ อาทิ ซดี รี อม และส่อื อิเลก็ ทรอนกิ สประเภทออนไลน มีการเชอ่ื มโยงเครือขายขอมลู อาทิ 38 เครอื ขา ยอนิ เทอรเนต็ ) 3. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการสบื คน ขอมูลจากอนิ เทอรเ น็ต จากขอความตอไปนี้ คําใดไมส ามารถ ใชเ ปนคาํ หลกั ในการสืบคน ขอมลู ในการเรยี นการสอนเรื่องการอา นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สน้นั ครผู ูสอนอาจจัดกิจกรรม จากอินเทอรเ นต็ เรอื่ ง พายงุ วงชา ง โดยใหน กั เรียนไดเ รียนรจู ากสอื่ จริง เพ่ือเปนการกระตนุ ใหเกิดการเรยี นรแู ละเปน การเปล่ียนบรรยากาศการเรยี นการสอน ซึง่ จะชวยเรา ความสนใจของนักเรยี นไดดยี งิ่ พายงุ วงชา งมชี อ่ื เรยี กอกี อยางหนึง่ วา พายุนาคเลนนา้ํ หรือพวยนํา้ ข้ึน เชน การพาไปชมหอ งสมดุ โรงเรียน หอ งโสตทัศนศึกษา รวมถึงหองคอมพวิ เตอร ในทองถิ่นบางแหงเรียกวา ลมงวง หรอื ลมหัวกดุ ของโรงเรยี น เปน ตน การพานกั เรียนไปแหลง เรียนรอู ืน่ ๆ นอกหอ งเรียนน้นั นอกจาก จะกระตุน ความสนใจแลวยังเปน การเปดโลกทัศน และแนวทางการหาความรจู าก 1. งวงชาง แหลง เรียนรูต า งๆ ใหกบั ผเู รยี นอีกดว ย 2. พวยนาํ้ 3. ลมงวง การสอนเกย่ี วกับการสืบคน ขอมูลทางอินเทอรเ น็ตนอกจากครูผูส อนจะใหความรู 4. นาคเลนนา้ํ เก่ียวกับวธิ กี ารใชงานแลว ครผู สู อนควรเนนยา้ํ ใหผเู รียนตระหนักถึงอนั ตรายท่แี ฝงมา กบั การใชอินเทอรเ น็ตทีไ่ มถ ูกวธิ ี เพราะถึงแมอนิ เทอรเนต็ จะมีประโยชนแ ละสามารถ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. งวงชาง จากช่อื เร่อื งพายุงวงชา งเปน ภาษา ใชส ืบคนขอมูลขาวสารความรไู ด แตก ็มีคนใชเลหเ หล่ยี มกลโกงหลอกลวงคนทัว่ ไป ผูเ รียนจงึ ตอ งมวี ิจารณญาณในการใชส อื่ อินเทอรเน็ตใหถ ูกตอ งและเกดิ ประโยชน ปากท่ีไมเ ปนทางการ ในขณะที่ขออืน่ คาํ วา “พวยนาํ้ ” “ลมงวง” และ “นาค เลน นํา้ ” เปนคําหลกั ท่ใี ชในการสืบคนไดเพราะมีลกั ษณะเปน ทางการ เปนชอื่ ที่กรมอุตนุ ิยมวทิ ยาบัญญตั ขิ ้นึ มาใช หากสบื คน ดว ยคําดังกลาวก็จะปรากฏ ขอ มูลท่ีตองการ 38 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒.๑) สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สป์ ระเภทออฟไลน ์ คอื ขอ้ มลู ทถ่ี กู เกบ็ อยู่ในอปุ กรณบ์ นั ทกึ ขอ้ มลู 1. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย เช่น ซีดีรอม (CD-ROM) ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสก์ หรือดีวีดี (DVD) เป็นต้น ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ความรูใ นประเด็น ตอ ไปน้ี ประเภทนี้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้โดยตรงจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นต่างๆ เช่น • นักเรยี นคดิ วา การสืบคน ขอ มูลจากส่ือ ภาพยนตร์ ดนตรี สารานุกรม หรอื วารสารวิชาการในรูปของซีดีรอม หรือสอื่ ทนี่ �าเสนอบทเรียนจาก อเิ ล็กทรอนกิ สควรคาํ นึงถงึ เร่อื งใดบาง เอกสาร ตา� รา ใหอ้ ยู่ในรูปของสื่อการเรยี นการสอนทางคอมพวิ เตอร์ เชน่ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ อยางไร ภาษาไทยมธั ยมศกึ ษาปท ่ี ๔ บทเรียนคอมพิวเตอร์ในชีวติ ประจา� วนั เปน็ ตน้ (แนวตอบ พจิ ารณาความนา เช่ือถอื ของแหลง ๒.๒) ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ คือ ส่ือท่ีถูกเก็บอยู่ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ขอ มลู ความถกู ตอ งของขอ มูล ซ่ึงควรระบุ วอานื่ รสผา้อูร่าเนอจกะสเาขรา้ ถพงึ จสน่อื าไนดุกโ้ รดมยผเปา่ นน็ บตน้ริกาทร่ีใตหา่ บ้ งรๆกิ าขรอผงา่ เนคอรนิือเขท่าอยรก์เนาร็ตส1หื่อสรือาขรขอ้ ้อคมวาูลมปเชรน่ะชาหสนัมงั พสนัอื ธพ์ขมิ อพง์ แหลง อางอิง รวมถงึ พิจารณาความทันสมัย ของขอ มลู ดวย) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด หนว่ ยงานที่ส่งมาในรปู ของไปรษณียอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ หนังสอื พมิ พ์ออนไลนต์ า่ งๆ ขยายความเขา ใจ Expand ๓) แนวทางในการอา่ นสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ ๑. พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่ีน�าเสนอ อาจพิจารณาได้จากข้อมูลมีการ 1. ครูนําบทความทไี่ ดจ ากสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ สม า ใหน ักเรยี นศกึ ษา จากนัน้ ใหนักเรียนรว มกัน ระบชุ อ่ื ของผใู้ หข้ อ้ มลู หรอื แหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู วิเคราะห โดยใชค วามรทู ไี่ ดเรียนมา มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อน 2. นักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี • นักเรียนมีวธิ ีการจัดการกับขอมูลท่ีมี เผยแพร่ ความหลากหลายทน่ี ักเรียนสบื คน จากสื่อ อินเทอรเ นต็ อยา งไร ๒. พจิ ารณาความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู (แนวตอบ เปน ตนวา นักเรียนตอ งรูจักประเมนิ ความนา เช่ือถอื ของขอ มลู ท่ไี ดรับ ดว ยการ ทน่ี า� เสนอ ขอ้ มลู ทด่ี ตี อ้ งมคี วามถกู ตอ้ งครบถว้ น เปรียบเทียบ และการคดิ วิเคราะหข อมูลอยา ง รอบดา น) มกี ารอ้างองิ ข้อมลู มากกวา่ หน่งึ แหล่ง และควร 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ มีการระบวุ นั ที่ไว้ 4. นกั เรียนจับครู วมกนั สืบคนขอมูลจากสอ่ื ๓. พิจารณาความทันสมยั ว่ามีการ อิเลก็ ทรอนิกสประเภทออนไลน โดยครกู ําหนด หวั ขอประเด็นใดประเด็นหนึง่ ใหนกั เรยี น เปลย่ี นแปลงหรอื ปรบั ปรงุ ข้อมูลอยู่เสมอๆ โดย ▼ สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกสประเภทออนไลน ชวยใหผใู ชค อมพวิ เตอร รว มกนั สบื คน อาทิ บทความ ขา วสาร หรอื สาระ เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ ธุรกิจ สามารถสืบคนขอมูลผานบริการตางๆ ของเครือขายขอมูลได ความรู พรอ มวเิ คราะหค วามนา เชอื่ ถอื ของขอ มลู วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี อยา งรวดเร็ว ท่ีไดจ ากสื่ออิเล็กทรอนิกส จากนนั้ บันทึกความ เขาใจลงในสมดุ สงครู ¡ÒÃ͋ҹÊè×ÍÊèÔ§¾ÔÁ¾ ¼ÙŒÍ‹Ò¹¨ÐµŒÍ§ÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡èÕÂǡѺÊ×èÍÊÔè§¾ÔÁ¾ »ÃÐàÀ· ¢Í§Êè×Í ¡ÒÃ͋ҹÊ×èÍÊèÔ§¾ÔÁ¾»ÃÐàÀ·µ‹Ò§æ ¨Ðª‹Ç·íÒãËŒ¼ÙŒÍ‹Ò¹ÊÒÁÒöÊѧà¤ÃÒÐˏ¤ÇÒÁÃÙŒ¨Ò¡ ¡ÒÃ͋ҹÊèÍ× Êè§Ô ¾ÁÔ ¾ ËÃÍ× ÊÍ×è ÍàÔ Åç¡·Ã͹ԡʏ µÅÍ´¨¹ÊÒÁÒöÇÔà¤ÃÒÐˏ Ç¨Ô Òó áÅÐáÊ´§¤ÇÒÁ ¤Ô´à˹ç à¡ÕèÂÇ¡ºÑ ÊÍè× Êè§Ô ¾ÔÁ¾· èÕ͋ҹ䴌ÍÂÒ‹ §ÊÁàËµÊØ Á¼ÅáÅÐÁÕÇ¨Ô ÒóÞÒ³ 39 บรู ณาการเชอ่ื มสาระ เกร็ดแนะครู ครูบูรณาการความรูเร่อื งการอา นสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สเขา กับกลมุ สาระการ เรียนรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ครูผสู อนตอ งเนนยาํ้ ใหน กั เรยี นรูจักพิจารณาความนาเชอื่ ถอื ของขอมลู จากสอ่ื สอ่ื สาร เร่อื งเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซง่ึ เปน แหลง ขอมลู ท่สี าํ คัญในปจจุบัน อิเล็กทรอนกิ ส โดยเฉพาะสอ่ื อิเล็กทรอนิกสประเภทออนไลน เนอื่ งจากงานเขยี น ครูช้ใี หนกั เรยี นเหน็ ความสมั พันธร ะหวางการมคี วามรเู รื่องเทคโนโลยี หรอื ขอ มลู ที่ปรากฏอยูในเว็บไซตนนั้ ไมไ ดรับการยนื ยนั ขอ มูลทถี่ กู ตอ ง บางขอมลู สารสนเทศกบั การพิจารณาขอ มลู ดว ยทักษะการอานจากขอ มลู ที่นักเรยี นได กไ็ มมกี ารอางองิ และไมปรากฏช่ือผเู ขียน ทําใหการรับขอมูลจากอนิ เทอรเ น็ตนนั้ สืบคน ตองระมัดระวงั พอสมควร หากนาํ มาอา งอิงตองตรวจสอบความถูกตอ งและความ นกั เรยี นสามารถเขาถึงแหลงความรทู เ่ี ปนประโยชนต อ การศกึ ษาที่มี นาเชื่อถือกอ น นอกจากน้ี ตอ งระบวุ ันเวลาทส่ี บื คน ไวด ว ยเพราะขอมูลขา วสารยอม ความทันสมยั และกวางขวาง โดยการมีความรเู รอ่ื งเทคโนโลยสี ารสนเทศ มคี วามเปลีย่ นแปลงเสมอ และขอ มูลที่นักเรยี นไดรบั อาจจะเปนขอ มลู ท่ีไมท นั สมยั ควบคูไปกับทกั ษะการอานจะชวยใหน ักเรียนสามารถใชความรูดงั กลาวเปน ชอ งทางในการแลกเปลีย่ นขอ มลู ขา วสาร บริการตางๆ ไดอยา งเหมาะสม นกั เรยี นควรรู และเกดิ ประโยชนสูงสดุ 1 อินเทอรเนต็ มาจากคําวา อนิ เทอร (Inter) หมายถึงชองทางหรือทามกลาง สวนคาํ วา เน็ต (Net) หมายถึงเครือขาย (Network) อินเทอรเ น็ตจงึ หมายถึง เครือขายคอมพวิ เตอรข นาดใหญท ่มี ีการเช่อื มตอ เครือขา ยหลายๆ เครอื ขายทั่วโลก คูมอื ครู 39

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสามารถแบงประเภทของสอ่ื ได คาำ ถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ 2. นักเรียนยกตวั อยา งส่ือประเภทหนังสอื สื่อเพอ่ื ๑. การอ่านหนังสือพิมพ์ให้ความรทู้ ห่ี ลากหลายหรือไม่ อย่างไร การเผยแพร และส่ือเพอ่ื การบรรจภุ ัณฑ พรอม ๒. องคป์ ระกอบของเรื่องสัน้ นวนยิ าย มีความสา� คัญตอ่ การอ่านอย่างไร จงอธิบาย ความเรยี งวิเคราะหอ งคประกอบของส่อื 3. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหเ รือ่ งสนั้ ได และยกตัวอย่างประกอบ 4. นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งเร่ืองสน้ั พรอม ๓. การอา่ นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สม์ คี วามจา� เปน็ หรือไม่ อยา่ งไร วเิ คราะหอ งคประกอบของเรื่องส้นั ได ๔. การอา่ นสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์มแี นวทางในการอา่ นอยา่ งไร จงอธิบายพอสงั เขป 5. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหน วนิยายได ๕. การอา่ นเพ่ือตรวจสอบความรใู้ นเรอ่ื งท่นี กั เรยี นสนใจ มหี ลักในการอ่านอยา่ งไร 6. นักเรียนสามารถยกตัวอยางนวนิยาย พรอม วเิ คราะหอ งคป ระกอบของนวนิยายได จงยกตัวอย่างประกอบ 7. นกั เรยี นสามารถสบื คน ขอมูลจากส่ือ อิเล็กทรอนิกสได 8. นักเรียนสามารถยกตัวอยางขอมลู ท่ไี ดจ าก การสบื คนจากส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส และสามารถ วเิ คราะหข อ มลู ได หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรุปสาระสําคญั จากการแบงประเภท ๑. ให้นกั เรียนรวบรวมสือ่ ส่งิ พมิ พ์ทเ่ี คยอา่ นในชีวิตประจ�าวนั แล้วชว่ ยกันแยกประเภท ของสอ่ื ของสอ่ื ส่งิ พิมพ์ พรอ้ มท้งั อธิบายลกั ษณะของสารท่สี อื่ น�าเสนอวา่ มีความแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร 2. ตวั อยา งสือ่ ประเภทหนงั สอื สอ่ื เพ่ือการเผยแพร และสอ่ื เพอ่ื การบรรจภุ ณั ฑ พรอ มความเรียง ๒. ให้นักเรียนแนะน�าสอื่ ส่งิ พมิ พ์ ๑-๒ ประเภท ให้เหมาะสมกบั วยั ของสมาชิก วิเคราะหองคป ระกอบ ในครอบครวั เพ่ือสง่ เสรมิ การอา่ นและพฒั นาความรู้ 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั เรอ่ื งสัน้ ๓. ให้นักเรียนเลือกอ่านนวนิยาย คนละ ๑ เรอ่ื ง หากเลอื กเรื่องซา้� กนั ให้รวมกลุม่ กัน 4. ตัวอยา งเร่ืองสั้น พรอ มความเรยี งวิเคราะห วิจารณน์ วนยิ ายตามโครงสรา้ งที่ไดศ้ ึกษา เพื่อพฒั นาทกั ษะการอา่ นและการแสดง ความคดิ เหน็ ร่วมกนั องคประกอบของเร่ืองสนั้ 5. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เกยี่ วกบั นวนยิ าย 40 6. ตัวอยางนวนยิ าย พรอ มความเรยี งวเิ คราะห องคป ระกอบของนวนยิ าย 7. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกบั การอานสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส 8. ตวั อยางขอมูลจากสือ่ อเิ ล็กทรอนกิ ส พรอ มวเิ คราะหขอ มูล 9. บันทึกการตอบคําถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. นักเรียนสามารถตอบไดอ ยางหลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น โดยนกั เรียนอาจกลาวถงึ ลักษณะของหนังสือพมิ พซงึ่ เปน สื่อทีใ่ ชใ นการเผยแพรขอ มูลขาวสาร รวมถึงสาระความรูและขอคดิ เห็น นกั เรียนจึงสามารถศกึ ษาขอ มลู ท่มี คี วามหลากหลาย ตลอดจนไดทาํ ความเขา ใจทรรศนะทมี่ ีความหลากหลายไดอกี ดว ย 2. องคป ระกอบของเร่ืองส้ันและนวนยิ ายถอื เปน สว นสาํ คัญในการทาํ ความเขาใจเนือ้ หา คณุ คาทางวรรณศลิ ป ตลอดจนสารสําคญั ทผี่ แู ตงตองการนําเสนอ รวมท้ังกอ ใหเกิด การตีความของผอู า น 3. นักเรียนสามารถตอบไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น เนือ่ งจากสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกสมีบทบาทสาํ คญั อยางมากในสงั คมปจจบุ นั เปนแหลง คน ควาขอ มลู ขาวสาร รวมถึงแหลงรวมส่ือบันเทงิ ตา งๆ นอกจากนี้ บทบาทท่สี าํ คัญคอื เปน ส่อื กลางในการสื่อสารระหวางบุคคลผานเครอื ขา ยออนไลน อาทิ จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส 4. แนวทางในการอา นส่อื อเิ ล็กทรอนกิ สตองพิจารณาความนาเชอ่ื ถอื ความถูกตอ ง แหลงอางอิง ตลอดจนความทันสมยั ของขอ มลู 5. การอานเพื่อตรวจสอบความรูในเร่ืองทีแ่ ตล ะคนสนใจ นักเรยี นควรเนน การคน ควา ขอ มูลความรตู างๆ อยางกวางขวาง รวมถึงวิเคราะหข อ มูลท่ีมีความหลากหลาย โดยอาศัยแหลง อางองิ ทมี่ คี วามนาเชอ่ื ถือ 40 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๑ 1. ตีความ แปลความ และขยายความเรือ่ งท่อี าน 2. วิเคราะหแ ละวิจารณเ รือ่ งทอี่ า นในทุกๆ ดาน อยา งมีเหตุผล 3. ตอบคําถามจากการอา นงานเขยี นประเภท ตา งๆ ภายในเวลาทีก่ ําหนด 4. อานเรือ่ งตา งๆ แลว เขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ บันทกึ ยอ ความ และรายงาน 5. สังเคราะหความรูจากการอา นสอื่ ส่งิ พิมพ สอ่ื อิเล็กทรอนิกสและแหลง เรียนรูตางๆ ฯลฯ การอา นแปลความ สมรรถนะของผเู รยี น ตีความ และขยายความ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร เปนการอานทีม่ ีความสมั พันธเกี่ยวเนือ่ งกัน 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวติ โดยการอา นแปลความเปน ทกั ษะพนื้ ฐาน 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี ของการอานตคี วาม และการอา นเพ่อื ขยายความ óหน่วยการเรียนรทู้ ี่ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค ถา สามารถแปลความเร่ืองทอี่ านไดแ ลว ก็ยอ ม ชว ยสง เสริมใหต ีความเรอ่ื งทอี่ าน และขยายความ 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมน่ั ในการทํางาน ไดในท่ีสดุ การศกึ ษาหลักเกณฑแ ละวิธีการอา น 3. รกั ความเปนไทย แตล ะประเภท ยอมชวยใหอานสารตา งๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพ การอา นแปลความ ตคี วาม กระตนุ ความสนใจ Engage และขยายความ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี • ตีความ แปลความ และขยายความเรอื่ งท่อี า่ น • การอ่านแปลความ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๒) • การอา่ นตคี วาม • ถา นกั เรียนอา นนวนยิ าย เร่อื งสนั้ หรือการต นู • การอ่านขยายความ เลมเดียวกบั เพอ่ื นของนกั เรยี น นกั เรียนคดิ วา • วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เร่อื งที่อา่ นในทุกๆ ดา้ นอยา่ งมีเหตุผล ความเขาใจเนอื้ หาในบทอานของนกั เรยี นมี (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓) ความแตกตางจากคนอนื่ หรือไม อยางไร และนกั เรยี นคดิ วา เกิดจากสาเหตุใด • ตอบค�าถามจากการอ่านงานเขยี นประเภทต่างๆ ภายในเวลา ทกี่ า� หนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) • อา่ นเรื่องตา่ งๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคดิ ผังความคดิ บันทกึ ย่อความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) • สงั เคราะห์ความรู้จากการอา่ นสอ่ื สง่ิ พิมพ ์ สอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ และแหล่งเรยี นรู้ต่างๆ ฯลฯ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๘) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรูน ้ี ครคู วรแนะนาํ ใหนกั เรยี นตระหนักและเหน็ ความสําคัญของ การอา น การอานมีความสําคญั คือ ชวยใหผ อู า นมคี ลงั ขอ มูลอยูในสมอง เพราะการ อานเปน การรบั สาร ผอู านจะไดร ับความรตู า งๆ ทาํ ใหเ ปนผทู ่ีทันโลกทันเหตุการณ อยูเสมอ คลงั ขอมลู นีเ้ ปน พนื้ ฐานทจี่ ะนาํ ผูอ านไปสกู ารคิดไดค ดิ เปน ในอนาคต ฉะนัน้ การอา นจึงเปน แนวทางในการพัฒนาความคดิ ครคู วรเนน ทบทวนความรู และประสบการณเ ดิมในชีวิตประจาํ วันของนกั เรยี น เพ่ือใหน กั เรยี นไดท บทวนความรู และเชื่อมโยงเนอื้ หาในบทเรยี นกบั การดําเนนิ ชวี ิตของนักเรยี น และสามารถนําองค ความรูจากการเรียนการสอนไปประยุกตใ ชใ นชีวติ ประจาํ วนั ได นอกจากนี้ ครคู วร ช้ใี หน ักเรยี นเห็นความสําคัญในการพัฒนาทกั ษะดานการอา น ใหน กั เรียนสามารถ วเิ คราะหข อมลู ไดอยา งถูกตอง รวมถงึ ในการเรยี นการสอนเรื่องการอานแปลความ ตีความและขยายความนนั้ ครูผูสอนตอ งใหค วามสาํ คัญในเรือ่ งของการฝก คดิ วิเคราะห เพราะการอา นทั้งสามประเภทจะชว ยใหผูเ รียนมีสมั ฤทธผิ ลในการอาน มากขน้ึ ชวยทําใหผเู รยี นสังเคราะหความรูจากการอานไดถ ูกตองครบถวน คูม ือครู 41


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook