Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Published by pearyzaa, 2023-07-23 13:38:54

Description: 3411008TM-คม-ภาษาไทยหลักภาษา-ม4[211119]

Search

Read the Text Version

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ นักเรยี นรวมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็น นอกจากนี้มนุษย์ยังใช้ความคิดและถ่ายทอดความคิดเป็นภาษา ซ่ึงส่งผลไปสู่การกระท�า ตอไปน้ี ผลของการกระท�าส่งผลไปสู่ความคิด ความคิดท่ีดีย่อมช่วยกันธ�ารงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร ช่วยให้บุคคลปฏิบัติ • นกั เรยี นคิดวา ภาษาเปนเคร่ืองมือสาํ คญั ตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การเจรจาเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ หรือการติดต่อ ในการดํารงชวี ติ ของมนษุ ยอ ยางไร คา้ ขาย ลว้ นมภี าษาเปน็ สอื่ กลาง (แนวตอบ ภาษาเปน เครอื่ งมอื สอื่ สาร สรา ง ปฏิสมั พนั ธท างสงั คม โดยภาษาทําหนา ที่ ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา โดยใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การ ในการชว ยธํารงสงั คม ชว ยใหม นษุ ยพ ฒั นา อภิปรายโต้แย้งเพ่อื น�าไปสู่ผลสรปุ มนษุ ย์ใชภ้ าษาในการเรียนรู้ จดบันทกึ ความรู้ แสวงหาความรู้ ชวยจรรโลงใจและภาษาแสดงความเปน และช่วยจรรโลงใจด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษาจึงมีพลังในตนเอง เพราะภาษา ปจเจกบุคคล) ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การใช้ภาษา ถ้อยค�า จงึ ท�าให้เกดิ ความรูส้ กึ ตอ่ ผู้รบั สาร เชน่ เกิดความชืน่ ชอบ ความรกั ความรู้สกึ อคติ เหล่าน้ีล้วนเกดิ จากพลงั ของภาษา • นกั เรยี นคดิ วา ภาษากบั ความคดิ มคี วาม สมั พันธกนั อยา งไร ภาษาท่ีมนุษย์ใช้สื่อสารท้ังภาษาพูดและภาษาเขียนทั่วโลกน้ี ต่างมีพ้ืนฐานเดียวกัน คือ (แนวตอบ ภาษาเปนเครอื่ งมือในการพฒั นา เพอ่ื ใชต้ ิดต่อสือ่ สาร ท�าให้ผู้อ่นื มีความร้คู วามเข้าใจ ดงั น้ัน ทุกภาษาจึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกนั ความคิดขณะเดยี วกันความคดิ ก็พฒั นาภาษา เช่น มีการใช้เสียงและอักษรเพ่ือสื่อความหมาย หรือประกอบจากหน่วยเล็กๆ เป็นหน่วยใหญ่ ไปพรอ มกนั ดวย) ฯลฯ สิ่งเหล่านลี้ ้วนเปน็ ธรรมชาติของภาษา ผู้ทเ่ี ขา้ ใจธรรมชาติของภาษายอ่ มสามารถใชภ้ าษา ไดด้ ขี น้ึ ทงั้ ภาษาดง้ั เดมิ ของตนเองและภาษาตา่ งประเทศ อยา่ งไรกต็ ามสงิ่ ทผ่ี ใู้ ชภ้ าษาควรคา� นงึ ถงึ • นกั เรียนคดิ วา นกั เรียนมวี ธิ กี ารพฒั นา คือ พลงั ของภาษา เพราะภาษาสามารถสรา้ งสรรค์และทา� ลายได้ ดังน้ัน การใช้ภาษาใหถ้ ูกตอ้ ง ความคิดจากการใชภาษาไดอยางไร เหมาะสมย่อมช่วยธา� รงสังคมได้ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ทวี่ า จากคาํ กลา วท่วี า “ภาษามอี าํ นาจในการสรา งสรรค และทําลาย” นกั เรียนเห็นดวยกบั คาํ กลาว ขา งตนหรอื ไม อยางไร 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด 142 ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกยี่ วกบั ลักษณะทั่วไปของภาษา เกร็ดแนะครู ตามธรรมชาตขิ องภาษา ขอใดไมใช ลักษณะทว่ั ไปของภาษา 1. คําเกิดจากการนําเสียงในภาษามาประกอบกันเขา ครูผสู อนควรจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหน ักเรียนเกดิ การเรียนรไู ดด ว ย 2. นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เขียนเรยี งความสง เขา ประกวด ตนเอง นกั เรียนศกึ ษาคนควา บทความหรอื บทประพันธประเภทตา งๆ ทมี่ ีการนาํ 3. ประโยคนีม้ ี 2 ประโยครวมกนั โดยใชคําเชอื่ มชวยเชือ่ มความ เสนอเน้อื หาอยางหลากหลาย ไมว า จะเปนวรรณคดแี ละวรรณกรรม นักเรียนศึกษา 4. ปจ จบุ ันคนไทยหลายคนพดู เสยี งพยญั ชนะควบกลํา้ ไมไดเลย คน ควา บทความตา งๆ แลว ทาํ การเปรยี บเทยี บลักษณะการใชภาษารวมถึงกลวิธี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 6 เขียน การนําเสนอบทประพันธว า บทประพันธท ่ีนกั เรียนศึกษานน้ั เมอ่ื นักเรยี นอา นแลว เรียงความสง เขา ประกวด เพราะกลาวถึงการใชภาษาเขียน ซึง่ บางภาษายงั สามารถสรา งอรรถรสหรือรสทางอารมณท เี่ กิดข้ึนจากบทประพนั ธไ ดห รอื ไม อยางไร ไมมีอักษรแทนเสียงใช การใชภ าษาเขียนหรือในท่ีน้ี คอื การเขียนเรียงความ กิจกรรมนจ้ี ะทาํ ใหผ เู รยี นไดสัมผัสและเห็นถึงพลังของภาษาที่สงผลตอ ตัวนกั เรยี น จงึ ไมใ ชลักษณะทัว่ ไปของภาษาตางๆ โดยตรง การศึกษาทาํ ความเขาใจอรรถรสจากบทประพันธ ยอมชว ยใหน กั เรียน สามารถพิจารณาลกั ษณะการใชภาษา รวมถึงธรรมชาติของการใชภาษาในแตล ะ วฒั นธรรม การศึกษาภาษาควบคูกบั วัฒนธรรมหลากหลายของแตล ะยุคสมยั ยอ มชว ยใหน ักเรียนสามารถกา วขามกรอบความรูความคิด รวมถงึ ระบบคุณคาของ แตล ะยุคสมยั โดยไมยึดติดคุณคา ของยคุ สมยั ใดยคุ สมัยหนง่ึ เพยี งอยางเดยี ว 142 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ 1. นกั เรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกับพลังของ ภาษาได ๑. ภาษาในความหมายของนักเรียนคืออะไร จงอธิบายและยกตัวอย่าง ๒. อวจั นภาษามีความส�าคัญตอ่ การสอื่ สารหรอื ไม่ อยา่ งไร 2. นักเรียนสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั ความสาํ คัญ ๓. การเปล่ยี นแปลงของภาษามีอทิ ธิพลมาจากด้านใดบา้ ง จงอธิบาย ของภาษาได ๔. ภาษาเปอรเ์ ซียทน่ี า� มาใชใ้ นภาษาไทยมีค�าใดบา้ ง จงยกตวั อยา่ งประกอบ ๕. พลงั ของภาษาส่งผลอยา่ งไรตอ่ การสอ่ื สารในชวี ติ ประจา� วัน 3. นกั เรยี นสรุปสาระสาํ คญั เกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ ระหวางภาษากับความคิดได 4. นกั เรียนสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับวธิ กี ารพฒั นา ความคิดจากการใชภาษาได 5. นกั เรยี นสามารถประยุกตใ ชความรูเกี่ยวกบั พลงั ทางภาษาในชวี ิตประจาํ วนั ได กิจกรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. ให้นกั เรยี นเล่นเกมปรศิ นาคา� ทายจากภาษาท่าทาง แล้วร่วมกนั หาคา� ตอบที่ถกู ตอ้ ง 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกี่ยวกับธรรมชาติ ๒. ใหน้ กั เรยี นเขียนเลา่ เรือ่ งจากเคร่อื งหมายหรอื สญั ลักษณท์ ี่ครกู �าหนด แล้วนา� เสนอ รวมถึงความหมายความสาํ คญั และประเภทของ ภาษา พรอ มยกตัวอยางประกอบ หนา้ ชนั้ เรยี น ๓. ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ งเสียงในภาษาท่ีเกดิ จากการเลียนเสยี งธรรมชาติ เชน่ 2. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกบั ลกั ษณะ ทวั่ ไปของภาษา ไดแ ก เสียงส่ือความหมาย - เสยี งสัตว์ หนวยในภาษา การเปลีย่ นแปลงของภาษา - เสยี งฝน ลักษณะรว มและลักษณะเฉพาะของภาษา - เสียงอุทาน ระเบยี บแบบแผน พรอ มยกตวั อยา งประกอบ ๔. ใหน้ กั เรยี นยกตัวอย่างคา� ที่เกิดจากการเปล่ียนแปลงจากสิ่งแวดลอ้ ม รว่ มกนั รวมถงึ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมได อภิปรายและสรุปความรู้ท่ีไดร้ ับ ๕. ใหน้ ักเรียนยกตวั อยา่ งการใช้ภาษาที่ทา� ให้เกดิ ความสามัคคีในสังคม แล้วน�ามา 3. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกับพลังของ แลกเปลย่ี นกนั เพอ่ื สรุปความร้เู ก่ียวกับพลังของภาษาท่ีมตี อ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ภาษา ในสงั คม 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกับความสําคญั 143 ของภาษา 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเกยี่ วกบั ความ สัมพนั ธระหวางภาษากับความคดิ 6. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกบั วิธกี าร พัฒนาความคดิ จากการใชภาษา 7. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั การประยกุ ต ใชความรูพ ลงั ทางภาษาในชีวติ ประจําวันได 8. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. ความหมายของภาษาแบงออกเปน 2 ประเภท คือ ภาษาในความหมายกวาง หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พูดหรือวัจนภาษา ตัวอยางเชน คําพดู รวมถึงตวั อกั ษรท่ใี ชใ นการ สอื่ สาร และภาษาที่ไมใ ชคาํ พดู หรืออวัจนภาษา ตัวอยา งเชน สหี นา ทา ทาง สว นภาษาในอีกความหมายหน่งึ เปน ภาษาในความหมายแคบ หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พูด จะเปน คาํ พดู หรือลายลกั ษณอ กั ษร ซงึ่ เปนเครื่องหมายแทนคาํ พดู กไ็ ด 2. อวัจนภาษามีความสาํ คญั ตอการสือ่ สารเปนอยา งมาก เน่ืองจากอวจั นภาษาเปนองคประกอบหนง่ึ ในการสื่อสาร ชว ยใหก ารสอื่ สารมีประสทิ ธภิ าพ โดยผูรับสาร อาจตีความสีหนา ทา ทาง นํา้ เสียง บคุ ลกิ แววตา และทา ทางของผสู งสาร ท้ังดานเนื้อหาของสาร และอารมณความรสู กึ ของผูสงสาร เพอื่ ทาํ ความเขาใจสาร ขณะเดยี วกนั ผูสง สารก็สามารถตคี วามอวจั นภาษาของผูรับสาร เพ่ือใหเกิดการสอื่ สารไดอ ยา งเหมาะสมสอดคลองกบั ความตองการของผรู ับสาร 3. กระบวนการเปลย่ี นแปลงมีความสาํ คัญใน 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การเปลีย่ นแปลงอนั เกิดจากธรรมชาตขิ องการออกเสียง ไดแก การกลนื เสยี ง การกลายเสียง การตัด เสียง การกรอ นเสยี ง การสับเสยี ง รวมถึงการเปลยี่ นแปลงที่เกดิ จากการเลียนภาษาเด็ก 2. การเปล่ียนแปลงทางภาษาทเ่ี กดิ จากการรบั อทิ ธิพลจากภายนอก ไดแ ก การยืมคําภาษาตางประเทศแลว มกี ารดัดแปลงใหเ ขากับภาษาของตน รวมถึงการใชคาํ และสาํ นวนทต่ี างไปจากเดิมและ 3. การเปลย่ี นแปลงอันเกิดจากปจจยั ดาน ส่ิงแวดลอม การเกิดวิทยาการใหมๆ หรือรปู แบบวิถีชีวติ ท่เี ปลย่ี นแปลง สงผลตอ การเปลยี่ นแปลงดา นเสยี ง ความหมาย รวมถงึ การสรางคําใหมจากคําเดมิ ทส่ี งผลให ความหมายและหนาทขี่ องคําเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม 4. ตัวอยา ง เชน กุหลาบ กาหลิบ คาราวาน ฝรั่ง เปนตน 5. ภาษาสามารถสรา งสรรคส ังคม โดยการใชภ าษาเปน เครื่องมอื สอื่ สารสรางปฏสิ มั พนั ธท างสงั คม ทําหนา ทใ่ี นการชว ยธาํ รงสงั คม ชวยใหมนุษยพัฒนา ชวยจรรโลงใจ และแสดงความเปนปจเจกบคุ คล การใชภ าษาใหถกู ตอ งเหมาะสมยอมสามารถธํารงสังคมใหเกดิ ความสงบได นอกจากน้ี ภาษายังมีอํานาจในการทําลาย อาทิ การใช คาํ พดู หยาบคาย ใชภ าษาผิดระดบั รวมถึงสื่อสารไมตรงกบั เปา หมาย สงผลตอ การปฏบิ ัตทิ ค่ี ลาดเคล่ือนได คมู่ ือครู 143

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. อธิบายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และ ตอนที่ ๔ ลักษณะของภาษา 2. ใชค ําและกลุมคาํ สรา งประโยคตรงตาม วัตถปุ ระสงค สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลักษณะอนั พึงประสงค ภาษา 1. ใฝเ รยี นรู เปน เครอ่ื งมอื ทีม่ นษุ ยใ ชในการ 2. มุงม่ันในการทํางาน ตดิ ตอส่อื สาร การแลกเปลย่ี นความคดิ 3. รักความเปนไทย ความเห็น ทฤษฎี การถา ยทอดอารมณ ความรูส ึก มนษุ ยอาจใชภาษาเพื่อทาํ ใหเกดิ ความ กระตนุ้ ความสนใจ Engage òหนว ยการเรยี นรทู ี่ เขาใจ ความพงึ พอใจ และการโตแ ยง สงผลให กิจกรรมทใ่ี ชภาษามมี ากมาย เชน การใหขอ มูล การ นักเรยี นพิจารณาภาพหนา หนว ย จากน้ันครู ช้ีแจง การแสดงความเหน็ การโฆษณา การอภปิ ราย สนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ตลอดจนการสนทนาในชวี ติ ประจําวัน จงึ กลาวไดวา กิจกรรมในชวี ิตของมนุษยลว นแตอาศยั ภาษาท้ังสนิ้ • นกั เรียนคิดวา ภาพทป่ี รากฏหนา หนวยเปน ภาพอะไร ลกั ษณะของภาษาไทย (แนวตอบ หลักศลิ าจารกึ ) ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู กนกลาง • นกั เรียนทราบหรอื ไมวา ใครเปนผสู ราง • อธบิ ายธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา • ลกั ษณะของภาษา และสรางขึ้นในสมยั ใด และลกั ษณะของภาษา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑) • เสียงในภาษา (แนวตอบ พอขุนรามคําแหงเปนผสู รา ง • สวนประกอบของภาษา สรางขึ้นในสมัยสโุ ขทัย) • ใชค าํ และกลุมคาํ สรางประโยคตรงตามวัตถปุ ระสงค • องคประกอบของพยางคแ ละคํา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๒) • การใชคําและกลุมคําสรางประโยค • นักเรียนคดิ วา สงิ่ ปรากฏในภาพหนา หนวยมี ความสาํ คญั ตอประวัตศิ าสตรไทย และการ ใชภ าษาไทยอยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ ไดอยาง หลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนกั เรียน) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรนู ้ี ครูควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเก่ียวกบั คุณคา และ ความสําคัญของภาษาไทย โดยครูช้แี นะวา ภาษาไทยเปน เอกลกั ษณป ระจาํ ชาติ เปนสมบัติทางวัฒนธรรมอันกอใหเกดิ ความเปนเอกภาพ และเสริมสรางบคุ ลกิ ภาพ เปนเครอื่ งมอื ในการติดตอสอื่ สารความเขาใจ และสามารถส่อื สารไดตรงตาม จุดหมายไมวาจะเปน การแสดงความคิด ความตองการและความรูส กึ นอกจากน้ี คําในภาษาไทยยังมเี สยี งหนัก เบา มีระดบั ของภาษา ซง่ึ ใชใหเหมาะแกกาลเทศะ และบุคคล และเปนเครอ่ื งมอื ในการแสวงหาความรู ประสบการณ จากแหลง ขอ มูล สารสนเทศตางๆ เพอ่ื พัฒนาความรู ความคิด วเิ คราะห วจิ ารณ และสรา งสรรคให ทันตอการเปลยี่ นแปลงทางสังคม และความกาวหนา ทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี ตลอดจนนําไปใชในการพัฒนาอาชพี ใหมคี วามม่นั คง ท้งั ทางสงั คมและเศรษฐกจิ รวมถึงยงั เปนสื่อท่ีแสดงภูมปิ ญญาของบรรพบรุ ษุ ดานวัฒนธรรม ประเพณี โดย บนั ทึกไวเ ปน วรรณคดแี ละวรรณกรรมอนั ล้าํ คา ภาษาไทยจงึ เปน สมบตั ขิ องชาติที่ ควรคา แกก ารเรียนรู เพ่ืออนรุ ักษแ ละสืบสานใหคงอยคู ูชาติไทยตลอดไป 144 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ลภาักษษาไทณยเปะ็นสภาำ�ษคาทญั ี่อยขู่ในอตรงะกภูลภ�าษษา�ค�าไโทดด1ย มีลักษณะเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่าง นักเรยี นรวบรวมชือ่ เพ่อื นในช้ันเรยี นทั้งชอื่ จรงิ และชื่อเลน จากนัน้ ครสู นทนาซักถามกระตนุ จากภาษาอื่น ดังนี้ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ๑) คำ� ภำษำไทยแทส้ ว่ นใหญม่ พี ยำงคเ์ ดยี ว และมคี วามหมายสมบรู ณ์ในตวั เอง มกั เปน็ คา� • นักเรยี นทราบความหมายของชอ่ื เพื่อน ท่ีใชเ้ รยี กสง่ิ ตา่ งๆ ตลอดจนกริ ยิ าอาการของมนษุ ย ์ เชน่ คนใดบาง และชื่อเพ่อื นคนดังกลาว มคี วามหมายวาอยางไร คำ� ทใ่ี ชเ้ รยี กชอ่ื ตวั อยำ่ งคำ� • นักเรียนคดิ วา ชื่อเพอื่ นคนใดทั้งท่เี ปน ชอ่ื จริงและช่อื เลน มีทมี่ าจากภาษาไทยหรอื ภาษาอืน่ นักเรียนมีวธิ กี ารสงั เกตอยา งไร เครอื ญาติ พอ่ แม ่ ป ู่ ยา่ พ ี่ นอ้ ง ลงุ ปา้ นา้ อา สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย หวั หนา้ คอ ตา ควิ้ ห ู ปาก คาง ลนิ้ สงิ่ ของเครอ่ื งใช้ เสอ้ื ผา้ ถว้ ย ชาม ชอ้ น โอง่ ไห จอบ เสยี ม สา� รวจคน้ หา Explore กริ ยิ าอาการ ไป มา นอน วงิ่ นงั่ ยนื พดู กนิ นักเรยี นสืบคนเกีย่ วกบั ลักษณะสาํ คญั ของ ๒) ภำษำไทยเปน็ ภำษำทไ่ี มม่ กี ำรเปลย่ี นแปลงรปู ศพั ท ์ คา� แตล่ ะคา� มคี วามหมายสมบรู ณ์ ภาษาไทย พรอมสํารวจรายชอ่ื ของเพ่อื น ในตวั เอง ใชไ้ ดอ้ ยา่ งอสิ ระ โดยไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงรปู ศพั ท์ไปตามเพศ พจน ์ กาล เพราะภาษาไทย รว มชนั้ เรยี นจากกจิ กรรมกระตุนความสนใจ จะใชค้ า� อน่ื มาประกอบ หรอื อาจทราบไดจ้ ากบรบิ ท เปรยี บเทยี บกบั ภาษาบาล ี ซงึ่ มกี ารเปลย่ี นแปลง อธบิ ายความรู้ Explain รปู ศพั ท์เพ่ือบอกเพศ เชน่ กมุ าร หมายถงึ เดก็ ชาย กมุ ารี หมายถึง เดก็ หญงิ หรอื เทวะ หมายถึง เทวดาชาย เทว ี หมายถงึ เทวดาหญิง ๓) ภำษำไทยสะกดตรงมำตรำ มาตราตวั สะกดในภาษาไทยมี ๘ มาตรา ซึ่งค�าไทยแทม้ ี 1. นกั เรียนพจิ ารณารายชือ่ เพอื่ นที่รวบรวมมา จากนนั้ รว มกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ ตวั สะกดตรงตามมาตรา เช่น แม่กก ใช ้ “ก” เปน็ ตวั สะกด คา� ท่ีสะกดดว้ ย “ก” มักเป็นคา� ไทยแท้ • นกั เรยี นบอกไดห รอื ไมวา ชอ่ื เพอ่ื นคนใด เชน่ มกั ชกั นกั เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ ามมคี า� ในภาษาไทยบางคา� ทม่ี ตี วั สะกดไมต่ รงตามมาตรา เชน่ เปนคําภาษาไทย และนักเรียนมวี ธิ กี าร ตวั สะกดแมก่ ด นอกจากใช้ “ด” สะกดแลว้ ยงั ใช้อักษรอน่ื สะกด เช่น ดจุ รส บท เป็นตน้ เนอื่ งจาก สงั เกตอยา งไร ได้รบั อทิ ธพิ ลค�าภาษาตา่ งประเทศท่ีไทยรบั เขา้ มาใช้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา งช่ือ ของเพ่ือนจากการปฏิบตั กิ ิจกรรมและต้งั ๔) ภำษำไทยมีกำรเรียงค�ำในประโยค ระบบไวยากรณ์ภาษาไทยถือว่าการเรียงค�า สมมตฐิ านหรือขอสังเกตไดอยา งหลากหลาย ในประโยคมีความส�าคัญ หากเรียงค�าในต�าแหน่งต่างๆ สลับที่กันจะท�าให้ความหมายเปลี่ยนไป ขึ้นอยกู บั เหตุผลของนักเรยี น) เพราะคา� ไทยบางคา� มหี ลายความหมายและทา� หน้าที่ไดห้ ลายหน้าท ่ี ดังเชน่ ค�าว่า “ขนั ” คำ� ทใี่ ชเ้ รยี กชอื่ ทำ� หนำ้ ท่ี ควำมหมำย • จากกจิ กรรรมขางตน นักเรยี นคิดวา ภาษาไทยมลี กั ษณะอยา งไร ยกตวั อยา งมา ขนั ใบนซ้ี อ้ื ทไ่ี หน เปน็ ประธานของประโยค ภาชนะสา� หรบั ตกั หรอื ใสน่ า�้ 2 ลกั ษณะตัวอยา ง นายขนมตม้ ขนั อาสาตอ่ ยมวยจนชนะ กรยิ า เสนอตวั เขา้ รบั ทา� ดว้ ยความเตม็ ใจ (แนวตอบ ลักษณะคําในภาษาไทย 2 ลักษณะ นอ้ งพดู จานา่ ขนั เปน็ สว่ นขยายกรยิ า นา่ หวั เราะ ชวนหวั เราะ คือ 1. คาํ ภาษาไทยเปนคาํ โดด สวนมากเปน คําพยางคเ ดยี ว ใชเ รยี กสงิ่ ของตา งๆ เชน 145 ลงุ อา แม ว่งิ เปน ตน และ 2. ภาษาไทย สะกดตรงตามมาตราตวั สะกด) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดมคี ําไทยแทท ุกคาํ ในการจัดการเรยี นการสอนเก่ยี วกบั ลักษณะสาํ คญั ของภาษาไทย ครคู วรเนน 1. นารตี กกระไดพลอยโจนกับบุรษุ หลงั จากดใู จกนั มานาน ใหนกั เรยี นสังเกตคํา รวมถงึ วิธีการใชภาษาทีป่ รากฏในชวี ิตประจาํ วนั ของนักเรยี น 2. พอฝนจะตกกร็ บี กลบั บานทนั ที เปน หลัก จากนัน้ ใหน ักเรยี นต้ังขอ สงั เกตเกย่ี วกบั วธิ กี ารใชค าํ หรอื สาํ นวนที่ปรากฏ 3. สตั วเ ลีย้ งลูกดวยนา้ํ นมตกลกู คร้ังละตวั พรอ มใหนักเรยี นตง้ั สมมติฐานทเี่ กิดจากขอสงั เกต เปนการฝก ทักษะการคดิ วิเคราะห 4. เพ่อื นชวนเขาไปเรียนตอ ที่กรุงเทพฯ เขาจงึ ตกลงใจแตงงานกนั เพื่อชวยใหน ักเรยี นเกดิ ความรคู วามเขาใจในหวั ขอ ทน่ี กั เรยี นไดเรยี นรูมากย่ิงข้ึน นอกจากนี้ ในการต้งั ขอสังเกตคาํ ในภาษาไทย นักเรียนควรคาํ นึงวา คําในภาษาไทย วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. พอฝนจะตกก็รบี กลบั บา นทนั ที สว นขออ่นื ๆ ทีต่ วั สะกดตรงตามมาตราอาจเปน คําที่มาจากภาษาอื่นไมใ ชภ าษาไทยแทได เชน เกิด เดนิ เดมิ มาจากภาษาเขมร ชน เปน ภาษาบาล-ี สนั สกฤต เปนตน มีคาํ จากภาษาอื่น ดังน้ี ขอ ท่ี 1. คาํ วา บรุ ษุ เปน คาํ ภาษาสันสกฤต ขอ ท่ี 3. คาํ วา สัตว เปน คาํ ภาษาบาลีสันสกฤต สว นขอ ที่ 4. คาํ วา กรงุ เทพฯ เปนคาํ ภาษาบาลีสนั สกฤต นักเรยี นควรรู 1 คาํ โดด ภาษาแบบท่ีใชค ําที่มลี ักษณะโดดๆ คือ ไมม ีการเปล่ียนแปลงรูปไปตาม หนาท่หี รือตามความสมั พันธท างไวยากรณเ ก่ียวเนอ่ื งกบั คําอนื่ คมู่ อื ครู 145

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. พิจารณาประโยคจาํ นวน 3 ประโยค และรว มกัน ๕) ภาษาไทยจะวางค�าขยายไวห้ ลังค�าที่ถูกขยาย เน่อื งจากภาษาไทยเป็นภาษาเรยี งคา� ตอบคาํ ถามตอไปน้ี ตอ ไปนี้ หากมีค�าขยายจะวางอยู่หลังค�าและอยู่ติดกับค�าที่ถูกขยาย เช่น น้องร้องเพลงเสียงหวานไพเราะ ขนั ใบนี้สีเขียว นอ งขนั อาสาแบกทรายถมถนน แมวนอนใต้โตะ๊ ท�างานหอ้ งพ่อ เพือ่ นฉนั พดู จานา ขนั • นกั เรียนคดิ วา คําวา “ขัน” ทป่ี รากฏใน ๖) ภาษาไทยมคี า� ลกั ษณนาม คา� ลกั ษณนามเปน็ คา� ทบ่ี อกลกั ษณะของนามขา้ งหนา้ มกั ใช้ ขอความขา งตน มีความแตกตา งกันในดานใด ตามหลงั คา� วเิ ศษณ์บอกจา� นวน เช่น กระเทยี ม ๔ กลีบ ตะกร้า ๒ ใบ ฯลฯ และใช้ตามหลงั คา� นาม บา งอยางไร แสดงลักษณะภาษาไทยอยางไร ท่ัวไปเพื่อเน้นน้�าหนัก และเพ่ือบอกให้ทราบลักษณะของค�านามน้ัน เช่น นิยายเร่ืองน้ีสนุกมาก (แนวตอบ ตา งในดา นความหมายและหนาที่ น้า� ตกแห่งนัน้ สวยงาม ธนคู นั น้ีของใคร ฯลฯ ของคาํ แสดงลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย โดยในประโยคแรกเปน ภาชนะ สวนคาํ ท่ีสอง ๗) ภาษาไทยมกี ารสรา้ งคา� ขนึ้ ใหม่ โดยวธิ กี ารประสมคา� การซอ้ นคา� การซา�้ คา� การสมาส หมายถึง การเสนอตัวเขารับทาํ งานดว ย และการสนธิ ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ ความเต็มใจ และคําท่ีสามแสดงอารมณ ชวนหัวเราะ) การประสมคา� การซอ้ นคา� การซา้� คา� การสมาส การสนธิ แมบ่ า้ น แขง็ แกรง่ เลก็ ๆ อทุ กภยั พทุ ธนั ดร 2. นักเรยี นพจิ ารณาประโยคจํานวน 3 ประโยค ขายหนา้ บา้ นเรอื น นอ้ ยๆ คณติ ศาสตร์ สมาคม ไดแ ก ฉันตีสุนขั สุนัขตีฉัน ตีสนุ ัขฉัน ยางลบ เกรงกลวั สวยๆ มนษุ ยชาติ ราชปู โภค • นกั เรียนคิดวา ประโยคท้งั สามประโยคขางตน มีความหมายเหมอื นกันหรือไม แสดงลกั ษณะ ๘) ภาษาไทยมเี สยี งวรรณยุกต์ ค�าในภาษาไทยมีการใช้วรรณยุกต์ ซึ่งการใช้วรรณยุกต์ ภาษาไทยอยางไร ท่ีแตกต่างกนั น้สี ง่ ผลให้ความหมายของคา� เปลี่ยนไป ทา� ให้มคี า� ในภาษาเพิม่ มากขึ้น เชน่ (แนวตอบ ภาษาไทยเปน ภาษาเรียงคํา เมอ่ื สลับตาํ แหนง ของคําในประโยคสง ผลให คา หมายถงึ คา้ งอยู่ ตดิ อยู่ ความหมายเปลี่ยนไป) คา่ หมายถงึ ราคา คณุ ประโยชน์ คา้ หมายถงึ หาของมาขาย ซอ้ื ขายแลกเปลยี่ น 3. ครูยกตัวอยา งคําหรือประโยคภาษาไทยให ๙) ภาษาไทยมีระดับ ประเทศไทยมีวัฒนธรรมทางภาษา มีการใช้ค�าพูดให้เหมาะสม นกั เรยี นพจิ ารณา จากนนั้ ใหน กั เรียนตอบ แก่บุคคลตามกาลเทศะ ระดับฐานะของบุคคล จึงท�าให้ภาษามีหลายระดับ เช่น ค�าราชาศัพท์ คําถาม โดยพจิ ารณาเพม่ิ เตมิ จากเกร็ดแนะครู สา� หรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชสกลมหาสังฆปรณิ ายก พระสงฆ์ คา� สุภาพ หรือแม้แต่ภาษากวี เปน็ ต้น ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑๐) ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขยี นและจงั หวะในการพูด เพอื่ กา� หนดความหมายที่ ต้องการ หากแบ่งวรรคตอนผิด หรอื พูดเว้นจังหวะผดิ จะทา� ให้ความหมายเปล่ียนแปลงไป นกั เรยี นยกตวั อยางเสียง คํา หรือประโยคท่ี แสดงลกั ษณะภาษาไทย พรอมใหเหตผุ ลประกอบ จากนั้นนักเรียนรว มกันสรปุ ลักษณะของภาษาไทย ตรวจสอบผล Evaluate นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญและวิเคราะห 146 ลักษณะภาษาไทยได เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT คาํ วา “ขนั ” ขอ ใดมีหนา ทข่ี องคาํ แตกตางจากขอ อื่นมากที่สุด ในการจัดการเรยี นการสอนเกย่ี วกบั ลกั ษณะสาํ คญั ของภาษาไทย ครคู วรเนน ให 1. เขาพดู เรื่องขาํ ขนั นักเรียนสังเกตคํา จากการยกตวั อยา งลกั ษณะสาํ คัญของภาษาไทยมรี ายละเอยี ด 2. ไหนขันทฉี่ นั ตองการ ดงั ตอ ไปน้ี 1. ภาษาไทยเปน ภาษาเรียงคาํ คาํ ขยายจะวางหลงั คําที่ถูกขยาย เชน พี่ 3. เขาขนั อาสาชวยเหลือเรา รอ งเพลงไทยสากล เปนตน 2. ภาษาไทยมคี าํ ลกั ษณะนามใช เชน ปากกา 2 ดาม 4. เม่ือเชา นี้ ไกขนั เสียงดงั มาก คาํ วา “ดาม” เปนคําลกั ษณนาม เปนตน 3. ภาษาไทยมกี ารสรางคาํ ข้ึนใหมโ ดยวธิ ี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ไหนขันที่ฉนั ตองการ คําวา ขนั ในประโยคนี้ การประสมคํา การซอ นคํา การซํ้าคํา การสมาสคาํ รวมถงึ การสรางคาํ ดวยวิธีการ เปนคาํ นาม สว นในขอ อน่ื ๆ เปนคํากริยา ทง้ั กริยาหลักและกริยาชวย ฉะน้ัน สมาสอยา งมีสนธิ ตัวอยา งการสรา งคําลักษณะตางๆ เชน หมอดู หนาแนน เด็กๆ คําวา ขนั ในขอ ที่ 2. จึงทําหนาท่ีแตกตา งจากขอ อน่ื ๆ มากทีส่ ดุ สงั คมสงเคราะห คุณานุคณุ เปน ตน 4. ภาษาไทยมกี ารเปล่ยี นระดบั ของเสียงคํา โดยมกี ารใชว รรณยุกต เมื่อเปล่ยี นเสยี งวรรณยุกตความหมายยอมเปลย่ี นไปดวย เชน ปา ปา ปา เปน ตน 5. ภาษาไทยมรี ะดับภาษา โดยเปน การใชคาํ พดู ให เหมาะสมแกบ ุคคลและกาลเทศะ เชน คณุ พอ ไปนิมนตพ ระมาทําบญุ บา น ใชค าํ วา “นิมนต” หมายถงึ เชญิ เปน คําที่ใชเฉพาะภกิ ษุสงฆ เปนตน 146 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒ . เสียงในภ�ษ� นักเรยี นพจิ ารณาขอ ความ จากน้นั นักเรียน รว มกันตอบคาํ ถาม ดังตอไปน้ี 1. กา กา กา กา กา เสียงท่ีคนทุกชาติทุกภาษาก�าหนดข้ึนใช้สื่อความเข้าใจ ย่อมมีจ�านวนจ�ากัด แต่มิได ้ 2. จา จา จา จา จา หมายความวา่ ผใู้ ชภ้ าษาจะออกเสยี งท่ีไมม่ ีในภาษาของตนไมไ่ ด ้ เพยี งแตต่ อ้ งใชก้ ารฝกึ ฝนมากบา้ ง 3. ดา ดา ดา ดา ดา นอ้ ยบา้ ง ตามความถนดั และความสามารถของแตล่ ะคน การทเ่ี สยี งในภาษามจี า� กดั เครอ่ื งหมาย • นกั เรียนคดิ วา การเปลีย่ นแปลงเสยี ง ทใี่ ชแ้ ทนเสยี งซง่ึ สว่ นใหญก่ ค็ อื ตวั อกั ษร จงึ มจี า� กดั ไปดว้ ย เสยี งในภาษาไทยเมอื่ เทยี บกบั ภาษาอนื่ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาษาไทยมีเสียงมากกว่า ท�าให้การถ่ายเสียงเป็น วรรณยุกตท่ีปรากฏขางตน สงผลตอ ภาษาไทยเป็นไปได้ค่อนข้างดี และแม้ในภาษาอังกฤษจะปรากฏเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย เช่น ความหมายทเ่ี ปลีย่ นไปหรือไม อยา งไร /r/ /sh/ /zเส/ ยี กงต็ ใานมภาษาไทย1มี ๓ เสยี ง คอื เสยี งสระ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งวรรณยกุ ต ์ ดงั นี้ แสดงถงึ ความสําคญั ของเสยี งวรรณยุกตใน ภาษาไทยอยา งไร ๑) เสียงสระและรูปสระ เสียงสระ หรือเรียกว่า เสียงแท้ เพราะเป็นเสียงท่ีผ่านล�าคอ (แนวตอบ แสดงใหเ ห็นวา ภาษาไทยมกี าร ออกมาโดยตรงไมถ่ กู ปิดหรือถูกกกั ณ ที่ใดทหี่ นึ่งเลย หากเสียงที่เปล่งออกมาถูกปิดหรือถกู กักจน เปล่ยี นระดบั ของเสยี งคํา เมื่อเปล่ยี นเสยี ง เสียงเปลยี่ นไปหรือแปรไป ก็จะเป็นเสยี งแปร หรอื เสียงพยญั ชนะ ในการเปลง่ เสยี งแตล่ ะครง้ั จะมี วรรณยุกตค วามหมายยอ มเปลย่ี นไปดวย) เสยี งสงู ๆ ตา่� ๆ ตา่ งกนั ซง่ึ ไมว่ า่ ในภาษาใดกย็ อ่ มมเี สยี งสงู ๆ ตา่� ๆ ในการพดู ทงั้ สน้ิ แตท่ พ่ี เิ ศษสา� หรบั สา� รวจคน้ หา Explore ภาษาไทย คือ การก�าหนดให้เสียงสูง-ต�่ามีความหมาย กล่าวคือ เมื่อเปลี่ยนระดับเสียงของค�า ส่งผลให้ความหมายของค�าน้ันเปล่ียนแปลงไปด้วย เรียกเสียงระดับต่างๆ ที่ก�าหนดข้ึนน้ีว่า นกั เรียนสืบคน ขอ มูลเก่ียวกับเสียงในภาษาไทย เสียงวรรณยุกต์ ภาษาไทยมเี สยี งสระเดยี่ วหรอื สระแท ้ ๙ ค ู่ หรอื ๑๘ หนว่ ยเสยี ง สระประสมหรอื สระเลอ่ื น อธบิ ายความรู้ Explain ๓ หนว่ ยเสยี ง ดงั น้ี 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ความรูในประเดน็ ตอ ไปน้ี ลิน้ ส่วนหน้า ลิ้นส่วนกลาง ลิน้ ส่วนหลงั 2 • เสยี งในภาษาไทยประกอบดว ยเสียงใดบา ง อิ อี อึ อือ อุ อู สระเด่ยี ว ๙ คู่ ๑๘ หนว่ ยเสียง และเสียงในภาษาไทยแตละประเภทมีความ เอะ เอ เออะ เออ โอะ โอ แตกตา งกันอยางไร แอะ แอ อะ อา เอาะ ออ (แนวตอบ เสียงในภาษาไทยมี 3 เสยี ง คือ เสียงสระ เสยี งพยญั ชนะ และเสียง วรรณยุกต เสยี งในภาษาไทยท้ัง 3 เสยี ง อี เอ=+ยี อา ออื เอ=+ือ อา อู +อ=+ัวอูอา สระประสมปัจจุบันกา� หนด มีความแตกตางกัน ดงั นี้ เสียงสระหรอื เสยี ง เพยี ง ๓ หน่วยเสียง แท เปน เสยี งท่ีผานลําคอออกมาโดยตรง ไดแ้ ก่ เอีย เอือ และอวั หากเสียงที่เปลง ออกมาถกู ปดหรือถกู กกั จน เสยี งเปลย่ี นไป หรอื แปรไป กจ็ ะกลายเปน เสียงแปร หรอื เสียงพยญั ชนะ และเสยี งสูง- 147 ตํ่าทเี่ ปลง ออกมาทุกครั้ง ทําใหค วามหมาย ของคาํ เปลีย่ นไปเรียกเสยี งวรรณยุกต) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั เสียงสระประสมในภาษาไทย นกั เรยี นควรรู ขอ ใดมเี สียงสระประสม 1 เสยี งในภาษาไทย ภาษาทุกภาษาใชเ สยี งส่ือความหมาย เสียงประกอบขน้ึ 1. โบราณวา เปนขาจอมกษตั ริย เปน คาํ คําประกอบขึ้นเปน ประโยค บางภาษาเทานนั้ ทมี่ ตี ัวเขียนใชแทนความหมาย 2. ราชสวัสดิ์ตองเพียรเรยี นรกั ษา ภาษาไทยเปนภาษาหนง่ึ ท่ีมรี ะบบการถา ยเสยี งเปน ตวั อกั ษร ภาษาเขยี นของไทยใช 3. ทานกําหนดจดไวในตํารา ตัวอักษรแทนเสียง 3 เสียง คือ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสียงวรรณยกุ ต 4. มมี าแตโบราณชานานครนั ทกุ ภาษาตองมีเสยี งสระและเสียงพยัญชนะ มีบางภาษาเทา นัน้ ท่มี ีเสียงวรรณยกุ ต อาทิ ภาษาไทย ภาษาจนี วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ราชสวัสด์ติ องเพียรเรียนรักษา เพราะเสียง 2 สระเดี่ยว หรอื เรยี กอกี อยางวา สระแท คอื เสยี งสระท่ีขณะออกเสียงลกั ษณะ ของลิ้นและรมิ ฝปากจะมีตาํ แหนงคงท่ี ไมม ีการเปลย่ี นแปลง แบงเปน สระเสยี งส้นั 9 สระประสมมี 3 เสียง คอื เอยี เออื อัว ขอท่ี 2. มีสระประสมจาํ นวน 1 เสยี ง จากสระเอยี ในคําวา เพียร และเรียน เสียง ไดแก อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ และเออะ สระเสยี งยาว ประกอบดวย เสียงสระจํานวน 9 เสยี ง ไดแก อา อี อือ อู เอ แอ โอ ออ และเออ แบงตามลกั ษณะ ของล้นิ และริมฝป าก เปน สระหนา 6 เสยี ง (สระทเ่ี กดิ จากลน้ิ สวนหนา ) ไดแก อิ อี เอะ เอ แอะ แอ สระกลาง (สระทเี่ กดิ จากล้นิ สว นกลาง ประกอบดว ยเสียงสระ จํานวน 6 เสยี ง ไดแ ก อึ ออื เออะ เออ อะ อา และสระหลงั (สระทีเ่ กดิ จากลน้ิ สวน หลัง) มีเสียงสระจํานวน 6 เสยี งไดแก อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ คู่มอื ครู 147

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นจัดกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันตอบ โดยปกตจิ ะเขยี นรปู สระอยา่ งงา่ ยๆ ดงั นี้ คําถามในประเด็น ตอ ไปนี้ สสรระะแปทระ ้ ส -มะ1 - าเ- ยี - เ ิ- อื- ี -- ึวั - ื - ุ - ู เ-ะ เ- แ-ะ แ- โ-ะ โ- เ-าะ -อ เ-อะ เ-อ • สระในภาษาไทยมีทัง้ หมดกีเ่ สียง (แนวตอบ สระในภาษามีทั้งหมด 21 เสียง) เมอ่ื เตมิ รปู พยญั ชนะ ลงตรงชอ่ งวา่ ง (-) จะอา่ นออกเสยี งได ้ เชน่ นะ นา โน เปน็ ตน้ • สระในภาษาไทยมกี ารแบงอยางไร นักเรียน การรจู้ กั รปู สระชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจการสะกดคา� เชน่ คา� วา่ เตา ถา้ รวู้ า่ สระเอา ประกอบดว้ ย ยกตวั อยา งประกอบ รูปสระ ๒ รูป คือ เ- (ไม้หน้า) กับ -า (ลากข้าง) เวลาสะกดค�า จะบอกอย่างถูกต้องว่า (แนวตอบ ในภาษาไทยมีสระ 12 คู สระแท 9 ต-สระเอา ออกเสยี งวา่ เตา ไมใ่ ช ่ สระเอ-ต-สระอา แลว้ ออกเสยี งวา่ เตา คู และสระเลื่อน 3 เสยี ง สวนเสียง อวั ะ เออื ะ ๒) เสยี งพยญั ชนะและรปู พยญั ชนะ พยญั ชนะไทยม ี ๔๔ รปู หรอื ๔๔ ตวั แต่ใชเ้ สยี ง และเอยี ะ ปจจบุ ันไมจดั เปน เสียงสระในภาษา- ซ้�ากันหลายตัว จึงเหลือเสียงเมื่อเป็นพยัญชนะต้นเพียง ๒๑ เสียง และเป็นพยัญชนะท้ายเพียง ไทย เนอ่ื งจากเปน เสยี งท่ีไมมคี วามหมายใน ๘ เสยี ง ภาษา มเี ฉพาะในคําเลียนเสียงธรรมชาติ อาทิ ผัวะ เผยี ะ และเปนคาํ ขยาย อาทิ ขาวจั๊วะ) พยญั ชนะตน้ เดย่ี ว พยญั ชนะควบกลำ�้ • เหตุใดจึงตอ งแบงประเภทของสระ การแบง เสยี ง รปู ในภาษาไทยมีหน่วยเสียงพยัญชนะที่สามารถ ประเภทของสระมคี วามสาํ คัญอยางไร /p/, /ป/ ป ออกเสยี งควบกลา�้ คอื ออกเสยี งพยญั ชนะ๒ตวั ตดิ กนั (แนวตอบ การแบง ประเภทของสระแสดง /t/, /ต/ ตฏ โดยไมม่ เี สยี งสระคน่ั กลาง และปรากฏเปน็ พยญั ชนะ ลกั ษณะในการออกเสียง โดยสระเด่ยี วหรือ /c/, /จ/ จ ตน้ ของพยางคไ์ ด้ ๑๑ คู่ ปจั จบุ นั มคี า� ยมื จากภาษา สระแทจ ะมกี ารเคลือ่ นที่ของล้ินไปสมั ผสั /k/, /ก/ ก องั กฤษทา� ใหม้ พี ยญั ชนะควบกลา�้ เพม่ิ ขนึ้ หลายคู่ ฐานกรณเพียงแหง เดียว แตสระผสมหรอื สระ / /, /อ/ อ เลอ่ื นจะมีการเคล่ือนทีข่ องลิน้ ไปสัมผัส /ph/, /พ/ พ ผ ภ เสยี ง รปู ฐานกรณมากกวา หน่งึ แหง ) หนว่ ยเสียง /th/, /ท/ ทถฐฑฒธ /pr/ ปร • สระแตละเสยี งเมอื่ นาํ ไปใชร วมกบั พยัญชนะ พยัญชนะ /ch/, /ช/ ฉชฌ /pl/ ปล แลวจะใหผ ลอยางไร ๒๑ หนว่ ยเสยี ง /kh/, /ค/ /tr/ ตร (แนวตอบ สระมี 21 เสยี ง และสระแตละเสยี ง ในภาษาไทย /b/, /บ/ ค ข ฆ (ฃ ฅ) /kl/ กล เมอื่ นาํ ไปใชจะมผี ลทําใหค าํ มคี วามหมาย สามารถ /d/, /ด/ บ /kr/ กร ตางกนั ไป) ปรากฏเป็น /m/, /ม/ /kw/ กว • นกั เรยี นคิดวา การเรยี นรเู รื่องการออกเสียง พยญั ชนะตน้ /n/, /น/ ด ฎ (ฑ ในบางคา� ) /phl/ พล, ผล สระสง ผลดีอยา งไร ของพยางค์ได้ / /, /ง/ ม /phr/ พร (แนวตอบ การเรียนรูเกยี่ วกับรูปและเสียงสระ ทกุ หนว่ ย /l/, /ล/ นณ /khl/ คล, ขล ชว ยในการสะกดคํา เปนพื้นฐานในการอาน ง /khr/ คร, ขร และการเขียน) ลฬ /khw/ คว, ขว /r/, /ร/ ร /br/ บร 2. ครสู มุ นักเรียนแตล ะกลุมออกมานําเสนอ /f/, /ฟ/ ฟฝ /bl/ บล หนา ชนั้ เรียน /s/, /ซ/ ซ ศ ษ ส /dr/ ดร /h/, /ฮ/ หฮ /thr/ ทร /w/, /ว/ ว /fr/ ฟร /j/, /ย/ ย ญ /fl/ ฟล /str/ ซตร 148 นักเรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับเสียงสระประสมในภาษาไทย 1 สระประสม เรียกอกี อยา งหน่ึงวา สระเล่อื น ไดแก สระท่ีขณะออกเสยี งลักษณะ ก. จะหาจนั ทรก ฤษณานั้นหายาก ของล้ินจะมีการเปลี่ยนแปลงจากตาํ แหนงหนึ่ง แลว เลอ่ื นไปยังอกี ตําแหนงอยา ง ข. เหมอื นคนมากมีดื่นนบั หมน่ื แสน รวดเรว็ จงึ มกี ารเรียกสระประสมวา สระเลอื่ น คําวา สระเล่ือนน้ี จงึ มที ่ีมาจากการ ค. จะประสงคองคปราชญก ข็ าดแคลน พจิ ารณาลกั ษณะการเคล่อื นที่ของอวัยวะท่ใี ชใ นการออกเสยี งเปนสําคญั สวนการเรียก ง. เสมอแมน จันทรแ ดงแรงราคา เสยี งสระประสมนน้ั เปนการพิจารณาจากเสยี งหรือรปู สระเปน สําคญั สระประสมเกิด ขอใดมีเสียงสระประสม จากการประสมของสระเดี่ยวสองเสยี ง ดังตอ ไปน้ี 1. ขอ ก 2. ขอ ข. 3. ขอ ค. 4. ขอ ง. • เสียง เอีย เกดิ จากเสียง อี+อา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ขอ ข. เหมือนคนมากมดี ื่นนบั หมน่ื แสน • เสียง เออื เกดิ จากเสียง อือ+อา เพราะมเี สียงสระประสมในคําวา เหมือน เปน คาํ ที่ประสมดวยสระ เออื • เสยี ง อวั เกดิ จากเสยี ง อู+อา แตเดิมสระประสมจะมกี ารรวมสระเสียงสัน้ เอียะ เออื ะ อวั ะ ดวย แตเนอ่ื งจาก คําทีป่ ระสมดวยสระดงั กลาวมนี อ ย และมีเพยี งคําเลยี นเสียงธรรมชาติเทา นน้ั จึงไม นับเปนหนว ยเสียง นอกจากนี้ ครูควรแนะนาํ วิธีการจดจําสระประสมใหก บั นกั เรยี น โดยสระประสมสามารถทอ งจาํ ไดวา เส้อื ควร เปลย่ี น 148 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain 1 1. สมาชิกภายในกลมุ รวมกนั แสดงความคิดเห็น พยญั ชนะทา้ ย (ตวั สะกด) ดังตอไปน้ี • พยญั ชนะไทยมจี ํานวนกร่ี ูปกีเ่ สยี ง เสยี ง รปู ตวั อยา่ งคา� (แนวตอบ พยญั ชนะไทยมี 44 รปู 21 เสียง /ก/ พิจารณาความสอดคลอ งระหวา งรปู และ /ต/ ก ข ค ฆ (ฃ ฅ) จมดัาก 3ด สจุ ขุ ธ ชภุ 2 ากคฎ เ มปฆรากฏ เสยี งพยัญชนะเพ่มิ เตมิ ไดจากตัวอยางใน ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ หนังสือเรียนหนา 148 -149) /ป/ ต ถ ท ธ ศ ษ ส • พยัญชนะทาํ หนาท่ีใดในโครงสรางภาษาใน /ง/ บ ป พ ฟ ภ รตั น ์ สามารถ อาวธุ พนิ าศ อาวาส ระดบั พยางค และแบง ออกเปนกเ่ี สียง /น/ ง (แนวตอบ พยญั ชนะทําหนาทเี่ ปนพยญั ชนะ /ม/ น ญ ณ ร ล ฬ บวบ บาป ภาพ ปรารภ ตน 21 เสียง และพยญั ชนะทา ยหรอื /ย/ ม ตวั สะกด 8 เสียง พจิ ารณาเพม่ิ เติมไดจาก /ว/ ย วง ตัวอยา งในหนังสือเรยี นหนา 148-149) ว • การที่ภาษาไทยมรี ูปพยญั ชนะจํานวน จน ผจญ คา� รณ การณ ์ อบุ ล วริ ฬุ ห์ มากกวาเสยี งเกดิ จากสาเหตใุ ด (แนวตอบ มสี าเหตุมาจากการยมื คาํ ภาษาตา ง จม ประเทศมาใช แตออกเสยี งตามภาษาเดมิ ไมได จงึ ออกเสยี งตามเสยี งท่ีมใี นภาษาไทย ยาย จึงทาํ ใหม ีการคงรปู เขยี น เพื่อรักษารูปศัพท เดิมเอาไว) ยาว • พยัญชนะบางรปู ท่ีประกอบเปน คําในภาษา- ไทย แตไ มมกี ารออกเสยี งมีลักษณะอยา งไร ขอ้ ควรสงั เกตรปู และเสยี งของอกั ษรไทย (แนวตอบ มหี ลายลักษณะ ดังน้ี 1. พยญั ชนะ ๑. รปู พยญั ชนะมมี ากกวา่ เสยี งพยญั ชนะ ท่มี ไี มทณั ฑฆาตกํากับ 2. พยญั ชนะ ร หรือ ๒. รปู พยญั ชนะแตกตา่ งกนั แตม่ เี สยี งเดยี วกนั เมอ่ื ใชเ้ ขยี นคา� แลว้ จะพสิ จู น์ไดช้ ดั วา่ เปน็ ห ท่นี าํ หนาพยญั ชนะสะกดในบางคาํ ท่มี า เสยี งเดยี วกนั จรงิ ๆ เชน่ คา่ ขา้ ฆา่ รปู พยญั ชนะตา่ งกนั หมดแตเ่ สยี งเดยี วกนั หรอื ชา่� ฉา�่ ตา่ งกนั จากภาษาบาลสี นั สกฤต 3. พยัญชนะซึง่ ตาม แตเ่ สยี งวรรณยกุ ต ์ คอื ชา่� เปน็ เสยี งวรรณยกุ ต์โท ฉา่� เปน็ เสยี งวรรณยกุ ตเ์ อก หลังพยัญชนะสะกดในคําทม่ี าจากภาษาบาลี ๓. รปู พยญั ชนะบางรปู เลกิ ใชแ้ ลว้ เชน่ ฃ ฅ สนั สกฤต 4. พยญั ชนะ ร ซ่ึงเปนสว นหนง่ึ ๔. การที่ภาษาไทยมีรูปพยัญชนะหลายรูป เนื่องจากการยืมค�าในภาษาอื่นมาใช้ เช่น ของอักษรควบไมแท 5. พยญั ชนะ ห หรอื อ ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร แต่ออกเสียงตามอย่างภาษาเดิมไม่ได้ จึงออกเสียงตามเสียงท่ีมีใน ซงึ่ นําอกั ษรตํา่ เด่ียว นักเรยี นสามารถ ภาษาไทย เช่น ออกเสียง ศ ษ ส ใหต้ า่ งกนั เหมือนเสียงในภาษาสันสกฤตไม่ได้ พิจารณาตวั อยางเพิม่ เติมไดใ นหนังสอื เรียน ๕. รปู พยญั ชนะบางรปู ไมอ่ อกเสยี ง เชน่ หนา 149) ● พยญั ชนะทม่ี ไี มท้ ณั ฑฆาตกา� กบั เชน่ การณ ์ รตั น ์ วริ ฬุ ห์ 2. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ ● พยญั ชนะ ร หรอื ห ทนี่ า� หนา้ พยญั ชนะสะกดในคา� บางคา� ซงึ่ มาจากภาษาบาล-ี หนาชั้นเรยี น สนั สกฤต เชน่ สามารถ พราหมณ์ ● พยัญชนะซ่ึงตามหลังพยัญชนะสะกดในค�าซ่ึงมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต เช่น วตั ร พทุ ธ ● ร ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของอกั ษรควบไมแ่ ท ้ เชน่ สรา้ ง จรงิ ● ห หรอื อ ซงึ่ นา� อกั ษรตา่� เดย่ี ว เชน่ หลาก อยาก นอกจากรปู และเสยี งพยญั ชนะจะไมต่ รงกนั เมอื่ ใชใ้ นค�าตา่ งๆ แลว้ รปู และเสยี งสระเมอื่ ใชใ้ นคา� ตา่ งๆ กอ็ าจไมต่ รงกนั ดว้ ย 149 ขอสอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเก่ียวกับเสียงพยัญชนะตนในภาษาไทย 1 พยญั ชนะทาย คือเสยี งพยัญชนะท่นี าํ มาใชเปน ตัวสะกด รูปพยัญชนะท่ีไมใ ชเปน ขอใดมีเสียงพยัญชนะตน มากที่สดุ (ไมนบั เสยี งซํา้ ) ตวั สะกดเลยไดแ ก ฉ ฌ ผ ฝ อ ห และ ฮ สว นพยัญชนะตน ซึง่ เปนสวนประกอบใน 1. ใครมาเปนเจา เขา ครอง โครงสรา งพยางคนนั้ พยัญชนะตน หมายถงึ เสียงท่เี มอ่ื เปลงแลว ทางเดนิ ของลมถูก 2. คงจะตอ งบงั คับขบั ไส ปดกนั้ หรือถูกทาํ ใหแ คบจนลมออกมาไมส ะดวก แบง ออกเปน 2 ประเภท คือ เสียง 3. เคย่ี วเขญ็ เย็นค่าํ กรําไป พยญั ชนะเดีย่ วและเสียงพยัญชนะประสม หรือ คาํ ควบกลํา้ 4. ตามวิสยั เชงิ เชน ผเู ปน นาย 2 ธุช หมายถึง ธง (เปนคาํ ทแี่ ผลงจากคาํ วา ธช) วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ตามวิสัยเชงิ เชน ผเู ปน นาย มเี สยี งพยญั ชนะ 3 รตั น หรือรตั นะ หมายถึง แกว ที่ถือวามีคา ย่ิง อาทิ อติ ถีรัตนะ คอื นางแกว หัต- ถิรัตนะ คอื ชางแกว หรอื หมายถึง คน สตั ว หรอื สง่ิ ของทถ่ี อื วาวิเศษและมีคามาก เชน ตน มากท่สี ดุ จาํ นวน 7 เสยี ง ประกอบดวย เสียง (ต) ตาม (ว) วิ (ช) เชิง เชน รตั นะ 7 ของพระเจา จักรพรรดิ ไดแก 1. จกั รรัตนะ หมายถึง จกั รแกว 2. หตั ถิรตั นะ (พ) ผู (ป) เปน (น) นาย สว นในขอ อ่ืนๆ นัน้ มเี สยี งพยัญชนะตน ดงั ตอไปน้ี หมายถึง ชา งแกว 4. อัสสรัตนะ หมายถงึ มา แกว 4. มณีรัตนะ หมายถึง มณแี กว 5. ขอ ที่ 1. มีเสยี งพยญั ชนะตน จาํ นวน 5 เสียง ประกอบดวย (ค) เขา (คร) ใคร อิตถรี ัตนะ หมายถึง นางแกว 6. คหปติรัตนะ หมายถงึ ขุนคลังแกว 7. ปริณายกรัตนะ ครอง (ม) มา (ป) เปน (จ) เจา ขอที่ 2. มีเสยี งพยญั ชนะตน จํานวน 5 เสยี ง หมายถงึ ขุนพลแกว หรอื หมายถงึ ของประเสรฐิ สดุ หรอื ของยอดเยยี่ ม เชน รตั นะ 3 ประกอบดว ย (ค) ขบั คง คับ (จ) จะ (ต) ตอง (บ) บงั (ส) ไส ขอ ท่ี 3. มีเสียง พยญั ชนะตน จาํ นวน 4 เสียง ประกอบดวย (ค) เคยี่ ว ค่าํ เข็ญ (ย) เยน็ (กร) กราํ (ป) ไป ประการ คือ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ คู่มือครู 149

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกันแสดงความคิดเห็น ตวั อยา่ ง ก. สระบางเสยี งใชอ้ กั ษรแทนไดห้ ลายรปู โดยปกตริ ปู สระทต่ี า่ งกนั จะมาจากคา� ภาษาอน่ื ดังตอไปนี้ เชน่ • เสียงสงู -ต่าํ หรือเสียงวรรณยุกตในภาษาไทย มคี วามแตกตา งจากเสียงสงู -ตา่ํ หรือเสยี ง กา� (ไทย) กรรม (สนั สกฤต) วรรณยกุ ตในภาษาอืน่ อยา งไร ใน (ไทย) นยั (บาล)ี (แนวตอบ เสียงวรรณยกุ ตห รือเสยี งสงู -ต่ําใน พนั (ไทย) พรรณ (สนั สกฤต) ภาษาไทย มีการเปลี่ยนระดับเสยี งของคําใน ตวั อยา่ ง ข. คา� บางคา� มรี ปู สระแตไ่ มอ่ อกเสยี งสระ คา� เหลา่ นเ้ี ปน็ คา� ทมี่ าจากภาษาอน่ื เชน่ ภาษา ซงึ่ ทําใหค วามหมายของคําเปล่ยี นไป โลกนติ ิ อา่ นวา่ โลก-กะ-นดิ แตกตา งจากภาษาอืน่ แมจะมีเสยี งสูง-ต่าํ แต ประวตั ิ อา่ นวา่ ประ-หวดั เสียงนน้ั กไ็ มส ง ผลตอการเปลี่ยนแปลงความ- ธาตุ อา่ นวา่ ทาด หมาย แตภ าษาไทยมลี ักษณะพิเศษ คือ มีทงั้ เหตุ อา่ นวา่ เหด เสียงและรปู วรรณยุกตทีส่ ง ผลใหค วามหมาย ตวั อยา่ ง ค. คา� บางคา� ออกเสยี ง อะ แตไ่ มม่ รี ปู สระ -ะ หรอื ประวสิ รรชนยี ์ เชน่ สกล นคร จรญู ของคาํ มคี วามเปลย่ี นแปลงได) ๓) เสกยี รงณวยี ร์ รวณจี ยเปกุ น็ตตแ์ 1น้ละรปู วรรณยกุ ต์ ภาษาไทยเปน็ ภาษาทมี่ วี รรณยกุ ต์ กลา่ วคอื มกี าร • เสยี งวรรณยุกตใ นภาษาไทยมคี วามสาํ คญั เปลยี่ นระดบั เสยี งของคา� ในภาษาซง่ึ ทา� ใหค้ วามหมายของคา� เปลย่ี นไป แมว้ า่ ภาษาทกุ ภาษามเี สยี ง อยา งไร สูงๆ ตา่� ๆ ในการพูด แตถ่ า้ เสียงสูงต่า� น้ันไม่ท�าใหค้ วามหมายเปลี่ยนไป ภาษาเหลา่ นั้นก็มเี พียง (แนวตอบ เสยี งวรรณยกุ ตในภาษาไทยทําให ระดับเสียงต่างๆ ในการพูด ไมน่ ับวา่ มวี รรณยกุ ต์ และในบรรดาภาษาที่มีวรรณยกุ ต์ ภาษาไทยมี การออกเสียงสูง-ต่าํ ของคาํ มคี วามแตกตา งกนั ลักษณะพเิ ศษ คือ มีท้ังเสียงและรูปวรรณยุกต์ สง ผลตอ ความหมายของคําทม่ี คี วามแตกตาง ๓.๑) เสียงวรรณยกุ ต์ เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาไทยมี ๕ เสยี ง กนั ไปดวย ทาํ ใหสามารถสรางเสียงตางๆ ได ๑. ภาษาไทยมวี รรณยกุ ต์ ๕ เสยี ง หมายถงึ ภาษาไทยกลางหรอื ภาษาถนิ่ ภาค มากมาย กลายเปน คําทม่ี ีความหมายและ กลาง ซง่ึ เปน็ ภาษามาตรฐาน เปน็ ภาษาท่ีใชใ้ นราชการ หากเปน็ ภาษาถนิ่ อน่ื อาจแตกตา่ งไปบา้ ง พยางคทไ่ี มมคี วามหมาย เชน คาํ วา จา จา เชน่ ภาษาถน่ิ เหนอื มเี สยี งวรรณยกุ ต์ ๖ เสยี ง จา จา จา ซ่งึ มบี างคาํ ท่ีมีความหมายและ ๒. การทภี่ าษาไทยมเี สยี งวรรณยกุ ต์ ทา� ใหส้ ามารถสรา้ งเสยี งตา่ งๆ ไดม้ ากมาย บางคําทไ่ี มมคี วามหมาย หรอื ใชใ นการ กลายเปน็ คา� ทมี่ คี วามหมายและเปน็ พยางคท์ ่ีไมม่ คี วามหมาย เนอ่ื งจากการเปลยี่ นเสยี งวรรณยกุ ต์ เขยี นคําท่มี าจากภาษาอื่น เชน เจี๊ยะ ทา� ให้ความหมายเปลย่ี นไป เช่น สามารถผันวรรณยุกต์ กอ กอ่ ก้อ ก๊อ กอ๋ ไดค้ รบ ๕ เสียง แต่ หรอื คาํ เลียนเสยี งธรรมชาติ เชน เปรยี๊ ะ) ใชเ้ พยี ง ๒ เสยี ง คือ กอ และ ก่อ ส่วนอกี ๓ เสยี ง คือ กอ้ ก๊อ กอ๋ เป็นเพยี งพยางคท์ ี่ไมไ่ ด้ใช้ • เสยี งวรรณยกุ ตในภาษาไทยมีจํานวนกเ่ี สียง ในคา� ไทย นอกจากน้ีเสยี งบางเสยี งอาจใช้เขียนค�าที่มาจากภาษาอนื่ เช่น เก๊ียะ หรอื ใชเ้ ขยี นคา� อะไรบา ง เลียนเสยี ง เช่น เผยี ะ เปร๊ียะ เป็นตน้ (แนวตอบ วรรณยกุ ตในภาษาไทยมี 4 รูป 5 อย่างไรก็ตาม พยางค์ทุกพยางค์ที่คนไทยออกเสียงมีเสียงวรรณยุกต์ก�ากับอยู่ เสยี ง ประกอบดว ย วรรณยกุ ตไมมีรูป ไดแก ดว้ ยเสมอ แตบ่ างพยางคเ์ ทา่ นน้ั ทสี่ ามารถใชเ้ ปน็ คา� คอื มคี วามหมายในตนเอง เสยี งสามญั และวรรณยุกตม ีรูป ไดแ ก เอก โท ตรี และจตั วา) 150 2. ครูสุม นกั เรยี นแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ หนาชัน้ เรยี น นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดมเี สียงวรรณยุกตต รมี ากทส่ี ดุ 1 เสียงวรรณยกุ ต คอื เสยี งทเี่ ปลง ออกมาเปนเสยี งสงู -ต่าํ ตางกนั ความ 1. ประเพณกี ินเจของชาวจีนมีอาหารเจขายมากมาย แตกตา งของเสยี งสงู ตํ่านท้ี ําใหคําที่มีเสยี งพยญั ชนะและเสยี งสระเหมอื นกัน เมอ่ื มี 2. มีรา นคาขายโคกยงั ตดิ ธงเจสีเหลอื งเลย เสยี งวรรณยุกตแลวจะทําใหมีความหมายตางกัน เสียงและรูปวรรณยุกตใ นภาษาไทย 3. ผัดหม่ี ผัดซอี ๊ิว และโกซหี มี่ขายดเี ปนเทน้ําเททา ประกอบดว ย 4 รปู 5 เสยี ง คือ 1. เสยี งสามญั 2. เสียงเอก ( ่ ) 3. เสียงโท ( ้) 4. เธอชอบกนิ อาหารเจใชไหม วันพรงุ นี้ฉันจะซ้ือมาฝาก 4. เสยี งตรี ( ๊ ) 5.เสยี งจตั วา ( ๋ ) การเรยี นรูเ รือ่ งวรรณยกุ ตเกย่ี วของกับการผัน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. มรี า นคาขายโคกยงั ติดธงเจสเี หลืองเลยมี อกั ษร การทน่ี กั เรียนจะสามารถผันอกั ษรไดถูกตอ งตามหลกั นน้ั นักเรียนตอ งมี เสยี งวรรณยกุ ตต รีจํานวน 3 คํา ไดแก คําวา รา น คา โคก ความรูเร่ืองคําเปนคําตายและไตรยางศ โดยไตรยางศหรืออกั ษร 3 หมู คือ การแบงตัวพยญั ชนะไทยโดยใชระดับเสยี ง แบงเปน กลุม 3 กลุม ประกอบดวย 1. อกั ษรสูง ไดแก ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห รวม 11 ตวั พ้ืนเสียงเปน เสียงจตั วา 2. อกั ษรกลาง ไดแก ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ รวม 9 ตัว พ้ืนเสียงเปนเสยี งสามัญ 3. อกั ษรตํ่า ไดแ ก ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ รวม 24 ตัว พน้ื เสียงเปน เสียงสามญั 150 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๓. วรรณยุกต์มี ๕ เสียง จะสมบูรณ์จริงเฉพาะการพูด หรือการออกเสียง 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคิดเห็น หมายความวา่ สามารถออกเสยี งวรรณยกุ ต์ได ้ ๕ เสยี งจรงิ ทง้ั คา� เปน็ และคา� ตาย แต่ในการเขยี นจะ ดงั ตอ ไปนี้ เขยี นไดไ้ มส่ มบรู ณ ์ เชน่ คา� ตาย ออกเสยี งสามญั ได ้ แตเ่ ขยี นเสยี งสามญั ไมไ่ ด ้ การเขยี นจงึ เปน็ ดงั น้ี • การผันเสยี งวรรณยุกตในภาษาไทยตอ ง คาํ นึงถงึ เร่ืองใดบาง อยางไร เสยี ง สำมญั เอก โท ตรี จตั วำ (แนวตอบ การผนั เสยี งวรรณยกุ ตท ั้ง 5 เสยี ง ชนดิ คำ� ่้๊๋ ตอ งคํานึงถึงสว นประกอบของพยางค ใน สวนของพยญั ชนะตน มที ั้งหมด 44 รูป โดย คำ� เปน็ กา กา่ กา้ กา๊ กา๋ แบง ออกเปน 3 หมู ตามฐานกรณท ่ีใชใ นการ คำ� ตำย - กะ กะ้ กะ๊ กะ๋ ออกเสยี ง เรียกวา ไตรยางศ ประกอบดว ย อกั ษรสูง อกั ษรกลาง และอกั ษรตาํ่ โดย ๓.๒) รูปวรรณยุกต์ การใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ในภาษาไทย สังเกตได้ ดังน้ี อักษรตํ่าแยกเปน ตาํ่ คแู ละตํา่ เดยี่ ว ซึ่งอกั ษร ๑. ภาษาไทยมรี ปู วรรณยกุ ต ์ ๔ รปู คอื ่ ้ ๊ ๋ รปู กบั เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาไทย ทง้ั 3 หมู มีวิธกี ารผนั อักษรแตกตางกนั อาจไมต่ รงกนั คอื ถา้ พยญั ชนะตน้ เปน็ อกั ษรตา�่ เสยี งและรปู วรรณยกุ ตจ์ ะไมต่ รงกนั หรอื จะจา� งา่ ยๆ นอกจากน้ี ยงั ตองคาํ นงึ ถงึ ชนิดของคําวา เปน็ สตู รวา่ ตา�่ ไมต่ รงรปู คอื ถา้ พยญั ชนะตน้ เปน็ อกั ษรตา�่ รปู วรรณยกุ ตเ์ อก จะเปน็ เสยี งโท เชน่ คา่ เปนคาํ เปน หรอื คําตาย) ลา่� คะ่ หากเปน็ รปู วรรณยกุ ต์โทจะเปน็ เสยี งตร ี เชน่ คา้ แลว้ ดว้ ยเหตนุ อ้ี กั ษรตา�่ จงึ ไม่ใชไ้ มต้ รเี ลย • การเขียนรูปวรรณยกุ ตใ นภาษาไทยตอง ๒. คา� ทมี่ พี ยญั ชนะตน้ สองตวั ไดแ้ ก ่ อกั ษรควบ หรอื อกั ษรนา� เชน่ กล - คว - คํานึงถงึ เร่ืองใดบาง อยา งไร ตร - สล - อร - อย - ฯลฯ ถา้ มวี รรณยกุ ต ์ ตอ้ งเขยี นไวบ้ นพยญั ชนะตวั หลงั แตก่ ารผนั วรรณยกุ ต ์ (แนวตอบ วรรณยกุ ตในภาษาไทยมี 4 รปู ถอื พยญั ชนะตวั หนา้ เปน็ หลกั โดยรูปกับเสยี งวรรณยกุ ตบ างคําจะไมต รงกัน เชน พยัญชนะตน เปน อักษรตํ่า รปู วรรณยุกต ๓. สว่ นประกอบของภ�ษ� เอกจะเปนเสียงโท สวนรปู วรรณยกุ ตโ ทจะ เปนเสียงตรี เหตนุ ีอ้ ักษรตํา่ จึงไมมกี ารใช สว่ นประกอบของภาษา ไดแ้ ก ่ เสยี ง คา� และประโยค ในภาษาไทยมเี สยี งพยญั ชนะ ๒๑ เสยี ง ไมต รี แตม ีเสยี งตร)ี เสียงสระ ๒๑ เสยี ง และเสยี งวรรณยกุ ต ์ ๕ เสยี ง เม่ือน�าเสียงเหลา่ น้ีมาประกอบกันทัง้ หมดจะได ้ ค�าเพิ่มมากขึ้นและเมื่อประกอบเป็นค�าแล้ว สามารถน�ามาเรียงเป็นกลุ่มค�าและประโยคได้เป็น 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ จ�านวนมาก นอกจากนั้น ยังสามารถน�าประโยคท่ีมีอยู่มารวมกัน หรือซ้อนกันท�าให้ได้ประโยค ยาวออกไปเร่อื ยๆ โดยไมจ่ า� กัดจ�านวน ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑) องคป์ ระกอบของพยำงค ์ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสยี งวรรณยกุ ต ์ แมจ้ ะแยกเปน็ ประเภทได้อย่างชัดเจน แต่เสียงเหล่านี้จะอยู่รวมกันเสมอโดยประกอบกันข้ึนเป็นพยางค์ เสียง นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมตอ คาํ ศพั ททค่ี ลอ งจอง พยญั ชนะทอ่ี ยหู่ นา้ เสยี งสระในพยางคเ์ รยี กวา่ เสยี งพยญั ชนะตน้ สว่ นเสยี งพยญั ชนะทอ่ี ยหู่ ลงั เสยี ง กัน โดยกาํ หนดคําศัพทจ ากนัน้ ใหหาคาํ ทอี่ อก สระในพยางค์เรยี กว่า เสยี งพยัญชนะท้าย หรือเสียงพยัญชนะสะกด ซึ่งเสียงนบ้ี างพยางค์ไมม่ ี แต่ เสยี งเหมือนกนั อาจเปน เสยี งวรรณยกุ ต หรือเสียง ทกุ พยางคจ์ ะตอ้ งมเี สียงพยญั ชนะต้น เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกตเ์ สมอ เสยี งพยญั ชนะต้นอาจม ี พยัญชนะ พรอมบอกความหมายของคําตามเวลา เสียงเดยี ว เชน่ ตา มเี สยี ง /ต/ เปน็ เสียงพยญั ชนะต้น หรอื อาจมีสองเสยี งควบกนั เช่น ครู กว่า ทก่ี ําหนด เสยี งพยญั ชนะเสียงทีส่ องนัน้ จะเปน็ เสยี ง /ร/ /ล/ /ว/ เทา่ น้ัน เรียกเสียงทีค่ วบกนั นว้ี า่ เสียงควบกลา้� ตรวจสอบผล Evaluate 151 นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกยี่ วกบั เสียง ในภาษาไทยท้ังเสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ต ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT พรอ มปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตอคําศัพทได เกร็ดแนะครู ขอ ใดมพี ยางคค าํ ตายมากท่ีสดุ ครูผูส อนควรเพ่มิ เตมิ ความรูเกย่ี วกับการผนั วรรณยกุ ตในภาษาไทย ดงั นี้ 1. อันอิเหนาเอามาทาํ เปนคํารอง 2. สําหรบั งานการฉลองกองกศุ ล เสยี งพยัญชนะ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา 3. ครั้งกรงุ เกา เจา สตรีเธอนพิ นธ อกั ษรกลางคาํ เปน กา กา กา กา กา 4. แตเร่อื งตน ตกหายพลดั พรายไป อกั ษรกลางคาํ ตาย - กะ กะ กะ กะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สาํ หรับงานการฉลองกองกุศล มีคาํ ตาย อกั ษรสงู คาํ เปน - ขา ขา - ขา จาํ นวน 3 พยางค คอื สําหรับ ฉลอง กศุ ล ขอ 1. มี 1 พยางค คือ อิเหนา อกั ษรสูงคําตาย - ขะ ขะ - - ขอ 3. มี 2 พยางค คือ สตรี นพิ นธ และขอ 4. มี 2 พยางค คอื ตก พลัดพราย อกั ษรตาํ่ คําเปน คา - คา คา - อักษรตาํ่ คําตายสระเสยี งสั้น - - คะ คะ คะ อักษรตา่ํ คําตายสระเสยี งยาว - - โนต โนต โนต อักษรสงู - ขา ขา - ขา อกั ษรต่าํ (คู) คา - คา คา - ครผู สู อนควรเพ่ิมเตมิ ความรวู า การผันอกั ษรสงู กบั อกั ษรกลางมีเสียงตรงกบั รปู เสมอ วธิ ีผนั อกั ษรสูงและอกั ษรต่ําใหค รบ 5 เสยี ง ทําไดโดยนําอักษรตา่ํ คทู ีม่ ี เสียงคกู ับอักษรสูงมาผนั คกู ันดงั ปรากฏในตารางขางตน ค่มู อื ครู 151

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage นักเรยี นพิจารณาคาํ ศพั ท จากน้ันนกั เรยี น พยางค ์ จงึ หมายถงึ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาครง้ั หนงึ่ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม่ คี วามหมาย รวมกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี กไ็ ด ้ พยางคม์ อี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ นดงั น้ี คริ ิเมขล จัตรุ พริ ีย ชเยศ นฤขตั รพิชัย ๑. พยญั ชนะตน้ อาจเปน็ พยญั ชนะตน้ เดย่ี วหรอื พยญั ชนะตน้ ควบ สยามินทร รัตนตรเั ยศ สมทิ ธิมาตงค • นักเรียนคิดวา คําศัพทข างตนประกอบดว ย ๒. สระ อาจเปน็ สระเดยี่ วเสยี งสน้ั หรอื สระเดยี่ วเสยี งยาว หรอื สระเลอ่ื น วิธีการประสมอักษรกี่สว น อยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอ ยาง ๓. วรรณยกุ ต์ หลากหลายข้ึนอยูก ับเหตุผลของนักเรียน การนา� องคป์ ระกอบทงั้ ๓ สว่ น คอื พยญั ชนะตน้ สระ และวรรณยกุ ต ์ มาประสมกนั เรยี กวา่ เนอ่ื งจากกจิ กรรมในชว งนี้เปน กิจกรรมในขน้ั ของการกระตนุ ความสนใจ เนนใหน กั เรียน วธิ ปี ระสมอกั ษร พยางคห์ นงึ่ จะมกี ารประสมอกั ษรตงั้ แต ่ ๓ สว่ นขน้ึ ไป วธิ ปี ระสมอกั ษรม ี ๓ วธิ ี ตั้งสมมติฐาน) ดงั นี้ ๑.๑) การประสมอักษร ๓ ส่วน วิธีน้ีเรยี กว่า มาตรา กะ กา หรือ แม่ ก กา มสี ระ พยญั ชนะ และวรรณยกุ ต ์ ประสมด้วยสระจ�านวน ๒๑ เสียง ยกเว้น ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เช่น สา� รวจคน้ หา Explore กะ กา ก ิ ก ี ก ึ ก ื ก ุ ก ู เกะ เก แกะ แก โกะ โก เกาะ กอ เกอะ เกอ เกยี เกอื กวั สว่ นพยางคท์ ม่ี สี ระ อา� ใอ ไอ เอา กา� หนดตามรปู สระจะเปน็ การประสมอกั ษร ๓ นกั เรยี นรว มกนั สบื คน ขอมูลเกย่ี วกับ สว นประกอบของภาษา ทง้ั องคป ระกอบของพยางค สว่ น จดั อย่ใู น ก กา เชน่ ดา� ใจ ไป เรา เปน็ ตน้ และองคประกอบของคาํ ถา้ ตามสา� เนยี งอกั ษรประสมกนั แลว้ ตอ้ งอย่ใู นวธิ ปี ระสม ๔ สว่ น เพราะเปน็ เสยี ง มตี วั สะกด เชน่ สระ อา� จะมเี สยี ง ม เปน็ ตวั สะกด อธบิ ายความรู้ Explain ๑.๒) การประสมอักษร ๔ ส่วน วธิ นี ้ีมี ๒ อย่างคอื ๑. ประสม ๔ สว่ นปกต ิ คือ การประสมอักษร ๓ สว่ น แล้วเพม่ิ เติมตัวสะกด 1. นักเรียนรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ เป็นสว่ นที่ ๔ เรียกต่างกนั เปน็ มาตรา ๘ มาตรา คอื แมก่ ก แมก่ ง แมก่ ด แม่กน แมก่ บ แมก่ ม ตอ ไปนี้ แม่เกย แมเ่ กอว เป็นค�าตาย ๓ แม ่ คือ แมก่ ก แมก่ ด แมก่ บ นอกนน้ั เป็นคา� เป็น • พยางคแ ละคํามคี วามแตกตา งกันอยา งไร พยางค์ประสม ๔ ส่วนปกต ิ แม่กก ประสมด้วยสระตา่ งๆ เชน่ กัก กาก กกิ และมอี งคป ระกอบอยา งไร กกี กกึ กกื กกุ กกู เกก็ เกก แกก็ แกก กก โกก กอ็ ก กอก เกกิ เกยี ก เกอื ก กวก (แนวตอบ พยางค หมายถงึ เสยี งทเ่ี ปลง ออกมา ครง้ั หนงึ่ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม คี วามหมาย พยางค์ทีป่ ระสมสระอา� อยู่ในแมก่ ม ก็ได แตกตางจากคํา ซงึ่ เปน เสยี งทีเ่ ปลง พยางคท์ ีป่ ระสมสระใอ ไอ อยู่ในแม่เกย ออกมาแลวมคี วามหมาย โดยพิจารณา ความหมายเปนหลกั พยางคม ีองคประกอบ พยางค์ประสมสระเอา อยู่ในแมเ่ กอว 3 สวน ไดแก 1. พยญั ชนะตน อาจเปน ๒. การประสมอักษร ๔ ส่วนพิเศษ คือ วิธีประสม ๓ ส่วน ซึ่งมีตัวการันต์ พยญั ชนะตนเด่ยี วหรือพยญั ชนะตนควบ 2. เพมิ่ เข้าเปน็ ส่วนท ี่ ๔ ได้แก ่ แม่ ก กา มีตัวการันต์ เช่น การต์ ูน สปั ดาห ์ อาคเนย์ เปน็ ต้น สระ อาจเปน สระเด่ียวเสยี งส้นั หรอื สระเดยี่ ว ๑.๓) การประสมอักษร ๕ ส่วน ได้แก ่ วธิ ีประสม ๔ ส่วนปกติ ซ่ึงมตี ัวการันตเ์ ติมเข้า เป็นสว่ นที ่ ๕ ไดแ้ ก่ มาตราทั้ง ๘ แม ่ ที่มตี ัวการันต์ เช่น อปั ลกั ษณ์ เหตุการณ ์ แสตมป์ เปน็ ตน้ เสียงยาว หรอื สระเล่ือน และ 3. วรรณยุกต เมื่อนาํ องคประกอบทง้ั สามมาประสมกนั เรยี กวา วิธีการประสมอกั ษร) 152 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกับโครงสรางพยางคใ นภาษาไทย เกร็ดแนะครู ในการเรยี นการสอนเร่อื ง สว นประกอบของภาษา ซง่ึ มเี น้ือหาสาํ คญั กลา วถงึ เสยี งของพยางคในขอ ใดมโี ครงสรา งตา งกบั ขออื่น องคป ระกอบของภาษาไทย ครูผูสอนควรทบทวนความรคู วามเขาใจของนกั เรียน 1. ขวาน เกย่ี วกับสว นประกอบของภาษา เรมิ่ ตนจากการใหนักเรียนพิจารณาคําศัพทท ่ี 2. หลาม กาํ หนดใหในกจิ กรรมกระตุนความสนใจ เพ่ือใหนกั เรยี นไดเกดิ การทบทวนและต้งั 3. เผย สมมติฐานเกยี่ วกบั ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยในดา นอกั ขรวธิ ใี นการเขียนสะกดคํา 4. ฝงู จากนนั้ ครจู ึงเพ่มิ เตมิ ความรูความเขา ใจเกยี่ วกับองคป ระกอบของภาษา เพอ่ื ทบทวน ความรขู องนักเรยี น และเปน การปพู ื้นฐานใหน กั เรยี นไดพิจารณาความแตกตางที่ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ขวาน มีโครงสรางพยางคแ ตกตางจาก เปน ลักษณะเฉพาะในภาษาไทย โดยองคป ระกอบของภาษาโดยทั่วไปประกอบดว ย ขออ่นื เนื่องจากมเี สียงพยัญชนะตนเปน เสียงควบแท จึงมีเสยี งพยัญชนะตน 2 เสยี ง สวนในขอ อน่ื ๆ มีเสียงพยญั ชนะตนเพียงเสียงเดียว 4 สวน คือ 1. เสียง ภาษาเกิดจากเสียงท่ใี ชพดู กัน คาํ ท่ใี ชพดู จากนั ในภาษาไทย ประกอบดว ยเสียงสระ เสียง พยญั ชนะ และเสยี งวรรณยุกต 2. พยางคแ ละคํา ซ่ึง มคี วามแตกตา งกันโดยพจิ ารณาจากความหมาย 3. ประโยค เปน การนาํ คาํ มาเรยี ง กนั ตามลักษณะโครงสรา งของภาษาแตล ะภาษา และทําใหท ราบหนาทขี่ องคํา 4. ความหมาย แบง ออกเปน 2 แบบ คือ ความหมายนยั ตรงและนัยประหวัด 152 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) องคป์ ระกอบของค�ำ คา� คอื เสียงท่เี ปล่งออกมาและมคี วามหมายอย่างหน่งึ จะเป็น 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอ ไปน้ี กี่พยางค์ก็ได้ พยางค์ท่ีมีความหมายอาจประกอบด้วยพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ ค�าท ่ี • การประสมอักษรมีสว นประกอบก่สี ว น และ ประกอบด้วยพยางคเ์ ดียวเรียกวา่ คา� พยางค์เดยี ว เช่น เยน็ มา เดนิ เพลิน สวน พอ่ ชาย หญิง มีวธิ กี ารอยา งไร สว่ นค�าที่ประกอบดว้ ยพยางค์หลายพยางค ์ เรียกวา่ คา� หลายพยางค์ เชน่ ตกุ๊ ตา อาหาร พยคั ฆ์ (แนวตอบ วิธกี ารประสมอักษรมี 3 วิธี ไดแก เป็นตน้ ค�าจงึ ประกอบด้วยเสียงและความหมายซงึ่ มีจา� นวนพยางคเ์ ท่าไรก็ได้ 1. การประสมอักษร 3 สว น ประกอบดว ย พยญั ชนะ สระ และวรรณยุกตโ ดยประสม ภาษาไทยประกอบด้วยเสียงและความหมาย ในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและมี ดวยสระจาํ นวน 21 เสยี ง (ไมร วม อวั ะ เออื ะ ประสิทธิผลจ�าเป็นต้องค�านึงถึงการใช้เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพื่อสามารถสื่อความหมายได้ เอยี ะ) ยกเวน ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ 2. การประสม ชัดเจน โดยอาศัยการเรียนรู้และน�าไปใชผ้ า่ นทักษะการฟงั การพูด การเขยี นในชวี ติ ประจ�าวัน อักษร 4 สว น แบงเปน 2 รปู แบบ คือ ประสม 4 สว นปกติ คือ การประสมอักษร 3 สวน แลว เพม่ิ ตัวสะกด และการประสม 4 สวนพิเศษ คือ เพม่ิ ตวั การนั ตโดยไมม ี ตวั สะกด และ 3. การประสมอักษร 5 สว น คือ ผสม 4 สว นปกติ แลว เพมิ่ ตัวการันต เขา ไปหลังตัวสะกด) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคิด โดยใหนักเรียน เลอื กคําศัพทคนละ 1 คาํ ท่ีแสดงถงึ คุณสมบตั ิ ของนกั เรียน โดยหามซา้ํ กัน เชน หลอ สวย เท ดี นา รัก เปน ตน 2. นกั เรยี นจดั กลุมคาํ ศัพททม่ี ีการประสมอกั ษร เหมอื นกัน 3. นกั เรยี นรว มกนั แตงประโยคจากคาํ ศัพทท่ี นักเรียนรว มกนั ระดมความคิด 4. นกั เรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา จากกิจกรรมขางตน แสดงลักษณะของคาํ ในภาษาไทยอยางไร (แนวตอบ สะทอ นสวนประกอบของพยางคท ่ี มหี ลายสวน ซ่ึงรปู เขยี นและเสียงที่ปรากฏ อาจจะไมส อดคลอ งกัน เปน ลักษณะเดน 153 ทางภาษาท่ีไดร บั อิทธิพลจากภาษาอื่น) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 5. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอใดมีการประสมอกั ษรเหมือนคาํ วา สัมฤทธิ์ เกร็ดแนะครู 1. พระเจา 2. สามญั ในการจัดกิจกรรมระดมความคดิ เหน็ ของนักเรยี นครผู ูสอนควรใหน ักเรยี นทุกคนได 3. เจา เลห  มีสวนรวมในการปฏิบตั ิกจิ กรรมใหมากท่สี ดุ เพ่ือเปน จดุ เร่มิ ตนในการทาํ ความเขา ใจ 4. คําศัพท เน้อื หาและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมอ่นื ๆ ท่ตี องอาศยั ความรวมมอื จากนกั เรียนเพมิ่ มากขึน้ และกจิ กรรมดังกลาวกม็ ีความซับซอ นดานเน้อื หามากขึ้นอกี ดวย ฉะน้นั การกระตนุ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. คําศัพท มเี หตุผล ดงั ตอ ไปนี้ ความสนใจของนกั เรยี น เพ่อื ใหน ักเรียนมีสว นรวมในการปฏบิ ตั ิกิจกรรมอยางเตม็ ท่ี ยอ มถอื เปนสวนสําคัญในการเปด ประเดน็ ความคดิ เพือ่ นําเขา สูเน้อื หาในบทเรียน สัม และ คํา เปน การประสมอกั ษร 4 สว น เน่ืองจากสระอํามีการเพม่ิ เสียง ตัวสะกด ม สว น ฤทธ์ิ และ ศัพท เปน การประสมอกั ษร 5 สวน นอกจากครูผสู อนจะเนนประเด็นในการปฏิบตั ิกจิ กรรมแลว ครูผูสอนควรเพ่ิมเติม ความรูความเขา ใจของนกั เรียนดวยการสรุปหลกั การประสมอกั ษรใหผเู รยี นจดจําได งายข้ึน ดังน้ี 1. การประสมอักษรทุกแบบจะตอ งมเี สยี งพน้ื ฐาน คอื เสียงพยัญชนะตน เสียงสระ และเสยี งวรรณยกุ ต ซง่ึ เปน พื้นฐานการประสมอักษรสามสว น 2. หากเตมิ ตวั สะกดจะเปนการประสมอักษรสี่สว น แตถ าเติมตวั การันตจ ะเปน การ ประสมอกั ษรสสี่ ว นพิเศษ 3. หากเติมทัง้ ตัวสะกดและการันตจ ะเปนการประสมอักษรหาสว น คมู่ ือครู 153

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore สา� รวจคน้ หา Explore นักเรียนรว มกนั สืบคนขอมลู เกย่ี วกับบทความ ปกณิ กะ ตา่ งถิน่ ต่างภาษา เรือ่ ง ตางถ่ิน ตางภาษา อธบิ ายความรู้ Explain ภาษาในแต่ละท้องถ่ินของไทยมีสำาเนียงการพูดและคำาศัพท์ที่แตกต่างกัน ตามท้องถ่นิ ได้แก่ ภาษาถ่ินกลาง ภาษาถิ่นเหนอื ภาษาถน่ิ ใต้ และภาษาถน่ิ อสี าน 1. นกั เรียนรวมกันแสดงความคดิ เห็นในประเด็น เปน็ ตน้ โดยมสี าเหตจุ ากการขาดการตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานานระหวา่ งผทู้ พ่ี ดู ภาษาเดยี วกนั ตอ ไปน้ี จึงทำาให้ภาษาผิดเพ้ียนไป หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาษา โดยเฉพาะการ • จากตารางเปรียบเทียบการใชภ าษาไทยใน เปลย่ี นแปลงเสยี ง ซึ่งเปน็ ไปอย่างสม่าำ เสมอ และมรี ะเบียบ ท้ังน้เี พราะภาษาเป็นสง่ิ ทม่ี ี ทอ งถ่ินตา งๆ นกั เรียนคดิ วา ความแตกตาง การเปลยี่ นแปลงได้ ดงั ตัวอย่าง ของเสยี งในภาษามสี าเหตุมาจากอะไร (แนวตอบ เกิดจากการเปลีย่ นแปลงของภาษา ภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคอสี าน ภาคใต้ โดยเฉพาะการออกเสียงแตล ะเสยี ง) ฝร่ัง บ่าก้วย, บา่ มั่น, หมากสดี า ย่าหมู, ชมพู่ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ บ่าแกว๋ น้อยหนา่ บ่าหนอ้ แหน้ หมากเขียบ หนอ่ ยน่า ขยายความเขา้ ใจ Expand กระทอ้ น บ่าตอ้ ง หมากตอ้ ง ลูกท้อน มะพรา้ ว บา่ ป๊าว หมากพ่าว พรา้ ว 1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ มะม่วง มะมว่ ง หมากมว่ ง ลูกมว่ ง • นกั เรียนคดิ วา ความรูความเขา ใจเกีย่ วกับ มะละกอ บา่ ก้วยเตด หมากหงุ่ ลอกอ ความแตกตางของภาษาถน่ิ มคี ุณคาตอการ สบั ปะรด บา่ ขะนด๋ั หมากนัด สับรด, ยานัด, มะลิ ศึกษาของนักเรยี นอยางไร ขนนุ บา่ หนนุ หมากมี่ หนุน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พทุ รา บ่าตนั หมากทนั พุทรา ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ ชมพู่ บา่ ชมพู หมากชมพู นำา้ ดอกไม้ นกั เรียน เปนตน วา ความเขา ใจเกีย่ วกบั ความ ละมุด บ่ามดุ หมากล่ามดุ มดุ หรั่ง, สวา แตกตา งของภาษาในแตล ะทองถ่นิ มปี ระโยชน อยา งย่งิ ตอการทาํ ความเขา ใจวถิ ีชีวิตและ หมายเหตุ วฒั นธรรมในแตละทอ งถิ่น นอกจากน้ี การ • ภาษาถน่ิ เหนอื : ในบางถน่ิ ออกเสยี งคาำ นาำ หนา้ ชอ่ื ผลไมเ้ ปน็ “หมะ” “มะ” หรอื เปล่ยี นแปลงทางภาษายังสะทอ นใหเ หน็ ความ “บะ” สัมพนั ธท างวฒั นธรรมในแตละทองถนิ่ หรอื • ภาษาถ่นิ อีสาน: ใช้คาำ ว่า “หมาก” หรอื “บัก” เรยี กผลไม้ แตล ะภูมิภาคที่มคี วามสอดคลองกนั รวมถงึ ด้วยความแตกต่างของภาษาถ่ินที่เกิดขึ้น จึงเป็นประโยชน์อย่างย่ิงหากได้ศึกษา ลกั ษณะเฉพาะของภาษาในแตล ะทอ งถน่ิ ภาษาถ่นิ ของแตล่ ะท้องถน่ิ เพราะทาำ ใหส้ ามารถเข้าใจความคิด วฒั นธรรม และการ ยงั สะทอ นสภาพแวดลอ มอนั เปนลกั ษณะ ดำารงชีวิตของคนในท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง หากสามารถพูด เฉพาะของทอ งถน่ิ ไดอ กี ดว ย) ภาษาถนิ่ ได้เมอ่ื ไปเยือนทอ้ งถ่นิ นัน้ ๆ 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ 154 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอใดเปนคําไทยแทท กุ คํา ในการจัดการเรยี นการสอนดวยการใหน ักเรยี นพจิ ารณาขอมูลบทความเรอ่ื ง 1. คนงานใหมขยนั เปนพกั ๆ เอาแนไ มได ตา งถนิ่ ตางภาษาน้ี ครผู สู อนควรเนน ใหน กั เรยี นพิจารณาตารางเปรยี บเทียบการใช 2. นกั เรียนอนุบาลหกลม หวั เขา แตกเลือดไหลซบิ ๆ ภาษาในแตล ะทอ งถน่ิ นอกจากนกั เรียนจะสามารถพจิ ารณาลักษณะเดนของภาษา 3. ในสวนสาธารณะมคี นออกกาํ ลงั กายกนั ประปราย แตละถ่นิ อันสะทอนถึงวัฒนธรรมทเี่ ปนเอกลกั ษณใ นแตล ะทอ งถ่นิ ไดแ ลว ครูผสู อน 4. ที่ปากทางเขา หมบู า นมียามรกั ษาการอยูต ลอดเวลา ควรช้ใี หน ักเรียนเห็นลักษณะรว มกันทางภาษา ดว ยการอภิปรายความรูเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. คนงานใหมข ยนั เปนพกั ๆ เอาแนไ มได ลกั ษณะรวมทางภาษาจากเนื้อหาในบทเรยี นท่ีนักเรยี นไดเรยี นรมู าจากบทเรียนเรือ่ ง เปนคําไทยแทท กุ คํา สวนขอ อนื่ มคี ําภาษาตางประเทศ ดังน้ี ขอท่ี 2. คําวา ลักษณะภาษาไทย ในหนวยการเรยี นรนู ้ี อนบุ าล เปนคําภาษาบาลี ขอที่ 3. คาํ วา สาธารณะ เปน คําภาษาสนั สกฤต และขอ ที่ 4. คาํ วา รกั ษา เปน คาํ ภาษาสันสกฤต ในการจดั การเรียนการสอนเร่อื ง ลักษณะภาษาไทยนั้น ครผู ูสอนควรชแี้ จง ทาํ ความเขาใจเพม่ิ เตมิ วา ลักษณะตา งๆ ที่ปรากฏนน้ั เปน ลกั ษณะท่ีพบในภาษาไทย แตไ มใชลกั ษณะเฉพาะที่พบเฉพาะในภาษาไทยเทา นน้ั ยังปรากฏในภาษาอืน่ ดวย นอกจากนี้ การเรยี นการสอนเร่อื งลกั ษณะภาษาไทย ครผู ูสอนตองสอดแทรก ความรสู กึ รกั และภาคภูมใิ จในภาษาไทยใหก ับตวั ผูเรยี นดวย 154 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คาำ ถามประจาำ หนว่ ยการเรียนรู้ 1. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั สวนประกอบของภาษา ทงั้ องคป ระกอบของ ๑. ภาษาไทยมเี อกลกั ษณท์ ่ีแตกต่างจากภาษาอ่ืนอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอยา่ ง พยางคแ ละองคประกอบของคาํ ได ๒. สระเลือ่ นมผี ลตอ่ การผันเสียงอยา่ งไร จงอธบิ ายพอสังเขป ๓. รปู และเสยี งของอกั ษรไทย มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไร 2. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหองคประกอบของ ๔. เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาถ่ินของไทยมีความแตกต่างกนั อยา่ งไร จงอธบิ าย พยางคแ ละองคประกอบของคาํ ได และยกตัวอยา่ งประกอบ ๕. พยางคแ์ ละคา� มคี วามสมั พนั ธห์ รอื แตกต่างกนั อย่างไร 3. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความแตกตา งทางภาษาในแตล ะทองถ่ิน พรอ มบอกคณุ คาทเ่ี กดิ จากความแตกตา งทาง ภาษาได กิจกรรมสร้างสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. ให้นักเรยี นแบง่ กลุม่ กลมุ่ ละ ๕ คน เพื่อฝึกเขยี น mind maps เกี่ยวกับเสยี ง 1. ความเรียงสรุปสาระสาํ คัญเก่ยี วกบั ลักษณะ ในภาษาไทย แล้วสง่ ตัวแทนออกมาน�าเสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน ภาษาไทย ๒. ให้นักเรียนจบั ค่กู ันฝกึ ผันเสยี งวรรณยกุ ต ์ ๕ เสียงให้ถูกตอ้ ง แลว้ สรปุ หลักการ 2. ความเรยี งสรปุ ผลการวิเคราะหล กั ษณะ ผนั เสียงวรรณยุกต์ให้ถกู ต้องเพื่อจดบนั ทกึ ความรู้ ภาษาไทย ๓. ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั การเรยี นหลกั ภาษาวา่ มีประโยชน์ 3. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกับเสยี ง ตอ่ การเรียนอย่างไร เพ่อื ให้นักเรียนมีโอกาสแลกเปลีย่ นความรูก้ นั ในภาษาไทยทั้งเสียงสระ พยญั ชนะ และ วรรณยกุ ต พรอมปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตอคําศัพท 4. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั สวน ประกอบของภาษา ท้งั องคป ระกอบของพยางค และองคป ระกอบของคํา 5. ความเรยี งสรปุ ผลการวิเคราะหองคประกอบ ของพยางคและองคป ระกอบของคาํ 6. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกับความ แตกตา งทางภาษาในแตล ะทอ งถ่นิ พรอ มระบุ คณุ คา ทเ่ี กิดจากความแตกตางทางภาษา 7. บันทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 155 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย มีดงั ตอ ไปน้ี 1) คาํ ภาษาไทยเปน คําโดด สว นมากเปนคําพยางคเ ดียว ใชเรียกสิง่ ของตา งๆ เชน ลุง อา แม วิ่ง เปน ตน 2) คําภาษาไทย สะกดตรงตามมาตราตวั สะกด 3) คาํ ภาษาไทยคาํ เดยี วมหี ลายความหมายและหลายหนาที่ 4) ภาษาไทยเปนภาษาเรยี งคาํ เมื่อสลับตาํ แหนง ของคาํ ในประโยคสงผลให ความหมายเปลี่ยนไป 5) คําขยายจะวางหลังคําท่ถี กู ขยาย 6) ภาษาไทยมีคาํ ลักษณะนาม 7) ภาษาไทยมกี ารสรา งคําขึ้นใหมดวยวิธกี ารประสมคํา การซอ นคาํ การซํา้ คาํ การสมาสคํา รวมถงึ การสรางคําดว ยวธิ ีการสมาสอยา งมสี นธิ 8) ภาษาไทยมีการเปลย่ี นระดบั ของเสยี งคาํ โดยมีการใชเ สียงวรรณยกุ ต 9) ภาษาไทยมรี ะดบั ภาษา โดยเปน การใชค าํ พูดใหเหมาะสมแกบ คุ คลและกาลเทศะ 2. สระเล่อื นหรือสระประสมซึ่งประกอบไปดว ยสระ เอีย เออื อวั เปน สระเสยี งยาว ไมมผี ลตอการผนั เสยี งวรรณยกุ ต โดยการผนั เสียงวรรณยุกตขึ้นอยกู บั พยัญชนะตน ตาม หลักการแบงเสยี งอกั ษร 3 หมหู รือไตรยางศเปนสาํ คัญ แตถา รวมเสยี ง เอยี ะ เออื ะ อัวะ จะใชว ธิ กี ารผนั เสียงแบบคาํ ตาย โดยยดึ หลกั การแบงเสียงอกั ษร 3 หมู หรือ ไตรยางศเ ชน เดียวกัน 3. พยัญชนะไทยมี 44 รปู แตม กี ารใชเ สียงซาํ้ กัน จึงมีเสียงพยญั ชนะตนเพียง 21 เสียง กลาวไดว าพยญั ชนะไทยมีรปู มากกวาเสยี ง 4. เสียงวรรณยกุ ตในภาษาถน่ิ ของไทยมคี วามแตกตา งจากเสยี งวรรณยุกตในภาษาไทยกลางซ่ึงมเี พียง 5 เสยี ง สวนเสยี งวรรณยุกตใ นภาษาถิน่ เหนือมีถึง 6 เสยี ง 5. พยางคแ ละคํามคี วามสมั พันธและความแตกตา งกนั ในดานความหมาย โดยพยางค คือ เสยี งทเี่ ปลงออกมาจะมีความหมายหรือไมม ีความหมายก็ได สวนคําพจิ ารณาที่ ความหมายเปน สําคัญ คูม่ ือครู 155

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage ตอนท่ี ๔ Explore ราชาศพั ท เปา หมายการเรยี นรู เปนระเบียบของภาษาท่ีตองใชให ใชภ าษาเหมาะสมกับโอกาส กาลเทศะ และ ถกู ตอ งเหมาะสมกบั ระดบั ของบุคคล บคุ คล รวมทัง้ คําราชาศพั ทอ ยางเหมาะสม ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตรยิ เปนประมุข จงึ มีการใช สมรรถนะของผเู รยี น ถอยคําอยา งประณตี เปนพิเศษสําหรบั พระประมขุ และพระราชวงศ ทงั้ นย้ี งั มีช้นั ของบุคคลทต่ี อ งใช 1. ความสามารถในการส่ือสาร ถอ ยคําใหเ หมาะสม คอื พระสงฆ และสุภาพชน 2. ความสามารถในการคิด ผูใชจ ึงควรรจู ักสงั เกต จดจํา และใชใหถ ูกตอ ง 3. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต เพือ่ อนุรกั ษม รดกทางวัฒนธรรมนไี้ ว 4. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี สาระการเรยี นร้แู กนกลาง คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค • ค�ำรำชำศัพท์ 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมัน่ ในการทาํ งาน 3. รักความเปนไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage 1. ครนู าํ ขาวในพระราชสาํ นักมาใหนักเรยี นพจิ ารณา óหนว ยการเรยี นรทู้ ่ี จากนน้ั นักเรียนอา นขา วในพระราชสาํ นกั ให เพ่อื นในชนั้ เรียนฟง นักเรยี นจดบันทึก คาํ ราชาศพั ท คาํ ราชาศพั ทจากขา ว ตวั ชีว้ ดั 2. ครุสุม นกั เรียน 2-3 คน นําเสนอคําราชาศัพท 3. ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • ใชภ้ ำษำเหมำะสมแกโ่ อกำส กำลเทศะ และ บคุ คล รวมทง้ั คำ� รำชำศพั ท์อยำ่ งเหมำะสม • นกั เรยี นทราบไดอยางไรวา คาํ ศพั ทที่นกั เรยี น จดบันทกึ น้นั เปนคาํ ราชาศัพท (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๓) (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตุผลของ นกั เรียน) เกรด็ แนะครู หนวยการเรยี นรนู ี้ ครูผสู อนควรทบทวนความรูของนักเรียนเก่ยี วกบั ลกั ษณะการ ใชภาษาไทย เพื่อนาํ องคความรูจากหนวยการเรียนรูด ังกลาวมาใชเ ปน พ้นื ฐานในการ ทําความเขา ใจเนือ้ หาเกย่ี วกับการเรียนการสอนเรอื่ ง คําราชาศัพท ซงึ่ เปน วัฒนธรรม ทางภาษาของไทยท่แี สดงถงึ ระดับของภาษาและการเลอื กใชภาษาใหเหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั ของบุคคล ครผู สู อนควรสรางพ้นื ฐานความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกบั การใชค าํ ราชาศัพทในภาษาไทย ดว ยการกลา วถึงความสมั พันธร ะหวา งภาษาและวัฒนธรรม ภาษานอกจากจะเปน เคร่ืองมือส่ือความรู ความคิด ความรสู ึก จินตนาการ รวม ถงึ ทัศนคตขิ องผูใชภาษาแลว ภาษายังเปนการสรางพืน้ ฐานความเขา ใจของบุคคล แสดงใหเ หน็ ความสมั พันธของบคุ คล การใชภาษาจึงตองคํานงึ ถงึ กาลเทศะ และ บุคคลท่ีเราสนทนาดว ย ตลอดจนการใชถ อยคาํ พิเศษสําหรบั พระมหากษตั รยิ และ พระบรมวงศานวุ งศ ถือเปนการแสดงออกถงึ ความจงรักภกั ดี รวมถงึ บุคคลชั้นผูใหญ ทพ่ี ึงยกยอ งนับถอื ตามความเหมาะสมดว ย การศึกษาคาํ ราชาศัพทใ หเกดิ ความรู ความเขาใจอยา งแทจรงิ นกั เรียนควรตดิ ตามขาวสารขอมูลท่เี กี่ยวของอยางสมํ่าเสมอ 156 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ้ ความสนใจ Engage ๑. ควำมหมำยของคำ� รำชำศพั ท์ ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ค�ำรำชำศัพท์ คือ ค�ำสุภำพที่ใช้ให้เหมำะสมกับฐำนะของบุคคลต่ำงๆ ค�ำรำชำศัพท์ เป็นกำรก�ำหนดค�ำและภำษำที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงำมของไทย แม้ค�ำรำชำศัพท์จะมี • ในชีวิตประจําวันเรามีโอกาสนอ ยในการใช โอกำสใชใ้ นชวี ิตนอ้ ย แตเ่ ป็นสง่ิ ทแ่ี สดงถึงควำมละเอียดอ่อนและเปน็ ลกั ษณะพิเศษของภำษำไทย คาํ ราชาศพั ท เหตใุ ดนกั เรยี นจงึ ตอ งศึกษา โดยเฉพำะกำรใช้กบั บุคคลกลมุ่ ตำ่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี คําราชาศัพท และการศึกษาคําราชาศัพท ๑. พระมหำกษัตริย์ สง ผลตอความเขาใจคุณคาและลกั ษณะเดน ๒. พระบรมวงศำนวุ งศ์ ของภาษาไทยอยางไร ๓. พระภกิ ษุสงฆ ์ สำมเณร ๔. ขนุ นำง ข้ำรำชกำร สา� รวจคน้ หา Explore ๕. สุภำพชน วิธีกำรใช้รำชำศัพท์น้ันต้องค�ำนึงถึงผู้ฟังเป็นส�ำคัญ กล่ำวคือ จะต้องใช้ค�ำให้เหมำะสม นักเรยี นสาํ รวจความหมายของคําราชาศัพท กับฐำนะของผู้ฟังไม่ว่ำผู้พูดจะเป็นใครก็ตำม เว้นแต่พระภิกษุสงฆ์เท่ำนั้น ท่ีต้องใช้ค�ำสุภำพ และบคุ คลกลมุ ตา งๆ ทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การใชค าํ ส�ำหรบั ตนเองดว้ ย ราชาศพั ท ในบทนี้จะน�ำเสนอกำรใช้ค�ำรำชำศัพท์ส�ำหรับพระมหำกษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์ และ สภุ ำพชน ดงั ต่อไปน้ี อธบิ ายความรู้ Explain ๒. คำ� รำชำศพั ทส์ ำ� หรับพระมหำกษตั รยิ ์ นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถามวา การใชคาํ ราชาศพั ทกบั บคุ คลกลมุ ตางๆ แบงลําดบั ขัน้ ของ ค�ำรำชำศัพท์ ส�ำหรับพระมหำกษัตริย์เป็นค�ำท่ีข้ำรำชบริพำรใช้เม่ือกรำบบังคมทูลหรือ บคุ คลไดก ก่ี ลมุ อะไรบา ง ใช้เม่ือกล่ำวถึงพระมหำกษัตริย์ หรือพระบรมวงศำนุวงศ์ ค�ำรำชำศัพท์ส�ำหรับพระมหำกษัตริย ์ ทีค่ วรศึกษำในระดับนี ้ มีดงั น้ี ขยายความเขา้ ใจ Expand ๒.๑ ค�ำนำมรำชำศพั ท์ นกั เรยี นรว มกันอภิปรายในประเดน็ ท่วี า นักเรียนคิดวา วิธกี ารใชค าํ ราชาศัพทตอ งคํานึงถงึ เม่ือจะใช้ค�ำนำมเป็นค�ำรำชำศัพท์ต้องเติมค�ำว่ำ “พระ” และ “พระราช” หน้ำค�ำน้ันๆ เร่ืองใดเปน สําคญั หากนกั เรียนใชค ําราชาศพั ทใน เช่น พระชนมำยุ พระรำชด�ำริ พระรำชทรัพย์ พระรำชวัง ฯลฯ นอกจำกน้ี มีค�ำบำงค�ำใช้กับ การส่อื สารจะสงผลดีตอการสื่อสารอยา งไร พระมหำกษัตริย์พระองค์เดียวเท่ำน้ัน คือ “พระบรม” และ “พระบรมราช” โดยใช้น�ำหน้ำค�ำ (แนวตอบ การใชค ําราชาศพั ทเปน การใชค าํ ให ดังกล่ำว เช่น พระบรมรำชชนก พระบรมรำชชนนี พระบรมรำชโองกำร พระบรมเดชำนุภำพ เหมาะกับฐานะบุคคลระดบั ตา งๆ เปน การให (อำ� นำจอันยิง่ ใหญ่) พระบรมรำชจกั รีวงศ ์ เปน็ ต้น เกยี รติคูสนทนา สงผลดีตอ การส่ือสาร เปนการ สรางสมั พนั ธภาพท่ีดีระหวา งกัน สงผลใหการ สื่อสารสมั ฤทธิผล) ตรวจสอบผล Evaluate 157 นักเรยี นสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับความหมาย และบุคคลกลมุ ตางๆ ทใี่ ชคําราชาศพั ทไ ด ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับการใชคาํ ราชาศัพทท ่เี ตมิ คําวา พระ ขอใดเม่ือเติม “พระ” ขา งหนา แลวใชเปนราชาศพั ทสําหรับพระมหากษัตรยิ  ครูควรเพม่ิ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกับทีม่ าของคาํ ราชาศัพท โดยคาํ ราชาศพั ท ไดทุกคํา มีท่มี า 2 แนวทาง ดังนี้ 1. รับมาจากภาษาอื่น คาํ ราชาศพั ทของไทยสว นใหญ 1. บรมราชานสุ าวรีย บรมฉายาลกั ษณ บรมหฤทัย เปนคาํ ยืมมาจากภาษาเขมร ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤต เชน เสวย เสด็จ ประพาส 2. บรมชนกนาถ บรมโกศ บรมวงศ พระโอรส 2. เกดิ จากการสรา งคาํ ขึ้นมาใหม ประกอบดวย วธิ ีแรก คือ ประสมคําไทย 3. บรมหัตถเลขา บรมรูป บรมบพิตร กบั คําไทย เชน หองเครื่อง (ครวั ) วธิ ที ี่สอง คือ ประสมคําไทยกบั คาํ ภาษาอ่นื เชน 4. บรมมนเทียร บรมอฐั ิ บรมเกศา บนั้ พระองค (เอว) ถงุ พระบาท (ถงุ เทา ) และวธิ ที ีส่ าม คอื ประสมคําภาษาอ่นื เขา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. บรมชนกนาถ บรมโกศ บรมวงศ เตมิ คาํ วา ดว ยกนั เชน พระพกั ตร (หนา) พระ ไดทั้งสามคํา สวนขอ อื่นๆ มีขอยกเวน ในการใชคาํ วา พระ ดังน้ี ขอที่ 1. เตมิ คาํ วา พระ ได 2 คํา ยกเวน คาํ วา บรมหฤทัย ท่ีถกู ตอ งใชวา พระราช- หฤทัย ขอท่ี 3. เตมิ คําวา พระ ได 2 คํา ยกเวน คําวา บรมหตั ถเลขา ควรใช วา พระราชหตั ถเลขา และขอ ที่ 4. เตมิ คาํ วา พระ ไมไดท ้ัง 3 คาํ ควรแกไ ข เปน พระราชมนเทียร พระอฐั ิ และเสน พระเจา คู่มือครู 157

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ค�ำอน่ื ๆ นอกจำกนีท้ ่ีน�ำด้วย “พระราช” ม ี ดังนี้ • นกั เรยี นคิดวา คาํ ราชาศพั ทมีความแตกตาง พระราชหฤทยั (ใจ) พระราชศรทั ธา (ความศรทั ธา) จากการใชภ าษาโดยทว่ั ไปหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น พระราชกุศล (บุญกุศล) พระราชด�ารัส (คา� กล่าว) ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตผุ ลของ นักเรยี น) พระราชดา� ริ (ความคิด) พระราชสาสน ์ (จดหมาย) สา� รวจคน้ หา Explore พระราชประสงค์ (ความประสงค)์ พพรระะรราาชชกนรพิ ณนียธ์ ก(จิงา1 (นกปจิ รอะนั พพันงึ ธท)์ า� ) พระราชหัตถเลขา (จดหมาย) พระราชลญั จกร (ตรา) “พระ”2 พระราชปรารภ (ค�ากล่าวถึง) นักเรียนสบื คนการใชค ําราชาศัพทส าํ หรับ ๑) ค�ำนำมหมวดร่ำงกำย นา� ดว้ ย พระมหากษัตรยิ  โดยศึกษาการใชค ํานามราชาศัพท พระพักตร ์ (ดวงหน้า) พระปราง (แก้ม) พระนาสกิ (จมูก) อธบิ ายความรู้ Explain พระหตั ถ ์ (มอื ) พระเศียร (ศีรษะ) พระเนตร (ตา) พระกรรณ (ห)ู พระโอษฐ ์ (ปาก) พระศอ (คอ) 1. นกั เรยี นจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรว มกัน พระกร (ปลายแขน) พระทนต์ (ฟนั ) พระนขา (เล็บ) แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ คําถาม พระพาหา (ตน้ แขน) พระชงฆ์ (แข้ง) พระบาท (เท้า) ดงั ตอไปน้ี พระอรุ ะ (อก) พระโสณี (ตะโพก) พระอทุ ร (ทอ้ ง) • นกั เรยี นคิดวา การใชคําราชาศัพทล ดหล่ันกนั ตามลําดับช้นั ทางสงั คม สะทอนคานยิ มทาง ๒) คำ� นำมหมวดเครื่องภำชนะใชส้ อย และส่ิงต่ำงๆ น�ำด้วย “พระ” สงั คมและวฒั นธรรมไทยอยางไร (แนวตอบ สะทอ นพระบารมขี องพระมหา พระสพุ รรณศร ี (กระโถนเลก็ ) พระสพุ รรณราช (กระโถนใหญ)่ กษัตริยและพระบรมวงศานุวงศของไทย ซงึ่ ไดรบั การเคารพสักการะและไดร บั การ พระเตา้ (คนโท) พานพระศรี (พานหมาก) ยกยอ งเชิดชใู นฐานะทเ่ี ปน สถาบันหลักของ ชาติ และการใชค ําราชาศัพทใ นแตละตําแหนง พระเต้าทักษิโณทก (เต้ากรวดน�า้ ) 3 ถาดพ4ระสธุ ารส (ถาดเคร่อื งนา้� รอ้ น น้า� เย็น) ยอ มแสดงถึงลําดับของพระราชอาํ นาจที่ ๓) ค�ำนำมทั่วไปทเ่ี ตมิ คำ� “ทรง” “ตน้ ” “หลวง” ทำ้ ยคำ� นำมธรรมดำ แตกตางกันตามลาํ ดับ) เครอื่ งทรง ผ้าทรง ช้างทรง มา้ ทรง รถทรง ฯลฯ 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรยี น ลช้ากู งหตล้นว ง 5 ม า้หตลน้ าน หเรลอื วตงน้ เ รเรือือหนลตว้นง เกรฐอื นินตห้นล วฯงล ฯสวนหลวง วังหลวง ฯลฯ ๔) ค�ำนำมหมวดเครือ่ งใช ้ เครื่องประดบั น�ำด้วย “ฉลอง” ฉลองพระบาท (รองเท้า) ฉลองพระองค ์ (เสอ้ื ) ฉลองพระหัตถ์สอ้ ม (ส้อม) ฉลองพระหัตถ์ช้อน (ช้อน) 158 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดเปนคาํ ราชาศพั ทท ่ใี ชแ กพ ระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูหัว แทนคําสามญั นกั เรียนควรรู “ดู” และ “ทกั ทาย” ตามลาํ ดบั 1. ทรงทอดพระเนตร ทรงทกั ทาย 1 กรณียกจิ รากศัพทมาจากภาษาบาลี-สนั สกฤต เกิดจากการสรางคาํ โดยวธิ ี 2. ทรงทอดพระเนตร ทรงมีพระราชปฏสิ ันถาร สมาส ดวยการนาํ คาํ สองคาํ มารวมกนั คอื กรณีย+กิจ ซงึ่ ความหมายหลกั อยทู ี่ 3. ทอดพระเนตร ทรงพระราชปฏสิ นั ถาร คําหลงั ดังน้ัน คําวา กรณยี กจิ จึงหมายถึง กิจที่พึงทาํ หนา ที่อนั พงึ ทํา 4. ทอดพระเนตร มีพระปฏิสันถาร 2 พระ คาํ วา “พระ” ใชนาํ หนา คาํ ที่เรยี กอวยั วะ เคร่อื งใช หรือนําหนา คาํ นาม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ทอดพระเนตร ทรงพระราชปฏิสนั ถาร สามัญบางคําท่ไี มม คี าํ ราชาศพั ทใ ช เชน พระหัตถ (มือ) พระกร (แขน) พระบาท เนือ่ งจากคําวา ทอดพระเนตร เปน คํากริยาราชาศัพทอ ยแู ลว จงึ ไมจาํ เปน (เทา ) พระเขนย (หมอน) ตอ งใชคําวา “ทรง” นาํ หนา สวนคําวา ทรงพระราชปฏสิ ันถาร เปน การใช 3 ตน ใชตอทา ยคํานามสามัญ มกั ใชเฉพาะกับสตั วและสิ่งของ คําราชาศัพทสําหรับพระบาทสมเดจ็ พระเจา อยหู ัว แทนการใชค าํ วา ทกั ทาย 4 หลวง คําวา “หลวง” ใชต อ ทายคาํ นามสามญั ทัว่ ไปทั้งคน สตั ว สงิ่ ของ แต เปน การใชคําไดถ ูกตองตามหลักการใชคําราชาศัพทอาจใชค ําวา มีพระราช “ตน” มกั ใชเฉพาะกบั สตั วและส่ิงของ คําวา “หลวง” บางคําก็หมายถงึ ใหญ คือ ปฏสิ ันถาร แทนได เนอ่ื งจากหากมกี ารใชคําวา ทรง แลว กไ็ มควรมกี ารใช คาํ วา “ทะเลหลวง” ทไี่ มใชค ําราชาศพั ท หมายถงึ ทะเลกวางใหญ คําวา มี แทรกในขอความ 5 ลูกหลวง ลูกของพระเจาแผนดนิ 158 คูม่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ น�ำดว้ ย “พระ” 1. สมาชิกภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคดิ เห็น ดงั ตอ ไปนี้ พระแทน่ (เตยี ง) พระแทน่ บรรทม (เตยี งนอน) • คาํ นามมีความหมายวาอยา งไร พระเขนย (หมอนหนุน) (แนวตอบ คํานาม คอื คาํ ที่ใชเ รยี กช่ือคน พระท่ี (ทน่ี อน - เจ้านาย) พระวิสูตร (มา่ น) สัตว ส่งิ ของ โดยแบงออกเปน 5 ชนิด) พระสนับเพลา (กางเกง) • คาํ วา “พระ” “พระราช” “พระบรม” และ พระยภ่ี ู่ (ท่นี อน) พระบัญชร พระแกล (หนา้ ตา่ ง) “พระบรมราช” เมอ่ื นํามาใชประกอบกบั พระทวาร (ประต)ู คาํ นามมวี ิธีการใชแ ตกตางกนั อยา งไร พระภษู า (ผา้ นงุ่ ) พระสคุ นธ ์ (เครือ่ งหอม, น�้าหอม) (แนวตอบ คาํ วา “พระ” กับ “พระราช” พระกณุ ฑล (ตมุ้ ห)ู เปน คาํ ทใี่ ชเติมหนา คํานาม เพือ่ ใหเปนคาํ พระกลด (รม่ ) พระธา� มรงค์ (แหวน) ราชาศัพท โดยคําวา “พระราช” สวนใหญ พระสาง (หวี) ใชส าํ หรับพระราชวงศช้นั สูง เชน พระมหา พระทน่ี ่ัง (เรือนหลวง) พระพชั นี (พดั ) กษตั ริย พระราชินนี าถ สวนคําวา “พระบรม” และ “พระบรมราช” ใชสําหรบั พระมาลา (หมวก) พระมหากษตั รยิ พ ระองคเ ดียว) • คําวา “ทรง” “ตน” และ “หลวง” เมอื่ นํามา พระจฑุ ามณี (ปนิ่ ) ใชป ระกอบกับคาํ นามมวี ธิ กี ารใชแ ตกตา งกัน อยา งไร พระอุณหิส (กรอบหน้า) (แนวตอบ “ทรง” วางทา ยคํานามธรรมดา คําวา “หลวง” ใชตอ ทา ยคาํ นามสามญั ท่ัวไป พระฉาย (กระจก) ทง้ั คน สตั ว ส่งิ ของ แต “ตน” มักใชเฉพาะ กบั สัตวแ ละส่ิงของ) พระราชอาสน ์ (ท่ีสา� หรบั นงั่ ) 2. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน นาํ เสนอหนาชัน้ เรียน ๕) ค�ำนำมขัตติยตระกูล น�ำด้วย “พระ” พระอัยกา (ป่ ู ตา) พระอยั ยกิ า พระอัยกี (ย่า ยาย) พระชนก พระบดิ ร พระบดิ า (พ่อ) พระชนน ี พระมารดร พระมารดา (แม่) พระเชษฐา (พชี่ าย) พระภคิน ี (พี่สาว) พระอนชุ า (นอ้ งชาย) พระขนษิ ฐา (นอ้ งสาว) พระโอรส (ลกู ชาย) พระธิดา (ลกู หญงิ ) พระนัดดา (หลาน - ลกู ของลูก) พระภาคไิ นย (หลาน - ลูกพ่ีสาว, นอ้ งสาว) ขยายความเขา้ ใจ พระปนัดดา (เหลน - ลกู ของหลาน) พระภาตยิ ะ (หลาน - ลูกพชี่ าย, นอ้ งชาย) Expand พระภัสดา พระสวามี (สามี) พระมเหสี พระชายา (ภรรยา) 1. นกั เรียนพิจารณาภาพรา งกาย จากน้นั นักเรยี น เติมคําราชาศัพทหมวดรา งกาย พระปติ ุลา (ลงุ ซึง่ เป็นพ่ขี องพ่อ) พระปติ ุจฉา (ป้า ซง่ึ เป็นพีข่ องพอ่ ) 2. นักเรยี นพจิ ารณาภาพเครื่องใช จากน้ันให พระมาตลุ า (ลงุ - ซง่ึ เป็นพีข่ องแม)่ พระมาตุจฉา (ปา้ ซงึ่ เปน็ พี่ของแม)่ นกั เรยี นบอกคําราชาศพั ทหมวดเคร่ืองใช พระสัสสรุ ะ (พอ่ ตา) พระสสั สุ (แมย่ าย) 3. นักเรยี นเขยี นแผนผังการลาํ ดบั ญาติ จากน้นั นักเรยี นเติมคาํ ราชาศัพทในแผนผงั พระเชษฐภคนิ ี (พส่ี าว) 4. ครูยกตัวอยา งการใชค าํ ราชาศพั ทที่ไมถ ูกตอ ง 159 แลวใหนกั เรยี นแกไขใหถูกตอง ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปน คาํ ราชาศัพทท ีใ่ ชแ กพระอนุวงศชน้ั พระองคเจา แทนคําสามญั ครูผูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขาใจเกย่ี วกับวิธีการเปลีย่ นคํานามสามัญเปน “ไป” และ “เปนประธาน” ตามลําดับ คาํ ราชาศพั ท โดยสามารถสรุปวธิ ีการตา งๆ ได ดงั นี้ 1. เสดจ็ ทรงเปนประธาน 1. พระบรมราช ใชน ําหนา คํานามสามญั ท่ีสาํ คัญย่งิ เพอื่ ตอ งการยกยองเชิดชู 2. เสด็จ ทรงเปนองคประธาน พระเกียรตยิ ศของพระมหากษตั ริย เพอ่ื แสดงใหเ ห็นถึงการเทดิ พระเกยี รติ 3. เสด็จฯ เปน ประธาน พระมหากษัตริยอ ยางสงู สุด 4. เสดจ็ ฯ เปน องคประธาน 2. พระบรม ใชนําหนา คํานามสามัญใชเฉพาะพระมหากษัตรยิ  เพอ่ื เชิดชู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1.เสดจ็ ทรงเปน ประธานเปน การใชค าํ ราชาศพั ท พระราชอสิ ริยยศของพระองค เชน พระบรมเดชานุภาพ สาํ หรบั พระอนวุ งศช น้ั พระองคเ จา โดยใชค ําวา เสด็จ ในการเดินทาง และใช 3. พระราช นาํ หนานามสามัญสาํ คญั รองมาจาก “พระบรม” เชน พระราชกุศล คําวา ทรง นําหนา 4. พระ นาํ หนาคาํ นามสามัญท่วั ไป สําหรบั พระมหากษัตริยและพระราชวงศ เพ่อื ใหแตกตา งจากสามัญชนทั่วไป คําสวนใหญทใ่ี ชจะเกี่ยวกับเครือ่ งใชส อย สว นตางๆ ของรางกาย และทเี่ ก่ียวกับรางกาย ค่มู อื ครู 159

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นสบื คน การใชคําราชาศพั ทส าํ หรบั ๒.๒ สรรพนามราชาศัพท์ พระมหากษตั รยิ  โดยศกึ ษาการใชค ําสรรพนาม ราชาศพั ท การใชส้ รรพนามราชาศพั ท์ เมอ่ื สรรพนามบุรุษที่ ๑ เป็นสามญั ชน ใช้แก่พระมหากษตั ริย์ พระบรมวงศ์ พระอนุวงศ์ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า สมเดจ็ พระสังฆราช อธบิ ายความรู Explain สรรพนามราชาศัพท์ 1. นกั เรยี นจดั กลุม กลุม ละ 4 - 5 คน รวมกันแสดง ใชแ้ ก่ ความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอ ไปน้ี บรุ ษุ ท่ี ๑ บรุ ุษท่ี ๒ • นักเรยี นบอกความหมายของคาํ สรรพนาม พระมหากษตั รยิ ์ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ (แนวตอบ คาํ ทีใ่ ชแทนนามในประโยคสอ่ื สาร ขา้ พระพทุ ธเจ้า ใตฝ้ ่าละอองธลุ พี ระบาท สมเด็จพระบรมราชินี๑ เราใชค าํ สรรพนามเพ่อื ไมตองกลา วคํานาม ซํ้าๆ ชนิดของคําสรรพนาม แบง เปน 7 ข้าพระพุทธเจา้ ใต้ฝา่ ละอองพระบาท สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร ประเภท แตใ นท่ีนีก้ ลาวถงึ เฉพาะบรุ ุษ พระบรมวงศ์ท่ีไดร้ บั พระราชทานสัปตปฎล สรรพนาม คือ สรรพนามทใี่ ชในการพูด เปน ขา้ พระพทุ ธเจ้า ใต้ฝา่ พระบาท เศวตฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศ๒ สรรพนามทใ่ี ชในการพดู จาสือ่ สารกนั ระหวา ง พระบรมวงศช์ ั้นสมเด็จเจ้าฟ้า ผูสง สารหรอื ผูพดู ผรู ับสารหรอื ผฟู ง และผทู ี่ เกลา้ กระหม่อม (ชาย) ฝ่าพระบาท พระบรมวงศ์ช้ันพระองค์เจา้ (พระราชโอรส เรากลาวถึง) เกลา้ กระหมอ่ มฉนั (หญงิ ) พระราชธดิ าของพระมหากษตั ริย์)๓ • นกั เรยี นคดิ วา การใชคําสรรพนามแทน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ตนเอง และผูท่ีเราพูดดวย รวมถงึ ผทู ีเ่ รา กระหมอ่ ม (ชาย) ฝ่าพระบาท สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กลาวถงึ อยางสภุ าพ สงผลดตี อ การสื่อสาร หม่อมฉนั (หญิง) พระอนุวงศช์ น้ั พระองคเ์ จ้า [พระเจา้ หลานเธอ อยา งไร พระองค์เจา้ พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้า (แนวตอบ เปนการใหเ กียรตผิ ูฟง และผูที่เรา (ที่ทรงกรม) พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กลา วถงึ ชวยสรา งความสมั พันธท ่ีดี เนือ่ งจาก (ทม่ี ิไดท้ รงกรม) พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ เปนการสือ่ สารตามขนบของสงั คมและ (ท่ที รงกรม)] วัฒนธรรม สง ผลใหการสอื่ สารสมั ฤทธิผล) สมเด็จพระสังฆราช • นักเรียนคดิ วา การใชคําสรรพนามราชาศัพท พระอนุวงศ์ช้ันพระองค์เจา้ [พระวรวงศเ์ ธอ ควรคาํ นึงถึงเรื่องใดบา ง อยางไร พระองคเ์ จ้า (ทีม่ ิได้ทรงกรม)] และพระอนุวงศ์ (แนวตอบ ควรคํานึงถงึ ฐานะและตาํ แหนงของ ช้นั หมอ่ มเจา้ ผรู บั สารทกี่ ําลังสื่อสาร รวมถงึ กาลเทศะใน การสอื่ สาร) ๑ ตามประกาศเรอ่ื ง การถวายพระเกียรติยศ สมเด็จพระนางเจา้ สุทดิ า พชั รสธุ าพิมลลักษณ พระบรมราชินี ประกาศ ณ วนั ท่ี ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนที่ ๑๗ ข หน้า ๔ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จ 2. ครูสุมนักเรยี นแตละกลมุ ออกมานาํ เสนอหนา พระวชิรเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมใหใ้ ชค้ �าราชาศพั ท์และค�ากราบบังคมทูลพระกรณุ าถวายพระเกยี รตยิ ศแก่ ช้นั เรียน สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี เสมอดว้ ยคา� ราชาศพั ทแ์ ละคา� กราบบงั คมทลู พระกรณุ าสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกุ ประการ ตามประกาศเรือ่ ง พระปรมาภไิ ธย พระนามาภิไธย คา� อ่าน และสรรพนาม คา� ขึ้นต้น ค�าลงท้าย ในการกราบบงั คมทูล กราบทูล ประกาศ ณ วันท่ี ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนพเิ ศษ ๑๑๗ ง ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หน้า ๔ ไดก้ ำ� หนดกำรใชส้ รรพนำมรำชำศัพทท์ ่ีใช้แก่สมเด็จพระนำงเจำ้ สทุ ดิ ำ พชั รสธุ ำพมิ ลลกั ษณ พระบรมรำชนิ ี ดังนี้ สรรพนำมบุรษุ ที่ ๑ ใช้วำ่ ๒๓“ใใขนน้ำรรพชััชรกกะาาพลลุทปปธัจัจเจจจุบุบำ้ นั”ัน สรรพนำมบุรษุ ท่ี ๒ ใช้วำ่ “ใต้ฝ่ำละอองธุลพี ระบำท” หมายถงึ สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชา ทินัดดามาตุ เปน็ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี กรมหมืน่ สทุ ธนารนี าถ ตามประกาศเรอื่ ง พระปรมาภไิ ธย พระนามาภไิ ธย คา� อา่ น และสรรพนาม คา� ขนึ้ ตน้ คา� ลงทา้ ย ในการกราบบงั คมทลู กราบทลู ประกาศ ณ วันท่ี ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดงั ปรากฏในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หน้า ๑๐ กา� หนดการใชส้ รรพนามราชาศพั ทท์ ี่ใชแ้ กพ่ ระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี กรมหมน่ื สทุ ธนารนี าถ เทยี บเทา่ การใช้ 160 คา� ขน้ึ ตน้ สรรพนาม คา� ลงทา้ ยในการกราบทลู พระบรมวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ ทเ่ี ปน็ พระราชโอรสพระราชธดิ าของพระมหากษตั รยิ ์ เกร็ดแนะครู บรู ณาการเช่ือมสาระ ครูสามารถนําเน้ือหาเรือ่ ง คาํ ราชาศพั ท บรู ณาการเชือ่ มโยงกับกลมุ สาระ ครูผูส อนควรเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับคําสรรพนามราชาศัพท เปน การเรียนรูส งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวิชาประวัตศิ าสตร เนื้อหา คําราชาศัพททใ่ี ชแ ทนชอ่ื ซ่งึ จําแนกใชตามขัน้ หรอื ฐานะของบุคคลที่มฐี านนั ดรศกั ดิ์ เกี่ยวกบั การรับอิทธพิ ลดานคติความเช่ือเกย่ี วกับสถาบนั พระมหากษตั รยิ ใ น ตา งกันตามประเพณีซึง่ บญั ญตั ไิ ว ดงั นนั้ ครผู ูสอนตอ งสอนเรือ่ งลําดับพระราชวงศหรอื สังคมและวัฒนธรรมไทย รวมถึงความรคู วามเขาใจทางดานประวตั ิศาสตร ขัตติยตระกูล เพื่อใหผเู รียนรูจักการเลือกใชค าํ สรรพนามราชาศัพทไดเหมาะสมกับ เกย่ี วกบั ความสมั พันธท างอํานาจ รวมถึงอทิ ธพิ ลทางสังคมและวฒั นธรรม ตัวผพู ดู และฐานนั ดรศกั ด์ิ พรอมกนั น้ีครผู ูสอนควรเพมิ่ ความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับ ของราชอาณาจกั รตา งๆ ท่ีสงผลใหป ระเทศไทยรับคาํ ราชาศัพทม าใช และ คําสรรพนาม เปน คําท่ีใชแ ทนนามในประโยคสอื่ สาร ชนดิ ของคําสรรพนาม แบง เปน บทบาทของสถาบันพระมหากษตั ริยท ีม่ ีตอ สงั คมและวฒั นธรรมไทย อนั แสดง 7 ประเภท ดังน้ี 1. สรรพนามที่ใชในการพูด (บรุ ุษสรรพนาม) เปนสรรพนามทใ่ี ช ถึงรากฐานทางประวตั ิศาสตรข องประเทศไทย ในการพูดจาสอื่ สารกัน มี 3 ชนดิ คอื สรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแ ทนผสู งสาร (ผพู ดู ) สรรพนามบรุ ุษท่ี 2 ใชแ ทนผรู ับสาร (ผทู ี่พูดดว ย) และสรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแทนผทู ่ี กลาวถงึ 2. สรรพนามทใ่ี ชเช่ือมประโยค (ประพันธสรรพนาม) 3. สรรพนามบอกความ ชซี้ ํา้ (วภิ าคสรรพนาม) 4. สรรพนามชเ้ี ฉพาะ (นยิ มสรรพนาม) 5. สรรพนามบอก ความไมเ จาะจง (อนิยมสรรพนาม) 6. สรรพนามท่ีเปน คําถาม (ปฤจฉาสรรพนาม) 7. สรรพนามทีเ่ นน ตามความรสู ึกของผูพูดทม่ี ีตอบคุ คลทก่ี ลาวถึง 160 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การใชค้ �าขึ้นตน้ และคา� ลงทา้ ย ในการกราบบงั คมทูล กราบทูล และทูล ดว้ ยวาจา 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ดังตอ ไปน้ี พระบรมราชอิสรยิ ยศ, คา� ขึ้นตน้ คา� ลงทา้ ย หมายเหตุ • นกั เรยี นบอกหลักการใชคาํ สรรพนาม พระราชอิสรยิ ยศ ราชาศพั ท พรอ มยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ นักเรียนอาจกลา วถงึ ขอควรคาํ นึง พระมหากษัตริย์ ขอเดชะฝ่าละอองธลุ ี ดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหมอ่ ม ในการใชคําสรรพนามราชาศัพท โดยคาํ นึง สมเด็จพระบรมราชินนี าถ พระบาทปกเกล้า ขอเดชะ ถงึ ฐานะและตาํ แหนง ของผูรบั สารท่กี าํ ลงั ปกกระหม่อม, สอ่ื สาร ซึง่ มีลําดับชั้นที่แตกตางกัน รวมถึง สรวมชพี (โบ) ตองคํานึงถึงกาลเทศะในการสือ่ สาร นักเรยี นสามารถยกตัวอยางการใชค ํา สมเดจ็ พระบรมราชินี ขอพระราชทานกราบ ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหม่อม, การกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าสทุ ดิ า สรรพนามราชาศพั ท โดยนักเรียนสามารถ บังคมทลู ทราบ ควรมคิ วรแล้วแต่จะทรง พัชรสุธาพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชินี ใช้คา� พิจารณาคําตอบไดจ ากหนงั สอื เรยี นหนา ฝ่าละอองพระบาท พระกรณุ าโปรดเกล้า ขน้ึ ตน้ วา่ “ขอพระราชทานกราบบงั คมทูล 160 -161) พระกรณุ าทรงทราบฝ่าละอองธุลพี ระบาท” โปรดกระหมอ่ ม, ควร และใช้คา� ลงท้ายว่า “ดว้ ยเกล้าด้วย 2. ครูสมุ นกั เรียนแตละกลมุ ออกมานําเสนอ มิควรสุดแล้วแต่จะทรง กระหม่อม/ควรมิควรแลว้ แต่/สุดแตจ่ ะ หนา ช้นั เรยี น พระกรณุ าโปรดเกลา้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม” โปรดกระหม่อม สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ขอพระราชทานกราบ ดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหม่อม, คา� ขึน้ ตน้ ในการกราบบงั คมทูลสมเด็จ สยามมกฎุ ราชกมุ าร บงั คมทูลทราบ ควรมิควรแล้วแต่จะทรง พระกนิษฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพ- พระบรมวงศ์ทไ่ี ด้รับ ฝ่าละอองพระบาท พระกรุณาโปรดเกล้า รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ใช้วา่ พระราชทานสัปตปฎล “ขอพระราชทานกราบบังคมทลู ทรงทราบ เศวตฉัตรประกอบ โปรดกระหม่อม, ฝ่าละอองพระบาท” พระราชอสิ รยิ ยศ ควรมิควรสุดแต่จะทรง พระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหมอ่ ม ขยายความเขา ใจ พระบรมวงศ์ชน้ั สมเด็จเจา้ ฟ้า ขอพระราชทานกราบ ควรมิควรแลว้ แตจ่ ะ Expand ทูลทราบ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม, ฝ่าพระบาท ควรมคิ วรสุดแต่จะ โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม นกั เรยี นปฏิบัตกิ จิ กรรมตอคําศพั ท โดยให นักเรียนแบง กลมุ ตามระดบั ของการใชคาํ พระบรมวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ ขอประทานกราบ ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะ การกราบทูลพระเจา้ วรวงศ์เธอฯ กรมหมื่น ราชาศัพท เมือ่ ครูใหคําราชาศพั ทคาํ ใดคําหนึง่ ให (พระราชโอรส ทูลทราบ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม, สุทธนารนี าถ ใช้คา� ขึ้นต้นว่า “ขอประทาน สมาชกิ ภายในกลมุ ตอ คาํ ราชาศพั ทใ นระดบั ของ พระราชธิดาของ ฝ่าพระบาท ควรมิควรสดุ แตจ่ ะ กราบทูลทราบฝา่ พระบาท” และใช้ค�า ตนเอง กลมุ ใดใชเ วลารวดเร็วที่สุดเปน พระมหากษตั ริย)์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ลงทา้ ยวา่ “ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกลา้ ผชู นะในแตละเกม เลน ประมาณ 10 เกม โปรดกระหม่อม, ควรมิควรสุดแตจ่ ะ จงึ ตัดสนิ หาผูชนะ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม” เทยี บเทา่ การ ใช้ค�าขึ้นต้นและคา� ลงท้ายในการกราบทลู พระบรมวงศช์ ั้นพระองค์เจา้ พระอนุวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ กราบทลู ทราบ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ค�าข้ึนต้นในการกราบทูลพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ [พระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ ฝา่ พระบาท พระองคเ์ จา้ สิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้า พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ อทติ ยาทรกติ คิ ณุ (ทท่ี รงกรม) พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ ใช้ว่า “ขอประทานกราบทลู ทราบ พระองคเ์ จา้ (ทมี่ ไิ ดท้ รงกรม) ฝา่ พระบาท” พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ (ท่ี ทรงกรม)] สมเดจ็ พระสงั ฆราช พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ทลู ทราบฝ่าพระบาท ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด (ท่ีมิไดท้ รงกรม) พระอนุวงศช์ ้ันหมอ่ มเจา้ ทูลฝา่ พระบาท แล้วแตจ่ ะโปรด สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ขอประทานกราบ ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะ สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า ทลู ทราบฝา่ พระบาท โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม 161 ขอความตอ ไปนี้ใชคําราชาศัพทผ ดิ ก่คี ํา ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชดํารัสเก่ียวกับการอนุรักษผืนปา ครูผสู อนควรเพ่มิ เติมความรเู กีย่ วกบั ชนดิ ของคาํ กรยิ าราชาศัพท ดงั ตอไปน้ี กับเจาหนาท่ีกรมปาไมท่ีทรงพระกรุณาโปรดเกลาโปรดกระหมอมใหเขาเฝา 1. คาํ กรยิ าท่เี ปน กริยาราชาศพั ทดวยตวั เอง ไดแก กรยิ าทเ่ี ปนคาํ โดด ซง่ึ บญั ญตั ิ ทูลละอองพระบาทที่อทุ ยานแหง ชาตแิ กง กระจานจังหวดั เพชรบรุ ี 1. จํานวน 1 คํา 2. จาํ นวน 2 คํา ขึ้นเฉพาะพระราชาหรือเจา นายเทา นน้ั เชน กรว้ิ ตรสั 3. จาํ นวน 3 คํา 4. จํานวน 4 คํา 2. กริยาท่ีประสมข้ึนใชเปนราชาศพั ทต ามประเภทของบคุ คล ไดแ ก คํากริยาที่ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. จํานวน 2 คํา เปน การใชค ําราชาศพั ทผดิ มคี วามหมายอยา งเดียวกนั แตบัญญตั คิ ําข้นึ ใชหลายชนิดตามระดับชน้ั ของ บุคคล เปน ตนวา กรยิ าท่มี ีความหมายวา เกิด เชน เสดจ็ พระราชสมภพ ไดแ ก ทรงมพี ระราชดํารสั ท่ีถกู ใชว า มีพระราชดํารสั และเขา เฝาทูลละออง ประสตู ิ พระบาท ทถ่ี กู ใชว า เขาเฝาทลู ละอองธุลพี ระบาท 3. กรยิ าราชาศพั ทท ใี่ ช “เสด็จ” นาํ หนาคํากรยิ าสามญั บางคําใหเ ปน คํากรยิ า ราชาศพั ทค ลา ยคลงึ กบั วธิ กี ารใชค าํ วา ทรง โดยคาํ วา เสดจ็ ใชน าํ หนา คาํ นาม ราชาศพั ททาํ ใหเ ปนคํากริยาราชาศัพท เชน เสด็จประพาส 4. กริยาราชาศพั ทท่ีใช “ทรง” นําหนาคํานามสามญั หรอื กริยาสามญั และ เม่อื ประสมกันแลวกจ็ ะกลายเปนคํากรยิ าราชาศพั ท เชน ทรงมา ทรงสราง คูมือครู 161

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นสบื คนการใชค ําราชาศพั ทสาํ หรับ ๒.๓ กรยิ าราชาศัพท์ พระมหากษตั ริย โดยศึกษาการใชค าํ กริยาราชาศัพท อธบิ ายความรู Explain ๑) ใช้คำ� “ทรง” นำ� หนำ้ ค�ำนำม หรอื ค�ำกริยำธรรมดำ 1. นักเรียนจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันตอบ ทรง น�ำหน้ำคำ� นำม ทรง นำ� หนำ้ คำ� กรยิ ำ คาํ ถามในประเด็น ตอ ไปน้ี • คาํ กริยามคี วามหมายวา อยางไร ทรงกีฬา (เล่นกฬี า) ทรงเจมิ (เจิม) (แนวตอบ คาํ ทแ่ี สดงอาการ สภาพ หรอื การ ทรงงานศลิ ปะ (ทาำ งานศลิ ปะ) ทรงทาำ นุบำารงุ (ทาำ นุบาำ รงุ ) กระทําของคํานาม และคําสรรพนามใน ทรงงานอดิเรก (ทำางานอดเิ รก) ทรงปฏิบัต ิ (ปฏบิ ตั )ิ ประโยค คาํ กรยิ าบางคําอาจมีความหมาย ทรงช้าง (ขี่ช้าง) ทรงฉาย (ถ่ายรปู ) สมบูรณในตวั เอง แตบางคาํ ตองมีคาํ อ่นื มา ทรงดนตรี (เล่นดนตร)ี ทรงพิจารณา (พิจารณา) ประกอบ) ทรงธรรม (ฟงั เทศน)์ ทรงรัก (รกั ) • คาํ วา “ทรง” และ “ทรงพระ” มีหลกั ในการ ทรงบาตร (ตกั บาตร) ทรงเลอื ก (เลือก) ใชอ ยางไร และมีขอยกเวน ในการใชอ ยา งไร ทรงมา้ (ข่ีม้า) ทรงสนับสนุน (สนับสนนุ ) (แนวตอบ ใชค าํ วา “ทรง” นําหนา คํานาม หรอื ทรงศลี (รับศีล) ทรงสรา้ ง (สรา้ ง) คํากริยาธรรมดา เพอื่ เปลยี่ นคาํ นัน้ ใหเ ปน คาํ ราชาศัพท ตวั อยางเชน ทรงกีฬา หมายถึง ฯลฯ ฯลฯ เลนกฬี า ทรงทาํ นุบํารงุ หมายถึง ทาํ นุบาํ รุง ทรงบาตร หมายถงึ ตักบาตร สว นคาํ วา ๒) ใชค้ ำ� “ทรงพระ” น�ำหน้ำค�ำนำม หรอื คำ� กรยิ ำรำชำศัพท์ “ทรงพระ” ใชน ําหนาคํานามหรือคาํ กริยา ตัวอยางเชน ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ทรงพระกรุณา (กรุณา) ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ (กรุณา) โปรดกระหมอม หมายถึง กรุณา สว นคาํ กรยิ า ทรงพระเมตตา (เมตตา) ทรงพระกนั แสง (ร้องไห)้ ท่เี ปนคาํ ราชาศัพทอ ยแู ลวจะไมใช “ทรง” ทรงพระสุคนธ์ (ทาเคร่ืองหอม) ทรงพระกาสะ (ไอ) นําหนา ตวั อยางเชน ตรสั หมายถึง พดู ทรงพระสบุ นิ (ฝัน) ทรงพระประชวร (เจบ็ ปว่ ย) เสวย หมายถงึ กนิ ทอดพระเนตร หมายถึง ด)ู ทรงพระอุตสาหะ (อตุ สาหะ) ทรงพระพโิ รธ กริ้ว (โกรธ) ทรงพระวริ ยิ ะ (เพยี ร) ทรงพระสรวล (หวั เราะ) 2. ครสู ุมนักเรียนแตละกลมุ ออกมานําเสนอ ทรงพระสาำ ราญ (สบายกาย สบายใจ) ทรงพระวาตะ (ผายลม) หนาชัน้ เรียน ๓) ค�ำกรยิ ำที่เปน็ รำชำศพั ทอ์ ยแู่ ล้ว ไม่ใช้ทรง น�ำหน้ำ ตรัส (พดู ) ประสูต ิ (เกดิ ) ใชก้ บั พระบรมวงศานวุ งศ์ บรรทม (นอน) พระราชทาน (ให้) โปรด (ชอบ) เสดจ็ นิวัต (กลบั มา) เสด็จประพาส (ไปเท่ยี ว) สรงน้ำา (อาบนาำ้ ) เสวย (กนิ ) สรงพระพกั ตร ์ (ล้างหน้า) ทอดพระเนตร (ดู) ตกพระทัย (ตกใจ) 162 บูรณาการอาเซยี น ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT หากจะกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย นกั เรยี นจะใชส รรพนามบรุ ุษที่ 1 คาํ ราชาศัพทม ีทมี่ า มาจากการรบั คตคิ วามเชอ่ื ทว่ี า พระมหากษัตริยม สี ถานะ แทนตัวนักเรียนตามขอ ใด เปน สมมติเทพ กลาวคือ พระมหากษัตรยิ ทรงเปนเทพอวตารมาเพอ่ื ปกครองมนุษย 1. หมอมฉัน 2. เกลา กระหมอม เรยี กวา เทวราชา เปน คตคิ วามเชอื่ ทรี่ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมเขมรตง้ั แตส มยั อยธุ ยา 3. ขา พระพุทธเจา 4. เกลา กระหมอ มฉัน สะทอนถึงความสมั พนั ธท างวฒั นธรรมระหวางประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาทม่ี ี การถายทอดวฒั นธรรมรวมกันอยางยาวนาน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ขา พระพุทธเจา เปน สรรพนามราชาศพั ท บุรษุ ที่ 1 ทใ่ี ชแ กพ ระมหากษัตริย สว นขอ 1. หมอมฉนั ใชแ กพ ระวรวงศเธอ พระองคเจา (ท่มี ิไดทรงกรม) และพระอนวุ งศช น้ั หมอมเจา 2. เกลา กระหมอ ม และ 4. เกลา กระหมอ มฉัน ใชแ กพระเจาหลานเธอ พระองคเ จา พระเจา วรวงศ เธอ พระองคเ จา (ทีท่ รงกรมและมไิ ดท รงกรม) พระวรวงศเธอ พระองคเ จา (ทท่ี รงกรม) และสมเดจ็ พระสงั ฆราช 162 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand การใชก้ ริยาราชาศัพทต์ ามชน้ั บคุ คล 1. นักเรยี นคน หาขา ว จากนัน้ เขียนคาํ ราชาศพั ท จากขา ว ค�ำสำมญั รำชำศัพท์ ใช้แก่ 2. ครูนดั หมายนักเรียนดขู า วในพระราชสาํ นกั ขออนญุ ำต ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าต พระมหากษตั รยิ ์ จากนั้นใหน ักเรยี นจดบนั ทกึ คําราชาศพั ทท ี่ได จากขาว พรอ มเปรยี บเทยี บความหมาย และ ขอพระราชทานพระราชานญุ าต สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี จัดกลมุ คาํ ราชาศพั ททีร่ วบรวมมา สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกมุ าร พระบรมวงศท์ ี่ไดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ตรวจสอบผล Evaluate ประกอบพระราชอิสริยยศ๑ ขอพระราชทานพระอนุญาต พระบรมวงศช์ ้ันสมเดจ็ เจา้ ฟ้า 1. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับ คาํ ราชาศพั ท ขอประทานพระอนญุ าต พระบรมวงศช์ ั้นพระองค์เจ้า จนถงึ พระอนุวงศ์ ชนั้ หมอ่ มเจ้า 2. นกั เรียนบอกคําราชาศพั ทหมวดตางๆ พรอ ม เขยี นแผนผังหมวดขัตตยิ ตระกูลได บอก กราบบงั คมทูล, กราบบงั คมทูล พระมหากษตั ริย์ พระกรุณา 3. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหคําราชาศพั ทได กราบบังคมทลู สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี๒ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกุฎราชกุมาร พระบรมวงศท์ ไ่ี ดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ประกอบพระราชอิสริยยศ๓ กราบทลู พระบรมวงศช์ ้นั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ จนถงึ พระวรวงศ์เธอ (ทีท่ รงกรม) ทลู พระวรวงศเ์ ธอ (ทมี่ ไิ ดท้ รงกรม) และพระอนุวงศ์ ชน้ั หมอ่ มเจา้ ให้ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย (แด)่ พระมหากษัตรยิ ์ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ (ส่งิ ของเลก็ หรอื ของท่ียกได)้ สมเด็จพระบรมราชินี น้อมเกลา้ นอ้ มกระหมอ่ มถวาย สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกุมาร (สงิ่ ของใหญห่ รือของท่ียกข้ึนให้ พระบรมวงศท์ ไี่ ดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ไม่ได้) ประกอบพระราชอสิ ริยยศ๔ ถวาย (แด่) พระบรมวงศ์ชัน้ สมเดจ็ เจ้าฟ้า จนถงึ พระอนวุ งศ์ ชนั้ หม่อมเจา้ ๑, ๓, ๔ ในรชั กาลปัจจุบนั หมายถึง สมเด็จพระกนษิ ฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ๒ ตามประกาศเรอ่ื ง การถวายพระเกยี รตยิ ศ สมเด็จพระนางเจา้ สทุ ิดา พัชรสธุ าพมิ ลลักษณ พระบรมราชนิ ี ประกาศ ณ วนั ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๑๗ ข ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หนา้ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้ราชาศัพท์และค�ากราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระเกียรติยศแก่ สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี เสมอดว้ ยคา� ราชาศพั ทแ์ ละคา� กราบบงั คมทลู พระกรณุ าสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกุ ประการ ราชาศพั ทค์ า� วา่ “บอก, รายงาน” ทใ่ี ชแ้ ก่ สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี ใชว้ า่ “กราบบงั คมทลู , กราบบังคมทลู พระกรณุ า” 163 บรู ณาการเชอื่ มสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถนําเนอื้ หาเร่อื ง คําราชาศัพท บรู ณาการเชื่อมโยงกับกลมุ สาระ ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ ความรเู ก่ยี วกบั การใชคาํ ราชาศัพทใหถ กู ตองตามระเบียบ การเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวิชาพระพทุ ธศาสนา แบบแผน หากนกั เรียนพบปญหาการใชคําราชาศัพท นกั เรยี นควรยดึ แนวทาง และรายวิชาศาสนาสากล เน้ือหาเกยี่ วกบั การรับอทิ ธพิ ลดานคติความเช่ือ การใชคาํ ราชาศพั ทข องทางราชการ เกย่ี วกับสถาบันพระมหากษตั รยิ ในสังคมและวัฒนธรรมไทย ครสู ามารถ บรู ณาการความรคู วามเขา ใจทางดานคตคิ วามเชอื่ เกยี่ วกบั พระมหากษัตริย แนวคิดการปกครองแบบราชาธปิ ไตยสมยั แรกเร่ิม ซ่งึ ไดรับอทิ ธิพลจากศาสนา พราหมณ- ฮนิ ดู จากอาณาจกั รขอม และหลักความเชอื่ แบบพระพุทธศาสนา นกิ ายเถรวาท รวมถึงแนวคดิ ท่ีมาจากวรรณะ “กษัตริย” ของศาสนาฮนิ ดู นอกจากน้ี ยงั ปรากฏแนวคิด “ธรรมราชา” ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ท่วี า พระมหากษตั รยิ ควรปกครองประชาชนโดยธรรมอกี ดว ย คตคิ วามเชื่อ ดังกลา วไดนาํ เสนอผานพระนามของพระมหากษัตรยิ  เชน สมยั สุโขทยั มกี าร ปกครองแบบพอ ปกครองลูก พระมหากษตั ริยจะมีพระนามขึ้นตนวา “พอ ขุน” คมู ือครู 163

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๓. ค�ำรำชำศัพทส์ �ำหรับพระภิกษุ • คําวา “อาตมา” และ “อาตมภาพ” เปนการ สมเด็จพระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยกเป็นประมุขของสงฆ์ จึงก�ำหนดให้ใช ้ ใชคาํ สรรพนามแทนตนเองของพระภกิ ษุ รำชำศัพท์กับสมเด็จพระสงั ฆรำช เทยี บเท่ำพระรำชวงศ์ชัน้ พระองคเ์ จำ้ สว่ นพระภกิ ษทุ ่เี ป็นพระ- นักเรยี นคดิ วา การใชค าํ ราชาศัพทด ังกลา ว รำชวงศน์ นั้ คงใชร้ ำชำศัพทต์ ำมลำ� ดับช้ันแห่งพระรำชวงศ์ ปรากฏในการใชค าํ ราชาศัพทร ะดับอนื่ ๆ หรือไม อยางไร ๓.๑ คำ� นำม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยูกับเหตุผลของ ค�ำนำมท่ีใช้ส�ำหรับพระภิกษุน้ัน ส่วนมำกใช้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ค�ำบำงค�ำที่ นักเรยี น) ก�ำหนดไวเ้ ฉพำะพระภิกษุสงฆ ์ เชน่ • จากการเปรยี บเทียบขางตนนักเรียนคิดวา กาสาวพสั ตร ์ ผา้ ยอ้ มฝาด คอื ผ้าเหลืองพระ เน้อื หาขางตน สะทอนภาพสังคมและ กลด รม่ ขนาดใหญ่ มดี ้ามยาว ส�าหรบั พระธุดงค์โดยเฉพาะ วฒั นธรรมไทยอยา งไร จีวร ผา้ ส�าหรับหม่ ของภิกษสุ ามเณร คูก่ บั สบง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น สบง ผ้าน่งุ ส�าหรบั ภิกษสุ ามเณร ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกบั เหตุผลของ สงั ฆาฏิ ผา้ คลมุ กนั หนาวสา� หรับพระใชท้ าบบนจวี ร ใชพ้ ันพาดบ่าซา้ ย นักเรียน เปน ตนวา นักเรยี นอาจเปรยี บเทียบ ตาลปัตร พัดใบตาล มดี ้ามยาว สา� หรับพระใชใ้ นพิธกี รรม คาํ สรรพนามบุรุษที่ 1 ของพระภิกษุสงฆ ไทยธรรม ของถวายพระ กบั พระบรมวงศานวุ งศ รวมถงึ คาํ สรรพนาม ธรรมาสน ์ ทสี่ �าหรับภกิ ษุสามเณรนัง่ แสดงธรรม แทนตนเองของสภุ าพชนวา มีการบญั ญัตไิ ว บาตร ภาชนะชนดิ หนงึ่ ส�าหรบั ภิกษสุ ามเณรใช้รบั อาหารบณิ ฑบาต หรือไม หากมกี ารบญั ญัติหรอื ไมบัญญตั ิคาํ บรขิ าร เครอื่ งใช้สอยของภิกษุ มี ๘ อย่าง รวมเรียกวา่ “อัฏฐบริขาร” ทั้งสองประเภทสะทอนวธิ คี ดิ ทางสังคมและ ไดแ้ ก่ สบง จวี ร สงั ฆาฏิ บาตร มีดโกน เข็ม ประคดเอว วัฒนธรรมไทยอยางไร) กระบอกกรองนา�้ เบญจางคประดิษฐ ์ การกราบโดยให้อวยั วะท้ัง ๕ คอื เข่าทง้ั ๒ มอื ท้งั ๒ สา� รวจคน้ หา Explore และหนา้ ผากจดลงกบั พืน้ ปจั จยั เงนิ ที่ทายกทายิกาถวายพระเพอ่ื เป็นคา่ ปัจจยั ส่ ี คือ เครื่องนงุ่ หม่ นกั เรยี นสืบคนขอ มูลเก่ยี วกบั คําราชาศพั ท ท่ีอยอู่ าศัย อาหาร ยารักษาโรค สําหรับพระภิกษุสงฆ ดงั ตอ ไปนี้ ลิขิต จดหมายของพระสงฆ์ ๑) คำ� นำมหมวดสถำนท่แี ละส่ิงอน่ื ๆ • หมวดคาํ นาม กุฏิ เรอื นหรือตกึ ส�าหรับพระภิกษุสามเณรอยู่อาศัย • หมวดคาํ สรรพนาม วิหาร วดั สว่ นใหญเ่ ป็นท่ีประดษิ ฐานพระพุทธรปู • หมวดคาํ กริยา เจดยี ์ ส่ิงซ่งึ ก่อเปน็ รปู คล้ายลอมฟาง มยี อดแหลม บรรจุสง่ิ ท่นี บั ถอื เช่น พระธาตุ 164 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครูสามารถนําเน้ือหาเรอื่ ง คาํ ราชาศพั ทท ใี่ ชกบั พระภิกษสุ งฆ บูรณาการ ครผู สู อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั คุณคาและความสาํ คัญของ เช่อื มโยงกับกลุมสาระการเรียนรู สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า พระพุทธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไทย เนือ่ งจากพระพทุ ธศาสนามพี ระสงฆ พระพุทธศาสนา หนวยการเรียนรู หนา ที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ เปน ผูส บื ทอดและจรรโลงพระพุทธศาสนา ซ่ึงเปนศาสนาหลกั ของสังคมไทย ซงึ่ ไดร ับ เนอื้ หาเก่ยี วกับมารยาทชาวพทุ ธ การปฏิบตั ิตนตอพระภกิ ษทุ างกาย วาจา การนบั ถือจากคนไทยสว นใหญใ นสังคม การใชถ อยคําสาํ หรบั พระภิกษุสงฆจงึ มกี าร และใจ การปฏิสันถารตอพระภกิ ษุในโอกาสตางๆ เพ่อื ใหนกั เรียนสามารถนํา กําหนดข้นึ ใชเฉพาะใหถ กู ตองเหมาะสม เพ่อื เปน การแสดงออกถึงความเคารพนบั ถอื องคความรูจากการศกึ ษาคําราชาศัพทเ กย่ี วกับพระภิกษุสงฆม าประยุกตใ ชไ ด และยกยองพระสงฆ ถกู ตองเหมาะสม นอกจากน้ี นักเรยี นยังสามารถนําองคความรูจากการศึกษา ในหนวยการเรียนรูน้ีมาใชทําความเขา ใจเกี่ยวกบั บทบาทและความสําคญั ของ ฉะนั้น ในการพูดสนทนากับพระสงฆจะตองมสี ัมมาคารวะ สํารวม ไมใ ชถ อยคํา พระพทุ ธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไดด ีย่งิ ขน้ึ ทไี่ มสุภาพ ซึง่ ผพู ดู จาํ เปนตองเขาใจเรือ่ งสมณศกั ดิ์ ซ่งึ เปนยศของพระสงฆที่ไดรบั พระราชทานพดั ยศ จงึ จะสามารถเลอื กใชคาํ ราชาศพั ทไดถกู ตอง เชน สรรพนาม “เจาคุณ” ใชก ับสมเด็จพระราชาคณะ “พระคณุ เจา ” ใชกับพระราชาคณะชน้ั ตอมา เปน ตน 164 คูม่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พทุ ธาวาส สว่ นหนงึ่ ของวดั ประกอบดว้ ย โบสถ ์ วิหาร เจดยี ์ ซึ่งใชเ้ ปน็ ที่ 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ ประกอบสังฆกรรม โดยมีกา� แพงก้ันไวจ้ ากสว่ นทีเ่ ปน็ สังฆาวาส ตอ ไปน้ี สังฆาวาส บรเิ วณทีอ่ ยู่อาศัยของพระสงฆ์ ประกอบดว้ ย กฏุ ิ หอฉัน • นักเรียนคิดวา การใชคาํ ราชาศพั ทสาํ หรับ หศาอลสาา� กหารรบั เปเกรบ็ ยี พญร ะเปไต็นรตป้นฎิ ก1 พระภิกษสุ งฆมีความแตกตา งจากการใช หอไตร คาํ ราชาศพั ทใ นหมวดอ่นื หรอื ไม อยางไร อโุ บสถ สถานทสี่ า� หรับพระสงฆป์ ระชมุ กนั ทา� สังฆกรรม เรยี กส้ันๆ ว่า (แนวตอบ คาํ ราชาศพั ทสําหรบั พระภกิ ษสุ งฆ โบสถ์ น้นั สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆ- ๒) คำ� นำมหมวดพระภิกษแุ ละบคุ คลที่เก่ียวข้อง ปริณายกซ่ึงเปนประมุขฝา ยสงฆ กําหนดให สมภาร เจ้าอาวาส ใชคําราชาศพั ทสําหรบั พระสงั ฆราช อุปัชฌาย์ พระเถระผเู้ ปน็ ประธานในการบวช เทียบเทา กบั พระราชวงศช้ันพระองคเจา กรรมวาจาจารย ์ อาจารย์ผ้ใู ห้ส�าเรจ็ กรรมวาจา คอื คูส่ วดในการบวช สวนพระภิกษุทเ่ี ปน พระราชวงศน้นั ใหคงใช นาค ชายหนุ่มที่ไปอยวู่ ดั เพ่ือเตรยี มตัวบวช ราชาศพั ทตามลาํ ดบั ช้นั แหงพระราชวงศ ทายก ทายิกา ชายและหญิงผ้ถู วายจตปุ ัจจยั แก่ภิกษุสามเณร เชน เดิม และการใชค าํ ราชาศพั ทส าํ หรบั มหา สมณศักดท์ิ ี่ใชน้ า� หน้าช่ือภิกษทุ ่สี อบไล่ไดต้ งั้ แตเ่ ปรียญธรรม พระภกิ ษุสงฆสว นมากใชเชน เดียวกับบุคคล ๓ ประโยคขนึ้ ไป ท่วั ไป ยกเวนบางคําที่กาํ หนดไวเ ฉพาะ มคั นายก ตผนู้�าแา� หทนางง่ พครือะ ฐผาจู้ นัดากนากุรทรมาอง2กนั ศุ ดลบั สผดุชู้ ทแี้ จ้ายงทางบญุ พระภกิ ษสุ งฆ) ใบฎีกา สมหุ ์ ตา� แหน่งพระฐานานุกรม เหนอื พระใบฎกี า 2. นกั เรียนรวบรวมขอมลู เพ่มิ เตมิ ยกตวั อยาง โโยยมมอ ปุ ฏั ฐาก3 ค�าทพี่ ระภกิ ษุใช้เรยี กฆราวาส คาํ นามหมวดสถานที่และสง่ิ อ่ืนๆ ท่เี ปน ผู้แสดงตนเปน็ ผ้อู ปุ การะพระสงฆ์ คาํ ราชาศพั ทสําหรบั พระภิกษุ และคาํ นาม อบุ าสก อุบาสกิ า ชาวบ้านชายหญิงทน่ี ับถือพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมัน่ คง หมวดพระภิกษแุ ละบคุ คลท่ีเก่ียวของ พรอม บอกความหมาย ๓.๒ คำ� สรรพนำม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถรวบรวมขอ มูล คําราชาศัพทท นี่ กั เรียนสนใจ และยกตวั อยาง คำ� สรรพนำมทีพ่ ระภกิ ษใุ ชก้ ับบคุ คลระดบั ต่ำงๆ มดี ังต่อไปนี้ คําราชาศัพทไ ดอยา งหลากหลาย เปนตน วา 1. คํานามหมวดสถานท่ีและสิง่ อืน่ ๆ ตัวอยา ง บุรุษท่ี สรรพนำมทใี่ ช้ ใชก้ ับ เชน กฏุ ิ วหิ าร เจดยี  พุทธาวาส สังฆาวาส ๑ อาตมา หอไตร อโุ บสถ 2. คาํ นามหมวดพระภกิ ษุและ อาตมาภาพ บคุ คลธรรมดาทวั่ ไป หรือผ้มู ีต�าแหน่งสงู บุคคลทเ่ี กย่ี วของ ตวั อยางเชน สมภาร นาค เกล้ากระผม พระราชวงศต์ ั้งแต่หมอ่ มเจา้ ข้ึนไป กรรมวาจาจารย เปนตน ) พระภกิ ษทุ ีเ่ ปน็ อุปัชฌาจารย์ หรือพระภกิ ษุ ผม กระผม ที่ดา� รงสมณศักดสิ์ งู กวา่ 3. ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ พระภิกษดุ ้วยกัน หนาชน้ั เรยี น จากน้ันนกั เรยี นบนั ทึกความ เขา ใจลงในสมดุ 165 บรู ณาการเชือ่ มสาระ นกั เรียนควรรู ครูสามารถนําเนอ้ื หาเรือ่ ง คาํ ราชาศัพททใ่ี ชกับพระภกิ ษุสงฆ บูรณาการ 1 พระไตรปฎก พระธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจามี 3 ปฎก คอื 1. วนิ ยั ปฎก เชื่อมโยงกับกลมุ สาระการเรยี นรู สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า ไดแ ก ประมวลระเบยี บขอ บังคับของภิกษแุ ละภิกษณุ ที พี่ ระพทุ ธเจา ทรงบัญญตั ิ พระพุทธศาสนา หนวยการเรียนรู ประวัตแิ ละความสาํ คัญของพระพทุ ธศาสนา 2. พระสุตตันตปฎ ก หรอื พระสตู ร ไดแก ประมวลพระพุทธพจนท ีพ่ ระพุทธเจา เนือ้ หาเกยี่ วกบั ความสําคญั ของพระพทุ ธศาสนาในสังคมและวัฒนธรรมไทย ทรงแสดงยงั ท่ตี างๆ ใหเหมาะกบั บคุ คล สถานท่ี และเหตกุ ารณมเี รือ่ งราวประกอบ ท้ังในดานคติความเชือ่ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา อทิ ธิพลตอการเมือง 3. พระอภธิ รรมปฎ ก หรือ พระอภธิ รรม ไดแก ประมวลหลักธรรมคําสอน การปกครองของไทย เพอ่ื ใหน ักเรียนเกดิ ความรูความเขาใจสภาพสังคมและ วฒั นธรรมไทยอนั มคี ติความเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนาเปนแกนกลาง ดงั ปรากฏ 2 ฐานานกุ รม ลําดับตําแหนงยศพระสงฆทพ่ี ระราชาคณะมีอาํ นาจตงั้ สมณศกั ดิ์ การใชค าํ ราชาศัพท ซึ่งเปน การยกยองใหเ กียรตพิ ระสงฆผ สู ืบทอดและจรรโลง ซง่ึ หมายถึงยศพระสงฆท ไี่ ดรับพระราชทานมหี ลายช้ัน แตล ะชัน้ มพี ัดยศเปน เคร่อื ง หลักคาํ สอนทางพระพุทธศาสนา กําหนดให สมณศักดิห์ รอื บรรดาศกั ด์หิ รอื ยศของพระสงฆน้ี มที ่ีมาจากพระมหา กษตั รยิ พ ระราชทานแกพ ระสงฆผปู ระพฤติดี ประพฤติชอบ ต้ังมนั่ ในสมณเพศ เพ่ือ สืบตอ พระพุทธศาสนา เพอ่ื ปกครองคณะสงฆใหเปนไปอยางเรยี บรอย เพราะการที่ พระสงฆรปู ใดไดรับพระราชทานสมณศกั ด์ิ ยอ มไดร บั มอบหมายภาระหนา ท่ีในการ ปกครองหมคู ณะสงฆไ ปพรอมกันดวย 3 อุปฏ ฐาก ผอู ุปถมั ภบ าํ รงุ พระภิกษสุ ามเณร ถาเปน เพศหญงิ ใหใ ชว า คมู่ ือครู 165 อุปฏ ฐายิกา

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคดิ ดว ยการตอบ บุรษุ ท่ี สรรพนามที่ใช้ ใช้กบั คาํ ถาม ตอ ไปนี้ • การใชค าํ สรรพนามราชาศพั ทของพระภิกษุ ๒ มหาบพติ ร พระเจ้าแผ่นดิน มขี อคํานงึ ในการใชอยา งไร พรอ มยก บพิตร พระราชวงศ์ ตวั อยา งประกอบ พระภิกษุด้วยกันทฐ่ี านะเสมอกัน (แนวตอบ มีการใชค าํ สรรพนามแทนตัว คุณ บคุ คลทั่วไป พระภิกษแุ ตกตางกนั ไปขึน้ อยูกับคสู นทนา คุณ เธอ ตวั อยางเชน คําสรรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 เมือ่ ใชพ ูด กับบคุ คลธรรมดาท่ัวไป หรอื ผูมตี ําแหนงสูง ค�ำขำนรับของพระภิกษุ มดี งั ตอ่ ไปนี้ ค�ำขำนรับ ใช้กับ ใชคาํ วา อาตมา หากสนทนากบั พระราชวงศ ต้งั แตชัน้ หมอมเจา ข้ึนไปใชค ําวา คำาขานรับ ใช้กบั อาตมาภาพ) • การใชคาํ กรยิ าราชาศัพทของพระภกิ ษมุ ี ขอถวายพระพร พระเจา้ แผน่ ดนิ พระราชวงศ์ ขอคาํ นึงในการใชอยา งไร พรอมยกตัวอยาง ครับ ขอรบั พระภกิ ษุด้วยกนั ประกอบ เจรญิ พร ฆราวาสทัว่ ไป (แนวตอบ มีการใชค าํ สรรพนามแทนตวั พระภกิ ษแุ ตกตา งกันไปขึน้ อยกู บั คสู นทนา คำ� สรรพนำมท่บี ุคคลท่ัวไปใช้กบั พระภิกษุ มีดังต่อไปนี้ ตัวอยา งเชน คําสรรพนามบุรุษที่ 2 เม่อื ให พูดกบั บุคคลธรรมดาท่ัวไป หรอื ผมู ตี ําแหนง บุรษุ ท่ี สรรพนาม ใช้กับ สูงใชค ําวา คณุ หรอื เธอ หากสนทนากบั พระราชวงศต ้ังแตชน้ั หมอ มเจา ข้นึ ไปใชคําวา ๑ กระผม ผม (ชาย) พระภกิ ษุท่วั ไป บพิตร) ดฉิ ัน (หญิง) พระภิกษุท่วั ไป 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๒ พระคุณเจา้ พระสงฆท์ รงสมณศักด์ิ พระคุณท่าน พระภกิ ษุสงฆท์ ่ัวไป ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓.๓ ค�ำกรยิ ำ มคี ำ� กริยำหลำยค�ำท่ีก�ำหนดไวใ้ ช้ส�ำหรับพระภกิ ษุ เชน่ คาำ ความหมาย นักเรียนแสดงบทบาทสมมตเิ กย่ี วกับการใชค าํ ครองผ้า นุ่งหม่ เช่น ครองจีวร ราชาศัพทสําหรบั พระภิกษุในสถานการณตางๆ โดยนักเรียนกาํ หนดสถานการณด ว ยตนเอง รบั บณิ ฑบาต รบั อาหารทช่ี าวบา้ นถวายเวลาตกั บาตร นมิ นต์ เชญิ เปน็ การเชิญพระมารับบณิ ฑบาต ตรวจสอบผล Evaluate อาราธนา รอ้ งขอพระภกิ ษุใหย้ ินดีพอใจทำาส่งิ ใดส่ิงหนึ่ง เช่น อาราธนาศีล คอื รอ้ งขอใหพ้ ระภิกษุใหศ้ ีล 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั คาํ ฉันภัตตาหารเพล รับประทานอาหารม้อื กลางวนั ราชาศพั ทสาํ หรบั พระภกิ ษสุ งฆ 166 2. นกั เรียนสามารถนาํ คาํ ราชาศัพทไ ปประยกุ ต ใชได บรู ณาการเช่อื มสาระ บรู ณาการอาเซียน ครูสามารถนาํ เนือ้ หาเรือ่ ง คําราชาศพั ทท ่ใี ชกับพระภิกษุสงฆ บูรณาการ การใชค าํ ราชาศพั ทเปนการใหความสาํ คญั กบั ระดับการใชภ าษาแสดงถึงความ เช่อื มโยงกบั กลุม สาระการเรยี นรู สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า สุภาพและการใหเ กียรติคสู นทนา การใชคาํ ราชาศัพทย งั ปรากฏในภาษาชวา ซง่ึ หนา ที่พลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาํ เนนิ ชีวิตในสังคม หนวยการเรียนรู เปนภาษาถิน่ ของประเทศอินโดนเี ซีย แมว าจะไมม ีสถานะเปน ภาษาราชการ แตม ี สังคมมนษุ ย และความรเู รือ่ ง วัฒนธรรมไทย เนื้อหาเก่ียวกบั ความสําคัญของ ผูพูดเปนภาษาแมจาํ นวนถงึ 80 ลา นคน หรอื รอยละ 45 ของประชากรทงั้ หมดของ พระพุทธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไทย ท้ังความสําคญั ของพระพทุ ธ- อินโดนเี ซยี การพูดภาษาชวามลี กั ษณะแตกตางกนั ไป บริบททางสงั คมมผี ลตอ ศาสนาในฐานะโครงสรางหลักของสงั คมทาํ หนา ทเี่ ปน สถาบนั หลกั ทางสงั คม รปู แบบของภาษาท่ีกําหนดโดยอายหุ รือตําแหนง ในสังคม มรี ายละเอยี ดของภาษา เน่อื งจากสถาบนั ศาสนาทาํ หนา ที่เปนศูนยร วมความศรทั ธา สรางแบบแผน ชวาแตล ะชัน้ ดังตอ ไปนี้ 1. Ngoko เปนการพดู อยา งไมเปน ทางการ โดยคนท่มี ี และแนวทางการดําเนินชวี ิตของคนในสังคม วางกรอบความประพฤตขิ อง ฐานะสูงกวาเม่ือพดู กบั คนทม่ี ีฐานะตํา่ กวา 2. Madya เปนรปู แบบกลาง สาํ หรับใน สมาชิกในสงั คม ตลอดจนเปนหลักสําคญั ในการรกั ษาสงั คมใหม ีความม่นั คง สถานะท่ีไมเปนทางการ 3. Krama เปนแบบท่สี ุภาพและเปนทางการ ใชก ับคนท่ีอยู เขม แข็ง นอกจากน้ี ยงั มีบทบาทในการจัดระเบยี บสงั คม ดว ยจารตี ซง่ึ เปนเรือ่ ง ในสถานะเดียวกนั ใชโดยคนทมี่ ฐี านะตํ่ากวา เม่ือพูดกบั คนที่มีฐานะสูงกวา เชน เดก็ เก่ยี วกับคานยิ ม ปรชั ญา และอดุ มการณท างสงั คม รวมถึงการขดั เกลาทาง พดู กับผูใ หญ เปนตน ลกั ษณะรวมกนั ดังกลาว จงึ สะทอนใหเหน็ ลักษณะรวมทาง สงั คม ซึง่ เปนกระบวนการเรยี นรโู ดยซมึ ซบั บรรทัดฐานและคา นิยมทางสงั คม สงั คมและวฒั นธรรมในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตไ ดเ ปน อยา งดี ครผู สู อนจงึ ควรชแี้ นะใหน กั เรียนเห็นวา พระพทุ ธศาสนามบี ทบาทสําคัญมาก การปฏบิ ตั ิตนของนกั เรยี นตอพระสงฆจึงตอ งมีความสอดคลองกบั คา นยิ มทาง สังคมและวฒั นธรรม 166 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ คำ� ควำมหมำย ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ประเคน ถว�ยของพระโดยวิธยี กสง่ ให้ต�มพธิ ีก�รทกี่ �ำ หนดไว้ ดงั ตอไปน้ี เจริญพระพุทธมนต์ สวดพระพทุ ธมนต์ จ�ำ วัด นอนหลบั • หากนกั เรียนถูกตําหนหิ รือพูดจาเหยียดหยาม จำ�พรรษ� อยูป่ ระจำ�วดั ๓ เดอื น ในชว่ งเข้�พรรษ� ดวยถอ ยคําหยาบคายนกั เรียนจะเกิดความ นมสั ก�ร ก�รแสดงคว�มออ่ นน้อมโดยก�รกร�บไหว้ รสู ึกอยา งไร บรรพช� บวชเปน็ ส�มเณร อปุ สมบท บวชเป็นพระภกิ ษุ • นกั เรียนจะมวี ธิ ีการสนทนาโตต อบกบั บคุ คล ล�สกิ ข� สกึ ล�ออกจ�กคว�มเป็นภกิ ษมุ �เปน็ คนธรรมด� ดังกลา วอยางไร อ�พ�ธ เจ็บป่วย อ�บตั ิ โทษจ�กก�รลว่ งละเมิดห้�มส�ำ หรบั พระภกิ ษุ • เหตุใดจงึ เปน เชน นัน้ มรณภ�พ ต�ย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตุผลของ นกั เรียน) สา� รวจคน้ หา Explore ๔. ค�ำศพั ท์ส�ำหรบั บคุ คลทัว่ ไป นักเรยี นสืบคน ขอมลู เก่ียวกับคาํ ศัพทสาํ หรับ บคุ คลท่ัวไป พรอมสาํ รวจวธิ ีการสอื่ สารดว ย คําสุภาพ ค�ำศัพท์ส�ำหรับบุคคลท่ัวไป เรียกอีกอย่ำงว่ำ ค�ำสุภำพ เป็นค�ำที่ใช้ในกำรส่ือสำรด้วย อธบิ ายความรู้ Explain ควำมสภุ ำพ มีลกั ษณะหลีกเลีย่ ง เปล่ยี นแปลงจำกค�ำท่ถี อื ว่ำไมส่ ุภำพ หรือไมเ่ ป็นทำงกำร ดงั นี้ ๑) หลีกเล่ียงค�ำพูดเหยียดหยำม ค�ำพูดเหยียดหยำมผู้อื่นให้ได้รับควำมอับอำย เช่น ค�ำหยำบ ค�ำด่ำ ค�ำเสียดสี ค�ำเหน็บแนมต�ำหนิให้ผู้ฟังเจ็บใจ เป็นค�ำที่ไม่สมควรพูดเพรำะไม่ใช่ 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ ตอ ไปนี้ คำ� สุภำพ • การสนทนากบั บุคคลท่วั ไปดว ยถอ ยคํา ๒) หลีกเลี่ยงคำ� หยำบ ค�ำด่ำ คำ� กระด้ำง เปน็ คำ� ที่ไมส่ มควรพดู เชน่ กำรเรยี กผอู้ ื่นวำ่ สุภาพนน้ั นักเรียนตองคํานงึ ถึงเร่ืองใดเปน อ้ำย อี กำรใช้สรรพนำม มึง กู กำรด่ำว่ำเปรียบเปรยให้ผู้อ่ืนต่�ำเสมือนสัตว์ เช่น ควำย หมำ สาํ คญั เหี้ย ฯลฯ ถ้ำจะกล่ำวถึงของเสียท่ีขับถ่ำยออกจำกร่ำงกำย ก็ควรใช้ค�ำอื่นแทน เช่น ปัสสำวะ (แนวตอบ เปน ตน วา 1. หลกี เลย่ี งคาํ พดู (แทนเยีย่ ว) อจุ จำระ (แทนข)ี้ ผำยลม (แทนตด) ถ้ำของเสียนัน้ เป็นของสตั ว ์ ตำมตำ� รำวจวี ภิ ำค เหยยี ดหยามผอู ืน่ ใหไดรับความอับอาย ของพระยำอุปกิตศิลปสำรแนะน�ำให้ใช้ค�ำว่ำ “มูล” แทน “ขี้” เช่น มูลนก มูลหนู มูลค้ำงคำว เหน็บแนม ตําหนิใหผ ฟู งเจบ็ ใจ 2. หลีกเลย่ี ง มลู ช้ำง ฯลฯ คําหยาบ คําดา คํากระดา ง หรือเปรยี บเปรย ส่วนค�ำกระด้ำงน้ันเป็นค�ำพูดท่ีห้วน ไม่มีหำงเสียง และมีควำมหมำยไปในเชิงกดผู้อ่ืน ผูอ่นื เสมอื นสตั ว คาํ พดู ทหี่ วนไมมีหางเสียง ใหต้ ่ำ� ลง เชน่ ไล่ให้ออกไป ก็พดู วำ่ ไสหัวไป หรอื แสดงควำมดหู ม่นิ ซำ�้ เตมิ เช่น สมนำ�้ หนำ้ และมคี วามหมายในเชงิ กดผูอื่นใหตาํ่ ลง หรอื แสดงความดหู ม่ินซ้ําเตมิ 3. หลีกเล่ียง คําผวน เปน คาํ ทีม่ ีความหมายสองแง 4. หลีกเลย่ี งคําสแลง คําคะนองหรือ 167 คาํ เฉพาะกลมุ 5. หลีกเล่ยี งภาษาปาก กจิ กรรมสรา งเสรมิ ตอ งเปล่ยี นใหสุภาพเหมาะสม) 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู นักเรยี นศึกษาตวั อยา งและความหมายของคาํ ศพั ท ภาษาสแลง ภาษา ครูผูส อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเกยี่ วกบั ลักษณะและความสาํ คัญ ปาก และคําคะนองในหนงั สือและแหลง ความรูตา งๆ รวบรวมใหถ ูกตอง เกีย่ วกับหลักการและมารยาทของการส่อื สารในสงั คมและวฒั นธรรมไทย ภาษา แลวจดั ทําเปนหนังสือเลมเล็กใชในการอา งอิงความรู นอกจากจะใชเ ปนเครื่องมือในการส่อื ความรู ความคิด อารมณ ความรสู ึก จนิ ตนาการ ตลอดจนทัศนคตแิ ลว ยงั เปนการสรา งความสมั พันธร ะหวา งบุคคล นักเรยี นสามารถ กิจกรรมทาทาย สงั เกตความสัมพันธร ะหวางบคุ คลไดจากภาษาท่ใี ช อาทิ ความสนทิ สนมคนุ เคย การใชภาษายังตอ งคํานงึ ถงึ โอกาส กาลเทศะ เชน โอกาสท่ีเปนทางการ ยอ มมีความ นักเรยี นรวมรวมคําศพั ท ภาษาสแลง ภาษาปาก และคาํ คะนองทีพ่ บใน แตกตา งจากภาษาทีไ่ มเปน ทางการ ลกั ษณะการใชภาษายอมมคี วามแตกตางกัน สือ่ หนังสือพมิ พหรอื อนิ เทอรเนต็ รวบรวมและแกไ ขใหถ ูกตอ ง จัดทาํ เปน ดวยเหตุที่ภาษาไทยมรี ะดบั ภาษาทแ่ี ตกตา งกันแบง ออกเปน ระดบั พธิ ีการ ซ่ึงสว นใหญ หนงั สอื เลมเลก็ ใชในการอา งอิงความรู จะเปน การสอื่ สารทางเดยี ว เชน การกลาวเปดประชุม กลา วประกาศเกียรติคุณ เปนตน ภาษาระดับทางการ เชน บรรยายในชัน้ เรียน การรายงานขา ว เปน ตน ระดับสนทนา เชน การโตต อบระหวา งกลมุ บคุ คล การเขียนจดหมายระหวา งเพื่อน การรายงานบางประเภท เปนตน และระดับกนั เอง เชน การพดู คุยกับคนสนิท เปนตน เหตนุ ีใ้ นการส่ือสารนักเรยี นจงึ ควรเลือกใชภ าษาใหม ีความเหมาะสมตามความสัมพันธ ระหวา งบคุ คล กาละ เทศะ ตามโอกาส และชุมนมุ ชน คมู่ อื ครู 167

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรวมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็น ๓) หลีกเล่ียงค�ำผวน ค�ำผวน หรือค�ำท่ี ตอ ไปนี้ มีควำมหมำยสองแง่ ค�ำท่ีห้ำมผวนตำมต�ำรำ • การสนทนากบั บุคคลทว่ั ไปดว ยถอยคาํ ที่มี วจีวิภำคของพระยำอุปกิตศิลปสำร เช่น ท่ีห้ำ ความสภุ าพเรยี บรอ ยสง ผลดีตอ การสอื่ สาร ที่หก แปดตัว ฯลฯ แตถ่ ำ้ ค�ำผวนแล้วควำมหมำย อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไม่หยำบ จะถือว่ำเป็นศิลปะกำรใช้ภำษำ เช่น ไดอ ยางหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตผุ ลของ นกั ร้อง (น้องรัก) พกั รบ (พบรัก) ฯลฯ นกั เรียน เปนตนวา การใชถอยคําทม่ี คี วาม ค�ำท่ีมีควำมหมำยสองแง่น้ัน แง่หน่ึง สุภาพเรียบรอ ย ชวยใหการส่ือสารสมั ฤทธิผล มีควำมหมำยธรรมดำตรงตัว แต่อีกแง่หน่ึงอำจ และสรางความสัมพันธท่ีดรี ะหวา งกนั ) การใชภาษาพูดที่สุภาพในการสื่อสารเปนการสรางความ มีควำมหมำยไปทำงเพศ จึงถือเป็นค�ำไม่สุภำพ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ▼ ประทบั ใจใหกบั คูส นทนา ไม่สมควรพูด ๔) หลีกเล่ยี งค�ำสแลง คำ� สแลงหรือค�ำคะนอง เปน็ คำ� ท่ีมีใชก้ นั เฉพำะกลุ่ม เชน่ วยั รนุ่ ขยายความเขา้ ใจ นิยมพูดเป็นช่วงระยะเวลำหน่ึง แล้วผ่ำนไปก็มีค�ำใหม่ขึ้นมำอีก เช่น ค�ำว่ำ แอบแบว แซว Expand ซ่ำส์ ปง แจว สดุ สดุ ฯลฯ คำ� เหลำ่ นส้ี ่วนมำกผ้ทู พี่ ูดมกั จะมุง่ ควำมสนกุ มำกกว่ำอยำ่ งอนื่ เมื่อใดท่ี จ�ำเป็นต้องใช้ภำษำให้ถูกต้องตำมมำตรฐำนของค�ำสุภำพ ผู้ใช้ภำษำก็ย่อมมีดุลพินิจว่ำควรใช้ค�ำ 1. นกั เรยี นรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ อยำ่ งไรจึงจะเหมำะสม • นักเรียนคดิ วา การใชค าํ ราชาศพั ทมคี ณุ คา หรือความสาํ คัญตอ นักเรียนและบคุ คลใน ๕) หลีกเลี่ยงภำษำปำก แม้วำ่ ภำษำปำกจะไม่ใชค่ �ำหยำบหรอื คำ� สแลง แตอ่ ำจไม่เหมำะ สังคมปจจุบนั หรือไม อยางไร สำ� หรับกำรใช้เปน็ ภำษำทำงกำร จึงต้องเปลีย่ นให้สุภำพขน้ึ ตำมควำมเหมำะสม ดังคำ� ต่อไปนี้ (แนวตอบ คําราชาศพั ทย งั คงมคี วามสําคัญกบั สังคมและวัฒนธรรมไทยในปจ จุบนั อยางมาก ค�ำนำม คำ� กรยิ ำ นอกจากคําราชาศัพทจะเปน เคร่ืองแสดงวถิ ี เกือก คา� สุภาพ รองเท้า กิน ค�าสุภาพ รบั ประทาน ชีวติ และวัฒนธรรมไทยท่มี ีความผูกพันกบั ตีน ” เท้า โกหก ” พูดปด กล่าวเทจ็ สถาบันพระมหากษัตริยม าแตด้ังเดมิ แลว เมีย ” ภรรยา ร ู้ ” ทราบ การใชค าํ ราชาศัพทยงั เปนสนุ ทรียภาพใน ผัว ” สามี เอาไป ” นา� ไป การใชถ อยคํา ชว ยใหก ารพูดสอื่ สารไดอ ยา ง หวั ” ศีรษะ อยาก ” ตอ้ งการ ประสงค์ ไพเราะถูกตองตามกาลเทศะ และฐานะของ ¡ÒÃ㪌¤íÒÃÒªÒÈѾ··éѧ¡Ñº¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃԏ ¾ÃÐÀÔ¡ÉØÊ§¦ áÅСÒÃ㪌¤íÒÊØÀÒ¾¡Ñº บุคคล รวมถงึ การเรยี นรูคาํ ราชาศพั ทย งั ชวย ºØ¤¤ÅÊÒÁÑÞª¹·ÑèÇä» à»š¹¡ÒÃáÊ´§Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÀÒÉÒÍ¹Ñ ´Õ§ÒÁ¢Í§ÀÒÉÒä·Â ·§Ñé 处 ÊзŒÍ¹¶Ö§ สง เสริมบคุ ลิกภาพใหกบั ผูพดู ใหเ ปน คนรูจัก ¤ÇÒÁà¤Òþ¡‹ͧã¹Ê¶Òº¹Ñ ÈÒʹÒáÅÐʶҺѹ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÂÔ  ¼·ŒÙ Õãè ª¤Œ íÒÃÒªÒÈ¾Ñ ·ä ´¶Œ ¡Ù µŒÍ§ กาลเทศะ และใหเ กียรติผูอ่นื นอกจากนี้ àËÁÒÐÊÁ¡ºÑ º¤Ø ¤ÅáÅÐʶҹ¡Òó ¹Í¡¨Ò¡¨Ðä´ÃŒ ºÑ ¤Òí ¡ÂÍ‹ §ÇÒ‹ ໹š ¼ÃŒÙ ¨ŒÙ ¡Ñ ¡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒä´´Œ áÕ ÅÇŒ คําราชาศพั ทย งั ถือเปนสวนหนง่ึ ของ ÂѧáÊ´§ãËŒàËç¹ÇÒ‹ ºØ¤¤Å¼¹ÙŒ é¹Ñ ÁÁÕ ÒÃÂÒ·áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁÍѹ´§Õ ÒÁ㹡ÒÃ㪌ÀÒÉÒ วฒั นธรรมไทยทส่ี ําคัญมาแตเดิม การเรียนรู คําราชาศพั ทย อ มทําใหเขาใจรสวรรณคดี มากย่ิงขึ้น สง เสริมความคดิ และจินตนาการ ไดเปนอยางดี) 168 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับระดับภาษา เกรด็ แนะครู ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูความเขา ใจเกย่ี วกับความหมายเรือ่ งความสุภาพมคี วาม ขอใดใชภาษาระดบั ทางการ เก่ียวโยงกับศาสตรหลายแขนงท่มี งุ ศกึ ษาความสัมพนั ธร ะหวา งบคุ คล ตลอดจนการ 1. วถิ ีชวี ติ ไทยริมฝง นํ้ากลบั มาคกึ คกั อีกครงั้ สอ่ื สารของมนุษย ครคู วรเพ่มิ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกบั ความหมายของความ 2. เม่อื กระบวนเหเรือพระราชพิธีในแมนํา้ เจาพระยาปดฉากลง สภุ าพ โดยมีรายละเอียด ดงั ตอไปนี้ 1. ความสุภาพ เปนการควบคมุ ความประพฤติ 3. ถนนการลงทนุ สายตางเรง ปด ฝุนเศรษฐกจิ ฟน จุดขาย ของตนใหเ ปนไปตามบรรทดั ฐานทางสังคมที่ควรยึดถอื เปน แนวปฏิบตั ิ 2. ความสภุ าพ 4. กระทรวงการทองเทย่ี วและกฬี าสง เสริมการทองเทีย่ วเชงิ อนุรักษ เปน การใสใ จความรสู ึกของผอู ่นื หมายความวา กอนที่จะกลาวถอยคําหรือลงมอื กระทําสงิ่ ใดลงไป ใหตระหนักวาคนแตละคนมีความตอ งการที่ตา งกนั ตอ งยอมรับ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. กระทรวงการทอ งเทย่ี วและกฬี าสงเสรมิ ความแตกตางและความหลากหลายได 3. การใชความสุภาพอยางถกู ตอ งตาม กาลเทศะเปนเสมอื นกลวิธีเลี่ยงความขดั แยง 4. ความสภุ าพนอกจากจะชวยทาํ ให การทองเท่ียวเชิงอนรุ ักษ เนอื่ งจากใชค ํากระชับ ชดั เจน สุภาพ มคี วามหมาย การสอ่ื สารสมั ฤทธิผลแลว ยังทาํ ใหผ พู ดู รูสกึ พึงพอใจในการประพฤติตนและสรา ง ตรงตัว โดยไมต องตีความ สวนขออน่ื ๆ น้นั เหตุที่ไมใชภ าษาระดบั ทางการ ความม่ันใจใหกบั ตนเองไดว า นาจะไดรบั ความสภุ าพในลกั ษณะเดยี วกันกลบั คนื จาก สงั เกตไดจากคาํ ตอ ไปน้ี ขอที่ 1. คาํ วา คึกคกั ขอ ที่ 2. คําวา ปดฉาก เปน คําทตี่ องตคี วาม และขอ ท่ี 3. คําวา ปด ฝนุ และ จุดขาย ซงึ่ ไมใ ชภ าษาระดับ ทางการ ผฟู งดวย เม่อื ตระหนักถึงขอ จํากดั ของการสือ่ สารดังกลาวแลว นกั เรียนจึงจะสามารถ สือ่ สารไดสัมฤทธผิ ล 168 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ปกณิ กะ นักเรยี นสืบคน ขอ มูลเกย่ี วกบั การใชค ําสภุ าพ จากบทความเร่ือง เถาสี่บาท à¶ÒÊÕºè Ò· อธบิ ายความรู้ Explain à¶ÒÊèºÕ Ò· ໹š ¤íÒÊÀØ Ò¾·èãÕ ªŒàÃÂÕ ¡¾ª× ª¹´Ô ˹§èÖ 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย «èÖ§ÁÕªè×;ŒÍ§àÊÕ§¡Ñº¤íÒ·èÕ¤¹ä·ÂÊÁÑÂâºÃÒ³àËç¹Ç‹Ò ความรูใ นประเด็น ตอ ไปน้ี ËÂÒºâŹ ¤×Í µ¹Œ µíÒÅ§Ö à¹èÍ× §¨Ò¡à»š¹ªè×Í·ÍèÕ Í¡àÊÕ§ • นกั เรียนคิดวา การเปล่ยี นช่อื พืชจาก àËÁ×͹¡Ñº¤íÒÇ‹Ò ÅÖ§¤ «èÖ§¤¹ä·ÂËÁÒ¶֧ÍÇÑÂÇÐ “ตาํ ลึง” เปน “เถาสี่บาท” มสี าเหตมุ าจาก à¾ÈªÒ ¨Ö§ä´ŒÁÕ¡ÒäԴᡌ䢪è×ÍàÃÕ¡µŒ¹µíÒÅÖ§ãËÁ‹Ç‹Ò อะไร à¶ÒÊèÕºÒ· ÍѹÁÕ·èÕÁÒ¨Ò¡ÁÒµÃÒà§Ô¹¢Í§ä·Âã¹Í´Õµ (แนวตอบ เกดิ จากการพองเสยี งของพืชที่ ¤×Í Ë¹èÖ§µíÒÅÖ§ÁÕÊèÕºÒ· ¨Ö§Í¹ØâÅÁ㪌àÃÕ¡ª×è͵Œ¹äÁŒ ชอ่ื วา ตาํ ลึง กบั คําวา “ลึงค” ซง่ึ หมายถึง ª¹Ô´¹Õµé ÒÁä»´ÇŒ  อวยั วะเพศชาย ซึ่งเปน คาํ ทมี่ คี วามหมาย ไมเ หมาะสม จงึ มกี ารเปล่ยี นชื่อจากคําวา Í‹ҧäáçµÒÁ µíÒÅÖ§ÂѧÁÕª×èÍàÃÕ¡ÍÕ¡ËÅÒÂÍ‹ҧ«è֧ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ÍÍ¡ä»ã¹áµ‹ÅÐ “ตาํ ลงึ ” เปน คําวา “เถาส่ีบาท” ซ่งึ มที ่ีมาจาก ·ŒÍ§¶Ôè¹ àª‹¹ ¼Ñ¡á¤º (ÀÒ¤à˹×Í) ¼Ñ¡µíÒ¹Ô¹ (ÀÒ¤ÍÕÊÒ¹) á¤à´ÒÐ (¡ÃÐàËÃèÕ§- มาตราเงินไทยในอดีต ซ่งึ มีเสียงพอ งกนั ) áÁ‹ÎÍ‹ §Ê͹) ໚¹µ¹Œ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ µíÒÅ֧໚¹äÁŒà¶ÒÅŒÁÅØ¡ÍÒÂØËÅÒ»‚ à¶ÒÁÅÕ ¡Ñ ɳСÅÁ ÊàÕ ¢ÕÂÇ µÒÁ¢ŒÍÁËÕ ¹Ç´ ขยายความเขา้ ใจ Expand àÍÒäÇŒÂÖ´à¡ÒÐ ãºÁÕÊÕà¢ÕÂÇ ÃٻËҧ¤ÅŒÒ ËÒŒ àËÅÕèÂÁ àÃÕºäÁÁ‹ Õ¢¹ ¢ÍºãºàÇŒÒ Á´Õ Í¡ 1. นักเรยี นรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ÍÍ¡µÒÁºÃÔàdz«Í¡ãº ¡ÅÕº´Í¡ÁÕÊÕ¢ÒÇ • นกั เรียนคดิ วา ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับ »ÅÒ´͡á¡Í͡໹š ËŒÒá©¡ ¼ÅÁÃÕ »Ù ÃÒ‹ § การบญั ญตั คิ าํ สภุ าพเพอื่ ใชเ รยี กพชื ชนดิ หนง่ึ ¡ÅÁÃÕ ¼Å´ÔºÊÕà¢ÕÂÇ àÁ×Íè Ê¡Ø ¨´Ñ ÁÊÕ áÕ ´§ สะทอนความสําคญั ของภาษาในสังคมและ วฒั นธรรมไทยอยา งไร ÊÃþ¤Ø³·Ò§ÂÒ (แนวตอบ สะทอ นวฒั นธรรมเกีย่ วกบั การ • Å´ÍÒ¡Ò÷ŒÍ§Í×´·ŒÍ§à¿‡Í : ¤ÇÃÃѺ»Ãзҹʴ à¾ÃÒÐà͹ä«Áã¹µíÒÅÖ§¨Ð‹ÍÂÊÅÒ สอื่ สารในสงั คมไทยทต่ี องรกั ษาความสุภาพ เรยี บรอย และมมี ารยาทในการสอ่ื สาร àÁÍ×è â´¹¤ÇÒÁÌ͹ นอกจากน้ี ยังแสดงใหเ ห็นความสาํ คัญของ • Å´ÍÒ¡Òäѹ ÍÒ¡ÒÃÍÑ¡àʺà¹×èͧ¨Ò¡áÁŧ¡Ñ´µ‹Í áÅоתÁÕ¾ÔÉ : ¹íÒ㺵íÒÅÖ§Ê´ ภาษาซ่ึงมีอทิ ธิพลตอความคิดของคนใน สงั คมและวฒั นธรรม ฉะนน้ั การสือ่ สารใน ÁÒµÒí ãËÅŒ ÐàÍÂÕ ´¼ÊÁ¡ºÑ ¹Òéí ¤¹Ñé àÍÒáµ¹‹ Òéí ·ÒºÃàÔ Ç³·àÕè »¹š ¨¹¡ÇÒ‹ ¨ÐËÒ (ãªäŒ ´´Œ ÊÕ Òí ËÃºÑ ภาษาไทยจงึ นบั วามคี วามสําคญั สอดคลอง Á´¤Ñ¹ä¿ ËÃ×Í㺵íÒáÂ) กบั คาํ กลาวที่วา “จงคดิ กอ นพูด แตอ ยาพดู • á¼ÅÍÑ¡àʺ : 㪌ãºËÃ×ÍÃÒ¡Ê´ µÒí ¾Í¡ºÃÔàdz·èàÕ »¹š กอ นคดิ ”) 169 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกับกับระดับภาษา ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกบั กลวธิ กี ารแสดงความสภุ าพในภาษาไทย ขอ ใดใชภาษาตา งระดบั กบั ขอ อ่นื โดยการแสดงความสภุ าพในภาษาไทยสามารถแสดงออกไดใ นหลายลกั ษณะดวยกัน 1. ศตั รูสําคัญของเห็ดหหู นูคอื ไร ไขป ลา และราเขียว เปนตนวา การพูดออ ม เชน ชวงนี้ดหู นา ตามนี าํ้ มนี วล รปู รางสมบูรณข น้ึ 2. เหด็ ขอนถึงจะเปน เห็ดในสกลุ ของเหด็ หอมแตร ปู รา งหนาตาเหมอื นเหด็ แทนการกลา ววา อวนขึ้น หรือการเลอื กใชคําที่มรี ะดบั สงู กวา เชน ใชคําวา ทาน นางรม รบั ประทาน แทนคาํ วา แดก กิน ยดั ใชค ําวา ทราบ แทนคําวา รู เปนตน นอกจากน้ี 3. การปลกู เห็ดขอนใชว ิธเี พาะดวยขเี้ ลอ่ื ยในถงุ พลาสติกเชน เดยี วกับการ การเปล่ียนประโยคคําส่ังเปนประโยคขอรอ ง ดวยการเลอื กใชคําขึน้ ตน ประโยคและ เพาะเหด็ นางฟา คาํ ลงทา ยประโยค ยังชว ยเพมิ่ ความสุภาพได ประกอบดวย การใชค ําวา วาน ชวย 4. เห็ดขอนมดี อกมากในสภาพอากาศรอน สว นเห็ดนางรมและเหด็ กรุณา และ โปรด เชน วานบอกเขาดว ย เปนตน และการใชคําลงทา ยประโยค นางฟา ออกดอกไดด ใี นทอ่ี ากาศเยน็ ประกอบดว ย การใชคาํ วา ครบั คะ คะ จา จะ หนอ ย เชน ไมไ ปครบั เปน ตน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เห็ดขอนถึงจะเปนเห็ดในสกุลของเห็ดหอม ครคู วรช้ีแนะความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั วัฒนธรรมการใชภ าษาไทยวา ภาษา แตละภาษามีลกั ษณะเฉพาะของตนเอง นักเรียนจึงตองคํานึงถึงวฒั นธรรมการใช แตรูปรางหนา ตาเหมือนเหด็ นางรม เนอ่ื งจากขอ ท่ี 1. ขอ ที่ 3. และ ขอท่ี 4. ภาษาควบคกู บั การใชภาษา เพือ่ ใหนกั เรยี นสามารถใชภ าษาในการสื่อสารไดสัมฤทธิ- เปน ภาษาระดับทางการ สวนขอท่ี 2. เปนภาษาระดบั ก่งึ ทางการ สงั เกตจาก ผล และสรา งสมั พนั ธภาพระหวางกนั ของคูสนทนาและบุคคลรอบขางไดอีกดวย คําวา ถึงจะ ภาษาระดับทางการควรใชค าํ วา แมวา สวนคาํ วา รูปรางหนาตา ภาษาระดบั ทางการควรใชค าํ วา ลักษณะ คมู่ ือครู 169

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกบั การ คำาถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ สอ่ื สารสําหรบั บุคคลท่วั ไปหรอื วิธีการสอื่ สาร ดวยคาํ สภุ าพได ๑. การศึกษาเร่อื งการใช้ค�าราชาศพั ท์มปี ระโยชน์อย่างไร จงอธิบาย ๒. การใช้ค�าราชาศัพท์กับพระสงฆ ์ มีหลักในการใชอ้ ย่างไร 2. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกับคณุ คา ๓. ระดับภาษามีความสา� คัญต่อการใชอ้ ยา่ งไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ และความสาํ คญั ของคาํ ราชาศพั ทตอ คนไทยใน ๔. “คา� สแลงเปน็ คา� ที่เปลย่ี นแปลงไปตามสมยั นิยม” นักเรยี นเห็นด้วยหรือไม่ อยา่ งไร ปจ จบุ นั ได ๕. การใชค้ า� สุภาพสามารถใช้ในการสือ่ สารโดยทว่ั ไปไดห้ รือไม ่ อย่างไร 3. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกบั ความ สาํ คัญของการส่ือสารผานภาษาในสงั คมและ วฒั นธรรมไทยได 4. นักเรยี นสามารถสือ่ สารกับบุคคลอืน่ ดวยภาษา ทม่ี คี วามสุภาพได หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ 1. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คัญเก่ียวกบั ความหมาย ๑. ให้นกั เรยี นคน้ หาค�าสุภาพของหมวดคา� ทกี่ �าหนดให้ถกู ต้อง เพ่อื ให้มีความรู้ท่ี และความสําคญั ของคาํ ราชาศพั ท การใชค ํา กว้างขวางข้นึ และจดบนั ทกึ ความร้ลู งในสมุด เชน่ ราชาศพั ทส าํ หรบั พระมหากษัตรยิ  ประกอบดว ย คาํ นามราชาศพั ท คาํ สรรพนามราชาศัพท และ หมวดผกั ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักกาดหอม คาํ กรยิ าราชาศพั ท หมวดปลา ปลาสลิด ปลาชะโด ปลาชอ่ น ๒. ให้นกั เรยี นแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกบั การใช้คา� สแลง หรือคา� คะนองในปัจจุบัน 2. ภาพประกอบคําราชาศัพทห มวดรางกายและ และบอกข้อควรระวงั ในการใชค้ า� เหลา่ นี้ เครอื่ งใช ๓. ใหน้ กั เรยี นจดั นทิ รรศการเกย่ี วกับการใช้ภาษาไทย เพ่ือเผยแพรค่ วามรดู้ ้านการใช้ 3. แผนผงั คาํ ราชาศัพทใ นหมวดขัตติยตระกูล ภาษาไทยในโรงเรียน 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกบั การวิเคราะห 170 คําราชาศัพทจ ากส่ือ พรอ มความเรยี งสรุป เปรยี บเทยี บความหมาย และจัดกลมุ คาํ 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกบั คาํ ราชาศพั ท สาํ หรับพระภกิ ษสุ งฆ 6. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั การส่ือสาร สําหรบั บุคคลท่ัวไปหรอื วิธกี ารสื่อสารดวย คาํ สภุ าพ รวมถงึ ภาพสะทอนทางสงั คมและ วฒั นธรรมไทยผานการใชภาษา 7. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. การศึกษาคําราชาศัพทม ีประโยชนอ ยา งมาก นอกจากคําราชาศพั ทจ ะเปน เคร่ืองแสดงวิถชี วี ิตและวัฒนธรรมไทยท่มี ีความผกู พนั กบั สถาบันพระมหากษตั ริยม าแตดั้งเดมิ แลว การใชคาํ ราชาศพั ทย ังชวยใหพูดสือ่ สารไดอ ยางไพเราะถูกตองตามกาลเทศะและฐานะของบคุ คล รวมถึงการเรียนรคู ําราชาศพั ทย ังชวยสงเสรมิ บุคลกิ ภาพใหกับ ผพู ดู ใหเปนคนรูจกั กาลเทศะ และใหเกยี รตผิ ูอนื่ นอกจากน้ี คาํ ราชาศพั ทยังถอื เปนสวนหนึง่ ของวัฒนธรรมไทยทสี่ ําคญั มาแตเ ดิม การเรียนรูคําราชาศัพทยอ มทําให เขา ใจรสวรรณคดีมากยิง่ ขึน้ สงเสริมความคิดและจินตนาการไดเปน อยา งดี 2. คาํ ราชาศพั ทสําหรับพระภิกษสุ งฆนน้ั กาํ หนดใหใชคําราชาศัพทส าํ หรับพระสังฆราชเทยี บเทากับพระราชวงศช้ันพระองคเจา สวนพระภกิ ษทุ ี่เปน พระราชวงศน้ันคงใช ราชาศัพทตามลาํ ดบั ชั้นแหงพระราชวงศเ ชน เดิม และการใชค าํ ราชาศัพทส ําหรับพระภิกษสุ งฆสวนมากใชเ ชนเดยี วกับบคุ คลท่ัวไป ยกเวนบางคําทกี่ าํ หนดไวเฉพาะ พระภิกษสุ งฆ 3. ระดบั ภาษามีความสาํ คัญตอการใชภาษา เน่อื งจากภาษาไทยเปนภาษาท่มี ีระดับ คอื มีลาํ ดับชน้ั ลดหล่นั กนั แตกตางกนั ตามสถานท่ีเวลาและโอกาส ดงั เชนการแบง ระดับภาษาเปน ระดบั พธิ กี าร ระดับทางการ ระดับกึง่ ทางการ ระดับสนทนา และระดบั กนั เอง นอกจากนี้ ในการส่ือสารยงั ตอ งคาํ นงึ ถึงระดบั ของบคุ คลอกี ดว ย เพือ่ ให ผสู ง สารสามารถเลอื กใชถ อยคาํ ภาษาทส่ี ภุ าพถูกแบบแผน 4. เห็นดว ยกบั คํากลาวทว่ี า คาํ สแลงเปนคําที่เปลย่ี นไปตามสมยั นิยม โดยเปน คําที่มีใชเฉพาะกลุม นิยมพูดในชว งระยะเวลาหนง่ึ ไมนานก็มักจะมคี ําใหมเ ขามาทดแทน ในการพดู คําสแลงมกั ใหค วามสําคญั กบั ความสนุกสนาน เม่ือนักเรียนตอ งการใชภาษาใหม คี วามสุภาพจงึ ตอ งพจิ ารณาอยา งถี่ถวนกอนใชภาษา 5. คาํ สุภาพสามารถใชในการสื่อสารไดโดยท่ัวไป ทัง้ น้ีตองคาํ นึงถงึ เวลา โอกาส สถานที่ รวมถึงบคุ คลที่ตองการสนทนาเปน องคป ระกอบสาํ คัญในการพจิ ารณาเลอื กใช ภาษา 170 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนที่ ๔ แตงบทรอ ยกรอง สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ 4. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเ รยี นรู 2. มงุ มน่ั ในการทํางาน 3. รกั ความเปนไทย บทรอยกรอง กระตนุ้ ความสนใจ Engage ôหนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ เปนคําประพันธทถี่ ูกรอยเรียงขนึ้ ครเู ปด วีดทิ ัศนบนั ทึกกระบวนเรือพระยหุ ยาตรา โดยมลี ักษณะบังคบั ในการแตง เรียกวา ทางชลมารคใหนกั เรยี นชม หรือครเู ปด กาพยเหเ รอื “ฉนั ทลกั ษณ” มกี ารกาํ หนดจาํ นวนคาํ จากแถบบันทึกเสยี งใหน ักเรยี นฟง จากนนั้ ครู สนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี คาํ เอก คาํ โท สัมผสั ตามลกั ษณะของ บทรอ ยกรองประเภทตางๆ ไดแ ก โคลง ฉนั ท • นกั เรียนมีความรูส กึ อยางไร หลังจากที่ กาพย กลอน ราย การรจู กั ลักษณะ ประเภท นกั เรยี นไดชมหรือไดร บั ฟงบทเหเ รอื และฉนั ทลกั ษณจะชว ยใหแ ตงบทรอยกรอง • นกั เรยี นคิดวา ความไพเราะของเสียงขับบท ไดถ ูกตอ งและไพเราะ เหเ รือสะทอ นลกั ษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม ของไทยในดา นใดบา ง อยา งไร การแตง คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และโคลง ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตผุ ลของ ตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง นักเรยี น เปนตน วา สะทอนความไพเราะของ เสยี งทก่ี อใหเกิดความไพเราะจาก • แต่งบทรอ้ ยกรอง (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๔) • แตง่ บทรอ้ ยกรองประเภท กาพย์ โคลง รา่ ย และฉนั ท์ บทประพนั ธ แสดงถงึ ความสําคญั ของ บทประพันธท ่ีมตี อสงั คมและวัฒนธรรมทาง ภาษาของไทย) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรียนรูนี้ ครคู วรเนน การตง้ั คําถามเพ่อื ทบทวนความรเู ดมิ ของนักเรียน โดยเฉพาะความรสู กึ ของนักเรยี นเกีย่ วกบั บทประพนั ธประเภทรอ ยกรอง ครพู ยายาม ชี้แนะนักเรียนวา บทประพันธป ระเภทรอยแกวและรอยกรองมีลกั ษณะแตกตางกัน ในดานใดบางอยา งไร ครแู นะใหน กั เรียนพจิ ารณาอารมณความรูสกึ และจินตนาการ ของนักเรียนทเี่ กิดจากการฟงจากแถบบันทึกเสียง การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกระตนุ ความ สนใจ นกั เรยี นจึงควรพิจารณาเน้ือหาเรือ่ งราวตา งๆ ดว ยตนเอง ครูไมค วรบอก นักเรียนวา บทประพันธแ ตล ะบทท่นี ักเรียนไดรบั ฟง นั้นมีความไพเราะอยางไร แต ควรเนน ใหน กั เรยี นพิจารณาบทประพันธแตล ะบททีน่ กั เรียนไดร ับฟงจากการรับผสั สะ ของนกั เรยี นเอง โดยครูสามารถเพ่มิ เทคนคิ วิธีการรับผัสสะดังกลา วดวยการเปด บทประพันธท ่มี ีเสียงทาํ นองเสนาะและไมม เี สยี งทํานองเสนาะเปรียบเทยี บกัน จากนนั้ ใหน กั เรียนอธบิ ายอารมณความรสู กึ ทเี่ กิดจากจงั หวะลลี า จากการฟง เพอื่ เชือ่ มโยง ความรขู องนักเรียนสูความเขา ใจในสุนทรยี ะของบทประพนั ธ และนักเรียนสามารถ นําความรูความเขา ใจดังกลาวมาใชในการแตงบทประพนั ธในลําดับตอไป ค่มู อื ครู 171

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๑ . ลกั ษณะบงั คับ ๙ ประการของบทรอ้ ยกรอง • นักเรยี นรูจักบทรอ ยกรองประเภทใดบาง • นักเรยี นเคยแตง บทรอยกรองประเภทใด ๑) พยางค์ คอื เสยี งทเี่ ปลง่ ออกมาครง้ั หนง่ึ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม่ กี ็ได้ การนบั พยางค์ ขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะบงั คบั ของรอ้ ยกรองแตล่ ะชนดิ เชน่ ในการแตง่ รอ้ ยกรองประเภทฉนั ทถ์ อื วา่ พยางค์ และบทรอยกรองประเภทใดแตง ไดย ากท่ีสุด คอื ค�า แต่ในการแตง่ ร้อยกรองประเภทอ่นื อาจนบั รวม ๒ พยางคเ์ ปน็ ๑ คา� ได้ เชน่ วจี ตลาด • นกั เรยี นคิดวา การแตงบทรอ ยกรองตอ งมี สนอง เป็นต้น ๒) คณะ คอื ขอ้ กา� หนดของรอ้ ยกรองแตล่ ะชนดิ วา่ จะตอ้ งมจี า� นวนคา� จา� นวนวรรค จา� นวน ความรูความเขา ใจในดานใดบาง อยา งไร บาท จา� นวนบทเทา่ ใด เชน่ กลอนแปด กา� หนดว่า ๑ บทมี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๘ ค�า เปน็ ตน้ สา� รวจคน้ หา Explore ๓) สมั ผัส คอื ลักษณะบังคับใหใ้ ช้คา� คลอ้ งจองกัน มี ๒ ชนดิ ดงั น้ี ๓.๑) สมั ผัสบงั คบั หรอื สัมผัสนอก คอื ต�าแหนง่ บังคับการส่งสัมผัสกันระหวา่ งวรรค นักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับลักษณะบังคับ 9 ระหวา่ งบทของรอ้ ยกรองทกุ ประเภท โดยกา� หนดใชค้ า� ทปี่ ระสมดว้ ยสระ และมาตราสะกดเดยี วกนั ประการ ของบทรอ ยกรอง ในการรับส่งสัมผัส ดงั บทประพนั ธ์ อธบิ ายความรู้ Explain 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ ตอ ไปน้ี ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ • เมื่อนักเรยี นฟงเสียงจากบทประพันธแ ตละ ประเภทแลว นกั เรยี นมีความรูสกึ แตกตางกนั “บัดเดย๋ี วดงั หงั่งเหงง่ วงั เวงแว่ว สะดุ้งแลว้ เหลยี วแลชะแง้หา หรือไม อยางไร เห็นโยคขี ่ีรงุ้ พงุ่ ออกมา ประคองพาขน้ึ ไปจนบนบรรพต (แนวตอบ ลกั ษณะบังคบั ของฉนั ทลกั ษณ สง ผล แลว้ สอนวา่ อยา่ ไวใ้ จมนุษย ์ มนั แสนสุดลึกล้�าเหลอื ก�าหนด ตอ กลวธิ ีทางวรรณศิลปและรสทางวรรณศลิ ป ก็ไม่คดเหมือนหนง่ึ ในน�้าใจคน” ทีแ่ ตกตางกนั ไป) ถงึ เถาวัลย์พนั เกยี่ วท่เี ลย้ี วลด • นกั เรียนคิดวา เหตใุ ดนักเรียนจงึ ตองแตง (พระอภยั มณี : สุนทรภู)่ บทประพนั ธต ามลักษณะของฉันทลักษณ การแตง บทประพันธต ามบงั คับฉันทลักษณ อนั ความคิดวิทยาเหมอื นอาวธุ ประเสริฐสุดซ่อนใสเ่ สียในฝัก สง ผลตอคณุ คา ของบทประพันธอยา งไร (แนวตอบ การเรียนรฉู ันทลักษณหรอื ลักษณะ สงวนคมสมนกึ ใครฮกึ ฮัก จึงค่อยชักเชือดฟนั ให้บรรลยั คาํ ประพนั ธประเภทบทรอ ยกรองมแี บบแผนท่ี แตกตา งกนั ไป การเรียนรูเ รือ่ งฉนั ทลักษณ จับให้ม่ันค้นั หมายใหว้ ายวอด ช่วยใหร้ อดรักใหช้ ิดพิสมัย ชว ยใหนักเรียนแตงบทรอยกรองไดถูกตอง และมคี วามไพเราะ ทง้ั ในดา นเสียง ตดั ใหข้ าดปรารถนาหาสง่ิ ใด เพยี รจงไดด้ ังประสงคท์ ต่ี รงดี และรสอารมณท เ่ี กดิ จากบทประพันธทมี่ ี ความแตกตา งกันดานฉนั ทลักษณ) (เพลงยาวถวายโอวาท : สนุ ทรภู่) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด 172 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั สัมผสั ของบทประพนั ธประเภทรอยกรอง ครูควรเพิม่ เติมความรูความเขา ใจขน้ั พื้นฐานเกี่ยวกบั บทประพนั ธ บทประพนั ธแบง ขอใดมีสมั ผสั เพียงชนดิ เดยี ว ได 2 ลกั ษณะ ไดแก บทประพันธประเภทรอยแกว และบทประพันธประเภทรอ ยกรอง 1. พกั ตรน อ งละอองนวลปล่งั เปลง ลักษณะรว มอยา งหนง่ึ ของการแตงบทประพันธท ั้งสองประเภท คอื บทประพนั ธทั้งสอง 2. งามประหลาดเลศิ ลาํ้ เลขา มีการเลอื กสรรคาํ และแตงขน้ึ ตามระเบยี บแบบแผนการใชภาษา เพอ่ื ถา ยทอดอารมณ 3. อรชรออนแอน ท้งั อนิ ทรยี  ความรสู ึกนึกคดิ และจนิ ตนาการของผปู ระพนั ธสผู ูอาน แตม ีลกั ษณะเฉพาะหรอื ลกั ษณะ 4. ดงั กินรลี งสรงคงคาลัย ที่มีความแตกตางกัน คอื บทประพันธป ระเภทรอยแกว ไมมีการจาํ กัดรปู แบบลกั ษณะ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. งามประหลาดเลิศลํ้าเลขา เพราะขอ ท่ี 2. การใชถอ ยคําหรือการเรียบเรยี งประโยค การแตง บทประพันธประเภทรอ ยแกว นี้ จงึ ขึ้น มเี พยี งสมั ผัสอักษร ซง่ึ เปนเสียงสัมผัสของพยญั ชนะตน ไดแก เสยี งของคําวา อยกู บั ความสามารถและความพึงพอใจของผแู ตง เปน สาํ คญั ซ่ึงมคี วามแตกตา งจากบท หลาด เลิศ ลา้ํ เล สว นขอ อ่นื ๆ มที ้ังเสยี งสัมผสั สระและสัมผสั อกั ษร ไดแก ประพันธป ระเภทรอ ยกรองท่ีมีแบบแผนขอ บังคับในการแตง หรอื ท่ีเรยี กวา ฉนั ทลักษณ ขอที่ 1. สัมผสั อกั ษร ไดแ ก ปลั่ง - เปลง สมั ผสั สระ ไดแ ก นอ ง - ออง ขอ ท่ี 3. ในบทประพันธ ฉะนัน้ นกั เรยี นจะแตงบทรอยกรองตามความคิดเห็นของนักเรียนใหมี สัมผัสสระ ไดแก ชร - ออน สมั ผสั อกั ษร ไดแ ก อร - ออ น - แอน - อนิ และ ความอิสระ มคี วามสละสลวย และมคี วามสมบูรณทางดานความหมายเพียงอยางเดยี ว ขอท่ี 4. สมั ผัสอักษร ไดแก คง - คา สัมผัสสระ ไดแก ลง - สรง - คง ไมไ ด แตตอ งแตง ตามฉนั ทลักษณหรือขอ บงั คับของบทประพันธท่ีมรี ะเบียบแบบแผน พรอมเลือกวิธกี ารส่ือสารอยา งเหมาะสม 172 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓.๒) สมั ผสั ใน คือสัมผสั ภายในวรรค ซึง่ จะมีหรอื ไม่มกี ็ได้ ไมไ่ ดก้ า� หนดใหเ้ ปน็ สัมผัส 1. นักเรียนจดั กลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน รวมกัน บังคับ แต่หากมีจะช่วยท�าให้บทร้อยกรองมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น สัมผัสท่ีเกิดภายในวรรค ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปน้ี อาจเปน็ สมั ผสั สระ คอื คา� ทป่ี ระสมดว้ ยสระ และมาตราตวั สะกดเดยี วกนั หรอื อาจเปน็ สมั ผสั อกั ษร • ลักษณะบังคบั 9 ประการของบทรอ ยกรอง คือค�าท่ีใช้พยัญชนะต้นตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน โดยไม่ต้องค�านึงถึงสระและตัวสะกด เช่น ประกอบดว ยอะไรบา ง ต--ตก ตา่� แตก ต้าน ตอ้ น ตนื่ เต้น ดังบทประพันธ์ (แนวตอบ มอี งคป ระกอบ ดังนี้ 1. พยางค 2. คณะ 3. สัมผัส 4. คาํ ครุ คําลหุ 5. คําเอก “เจ้าของตาลรกั หวานข้ึนปนี ต้น ระวงั ตนตนี มือระมดั ม่นั คําโท 6. คําเปน คาํ ตาย 7. เสยี งวรรณยกุ ต เหมอื นคบคนคำาหวานรำาคาญครนั ถา้ พลง้ั พลนั เจบ็ อกเหมือนตกตาล” 8. คาํ นําหรอื คําขึน้ ตนบทประพันธต าม ลักษณะฉนั ทลกั ษณ 9. คําสรอ ย) (นริ าศพระบาท : สนุ ทรภ่)ู • พยางคมคี วามหมายวาอยางไร และ ความหมายของพยางคใ นบทประพนั ธม คี วาม สัมผสั สระ ตาล-หวาน, หวาน-คาญ, ค�า-ร�า, อก-ตก แตกตางกันหรือไม และความแตกตาง ดังกลา วมสี าเหตมุ าจากเรือ่ งใดเปนสําคัญ สัมผสั อักษร ตน-ตนี , มอื -มดั -มั่น, คบ-คน-คา� -คาญ (แนวตอบ พยางคโดยทั่วไปหมายถงึ เสียงที่ เปลง ออกมาคร้งั หน่ึงๆ จะมคี วามหมายหรือ พล้ัง-พลนั , ตก-ตาล ไมม ีความหมายกไ็ ด การนับพยางคขึน้ อยูก บั ฉนั ทลักษณของบทประพันธ ตัวอยา งเชน ๔) คำาคร ุ คำาลหุ คอื ค�าทม่ี เี สยี งหนักและเสยี งเบา บงั คับใชใ้ นบทร้อยกรองประเภทฉันท์ คาํ ประพนั ธประเภทฉันทถ ือวา พยางค คือ ๔.๑) คำ� ครุ มี ๓ ลักษณะ ดังน้ี คํา แตในบทประพนั ธป ระเภทอ่นื อาจนบั 2 พยางคเ ปนหน่ึงคําก็ได ตามบงั คบั คณะ ๑. ค�าทปี่ ระสมดว้ ยสระเสยี งยาวในแม่ ก กา เชน่ มาลี ศรีโสภา หรือขอ กาํ หนดจํานวนคาํ ในบทประพันธ แตล ะประเภท) ๒. คา� ทมี่ ตี ัวสะกด เชน่ น้อง รกั นักเรยี น พากเพียร เขียน อ่าน • นกั เรยี นคดิ วา วิธีการนับพยางคดังกลา ว สง ผลตอ คณุ คา ทางวรรณศลิ ปอยา งไร ๓. คา� ท่ปี ระสมด้วยสระอ�า ใอ ไอ เอา เช่น น�า้ ใจ ไม่ เมา (แนวตอบ การนบั จาํ นวนคํา ยอมคาํ นึงถงึ บงั คับคณะของบทประพนั ธ เพ่ือใหเกดิ ๔.๒) ค�ำลห ุ มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ เสยี งสมั ผสั รวมถงึ เสยี งหนกั เบา ชวยสราง ความไพเราะ และรสอารมณท ่ีเกิดจาก ๑. คา� ที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในแม่ ก กา เชน่ มะลิ เอะอะ บทประพนั ธตามบงั คบั ฉันทลักษณข อง บทประพันธแตล ะประเภท) ๒. ค�าท่ีประสมดว้ ยสระอา� อาจเป็นไดท้ ้งั ค�าครุและลหุ ในกรณีคา� ที่ประสมด้วย 2. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ สระอ�า เปน็ พยางค์หนา้ ของคา� ๒ พยางค์ ใช้เปน็ คา� ลหุได้ เชน่ ตา� บล ทา� นอง สา� แดง หนา ชนั้ เรียน ๕) คำาเอก คำาโท คือ ค�าท่ีบังคับใช้รูปวรรณยุกต์เอกและโท ในต�าแหน่งท่ีก�าหนดไว้ใน บทร้อยกรองประเภทโคลงและรา่ ย ๑. คา� เอก คอื ค�าหรอื พยางคท์ ี่มีรปู วรรณยุกตเ์ อก เช่น ไม่ ใช่ ท่ี ป่า นมุ่ ๒. ค�าโท คือ คา� หรอื พยางค์ท่ีมีรปู วรรณยุกต์โท เช่น ฟ้า ให้ นา้� บ้าน ๓. ค�าเอกโทษ คือ ค�าโททเี่ ขียนโดยใช้รปู วรรณยุกต์เอก เช่น “ท่าโขลงโขลงช้างคา่ ม ตามโขลง” (ข้าม - คา่ ม) 173 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั สัมผสั อักษรในบทประพนั ธป ระเภทโคลง โคลงตอ ไปนี้บาทใดใชส ัมผสั อักษรเดนชดั ท่สี ุด ครูควรเพิม่ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ความสาํ คัญของบทรอยกรองประเภท รอ นอากาศอาบน้าํ บรรเทา ตา งๆ ลวนมพี ัฒนาการตอ เน่ืองในยคุ สมยั ตางๆ อยา งเปนลําดับ และมกี ารบนั ทกึ รอ นแดดพอแฝงเงา รม ได ไวเปน ตาํ ราอยา งหลากหลาย บทรอยกรองหลากหลายประเภทของไทย ไมวาจะ รอ นในอุระเรา เหลือหลกี เปนบทรอ ยกรองประเภทโคลง ฉนั ท กาพย และกลอน ลวนมลี กั ษณะแยกยอ ย รอ นอกราคหมกไหม หมน เพีย้ งเพลิงรุม อนื่ ๆ หลากหลายแตกตา งกันไป บทรอ ยกรองแตละชนิดและแตล ะประเภทลว น 1. บาทท่ี 1 2. บาทที่ 2 ใหอ ารมณค วามรูสกึ ท่ีมคี วามแตกตา งกัน จากจงั หวะของเสยี ง ลลี าการประพนั ธ 3. บาทที่ 3 4. บาทท่ี 4 ขอบังคับเหลา น้ลี ว นสง ผลตอการเลือกสรรถอ ยคําทีส่ ง ผลตอคุณคา ทางวรรณศลิ ป วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. บาทที่ 3 มีสมั ผัสอกั ษรทง้ั วรรคหนาและ ทงั้ ในดานเสยี งและความหมายจากบทประพันธ คนไทยสามารถเลอื กลกั ษณะ วรรคหลงั คอื รอน - (อุ)ระ - เรา เหลอื - หลกี สวนในขอ อืน่ ๆ ปรากฏสมั ผสั คําประพนั ธของบทรอยกรองเหลานีม้ าใชใ นการแตงใหมคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง อกั ษร ดงั นี้ ขอท่ี 1. คอื อา - อาบ ขอ ท่ี 2. ไมมีสมั ผัสอกั ษร และขอ ท่ี 4. คอื กับอารมณความรูสึกและจนิ ตนาการท่ีตอ งการถายทอดไดอ ยางหลากหลาย คือ รอ น - ราค หมก - ไหม ดงั นัน้ ในบาทท่ี 3 จึงปรากฏสัมผสั อกั ษรเดนชดั การฝกฝนการแตง คาํ ประพนั ธประเภทรอ ยกรองแตละประเภท จึงสะทอ นถงึ ท่ีสดุ ความไพเราะ ประณตี ของบทประพันธ นับเปน สมบัติทางวฒั นธรรมไทยทม่ี คี ณุ คา อยา งย่ิง นักเรียนควรทาํ การศึกษาเพ่ือใหเกดิ ความเขาใจและตระหนักในคุณคา ดานวฒั นธรรมทางภาษาจากความไพเราะของบทรอยกรองไทย คู่มอื ครู 173

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกนั แสดงความคิดเห็น ๔. คำ� โทโทษ คือ คำ� เอกทีเ่ ขียนโดยใชร้ ปู วรรณยุกต์โท เชน่ ดังตอ ไปนี้ “ใครติสใิ ครเส้อ หอ่ นรสู้ สี า” (เซ่อ - เสอ้ ) • นกั เรียนคดิ วา สัมผสั ฉนั ทลกั ษณท่ีปรากฏใน ๖) ค�ำเป็น คำ� ตำย เป็นลกั ษณะบังคับที่ใช้ในกำรแตง่ โคลง ร่ำย และกลบท โดยเฉพำะ บทประพันธ ซงึ่ ประกอบดว ย สมั ผสั นอก โคลงส่ีสุภำพใชค้ �ำตำยแทนคำ� เอกได้ และสัมผสั ในมีความสําคญั ตอ การแตงบท ๖.๑) ค�ำเป็น มี ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี ประพันธร อ ยกรองอยา งไร ๑. ค�ำหรือพยำงค์ท่ีประสมสระเสียงยำวใน แม ่ ก กำ เช่น มำ ด ี สี ฟ้ำ (แนวตอบ สัมผัสนอกเปนสัมผสั บงั คบั ของบท ๒. ค�ำที่มมี ำตรำตัวสะกด แมก่ ง กน กม เกย เกอว เชน่ กำงเกง ลนลำน จมุ๋ จ๋มิ รอยกรองทุกประเภท สงสมั ผสั คลอ งจองกนั วุ้ยว้ำย แวววำว โดยใชเ สียงสระ ชวยใหบทรอ ยกรองมีความ ๓. คำ� ที่ประสมด้วยสระเสยี งสนั้ อำ� ไอ ใอ เอำ เช่น ด�ำข�ำ ไปไหน ใจใหญ่ ไพเราะและแสดงใหเ ห็นลักษณะเฉพาะของ ๖.๑) ค�ำตำย ม ี ๒ ลักษณะ ดงั นี้ บทรอ ยกรอง ตลอดจนการแบงจังหวะลลี า ๑. คำ� ท่ีประสมสระเสียงสนั้ ในแม ่ ก กำ เช่น เอะอะ เลอะเทอะ ของบทรอยกรอง) ๒. ค�ำที่มีตวั สะกดในมำตรำแม่กก กด กบ เชน่ ยกึ ยกั อดึ อัด ซบุ ซบิ พบรัก • นักเรยี นคิดวา เสียงสมั ผสั ในบทประพนั ธ ๗) เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงสำมัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวำ ซึ่งประกอบดวย สัมผัสสระ และสัมผัส ที่ก�ำหนดใช้ในบทกลอน ซึ่งถือว่ำเสียงวรรณยุกต์เป็นสิ่งจ�ำเป็นในกำรเขียนกลอนให้ไพเรำะ พยัญชนะหรอื สัมผสั อกั ษร มคี วามสาํ คัญตอ ต้องรู้วำ่ ค�ำท้ำยวรรคใดนิยมใชห้ รอื ไมน่ ยิ มใช้เสยี งวรรณยุกต์ใด คุณคา ทางวรรณศิลปในบทประพนั ธอ ยางไร ๘) คำ� น�ำ คอื คำ� ข้ึนตน้ สำ� หรบั รอ้ ยกรองบำงประเภท เชน่ กลอนบทละคร กลอนสกั วำ (แนวตอบ สงผลตอความไพเราะ จังหวะ ลีลา กลอนดอกสรอ้ ย กลอนเสภำ โดยทุกประเภทมีลักษณะบังคบั เช่นเดยี วกบั กลอนสุภำพ ดังแผนผัง ของบทประพันธ โดยสมั ผัสในสามารถใชได ทง้ั สัมผสั สระและสมั ผัสอักษร) *❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ • นักเรยี นบอกความหมายและลักษณะของ คําครุ คาํ ลหุ การใชคําลักษณะดงั กลาว ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ สงผลตอ คณุ คา ทางวรรณศิลปของ บทประพนั ธอ ยา งไร กลอนบทละคร 1มีลักษณะบังคบั เช่นเดยี วกับกลอนสภุ ำพ วรรคหนึ่งม ี ๖-๙ ค�ำ แต่นิยมใช้ (แนวตอบ คาํ ครุ คาํ ลหุ เปนการแบง คําตาม เพยี ง ๖-๗ คำ� จึงจะเข้ำจังหวะร้องและร�ำ โดยจะข้นึ ตน้ บทวำ่ เมอื่ นั้น บัดนั้น นา้ํ หนกั ของเสยี งคาํ โดยเปน คาํ ท่มี เี สยี งหนัก ตวั อย่ำงเช่น และเสียงเบาตามลําดบั ใชในคําประพันธ ประเภทฉันท เสยี งหนกั เบาชวยใหเ กิดจงั หวะ บัดน้ัน นายทัพรบั ส่ังใสเ่ กศา ลีลาของคาํ โดยเฉพาะคําประพันธป ระเภท ต่างคนต่างขบั โยธา ทง้ั กองหนุนกองหน้าประดงั ฉนั ท ซงึ่ ฉนั ทแ ตล ะชนดิ จะมีลลี าแตกตางกนั เร่งพลพาชีตีกระหนาบ ตวั นายชกั ดาบออกไล่หลงั ไป สงผลตอรสทางวรรณคดีทม่ี ีความ เสียงดังคร้นื ครนั่ สนนั่ ดง แตกตา งกนั ) ทนายปืนยิงปนื ตงึ ตัง 2. ครูสมุ นักเรยี นแตละกลุมออกมานําเสนอ 2 (อิเหนา : พระราชนพิ นธใ์ น ร. ๒) หนาชน้ั เรียน กลอนสกั วำ มลี กั ษณะบังคับคลำ้ ยกลอนสภุ ำพ ตำ่ งกันท่ตี อ้ งข้ึนต้นวำ่ สกั วำ และจบลง ดว้ ยค�ำวำ่ เอย คณะของกลอนสักวำบทหนึ่งม ี ๔ ค�ำกลอน หรอื ๘ วรรค * วรรคแรกหรือวรรคสดบั จะใชค้ �ำขึน้ ตน้ แตกต่ำงกนั ออกไปตำมประเภทของร้อยกรอง แต่ วรรคอ่นื ๆ ก�ำหนดสัมผัสบงั คบั เหมอื นกัน 174 นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกีย่ วกับคาํ ครุคาํ ลหุ 1 กลอนบทละคร กลอนท่แี ตงขึ้นเพ่อื ใชใ นการแสดงละคร หลักเกณฑใ นการแตง ขอ ใดมีตาํ แหนง คําครลุ หุเหมอื นขอความตอไปน้ี “บารมี ธ มากลน ” โดยทั่วไปกเ็ หมอื นกบั การแตงกลอนสุภาพแตล ะวรรคมคี าํ ไดต งั้ แต 6-9 คาํ การนับ 1. คนจะดีเพราะนา้ํ ใจ กลอนบทละครจะนบั เปน คาํ กลอน คือ 2 วรรค เทากบั 1 คาํ กลอน การจะใชคาํ 2. สารนี้มลิ บเลอื น มากนอ ยขึน้ อยกู ับทํานองรอ งเปนสาํ คัญ การใชคําขน้ึ ตน “เมือ่ นัน้ ” ใชเมอื่ ข้ึนตนกับ 3. ฟา สีนา้ํ นํา้ สีฟา ตวั ละครท่สี าํ คญั เชน ตวั เอกหรอื กษตั รยิ  “บัดน้ัน” ใชข นึ้ ตนตัวละครที่เปน ตัวรอง 4. พรงุ น้เี ราจะรักกัน เชน เสนาอํามาตยห รือตัวละครธรรมดา “มาจะกลา วบทไป” ใชข ึ้นตนเมอื่ เร่ิมตอน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. คนจะดเี พราะน้ําใจ มีตาํ แหนงคาํ ครุ คาํ ลหุ ใหม (นอกจากน้ี ยงั มกี ารข้นึ ตน ดวยวลี ตง้ั แต 2 คํา 4 คํา หรอื อาจมากกวา กไ็ ด) ตรงกับ “บารมี ธ มากลน” ประกอบดวย คําครุ คําลหุ คําครุ คาํ ลหุ คาํ ครุ 2 กลอนสักวา เปน รอ ยกรองประเภทกลอนลํานาํ ชนิดหนงึ่ 1 บท มี 4 คํากลอน คําครุ ขึน้ ตน ดวยคาํ วา “สักวา” และลงทายดวยคาํ “เอย” กลอนสกั วานาํ มาใชในบท ประพันธทวั่ ไปของผูท่มี ีความสามารถทางดา นการประพันธ และนาํ มาใชในการ ละเลน โตตอบกันระหวางผูเลน หลายคน ซึ่งตอ งอาศัยความรคู วามสามารถดานการ ประพนั ธ และผูเลนยังตองอาศยั ไหวพริบปฏภิ าณในการโตตอบกันไดอยา งถกู ตอ ง และทันทวงที กอใหเ กดิ ความสนกุ สนานทงั้ ผเู ลนและผูฟง 174 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ตัวอย่างเชน่ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกันแสดงความคดิ เห็น ดงั ตอ ไปนี้ สกั วาหวานอ่นื มหี ม่ืนแสน ไม่เหมือนแมน้ พจมานท่หี วานหอม • นักเรยี นคดิ วา เสยี งวรรณยกุ ตใ นบท กล่ินประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจติ โนม้ ดว้ ยโลมลม รอ ยกรองมคี วามสาํ คญั อยางไร และเสียง แมน้ ล้อลามหยามหยาบไมป่ ลาบปล้ืม ดงั ดดู ดืม่ บอระเพด็ ต้องเข็ดขม วรรณยุกตสงผลตอคณุ คา ทางวรรณศลิ ป ผ้ดู ไี พร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมนิ หน้าระอาเอย อยางไร (แนวตอบ เสียงวรรณยุกตข องไทยมลี ักษณะ กลอนดอกสรอ้ ย1บทหน่ึงมี (สกั วาหวานอืน่ มีหมื่นแสน : พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ) สูงตํา่ คลา ยเสียงดนตรี การใชเ สียง วรรณยกุ ตใ นบทประพนั ธจงึ สง ผลดตี อการ ๘ วรรค วรรคละ ๗-๘ ค�า วรรคแรกมี ๔ คา� โดยคา� ที่ ๑ และ อานออกเสยี งทํานองเสนาะ โดยเฉพาะการ ค�าท่ี ๓ เป็นคา� เดยี วกนั ส่วนค�าท่ี ๒ จะต้องเปน็ คา� วา่ เอ๋ย และต้องจบลงดว้ ยค�าวา่ เอย เสมอ เออ้ื นเสยี ง การทอดเสียง เพอ่ื ความไพเราะ) ตัวอย่างเช่น • คาํ เปนและคาํ ตายมีลักษณะอยา งไร การใช คาํ เปนคาํ ตายในบทรอ ยกรองสง ผลตอกลวิธี ฝูงวัวคววงั าเอยย๋ผวา้ ังยเลวางท ิวากาล2 หงา่ งเหง่งย�า่ ค�า่ ระฆงั ขาน ทางวรรณศิลปอยางไร คอ่ ยคอ่ ยผ่านท้องทงุ่ มุ่งถนิ่ ตน (แนวตอบ มีความสัมพนั ธกบั เสยี งวรรณยุกต ชาวนาเหน่ือยออ่ นต่างจรกลบั ตะวนั ลบั อับแสงทุกแห่งหน สงผลตอ ทํานองการออกเสียง) ทง้ิ ทงุ่ ใหม้ ดื มวั ทวั่ มณฑล และท้งิ ตนตเู ปลย่ี วอยู่เดียวเอย 2. ครสู ุมนกั เรียน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ (ร�าพึงในป่าชา้ : พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร) หนา ช้ันเรียน กลอนเสภา3มลี กั ษณะบงั คบั เชน่ เดยี วกบั กลอนสภุ าพ โดยจะใชค้ �าขนึ้ ตน้ วา่ ครานนั้ จะกลา่ วถงึ ตวั อย่างเช่น ครานั้นขุนแผนแสนสนิท คอยทา่ ชา้ ผิดหามาไม่ ขยายความเขา้ ใจ Expand เย้อื งย่างตามนางเขา้ หอ้ งใน สลดใจสงสารวันทองนกั แลเห็นนวลน้องเจา้ รอ้ งไห ้ ลมจับหลับไปยังมึนหนัก 1. ครนู าํ บทประพันธประเภทตางๆ มาให ดว้ ยพระเวทวิเศษศักดิป์ ระสิทธี นักเรียนพจิ ารณา จากนน้ั ใหน กั เรียนบอก เสกน้�าประพรมชโลมพกั ตร์ ลกั ษณะบงั คบั ของบทประพันธ (เสภาเรื่องขุนช้างขนุ แผน : พระราชนพิ นธ์ใน ร. ๒) 2. นกั เรยี นยกตัวอยา งบทประพนั ธร อ ยกรอง ๙) ค�าสรอ้ ย คอื คา� ที่ใชล้ งท้ายวรรค ท้ายบาท เพ่อื ความไพเราะในการเอ้อื นเสียง หรือ ประเภทใดก็ได ท่ีมลี กั ษณะบังคบั ทง้ั 9 เพิ่มข้อความให้สมบรู ณ์ ใช้เปน็ ค�าถาม ใชเ้ พื่อใหค้ รบความ สว่ นมากจะใช้เฉพาะโคลงกบั รา่ ย เช่น ประการ พรอมระบดุ วยวา ลักษณะบงั คับของ เอย แล แฮ นา เทอญ บทประพนั ธที่นักเรียนยกมาสง ผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลปใ นบทประพันธอยา งไร ตวั อย่างเช่น ตนี งูงไู ซรห้ าก เห็นกัน ตรวจสอบผล Evaluate นมไกไ่ กส่ า� คัญ ไกร่ ู้ หมูโ่ จรต่อโจรหัน เห็นเล่ห ์ กนั นา ปราชญร์ ู้เชิงกนั เชิงปราชญฉ์ ลาดกล่าวผ ู้ (ประชมุ โคลงโลกนิต ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) 1. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญของลกั ษณะ 175 บังคบั 9 ประการในบทรอยกรอง พรอมระบุ คุณคาทางวรรณศิลปไ ด 2. นกั เรียนสามารถวเิ คราะหล ักษณะบงั คบั ของ ขอ สอบ O-NET บทประพนั ธ พรอมยกตัวอยา งได นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกบั การใชค ําใหสอดคลองกับฉันทลักษณข องบท ประพันธ ขอใดไมปรากฏในคาํ ประพนั ธตอไปนี้ 1 กลอนดอกสรอย กลอนดอกสรอ ย เปนกลอนท่ีเเตง ขึ้นเพื่อขับรอ ง กลอนดอก- ใครจกั ผูกโลกแม รัดรงึ สรอ ย 1 บท มี 4 บาท 1 บาท จะมี 2 วรรค ใน 1 วรรค จะมี 7-8 พยางค ยกเวน เหล็กเทาลําตาลตรงึ ไปห มั้น วรรคที่ 1 จะมี 4 พยางค และพยางคท ่ี 2 จะมีคําวา เอย สว นวรรคสุดทายของบท มนตรยาผกู นานหงึ หายเสือ่ ม จะลงทายดว ยคําวา เอย ผูกเพอื่ ไมตรีน้นั แนน เทาวนั ตาย 2 ทิวากาล ทวิ า อาจแผลงเปน ทิพา แปลวา วนั ถาเปนทวิ ากร แปลวา เวลา 1. คําซา้ํ กลางคืน แตถ า เปน ทิพากร จะแปลวา พระอาทิตย 2. คาํ ซอน 3 กลอนเสภา คอื กลอนขบั รอ งเชนเดียวกบั กลอนดอกสรอยและกลอนสักวา 3. คําโทโทษ แตมิไดข บั รองประกอบดนตรหี รอื ประกอบทาํ นองเพลงไทย กลอนเสภานา จะพฒั นา 4. คาํ ตายแทนคําเอก มาจากการอา นกลอน โดยอา นเปนทํานองพิเศษขนึ้ กวา ทาํ นองเสนาะของกลอนปกติ แลวใชกรับเปนเคร่อื งประกอบจังหวะการอานไพเราะนาฟง ย่งิ ขึ้น เรียกวา “ขบั เสภา” วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. คาํ ซาํ้ ไมป รากฏคาํ ซํ้าในบทประพันธ สวน และโดยทีเ่ ปน กลอนขบั รองเพ่ือเลา เร่อื งราว จํานวนคําในวรรคของกลอนเสภาจงึ คอ นขางมากมกั มีต้ังแต 7-9 คาํ ลักษณะพเิ ศษอกี ประการหนึง่ ก็คือ ในแตละตอน ในขออ่ืนๆ ปรากฏการใชค ํา ดงั ตอ ไปน้ี ขอท่ี 2. คําซอ น คือ รดั รงึ นานหึง ขอท่ี 3. คําโทโทษ คอื หมน้ั และขอท่ี 4. คาํ ตายแทนคําเอก คอื โลก ผกู มกั นิยมขึน้ ตนดว ยคําวา “คราน้ัน” หรอื “มาจะกลา วถงึ ” คูม่ อื ครู 175

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตุน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ๒. การแตง่ คาำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ • นกั เรยี นรจู กั หรอื เคยเรยี นวรรณคดที ม่ี ลี กั ษณะ กาพยเ์ ป็นคา� ประพันธท์ ีแ่ ตง่ ง่าย มลี ักษณะคลา้ ยฉันท์ แตไ่ มบ่ งั คับ คร ุ ลห ุ กาพย์ทน่ี ิยมใช้ คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพยห รอื ไม อยางไร มี ๓ ชนดิ คือ กาพย์ยาน ี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค ์ ๒๘ • นกั เรียนยกบทประพนั ธก าพยทีน่ กั เรียน ๒.๑ กลักาษพณยะย์ ฉาันนท ีล๑ักษ๑ณข์1องกาพยย์ านี ๑๑ ประทับใจ และนกั เรียนเกดิ ความประทบั ใจ ในประเดน็ ใดบา ง อยา งไร • นกั เรยี นทราบหรอื ไมว า การแตง คาํ ประพนั ธ ๑) คณะ ประเภทกาพยเปนทักษะทส่ี ามารถฝกฝนได ๑. กาพยย์ านี ๑๑ หนึ่งบทมี ๔ วรรค หรอื ๒ บาท สา� รวจคน้ หา Explore บาทแรก เรียกว่า บาทเอก และบาทท ่ี ๒ เรียกวา่ บาทโท ๒. บาทหนง่ึ ม ี ๒ วรรค วรรคหนา้ ม ี ๕ คา� วรรคหลงั มี ๖ คา� นกั เรยี นสบื คน ขอมลู เก่ียวกับการแตงคํา ๒) เสียง คา� สุดทา้ ยของบท ห้ามใชค้ �าตาย และคา� ทม่ี ีรูปวรรณยกุ ต์ ประพันธประเภทกาพย ไดแก กาพยย านี 11 กาพย ๓) สัมผัส กา� หนดสมั ผสั ในบท ๒ แหง่ และสมั ผสั ระหวา่ งบท ๑ แหง่ คือ ฉบัง 16 และกาพยสรุ างคนางค 28 รวมถงึ ศึกษา ๑. คา� ทา้ ยของวรรคหน้าสมั ผสั กบั คา� ที่ ๑, ๒ หรอื ๓ ของวรรคหลังในบาทเอก บทประพนั ธประเภทกาพยเ ร่ือง จติ ...จิต...จติ ... ๒. คา� ทา้ ยของบาทเอก สมั ผสั กบั ค�าท้ายของวรรคหนา้ ในบาทโท (จิตสาธารณะ) พรอ มบทวเิ คราะห ๓. ค�าทา้ ยของบทแรก สมั ผัสกับค�าทา้ ยของบาทเอกในบทต่อไป อธบิ ายความรู้ Explain แผนผังและตวั อยา่ งกาพย์ยานี ๑๑ 1. ครูนําบทประพันธประเภทกาพยย านี 11 มาให ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ นกั เรียนพจิ ารณา ครูสุมนักเรยี น 2-3 คน ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ ออกมาเขียนเสนโยงสัมผสั ฉนั ทลกั ษณจ าก ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ บทประพันธ ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ 2. นกั เรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ ก ิ่งแกว้ พแรพะรเ้วสพดรจ็ รโณดยรแาดย2น ชล ทรงเรอื ตน้ งามเฉิดฉาย • นกั เรยี นคดิ วา กาพยยานี 11 มลี ลี าการ พายอ่อนหยับจับงามงอน ประพันธเ หมาะสมกับเนือ้ หาแบบใด ลว้ นรูปสตั ว์แสนยากร (แนวตอบ กาพยย านี 11 มีลีลาการประพันธ นาวาแน่นเปน็ ขนัด สาครลั่นครั่นครืน้ ฟอง เหมาะสมกบั เน้ือหาที่เปน พรรณนาโวหาร เชน การพรรณนาความรูสึก ความรัก เรอื ริว้ ทิวธงสลอน (กาพย์เห่เรอื : เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร)์ และความงาม เปน ตน) ค�าแนะน�าบางประการในการแตง่ กาพยย์ านี ๑๑ • กาพยยานี 11 มลี กั ษณะคาํ ประพนั ธอยางไร และมวี ิธกี ารแตง บทประพนั ธอ ยา งไร ๑. คา� ทร่ี บั สมั ผสั ไมน่ ยิ มใชค้ า� ทมี่ เี สยี งเดยี วกบั คา� ทสี่ ง่ สมั ผสั ถงึ แมจ้ ะเขยี นตา่ งกนั เชน่ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาคาํ ตอบ สาน-สาส์น-ศาล-สาร เปน็ ต้น จากหนงั สอื เรยี นภาษาไทย หลักภาษาและ 176 การใชภ าษาหนา 176) 3. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั สัมผัสอักษรในบทประพันธประเภทโคลง 1 ฉันทลกั ษณ ลักษณะบังคบั ของคาํ ประพนั ธไทย เปนตําราทว่ี าดวยวิธีรอยกรอง ขอ ความตอไปนเ้ี ปนคําประพนั ธชนดิ ใด ถอยคาํ หรอื เรียบเรยี งถอ ยคําใหเ ปนระเบยี บตามลกั ษณะบงั คับและบัญญัตทิ ี่นักปราชญ ขาไหวพระบาทสามองคพระอศิ วรผทู รงอุสุภราชฤทธิร์ อน ขาไหว ไดร างเปนแบบไว ถอยคาํ ทรี่ อยกรองขนึ้ ตามลกั ษณะบญั ญัติแหง ฉันทลกั ษณ เรยี กวา พระนารายณส กี่ รทรงครฑุ เขจรจะปราบอรินทรเรอื งรงค คําประพนั ธ และไดใ หค วามหมายของคําประพันธว า คอื ถอยคําที่ไดร อ ยกรอง 1. กาพย หรือเรียบเรยี งข้นึ โดยมีขอบังคบั จํากัดคํา และวรรคตอนใหรบั สัมผัสกนั ไพเราะ 2. กลอน ตามกฎเกณฑท ี่ไดวางไวในฉันทลกั ษณ โดยแบง เปน 7 ชนดิ คอื โคลง รา ย ลลิ ิต 3. โคลง กลอน กาพย ฉันท กล ซงึ่ ก็คอื รอยกรองไทย ฉันทลกั ษณแตละชนิดมีลกั ษณะ 4. ฉันท แยกยอยลงไปอกี หลายรูปแบบ ซ่งึ แตรูปแบบก็มลี ลี าที่มีความแตกตา งกนั ขึ้นอยกู บั วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. กาพย ขอ ความทยี่ กมาเมอื่ จดั วรรคให จงั หวะของเสียงสัมผัสทมี่ คี วามแตกตา งกนั ผูป ระพนั ธน าํ มาใชใ นการประพันธ ถูกตอ งตามลกั ษณะฉนั ทลักษณ จะเปน คําประพนั ธป ระเภทกาพย ดงั ตอ ไปน้ี เนื้อหาทมี่ ีความแตกตางกัน เชน สัททลุ วิกกีฬต ฉนั ท มลี ีลาโออา สงา งาม มักใชใ น ขาไหวพระบาทสามองค พระอิศวรผูทรง การประพันธบ ทประณามพจน บทยอพระเกียรติ สรรเสรญิ กษตั รยิ  หรือพรรณนา อสุ ุภราชฤทธิร์ อน บทโศกของกษัตรยิ  เปนตน ขา ไหวพ ระนารายณส ่กี ร ทรงครฑุ เขจร 2 พรรณราย สีเล่อื มระยับหรอื งามผุดผอง จะปราบอรนิ ทรเ รอื งรงค 176 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ๒. ในการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ไม่มีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ หรือรูปวรรณยุกต์ แต่ 1. นกั เรยี นจับคู จากนัน้ ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คู ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญและจัตวา ในค�าสุดท้ายของบาทโท เสียงตรี เสียงเอก รว มกันตอบคาํ ถามหนา ชัน้ เรียนในประเดน็ กม็ ีบ้างแตไ่ ม่คอ่ ยนิยม ตอ ไปน้ี ๓. ค�าสดุ ท้ายของบท ไม่นิยมใชค้ า� ตายหรือคา� ทมี่ รี ปู วรรณยกุ ต์ • นักเรียนคดิ วา การแตง คําประพนั ธประเภท ๔. กาพย์ยานี ๑๑ เหมาะกับเนื้อหาที่เป็นพรรณนาโวหาร เช่น พรรณนาความรู้สึก กาพยย านี 11 ควรคํานงึ ถึงเรื่องใดบา ง ความรัก และความงาม อยา งไร ข ้อบงั คับ แ๕ล.ะ ไสมัมเ่ คผรัส่งใคนร ัดคมือา กสนัมักผ ัสแภต่ถาย้าใมนจี วะรทรา�คใเหป้ท็นา� สนัมอผงัสไพไมเร่บาังะคสับลจะสะมลวีหยร1ยือง่ิ ไขม้นึ ่มีก็ได้ ไม่ถือเป็น (แนวตอบ นอกจากการแตง บทประพนั ธ ใหสอดคลองกบั ฉันทลกั ษณแลว นกั เรียน ๒.๒ กาพยฉ์ บงั ๑๖ ควรคํานงึ ถงึ ลักษณะการแตง ดงั น้ี 1. คาํ ทร่ี บั สัมผัสไมน ิยมใชคาํ ทม่ี เี สียงเดียวกบั ลักษณะฉนั ทลกั ษณ์ของกาพย์ฉบงั ๑๖ คําทส่ี ง สมั ผสั ถงึ แมจะเขยี นตางกัน เชน ๑) คณะ กาพย์ฉบัง ๑๖ หน่ึงบท มี ๓ วรรค วรรคแรก ๖ ค�า วรรคท่สี อง ๔ คา� และ สาน สาสน ศาล สาร เปน ตน 2. วรรค วรรคท้าย ๖ ค�า สุดทา ยของบาทโทนยิ มใชว รรณยกุ ตส ามญั ๒) เสยี ง นยิ มใชเ้ สยี งสามัญและเสียงจัตวาเปน็ คา� สง่ สมั ผัสและคา� ท้ายวรรค และจัตวา สวนเสยี งวรรณยกุ ตต รี รวมถงึ ๓) สัมผัส สัมผัสมรี ะหว่างวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสระหว่างบท ๑ แห่ง วรรณยุกตเอกก็มีบาง แตไ มค อ ยนิยม 3. คํา สัมผสั ระหวา่ งวรรค คา� ทา้ ยวรรคแรกสมั ผสั กบั คา� ทา้ ยวรรคทีส่ อง สดุ ทา ยของบท ไมน ยิ มใชค ําตายหรอื คําทม่ี ี สมั ผสั ระหว่างบท คา� ทา้ ยวรรคของบทแรก สัมผสั กบั คา� ท้ายวรรคแรกของบทต่อไป รปู วรรณยกุ ต 4. เลนเสียงสัมผัสในชวยเสรมิ ความไพเราะสละสลวยของบทประพนั ธ แผนผังและตวั อยา่ งกาพยฉ์ บงั ๑๖ ยง่ิ ขน้ึ ) ❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ❁❁❁❁❁❁ ขยายความเขา้ ใจ Expand ❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ 1. นักเรยี นยกบทประพันธทีม่ ลี ักษณะคําประพันธ ประเภทกาพยย านี 11 ทนี่ กั เรยี นประทับใจ ชายใดไมเ่ ที่ยวเทยี วไป ทกุ แคว้นแดนไพร จากนนั้ ใหน กั เรียนวเิ คราะหคณุ คาทาง มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหยา้ เนาทกุ ข์ ไมด่ น้ ซนซุก วรรณศิลปของบทประพนั ธ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งไดอ ยาง ก็ช่อื ว่าช่วั มัวเมา 2 หลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น (นทิ านเวตาล : น.ม.ส.) เปนตน วา สุวรรณหงสทรงพหู อ ย งามชดชอ ยลอยหลังสินธุ เพียงหงสทรงพรหมินทร 177 ลนิ ลาศเลือ่ นเตือนตาชม) ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด นกั เรียนควรรู ขอ ใดมคี ําประพนั ธท ่ีเหมอื นกบั คําประพนั ธทยี่ กตวั อยางมาน้ี 1 ไพเราะสละสลวย ท่กี ลา วหรอื เรียบเรียงไดเนื้อถอ ยกระทงความและมีสํานวน “กลางไพรไกขนั บรรเลงฟงเสียงเพยี งเพลงซอเจงจาํ เรียงเวียงวงั ” กลมกลืนไพเราะระรื่นหู (ใชแ กถอยคําสาํ นวน) เชน บทความน้มี ีสํานวนสละสลวย 1. เรงพลพาชตี กี ระหนาบตวั นายชกั ดาบออกไลหลัง เปนตน 2. ตนี งงู ูไซรหากเห็นกันนมไกไกส ําคัญไกรู 3. ลงิ คา งครางโครกครอกฝงู จ้งิ จอกออกเหาหอน 2 นิทานเวตาล พระราชวรวงศเธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ หรอื ทรงเปน ท่รี จู ัก 4. ไวปากไววากยวาทไี ววงศกวีไวเ กยี รติและไวน ามกร กนั ในพระนามแฝงวา น.ม.ส. ทรงนพิ นธเร่ืองนิทานเวตาลขึ้นเมอ่ื พ.ศ.2461 ตน เคา ของนทิ านเวตาลมาจากวรรณคดอี ินเดยี ช่อื เวตาลปญ จวงิ ศติ แปลวา นทิ าน 25 วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ไวปากไวว ากยว าทีไวว งศก วีไวเ กยี รติและไว เรอื่ งของเวตาลซึ่งกลา วถงึ การท่ีเวตาล เลา นิทานหลอกลอ พระวกิ รมาทิตยแ หง กรงุ นามกร เปน คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพยฉบัง 16 นกั เรยี นสามารถพิจารณาได จากจํานวนคาํ ซึ่งมจี ํานวนเทากัน คือ จํานวน 16 คาํ และพจิ ารณาสัมผสั ใน อชุ ชยนิ ี (อชุ เชนี) ต้ังแตเ วลาหัวคํ่าจนใกลส วา ง นทิ านเร่อื งน้ีกวชี ่ือ ศิวทาสแตงไว เปนภาษาสันสกฤตต้ังแตโ บราณกาลสําหรบั ฉบับภาษาไทย น.ม.ส. มไิ ดทรงแปล บทประพันธทีใ่ ชในการแบง วรรคตอน สามารถแบงบทประพันธต ามลักษณะ จากตนฉบบั ภาษาสนั สกฤตโดยตรง แตท รงใชฉ บับภาษาอังกฤษ Vikram and the ฉันทลกั ษณได ดงั น้ี กลางไพรไกขนั บรรเลง ฟงเสยี งเพียงเพลง Vampire or Tales of Hindu Devilry ของเซอร ริชารด เอฟ เบอรต นั (Sir Richard F. Burton ) เปนหลกั ในการเรยี บเรียง นิทานเวตาลมีลักษณะเปน นิทานซอ นนิทาน ซอเจง จาํ เรยี งเวยี งวงั กลาวคือ มีนทิ านยอยหลายเร่ืองซอนอยูในนิทานเร่อื งใหญ โดยฉบับของ น.ม.ส. ไวปากไววากยวาที ไววงศกวี ไวเ กยี รตแิ ละไวน ามกร ประกอบดวยนิทานยอ ยเพยี ง 10 เรือ่ ง จากทงั้ หมด 24 เร่ือง 177 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. ครูนาํ บทประพันธประเภทกาพยฉ บัง 16 มาให คำ� แนะนำ� บำงประกำรในกำรแตง่ กำพยฉ์ บงั ๑๖ นกั เรียนพิจารณา จากนน้ั ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 ๑. กาพยฉ์ บังมีลีลาคึกคกั โลดโผน และสงา่ งามกว่ากาพยย์ าน ี โบราณนิยมใช้แต่งบท คน ออกมาเขียนเสน โยงสัมผสั ของฉันทลักษณ พากย์โขน บทสวดมนต ์ การตอ่ ส ู้ ถา้ เปน็ นยิ าย นทิ าน ก็ใชเ้ ปน็ บทพรรณนาโวหารทต่ี อ้ งการใหล้ ลี า จากบทประพนั ธ ดงั กลา่ ว ปจั จุบันนยิ มใชเ้ ขียนบทสดุด ี และบทปลกุ ใจ ๒. ความไพเราะของกาพยฉ์ บงั ขน้ึ อยกู่ บั เสยี งสมั ผสั ใน มกั จะเพม่ิ ในวรรคเปน็ คๆู่ ทกุ วรรค 2. นกั เรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปน้ี ท้งั สัมผสั สระและสัมผสั อกั ษร • นักเรยี นคดิ วา กาพยฉ บัง 16 มลี ีลาการ ๓. ค�าสุดท้ายของบทนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญและจัตวา ส่วนวรรณยุกต์อ่ืน ประพนั ธอ ยา งไร พรอ มยกตวั อยาง ไมน่ ิยมใช้และพบไม่บ่อยนัก บทประพันธท่มี ลี ลี าในการประพันธ ก าพ๔.ย กส์ ารุพายง์ฉคบังน า๑ง๖ค ไ1 ์ม๒บ่ ๘งั คบั สมั ผสั ระหว่างวรรคท่ ี ๒ กบั วรรคท่ี ๓ จะมีหรอื ไมม่ กี ็ได้ สอดคลองกนั ประกอบการอธิบาย (แนวตอบ กาพยฉ บังมลี ีลาการประพนั ธค ึกคกั ๒.๓ โลดโผน และสงา งามกวา กาพยย านี นยิ มใช แตงบทพากยโขน บทสวดมนต ถา เปน บท ลักษณะฉนั ทลักษณข์ องกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ประพนั ธท่มี เี น้อื หาในลกั ษณะของนิทานหรือ ๑) คณะ กาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ บทหนึง่ มบี าทเดยี ว แบ่งเป็น ๗ วรรค วรรคละ ๔ ค�า นยิ ายก็ใชเ ปน บทพรรณนา ปจจบุ ันนิยมใช รวม ๒๘ คา� จึงเรยี กวา่ กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ เขียนบทสดุดี และบทปลกุ ใจ) ๒) สมั ผสั • นักเรียนคดิ วา การแตงคาํ ประพันธประเภท ๑. คา� ทา้ ยวรรคหน้าสมั ผสั กบั คา� ทา้ ยวรรคทส่ี อง กาพยฉ บงั 16 ควรคํานงึ ถึงเรอ่ื งใดบา ง ๒. ค�าทา้ ยวรรคท ่ี ๓ สมั ผสั กับคา� ท้ายวรรคท ่ี ๕ และวรรคท ี่ ๖ อยา งไร ๓. ค�าท้ายวรรคที่ ๔ สัมผัสกบั คา� ท่สี ามของวรรคท ่ี ๕ (แนวตอบ เนนความไพเราะของสมั ผสั ใน มกั ๔. สัมผสั ระหวา่ งบท ค�าทา้ ยวรรคท่ี ๗ ของบทแรก สมั ผสั กบั ค�าท้ายวรรคท ่ี ๓ ของ เพมิ่ ในวรรคเปน คๆู ทุกวรรค ทง้ั สัมผสั สระ บทต่อไป และสัมผัสอกั ษร คาํ สดุ ทายของบทนยิ มใช แผนผังและตัวอยำ่ งกำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ เสยี งสามญั หรอื จตั วา แตไ มนิยมใชใ นวรรค อ่นื และไมบงั คบั สัมผสั ระหวางวรรคที่ 2 ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ และ 3) ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ขยายความเขา้ ใจ Expand วันนนั้ จันทร มีดารากร เป็นบริวาร เหน็ สิ้นดินฟ้า ในป่าทา่ ธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ี่มลี ักษณะคําประพนั ธ เยน็ ฉา�่ น�้าฟ้า ชนื่ ชะผกา วายุพาขจร ประเภทกาพยฉ บัง 16 ทน่ี ักเรยี นประทับใจ จากน้ันใหนักเรยี นวเิ คราะหค ุณคาทาง สารพันจันทน์อิน รน่ื กล่นิ เกสร แตนตอ่ คลอรอ่ น ว้าวอ่ นเวยี นระวนั 22 วรรณศิลปของบทประพันธ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งไดอยาง (กาพย์พระไชยสุริยา : สนุ ทรภู่) หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรียน) 178 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู 1 กาพยส ุรางคนางค กาพยส รุ างคนางคแบง ออกเปน 3 ชนดิ คือ คําประพนั ธในขอใดแตกตางจากขออืน่ 1. กาพยสรุ างคนางค 28 ดงั ปรากฏในเน้อื หาหนังสอื เรียน 2. กาพยสุรางคน างค 32 1. เปบ ขา วทุกคราวคํา จงสจู ําเปนอาจิณ หรือกาพยธ นัญชยางค เปน กาพยท่ีประดิษฐขน้ึ ใหม โดยพระราชวรวงศเ ธอกรมหมนื่ เหงือ่ กูท่ีสูกิน จงึ กอ เกิดมาเปน คน พิทยาลงกรณ โดยทรงอธิบายวา กาพยน ้ี คือ กาพยส รุ างคนางค 28 แบบเกา แต 2. รอนรอนออนอสั ดง พระสุรยิ งเยน็ ยอแสง เพ่ิมคาํ อีก 4 คํา และเพมิ่ สมั ผสั อกี และ 3. กาพยส รุ างคนางค 36 หรอื กาพยขบั ไม ชวงดังนํ้าครัง่ แดง แฝงเมฆเขาเงาเมรธุ ร มกี ารกําหนดใชวรรคละ 4 คํา แบงเปน 9 วรรค มีบงั คับสมั ผสั ขามวรรค 3 แหง 3. เขาตกทะเลบก สกิ ็ตกทะเลไป 2 กาพยพระไชยสุรยิ า เปนวรรณคดที ี่ประพนั ธโดย สนุ ทรภู เปนนทิ านสาํ หรบั คลืน่ สีขจีใส ปะทะซาฉะฉา ฉาน สอนการเขียนอาน โดยมบี ทอา นเรยี งลาํ ดับการสะกดคาํ ต้ังแต แม ก กา ตามดว ย 4. จาํ ปาหนาแนน เนื่อง คลกี่ ลบี เหลืองเรอื งอราม แมกน แมกง แมก ก แมกด แมก บ แมก ม จนถงึ แมเกยตามลําดบั ลักษณะการ คดิ คะนึงถึงนงราม ผวิ เหลืองกวา จําปาทอง ประพนั ธแบบกาพยประเภทตางๆ คอื กาพยย านี 11 กาพยฉบงั 16 และกาพย สรุ างคนางค 28 เช่ือกนั วา สนุ ทรภปู ระพนั ธขนึ้ ในราวป พ.ศ. 2383-2385 วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เขาตกทะเลบก สิก็ตกทะเลไป 178 คมู่ อื ครู คลน่ื สีขจใี ส ปะทะซาฉะฉาฉาน บทประพนั ธข า งตน เปนอินทรวิเชียรฉันท สวนในขอ อืน่ เปนกาพยย านี 11 สงั เกตไดจากการใชคําครุ คาํ ลหุ เนื่องจากบทประพนั ธมจี าํ นวนคาํ เทากันและ มสี ัมผัสเหมอื นกนั

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ กาพย์สุรางคนางค์ไม่เคร่งครัดสัมผัสใน อาจเป็นสัมผัสสระ สัมผัสอักษร หรือไม่มี 1. ครูนาํ บทประพนั ธป ระเภทกาพยส ุรางคนางค สัมผสั ในก็ได้ แตเ่ นน้ ความหมายค�าเปน็ หลกั แบ่งจงั หวะค�าในวรรคเป็นสองคู ่ เชน่ 28 มาใหน กั เรยี นพจิ ารณา จากน้ันครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาเขยี นเสน โยงสมั ผัส ไมง้ าม/นา�้ ใส รม่ รน่ื /ช่ืนใจ สวนสวย/งามตา ฉันทลกั ษณจ ากบทประพนั ธ มาลี/สสี ัน ดุจฝนั /เห็นมา ชมุ่ ชนื่ /อุรา พาเพลนิ /เชิญชม 2. นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ตอไปนี้ • นกั เรียนคดิ วา การแตงคาํ ประพนั ธประเภท คำ� แนะน�ำบำงประกำรในกำรแต่งกำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ กาพยสรุ างคนางค 28 ควรคํานึงถงึ เร่ือง ๑. คา� สดุ ทา้ ยของวรรคท ่ี ๓ หากลงดว้ ยเสียงจัตวาจะเพ่ิมความไพเราะยงิ่ ขึน้ เช่น ใดบาง อยางไร (แนวตอบ 1. กาพยสุรางคนางคไมเครงครัด บ้านหนองสารแตร ดินแดนเก่าแก่ ประวตั ิขานไข สมั ผัสใน อาจเปนสมั ผัสสระ สัมผัสอกั ษร เป็นท่รี าบสงู หนองน้�ากวา้ งใหญ่ ๒ป๘ล าบชามุ งเหวรลรือคใจอ า จจะเล่นชคาวา� บ ซ้าน้�าคช่นืา�11 ชซมา้� ความ หรอื ไมม ีสมั ผัสในก็ได แตเนนความหมาย ของคําเปนหลกั โดยแบง จงั หวะคําในวรรค ๒. ความไพเราะของกาพย์สรุ างคนางค ์ ออกเปนสองคู อาทิ ไมงาม/นํ้าใส รมรืน่ / ด้วยเสียงสระหรือดว้ ยเสยี งพยญั ชนะ กจ็ ะเพิม่ ความไพเราะข้ึน เชน่ ชืน่ ใจ สวนสวย/งามตา 2. คาํ สดุ ทา ยของ วรรคทีส่ าม หากลงดว ยเสยี งจตั วา จะมี เรียกขานสืบมา บา้ นคอยคอยทา่ หรอื วา่ คอยใคร ความไพเราะเพ่มิ มากข้นึ สามารถเพม่ิ ความ อยา่ ลืมบา้ นคอย ร่องรอยฝากไว้ รอคอยน�้าใจ อย่ทู บี่ า้ นคอย ไพเราะไดดวยการเลน คํา ซาํ้ คาํ ซ้าํ ความ ดวยเสียงสระหรอื พยัญชนะ สัมผสั ในเปน ๓. สมั ผสั ใน เปน็ สมั ผัสไมบ่ งั คับ จะมหี รอื ไมก่ ็ได ้ สว่ นใหญน่ ยิ มแต่งให้มีเป็นค่ๆู สัมผัสไมบงั คบั จะมีหรือไมมีกไ็ ด สวนใหญ นิยมแตง ใหม ีสัมผัสในเปนคๆู ) ตัวอย่ำง กำรแต่งค�ำประพนั ธป์ ระเภทกำพย์ จิต..จิต..จติ ..(จติ สาธารณะ) 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ  จติ คือส่อื สญั ญาณ เสรมิ ประสานการกระทา� จติ จดกา� หนดจา� 2 จารประจงตรงชว่ั ดี  จิตตนหากวนวก ก็ดงั นกหลงพงพี จิตจกั หนักทวี ต้องปลอ่ ยวางวา่ งอาวรณ์  จติ เดนิ ทางสองแพรง่ วางตา� แหน่งให้แน่นอน ขยายความเขา้ ใจ จิตรูอ้ โคจร จงพจิ ารณ์ผ่านวิจัย Expand  จติ ใดดา� เนนิ ดี เกดิ สขุ ศรสี วา่ งใส 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ี่มลี กั ษณะคําประพนั ธ จิตน้ันดา� เนินไป ประกอบสจุ รติ ธรรม ประเภทกาพยส ุรางคนางค 28 ทน่ี กั เรียน  จติ สาธารณะ ผูกพนั ธะอปุ ถัมภ์ จติ เอ้ือเกือ้ กลู นา� 3 ประทับใจ จากนั้นใหน กั เรยี นวเิ คราะหค ุณคา เสนุขอ่ื สงะวอิถาีค4ดวปาัญมดญีคารสอ่องง ทางวรรณศลิ ปข องบทประพันธ  จติ ชนคนของชาติ (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตวั อยางได เชน (บทจรติ ้อรยกกั รภอักงชดนตี ะ้อเลงิศ 5การประกวดโครงการประกวดรอ้ ยกรองออนตไอลบน ์ แสทมานคบมนญุ กั ก“ลคอนุณแแหผง่ ป่นรดะเนิ ท”ศไทย ครัง้ ที ่ ๔ ก็สบั กส็ น ประจา� ปี ๒๕๕๓ ประเภทกาพย์ยาน ี ๑๑ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ผลงานของเดก็ หญิงคุณา สังฆงาม) ปะปวนปะปน สถลวิถี นําหลานและบตุ ร บุรุษสตรี กะจอกะจี สนนั่ สําเนียง) 179 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ขอใดเรยี งลําดับคาํ ประพนั ธต อไปนี้ไดถูกตอง 1 ซ้ําคาํ การซ้ําคาํ และการเลนคาํ เปน กลวิธใี นการแตง ทกี่ วนี าํ มาใชเ พ่อื ใหเ กดิ (ก) กาพยยานลี ํานํา (ง) สบิ เอด็ คาํ จาํ อยาคลาย (ข) วรรคหนาหา คาํ หมาย ความงามแหง วรรณศลิ ป การซาํ้ คําและการเลนคํานั้นดเู ผินๆ ไมพ เิ คราะหใ หดีอาจ (ค) วรรคหลังหกยกแสดง จะคิดวา เปนวิธกี ารแบบเดยี วกัน แตแ ททีจ่ ริงแลว แตกตา งกนั โดยสิ้นเชิง การซ้ําคํา 1. (ก) (ข) (ค) (ง) เปน กลวธิ ีท่ใี ชคําคาํ เดยี วกันซาํ้ ในคาํ ประพันธ อาจจะวางไวติดกันแบบคําซาํ้ หรือ 2. (ก) (ค) (ข) (ง) วางไวแ ยกจากกนั แตเ ปน ระเบยี บเรียบรอย โดยความหมายของคาํ ที่ซ้าํ นน้ั จะตอ ง 3. (ก) (ง) (ข) (ค) ไมเ ปล่ยี นแปลง จะมีความหมายเหมอื นกันทุกคาํ สวนการเลน คํา เปนกลวธิ ที ่ีใชค ํา 4. (ก) (ค) (ข) (ง) คําเดียวกันซาํ้ ในคําประพนั ธ แตค วามหมายของคาํ จะแตกตางกันไป วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. กาพยย านี 11 ขอความท่ยี กมาเม่อื จดั วรรคใหถ ูกตอ งตามลกั ษณะ ฉันทลักษณ จะเปน คําประพันธป ระเภทกาพย ดงั ตอ ไปน้ี (ก) กาพยย านีลาํ นํา (ง) สิบเอ็ดคําจาํ อยา คลาย (ข) วรรคหนา หา คาํ หมาย (ค) วรรคหลังหกยกแสดง คมู่ อื ครู 179

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถามในประเดน็ ท่วี า นักเรยี นคิดวา บทประพนั ธเ รือ่ ง จิต..จติ ..จิต.. (จติ สาธารณะ) มคี วามโดดเดน ดานกลวธิ ีทาง บทวเิ คราะห์ วรรณศลิ ปอ ยางไร ค�ำประพันธ์ ประเภทภำพยย์ ำนี ๑๑ ในหัวขอ้ จิต..จติ ..จิต (จิตสำธำรณะ) ท่ีไดร้ ับรำงวลั ชนะเลิศกำรประกวดโครงกำรประกวดรอ้ ยกรองออนไลน์ มีขอ้ พิจำรณำทีค่ วรศกึ ษำ วิเครำะห์ เพอ่ื น�ำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นกำรแตง่ ค�ำประพนั ธป์ ระเภทกำพย์ยำนี ๑๑ ไดด้ งั นี้ ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑. สมั ผสั กำพยย์ ำนี ๑๑ ทง้ั หกบท แตง่ ไดถ้ กู ตอ้ งตำมฉนั ทลกั ษณข์ องคำ� ประพนั ธป์ ระเภท 1. ครูเปดเพลงใหน กั เรียนฟง นักเรียนรว มกัน กำพย์ยำนี ๑๑ ท้ังจำ� นวนค�ำและสัมผสั บังคับ ดังน้ี พิจารณาแนวคดิ สําคัญของบทเพลง จากน้ัน นักเรยี นนําแนวคิดสาํ คญั รวมถึงแรงบนั ดาลใจ ● สมั ผสั ระหวา่ งวรรค (สมั ผสั บงั คบั ) บททห่ี นง่ึ ญาณ - สาร, ทา� - จา� ท่ไี ดจ ากบทเพลงมาใชใ นการแตง บทประพนั ธ บททส่ี อง วก - นก, พี - วี บททส่ี าม แพรง่ - แหนง่ , นอน - จร 2. นกั เรยี นเลอื กบทประพนั ธป ระเภทกาพยอ ยางใด บททสี่ ี่ ดี - ศร,ี ใส - ไป อยางหน่ึง จากน้นั แตง บทประพนั ธ โดยมวี ธิ ี บททหี่ า้ ณะ - ธะ, ถมั ภ์ - นา� การแตง ดังน้ี บททห่ี ก ชาติ - อาด, สอ่ ง - ตอ้ ง • กําหนดแนวคิดและวตั ถุประสงคส าํ คญั ของ เรื่องใหช ัดเจนวา นกั เรียนตองการแตง ● สมั ผสั ระหวา่ งบท (สมั ผสั บงั คบั ) บททห่ี นงึ่ - สอง ดี - พี เกยี่ วกบั เร่ืองอะไร โอกาสใด เพอื่ ประโยชนใด บททส่ี อง - สาม วรณ์ - นอน เปน สําคญั บททสี่ าม - สี่ จยั - ใส • นักเรยี นเขยี นแนวคดิ หลกั ในการแตง อาจใช บททส่ี ่ี - หา้ ธรรม - ถมั ภ์ ผงั มโนทศั นใ นการลาํ ดบั เร่อื งราว หรอื วาง บททหี่ า้ - หก ครอง - สอ่ ง โครงเรอ่ื งในการแตง • แตงบทประพันธประเภทกาพยตามลกั ษณะ นอกจำกนี้ยังปรำกฏสัมผัสในที่ช่วยเพิ่มควำมไพเรำะให้แก่ร้อยกรอง เช่น สำน - กำร ฉนั ทลักษณ อาจมกี ารปรบั เปลี่ยนโครงเรือ่ ง กำ� - จ�ำ เป็นต้น ไดเ ล็กนอย แตยงั คงสาระสาํ คัญไว • ในการแตงคําประพันธน ักเรียนพิจารณา ๒. บังคับเสียง ค�ำประพนั ธ์ประเภทกำพยย์ ำนี ๑๑ ไมม่ กี ำรบังคับเสยี ง กลวิธีการสรรคํา โดยศกึ ษาคน ควาจาก ๓. รูปแบบ ค�ำประพันธ์ประเภทกำพย์ยำนี ๑๑ ทั้งหกบท แต่งได้ถูกต้องตำม พจนานุกรม รปู แบบของกำพย์ยำนี ๑๑ ท้งั ในด้ำนจ�ำนวนค�ำและสัมผสั บังคบั • ตรวจสอบทบทวนเนื้อหา แลวแลกเปลยี่ น ๔. คา� เปน็ ค�าตาย ไม่มขี อ้ บงั คบั ค�ำเปน็ คำ� ตำย แสดงความคิดเห็นกบั เพอ่ื นรวมช้นั เรียน ๕. การใชโ้ วหาร ผ้แู ต่งใช้สำ� นวนกำรเขยี นแบบพรรณนำโวหำรกลำ่ วถงึ ควำมส�ำคญั ของ จติ ทจ่ี ะกำ� หนดใหไ้ ปทำงดหี รอื ชว่ั ถำ้ ไปทำงไมด่ จี ะทำ� ใหเ้ ดอื ดรอ้ น แตถ่ ำ้ ไปทำงควำมประพฤติ ชอบ มีน�้ำใจต่อผู้อ่ืนก็จะเกิดควำมสุขสดใส แล้วถ้ำจิตใจของคนในชำติต่ำงมีควำมจงรักภักดี ก็ต้องแสดงออกดว้ ยกำรตอบแทนคุณแผน่ ดิน ทำ� ให้บ้ำนเมืองรม่ เย็นเป็นสขุ ๖. แสดงความรู้สึก ผู้แต่งใช้โวหำรภำพพจน์อุปมำเปรียบจิตท่ีคิดกลับไปกลับมำ เหมือนนกที่หลงป่ำ พลัดจำกป่ำ และในบทที่ ๓ ผู้แต่งได้กล่ำวถึงจิตมีทำงเดินอยู่สองทำง วำ่ จะเลอื กเดนิ ทำงใดระหวำ่ งดกี บั ชว่ั และในบทท่ี ๔ กลำ่ วถงึ หำกเจำ้ ของจติ เดนิ ไปในทำงดี ผล ตรวจสอบผล Evaluate ทีไ่ ดร้ ับจะมีแต่ควำมสขุ ควำมเจรญิ ทั้งตอ่ ตนเองและประเทศชำติ 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั การแตง คําประพนั ธประเภทกาพย พรอ มยก ตวั อยา งและวิเคราะหคณุ คา ทางวรรณศิลปไ ด 180 2. นกั เรียนแตง บทประพันธป ระเภทกาพยไ ด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ในการปฏิบัตกิ จิ กรรมแตงคําประพันธป ระเภทกาพย ครูผูสอนควรใหน กั เรยี น “หวานใดไมหวานนกั เทา รสรักสมคั รสมไรร กั หนกั อารมณหวานเหมือน รูจ กั วิธกี ารพจิ ารณาคณุ คาทางวรรณศลิ ปจากบทประพันธป ระเภทกาพยก อนเปน ขมอมโศกา” อันดบั แรก โดยพิจารณาภาษาตง้ั แตร ะดบั เสียง คํา และความหมายของคาํ รวมถงึ บทประพันธขางตนใชโวหารประเภทใด และใชลักษณะคาํ ประพันธ ระดบั ความจากบทประพันธ เพอื่ ใหน ักเรยี นนําความรูความเขาใจดงั กลา วมาใชเปน ประเภทใด พื้นฐานในการแตง และการพจิ ารณาบทประพันธท น่ี กั เรียนแตงขึน้ เอง นอกจากน้ี ลําดบั ท่ี ประเภทของโวหาร ลักษณะคาํ ประพันธ ในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมขยายความเขา ใจโดยใหนักเรียนพิจารณาเนอ้ื หาของบทเพลง 1. อุปมาโวหาร กาพย พรอมกบั แรงบนั ดาลใจจากบทเพลงท่ีครผู สู อนเปดใหน ักเรียนฟงน้นั ครูผูส อนไมควร 2. เทศนาโวหาร กาพย จํากดั การตคี วามของนักเรยี น ครูผูสอนควรใหอิสระทางความคดิ และการตคี วาม 3. สาธกโวหาร กลอน 4. พรรณนาโวหาร กลอน เพ่อื ใหน ักเรียนสามารถใชเนื้อหาจากบทประพันธมาเปน พืน้ ฐานในการสราง แรงบันดาลใจในการแตง ไดอ ยา งอสิ ระ ครผู ูส อนควรเนนพิจารณาเนือ้ หาในการแตง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. อุปมาโวหาร โดยกลาวเปรยี บเทียบรสชาติ ของนกั เรียน จากการวเิ คราะหเน้อื หาและองคประกอบของผูร ับสาร เพอ่ื ใหน กั เรียน สามารถแตง บทประพันธไ ดอ ยางสอดคลอ งและมีความสมบูรณดา นวรรณศิลปมาก กับความรกั สว นลักษณะคาํ ประพนั ธประเภทกาพยย านี 11 ขอ ความที่ ทส่ี ดุ ยกมาเมือ่ จัดวรรคใหถกู ตองตามลักษณะฉนั ทลกั ษณ จะเปนคําประพันธ ประเภทกาพย ดงั ตอไปน้ี หวานใดไมหวานนัก เทา รสรกั สมัครสม ไรร กั หนกั อารมณ หวานเหมือนขมอมโศกา 180 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๓. การแต่งคาำ ประพนั ธ์ประเภทโคลง ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • นักเรียนรจู ักลักษณะคาํ ประพันธป ระเภท โคลงเป็นบทร้อยกรองเก่าแก่ของไทย มีปรากฏในลิลิตโองการแช่งน�้า ซึ่งเป็นวรรณคดี โคลงจากวรรณคดีเรื่องใดบา ง อยา งไร เลม่ แรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑โค(พลงรกะเรจะ้าทอู้1ทู่ แอลงะ)กลแโหค่งลกงร2ุงปศรรีอะเยภุธทยขาองโคโคลลงแงทบี่ค่งอวรอศกึกเปษ็นา ๔ ประเภท คือ โคลงสุภาพ โคลงดั้น • นกั เรียนยกบทประพนั ธประเภทโคลงที่ ในระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย มีดังน้ี นกั เรยี นประทบั ใจ พรอ มคาํ อธบิ าย ๒.๑ โคลงสสี่ ภุ าพ • นกั เรียนเคยแตงบทประพันธป ระเภทโคลง หรือไม นักเรียนทราบหรือไมวา การแตงบท บทร้อยกรองประเภทโคลงส่ีสุภาพ เป็นค�าประพันธ์ที่มีลักษณะบังคับคณะ สัมผัส และ ประพันธประเภทโคลงเปนทกั ษะท่สี ามารถ ค�าเอก คา� โท ดังนี้ ๑) คณะ โคลงส่ีสภุ าพบทหนง่ึ มี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้า ๕ คา� วรรค ฝก ฝนได หลงั ๒ ค�า ยกเว้นบาทท่ี ๔ วรรคหลังมี ๔ คา� และบาทท่ีหน่ึง บาทท่ีสามอาจมีคา� สร้อยหรือ สา� รวจคน้ หา Explore ไมม่ กี ็ได้ ๒) สัมผัส สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ คือ ค�าท้ายในบาทแรกส่งสัมผัสไปยังค�าท่ี ๕ นักเรยี นสืบคน ขอ มลู เก่ยี วกับการแตงบท ของบาทท่ีสองและสาม ค�าท้ายของบาทที่สองส่งสัมผัสไปยังคา� ที่ ๕ ของบาททสี่ ่ี สัมผสั ในของ ประพันธประเภทโคลง รวมถึงศกึ ษาบทประพนั ธ รอ้ ยกรองประเภทโคลงสส่ี ภุ าพนยิ มใช้สมั ผัสอักษรมากกว่าสัมผสั สระ ประเภทโคลงเรือ่ ง วฏั จกั ร พรอ มบทวิเคราะห ๓) ค�ำเอก ค�ำโท มีค�าเอก ๗ แห่ง ค�าโท ๔ แห่ง ตามแผนผงั ดงั นี้ อธบิ ายความรู้ Explain แผนผงั และตวั อยา่ งโคลงสี่สภุ าพ 1. ครนู าํ บทประพนั ธประเภทโคลงสส่ี ภุ าพมาให ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ ❁ ❁ (❁ ❁) นักเรยี นพิจารณา จากนน้ั ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ คน ออกมาเขยี นเสนโยงสมั ผัสฉนั ทลกั ษณ ❁ ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁ ❁่ (❁ ❁) จากบทประพนั ธ พรอมบอกลกั ษณะบงั คบั ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁้ ❁ ❁ ฉนั ทลกั ษณข องบทประพนั ธ เสยี งฦ ๅเสยี งเล่าอา้ ง อนั ใด พเี่ อย 2. นักเรยี นรวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ เสียงย่อมยอยศใคร ท่ัวหล้า • นักเรียนคิดวา การแตงคําประพันธป ระเภท สองเขือพห่ี ลบั ใหล ลมื ตื่น ฤๅพ่ี โคลงสีส่ ภุ าพควรคํานงึ ถึงเรอ่ื งใดบา ง สองพค่ี ดิ เองอ้า อยา่ ไดถ้ ามเผือ อยางไร (แนวตอบ การแตงคําประพนั ธประเภท (ลลิ ิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง) โคลงสสี่ ุภาพนอกจากนกั เรยี นจะตอ งคาํ นึง ถึงบงั คับคณะและสมั ผสั ของบทประพนั ธ ขอที่ควรคํานงึ อยา งมาก คือ เสียงวรรณยุกต ซึง่ ประกอบดวยคําเอก 7 แหง คาํ โท 4 แหง 181 ตามแผนผัง สง ผลตอ การแสดงอารมณ ความรูสกึ ผา นเสยี ง) 3. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั ฉนั ทลักษณบ ทประพันธป ระเภทโคลง นกั เรยี นควรรู ขอความตอไปน้เี มื่อจัดวรรคถูกตองตามฉันทลักษณจะเปนคาํ ประพนั ธ 1 โคลงกระทู มลี ักษณะของฉนั ทลกั ษณเหมือนโคลงส่สี ุภาพ แตลักษณะของ ชนดิ ใด การเขยี นจะแตกตา งออกไป โดยมกี ารตง้ั ขอความเปนกระทไู วข างหนา ของบาท เสดจ็ พน ทวาเรศขามคูเวียงหวน่ั ฤทยั ทานเพยี งจกั วา พระองคก็ออนเอยี ง ท้ัง 4 จงึ แตงตอ ดวยถอ ยคําที่มีเน้ือความอธบิ ายหรอื เปน การขยายความของกระทู เอนอาสนอกระรัวมวั หนา ส่ันสา นเสียวแสยง เพื่อใหเกดิ ความชดั เจนย่ิงขนึ้ หรอื ถา เปน กระททู ่ีไมม ีความหมายในตวั เอง เชน 1. โคลง 2. กลอน โก วา ปา เปด เปน ตน ก็จะแตงเติมเสริมพยางคหรือคาํ ใหกระทูนน้ั มคี วามหมาย 3. ฉันท 4. รา ย มากยิ่งขึน้ คาํ วา “กระทู” แปลวา หวั ขอ หรือขอความตางๆ ซึ่งตามปกติจะตอง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. โคลง ขอความทยี่ กมาเมื่อจดั วรรคให เปนหัวขอ หรอื ขอ ความส้นั ๆ ที่มคี วามหมาย ถกู ตอ งตามลกั ษณะฉนั ทลักษณ จะเปนคาํ ประพันธป ระเภทโคลง ดงั ตอ ไปนี้ 2 กลโคลง คอื ลกั ษณะบงั คบั ท่ีกําหนดเพิ่มมากกวาฉนั ทลกั ษณปกติ ในรูปแบบ เสด็จพนทวาเรศขา ม คเู วยี ง ตางๆ เพ่ือใหเ กิดเสยี งสัมผัสของคําหรือการเรยี งเสยี ง เรยี งคําท่มี ชี นั้ เชงิ ขน้ั สูงและ หวนั่ ฤทยั ทานเพียง จักวา มีช่ือเรยี กตางๆ กัน เชน กลบทกบเตนตอยหอย กลบทจตั วาทณั ฑี ซ่งึ ลักษณะ พระองคก็ออนเอยี ง เอนอาสน บงั คับท่เี พม่ิ มา ไดแ ก บงั คับสระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต คาํ ครุ ลหุ ซ้าํ คาํ เดิมหรอื อกระรัวมัวหนา สนั่ สานเสยี วแสยง ซ้ําคาํ เพย้ี น ซํ้าคําหรือวลี เหมอื นกระทู สว นกลบทในโคลงสี่สุภาพน้นั เรยี กอกี อยา ง วา โคลงกลบท คือ โคลงสีท่ ีม่ ีการกาํ หนดใหใชอกั ษร หรือคาํ ตามตําแหนง ทีบ่ ังคับ อาจเปนการซ้าํ เสยี งสระ ซํา้ เสียงพยญั ชนะตน ค่มู ือครู 181

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครนู าํ บทประพันธประเภทโคลงสามมาให ๓.๒ โคลงสามสภุ าพ นักเรียนพิจารณา ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาเขียนเสนโยงสมั ผัสจากบทประพันธ ๑) คณะ โคลงสามสุภาพบทหน่ึงมี ๒ บาท แบ่งเป็น ๔ วรรค วรรคท่ี ๑, ๒, ๓ มี วรรคละ ๕ คา� วรรคสดุ ทา้ ยมี ๔ คา� อาจมคี า� สร้อยได้ ๒ ค�า 2. นักเรียนรว มกนั พจิ ารณาบทประพันธ ๒) ค�ำเอก ค�ำโท มีคา� เอก ๓ แห่ง คอื ค�าที่ ๔ วรรค ๒ ค�าท่ี ๒ วรรค ๓ และค�าที่ ๑ พรอมตอบคําถาม ตอไปน้ี วรรคที่ ๔ มีค�าโท ๓ แหง่ คอื ค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ และ ๓ และคา� ที่ ๒ วรรคที่ ๔ “โคลงสามแปลกโคลงสอง ๓) สมั ผสั คา� สดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ๑ สง่ สมั ผสั ไปยงั คา� ท่ี ๑ หรอื ที่ ๒ หรอื ที่ ๓ ของวรรคท่ี ๒ ตามทาํ นองทแ่ี ท ค�าสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ส่งสมั ผัสไปยังคา� สุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ วรรคหนง่ึ พงึ แตมแล เลห น้จี งยล เย่ยี งเทอญ” สัมผัสระหวา่ งบท ค�าสุดทา้ ยของบทแรกส่งสมั ผสั ยังคา� ท่ี ๑, ๒ หรอื ๓ ของบทตอ่ ไป • นกั เรียนคดิ วา คาํ ประพันธป ระเภทโคลงสาม มีความแตกตางจากคําประพันธประเภท แผนผงั และตวั อย่างโคลงสามสุภาพ โคลงสองในเรอื่ งใดบา ง อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะของโคลงสามมคี วาม ❁❁❁❁❁ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ แตกตา งจากโคลงสอง คอื มีการเพมิ่ บาทหนา โคลงสองอกี 1 บาท จาํ นวน 5 คํา รวมเปน ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁ ้ ❁ ❁ (❁ ❁) 3 บาท และกําหนดสมั ผัสใหค าํ สุดทายของ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ บาทท่ี 1 ใหส มั ผัสกบั คําที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ❁❁❁❁❁ ของบาทท่ี 2 (หรือบทแรกของโคลงสองเดิม) ขอ บงั คบั อนื่ ๆ เปน เชน เดียวกับโคลงสอง ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁้ ❁ 1❁ (❁ ❁) ทกุ ประการ) ลว่ งลดุ ่านเจดีย ์ สามองคม์ แี ห่งหั้น 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ แดนตอ่ แดนกนั น้นั เพอื่ รรู้ าวทาง ขบั พลวางเข้าแหลง่ แหง่ อยธุ2เยศหล้า แลธุลฟี ุ้งฟา้ 3 มดื คลมุ้ มวั มล ยง่ิ นา (ลิลิตตะเลงพา่ ย : สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส) ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓.๓ โคลงสองสภุ าพ 1. นักเรียนยกบทประพันธท ่มี ลี ักษณะคาํ ประพันธ ๑) คณะ โคลงสองสภุ าพบทหนึง่ มี ๒ บาท แบ่งเปน็ ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๒ มี ประเภทโคลงสามที่นกั เรยี นประทับใจ จากนนั้ วรรคละ ๕ ค�า วรรคสดุ ท้ายมี ๔ คา� อาจมีคา� สรอ้ ยได้ ๒ คา� ใหนกั เรียนวเิ คราะหค ณุ คา ทางวรรณศลิ ปข อง ๒) คำ� เอก ค�ำโท มคี า� เอก ๓ แห่ง คอื คา� ท่ี ๔ วรรค ๑ คา� ท่ี ๒ วรรค ๒ และคา� ที่ ๑ บทประพันธ วรรคที่ ๓ คา� โท ๓ แหง่ คอื ค�าสดุ ท้ายของวรรคที่ ๑ และ ๒ และค�าที่ ๒ วรรคท่ี ๓ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตวั อยา งไดอ ยา ง ๓) สัมผสั ค�าสุดทา้ ยของวรรคที่ ๑ สง่ สมั ผัสไปยงั คา� สดุ ท้ายวรรคท่ี ๒ สมั ผัสระหวา่ งบท หลากหลายขึน้ อยูก ับเหตุผลของนักเรยี น คา� สุดทา้ ยของบทแรกส่งสมั ผัสไปยงั ค�าท่ี ๑, ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป เปน ตนวา ขบั พลวางเขาแหลง แหงอยุธเยศหลา 182 แลธลุ ีฟุงฟา มืดคลุม มัวมล ยงิ่ นา) 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด นกั เรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั บทประพนั ธประเภทโคลงสองสุภาพ 1 หั้น คาํ ภาษาถิ่น ใชเ หมอื นกับคําวา นนั้ ขอใดเหมาะจะเตมิ ลงชอ งวางในโคลงสองสุภาพ 2 บทนี้ 2 คลมุ เปนคําวิเศษณ หมายถึง มดื มวั ไมแจม ใส ของคาวพลนั เสพแลว ยามสรุ ยิ เคลอื่ น....(.ก..)..... 3 ลลิ ติ ตะเลงพา ย เปน บทประพันธป ระเภทลลิ ติ ช่อื คาํ ประพนั ธประเภทรอ ยกรอง ลับไมหมดศรี แบบหน่งึ ซึง่ ใชโคลงและรายตอสัมผสั กันเปนเรอื่ งยาว ประกอบดว ย รา ยสุภาพ ของหวาน....(.ข...)...ลูกไม หลายสง่ิ เสาะหาได โคลงสองสภุ าพ โคลงสามสภุ าพ และโคลงส่สี ภุ าพ แตง สลับกันไป จํานวน 439 บท แตล ว นอยา งดี นกั นอ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส และพระเจา บรมวงศเ ธอ 1. (ก) คลอ ย (ข) นี่ กรมหมื่นภูบาลบรริ ักษ ทรงนพิ นธเรือ่ งนข้ี ึน้ เพอ่ื เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนเรศวร 2. (ก) ที่ (ข) พาน มหาราช จดั เปน วรรณคดปี ระเภทเฉลิมพระเกียรตพิ ระมหากษัตรยิ  โดยเนอ้ื หาและ 3. (ก) คลาด (ข) เปน กลวิธีการแตง ไดร ับอทิ ธิพลจากวรรณคดเี รื่อง ลิลติ ยวนพาย ลิลติ ตะเลงพา ยเปน 4. (ก) แคลว (ข) มี บทประพนั ธซ่งึ มที ี่มาของเรือ่ ง คือ 1. พระราชพงศาวดารฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. (ก) แคลว (ข) มี เนื่องจากการเติมคําใน 2. วรรณคดีเกา เร่ือง ลลิ ติ ยวนพา ย ลลิ ติ พระลอ 3. จินตนาการของผแู ตง คอื ขอ 4 ทําใหโคลงสองสุภาพทัง้ 2 บท มีเนอื้ ความเหมาะสมและถกู ตองตาม ชวงบทนิราศ ฉนั ทลกั ษณ 182 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ แผนผงั และตัวอย่างโคลงสองสุภาพ 1. ครูนําบทประพนั ธประเภทโคลงสองสภุ าพ มาใหน กั เรยี นพิจารณา จากน้ันครสู มุ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาเขยี นเสนโยงสมั ผสั ฉนั ทลักษณจ ากบทประพันธ ❁่ ❁้ ❁ ❁ (1❁ ❁) 2 3 ค ลาดเคกลรา้ ตครละากสอมงรก4อดแก้ว เรยี มจักร้างรสแคล้ว 2. นักเรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ • นกั เรยี นคิดวา การแตงคําประพนั ธป ระเภท จาำ ใจจรจากสร้อย อยแู่ ม่อยา่ ละหอ้ ย5 โคลงสองสุภาพควรคาํ นงึ ถงึ เรือ่ งใดบา ง อยางไร ห่อนชา้ คืนสม แม่แล (แนวตอบ การแตง คําประพนั ธประเภทโคลง สองสภุ าพนอกจากนักเรยี นจะตอ งคาํ นึง (ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส) ถึงบงั คบั คณะ บทหนง่ึ มี 2 บาท แบง เปน 3 วรรค วรรคที่ 1 และ 2 มีวรรคละ 5 คํา ตัวอย่าง การแตง่ คา� ประพนั ธ์ประเภทโคลง หมุนวน วรรคสดุ ทายมี 4 คํา อาจมคี าํ สรอยได 2 คํา วฏั จักร6 สะดุดได้ มคี ําเอกและคําโทอยา งละ 3 คํา คาํ สดุ ทา ย จบจกั ร- วาลแฮ ของวรรคท่ี 1 สงสมั ผัสไปยงั คําสุดทายใน  ตดิ วงวฏั จกั รล้อ หลุดพน้ ไฉนหนอ วรรคท่ี 2 ถาแตง บทตอไป คาํ สุดทายของ อเนกอัปมงคล บทแรกจะสงสมั ผัสไปยงั คาํ ที่ 1 หรอื 2 หรือ เกดิ ดับอยู่จวบจน เพยี งกาล 3 ของวรรคแรกในบทตอไป และขอทีค่ วร เวยี นว่ายกับกรรมไว้ สดุ เชื้อ คาํ นึงอยา งมากในการประพนั ธ คือ เสยี ง ตามดบั สูญเฮย วรรณยกุ ต ซ่งึ ประกอบดวยคาํ เอก 3 แหง  สรุ ยิ ะยออยยู่ ั้ง ตอ่ ต้านทวนสมยั คําโท 3 แหง ตามผงั ฉันทลกั ษณ สงผลตอ ตราบเม่ือจวบถึงวาร การแสดงอารมณความรูสึกผา นเสยี ง) เงาคราสคูท่ นทาน รวมกอ่ กำาเนิดเกื้อ ขยายความเขา้ ใจ Expand  มนษุ ยใ์ ดจิตบ่มพร้อม บำาเพญ็ 1. นกั เรียนยกบทประพันธท ม่ี ลี กั ษณะคาํ ประพนั ธ จนกเิ ลสจบประเดน็ ขัดข้อง ประเภทโคลงสองสุภาพทนี่ ักเรยี นประทับใจ ปญั ญาเปดิ แลเห็น อรยิ สจั จากน้ันใหนกั เรียนวิเคราะหคุณคาทาง วฏั จักรอนันตจกั รพ้อง พ่ายแล้วลับสลายฯ วรรณศลิ ปของบทประพันธ (ผลงานประกวดรอ้ ยกรองออนไลน์ฯ ประจาำ ป ี ๒๕๕๒ เดอื นสงิ หาคม (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตัวอยา ง เชน (๑๖ สงิ หาคม - ๑๕ กนั ยายน ๒๕๕๒) รวบรวมโดยสมาคมนักกลอนแหง่ ประเทศไทย) พระครวญถึงออ นทาว หนกั อุระราชราว ทร่ี า งแรมศรฯี ใครปรานหี นง่ึ บาง เชิญนชุ มาแนบขา ง 183 ชว ยชี้ชวนชม พฤกษนา) กจิ กรรมสรา งเสรมิ 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ นกั เรียนควรรู นกั เรยี นยกตวั อยางโคลงจํานวนสบิ บท ใหน ักเรยี นพิจารณาตําแหนง 1 ตระกอง กอด เก่ียวพนั กระกอง ก็วา รากศพั ทมาจากภาษาเขมร จากคําวา คาํ เอก คําโทและตาํ แหนงคําสัมผสั สรุปเปนแผนผังโคลง ตฺรกง 2 เรียม คาํ ใชแ ทนตวั ผูพดู สาํ หรบั ผชู ายพดู กบั ผูหญงิ ทรี่ ัก เปน สรรพนามบุรุษท่ี 1 กจิ กรรมทาทาย 3 แคลว รอดไป พน ไป มกั ใชในความหมายปฏิเสธ เชน เปนเน้อื คกู นั แลว นักเรยี นนําโคลงที่รวบรวมมาแลกเปลย่ี นกบั เพ่อื นรว มชน้ั เรียน จากนั้น ไมแ คลว กนั ไมแ คลว ไมเรยี ว เปนตน นกั เรียนเขยี นแผนผังโคลงและตัวอยางโคลง พรอมโยงเสน สัมผัสและบอก ตาํ แหนงคาํ เอก คําโทจากโคลงทีน่ ักเรียนไดรบั 4 สมร นางงามซง่ึ เปน ที่รัก รากศัพทมาจากภาษาสนั สกฤต จากคําวา สมฺ ร ซึ่งหมายถงึ กามเทพ 5 ละหอย อาการท่ีพดู เวา วอนดว ยนาํ้ เสยี งออ ยๆ กอใหเ กิดความสงสารเห็นอก- เหน็ ใจ เชน เสยี งละหอย เปน ตน โศกเศราเพราะความผิดหวงั หรือคิดถึง เชน หนา ละหอย เปน ตน 6 วฏั จกั ร ชว งระยะเวลาของเหตุการณห รือกิจกรรมชุดหนึง่ ซง่ึ เกดิ ข้ึนและดาํ เนนิ ตดิ ตอ กันไปอยางมีระเบียบจนจบลง ณ จุดเริ่มตน นนั้ อีก คู่มือครู 183

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรว มกันตอบคําถามในประเด็นที่วา บทวิเคราะห์ นักเรยี นคดิ วา บทประพนั ธเร่อื ง วฏั จักร มี จากตัวอย่างเรอ่ื ง วฏั จกั ร เป็นการแต่งคา� ประพนั ธป์ ระเภทโคลงสี่สุภาพ มขี อ้ พิจารณาที่ ความโดดเดน ดานกลวธิ ที างวรรณศิลปอ ยา งไร นักเรียนควรศึกษา วิเคราะห์เพ่ือน�าไปประยุกต์ใช้ในการแต่งค�าประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได ได ้ ดงั น้ี อยางหลากหลายข้ึนอยูกบั เหตุผลของนกั เรียน ๑. สัมผสั โคลงส่ีสุภาพทง้ั สามบทแต่งไดถ้ ูกต้องตามฉันทลกั ษณข์ องคา� ประพนั ธป์ ระเภท เปนตน วา เนือ้ หากลา วถงึ การหลดุ พน จาก โคลงส่ีสภุ าพ ท้ังจา� นวนค�าและสัมผัส มกี ารใชส้ มั ผสั อักษรในทุกๆ บท วฏั สงสารของมนุษย ดวยการบม เพาะจติ ใจให ๒. บงั คบั เสยี ง โคลงสสี่ ภุ าพทง้ั สามบทใหเ้ สยี งไดถ้ กู ตอ้ งทกุ ตา� แหนง่ ตา� แหนง่ บงั คบั คา� เอก หลุดพน จากกิเลส เกดิ ปญ ญาเหน็ แจงในอริยสัจ และโทถูกต้องทกุ ตา� แหน่ง และใชค้ �าทีม่ เี สียงสามัญไดถ้ กู ตอ้ งตามต�าแหน่งบงั คบั ของเสียง เปนการใชถ อยคําเรียบงาย พรรณนาใหเกิด ๓. รูปแบบ โคลงสี่สุภาพท้ังสามบท แต่งได้ถูกต้องตามรูปแบบของโคลงส่ีสุภาพ ท้ังใน จินตภาพไดเ ปนอยางด)ี ด้านจา� นวนค�า สัมผสั คา� เอก คา� โท และค�าสร้อย ๔. คาำ เปน็ คาำ ตาย มกี ารใช้ค�าตายแทนค�าเอก ตามลักษณะบงั คับของโคลงสีส่ ภุ าพ เชน่ 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด จักร อ๕เน. กพหรรลณุดนสาุดโวกหิเลาสร1 ขผดัู้แตเป่งใดิ ช ้สเป�า็นนตวน้น ในการเขียนแบบพรรณนาโวหารในการกล่าวถึง ขยายความเขา้ ใจ Expand วัฏจกั ร โดยพรรณนาถึงการเวียนวา่ ยตายเกดิ ในวัฏจกั รและการหลดุ พ้นจากวัฏจักรของมนษุ ย์ 1. นกั เรียนเลอื กบทเพลงทนี่ ักเรียนประทบั ใจ ๖. แสดงความรู้สึก ผู้แต่งให้ค�าที่แสดงความรู้สึกเก่ียวกับวัฏจักร ในโคลงบทแรก นกั เรยี นนําแรงบนั ดาลใจทไี่ ดจ ากบทเพลงมาใช ในการแตงบทประพนั ธ โดยกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของมนุษย์เป็นวัฏจักรท่ีจะหาทางให้หลุดพ้นได้ 2. นักเรียนแตงบทประพันธป ระเภทโคลงสี่สุภาพ พด้วรยรณวิธนีใดาถ เึงชค่นว าเมวเียปน็นวว่าัฏยกจัับกรกขรอรมงพไวร้ ะหอลาุดทพิต้นยไ์ทฉ่ีมนีขห้ึนนแอล ะสต่วกนแในลโะคถลูกงดสับี่สดุภ้วายพสบุรทิยทค่ีสรอาสงก2 ลเช่า่นว โดยมีวิธีการแตง ดังนี้ • กําหนดแนวคดิ และวตั ถปุ ระสงคส ําคญั ของ สุริยะยออยู่ย้ัง เพียงกาล ตราบเม่ือจวบถึงวาร สุดเช้ือ เงาคราสคู่ทนทาน ตามดับ สูญเฮย เร่อื งใหช ัดเจนวา นกั เรยี นตองการแตง และจบความพรรณนาในโคลงส่ีสุภาพบทท่ีสามกล่าวพรรณนาถึงการหลุดพ้นจากวัฏจักรของ เกีย่ วกับเรอ่ื งอะไร โอกาสใด เพอ่ื ประโยชน มนษุ ยน์ น้ั ตอ้ งรจู้ กั การบม่ เพาะจติ ใจใหห้ ลดุ พน้ จากกเิ ลสกอ่ ใหเ้ กดิ สตเิ หน็ แจง้ ในอรยิ สจั กจ็ ะชว่ ย ใดเปนสําคญั ใหห้ ลดุ พน้ จากวัฏจกั รได้ • นักเรยี นเขยี นแนวคิดหลกั ในการแตง อาจใช ผงั มโนทศั นในการลาํ ดบั เร่อื งราว หรือวาง การแต่งบทร้อยกรองมีแบบในการเลือกใช้คำา คณะ สัมผัส แตกต่างกันไปตาม โครงเรอ่ื งในการแตง ลักษณะฉันทลักษณ์ และมีธรรมเนียมนิยมในการแต่งบทร้อยกรองให้เหมาะสมกับงานเขียน • แตงบทประพันธประเภทโคลงสีส่ ภุ าพตาม ซ่งึ บทรอ้ ยกรองไทยมคี วามไพเราะในเร่อื งรสคำาและรสความ จึงทำาให้มคี ุณค่าในเชงิ วรรณศิลป์ ลักษณะฉนั ทลกั ษณ อาจมีการปรบั เปล่ียน และสังคม การแต่งบทร้อยกรองนอกจากจะทำาให้มีความแตกฉานในเร่ืองการใช้คำาแล้ว โครงเร่ืองไดเล็กนอ ย แตย งั คงสาระสาํ คญั ไว บทร้อยกรองท่ีแต่งจะเป็นเคร่ืองสะท้อนความคิด และวัฒนธรรมของสังคมในยุคน้ันๆ ได้ • ในการแตง คําประพันธน กั เรียนพิจารณา เปน็ อย่างดี กลวิธีการสรรคาํ โดยศึกษาคนควาจาก พจนานุกรม 184 • ตรวจสอบทบทวนเนอ้ื หา จากนน้ั จงึ แลกเปลยี่ น แสดงความคดิ เหน็ กับเพ่ือนรวมชัน้ เรยี น นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั ลักษณะเดนของบทประพนั ธ 1 พรรณนาโวหาร คอื โวหารทีใ่ ชก ลา วถึงเรือ่ งราว สถานที่ บุคคล ส่งิ ของ หรือ ขอ ใดเปน ลักษณะเดน ท่ีสุดของคําประพันธต อไปนี้ อารมณอ ยา งละเอยี ด สอดแทรกอารมณ ความรสู กึ ลงไปเพ่ือโนม นาวใจ ใหผูร ับสาร โลกนม้ี อิ ยูดวย มณี เดยี วนา เกิดภาพพจน เกิดอารมณค ลอยตามไปดวย ใชใ นการพดู โนมนา ว อารมณข องผฟู ง ทรายและส่งิ อืน่ มี สว นสรา ง หรอื เขยี นสดดุ ี ชมเมือง ชมความงามของบคุ คล สถานที่และแสดงอารมณความรสู ึก ปวงธาตุต่ํากลางดี ดุลยภาพ ตางๆ เปน ตน การใชพรรณนาโวหาร ควรมีความประณตี ในการเลือกใชถอยคาํ ภาคจกั รพาลมิรา ง เพราะน้ําแรงไหนฯ สาํ นวนทไ่ี พเราะเพราะพรง้ิ เลนคาํ เลนอกั ษร ใชถ อยคาํ ทั้งเสยี งและความหมายให 1. โวหารโลดโผน ตรงกับความรสู ึกทตี่ อ งการพรรณนา รูจ กั ปรุงแตงถอ ยคํา ใหผรู บั สารเกิดภาพพจน 2. ความหมายลกึ ซ้งึ ชวนคดิ ใชโวหารเปรียบเทียบใหเห็นภาพชดั เจน รจู กั เลือกเฟน เนือ้ หาวา สว นใดควรนํามา 3. การสรรคําเพือ่ สอื่ ภาพไดช ดั เจน พรรณนา ตอ งเขา ใจเนอ้ื หาทจ่ี ะพรรณนาเปน อยา งดี และพรรณนาใหเปนไปตาม 4. เสียงสมั ผัสสระและพยัญชนะทไี่ พเราะ อารมณความรูสึก โดยไมเ สแสรง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ความหมายลึกซง้ึ ชวนคดิ เพราะเนือ้ ความ 2 สรุ ิยคราส “การกลืนดวงอาทติ ย” ตามความเขาใจของคนโบราณทเี่ ชอื่ วา ทย่ี กมาแสดงความหมายลึกซึ้ง ใหแงค ดิ โดยชใี้ หเ ห็นในเชงิ เปรียบเทยี บวา พระราหอู มดวงอาทิตย สรุ ยิ ปุ ราคา กเ็ รียก หรือในปจจบุ นั เปนปรากฏการณทาง คนทกุ ชนชน้ั ในสงั คมมีความสาํ คญั เทากนั ไมค วรมกี ารแบงชนชัน้ ธรรมชาติ เกิดข้ึนเมื่อดวงอาทิตย ดวงจันทร และโลก โคจรมาเรียงกนั 184 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ปกณิ กะ นักเรียนสบื คนขอมลู จากบทความเรื่อง กาพยเ หเ รอื ¡Ò¾ÂàËà‹ Ã×Í อธบิ ายความรู้ Explain ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í à»š¹¤íÒ»Ãоѹ¸»ÃÐàÀ·Ë¹Öè§ 1. นกั เรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ᵋ§äÇŒÊíÒËÃѺ¢Ñºàˋ㹡ÃкǹàÃ×Í â´ÂÁÕ·íҹͧàË‹·èÕ ตอ ไปน้ี • กาพยเ หเ รือมีการใชค าํ ประพันธป ระเภท ààʪÃÍ‹¹×Í´¨¤ÇãŹ¹ŒÍ¢¶§³Ö§¡·ÐѺàÕ軨ÃÃèÔÁѧÐËÍ·ÇÍÐÑ¡º¡à¨ÃÒÐ×ÍÃ㨾ªÐÒŒ·ãªíÒ¢Œ·¹ÍíÒͧ¹§½ÍÊ‚¾§ÇҪЌÒÂàÅÇËЋҋ 2ǪЌÒáàËÅËÃÐ1‹ ×ÍËààÁÒáçè×ÍÇ ใดบา ง อยางไร (แนวตอบ ประกอบดว ยคาํ ประพนั ธ 2 µŒÍ§¡ÒÃã˾Œ ÒÂ˹¡Ñ ¨§Ñ ËÇÐàÃÇç ¨Ð㪷Œ Òí ¹Í§ÁÙÅàË‹ â´Â ประเภท คือ ขึ้นตน ดว ยโคลง 1 บท ÁÕ¾¹Ñ¡§Ò¹¢Ñºàˋ˹èÖ§¤¹à»š¹µŒ¹àÊÕ§áÅÐÁÕ½‚¾Ò¤Í แลวตอ ดวยกาพยย านเี รื่อยไปจนจบตอน) ÌͧÃѺ ¾ÃÍŒ Á¡Ñº¡ÒÃã˨Œ §Ñ ËÇШҡ¾¹¡Ñ §Ò¹»ÃШÒí àÃ×Í • บทเหเรือมีความสาํ คัญตอ ขบวนพยหุ ยาตรา áµÅ‹ ÐÅíÒ ทางชลมารคอยางไร (แนวตอบ ใหจังหวะในการพายวาชา หรือเรว็ ¡Ò¾Âà Ë‹àÃ×͹ѹé 㪤Œ Òí »Ãоѹ¸ ò »ÃÐàÀ· และจังหวะหนักเบา) ´ŒÇ¡ѹ ¤Í× ¢éÖ¹µŒ¹´ŒÇÂâ¤Å§ ñ º· áÅÇŒ ᵋ§µÍ‹ ´ÇŒ  ¡Ò¾ÂÂÒ¹ÕàÃ×èÍÂ仨¹¨ºµÍ¹ àÁè×ͨТÖ鹵͹ãËÁ‹¡ç¨Ð 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ᵋ§â¤Å§¢éÖ¹ÁÒÍա˹Ö觺· áÅŒÇᵋ§µ‹Í´ŒÇ¡Ҿ ¨¹¨ºµÍ¹àª¹‹ ¹ÕéÊÅѺ¡¹Ñ ä» ขยายความเขา้ ใจ Expand ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í·èÕà¡‹Òá¡‹·èÕÊØ´ ¤×Í ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í นกั เรยี นรวมกันอภปิ รายในประเด็น ตอ ไปนี้ ¾Ãй¾Ô ¹¸à¨ÒŒ ¿Ò‡ ¸ÃÃÁ¸àÔ ºÈÏ (਌ҿ҇ ¡§ØŒ ) ã¹ÃªÑ ¡ÒÅ • นักเรียนคิดวา พระราชพธิ ีพยหุ ยาตรา ÊÁà´ç¨¾ÃÐ਌ÒÍ‹ÙËÑǺÃÁâ¡È ÊÁÑÂÍÂØ¸Âҵ͹»ÅÒ «Ö觷çᵋ§äÇŒ ò àÃÍ×è § ¤×ͺ·àË‹ªÁàÃ×Í ªÁ»ÅÒ ªÁäÁŒ ทางชลมารคนอกจากจะเปน พระราชพิธที ่มี ี ความสาํ คัญแลว ความไพเราะของบทเหเรือ áÅЪÁ¹¡ ¡ºÑ Í¡Õ º·Ë¹è§Ö ¤×Í º·àËà‹ Ã×ÍàÃ×Íè §¡Ò¡Õ สะทอ นความงดงามทางศิลปะและ วัฒนธรรมของไทยอยา งไร Êѹ¹Ôɰҹ¡Ñ¹Ç‹Ò¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í à´ÔÁ¤§¨Ðᵋ§à¾è×͢ѺàË‹¡Ñ¹àÁ×èÍà´Ô¹·Ò§ä¡Åã¹áÁ‹¹íéÒ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยา ง ᵋã¹ÀÒÂËÅѧ¤§ÁÕᵋ਌ҹÒÂËÃ×;ÃÐÃҪǧȏªÑé¹ÊÙ§ áÅÐÊØ´·ŒÒÂÁÕ㪌ᵋ㹡ÃкǹàÃ×ͧ͢ หลากหลายขึน้ อยกู ับเหตุผลของนกั เรยี น ¾ÃÐ਌Òá¼¹‹ ´Ô¹à·‹Ò¹é¹Ñ ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×ÍäÁ‹¹ÔÂÁ»Ãоѹ¸¡Ñ¹ÁÒ¡¹Ñ¡ à¹×èͧ¨Ò¡à»š¹¤íÒ»Ãоѹ¸ÊíÒËÃѺ㪌㹾ԸաÒà เปน ตน วา บทเหเรือเปน บทประพันธทใี่ ชใน การประกอบพระราชพธิ ีสําคญั ของพระมหา- ¤×Í ã¹¡ÃкǹàÃ×ÍËÅǧËÃ×Í¡Ãкǹ¾ÂØËÂÒµÃÒ·Ò§ªÅÁÒä ¡ÒÃᵋ§¡Ò¾ÂàË‹àÃ×֧ͨÁÑ¡ กษตั ริย สะทอ นความสาํ คัญของวฒั นธรรม ᵋ§¢¹éÖ ÊíÒËÃºÑ ·Õ¨è Ð㪌àË‹àÃ×Í¨Ã§Ô æ ทางภาษาท่ที รงคุณคาของสงั คมไทย สังเกต ไดจ ากความไพเราะของบทประพนั ธ สะทอ น ๑๘๕ ลักษณะเดน ของบทประพันธประเภท รอ ยกรองในสงั คมไทยทีม่ คี วามโดดเดนดา น ความไพเราะของเสยี งเปน สาํ คญั ) ขอ สอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’49 ออกเกยี่ วกบั ฉันทลกั ษณบทประพันธประเภทโคลง ขอความตอไปน้ีเมอ่ื จดั ถูกตองตามฉนั ทลักษณจ ะเปน คาํ ประพนั ธชนิดใด นา้ํ ฝนหลน จากฟา มาดินเปน บอ เกดิ วารนิ แผก วา งของอันคูธรณนิ แตงโลก 1 ชา ละวะเห หรอื ในการเหเรือเลนเรียกวา เหชา เปนทํานองทใ่ี ชเ ร่มิ ตนการเหม ี ปลาอาศัยแหลง สรา งตางเหยาเรือนรงั จังหวะชา ๆ ทวงทํานองไพเราะถือเปน การใหสญั ญาณเริ่มตน เคลอื่ นเรือในกระบวน 1. รายสภุ าพ ทกุ ลําไปพรอ มๆ กนั อยา งชาๆ บทน้ขี น้ึ ตน วา “เหเอย ...พระเสด็จ...โดย...แดน 2. โคลงสุภาพ (ลูกครู ับ โดยแดนชล)” การเหท ํานองชา ละวะเหนี้ ฝพ ายจะอยูในทา เตรียมพรอ ม 3. กลอนสภุ าพ จนกระทงั่ ลูกครู ับทา ย ตนเสียงจงึ เรมิ่ จังหวะเดนิ พายจังหวะท่ี 1 บทเหท ี่เปนตวั อยา ง 4. กาพยย านี ในตอนท่ีเปนทาํ นองชาละวะเห คอื บทท่ีเปนกาพยย านีบทแรกในพระนพิ นธเ จาฟา กงุ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. โคลงสุภาพ ขอ ความทยี่ กมาเมอ่ื จดั วรรค 2 สวะเห เปน การเหเม่อื ใกลจ ะถงึ ที่หมาย พนกั งานนําเหแ ละพลพายจะตอ งจํา ใหถกู ตองตามลักษณะฉนั ทลักษณ จะเปนคําประพนั ธ ดังตอ ไปนี้ ทํานองและเน้อื ความทํานองสวะเหใ หแ มน เพราะตองใชป ฏภิ าณคะเนระยะทาง น้ําฝนหลน จากฟา มาดิน และใชเ สียงส้ันยาวใหเ หมาะแกส ถานการณ นับวาเปนการเหท่ยี ากที่สุด แตแ สดง เปนบอ เกิดวารนิ แผกวาง ความสงางามของกระบวนเรอื ไดด ี การเหทาํ นองสวะเหเ ปน ทํานองเหต อนนาํ เรอื เขา ของอนั คธู รณนิ แตง โลก เทียบทาหรือฉนวน คือ เม่ือขึน้ ทํานองเหน ี้ กเ็ ปนสัญญาณวา ฝพ ายจะตองเก็บพาย ปลาอาศยั แหลง สรา ง ตางเหยา เรอื นรัง โดยไมตองส่ังพายลง บทเหทํานองนี้ ข้นึ ตนวา “ชา แลเรือ” ลกู คูร ับ “เฮ เฮ เฮ เฮโฮ เฮโฮ” วรรคสุดทายจบวา “ศรชี ยั แกว พอ เอย ” ลูกคูร ับ “ชยั แกวพอ อา” เรือพระทน่ี ่ังก็ จะเขาเทียบทา พอดี และจบบทเห คูม่ ือครู 185

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับการ คำาถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ แตงคาํ ประพันธป ระเภทโคลง พรอมยกตวั อยา ง และวิเคราะหค ณุ คาทางวรรณศลิ ปไ ด ๑. ลักษณะบังคบั ของบทรอ้ ยกรองมีความส�าคัญต่อการแตง่ บทรอ้ ยกรองอยา่ งไร ๒. คา� ครุ ค�าลหุ ทบ่ี งั คับใชใ้ นบทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์มีลกั ษณะอย่างไร 2. นักเรียนแตงบทประพนั ธป ระเภทโคลงสสี่ ภุ าพได 3. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั จงอธิบาย ๓. คา� นา� หรือคา� ข้ึนต้นใชใ้ นบทรอ้ ยกรองประเภทใด จงอธิบายและยกตัวอย่าง คําประพนั ธประเภทโคลง และภาพสะทอน ๔. บทพากย์โขน บทสวดมนต์ ในสมยั โบราณนิยมแตง่ ดว้ ยค�าประพันธป์ ระเภทใด สังคมและวัฒนธรรมไทยได เพราะเหตใุ ด หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ๕. การแต่งค�าประพนั ธม์ ีคุณคา่ ทางภาษาในดา้ นใด จงอธิบาย 1. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั ของลกั ษณะบังคบั 9 กจิ กรรมสร้างสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ ประการในบทรอยกรอง พรอมระบุคุณคาทาง วรรณศลิ ป ๑. ให้นักเรียนรว่ มกันฝกึ แตง่ กาพย์ ๑ ชนิด ด้วยปากเปล่าในชน้ั เรยี นตามหวั ขอ้ ที่ ก�าหนดรว่ มกนั เชน่ 2. ความเรียงวเิ คราะหลักษณะบงั คบั ของ - ชื่อเพ่อื นของฉนั บทประพันธ พรอ มตัวอยา งบทประพันธแ ละ - โรงเรียนแสนรนื่ รมย์ ความเรียงสรปุ คุณคา ทางวรรณศลิ ป - เรยี นวิชานี้มแี ตค่ วามสุข 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คัญเกีย่ วกบั การแตง ๒. ให้นกั เรียนแต่งโคลงส่สี ภุ าพเพื่อเล่าประวัตคิ วามเป็นมาของโรงเรียนหรอื ชมุ ชน คาํ ประพันธป ระเภทกาพย พรอมตวั อยาง ของตนเอง ความเรียงวิเคราะหค ณุ คาทางวรรณศลิ ป ๓. จัดกจิ กรรมประกวดการแตง่ ค�าประพนั ธ์ในวันส�าคัญตา่ งๆ เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะและ 4. บทประพันธประเภทกาพย พัฒนาการในการใชภ้ าษาเชิงสร้างสรรค์ 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับการแตง - วันเขา้ พรรษา - วันภาษาไทยแหง่ ชาติ คาํ ประพันธป ระเภทโคลง พรอ มตัวอยางและ - วันครู ความเรยี งวิเคราะหคณุ คา ทางวรรณศิลป 6. บทประพนั ธประเภทโคลงส่ีสภุ าพ 7. ความเรยี งวเิ คราะหคุณคา ทางวรรณศลิ ป ประเภทโคลง และภาพสะทอนสังคม วัฒนธรรมไทยจากบทประพันธ 8. บันทกึ การตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 186 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. ชว ยทําใหบทรอยกรองมคี วามไพเราะและมีความสมบรู ณท างดานเสียงและความหมาย กอใหเกดิ ความซาบซง้ึ ในจังหวะลีลา รวมถงึ อรรถรสของบทประพันธ และบทรอยกรองแตล ะประเภท ซงึ่ มีลกั ษณะบังคบั แตกตา งกันยอมกอ ใหเกิดรสและความไพเราะแตกตา งกนั 2. คาํ ครุ คาํ ลหุ เปน การแบงคาํ ตามนา้ํ หนักของเสียงคาํ โดยเปนคาํ ที่มีเสียงหนกั และเสียงเบาตามลําดบั ใชในคําประพันธป ระเภทฉันท เสยี งหนักเบาชว ยใหเกดิ จงั หวะ ลลี าของคาํ ซง่ึ ฉนั ทแตละชนดิ จะมีลลี าแตกตางกนั ไป คําครแุ ละคําลหมุ ีลักษณะ ดังน้ี คําครุ เปน คําท่ีประสมดว ยสระเสียงยาวในมาตราตวั สะกดแม ก กา เชน สี ดู ขา เปนตน หรอื เปน คําท่ีมีตวั สะกด เชน ฉนั รกั นอง เปน ตน และเปน คําท่ปี ระสมดว ยสระ ไอ ใอ เอา สวนคาํ ลหุ เปนคําทป่ี ระสมดว ยสระเสียงสน้ั ในแม ก กา เชน มะระ จะ ดุ เปนตน หรือเปน คาํ ท่ปี ระสมดว ยสระอํา เชน จํา คาํ ทํา เปน ตน และเปน คําทมี่ ีเสียงสน้ั บ บ ธ ณ 3. คํานําหรือคาํ ข้ึนตน เปน ลกั ษณะบังคับของบทรอ ยกรองประเภทกลอน ประกอบดวยบทประพนั ธป ระเภทตา งๆ ดังน้ี 1) กลอนบทละคร ขึ้นตน บทประพนั ธดว ยคําวา “เมอ่ื น้นั ” และ “บดั น้นั ” 2) กลอนสักวาขน้ึ ตน ดว ยคาํ วาสกั วาในบทแรก 3) กลอนดอกสรอ ยข้นึ ตน โดยวรรคแรกมี 4 คํา และมคี าํ วา “เอย” เปน คําที่ 2 ของวรรคแรก 4) กลอนเสภา ข้ึนตนบทดวยคาํ วา “ครานน้ั ” 4. บทพากยโ ขน บทสวดมนตในสมยั โบราณนิยมแตง ดวยคาํ ประพันธป ระเภทกาพยฉ บัง 16 เน่อื งจากมีลีลาคึกคกั โลดโผน และสงางามกวา คําประพันธประเภทกาพยอน่ื ๆ 5. การแตง คาํ ประพนั ธม คี ุณคาทางภาษาที่ชวยพัฒนาความคิดและจนิ ตภาพทงั้ ของผูแ ตง และผูอา นบทประพันธ เนอ่ื งจากคณุ คาอันเกดิ จากความงามทางวรรณศลิ ปใ นบท ประพนั ธ และความไพเราะของบทประพันธเ กดิ จากการเลอื กใชถ อ ยคาํ ใหสามารถส่อื ความคดิ ความรสู กึ อารมณ โดยจดั วางคาํ ท่เี ลอื กสรรไวใ หม ีความตอเน่อื ง รอ ยเรยี งใหม คี วามไพเราะเหมาะสมกับจังหวะ ถกู ตอ งตามหลักภาษา และการใชโวหารที่กอ ใหเกดิ รสกระทบใจ ความรสู กึ และอารมณข องผอู าน 186 คูม่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate บรรณานกุ รม  กาญจนา นาคสกุล และคณะ. ๒๕๔๕. บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑ - ๒. กรุงเทพมหานคร: สถาบัน ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กา� ชยั ทองหลอ่ . ๒๕๔๓. หลักภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: รวมสาสน์ . กสุ มุ า รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สงั กปั ภาษา ๒. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทศั น์. กุหลาบ มลั ลิกะมาส. ๒๕๓๓. การเขยี น ๑. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรเจรญิ ทัศน์. ครุ สุ ภา. ๒๕๑๘. ค�าบรรยายภาษาไทยชั้นสูงของชุมนมุ ภาษาไทยของครุ ุสภา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ คุรุสภาลาดพรา้ ว. ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ. ๒๕๕๐. หนงั สอื เรยี นภาษาไทย ม.๔ เลม่ ๑ หลกั ภาษาและการใชภ้ าษา. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๘. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทศั น.์ นมิ่ นวล หาญทนงค์. ๒๕๔๑. ท ๐๔๓ การแตง่ คา� ประพนั ธ์. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน์. ประภาศรี สหี อา� ไพ. ๒๕๓๘. วฒั นธรรมภาษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เปล้ือง ณ นคร. ๒๕๔๒. ภาษาวรรณนาววิ ฒั น์ และวิบตั ขิ องภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: ขา้ วฟ่าง. พงษ์ศกั ด์ิ สสุ มั พนั ธ์ไพบลู ย์. ๒๕๔๒. เทคโนโลยีโทรคมนาคม. กรุงเทพมหานคร: คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมิตร. เยาวลักษณ์ ชาตสิ ขุ ศิรเิ ดช. ๒๕๔๘. ค�าราชาศพั ทน์ ่าร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน.์ . ๒๕๔๘. เรียงถอ้ ยรอ้ ยกรอง. กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจริญทัศน์. ราชบัณฑิตยสถาน. ๒๕๕๐. พจนานกุ รมศพั ทว์ รรณคดไี ทย ภาคฉันทลักษณ.์ กรงุ เทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน. . ๒๕๕๖. พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: ศิริวฒั นาอนิ เตอร์พรนิ้ ท์ จา� กัด (มหาชน). ราชบณั ฑิตยสภา, สา� นกั งาน. ๒๕๖๓. ราชาศพั ท์ ฉบับราชบัณฑติ ยสภา เฉลมิ พระเกียรติพระบาท สมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งในโอกาส พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก พทุ ธศักราช ๒๕๖๒. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร: ธนอรณุ การพมิ พ์. วิชราพร พุ่มบานเยน็ . ๒๕๔๕. เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพวิ เตอร์. กรุงเทพมหานคร: ซอฟทเ์ พรส. วชิ าการ, กรม, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. ๒๕๕๐. ภาษาเพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพร้าว. . อา่ นอย่างไรให้ไดร้ ส. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ ุรุสภา, มปป. สุจรติ เพยี รชอบ. ๒๕๓๙. ศลิ ปะการใชภ้ าษา. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. 187 คมู่ ือครู 187

กระตุ้นความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate สจุ ิตรา จงจิตร. ๒๕๔๗. มนษุ ยก์ ับวรรณกรรม. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ สภุ าพร มากแจง้ . ๒๕๓๕. กวนี พิ นธไ์ ทย ๑. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ สุโขทัยธรรมาธริ าช, มหาวิทยาลยั . ๒๕๔๓. เอกสารการสอนชดุ การใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรงุ หน่วยที่ ๑-๘).นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. . ๒๕๔๓. เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอา่ นภาษาไทย. นนทบรุ :ี โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. เสรมิ สรา้ งเอกลกั ษณข์ องชาต,ิ สาำ นกั งาน. ๒๕๕๕. ราชาศพั ท์ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔. กรงุ เทพมหานคร: ด่านสุทธาการพิมพ์. อัจจมิ า เกดิ ผล. ๒๕๔๖. ฟงั พดู อ่านเขียนในชวี ิตประจำาวัน. กรุงเทพมหานคร: ศูนยต์ ำาราและเอกสาร ทางวชิ าการ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . 188 188 ค่มู อื ครู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook