เอกสารประกอบคูม อื ครู กลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ภาษาไทย สําหรบั ครู หลกั ภาษาและการใชภาษา 4ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ ลักษณะเดน คูมือครู Version ใหม ขยายพน้ื ที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดมิ จดั แบงพ้นื ท่อี อกเปน โซน เพ่ือคน หาขอมูลไดง าย สะดวก รวดเร็ว และดูเปน ระเบียบ กระตนุ Enคgวagาeมสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate Explore เปาหมายการเรยี นรู สมรรถนะของผูเ รยี น คณุ ลักษณะอันพึงประสงค โซน 1 หนา หนา โซน 1 หนังสือเรียน หนังสือเรียน กระตนุ ความสนใจ Engage ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ สอบ O-NET สาํ รวจคน หา Explore บรู ณาการเช่ือมสาระ อธบิ ายความรู Explain โซน 3 ขยายความเขา ใจ Expand กจิ กรรมสรา งเสรมิ กิจกรรมทาทาย ตรวจสอบผล Evaluate โซน 2 โซน 3 เกร็ดแนะครู No. คูม ือครู นกั เรียนควรรู โซน 2 บเศูรณราษกาฐรกิจพอเพียง บรู ณาการอาเซยี น มมุ IT คมู อื ครู No. โซน 1 ข้นั ตอนการสอนแบบ 5Es โซน 2 ชวยครเู ตรยี มสอน โซน 3 ชวยครเู ตรยี มนกั เรยี น เพื่อใหครเู ตรยี มจดั กจิ กรรมการเรยี น เพือ่ ชว ยลดภาระครผู สู อน โดยแนะนาํ เพ่อื ใหค รูสะดวกตอการจดั กิจกรรม โดย การสอน โดยแนะนาํ ข้ันตอนการสอนและ เกร็ดความรูส าํ หรบั ครู ความรูเสริมสาํ หรบั แนะนาํ กจิ กรรมบรู ณาการเชอื่ มระหวา งสาระหรอื การจดั กิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอยี ด นกั เรียน รวมทั้งบรู ณาการความรูสอู าเซียน กลุมสาระการเรียนรู วิชา กจิ กรรมสรา งเสรมิ เพ่ือใหนกั เรยี นบรรลุตามตัวชวี้ ัด กิจกรรมบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง และ กจิ กรรมทาทาย รวมถึงเนอ้ื หาทเี่ คยออกขอสอบ มมุ IT O-NET แนวขอ สอบ NT/O-NET ทเ่ี นน การคดิ พรอ มเฉลยและคาํ อธบิ ายอยา งละเอยี ด
แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชใ นคูมอื ครู 1. แถบสี 5Es แถบสีแสดงขนั้ ตอนการสอนและการจัดกจิ กรรม แบบ 5Es เพ่ือใหครูทราบวาเปนข้ันการสอนขน้ั ใด สีแดง สเี ขียว สีสม สฟี า สมี ว ง กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล 2เสร�ม Engage Explore Explain Expand Evaluate • เปนขน้ั ที่ผูสอนเลอื กใช • เปน ข้ันทผ่ี สู อน • เปน ข้นั ทผ่ี ูสอน • เปน ข้ันทีผ่ ูสอน เทคนคิ กระตุน ใหผ ูเ รียนสํารวจ • เปนขั้นที่ผูส อน ความสนใจ เพอ่ื โยง ปญ หา และศึกษา ใหผ ูเ รยี นคนหา ใหผ เู รยี นนําความรู เขา สูบทเรยี น ขอมลู คาํ ตอบ จนเกดิ ความรู ไปคิดคน ตอๆ ไป ประเมนิ มโนทัศน เชงิ ประจกั ษ ของผูเ รียน 2. สัญลักษณ สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค • แสดงเปา หมายการเรียนรูท ่นี ักเรียน ขอ สอบ O-NET • ชแ้ี นะเนอ้ื หาทเ่ี คยออกขอ สอบ ตอ งบรรลุตามตวั ชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ (เฉพาะวชิ า ชน้ั ทส่ี อบ O-NET) O-NET โดยยกตวั อยา งขอ สอบ ที่จะตองมี และคณุ ลกั ษณะที่พงึ เกดิ ขนึ้ พรอ มวเิ คราะหค าํ ตอบ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET อยา งละเอยี ด เปา หมายการเรยี นรู กบั นักเรียน (เฉพาะระดบั ชน้ั • เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน หลักฐานแสดง • แสดงรอ งรอยหลักฐานตามภาระงาน มธั ยมศกึ ษาตอนตน ) ผลการเรยี นรู การคดิ และเปน แนวขอ สอบ เกรด็ แนะครู ทค่ี รูมอบหมาย เพ่อื แสดงผลการเรียนรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT NT/O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา ตามตวั ชี้วดั ตอนตน มที งั้ ปรนยั - อตั นยั (เฉพาะระดบั ชน้ั พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด • แทรกความรูเสริมสาํ หรบั ครู ขอ เสนอแนะ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย) • เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน ขอ ควรระวงั ขอ สังเกต แนวทางการจดั กจิ กรรมและอน่ื ๆ เพ่ือประโยชนใ นการ การคดิ และเปน แนวขอ สอบ จดั การเรยี นการสอน O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย มที ง้ั ปรนยั - อตั นยั • ขยายความรเู พ่มิ เตมิ จากเนอ้ื หา เพ่ือให พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด นักเรียนควรรู ครนู ําไปใชอธบิ ายเพิ่มเติมใหน กั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม ไดม ีความรมู ากข้ึน เชอื่ มกบั สาระหรอื กลมุ สาระ บรู ณาการเชอ่ื มสาระ การเรยี นรู ระดบั ชนั้ หรอื วชิ าอน่ื ทเ่ี กย่ี วขอ ง • กจิ กรรมเสริมสรา งพฤติกรรมและปลกู ฝง คา นิยมตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง บูรณาการ เศรษฐกจิ พอเพยี ง • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม • ความรหู รอื กจิ กรรมเสรมิ ใหค รนู าํ ไปใช กจิ กรรมสรา งเสรมิ ซอ มเสรมิ สาํ หรบั นกั เรยี นทคี่ วร เตรยี มความพรอ มใหก บั นกั เรยี นกอ นเขา สู ไดร บั การพฒั นาการเรยี นรู ประชาคมอาเซยี นใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการอาเซียน บรู ณาการกบั วชิ าทกี่ าํ ลงั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม • แนะนําแหลง คน ควาจากเว็บไซต เพ่อื ให กจิ กรรมทา ทาย ตอ ยอดสาํ หรบั นกั เรยี นทเ่ี รยี นรู ไดอ ยา งรวดเรว็ และตอ งการ ครแู ละนกั เรยี นไดเขาถงึ ขอ มูลความรู ทา ทายความสามารถในระดบั ทสี่ งู ขนึ้ มมุ IT ท่ีหลากหลาย ทั้งไทยและตา งประเทศ คมู อื ครู
5Es การจัดกิจกรรมตามขน้ั ตอนวฏั จักรการเรยี นรู 5Es ขั้นตอนการสอนท่ีสัมพันธกับข้ันตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซ่ึงผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขนั้ ตอนการเรียนรู ดงั นี้ ข้นั ที่ 1 กระตนุ ความสนใจ (Engage) เส3ร�ม เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพ่ือกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณท่ีนาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรหู รือประสบการณเดมิ ของผเู รยี น เพอ่ื เชอ่ื มโยงผเู รียนเขา สูความรูของบทเรียนใหม ชว ยใหผูเรยี นสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรยี นรูของบทเรียนได จงึ เปนข้ันตอนการสอนทีส่ าํ คัญ เพราะเปน การเตรยี มความพรอ มและสราง แรงจงู ใจใฝเ รียนรูแกผ ูเ รยี น ขนั้ ท่ี 2 สาํ รวจคน หา (Explore) เปน ขน้ั ทผี่ สู อนเปด โอกาสใหผ เู รยี นลงมอื ศกึ ษา สงั เกต หรอื รว มมอื กนั สาํ รวจ เพอ่ื ใหเ หน็ ขอบขา ยของประเดน็ หรอื ปญ หา รวมถงึ วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูท่ีจะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเดน็ หรือปญ หาที่จะศึกษาคน ควาอยา งถอ งแทแลว กล็ งมือปฏิบัติเพ่อื เก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธกี ารตา งๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อา นคนควาขอมลู จากเอกสาร แหลง ขอ มลู ตา งๆ จนไดข อมลู ความรูทเ่ี กีย่ วขอ งกับประเด็นหรอื ปญหาที่ศกึ ษา ข้ันที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปน ข้นั ที่ผูสอนมปี ฏสิ ัมพันธกับผเู รยี น เชน ใหการแนะนํา ตั้งคาํ ถามกระตุน ใหค ดิ เพ่อื ใหผ เู รยี นคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในข้ันท่ี 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนน้ีฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยา งเปน ระบบ ขัน้ ท่ี 4 ขยายความเขา ใจ (Expand) เปนขั้นท่ีผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูท่ีเกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูท่ีสรางข้ึนใหมไปเช่ือมโยง กบั ประสบการณเ ดมิ โดยนาํ ขอ สรปุ ทไี่ ดไ ปใชอ ธบิ ายเหตกุ ารณต า งๆ หรอื นาํ ไปปฏบิ ตั ใิ นสถานการณใ หมๆ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ชวี ติ ประจาํ วนั ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งข้ึน ในข้ันตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสรมิ สรา งวิสัยทัศนใ หก วางไกลออกไป ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) เปน ขน้ั ทผ่ี สู อนประเมนิ มโนทศั นข องผเู รยี น โดยตรวจสอบจากความคดิ ทเี่ ปลย่ี นไปและความคดิ รวบยอดทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏบิ ตั ิ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคดิ หรอื ยอมรับเหตผุ ลของคนอืน่ เพือ่ การ สรา งสรรคค วามรรู ว มกนั ผเู รยี นสามารถประเมนิ ผลการเรยี นรขู องตนเอง เพอื่ สรปุ ผลวา มคี วามรอู ะไรเพม่ิ ขนึ้ มาบา ง เกดิ ความเขา ใจ มากนอ ยเพียงใด และจะนําความรูเหลา นน้ั ไปประยุกตใชใ นการเรียนรเู ร่อื งอน่ื ๆ หรือในชวี ิตประจาํ วันไดอยางไร ผูเรียนจะเกดิ เจตคติ และเห็นคณุ คา ของตนเองจากผลการเรียนรูท ี่เกดิ ขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูท่ีมีความสุขอยา งแทจ รงิ การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามข้ันตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรยี นรทู ่มี ีประสิทธภิ าพ สง ผลตอ การยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ของผูเรยี น ตามเปา หมายของการปฏริ ูปการศึกษาทศวรรษท่ี 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทกุ ประการ คมู อื ครู
คําอธิบายรายวิชา กลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1-2 รายวชิ า ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภ าษา ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เวลา 60 ช่วั โมง/ป รหัสวชิ า ท………………………………… เส4ร�ม ฝกทักษะการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด การวิเคราะหและประเมินคาวรรณคดีและ วรรณกรรมโดยฝก ทกั ษะเกยี่ วกับการอา นออกเสียง ตีความ แปลความ และขยายความ คาดคะเนเหตกุ ารณ เร่ืองท่ีอาน วิเคราะหวิจารณ แสดงความคิดเห็น โตแยงเกี่ยวกับเร่ืองที่อาน และเสนอความคิดใหมอยางมี เหตุผล ฝกทักษะการเขียนบรรยาย เขียนพรรณนา เขียนโนมนาว เขียนโครงการและรายงานการดําเนิน โครงการ เขียนรายงานการประชุม ประเมินคุณคางานเขียนในดานตางๆ ฝกทักษะการพูดสรุปแนวคิดและ แสดงความคิดเห็นจากเรอ่ื งทฟ่ี ง และดู ประเมนิ เรื่องทฟี่ ง และดู และศกึ ษาเกีย่ วกับระดบั ของภาษา วเิ คราะหว ถิ ไี ทย ประเมนิ คา ความรแู ละขอ คดิ จากวรรณคดแี ละวรรณกรรม ทอ งจาํ บทอาขยานทก่ี าํ หนด และบทรอยกรองทมี่ ีคณุ คาตามความสนใจ โดยใชกระบวนการอานเพือ่ สรางความรคู วามคิดนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต กระบวนการเขียน เขียนสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟง การดู และการพดู สามารถเลอื กฟง ดู และพดู แสดงความรคู วามคดิ อยา งมวี จิ ารณญาณและสรา งสรรค เพอื่ ใหเ ขา ใจ ธรรมชาตภิ าษาและหลกั ภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษา ภมู ปิ ญ ญาทางภาษา วเิ คราะหว จิ ารณว รรณคดี และวรรณกรรมอยางเหน็ คณุ คา และนํามาประยุกตใ ชใ นชีวิต รกั ษาภาษาไทยไวเ ปน สมบตั ขิ องชาตแิ ละมีนิสยั รกั การอา น การเขยี น มมี ารยาทในการอา น การเขียน การฟง การดู และการพดู ตัวช้วี ดั ท 1.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ท 2.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ท 3.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ท 4.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/7 รวม 24 ตวั ชวี้ ัด คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ˹§Ñ Ê×ÍàÃÂÕ ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾é¹× °Ò¹ ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.๔ ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี ๔ กลุม สาระการเรยี นรูภาษาไทย ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ผูเรียบเรียง นายภาสกร เกดิ ออ น นางสาวระวีวรรณ อินทรประพนั ธ นางฟองจันทร สุขยงิ่ นางกลั ยา สหชาตโิ กสยี นางสาวศรีวรรณ ชอยหริ ญั ผตู รวจ นางประนอม พงษเผือก นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร นางวรวรรณ คงมานุสรณ บรรณาธิการ นายเอกรินทร สมี่ หาศาล พิมพค ร้งั ท่ี ๑๐ สงวนลิขสทิ ธิ์ตามพระราชบญั ญตั ิ ISBN : 978-616-203-565-4 รหสั สนิ คา ๓๔๑๑๐๐๖ ¾ÔÁ¾¤ Ãé§Ñ ·èÕ 10 คณะผจู ดั ทําคมู ือครู ประนอม พงษเผอื ก ÃËÑÊÊ¹Ô ¤ÒŒ 3441011 นงลกั ษณ เจนนาวี สมปอง ประทปี ชวง
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪤ŒËíÒ¹¹íÒѧÊ×ÍàÃÕ¹ ชใสชวะป ยดรพวะกัฒกแอนกบากหโผกดาูเานรรยรังียจเเสรนันดยีือ้ือกตภแพนเหาารลาักฒรมาียะษาเตหนนรเรารกียลสาไงดิรตันกศทอตาคาสักกนยายมวูตายมใวานหรรซภสิชมสแรล่ึงาาาราอลัเกรพูคพยปะนะสวขวื้นตนกแูตาชิอฐัวาภลมรางารชะแาเพผนเข้ีวกษรกนืู้าเัดียารนาหใฐรนีจยปเกาลวนใรนนรลักันดูแื้อะใากภผเกหหจองลลานาํกาสกมุษปสกชาาลสาารลารมกั าแระตศาาษระเลงิึกรมะณแขะเถษกินปบั้นกทใาาผงพนชาารขอลรงเรภ้ืนั้นรอใภาฐาพชยีพกยาาษนภรเื้ษนวนปอาราิชาฐภไูนมษอขาาทาเหาาพอนสยษนเนง้ืนรลไาชทวพิดมฐไมายําทุอทาอนตคกยนงยธี้ิวาคสทศชาราปรังน้ัก่ีผมเรถารรูมเเียขรงะูกาธั นขียากชตยใึ้นรนอมจอูตเท๒บศงงพาาุอก๕ตกึ ม่ือย่ืนคษา๕โใมคนๆาหใ๑หปรหตเทงปททลอไสี่จ้ังนี่ดักง๔ระคเสกภารชว่ืํงอาีายาวรหสษนมยาํนาารทยหูแดไเวําพทรลใิชใหับหื่ยอะา ผเู รยี นไดร บั ความรอู ยา งมภปี ารษะาสไทิ ทธยภิ าเพปนเอกลักษณของชาติ เปนสมบัติทางวัฒนธรรมอันทําใหเกิดเอกภาพ และเปนเครื่องมือท่ีใชในการติดตอส่ือสารเพ่ือสรางความเขาใจและความสัมพันธอันดีของ ¨ÊѴд¡ÇÅ¡‹ØÁá๡é×Í¡‹ ËÒÃÒ¨à»´Ñ š¹¡ËÒ¹Ãà‹ÇÃÂÕÂค¡¹Òน¡ÃÒàใÃÃนÕÂʹÍช¹ÃŒÙ าติ นà㡹อÃ˹Ôèก¹¹Ç‹จíÒÂàา·¾Õè¨è×ÍกÐãËàนÃŒàÕ¢ี้ ¹ÒŒ ãภ¨¶า§Ö ษÊÒาÃÐไÊทíÒ¤ยÞÑ ยังเปนเครื่องมือสําคัญท»â´ี่ช¡ÂÔ³วÁ¡Õáยзàใû¡นš¹à»¤ก¹šÇÒÃาÁÐรÂÃÐÙŒàแ¾æèÔÁสàµวÔÁง¨หÒ¡าà¹คé×ÍËวÒามรู ทั้งจากหนังสือและแหDลesงigขnอËม¹ÒŒูลáºสºาãËรÁส‹ ÊนÇเÂท§ÒÁศ¾ทÁÔ ¾้ัง นôี้ผÊูÕเรียนจะตองมีความรูความเขาใจ และ เลือกสรรใชภาษาไทยµทÅÍี่ถ´ูกàÅต‹Áอª‹ÇงÂãËเพÍŒ ‹Ò่ือ¹·ธÒí ํา¤ÇรÒงÁไà¢วÒŒ ซã¨่ึงä´เŒ§อÒ‹ Âกภาพของชาติไทย และสามารถนําไปใชตอนท่ี ๒ ปกณิ กะ ª¤ààà¹Ë¶«×¾ÍË´ÔÂÒÖè§ÈÁʹÒÁªË׺ÍèÕºµÕéÕªÒ¹â¹ÒÒÂ×èÍÅÁèÖ·§¡¾¹µäѺ਌»ÍíÒ¶¤Í֧Ť§´ÒäíѹÒÊÖ§à×ÍÇŒ´ÇÊÁèºÕÁÂŒÁ‹ÒÕÂÕÕÊÒ·µÕ¡·§ÕèºèÕÁ¹ŒÒ¡ÅÒÃҵѺàÖ§·¤¨Òí»¤¤Ô´ÅÒ¹š ¡íÒ֧ᨤ·Á¡Ö«§íÒèÕà¤ÒŒäÍÊÖè§¹µ¢¹Àع¤è×ÍêäÒØâ¹§Ò×è;·Å¨àäà·Â§ÁҷáԹÊãÕèãÕÂÂàªÁ¢ª¡»ËàŒÑÍŒµÂàÚ¹Áç⌹ÕªÕÂÒ亡µÍ×è¡·¾ÃíÒ·¶ªÅÂÒתÍèÕÖè×ͧ³Ö§ãªÍÍãµ¹¹à¡ËÇŒ¹ËÍ´ÔàÑÂÁäçÊ´¹ËÇ‹ÇÁÂÕյǹ‹ÒЧŒ‹ÒÖè§ à¶ÒÊèÕºÒ· ñ ผพแลูเัฒระียนวบารทสรเรณาํกั ียหษคงระดไับดอีแหาแลชนบะพีงัวงสตรเนือรา ณเ้ืองรๆหยีกนารเหพอรมรลือ่อาปักก๑ยภรเวปะเาิชลโนษายมพาช๒แืน้นลฐขเะาอลกนภงมาตาภรนษไใôาดเชาอษแงากแไทลหยะสลชงัักน้ัคภมมาธั ษยามแศลึกะษกาาปรทใชี่ ๔ภานษี้าทา๑งคเณลมะหนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ตอนท่ี การเขยี นบนั ทกึ ควตวั ชี้วดั á·ÁŒÍ΋§¶‹ÍèÔ¹§ÊÍÍ๪Â)‹¹‹Ò§à仼ùšÑ¡¡µáçµ¹Œ¤ÒÁº µ(íÒÀÅÒÖ§¤ÂàѧËÁ¹Õª×Íè×Í)àüÕ¡ѡµÍÕ¡íÒ¹ËÔ¹ÅÒÂ(ÍÀÂÒ‹¤Ò§Í«ÕÊèÖ§Òá¹µ)¡µá‹Ò¤§à¡´Ñ¹ÒÐÍÍ¡(¡ä»ÃÐãà¹ËáõÕè§‹Å-Ð ¡»ÍËàÅàÅÍͶҌÁÒà¡ÒÒÂÃËäÁµÕ´ÇÅÕÅҼ͌ÂÂèÕÁ¡Ñ šִÁɺ´á൳ÃÔº¡àÂíÒÔàÃÐÒÊÅ¡ÇÕÂСÕà֧ͳº¢ÅàÍ«ä»ÕÂÁã¡ÁÇÍš¹ºàÁ‹¡»äÁÊàÕ¢Áãš¹ÁÕàÕʹº¢ŒàË×èÍÕà¶Õ¢ŒÒÊ¢ÒÇáÕ¡ءÅͩǨŌÁºµ¡Ñ´ÕºÅãÒÁÃØ¡º´¼ÁÙ»ÊÕÍÍàÅ¢áÕÇÃÒ¡ÁŒÍŒÒ‹ҴÁÁÃÕ§ØË§ÁÕÊÙ»ËÕ¤ÅÕ´Õ¢ÃŹÒÍ‹ÒÒŒÒÂǧǡ´»‚ หลาผยเู ปขตรียทะอนก่ผี งกาเูกผผับขรารููสยีผรับงเคนอูไชสสดวตานาาานอรรกมปงอสารทกรอารูสักาะมเกคกึขรสษามอืไยีบระดาจนถทกนเกินปใอาาน้ัหาตงรนารผนภณนลถขูอาาเา้ึนาแ ขกาษยยลอานาาลทะยใรเจกัสขอกูรตคษง่ิาดะบั รแใวบณคจองวาบวสตองมดาคคาาักลตมกรปมวษออตรารทารมงูมระผ่ีคกรงขกคเเูวาตพอเอขิดราขางอ่ืียบขมมใยีนอหคงนิดามรมู ุงเนนหใหนผังูสเรือียเนรียเขนาใรจาใยนวภิชาาษพาื้นไทฐยานกวภางาขษ้ึนาไทมียทักหษละักกภาราษใชาภแาลษะากเาพร่ือใชกภาราสษื่อาสนา้ี รมทีเนี่ส้ืูองขห้ึนา••มอบมียนัา่ารทงยสกึามกท�่าาใเรนสศกมกึาอษราเ(ขคทีย้น น๒ค.ว๑(า้ท เม พ๒.ือ่๔.น๑-๖ า�มไ/๗ป.๔)พ-ฒั๖/น๘า)ตนเอง ••สมาการาระรยกเขาาทียรนในเบรกันยี าทรนเึกขรคูแ้ียวนกามนรกจู้ าลกาแงหล่งเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย • àÅÁ´è×ÍÍâÒ´¡¹Ò¤Ã·ÇÒŒÍÁ§ÃÍŒÍ×´¹·ŒÍ§à¿‡Í : ÊÃþ¤Ø³·Ò§ÂÒ ¤ÇÃÃѺ»Ãзҹʴ à¾ÃÒÐà͹ä«Áã¹µíÒÅÖ§¨Ð‹ÍÂÊÅÒ • áÁÁż´Ò´µÅ¤ÍÒíÍ¹Ñ Òã¡Ñä¡Ë¿àÒÊÅŒ Ãк¤ËàѹÍÃ:Í×ÂÕ ãã´Íªº¼ÒŒãµ¡ÊºíÒÒÁáËáÍÃÂºÑ Ñ¡×Í)¹ÃàÒéíÊÒ¡º¤Êà¹éÑ ¹´à×èÍ͵ҧáÒí¨¾µÒ¡Í¹‹ á¡Òíé ºÁ·ÃÅÒÔ৺ǡóѴàÔ ·Çµ³Õèà‹Í»·Âš¹àÕè »á¹š Ũй¾¡×ªÇÒ‹Á¨Õ¾ÐÔÉËÒÂ: • ¹íÒ㺵íÒÅÖ§Ê´ (ãªäŒ ´´Œ ÊÕ Òí ËÃºÑ ภขผยสอูใองชงมผภมชลนาวใษุษหยาใยบหมาุคผษีคถคูนืวอาลา้ันเเนปปมม้ันนรนีทูเคสสักปวว่ืษอนานะสมผสใําเูมนําขคคีกเาัหญาัญใตรจใสใุผในชนวลกภนหาาหลมรษนักีคสา่ึงเว่ือเกทปาสณ่ีจมนาะเฑอรชชย แ่ืวอวายลมิธงใะั่นดีกหเีาใชกนซรีว่ีย่ึงติตแพวนปขลัฒเรอะอนะไงงสดากกบฝมับาคกีมรกวฝนทาานุษารมองยดสยภสําําาาัมเเงษรนพถ็จาินันูกทชหตธี่ดีวทอาีจิตกง่ีดะี ทาํ ใหก ารสื่อสารเกิดประสิทธภิ าพ กรวามรเทขั้งียมนีควกาามรฟคิดงทก่ีแาจรมดชู แัดละแกลาะรสพาูดมาไรดถอนยําา ภงามษปี ารไะปสปทิ รธับภิ ใาชพในทชงั้ีวนิต้กี ปารระทจผ่ี ําเูวรันียนทจั้งะกสาารมอาารนถµÇÑ ªÕéÇÑ´áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·èÕËÅÑ¡Êٵà 169 ¡Òí ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶§Ö à»Ò‡ ËÁใชÒÂภã¹า¡ษÒÃาÈÖ¡ไÉทÒยไดอยางมีประสิทธิภาพ จําเปนตองเรียนรู จ¤íดÒ¶จÒÁํา»ÃฝШกíÒËท¹ํา‹Ç¡แÒÃลàÃะÕÂน¹ÃําÙŒáไÅปСใÔ¨ช¡ÃใÃนÁÊชÃีวŒÒ§ิตÊÃä Êã¹ÃÊþÒÃÊ ÐÒ¡ÃÒÐÃààûÕ¹š ¹ÊÃÒÙŒááй¨¡ÒÅ¡ปàÒ¹ร§×Íé ะËà¾Òจ×èÍาํ ¹à¾วÍèÔÁ¡นั ¾àËÙ¹¹áÍ× Å¨ÐÒ¢¡Â·ÒèÁÕÂÕ ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾è×ÍãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁդسÀÒ¾ºÃÃÅØÁҵðҹ áÅеÑǪÇéÕ ´Ñ ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃãÙŒ ËŒ¡ÇÒŒ §¢ÇÒ§ÍÍ¡ä»คณะผูเรียบเรียงมีความม่ันใจวา สถานศึกษาท่ีเลือกใชหนังสือเรียนชุดนี้ จะพัฒนา คหชน้ัุณลกัมภสธั ายูตพมรแแศลกึกะนษคกาุณลปาทลงัก่ี ก๔ษา-รณ๖ศะึกททษกุ ่ีพาปขึงรน้ั ปะพรกะนื้ าสรฐงาคนขพอทุ งผธศูเรกั ียรนาชได๒ต๕าม๕ม๑าตกรลฐุมาสนากระากราเรรียเรนยี รนูแผรลูเภู ระายี ตษบัวาเชรไท้ีวยี ัดยง๖จ.กําาเกปกรอเนวลนาาใตือเวนขขอรกาชอเาง๑ฟจวเคีวใพ.ะ็บภลจง๒ิตวอิถแไาสาป.อ๓ถซีพพือลม่อื รเกา.ตะิถว๔มนะเอดกกทิทถันจป่ือนั้.๕าูสาีม่ําายนฟถถกรฟ.ื่อเว๖ุโเีเคกูนาาปงทนพันร.ศเหอตดํานูื้อรจงปรใเมเอรงัทักกหาลนสนมสืนอแงพะัศาวือนาเกนหด้ีกวริวิเสนกอาลรุษคูรรฟลาเารรวตาือรรรายราจงดาºะยฟอไใาะยพใäจะมูจดçÍมกะ´สรชมงกาเา¡คีหาÃŒรแทกสาลีรกส«ตเºÑวราขลพราแักถÍสใาÃองาทยดะอือถÒษÍรมา่ืสองãกกร§เ่ีแาค¿นบ¹รรอะเหÇาาะหกลูจะวรใ¿ีใ»บิเÅÑรมเรนดลคากัมวÈห˜ã¨ันดปาดมก็ก¹พวãา¨ตูบทรแะเ¹ิธàาทะทØบºก·ุใกะลาึกสูรสี»ใดรÑจ่ี¹ฟดิคÈับชงะฟเมÃอํา¡»กอําสเโÍวÐงื่อถงลนสปàÒพาÃÂยียàยัแ»แมาà·ÅอืถิกรÒร‹ÐÃางูด¹ลšไลÀาÈÍากเ§è×แàºแสงตมท¨พะะ·Á¤กÒน§ÊจกไÃลปอÃดÂนถþี่แÒ¹È่ิมมกÔÉËีัดใร§òÔะรÍÒÀง¡ูกูานÂปäääÃวมÑพ·ใคสÇะÁศô·ã´Òเ·¹ตหѰถแาลµเ¹ÀชรตุมÃูน¾ึ´ÂกŒ÷µภÍÂอทคตากÒรº‹Ñ»ÒÀ่ือาÇคŒคÂษÃàÁง§รเทãุณล¾ðัก¨ง˜ÁÒÂถæ¹¹วาวÊËคÕÀาาๆ¨ะค¾ÂÀษÃสือÒลกาคǵ‹àŒวยววÒºØÔ¡¹»ÒÂอ¹ะม¹ะาเัäบÃาิธรกแ¾นั¹Ñ¾Òพ¹šดµ´¹อÒมใÀใรจีกเลาàหÂáÀͪŒนõุดวียยู¹ÒพะàาผรÅะÒ¹Òáตûล¾กหใงÍèา×รศใµิวÙ¹ÒЋ¾ฟูäชŵšใร¹า§างÂดใู·§àเÔกึÔดàÂШคงÊชทÃรอง¹ÊตÇàมค¹»ÂษกÒ·นÂÕผําèÍื่×µÍนเี่เอàวีÑโ§¡¹µšค§สบัใèÕาÃÁดูÃําÍÃฆรÁรดàèÃ×ÍÃว«àรีย‹ไØÕ¡§ส»¨คูจÃÕÀàก»Ù§ปษ่ืิธอÑÅʾไ§»Ö¹šอ่ืÍè×วดเá¸Òาปี·ใ‹ÙงµใÍชèณ×§ÃÊรทþชÃบรชâÒมí¡ÐÅศÍè×Àน¡Ãªฟจ่ีÂทาãันใàÒ·ือÁจÒึกÒ¤¤ËนÀะ¹มÃถ่ีงทÊèÕ¾´ึงต×ͼŒÊษอ·อ¤ชµแากูÒมâึกÃàÂŒÙÍาอาÒŒËินÃีวÃกลÅÁºÑต¹§ีงไหàรäèก×͹ิตเÃÒ¡ะªÊวอ·ๆµาท§ลอÍè×èÖ§Ãปก¹éÑÍè×áเคยง¹ë¶§ักพาอËàาÅรàÍวกáÒ»ขèÖ§¶กÃเรรÃะื่อÐաçรäาก¹šèÍÒ׋อÍา×จเด´Ê¡ÊพËพรÂน§Àณศ¼งําูจ·ŒÃÒÒตÅ·¹ิจÒªิŒ็ÙจตเวนѺÇึงÊèÕฑÁÒéãคาÕ;ÁาานัÊ้ัน¤ÃªÂงÒ´รÊรÂรÀÒØŒÇคŒ¼ÇàๆๆÃณ¨่ือÒ¹ณçÌáÙวÒÒ¶¹ÔÁâèÍ×µงÃาÊÁ´ร¾า¢Òµใ§³Ã´รéÂÖ¹¹ภห÷ä¹Âูจ¤·¶§ÔÂäèàาÕÒ¹·ัก»à»¹ÂÁ¼¡ษ¢é§Ñšµ¹·äÍŒÒÙàÊŒÒา·Ë»ãäèÕ·ÃÃÂô¨ÂÁš¹ãŒÒ‹ÙèªÕºããËÃŒ´§è¹×¹¹¹ºÑŒ¤àª»µ¡×;͚¹ÒÒº.ÃÈÃáÒ.ŧР๕ .๔ แแ.๓บ ใ๒บนแบ.๑ เบ.บกกพ ห. กกาบรรากรราอกากาอกรกะรไรกรกเรมอกหอรรากเ่รอากตยขรอยก ใุกา้ากดจกแใายจแงาบรกอเรบภบกาทธบารยรี่บิีเ่ษปราวปาายารก็นยยไะกบั ภทเกาแภราายราลทษรไอยะมมใายลยดค่ตคีา่ะกทรวา่งเตอบ่จีางไวัรปมยี�าถอเดรวเ้ ปกยะนทน็เี่ย่ามตี่ทงตวอ้ผีศปข้องล ร้องกมเะใงสรกชหีกอยีคอ้คลบัอกบวักชาำยใานใีวา่มถนแติงรกไบาปอราบรมบ ระจกกคจปงรรอา�อออรบวธกะกันแบิจรแหลาาาำ ตยะยรหกวอืกแนติจไาลว่าม่าระยรง ่ ยณคกจอกาวายญตกรรา่ วักาเงอรรณไยียอรนา่กงหรปู้รรอื ะไกมอ ่ บ ๓.๒ ค ใ. วห ขาใอน้ห ม๑ งกัน้ถเ.สก เ-พทกูักรถ- ใือ่่นีตเ ียหกจิารวน้อนักาบน้ยีกิชรง�าเฝนัักนราบ ไรึกเตียรทแปรรเว่า่รนล่ีเกิปยีขมงรสะามนรยีๆียกนรนบันอน ใสนัา�ใใวอแนแจไชรแ่ากบปโลใา้ใ้สมรนแหบใว้งดงปีชบโสมเ้กเงรกร้ใรบรรคีคงหะียิดอรแเววโ้เนรปคยกากบายี รมช์พรมิดบนะานสัฒคปกโย ุขยอ์ิดรรแนกทชะยอเลาาหโ่านก่สี้วรยกง็นรดุ์ทปชาไาเร่จีรรนกยะบา�เ์ย่ีกรเเา้มวปาียงกรนิน็น เบัแผตพรแลลู้อ้ือ่ บ้วพงสสบใรา�ชรก้อรปุใ้ รวมนผอจใชลหกคีวนรว้ขิตาา�าอ้ ปยมสมรกคง่ ูละาคดิจกรรเ�าทับห ู วี่สบ็นนั า�คุใ รนคเวพเลจร่ือท่ือคตีเ่งวกรตา่ยีวมา่ จวงคสขๆดิ ออ้ เ บงห ็น 106 ๑๑๒
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ÊÒúÑÞ ๑ตอนท่ี หนา การอาน ๑ - ๕๔ หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอา นออกเสยี งบทรอยแกวและบทรอ ยกรอง ๒ หนวยการเรียนรทู ่ี ๒ การอา นสือ่ ส่ิงพมิ พและสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส ๑๙ หนว ยการเรยี นรูท่ี ๓ การอา นแปลความ ตีความ และขยายความ ๔๑ หนว ยการเรยี นรูท ี่ ๔ การอานเพือ่ แสดงความคิดเห็น ๔๙ ๒ตอนที่ การเขียน ๕๕ - ๑๐๖ หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๑ การเขยี นบนั ทึกความรู ๕๖ หนว ยการเรยี นรูท่ี ๒ การเขยี นเรยี งความ ยอความ จดหมาย ๖๗ หนวยการเรยี นรูที่ ๓ การเขยี นอธิบาย ๘๘ หนวยการเรียนรทู ่ี ๔ การกรอกแบบรายการ ๙๙
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๓ตอนท่ี หนา การฟง การดู และการพดู ๑๐๗ - ๑๒๘ หนวยการเรียนรูท่ี ๑ หลกั การฟงและการดูสือ่ ๑๐๘ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๒ การสรปุ ความจากการฟง การดู ๑๑๕ หนวยการเรยี นรูที่ ๓ การพดู ตอท่ปี ระชมุ ชน ๑๒๐ ๔ตอนที่ หลกั ภาษาและการใชภาษา ๑๒๙ - ๑๘๖ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๑ ธรรมชาตแิ ละพลังของภาษา ๑๓๐ หนว ยการเรียนรูท่ี ๒ ลกั ษณะของภาษาไทย ๑๔๔ หนวยการเรียนรูท ี่ ๓ คาํ ราชาศัพท ๑๕๖ หนว ยการเรียนรทู ่ี ๔ การแตง คาํ ประพันธประเภทกาพยแ ละโคลง ๑๗๑ บรรณานกุ รม ๑๘๗
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Expand Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ ñตอนท่ี การอา น ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี การอา นเปน เครอื่ งมอื ทสี่ าํ คญั อยา งหนง่ึ ในการแสวงหาความรเู พอ่ื พฒั นา • นกั เรยี นรจู กั หนงั สือท่ีมเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั อะไร ตนเองใหเ ปน ผูร อบรู ทันเหตกุ ารณ และสามารถอานสารตางๆ ไดอยา งแตกฉาน บา ง พรอ มยกตวั อยางรายชอ่ื หนังสือท่ี ถูกตองตามอักขรวิธี ซึ่งปจจุบันมีสื่อตางๆ ใหเลือกอยางหลากหลายทั้งประเภท นักเรียนรจู ัก รอ ยแกว และรอ ยกรอง หากผอู า นเขา ใจหลกั การอา นและมวี จิ ารณญาณในการเลอื ก (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น อา นสารทมี่ คี ณุ คา ยอ มสง ผลใหก ารอา นเกดิ ประโยชนแ ละผอู า นไดร บั อรรถรสจาก ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของ การอา น นกั เรยี น เปน ตนวา นวนยิ าย เชน ลบั แล, แกงคอย ความสขุ ของกะทิ คําพิพากษา เปนตน วรรณกรรมเยาวชน เชน แฮรร ่ี พอตเตอร แมงมุมเพือ่ นรัก เปนตน รวมถงึ หนังสือประเภทสารคดี และนติ ยสาร) • หนงั สอื เลมใดท่นี กั เรียนชอบมากทส่ี ุด เพราะเหตุใดนักเรยี นจงึ ชอบอานหนงั สอื เลม นัน้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยาง หลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตผุ ลของนักเรียน เปนตนวา แฮรร ่ี พอตเตอร เนอ่ื งจาก มเี นื้อหาสนกุ สนานสงเสริมจนิ ตนาการ สรางสรรค และใหข อ คดิ ที่ดโี ดยเฉพาะขอ คดิ เก่ียวกับการเสยี สละ) • นกั เรยี นมวี ธิ กี ารเลือกอานหนังสืออยา งไร และหนงั สือแตละประเภทมจี ุดมงุ หมายใน การอานและการทาํ ความเขาใจแตกตางกนั หรือไมอ ยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรยี น) เกร็ดแนะครู ในการจดั การเรียนการสอนเน้ือหาเกี่ยวกบั การอา นน้นั ครูควรเนน ทบทวนความรู และประสบการณเ ดมิ ของนกั เรียนเปนหลัก รวมถงึ เพม่ิ เติมความรูเกีย่ วกับหลกั การ พิจารณาเลอื กอา นหนังสอื โดยกลา วถงึ ลักษณะของหนงั สอื แตละประเภทมีการนาํ เสนอ เนื้อหาท่มี ีความแตกตา งกัน การกําหนดวัตถปุ ระสงคในการอานยอมมีความแตกตา ง กนั ไปดวย สง ผลตอวธิ กี ารอา น และการเลอื กอานหนังสือเพ่อื ตอบสนองวตั ถปุ ระสงค ของแตล ะคน ความรดู ังกลาวยอมเปนพน้ื ฐานในการเลอื กอา นหนงั สือใหส อดคลอง กับจดุ มงุ หมายของนักเรยี น และนกั เรียนสามารถนาํ ขอ มลู ความรทู ไี่ ดไปประยุกตท งั้ ในดา นการเลือกอา นหนงั สือและการสืบคน ขอมลู ความรไู ด นอกจากน้ี ครูผูส อนควร พจิ ารณาความสามารถในการอา นของนักเรียนแตละคนวา นกั เรียนแตละคนมีพน้ื ฐาน การอานในระดบั ใด อยา งไร เน่ืองจากยังมีการอานในอีกลกั ษณะหนึ่งซึ่งมจี ดุ มงุ หมาย ในการอา นเพ่ือการสงสาร คือ การอานออกเสยี ง ทัง้ การอา นออกเสยี งบทรอยแกว และบทรอ ยกรอง ครูผูสอนจึงควรเนน ใหนักเรียนทําความเขา ใจเนื้อหารวมถึงอรรถรส ของสารจากบทประพันธกอ นเปน อันดบั แรก จากนัน้ จึงส่อื สารเน้ือหาในบทประพันธ ถา ยทอดสผู ูอานดวยวิธีการอานออกเสยี ง คมู อื ครู 1
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู 1. อา นออกเสียงบทรอ ยแกว และบทรอยกรองได ตอนท่ี ๑ อยางถูกตอง ไพเราะ และเหมาะสมกบั เรอื่ งท่ี อา น 2. ตอบคําถามจากการอานงานเขยี นประเภท ตา งๆ ภายในเวลาทีก่ าํ หนด สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค การอา น เปน ทักษะท่สี าํ คญั ในการรบั สาร 1. ใฝเ รยี นรู มคี วามจําเปนในชวี ติ ประจาํ วนั ไมวาจะเปน 2. มุง มน่ั ในการทํางาน 3. รักความเปน ไทย กระตนุ ความสนใจ Engage ñหนวยการเรยี นรทู ่ี การอา นออกเสียงหรืออานในใจ โดยเฉพาะการ อานออกเสียงจําเปน อยางยงิ่ ทจ่ี ะตอ งศึกษาและ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • เมื่อนกั เรยี นอา นวรรณคดไี ทยเรือ่ งตา งๆ อาทิ ทําความเขา ใจเกย่ี วกับรูปแบบ จงั หวะ และ ทว งทาํ นองในการอานใหเขา ใจ ฝกอานใหถกู ตอง ขุนชาง ขนุ แผน พระอภัยมณี อิเหนา นักเรียน เคยสงั เกตบา งหรอื ไมวา การอา นออกเสยี ง ชัดเจน จึงจะทาํ ใหก ารอานสัมฤทธผิ ล ชวยใหว รรณคดีมีความไพเราะยิ่งขึน้ นกั เรียน และเกิดประโยชนส ูงสุด คิดวา เหตใุ ดจึงเปนเชนน้นั (แนวตอบ การอานออกเสยี งมคี วามไพเราะจาก การอา นออกเสยี งบทรอ ยแกว และ สมั ผสั การเลน เสยี ง เลน คํา) บทรอ ยกรอง • นกั เรยี นคดิ วา การอานออกเสยี งมีความสําคญั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรูแกนกลาง อยางไร (แนวตอบ นกั เรียนตอบไดหลากหลาย เปนตน วา • อา นออกเสยี งบทรอ ยแกวและบทรอยกรองไดอ ยาง • การอานออกเสียงบทรอยแกว เปน การสอ่ื สารกบั บคุ คลอื่นผา นการอาน) ถูกตอ ง ไพเราะ และเหมาะสมกับเรื่องทอ่ี า น • การอานออกเสียงบทรอ ยกรอง (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๖) เกร็ดแนะครู ครคู วรเนนทบทวนความรูและประสบการณเดมิ ของนกั เรยี นเปนหลัก และครคู วร เพิ่มเตมิ ความรเู ก่ียวกับหลกั การสอ่ื สารผานการอา นออกเสยี ง ซึ่งเปนการสื่อสารกับ บุคคลอน่ื หากนักเรยี นเปน บุคคลทีก่ าํ ลังทาํ หนา ทีถ่ า ยทอดสารผานการอา นออกเสียง นกั เรยี นตอ งคํานึงถงึ มารยาทในการอา น รวมถึงหลักการอานออกเสยี งที่ดี นอกจากน้ี ในการจดั การเรียนการสอนเก่ียวกับการอานออกเสยี ง ครูผสู อนควรคํานงึ ถงึ ความ สามารถเฉพาะตวั ของนักเรียนแตล ะคน เนื่องจากนกั เรียนแตละคนมคี วามสามารถ เฉพาะตวั แตกตางกนั เชน ความสามารถในการใชเสียง ไมว า จะเปน การเออ้ื นเสียง ทอดเสียง การใสอารมณความรสู กึ ในบทประพันธ เปนตน ครูผูสอนจึงไมค วรบังคบั นกั เรียนใหอา นออกเสยี งใหม คี วามไพเราะเพยี งอยา งเดียว แตครคู วรเนน ทักษะการ พจิ ารณาบทประพนั ธ การทําความเขา ใจเนื้อหา อารมณ และความรสู ึกในบทประพันธ ดวย เพอ่ื ใหนักเรยี นไดเ รียนรูทกั ษะอยา งอื่นพรอ มกัน การเรียนรูทกั ษะการอา นให ไพเราะเพยี งอยางเดียว อาจสงผลใหน ักเรียนเกดิ ความรูส ึกทไี่ มดีทง้ั ตอครูผสู อนและ วิชาภาษาไทย จนอาจนําไปสอู คติตอ การเรียนการสอนวชิ าภาษาไทยไดในทา ยที่สดุ 2 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. การอานบทรอ ยแกว ครูนาํ ตัวอยา งวีดทิ ศั นท ม่ี ีการนาํ เสนอขา วมา เปด ใหน ักเรยี นชม จากน้นั นักเรยี นรวมกันถายทอด รอยแกว หมายถึง บทประพันธที่เรียบเรียงดวยภาษาท่ีใชเขียนหรือพูดกันท่ัวไป ภาษา ประสบการณ โดยครใู ชค าํ ถามกระตนุ ความสนใจ ท่ีใชส ําหรบั รอยแกวไมม ีการบงั คับสมั ผสั หรอื กําหนดจาํ นวนคาํ แตอ ยา งใด เปนภาษาที่ใชส ่ือสาร ดงั ตอ ไปน้ี เพอื่ ใหเ กิดความเขา ใจเปนสําคญั • นักเรยี นคดิ วา วดี ทิ ศั นท น่ี กั เรียนไดรับชม รปู แบบของงานเขียนประเภทรอ ยแกว แบงออกไดเ ปน ๒ ประเภทใหญๆ ดังน้ี ขางตน หากพจิ ารณาในดานของเน้ือหา ๑. บันเทิงคดี เปนลักษณะงานเขียนท่ีมีเนื้อหามุงเสนอเร่ืองที่แตงขึ้นจากจินตนาการ วดี ทิ ัศนดงั กลาวจัดเปน ผลงานประเภท เพอื่ ความเพลดิ เพลนิ เปน หลกั ไดแ ก นทิ าน เรอื่ งสน้ั นวนยิ าย นยิ ายองิ พงศาวดาร และนทิ านชาดก บนั เทิงคดหี รอื สารคดี ๒. สารคดี เปนลักษณะงานเขียนที่มีเนื้อหามุงเสนอขอเท็จจริงที่เปนความรู ขอคิด (แนวตอบ ผลงานสารคด)ี เปน หลกั ไดแก ความเรยี ง บทความ สารคดี รายงาน ตาํ รา พงศาวดาร กฎหมาย จดหมายเหตุ พระราชหตั ถเลขา จารึก และคัมภรี ศาสนา สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ หลกั การอา นออกเสยี งบทรอ ยแกว นกั เรียนศกึ ษารปู แบบงานเขยี นประเภท รอ ยแกวทง้ั งานเขยี นประเภทบนั เทิงคดีและ เปนการอานออกเสียงธรรมดาหรือส่ือสารใหผูอื่นเขาใจเรื่องราวท่ีอานได มีหลักการอาน งานเขียนประเภทสารคดี พรอมศึกษาหลกั การ ดงั นี้ อานออกเสียงรอ ยแกวและหลกั การอานในใจ ๑. ศึกษาเรื่องที่อานใหเขาใจโดยตลอดเสียกอน โดยเขาใจท้ังสาระสําคัญของเร่ืองและ อธบิ ายความรู Explain ขอ ความทกุ ขอความ เพอ่ื จะแบง วรรคตอนในการอานไดอ ยางเหมาะสม 1. นกั เรียนจดั กลุม กลุม ละ 4 - 5 คน พรอ ม ๒. อานใหถูกตองตามอักขรวิธีในภาษา ท้ังภาษาไทยและภาษาท่ียืมมาจากภาษาอ่ืนๆ รว มกันแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นจากประเดน็ เชน บาลี สันสกฤต เขมร เปนตน รวมท้ังคําที่ถูกตองตามความนิยม โดยอาศัยหลักการอาน คาํ ถาม ดังตอ ไปนี้ จากพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานเปน สาํ คญั • นักเรยี นคิดวา รูปแบบงานเขียนประเภท สารคดีและบนั เทิงคดมี คี วามเหมือนและ ๓. อานอยางมีสมาธิและมั่นใจ ▼ การอานออกเสียงท่ีถูกตองชัดเจนเกิดจากการปลูกฝงการอาน ความแตกตางกนั อยางไร ไมอ า นผดิ อา นตก หรอื อา นเตมิ ขณะอา นตอ ง ที่ดี และฝก อานจนเกิดทกั ษะ (แนวตอบ มคี วามแตกตา งในดานเนือ้ หา ควบคุมสายตาใหไลไปตามตัวอักษรทุกตัว และกลวธิ กี ารนําเสนอ โดยบันเทงิ คดีมี ในแตละบรรทัดจากซายไปขวา ดวยความ การนาํ เสนอดวยการผูกเรอื่ งราว ไมเนน รวดเรว็ วอ งไว และรอบคอบ แลว ยอ นสายตา สาระหรอื ขอเทจ็ จรงิ สวนสารคดีเนน กลบั ลงไปยังบรรทัดถัดไปอยางแมน ยาํ ขอเท็จจริงเปน หลัก ในสว นของเปา หมาย การสือ่ สารกแ็ ตกตางกัน โดยบันเทิงคดี ๔. อานออกเสียงใหเปนเสียงพูด เนนความเพลิดเพลนิ สว นสารคดเี นน สาระ อยา งธรรมชาติทสี่ ดุ โดยเนนเสียงหนกั เบา ความรูเปน หลกั ) สงู ต่าํ ตามลักษณะการพดู โดยท่วั ไป ท้งั น้ี ขน้ึ อยกู บั เนื้อหาทอ่ี า นออกเสยี งเปนสาํ คญั 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ๓ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรยี นอานลกั ษณะของงานเขยี นรอ ยแกว จากแหลง เรยี นรตู า งๆ ครูควรเพม่ิ เติมความรูเกย่ี วกับวธิ ีการจาํ แนกงานทงั้ สองประเภทระหวา งงาน จากนัน้ ใหนักเรยี นรวบรวมงานเขียน 10 ประเภท มาพิจารณาจัดแบงวา สารคดแี ละงานบนั เทงิ คดี ซงึ่ เปนการจําแนกตามประเภทของเน้ือหา โดยงาน เปน งานเขียนประเภทใด โดยบอกเกณฑใ นการแบง จากนน้ั บันทกึ ลงในสมุด ประเภทสารคดีใหความสําคญั กบั เนอ้ื หา ขอ เท็จจรงิ ซึ่งแตกตา งจากงานบนั เทงิ คดี ท่เี นน กลวิธกี ารนาํ เสนอเพือ่ ใหเ กดิ ความบนั เทงิ ความแตกตางของเนื้อหาจึงนาํ ไปสู กจิ กรรมทา ทาย กลวิธีการนําเสนอทม่ี ีความแตกตางกนั การอานงานเขยี นทง้ั สองประเภทไมว า จะเปน งานสารคดหี รือบันเทงิ คดใี นขณะที่อาน นักเรียนควรพจิ ารณาเนื้อหารวมถงึ ประเมินคา นกั เรยี นศึกษาหลกั การอา นออกเสยี งรอ ยแกว จากแหลงเรียนรตู า งๆ เพือ่ สารจากบทอาน เพื่อใหน กั เรียนเกิดการตคี วามเนือ้ หา นอกจากจะเปนการสราง ใชเปนแนวทางในการคดั เลอื กงานวรรณกรรมประเภทรอยแกวสาํ หรบั อา น ความเขา ใจเน้อื หาจากบทอา นแลว เมื่อนกั เรยี นตองการอา นออกเสยี ง ซงึ่ เปนการ วเิ คราะหสาร นกั เรยี นสรปุ สาระสําคญั ของเรอ่ื งท่ีอา นลงในสมุด อา นเพือ่ สงสารใหผอู านเกิดความเขาใจ ยงั กอใหเกิดอรรถรสในการสอ่ื สารไดเ ปน อยา งดี นอกจากนี้ ครคู วรเพิ่มเติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั ทกั ษะการอานเพื่อ ทําความเขา ใจสารใหม คี วามลกึ ซง้ึ เพือ่ ใหนักเรยี นสามารถตีความอารมณความรูสึก และจุดมงุ หมายในการสือ่ สารไดดีย่งิ ขน้ึ ชวยใหนกั เรยี นเลือกใชน ้าํ เสียง จงั หวะลลี า ในการอา นไดส อดคลอ งกลมกลืนกับเน้ือหาท่นี ําเสนอ คูมอื ครู 3
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรว มกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี ๕. อ่านออกเสียงให้ดังพอสมควร ให้เหมาะกับสถานท่ีและจ�านวนผู้ฟัง ไม่ดังหรือค่อย • นกั เรียนคิดวา การอานออกเสียงและการอา น จนเกินไป จะทา� ใหผ้ ้ฟู ังเกดิ ความรา� คาญและไมส่ นใจ ในใจมีเปา หมายในการสอื่ สารท่ีแตกตา งกนั ๖. ก�าหนดความเร็วให้เหมาะสมกับผู้ฟังและเรื่องที่อ่าน ไม่อ่านเร็วหรือช้าเกินไป การ หรอื ไม อยางไร อ่านเร็วเกินไปท�าให้ผู้ฟังจับใจความไม่ทัน แต่การอ่านช้าเกินไปท�าให้ผู้ฟังเกิดความร�าคาญได้ (แนวตอบ มีเปาหมายในการสอื่ สารท่ีแตกตา ง ผูอ้ ่านจงึ ตอ้ งพจิ ารณาพนื้ ความรขู้ องผ้ฟู ังและพิจารณาประเภทของเร่ืองทอ่ี า่ นด้วย กนั โดยการอานในใจเปนการมงุ สอ่ื สารกับ ๗. อ่านให้ถูกจังหวะวรรคตอน ต้องอ่านให้จบค�าและได้ใจความ ถ้าเป็นค�ายาวหรือค�า ตนเอง จงึ เนนความเขาใจเนื้อหาของเรอ่ื งเปน หลายพยางค์ ไม่ควรหยดุ กลางคา� หรอื ตัดประโยคจนเสยี ความ หลัก สว นการอานออกเสียงมุงสอื่ สารกบั ผูอืน่ ๘. อ่านเน้นค�าท่ีส�าคัญและค�าที่ต้องการ เพื่อให้เกิดจินตภาพที่ต้องการ ควรเน้น การอา นจึงตองเนน นาํ้ เสยี งที่มีความชดั เจน เฉพาะคา� ไม่ใช่ท้งั วรรคหรอื ท้งั ประโยค เช่น เพือ่ สื่อเนอื้ หาท่เี ดนชดั ) • นกั เรียนคิดวา จดุ มุงหมายในการอา นท่ีมี “พิมนง่ิ งนั คำ� พดู ของแม่บาดลึกเข้ำไปในควำมร้สู กึ ” ความแตกตางกนั สงผลตอ หลกั การอา นทม่ี ี ความแตกตางกันหรือไม อยางไร ๙. เม่ืออ่านข้อความท่ีมีเครื่องหมายวรรคตอนก�ากับ ควรอ่านให้ถูกต้องตามหลักภาษา (แนวตอบ สงผลตอ วธิ กี ารอานที่แตกตา งกนั ส่วนค�าที่ใชอ้ กั ษรยอ่ ตอ้ งอ่านให้เต็มค�า เช่น เนอ่ื งจากการอานออกเสยี งตองคํานงึ ถึงปจ จัย หลายอยาง โดยเฉพาะอยา งย่ิงความชัดเจน ทลู เกล้ำฯ อำ่ นว่ำ ทนู - เกล้ำ - ทูน - กระ - หมอ่ ม ของนํา้ เสยี ง นักเรียนสามารถยกหลกั การอาน พ.ศ. อำ่ นวำ่ พดุ - ทะ - สกั - กะ - หรำด ออกเสียงบทรอยแกวในหนา 3 และ 4 มา ประกอบการอธบิ ายเพิ่มเตมิ ได) ๑๐. เม่ืออ่านจบย่อหน้าหน่ึงควรผ่อนลมหายใจและเมื่อข้ึนย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียง ทอดเสียงใหช้ า้ ลงกวา่ ปกตเิ ลก็ น้อย เพ่ือดึงความสนใจจากผู้ฟัง จากนน้ั จงึ ใชเ้ สียงในระดับปกติ 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ๑.๒ การอา่ นในใจ ขยายความเขา ใจ Expand การอ่านในใจ เป็นการท�าความเข้าใจสัญลักษณ์ที่มีผู้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร 1. นักเรยี นยกตัวอยางงานเขยี นประเภทบนั เทงิ คดี รปู ภาพ และเครอ่ื งหมายตา่ งๆ แล้วผอู้ า่ นจะตอ้ งท�าความเขา้ ใจโดยแปลสัญลกั ษณท์ ี่บันทึกไว้นนั้ และสารคดคี นละ 2 ตวั อยา ง ให้ตรงตามความต้องการของผู้บันทึก การอ่านในใจจึงใช้เพียงสายตากวาดไปตามตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์ต่างๆ แล้วใช้ความคิดแปลความ ตีความ รับสารต่างๆ ที่อ่านน้ัน ท�าให้ผู้อ่านได้รับ 2. นักเรยี นคนควางานเขียนประเภทบนั เทิงคดี ความร้ ู ความคิด และความบันเทิง อันเปน็ จุดมงุ่ หมายของการอ่านโดยทว่ั ไป และสารคดี ประเภทละ 1 ตวั อยาง พรอ มสรปุ การอ่านที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพ่ือ เนือ้ หาที่ไดจ ากการอาน จากน้นั รวมกันอภิปราย ศึกษาหาความร ู้ เพื่อหาค�าตอบ หรือเพื่อความบันเทิงน้ัน ผู้อ่านตอ้ งอา่ นอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ วิธี วา งานเขียนท้งั สองประเภทมีความแตกตางกัน ทีจ่ ะช่วยใหอ้ า่ นอย่างมปี ระสิทธิภาพได้นั้น ผู้อา่ นต้องสามารถจบั ใจความสา� คญั ของเรื่องท่ีอ่านได้ อยางไร ต้องรู้ว่าเรื่องที่ตนอ่านนั้นผู้เขียนกล่าวถึงอะไร มุ่งเสนอความคิดหลักว่าอย่างไร และฝึกอย่าง สม�่าเสมอ เพื่อให้สามารถจับใจความจากข้อความหรือเรื่องราวท่ีอ่านได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็น ตรวจสอบผล Evaluate ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ในการแสวงหาความรู้หรือความบันเทงิ ในเวลาอันจ�ากดั นักเรียนสามารถบอกความแตกตางระหวางงาน 4 บนั เทิงคดแี ละสารคดี พรอ มยกตัวอยางประกอบได เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการจับสาระสาํ คญั ของเร่ือง ครคู วรเพ่ิมเตมิ ความรูเ ก่ียวกับการอานและการประเมนิ คางานเขียนประเภท ขอ ใดเปนสาระสําคัญของขอความตอ ไปน้ี บันเทิงคดแี ละงานเขยี นประเภทสารคดี เมือ่ นกั เรยี นมีความรูค วามเขาใจเก่ยี วกับงาน คนสว นใหญไมค อ ยรูตัว ยังคงอยากไดอ ะไรทม่ี ากขึ้นๆ ไมวาจะเปน เขยี นแตล ะประเภท รวมถงึ เขาใจจดุ มงุ หมายของงานเขียนแตละประเภทแลว นกั เรยี น เงินทอง เกยี รติยศชอ่ื เสยี ง หรอื ความรัก และก็มักจะไมไ ดดังใจนึก สามารถนาํ ความรูดังกลา วมาเปน พื้นฐานในการอานและการทาํ ความเขา ใจเนอ้ื หาใน ความทุกขก ย็ ่งิ มมี ากข้นึ ตามวัยทีม่ ากขึน้ ดว ย บทอา นได โดยการอา นแบบประเมนิ คา เปนการตดั สนิ ความถูกตอ ง เที่ยงตรง และ 1. คนเราเมอ่ื อายมุ ากขนึ้ กย็ อ มมคี วามอยากไดม ากขน้ึ ตามวยั คุณคาของเรอื่ งทีอ่ านวา มคี วามชัดเจนหรอื ไม มากนอยเพยี งไร มีความนาเชอ่ื ถอื ใน 2. ถา คนเรามคี วามอยากไดไ มม ที ส่ี น้ิ สดุ กจ็ ะยงิ่ มคี วามทกุ ข ระดบั ใด มีคณุ คา หรือไม อยา งไร โดยพจิ ารณาเนื้อหา วิธกี ารนาํ เสนอ และการใช 3. คนสวนใหญอ ยากไดของบางอยา งแลว ไมได จงึ เกดิ ความทุกขใจ ภาษา การประเมนิ คา งานเขยี นจงึ ตองอาศยั การพิจารณาไตรตรองอยางละเอียดถ่ถี วน 4. สวนใหญค วามทุกขของคนเกดิ จากความอยากไดเ งินทองเกยี รติยศ โดยอาศัยขอ มลู หลักเกณฑ และเหตผุ ล นอกจากน้ี การอา นเพ่ือพจิ ารณาประเมนิ คา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ถา คนเรามีความอยากไดไมมีท่สี ิ้นสดุ ก็ งานเขียนแตละประเภท ยังตอ งพิจารณาตามประเภทของงานเขียนเปนหลกั โดยมี จะย่ิงมคี วามทกุ ข พจิ ารณาจากขอความทวี่ า “...อยากไดอ ะไรทม่ี ากข้นึ ๆ... รายละเอียด ดงั น้ี 1. สารคดี พิจารณาเน้อื หาวา มีการนําเสนอความรูท น่ี าสนใจ ความทกุ ขก ็ยงิ่ มมี ากข้ึน...” มีความถกู ตอง และนา เชอื่ ถือ 2. บนั เทงิ คดี พจิ ารณาจากองคป ระกอบของเร่ืองเปน สําคญั เพ่อื ใหน กั เรยี นเกดิ ความเขา ใจและถายทอดเนอ้ื หาไดอยา งชดั เจน 4 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. การอ่านบทร้อยกรอง ครูนําตัวอยางวดี ทิ ศั นท ่มี ีการอา นบทรอยกรอง แบบใสทาํ นอง และการอา นแบบไมใ สทํานอง คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนมาต้ังแต่โบราณ ด้วยเหตุน้ี ถ้อยค�าส�านวนที่ได้ยินได้ฟัง มาเปดใหน กั เรยี นฟง หรือครอู านบทรอยกรอง อยเู่ สมอ จึงมักมเี สยี งสัมผสั คล้องจองกนั เช่น ก่อร่างสรา้ งตัว ข้าวยากหมากแพง คดในข้องอใน- แบบไมใ สท าํ นองและบทรอยกรองแบบใสท าํ นอง กระดกู จองหองพองขน แมแ้ ตเ่ พลงสา� หรับเด็กร้องเลน่ เชน่ รีรขี า้ วสาร สองทะนานข้าวเปลือก ใหนักเรียนฟง โดยใชบทประพนั ธใดกไ็ ด ซง่ึ บท เลอื กท้องใบลาน คดข้าวใสจ่ าน เปน็ ตน้ ประพันธทีน่ าํ มาอา นหรอื เปด ใหนักเรยี นฟง ตอ ง ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ ระดับเสียง เปน บทประพนั ธเดียวกัน จากนัน้ นักเรยี นรวมกนั เม่ือน�าถ้อยค�ามาเรียงร้อยเข้าด้วยกันแล้วจะก่อให้เกิดบทร้อยกรองหลายลักษณะ เช่น กาพย ์ ถายทอดประสบการณ โดยครใู ชคําถามกระตนุ กลอน โคลง ร่าย ฉนั ท์ นอกจากนนั้ ยงั มกี ารนา� บทร้อยกรองบางรปู แบบมาประสมประสานกัน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ แลว้ เรียกว่า กาพย์หอ่ โคลงบา้ ง กาพยเ์ หบ่ า้ ง ลลิ ิตบ้าง บทรอ้ ยกรองทค่ี นไทยไดส้ ร้างสรรคม์ าแต่ โบราณนีล้ ว้ นงดงามดว้ ยวรรณศิลปท์ ้ังสิ้น๑ • นักเรยี นคดิ วา การอานบทรอ ยกรองแบบ ดังน้ัน การอ่านบทร้อยกรองให้มีความไพเราะ เกิดความซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมนั้น ใสท าํ นองมคี วามแตกตางจากการอา นบท ผูอ้ า่ นต้องอา่ นบทร้อยกรองทง้ั อ่านออกเสียงเปน็ ท�านองตา่ งๆ ตามลกั ษณะฉันทลกั ษณอ์ นั เป็นส่ิง รอยกรองดว ยเสียงธรรมดาโดยไมมีการใส ก�าหนดทา� นองให้แตกต่างกันออกไป ทาํ นองหรือไม อยา งไร ๒.๑ ลกั ษณะของบทรอ้ ยกรองประเภทตา่ งๆ • นักเรียนรสู ึกชื่นชอบการอา นบทรอยกรอง แบบใดมากกวา กนั ระหวา งการอานบท บทร้อยกรองแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน จึงมีวิธีการอ่านที่ต่างกันโดยข้ึนอยู่กับ รอ ยกรองแบบใสท ํานองและการอา นบท บทรอ้ ยกรองประเภทนัน้ ๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการอ่านบทรอ้ ยกรองได้ ดังน้ี รอ ยกรองดว ยเสียงธรรมดา ๑. โคลง เป็นค�าประพันธ์ด้ังเดิมของไทย นิยมแต่งอย่างแพร่หลายอย่างน้อยราว ตน้ กรุงศรีอยธุ ยา ส�าหรับโคลงส่สี ุภาพถอื เป็นโคลงท่ีได้รบั อิทธิพลจากโคลงท่ีแพร่หลายในลา้ นนา • นกั เรยี นคดิ วา หากคนอานบทรอยกรอง แทนโคลงดนั้ ท่ีใชอ้ ยแู่ ตเ่ ดมิ ดว้ ยฉนั ทลกั ษณท์ ่ีไมซ่ บั ซอ้ นจงึ ถอื เอาโคลงสสี่ ภุ าพเปน็ พน้ื ฐานสา� หรบั เปนคนละคนกันจะสงผลตอทวงทํานองของ การแต่งและอา่ นคา� ประพนั ธป์ ระเภทโคลงในปัจจบุ ัน บทรอ ยกรองที่มีความแตกตางกนั หรอื ไม ๒. ฉันท์ เป็นค�าประพันธ์ประเภทหนงึ่ มีการบังคบั เสยี งหนกั เสยี งเบา (คร ุ ลห)ุ โดยอาจ อยางไร จา� แนกลกั ษณะการแตง่ ออกเป็น ๒ ชว่ ง ไดแ้ ก่ ฉันท์รุน่ เก่า เชน่ สมุทรโฆษ อนิรทุ ธ ์ ฉันท์ปัจจบุ ัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น อาจพจิ ารณาว่า เรม่ิ ต้งั แตส่ มยั รัชกาลที ่ ๓ เรอื่ ยมา เรมิ่ มกี ารน�าคา� บาลี สันสกฤต มาใช้มากขนึ้ ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ คลา้ ยกบั เปน็ การบงั คบั คร ุ ลห ุ ซงึ่ ลกั ษณะดงั กลา่ วมาสมบรู ณป์ รากฏชดั เจนในผลงานของชติ บรุ ทตั นกั เรยี น) ๓. กาพย ์ เปน็ คา� ประพนั ธป์ ระเภทหนงึ่ ของไทย ทนี่ ยิ มแตง่ ม ี ๓ ประเภท คอื กาพยย์ าน ี ๑๑ กาพยฉ์ บัง ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ ในสมัยโบราณนิยมแตง่ กาพย์ทัง้ ๓ ประเภทน้สี ลับกัน สาํ รวจคน หา Explore ๑กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธิการ, อ่านอยา่ งไรให้ไดร้ ส (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว, ม.ป.ป.), หน้า ๓๐. นกั เรียนสบื คนขอ มลู เกยี่ วกบั การอา น บทรอ ยกรองใน 2 ลกั ษณะ คือ การอา นออกเสียง 5 ธรรมดาและการอา นทํานองเสนาะ พรอมศกึ ษา คุณสมบัติของผูอา นบทรอ ยกรองและหลกั เกณฑ ในการอานบทรอยกรอง บรู ณาการเช่อื มสาระ บูรณาการอาเซียน ครูสามารถนาํ เน้อื หาเร่อื ง การอานทาํ นองเสนาะ บูรณาการเชื่อมโยงกบั ครชู ีใ้ หน ักเรยี นเห็นความสาํ คญั ของการอา น โดยยกโครงการอทุ ยานการเรยี นรู กลมุ สาระการเรียนรู ศลิ ปะ รายวชิ าดนตรี-นาฏศลิ ป เน้อื หาเกีย่ วกบั การขับ TK park มาเปน ตวั อยาง ซึง่ เรมิ่ จัดประชุมวชิ าการประจาํ ป 2554 เพ่อื แลกเปลยี่ น รอ งเพลงไทย โดยนกั เรียนสามารถทาํ ความเขา ใจหลักการและขนั้ ตอนการ ประสบการณโ ครงการสง เสริมการอานในระดบั อาเซยี น จากสิงคโปร ลาว และ ขับรองเพลงไทย และสามารถนําองคความรูจากรายวชิ าดงั กลา วมาฝกฝน เวยี ดนาม เพอื่ เตรียมความพรอมกอ นเขาสูเวทีอาเซียนในป 2558 ความสําเรจ็ ในการ เพือ่ ใหเ กิดการอานบทประพนั ธโ ดยใชท ํานองเสนาะไดอ ยา งเหมาะสม รณรงคก ารอานเม่อื ป 2548 กับโครงการ Read Singapore การจดั กจิ กรรมสง เสรมิ การอาน 1,600 ครง้ั ตอป สามารถผลักดนั การอานเปน วาระของชาตไิ ดสาํ เร็จ ปจจบุ ัน ประเทศสิงคโปรจึงเปนประเทศตน แบบในการรณรงคการอา นในภูมิภาคอาเซยี น นอกจากความสําเร็จของประเทศสงิ คโปรแ ลว ยงั มปี ระเทศเวยี ดนามและสาธารณรัฐ ประชาชนลาว มาแลกเปล่ียนประสบการณและแนวทางการแกไขปญ หาการรณรงค การอาน จากสถานการณก ารอา นในเวียดนาม ภาครัฐสงเสริมการสรางหองสมดุ 100 แหง ภายใน 1 ป แตส ําหรบั สาธารณรฐั ประชาชนลาว มเี พยี งองคก ร “ฮกั อา น” ที่ ขับเคลอื่ นแนวคิดนี้ และยังมปี ญหาขาดแคลนหองสมุด และหนงั สือ ซง่ึ ประเทศไทย สามารถนําบทเรียนจากการแกไ ขปญ หาของประเทศเพอื่ นบา นมาเปน แนวทางในการ สง เสริมการอา น เพื่อพัฒนาการอานของประชาชนตอไป คมู อื ครู 5
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครเู ปด วีดิทศั นเก่ียวกับการอา นบทรอ ยกรองใน ๔. กลอน เป็นค�าประพันธ์ที่เกิดหลังสุด แต่งง่ายที่สุด และเป็นที่นิยมแพร่หลายมาก สองลกั ษณะ คอื การอานออกเสียงธรรมดาและ ทสี่ ุด ด้วยกลอนจะมีจงั หวะและทา� นองเฉพาะตัว คือ กลอน ๑ บท ม ี ๔ วรรค ไดแ้ ก ่ วรรคสดบั การอานทํานองเสนาะใหนักเรยี นฟง จากน้ัน วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง การอ่านค�ากลอนจะเน้นให้เห็นสัมผัสนอกที่ถูกต้องชัดเจน นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ และถา้ มสี ัมผสั ในเพิม่ ดว้ ยจะชว่ ยใหค้ �ากลอนมคี วามไพเราะย่ิงขนึ้ • บทรอยกรองทีน่ ักเรยี นไดฟ งขางตน มลี ักษณะคําประพันธป ระเภทใด ๕. รา่ ย เปน็ คา� ประพันธท์ ีเ่ กา่ แกท่ ี่สดุ ของไทย ขอ้ บังคับตา่ งๆ มีเพยี งค�าสดุ ท้ายสง่ สมั ผสั (แนวตอบ คาํ ตอบขึน้ อยกู ับบทรอ ยกรองทค่ี รู ไปยงั วรรคถดั ไป จะมีกี่วรรคก็ได ้ รา่ ยสภุ าพจะมีวรรคละ ๕ คา� สว่ นร่ายยาวเปน็ รา่ ยที่ไมก่ �าหนด ยกมาใหน ักเรียนฟง ) โจค�าลนงวสนอคง�าสใุภนาวพรรหครหอื นโคึ่งลๆง สแาตม่ลสะุภวารพร คหอาากจเมปีค็น�ารม่ายากดนน้ั 1จ้อะยจแบตดกว้ ตย่าโงคกลันงส อถง้าดเป้ัน็นหรร่าอื ยโคสลุภงาสพาจมะดจน้ั บ ดก้วายร • นักเรยี นคิดวา การอา นบทรอ ยกรองท้งั สอง กร่าา� ยห นปดรจะกังหอวบะดใ้วนยก ารรา่ อยา่ สนุภราา่ พย ชรนา่ ดิยตโบา่ รงาๆณ จ 2ึงรไา่ มยแ่ดนนั้ น่ แอลนะ รท่า้ังยนยเ้ี าพวราะจา� นวนคา� ค�าประพนั ธป์ ระเภท ประเภทมคี วามแตกตา งกันอยา งไร (แนวตอบ การอา นท้งั สองแบบขางตนมคี วาม ๒.๒ กบทารรอ้ อยา่ กนรอบงทหรรืออ้ กยวนีกพิ รนอธง3 ์ มวี ธิ กี ารอ่านได ้ ๒ ลักษณะ กลา่ วคือ อา่ นออกเสยี งธรรมดา แตกตางกัน โดยการอา นแบบใสทํานองหรือ การอา นทาํ นองเสนาะ เนน ความไพเราะของ โดยอา่ นออกเสยี งเชน่ เดียวกับการอ่านร้อยแกว้ และการอ่านทา� นองเสนาะ คือ อ่านเป็นท�านอง เสียง ทง้ั สาํ เนียงสูง ตํ่า หนัก เบา ยาว ส้นั เพือ่ ความไพเราะ ทอดเสยี ง เอ้ือนเสียง เนน จงั หวะ เนน สัมผัส อ ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดธรรมดาเหมือนอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ในทม่ี ีความไพเราะ ชดั เจน และทาํ ใหเ กิด แตต่ ้องเว้นจงั หวะวรรคตอนให้ถูกต้องตามลกั ษณะบงั คับของค�าประพันธ์แตล่ ะชนิด มีการเนน้ ค�า อารมณค ลอยตาม ผอู านจงึ ตอ งมสี ําเนียงและ รับสมั ผัสเพ่ือเพ่มิ ความไพเราะ รวมทั้งสามารถใสอ่ ารมณ์ใหเ้ หมาะสมสอดคล้องกับเนอื้ หาทอ่ี ่านได้ นาํ้ เสยี งเหมาะสมกบั ลกั ษณะเน้ือความท่อี า น สวนการอา นออกเสียงธรรมดาเนนจังหวะและ อา่ นทา� นองเสนาะ เป็นการอ่านทีม่ ีส�าเนียงสงู ต่�า หนัก เบา ยาว สัน้ ทอดเสยี ง เอ้ือน การแบง วรรค สามารถเพมิ่ ความไพเราะดวย เสียง เน้นจังหวะ เน้นสัมผัสในชัดเจนไพเราะ และท�าให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม ดังนั้น ผู้อ่าน การใสอารมณใ นบทประพันธได) ต้องมีสา� เนียง น�้าเสียงทีเ่ หมาะสมกบั ลักษณะเน้ือความทีอ่ า่ น เช่น บทเลา้ โลม เกยี้ วพาราส ี ตดั พ้อ โกรธเกรย้ี ว คร่�าครวญ โศกเศร้า ซึง่ เปน็ สง่ิ ทตี่ ้องฝึกฝนโดยเฉพาะ 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ๑) คณุ สมบตั ขิ องผูอ้ า่ น ๑. มีความรู้เร่ืองฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน เพ่ือให้สามารถอ่านได้อย่าง ถูกต้องแมน่ ย�า ๒. มคี วามชา่ งสงั เกต รอบคอบ ปฏภิ าณไหวพรบิ ดี ๓. มีทักษะและสมาธิในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตกหล่น หรือต่อเติม ท�าให้เสีย ความไพเราะ ๔. มีความเพยี รพยายาม มีความอดทนในการฝกึ ฝนการอ่านอย่างสม�า่ เสมอ ๕. มคี วามรกั และสนใจการอา่ นอย่างแทจ้ ริง อันจะนา� ไปส่คู วามแตกฉานในการอา่ น ๖. มีความเชอ่ื มั่นในตนเอง กล้าแสดงออก ๗. มสี ุขภาพดี ๘. มนี า้� เสยี งแจม่ ใส อวัยวะในการออกเสยี งไมผ่ ิดปกติ 6 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT คําประพันธที่กาํ หนดเสยี งบงั คับเสียงหนกั เสียงเบา ใชภาษาบาลสี นั สกฤต 1 รา ยดนั้ ชอ่ื รา ยชนิดหนง่ึ บทหนึง่ มี 5 วรรคขนึ้ ไป วรรคหนึ่งใชต ้งั แต 5 - 7 คํา เปน พืน้ ในการแตง ผูอ า นจะตองจดจําจงั หวะใหแ มน ยํา และจะตองจบดวยบาทท่ี 3 และที่ 4 ของโคลงดัน้ ววิ ธิ มาลี นอกน้ันเหมอื นรา ยสุภาพ ขอความขา งตนเปน การอา นคาํ ประพนั ธประเภทใด 2 รายโบราณ ชอ่ื รา ยชนิดหน่งึ นิยมใชในวรรณคดโี บราณ ไมนยิ มคาํ เอกคําโท 1. โคลง ไมจาํ กัดวรรคและคาํ แตมักใชวรรคละ 5 คําและใชคาํ เทา กันทุกวรรค 2. ฉนั ท 3 กวนี ิพนธ คาํ ประพันธท กี่ วีแตงขึน้ อยา งมศี ิลปะ งานประเภทกวนี พิ นธใ นปจจบุ ัน 3. กาพย มไิ ดจ ํากัดเฉพาะบทประพันธท ่มี ีการแตง สอดคลอ งกับฉันทลกั ษณใ นบทประพนั ธ 4. ราย เทานั้น แตง านกวนี ิพนธยังมีความหมายรวมถงึ บทประพนั ธท ไ่ี มบงั คับฉันทลักษณ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ฉันท เพราะฉนั ทเ ปน คําประพันธท ีเ่ ครงครัด อยา งกลอนเปลา อีกดวย การอานบทกวีนพิ นธผูอา นจึงควรพินจิ พจิ ารณาคุณคาดว ย เสียงหนกั -เสียงเบา หรือคําคร-ุ ลหุ และดว ยเหตุที่ฉนั ทเ ปนคาํ ประพันธที่ การเปด ประสาทสมั ผัสตางๆ ไดแก หู ตา จมูก ล้นิ กาย รวมถึงใจของผอู าน เพื่อให บัญญตั ใิ หใชค ําคร-ุ ลหทุ กุ บททุกบาท จึงยากท่ีจะใชค ําไทยมาแตง เพราะ เกิดการรบั รแู ละเขาถึงอรรถรสท่อี ยูในบทกวี เชน เม่ือผอู า นอา นแลวเกดิ จนิ ตภาพเห็น คําลหุในภาษาไทยมีนอ ย จึงตองอาศัยภาษาบาลีสันสกฤตเปนพน้ื ในการแตง แสงหรอื ภาพอยา งไร ไดย ินเสียงเชนใด ไดกล่ินใด ไดล ม้ิ รสหรือสมั ผัสอยางไร ผูอ า น ควรใชว ธิ ีการอานออกเสียง เพอ่ื ฝก ใหป ระสาทสมั ผสั ไดรบั รอู ยา งเตม็ ท่ี 6 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) หลักเกณฑในการอาน 1. นกั เรยี นรวมกันระดมความคดิ ดว ยการ ถาจําเปน สา๑ม.ารศถกึ เษขาียคนาํ คปณระะพ1จนั ําธนช วนนดิ คตําา งคๆรุ ใหเ ขา ใจถอ งแท จดจาํ รปู แบบ และขอ บงั คบั ใหแ มน ยาํ ตอบคําถาม ตอไปนี้ ลหุ กาํ กับลงในบทรอยกรองได • นักเรียนคดิ วา นกั เรยี นมีวธิ กี ารฝกฝนตนเอง ๒. อานบทรอยกรองเปนสําเนียงการอานรอยแกวธรรมดา อานออกเสียงดังชัดเจน อยางไร เพ่อื ใหนกั เรยี นมีคณุ สมบตั ิในการ ใหไดจังหวะ หรือชวงเสียงตามรูปแบบรอยกรองชนิดน้ันๆ ออกเสียงคําตางๆ ใหถูกตองชัดเจน อา นออกเสียงทด่ี ี โดยเฉพาะการอา นตัว ร ล ตวั ควบกลา้ํ และออกเสียงใหถ ูกตอ งตามระดบั เสยี งวรรณยุกต (แนวตอบ นกั เรียนสามารถนาํ เสนอไดอยา ง ๓. ฝกอานทอดเสียงโดยอานผอนเสียงและผอนจังหวะใหชาลง เปนข้ันตอนท่ี หลากหลาย เปน ตน วา นกั เรียนตอ งศึกษา ตอ เน่ืองจากการอา นคาํ แตละคําใหชดั เจน โดยใหผฝู กอา นลากเสียงใหยาวออกไปเล็กนอ ยแลว จึง คนควา ขอ มลู เกีย่ วกบั ฉันทลกั ษณ สรา ง อา นทอดเส๔ียง. นอั้นานใสทํานองเสนาะ2ซึ่งมีลักษณะสําคัญ คือ การแบงชวงเสียงของคําในวรรค พนื้ ฐานในการอา น ดว ยการฝก ฝนอยา ง ในบาท ในบทไดถูกตอง สอดคลองกับลักษณะวรรณศิลปที่มีอยูในบทรอยกรองนั้นๆ การใส สม่าํ เสมอเพอื่ ใหมคี วามเช่ียวชาญจนเกิด ทํานองเสนาะน้ีใหเลือกแบบแผนท่ีนิยมกันมาก ผูอานตองใชความสามารถเฉพาะตัวในการอาน ความกลา แสดงออกและมีความเชือ่ ม่นั ใน โดยคาํ นงึ ถงึ ความไพเราะเปน สาํ คัญ ตนเอง) ๕. ฝกอานบทรอยกรองชนิดตางๆ เพ่ือใหรูจังหวะ วรรคตอน ทวงทํานอง ลีลา • นกั เรียนคิดวา การอา นออกเสียงธรรมดา จนเกิดความแมนยําในทํานองแลว จึงเพ่ิมศิลปะในการอานที่จะทําใหการอานทํานองเสนาะ และการอา นทํานองเสนาะมหี ลกั เกณฑใ น เกดิ ความไพเราะย่ิงขนึ้ โดยมวี ธิ ีการ ดงั น้ี การอานอยา งไร ผูอา นตอ งคาํ นึงถึงประเด็น ● การทอดเสยี ง คอื วิธกี ารอา นโดยผอนเสยี ง ผอนจงั หวะใหช าลง ใดบา ง อยางไร ● การเอื้อนเสียง คือ การลากเสียงชาๆ เพ่ือใหเขาจังหวะและไวหางเสียง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอยาง เพอื่ ความไพเราะ หลากหลาย โดยผูอ า นตอ งมคี วามรูทั้ง ● การครน่ั เสียง คือ การทํา3 ฉันทลักษณแ ละการใชเสยี ง ตลอดจน มีความเขา ใจเนอื้ หาและสามารถใสอารมณ เสียงใหสะดุดสะเทือน เพ่ือความไพเราะ ในการอานได) 2. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด เหมาะสมกับบทรอยกรองบางตอน ขยายความเขา ใจ Expand ● การครวญเสียง คือ การ สอดแทรกเสยี งเออ้ื น หรอื สาํ เนยี งครวญครา่ํ ราํ พนั ใชไ ดท งั้ กรณที ตี่ อ งการขอรอ ง วงิ วอน นกั เรียนฝกการอา นออกเสียง โดยเรมิ่ ตน หรือสําหรับอารมณโศก จากการอานออกเสยี งธรรมดาจากน้ันจึงเปล่ียน ● การหลบเสียง คือ การ เปนการอา นออกเสียงทาํ นองเสนาะ โดยฝก ฝนการ เปล่ียนเสียง หรือหักเสียงหลบจากสูงลงไป การสวดโอเอวิหารรายเปนลักษณะของเสียงเสนาะไทยหน่ึงในเกา อา นตามบทประพนั ธในวีดิทัศนท ี่ครนู ํามาเปด ให ตํ่า หรือจากเสียงต่ําข้ึนไปสูง เปนการหลบ ▼ชนดิ คอื การสวด การขับ การเห การกลอม การพากย การวา นักเรียนฟง การแหล การรอง และการอาน ซง่ึ ไดร ับความนิยมมาตงั้ แตส มยั จากการออกเสียงทีเ่ กินความสามารถ อยธุ ยาจนถงึ ปจจุบนั ๗ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู โออกเรามีกรรมจะทําไฉน จึงจะไดแ นบชิดขนิษฐา 1 คณะ กลุมคําท่จี ัดใหมลี กั ษณะเปนไปตามรปู แบบของรอ ยกรองแตล ะประเภท คําทขี่ ีดเสนใตอา นอยางไรจึงจะไพเราะ ประกอบดว ยบท บาท วรรค และคาํ ตามจาํ นวนท่กี าํ หนด กลาวไดวา คณะ ซึ่ง 1. อา นทอดเสยี งแลวปลอ ยใหหางเสียงผวนขน้ึ จมกู เปนขอกาํ หนดเกย่ี วกบั รูปแบบของรอ ยกรองแตละประเภทจะตองประกอบดว ย บท 2. อานครน่ั เสียงใหน าํ้ เสยี งตดิ ขดั สะเทอื นอารมณ บาท วรรค และคําจาํ นวนเทา ใด นอกจากน้ี ยังสอ่ื ถึงหลักเกณฑทใ่ี ชใ นการแตง 3. อานเปลย่ี นเสียงจากเสยี งตา่ํ ขึน้ ไปเสียงสงู ฉนั ทว รรณพฤติ มี 8 คณะ คอื ช คณะ ต คณะ น คณะ ภ คณะ ม คณะ ย คณะ ร 4. อา นหลบเสยี งจากเสยี งสงู ลงไปเสียงตา่ํ คณะ ส คณะ แตล ะคณะมี 3 คาํ หรอื 3 พยางค โดยถือครแุ ละลหุเปนหลัก 2 ทาํ นองเสนาะ วิธกี ารอานออกเสียงอยางไพเราะตามลีลาของบทรอยกรอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การอานพยางคส ุดทา ยของวรรคดวยการ ประเภทโคลง ฉนั ท กาพย กลอน เปน การอานคาํ ประพันธทม่ี ีทาํ นองเสยี งสูง-ต่ํา มีจังหวะลีลาและการเออ้ื นเสยี งเปน ทํานองแตกตางกนั ไปตามลกั ษณะชนดิ ของ ทอดเสยี งแลว ปลอยใหห างเสยี งผวนขึ้นจมูกเปน เสยี ง ฮือ้ ฮอื เบาๆ คลาย คาํ ประพนั ธน น้ั มีจุดมงุ หมายเพือ่ ใหเกิดความไพเราะเปนสาํ คัญ เสียงคราง ไหน-ฮอ้ื หรอื ไหน-ฮึ ซง่ึ จะทําใหบ ทรอยกรองมคี วามไพเราะ 3 การครั่นเสยี ง เทคนิคอยางหน่งึ ในการขบั รอ งเพลงใหมีความไพเราะโดยการ ทําใหเสียงส่ันสะเทือนภายในลําคอ คมู ือครู 7
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นแบงกลุมออกเปน 5 กลมุ จากนน้ั ให ● การกระแทกเสียง คอื การลงเสยี งในแต่ละคา� ให้หนักเปน็ พิเศษ มักใชบ้ รรยาย นักเรียนจบั สลาก เพื่อศกึ ษาลักษณะเดน และวิธี ความโกรธ ความเข้มแขง็ หรอื ตอนทตี่ ้องการความศกั ด์สิ ทิ ธ๒ิ์ การอานบทประพันธ 5 ประเภท ไดแ ก โคลง ฉนั ท ๖. ฝึกใส่อารมณ์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเน้ือความท่ีอ่าน ท�าได้โดยการออกเสียง กาพย กลอน และราย พรอ มฝกอานบทประพันธ หนกั เบา ออ่ นโยน ชา้ เรว็ กระแทกกระทนั้ ทอดเสยี งเนบิ ชา้ ละมนุ ละไม เสยี งสงู ตา่� โดยเปลยี่ นแปลง แตละประเภทในหนังสอื เรยี น จากนั้นนักเรียน เสยี งไปตามอารมณ์ความร้สู กึ ของบทรอ้ ยกรองแต่ละวรรคแต่ละตอน นาํ เสนอหนาช้นั เรียน ๓) วิธีการอ่าน การอ่านท�านองเสนาะของค�าประพันธ์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันด้านท�านอง ลีลา อธบิ ายความรู Explain การทอดเสยี ง และความสามารถของผอู้ า่ น สว่ นจงั หวะจะคลา้ ยคลงึ กนั สว่ นมากจะอา่ นตามทา� นอง ลีลาท่ีได้รบั การสง่ั สอนกนั มา การอ่านจะไพเราะหรือไม่ ขึน้ อยกู่ บั น้�าเสยี งและความสามารถของ 1. นักเรียนกลุมท่ี 1 นําเสนอวิธกี ารอานกลอน ผูอ้ ่าน สุภาพ โดยนักเรียนนําเสนอแผนผังบทประพันธ โดยมเี ครื่องหมายวรรคตอนในการอา่ น ดงั น้ี พรอมยกตวั อยา งประกอบจากหนา 8 เคร่อื งหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ เครือ่ งหมาย // หมายถงึ การหยดุ เว้นชว่ งจงั หวะท่ียาวกว่าเครือ่ งหมาย / 2. สมาชกิ กลุมที่ 1 รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปนี้ ๓.๑) การอ่านกลอนสภุ าพ • คําประพันธป ระเภทกลอนสุภาพมลี กั ษณะ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะกลอนของกลอนสุภาพ โดยมีลีลาการอ่าน เดน อยางไร ดังน้ี (แนวตอบ ลักษณะเดน คือ มจี ังหวะและ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) นักเลงกลอนในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ได้ ทวงทํานองเฉพาะตัว คอื กลอน 1 บท มี 4 กล่าวถึงลีลาของกลอนสภุ าพไว้ ดังนี้ วรรค ไดแ ก วรรคสดบั วรรครบั วรรครอง และวรรคสง การอานคําประพนั ธป ระเภท กลอนสภุ ำพ/แปดคำ� /ประจ�ำบอ่ น// อ่ำนสำมตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง// กลอนจะเนนสัมผสั นอกชัดเจน หากมสี ัมผัส ตอนตน้ สำม/ตอนสอง/ตอ้ งแสดง// ในความไพเราะจะเพิ่มขน้ึ ดว ย) ใตหอ้ฟนำสดำฟมัดแจ/ช้งดั/สคำวมำคม�ำ//ตคำรมบกจร�ำะนสววนน//1// • นกั เรยี นคดิ วา การอา นคําประพันธประเภท วกำ�ำงหจนังดหบวะท//กระะทยะ�ำ/นกอะงส/ตมั ้อผงสั ก//ระบวน2// กลอนสุภาพแบบทํานองเสนาะมขี อ ควรคาํ นงึ จึงจะชวน/ฟังเสนำะ/เพรำะจบั ใจ// ในการอา นอยางไร (แนวตอบ เปน ตน วา อา นถกู ทว งทํานอง (ประชุม ลำ� น�ำ : หลวงธรรมำภิมณฑ์ (ถึก จติ รกถกึ )) อักขรวิธี ใสอ ารมณใหส อดคลอ งกับบท ประพนั ธ อา นใหถกู ชวงจงั หวะของบท เนอื่ งจากกลอนสภุ าพวรรคหนง่ึ อาจมจี า� นวนคา� ๖-๙ คา� มไิ ดม้ ี ๘ คา� เสมอไป ประพนั ธ) ดงั นน้ั ถา้ จะอา่ น “ตอนตน้ สาม ตอนสอง ตอ้ งแสดง ตอนสามแจง้ สามคา� ครบจา� นวน” กค็ งจะไมไ่ ด ้ ตอ้ ง “กา� หนดบท ระยะ กะสมั ผัส” และ “วางจงั หวะ กะทา� นอง ต้องกระบวน” “จงึ จะชวน ฟงั เสนาะ 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เพราะจบั ใจ” ๒. การเออ้ื นเสียงทอดเสยี ง การอ่านทา� นองเสนาะ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค ในวรรคท่ ี ๑ และ ๒ ลดเสียงตา�่ ลงในวรรคท ่ี ๓ และลดเสียงต่�าลงไปอีกจนเปน็ เสยี งพ้นื ระดบั ต�า่ ในต้นวรรคที่ ๔ การทอดเสียง นิยมทอดเสียงระหว่างวรรคไปยังค�ารับสัมผัสซ่ึงเป็นต�าแหน่งท ่ี ๒กรมวิชาการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, อา่ นอย่างไรใหไ้ ด้รส (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว, ม.ป.ป.), หน้า ๓๔-๓๙. 8 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เผยอแยกยอด/ทรดุ ก/็ หลดุ หกั ขอใดอานจงั หวะวรรคตอนไดถูกตอ ง เสียดายนัก/นกึ นานํ้าตา/กระเด็น ในการนําเสนอผลงานหนา ชน้ั เรยี น ครคู วรกระตนุ ใหน กั เรยี นตอบคําถามโดย 1. ท้ังองค/ ฐานรานราวถงึ /เกา แฉก จะมหิ มด/ลว งหนา /ทันตาเหน็ ใชแ ผนผงั หรือตัวอยา งบทประพนั ธทน่ี ักเรยี นเตรียมมา เพ่อื ใชในการอธบิ ายใหเกดิ 2. โอเจดีย/ ทสี่ รางยัง/ราง/รัก คดิ กเ็ ปน/อนจิ จงั เสีย/ทงั้ นนั้ ความเขา ใจอยางชดั เจนและชว ยใหผ ูฟ งสามารถเห็นภาพจากแผนผงั ทนี่ ําเสนอได 3. กระน้หี รอื /ช่อื เสยี ง/เกยี รติยศ 4. เปนผูดีมี/มากแลว /ยากเยน็ นักเรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. กลอนสุภาพทมี่ ีจํานวนวรรคละ 8 คาํ จะแบง 1 กระสวน แบบ เชน อยาคบพวกหญงิ พาลสันดานช่วั ทแ่ี ตงตัวไวจ รติ ผดิ กระสวน (สภุ าษติ สนุ ทรภ)ู แบบตวั อยา งสาํ หรับสรา งหรือทาํ ของจริง เชน กระสวนเรอื น จงั หวะการอา นเปน 3-2-3 ซึ่งกค็ ือ กระนห้ี รือ/ชือ่ เสยี ง/เกยี รตยิ ศ กระสวนเส้อื จะมิหมด/ลว งหนา/ทันตาเหน็ 2 กระบวน ขบวน แบบแผน เชน กระบวนหนังสือไทย ชัน้ เชิง เชน ทํากระบวน งามกระบวนเนตรเงาเสนห ง ํา หรือหมายถึงลําดบั เชน แลขนุ หม่ืนชาวสานทง้ั ปวงเฝา ตามกระบวน สวนในกฎหมายตราสามดวง หมายถงึ วธิ ีการ เชน จดั กระบวนพจิ ารณา 8 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู แบ่งช่วงเสียงด้วย นอกจากน้ีการออกเสียงสูงต�่า สั้นยาว หนักเบา และการทอดเสียง ต้อง 1. สมาชกิ กลมุ ท่ี 1 รว มกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ พจิ ารณาลลี าและเน้อื ความของบทร้อยกรองประกอบดว้ ย • นักเรยี นคิดวา คาํ ประพนั ธประเภทกลอน สภุ าพมีหลกั การแบงวรรคตอนและการ ขอ้ ควรค�านงึ ในการอา่ นทา� นองเสนาะประเภทกลอน เอือ้ นเสยี งอยา งไร ๑. อา่ นให้ถูกทา� นองของกลอนประเภทนน้ั ๆ (แนวตอบ เปนตน วา 1. การแบงชวงเสยี ง ๒. อา่ นออกเสยี งคา� ใหถ้ กู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี ออกเสยี งตวั ร ล ตวั ควบกลา�้ และ เนอ่ื งจากจํานวนคาํ ในแตละวรรค อาจมี เสียงวรรณยุกต์ใหถ้ ูกตอ้ ง 6-9 คาํ มใิ ชม ี 8 คาํ เสมอ การอานจึงตอ ง ๓. อ่านค�าใหเ้ อือ้ สมั ผัสในเพอ่ื เพ่มิ ความไพเราะ เช่น วางจังหวะและทาํ นองใหมคี วามเหมาะสม 2. หลกั การเอือ้ นเสยี งทอดเสียง นิยมอา น คิดถงึ บำทบพิตรอดิศร อ่ำนว่ำ อะ - ดิด - สอน เพ่อื เออ้ื สัมผัสกบั ค�ำว่ำ บพติ ร เสยี งสงู ในวรรคที่ 1 และ 2 ลดเสียงตา่ํ ลง ขำ้ อตุ สำ่ หม์ ำเคำรพอภิวันท์ อ่ำนวำ่ อบ - พิ - วนั เพอ่ื เออ้ื สมั ผัสกบั ค�ำวำ่ เคำรพ ในวรรคท่ี 3 และลดเสยี งตา่ํ ลงไปอีกจนเปน บญุ บันดำลดลจิตพระธิดา อำ่ นวำ่ ทดิ - ดำ เพอื่ เออ้ื สัมผสั กับค�ำว่ำ จติ เสยี งพ้นื ระดับตา่ํ ในตน วรรคที่ 4 นอกจากน้ี ยงั นิยมทอดเสียงระหวางวรรคไปยังคาํ รบั ๔. ตอ้ งใสอ่ ารมณ์ใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ ความ หากผอู้ า่ นเขา้ ใจเนอื้ ความทง้ั หมด สัมผสั ในวรรคตอไป ทั้งนี้ ตองพิจารณาลลี า หรอื เน้ือความในตอนที่อ่าน และมลี ีลาอารมณต์ ามน้ัน เชน่ เนื้อความบรรยายธรรมชาตคิ วรอา่ น และเน้อื ความของบทรอ ยกรองประกอบดวย) ดว้ ยเสยี งเนบิ นมุ่ กงั วาน แจม่ ใส ชดั เจน ความดงั ของเสยี งประมาณ ๓ ใน ๔ ของเสียงตน ส่วน บทตน้ื ตนั ต้องอ่านด้วยลลี าชา้ บ้าง เรว็ บ้าง ดังบ้าง คอ่ ยบา้ ง เพื่อให้ต่ืนเต้น เรา้ ใจตามความหมาย 2. สมาชิกในกลมุ ที่ 1 สาธติ วิธีการแบง วรรคตอน ของเน้อื ความ ทง้ั นเี้ พอื่ ใหก้ ระทบอารมณข์ องผฟู้ งั การอาน พรอมสาธิตวิธีการอา นออกเสยี ง ๕. อา่ นใหถ้ กู ชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของกลอน และต้องคา� นึงถงึ ความเหมาะสม บทรอยกรองดว ยเสยี งธรรมดาและการอาน ความถูกต้องตามความหมายและเนื้อความของบทกลอนที่อ่านด้วย มิฉะน้ันอาจส่ือความหมาย ทาํ นองเสนาะ ผดิ พลาดได ้ เชน่ 3. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ แขกเตา้ จับเต่ารา้ งร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี ขยายความเขา ใจ Expand ควรอ่าน แขกเตำ้ /จบั เต่ำรำ้ ง/ร้อง จงึ จะไดค้ วาม เพราะเตา่ รา้ งเป็นชือ่ ของต้นไม้ ชนดิ หนง่ึ ถกู ตามจังหวะของกลอน แตค่ วามหมายจะผดิ ไป หากอ่าน แขกเตำ้ /จบั เตำ่ /ร้ำงรอ้ ง ๓.๒) การอ่านกาพย์ 1. ครูนําบทประพนั ธป ระเภทกลอนสุภาพ เร่ือง ๑. กาพยย์ าน ี ๑๑ อิเหนา จากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรอื จังหวะของกาพยย์ าน ี ๑๑ หนา 246 มาใหน ักเรียนพจิ ารณาบนกระดาน วรรคหนา้ ๕ ค�า อา่ นแบง่ เสียง ๒ ชว่ ง เป็น ๐๐/๐๐๐ วรรคหลงั ๖ ค�า อ่านแบ่งเสียง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐๐/๐๐๐ 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1-2 คนใหออกมาชวยกันแบง วรรคตอนในการอา นบทประพันธ พระเสดจ็ /โดยแดนชล// ทรงเรอื ต้น/งำมเฉดิ ฉำย// กิ่งแก้ว/แพร้วพรรณรำย// พำยออ่ นหยับ/จบั งำมงอน// 3. นักเรยี นในหองอา นบทรอยกรองโดยไมใ ส ลว้ นรูปสัตว/์ แสนยำกร// ทาํ นองพรอ มกนั นำวำ/แนน่ เป็นขนดั // สำครลั่น/คร่ันครน้ื ฟอง// เรือร้วิ /ทวิ ธงสลอน// (กำพย์เห่เรอื : เจ้ำฟ้ำธรรมธเิ บศร์) 9 ขอ ใดอา นออกเสียงสัมผัสไมถกู ตอ ง ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู 1. คดิ ถึงบาทบพติ รอดิศร อา นวา 2. ขา ขอเคารพอภิวนั ท อา นวา อะ- ดิด- สอน ในการจัดการเรียนการสอนเกย่ี วกับกลวธิ ีการอานทํานองเสนาะจากบทประพันธ 3. ขาขอคาํ นบั อภวิ าท อานวา อะ-พ-ิ วนั นอกจากครูผูสอนจะใหค วามรคู วามเขาใจเกยี่ วกับฉนั ทลักษณใ นบทประพนั ธ รวมถึง 4. ขาขอเคารพอภวิ นั ท อานวา อบั - พ-ิ วาด กลวิธกี ารอา นและการออกเสยี งบทประพันธแลว ครผู ูสอนควรเพม่ิ เติมความรูค วาม อบ-พ-ิ วัน เขา ใจเกี่ยวกบั การทาํ ความเขา ใจสารในบทอานอยางชดั เจนถองแท ครผู สู อนควรชี้แนะ นักเรียนวา การที่นักเรียนจะสามารถส่อื สารความคิดและประสบการณทีป่ รากฏในบท วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การอานคาํ ประพนั ธใหไ พเราะตองอานให อานไดอ ยางเหมาะสมหรือถกู ตอ งตามเจตนาของผูแตงไดน้นั ผอู านตอ งทําความเขา ใจ เนือ้ หาในบทอานอยางถองแทเ สยี กอน ดว ยการพจิ ารณาความหมายนับต้งั แตระดับคํา คําในวรรคมีเสียงสมั ผัสกับคาํ ทีอ่ ยูติดกัน ดังนี้ ขอ 1. อานวา อะ- ดิด- สอน ตลอดจนจุดมุงหมาย ทัศนคติ และน้าํ เสียงของผูแ ตง การทําความเขาใจดังกลา วควร สัมผัสกบั คาํ วา พิตร ขอ 3. อา นวา อบั - พิ-วาด สมั ผัสกับคาํ วา นับ ขอ 4. มคี วามชัดเจน ผอู า นตอ งสรางจินตภาพจากการอาน เชน การทาํ ความเขาใจสหี นา อานวา อบ-พิ-วัน สัมผัสกบั คาํ วา เคารพ ขอทีไ่ มม ีเสียงสมั ผัสกนั จึงอาน ทา ทาง อารมณ ความรสู ึกของตัวละครในบทประพนั ธท่ีอาน ฉากที่ปรากฏ รวมท้ัง ไมถกู ตอ ง องคป ระกอบอ่ืนที่ปรากฏจากประสาทสัมผสั ไมวาจะเปน รูป รส กลิน่ เสียง หรอื บรรยากาศ ความทุกข เศรา เจบ็ ปวด เปน ตน เพอ่ื ใหผอู า นสามารถถายทอดอารมณ ความรูสึกจากบทประพนั ธผานการอา นไดอ ยา งกระจา งชัด นอกจากนี้ ส่ิงท่ีผูอา นควร คํานึงถึงเปนสาํ คญั คอื การเคารพจดุ มงุ หมายเดมิ ของผแู ตง คูมือครู 9
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 2 นําเสนอวิธีการอานกาพย (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามต�าแหน่งที่ส่ง โดยนักเรียนเลือกนําเสนอแผนผงั ฉนั ทลักษณ รับสมั ผัสและเออ้ื นระหว่างทา้ ยวรรค ของบทประพนั ธป ระเภทกาพยฉ บงั 16 พรอ ม ๒. กาพยฉ์ บงั ๑๖ ยกตวั อยา งบทประพนั ธประกอบ จากนนั้ สาธติ วิธกี ารแบงวรรคตอน และอา นออกเสียง (๑) การแบ่งชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของกาพยฉ์ บัง ๑๖ วรรคท ่ี ๑ และ ๓ มีวรรคละ ๖ คา� อ่านแบง่ เสยี ง ๓ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐ 2. สมาชกิ กลุมที่ 2 รว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี /๐๐ • คาํ ประพนั ธประเภทกาพยม ีลักษณะเดน วรรคท่ี ๒ ม ี ๔ ค�า อ่านแบง่ เสียง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐ อยา งไร (แนวตอบ มีระเบียบบงั คบั คลา ยฉนั ท) กลำงไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ฟงั เสยี ง/เพียงเพลง// • นกั เรยี นคิดวา คาํ ประพันธประเภทกาพย ซอเจ้ง/จำ� เรยี ง/เวียงวงั // เพยี งฆ้อง/กลองระฆงั // ฉบัง 16 มีการแบง วรรคตอนและการเอ้อื น เสียงอยางไร ยงู ทอง/ร้องกะโตง้ /โหง่ ดัง// (กำพยพ์ ระไชยสรุ ิยำ : สนุ ทรภู่) (แนวตอบ 1. การแบงชว งเสียง เนอ่ื งจากวรรค แตรสังข์/กังสดำล/ขำนเสยี ง// ที่ 1 และ 3 มีวรรคละ 6 คาํ อา นแบงเสยี ง เปน 3 ชวง ชวงละ 2 คํา สว นวรรคที่ 2 (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามต�าแหน่งที่ส่ง มี 4 คํา อา นแบง เสยี ง 2 ชวง 2. นิยมอาน รบั สมั ผสั และเอื้อนระหว่างท้ายวรรค ทอดเสียงตามตําแหนง ท่ีสง รบั สมั ผสั และ ๓. กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ เออ้ื นทา ยวรรค และทอดเสียงกอนจบบท) (๑) การแบง่ ช่วงเสียง หรือจงั หวะของกาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ • นักเรยี นคิดวา การอา นทาํ นองเสนาะในบท ม ี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คา� อา่ นแบ่งเสยี ง ๒ ช่วง เปน็ ๐๐/๐๐ ประพนั ธประเภทกาพยม ขี อควรคํานึงในการ อา นอยา งไร วนั น้ัน/จนั ทร// (แนวตอบ พจิ ารณาคาํ ตอบในหนา 10 เร่ือง มีดำรำกร// เป็นบริวำร// ขอควรคํานึงในการอานกาพย เหน็ สน้ิ /ดนิ ฟำ้ // ในป่ำ/ท่ำธำร// มำล/ี คลบ่ี ำน// ใบกำ้ น/อรชร// (กำพย์พระไชยสุรยิ ำ : สุนทรภ)ู่ ขยายความเขา ใจ Expand (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนเสียงค�าท้ายวรรค โดยเฉพาะท้าย วรรคท ี่ ๖ รวมถงึ ค�ารับส่งสัมผสั และเมอ่ื จะขึน้ บทใหม่ 1. ครูนําบทประพันธประเภทกาพยฉบงั 16 เรือ่ ง คาํ นมัสการพระธรรมคณุ มาใหน กั เรียน ขอ้ ควรค�านงึ ในการอา่ นกาพย์ พจิ ารณาบนกระดาน ๑. อา่ นใหถ้ ูกตอ้ งตามอกั ขรวิธี เชน่ ● การอ่านค�าท่ีประสมด้วยสระเสียงสั้นและสระเสียงยาว อย่าอ่าน 2. ครูสมุ นักเรียน 1-2 คนใหออกมาชว ยกนั แบง ผดิ เพย้ี น วรรคตอน นกั เรยี นอานออกเสยี งพรอ มกัน ● การอา่ นพยัญชนะบางตัว เชน่ ฤ ฑ ร ล และคา� ควบกล้�า ควรศึกษา ใหด้ วี ่าอ่านออกเสียงอย่างไร ทั้งต้องพจิ ารณาเรื่องการอา่ นเอ้อื สัมผสั และรับสัมผสั ● การอ่านให้ถูกต้องตามเสียงวรรณยุกต์ เช่น เม่ือไร ไม่อ่านเป็น เม่ือไหร่ 10 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เพยี งฆอ งกลองระฆงั ยูงทองรอ งกะโตง โหงดัง ในการจดั การเรยี นการสอนเกี่ยวกบั กลวธิ ีการอา นทาํ นองเสนาะจากบทประพันธ แตรสังขกังสดาลขานเสียง เพยี งฆอง/กลองระฆงั // นอกจากครผู ูสอนจะใหความรูความเขา ใจเก่ียวกับจนิ ตภาพในการส่ือสารจากบท คาํ ประพันธข างตนตอ งอา นตามขอใด เพยี งฆอ ง/กลอง/ระฆัง// ประพันธแลว ครผู ูสอนควรเพ่มิ เติมความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับวิธกี ารถา ยทอดสาร 1. ยงู ทองรอ ง/กะโตง โหงดัง เพียงฆอ ง/กลองระฆัง// จากบทอา น ดว ยการนําประสบการณจ ากบทอา นมารวมพิจารณาสารจากบทอาน แตรสงั ข/กงั สดาลขานเสยี ง// เพียงฆอง/กลองระฆัง// ดวย ท้งั ในดานความคดิ และอารมณค วามรูสกึ ครผู ูสอนควรชแ้ี นะนักเรียนวา การ 2. ยูงทอง/รอ งกะโตง /โหง ดัง สรา งสรรคบ ทประพันธข องกวีในแตล ะบทหรือคาํ พูดของตวั ละครนั้น เกิดจากการ แตรสงั ข/กงั สดาล/ขานเสยี ง// ผสมผสานความคดิ และอารมณความรสู ึกจากบทประพันธนาํ มาผนวกรวมกบั บท 3. ยูงทอง/รอ งกะโตง โหง ดัง ประพนั ธ เพื่อสอ่ื สารเนอื้ หาสผู ูอาน ผอู านจงึ ควรพนิ ิจพจิ ารณานํ้าเสียงในบทกวีวา แตรสังข/กงั สดาลขานเสยี ง// กวีนาํ เสนอในลักษณะเชนไร เนือ่ งจากการนําเสนอในบทประพันธแตล ะบทยอ มมี 4. ยูงทอง/รอ งกะโตง โหง ดัง ความแตกตา งกนั ไปตามบริบทของผพู ูด และในการถายทอดความรูสกึ จากภาษา แตรสังข/กงั สดาล/ขานเสียง// เขียนสูภ าษาพดู ผอู า นตองนําเอาอารมณความรูส กึ จากประสบการณของตนมา ถา ยทอดผานทางนํา้ เสียงดว ย วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. แบงจังหวะการอา นวรรคทม่ี ี 6 คาํ ปกติแบง 10 คูม อื ครู เปน 2/2/2 แตวรรคแรกอาน 2/4 พจิ ารณาเนอ้ื ความเปนหลัก เพราะคําทกี่ วี ใชเ ปนคาํ ที่ควรอานใหเ สยี งตอ เน่อื งกัน
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เพราะจังหวะท�านองของกาพย์แต่ละ 1. นกั เรียนกลุมที่ 3 นําเสนอวธิ กี ารอาน ประเภทแตกต่างกัน จึงควรศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจเพอื่ อ่านไดอ้ ย่างถูกต้อง โคลงส่สี ุภาพ โดยนกั เรยี นนําเสนอแผนผัง ค วามรู้ส ึกค ล ้อย ต า มแ๓ล. ะใเชก้นิด้�าจเินสตียภงใานพก1 าเรชอ่น่า นเในหื้อ้สคอวดาคมลบ้อรงรกยับาคย�าธแรลระมเชนา้ือตคิ วคามวร อเพ่าน่ือดให้วย้ผเู้อส่าียนงเนกุ่มิด ฉันทลักษณของบทประพันธ พรอมยกตัวอยาง กังวาน แจ่มใส ชัดเจน เน้ือความต่ืนเต้น ควรอ่านด้วยลีลาช้าบ้าง เร็วบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง บทประพันธประกอบ สามารถพจิ ารณาไดจาก เพอื่ ให้ตนื่ เตน้ เปน็ ต้น หนังสือเรียนหนา 11 จากน้นั สาธติ วิธกี ารแบง ๔. ใชเ้ สยี งในการอา่ นอย่างมีศลิ ปะ เช2่น 3 วรรคตอนการอา น และอานออกเสียง ● การเอื้อนเสียง ทั้งเสียงค�าเป็นและเสียงค�าตาย ควรลากเสียงให้เข้า จังหวะและไวห้ างเสียงให้ไพเราะ 2. สมาชิกกลุมท่ี 3 รวมกนั ตอบคาํ ถามในประเดน็ ● การทอดเสียง เพ่ือให้เกิดความไพเราะ หรือเพื่อให้ทราบว่าบทท่ีอ่าน ตอ ไปนี้ กา� ลงั จะจบ ควรฝกึ ออกเสียงใหแ้ นบเนียน • คําประพนั ธป ระเภทโคลงสี่สภุ าพมลี ักษณะ ● การรวบคา� ควรฝึกใหล้ งจังหวะไดพ้ อดี 4 เดนอยา งไร ● การเชือ่ มเสยี ง ในกรณที ีบ่ ทอา่ นมคี า� ยตั ิภงั ค์ ควรฝึกการอา่ นออกเสยี ง (แนวตอบ โคลงเปน รอ ยกรองที่มีระเบยี บ ต่อเนอ่ื งกัน ผู้ฟังจะไดท้ ราบว่าค�าท่อี ่านคอื คา� ว่าอะไร บงั คับคณะ คาํ เอก คาํ โท และสัมผสั เปน สําคัญ) ๓.๓) การอ่านโคลงสี่สุภาพ • นกั เรยี นคดิ วา คาํ ประพันธประเภทโคลงส่-ี ๑. การแบง่ ชว่ งเสยี ง หรือจงั หวะของโคลงสส่ี ุภาพ สภุ าพ มหี ลักการแบง วรรคตอนและการ วรรคหนา้ ๕ คา� อ่านแบ่งเสยี ง ๒ ชว่ ง เปน็ ๐๐/๐๐๐ หรอื ๐๐๐/๐๐ เอ้ือนเสยี งอยางไร (แนวตอบ 1. การแบง ชว งเสยี ง แบงเปน วรรคหลัง ๒ ค�า อ่าน ๑ ช่วง ถ้ามีค�าสร้อยอ่านเพิ่มอีก ๑ ช่วง เป็น 2 ชว ง คือ ชว งแรก 2 คํา ชวงทส่ี อง 3 คํา ๒ ช่วง หรืออาจสลับกันได สวนวรรคหลงั แบงการ วรรคหลังบาทท ี่ ๔ มี ๔ ค�า อา่ นแบ่งเสียง ๒ ช่วง เปน็ ๐๐/๐๐ อา นชว งละ 2 คํา ถามีคําสรอยอา นเพมิ่ เปน อกี หนึ่งชว ง 2. นยิ มเออื้ นเสียงทายวรรค เสียงฦๅเสยี ง/เล่าอา้ ง// อันใด/พเี่ อย// (คา� สร้อย) บาทท ่ี ๑ แรกของแตล ะบาท และในบทที่ 2 อาจ เสยี งย่อมยอ/ยศใคร// ท่ัวหล้า// บาทท่ี ๒ เอือ้ นเสียงคําอื่นๆ ได และสามารถ สองเขือพ/ี่ หลับใหล// ลมื ตน่ื //ฤๅพี/่ / (ค�าสร้อย) บาทที่ ๓ ทอดเสยี งตามตําแหนง รบั สัมผสั ได เมื่อจบ สองพี/่ คดิ เองอ้า// อยา่ ได้/ถา5มเผอื // บาทที่ ๔ ตอนสุดทายตองชะลอจงั หวะใหชา ลงกวา เดิม ทอดเสยี งยาวตรงคาํ รองสุดทายและ (ลิลติ พระลอ : ไมป่ รากฏนามผูแ้ ต่ง) คําสดุ ทา ย) ๒. การเอ้ือนเสียงทอดเสียง นิยมอ่านเอ้ือนเสียงท้ายวรรคแรกของแต่ละบาท 3. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด และในบทท ่ี ๒ อาจเอื้อนเสียงได้ถึงคา� ที ่ ๑ ค�าท่ ี ๒ ของวรรคท ่ี ๒ และบาทท่ี ๔ ระหวา่ งค�าท่ ี ๒ กบั ค�าที่ ๓ ของวรรคท ่ี ๒ และทอดเสียงตามต�าแหนง่ รบั สมั ผัส ขอ้ เสนอแนะการอา่ นโคลงสี่สุภาพใหเ้ สนาะ ๑. อ่านให้ถูกต้องตามข้อบังคับของค�าเอกและค�าโท โคลงส่ีสุภาพมีค�าเอก ๗ แหง่ คา� โท ๔ แหง่ ค�าเอกน้ันสามารถใช้คา� ตายแทนได้ เวลาอ่านผูอ้ ่านต้องคา� นงึ ถงึ ต�าแหน่งของ คา� เอกและค�าโทให้ได้ แล้วตรวจสอบวา่ ค�าในตา� แหน่งนน้ั จะอ่านอย่างไรจงึ จะถูกฉันทลักษณ์ เช่น 11 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู นักเรยี นเลอื กบทประพันธที่นักเรียนช่นื ชอบมา 1-2 บท บนั ทึกลงในสมุด 1 จินตภาพ ภาพท่ีเกดิ จากความนึกคิดหรือท่คี ดิ วา ควรจะเปนเชน นั้น ภาพลักษณ และระบวุ า เปนคาํ ประพันธชนิดใด นกั เรียนอธิบายลักษณะคาํ ประพันธนัน้ ก็วา ภาษาอังกฤษใชวา image 2 คาํ เปน คาํ สระยาวท่ไี มมตี วั สะกด และคําในมาตรา กง กน กม เกย เกอว กิจกรรมทาทาย 3 คําตาย คาํ สระสน้ั ท่ไี มม ีตัวสะกดพวกหน่งึ และคาํ ในมาตราแม กก กด กบ นักเรยี นรวบรวมตวั อยา งคําประพนั ธช นดิ ตา งๆ ไดแ ก โคลง ฉนั ท กาพย กลอน และรา ย ชนิดละ 1-2 บท จากวรรณคดเี รื่องตางๆ 4 คาํ ยัตภิ งั ค เครื่องหมายวรรคตอนสากลอยางหนง่ึ ใชส ญั ลกั ษณขีดแนวนอนส้ันๆ กลางบรรทัด ( - ) 5 ลิลิตพระลอ ลลิ ติ เปนช่อื คําประพันธป ระเภทรอ ยกรองแบบหนง่ึ ซ่งึ ใชโคลงและ รา ยแตง ตอ กันเปนเรอ่ื งยาว วรรณคดีทีแ่ ตงตามแบบแผนลลิ ติ มกั จะใชร า ยและโคลง สลบั กนั เปน ชว งๆ ตามจังหวะ ลลี า และทว งทํานอง และความเหมาะสมของเนื้อหา ในชวงนั้นๆ ลิลติ ที่ไดร บั การยกยองจากวรรณคดสี โมสรวา เปนยอดของกลอนลิลิต คอื ลลิ ิตพระลอ เมื่อ พ.ศ. 2459 แตงขึ้นอยา งประณตี งดงาม มคี วามไพเราะของถอยคาํ 11และเตม็ ไปดว ยสนุ ทรียทางภาษา พรรณนาเร่ืองดวยอารมณท่ีหลากหลาย คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ กลมุ ท่ี 3 รว มกนั ตอบคาํ ถามในประเด็น นกแรงบนิ ได้เพอื่ เวหา ตอ ไปน้ี หมูจ่ ระเขเ้ ตา่ ปลา พง่ึ น้า� • นกั เรียนคิดวา การอานทาํ นองเสนาะใน เขญ็ ใจพึ่งราชา จอมราช บทประพันธป ระเภทโคลงสีส่ ภุ าพ มขี อ ควร ลูกออ่ นอ้อนกลืนกล�า้ เพอื่ น�า้ นมแรง คาํ นึงในการอานอยา งไร (แนวตอบ อานใหถ ูกฉนั ทลักษณโดยเฉพาะ (โคลงโลกนิต ิ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร) บังคับฉนั ทลักษณค าํ เอกคําโท ไมอ านฉกี คาํ ใชน ํ้าเสียงใหสอดคลองกับบทประพนั ธ เพื่อ ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของการใช้ค�ายัติภังค์ มีโคลงหลายบทท่ีใช้ค�า ดงึ ดูดใหผฟู งคลอ ยตาม เมื่อจบตอนสุดทาย ยัติภังค์ ทั้งท่ีปรากฏและไม่ปรากฏเครื่องหมาย ผู้อ่านจึงต้องพิจารณาค�าท่ีใช้ในโคลงให้เข้าใจ ตองชะลอจังหวะใหชา ลงกวาเดิม ทอดเสียง หากพบค�าเดยี วกันเขยี นแยกวรรคกนั จะตอ้ งอ่านค�าทแ่ี ยกนนั้ ใหผ้ ฟู้ งั ทราบว่าเปน็ คา� ใดแน ่ เชน่ ยาวตรงคาํ รองสุดทายและคาํ สดุ ทาย) เ หมือนลเ�ามพ็ดูดเพูหิง่ชหรร้อตัยน 1ร์ าย พรอยพราย 2. นักเรยี นท่ีเปน สมาชกิ ในกลมุ ท่ี 3 สาธิตวธิ กี าร รอบกอ้ ย แบงวรรคตอนการอาน พรอ มสาธติ วิธีการอา น วบั วบั จับเนตรสาย- สวาทสบ- เนตรเอย ออกเสยี งบทรอ ยกรองดวยเสียงธรรมดาและ วบั เช่นเห็นห่งิ ห้อย หับหม้านนานเห็น การอา นทํานองเสนาะ (โคลงนิราศสพุ รรณ : สนุ ทรภ)ู่ 3. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด บาทท่ี ๓ มคี า� ยัติภังค ์ ๒ ค�า คือ “สายสวาท” และ “สบเนตร” ดังนั้น จังหวะท่ี ตกหลังค�าว่า “สาย” และค�าว่า “สบ” จึงทอดเสียงได้น้อยที่สุด เพราะต้องอ่านค�าถัดไปให้ผู้ฟัง ขยายความเขา ใจ Expand ทราบวา่ คา� คูน่ ีค้ ืออะไร 1. ครนู าํ บทประพันธป ระเภทโคลงสส่ี ภุ าพ เร่อื ง ๓. ใช้น้�าเสียงในการอ่านให้เหมาะสมสอดคล้องกับเน้ือความ เพ่ือดึงดูดให้ผู้ฟัง นริ าศนรินทรคําโคลง จากหนงั สือเรียนรายวชิ า คลอ้ ยตามบทประพันธ ์ ท้ังยังท�าให้ผู้ฟังเกิดภาพ2พจน์และอารมณร์ ว่ มไดง้ า่ ย ดงั เชน่ พืน้ ฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ● การอา่ นบทรัก บทนิราศ ควรปรบั เสยี งใหน้ ุม่ นวลและเบากวา่ เสยี งปกติ ม.4 หนา 249 มาใหน กั เรียนพิจารณาบนกระดาน ● การอา่ นบทเศร้า ควรครน่ั เสยี ง ครวญเสียง อ่านชา้ และเนิบกวา่ ปกติ ● การอ่านบทตลกขบขัน ควรใช้เสียงให้มีชีวิตชีวา เน้นบางค�า หรือเน้น 2. ครสู ุมนักเรยี น 1-2 คน ออกมาชว ยกันแบงวรรค ความสา� คัญให้เดน่ ชดั ตอนในการอานบทประพนั ธ ● การอา่ นบทกล่าวเกนิ จรงิ ควรใช้เสียงปกติ เนน้ คา� ให้ความหมายเกินจรงิ ๔. เมือ่ จะจบตอนทอ่ี า่ นตอ้ งชะลอจังหวะใหช้ ้าลงกว่าเดิม แลว้ ทอดเสยี งยาวกวา่ 3. นักเรียนในหองอา นบทรอ ยกรองพรอ มกนั โดย ทกุ คร้งั ตรงคา� รองสดุ ทา้ ยและค�าสดุ ท้าย เพือ่ ให้ผู้ฟงั ทราบว่ากา� ลงั จะสนิ้ กระแสความที่อ่าน ไมต องใสทาํ นอง ๓.๔) การอ่านฉันท์ ๑. อินทรวิเชียรฉันท ์ ๑๑ บบาาททเโอทก (๑) แ ั ผ น ผั ังั อ ิน ุ ั ท ร ั ุ ว เิ ชั ั ยี ร ฉั ันท ์ ๑๑ ุ ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ั ั ั ั 12 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT คาํ ประพันธในขอใดตองอานทอดเสยี งใหนอยที่สุด 1 เพชรรัตน แกวทม่ี ีความแข็งแรงท่สี ดุ และมีนํ้าแวววาวมากกวาพลอยอนื่ 1. ทนุสนธซ์ิ งึ่ นานน้ํา นองพนา สณฑเ ฮย 2 นริ าศ เปนลักษณะคําประพนั ธช นดิ หน่งึ โดยลกั ษณะคาํ ประพนั ธด ังกลาว 2. หนปจ ฉิมทศิ า ทวมไซร เปน การแบงประเภทของคาํ ประพันธตามลกั ษณะของเนือ้ หาในบทประพันธ ซึง่ 3. คอื ทัพอริรา- มญั หมู นีน้ า ประกอบดว ยลักษณะสําคญั 3 ประการ ดังตอไปนี้ 1. การเคลื่อนท่ี เปน การเคลอ่ื นท่ี 4. สมดง่ั ลกั ษณฝน ไท ธเรศนั้นอยาแหนง ของบุคคลและเวลา โดยการเคลอ่ื นท่ขี องบคุ คล คอื การเดินทางพรากจากสถานที่ ที่เคยอยูอาศัย พบไดใ นวรรณคดนี ริ าศทว่ั ไป สว นการเคลื่อนท่ขี องเวลา เชน การ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. คือทัพอริรา- มัญหมู น้ีนา เปลย่ี นแปลงของฤดกู าลตางๆ พบไดใ นวรรณคดเี รอื่ ง โคลงทวาทศมาส 2. การ คราํ่ ครวญ อาจเปนการครํ่าครวญถึงนางอันเปนทร่ี ัก ซงึ่ พบในวรรณคดีท่วั ไป หรอื ตอ งอา นรวบเสยี งคาํ วา “รามัญ” แมจ ะเขียนแยกกนั ดว ยเครอ่ื งหมายยัตภิ ังค อาจครา่ํ ครวญถึงพระมหากษตั ริย เชน นิราศกวางตุง เปนตน และ 3. การใช ( - ) แตเวลาอานตองอา นคาํ ใหมเี สยี งตอ กันเพือ่ ใหผฟู งรวู า เปน คาํ เดียวกัน ธรรมชาติท่พี บเหน็ ตลอดการเดินทางเปน สื่อเปรยี บเทยี บ พรรณนาความรัก ความอาลยั ลกั ษณะเดน อยา งหนง่ึ ของบทประพนั ธป ระเภทนริ าศ โดยสว นใหญม กั มี ความเศรา เพราะรา งรกั เปน แกน เรอ่ื ง โดยมนี างในนริ าศเปน อปุ มานทิ ศั นข องความสขุ 12 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู (๒) การแบ่งช่วงเสียงหรอื จังหวะ 1. นักเรยี นกลุมท่ี 4 นาํ เสนอวิธีการอา นฉันท วรรคหนา้ ๕ คา� อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เปน็ oo/ooo โดยนักเรยี นนําเสนอแผนผังฉนั ทลกั ษณข อง วรรคหลงั ๖ คา� อา่ นแบง่ เสยี ง ๒ ช่วง เป1น็ ooo/ooo บทประพันธ ครใู หนกั เรยี นเลือกบทประพนั ธ บงเนื้อ/กเ็ นอ้ื เตน้ // พศิ เสน้ /สรรี ร์ วั // ประเภทอินทรวิเชียรฉันท พรอ มยกตวั อยาง ท่ัวรำ่ ง/และท้งั ตวั // หกร็ิตะโอริก้/เ/ลรอะะรหวิ ไลห่ังวไ/ป//2/ บทประพนั ธประกอบ นกั เรยี นสามารถ พิจารณาตัวอยา งไดจ ากหนงั สอื เรยี น เพ่งแผลำดห3/ลอังน/ลำถะใลจำ/ม/โล// ระกะรอ่ ย/เพรำะรอยหวำย// 2. นักเรยี นทเ่ี ปน สมาชกิ กลุม ท่ี 4 รวมกนั (สำมัคคเี ภทค�ำฉนั ท์ : ชติ บรุ ทตั ) ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธป ระเภทอนิ ทรวิเชยี รฉนั ท (๓) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนท่ี ๒ ค�า ท้ายวรรคท่ี ๒ ของบาทที่ ๑ มลี กั ษณะเดนอยางไร และท้ายวรรคท ่ี ๑ ของบาทท ่ี ๒ แต่ทั้งน้ีต้องดคู วามเหมาะสมของเสียงของค�าในแตล่ ะวรรคดว้ ย (แนวตอบ มกี ารกาํ หนดบังคบั เสียงหนักเบา ๒. วสนั ตดิลกฉันท ์ ๑๔ (คร-ุ ลห)ุ อยางเครงครัด จึงใชค าํ ภาษาบาลี (๑) แผนผังวสนั ตดิลกฉนั ท ์ ๑๔ สนั สกฤตเปน หลัก) • นกั เรียนคดิ วา คําประพันธประเภทฉนั ทมี บาทเอก ั ั ัุ ุ ัุ ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั หลกั การแบงวรรคตอนและการเอ้ือนเสียง บาทโท ั ั ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั อยา งไร (แนวตอบ 1. การแบง ชว งเสียง หรือจงั หวะ (๒) การแบ่งชว่ งเสยี งหรอื จังหวะ เนื่องจากวรรคหนามี 5 คาํ การอานแบง เปน วรรคหนา้ มี ๘ ค�า อ่านแบง่ เสียง ๓ ช่วง เป็น oo/oo/oooo 2 ชวง คอื ชวงแรก 2 คํา ชว งท่ีสอง 3 คาํ วรรคหลังมี ๖ คา� อา่ นแบง่ เสียง ๒ ช่วง เปน็ ooo/ooo สวนวรรคหลัง 6 คาํ แบง การอา นเปน 2 ชว ง ชว งละ 3 คํา 2. การเออื้ นเสยี งทอด เรืองรอง/พระมน/ทริ พิจติ ร// กรจุ ลเิ พรขิศ/4/อพลิมงำกนรบณน/์ 5/// เสยี ง นิยมทอดเสียงไปยงั คํารบั สมั ผัส หาก ก่องแก้ว/และกำญ/จนระคน// พจิ ารณาตามตําแหนงของคาํ นิยมเอ้อื นเสียง ดลฟำก/ทิฆัมพร// ที่ทา ยวรรคท่ี 2 ของบาทโท และระหวาง ช่อฟำ้ /ก็เฟ้ือย/กลจะฟดั // นภศูล/สลำ้ งลอย// คําท่ี 5 คําท่ี 6 ของวรรคท่ี 2 บาทท่ี 1 และ บรำล/ี พิไล/พิศบวร// บาทที่ 2) (อลิ รำชคำ� ฉนั ท์ : ผัน สำลกั ษณ)์ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ (๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ให้ทอดเสียงไปยังค�ารับสัมผัสตามต�าแหน่ง นยิ มเอื้อนเสียงที่ท้ายวรรคท่ี ๒ ของบาทโท และระหวา่ งคา� ที่ ๕ ค�าท ี่ ๖ ของวรรคท่ี ๒ บาทที่ ๑ และบาทที่ ๒ ข้อควรค�านงึ ในการอา่ นฉันท์ ๑. ต้องศึกษาลักษณะของฉันทลักษณ์ให้เข้าใจ ต้องรู้ค�าครุ ค�าลหุ และคณะ ของฉนั ท์แต่ละประเภท 13 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู คาํ ประพนั ธในขอใดมิไดแสดงอารมณเ กร้ียวกราดกระแทกน้าํ เสยี ง 1 สรรี รากศัพทมาจากภาษาบาลี แปลวา รา งกาย 1. เอออุเหมอลิ ลาชะลาไฉน ประพาสบเกรงบก ลัวกระทาํ อุกอาจ อหงั การ 2. เรานี่แหละจะสาปจะสรรใหสาแกใจ นะเจา แนะ นางอิลลา 2 แลหลงั /ละลามโล// หติ โอ/ เลอะหลัง่ ไป// บทประพนั ธบ ทน้ีมีความดเี ดนดาน จะทาํ ไฉน การเลนเสียงสัมผสั อกั ษรหรือสัมผัสพยญั ชนะ คือ ล จากคาํ วา แล หลงั ละ ลาม โล 3. แสงสกาววโิ รจนน ภาประจกั ษ แฉลม เฉลาและโสภติ นัก เลอะ หลั่ง ในการอา นทาํ นองเสนาะบทประพนั ธท่ีมเี สียงสัมผัสอักษรเสยี งเดียวกนั ณ ฉนั ใด ดงั ตัวอยางขางตน นักเรยี นควรระมัดระวังในการอานโดยอา นออกเสยี งใหถกู ตอง 4. กลกะกากะหวาดขมังธนู บหอนจะเห็นธวัชริปู ชัดเจนตามฉันทลกั ษณ โดยไมก ลืนเสยี ง ขณะเดียวกนั นักเรียนควรอานบทประพันธ สลี า ถอย ใหส อดคลอ งกบั อารมณค วามรสู กึ ในบทประพนั ธดว ย เพ่ือใหผฟู ง เขาใจเนอื้ หา จากบทประพนั ธไ ดอยางชัดเจน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เปน ตอนท่ีนางมัทนาราํ พงึ รําพันกบั ดวงดาว 3 ผาด คาํ วเิ ศษณ ผา นหรือเคลอื่ นไปเรว็ (มักใชแกกริยาเห็น) มองแตเผนิ ๆ ท่สี องแสงสกาวบนทอ งฟา ไมม ีนาํ้ เสยี งเกรย้ี วกราด ซึ่งตา งจากขออนื่ ท่ใี ช 4 รจุ เิ รข มีลายงาม มีลายสกุ ใส คําตายในคาํ ประพนั ธท ่จี ะใหเสยี งสัน้ ติดขดั ทาํ ใหเสียงรสู กึ ถึงอารมณโ กรธ เกรี้ยวกราด 5 ทฆิ มั พร เปนการสรา งคาํ ดวยวธิ ีการสมาสอยา งมสี นธิ ระหวา งคาํ วา ทีฆ + อมพฺ ร ซ่งึ หมายถงึ ทอ งฟา คูม อื ครู 13
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชิกกลุม ที่ 4 รว มกนั ตอบคําถามในประเดน็ ๒. การแบง่ จังหวะในการอ่านฉนั ทต์ อ้ งแมน่ ยา� ถูกต้อง หากคา� ใดมีเคร่ืองหมาย ตอไปน้ี ยตั ภิ ังคค์ น่ั ตอ้ งอ่านคา� เตม็ กอ่ นแล้วจึงอ่านตามคณะฉนั ท์ • นกั เรยี นคดิ วา การอานทาํ นองเสนาะในบท ประพนั ธประเภทฉันทมขี อ ควรคํานงึ ในการ สงู ลิ่วละลานนั- ยนพ้นประมาณหมาย อา นอยา งไร สูง-ลิ่ว/ละ-ลาน-นยั // ยะ-นะ-พ้น/ประ-มาน-หมาย// (แนวตอบ เปน ตนวา อานใหถ ูกฉันทลกั ษณ โดยเฉพาะบังคับคาํ ครุ ลหุ และคณะของฉันท ๓. ค�าท่ีรับสัมผัสกันต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดกว่าปกติ ถ้าเป็นสัมผัสนอก แตละประเภท การแบงจงั หวะในการอา นถกู - ตอ้ งทอดเสียงใหม้ ีจงั หวะยาวกวา่ ปกติ ดังตวั อย่างท่อี า่ นเนน้ เสียงค�าวา่ กุด สุด ดังนี้ ตอ งแมน ยํา ไมอา นฉกี คํา หากมีเครอื่ งหมาย ยตั ภิ งั คค ัน่ ตอ งอานเตม็ คาํ กอน แลวจงึ อาน ขา้ แตพ่ ระจอมจุฬมกุฎ บรสิ ทุ ธกิ าำ จาย ตามคณะ คาํ ทรี่ บั สัมผัสกนั ตอ งอา นเนนเสยี ง ขา้ -แต/่ พระ-จอม/จ-ุ ละ-มะ-กุด// บอ-ริ-สดุ /ทิ-กาำ -จาย// ใหช ดั กวา ปกติ ถา เปน สมั ผสั นอกตอ งทอดเสยี ง ใหยาวกวาปกติ ใชน า้ํ เสยี งใหสอดคลอ งกบั ๔. ไมอ่ ่านเอ้อื นเสียงทค่ี �าลห ุ เพราะมเี สยี งเบาและสนั้ ประเภทของฉันท เพ่ือดึงดดู ใหผ ูฟง คลอยตาม ๕. การใสท่ า� นอง ตอ้ งเอือ้ นท�านองให้ถูกต้องตามประเภทของฉันทแ์ ต่ละชนดิ เมื่อจบตอนสุดทา ยตอ งเอ้อื นเสยี งใหชา ลง ๖. การใส่อารมณ์ ต้องฝึกฝนการถ่ายทอดอารมณ์และน้�าเสียงให้เหมาะสม กวาเดิม ทอดเสียงชา ลงจนกระทง่ั จบ) สอดคล้องกับเน้ือเรื่อง โดยพยายามไว้จังหวะในบทและบาทของฉันท์ จึงจะท�าให้การอ่านฉันท์ ไพเราะน่าฟงั 2. นักเรียนที่เปน สมาชิกในกลุม ท่ี 4 สาธติ วธิ ีการ ๗. การอา่ นตอนจบของบทตอ้ งเออื้ นเสยี งและทอดจงั หวะใหช้ า้ ลงจนกระทงั่ จบ แบง วรรคตอนการอาน พรอ มสาธิตวธิ กี ารอาน ออกเสียงบทรอ ยกรองดว ยเสียงธรรมดาและ ๓.๕) การอา่ นร่าย การอานทาํ นองเสนาะ ๑. รา่ ยยาว (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะของร่ายยาว ร่ายยาวในแต่ละวรรคมักมีค�า 3. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เกิน ๕ ค�า ผู้อ่านควรแบ่งช่วงเสียงตามกลุ่มค�าท่ีจบความหนึ่ง หรืออ่านติดต่อกันให้จบวรรค เน้นเสียงคา� ท่รี ับสมั ผสั เพือ่ ใหไ้ ด้รับรสจากเสยี งสมั ผัส ขยายความเขา ใจ Expand ราชา สญฺชโย/ปางเม่ือพระทูลกระหม่อมจอมนราธิบดีศรีสญชัย/ได้ฟังพระโอรส 1. ครูนาํ บทประพนั ธป ระเภทอนิ ทรวิเชียรฉันท ทูลร่ำาพิไร/พระทัยเธอเร่าร้อนทีประหน่ึงว่าจะผ่อนให้/แล้วจึ่งผินพระพักตร์มาตรัส เรอ่ื ง คํานมสั การมาตาปต ุคุณและคํานมัสการ- ปราศรัย/กับพระสุณิสาศรีสะใภ้ว่า/มัทรีเอ่ย/พาพ่อชาลีมาไย/จะไปด้วยผัวหรือพระลูก อาจริยคุณจากหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐาน รัก/อนิจจานิจจาเอ่ย/ไม่ควรเลยจะประดักประเดิด/ดูเอาเถิดไม่เกรงกลัว/เจ้าโกรธพ่อหรือ ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม.4 วา่ ขับผัวจากบุร/ี มทั รีจะไปด้วยผัวกเ็ ปน็ ได้/พระลกู เอย่ /อย่าไปเลยฟังพ่อวา่ / หนา 247 มาใหน ักเรยี นพจิ ารณาบนกระดาน (มหาเวสสนั ดรชาดก ทานกณั ฑ ์ : สาำ นักวัดถนน) 2. ครสู มุ นักเรยี น 1-2 คน ออกมาชว ยกนั แบง วรรคตอนในการอานบทประพนั ธ (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ส่วนมากนิยมเอ้ือนท้ายวรรคเมื่อจบความหน่ึง และเอือ้ นที่กลางวรรคสุดทา้ ยซึง่ เปน็ วรรคจบรา่ ย 3. นกั เรียนในหองอานบทรอยกรองโดยไมใ ส ทํานองพรอ มกนั 14 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขุนผคู กู าํ กบั เปน ทพั หลงั พรง่ั พฤนท ในการเรยี นการสอนอา นคาํ ประพนั ธน้ัน ครผู ูสอนควรฝกทกั ษะการอา นให ข่คี ชนิ ทรพาหนะ นามชนะจาํ บงั ถกู ตองและชํานาญดว ย หากครผู สู อนทานใดไมถนัด สามารถใชแ ถบบนั ทกึ เสียง ขอใดกลา วถกู ตอ งเก่ยี วกับการอานรา ย การอานคําประพนั ธห รอื เชญิ วทิ ยากรทม่ี ีความสามารถเฉพาะดา นมาใหความรกู ับ 1. อานคําสงสัมผสั “พฤนท” วา พริน นักเรียน โดยครผู ูสอนตอ งคาํ นงึ ถึงความสามารถเฉพาะของแตละบุคคลเปน หลกั 2. อา นคําสงสัมผัส “พฤนท” วา พะรนึ เนื่องจากนักเรยี นแตล ะคนมีขอจาํ กัดที่แตกตางกัน 3. อา นคํารบั สมั ผัส “คชินทร” วา คะ-ชนิ -ทอน 4. อา นคาํ รบั สัมผสั “คชนิ ทร” วา คะ-ชิน-ทะ-ระ การเรยี นการสอนอา นบทประพันธน ี้ ครผู สู อนควรคํานึงวา มีจดุ มงุ หมายสาํ คญั คอื เพ่อื ใหนกั เรยี นสามารถอา นบทประพันธไ ดถ กู ตอ งตามรปู แบบคาํ ประพนั ธ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อานคําสงสมั ผสั “พฤนท” วา พรนิ จะรับ เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถพิจารณาความไพเราะของบทประพนั ธจากจงั หวะลีลาและ อารมณในบทประพันธ รวมถงึ มีการเออื้ นเสยี งทีถ่ ูกตองเปน หลัก สว นการอานให สัมผสั กับ “คชินทร” อานไดอยา งเดียววา คะ-ชนิ ซ่งึ เปน ลักษณะของรายท่ี มีความไพเราะนน้ั เปนพฒั นาการในลําดบั ถัดไป ตองอาศยั การฝก ฝนและความ คําทา ยวรรคจะตอ งสงสมั ผัสไปยงั คําใดคาํ หนง่ึ ในวรรคถัดไป ดงั นน้ั สามารถเฉพาะบคุ คล การอา นใหถ กู ตอ งตามฉนั ทลกั ษณ จงึ ตอ งพจิ ารณาคาํ รบั -สง สมั ผสั ระหวา งวรรค 14 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒. รา่ ยสภุ าพ 1. นักเรียนกลมุ ท่ี 5 นาํ เสนอวิธกี ารอานราย (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน่ึงมี ๕ ค�า แบ่งช่วงเสียง ๒ ช่วง โดยนกั เรยี นนําเสนอแผนผงั ประเภทรา ยสภุ าพ เปน็ ooo/oo ในบางแหง่ อาจแบ่ง เปน็ oo/ooo เพ่อื ไม่ให้ค�าฉีก พรอ มยกตวั อยา งประกอบจากหนงั สอื เรยี น ศรีสทิ ธ์ิ/พศิ ำลภพ/ เลอหลำ้ ลบ/ล่มสวรรค์/ จรรโลงโลก/กวำ่ กว้ำง/ 2. นกั เรียนทีเ่ ปน สมาชิกกลุมที่ 4 รวมกนั ตอบ แผนแผ่นผำ้ ง/เมืองเมรุ/ ศรีอยุธเยนทร/์ แยม้ ฟ้ำ/ แจกแสงจ้ำ/เจดิ จนั ทร/์ คาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี เพียงรพิพรรณ/ผ่องด้ำว/ ขนุ หำญหำ้ ว/แหนบำท/ สระทกุ ข์รำษฎร์/รอนเสย้ี น/ • คําประพนั ธประเภทรา ยสภุ าพมลี กั ษณะเดน สำ่ ยเศิกเหลีย้ น/ล่งหลำ้ / รำญรำบหนำ้ /เภรนิ / เขญ็ ขำ่ วยนิ /ยอบตวั / อยางไร ควบคอ้ มหวั /ไหวล้ ะลำ้ ว/ ทุกไทน้ำว/มำลยน์ ้อม/ ขอออกออ้ ม/มำอ่อน/ (แนวตอบ มบี ังคับคณะ สมั ผัส รายสุภาพ ผ่อนแผน่ ดิน/ให้ผำย/ ขยำย/แผ่นฟำ้ ใหแ้ ผว้ / เลีย้ งทแกล้ว/ให้กล้ำ/ บงั คับคําเอก คาํ โทดวย) พระยศไท้/เทดิ ฟ้ำ/ เฟื่องฟุ้ง/ทศธรรม// ท่ำนแฮ • นักเรียนคิดวา คําประพันธป ระเภทรายมี หลักการแบง วรรคตอนและการเอือ้ นเสียง (นริ ำศนรนิ ทร์ : นรนิ ทรธเิ บศร)์ อยางไร (แนวตอบ 1. วรรคหนามี 5 คาํ การอานแบง (๒) การเอ้ือนเสียงทอดเสียง การอ่านร่ายเม่ืออ่านถึงค�ารับสัมผัส ผู้อ่านต้อง เปน 2 ชวง คอื ชวงแรก 3 คํา ชว งที่สอง เน้นเสยี ง หรอื ทอดเสยี งให้เหมาะกบั เนอ้ื ความ และตอ้ งทอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรค เมอื่ อ่านถึง 2 คํา สามารถปรบั เปลยี่ นได เพอ่ื ไมใ หฉกี คาํ ตอนจบซึ่งจบด้วยโคลงสอง ให้เอื้อนเสียงท้ายวรรคให้ยาวนานกว่าทอดเสียงท้ายวรรคอ่ืนๆ เพื่อ 2. นยิ มเออ้ื นเสยี งทอดเสยี ง เม่อื อานถงึ ให้ผูฟ้ งั ทราบวา่ เรื่องทฟ่ี งั อยูก่ า� ลงั จะจบ คํารับสมั ผัส ควรอา นใหเ หมาะกบั เน้ือความ และตอ งทอดเสยี งตอนทา ยวรรค เม่อื ถึง ข้อควรคา� นึงในการอ่านรา่ ย ตอนจบใหเ ออื้ นเสียงยาวนานกวาวรรคอื่น) ๑. การอ่านร่ายทุกชนิดจะมีท�านองเหมือนกัน คือ ท�านองสูงอ่านด้วยเสียง • นกั เรียนคดิ วา การอา นทํานองเสนาะในบท ระดับเดียวกัน การลงจังหวะอยู่ท่ีท้ายวรรคทุกวรรค ส่วนจะอ่านด้วยลีลาช้าเร็วเพียงใดข้ึนอยู่กับ ประพันธป ระเภทรา ยมขี อ ควรคาํ นงึ ในการ อารมณ์ท่ีปรากฏตามเน้ือความ แต่เม่ืออ่านพบค�าที่มีเสียงสูงจะนิยมอ่านหลบเสียงลงต่�าให้อยู่ใน อานอยางไร ระดบั เสยี งอา่ นปกติและตอ้ งทอดเสียงทา้ ยวรรคทุกวรรค (แนวตอบ สามารถพจิ ารณาเพิม่ เติมจากเรอื่ ง ๒. ร่ายส่วนใหญ่จะมีวรรคละ ๕ ค�า ซึ่งไม่มีปัญหาในการอ่านให้จบวรรค ขอ ควรคํานึงในการอา นราย ในหนา 15) ภายใน ๑ ช่วงลมหายใจ ยกเว้นร่ายยาว ซึ่งแต่ละวรรคมักมีค�าเกินกว่า ๕ ค�า หรือเกินกว่า ๑ ช่วงลมหายใจ ผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณตัดสินว่าควรจะหยุดผ่อนลมหายใจช่วงใด ต้อง 3. นกั เรยี นที่เปน สมาชกิ ในกลุม ท่ี 5 สาธิตวธิ ีการ ฝกึ ฝนการกักลมหายใจ เพอื่ อา่ นใหจ้ บวรรค แบงวรรคตอน พรอ มอา นออกเสียง ๓. การใส่อารมณ์ในการอ่านร่าย ผู้อ่านจะต้องพิจารณาลักษณะเน้ือความว่า เป็นประเภทใด เพ่ือให้ใช้น�้าเสียงในการอ่านได้เหมาะสมสัมพันธ์กับอารมณ์และเน้ือความ ท�าให้ ขยายความเขา ใจ Expand กระทบใจผู้อ่าน เชน่ ● เน้ือความแสดงอารมณ์เศร้า น้�าเสียงควรเบาลง สั่นเครือ จังหวะการ 1. นักเรียนพิจารณาบทประพันธป ระเภท อ่านชา้ ลงกว่าปกติ รา ยสภุ าพ เร่อื ง นริ าศนรินทรคําโคลง ● เน้ือความแสดงอารมณ์โกรธ น้�าเสียงควรหนักแน่น เน้นเสียงดัง จากหนงั สือเรยี น หนา 15 กว่าเดิม กระชับ สั้น หว้ น 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1-2 คน ออกมาแบง วรรคตอน 15 3. นกั เรยี นอา นบทรอ ยกรองพรอ มกนั ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู การอานคาํ ประพันธใ นขอ ใดมีลักษณะคาํ ประพนั ธป ระเภทรายสภุ าพ ครคู วรเพ่ิมเติมความรูเ กยี่ วกบั การอานบทประพนั ธประเภทรา ยสภุ าพ 1. ปางเมอื่ พระทูลกระหมอ มจอมนราธิบดีศรสี ญั ชัย/ ไดฟงพระโอรสทูลร่ําพไิ ร โดยกลา วถึง การอานรา ยสุภาพทาํ นองสงู อา นดวยเสียงระดบั เดยี วกัน และลงจงั หวะ 2. พระทบั เธอเรา รอนประหนง่ึ วาจะผอนให/ แลว จึ่งผินพระพักตรมาตรสั ท่ีทา ยวรรคทุกวรรค สวนลลี าการอา นขนึ้ อยูกับเนอ้ื ความ เมื่อพบคําเสยี งสงู นิยมหลบ เสยี งลงตา่ํ และทอดเสยี งทา ยวรรคทุกวรรค ตองพิจารณาชวงเวลาในการกักเกบ็ และ ปราศรัย การปลอยลมหายใจในการอานใหดี เมอื่ จบตอนสดุ ทา ยตองเอื้อนเสียงใหชาลงกวา 3. แผนแผนผา ง/เมืองเมรุ/ศรีอยุธเยนทร/แยม ฟา/ เดิมจนกระทัง่ จบ เพอ่ื ใหเกิดการใชเสยี งทส่ี มบรู ณ ทง้ั ความไพเราะและความชัดเจน 4. พระสุณิสาศรีสะใภวา/มทั รีเอย /พาพอ ชาลีมาไย/จะไปไดผวั หรือพระลกู รัก นกั เรียนจงึ ควรฝก ฝนตนเองทง้ั การอานและการใชเ สียงอยางสมํา่ เสมอ เพื่อใหเกดิ ความเชย่ี วชาญเมอ่ื นาํ มาประยกุ ตใ ช วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะเปนลักษณะคาํ ประพันธป ระเภทราย สภุ าพ สังเกตไดจากการแบงจังหวะการอาน วรรคหนง่ึ มี 5 คํา แบงเปน 2 ชวง ดังน้ี แผนแผนผา ง/เมอื งเมรุ/และ ศรีอยธุ เยนทร/ แยม ฟา/ สวนขอ อืน่ เปนรา ยยาวที่แตละวรรคมักมคี าํ เกิน 5 คาํ คูมอื ครู 15
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรียนจดั กลมุ ใหม โดยใหแตล ะกลุมมีสมาชกิ ● เนอื้ ความบรรยายการรบการตอ่ ส ู้ นา�้ เสยี งดัง หนกั แน่น ห้วน กระชับ ไมน อ ยกวา 5 คน และสมาชกิ ในกลุมตองเปน ● เน้ือความตัดพ้อต่อวา่ นา�้ เสียงตา�่ เน้นบ้าง สะบดั เสียงบ้าง ตัวแทนนาํ เสนอวิธีการอานบทประพนั ธท ง้ั 5 ● เนื้อความส่ังสอน น�้าเสียงปานกลางไม่เบาไม่ดังเกินไป เน้นเสียงท ่ี ประเภท คือ โคลง ฉนั ท กาพย กลอน และรา ย ค�าสอนแตไ่ มห่ ้วน ๔. การอา่ นตอนจบของรา่ ยทกุ ชนดิ ผู้อ่านต้องทอดเสียงให้ยาวนานกวา่ การ 2. สมาชกิ ภายในกลุมรวมแลกเปลย่ี นความรู ความ ทอดเสยี งทา้ ยวรรคอื่นๆ เพ่ือให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กา� ลังจะจบ เขาใจในการฝก อานบทประพันธแตละประเภท ประกอบดว ยบทประพันธ จาํ นวน 5 บท ๒.๓ การอา่ นและพจิ ารณาบทรอ้ ยกรอง จากหนงั สือเรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม. 4 ซ่งึ ใชป ฏิบัติ การอา่ นบทร้อยกรองมีแนวทางในการอา่ นและพิจารณาตามองคป์ ระกอบ ดงั น้ี กจิ กรรมขยายความเขา ใจ ดงั น้ี ๑) เน้ือหาสาระ บทร้อยกรองท่ีดีมีคุณค่าจะต้องมีเน้ือหาท่ีแสดงความรู้สึกนึกคิดที่ • ประเภทกลอนสุภาพ บทประพนั ธเ รอื่ ง อิเหนา เป็นประโยชน์แก่การด�ารงชีวิต ผู้อ่านต้องหาค�าตอบให้ได้ว่าได้รับอะไรจากการอ่านบทร้อยกรอง หนา 246 นน้ั บา้ ง • ประเภทกาพยฉบงั 16 บทประพันธเ ร่อื ง ๒) รูปแบบ หมายถึง ลักษณะการประพันธ์หรือฉันทลักษณ์ และศิลปะในการประพันธ ์ คํานมัสการพระธรรมคณุ หนา 29 ได้แก่ • ประเภทโคลงส่สี ภุ าพ บทประพันธเร่ือง นิราศ ๑. ลักษณะการประพันธ์ ผู้อ่านควรทราบว่าบทร้อยกรองท่ีอ่านเป็นค�าประพันธ ์ นรินทรคําโคลง หนา 249 ชนดิ ใด ผู้ประพนั ธป์ ระพันธ์ตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เลอื กใชฉ้ ันทลักษณ์ได้เหมาะสมกบั เนอ้ื หาหรือไม่ • ประเภทอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท บทประพนั ธเ รอื่ ง ๒. ศิลปะการประพันธ์ การพิจารณาศิลปะการประพันธ์ควรพิจารณาในด้านต่างๆ คาํ นมัสการมาตาปตุคณุ และคาํ นมัสการ ตอ่ ไปน ี้ อาจรยิ คณุ หนา 247 ● การสรรค�า ถ้อยค�าท่ีใช้ในบทร้อยกรองมักเป็นค�าท่ีมีลักษณะพิเศษ • ประเภทรายสุภาพ บทประพันธเ ร่ือง นิราศ นอกจากน้ีการสรรค�าควรสอดคล้องกับเนื้อหาและรูปแบบ จึงจะเกิดความกลมกลืนมีศิลปะ เช่น นรินทรค ําโคลง หนา 15 ถ้ากวีใชศ้ พั ท์วา่ ทวิ า ราตร ี บรุ ุษ นงลักษณ ์ ก็จะเห็นได้ว่าเนอ้ื หาและรปู แบบจะต้องเป็นร้อยกรอง ที่ค่อนข้างวิจิตรบรรจง หากใช้ค�าธรรมดาต้องใช้กับค�าประพันธ์ประเภทกลอน ร่าย กาพย์ เช่น 3. นกั เรยี นทดสอบความสามารถในการอา นทํานอง ตรากตร�า ล�าเค็ญ ซมซาน เปน็ ตน้ เสนาะ โดยใหนักเรียนจับสลากเลือกอาน ● การใช้ภาพพจน์ คือ การใช้ค�าสร้างภาพ ภาพพจน์ที่กวีใช้มีหลายชนิด บทประพันธบ ทใดบทหน่งึ จากบทประพนั ธท ่ีครู ดว้ ยกนั เชน่ อุปมา อุปลกั ษณ ์ บุคคลวัต สัทพจน ์ เป็นต้น มอบหมายใหน กั เรยี นฝก ฝน อปุ มา การเปรยี บเทยี บวา่ สงิ่ หนง่ึ เหมอื นอกี สง่ิ หนงึ่ เชน่ สวยเหมอื นนางฟา้ อปุ ลักษณ ์ การเปรยี บเทยี บวา่ ส่งิ หนงึ่ เป็นอกี สงิ่ หนง่ึ เช่น ขอเป็นเกือกทอง 4. ครูประเมินผลการเรยี นรูเปนรายกลมุ รองบาทา บคุ คลวตั การสมมตสิ งิ่ ตา่ งๆ ใหม้ กี ริ ยิ าอาการ ความรสู้ กึ เหมอื นมนษุ ย ์ เชน่ ทะเลไมเ่ คยหลบั ใหล สัทพจน ์ การใชค้ า� เพ่อื เลยี นเสียงธรรมชาต ิ เชน่ ครนื ครืนคล่ืนพริ ณุ ทั่วหล้า 16 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเพิ่มเตมิ ความรเู กยี่ วกับการอานบทประพันธประเภทรายสุภาพ โดยกลาว- นักเรียนฝก อา นทาํ นองเสนาะใหถูกตอ งตามฉันทลักษณแ ละสามารถ ถึงวธิ ีการอานรายสภุ าพทาํ นองสงู ควรอา นดวยเสยี งระดับเดยี วกนั และลงจังหวะท่ี อานทาํ นองเสนาะดว ยวธิ ีการเบอ้ื งตน สาํ หรับนักเรยี นทีไ่ มถ นดั การอาน ทายวรรคทุกวรรค สว นลีลาการอา นบทประพันธประเภทรา ยสภุ าพนน้ั ข้ึนอยูกบั เน้อื - ทํานองเสนาะ ครูผสู อนอาจจัดกิจกรรมโดยจัดนักเรียนเปนกลมุ และให ความในบทประพันธ เมื่อพบคําเสยี งสูงนิยมหลบเสียงลงต่ํา และทอดเสยี งทา ยวรรค นักเรยี นที่มคี วามสามารถเปน ตน แบบและสอนเพอื่ นในกลุมอา น ทุกวรรค ตอ งพจิ ารณาชว งเวลาในการกกั เก็บและการปลอยลมหายใจในการอา นให ดี เม่ือจบตอนสดุ ทายตอ งเอ้อื นเสยี งใหชาลงกวาเดมิ จนกระทงั่ จบ เพอื่ ใหเกดิ การใช กิจกรรมทาทาย เสยี งทีส่ มบรู ณ ท้งั ความไพเราะและความชัดเจน การฝกอา นออกเสยี งบทรอยกรองนนั้ ครูผสู อนสามารถจัดกิจกรรมให นอกจากความไพเราะจากการใชเ สยี งในการอา นทาํ นองเสนาะแลว ขอ คาํ นึงที่ ผเู รียนไดฝ ก อานออกเสยี งจากแถบบนั ทกึ เสียง หรอื เชญิ วิทยากรทมี่ ีความ สําคัญในการอานทาํ นองเสนาะ คือ อรรถรสจากถอยคําอนั เกดิ จากบทประพนั ธ โดย สามารถพเิ ศษ โดยใหฝกวธิ ีการอานทถี่ ูกตอง เชน การเออ้ื นเสยี ง การ ผอู า นพิจารณาวา บทประพนั ธท อ่ี า นน้นั มเี นอื้ หาอยางไร นาํ เสนออารมณแ บบใด โดย ทอดเสยี ง และการใสอารมณค วามรสู กึ ใหสอดคลองกบั บทประพนั ธ เปนตน พจิ ารณาบทประพันธจากรสวรรณคดีวา บทประพันธน ําเสนอรสอารมณเชน ไร เพ่ือ ใหผ อู านสามารถถายทอดอารมณความรูสกึ จากบทประพันธใ หม คี วามเขมขน และ สามารถสอ่ื สารอารมณค วามรูสึกจากบทประพันธผา นผอู า นสูผ ูฟ งไดเปน อยา งดี 16 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สาํ รวจคน หา ● ความไพเราะ รสของบทร้อยกรองอยู่ที่เสียง ซ่ึงเกิดจากกลวิธีการซ�้าค�า นักเรียนศกึ ษาหลักการอานและพิจารณา การซา�้ วลี การเลน่ ค�า การเล่นสมั ผสั และลลี าจงั หวะ เช่น บทรอ ยกรองในดา นเนือ้ หาสาระและรปู แบบ ระรื่นร่นื ช่นื ชมด้วยลมพลวิ้ ละลวิ่ ลว่ิ ริว้ คล่นื ครนื ผวำ อธบิ ายความรู Explain ละลอกเร่อื ยกระทบกระทั่งฝงั่ สุธำ ละลำนตำรวิวำบอำบนที 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น (ภำพพิมพ์ใจสองฝงั่ เจำ้ พระยำ : นภิ ำ บำงยีข่ นั ) ตอ ไปนี้ คา� ร่นื ร่ืน หมายถึง ช่ืน, สบายใจจากสายลมท่ีพัดผ่าน ลิ่วลว่ิ หมายถึง คลน่ื ท่ีเคลอ่ื น • นักเรยี นคิดวา บทประพันธท นี่ กั เรียนใชใน ไปโดยเร็วเป็นระลอกกระทบฝั่ง มองดูสวยงาม ตื่นตา เป็นศิลปะการสรรค�ามาใช้ท�าให้ผู้อ่าน การปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ผี านมา มคี วามโดดเดน เหน็ ภาพตาม ดานเน้ือหาและรปู แบบอยางไร ● ความหมายลึกซ้ึงกินใจ บทร้อยกรองในบางคร้ังอาจใช้ค�าธรรมดาท่ีใช ้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น สื่อสารในชีวิตประจ�าวัน แต่เมื่อน�ามาร้อยเรียงเป็นข้อความก็สามารถสื่อความหมายท่ีลึกซึ้ง ไดอ ยา งหลากหลาย โดยยกบทประพนั ธ กนิ ใจได ้ เชน่ “บทนมสั การมาตาปติ คุ ณุ ” ทกี่ ลา่ วถงึ บดิ ามารดาทเ่ี ฝา้ เลย้ี งลกู จนเตบิ โต โดยไมค่ ดิ ถงึ บทใดบทหน่งึ ทน่ี ักเรียนประทับใจ เปน ตนวา ความลา� บากของตน พระคณุ ของท่านทัง้ สองชดใช้อยา่ งไรก็ไม่หมด กลา วถึงบทชมดงในเรือ่ งอเิ หนา มกี ารเลนคาํ ข้ำขอนบชนกคณุ ชนนีเปน็ เค้ำมูล และใชภ าพพจน รวมถึงใชขนบนิราศในการ ผดุงจวบเจรญิ วยั ประพันธ นกั เรียนสามารถพจิ ารณาเพ่ิมเตมิ ผกู้ อบนุกุลพนู บ บ�ำรำศนริ ำไกล ไดจากบทประพันธที่นักเรียนยกมา) ฟมู ฟักทะนถุ นอม บ คดิ ยำกล�ำบำกกำย • นกั เรียนคิดวา การอานทาํ นองเสนาะชว ย ถนอมเลยี้ ง ฤ รวู้ ำย ใหนกั เรยี นเกิดความเขา ใจและซาบซ้ึงใน แสนยำกเทำ่ ไรๆ จนได้รอดเปน็ กำยำ อรรถรสของบทประพนั ธป ระเภทรอยกรอง ตรำกทนระคนทุกข์ ชนนีคือภผู ำ เพิ่มมากขนึ้ หรือไม อยา งไร ก็ บ เทียบ บ เทยี มทัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น ปกปอ้ งซง่ึ อันตรำย จะสนองคุณำนันต์ ไดอยางหลากหลาย เปน ตน วา ชว ยใหเ กดิ เปรียบหนักชนกคณุ อดุ มเลิศประเสริฐคณุ ความซาบซง้ึ ในทวงทํานองเสยี งสัมผัส ตลอดจนรสอารมณจ ากบทประพันธ) ใหญ่พืน้ พสนุ ธรำ พระยำศรีสนุ ทรโวหำร (น้อย อำจำรยำงกรู ) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เหลือท่ีจะแทนทด แท้บชู ไนยอนั การอ่านเปน็ ทักษะการส่อื สารทีส่ �าคญั และจา� เป็น เพราะเป็นเคร่ืองมอื ในการแสวงหา ขยายความเขา ใจ ความรู้ เพื่อให้เป็นคนทันโลกทันเหตุการณ์ ผู้อ่านควรค�านึงถึงหลักการอ่านให้สอดคล้อง Expand กับลักษณะการอ่านแล้วน�ามาใช้อย่างเหมาะสม การอ่านจึงจะสัมฤทธิผล เช่น หากเป็นการ อา่ นออกเสยี งจะทา� ใหเ้ สยี งนน้ั นา่ ฟงั ผฟู้ งั เกดิ อารมณค์ ลอ้ ยตาม หากเปน็ การอา่ นในใจ ผอู้ า่ นจะไดร้ บั 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองที่ ความรู้ ความเขา้ ใจ ความบนั เทิง อย่างแท้จรงิ ผูอ้ า่ นจงึ ต้องหมั่นฝกึ ฝนอยเู่ สมอ เพื่อให้เกิด นักเรยี นประทบั ใจ จากน้นั นักเรียนอธิบาย ทักษะ และสามารถนา� ไปใชใ้ นการส่อื สารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ คุณคา ดา นเนือ้ หาสาระและคณุ คา ทาง วรรณศลิ ป พรอ มนําบทประพันธด ังกลาว 17 มาอา นทํานองเสนาะ 2. ครูสุม นกั เรยี น 2-3 คน ออกมาอานทํานอง เสนาะ พรอ มนาํ เสนอคุณคา ทางวรรณศิลป ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกบั การอา นและพจิ ารณาบทรอ ยกรอง ขอ ใดตคี วามไดต รงกบั ขอ ความตอไปนี้ ลาภยศถาบรรดาดีทมี่ อี ยู รวยเลศิ หรอู ยเู รอื นทองสองลานสาม ครูควรเพิ่มเติมความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับการพจิ ารณารสจากวรรณคดีหรอื สมบัติมากลากไมไหวใครจะปราม สดุ ทา ยหามแตรางเนาเทานั้นเอง วรรณกรรม รสของบทประพันธในทนี่ ค้ี ือ รสของความไพเราะและความงดงามทาง 1. บางคนโชคดไี ดล าภยศและเงินทองโดยไมมีใครขวางได ภาษา นักเรียนสามารถพิจารณารสท่ใี ชในการอา นและพจิ ารณาบทรอยกรองได 2. คนเราไมควรโลภมากเอาแตตักตวงความรํ่ารวย ในทีส่ ุดกแ็ บกไมไ หว ดงั รายละเอยี ด ตอไปน้ี 1. รสถอ ย (คาํ พดู ) แตล ะคาํ มรี สในคําของตัวเอง ผอู า นจะ 3. สมบตั ทิ ้งั หลายไมใ ชส ิ่งจีรังยั่งยนื มคี วามเปล่ยี นแปรอยเู สมอ ตอ งอานใหเ กดิ รสถอย 2. รสความ (เร่อื งราวทอี่ าน) ขอ ความท่อี านมเี รือ่ งราวเกยี่ วกบั 4. คนเราเมอื่ ถงึ คราวตายก็เอาเกยี รตยิ ศและทรัพยส นิ ติดตวั ไปไมไ ด อะไร เชน โศกเศรา สนกุ สนาน ตนื่ เตน โกรธ รกั เปนตน ขณะท่อี า น ผูอ า นตอ งอาน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. “ลาภยศถาบรรดาดที ม่ี อี ยู” คอื เกยี รติยศ ใหม ลี ลี าไปตามลกั ษณะของเนอื้ เรอื่ งนน้ั ๆ 3. รสทํานอง (ระบบเสยี งสงู ต่ําซ่ึงมจี ังหวะ และ “เรือนทองสองลานสาม” คือ ทรัพยสิน แตเ มือ่ ถงึ คราวตายก็ “หามแต สั้นยาว) ในบทรอ ยกรองไทยจะประกอบดวยทาํ นองตางๆ เชน ทาํ นองโคลง ทาํ นอง รางเนา เทา นัน้ เอง” ไมสามารถเอาเกียรติยศและทรัพยสนิ ติดตวั ไปได ฉนั ท ทาํ นองกาพย ทาํ นองกลอน และทาํ นองรา ย เปน ตน ผอู า นจะตอ งอา นใหถ กู ตอ ง ตามทาํ นองของรอ ยกรองนนั้ 4. รสคลองจอง ในบทรอยกรองตอ งมคี าํ คลอ งจอง ใน คําคลองจองนั้นตอ งใหออกเสยี งตอเนื่องกัน โดยเนน สัมผสั นอกเปน สําคญั 5. รสภาพ เสียงทําใหเ กดิ ภาพ ในแตละคาํ จะแฝงไปดวยภาพ ในการอา นใหเหน็ ภาพ ตองใชเ สียง สงู -ต่าํ ดัง-คอ ย แลว แตจะใหเกิดภาพอยางไร คมู อื ครู 17
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสรปุ สาระสําคญั เกีย่ วกับความแตกตา ง คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ ในการอานบทรอ ยกรองธรรมดาและการอา น ทาํ นองเสนาะ ๑. การอา่ นออกเสียงรอ้ ยแก้วเป็นทักษะทจ่ี า� เปน็ ต้องฝึกฝนหรือไม่ อยา่ งไร ๒. การศึกษาฉันทลกั ษณ์ของค�าประพันธแ์ ตล่ ะประเภทก่อนอา่ นบทร้อยกรอง 2. นกั เรยี นสรปุ คณุ สมบัตเิ กี่ยวกับการอาน ออกเสียงบทรอ งกรองทีด่ ไี ด มีความจ�าเปน็ หรือไม่ อย่างไร ๓. การอ่านบทร้อยกรองประเภทค�าฉนั ท ์ มีหลกั ในการอา่ นอย่างไร 3. นกั เรยี นอานออกเสียงบทรอ ยกรองประเภท จงอธบิ ายและยกตัวอยา่ งประกอบ โคลง ฉันท กาพย กลอน และรา ยได ๔. คณุ สมบัติของผูท้ จ่ี ะอ่านทา� นองเสนาะได้ดมี ีอะไรบา้ ง จงอธบิ าย ๕. การอ่านท�านองเสนาะแบบกระแทกเสยี ง มักจะใช้กบั การอ่านเนือ้ หาในลกั ษณะใด 4. นกั เรยี นสรปุ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธแ ละหลกั เกณฑ ในการอา นได จงอธบิ ายและยกตัวอยา่ ง 5. นักเรียนสรุปสาระสาํ คญั ดานเนือ้ หาและรูปแบบ จากบทประพนั ธท นี่ กั เรยี นไดอ า น พรอมระบุ ความสมั พันธก บั การอานทาํ นองเสนาะได 6. นักเรยี นอานบทประพนั ธพรอมบอกคณุ คา ดาน เนือ้ หาและวรรณศลิ ปจากบทประพันธไ ด หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 1. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับความ ๑. ใหน้ กั เรียนจับคกู่ นั ฝึกอ่านท�านองเสนาะให้ถกู ตอ้ งตามขนั้ ตอนการอา่ น แลว้ ตชิ ม แตกตา งในการอานบทรอยกรองธรรมดาและ หรือให้ข้อเสนอแนะซึ่งกันและกนั การอานทาํ นองเสนาะ พรอมตัวอยา งประกอบ ๒. ให้นักเรยี นเลอื กวรรคทองในวรรณคดที ่ชี ่ืนชอบมาฝึกอา่ นท�านองเสนาะใหถ้ ูกตอ้ ง 2. ความเรียงสรปุ คุณสมบัติเกีย่ วกับการอา น และมคี วามไพเราะ ออกเสียง ๓. จดั โครงการประกวดการอ่านเพื่อให้นกั เรยี นเหน็ ความสา� คัญของการอ่านและ 3. ความเรียงบันทกึ ขอมลู การอานออกเสียง ฝกึ การอ่านออกเสียงใหถ้ กู ต้อง ชัดเจน เช่น บทรอยแกวประเภทบันเทิงคดีและสารคดี - โครงการประกวดผปู้ ระกาศขา่ ววัยใส 4. ความเรยี งสรปุ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธแ ละหลกั เกณฑ - โครงการประกวดเยาวชนเสียงเสนาะ การอา น 18 5. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คัญดานเนื้อหาและ รปู แบบจากบทประพันธท่นี ักเรียนไดอ าน พรอมระบคุ วามสมั พันธร ะหวางคณุ คา ของ บทประพันธก บั การอานทาํ นองเสนาะได 6. บันทึกการอานออกเสียงบทรอ ยกรอง 7. ความเรียงสรุปเน้อื หาและคุณคา ทางวรรณศลิ ป จากบทประพันธ 8. บันทึกการตอบคําถามประจาํ หนวยการเรียนรู แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. นักเรยี นสามารถตอบไดอยา งหลากหลาย เนอ่ื งจากการอานรอยแกว เปน ทักษะท่จี าํ เปน ตอ งฝก ฝนอยา งสม่าํ เสมอ ทั้งความรูในดา นเนอื้ หาและการออกเสียงทมี่ ีความ ถูกตอ งชัดเจน เพือ่ สรางอรรถรสในการอาน 2. การศึกษาฉันทลักษณกอ นการฝกอานคําประพันธประเภทบทรอ ยกรองมีความจําเปน อยา งมาก เนอ่ื งจากฉันทลักษณท าํ หนาทีก่ ําหนดทํานองใหบ ทรอ ยกรองแตล ะ ประเภทมคี วามแตกตางกนั ท้งั การแบง วรรคตอนและทว งทํานองการอาน 3. ตอ งมีความเขาใจฉนั ทลักษณ ทงั้ คําครุ ลหุ ของฉันทแ ตล ะประเภท ตลอดจนการแบงจังหวะที่ถกู ตอ ง รวมถงึ ตอ งคํานงึ ถึงการเนน สยี งในคําท่ที าํ หนาทีร่ ับสมั ผัสและ เอ้ือนเสียงใหถูกตอ งตามลักษณะของฉันทแตละประเภท จากนัน้ จงึ เอ้อื นเสยี งและทอดจงั หวะใหช าลงในชว งทาย 4. นกั เรยี นสามารถตอบไดอยางหลากหลาย เปนตน วา ตอ งหมัน่ ศึกษาคนควาความรเู ก่ียวกับฉันทลักษณ ความรพู นื้ ฐานในการอาน หมั่นฝก ฝนอยางสมา่ํ เสมอเพอ่ื ใหมี ความเชี่ยวชาญจนเกดิ ความกลา แสดงออกและมีความเช่ือม่ันในตนเอง 5. การอานทาํ นองเสนาะแบบกระแทกเสยี ง มักใชบรรยายความโกรธ ความเขม แข็ง หรือความศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ เน่อื งจากมกี ารลงเสยี งในแตละคาํ หนักเปน พิเศษ ตวั อยางเชน “เอออเุ หมนะมงึ ชชิ า งกระไร ททุ าสสถุลฉะนไ้ี ฉน กม็ าเปน ศกึ บ ถึงละมึงกย็ ังมเิ หน็ จะนอ ยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด” เน้ือหาจากวรรณคดเี รือ่ งสามัคคเี ภท- คาํ ฉนั ท ประพันธโ ดยนายชติ บุรทตั 18 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ตอนที่ ๑ 1. ตอบคําถามจากการอา นงานเขียนประเภท ตางๆ ภายในเวลาทีก่ าํ หนด 2. อา นเร่ืองตา งๆ แลวเขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ บนั ทกึ ยอความ และรายงาน 3. สังเคราะหความรจู ากการอา นส่ือส่ิงพิมพ สอ่ื อิเล็กทรอนิกสและแหลง เรยี นรตู า งๆ ฯลฯ 4. มมี ารยาทในการอา น 5. วเิ คราะหและประเมินการใชภ าษาจากสอ่ื สิง่ พิมพแ ละส่อื อิเลก็ ทรอนกิ ส ในโลกปจจบุ นั สมรรถนะของผูเ รยี น 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชทักษะชีวติ 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี เทคโนโลยกี ารพมิ พมีความเจริญกาวหนา อยา งรวดเร็วดว ยวทิ ยาการท่ีทนั สมยั และ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค สามารถเผยแพรสอ่ื สิง่ พิมพตางๆ ไดอ ยาง รวดเรว็ และมีความหลากหลายในการนาํ เสนอ 1. ใฝเรยี นรู òหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ขอ มลู ขาวสาร และความบันเทงิ ในรูปแบบ 2. มงุ ม่นั ในการทํางาน ของสื่อส่งิ พมิ พป ระเภทหนังสอื ท้งั สารคดแี ละ 3. รกั ความเปน ไทย บันเทงิ คดี ตลอดจนสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกสตา งๆ ดงั นัน้ ผอู า นตอ งมคี วามรูความเขาใจในสอ่ื ท่ีอา นและเลือกอา น ใหเ หมาะสมจงึ จะทาํ ใหการอานสัมฤทธผิ ล การอา นสอ่ื สง่ิ พมิ พ และสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส กระตนุ ความสนใจ Engage ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง นกั เรียนพจิ ารณาภาพหนาหนว ย จากน้ันครู สนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปนี้ • ตอบค�าถามจากการอ่านงานเขยี นประเภทต่างๆ ภายใน • อ่านสอื่ ส�งิ พิมพแ์ ละสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ เวลาทกี่ �าหนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) • มารยาทในการอา่ น • นักเรียนคิดวา ปจ จุบนั ชอ งทางการสอ่ื สาร • การประเมินการใชภ้ าษาจากสื่อสงิ� พมิ พ์และสื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์ ของมนษุ ยมีลกั ษณะอยา งไร • อ่านเรือ่ งตา่ งๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยา ง ย่อความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) หลากหลาย) • สังเคราะห์ความร้จู ากการอ่านส่อื สง�ิ พิมพ์ ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ และแหลง่ เรยี นรู้ตา่ งๆ ฯลฯ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๘) • มีมารยาทในการอ่าน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๙) • วเิ คราะหแ์ ละประเมินการใชภ้ าษาจากสือ่ ส�งิ พมิ พ์ และส่อื อิเล็กทรอนิกส์ (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๗) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูน ี้ ครคู วรแนะนําใหน กั เรยี นตระหนกั และเห็นความสาํ คญั ของการอา น โดยครเู นนทบทวนความรแู ละประสบการณเดิมท่นี กั เรียนพบเหน็ ใน ชวี ติ ประจําวัน เพื่อใหน ักเรยี นไดทบทวนความรูและเชอ่ื มโยงเนื้อหาในบทเรียนกบั การดาํ เนนิ ชวี ิตของนักเรียน และสามารถนําองคค วามรูจ ากการเรียนการสอน ไป ประยุกตใชใ นชวี ติ ประจําวันได นอกจากนี้ ครคู วรชใ้ี หน กั เรียนเห็นความสาํ คัญของ การอา นวา หากนักเรียนมีทกั ษะในการอานสือ่ ประเภทตางๆ นกั เรยี นจะมีความ สามารถในการจัดการขอมลู ขา วสารท่ีมีความหลากหลายและกวา งขวางในโลก แหง ขาวสารในยคุ ปจจุบนั ได พรอมกนั นัน้ ครคู วรแนะใหน กั เรยี นตระหนกั ถงึ ความ สําคัญของการอานวา ความสามารถในการอานมคี วามสําคัญและจาํ เปนอยางยง่ิ ตอ การเปน พลเมืองท่มี ีคุณภาพในสังคมปจจุบนั องคการศกึ ษาวิทยาศาสตรแ ละ วัฒนธรรมแหง สหประชาชาติ (UNESCO) ใชความสามารถในการรูหนังสอื ของ ประชากรประเทศตางๆ เปน ดัชนีชวี้ ดั ระดับการพัฒนาประเทศ คูมอื ครู 19
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปน้ี ๑. การอ่านส่ือสงิ่ พมิ พ์ • นักเรยี นรจู กั ส่อื สิ่งพมิ พประเภทใดบา ง พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายค�าทเี่ กย่ี วกบั “สอ่ื สง่ิ พมิ พ์” ไวว้ า่ ยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตวั อยา งไดอ ยาง “ส่ือ หมายถงึ ก. ท�าการติดต่อให้ถงึ กนั ชักน�าใหร้ ู้จักกัน หลากหลาย เปน ตนวา หนงั สอื พิมพ และ น. ผู้หรอื สิง่ ทท่ี า� การติดต่อให้ถึงกัน หรอื ชกั นา� ให้รจู้ ักกนั ” หนังสือประเภทตา งๆ) “พิมพ ผหา้ มทายา� ใถหึงเ้ ปก็น.ต วัถห่ายนแงั สบือบห, รใือชร้เปู ครรอื่อยง จโักดรยกกดาตรัวกหดนหังรสอื ือกหารรใือชภพ้ าิมพพใหห้ตนิ ิด 1บเคนรวอ่ื ัตงถกุ ล เชว่นิธี • นกั เรียนคดิ วา สอ่ื สง่ิ พิมพแตล ะประเภทมี แผน่ กระดาษ ความแตกตา งกนั หรือไม อยางไร เคมี หรอื วธิ อี ื่นใด อันอาจใหเ้ กิดเป็นสงิ่ พิมพข ้ึนหลายส�าเนา” (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตัวอยา งไดอยา ง “สิ่งพิมพ หมายถงึ สมุด แผ่นกระดาษ หรอื วัตถใุ ดๆ ที่พิมพขนึ้ รวมตลอดทั้งบทเพลง หลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น แผนที ่ แผนผงั แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ใบประกาศ แผน่ เสยี ง หรอื สง่ิ อืน่ ใดอนั มีลักษณะ เปนตนวา มคี วามแตกตา งกนั ดา นวิธีการ เช่นเดียวกัน” นาํ เสนอและดานเนอ้ื หา) ดงั นัน้ “ส่อื สิง่ พมิ พ”์ มคี วามหมายว่า สง่ิ ที่พมิ พ์ขึน้ ไมว่ า่ จะเป็นแผน่ กระดาษหรือวตั ถุใดๆ สาํ รวจคน หา Explore ด้วยวิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นช้ินงานท่ีมีลักษณะเหมือนต้นฉบับข้ึนหลายส�าเนาปริมาณมาก เพ่อื เป็นสง่ิ ท่ที า� การตดิ ต่อ หรอื ชกั นา� ให้บคุ คลอน่ื ได้เหน็ หรือทราบขอ้ ความตา่ งๆ สอ่ื ส่งิ พิมพ์ในปจั จบุ ันมคี วามหลากหลาย และเขา้ ถึงผูอ้ ่านได้อย่างรวดเร็ว ท้ังนี้สือ่ ส่งิ พมิ พ์ นักเรยี นศึกษาคน ควาความหมาย วัตถปุ ระสงค มีหลายประเภท และแต่ละประเภทมกี ลุ่มเปา หมายทีแ่ ตกต่างกัน และหลักเกณฑในการแบงประเภทส่ือสิง่ พิมพ ๑) ส่อื สงิ่ พมิ พ์ประเภท2หนังสือ ไดแ้ ก่ อธบิ ายความรู Explain ๑.๑) หนังสอื สารคดี ตา� รา แบบเรียน เป็นส่ือสง่ิ พมิ พ์ท่แี สดงเน้อื หาวิชาการในศาสตร์ ความรู้ต่างๆ เพ่ือส่ือให้ผู้อ่านเข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อส่ิงพิมพ์ท่ีเน้น 1. นกั เรยี นรว มกนั ระดมความคดิ ดว ยการ ความรอู้ ย่างถกู ตอ้ ง ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ๑.๒) หนังสือบันเทิงคดี เป็นส่ือสิ่งพิมพ์ท่ีผลิตข้ึนโดยใช้เร่ืองราวสมมติ เพื่อให้ผู้อ่าน • นกั เรียนคดิ วา วัตถุประสงคในการผลติ ได้รับความเพลิดเพลินสนกุ สนาน มกั มขี นาดเล็ก เรยี กว่า หนงั สอื ฉบับกระเปา (Pocket Book) สื่อสิ่งพมิ พแ ตล ะประเภทคอื อะไร สงผลตอ วธิ ีการนําเสนอหรือไม อยา งไร ส่ือสิง่ พิมพมหี ลากหลายประเภท ผูอ านท่ดี ีจงึ ควรเลอื กอา นสือ่ สงิ่ พิมพท ีม่ ีสาระประโยชนแ ละเหมาะสมกับตนเอง▼ (แนวตอบ ส่อื สงิ่ พมิ พแตละประเภทมี วตั ถุประสงคในการส่อื สารเพ่อื ตดิ ตอ ชกั นํา 20 ใหผ อู ื่นไดเห็นหรือทราบขอความ ซ่งึ สื่อแตละ ประเภทสามารถสื่อสารสกู ลุมเปา หมายที่มี ความแตกตางกนั สง ผลตอวธิ กี ารส่ือสารทมี่ ี ความแตกตา งกันดว ย) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชื่อมสาระ ครบู ูรณาการความรเู กี่ยวกบั การอา นส่ือส่ิงพิมพกับวิชาในกลุมสาระ ในการเรียนการสอนเร่อื งการอานส่อื สงิ่ พิมพและสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกสน้นั ปจ จบุ ัน การเรียนรสู ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา รายวชิ าสุขศกึ ษา ซึ่งเปนกลุม วิชาท่มี ี มีส่ือตา งๆ เขา มามบี ทบาทในชวี ติ ประจําวันมากข้นึ ทง้ั ดา นสาระและบันเทงิ การเผยแพรข อมลู ขา วสารและความรเู กี่ยวกับโรคระบาด แนวทางการ ครผู สู อนตองเนนยํา้ ในเร่ืองการเลอื กรับส่อื เพราะสอ่ื แตล ะประเภทมีขอดีและขอเสีย ปอ งกันโรค ครูใหนกั เรียนนาํ แผนพับตางๆ ในวชิ าสขุ ศึกษามาเปนแหลง รวมถึงจดุ มุงหมายในการจดั ทําแตกตางกนั ไป นอกจากนี้ ครูผูส อนยังตอ งจัด เรยี นรู โดยใหน กั เรยี นพิจารณาการนาํ เสนอเน้ือหาดวยรูปแบบของส่ือชนิด กิจกรรมใหผ ูเรยี นไดร ูจกั การวเิ คราะหสังเคราะหความรู ตลอดจนแนวคิดท่ี น้ัน วา มคี วามเหมาะสมหรอื ไม อยา งไร นักเรียนบอกขอดีหรอื ขอ ดอยของ สอดแทรกอยูใ นเรือ่ งทอ่ี านดว ย เพอื่ ใหส ามารถนําไปปรับใชใหเ กิดประโยชนตอไป การนําเสนอขอมลู ดว ยส่อื ชนิดดังกลาว นกั เรียนสรางองคความรูเ รอื่ งสื่อสิง่ พิมพเพอื่ เผยแพรข า วสาร โดยนาํ นกั เรยี นควรรู ขอมูลความรูท ่นี ักเรยี นคดิ วามีประโยชนและนาสนใจจากวชิ าสขุ ศึกษามา จัดทําสง่ิ พมิ พเ พื่อเผยแพรความรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั สุขภาพและอนามยั 1 พมิ พห นิ การเขียนภาพลงบนหนิ ปนู ดว ยวสั ดทุ เ่ี ปน ไข เชน แทง ดินสอหรือวัสดุ ในโรงเรยี นได อ่นื ๆ ที่ไมละลายในนาํ้ แลวกดลงบนกระดาษ 2 สารคดี เร่อื งทเี่ รียบเรยี งขน้ึ จากความจรงิ ไมใ ชจากจนิ ตนาการ 20 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain Explore สาํ รวจคน หา นักเรียนศกึ ษาคนควาเกยี่ วกับลักษณะเดนของ ๒) สื่อสิ่งพิมพเพื่อเผยแพรขาวสาร สื่อสงิ่ พิมพประเภทตางๆ ดงั ตอไปน้ี ไดแ ก ๒.๑) หนังสือพิมพ1เปนสื่อส่ิงพิมพที่ • กลมุ ที่ 1 สื่อสงิ่ พิมพประเภทหนงั สอื • กลุม ท่ี 2 สือ่ สิ่งพมิ พเพอ่ื เผยแพรขา วสาร ผลติ ขนึ้ เพ่อื นําเสนอเรื่องราว ขา วสาร ภาพ และ • กลุมท่ี 3 ส่งิ พมิ พเ พอ่ื การบรรจุภัณฑ ความคิดเห็น ในลักษณะแผนพิมพแผนใหญท่ีใช วธิ กี ารพบั รวมกนั สอื่ สง่ิ พมิ พช นดิ นพ้ี มิ พเ ผยแพร อธบิ ายความรู Explain ทัง้ รายวนั ร๒าย.๒ส)ปั วดาารหส าแร2ลนะติรายยสเาดร3ือเนปน สอื่ สง่ิ พมิ พ 1. นักเรยี นแตละกลมุ รวมกันตอบคําถามใน ทผ่ี ลติ ขน้ึ เพอ่ื นาํ เสนอสาระ ขา ว ความบนั เทงิ ทมี่ ี ประเด็นท่ีวา ส่ือส่ิงพมิ พแตละประเภทมี รปู แบบการนาํ เสนอที่โดดเดน สะดุดตา และสรา ง ลกั ษณะเดนแตกตางจากสือ่ สง่ิ พมิ พป ระเภท ความสนใจใหก บั ผอู า น ทง้ั นกี้ ารผลติ มกี ารกาํ หนด อนื่ ๆ อยา งไร ระยะเวลาเผยแพรท่ีแนนอน ท้ังลักษณะวารสาร ▼▼ โบรชวั รส นิ คา เปน สอื่ สง่ิ พมิ พท ผี่ ผู ลติ จดั ทาํ ขน้ึ เพอื่ นาํ เสนอ (แนวตอบ นักเรียนแตละกลมุ สามารถตอบได นติ ยสาร รายปกษ (๑๕ วัน) และรายเดอื น สินคาและบรกิ าร อยา งหลากหลาย โดยแบง การนําเสนอเปนกลุม ดงั ตอ ไปนี้ ๒.๓) จุลสาร เปนส่ือสิ่งพิมพที่ผลิตขึ้นแบบไมมุงหวังผลกําไร เปนแบบใหเปลา กลุมท่ี 1 ส่อื สงิ่ พมิ พประเภทหนังสอื แบง ตาม โดยใหผูอ านไดศ ึกษาหาความรู มีกําหนดการเผยแพรเ ปน ครงั้ ๆ หรอื ลําดบั ตา งๆ ในวาระพิเศษ เน้อื หา ไดแ ก ประเภทสารคดี มุง นาํ ๒.๔) สง่ิ พมิ พโฆษณา เสนอขอ เทจ็ จรงิ และประเภทบันเทงิ ๑. โบรชัวร (Brochure) เปนคําท่ียืมมาจากภาษาฝร่ังเศสโดยใชเรียกทับศัพท คดเี ปน การนาํ เสนอเร่ืองราวสมมติ สอ่ื สงิ่ พมิ พท มี่ ลี กั ษณะเปน สมดุ เลม เลก็ ๆ เยบ็ ตดิ กนั เปน เลม จาํ นวน ๘ หนา เปน อยา งนอ ย มปี กหนา กลมุ ที่ 2 สือ่ สง่ิ พิมพเ พื่อเผยแพรขา วสาร มุง และปกหลัง แสดงเนอ้ื หาโฆษณาสนิ คา เนนวัตถปุ ระสงคในการสือ่ สารเปน หลกั สง ผลใหม ีรปู แบบการนาํ เสนอ ๒. ใบปลิว (Leaflet, Handbill) ทแี่ ตกตา งกัน ไดแ ก 1. หนงั สอื พมิ พ เปนส่ือส่ิงพิมพใบเดียว ที่เนนการประกาศ หรือ นําเสนอขา วสาร และความคดิ เหน็ โฆษณา ลักษณะเน้ือหาเปนขอความที่ผูอานอาน 2. วารสารและนติ ยสาร นําเสนอ แลวเขาใจงาย สาระขาวสาร เดนดานรูปแบบ ๓. แผนพับ (Folder) เปนสื่อ การนาํ เสนอ 3. จลุ สาร มุงนาํ เสนอ สิ่งพิมพที่ผลิตโดยเนนการนําเสนอและการสรุป ขอมูลเฉพาะดาน 4. สงิ่ พิมพเพื่อการ ใจความสําคญั มีลกั ษณะการพับเปนรูปเลม ตางๆ โฆษณานําเสนอเนอื้ หาของสารเพือ่ ๔. ใบปด (Poster) เปนสื่อสิ่ง- การโนมนาวใจ พมิ พโฆษณา โดยใชป ด ตามสถานทต่ี า งๆ มีขนาด แผนพับเปนสื่อสิ่งพิมพที่มีรูปลักษณสวยงาม เนื้อหา กลุมท่ี 3 ส่งิ พิมพเพื่อการบรรจภุ ัณฑ ใช ใหญเปนพิเศษ ซ่ึงเนนการนําเสนออยางโดดเดน สาระเนน เฉพาะใจความสาํ คญั โดยใชภ าษาทสี่ น้ั กระชบั อา น สําหรบั หอ หุมผลิตภัณฑส ินคาตางๆ ดึงดูดความสนใจ เขาใจงา ย ๒๑ มีจดุ มุงหมายเพือ่ ใหข อมลู ของสินคา และผลติ ภัณฑ) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู พาดหัวขา วหนงั สอื พมิ พข อ ใดเนนการนาํ เสนอเฉพาะขอ เทจ็ จรงิ 1 หนงั สอื พิมพ เปน สิ่งพิมพน ําเสนอขา วและความเห็นถา ยทอดสูประชาชน 1. โทรทัศนดาวเทียมเขา ถึงงาย ผปู ระกอบการอ้าํ อึง้ คิดตา งจาก กสทช. หนงั สือพมิ พฉบับแรกของประเทศไทยชือ่ วา “บางกอกรีคอรเดอร” (Bangkok 2. แอร นิวซแี ลนด ยกเลกิ เทยี่ วบนิ หลายสายหลงั ภเู ขาไฟยังคงปะทุ Recorder) หรือ “หนงั สอื จดหมายเหตุ” มขี ึ้นคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 3. กฟผ. แจงเครียด คาดป 56 ความตองการไฟฟา เพม่ิ 3.5 % 2387 เปนหนังสอื พมิ พฉ บับปฐมฤกษ จัดพมิ พโ ดย หมอบรดั เลย (Dr. Dan Beach 4. ธุรกิจลอ งเรือเจาพระยาพุงกระฉดู เงินสะพดั 700 ลาน Bradley, M.D.) มชิ ชันนารชี าวอเมริกัน โดยใชต วั พิมพท่เี รียกวา “บรัดเลยเ หล่ียม” วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. แอร นวิ ซแี ลนด ยกเลกิ เท่ยี วบนิ หลายสาย จดั พิมพทงั้ ภาษาไทยและองั กฤษ ในระยะแรกเรมิ่ ออกฉบบั รายเดือน ตอมาเปลย่ี น หลังภเู ขาไฟยงั คงปะทุ เสนอแตข อ เท็จจรงิ วา เกิดเหตุการณอ ะไร ขอ 1. มีคํา เปน รายปกษหรือรายคร่ึงเดือน แตออกไดเพียงสองปก ต็ อ งเลกิ กจิ การ หนังสอื พมิ พ แสดงทศั นะหรือความเห็นวา “อ้าํ อง้ึ ” ขอ 3. มีคําแสดงทศั นะหรอื ความเห็นวา บางกอกรคี อรเ ดอรไดนําเอาวธิ กี ารรายงานขา วและการเขียนบทความแบบวิพากษ “แจงเครียด” และขอ 4. มคี ําแสดงทศั นะหรอื ความเหน็ วา “พงุ กระฉูด” วจิ ารณ ซึง่ เปนของใหมใ นสมยั นั้นเขา มาเผยแพรอยางกวา งขวาง 2 วารสาร ในภาษาอังกฤษใชวา journal เปน สิ่งพิมพท่ีเสนอเรื่องราวหรอื บทความทางวิชาการ 3 นติ ยสาร ในภาษาอังกฤษใชวา magazine สิ่งพิมพท่ปี ระกอบดว ยบทความ ท่วั ไปและการบนั เทิง คูม อื ครู 21
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ๓) ส่งิ พมิ พเ์ พือ่ การบรรจุภณั ฑ ์ เปน็ สอื่ สงิ่ พมิ พท์ ี่ใชใ้ นการหอ่ หมุ้ ผลติ ภณั ฑก์ ารคา้ ตา่ งๆ • นกั เรยี นคดิ วา การแบง ส่ือสง่ิ พมิ พออกเปน แยกเปน็ ส่งิ พมิ พ์หลัก ไดแ้ ก่ สงิ่ พิมพท์ ี่ใช้ปดรอบขวด หรือกระปองผลิตภณั ฑ์การคา้ สิง่ พมิ พ์รอง 3 ประเภท ไดแ ก สอ่ื สิ่งพิมพป ระเภทหนงั สือ ได้แก่ สงิ่ พมิ พ์ทเ่ี ปน็ กลอ่ งบรรจุ หรือลงั สอ่ื สิ่งพมิ พเ พอื่ เผยแพรขาวสาร และ สอ่ื สง่ิ พมิ พป ระเภทบรรจภุ ณั ฑ เปน วธิ กี ารแบง สื่อสงิ่ พมิ พป์ ระเภทต่างๆ ทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ ประจา� วันมที ้งั รปู แบบของหนงั สือ หนงั สอื พมิ พ์ ประเภทสื่อส่งิ พิมพโดยใชอ ะไรเปน เกณฑ วารสาร นิตยสาร ทนี่ �าเสนอข่าวสาร สาระและบันเทงิ เชน่ บทความ นทิ าน เร่ืองสัน้ นวนิยาย ในการแบงประเภท เป็นต้น ผู้อา่ นจงึ ควรทราบวิธกี ารอา่ น เขา้ ใจลักษณะหรอื ประเภทของสารทป่ี รากฏอยู่ในสิ่งพมิ พ์ (แนวตอบ เกณฑในการแบงประเภทสื่อส่ิงพมิ พ มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจภาษาในระดับค�า วลี ประโยค ส�านวนภาษา และก�าหนดเปาหมาย ประกอบดว ย 3 สว น คือ 1. ลักษณะของสอื่ ในการอ่านชดั เจนเพือ่ ช่วยใหก้ ารอ่านมปี ระสทิ ธิภาพ และตรงตามวัตถปุ ระสงค์ในการอ่าน 2. เนอื้ หา 3. วตั ถปุ ระสงคในการส่อื สาร ซ่งึ ท้ังสามสวนมีองคประกอบท่ีสอดประสาน ส่วนประกอบ แจ้ง ¹éÓÇÒ‹ ¹ËÒ§¨ÃÐࢌ ชอื่ อาหารภาษาไทย สมั พนั ธกัน เปนตวั กําหนดรูปแบบ ลกั ษณะ เฉพาะส่วนที่ส�าคัญ และวธิ ีการเผยแพรสอ่ื แตละประเภท) เป็นร้อยละของ Aloe Vera Juice รูปภาพให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ • นกั เรียนคดิ วา การพิจารณาสือ่ สิ่งพมิ พ น�้าหนัก เรียงจาก หรือชอ่ื ตรา (ถ้ามี) ประเภทตา งๆ ตอ งคาํ นึงถึงหลกั การใดบา ง ปรมิ าณมากไปนอ้ ย ปริมาตรสุทธิ มีหน่วยเป็นระบบเมตริก อยางไร เช่น ลบ.ซม. ซม๓ มล. มิลลิลติ ร (แนวตอบ การพจิ ารณาสอื่ สิง่ พิมพแ ตละ ประเภทตอ งคํานงึ ถึงประเด็นตางๆ ไดแก เลขสารบบอาหารหรอื เลข อย. ใหแ้ สดง 1. ประเภทของสื่อ 2. รูปแบบ 3. ลักษณะ ตามท่ีได้รับแจ้งรายละเอียดของอาหาร การใชภาษาใหส อดคลองกบั ประเภทของส่ือ สว นประกอบท่ีสำคญั โดยประมาณ แตล่ ะชนดิ ในเครอื่ งหมาย อย. ดว้ ยอกั ษร 4. กลุมเปา หมายในการส่ือสาร 5. วัตถุ- น้ำวา นหางจระเข ๘๐% ขนาดความสูงไมน่ อ้ ยกว่า ๒ มม. สีของ ประสงคใ นการเผยแพร) นำ้ ตาล ๑๙% 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เดก็ ไมควรรบั ประทาน ปรมิ าตรสุทธิ ๒๕๐ ซม.๓ ตวั อกั ษรตดั กบั พน้ื ภายในกรอบสขี อง อย. ไมใชอาหารทางการแพทย และกรอบสตี ัดสพี ้ืนของฉลาก หยดุ บรโิ ภคเมื่อมีอาการผดิ ปกติ ผลิต ๒๑ ๐๗ ๕๒ ๖๑-๒-๑๐๐๔๔-๒-๐๐๐๕ ชอื่ ทีอ่ ยผู่ ผู้ ลิต โดยมคี �าวา่ ผลติ โดย ชุมชนบานทา “ผลติ โดย” นา� หนา้ ๓/๕๐ หมู ๑ ต.บา นทา อ.บางไทร จ.อยธุ ยา คา� เตอื นใหแ้ สดงดว้ ยอกั ษรสแี ดงชนดิ ไมเ่ ลก็ กวา่ ๒ วนั เดือนปท่ีผลิต โดยมีค�าว่า “ผลิต” กา� กับ มม. เหน็ ไดช้ ัดเจนในกรอบสเี่ หลี่ยม ขยายความเขา ใจ Expand สรรพส าระ นักเรียนแตล ะกลุมรวบรวมสอ่ื แตล ะประเภท ©ÅÒ¡âÀª¹Ò¡Òà ÃäŒÙ nj䴻Œ ÃÐ⪹ จากนนั้ วิเคราะหอ งคป ระกอบของสอ่ื ตามหลักการ พรอ มบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ©ÅÒ¡·èÕáÊ´§¢ŒÍÁÙÅâÀª¹Ò¡ÒâͧÍÒËÒê‹ÇÂãËŒ·ÃÒº¶Ö§ª¹Ô´áÅлÃÔÁÒ³ÊÒÃÍÒËÒ÷èÕ¨Ð ä´ŒÃºÑ ¨Ò¡¡ÒÃÃºÑ »ÃзҹÍÒËÒù¹éÑ æ à¾Õ§ᤋ͋ҹ©ÅÒ¡áÅйíҢ͌ ÁÙÅÊÒÃÍÒËÒâͧÍÒËÒÃᵋÅÐ ตรวจสอบผล Evaluate Í‹ҧÁÒà»ÃÂÕ ºà·Õº¡¹Ñ àÅÍ× ¡ÍÒËÒ÷ÕÁè Õä¢Á¹Ñ ËÃ×Í¾Å§Ñ §Ò¹¹ŒÍ·èÊÕ ´Ø à·‹Ò¹¡Õé ªç ‹Ç¤Ǻ¤ÁØ ¹éíÒ˹ѡ áÅÐËÅÕ¡àÅèÕ§ÊÒÃÍÒËÒ÷ÕèäÁ‹µŒÍ§¡ÒÃä´Œ ઋ¹ ໚¹âÃ¤äµ «èÖ§µŒÍ§¤Çº¤ØÁ»ÃÔÁÒ³â«à´ÕÂÁ ËÃ×Í µÍŒ §¡ÒäǺ¤ØÁ¤ÍàÅÊàµÍÃÍÅà¾ÂÕ §á¤‹ÍÒ‹ ¹©ÅÒ¡¡Êç ÒÁÒöËÅ¡Õ àÅèÂÕ §äÁ«‹ Íé× ÍÒËÒ÷èÁÕ àÕ ¡ÅÍ× ¼ÊÁÍ‹٠㹻ÃÁÔ Ò³ÁÒ¡ÁÒºÃâÔ À¤ ¹ÑºÇ‹Ò໚¹»ÃÐ⪹¡Ñº¼Œ·Ù èãÕ Ê‹ã¨Ê¢Ø ÀÒ¾ ËÃ×ͼÙÊŒ §Ù ÇÂÑ ·Õ»è dž Â໚¹âäàÃÍé× Ã§Ñ «Öè§¡ÒÃ͋ҹ©ÅÒ¡à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§»ÃÔÁÒ³¾Åѧ§Ò¹áÅÐÊÒÃÍÒËÒ÷Õèä´ŒÃѺ ÊÒÁÒö͋ҹ䴌§‹ÒÂæ â´Â´Ù¨Ò¡©ÅÒ¡âÀª¹Ò¡Òà 1. นกั เรียนสามารถแบง ประเภทของส่อื ได 22 2. นกั เรียนยกตัวอยา งสือ่ ประเภทหนังสือ สอื่ เพื่อ กจิ กรรมสรา งเสรมิ การเผยแพร และสื่อเพ่ือการบรรจุภณั ฑ พรอม วิเคราะหองคป ระกอบของส่อื ได เกรด็ แนะครู ครผู ูสอนควรเพิม่ เติมความรูเ กี่ยวกบั วตั ถุประสงคใ นการเลือกอา นส่ิงพมิ พ นักเรยี นอา นและทบทวนความรเู รื่องส่ิงพมิ พเ พ่อื การบรรจภุ ัณฑ ประเภทตา งๆ โดยมีรายละเอียด ดังตอไปนี้ 1. การอา นเพอื่ หาความรู ไดแ ก การ จากนน้ั ยกตวั อยา งสิง่ พิมพเ พื่อการบรรจุภัณฑ ครูเรยี กถามทีละคน อา นงานประเภทตาํ ราทางวชิ าการ สารคดีทางวชิ าการ การวจิ ัย ฯลฯ ถาหนังสือที่ นกั เรียนบอกสิ่งพมิ พน ้นั พรอมอธิบายเหตุผลประกอบ มีสาระเดยี วกนั ควรอา นจากผเู ขียนหลายๆ คน เพ่อื เปน การตรวจสอบความถกู ตอง แมน ยําของเนื้อหา 2. การอานเพอื่ ความบนั เทิง ไดแ ก ประเภทสารคดที อ งเทย่ี ว กจิ กรรมทาทาย นวนิยาย เร่ืองสนั้ เร่ืองแปล ฯลฯ แมจะเปนการอา นเพอ่ื ความบนั เทงิ แตผ ูอานจะ ไดค วามรทู ีส่ อดแทรกอยใู นเรื่องดว ย 3. การอา นเพ่อื ทราบขา วสารความคิด ไดแ ก นักเรียนอานและทบทวนความรูเ ร่ืองสิ่งพิมพเ พ่อื การบรรจุภณั ฑ แลว ประเภทบทความ บทวจิ ารณ ขาว รายงานการประชุม ฯลฯ ขอควรระวงั ในการอา น จัดทําส่งิ พมิ พเพือ่ การบรรจุภณั ฑ โดยเลือกสง่ิ พิมพทน่ี ักเรียนประทบั ใจ งานเขยี นประเภทน้ี คอื ผูอ า นมกั เลือกอา นสอ่ื ที่สอดคลอ งกับความคดิ และความชอบ มาเปนตนแบบในการสรา งส่งิ พมิ พเ พื่อการบรรจภุ ัณฑข องนกั เรียน ของตน จึงทาํ ใหปด กั้นการรับรแู ละแนวคิดดา นอ่ืนๆ 4. การอา นเพือ่ จุดประสงค เฉพาะในการอานแตล ะคร้งั ไดแ ก การอานที่ไมไ ดเจาะจงแตเปน การอา นเปน ครัง้ คราวในเรื่องทตี่ นสนใจหรืออยากรู ครคู วรชแี้ นะใหนกั เรียนเห็นความสาํ คญั ของ การอาน และหมนั่ ฝก ทักษะการอานและการคดิ อยางสมาํ่ เสมอ 22 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. กเราื่อรงสอ้ัน1่าคนือสงาือ่ นเสขีย่งิ นพท่ีคิมล้าพยนว์ปนริยาะยเภแตท่มีขเนราดอ่ื สง้ันแสละัน้ ไม่ซับซ้อน เปลื้อง ณ นคร ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ (๒๕๑๔ : ๗๑) ใหค้ วามหมายวา่ “เรอ่ื งส้ัน หมายถงึ เรอื่ งซง่ึ บรรจคุ า� ประมาณ ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ค�า เป็นเรื่องทอ่ี ่านรวดเดียวจบในระยะเวลาไม่เกินสส่ี บิ นาที กระชบั และมพี ฤติการณส์ �าคญั อยา่ งเดยี ว • นักเรียนรูจกั สอ่ื สง่ิ พิมพป ระเภทเร่อื งสน้ั โดยเฉพาะ” หรอื ไม และเร่อื งส้ันมลี ักษณะอยา งไร พฤติกรรกมลขา่ อวงโดตยวั สลระุปครเตรอ้ ่ืองงมสุ่ง้ันไจปะสตู่จ้อุดงสมา� ีขคนญั า2ขดอสงัน้ เรโ่ือคงรง(cเรlimอ่ื งaงx่า)ย ใชต้ วั ละครน้อย การกระทา� และ ๑) องคป์ ระกอบของเรอ่ื งสน้ั • นกั เรยี นเคยอานเรือ่ งส้นั เรอื่ งอะไรบา ง ๑.๑) แนวคิดหรอื แกน่ ของเร่ือง แนวคิด คือ สาระสา� คัญของเรื่องทีเ่ ขยี นข้นึ เรอ่ื งสัน้ นักเรียนมีความคดิ เหน็ หรือมีความประทับใจ จะมีแนวคิดส�าคัญเพียงจุดเดียว และจะเป็นแก่นของเรื่อง การเสนอแนวคิดอาจบอกตรงๆ บอก ตอเร่ืองสั้นที่นักเรียนอา นหรอื ไม อยางไร ผ่านตัวละคร อยู่ท่ีช่ือเร่ือง หรืออาจจะต้องตีความเอง เม่ืออ่านเร่ืองส้ันจบแล้ว ความหมายท่ี ผู้อ่านสรุปได๑ค้ .๒อื แ) นโควครงดิ เขรอื่องงเ3 รค่ือืงอสนั้ กเารรือ่ ผงูกนเั้นค้าซโ่งึคเรรงือ่ ขงสอัน้งเทร่ีดื่อีตง้องกเ�าขหียนนดใหทผ้ ิศูอ้ ท่าานงเขขอ้าใงจเแรื่อกง่นเรวอื่ ่างจะให้ สาํ รวจคน หา Explore เหตกุ ารณเ์ กิดขึน้ อยา่ งไร และจบอยา่ งไร เพ่อื จะไดแ้ สดงจดุ มุ่งหมายของเรื่องอยา่ งเดน่ ชัด โดย ค�านงึ ถึงความนา่ ตดิ ตาม นักเรียนคน ควาขอ มลู เกย่ี วกบั ความหมาย ๑.๓) เนอ้ื เรื่อง คือ เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ อาจเป็นเพียงส่วนหน่ึงของชีวิต องคป ระกอบ และแนวทางในการอานเร่ืองสนั้ เปน็ เรอื่ งราวบางแง่มุมไม่ใชเ่ รือ่ งราวละเอยี ดทั้งชีวิตของตวั ละคร ๑.๔) ตัวละคร บทสนทนา ตัวละครหลักมีเพียง ๑-๒ ตวั ตัวละครอ่นื มีเท่าทจี่ า� เป็น อธบิ ายความรู Explain เท่านั้น ตัวละครและบทสนทนาจะเล่าเร่ือง แสดงพฤติกรรมในเหตุการณ์ท่ีสมเหตุสมผล บท สนทนาจะใช้เท่าทีจ่ �าเปน็ เพือ่ ท�าให้เน้ือเรอื่ งและตัวละครมชี ีวิตชวี า 1. นักเรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ๑.๕) ฉาก ผู้เขียนจะใชก้ ารบรรยาย หรือบอกผ่านบทสนทนา อาจเป็นฉากในชวี ติ จรงิ ตอไปน้ี หรอื เหนอื จรงิ แตจ่ ะไมบ่ รรยายอยา่ งชดั เจนเหมอื นนวนยิ าย ฉากแมจ้ ะมคี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม • นกั เรยี นคิดวา งานบนั เทิงคดปี ระเภท ของตัวละคร สอดคล้องกับโครงเร่ืองและแนวคิด หากผู้เขียนน�าเสนอฉากท่ีผู้อ่านไม่รู้จัก เช่น เร่อื งสัน้ มีความแตกตา งกับงานบันเทิงคดี ฉากในตา่ งประเทศจะต้องบรรยายละเอยี ดข้ึนเพ่อื ใหผ้ ู้อ่านสร้างจนิ ตนาการได้ ประเภทอน่ื หรือไมอ ยา งไร ๒) ชนิดของเรื่องสั้น ผู้อ่านเร่ืองสั้นสามารถเข้าใจเจตนาของผู้เขียนได้ ถ้าผู้อ่านทราบ (แนวตอบ มคี วามแตกตา งกัน เปน ตนวา ชนิดของเรื่องสั้น แบง่ เร่ืองส้ันได้ ๔ ชนดิ คอื ดา นขนาดของเรื่องมขี นาดสั้น โครงเร่ือง ๒.๑) ชนิดผูกเร่ือง เป็นเร่ืองส้ันท่ีมีการก�าหนดเค้าเร่ืองไว้อย่างซับซ้อน มีการผูก ไมซ บั ซอ น ตวั ละครนอ ย พฤตกิ รรมของ ปมเร่ืองให้เกดิ ความฉงนสนเท่ห์ บางครัง้ เนอื้ เรอื่ งก็ท�าใหผ้ ้อู า่ นเขวไปทางหนง่ึ แตพ่ อถึงตอนจบ ตวั ละครมงุ ไปสจู ดุ สุดยอด และนาํ เสนอ กลบั หกั มมุ เป็นการจบทีผ่ ู้อา่ นคาดไมถ่ งึ แกนเรือ่ งอยา งเดนชดั เพียงประเด็นเดยี ว) ๒.๒) ชนิดเพ่งแสดงลักษณะของตัวละคร เป็นเรื่องสั้นท่ีมุ่งแสดงให้เห็นบุคลิกภาพ • นักเรยี นคิดวา เรื่องส้ันท่ดี หี รอื เรอ่ื งส้นั ที่มี ของตัวละครเป็นหลัก เป็นการวาดภาพตัวละครเพื่อช้ีให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละคร ซ่ึงจะมี คณุ คาทางวรรณศลิ ป ควรมอี งคป ระกอบ ของเรอ่ื งเปนอยางไร นักเรียนอธบิ ายพรอม 23 ยกตวั อยา งประกอบ (แนวตอบ องคป ระกอบของเรอ่ื งมีความ สอดคลอ งกลมกลนื กนั ชว ยเนน ยํา้ แนวคิด ของเรอ่ื งใหม คี วามเดน ชดั กระชับสงผลตอ การดาํ เนนิ เร่ืองทมี่ ชี วี ติ ชวี า ทงั้ โครงเร่อื ง เนอ้ื หา ตัวละคร และฉาก) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ลักษณะสาระสาํ คัญของการเขยี นเร่อื งส้ัน จะมแี นวคิดสําคญั เพียงจดุ เดียว ทีส่ ําคัญท่ีสุดในเร่อื ง นําเสนอโดยบอกตรงๆ บอกผานตัวละครหรืออาจจะ 1 เรื่องสัน้ แปลจากคาํ ภาษาอังกฤษวา Short story เปน งานเขยี นเลา เร่ืองราวท่ี ตีความเอง เรื่องส้นั ทดี่ จี ะตอ งใหผูอา นตคี วามเอง มีขนาดสั้น โดยเขียนจาํ ลองสภาพชวี ิตของสังคมสว นหนึง่ สว นใด โดยมุงสรา งความ ขอ ความขา งตนเปน องคป ระกอบของเรือ่ งสน้ั ในขอ ใด บนั เทงิ ใจแกผอู า นเปน สําคัญ โดยเหตกุ ารณท เ่ี กิดขึ้นในเรื่องนําเสนอประเดน็ สาํ คญั 1. โครงเรื่อง 2. เน้อื เรือ่ ง อยา งใดอยางหนึ่งเปน หลักเพียงประเดน็ เดยี ว เหตุการณดงั กลาวจึงนําไปสูจุดสงู สดุ 3. ฉาก 4. แนวคดิ หรือแกน ของเรื่อง ของเรื่องเพียงหนึง่ เดียว 2 จุดสาํ คญั แปลจากคาํ ภาษาอังกฤษวา Climax เรอ่ื งความขดั แยง น้ันจะตอ ง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. แนวคิดหรอื แกน ของเรื่อง เพราะลักษณะ ขมวดปมหรือบีบใหตองมีการจัดการแกไ ขปญ หา หรอื เกดิ การแตกหกั เปน วิธกี าร เดินเรอ่ื งไปสจู ุดแตกหัก กอ นจะคลค่ี ลาย มกั อยตู อนทา ยของเรือ่ ง การดําเนินเร่ือง สําคัญของเรอ่ื งส้ัน คือ จะมเี พียงแนวคดิ เดียว นกั เขียนจะกาํ หนดแนวคิด หรือพฤติกรรมของตัวละครยอ มขึน้ อยูก ับตัวละครวา มีอุปสรรคใดเกิดขน้ึ กบั ตวั ละคร กอ นเปน ส่ิงแรก สว นผูอานจะรูแ นวคดิ ของเร่อื งไดนนั้ ตอ งอานจบเรื่องกอ น สว นใหญมกั จะมีเพยี งปมเดยี ว เมื่อตวั ละครสามารถคลคี่ ลายปญ หาได อนั เปน จดุ สาํ คญั ของเร่ือง เนอื้ เร่ืองก็จบลง ยกเวน เรอื่ งสนั้ ชนดิ ผูกปมอาจมีหลากหลายปม หรอื มหี ลายขอขดั แยง หรือหลายปญหา 3 โครงเรือ่ ง การลําดับเหตุการณในการดําเนินเรือ่ ง คมู ือครู 23
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นจบั คู จากนั้นครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู ความโดดเด่นเปน็ พิเศษ เชน่ เกร้ยี วกราด เมตตากรณุ า ฉลาดเกนิ คน มคี วามเชอื่ ในสิ่งใดสงิ่ หนึง่ รวมกันตอบคาํ ถามหนาชั้นเรยี นในประเดน็ อยา่ งฝงั ใจ เร่อื งสน้ั ท่แี สดงลกั ษณะตัวละครนีผ้ เู้ ขยี นสามารถส่อื สารเรือ่ งราวไดอ้ ยา่ งสมจริง และ ตอไปน้ี สอดคลอ้ งกบั ความรู้สกึ ทีต่ ้องการ • เรอ่ื งสน้ั แบง ออกเปน ก่ีชนดิ อะไรบาง ๒.๓) ชนิดถือฉากเป็นส่วนส�าคัญ เป็นเรื่องส้ันที่ผู้เขียนเน้นการพรรณนาฉาก โดยมี (แนวตอบ เร่อื งสน้ั แบง ออกเปน 4 ชนดิ ไดแ ก ตวั ละครเป็นส่วนประกอบทเ่ี กย่ี วโยงอยู่ในฉากนนั้ ผเู้ ขียนจะบรรยายฉากอย่างละเอยี ดจนผู้อ่าน 1. ชนดิ ผกู เรอ่ื ง กาํ หนดเคา เร่ืองไวอยาง สามารถเห็นภาพจากการอ่านได้ชัดเจน ซับซอน ๒.๔) ชนดิ แสดงแนวความคดิ เหน็ เปน็ เรอื่ งสนั้ แนวอดุ มคติทีต่ ้องการชี้ให้เห็นประเดน็1 2. ชนิดเพงลกั ษณะตัวละคร มงุ แสดงบุคลกิ ตัวละครเปนหลัก คกาวราวมพิ คาิดกใดษคส์ วงั าคมมคโดิดยหผน่าึ่งนทตี่ผวั ู้เลขะียคนร2ต้องการจะบอก หรือชี้ให้เห็นความเชื่อในสิ่งหน่ึงส่ิงใด รวมถึง 3. ชนดิ ถอื ฉากเปนสว นสาํ คญั เนนพรรณนา ๓) แนวทางในการอา่ นเรือ่ งสน้ั การอา่ นเรื่องสน้ั มีประเด็นท่คี วรสังเกต ดงั น้ี ฉาก ๑. พจิ ารณาชือ่ เรอ่ื ง และเนือ้ เรอ่ื งวา่ สอดคลอ้ งกนั หรอื ไม่ เพียงใด 4. ชนิดแสดงแนวความคดิ เหน็ นําเสนอ ๒. พิจารณารูปแบบการเขียนว่า ใช้แนวการเขียนแบบใด เช่น การเขียนโดยใช้ แนวคดิ เปนหลัก) เหตกุ ารณ์เปน็ หลัก หรอื ใช้ความรสู้ กึ ท่มี ีตอ่ สถานการณ์ท่เี กิดข้นึ หรือใช้สัญลักษณ์ ๓. วิเคราะหว์ จิ ารณล์ กั ษณะเด่นของเร่อื งสน้ั เช่น โครงเร่อื ง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา ใจ Expand ส�านวนภาษา วิธีด�าเนินเร่อื ง โดยอาจใชห้ ลกั เกณฑท์ ่ีกล่าวไว้แล้วมาประกอบการพจิ ารณา ๔. พิจารณาแก่นเร่ืองว่าคืออะไร ผู้เขียนสามารถสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจน 1. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ หรอื คลุมเครอื • หากผูอา นเขา ใจชนดิ ของเร่ืองสั้นจะกอ ให ๕. สรุปความคิดเห็นของผู้เขียนจากการอ่านเร่ืองที่เป็นผลงานของเขาหลายๆ เรื่อง เกิดประโยชนด า นใดบาง อยา งไร เชน่ ตอ้ งการพัฒนาสังคมให้ดีข้นึ ตอ้ งการชี้ใหเ้ ห็นความสา� คญั ของการศึกษา (แนวตอบ หากผูอานเขา ใจชนิดของเรอื่ งสั้น จะชวยใหผูอานสามารถทําความเขา ใจเจตนา ตวั อย่าง เรือ่ งสั้น ของผูแ ตง สง ผลตอการพิจารณาองคประกอบ ฉนั คอื ตน้ ไม้ ทนี่ าํ ไปสูความเขาใจแกนเรอ่ื งได) • นักเรียนคดิ วา องคประกอบของเรอื่ งสน้ั ฉันยืนต้นอยู่ในป่าลึก ล�าต้นของฉันสูงใหญ่เด่นอยู่ท่ามกลางหมู่พฤกษาท้ังหลาย นอกจาก ถอื เปนสวนสาํ คัญสําหรบั ใชเปน แนวทาง ภเู ขาเท่านนั้ ทีฉ่ ันด้อยกวา่ กงิ่ กา้ นใบของฉนั แน่นหนาและแผก่ ว้าง แสงอาทิตยไ์ ม่อาจสอ่ งลอดได้ ในการอา นเรือ่ งส้ันหรอื ไม อยา งไร เบ้ืองล่างจึงร่มรื่น ล�าธารน้อยๆ ไหลผ่านใกล้ล�าต้นฉันไป น้�าในล�าธารใสจนเห็นกรวดทราย (แนวตอบ องคประกอบของเรื่องสั้นถอื เปน ทอ้ งธารและปลาวา่ ยเวยี น ทกุ วนั จะมสี ตั วป์ า่ นานาชนดิ มากนิ นา�้ ทล่ี า� ธารสายน ้ี บางตวั พอกนิ เสรจ็ สว นสาํ คัญในการวเิ คราะหแ ละทาํ ความเขา ใจ จะอาศยั ใตร้ ่มใบของฉันนอนหลับอยา่ งเปน็ สุข เนอ้ื หาของเร่ืองสนั้ นํามาสูการวพิ ากษวิจารณ ฤดูน้�าหลาก น�้าจะเต็มล�าธารล้นตลิ่งมาถึงฉัน น�้าไหลแรงแต่ฉันก็มีรากหย่ังลึกลงไปในดิน ไดอ ยางชัดเจน) น้า� ไมอ่ าจพาฉนั เคล่ือนย้ายไปไหนได้ 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด 24 นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT โครงเร่ือง ตวั ละคร ฉาก บทสนทนาหรือสาํ นวนภาษา วิธดี าํ เนินเรื่อง 1 อดุ มคติ จินตนาการท่ีถือวาเปนมาตรฐานความดี ความงามและความจรงิ ใชเปน หลกั เกณฑป ระกอบการพจิ ารณา 2 การวพิ ากษสงั คมโดยผานตัวละคร มาจากคาํ วา วพิ ากษ หมายถึง การ ขอใดตรงกบั ขอความขา งตน พจิ ารณาตัดสนิ หรอื การประเมินเร่ืองใดเรื่องหนงึ่ โดยผูแตงมกั นาํ เสนอทัศนะของ 1. พิจารณาช่ือเรื่องสั้น ตนเองผานองคป ระกอบในการดําเนนิ เรอ่ื ง โดยเฉพาะองคประกอบสาํ คัญ คือ 2. พจิ ารณารปู แบบการเขียนเรอ่ื งส้ัน ตวั ละคร ซ่งึ เปน บคุ คลที่ผเู ขยี นสมมติข้ึนเพ่ือใหท าํ พฤติกรรมตามเหตกุ ารณในเร่อื ง 3. สรปุ ความคิดเหน็ ของผอู านเรอ่ื งสัน้ หรือเปนผทู ่ไี ดรบั ผลจากเหตุการณท่เี กดิ ขึน้ การสรา งตวั ละครมักคาํ นึงถึงการสรา ง 4. วเิ คราะหว ิจารณล ักษณะเดน ของเรือ่ งสน้ั ลักษณะนสิ ัยของตวั ละครใหมีความสมจรงิ เปน ตัวแทนของบคุ คลในสังคม ฉะนั้น วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. วเิ คราะหวิจารณลักษณะเดน ของเรอ่ื งส้ัน ผูแตง จึงนยิ มนาํ เสนอทัศนะของตนผานตวั ละคร ดวยการเลา เรือ่ งสะทอ นภาพความ องคประกอบของเรอ่ื งสั้น ไดแก โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา และวธิ ี เปน ไปของสังคมตลอดจนสภาพบา นเมืองในแงม มุ ตา งๆ ท้งั การเมืองการปกครอง ดําเนินเร่อื ง สามารถนาํ มาใชเปน หลกั เกณฑในการวเิ คราะหเรือ่ งสั้น ซึ่งผอู า น การดาํ เนินชวี ิต ความเปนอยูแ ละคานยิ มของคนในสังคมผานการกระทาํ และความ จะตอ งวเิ คราะหลกั ษณะเดน โดยพิจารณาจากองคป ระกอบขางตน คิดของตัวละคร เพราะตัวละครในเรื่องส้ันมกั ถูกจําลองหรอื สรา งข้ึนเพอ่ื เปนตัวแทน ในการเลาเร่อื ง ประสบเหตุการณและชะตากรรมตา งๆ การพิจารณาเหตุการณของ เร่ือง อารมณความรูสกึ ของตวั ละคร ยอมแฝงสาระสําคญั ดา นปรชั ญาไวอยา งลุมลึก 24 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ฉนั ไมร่ วู้ ่า ฉนั ยืนต้นอยู่นานเท่าไร แตเ่ ม่อื จ�าความได้ ฉันไดย้ นื อยู่ ณ ท่แี ห่งนแี้ ลว้ รอบด้าน นักเรียนนับ 1-7 เรียงลําดับตอไปเรื่อยๆ ให เปน็ ป่าโปร่ง ไกลออกไปเป็นเทือกเขาสลบั ซับซอ้ น นกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 7 กลุม ตามตวั เลข ยามเช้าอากาศหนาว เท่ียงแดดร้อน ลมพัดตลอดเวลา บางขณะลมแรง ใบและกิ่งของฉัน จากน้นั นักเรยี นศกึ ษาคนควาเรอ่ื งส้นั เรอื่ ง ฉนั คือ แกว่งไกวไม่หยุดหย่อน ฝนตกบ่อย ฉันชอบสายฝนเพราะฝนท�าให้ฉันสดช่ืนและได้ช�าระก่ิงใบ ตนไม ภายในระยะเวลา 10 นาที แบง ตามกลุมได ของฉนั ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ ดังนี้ ฉันออกลูกในหน้าฝน ลูกของฉันเป็นเม็ดเล็กๆ สีเหลืองเข้ม ดกเต็มต้น อีกา นกเอี้ยง นก ขุนทอง และนกอีกหลายชนิดจะมากินลูกของฉันเต็มไปหมด พวกมันจิกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย • กลมุ ที่ 1 เลา เร่ืองยอ ส่งเสียงร้องอ้ืออึง ตัวนี้อิ่มบินจากไป ตัวใหม่มาแทน กินก็กินไปเถิด ฉันไม่ว่าหรอก ฉันมีลูก • กลุมที่ 2 ช่ือเร่ือง เหลือเฟือให้เหล่านกกินไปนานเป็นเดือนทีเดียว หรือถ้านกไม่กิน พอถึงเวลาเม่ือลูกแก่จัดมันก็ • กลมุ ท่ี 3 รูปแบบการเขยี น จะหลดุ จากขัว้ ตกหลน่ ลงไปในลา� ธารไหลไปตามน�า้ เป็นอาหารของปลาเช่นกัน • กลุมท่ี 4 องคประกอบ นกนานาชนิดเหล่าน้ีท�าให้ฉันเพลิดเพลินเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ฉันจึงอยากออกลูกทั้งปี • กลุมที่ 5 แกนเรอื่ ง เพ่ือฉันจะไดอ้ ยูใ่ กล้พวกมัน ถา้ ฉนั จะไมช่ อบพวกมันอยู่บา้ งกต็ รงทน่ี กบางตัวกินแลว้ ชอบถ่ายรด • กลุมที่ 6 ความคิดเห็นของผูแตง กิง่ ใบของฉนั • กลุมท่ี 7 ชนดิ ของเรอื่ งสน้ั ฉันยืนตน้ อยู่อย่างสงบ ฉนั มีตน้ ไม้ สัตวป์ า่ สายลม และแสงแดดเป็นเพ่ือน มองไปทางไหน กง็ ามสดชน่ื ฉนั ชอบทีน่ ่ ี ฉันคงจะต้องอยู่ทน่ี ไี่ ปอีกนานแสนนานทเี ดียว อธบิ ายความรู Explain วันหนึ่งพรานป่ามายืนอยู่ใกล้ฉัน นายพรานมองไปที่ริมธาร ซ่ึงเป็นพ้ืนทรายและกรวดหิน เห็นรอยเท้าสัตว์มากมาย ต้ังแต่คืนน้ันนายพรานจึงปีนขึ้นท�าห้างบนต้นของฉันเพื่อคอยส่องยิง 1. นักเรยี นกลุมท่ี 1 นําเสนอเรอื่ งยอเรอื่ ง ฉันคอื สัตว์ ตนไม ดงั ตอไปน้ี คืนไหนเดือนหงาย ดวงจันทร์ข้ึนเต็มดวงเหนือเขาสูง ป่าสว่าง คืนไหนเดือนมืดจะมีดาว • นักเรยี นเลา เรอ่ื งยอ เตม็ ฟา้ (แนวตอบ เลาถึงเร่อื งราวของฉันซึง่ เปนตน ไม หลายคืนฉันได้ยินเสียงปืนดังแผดก้อง พร้อมกับสัตว์ท่ีถูกกระสุนปืนร้องลั่นก้องไปทั้งป่า ยืนตน ผา นวนั เวลาและความเปลี่ยนแปลง ฉนั ไมช่ อบเสยี งปนื และการกระท�าของพรานป่าเลย ฉนั ไมเ่ ขา้ ใจด้วยวา่ มนษุ ย์ทา� เชน่ น้นั เพ่ืออะไร ของส่ิงแวดลอ ม และเหตกุ ารณต า งๆ กัน ท�าไมต้องฆ่ากันด้วย ฉันสงสารสัตว์ป่าที่น่ารักเหล่าน้ันมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออะไร จนกลายเปนตน ไมศ ักดส์ิ ิทธิ์ กระท่งั ปจจบุ ัน พวกมนั ได ้ นอกจากยืนดูดว้ ยความอดทน ฉนั ก็ยังไมเขาใจการกระทําของมนษุ ย และ นายพรานมาที่นบี่ อ่ ยครง้ั บางคร้งั ก็มาคนเดยี ว บางครง้ั กม็ ากนั หลายคน ดูเขาสนกุ กบั การ ตอ งการหลกี หนีจากความเส่อื มโทรมของ กระท�าของเขา ต่อมาได้เปล่ียนหน้ากันเร่ือยๆ เป็นสัญญาณแจ้งเหตุว่าตรงน้ีก�าลังเร่ิมจะไม่สงบ สภาพแวดลอ มในปจ จุบนั ) เสียแลว้ นานจนกระทั่งไม่มีสัตว์จะยิง เหล่านักล่าสัตว์จึงหายไป ความสบายใจกลับมาหาฉันอีก 2. นักเรยี นกลุม ที่ 2 นําเสนอช่ือเรอ่ื ง ดงั ตอ ไปน้ี ครั้งหนึ่ง ระยะต่อมามีคนแปลกหน้าผ่านมาบ่อย ทุกครั้งที่ผ่านมาทางนี้พวกเขาจะแวะอาบน้�า • นักเรยี นคิดวา ชอ่ื เรอ่ื ง ฉันคือตนไม ในล�าธารและนอนพักผอ่ นท่ีใต้ต้นของฉันครงั้ ละนานๆ บางคณะถงึ กบั กางเต็นทค์ ้างคืนเลยกม็ ี มคี วามสอดคลอ งกับเนอ้ื หาหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ สอดคลองกันจากการเลาเรอื่ ง 25 ผา นฉัน นาํ เสนอสารสาํ คญั เกี่ยวกบั ความ เส่อื มโทรมของสภาพแวดลอมทางธรรมชาต)ิ 3. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู หลายคืนฉันไดย นิ เสยี งปน ปนดงั แผดกอง พรอ มกบั สตั วท่ถี ูกกระสนุ ปน รองล่นั กองปา ฉันไมช อบเสยี งปนและการกระทาํ ของพรานปา เลย ฉนั ไมเ ขาใจ ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการอา นเรอื่ งส้ันนนั้ ทกั ษะพ้นื ฐานท่นี กั เรียนทกุ คนควร ดว ยวามนุษยทาํ เชน นนั้ เพ่อื อะไรกัน ทาํ ไมตองฆากันดวย ฉันสงสารสัตวปาที่ มีนั่นคือ ทักษะการอา น โดยเฉพาะทักษะการอานเพ่อื เกบ็ เน้ือความและเหตุการณ นา รกั เหลา นนั้ แตฉนั ไมร ูวา จะชวยเหลือพวกมนั ได นอกจากยนื ดดู ว ยความ ในเรือ่ ง หรือทเี่ รยี กงา ยๆ วา การอานเอาเร่ือง การอา นเอาเรอื่ งเปน ทักษะการอาน อดทน ลักษณะหนง่ึ เมอ่ื ผูอ า นตอ งการทราบเรอ่ื งราวทผ่ี เู ขยี นไดม ีการนําเสนอไวในบท “ฉัน” ในขอ ความขางตน คอื ขอ ใด ประพันธ ในระหวางท่ีนกั เรียนกาํ ลังอานทาํ ความเขา ใจเน้ือหาอยูนั้น นักเรียนตอง 1. ตน ไม 2. สัตวปา คดิ ตดิ ตามเร่ืองราวใหม ีความตอ เนื่องกันไป จงึ สามารถเก็บเนอ้ื ความของเรอื่ งได 3. ดวงจันทร 4. นายพราน ตอเนื่องโดยตลอด เร่ืองท่ีอา นอาจเปนเรือ่ งราวเก่ียวกบั เหตุการณท ี่เกดิ ขน้ึ ในเร่อื ง ของตัวละครทีต่ องประสบกบั เหตุการณใ ดบางอยางไร โดยมหี ลักในการจดจําวา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. ตน ไม เพราะพจิ ารณาจาก “ฉนั ไมช อบเสยี ง ใคร ทาํ อะไร ท่ีไหน เมื่อไร อยางไร ดว ยเหตผุ ลอะไร การกระทาํ ของตัวละครใน เรอ่ื งกอใหเกิดผลอยางไร การอานเอาเรื่องทไ่ี ดใจความครบถว นสมบรู ณ นอกจาก ปน และการกระทําของพรานปาเลย” “ฉนั สงสารสัตวป า” ดงั น้นั “ฉนั ” จงึ นักเรียนตองรเู ร่อื งและเขา ใจเนือ้ หาของเรอ่ื งโดยตลอดแลว นักเรยี นตอ งจดจํา ไมใชนายพรานและสตั วปา และ “ยืนดูดว ยความอดทน” ส่ิงที่จะยนื ได คือ เนือ้ หาทไ่ี ดจ ากการอา นดว ย ท้ังน้ี ทกั ษะการอานและการจดจาํ ยอมขึ้นอยูก ับทกั ษะ ตนไมไมใ ชดวงจนั ทร เฉพาะตัวของแตละคน และความพยายามในการฝกฝนทกั ษะอยางสม่าํ เสมอยอ ม พฒั นาศักยภาพของนกั เรยี นไดเปน อยา งดี คูมอื ครู 25
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นกลุม ที่ 3 นําเสนอรปู แบบการเขียน มีอยู่คณะหนึ่งค้างอยู่หลายคืน คนหนึ่งในคณะเอาธูปเทียนและดอกไม้ป่าสีขาวมากราบ ดงั ตอ ไปน้ี ไหว้ฉัน แลว้ ปักธปู ไวท้ ่โี คนตน้ เขาทา� เชน่ นีท้ กุ วนั จนก้านธปู ปักอยู่ก�าโต แล้วกจ็ ากไป • นักเรยี นคิดวา เรือ่ งสน้ั เรอ่ื ง ฉนั คือตนไม ต้ังแต่นั้นมาใครผ่านมาท่ีน่ีจะท�าตามอย่างบ้าง บางคนไม่ได้เตรียมธูปมาก็ยกมือเปล่าไหว้ มรี ปู แบบการเขยี น และกลวิธีการเลาเรื่อง ฉัน ฉันงงต่อการกระท�าของมนุษย์มาก สงสัยว่าเขากราบไหว้ฉันท�าไม ฉันกลายเป็นส่ิงที่ต้อง อยางไร เนน ประเด็นใดเปนพิเศษ กราบไหว้ไปแล้วหรือ ฉันรู้ตัวฉันดีว่าฉันเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาที่ยืนรอวันตายเหมือนสิ่งที่มีชีวิต (แนวตอบ รูปแบบการเขียนเนนการแสดงความ ทั้งหลาย รสู ึกทีม่ ตี อเหตกุ ารณเ ปนหลกั โดยเลาเรอื่ ง เปน็ อยูเ่ ช่นน้ีมานานมาก จนเป็นประเพณีว่าใครผา่ นมาปา่ น้ีจะตอ้ งมาบูชาฉนั ก่อน ผานตัวละครผเู ลา เรือ่ ง โดยใชสรรพนาม นานหลายปีต่อมา ล�าต้นของฉันแข็งแรงและบึกบึนยิ่งข้ึน พร้อมกันน้ันป่าเร่ิมไม่เป็นป่า มี บรุ ุษท่ี 1 ในการเลาเรื่อง จงึ สามารถถายทอด ชาวบ้านบกุ รุกมาสร้างบ้านและหักร้างถางพง ทา� ไรบ่ า้ ง เก็บของปา่ ขายบา้ ง จากครอบครัวเดยี ว ความรูสึกและเน้อื หาอยางชัดเจน) ทยอยเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ จนกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทุกครอบครัวนับถือฉัน สังเกตได้จากใครผ่านก็ ตอ้ งยกมอื ไหว ้ หรือบางคนจะเอาอาหารใสก่ ระทงเลก็ ๆ มาวางไวท้ ี่โคนต้นของฉนั เหมือนตั้งใจให้ 2. นักเรยี นกลุมท่ี 4 นาํ เสนอองคป ระกอบ ฉันกินอย่างนั้นแหละ โธ่...ฉันจะกินได้อย่างไร ปากของฉันก็คือรากท่ีหย่ังลึกลงไปในดิน ฉันกิน ดังตอ ไปน้ี ไดแ้ ตน่ า้� อยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั ทิ้งอาหารไวก้ เ็ ทา่ กบั ให้เป็นอาหารอันโอชะของสตั วอ์ น่ื ไป • นกั เรยี นคิดวา เร่ืองสนั้ เรอ่ื ง ฉนั คอื ตน ไม มี ก่อนเข้าพรรษาในปีหนึ่ง ชาวบ้านถึงกับแห่เป็นขบวนเอาผ้าแดงมาห่มให้ฉันใกล้โคนต้น องคป ระกอบของเร่อื งอยางไร สงผลตอการ พวกเขาช่วยกันตัดหญ้าท�าความสะอาด ขุดดินยกพ้ืนสูงไว้เป็นท่ีปักธูปเทียนและวางของ ดําเนินเรอื่ งที่มีความสมจริงหรือไม อยา งไร สกั การบชู า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอ ยาง ตั้งแต่น้ันมาได้เกิดเป็นธรรมเนียมทุกปีว่าจะต้องเอาผ้าแดงมาเปล่ียนให้ฉัน พวกชาวบ้าน หลากหลายขน้ึ อยูกับเหตผุ ลของนกั เรยี น โดย จัดทา� เป็นพธิ ีใหญโ่ ต เรม่ิ ตน้ ด้วยการแห่เปน็ ขบวนกลองยาว ตามดว้ ยผา้ แดงผืนยาว ซง่ึ พวกเขา นกั เรียนพจิ ารณาองคประกอบตางๆ อาทิ ชว่ ยกนั จับรมิ ผา้ ๒ ข้างแหม่ า ก่อนเอาผา้ แดงผนื เก่าออกเอาผืนใหมห่ ่มแทน ขบวนแหต่ ้องเดนิ โครงเร่อื ง ตวั ละคร ฉาก และภาษา วา มี รอบฉัน ๓ รอบ และผูเ้ ปน็ หัวหน้าจุดธูปบอกกลา่ วใหฉ้ นั ทราบก่อน ความสอดประสานกลมกลนื กันหรือไม มาก ฉันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านอย่างเต็มภาคภูมิไปเสียแล้วหรือนี่ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉัน นอยเพียงไร) ศกั ด์ิสิทธอ์ิ ย่างไร หรือฉันไดช้ ว่ ยใหใ้ ครโชคดีถกู หวยเบอรบ์ า้ ง ผ้คู นจึงนบั ถือฉันนัก มนุษยบ์ างครั้ง ท�าอะไร ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันเคยเห็นเครื่องบินบินผ่านไปบนฟ้า ฉันยกย่องปัญญาของมนุษย์ 3. นกั เรียนกลุมท่ี 5 นําเสนอแกนเรือ่ ง ดงั ตอ ไปนี้ ท่สี ามารถเหาะเหินเดนิ อากาศได ้ แต่ขณะเดยี วกนั ฉนั กง็ งไปหมดทีม่ ากราบไหวต้ น้ ไม้อย่างฉนั • นกั เรียนคิดวา เรอื่ งส้ันเรอ่ื ง ฉันคอื ตนไม โลกช่างเจริญเรว็ เหลอื เกนิ ช่ัวไมน่ านมนุษยเ์ ร่ิมมาอยู่ในปา่ มากขึน้ ถนนใหญเ่ ร่ิมตดั ผ่านมา มีแกน เรื่องอยา งไร ฉันเห็นการสร้างถนนของมนุษย์ทุกวัน เริ่มต้ังแต่การส�ารวจ ถางป่า และรถแทรกเตอร์ขนาด (แนวตอบ นาํ เสนอความเสื่อมโทรมของ ใหญ่กรยุ ทาง และดเู หมอื นวา่ แนวถนนจะตดั ผ่านมายังทที่ ่ฉี นั ยนื เสียดว้ ย ถ้าเปน็ เชน่ นน้ั จรงิ ฉนั ก็ ธรรมชาตทิ เี่ กิดจากการกระทาํ ของมนษุ ย) คงต้องถกู ตัดท้งิ เหมอื นตน้ ไม้นอ้ ยใหญ่ทีถ่ กู ตดั ทิ้งมาแล้ว ฉนั เรมิ่ วติ ก 4. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ 26 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บางคนเอาอาหารใสกระทงเล็กๆ มาวางไวทโ่ี คนตนของฉนั เหมอื นต้งั ใจให เกร็ดแนะครู ฉนั กนิ น้ันแหละ โธ. ..ฉันจะกนิ ไดอยา งไร ปากของฉันก็คอื รากทีห่ ยั่งลึกลงไป ในดนิ ฉันกินไดแ ตนํ้าอยา งเดียวเทานั้น ท้ิงอาหารไวก ็เทา กับใหเ ปน อาหารอนั ในการเรยี นการสอนเกีย่ วกับการอา นเรือ่ งส้ันนน้ั นอกจากครูจะใหนักเรียน โอชะของสัตวอ ่นื พจิ ารณารูปแบบงานเขยี นและองคประกอบของเรอื่ งส้ันแลว ครูผสู อนควรเพ่มิ เติม ขอใดคือความหมายของคาํ อทุ านในขอความขา งตน เนอื้ หาเก่ยี วกับการอา นพจิ ารณาคุณคาของเรือ่ งสน้ั ใหกับนักเรียนดว ย เพราะ 1. รสู กึ ตกใจ เร่ืองสน้ั ทดี่ ีนนั้ ตองแฝงแนวคดิ หรอื สะทอนสงั คมในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึงใหก บั 2. รูส กึ เหน็ ใจ ผอู าน สามารถพจิ ารณาคุณคา ของเรื่องสั้นในประเดน็ ตอไปนี้ 3. รูส ึกเสียดาย 4. รูสึกประหลาดใจ 1. คุณคา ทางอารมณ หมายถึง แรงบันดาลใจทเ่ี กิดขนึ้ จากผปู ระพนั ธ แลว วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. รูสึกเสียดาย การใชคําอทุ านวา “โธ” ปกติ ถา ยโยงมายังผูอา น ซึ่งผอู านจะตคี วามวรรณกรรมนั้นๆ ออกมา ซงึ่ อาจจะ มักใชเ พื่อแสดงความรูส กึ อนาถใจ สงสาร หรือเสยี ดาย ซง่ึ ขอความนีบ้ ง บอก ตรงหรอื คลายกบั ผปู ระพนั ธก ไ็ ด ความเสยี ดายของตนไมตออาหารในกระทงทมี่ นุษยนํามาต้งั ใหก นิ แตต น ไม ไมส ามารถกนิ ได 2. คุณคา ทางปญญา มีความรูส อดแทรกทง้ั ทางดานวทิ ยาการ ความรรู อบตวั ความรูเทาทันคน ความเห็นอกเห็นใจตอเพ่อื นมนุษยด วยกัน 3. คณุ คา ทางศลี ธรรม เม่อื อา นแลว ตองไดข อ คดิ เตอื นใจ 4. คุณคา ทางสงั คม เพราะงานเขียนมักสอดแทรกสภาพบา นเมืองและ สภาพสงั คมในยคุ สมยั ของผเู ขียน 26 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู หลังจากนัน้ มีมนษุ ย ์ ๒ คน แบกขวานคมกรบิ และเล่ือยมาพิงไว้ท่ีโคนตน้ เพ่อื เตรยี มจะตัด 1. นกั เรยี นกลุมท่ี 6 นาํ เสนอความคิดเหน็ ของ ฉันทิ้ง ต้นไม้อย่างฉันยืนทนแดดทนฝนมานานปี เวลาถึงคราวตายก็ตายเอาง่ายๆ เหลือเกิน ผแู ตง ดังตอ ไปนี้ นกั ตดั ตน้ ไมท้ งั้ ๒ เรม่ิ จดุ ธปู เทยี นไหวฉ้ นั ปากของเขาขมบุ ขมบิ ดซู ิ จะฆา่ ฟนั ฉนั แลว้ ยงั มาไหวฉ้ นั อกี • นักเรยี นคดิ วา ผูแตง มีความคิดเหน็ อยา งไร จะมปี ระโยชนอ์ นั ใดเลา่ ฉนั นน้ั เตรยี มตวั ลม้ ทง้ั ยนื ตงั้ แตว่ นิ าทแี รกทเี่ หน็ ขวานในมอื ของคนทง้ั สอง (แนวตอบ ตอ งการชี้ใหเห็นความเสือ่ มโทรม ไม่ทันที่ขวานอันคมกริบจะถากผิวเนื้อฉัน ทันใดนั้นฉันได้ยินเสียงของชาวบ้านจ�านวนมาก ของธรรมชาติ ซึง่ เกดิ จากการกระทาํ ของ เดนิ แหเ่ ปน็ ขบวนเขา้ มา หลายคนในขบวนตะโกนเสยี งดัง ฉันฟังไมร่ ูห้ รอกวา่ ตะโกนวา่ อะไรบ้าง มนุษย) แตท่ �าให้ชายท่ีกา� ลังจบั ขวานหยุดชะงกั ได ้ เสยี งมนุษยค์ ุยกนั จอแจแล้วก็ชวนกันกลับเลกิ ใชข้ วาน ท่ีจะฟาดฉันอีกต่อไป ฉันรอดตายอย่างหวุดหวิด ถ้าชาวบ้านมาช้าไปสักนิดฉันคงต้องล้มไป 2. นกั เรยี นกลุมที่ 7 นาํ เสนอชนดิ ของเรือ่ งส้นั ท้ังยนื อยูต่ รงนัน้ แต่ถงึ อย่างไรฉนั กไ็ มแ่ นใ่ จวา่ มนษุ ย์จะไม่หวนกลับมาทา� ร้ายฉันอกี ดังตอไปนี้ พระอาทิตย์โผล่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้วก็ตกลับชายฝั่งนี้ จากวันเป็นเดือนทุกอย่างหายเงียบไป • นกั เรียนคิดวา ชนดิ ของเร่อื งสน้ั ในเร่ือง ฉนั พักหน่ึง ฉันรอชะตากรรมอยู่นาน ไม่รู้ว่ามนุษย์จะท�าอย่างไรกับฉันแน่ ชาวบ้านก็ยังมากราบ คือตนไม มลี ักษณะอยา งไร สงผลตอ คณุ คา ไหว้ฉันไมข่ าด ของเร่ืองหรือไม อยางไร ชายแต่งกายชุดสีกากีมีขีดสีเหลืองบนบ่ามาดูถนนบ่อยคร้ัง ให้คนงานกางแผนที่ออก (แนวตอบ เร่อื งสัน้ ชนิดแสดงแนวความคดิ เหน็ ส่องกล้อง ดงึ เทปวัด ทกุ คนท่ีมาจะยืนอยู่ใต้ต้นของฉัน บางคนจะดูฉันอย่างหม่ินๆ และไม่ยอม ช้ีใหเ หน็ ความสาํ คญั ของส่งิ แวดลอม และ ยกมอื ไหว้ฉนั เหมอื นคนอน่ื ๆ ฉันว่าเขาคิดถูกแลว้ ที่ทา� เชน่ น้ัน วิพากษปญหาสง่ิ แวดลอ มวาเกดิ จากการ ฉันคงเป็นต้นไม้ท่ีศักด์ิสิทธิ์จริงๆ เพราะปรากฏว่าพวกช่างได้ท�าถนนเบ่ียงหลบฉันออกไป กระทําของมนษุ ย) เลก็ นอ้ ยเพยี งให้ล�าต้นของฉันพ้นแนวถนนเทา่ นนั้ ฉนั จึงมีสทิ ธิ์ยืนอยทู่ ่ีเดิมอยา่ งสง่าได้อกี ต่อไป จากสภาพป่ากลายเป็นถนนลูกรัง คนงานท�างานกันฝุ่นคลุ้ง เสียงเครื่องยนต์ดัง ถนน 3. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ลาดยางราบเรยี บและทา� สะพานคอนกรตี ข้ามล�าธารอยา่ งดี ฉนั เห็นการกระทา� ของมนษุ ย์ทกุ วนั จนกระท่ังถนนเปิดให้เดินรถได้ เสียงรบกวนกลับย่ิงรุนแรงขึ้นอีก บนถนนมีรถแล่นไม่ขาด ระยะ บางคันแล่นเร็วมากผ่านฉันไปเหมือนต้องการให้ถึงจุดหมายในวินาทีน้ัน บางคันแล่น ช้าเพราะหนักด้วยสิ่งท่ีบรรทุกมาเต็ม แทบทุกคันเวลาผ่านฉันไปถ้าไม่กดแตรดังก็จะจอดรถ เอาพวงมาลยั ดอกมะลบิ า้ ง ดอกพลาสติกบ้างมาบชู าฉัน จากเร่ิมต้นจนบัดน้ี ฉันยังไม่เข้าใจการกระท�าของมนุษย์เลย ฉันเบ่ือ ฉันร�าคาญต่อ สง่ิ แวดลอ้ มทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม ่ มองลงไปในลา� ธารนา้� กไ็ มใ่ สสะอาดเหมอื นกอ่ น ฝนุ่ กม็ าก ใบและกงิ่ กา้ น ของฉนั สกปรกไปดว้ ยฝ่นุ ละอองทัง้ วัน ฉันนกึ ถึงอดีตครัง้ ฉันยนื อยใู่ นปา่ ลกึ นึกถึงความสงบเงียบ ในปา่ เสยี งน�า้ ไหล นกรอ้ ง ต่อไปน้ีฉันคงไมม่ ีวนั ได้พบมนั อีกแลว้ นอกจากความว่นุ วายตา่ งๆ ที่ มนษุ ยม์ อบใหแ้ กฉ่ นั ถงึ เวลานฉ้ี นั จึงอยากมตี นี เหลือเกนิ เพื่อฉันจะได้เดนิ หนไี ปจากตรงนี้ (ฉันคือตน้ ไม ้ : ไมตรี ลิมปชิ าต)ิ 27 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ทรรศนะของผแู ตง ครูควรเพมิ่ เติมความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกับประเภทของตวั ละคร โดยตัวละคร ผกู ลา วขอความตอ ไปนเ้ี นนเรื่องใดเปนสาํ คญั สามารถแบง ตามลําดบั ความสาํ คัญในการดําเนินเรอ่ื งได 2 ระดบั คอื ตวั ละครเอก ขอใหพวกเรามคี วามเขมแข็งท่จี ะกระทาํ เรื่องท่ีสมควรกระทํา มคี วาม และตัวประกอบ ความสาํ คัญของตัวละครจะมคี วามแตกตางกนั ข้ึนอยกู บั บทบาท ของตัวละครท่ีมผี ลตอ การดาํ เนนิ เรอ่ื ง นอกจากนี้ ในการพิจารณาความสมจริง อดทนและเขา ใจเรื่องทีเ่ ราไมส ามารถเปลยี่ นแปลงได และมคี วามฉลาดพอที่ ของตัวละครที่สง ผลตอบทบาทในการดําเนนิ เรอื่ ง สามารถแบงตัวละครไดเ ปน 2 จะแยกแยะไดวา เรือ่ งใดเราจะทาํ ได หรือเรื่องใดเหนอื ความสามารถท่ีเราจะ ประเภท คอื ตัวละครทม่ี มี ิติเดยี ว ซึ่งเปนตัวละครที่มลี กั ษณะนิสัยเดยี วกัน โดยไมม ี เปลย่ี นแปลงได ความเปล่ยี นแปลงดา นลกั ษณะนสิ ยั ตลอดทั้งเรือ่ ง และตัวละครประเภทหลายมติ ิ ซงึ่ มีความเปลีย่ นแปลงของบุคลิกภาพตามเหตุการณและส่ิงแวดลอม 1. พลังและความสามารถ 2. ความมงุ มน่ั และสตปิ ญญา 3. เรือ่ งทีค่ วรกระทาํ และไมควรกระทํา 4. เรอื่ งที่เปลีย่ นแปลงไดแ ละเปลี่ยนแปลงไมไ ด วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ความมงุ ม่ันและสติปญ ญา ผแู ตง กลาวถึง ความมงุ มนั่ วาใหมคี วามเขม แข็งและอดทน สวนดา นสตปิ ญ ญา คอื สามารถ แยกแยะไดว า เรอื่ งใดทาํ ไดเ รอื่ งใดทําไมไ ด คมู ือครู 27
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage Expand Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ 1. นักเรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ตวั อยา่ ง การวเิ คราะห์เรอื่ งสัน้ • นกั เรียนคิดวา องคป ระกอบของเรื่องส้ัน ฉนั คือตน้ ไม้ เรื่อง ฉันคือตนไม มีความสมบูรณดา น วรรณศิลปอยางไร เรื่องสั้น “ฉันคือต้นไม้” ของไมตรี ลิมปิชาติ เป็นเรื่องท่ีเน้นให้เยาวชนไทยตระหนัก • นกั เรียนสามารถนําขอคดิ ทไ่ี ดจ ากเรื่องสน้ั ในคุณค่าและความส�าคัญของสิ่งแวดล้อม โดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านตัวละคร “ต้นไม้” เป็น เร่อื ง ฉันคือตนไม มาประยกุ ตใชในชีวิต ตัวละครเอก ซึ่งช่ือเรื่องและเนื้อหาภายในเร่ืองมีความสอดคล้องกัน ท�าให้ผู้อ่านเห็นภาพของ ประจําวันไดอยางไร ตน้ ไม้ทมี่ ชี ิวี ิต จิตใจ ความรสู้ กึ โครงเร่ือง เป็นเร่ืองของ “ฉัน” คือ ต้นไม้ที่บอกเล่าความสุขของตนเองท่ีอยู่ในป่าลึก 2. นกั เรยี นแตล ะกลมุ ศกึ ษาเร่อื งสัน้ ทนี่ ักเรียน ตอ่ มาความวุน่ วายก็เกดิ ขนึ้ เพราะความเจริญ ถนนทกี่ �าลังจะตดั ผ่านป่าแห่งนีท้ �าใหต้ ้องตดั ต้นไม้ ประทบั ใจ พรอ มวเิ คราะหอ งคประกอบของ ออกไป ซงึ่ ผเู้ ขยี นไดส้ อดแทรกความเชอ่ื ของคนไทยเกย่ี วกบั ตน้ ไมใ้ หญท่ ท่ี า� ให ้ “ฉนั ” ไมถ่ กู ทา� ลาย เรื่องสัน้ ตามแนวทางที่ไดเ รยี นมา จากน้นั แตผ่ ู้เขยี นก็ทง้ิ ประเดน็ ไว้ใหผ้ อู้ ่านขบคดิ วา่ ตน้ ไมจ้ ะมีความสุขจริงหรือไม ่ บันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เนื้อเร่ืองเร่ิมต้นโดย “ฉัน” ซึ่งเป็นต้นไม้เล่าเร่ืองราวของตนเองที่อยู่ในป่าอย่างมีความสุข แต่เม่ือความเจริญเดินทางมาถึง ต้นไม้ท้ังหมดก็ต้องหลีกทาง มนุษย์เลือกความเจริญมากกว่า ตรวจสอบผล Evaluate ธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามค่านิยม ความเช่ือของมนุษย์ซึ่งเกิดจากความกลัว ว่าถ้าท�าลาย ตน้ ไมใ้ หญจ่ ะมสี ิ่งไม่ดเี กิดข้นึ ท�าให้ “ฉัน” ไม่ถูกทา� ลาย 1. นักเรียนสามารถวิเคราะหเร่ืองส้นั ได ผู้แต่งก�าหนดให้ “ฉัน” เป็นตัวละครเอก และมีตัวละครเพียงตัวเดียว เป็นศูนย์กลางของ 2. นักเรยี นสามารถยกตัวอยา งเรือ่ งสน้ั ได เรื่องทั้งหมด เล่าเรื่องตามล�าดับเวลา เหตุการณ์ก่อน-หลัง มุ่งถ่ายทอดภาพชีวิต ความคิด ความรสู้ กึ ของตน้ ไมท้ เ่ี ฝา้ มองการกระทา� ของมนษุ ยท์ ไ่ี มว่ า่ จะตดั ตน้ ไม ้ หรอื ทา� ลายอยา่ งไรกไ็ มอ่ าจ หลีกหนไี ด้ มนษุ ย์ท�าราวกบั วา่ เปน็ เจา้ ของธรรมชาติ เรอ่ื ง “ฉนั คอื ตน้ ไม”้ มฉี ากทน่ี า่ สนใจคอื “ปา่ ลกึ ” ซงึ่ เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ของ “ฉนั ” กบั เพอ่ื นสตั ว์ ตา่ งๆ ทอ่ี ยกู่ นั แบบถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั ผเู้ ขยี นใชถ้ อ้ ยคา� ไมซ่ บั ซอ้ น กระชบั ใหภ้ าพชดั เจน แมจ้ ะไมม่ ี บทสนทนา แต่การบรรยายฉาก ท�าใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ วา่ “ฉัน” กา� ลงั สนทนากบั ผอู้ า่ น จากโครงเร่ืองที่ผู้เขียนวางไว้อย่างเหมาะสม คือ ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นเร่ืองที่มุ่งสื่อสาร แนวคิดกับเยาวชน ผ่านการใช้ภาษาที่เรียบง่าย กระชับ ให้ภาพชัดเจน ท�าให้เกิดความรู้สึก เขา้ ใจ เห็นใจ “ฉัน” จากทีเ่ คยอยอู่ ย่างมีความสขุ ในป่าลกึ เม่อื ความเจริญเข้ามาแลว้ มนษุ ยเ์ ลือก ความเจรญิ ท�าใหต้ ้นไมบ้ างส่วนถกู ท�าลาย เหลอื เพียง “ฉัน” ท่ียงั ยืนตน้ อยดู่ ้วยความเชอ่ื ค่านยิ ม ของมนุษย์ เมื่อวิเคราะห์โดยมองในมุมของต้นไม้ ความเช่ือน้ีอาจไม่ได้สร้างความสุขให้แก่ ต้นไม้เลย เพราะถ้าต้นไมม้ อี วยั วะที่ใชเ้ ดินได ้ ต้นไมก้ ็คงจะเดินหนไี ปเสยี จากตรงน้ี สิง่ ท่ไี ดร้ ับจาก การอา่ นเรอื่ งสนั้ น ้ี คอื มนษุ ยไ์ มค่ วรคดิ วา่ ตนเปน็ เจา้ ของทกุ สรรพสงิ่ ไมค่ วรมองเฉพาะผลประโยชน์ ของตน แต่จะต้องอยู่ร่วมกับทุกสรรพส่ิงแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เหมือนท่ีธรรมชาติอยู่ร่วมกัน เพราะธรรมชาตไิ มเ่ คยท�ารา้ ยมนุษย์ 28 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ฉนั ยงั ไมเขาใจการกระทาํ ของมนุษยเลย ฉนั เบ่อื ฉนั รําคาญตอ ส่ิงแวดลอม ครคู วรสอดแทรกเรื่องเลา และเกร็ดความเชื่อทีป่ รากฏในเร่ืองสัน้ ใหแกผ ูเรียน เชน ที่เกดิ ขนึ้ ใหม มองลงไปในลําธารนํา้ ก็ไมใสสะอาดเหมือนกอน ฝุนก็มาก ใบ การหม ผาแดงใหก บั ตน ไมน้นั เปนประเพณกี ารหม ผา แดงมีทีม่ าตัง้ แตส มยั พทุ ธกาล และกงิ่ กา นของฉนั สกปรกไปดว ยฝุนละอองทง้ั วนั เลา กนั วา หลังจากท่พี ระพุทธเจา ตรสั รูไ ด 3 พรรษา กไ็ ดเ กิดความเดือดรอ นวุนวาย ขอใดคอื ประโยคใจความสําคญั ของขอความขา งตน เกดิ ภยั พบิ ัติตางๆ ข้นึ ท่ีเมืองเวสาลี โจรผรู า ยเขนฆา ชาวเมือง ผูคนลมตายไปเปน 1. ฉนั ราํ คาญตอส่ิงแวดลอ มทเ่ี กดิ ขึ้นใหม จาํ นวนมาก แตเมอ่ื พระพทุ ธเจา เสด็จไปโปรด ความเดอื ดรอ นเหลาน้ันกห็ มดส้นิ ไป 2. ฉันยงั ไมเ ขา ใจการกระทําของมนษุ ยเ ลย ชาวบานชาวเมืองตา งก็สรรเสรญิ พระองคเ ปนการใหญ แตพระองคตรัสวา ท่เี ปน เชน นี้ 3. มองลงไปในลาํ ธารนาํ้ ก็ไมใสสะอาดเหมือนกอ น มิใชค วามอัศจรรย แตเปน เพราะอานุภาพแหง บุญบารมีท่พี ระองคเคยเอาผา ประดบั 4. ใบและกงิ่ กา นของฉันสกปรกไปดว ยฝุนละอองทั้งวนั บชู าเจดียในอดีตชาติ ความเช่ือน้จี งึ สืบทอดมาถงึ ปจจุบนั พุทธศาสนกิ ชนจงึ นาํ เอา วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ฉนั ยงั ไมเ ขา ใจการกระทําของมนษุ ยเ ลย ผืนผาสีแดงมาหมคลุมใหองคพ ระเจดีย โดยหวังใหชีวิตในชาติหนาของตัวเองมคี วาม เปนประโยคใจความสาํ คญั ของขอความขางตน สว นขอ อน่ื ๆ เปนสว นขยาย สงบรมเย็น การหมผาแดงใหตน ไมท เ่ี คารพจงึ ใชว ธิ กี ารหมผาแดงเปน การเลยี นแบบ ของประโยคทวี่ า ฉนั ยังไมเ ขา ใจการกระทําของมนุษย มาจากการหมผาองคเ จดยี 28 คมู ือครู
กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. การอา่ นสอ่ื ส่งิ พมิ พ์ประเภทนวนยิ าย ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปนี้ • นกั เรยี นเคยอานนวนิยายเรือ่ งใดบาง และ นวนิยายแปลตามศัพท์ว่า “นิยายใหม่” มาจากค�าว่า novel เป็นงานเขียนร้อยแก้วท่ีให้ ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน มีคนให้ค�าจ�ากัดความของนวนิยายไว้ต่างๆ กัน แต่ที่ชัดเจนและง่ายที่สุด นักเรียนประทับใจนวนิยายเรอ่ื งใดมากทสี่ ดุ คือ ม.ล. บุญเหลอื เทพยสวุ รรณ ไดอ้ ธบิ ายไวอ้ ยา่ งสัน้ ๆ ว่า (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง “ธรรมชาติของนวนิยายน้ัน อย่างที่หน่ึงคือเป็นเรื่องแต่ง มีตัวละคร มักใช้กลวิธีท่ีท�าให ้ หลากหลายขนึ้ อยกู บั ประสบการณ ผู้อ่านแลเห็นได้ง่ายว่าไม่ใช่เร่ืองจริง เป็นเรื่องสมมติ แม้จะแต่งเร่ืองของบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงๆ ของนกั เรยี น) ก็จะท�าให้คนอ่านรู้ว่าไม่ได้เขียนเรื่องจริง แต่วิธีเจรจาของตัวละครในเรื่องจะเลียนแบบชีวิตจริง • นักเรยี นคิดวา นวนยิ ายกบั เรือ่ งสัน้ มคี วาม มากท่ีสุด วิธีเจรจาหรือการสนทนาของตัวละครนิยมให้เป็นไปตามฐานะ ตามวัย และพยายาม เหมอื นและความแตกตา งกนั หรือไม อยางไร วาดภาพให้เห็นอาการกิรยิ าของตวั ละครใหช้ ัด ซึ่งเปน็ สว่ นหนึง่ ในการช่วยดา� เนนิ เรอ่ื ง” (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอ ยา ง ๑) องคป์ ระกอบของนวนยิ าย นวนยิ ายเปน็ เรอื่ งเลา่ รอ้ ยแกว้ ทย่ี ดึ หลกั ความจรงิ กลา่ วคอื หลากหลายขึน้ อยูกบั เหตผุ ลของนักเรยี น) เขียนให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเท่าท่ีจะสามารถท�าได้ แต่ไม่ได้พยายามแสดงให้เห็นว่าเป็น เรื่องท่ีเกิดขึ้นจริงเป็นเพียงเร่ืองแต่งข้ึนเท่าน้ัน องค์ประกอบส�าคัญของนวนิยายท่ีจะท�าให้ผู้อ่าน สาํ รวจคน หา Explore เกดิ ความบนั เทงิ มดี งั นี้ ๑.๑) โครงเรื่อง เป็นเค้าโครงของพฤติกรรมต่างๆ นวนิยายแต่ละเรื่องจะมีโครงเรื่อง นกั เรยี นสืบคนความหมาย องคป ระกอบของ ใหญ่และโครงเรื่องย่อย โครงเรื่องใหญ่ หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวพันกับปัญหาความขัดแย้งท่ีส�าคัญ นวนิยาย และแนวทางการอา นนวนยิ าย ของตัวละครเอก โครงเรื่องย่อย คอื เร่อื งท่ีแทรกอยู่ในโครงเรอ่ื งใหญ่ มคี วามส�าคญั นอ้ ย แต่เสริม ให้เรื่องสนุกสนานขึ้น ในโครงเร่ืองจะมีส่วนประกอบที่ส�าคัญอยู่ ๒ ประการ คือ พฤติกรรมท่ี อธบิ ายความรู Explain เป็นการกระท�าของตัวละครในเรื่องและความขัดแย้งในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ความขัดแย้ง ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนภายใน 1. นกั เรียนจัดกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน พรอม ตนเอง เปน็ ตน้ รวมกันแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ จากประเด็น ๑.๒) แก่นเรื่องหรือความคิดหลัก คือ จุดส�าคัญของเรื่องท่ีจะเช่ือมโยงเรื่องท้ังหมด คาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี เข้าด้วยกัน เพื่อส่ือความคิดของผู้แต่ง แก่นเรื่องมีหลายแนวทาง เช่น แนวแสดงทรรศนะ • นกั เรยี นบอกความหมายของนวนิยาย เป็นแนวท่ีผู้เขียนเสนอความคิดเห็นต่อส่ิงหนึ่งส่ิงใด เช่น ความแค้น ความหึงหวง ความกลัว พรอ มเปรยี บเทยี บวา นวนยิ ายและเร่อื งสั้น แนวแสดงพฤติกรรม เป็นแนวท่ีผู้เขียนเน้นพฤติกรรมของตัวละคร เช่น พฤติกรรมตอบแทน มีลักษณะรว มและลกั ษณะเฉพาะอยางไร บุญคณุ ตลอดทั้งเรอื่ ง (แนวตอบ นวนยิ าย หมายถึง งานบันเทิงคดี ๑.๓) ตัวละคร คือ ผู้ท่ีมีบทบาทในเร่ือง จะต้องเหมือนมนุษย์หรือเทียบเท่า มีชีวิต ประเภทหน่งึ มลี กั ษณะเปน เร่อื งเลา รอยแกว จิตใจ แสดงอารมณ์ บทบาท ค�าพูด และมปี ฏิกริ ิยาเช่นคนจรงิ ๆ พฤติกรรมทต่ี วั ละครแสดงออก ทย่ี ดึ ความสมจรงิ ของเรอื่ งเปน เกณฑ ต้องน่าเชอื่ ถือ พิจารณา ซง่ึ ถอื เปนลกั ษณะรวมกบั เรื่องสั้น สวนลกั ษณะเฉพาะทม่ี ีความแตกตา งจาก 29 เรอื่ งส้นั คือ นวนยิ ายมีขนาดยาวกวา เร่ืองส้ัน สงผลใหม ีองคป ระกอบทม่ี คี วาม ซับซอนมากกวา เรือ่ งสั้น) 2. ครูสุม นกั เรียนแตล ะกลุมออกมานาํ เสนอ หนาช้นั เรยี น ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับแนวคิดที่ไดจ ากการอา น ครูผูสอนควรเพ่มิ เตมิ และใหรายละเอยี ดเรอื่ งการสรา งปมขดั แยงของตัวละคร ขอใดเปนแนวคิดของขอความตอ ไปนี้ ความขดั แยง เปนองคป ระกอบสําคัญของโครงเรื่อง เพราะความขดั แยงเปน เหตุสาํ คัญ ไมส าํ คญั หรอกวาชวี ิตน้เี คยลม หรอื ไมเ คยลม แตอ ยทู ่วี าสามารถลุกขน้ึ ท่ีทําใหเ กิดเหตกุ ารณต างๆ ขึ้น นวนยิ าย เรื่องสนั้ รวมถึงบทละครทไี่ มม ีความขัดแยง ถอื เปนงานเขยี นท่ีไมมโี ครงเรอื่ ง การเขยี นหรือแตง บทประพนั ธประเภทน้จี ึงกําหนด ไดทุกครง้ั ทลี่ ม หรอื ไม บางคนเพราะลมจงึ ไดรขู อ ผดิ พลาด แลว นาํ จุดที่เคย ใหม คี วามขดั แยง เกิดขน้ึ เสมอ ย่งิ ความขดั แยง มคี วามซับซอ น จะยงิ่ ทําใหการดาํ เนนิ พลาดพลงั้ นน้ั มาทาํ กําไรใหชีวิตในอนาคต จนลุกขึ้นยนื ไดอีกคร้งั เรอ่ื งมคี วามนาสนใจมากยง่ิ ขึน้ ความขดั แยงที่เปนสว นประกอบของโครงเรอ่ื งจะมี 4 ประเภท มอี งคป ระกอบ ดงั ตอ ไปนี้ 1. ความขดั แยง ระหวางมนษุ ยก ับธรรมชาติ ความ 1. ทุกคนลวนแตเคยสมหวังและผิดหวังในชวี ิตมาแลว ขัดแยง ลกั ษณะน้เี ปนการกาํ หนดใหต ัวละครตองตอสูก ับธรรมชาติ หรือความขัดแยง 2. การยอมแพอ ปุ สรรคยอ มไมกอใหเกดิ ประโยชนอ ะไร ระหวางมนุษยก บั โชคชะตา อาจมที ้งั ดา นดแี ละดานราย 2. ความขดั แยง ระหวางมนษุ ย 3. การนําขอผิดพลาดมาเปนบทเรียนทาํ ใหช ีวิตประสบความสําเร็จได กับสงั คมท่ีมนุษยอ าศยั อยู 3. ความขัดแยงระหวา งมนษุ ยก บั มนุษย คอื ความขัดแยง 4. การฟน ฟูกจิ การที่ลมเหลวใหไดก าํ ไรไมใ ชเ ร่ืองเหลือวสิ ัยทจี่ ะกระทํา ระหวางตัวละครกบั ตวั ละคร 4. ความขดั แยง ระหวา งมนษุ ยกบั ตนเอง อาจเปน ความ ขดั แยง ทางกายภาพ เชน ความพกิ าร หรอื ความขดั แยง ภายในใจของตนเอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การนาํ ขอผดิ พลาดมาเปน บทเรยี นทาํ ให ชวี ิตประสบความสาํ เรจ็ ได เปน แนวคดิ ของขอ ความ ซ่งึ สื่อไดตรงกบั ขอ ความ ในขา งตน ที่วา “แลวนาํ จดุ ท่เี คยพลาดพลัง้ น้นั มาทาํ กาํ ไรใหช วี ิตในอนาคต” คมู อื ครู 29
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. สมาชกิ ภายในกลุม รว มกนั แสดงความคิดเห็น ตัวละครสา� คัญในเรื่องเรยี กว่า ตัวละครเอก1ตวั ละครอื่นเป็นตัวประกอบ2วิธีแสดงลักษณะ ดังตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา ความแตกตา งดา นขนาดของ นิสัยของตัวละครอาจท�าได้หลายวิธี เช่น ผู้แต่งบรรยายนิสัยของตัวละครเองจากการสังเกต เรอ่ื งระหวางเรอื่ งสน้ั และนวนิยาย สงผลตอ เนอ้ื หาทมี่ ีความซับซอ น ตลอดจนกลวิธีทาง ภายนอก หรืออธิบายความคิด ความรู้สึกภายในจิตใจของตัวละคร บางคร้ังอาจใช้วิธีท่ีตัวละคร วรรณศลิ ปของนวนิยายหรือไม อยา งไร (แนวตอบ ขนาดของเรอ่ื งมีผลตอ เนอ้ื หาและ แสดงตัวตนดว้ ยคา� พูดและพฤตกิ รรม หรอื ใชว้ ธิ ีกลา่ วถงึ ปฏกิ ริ ิยาของตัวละครอืน่ ๆ ทม่ี ตี อ่ ตัวละคร การดําเนนิ เรือ่ งของนวนิยาย เน่อื งจากความ ซับซอนของเน้อื หา การดําเนินเรื่อง และ คเตชวัือน่ นน้ัตนัวสิเลพัยะือ่รค่าเรปเทรน็ งิี่มเคีมนริตสิ ื่อิเยั งดเชียศี้ววรา่ า้3เสเปปรน็ ็น้อบยตคุ ัวเคลปละน็ เคชตรน่้นทใี่มดอีลกีโักดปษยรณทะเัว่ะภนไทปิสหแัยลนปว้่งึรตเะปวัจน็ล�าตหะคัวรรลือใะแนคสนรดวทงนม่ีนิยีหิสาลัยยาดแย้าบมน่งิตเเดปิ4ียโ็นดวยต๒มลปีลอรกัดะษเเรภณื่อทงะ มิตขิ องตัวละคร สงผลตอ ความเขม ขนของ เนอื้ หา และคณุ คาทางวรรณศิลป) นิสยั หลายอย่างเปลย่ี นไปตามเหตกุ ารณแ์ ละสง่ิ แวดล้อม อยา่ งไรก็ตาม ตวั ละครที่ดตี ้องมีลกั ษณะ • นักเรียนคดิ วา องคประกอบดานโครงเร่ือง และแกน เรอ่ื งของนวนิยายมีความแตกตา ง สมจรงิ จากองคประกอบของเร่อื งส้ันอยางไร ผูอ า น ๑.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉาก คอื ข้อเทจ็ จริงเก่ยี วกับสงิ่ ต่างๆ ทีป่ รากฏในเนอื้ เรอื่ ง มีวธิ พี จิ ารณาองคประกอบแตล ะสว นอยางไร บอกให้รู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดที่ใด การใช้ฉากท่ีมีจริงและเป็นท่ีรู้จักย่อมท�าให้เรื่องมีความสมจริง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดโดย มากขึ้น ฉากที่ดีควรสอดคล้องกับเน้ือเรื่องและช่วยสร้างบรรยากาศ นอกจากนี้ควรถูกต้อง พิจารณาองคป ระกอบในแตล ะสวน ไดดงั นี้ ตามสภาพความเปน็ จรงิ ฉากทมี่ คี วามถกู ตอ้ งตามสภาพภมู ศิ าสตรแ์ ละเหตกุ ารณ์ในประวตั ศิ าสตร์ 1. โครงเร่ือง เน่ืองจากนวนยิ ายมขี นาดยาว ช่วยส่งเสริมนวนิยายเรื่องนั้นให้มีคุณค่าเพ่ิมข้ึนเป็นอย่างมาก ในทางตรงกันข้ามจุดอ่อนของ โครงเรอ่ื งของนวนิยายจงึ มลี ักษณะซอ นกนั ฉากบางเร่ืองท�าให้คุณค่าของเรื่องด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย ผู้แต่งที่ประณีตจึงเอาใจใส่ต่อความ ระหวางโครงเรอื่ งหลัก ซ่งึ เปนความขัดแยง ถกู ตอ้ งของฉาก ของตัวละครเอก และโครงเร่ืองยอ ยทแ่ี ทรกใน ๑.๕) บทสนทนา คือ การโต้ตอบระหว่างตัวละคร บทสนทนาจะต้องช่วยสร้างความ เนอ้ื หา สง ผลใหก ารดําเนินเรอื่ งมีความ สมจริง เป็นธรรมชาติ คล้ายคลึงกับชีวิตจริงและต้องเหมาะสมกับบุคลิกลักษณะของตัวละคร เขม ขน มากขน้ึ 2. แกน เรอื่ ง เปน จดุ สาํ คญั และ แตล่ ะตัว จดุ เชอื่ มโยงเรือ่ งท้งั หมด มแี นวทางในการ พิจารณาแกนเรื่อง คอื ทรรศนะของผูเขียน ลักษณะบทสนทนาที่ดี ควรช่วยให้เนื้อเร่ืองคืบหน้าไป ท�าให้เห็นลักษณะนิสัยของ และพฤตกิ รรมของตัวละคร) ตัวละครชัดเจน และช่วยให้เห็นสภาพสังคม ประเพณี วัฒนธรรม การศึกษา การปกครอง สภาพเศรษฐกิจและอ่ืนๆ ประกอบไปด้วย ดังน้ัน บทสนทนาจึงเป็นส่วนประกอบที่ท�าให้ผู้อ่าน 2. ครูสุมนกั เรียนแตล ะกลมุ ออกมานาํ เสนอ เข้าใจเร่ืองราวพฤติกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น การอ่านนวนิยายจะเห็นว่าบทสนทนาจะแยกออกจาก หนา ชน้ั เรียน บทบรรยายหรือบทพรรณนา ๑.๖) ทรรศนะของผูแ้ ตง่ คอื ขอ้ คิดเหน็ ของผแู้ ต่งทต่ี อ้ งการเสนอตอ่ ผู้อ่าน ส่วนใหญ่ เสนอผา่ นตวั ละครในเรือ่ ง เช่น “ดอกไมส้ ด” เสนอทรรศนะเกี่ยวกับผู้ดีในนวนยิ ายเรอื่ ง สามชาย ว่าผดู้ ีท่แี ทจ้ รงิ คือ ผ้ทู ีย่ ังคงมีความประพฤติดี ไมว่ ่าจะตกตา�่ หรอื ยากจนเพยี งใด เปน็ ตน้ ๑.๗) ท่วงท�านองแต่งหรือกลวิธี คือ ลักษณะวิธีการของผู้แต่งท่ีจะแสดงความคิด ความรู้สึก เพื่อให้เนื้อเร่ืองด�าเนนิ ไปตามโครงเร่ืองทผ่ี ูกไว้ รวมไปถึงการเลอื กใช้สา� นวนภาษา 30 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดไมใช ประเด็นทต่ี อ งพจิ ารณาในการอานเพือ่ ใหท ราบเรอื่ งราว 1 ตวั ละครเอก คือ ตวั ละครที่มบี ทบาทสําคญั ในการดําเนินเร่อื ง หรอื เหตกุ ารณ 1. ตัวละครในเร่ืองคอื ใครบาง และมลี ักษณะนิสัยอยา งไร ตา งๆ ของเร่ือง บคุ คลที่มีความสาํ คญั ของเรือ่ ง มกั ถกู เรยี กวาตัวละครหลักของเรื่อง 2. บทสนทนาของตวั ละครในเร่ืองมีลักษณะเดน อยา งไร 2 ตวั ประกอบ หรือตวั ละครประกอบ คอื ตวั ละครซงึ่ มบี ทบาทในฐานะ 3. การกระทาํ ของตัวละครทาํ ใหเ กิดผลอะไรตามมา สว นประกอบของการดาํ เนินเร่อื งเทานน้ั แตจะตอ งมีการกระทําอยางตอเนือ่ งหรือ 4. ตวั ละครแตล ะตวั ไดกระทําสิ่งใดบา ง เกีย่ วพันกบั ตวั ละครเอก เพือ่ ใหเ รือ่ งดําเนินไปสเู ปาหมาย โดยอาจเปน การกระทําทมี่ ี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. บทสนทนาของตวั ละครในเรื่องมีลกั ษณะ บทบาทสนับสนุนหรือขดั แยง กบั ตวั ละครเอกก็ได เดนอยางไร เปนส่งิ ท่ีชว ยส่ือลกั ษณะนิสยั ของตัวละคร เปนกลวธิ ีที่ทําใหเ ร่อื ง 3 ตัวละครที่มมี ิติเดยี ว เรยี กอีกอยา งวา ตวั ละครทม่ี ลี ักษณะแบน เปนตัวละครที่ นาติดตาม แตไ มใ ชป ระเดน็ คําถามในการอานเพอื่ ทําใหทราบเรอื่ งราว มีความรูส กึ นกึ คิดเพยี งดานเดียว ไมวา เกดิ ปมปญ หาใดกจ็ ะแสดงพฤติกรรม โดยตลอด เพราะบทสนทนาเกยี่ วของกบั การใชภ าษาทีจ่ ะชวยสรางอรรถรส เหมือนเดิม อาทิ เปน คนดี เม่ือมีใครมาทํารา ยก็ยงั กระทาํ พฤติกรรมเชน เดิม ทาํ ใหเ รอื่ งมคี วามสนุกสนาน และสมจรงิ ยง่ิ ขึ้น 4 ตัวละครทีม่ ีหลายมิติ เรยี กอีกอยางวา ตวั ละครที่มีลักษณะกลม มนี ิสัยและ ความคดิ เปลี่ยนแปลงไปตามปมปญหาที่เกดิ ขน้ึ มกี ารพัฒนาการทางดานความคดิ และอารมณ 30 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) แนวทางในการอ่านนวนิยาย คนส่วนใหญ่เมื่อหยิบนวนิยายขึ้นมาอ่านก็มุ่งหวัง 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ความเพลิดเพลินเป็นหลัก ไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาอย่างจริงจัง แต่นวนิยายเป็นเร่ืองของชีวิต การ ดังตอไปนี้ อ่านนวนิยายแลว้ นา� มาพินิจพจิ ารณาแม้เพยี งเล็กน้อย ย่อมจะให้แงค่ ดิ หรือบทเรยี นแก่ผูอ้ า่ นบา้ ง • นกั เรยี นคิดวา ตวั ละครในนวนิยายมคี วาม การพจิ ารณานวนิยายจะต้องน�าองค์ประกอบของนวนยิ ายมาเป็นเกณฑ์ ดงั นี้ สาํ คญั อยา งไร ๒.๑) เนอ้ื เรื่อง โครงเร่ือง และแก่นเร่ือง เม่ืออ่านนวนิยายเรื่องใดแล้วควรจะเล่า (แนวตอบ มีความสาํ คญั ในฐานะท่ีทําหนา ท่ี เรือ่ งย่อได้ บอกได้ว่าใชก้ ลวธิ อี ะไรบ้างในการดา� เนนิ เร่อื ง และรู้ว่าแก่นหรอื แนวคดิ หลกั ของเร่ือง ดาํ เนนิ เรือ่ ง และสรางความสมจรงิ ) คอื อะไร โครงเร่ืองต่อเน่อื งสัมพนั ธก์ นั หรือไม่ • นักเรียนคดิ วา ตัวละครในนวนยิ ายมคี วาม ๒.๒) ตัวละคร ผูอ้ ่านตอ้ งอธิบายได้วา่ ตวั ละครตัวใดเปน็ ตัวเอก มีลักษณะนสิ ัยอย่างไร แตกตางจากตัวละครในเรื่องสัน้ อยา งไรและ เพราะเหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั หรอื อะไรคอื สาเหตขุ องพฤตกิ รรม และตวั ละครแตล่ ะตวั สรา้ งไดส้ มจรงิ ตัวละครท่ีเหมาะสมในการดาํ เนินเร่ืองควร หรือไม่ มีลักษณะอยา งไร ๒.๓) ฉากและบรรยากาศ ผู้แตง่ จะกลา่ วถงึ สถานที่ ชว่ งเวลา เหตกุ ารณ์ ภูมิประเทศ (แนวตอบ ตวั ละครที่เหมาะสมควรมีลกั ษณะ หรอื บรรยากาศใดๆ กต็ าม ผอู้ า่ นตอ้ งพจิ ารณาความสมจรงิ และความถกู ตอ้ งตรงกบั ชว่ งเวลา หรอื สมจรงิ ทัง้ จติ ใจ อารมณ บทบาท บทสนทนา สภาพการณ์ในเรอ่ื งน้นั ตลอดจนพิจารณาวา่ ฉากและบรรยากาศมีอทิ ธิพลตอ่ ตวั ละครหรือไม่ การดําเนนิ พฤตกิ รรมอยา งสมเหตุสมผล ๒.๔) บทสนทนา สา� นวนภาษา และกลวธิ ใี นการแตง่ นวนยิ ายควรใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกบั นวนยิ ายจะมีตัวละครที่มีความซบั ซอนของ ตัวละคร เช่น วัย การอบรม และยุคสมัย เพ่ือจะได้แสดงบุคลิกกับลักษณะของตัวละครได้ พฤตกิ รรมมากกวา เร่ืองสน้ั เนอื่ งจากมกี าร และควรแยกคา� บรรยายกบั ค�าเจรจาหรอื สา� นวนภาษาของตัวละครใหเ้ ห็นเด่นชัด ดําเนินเรอ่ื งขนาดยาว ผอู านจงึ สามารถ ทาํ ความเขาใจตัวละครไดอ ยางลึกซ้ึง) ในแง่ของกลวิธีที่จะน�าเสนอเรื่องให้มีความน่าสนใจ พิจารณาว่าผู้แต่งเลือกใช้ • นักเรยี นคดิ วา บทสนทนามคี วามสําคัญตอ เหมาะสมหรือไม่ เช่น อาจเดินเรื่องสลับไปสลับมา เล่าเหตุการณ์ต่างสถานที่ในเวลาเดียวกัน การพิจารณานวนยิ ายอยา งไร ผแู้ ตง่ บรรยายเร่ืองเองทงั้ หมด เปน็ ตน้ (แนวตอบ บทสนทนาโตตอบสามารถสราง ๒.๕) ทรรศนะของผู้แต่ง การมองหาทรรศนะของผู้แต่งต้องมองจากส่วนต่างๆ ของ ความสมจริงของตัวละครใหเ ปน ธรรมชาติ นวนิยาย เช่น จากค�าพูดของตัวละคร จากวิธีการที่ผู้แต่งบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ จากทรรศนะ เหมาะกบั บุคลิกของตวั ละคร ชวยสรางความ ของตวั เอก เป็นตน้ เขา ใจเนอ้ื เร่อื ง พฤติกรรม ลักษณะนสิ ยั ของตวั ละคร และสะทอนสภาพสงั คมและ ผู้แต่งนวนิยายแฝงทรรศนะไว้มากเพียงใด ผู้อ่านก็ต้องพิจารณาให้มากขึ้น บางคร้ัง วฒั นธรรมซึง่ สอดคลอ งกับฉากในเร่อื งได อาจรางเลือนจนต้องอ่านงานของผู้แต่งคนนั้นหลายๆ เร่ืองก็มี อย่างไรก็ตามนักอ่านที่ดีน่าจะ เปนอยางดี) ลองพิจารณาว่า นวนิยายเร่ืองท่ีตนอ่านอยู่นี้ ผู้แต่งแฝงทรรศนะหรือปรัชญาไว้หรือไม่และ ทรรศนะนนั้ คืออะไร 2. ครูสมุ นักเรยี นแตล ะกลมุ ออกมานาํ เสนอ หนา ชนั้ เรียน กจิ กรรมสรา งเสรมิ 31 นักเรียนศกึ ษาแนวทางในการอานนวนยิ ายจากแหลง เรยี นรูอ ่นื เพม่ิ เตมิ เกร็ดแนะครู เชน เวบ็ ไซต ตําราการวิจารณว รรณกรรม เปน ตน จากนั้นใหนกั เรียนสรปุ องคประกอบของนวนยิ ายเปน ผงั มโนทศั น จากนนั้ บนั ทึกสง ครู ครูควรเพิ่มเติมความรเู ก่ียวกับลักษณะและความสําคัญของตัวละครในนวนิยาย การสรางตวั ละครในนวนยิ ายน้นั ผเู ขียนจะสมมติใหต วั ละครเปนส่ิงใดกไ็ ด ไมวา จะ กิจกรรมทา ทาย เปน คน สตั ว สิง่ ของ เทวดา เปน ตน แนวทางในการสรา งตวั ละครในงานบันเทงิ คดี มี 4 ลักษณะ ซึ่งนักเรียนสามารถนําลกั ษณะหรือแนวทางการสรา งตัวละครไป นกั เรยี นศึกษาแนวทางในการอา นนวนยิ ายจากแหลง เรียนรูอ น่ื เพิ่มเตมิ ประยกุ ตในการวิเคราะหง านเขยี นประเภทบนั เทิงคดไี ด โดยแนวทางการสรา ง เชน เว็บไซต ตาํ ราการวจิ ารณว รรณกรรม เปนตน จากนน้ั นกั เรียนเลอื ก ตวั ละคร มี 4 แนวทาง ดงั น้ี 1. ตัวละครตองสรา งอยา งสมจริง คือ สรางตัวละคร นวนยิ ายที่นกั เรียนประทับใจ บอกเหตุผล และเขียนวิเคราะหแ ยก ใหมลี กั ษณะพฤติกรรมตามธรรมชาติ ดงั นน้ั ผูเขยี นจึงตองทราบวา ลักษณะโดย องคป ระกอบของนวนยิ ายท่ีนักเรียนเลอื ก จากนัน้ บนั ทึกสงครู ธรรมชาติของพฤตกิ รรมตวั ละครน้ันเปนอยางไร 2. สรา งตามอดุ มคติ เปนการสรา ง ตัวละครตามลกั ษณะที่คนท่ัวไปคาดหวัง โดยใชอดุ มการณ ความศรัทธา รวมถงึ ระบบคา นิยม ดังนัน้ ตวั ละครในแบบอดุ มคติจึงมักดีงามเกนิ บคุ คลธรรมดาสามญั จนขาดความสมจริงไป 3. สรา งตวั ละครแบบเหนือจริง เชน ตัวละครมีพลังวเิ ศษ เหนอื มนุษย เปนตน 4. สรางโดยใชต ัวละครแบบฉบับ คือ สรางตัวละครใหมีลกั ษณะ คงท่ที ง้ั อารมณและพฤติกรรม คมู ือครู 31
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นกั เรียนนับ 1-9 เรยี งลําดับตอ ไปเรื่อยๆ ตัวอยา่ ง นวนิยาย บึงหญา้ ปา่ ใหญ่ ใหน ักเรียนแบง กลุม ออกเปน 9 กลมุ ตามตวั เลข จากนั้นศึกษานวนิยายเร่อื ง บึงหญา ปาใหญ ยา่ งเขา้ ฤดูฝน ต้นอะไรๆ กพ็ ากันรีบงอก แตกใบออ่ นๆ ออกมาจนดนิ ไมม่ ีทวี่ า่ ง หลังจากฝน หนา 31-36 ภายในระยะเวลา 20 นาที แบง ตาม สาดซัดพื้น ปลุกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่นอนฝังดินให้ต่ืน มาโป่งหน่อแตกใบ ทุกหนทุกแห่งเต็มไป กลุมได ดังน้ี ด้วยลูกพืชแย่งกันขึ้น พวกลูกมะขามเทศ ทั้งมะขามเปรี้ยวก็เขียวพรึ่บเป็นลานอยู่เต็มใต้ต้นแม่ ของมัน ต่างพากันหย่ังรากใสๆ ลงไปให้ลึกตอนท่ีดินยังอ่อนนุ่มอยู่ด้วยน้�าฝน แล้วม้วนตัวอายๆ • กลุมท่ี 1 เลาเร่ืองยอ ขน้ึ มาชูเมด็ เปดิ เหมอื นปีก • กลุมที่ 2 ช่ือเรอ่ื ง พวกเถาวลั ยท์ ่ีชตู ้นตรงกบั เขาไมเ่ ปน็ กเ็ ลือ้ ยทอดยอดออกไปไมย่ อมหยุด อยากให้แมลงปอ • กลมุ ท่ี 3 โครงเร่อื ง เกาะ ทุกข้อแตกใบไม่บกไม่พร่อง เข้าคลุกกิ่งไม้แห้งและต้นไม้ตาย ให้ดูเป็นพุ่มสีเขียวคืนกลับ • กลุมท่ี 4 แกน เร่อื ง มชี วี ติ ชวี าขนึ้ มาใหม่ • กลมุ ท่ี 5 ตวั ละคร ทั้งต้นหญ้าและป่าใหญ่ต่างฟูหนีแผ่นดิน ขยับสูงขึ้นไปๆ เช้าวันน้ีตลอดฝั่งแควที่ไหลเอ่ือย • กลุมท่ี 6 ฉากและบรรยากาศ ล้วนแล้วแต่ต้นไม้ขนาดโอบไม่รอบ ข้ึนอยู่มากต้นจนเดินหลีกไม่พ้น ท�าให้ทางเล็กๆ ริมฝั่งต้อง • กลุมท่ี 7 บทสนทนา คดโค้งอ้อมไปมา พากันยืนสงบ รอคอยแสงแดดอุ่น อยากอวดใบใหม่ที่ก�าลังเติบโตใบเต็มและ • กลุมที่ 8 ทรรศนะของผแู ตง ยังไมม่ ีรูพรุน ด้วยว่าเดอื นนี้ใบไม้ชา่ งมากมายเสียจนแมลงลืมกนิ • กลุมที่ 9 ทวงทํานองการแตง แผ่นดนิ ทง้ั หมูบ่ ้านกา� ลังอิม่ เอิบ ใจผมเต้นกระทบอก นกเป็นร้อยๆ เริ่มรอ้ งเพลงเพรยี กอยู่ตามยอดไม้ทีแ่ ดดออ่ นค่อยๆ ส่องมาแล้ว มนั เกาะอยู่ อธบิ ายความรู Explain ตามปลายก่ิงที่ผลหวานๆ ชอบมาเกิด พากันกระพือปีกริกๆ โผบินข้ึนไปแล้วกลับลงเกาะ เริงโลด กระโดดเต้นอยูก่ บั การขยับกลับตัว แลว้ กเ็ อยี งหัวลงดูว่าผมเดนิ มากบั ใคร มนั กระพือปกี 1. นักเรียนกลุม ท่ี 1 นาํ เสนอเรอ่ื งยอ ดงั ตอ ไปน้ี ทักถ่ีๆ แล้วหุบปีกพับ พอเห็นผมยิ้มให้ มันก็บินปร๋ออวดปีกที่ขยับเร็วจนโปร่งใส ตัวกลมๆ • นักเรียนเลา เร่อื งยอนวนยิ ายเรอ่ื ง บึงหญา เทา่ น้นั ท่ีเห็นด�าๆ ห่างไป ปาใหญเฉพาะท่ีตัดตอนมาใหเ รยี น ฤดูฝนอันสดใสปลุกผมให้ต่ืนข้ึนมา ให้ลิ้มรสความลี้ลับแห่งเม็ดฝนเมื่อยามตกต้องแผ่นดิน (แนวตอบ เนอ้ื หากลาวถึงความอุดมสมบรู ณ เพ่ือการเกิดใหม่ของพฤกษามาท�าให้โลกน้ีเป็นอุทยานสีเขียวประดับดอกไม้ ใครหนอจะนึกเช่ือ ของฤดฝู น ความงดงามของวัยเยาว และวัน ว่าฤดูร้อนเคยมาอยูท่ ่นี ่ ี อากาศขนุ่ ๆ ไมม่ แี ล้ว ฤดูฝนปดั ควนั มวั ๆ ไปเสียจากฟา้ น�า้ ฝนกวาดผืน เปดเรยี นวนั แรกของตัวละครเอก) พสธุ าเสยี ใหม่จนไมเ่ หลอื ฝุน่ สายน้�าในล�าแควไหลเร็วกวา่ หนา้ แล้ง และเออ่ ขึ้นมาถึงครึ่งคอ่ นฝ่ัง ใครจะยง้ั เท้าไว้ได้ ใครจะยง้ั ใจไวอ้ ย ู่ “ตน้ ไม ้ ตน้ ไม”้ ผมตะโกน “แกกินน้า� ฝนอร่อยไหม” 2. นักเรียนกลมุ ที่ 2 นําเสนอชือ่ เร่อื ง ดังตอ ไปน้ี แล้วกว็ ง่ิ ทง้ิ แม่หา่ งไป รองเทา้ ใหม่สง่ เสียงดังกบั ๆ กอ้ งไปในราวปา่ สะท้อนกลบั มาท�าให้ผมตอ้ ง • นักเรยี นคิดวา ชือ่ เรือ่ ง บงึ หญา ปา ใหญ หยุดกึก ใจเต้นระทึก จ้องมองท่ีริมทางข้างหน้า ดอกไม้ป่าเริ่มบานกันบ้างแล้วพลางก็นึก มีความสอดคลองกบั เนอื้ หาหรอื ไม อยางไร ตรกึ ตรองอยดู่ ้วยค�าถามมากมาย ผมวง่ิ หนา้ ตัง้ กลับไปทางเก่า (แนวตอบ สอดคลอ งกัน เนอื่ งจากเน้ือหา “แมจ่ า๋ ท�าไมสแี ดงชอบมาอยู่ตามดอกไม้” กลา วถงึ ความอดุ มสมบูรณข องธรรมชาติ ในชนบทและความสุขในวยั เยาว) 3. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 32 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอใดใชภาษาตางจากขอ อ่ืน ครคู วรเพ่มิ เติมความรเู กี่ยวกบั ความสําคญั ของชื่อเรอื่ งในงานวรรณกรรม 1. น้ําฝนกวาดผนื พสุธาใหมจ นไมเหลือฝุน เนอื่ งจากการตั้งชือ่ เรอื่ งยอ มนําเสนอประเดน็ สําคัญ รวมถึงจุดเนน ของเนื้อหาใน 2. นกเปน รอยๆ เริ่มรอ งเพลงเพรยี กอยตู ามยอดไม วรรณกรรมแตละเรือ่ ง และการพจิ ารณาชื่อเรื่องจะชวยใหผ อู า นสามารถทาํ ความ 3. การเกดิ ใหมของพฤกษามาทาํ ใหโ ลกนี้เปน อทุ ยานสเี ขียว เขา ใจแกน เรอื่ งหรอื สารสําคญั ทีผ่ ูเ ขยี นตอ งการส่ือสารใหผ ูอ า นทราบ อาจเปนความ 4. กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขยา ก่ิงไมเ หนอื หวั ทาํ ลกู ไมปาหลน จรงิ อยา งใดอยา งหน่งึ ที่เกิดข้นึ กับโลกและชวี ติ ของมนษุ ย เชน ความรัก ความแคน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขยาก่งิ ไม ความซ่อื สตั ย ความยตุ ิธรรม ความอยตุ ธิ รรม ความเชือ่ ความหลง ความตาย ความ เหนอื หวั ทาํ ลกู ไมป า หลน ซง่ึ ตา งจากขอ อน่ื ทใี่ ชภ าษากวี ถอ ยคาํ ทใ่ี ชม คี วามพเิ ศษ อดอยากยากแคน ความกลวั แนวคิดหลกั ของเรอื่ งน้นั ผเู ขียนจะไมส่อื ความหมาย ไมใ ชค าํ ทใ่ี ชท วั่ ไป ขอ ที่ 1. คาํ วา “พสธุ า” ขอ ท่ี 2. คาํ วา “เพรยี ก” และขอ ที่ 3. โดยตรง แตจะซอนสาระสําคัญของเรือ่ งไวในบทสนทนาหรอื คาํ บรรยาย ตลอดจน คําวา “พฤกษา” พฤติกรรมตางๆ ที่เกิดข้ึนกบั ตัวละครตลอดการดําเนินเร่อื ง ฉะนนั้ การพิจารณา ช่ือเร่อื งจงึ เปรยี บเหมือนเสน ทางนาํ ไปสูค วามเขา ใจแกนเรอ่ื งหรือสาระสาํ คัญของเร่อื ง 32 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู แม่ย้ิมละไม แล้วผมก็วิ่งออกหน้าไปอีก อยากไปให้ไกลแสนไกลสุดกู่ อยู่ๆ มีเสียงพึบพับ 1. นักเรียนกลุม ท่ี 3 นาํ เสนอโครงเร่ือง ดงั ตอไปน้ี จากทางด้านขวาราวกับใครสะบัดผ้าผืนใหญ่ ผมชะงักตัวตรง ปลาก็ฮุบโผงจากล�าแควทางซ้าย • นวนยิ ายเรือ่ ง บงึ หญา ปา ใหญเ ฉพาะที่ จนผมต้องหันขวับไปดู กระรอกตกใจกระโดดโหยงๆ เขย่าก่ิงไม้เหนือหัวท�าลูกไม้ป่าหล่น อะไร ตดั ตอนมาใหเรยี นมโี ครงเรื่องอยางไร มาท�าใหป้ ่าตืน่ ผมตวั สน่ั (แนวตอบ โครงเรื่องหรือลาํ ดบั เหตุการณใ น เรอื่ ง เปดเรื่องโดยกลา วถงึ ความอดุ มสมบูรณ ออ้ กลว้ ยป่าน่นั เอง มันสะบัดพรบึ แผใ่ บยอดสีเขยี วออ่ นกางออกเตม็ ที่ ขึ้นตั้งตา้ นลม ใบอืน่ ของธรรมชาติในทองถิน่ ชนบทเมื่อถงึ ฤดฝู น ที่อ่อนโอนลงข้างๆ สเี ขียวเขม้ เรม่ิ แตกเปน็ ร้วิ ๆ กพ็ ลิกพลวิ้ พลอยไปกบั เขา พอใบยอดมันโยกเยก เปนโครงเร่อื งหลัก และความงดงามของวัย เท่านนั้ ผมก็ตาคา้ ง ตั้งทา่ จะวง่ิ กลับไปหาแม่ทีเ่ ดนิ ใกลเ้ ข้ามา เยาว จากนัน้ จงึ กลา วถงึ ความขาดแคลนของ เด็กนักเรียนในชว งเปดเรยี นใหม) “มันล้อลมนะ่ ลูก” แม่มองท่ีใบกลว้ ยโบกไหว “ลมมันชอบเลน่ ด้วยหรือแม่จา๋ ” 2. นักเรยี นกลุมที่ 4 นาํ เสนอแกน เรือ่ ง ดงั ตอ ไปน้ี ใบกล้วยนัน้ กา� ลงั โยกซ้ายย้ายขวา พลกิ ใบไปมา แล้วลมก็พดั เลยเข้าไปทางตน้ ไม้ใหญ่ ทใ่ี บ • นวนิยายเรอื่ ง บงึ หญาปาใหญเฉพาะท่ี แบนๆ ส่งเสียงกรูเกรยี ว หมนุ ควงอยกู่ บั ปลายข้ัวเลก็ ๆ ของมัน กา้ นใบเรียวๆ มไี ว้ใหใ้ บมากมาย ตัดตอนมา มแี กน เรือ่ งอยา งไร กระพือพัด ดังกับต้นไม้ต้องการความเย็นอยู่เป็นอาจิณ ความลับเหล่าน้ีท�าให้ผมโล่งใจ จนต้อง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดอยา ง ว่ิงต่อ พอถึงตรงทท่ี างยบุ ต่า� ขวางอยูผ่ มหยดุ ดไู มก่ ล้าเดินลง หลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของนักเรียน “คลองน�า้ แห้งไงลูก” แมต่ ะโกนให้ผมกล้า เน่อื งจากมกี ารตัดเน้ือหาเพียงบางชวง “แมจ่ า๋ คลองมนั รอนา�้ ใชไ่ หม” เทา นั้น) “ใชจ่ ้ะ พอหน้าแควนา้� หลาก น้�ากไ็ หลเข้าคลองไปทางน้ีแหละ” “นา้� มนั ไปไหน” 3. นักเรยี นกลมุ ท่ี 5 นาํ เสนอตัวละคร ดงั ตอ ไปน้ี “ไปสวนหลงั บา้ นเราซิลูก” • นวนิยายเร่อื ง บงึ หญา ปาใหญเฉพาะท่ี “ไปสวนแล้วไปไหน” ตดั ตอนมา มตี วั ละครใดบา ง และตัวละคร “ไปถนนทมี่ รี ถยนตว์ ่ิง” แตละตวั สรางอยา งสมจริงหรอื ไม อยา งไร “ไปถนนท่ีรถว่งิ แลว้ ไปไหน” (แนวตอบ ตวั ละครผูเลา เรอ่ื งทําหนาท่ดี าํ เนนิ “ไปบึงหญ้าใหญจ่ ้ะลูก” เรอื่ ง และใชภาษาสอดคลอ งกับชวงวยั ของ “โอ๋ บงึ หญ้าใหญ่ นา�้ ไปอยทู่ ี่นั่นท�าไมแม่จ๋า มนั อยากใหป้ ลาโตหรือ” ตัวละคร) แม่อมุ้ ผมข้นึ เอว แล้วเดนิ ลงคลองแห้งๆ ท่ีเตม็ ไปดว้ ยรอยควายย่า� พอขา้ มพน้ คลองไปแล้ว แม่ก็วางผมลงเดนิ เดนิ ๆ ไปจนถึงทางควายขรุขระ ทางน้นั กห็ ายไปทางป่าขวามอื อีกคงจะไปถงึ 4. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด บึงหญา้ ใหญ่ ควายคงชอบไปกินหญ้าทีร่ ิมบึงใหญ่ แต่มีรอยควายใหม่ๆ ไปตามทางข้างหน้าเรา รอยเล็กและรอยใหญ่ อาจจะเป็นควายแม่ กับลูกแอของมัน พอเดินตามรอยไปได้ไม่ทันนาน ผมก็ต้องชะงัก ย้ังเท้าไว้ตรงที่มีกองเบ้อเร่ิม กลมเกลีย้ งขวางทาง แมลงหวี่บินตอมวอ่ น ควันอ่อนๆ ก�าลงั กรนุ่ ลอยขึน้ ควายคงจะเพงิ่ ผ่านไป เม่อื ครู่ 33 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนการใชภาษาท่แี สดงใหเ หน็ สภาพสังคมชดั เจนทส่ี ุด ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูเกย่ี วกบั กลวธิ กี ารนําเสนอลกั ษณะนสิ ัยของตัวละครท่ี 1. เปดเรยี นใหมว นั แรกจะหาใครใหมเ อีย่ มทั้งหมดแทบไมม เี ลย ปรากฏในงานวรรณกรรม มกี ลวิธีการนาํ เสนอ 5 วธิ ี ทง้ั การนําเสนอทางตรงและ 2. โบสถเ ดนจับแสงเปน ประกายพราวอยูตรงหมูไมต น โต ทางออม นักเรียนสามารถพิจารณาองคประกอบของวรรณกรรม เพ่ือทาํ ความเขาใจ 3. แมว างผมลงเดิน เดนิ ๆ ไปจนถงึ ทางควายขรขุ ระ พฤตกิ รรมของตวั ละคร และแนวคดิ สาํ คัญของเร่ือง ดังตอ ไปนี้ 4. เดอื นนีใ้ บไมช างมากมายเสยี จนแมลงลืมกนิ • การบรรยายลกั ษณะนิสัยของตัวละครทางตรง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. แมว างผมลงเดนิ เดินๆ ไปจนถึงทางควาย 1. ผแู ตง เปน ผูบรรยายรปู รางลักษณะ และความรูส กึ ของตวั ละครเอง 2. ผูเขยี นกําหนดใหตัวละครตัวอ่ืนๆ สนทนา กลาวถงึ ขรขุ ระ แสดงใหเ หน็ ภาพของสังคมชนบทท่ีมีทางเดนิ เทา ยงั ไมมีรถราว่ิงผาน บนเสน ทางน้ัน และมคี วายซง่ึ จะอยทู ามกลางธรรมชาติ เปน ภาพของคนมี • การบรรยายลักษณะนิสยั ของตวั ละครทางออ ม ความใกลช ิดกับธรรมชาติ 1. ผแู ตง ใหผอู านทราบลักษณะนิสัยของตวั ละครดว ยการบรรยายการกระทํา รวมถงึ พฤติกรรมของตัวละครตัวน้นั 2. ผูแตง ใหผูอานทราบลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครจากบทสนทนา 3. ผแู ตง ใหผ ูอ า นทราบลักษณะนสิ ยั ของตวั ละครดว ยการบรรยายความคดิ ของตวั ละครตวั นัน้ คมู ือครู 33
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นกลมุ ที่ 6 นําเสนอฉากและบรรยากาศ “ออ้ มไปซลิ ูก ออ้ มไป ไมน่ ่าเกลยี ดหรอกเหน็ ไหม แมลงมนั ดีใจ ถา้ ววั ควายถา่ ยมา” ดงั ตอ ไปน้ี แม่หลายคนก�าลังลากจูงลูกสาวมาเข้าโรงเรียน บางคนแก่แล้ว เป็นยาย เป็นป้า แต่ก็ยัง • นักเรียนคดิ วา ฉากและบรรยากาศในเรอื่ ง เป็นแม่ ต่างก็มีลูกตัวเล็กๆ อายุไล่เล่ียกัน เด็กผู้ชายบางคนเดินร้องไห้น�้าตาไหลพรากมาข้าง บึงหญา ปาใหญ มีความเหมาะสมกบั หน้าพ่อท่ีถือไม้เรียว เกือบทุกคนไม่ใส่เส้ือ จึงพากันโผล่พุงกลมเป่งออกมาอวด บ้างใส่เส้ือยาว เนื้อหาหรือไม รวมถงึ ฉากและบรรยากาศใน จนคลมุ เขา่ หลวมโพรกเพราะเอาเสอ้ื พอ่ มาใส ่ เปดิ เรยี นใหมว่ นั แรกจะหาใครใหมเ่ อย่ี มทงั้ หมดแทบ เรอ่ื งมอี ิทธิพลตอตัวละครหรือไม อยา งไร ไมม่ เี ลย ทกุ คนจึงมองรองเท้าของผมดว้ ยสายตาเปน็ มัน (แนวตอบ ฉากและบรรยากาศมคี วามสมจริง เพื่อนๆ ของแม่ท่ีช่างมากมาย พากันรุมเข้ามาทักทาย ไถ่ถาม ท�าให้ผมต้องซ่อนหน้า เน่ืองจากมอี ทิ ธพิ ลตอตัวละคร สง ผลตอการ โอดครวญซ�้าๆ ถา ยทอดอารมณค วามรูสึกของตวั ละคร “แมจ่ า๋ กลับบา้ นเรานะแมน่ ะ” ผูเลา เรื่องไดเปนอยา งด)ี “ตายจริง ลกู ชายใครพูดจาจ๊ะจ๋าน่าฟัง” แม่คนหน่ึงมองมาทางผม “กแ็ มค่ นสวยเขาอยากได้ลกู คนแรกเป็นลูกสาวไง ดันเกิดมาเป็นลูกชายเสยี น”ี่ เพอื่ นสนทิ 2. นกั เรียนกลุมที่ 7 นาํ เสนอบทสนทนา ดังตอไปนี้ ของแมอ่ ธิบายท�าใหท้ กุ คนหวั เราะ แม่กย็ ้ิมน้อยย้มิ ใหญ่ • นักเรยี นคดิ วา บทสนทนามคี วามเหมาะสม ผมจึงยึดผ้าถุงของแม่เสียจนแน่น แล้วซบหน้าซ่อนตาลงไป ไม่อยากเห็นใครๆ อีก หูผ่ึง กับการดาํ เนนิ เร่ืองหรือไม และบทสนทนาใน คอยฟังคนเขาพูดกัน แม้จะมองไม่เห็น ผมก็ยังได้ยิน เสียงลนลานร้อนใจของบรรดาแม่ๆ ท่ีวิ่ง เร่ืองสงผลตอคณุ คาทางวรรณศิลปอยางไร ถามกันด้วยความกังวล “เออ ลูกใครสอบเลื่อนชั้นสองได้ มีลูกใครไหม ใครเห็นลูกใครสอบได้ (แนวตอบ บทสนทนาของตวั ละครมกี ารใช ช้นั สองบ้าง” ภาษาเหมาะสมกบั ตวั ละครทง้ั วยั และยคุ สมัย “ลูกฉนั สอบได”้ เสยี งแม่คนหนงึ่ ตอบอยา่ งภาคภมู ิ “ลูกบ้านโน้นเขาก็สอบได้” แสดงบุคลิกของตวั ละครไดอยางเดน ชดั ) “ของฉนั สอบขนึ้ ช้ันสี่ไดต้ ่างหาก” “อยุ๊ ตายแม่คณุ ช่างเก่งจรงิ ๆ ลกู บา้ นเราน้อยคนจะขึ้นถึงช้ัน ๔ ทง้ั หมบู่ ้านนี่นับคนไดเ้ ลย 3. นักเรยี นกลุมท่ี 8 นําเสนอทรรศนะของผูแตง มีแต่พวกจะตอ้ งเอาออกจากโรงเรยี นกลางคัน ก็จะอะไรเสียอกี ละ่ อายุมันเกิน ๑๕ น่ะ ใครเป็น ดงั ตอ ไปน้ี พ่อเปน็ แม่มีหรอื จะทนดพู วกมนั ซ้า� ชน้ั อย่ไู ด ้ ของฉันอายุ ๑๒ แล้วเพงิ่ เรียนแค่ชัน้ หน่งึ ” • นักเรยี นคิดวา ผูแ ตงแฝงทรรศนะใดไวบ าง “เรามันคนท�ากินนะ ก็ต้องอาศัยเด็กดูน้อง เฝ้าบ้าน เลี้ยงควาย กว่าจะไปเข้าโรงเรียนก็ และทรรศนะใดทผ่ี แู ตงใหค วามสาํ คญั มาก อายใุ กลเ้ กินเกณฑแ์ ล้ว ไหนละ่ ลูกใครท่ีวา่ ขนึ้ ชั้นสองได้” ทีส่ ดุ “ลกู ฉันจะ้ ทา� ไมหรอื ” (แนวตอบ ทรรศนะเกี่ยวกบั ความอดุ มสมบูรณ “อย่าพูดดังไป อยากจะขอหนังสือเก่าที่ใช้แล้วให้ไอ้หนูของฉัน ปีน้ีแย่ ข้าวโพดไม่ได้ฝัก ของธรรมชาติ และความงดงามของวัยเยาว) กบั เขา ของฉันเข้าโรงเรยี นรวมคนน้ดี ว้ ยเป็นสามแลว้ ” “โอย หนงั สอื นะ่ จะไปเอาอะไรเหลือ กระดาษบางๆ จะมาทนมอื ลกู ชายฉันไดไ้ ง” 4. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด “แล้วเส้ือแสงมนั คบั หรอื ยังละ่ ” “ออ๋ ถ้าเสื้อละกพ็ อจะได้ มันกนิ จกุ นั จรงิ ๆ โตรวดโตเร็วจนเส้อื ซ้ือใหแ้ ทบไม่ทนั พรงุ่ น้ีฉนั จะเอามาให ้ แต่ตอ้ งไปเยบ็ กระดมุ เอาเองนะ ไม่มเี หลือติดเสอื้ เลยสกั เม็ด” 34 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดใชบ รรยายโวหาร ครคู วรเพิ่มเติมความรเู กี่ยวกบั การนาํ เสนอฉากและบรรยากาศ เพอ่ื ใหน ักเรยี น 1. อยๆู มีเสยี งพึบพบั จากทางดา นขวาราวกับใครสะบัดผาผืนใหญ นาํ องคค วามรูดังกลา วไปประยุกตใชใ นการวิเคราะหเนอ้ื หา และการประเมนิ คณุ คา 2. ผมก็ตาคาง ตงั้ ทาจะวงิ่ กลับไปหาแมท ่ีเดนิ ใกลเ ขามา ทางวรรณศิลปจ ากบทประพันธ ครูควรเพม่ิ เตมิ ความรเู กยี่ วกับกลวธิ กี ารสรา งฉาก 3. ใบกลว ยนั้นกาํ ลังโยกซา ยยา ยขวา พลิกใบไปมา และเสนอฉาก การสรา งฉากจําเปน ตอ งอาศัยวธิ ีการหลายอยาง เชน คาํ บรรยาย 4. รองเทา ใหมสงเสยี งกบั ๆ กอ งไปในราวปา ของผแู ตง การกลาวถึงภมู ิหลังของเรื่อง ซ่ึงเปน เหตุการณท างประวัตศิ าสตรห รือ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ผมกต็ าคาง ตงั้ ทาจะวิง่ กลบั ไปหาแมท ่ีเดนิ ประเพณีทอ งถิน่ ซึ่งรวมทง้ั การใชภาษาถ่นิ ของตวั ละครดว ย เพ่ือชว ยใหผูอ านทราบ ใกลเ ขา มา เปน เหตกุ ารณที่ทาํ ใหเหน็ การดําเนินเรอื่ ง สว นขออืน่ เปน การให วา เนอ้ื หาของเรอ่ื งเกดิ ข้ึนที่ไหน อยางไร ในสมยั ใด และส่ือสารกนั ดวยภาษาอะไร รายละเอยี ดของสง่ิ ตา งๆ เพอื่ ใหผ อู า นเหน็ ภาพชดั ขน้ึ เปน การใชพ รรณนาโวหาร นอกจากนี้ ผูแตงยงั สามารถสรางฉากไดอกี หลายวธิ ี ดงั ตัวอยาง ตอไปน้ี 1. สรางฉากอยางสมจริง ตองมีความรูความเขา ใจหลากหลายดาน 2. สรางฉากตามอุดมคติ ฉากท่สี รา งขน้ึ จากความคาดหวังมกั มีลักษณะดงี าม กวา ท่เี ปนอยูจ รงิ 3. สรา งฉากใหมีลักษณะเหนือจรงิ คือ การสรางฉากใหมีลักษณะเหนือความเปน จรงิ ตามธรรมชาติ เพอ่ื มุงใหผ ูอานไดรับความตนื่ เตน ทางอารมณเ ปนสําคญั 34 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู “เส้ือลูกสาวฉันท่ีไม่ใช้แล้วก็มีจ้ะ ใครอยากได้บ้าง กระเป๋าเสื้อขาดไปหน่อย เย็บเสียนิด 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 9 นําเสนอทว งทํานองการแตง กค็ งใช้ได”้ แม่อีกคนว่า ดังตอไปนี้ “งน้ั หรือ ไมเ่ ปน็ ไรหรอก ฉันไปเย็บได้” • นกั เรยี นคดิ วา นวนิยายเรือ่ ง บงึ หญาปาใหญ ผมก็ค่อยๆ กล้าขยับเข้าไปแล้วก้มลงดูใกล้ๆ “มันท�าด้วยหญ้า” ผมร้องล่ันรีบกระโดด มกี ลวิธกี ารใชภาษาทีม่ คี วามเหมาะสม ยืนขึน้ แลว้ กน็ ึกรักมนั ขึน้ มา ชา่ งกลมเกลย้ี งและเขียวเขม้ เตม็ ไปด้วยหญา้ หนา้ ฝน หรือไม อยา งไร พอเดินไปได้อีกสักประเด๋ียว ถึงตรงที่มีเสียงนกกวักร้องก้อง ก็เจอะสีเขียวอย่างเดียวกัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย คราวนีเ้ หลวเป๋วกระจดั กระจายอยู่เตม็ ทาง ขึ้นอยูก ับเหตผุ ลของนกั เรียน เปนตน วา “ของลูกแอใช่ไหมแม่จา๋ ” ผมร้องเสียงดงั หันไปมองแม่ มีกลวิธกี ารใชภาษาเหมาะสม มีการพรรณนา “อย่นู ั่นไง เจา้ ควายน้อย” แม่ชีม้ อื ไปขา้ งหน้า ภาพของธรรมชาติอยางมีชวี ิตชวี า โดยใช ลูกแอหัวโหนกตัวหน่ึงเขายังไม่ทันขึ้น ก�าลังวิ่งไปรอบๆ แม่ของมันที่เค้ียวหญ้าเพลิน ภาพพจนแบบบคุ คลวตั ดว ยการใหส ิ่งทม่ี ใิ ช จนน้�าลายฟูมฟอง ถกแต่หญ้าอ่อนดังพร่ึดๆ ไม่ยอมกินอ่ืน เพ่ือจะได้ถ่ายเป็นสีเขียวออกมา มนษุ ยก ระทาํ กริ ยิ าเชน เดียวกับมนษุ ย) กองกลมๆ อีก ลกู แอวง่ิ หกหนา้ หกหลังวนไปได้ครู่หนง่ึ ก็หยดุ เข้าไปดุนๆ ดูดนมทท่ี ้องแม่ของมนั แลว้ กท็ �า 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ เป็นหยุดเบิ่งตาราวกับว่าเป็นควายใหญ่ พอเห็นผมสนใจ มันก็ท�าทีเป็นเล็มหญ้าเลียนแบบ แม่ของมัน ขยายความเขา ใจ Expand “แม่จ๋าดลู กู แอน่นั มนั หดั เปน็ ควายตงั้ แตเ่ ลก็ ๆ แนะ่ ๆ” ผมเขย่ามอื แม่ เด็กนักเรียนตัวโตๆ ส่งเสียงเอะอะตามหลังมา แล้ววิ่งแซงขึ้นหน้าไป หลายคนไม่มีเส้ือใส ่ 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี บางคนหอบหนงั สอื เก่าๆ เทา้ เปลา่ เปลือย • เมอ่ื นกั เรยี นพิจารณาองคประกอบของ “ประเด๋ียวลูกแม่ก็จะได้เป็นนักเรยี นเหมือนเขารู้ไหม” แม่พูดแล้วกย็ ้ิมดูอ่มิ ใจ นวนิยายเรือ่ ง บึงหญาปาใหญแลว นักเรยี น แล้วทางเล็กๆ ท่ีเราแม่ลูกก�าลังเดินก็ทะลุเปิดโล่งเป็นลานใหญ่ โบสถ์เด่นจับแสงเป็น คิดวา นวนยิ ายเรื่อง บงึ หญา ปาใหญ ประกายพราวอยู่ตรงหมู่ไม้ต้นโต เจดีย์ยอดแหลมเรียงแถวสลอนอยู่ข้างศาลาทึม ใครๆ ก็ก�าลัง มีความโดดเดนดานวรรณศลิ ปอ ยา งไร จูงลกู จูงหลานเขา้ ไปยังศาลานน้ั ใจผมเตน้ เหน็ คนมากๆ เขา้ ก็ตืน่ แผต่ ัวส่ัน คนหนอช่างมากมาย นักเรียนมวี ิธีการพจิ ารณาอยา งไร มาจากไหนกนั ย่ิงใกล้ศาลาเข้าไปหัวใจกด็ จู ะยง่ิ เต้นแรงข้ึน ศาลาก็หลังโตข้นึ ต้นก้ามปเู ก่าแก่ที่ (แนวตอบ นกั เรียนอภิปรายไดห ลากหลาย แผ่ก่ิงคลุมฟ้าก็ใหญ่ขึ้น ตะไคร่จับเขียวอยู่ตามเปลือกหยาบ ท�าให้ดูเหมือนกับเป็นไม้มีขน ขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนักเรยี น เปนตน วา ออกดอกสีชมพูพราว ต้นสะตือก็แตกกิ่งไปชนกัน ออกฝักสีน�้าตาลแบนๆ ต่างท้ิงเงาก่ิงเป็น มีการใชพ รรณนาโวหารในการกลาวถึง ทางยาวทาบลานตัดกันไปมา ให้ร่มแก่บรรดาแม่ๆ ท่ีพาลูกมาเข้าโรงเรียน ซึ่งก�าลังส่งเสียงขรม ภาพธรรมชาตแิ ละใชภาพพจนท่มี ีความ คยุ กันอยา่ งไมอ่ อมเสียง หลากหลาย โดยเฉพาะอยางยิ่งภาพพจน มีทางหลายสายจากหมู่ไม้โดยรอบเข้ามายังศาลาใหญ่ ทางเหล่าน้ีจะไปถึงไหนหนอ แบบบุคคลวตั สอดคลอ งกบั กลวิธีการ ท้ังใต้วัดและเหนือวัด ล้วนแต่เป็นทางท่ีผมยังไม่เคยเดินท้ังน้ัน อีกทั้งฝั่งแควฟากตะวันตกโน้น เลาเรอื่ ง) ซึ่งผมยังไมเ่ คยข้ามเรือไปแตะ เทา้ คนเรานีแ่ หละทีท่ า� ทางข้นึ มาแลว้ กเ็ ดินกันจนทางสึก 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด 35 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอใด ไมอาจ อนุมานไดจ ากขอ ความตอ ไปนี้ ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูเกี่ยวกบั ทวงทาํ นองการแตงของผูแตง หรือสไตลก ารเขียน ...เชา วันนี้ สมบตั ิคา งปอันไดแ กห นังสอื เนาๆ เกา หลดุ ลุย กบั เสอ้ื ถอดสี ทวงทํานองในการแตง วรรณกรรมของผูแตงแตล ะคน ซึ่งตา งมีลกั ษณะเดน เฉพาะตวั มรี รู ่วั ลม จะถกู เปลยี่ นมือ จากคนรุนหนงึ่ ไปยงั อกี รนุ หนงึ่ ... ไมซ้าํ แบบกนั ทงั้ น้ีเปนเพราะผแู ตง แตล ะคนตา งก็มีแบบแผนในการเลือกสรรคาํ 1. ทกุ คนจะไดใ ชเหมอื นกนั การเลอื กใชส าํ นวนโวหารและวิธีเรียบเรียงประโยคแตกตา งกัน นอกจากนี้ ผูแตง 2. ถอื วา เปนวิทยาทาน แตล ะคนยงั มีทศั นคตหิ รือทาที (tone) ตอส่งิ ใดสิ่งหนง่ึ แตกตางกนั ดว ย ดังน้ัน ลีลา 3. ไมต อ งเสยี เงินซ้อื ในการเขียนของนกั เขียนแตล ะคนจงึ มีลกั ษณะเฉพาะแตกตางกัน เหตุนีก้ ารท่ีผอู า น 4. ลดภาวะโลกรอ น หลายคนสามารถรไู ดว า ตนกาํ ลงั อานงานเขยี นของคนใด จงึ เกดิ จากการพิจารณา ในประเดน็ ตา งๆ ดงั ตอไปน้ี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ลดภาวะโลกรอ น เพราะเจตนาของผกู ลา ว 1. การเลือกสรรคํา หมายถงึ วธิ ีการเลือกสรรคาํ มาใชในการสรางสรรค ขอ ความขางตน คอื การชวยเหลือผูท่ีขาดแคลนดวยการบริจาคหนังสอื และ วรรณกรรมใหเ หมาะสมทงั้ รสคําและรสความ เส้อื ผา เพื่อใหผูทข่ี าดแคลนสามารถนาํ ไปใชป ระโยชนไ ดเ หมอื นคนอนื่ 2. การเลอื กใชส าํ นวนโวหาร หมายถงึ การพยายามคดิ หาวิธกี ารเพ่ือทําใหง าน เขียนของตนมคี ุณคา นาอาน ทง้ั ภาพในจิตใจและภาพพจน 3. วธิ กี ารเรยี บเรียงประโยค หมายถึง วธิ กี ารสรา งประโยคอันเปน ลกั ษณะเฉพาะ ของผูแตง แตละคน คมู อื ครู 35
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครขู ออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย “แมจ่ า๋ บา้ นเราอยใู่ ตว้ ัดใชไ่ หมจ๊ะ” ผมถาม ความรูใ นประเด็น ตอไปน้ี “จ้ะ” แม่บอกว่ายังมีทางจากเหนือวัด และโน่นที่ถนน ซึ่งนานๆ จะมีรถยนต์วิ่ง อยู่ไกล • นักเรยี นคดิ วา นอกจากนกั เรียนจะอาน ออกไปทางตะวันขึ้น ก็มีทางจากเหนือและใต้เลยถนนออกไปคือ บึงหญ้าใหญ่ที่ป่าไม้สูงบังอยู่ นวนิยายเพ่อื ความบันเทงิ แลว นกั เรยี น ผมใจระริก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สักวันผมจะตระเวนไปให้ท่ัวถึง อะไรบ้างหนอท่ีรอคอย สามารถพจิ ารณาประเด็นใดเพิม่ เติมไดบา ง ผมอย่ ู ไว้ใหผ้ มโตอีกหนอ่ ยจะไม่มีแต่ทางใตว้ ัดบา้ นผมเท่าน้นั หรอก แมจ่ ๋า จะตอ้ งกนิ ขา้ วอีกกคี่ �า (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย ฉนั จงึ จะโต ข้นึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรยี น เปน ตน วา เช้าวันน้ี สมบัติค้างปีอันได้แก่หนังสือเน่าๆ เก่าหลุดลุ่ย กับเส้ือถอดสีมีรูรั่วลม จะถูก นอกจากนกั เรยี นจะอา นเพอ่ื ความบนั เทิงแลว เปลี่ยนมือ จากคนร่นุ หนึง่ ไปยงั อีกรุน่ หนึง่ น่นั เป็นส่งิ ที่คาดไม่ถงึ และผมได้ยนิ กับหู นวนิยายยังชวยใหน ักเรียนไดข อ คิดที่สามารถ “พอ่ แมพ่ ี่น้องขา” เสียงครูพูด “วันนฉ้ี ันดีใจท่ไี ดม้ าสอนลูกหลานท่ีน่ ี พี่ปา้ น้าอาไมร่ งั เกยี จ นาํ ไปใชเปนบทเรียนในการดําเนินชวี ิตได) กัน มีอะไรก็แบ่งกัน ฉันไม่มีวันจะทิ้งลูกหลานบ้านนี้ไปไหนได้อีกแล้ว” เสียงครูส่ัน “หนังสือ ที่ไมใ่ ช้แลว้ ถ้าให้ลูกบา้ นอ่ืนไปอ่าน ถือว่าเปน็ วิทยาทานนะคะ ให้สงิ่ ทีเ่ ป็นความรู้กัน ลูกบา้ นเรา 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ จะได้เจริญทันบ้านอื่นเขา ยังหาใครให้ไม่ได้ก็ให้เอาหนังสือเก่า เสื้อกางเกงเก่ามาไว้ที่ครูก่อน ได้คะ่ ” “ครู” เสยี งผู้ชายพูด “ปนี ีข้ องผมคอ่ ยยังชว่ั ไม่ตอ้ งเสียเงนิ ซอื้ โชคดี ทแี รก แหม ผมกลุม้ จะแย่กบั ไอ้หนูมนั ” แลว้ ก็หวั ร่อดังลน่ั “ท�าไมว่าโชคดีล่ะ” เสียงป้าคนหนึ่งสงสัย “เออ แกพูดยังไง ฉันฟังแล้วงงๆ ไอ้หนู มันสอบตกหรือไร” “มันก็ไม่ตกหรอก” เสียงพ่อคนเดิมว่าแล้วก็หัวร่อฮ่าฮ่าอีก “มันก็อยู่ชั้นเดิมเหมือนเมื่อ ปีกลายน่นั แหละ เลยไม่ตอ้ งเสียเงนิ ซอ้ื หนังสอื ใหมๆ่ ” พอ่ ๆ แม่ๆ กห็ วั เราะชอบใจ ครูผ้ชู ายไดช้ ่องก็ประกาศวา่ “เอ้า ลกู ใครท่โี ชคร้ายได้เลอื่ นชนั้ จะต้องใช้หนงั สืออะไรเรยี นบา้ งก็ใหไ้ ปท่โี ตะ๊ ครสู �าเภาท่ีมกี องหนงั สอื ใหมๆ่ นั่น ส่วนลกู ใครทเ่ี พิ่ง จะพามาเขา้ เรียน ให้พาไปลงทะเบยี นที่โต๊ะครูลกู จนั ทน์โนน่ ” ผมลืมตาขน้ึ และจา� ครสู าว ๒ คนได้ ครูส�าเภาอ่อนหวาน ครูลูกจันทน์ก็แจ่มใส ครูใหม่ของผมอยู่ท่ามกลางกองหนังสือใหม่ กล่ินกระดาษหอม ทัง้ ดินสอลายๆ กระดานชนวน ดินสอหิน ทุกอย่างใหม่เอ่ียมสมบูรณ์ราวกับ ฤดูฝน (ตัดตอนมาจากบึงหญ้าปา่ ใหญ ่ : เทพศริ ิ สุขโสภา) 36 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดใชน ้ําเสียงเชงิ สงสัย ครคู วรเพิ่มเตมิ ความรเู กีย่ วกบั การวิเคราะหค ุณคา ของงานเขียนประเภทบนั เทิง- 1. อะไรบา งหนอท่ีรอคอยผมอยู ไวใ หผ มโตอกี หนอยจะไมมแี ตทางใตว ดั บา น คดี ทัง้ งานเขยี นประเภทเรอื่ งสน้ั และนวนิยาย ครคู วรเนนใหน กั เรยี นพจิ ารณาคณุ คา ผมเทา นนั้ หรอก ของงานเขียนประเภทบันเทิงคดดี ว ยตวั ของนกั เรยี นเอง รวมถงึ การตัดสินคุณคา ของ 2. เส้ือลูกสาวฉนั ท่ีไมใ ชแ ลวกม็ ีจะ ใครอยากไดบา ง กระเปาเส้ือขาดไปหนอ ย เรือ่ งตามความคิดเหน็ และทัศนคติของนกั เรยี น ประกอบดวยคณุ คาทางอารมณ และ เย็บเสียนิดกค็ งใชได คุณคาทางปญ ญา โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ ไปนี้ 3. พ่ีปา นา อาไมรงั เกียจกัน มอี ะไรกแ็ บง กนั ฉันไมมวี นั จะทิ้งลกู หลานบา นนี้ไป ไหนไดอีกแลว 1. คุณคาทางอารมณ ผอู านมีความรสู กึ อยา งไรตอเน้อื หาวรรณกรรมท่ีไดอ าน 4. เทา คนเรานี่แหละทท่ี าํ ทางขน้ึ มาแลวกเ็ ดนิ กันจนทางสกึ มคี วามสนุกสนานเพลนิ จากเนอื้ หาท่อี า นมากนอ ยเพยี งไร เกิดความรสู ึกคลอยตาม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. อะไรบา งหนอทรี่ อคอยผมอยู ไวใ หผ มโตอีก อารมณค วามรสู กึ ของตวั ละครในบทประพันธม ากนอยเพยี งไร รวมถึงมอี ารมณค วาม หนอ ยจะไมมีแตท างใตว ดั บานผมเทาน้นั หรอก มนี าํ้ เสียงสงสัยอยากรูอ ยาก รสู ึกเปลีย่ นแปลงไปกบั เร่ืองราวหรอื ทอ งเร่ืองหรอื ไม อยางไร เหน็ ขอ 2. มคี ําถามแตไมไดแ สดงความสงสยั ขอที่ 3. และขอ ท่ี 4. เปน เพียง การบอกเลา 2. คุณคา ทางปญ ญา คือ การพิจารณาคณุ คา ดา นตางๆ ทเี่ กดิ ขึน้ กับผอู า น เชน ใหข อคดิ คติสอนใจ ใหแ นวทางในการดําเนินชวี ิต หรอื แสดงแนวทางในการดาํ เนิน ชีวติ หรอื แสดงแนวคิดหรอื อุดมการณต างๆ ทส่ี อดแทรกในบทประพันธ ซ่งึ กอใหเกิด ความคิดและนําไปสคู วามแตกฉานทางสตปิ ญ ญาใหเ กดิ ข้ึนแกผอู านดว ย 36 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวEvจaสluอatบe ผล Engage Explore Explain Expand ขยายความเขา ใจ Expand ตวั อยา่ ง การวิเคราะห์นวนิยาย 1. นักเรยี นพิจารณาขอความ จากนั้นรวมกัน บงึ หญ้าปา่ ใหญ่ อภปิ รายในประเด็น ตอ ไปน้ี “การอา นนวนยิ ายนอกจากจะสามารถสราง แนวคิดหรือแก่นเร่ืองของนวนิยายเรื่อง “บึงหญ้าป่าใหญ่” หนึ่งในหนังสือ ๑๐๐ เล่ม ความบันเทิงใหกับผูอานแลว ยังใหแ งค ดิ หรอื ที่เยาวชนไทยควรอ่าน คอื สงิ่ มชี ีวิตทุกชีวติ ควรอยู่รว่ มกนั ด้วยความรกั ความเข้าใจ ความผูกพัน บทเรียนในการดาํ เนินชวี ติ แกผ ูอานไดอ กี ดว ย” ความช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน การตั้งช่ือเร่ืองช่วยท�าให้ผู้อ่านท�าความเข้าใจเร่ืองได้ง่ายข้ึน • นักเรียนเห็นดว ยกบั คํากลาวขางตนหรอื ไม กล่าวคือ รู้วา่ เน้อื หาจะกลา่ วถงึ สิ่งใดบา้ ง อยางไร จากแนวคิดหรือแก่นเร่ือง ผู้เขียนจึงได้สร้างโครงเร่ือง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรื่อง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบไดหลากหลาย เพือ่ ถ่ายทอดแนวคดิ ไปสผู่ ู้อา่ น โดยสว่ นทต่ี ดั ตอนมานเ้ี ปน็ เหตุการณ์ท่เี กิดขึ้นกบั ตวั ละครตวั หนึง่ ขน้ึ อยูก บั เหตุผลของนักเรียน) ในเรอื่ ง กา� ลงั จะเดนิ ทางไปโรงเรยี น ซง่ึ กวา่ จะถงึ โรงเรยี นกต็ อ้ งเดนิ ผา่ นปา่ ใหญ ่ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ระหวา่ งการเดินทาง ร้อยเรยี งต่อเน่อื งเช่ือมโยงกัน มีความสอดคล้องกับชื่อเรือ่ ง 2. นกั เรยี นแตละกลมุ ศึกษานวนยิ ายทีน่ กั เรียน เนื้อเร่ืองโดยรวมของนวนิยายเรื่อง “บึงหญ้าป่าใหญ่” เป็นเรื่องราวของเด็กชายสองคน ประทับใจ พรอมวิเคราะหองคป ระกอบและ (ผมและโทน) ท่ีรักและผูกพันกับชีวิตในชนบท เป็นเพ่ือนรุ่นพ่ีรุ่นน้องที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คุณคาทางวรรณศลิ ปต ามแนวทางที่ไดเ รยี นมา วันเวลาผ่านไปเดก็ คนหนึง่ มโี อกาสได้ไปศึกษาต่อทอ่ี ่ืน ตอ้ งจากบา้ นไป แตอ่ กี คนหน่งึ ไม่มโี อกาส จากนนั้ บันทึกความเขาใจลงในสมุดสง ครู ได้ศึกษาเล่าเรียน มีชีวิตอยู่กับป่าและบึงเช่นเดิม แต่คนทั้งสองก็ยังมีความอ่อนโยนในหัวใจ เน้อื เรือ่ งเฉพาะท่ตี ัดตอนมาน้ี กล่าวถึง เด็กชายคนหน่งึ ทีก่ า� ลังเดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยมแี ม่มาส่ง ตรวจสอบผล Evaluate ตลอดทางก่อนถึงโรงเรียนต้องผ่านป่าใหญ่ ท�าให้เขาต่ืนตาต่ืนใจกับความเป็นไปของธรรมชาติ รอบตวั 1. นักเรยี นสามารถวิเคราะหน วนิยายได ตัวละคร เฉพาะทต่ี ัดตอนมานี ้ มตี ัวละครทีด่ �าเนินเร่ืองไดแ้ ก ่ “ผม” และแม ่ โดยพฤติกรรม 2. นักเรียนสามารถยกตัวอยางนวนยิ าย ของผมสะทอ้ นบคุ ลกิ ของตวั ละครวา่ เปน็ เดก็ ชา่ งสงั เกต สนใจทจ่ี ะเรยี นรโู้ ลกกวา้ ง แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ยังคงมีความกล้าๆ กลัวๆ ตามประสาเด็ก ส่วนตัวละคร “แม่” สะท้อนแนวคิดส�าคัญเกี่ยวกับ พรอมวิเคราะหองคประกอบของนวนิยายได การเลยี้ งดลู กู ทผี่ เู้ ขยี นไดส้ อดแทรกไว ้ คอื พอ่ แมม่ สี ว่ นอยา่ งมากตอ่ การปลกู ฝงั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ของลกู เหน็ ไดจ้ ากตอนท ่ี “ผม” ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะเดนิ ขา้ มคลองแหง้ ๆ “แม”่ กผ็ ลกั ดนั ทจี่ ะใหก้ า้ วขา้ มไป นอกจากน้ียังเป็นแม่ท่ีตอบค�าถามของลูกในทุกๆ ข้อ จึงท�าให้ “ผม” เป็นเด็กท่ีมีความสุขกับ การสงั เกตและตั้งคา� ถาม ฉาก “บงึ หญา้ ปา่ ใหญ”่ เปน็ นวนยิ ายทพี่ รรณนาฉากไดน้ า่ สนใจ ใหร้ ายละเอยี ดชดั เจน แสดง ให้เห็นพฤติกรรมของท้ังพืชและสัตว์ เช่น อาการสะบัดใบของกล้วยป่า กิริยาอาการบินของนก นอกจากปา่ ใหญแ่ ลว้ เฉพาะทต่ี ดั ตอนมานย้ี งั มโี รงเรยี นเปน็ ฉากสา� คญั อกี ฉากหนง่ึ ผเู้ ขยี นบรรยาย ใหเ้ หน็ ทงั้ ลักษณะทต่ี ง้ั สภาพของโรงเรียน รวมถงึ บรรยากาศของการเปดิ เทอมวันแรก ซึ่งนับเป็น ประสบการณ์ร่วมทผ่ี อู้ า่ นทกุ คนเคยประสบมาก่อน จึงทา� ใหเ้ กิดภาพตามได ้ ทง้ั หมดถกู นา� เสนอ คผ่าวนรคภา่ าแษกา่กทา่ีเรรเียปบน็ งห่ายน ่งึ ชในัดหเจนนัง สกือล ๑วิธ๐ีไ๐ม ่ซเับลม่ซ ้อทน่ีเ ยจาึงวนชับนไไทด้วย่าคนววรนอ่าิยนา1ยเร่ืองน้ีมีความน่าสนใจ และ 37 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’51 ออกเก่ยี วกับประสิทธภิ าพในการอาน 1 หนงั สอื ๑๐๐ เลม ที่เยาวชนไทยควรอาน โครงการคัดเลือกหนงั สือดีทเี่ ดก็ และ ขอใดเปน การอานทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ เยาวชนไทยควรอา น เปนโครงการวจิ ัยตอเนื่องจากโครงการวิจยั คัดเลอื กหนงั สือดี 1. สุดาอา นแลว รูวาเร่ืองนมี้ ที มี่ าจากไหน ๑๐๐ เลม ทีค่ นไทยควรอา น โดยมีจุดมงุ หมายเพ่อื กระตนุ ใหเ ดก็ และเยาวชนไทยรกั 2. สุรียอ านแลวรวู า ตัวละครใดเปน ตัวเอก การอา นหนงั สอื มากขนึ้ และมคี มู อื ในการอา นหนงั สอื ดี โดยมหี ลกั เกณฑใ นการคดั เลอื ก 3. สุภาอานแลวรวู า สาระสาํ คัญของเรอื่ งคืออะไร ดังน้ี 4. สพุ จนอา นแลว รวู าตอนจบของเรือ่ งจะเปน อยางไร • เปน หนงั สือประเภทบนั เทงิ คดี ทเี่ ขียนข้นึ เองโดยไมจ าํ กัดยคุ สมยั วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. สุภาอานแลว รูวาสาระสาํ คัญของเรือ่ งคอื • มีความคิดรเิ ร่มิ สรา งสรรค มเี น้อื หาสง เสรมิ ความเขา ใจชีวิต สังคม และมี อะไร การอา นที่มปี ระสิทธิภาพมากท่ีสดุ คอื อานแลวจับสาระสําคญั ของ ศิลปะในการเขยี นทีด่ ี เรือ่ งได • มเี น้ือหา ทว งทํานอง ภาพประกอบเหมาะสมกับวยั • เปน การวางพ้นื ฐานในการอา นวรรณคดที ่ีเปน แบบฉบบั ของไทย คูม อื ครู 37
กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ๔. การอา่ นส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ดังตอไปน้ี • ในชีวิตประจําวันนักเรียนใชส ื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส ประเภทใดเปนสว นใหญ และนักเรยี นใชส อ่ื มนุษย์ในยุคปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยี ส่งผล อเิ ล็กทรอนกิ สสืบคน เนอื้ หาเรือ่ งราวเก่ยี วกบั ให้สามารถส่ือสารกันได้ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ จากความเจริญก้าวหน้าทางด้าน อะไรบา ง เทคโนโลยีท�าให้ติดต่อกันได้ในลักษณะของ สาํ รวจคน หา Explore เครอื ขา่ ยการส่ือสารขอ้ มูล (network) สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวกและ นกั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั ความหมายและ รวดเร็ว นอกจากน้ันเครือข่ายการสื่อสาร ความสําคญั ของส่ืออิเล็กทรอนกิ ส ประเภทของ แบบไรส้ ายทา� ใหก้ ารรบั ขอ้ มลู ขา่ วสารเปน็ ไปได้ สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส และแนวทางในการอานส่ือ โดยทั่วถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีทุกคนรู้จัก อเิ ลก็ ทรอนิกส คอื อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) ซง่ึ เชอื่ มโยงอปุ กรณ์ อธบิ ายความรู Explain คอมพิวเตอร์ท่ัวโลกเข้าด้วยกัน จากการท่ี 1. นกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเหน็ ในประเด็น อินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้ โดยไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ ตอ ไปนี้ • นกั เรียนคดิ วา สอื่ อเิ ล็กทรอนกิ สม ีความ ที่ใดในโลก จึงเป็นช่องทางในการแลกเปล่ียน สําคัญตอ การดาํ เนนิ ชวี ิตของคนในปจจุบัน อยางไร ▼ คอมพิวเตอรเปน ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกสทใ่ี ชส าํ หรับการคน ควา ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี บริการต่างๆ ถูก (แนวตอบ เปน ตน วา ชวยในการติดตอส่ือสาร สร้างข้ึนโดยอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทาง รวมถึงการคน ควา ขอ มูลขาวสารไดอ ยาง กวา งขวางรวดเรว็ ) ในการน�าสง่ เช่น จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ กระดานขา่ ว และบรกิ ารสนทนาโตต้ อบทันที เป็นต้น ๑) ความหมายของสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ 2. นกั เรียนจบั คู จากนั้นครูสุมนกั เรียน 2 - 3 คู รว มกันตอบคําถามหนาชั้นเรยี นในประเด็น ไดใ้ ห้ความหมายของคา� ว่า “สอ่ื ” ว่าหมายถงึ สง่ิ ที่ตดิ ต่อให้ถึงกัน ชกั น�าให้รู้จกั กนั สื่อหรือมเี ดีย (media) มรี ากศพั ทม์ าจากภาษาละตนิ แปลวา่ “ระหวา่ ง” ซงึ่ หมายถงึ สงิ่ ทบ่ี รรจขุ า่ วสารเพอ่ื กอ่ ให้ เกดิ การสอ่ื สารตามวัตถุประสงค์ จงึ กล่าวไดว้ า่ “ส่อื ” คือ ตัวกลางการนา� เสนอข้อมลู ข่าวสาร ส่ือมี วิวัฒนาการอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่รูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ หนังสือ แผนท่ี และรูปภาพไปจนถึงส่ือที่ ตอ ไปนี้ นา� เสนอขอ้ มลู ขา่ วสารโดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส”์ ซงึ่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร • ส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ สแบง ออกเปน ก่ปี ระเภท ทนี่ �าเสนอจะอยู่ในรูปของขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ และใช้อปุ กรณ์ในการอ่าน เชน่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ อะไรบา ง นกั เรยี นยกตวั อยางการใชส ื่อ อเิ ลก็ ทรอนิกสแตล ะประเภท ตั้งโตะ คอมพวิ เตอร์แบบพกพา โทรศพั ท์เคลอื่ นที่ เป็นต้น (แนวตอบ แบงเปน 2 ประเภท ไดแก ๒) ประเภทของสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ สส์ ามารถจา� แนกตามวิธกี ารเขา้ ถงึ ได้ สือ่ อิเลก็ ทรอนิกสป ระเภทออฟไลน ซ่งึ ขอ มูล ๒ ประเภทใหญๆ่ คือ สือ่ อเิ ล็กทรอนิกสป์ ระเภทออฟไลน์ และส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ ถูกเกบ็ ในอุปกรณบนั ทกึ อาทิ ซดี รี อม และส่อื อิเลก็ ทรอนกิ สประเภทออนไลน มีการเชอ่ื มโยงเครือขายขอมลู อาทิ 38 เครอื ขา ยอนิ เทอรเนต็ ) 3. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการสบื คน ขอมูลจากอนิ เทอรเ น็ต จากขอความตอไปนี้ คําใดไมส ามารถ ใชเ ปนคาํ หลกั ในการสืบคน ขอมลู ในการเรยี นการสอนเรื่องการอา นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สน้นั ครผู ูสอนอาจจัดกิจกรรม จากอินเทอรเ นต็ เรอื่ ง พายงุ วงชา ง โดยใหน กั เรียนไดเ รียนรจู ากสอื่ จริง เพ่ือเปนการกระตนุ ใหเกิดการเรยี นรแู ละเปน การเปล่ียนบรรยากาศการเรยี นการสอน ซึง่ จะชวยเรา ความสนใจของนักเรยี นไดดยี งิ่ พายงุ วงชา งมชี อ่ื เรยี กอกี อยางหนึง่ วา พายุนาคเลนนา้ํ หรือพวยนํา้ ข้ึน เชน การพาไปชมหอ งสมดุ โรงเรียน หอ งโสตทัศนศึกษา รวมถึงหองคอมพวิ เตอร ในทองถิ่นบางแหงเรียกวา ลมงวง หรอื ลมหัวกดุ ของโรงเรยี น เปน ตน การพานกั เรียนไปแหลง เรียนรอู ืน่ ๆ นอกหอ งเรียนน้นั นอกจาก จะกระตุน ความสนใจแลวยังเปน การเปดโลกทัศน และแนวทางการหาความรจู าก 1. งวงชาง แหลง เรียนรูต า งๆ ใหกบั ผเู รยี นอีกดว ย 2. พวยนาํ้ 3. ลมงวง การสอนเกย่ี วกับการสืบคน ขอมูลทางอินเทอรเ น็ตนอกจากครูผูส อนจะใหความรู 4. นาคเลนนา้ํ เก่ียวกับวธิ กี ารใชงานแลว ครผู สู อนควรเนนยา้ํ ใหผเู รียนตระหนักถึงอนั ตรายท่แี ฝงมา กบั การใชอินเทอรเ น็ตทีไ่ มถ ูกวธิ ี เพราะถึงแมอนิ เทอรเนต็ จะมีประโยชนแ ละสามารถ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. งวงชาง จากช่อื เร่อื งพายุงวงชา งเปน ภาษา ใชส ืบคนขอมูลขาวสารความรไู ด แตก ็มีคนใชเลหเ หล่ยี มกลโกงหลอกลวงคนทัว่ ไป ผูเ รียนจงึ ตอ งมวี ิจารณญาณในการใชส อื่ อินเทอรเน็ตใหถ ูกตอ งและเกดิ ประโยชน ปากท่ีไมเ ปนทางการ ในขณะที่ขออืน่ คาํ วา “พวยนาํ้ ” “ลมงวง” และ “นาค เลน นํา้ ” เปนคําหลกั ท่ใี ชในการสืบคนไดเพราะมีลกั ษณะเปน ทางการ เปนชอื่ ที่กรมอุตนุ ิยมวทิ ยาบัญญตั ขิ ้นึ มาใช หากสบื คน ดว ยคําดังกลาวก็จะปรากฏ ขอ มูลท่ีตองการ 38 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒.๑) สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สป์ ระเภทออฟไลน ์ คอื ขอ้ มลู ทถ่ี กู เกบ็ อยู่ในอปุ กรณบ์ นั ทกึ ขอ้ มลู 1. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย เช่น ซีดีรอม (CD-ROM) ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสก์ หรือดีวีดี (DVD) เป็นต้น ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ความรูใ นประเด็น ตอ ไปน้ี ประเภทนี้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้โดยตรงจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นต่างๆ เช่น • นักเรยี นคดิ วา การสืบคน ขอ มูลจากส่ือ ภาพยนตร์ ดนตรี สารานุกรม หรอื วารสารวิชาการในรูปของซีดีรอม หรือสอื่ ทนี่ �าเสนอบทเรียนจาก อเิ ล็กทรอนกิ สควรคาํ นึงถงึ เร่อื งใดบาง เอกสาร ตา� รา ใหอ้ ยู่ในรูปของสื่อการเรยี นการสอนทางคอมพวิ เตอร์ เชน่ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ อยางไร ภาษาไทยมธั ยมศกึ ษาปท ่ี ๔ บทเรียนคอมพิวเตอร์ในชีวติ ประจา� วนั เปน็ ตน้ (แนวตอบ พจิ ารณาความนา เช่ือถอื ของแหลง ๒.๒) ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ คือ ส่ือท่ีถูกเก็บอยู่ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ขอ มลู ความถกู ตอ งของขอ มูล ซ่ึงควรระบุ วอานื่ รสผา้อูร่าเนอจกะสเาขรา้ ถพงึ จสน่อื าไนดุกโ้ รดมยผเปา่ นน็ บตน้ริกาทร่ีใตหา่ บ้ งรๆกิ าขรอผงา่ เนคอรนิือเขท่าอยรก์เนาร็ตส1หื่อสรือาขรขอ้ ้อคมวาูลมปเชรน่ะชาหสนัมงั พสนัอื ธพ์ขมิ อพง์ แหลง อางอิง รวมถงึ พิจารณาความทันสมัย ของขอ มลู ดวย) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด หนว่ ยงานที่ส่งมาในรปู ของไปรษณียอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ หนังสอื พมิ พ์ออนไลนต์ า่ งๆ ขยายความเขา ใจ Expand ๓) แนวทางในการอา่ นสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ ๑. พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่ีน�าเสนอ อาจพิจารณาได้จากข้อมูลมีการ 1. ครูนําบทความทไี่ ดจ ากสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ สม า ใหน ักเรยี นศกึ ษา จากนัน้ ใหนักเรียนรว มกัน ระบชุ อ่ื ของผใู้ หข้ อ้ มลู หรอื แหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู วิเคราะห โดยใชค วามรทู ไี่ ดเรียนมา มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อน 2. นักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี • นักเรียนมีวธิ ีการจัดการกับขอมูลท่ีมี เผยแพร่ ความหลากหลายทน่ี ักเรียนสบื คน จากสื่อ อินเทอรเ นต็ อยา งไร ๒. พจิ ารณาความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู (แนวตอบ เปน ตนวา นักเรียนตอ งรูจักประเมนิ ความนา เช่ือถอื ของขอ มลู ท่ไี ดรับ ดว ยการ ทน่ี า� เสนอ ขอ้ มลู ทด่ี ตี อ้ งมคี วามถกู ตอ้ งครบถว้ น เปรียบเทียบ และการคดิ วิเคราะหข อมูลอยา ง รอบดา น) มกี ารอ้างองิ ข้อมลู มากกวา่ หน่งึ แหล่ง และควร 3. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ มีการระบวุ นั ที่ไว้ 4. นกั เรียนจับครู วมกนั สืบคนขอมูลจากสอ่ื ๓. พิจารณาความทันสมยั ว่ามีการ อิเลก็ ทรอนิกสประเภทออนไลน โดยครกู ําหนด หวั ขอประเด็นใดประเด็นหนึง่ ใหนกั เรยี น เปลย่ี นแปลงหรอื ปรบั ปรงุ ข้อมูลอยู่เสมอๆ โดย ▼ สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกสประเภทออนไลน ชวยใหผใู ชค อมพวิ เตอร รว มกนั สบื คน อาทิ บทความ ขา วสาร หรอื สาระ เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ ธุรกิจ สามารถสืบคนขอมูลผานบริการตางๆ ของเครือขายขอมูลได ความรู พรอ มวเิ คราะหค วามนา เชอื่ ถอื ของขอ มลู วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี อยา งรวดเร็ว ท่ีไดจ ากสื่ออิเล็กทรอนิกส จากนนั้ บันทึกความ เขาใจลงในสมดุ สงครู ¡ÒÃ͋ҹÊè×ÍÊèÔ§¾ÔÁ¾ ¼ÙŒÍ‹Ò¹¨ÐµŒÍ§ÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡èÕÂǡѺÊ×èÍÊÔè§¾ÔÁ¾ »ÃÐàÀ· ¢Í§Êè×Í ¡ÒÃ͋ҹÊ×èÍÊèÔ§¾ÔÁ¾»ÃÐàÀ·µ‹Ò§æ ¨Ðª‹Ç·íÒãËŒ¼ÙŒÍ‹Ò¹ÊÒÁÒöÊѧà¤ÃÒÐˤÇÒÁÃÙŒ¨Ò¡ ¡ÒÃ͋ҹÊèÍ× Êè§Ô ¾ÁÔ ¾ ËÃÍ× ÊÍ×è ÍàÔ Åç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê µÅÍ´¨¹ÊÒÁÒöÇÔà¤ÃÒÐË Ç¨Ô Òó áÅÐáÊ´§¤ÇÒÁ ¤Ô´à˹ç à¡ÕèÂÇ¡ºÑ ÊÍè× Êè§Ô ¾ÔÁ¾· èÕ͋ҹ䴌ÍÂÒ‹ §ÊÁàËµÊØ Á¼ÅáÅÐÁÕÇ¨Ô ÒóÞÒ³ 39 บรู ณาการเชอ่ื มสาระ เกร็ดแนะครู ครูบูรณาการความรูเร่อื งการอา นสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สเขา กับกลมุ สาระการ เรียนรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ครูผสู อนตอ งเนนยาํ้ ใหน กั เรยี นรูจักพิจารณาความนาเชอื่ ถอื ของขอมลู จากสอ่ื สอ่ื สาร เร่อื งเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซง่ึ เปน แหลง ขอมลู ท่สี าํ คัญในปจจุบัน อิเล็กทรอนกิ ส โดยเฉพาะสอ่ื อิเล็กทรอนิกสประเภทออนไลน เนอื่ งจากงานเขยี น ครูช้ใี หนกั เรยี นเหน็ ความสมั พันธร ะหวางการมคี วามรเู รื่องเทคโนโลยี หรอื ขอ มลู ที่ปรากฏอยูในเว็บไซตนนั้ ไมไ ดรับการยนื ยนั ขอ มูลทถี่ กู ตอ ง บางขอมลู สารสนเทศกบั การพิจารณาขอ มลู ดว ยทักษะการอานจากขอ มลู ที่นักเรยี นได กไ็ มมกี ารอางองิ และไมปรากฏช่ือผเู ขียน ทําใหการรับขอมูลจากอนิ เทอรเ น็ตนนั้ สืบคน ตองระมัดระวงั พอสมควร หากนาํ มาอา งอิงตองตรวจสอบความถูกตอ งและความ นกั เรยี นสามารถเขาถึงแหลงความรทู เ่ี ปนประโยชนต อ การศกึ ษาที่มี นาเชื่อถือกอ น นอกจากน้ี ตอ งระบวุ ันเวลาทส่ี บื คน ไวด ว ยเพราะขอมูลขา วสารยอม ความทันสมยั และกวางขวาง โดยการมีความรเู รอ่ื งเทคโนโลยสี ารสนเทศ มคี วามเปลีย่ นแปลงเสมอ และขอ มูลที่นักเรยี นไดรบั อาจจะเปนขอ มลู ท่ีไมท นั สมยั ควบคูไปกับทกั ษะการอานจะชวยใหน ักเรียนสามารถใชความรูดงั กลาวเปน ชอ งทางในการแลกเปลีย่ นขอ มลู ขา วสาร บริการตางๆ ไดอยา งเหมาะสม นกั เรยี นควรรู และเกดิ ประโยชนสูงสดุ 1 อินเทอรเนต็ มาจากคําวา อนิ เทอร (Inter) หมายถึงชองทางหรือทามกลาง สวนคาํ วา เน็ต (Net) หมายถึงเครือขาย (Network) อินเทอรเ น็ตจงึ หมายถึง เครือขายคอมพวิ เตอรข นาดใหญท ่มี ีการเช่อื มตอ เครือขา ยหลายๆ เครอื ขายทั่วโลก คูมอื ครู 39
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรยี นสามารถแบงประเภทของสอ่ื ได คาำ ถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ 2. นักเรียนยกตวั อยา งส่ือประเภทหนังสอื สื่อเพอ่ื ๑. การอ่านหนังสือพิมพ์ให้ความรทู้ ห่ี ลากหลายหรือไม่ อย่างไร การเผยแพร และส่ือเพอ่ื การบรรจภุ ัณฑ พรอม ๒. องคป์ ระกอบของเรื่องสัน้ นวนยิ าย มีความสา� คัญตอ่ การอ่านอย่างไร จงอธิบาย ความเรยี งวิเคราะหอ งคประกอบของส่อื 3. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหเ รือ่ งสนั้ ได และยกตัวอย่างประกอบ 4. นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งเร่ืองสน้ั พรอม ๓. การอา่ นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สม์ คี วามจา� เปน็ หรือไม่ อยา่ งไร วเิ คราะหอ งคประกอบของเรื่องส้นั ได ๔. การอา่ นสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์มแี นวทางในการอา่ นอยา่ งไร จงอธิบายพอสงั เขป 5. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหน วนิยายได ๕. การอา่ นเพ่ือตรวจสอบความรใู้ นเรอ่ื งท่นี กั เรยี นสนใจ มหี ลักในการอ่านอยา่ งไร 6. นักเรียนสามารถยกตัวอยางนวนิยาย พรอม วเิ คราะหอ งคป ระกอบของนวนิยายได จงยกตัวอย่างประกอบ 7. นกั เรยี นสามารถสบื คน ขอมูลจากส่ือ อิเล็กทรอนิกสได 8. นักเรียนสามารถยกตัวอยางขอมลู ท่ไี ดจ าก การสบื คนจากส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส และสามารถ วเิ คราะหข อ มลู ได หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ 1. ความเรียงสรุปสาระสําคญั จากการแบงประเภท ๑. ให้นกั เรียนรวบรวมสือ่ ส่งิ พมิ พ์ทเ่ี คยอา่ นในชีวิตประจ�าวนั แล้วชว่ ยกันแยกประเภท ของสอ่ื ของสอ่ื ส่งิ พิมพ์ พรอ้ มท้งั อธิบายลกั ษณะของสารท่สี อื่ น�าเสนอวา่ มีความแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร 2. ตวั อยา งสือ่ ประเภทหนงั สอื สอ่ื เพ่ือการเผยแพร และสอ่ื เพอ่ื การบรรจภุ ณั ฑ พรอ มความเรียง ๒. ให้นักเรียนแนะน�าสอื่ ส่งิ พมิ พ์ ๑-๒ ประเภท ให้เหมาะสมกบั วยั ของสมาชิก วิเคราะหองคป ระกอบ ในครอบครวั เพ่ือสง่ เสรมิ การอา่ นและพฒั นาความรู้ 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั เรอ่ื งสัน้ ๓. ให้นักเรียนเลือกอ่านนวนิยาย คนละ ๑ เรอ่ื ง หากเลอื กเรื่องซา้� กนั ให้รวมกลุม่ กัน 4. ตัวอยา งเร่ืองสั้น พรอ มความเรยี งวิเคราะห วิจารณน์ วนยิ ายตามโครงสรา้ งที่ไดศ้ ึกษา เพื่อพฒั นาทกั ษะการอา่ นและการแสดง ความคดิ เหน็ ร่วมกนั องคประกอบของเร่ืองสนั้ 5. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เกยี่ วกบั นวนยิ าย 40 6. ตัวอยางนวนยิ าย พรอ มความเรยี งวเิ คราะห องคป ระกอบของนวนยิ าย 7. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกบั การอานสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส 8. ตวั อยางขอมูลจากสือ่ อเิ ล็กทรอนกิ ส พรอ มวเิ คราะหขอ มูล 9. บันทึกการตอบคําถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. นักเรียนสามารถตอบไดอ ยางหลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น โดยนกั เรียนอาจกลาวถงึ ลักษณะของหนังสือพมิ พซงึ่ เปน สื่อทีใ่ ชใ นการเผยแพรขอ มูลขาวสาร รวมถึงสาระความรูและขอคดิ เห็น นกั เรียนจึงสามารถศกึ ษาขอ มลู ท่มี คี วามหลากหลาย ตลอดจนไดทาํ ความเขา ใจทรรศนะทมี่ ีความหลากหลายไดอกี ดว ย 2. องคป ระกอบของเร่ืองส้ันและนวนยิ ายถอื เปน สว นสาํ คัญในการทาํ ความเขาใจเนือ้ หา คณุ คาทางวรรณศลิ ป ตลอดจนสารสําคญั ทผี่ แู ตงตองการนําเสนอ รวมท้ังกอ ใหเกิด การตีความของผอู า น 3. นักเรียนสามารถตอบไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น เนือ่ งจากสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกสมีบทบาทสาํ คญั อยางมากในสงั คมปจจบุ นั เปนแหลง คน ควาขอ มลู ขาวสาร รวมถึงแหลงรวมส่ือบันเทงิ ตา งๆ นอกจากนี้ บทบาทท่สี าํ คัญคอื เปน ส่อื กลางในการสื่อสารระหวางบุคคลผานเครอื ขา ยออนไลน อาทิ จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส 4. แนวทางในการอา นส่อื อเิ ล็กทรอนกิ สตองพิจารณาความนาเชอ่ื ถอื ความถูกตอ ง แหลงอางอิง ตลอดจนความทันสมยั ของขอ มลู 5. การอานเพื่อตรวจสอบความรูในเร่ืองทีแ่ ตล ะคนสนใจ นักเรยี นควรเนน การคน ควา ขอ มูลความรตู างๆ อยางกวางขวาง รวมถึงวิเคราะหข อ มูลท่ีมีความหลากหลาย โดยอาศัยแหลง อางองิ ทมี่ คี วามนาเชอ่ื ถือ 40 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนท่ี ๑ 1. ตีความ แปลความ และขยายความเรือ่ งท่อี าน 2. วิเคราะหแ ละวิจารณเ รือ่ งทอี่ า นในทุกๆ ดาน อยา งมีเหตุผล 3. ตอบคําถามจากการอา นงานเขยี นประเภท ตา งๆ ภายในเวลาทีก่ ําหนด 4. อานเรือ่ งตา งๆ แลว เขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ บันทกึ ยอ ความ และรายงาน 5. สังเคราะหความรูจากการอา นสอื่ ส่งิ พิมพ สอ่ื อิเล็กทรอนิกสและแหลง เรียนรูตางๆ ฯลฯ การอา นแปลความ สมรรถนะของผเู รยี น ตีความ และขยายความ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร เปนการอานทีม่ ีความสมั พันธเกี่ยวเนือ่ งกัน 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวติ โดยการอา นแปลความเปน ทกั ษะพนื้ ฐาน 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี ของการอานตคี วาม และการอา นเพ่อื ขยายความ óหน่วยการเรียนรทู้ ี่ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค ถา สามารถแปลความเร่ืองทอี่ านไดแ ลว ก็ยอ ม ชว ยสง เสริมใหต ีความเรอ่ื งทอี่ าน และขยายความ 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมน่ั ในการทํางาน ไดในท่ีสดุ การศกึ ษาหลักเกณฑแ ละวิธีการอา น 3. รกั ความเปนไทย แตล ะประเภท ยอมชวยใหอานสารตา งๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพ การอา นแปลความ ตคี วาม กระตนุ ความสนใจ Engage และขยายความ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี • ตีความ แปลความ และขยายความเรอื่ งท่อี า่ น • การอ่านแปลความ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๒) • การอา่ นตคี วาม • ถา นกั เรียนอา นนวนยิ าย เร่อื งสนั้ หรือการต นู • การอ่านขยายความ เลมเดียวกบั เพอ่ื นของนกั เรยี น นกั เรียนคดิ วา • วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เร่อื งที่อา่ นในทุกๆ ดา้ นอยา่ งมีเหตุผล ความเขาใจเนอื้ หาในบทอานของนกั เรยี นมี (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓) ความแตกตางจากคนอนื่ หรือไม อยางไร และนกั เรยี นคดิ วา เกิดจากสาเหตุใด • ตอบค�าถามจากการอ่านงานเขยี นประเภทต่างๆ ภายในเวลา ทกี่ า� หนด (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๖) • อา่ นเรื่องตา่ งๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคดิ ผังความคดิ บันทกึ ย่อความ และรายงาน (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗) • สงั เคราะห์ความรู้จากการอา่ นสอ่ื สง่ิ พิมพ ์ สอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ และแหล่งเรยี นรู้ต่างๆ ฯลฯ (ท ๑.๑ ม.๔-๖/๘) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรูน ้ี ครคู วรแนะนาํ ใหนกั เรยี นตระหนักและเหน็ ความสําคัญของ การอา น การอานมีความสําคญั คือ ชวยใหผ อู า นมคี ลงั ขอ มูลอยูในสมอง เพราะการ อานเปน การรบั สาร ผอู านจะไดร ับความรตู า งๆ ทาํ ใหเ ปนผทู ่ีทันโลกทันเหตุการณ อยูเสมอ คลงั ขอมลู นีเ้ ปน พนื้ ฐานทจี่ ะนาํ ผูอ านไปสกู ารคิดไดค ดิ เปน ในอนาคต ฉะนัน้ การอา นจึงเปน แนวทางในการพัฒนาความคดิ ครคู วรเนน ทบทวนความรู และประสบการณเ ดิมในชีวิตประจาํ วันของนกั เรยี น เพ่ือใหน กั เรยี นไดท บทวนความรู และเชื่อมโยงเนอื้ หาในบทเรยี นกบั การดําเนนิ ชวี ิตของนักเรยี น และสามารถนําองค ความรูจากการเรียนการสอนไปประยุกตใ ชใ นชีวติ ประจาํ วนั ได นอกจากนี้ ครคู วร ช้ใี หน ักเรยี นเห็นความสําคัญในการพัฒนาทกั ษะดานการอา น ใหน กั เรียนสามารถ วเิ คราะหข อมลู ไดอยา งถูกตอง รวมถงึ ในการเรยี นการสอนเรื่องการอานแปลความ ตีความและขยายความนนั้ ครูผูสอนตอ งใหค วามสาํ คัญในเรือ่ งของการฝก คดิ วิเคราะห เพราะการอา นทั้งสามประเภทจะชว ยใหผูเ รียนมีสมั ฤทธผิ ลในการอาน มากขน้ึ ชวยทําใหผเู รยี นสังเคราะหความรูจากการอานไดถ ูกตองครบถวน คูม ือครู 41
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198