กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ นักเรยี นรวมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็น นอกจากนี้มนุษย์ยังใช้ความคิดและถ่ายทอดความคิดเป็นภาษา ซ่ึงส่งผลไปสู่การกระท�า ตอไปน้ี ผลของการกระท�าส่งผลไปสู่ความคิด ความคิดท่ีดีย่อมช่วยกันธ�ารงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร ช่วยให้บุคคลปฏิบัติ • นกั เรยี นคิดวา ภาษาเปนเคร่ืองมือสาํ คญั ตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การเจรจาเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ หรือการติดต่อ ในการดํารงชวี ติ ของมนษุ ยอ ยางไร คา้ ขาย ลว้ นมภี าษาเปน็ สอื่ กลาง (แนวตอบ ภาษาเปน เครอื่ งมอื สอื่ สาร สรา ง ปฏิสมั พนั ธท างสงั คม โดยภาษาทําหนา ที่ ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา โดยใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การ ในการชว ยธํารงสงั คม ชว ยใหม นษุ ยพ ฒั นา อภิปรายโต้แย้งเพ่อื น�าไปสู่ผลสรปุ มนษุ ย์ใชภ้ าษาในการเรียนรู้ จดบันทกึ ความรู้ แสวงหาความรู้ ชวยจรรโลงใจและภาษาแสดงความเปน และช่วยจรรโลงใจด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษาจึงมีพลังในตนเอง เพราะภาษา ปจเจกบุคคล) ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การใช้ภาษา ถ้อยค�า จงึ ท�าให้เกดิ ความรูส้ กึ ตอ่ ผู้รบั สาร เชน่ เกิดความชืน่ ชอบ ความรกั ความรู้สกึ อคติ เหล่าน้ีล้วนเกดิ จากพลงั ของภาษา • นกั เรยี นคดิ วา ภาษากบั ความคดิ มคี วาม สมั พันธกนั อยา งไร ภาษาท่ีมนุษย์ใช้สื่อสารท้ังภาษาพูดและภาษาเขียนทั่วโลกน้ี ต่างมีพ้ืนฐานเดียวกัน คือ (แนวตอบ ภาษาเปนเครอื่ งมือในการพฒั นา เพอ่ื ใชต้ ิดต่อสือ่ สาร ท�าให้ผู้อ่นื มีความร้คู วามเข้าใจ ดงั น้ัน ทุกภาษาจึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกนั ความคิดขณะเดยี วกันความคดิ ก็พฒั นาภาษา เช่น มีการใช้เสียงและอักษรเพ่ือสื่อความหมาย หรือประกอบจากหน่วยเล็กๆ เป็นหน่วยใหญ่ ไปพรอ มกนั ดวย) ฯลฯ สิ่งเหล่านลี้ ้วนเปน็ ธรรมชาติของภาษา ผู้ทเ่ี ขา้ ใจธรรมชาติของภาษายอ่ มสามารถใชภ้ าษา ไดด้ ขี น้ึ ทงั้ ภาษาดง้ั เดมิ ของตนเองและภาษาตา่ งประเทศ อยา่ งไรกต็ ามสงิ่ ทผ่ี ใู้ ชภ้ าษาควรคา� นงึ ถงึ • นกั เรียนคดิ วา นกั เรียนมวี ธิ กี ารพฒั นา คือ พลงั ของภาษา เพราะภาษาสามารถสรา้ งสรรค์และทา� ลายได้ ดังน้ัน การใช้ภาษาใหถ้ ูกตอ้ ง ความคิดจากการใชภาษาไดอยางไร เหมาะสมย่อมช่วยธา� รงสังคมได้ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ทวี่ า จากคาํ กลา วท่วี า “ภาษามอี าํ นาจในการสรา งสรรค และทําลาย” นกั เรียนเห็นดวยกบั คาํ กลาว ขา งตนหรอื ไม อยางไร 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด 142 ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกยี่ วกบั ลักษณะทั่วไปของภาษา เกร็ดแนะครู ตามธรรมชาตขิ องภาษา ขอใดไมใช ลักษณะทว่ั ไปของภาษา 1. คําเกิดจากการนําเสียงในภาษามาประกอบกันเขา ครูผสู อนควรจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหน ักเรียนเกดิ การเรียนรไู ดด ว ย 2. นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เขียนเรยี งความสง เขา ประกวด ตนเอง นกั เรียนศกึ ษาคนควา บทความหรอื บทประพันธประเภทตา งๆ ทมี่ ีการนาํ 3. ประโยคนีม้ ี 2 ประโยครวมกนั โดยใชคําเชอื่ มชวยเชือ่ มความ เสนอเน้อื หาอยางหลากหลาย ไมว า จะเปนวรรณคดแี ละวรรณกรรม นักเรียนศึกษา 4. ปจ จบุ ันคนไทยหลายคนพดู เสยี งพยญั ชนะควบกลํา้ ไมไดเลย คน ควา บทความตา งๆ แลว ทาํ การเปรยี บเทยี บลักษณะการใชภาษารวมถึงกลวิธี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 6 เขียน การนําเสนอบทประพันธว า บทประพันธท ่ีนกั เรียนศึกษานน้ั เมอ่ื นักเรยี นอา นแลว เรียงความสง เขา ประกวด เพราะกลาวถึงการใชภาษาเขียน ซึง่ บางภาษายงั สามารถสรา งอรรถรสหรือรสทางอารมณท เี่ กิดข้ึนจากบทประพนั ธไ ดห รอื ไม อยางไร ไมมีอักษรแทนเสียงใช การใชภ าษาเขียนหรือในท่ีน้ี คอื การเขียนเรียงความ กิจกรรมนจ้ี ะทาํ ใหผ เู รยี นไดสัมผัสและเห็นถึงพลังของภาษาที่สงผลตอ ตัวนกั เรยี น จงึ ไมใ ชลักษณะทัว่ ไปของภาษาตางๆ โดยตรง การศึกษาทาํ ความเขาใจอรรถรสจากบทประพันธ ยอมชว ยใหน กั เรียน สามารถพิจารณาลกั ษณะการใชภาษา รวมถึงธรรมชาติของการใชภาษาในแตล ะ วฒั นธรรม การศึกษาภาษาควบคูกบั วัฒนธรรมหลากหลายของแตล ะยุคสมยั ยอ มชว ยใหน ักเรียนสามารถกา วขามกรอบความรูความคิด รวมถงึ ระบบคุณคาของ แตล ะยุคสมยั โดยไมยึดติดคุณคา ของยคุ สมยั ใดยคุ สมัยหนง่ึ เพยี งอยางเดยี ว 142 ค่มู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คำาถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ 1. นกั เรียนสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกับพลังของ ภาษาได ๑. ภาษาในความหมายของนักเรียนคืออะไร จงอธิบายและยกตัวอย่าง ๒. อวจั นภาษามีความส�าคัญตอ่ การสอื่ สารหรอื ไม่ อยา่ งไร 2. นักเรียนสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั ความสาํ คัญ ๓. การเปล่ยี นแปลงของภาษามีอทิ ธิพลมาจากด้านใดบา้ ง จงอธิบาย ของภาษาได ๔. ภาษาเปอรเ์ ซียทน่ี า� มาใชใ้ นภาษาไทยมีค�าใดบา้ ง จงยกตวั อยา่ งประกอบ ๕. พลงั ของภาษาส่งผลอยา่ งไรตอ่ การสอ่ื สารในชวี ติ ประจา� วัน 3. นกั เรยี นสรุปสาระสาํ คญั เกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ ระหวางภาษากับความคิดได 4. นกั เรียนสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับวธิ กี ารพฒั นา ความคิดจากการใชภาษาได 5. นกั เรยี นสามารถประยุกตใ ชความรูเกี่ยวกบั พลงั ทางภาษาในชวี ิตประจาํ วนั ได กิจกรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. ให้นกั เรยี นเล่นเกมปรศิ นาคา� ทายจากภาษาท่าทาง แล้วร่วมกนั หาคา� ตอบที่ถกู ตอ้ ง 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเกี่ยวกับธรรมชาติ ๒. ใหน้ กั เรยี นเขียนเลา่ เรือ่ งจากเคร่อื งหมายหรอื สญั ลักษณท์ ี่ครกู �าหนด แล้วนา� เสนอ รวมถึงความหมายความสาํ คญั และประเภทของ ภาษา พรอ มยกตัวอยางประกอบ หนา้ ชนั้ เรยี น ๓. ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ งเสียงในภาษาท่ีเกดิ จากการเลียนเสยี งธรรมชาติ เชน่ 2. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกบั ลกั ษณะ ทวั่ ไปของภาษา ไดแ ก เสียงส่ือความหมาย - เสยี งสัตว์ หนวยในภาษา การเปลีย่ นแปลงของภาษา - เสยี งฝน ลักษณะรว มและลักษณะเฉพาะของภาษา - เสียงอุทาน ระเบยี บแบบแผน พรอ มยกตวั อยา งประกอบ ๔. ใหน้ กั เรยี นยกตัวอย่างคา� ที่เกิดจากการเปล่ียนแปลงจากสิ่งแวดลอ้ ม รว่ มกนั รวมถงึ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมได อภิปรายและสรุปความรู้ท่ีไดร้ ับ ๕. ใหน้ ักเรียนยกตวั อยา่ งการใช้ภาษาที่ทา� ให้เกดิ ความสามัคคีในสังคม แล้วน�ามา 3. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกับพลังของ แลกเปลย่ี นกนั เพอ่ื สรุปความร้เู ก่ียวกับพลังของภาษาท่ีมตี อ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ภาษา ในสงั คม 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกับความสําคญั 143 ของภาษา 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเกยี่ วกบั ความ สัมพนั ธระหวางภาษากับความคดิ 6. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกบั วิธกี าร พัฒนาความคดิ จากการใชภาษา 7. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั การประยกุ ต ใชความรูพ ลงั ทางภาษาในชีวติ ประจําวันได 8. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรยี นรู แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. ความหมายของภาษาแบงออกเปน 2 ประเภท คือ ภาษาในความหมายกวาง หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พูดหรือวัจนภาษา ตัวอยางเชน คําพดู รวมถึงตวั อกั ษรท่ใี ชใ นการ สอื่ สาร และภาษาที่ไมใ ชคาํ พดู หรืออวัจนภาษา ตัวอยา งเชน สหี นา ทา ทาง สว นภาษาในอีกความหมายหน่งึ เปน ภาษาในความหมายแคบ หมายถงึ ภาษาท่ีใชคาํ พูด จะเปน คาํ พดู หรือลายลกั ษณอ กั ษร ซงึ่ เปนเครื่องหมายแทนคาํ พดู กไ็ ด 2. อวัจนภาษามีความสาํ คญั ตอการสือ่ สารเปนอยา งมาก เน่ืองจากอวจั นภาษาเปนองคประกอบหนง่ึ ในการสื่อสาร ชว ยใหก ารสอื่ สารมีประสทิ ธภิ าพ โดยผูรับสาร อาจตีความสีหนา ทา ทาง นํา้ เสียง บคุ ลกิ แววตา และทา ทางของผสู งสาร ท้ังดานเนื้อหาของสาร และอารมณความรสู กึ ของผูสงสาร เพอื่ ทาํ ความเขาใจสาร ขณะเดยี วกนั ผูสง สารก็สามารถตคี วามอวจั นภาษาของผูรับสาร เพ่ือใหเกิดการสอื่ สารไดอ ยา งเหมาะสมสอดคลองกบั ความตองการของผรู ับสาร 3. กระบวนการเปลย่ี นแปลงมีความสาํ คัญใน 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การเปลีย่ นแปลงอนั เกิดจากธรรมชาตขิ องการออกเสียง ไดแก การกลนื เสยี ง การกลายเสียง การตัด เสียง การกรอ นเสยี ง การสับเสยี ง รวมถึงการเปลยี่ นแปลงที่เกดิ จากการเลียนภาษาเด็ก 2. การเปล่ียนแปลงทางภาษาทเ่ี กดิ จากการรบั อทิ ธิพลจากภายนอก ไดแ ก การยืมคําภาษาตางประเทศแลว มกี ารดัดแปลงใหเ ขากับภาษาของตน รวมถึงการใชคาํ และสาํ นวนทต่ี างไปจากเดิมและ 3. การเปลย่ี นแปลงอันเกิดจากปจจยั ดาน ส่ิงแวดลอม การเกิดวิทยาการใหมๆ หรือรปู แบบวิถีชีวติ ท่เี ปลย่ี นแปลง สงผลตอ การเปลยี่ นแปลงดา นเสยี ง ความหมาย รวมถงึ การสรางคําใหมจากคําเดมิ ทส่ี งผลให ความหมายและหนาทขี่ องคําเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม 4. ตัวอยา ง เชน กุหลาบ กาหลิบ คาราวาน ฝรั่ง เปนตน 5. ภาษาสามารถสรา งสรรคส ังคม โดยการใชภ าษาเปน เครื่องมอื สอื่ สารสรางปฏสิ มั พนั ธท างสงั คม ทําหนา ทใ่ี นการชว ยธาํ รงสงั คม ชวยใหมนุษยพัฒนา ชวยจรรโลงใจ และแสดงความเปนปจเจกบคุ คล การใชภ าษาใหถกู ตอ งเหมาะสมยอมสามารถธํารงสังคมใหเกดิ ความสงบได นอกจากน้ี ภาษายังมีอํานาจในการทําลาย อาทิ การใช คาํ พดู หยาบคาย ใชภ าษาผิดระดบั รวมถึงสื่อสารไมตรงกบั เปา หมาย สงผลตอ การปฏบิ ัตทิ ค่ี ลาดเคล่ือนได คมู่ ือครู 143
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. อธิบายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และ ตอนที่ ๔ ลักษณะของภาษา 2. ใชค ําและกลุมคาํ สรา งประโยคตรงตาม วัตถปุ ระสงค สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลักษณะอนั พึงประสงค ภาษา 1. ใฝเ รยี นรู เปน เครอ่ื งมอื ทีม่ นษุ ยใ ชในการ 2. มุงม่ันในการทํางาน ตดิ ตอส่อื สาร การแลกเปลย่ี นความคดิ 3. รักความเปนไทย ความเห็น ทฤษฎี การถา ยทอดอารมณ ความรูส ึก มนษุ ยอาจใชภาษาเพื่อทาํ ใหเกดิ ความ กระตนุ้ ความสนใจ Engage òหนว ยการเรยี นรทู ี่ เขาใจ ความพงึ พอใจ และการโตแ ยง สงผลให กิจกรรมทใ่ี ชภาษามมี ากมาย เชน การใหขอ มูล การ นักเรยี นพิจารณาภาพหนา หนว ย จากน้ันครู ช้ีแจง การแสดงความเหน็ การโฆษณา การอภปิ ราย สนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ตลอดจนการสนทนาในชวี ติ ประจําวัน จงึ กลาวไดวา กิจกรรมในชวี ิตของมนุษยลว นแตอาศยั ภาษาท้ังสนิ้ • นกั เรียนคิดวา ภาพทป่ี รากฏหนา หนวยเปน ภาพอะไร ลกั ษณะของภาษาไทย (แนวตอบ หลักศลิ าจารกึ ) ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู กนกลาง • นกั เรียนทราบหรอื ไมวา ใครเปนผสู ราง • อธบิ ายธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา • ลกั ษณะของภาษา และสรางขึ้นในสมยั ใด และลกั ษณะของภาษา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑) • เสียงในภาษา (แนวตอบ พอขุนรามคําแหงเปนผสู รา ง • สวนประกอบของภาษา สรางขึ้นในสมัยสโุ ขทัย) • ใชค าํ และกลุมคาํ สรางประโยคตรงตามวัตถปุ ระสงค • องคประกอบของพยางคแ ละคํา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๒) • การใชคําและกลุมคําสรางประโยค • นักเรียนคดิ วา สงิ่ ปรากฏในภาพหนา หนวยมี ความสาํ คญั ตอประวัตศิ าสตรไทย และการ ใชภ าษาไทยอยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ ไดอยาง หลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนกั เรียน) เกร็ดแนะครู หนว ยการเรยี นรนู ้ี ครูควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเก่ียวกบั คุณคา และ ความสําคัญของภาษาไทย โดยครูช้แี นะวา ภาษาไทยเปน เอกลกั ษณป ระจาํ ชาติ เปนสมบัติทางวัฒนธรรมอันกอใหเกดิ ความเปนเอกภาพ และเสริมสรางบคุ ลกิ ภาพ เปนเครอื่ งมอื ในการติดตอสอื่ สารความเขาใจ และสามารถส่อื สารไดตรงตาม จุดหมายไมวาจะเปน การแสดงความคิด ความตองการและความรูส กึ นอกจากน้ี คําในภาษาไทยยังมเี สยี งหนัก เบา มีระดบั ของภาษา ซง่ึ ใชใหเหมาะแกกาลเทศะ และบุคคล และเปนเครอ่ื งมอื ในการแสวงหาความรู ประสบการณ จากแหลง ขอ มูล สารสนเทศตางๆ เพอ่ื พัฒนาความรู ความคิด วเิ คราะห วจิ ารณ และสรา งสรรคให ทันตอการเปลยี่ นแปลงทางสังคม และความกาวหนา ทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี ตลอดจนนําไปใชในการพัฒนาอาชพี ใหมคี วามม่นั คง ท้งั ทางสงั คมและเศรษฐกจิ รวมถึงยงั เปนสื่อท่ีแสดงภูมปิ ญญาของบรรพบรุ ษุ ดานวัฒนธรรม ประเพณี โดย บนั ทึกไวเ ปน วรรณคดแี ละวรรณกรรมอนั ล้าํ คา ภาษาไทยจงึ เปน สมบตั ขิ องชาติที่ ควรคา แกก ารเรียนรู เพ่ืออนรุ ักษแ ละสืบสานใหคงอยคู ูชาติไทยตลอดไป 144 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ลภาักษษาไทณยเปะ็นสภาำ�ษคาทญั ี่อยขู่ในอตรงะกภูลภ�าษษา�ค�าไโทดด1ย มีลักษณะเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่าง นักเรยี นรวบรวมชือ่ เพ่อื นในช้ันเรยี นทั้งชอื่ จรงิ และชื่อเลน จากนัน้ ครสู นทนาซักถามกระตนุ จากภาษาอื่น ดังนี้ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ๑) คำ� ภำษำไทยแทส้ ว่ นใหญม่ พี ยำงคเ์ ดยี ว และมคี วามหมายสมบรู ณ์ในตวั เอง มกั เปน็ คา� • นักเรยี นทราบความหมายของชอ่ื เพื่อน ท่ีใชเ้ รยี กสง่ิ ตา่ งๆ ตลอดจนกริ ยิ าอาการของมนษุ ย ์ เชน่ คนใดบาง และชื่อเพ่อื นคนดังกลาว มคี วามหมายวาอยางไร คำ� ทใ่ี ชเ้ รยี กชอ่ื ตวั อยำ่ งคำ� • นักเรียนคดิ วา ชื่อเพอื่ นคนใดทั้งท่เี ปน ชอ่ื จริงและช่อื เลน มีทมี่ าจากภาษาไทยหรอื ภาษาอืน่ นักเรียนมีวธิ กี ารสงั เกตอยา งไร เครอื ญาติ พอ่ แม ่ ป ู่ ยา่ พ ี่ นอ้ ง ลงุ ปา้ นา้ อา สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย หวั หนา้ คอ ตา ควิ้ ห ู ปาก คาง ลนิ้ สงิ่ ของเครอ่ื งใช้ เสอ้ื ผา้ ถว้ ย ชาม ชอ้ น โอง่ ไห จอบ เสยี ม สา� รวจคน้ หา Explore กริ ยิ าอาการ ไป มา นอน วงิ่ นงั่ ยนื พดู กนิ นักเรยี นสืบคนเกีย่ วกบั ลักษณะสาํ คญั ของ ๒) ภำษำไทยเปน็ ภำษำทไ่ี มม่ กี ำรเปลย่ี นแปลงรปู ศพั ท ์ คา� แตล่ ะคา� มคี วามหมายสมบรู ณ์ ภาษาไทย พรอมสํารวจรายชอ่ื ของเพ่อื น ในตวั เอง ใชไ้ ดอ้ ยา่ งอสิ ระ โดยไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงรปู ศพั ท์ไปตามเพศ พจน ์ กาล เพราะภาษาไทย รว มชนั้ เรยี นจากกจิ กรรมกระตุนความสนใจ จะใชค้ า� อน่ื มาประกอบ หรอื อาจทราบไดจ้ ากบรบิ ท เปรยี บเทยี บกบั ภาษาบาล ี ซงึ่ มกี ารเปลย่ี นแปลง อธบิ ายความรู้ Explain รปู ศพั ท์เพ่ือบอกเพศ เชน่ กมุ าร หมายถงึ เดก็ ชาย กมุ ารี หมายถึง เดก็ หญงิ หรอื เทวะ หมายถึง เทวดาชาย เทว ี หมายถงึ เทวดาหญิง ๓) ภำษำไทยสะกดตรงมำตรำ มาตราตวั สะกดในภาษาไทยมี ๘ มาตรา ซึ่งค�าไทยแทม้ ี 1. นกั เรียนพจิ ารณารายชือ่ เพอื่ นที่รวบรวมมา จากนนั้ รว มกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ ตวั สะกดตรงตามมาตรา เช่น แม่กก ใช ้ “ก” เปน็ ตวั สะกด คา� ท่ีสะกดดว้ ย “ก” มักเป็นคา� ไทยแท้ • นกั เรยี นบอกไดห รอื ไมวา ชอ่ื เพอ่ื นคนใด เชน่ มกั ชกั นกั เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ ามมคี า� ในภาษาไทยบางคา� ทม่ี ตี วั สะกดไมต่ รงตามมาตรา เชน่ เปนคําภาษาไทย และนักเรียนมวี ธิ กี าร ตวั สะกดแมก่ ด นอกจากใช้ “ด” สะกดแลว้ ยงั ใช้อักษรอน่ื สะกด เช่น ดจุ รส บท เป็นตน้ เนอื่ งจาก สงั เกตอยา งไร ได้รบั อทิ ธพิ ลค�าภาษาตา่ งประเทศท่ีไทยรบั เขา้ มาใช้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา งช่ือ ของเพ่ือนจากการปฏิบตั กิ ิจกรรมและต้งั ๔) ภำษำไทยมีกำรเรียงค�ำในประโยค ระบบไวยากรณ์ภาษาไทยถือว่าการเรียงค�า สมมตฐิ านหรือขอสังเกตไดอยา งหลากหลาย ในประโยคมีความส�าคัญ หากเรียงค�าในต�าแหน่งต่างๆ สลับที่กันจะท�าให้ความหมายเปลี่ยนไป ขึ้นอยกู บั เหตุผลของนักเรยี น) เพราะคา� ไทยบางคา� มหี ลายความหมายและทา� หน้าที่ไดห้ ลายหน้าท ่ี ดังเชน่ ค�าว่า “ขนั ” คำ� ทใี่ ชเ้ รยี กชอื่ ทำ� หนำ้ ท่ี ควำมหมำย • จากกจิ กรรรมขางตน นักเรยี นคิดวา ภาษาไทยมลี กั ษณะอยา งไร ยกตวั อยา งมา ขนั ใบนซ้ี อ้ื ทไ่ี หน เปน็ ประธานของประโยค ภาชนะสา� หรบั ตกั หรอื ใสน่ า�้ 2 ลกั ษณะตัวอยา ง นายขนมตม้ ขนั อาสาตอ่ ยมวยจนชนะ กรยิ า เสนอตวั เขา้ รบั ทา� ดว้ ยความเตม็ ใจ (แนวตอบ ลักษณะคําในภาษาไทย 2 ลักษณะ นอ้ งพดู จานา่ ขนั เปน็ สว่ นขยายกรยิ า นา่ หวั เราะ ชวนหวั เราะ คือ 1. คาํ ภาษาไทยเปนคาํ โดด สวนมากเปน คําพยางคเ ดยี ว ใชเ รยี กสงิ่ ของตา งๆ เชน 145 ลงุ อา แม ว่งิ เปน ตน และ 2. ภาษาไทย สะกดตรงตามมาตราตวั สะกด) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดมคี ําไทยแทท ุกคาํ ในการจัดการเรยี นการสอนเก่ยี วกบั ลักษณะสาํ คญั ของภาษาไทย ครคู วรเนน 1. นารตี กกระไดพลอยโจนกับบุรษุ หลงั จากดใู จกนั มานาน ใหนกั เรยี นสังเกตคํา รวมถงึ วิธีการใชภาษาทีป่ รากฏในชวี ิตประจาํ วนั ของนักเรยี น 2. พอฝนจะตกกร็ บี กลบั บานทนั ที เปน หลัก จากนัน้ ใหน ักเรยี นต้ังขอ สงั เกตเกย่ี วกบั วธิ กี ารใชค าํ หรอื สาํ นวนที่ปรากฏ 3. สตั วเ ลีย้ งลูกดวยนา้ํ นมตกลกู คร้ังละตวั พรอ มใหนักเรยี นตง้ั สมมติฐานทเี่ กิดจากขอสงั เกต เปนการฝก ทักษะการคดิ วิเคราะห 4. เพ่อื นชวนเขาไปเรียนตอ ที่กรุงเทพฯ เขาจงึ ตกลงใจแตงงานกนั เพื่อชวยใหน ักเรยี นเกดิ ความรคู วามเขาใจในหวั ขอ ทน่ี กั เรยี นไดเรยี นรูมากย่ิงข้ึน นอกจากนี้ ในการต้งั ขอสังเกตคาํ ในภาษาไทย นักเรียนควรคาํ นึงวา คําในภาษาไทย วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. พอฝนจะตกก็รบี กลบั บา นทนั ที สว นขออ่นื ๆ ทีต่ วั สะกดตรงตามมาตราอาจเปน คําที่มาจากภาษาอื่นไมใ ชภ าษาไทยแทได เชน เกิด เดนิ เดมิ มาจากภาษาเขมร ชน เปน ภาษาบาล-ี สนั สกฤต เปนตน มีคาํ จากภาษาอื่น ดังน้ี ขอ ท่ี 1. คาํ วา บรุ ษุ เปน คาํ ภาษาสันสกฤต ขอ ท่ี 3. คาํ วา สัตว เปน คาํ ภาษาบาลีสันสกฤต สว นขอ ที่ 4. คาํ วา กรงุ เทพฯ เปนคาํ ภาษาบาลีสนั สกฤต นักเรยี นควรรู 1 คาํ โดด ภาษาแบบท่ีใชค ําที่มลี ักษณะโดดๆ คือ ไมม ีการเปล่ียนแปลงรูปไปตาม หนาท่หี รือตามความสมั พันธท างไวยากรณเ ก่ียวเนอ่ื งกบั คําอนื่ คมู่ อื ครู 145
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. พิจารณาประโยคจาํ นวน 3 ประโยค และรว มกัน ๕) ภาษาไทยจะวางค�าขยายไวห้ ลังค�าที่ถูกขยาย เน่อื งจากภาษาไทยเป็นภาษาเรยี งคา� ตอบคาํ ถามตอไปน้ี ตอ ไปนี้ หากมีค�าขยายจะวางอยู่หลังค�าและอยู่ติดกับค�าที่ถูกขยาย เช่น น้องร้องเพลงเสียงหวานไพเราะ ขนั ใบนี้สีเขียว นอ งขนั อาสาแบกทรายถมถนน แมวนอนใต้โตะ๊ ท�างานหอ้ งพ่อ เพือ่ นฉนั พดู จานา ขนั • นกั เรียนคดิ วา คําวา “ขัน” ทป่ี รากฏใน ๖) ภาษาไทยมคี า� ลกั ษณนาม คา� ลกั ษณนามเปน็ คา� ทบ่ี อกลกั ษณะของนามขา้ งหนา้ มกั ใช้ ขอความขา งตน มีความแตกตา งกันในดานใด ตามหลงั คา� วเิ ศษณ์บอกจา� นวน เช่น กระเทยี ม ๔ กลีบ ตะกร้า ๒ ใบ ฯลฯ และใช้ตามหลงั คา� นาม บา งอยางไร แสดงลักษณะภาษาไทยอยางไร ท่ัวไปเพื่อเน้นน้�าหนัก และเพ่ือบอกให้ทราบลักษณะของค�านามน้ัน เช่น นิยายเร่ืองน้ีสนุกมาก (แนวตอบ ตา งในดา นความหมายและหนาที่ น้า� ตกแห่งนัน้ สวยงาม ธนคู นั น้ีของใคร ฯลฯ ของคาํ แสดงลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย โดยในประโยคแรกเปน ภาชนะ สวนคาํ ท่ีสอง ๗) ภาษาไทยมกี ารสรา้ งคา� ขนึ้ ใหม่ โดยวธิ กี ารประสมคา� การซอ้ นคา� การซา�้ คา� การสมาส หมายถึง การเสนอตัวเขารับทาํ งานดว ย และการสนธิ ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ ความเต็มใจ และคําท่ีสามแสดงอารมณ ชวนหัวเราะ) การประสมคา� การซอ้ นคา� การซา้� คา� การสมาส การสนธิ แมบ่ า้ น แขง็ แกรง่ เลก็ ๆ อทุ กภยั พทุ ธนั ดร 2. นักเรยี นพจิ ารณาประโยคจํานวน 3 ประโยค ขายหนา้ บา้ นเรอื น นอ้ ยๆ คณติ ศาสตร์ สมาคม ไดแ ก ฉันตีสุนขั สุนัขตีฉัน ตีสนุ ัขฉัน ยางลบ เกรงกลวั สวยๆ มนษุ ยชาติ ราชปู โภค • นกั เรียนคิดวา ประโยคท้งั สามประโยคขางตน มีความหมายเหมอื นกันหรือไม แสดงลกั ษณะ ๘) ภาษาไทยมเี สยี งวรรณยุกต์ ค�าในภาษาไทยมีการใช้วรรณยุกต์ ซึ่งการใช้วรรณยุกต์ ภาษาไทยอยางไร ท่ีแตกต่างกนั น้สี ง่ ผลให้ความหมายของคา� เปลี่ยนไป ทา� ให้มคี า� ในภาษาเพิม่ มากขึ้น เชน่ (แนวตอบ ภาษาไทยเปน ภาษาเรียงคํา เมอ่ื สลับตาํ แหนง ของคําในประโยคสง ผลให คา หมายถงึ คา้ งอยู่ ตดิ อยู่ ความหมายเปลี่ยนไป) คา่ หมายถงึ ราคา คณุ ประโยชน์ คา้ หมายถงึ หาของมาขาย ซอ้ื ขายแลกเปลยี่ น 3. ครูยกตัวอยา งคําหรือประโยคภาษาไทยให ๙) ภาษาไทยมีระดับ ประเทศไทยมีวัฒนธรรมทางภาษา มีการใช้ค�าพูดให้เหมาะสม นกั เรยี นพจิ ารณา จากนนั้ ใหน กั เรียนตอบ แก่บุคคลตามกาลเทศะ ระดับฐานะของบุคคล จึงท�าให้ภาษามีหลายระดับ เช่น ค�าราชาศัพท์ คําถาม โดยพจิ ารณาเพม่ิ เตมิ จากเกร็ดแนะครู สา� หรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชสกลมหาสังฆปรณิ ายก พระสงฆ์ คา� สุภาพ หรือแม้แต่ภาษากวี เปน็ ต้น ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑๐) ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขยี นและจงั หวะในการพูด เพอื่ กา� หนดความหมายที่ ต้องการ หากแบ่งวรรคตอนผิด หรอื พูดเว้นจังหวะผดิ จะทา� ให้ความหมายเปล่ียนแปลงไป นกั เรยี นยกตวั อยางเสียง คํา หรือประโยคท่ี แสดงลกั ษณะภาษาไทย พรอมใหเหตผุ ลประกอบ จากนั้นนักเรียนรว มกันสรปุ ลักษณะของภาษาไทย ตรวจสอบผล Evaluate นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญและวิเคราะห 146 ลักษณะภาษาไทยได เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT คาํ วา “ขนั ” ขอ ใดมีหนา ทข่ี องคาํ แตกตางจากขอ อื่นมากที่สุด ในการจัดการเรยี นการสอนเกย่ี วกบั ลกั ษณะสาํ คญั ของภาษาไทย ครคู วรเนน ให 1. เขาพดู เรื่องขาํ ขนั นักเรียนสังเกตคํา จากการยกตวั อยา งลกั ษณะสาํ คัญของภาษาไทยมรี ายละเอยี ด 2. ไหนขันทฉี่ นั ตองการ ดงั ตอ ไปน้ี 1. ภาษาไทยเปน ภาษาเรียงคาํ คาํ ขยายจะวางหลงั คําที่ถูกขยาย เชน พี่ 3. เขาขนั อาสาชวยเหลือเรา รอ งเพลงไทยสากล เปนตน 2. ภาษาไทยมคี าํ ลกั ษณะนามใช เชน ปากกา 2 ดาม 4. เม่ือเชา นี้ ไกขนั เสียงดงั มาก คาํ วา “ดาม” เปนคําลกั ษณนาม เปนตน 3. ภาษาไทยมกี ารสรางคาํ ข้ึนใหมโ ดยวธิ ี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ไหนขันที่ฉนั ตองการ คําวา ขนั ในประโยคนี้ การประสมคํา การซอ นคํา การซํ้าคํา การสมาสคาํ รวมถงึ การสรางคาํ ดวยวิธีการ เปนคาํ นาม สว นในขอ อน่ื ๆ เปนคํากริยา ทง้ั กริยาหลักและกริยาชวย ฉะน้ัน สมาสอยา งมีสนธิ ตัวอยา งการสรา งคําลักษณะตางๆ เชน หมอดู หนาแนน เด็กๆ คําวา ขนั ในขอ ที่ 2. จึงทําหนาท่ีแตกตา งจากขอ อน่ื ๆ มากทีส่ ดุ สงั คมสงเคราะห คุณานุคณุ เปน ตน 4. ภาษาไทยมกี ารเปล่ยี นระดบั ของเสียงคํา โดยมกี ารใชว รรณยุกต เมื่อเปล่ยี นเสยี งวรรณยุกตความหมายยอมเปลย่ี นไปดวย เชน ปา ปา ปา เปน ตน 5. ภาษาไทยมรี ะดับภาษา โดยเปน การใชคาํ พดู ให เหมาะสมแกบ ุคคลและกาลเทศะ เชน คณุ พอ ไปนิมนตพ ระมาทําบญุ บา น ใชค าํ วา “นิมนต” หมายถงึ เชญิ เปน คําที่ใชเฉพาะภกิ ษุสงฆ เปนตน 146 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒ . เสียงในภ�ษ� นักเรยี นพจิ ารณาขอ ความ จากน้นั นักเรียน รว มกันตอบคาํ ถาม ดังตอไปน้ี 1. กา กา กา กา กา เสียงท่ีคนทุกชาติทุกภาษาก�าหนดข้ึนใช้สื่อความเข้าใจ ย่อมมีจ�านวนจ�ากัด แต่มิได ้ 2. จา จา จา จา จา หมายความวา่ ผใู้ ชภ้ าษาจะออกเสยี งท่ีไมม่ ีในภาษาของตนไมไ่ ด ้ เพยี งแตต่ อ้ งใชก้ ารฝกึ ฝนมากบา้ ง 3. ดา ดา ดา ดา ดา นอ้ ยบา้ ง ตามความถนดั และความสามารถของแตล่ ะคน การทเ่ี สยี งในภาษามจี า� กดั เครอ่ื งหมาย • นกั เรียนคดิ วา การเปลีย่ นแปลงเสยี ง ทใี่ ชแ้ ทนเสยี งซง่ึ สว่ นใหญก่ ค็ อื ตวั อกั ษร จงึ มจี า� กดั ไปดว้ ย เสยี งในภาษาไทยเมอื่ เทยี บกบั ภาษาอนื่ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาษาไทยมีเสียงมากกว่า ท�าให้การถ่ายเสียงเป็น วรรณยุกตท่ีปรากฏขางตน สงผลตอ ภาษาไทยเป็นไปได้ค่อนข้างดี และแม้ในภาษาอังกฤษจะปรากฏเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย เช่น ความหมายทเ่ี ปลีย่ นไปหรือไม อยา งไร /r/ /sh/ /zเส/ ยี กงต็ ใานมภาษาไทย1มี ๓ เสยี ง คอื เสยี งสระ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งวรรณยกุ ต ์ ดงั นี้ แสดงถงึ ความสําคญั ของเสยี งวรรณยุกตใน ภาษาไทยอยา งไร ๑) เสียงสระและรูปสระ เสียงสระ หรือเรียกว่า เสียงแท้ เพราะเป็นเสียงท่ีผ่านล�าคอ (แนวตอบ แสดงใหเ ห็นวา ภาษาไทยมกี าร ออกมาโดยตรงไมถ่ กู ปิดหรือถูกกกั ณ ที่ใดทหี่ นึ่งเลย หากเสียงที่เปล่งออกมาถูกปิดหรือถกู กักจน เปล่ยี นระดบั ของเสยี งคํา เมื่อเปล่ยี นเสยี ง เสียงเปลยี่ นไปหรือแปรไป ก็จะเป็นเสยี งแปร หรอื เสียงพยญั ชนะ ในการเปลง่ เสยี งแตล่ ะครง้ั จะมี วรรณยุกตค วามหมายยอ มเปลย่ี นไปดวย) เสยี งสงู ๆ ตา่� ๆ ตา่ งกนั ซง่ึ ไมว่ า่ ในภาษาใดกย็ อ่ มมเี สยี งสงู ๆ ตา่� ๆ ในการพดู ทงั้ สน้ิ แตท่ พ่ี เิ ศษสา� หรบั สา� รวจคน้ หา Explore ภาษาไทย คือ การก�าหนดให้เสียงสูง-ต�่ามีความหมาย กล่าวคือ เมื่อเปลี่ยนระดับเสียงของค�า ส่งผลให้ความหมายของค�าน้ันเปล่ียนแปลงไปด้วย เรียกเสียงระดับต่างๆ ที่ก�าหนดข้ึนน้ีว่า นกั เรียนสืบคน ขอ มูลเก่ียวกับเสียงในภาษาไทย เสียงวรรณยุกต์ ภาษาไทยมเี สยี งสระเดยี่ วหรอื สระแท ้ ๙ ค ู่ หรอื ๑๘ หนว่ ยเสยี ง สระประสมหรอื สระเลอ่ื น อธบิ ายความรู้ Explain ๓ หนว่ ยเสยี ง ดงั น้ี 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ความรูในประเดน็ ตอ ไปน้ี ลิน้ ส่วนหน้า ลิ้นส่วนกลาง ลิน้ ส่วนหลงั 2 • เสยี งในภาษาไทยประกอบดว ยเสียงใดบา ง อิ อี อึ อือ อุ อู สระเด่ยี ว ๙ คู่ ๑๘ หนว่ ยเสียง และเสียงในภาษาไทยแตละประเภทมีความ เอะ เอ เออะ เออ โอะ โอ แตกตา งกันอยางไร แอะ แอ อะ อา เอาะ ออ (แนวตอบ เสียงในภาษาไทยมี 3 เสยี ง คือ เสียงสระ เสยี งพยญั ชนะ และเสียง วรรณยุกต เสยี งในภาษาไทยท้ัง 3 เสยี ง อี เอ=+ยี อา ออื เอ=+ือ อา อู +อ=+ัวอูอา สระประสมปัจจุบันกา� หนด มีความแตกตางกัน ดงั นี้ เสียงสระหรอื เสยี ง เพยี ง ๓ หน่วยเสียง แท เปน เสยี งท่ีผานลําคอออกมาโดยตรง ไดแ้ ก่ เอีย เอือ และอวั หากเสียงที่เปลง ออกมาถกู ปดหรือถกู กกั จน เสยี งเปลย่ี นไป หรอื แปรไป กจ็ ะกลายเปน เสียงแปร หรอื เสียงพยญั ชนะ และเสยี งสูง- 147 ตํ่าทเี่ ปลง ออกมาทุกครั้ง ทําใหค วามหมาย ของคาํ เปลีย่ นไปเรียกเสยี งวรรณยุกต) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั เสียงสระประสมในภาษาไทย นกั เรยี นควรรู ขอ ใดมเี สียงสระประสม 1 เสยี งในภาษาไทย ภาษาทุกภาษาใชเ สยี งส่ือความหมาย เสียงประกอบขน้ึ 1. โบราณวา เปนขาจอมกษตั ริย เปน คาํ คําประกอบขึ้นเปน ประโยค บางภาษาเทานนั้ ทมี่ ตี ัวเขียนใชแทนความหมาย 2. ราชสวัสดิ์ตองเพียรเรยี นรกั ษา ภาษาไทยเปนภาษาหนง่ึ ท่ีมรี ะบบการถา ยเสยี งเปน ตวั อกั ษร ภาษาเขยี นของไทยใช 3. ทานกําหนดจดไวในตํารา ตัวอักษรแทนเสียง 3 เสียง คือ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสียงวรรณยกุ ต 4. มมี าแตโบราณชานานครนั ทกุ ภาษาตองมีเสยี งสระและเสียงพยัญชนะ มีบางภาษาเทา นัน้ ท่มี ีเสียงวรรณยกุ ต อาทิ ภาษาไทย ภาษาจนี วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ราชสวัสด์ติ องเพียรเรียนรักษา เพราะเสียง 2 สระเดี่ยว หรอื เรยี กอกี อยางวา สระแท คอื เสยี งสระท่ีขณะออกเสียงลกั ษณะ ของลิ้นและรมิ ฝปากจะมีตาํ แหนงคงท่ี ไมม ีการเปลย่ี นแปลง แบงเปน สระเสยี งส้นั 9 สระประสมมี 3 เสียง คอื เอยี เออื อัว ขอท่ี 2. มีสระประสมจาํ นวน 1 เสยี ง จากสระเอยี ในคําวา เพียร และเรียน เสียง ไดแก อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ และเออะ สระเสยี งยาว ประกอบดวย เสียงสระจํานวน 9 เสยี ง ไดแก อา อี อือ อู เอ แอ โอ ออ และเออ แบงตามลกั ษณะ ของล้นิ และริมฝป าก เปน สระหนา 6 เสยี ง (สระทเ่ี กดิ จากลน้ิ สวนหนา ) ไดแก อิ อี เอะ เอ แอะ แอ สระกลาง (สระทเี่ กดิ จากล้นิ สว นกลาง ประกอบดว ยเสียงสระ จํานวน 6 เสยี ง ไดแ ก อึ ออื เออะ เออ อะ อา และสระหลงั (สระทีเ่ กดิ จากลน้ิ สวน หลัง) มีเสียงสระจํานวน 6 เสยี งไดแก อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ คู่มอื ครู 147
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นจัดกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันตอบ โดยปกตจิ ะเขยี นรปู สระอยา่ งงา่ ยๆ ดงั นี้ คําถามในประเด็น ตอ ไปนี้ สสรระะแปทระ ้ ส -มะ1 - าเ- ยี - เ ิ- อื- ี -- ึวั - ื - ุ - ู เ-ะ เ- แ-ะ แ- โ-ะ โ- เ-าะ -อ เ-อะ เ-อ • สระในภาษาไทยมีทัง้ หมดกีเ่ สียง (แนวตอบ สระในภาษามีทั้งหมด 21 เสียง) เมอ่ื เตมิ รปู พยญั ชนะ ลงตรงชอ่ งวา่ ง (-) จะอา่ นออกเสยี งได ้ เชน่ นะ นา โน เปน็ ตน้ • สระในภาษาไทยมกี ารแบงอยางไร นักเรียน การรจู้ กั รปู สระชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจการสะกดคา� เชน่ คา� วา่ เตา ถา้ รวู้ า่ สระเอา ประกอบดว้ ย ยกตวั อยา งประกอบ รูปสระ ๒ รูป คือ เ- (ไม้หน้า) กับ -า (ลากข้าง) เวลาสะกดค�า จะบอกอย่างถูกต้องว่า (แนวตอบ ในภาษาไทยมีสระ 12 คู สระแท 9 ต-สระเอา ออกเสยี งวา่ เตา ไมใ่ ช ่ สระเอ-ต-สระอา แลว้ ออกเสยี งวา่ เตา คู และสระเลื่อน 3 เสยี ง สวนเสียง อวั ะ เออื ะ ๒) เสยี งพยญั ชนะและรปู พยญั ชนะ พยญั ชนะไทยม ี ๔๔ รปู หรอื ๔๔ ตวั แต่ใชเ้ สยี ง และเอยี ะ ปจจบุ ันไมจดั เปน เสียงสระในภาษา- ซ้�ากันหลายตัว จึงเหลือเสียงเมื่อเป็นพยัญชนะต้นเพียง ๒๑ เสียง และเป็นพยัญชนะท้ายเพียง ไทย เนอ่ื งจากเปน เสยี งท่ีไมมคี วามหมายใน ๘ เสยี ง ภาษา มเี ฉพาะในคําเลียนเสียงธรรมชาติ อาทิ ผัวะ เผยี ะ และเปนคาํ ขยาย อาทิ ขาวจั๊วะ) พยญั ชนะตน้ เดย่ี ว พยญั ชนะควบกลำ�้ • เหตุใดจึงตอ งแบงประเภทของสระ การแบง เสยี ง รปู ในภาษาไทยมีหน่วยเสียงพยัญชนะที่สามารถ ประเภทของสระมคี วามสาํ คัญอยางไร /p/, /ป/ ป ออกเสยี งควบกลา�้ คอื ออกเสยี งพยญั ชนะ๒ตวั ตดิ กนั (แนวตอบ การแบง ประเภทของสระแสดง /t/, /ต/ ตฏ โดยไมม่ เี สยี งสระคน่ั กลาง และปรากฏเปน็ พยญั ชนะ ลกั ษณะในการออกเสียง โดยสระเด่ยี วหรือ /c/, /จ/ จ ตน้ ของพยางคไ์ ด้ ๑๑ คู่ ปจั จบุ นั มคี า� ยมื จากภาษา สระแทจ ะมกี ารเคลือ่ นที่ของล้ินไปสมั ผสั /k/, /ก/ ก องั กฤษทา� ใหม้ พี ยญั ชนะควบกลา�้ เพม่ิ ขนึ้ หลายคู่ ฐานกรณเพียงแหง เดียว แตสระผสมหรอื สระ / /, /อ/ อ เลอ่ื นจะมีการเคล่ือนทีข่ องลิน้ ไปสัมผัส /ph/, /พ/ พ ผ ภ เสยี ง รปู ฐานกรณมากกวา หน่งึ แหง ) หนว่ ยเสียง /th/, /ท/ ทถฐฑฒธ /pr/ ปร • สระแตละเสยี งเมอื่ นาํ ไปใชร วมกบั พยัญชนะ พยัญชนะ /ch/, /ช/ ฉชฌ /pl/ ปล แลวจะใหผ ลอยางไร ๒๑ หนว่ ยเสยี ง /kh/, /ค/ /tr/ ตร (แนวตอบ สระมี 21 เสยี ง และสระแตละเสยี ง ในภาษาไทย /b/, /บ/ ค ข ฆ (ฃ ฅ) /kl/ กล เมอื่ นาํ ไปใชจะมผี ลทําใหค าํ มคี วามหมาย สามารถ /d/, /ด/ บ /kr/ กร ตางกนั ไป) ปรากฏเป็น /m/, /ม/ /kw/ กว • นกั เรยี นคิดวา การเรยี นรเู รื่องการออกเสียง พยญั ชนะตน้ /n/, /น/ ด ฎ (ฑ ในบางคา� ) /phl/ พล, ผล สระสง ผลดีอยา งไร ของพยางค์ได้ / /, /ง/ ม /phr/ พร (แนวตอบ การเรียนรูเกยี่ วกับรูปและเสียงสระ ทกุ หนว่ ย /l/, /ล/ นณ /khl/ คล, ขล ชว ยในการสะกดคํา เปนพื้นฐานในการอาน ง /khr/ คร, ขร และการเขียน) ลฬ /khw/ คว, ขว /r/, /ร/ ร /br/ บร 2. ครสู มุ นักเรียนแตล ะกลุมออกมานําเสนอ /f/, /ฟ/ ฟฝ /bl/ บล หนา ชนั้ เรียน /s/, /ซ/ ซ ศ ษ ส /dr/ ดร /h/, /ฮ/ หฮ /thr/ ทร /w/, /ว/ ว /fr/ ฟร /j/, /ย/ ย ญ /fl/ ฟล /str/ ซตร 148 นักเรยี นควรรู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับเสียงสระประสมในภาษาไทย 1 สระประสม เรียกอกี อยา งหน่ึงวา สระเล่อื น ไดแก สระท่ีขณะออกเสยี งลักษณะ ก. จะหาจนั ทรก ฤษณานั้นหายาก ของล้ินจะมีการเปลี่ยนแปลงจากตาํ แหนงหนึ่ง แลว เลอ่ื นไปยังอกี ตําแหนงอยา ง ข. เหมอื นคนมากมีดื่นนบั หมน่ื แสน รวดเรว็ จงึ มกี ารเรียกสระประสมวา สระเลอื่ น คําวา สระเล่ือนน้ี จงึ มที ่ีมาจากการ ค. จะประสงคองคปราชญก ข็ าดแคลน พจิ ารณาลกั ษณะการเคล่อื นที่ของอวัยวะท่ใี ชใ นการออกเสยี งเปนสําคญั สวนการเรียก ง. เสมอแมน จันทรแ ดงแรงราคา เสยี งสระประสมนน้ั เปนการพิจารณาจากเสยี งหรือรปู สระเปน สําคญั สระประสมเกิด ขอใดมีเสียงสระประสม จากการประสมของสระเดี่ยวสองเสยี ง ดังตอ ไปน้ี 1. ขอ ก 2. ขอ ข. 3. ขอ ค. 4. ขอ ง. • เสียง เอีย เกดิ จากเสียง อี+อา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ขอ ข. เหมือนคนมากมดี ื่นนบั หมน่ื แสน • เสียง เออื เกดิ จากเสียง อือ+อา เพราะมเี สียงสระประสมในคําวา เหมือน เปน คาํ ที่ประสมดวยสระ เออื • เสยี ง อวั เกดิ จากเสยี ง อู+อา แตเดิมสระประสมจะมกี ารรวมสระเสียงสัน้ เอียะ เออื ะ อวั ะ ดวย แตเนอ่ื งจาก คําทีป่ ระสมดวยสระดงั กลาวมนี อ ย และมีเพยี งคําเลยี นเสียงธรรมชาติเทา นน้ั จึงไม นับเปนหนว ยเสียง นอกจากนี้ ครูควรแนะนาํ วิธีการจดจําสระประสมใหก บั นกั เรยี น โดยสระประสมสามารถทอ งจาํ ไดวา เส้อื ควร เปลย่ี น 148 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain 1 1. สมาชิกภายในกลมุ รวมกนั แสดงความคิดเห็น พยญั ชนะทา้ ย (ตวั สะกด) ดังตอไปน้ี • พยญั ชนะไทยมจี ํานวนกร่ี ูปกีเ่ สยี ง เสยี ง รปู ตวั อยา่ งคา� (แนวตอบ พยญั ชนะไทยมี 44 รปู 21 เสียง /ก/ พิจารณาความสอดคลอ งระหวา งรปู และ /ต/ ก ข ค ฆ (ฃ ฅ) จมดัาก 3ด สจุ ขุ ธ ชภุ 2 ากคฎ เ มปฆรากฏ เสยี งพยัญชนะเพ่มิ เตมิ ไดจากตัวอยางใน ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ หนังสือเรียนหนา 148 -149) /ป/ ต ถ ท ธ ศ ษ ส • พยัญชนะทาํ หนาท่ีใดในโครงสรางภาษาใน /ง/ บ ป พ ฟ ภ รตั น ์ สามารถ อาวธุ พนิ าศ อาวาส ระดบั พยางค และแบง ออกเปนกเ่ี สียง /น/ ง (แนวตอบ พยญั ชนะทําหนาทเี่ ปนพยญั ชนะ /ม/ น ญ ณ ร ล ฬ บวบ บาป ภาพ ปรารภ ตน 21 เสียง และพยญั ชนะทา ยหรอื /ย/ ม ตวั สะกด 8 เสียง พจิ ารณาเพม่ิ เติมไดจาก /ว/ ย วง ตัวอยา งในหนังสือเรยี นหนา 148-149) ว • การที่ภาษาไทยมรี ูปพยญั ชนะจํานวน จน ผจญ คา� รณ การณ ์ อบุ ล วริ ฬุ ห์ มากกวาเสยี งเกดิ จากสาเหตใุ ด (แนวตอบ มสี าเหตุมาจากการยมื คาํ ภาษาตา ง จม ประเทศมาใช แตออกเสยี งตามภาษาเดมิ ไมได จงึ ออกเสยี งตามเสยี งท่ีมใี นภาษาไทย ยาย จึงทาํ ใหม ีการคงรปู เขยี น เพื่อรักษารูปศัพท เดิมเอาไว) ยาว • พยัญชนะบางรปู ท่ีประกอบเปน คําในภาษา- ไทย แตไ มมกี ารออกเสยี งมีลักษณะอยา งไร ขอ้ ควรสงั เกตรปู และเสยี งของอกั ษรไทย (แนวตอบ มหี ลายลักษณะ ดังน้ี 1. พยญั ชนะ ๑. รปู พยญั ชนะมมี ากกวา่ เสยี งพยญั ชนะ ท่มี ไี มทณั ฑฆาตกํากับ 2. พยญั ชนะ ร หรือ ๒. รปู พยญั ชนะแตกตา่ งกนั แตม่ เี สยี งเดยี วกนั เมอ่ื ใชเ้ ขยี นคา� แลว้ จะพสิ จู น์ไดช้ ดั วา่ เปน็ ห ท่นี าํ หนาพยญั ชนะสะกดในบางคาํ ท่มี า เสยี งเดยี วกนั จรงิ ๆ เชน่ คา่ ขา้ ฆา่ รปู พยญั ชนะตา่ งกนั หมดแตเ่ สยี งเดยี วกนั หรอื ชา่� ฉา�่ ตา่ งกนั จากภาษาบาลสี นั สกฤต 3. พยัญชนะซึง่ ตาม แตเ่ สยี งวรรณยกุ ต ์ คอื ชา่� เปน็ เสยี งวรรณยกุ ต์โท ฉา่� เปน็ เสยี งวรรณยกุ ตเ์ อก หลังพยัญชนะสะกดในคําทม่ี าจากภาษาบาลี ๓. รปู พยญั ชนะบางรปู เลกิ ใชแ้ ลว้ เชน่ ฃ ฅ สนั สกฤต 4. พยญั ชนะ ร ซ่ึงเปนสว นหนง่ึ ๔. การที่ภาษาไทยมีรูปพยัญชนะหลายรูป เนื่องจากการยืมค�าในภาษาอื่นมาใช้ เช่น ของอักษรควบไมแท 5. พยญั ชนะ ห หรอื อ ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร แต่ออกเสียงตามอย่างภาษาเดิมไม่ได้ จึงออกเสียงตามเสียงท่ีมีใน ซงึ่ นําอกั ษรตํา่ เด่ียว นักเรยี นสามารถ ภาษาไทย เช่น ออกเสียง ศ ษ ส ใหต้ า่ งกนั เหมือนเสียงในภาษาสันสกฤตไม่ได้ พิจารณาตวั อยางเพิม่ เติมไดใ นหนังสอื เรียน ๕. รปู พยญั ชนะบางรปู ไมอ่ อกเสยี ง เชน่ หนา 149) ● พยญั ชนะทม่ี ไี มท้ ณั ฑฆาตกา� กบั เชน่ การณ ์ รตั น ์ วริ ฬุ ห์ 2. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ ● พยญั ชนะ ร หรอื ห ทนี่ า� หนา้ พยญั ชนะสะกดในคา� บางคา� ซงึ่ มาจากภาษาบาล-ี หนาชั้นเรยี น สนั สกฤต เชน่ สามารถ พราหมณ์ ● พยัญชนะซ่ึงตามหลังพยัญชนะสะกดในค�าซ่ึงมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต เช่น วตั ร พทุ ธ ● ร ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของอกั ษรควบไมแ่ ท ้ เชน่ สรา้ ง จรงิ ● ห หรอื อ ซงึ่ นา� อกั ษรตา่� เดย่ี ว เชน่ หลาก อยาก นอกจากรปู และเสยี งพยญั ชนะจะไมต่ รงกนั เมอื่ ใชใ้ นค�าตา่ งๆ แลว้ รปู และเสยี งสระเมอื่ ใชใ้ นคา� ตา่ งๆ กอ็ าจไมต่ รงกนั ดว้ ย 149 ขอสอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเก่ียวกับเสียงพยัญชนะตนในภาษาไทย 1 พยญั ชนะทาย คือเสยี งพยัญชนะท่นี าํ มาใชเปน ตัวสะกด รูปพยัญชนะท่ีไมใ ชเปน ขอใดมีเสียงพยัญชนะตน มากที่สดุ (ไมนบั เสยี งซํา้ ) ตวั สะกดเลยไดแ ก ฉ ฌ ผ ฝ อ ห และ ฮ สว นพยัญชนะตน ซึง่ เปนสวนประกอบใน 1. ใครมาเปนเจา เขา ครอง โครงสรา งพยางคนนั้ พยัญชนะตน หมายถงึ เสียงท่เี มอ่ื เปลงแลว ทางเดนิ ของลมถูก 2. คงจะตอ งบงั คับขบั ไส ปดกนั้ หรือถูกทาํ ใหแ คบจนลมออกมาไมส ะดวก แบง ออกเปน 2 ประเภท คือ เสียง 3. เคย่ี วเขญ็ เย็นค่าํ กรําไป พยญั ชนะเดีย่ วและเสียงพยัญชนะประสม หรือ คาํ ควบกลํา้ 4. ตามวิสยั เชงิ เชน ผเู ปน นาย 2 ธุช หมายถึง ธง (เปนคาํ ทแี่ ผลงจากคาํ วา ธช) วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ตามวิสัยเชงิ เชน ผเู ปน นาย มเี สยี งพยญั ชนะ 3 รตั น หรือรตั นะ หมายถึง แกว ที่ถือวามีคา ย่ิง อาทิ อติ ถีรัตนะ คอื นางแกว หัต- ถิรัตนะ คอื ชางแกว หรอื หมายถึง คน สตั ว หรอื สง่ิ ของทถ่ี อื วาวิเศษและมีคามาก เชน ตน มากท่สี ดุ จาํ นวน 7 เสยี ง ประกอบดวย เสียง (ต) ตาม (ว) วิ (ช) เชิง เชน รตั นะ 7 ของพระเจา จักรพรรดิ ไดแก 1. จกั รรัตนะ หมายถึง จกั รแกว 2. หตั ถิรตั นะ (พ) ผู (ป) เปน (น) นาย สว นในขอ อ่ืนๆ นัน้ มเี สยี งพยัญชนะตน ดงั ตอไปน้ี หมายถึง ชา งแกว 4. อัสสรัตนะ หมายถงึ มา แกว 4. มณีรัตนะ หมายถึง มณแี กว 5. ขอ ที่ 1. มีเสยี งพยญั ชนะตน จาํ นวน 5 เสียง ประกอบดวย (ค) เขา (คร) ใคร อิตถรี ัตนะ หมายถึง นางแกว 6. คหปติรัตนะ หมายถงึ ขุนคลังแกว 7. ปริณายกรัตนะ ครอง (ม) มา (ป) เปน (จ) เจา ขอที่ 2. มีเสยี งพยญั ชนะตน จํานวน 5 เสยี ง หมายถงึ ขุนพลแกว หรอื หมายถงึ ของประเสรฐิ สดุ หรอื ของยอดเยยี่ ม เชน รตั นะ 3 ประกอบดว ย (ค) ขบั คง คับ (จ) จะ (ต) ตอง (บ) บงั (ส) ไส ขอ ท่ี 3. มีเสียง พยญั ชนะตน จาํ นวน 4 เสียง ประกอบดวย (ค) เคยี่ ว ค่าํ เข็ญ (ย) เยน็ (กร) กราํ (ป) ไป ประการ คือ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ คู่มือครู 149
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกันแสดงความคิดเห็น ตวั อยา่ ง ก. สระบางเสยี งใชอ้ กั ษรแทนไดห้ ลายรปู โดยปกตริ ปู สระทต่ี า่ งกนั จะมาจากคา� ภาษาอน่ื ดังตอไปนี้ เชน่ • เสียงสงู -ต่าํ หรือเสียงวรรณยุกตในภาษาไทย มคี วามแตกตา งจากเสียงสงู -ตา่ํ หรือเสยี ง กา� (ไทย) กรรม (สนั สกฤต) วรรณยกุ ตในภาษาอืน่ อยา งไร ใน (ไทย) นยั (บาล)ี (แนวตอบ เสียงวรรณยกุ ตห รือเสยี งสงู -ต่ําใน พนั (ไทย) พรรณ (สนั สกฤต) ภาษาไทย มีการเปลี่ยนระดับเสยี งของคําใน ตวั อยา่ ง ข. คา� บางคา� มรี ปู สระแตไ่ มอ่ อกเสยี งสระ คา� เหลา่ นเ้ี ปน็ คา� ทมี่ าจากภาษาอน่ื เชน่ ภาษา ซงึ่ ทําใหค วามหมายของคําเปล่ยี นไป โลกนติ ิ อา่ นวา่ โลก-กะ-นดิ แตกตา งจากภาษาอืน่ แมจะมีเสยี งสูง-ต่าํ แต ประวตั ิ อา่ นวา่ ประ-หวดั เสียงนน้ั กไ็ มส ง ผลตอการเปลี่ยนแปลงความ- ธาตุ อา่ นวา่ ทาด หมาย แตภ าษาไทยมลี ักษณะพิเศษ คือ มีทงั้ เหตุ อา่ นวา่ เหด เสียงและรปู วรรณยุกตทีส่ ง ผลใหค วามหมาย ตวั อยา่ ง ค. คา� บางคา� ออกเสยี ง อะ แตไ่ มม่ รี ปู สระ -ะ หรอื ประวสิ รรชนยี ์ เชน่ สกล นคร จรญู ของคาํ มคี วามเปลย่ี นแปลงได) ๓) เสกยี รงณวยี ร์ รวณจี ยเปกุ น็ตตแ์ 1น้ละรปู วรรณยกุ ต์ ภาษาไทยเปน็ ภาษาทมี่ วี รรณยกุ ต์ กลา่ วคอื มกี าร • เสยี งวรรณยุกตใ นภาษาไทยมคี วามสาํ คญั เปลยี่ นระดบั เสยี งของคา� ในภาษาซง่ึ ทา� ใหค้ วามหมายของคา� เปลย่ี นไป แมว้ า่ ภาษาทกุ ภาษามเี สยี ง อยา งไร สูงๆ ตา่� ๆ ในการพูด แตถ่ า้ เสียงสูงต่า� น้ันไม่ท�าใหค้ วามหมายเปลี่ยนไป ภาษาเหลา่ นั้นก็มเี พียง (แนวตอบ เสยี งวรรณยกุ ตในภาษาไทยทําให ระดับเสียงต่างๆ ในการพูด ไมน่ ับวา่ มวี รรณยกุ ต์ และในบรรดาภาษาที่มีวรรณยกุ ต์ ภาษาไทยมี การออกเสียงสูง-ต่าํ ของคาํ มคี วามแตกตา งกนั ลักษณะพเิ ศษ คือ มีท้ังเสียงและรูปวรรณยุกต์ สง ผลตอ ความหมายของคําทม่ี คี วามแตกตาง ๓.๑) เสียงวรรณยกุ ต์ เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาไทยมี ๕ เสยี ง กนั ไปดวย ทาํ ใหสามารถสรางเสียงตางๆ ได ๑. ภาษาไทยมวี รรณยกุ ต์ ๕ เสยี ง หมายถงึ ภาษาไทยกลางหรอื ภาษาถนิ่ ภาค มากมาย กลายเปน คําทม่ี ีความหมายและ กลาง ซง่ึ เปน็ ภาษามาตรฐาน เปน็ ภาษาท่ีใชใ้ นราชการ หากเปน็ ภาษาถนิ่ อน่ื อาจแตกตา่ งไปบา้ ง พยางคทไ่ี มมคี วามหมาย เชน คาํ วา จา จา เชน่ ภาษาถน่ิ เหนอื มเี สยี งวรรณยกุ ต์ ๖ เสยี ง จา จา จา ซ่งึ มบี างคาํ ท่ีมีความหมายและ ๒. การทภี่ าษาไทยมเี สยี งวรรณยกุ ต์ ทา� ใหส้ ามารถสรา้ งเสยี งตา่ งๆ ไดม้ ากมาย บางคําทไ่ี มมคี วามหมาย หรอื ใชใ นการ กลายเปน็ คา� ทมี่ คี วามหมายและเปน็ พยางคท์ ่ีไมม่ คี วามหมาย เนอ่ื งจากการเปลยี่ นเสยี งวรรณยกุ ต์ เขยี นคําท่มี าจากภาษาอื่น เชน เจี๊ยะ ทา� ให้ความหมายเปลย่ี นไป เช่น สามารถผันวรรณยุกต์ กอ กอ่ ก้อ ก๊อ กอ๋ ไดค้ รบ ๕ เสียง แต่ หรอื คาํ เลียนเสยี งธรรมชาติ เชน เปรยี๊ ะ) ใชเ้ พยี ง ๒ เสยี ง คือ กอ และ ก่อ ส่วนอกี ๓ เสยี ง คือ กอ้ ก๊อ กอ๋ เป็นเพยี งพยางคท์ ี่ไมไ่ ด้ใช้ • เสยี งวรรณยกุ ตในภาษาไทยมีจํานวนกเ่ี สียง ในคา� ไทย นอกจากน้ีเสยี งบางเสยี งอาจใช้เขียนค�าที่มาจากภาษาอนื่ เช่น เก๊ียะ หรอื ใชเ้ ขยี นคา� อะไรบา ง เลียนเสยี ง เช่น เผยี ะ เปร๊ียะ เป็นตน้ (แนวตอบ วรรณยกุ ตในภาษาไทยมี 4 รูป 5 อย่างไรก็ตาม พยางค์ทุกพยางค์ที่คนไทยออกเสียงมีเสียงวรรณยุกต์ก�ากับอยู่ เสยี ง ประกอบดว ย วรรณยกุ ตไมมีรูป ไดแก ดว้ ยเสมอ แตบ่ างพยางคเ์ ทา่ นน้ั ทสี่ ามารถใชเ้ ปน็ คา� คอื มคี วามหมายในตนเอง เสยี งสามญั และวรรณยุกตม ีรูป ไดแ ก เอก โท ตรี และจตั วา) 150 2. ครูสุม นกั เรยี นแตละกลุม ออกมานาํ เสนอ หนาชัน้ เรยี น นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดมเี สียงวรรณยุกตต รมี ากทส่ี ดุ 1 เสียงวรรณยกุ ต คอื เสยี งทเี่ ปลง ออกมาเปนเสยี งสงู -ต่าํ ตางกนั ความ 1. ประเพณกี ินเจของชาวจีนมีอาหารเจขายมากมาย แตกตา งของเสยี งสงู ตํ่านท้ี ําใหคําที่มีเสยี งพยญั ชนะและเสยี งสระเหมอื นกัน เมอ่ื มี 2. มีรา นคาขายโคกยงั ตดิ ธงเจสีเหลอื งเลย เสยี งวรรณยุกตแลวจะทําใหมีความหมายตางกัน เสียงและรูปวรรณยุกตใ นภาษาไทย 3. ผัดหม่ี ผัดซอี ๊ิว และโกซหี มี่ขายดเี ปนเทน้ําเททา ประกอบดว ย 4 รปู 5 เสยี ง คือ 1. เสยี งสามญั 2. เสียงเอก ( ่ ) 3. เสียงโท ( ้) 4. เธอชอบกนิ อาหารเจใชไหม วันพรงุ นี้ฉันจะซ้ือมาฝาก 4. เสยี งตรี ( ๊ ) 5.เสยี งจตั วา ( ๋ ) การเรยี นรูเ รือ่ งวรรณยกุ ตเกย่ี วของกับการผัน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. มรี า นคาขายโคกยงั ติดธงเจสเี หลืองเลยมี อกั ษร การทน่ี กั เรียนจะสามารถผันอกั ษรไดถูกตอ งตามหลกั นน้ั นักเรียนตอ งมี เสยี งวรรณยกุ ตต รีจํานวน 3 คํา ไดแก คําวา รา น คา โคก ความรูเร่ืองคําเปนคําตายและไตรยางศ โดยไตรยางศหรืออกั ษร 3 หมู คือ การแบงตัวพยญั ชนะไทยโดยใชระดับเสยี ง แบงเปน กลุม 3 กลุม ประกอบดวย 1. อกั ษรสูง ไดแก ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห รวม 11 ตวั พ้ืนเสียงเปน เสียงจตั วา 2. อกั ษรกลาง ไดแก ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ รวม 9 ตัว พ้ืนเสียงเปนเสยี งสามัญ 3. อกั ษรตํ่า ไดแ ก ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ รวม 24 ตัว พน้ื เสียงเปน เสียงสามญั 150 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๓. วรรณยุกต์มี ๕ เสียง จะสมบูรณ์จริงเฉพาะการพูด หรือการออกเสียง 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคิดเห็น หมายความวา่ สามารถออกเสยี งวรรณยกุ ต์ได ้ ๕ เสยี งจรงิ ทง้ั คา� เปน็ และคา� ตาย แต่ในการเขยี นจะ ดงั ตอ ไปนี้ เขยี นไดไ้ มส่ มบรู ณ ์ เชน่ คา� ตาย ออกเสยี งสามญั ได ้ แตเ่ ขยี นเสยี งสามญั ไมไ่ ด ้ การเขยี นจงึ เปน็ ดงั น้ี • การผันเสยี งวรรณยุกตในภาษาไทยตอ ง คาํ นึงถงึ เร่ืองใดบาง อยางไร เสยี ง สำมญั เอก โท ตรี จตั วำ (แนวตอบ การผนั เสยี งวรรณยกุ ตท ั้ง 5 เสยี ง ชนดิ คำ� ่้๊๋ ตอ งคํานึงถึงสว นประกอบของพยางค ใน สวนของพยญั ชนะตน มที ั้งหมด 44 รูป โดย คำ� เปน็ กา กา่ กา้ กา๊ กา๋ แบง ออกเปน 3 หมู ตามฐานกรณท ่ีใชใ นการ คำ� ตำย - กะ กะ้ กะ๊ กะ๋ ออกเสยี ง เรียกวา ไตรยางศ ประกอบดว ย อกั ษรสูง อกั ษรกลาง และอกั ษรตาํ่ โดย ๓.๒) รูปวรรณยุกต์ การใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ในภาษาไทย สังเกตได้ ดังน้ี อักษรตํ่าแยกเปน ตาํ่ คแู ละตํา่ เดยี่ ว ซึ่งอกั ษร ๑. ภาษาไทยมรี ปู วรรณยกุ ต ์ ๔ รปู คอื ่ ้ ๊ ๋ รปู กบั เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาไทย ทง้ั 3 หมู มีวิธกี ารผนั อักษรแตกตางกนั อาจไมต่ รงกนั คอื ถา้ พยญั ชนะตน้ เปน็ อกั ษรตา�่ เสยี งและรปู วรรณยกุ ตจ์ ะไมต่ รงกนั หรอื จะจา� งา่ ยๆ นอกจากน้ี ยงั ตองคาํ นงึ ถงึ ชนิดของคําวา เปน็ สตู รวา่ ตา�่ ไมต่ รงรปู คอื ถา้ พยญั ชนะตน้ เปน็ อกั ษรตา�่ รปู วรรณยกุ ตเ์ อก จะเปน็ เสยี งโท เชน่ คา่ เปนคาํ เปน หรอื คําตาย) ลา่� คะ่ หากเปน็ รปู วรรณยกุ ต์โทจะเปน็ เสยี งตร ี เชน่ คา้ แลว้ ดว้ ยเหตนุ อ้ี กั ษรตา�่ จงึ ไม่ใชไ้ มต้ รเี ลย • การเขียนรูปวรรณยกุ ตใ นภาษาไทยตอง ๒. คา� ทมี่ พี ยญั ชนะตน้ สองตวั ไดแ้ ก ่ อกั ษรควบ หรอื อกั ษรนา� เชน่ กล - คว - คํานึงถงึ เร่ืองใดบาง อยา งไร ตร - สล - อร - อย - ฯลฯ ถา้ มวี รรณยกุ ต ์ ตอ้ งเขยี นไวบ้ นพยญั ชนะตวั หลงั แตก่ ารผนั วรรณยกุ ต ์ (แนวตอบ วรรณยกุ ตในภาษาไทยมี 4 รปู ถอื พยญั ชนะตวั หนา้ เปน็ หลกั โดยรูปกับเสยี งวรรณยกุ ตบ างคําจะไมต รงกัน เชน พยัญชนะตน เปน อักษรตํ่า รปู วรรณยุกต ๓. สว่ นประกอบของภ�ษ� เอกจะเปนเสียงโท สวนรปู วรรณยกุ ตโ ทจะ เปนเสียงตรี เหตนุ ีอ้ ักษรตํา่ จึงไมมกี ารใช สว่ นประกอบของภาษา ไดแ้ ก ่ เสยี ง คา� และประโยค ในภาษาไทยมเี สยี งพยญั ชนะ ๒๑ เสยี ง ไมต รี แตม ีเสยี งตร)ี เสียงสระ ๒๑ เสยี ง และเสยี งวรรณยกุ ต ์ ๕ เสยี ง เม่ือน�าเสียงเหลา่ น้ีมาประกอบกันทัง้ หมดจะได ้ ค�าเพิ่มมากขึ้นและเมื่อประกอบเป็นค�าแล้ว สามารถน�ามาเรียงเป็นกลุ่มค�าและประโยคได้เป็น 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ จ�านวนมาก นอกจากนั้น ยังสามารถน�าประโยคท่ีมีอยู่มารวมกัน หรือซ้อนกันท�าให้ได้ประโยค ยาวออกไปเร่อื ยๆ โดยไมจ่ า� กัดจ�านวน ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑) องคป์ ระกอบของพยำงค ์ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสยี งวรรณยกุ ต ์ แมจ้ ะแยกเปน็ ประเภทได้อย่างชัดเจน แต่เสียงเหล่านี้จะอยู่รวมกันเสมอโดยประกอบกันข้ึนเป็นพยางค์ เสียง นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมตอ คาํ ศพั ททค่ี ลอ งจอง พยญั ชนะทอ่ี ยหู่ นา้ เสยี งสระในพยางคเ์ รยี กวา่ เสยี งพยญั ชนะตน้ สว่ นเสยี งพยญั ชนะทอ่ี ยหู่ ลงั เสยี ง กัน โดยกาํ หนดคําศัพทจ ากนัน้ ใหหาคาํ ทอี่ อก สระในพยางค์เรยี กว่า เสยี งพยัญชนะท้าย หรือเสียงพยัญชนะสะกด ซึ่งเสียงนบ้ี างพยางค์ไมม่ ี แต่ เสยี งเหมือนกนั อาจเปน เสยี งวรรณยกุ ต หรือเสียง ทกุ พยางคจ์ ะตอ้ งมเี สียงพยญั ชนะต้น เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกตเ์ สมอ เสยี งพยญั ชนะต้นอาจม ี พยัญชนะ พรอมบอกความหมายของคําตามเวลา เสียงเดยี ว เชน่ ตา มเี สยี ง /ต/ เปน็ เสียงพยญั ชนะต้น หรอื อาจมีสองเสยี งควบกนั เช่น ครู กว่า ทก่ี ําหนด เสยี งพยญั ชนะเสียงทีส่ องนัน้ จะเปน็ เสยี ง /ร/ /ล/ /ว/ เทา่ น้ัน เรียกเสียงทีค่ วบกนั นว้ี า่ เสียงควบกลา้� ตรวจสอบผล Evaluate 151 นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกยี่ วกบั เสียง ในภาษาไทยท้ังเสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ต ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT พรอ มปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตอคําศัพทได เกร็ดแนะครู ขอ ใดมพี ยางคค าํ ตายมากท่ีสดุ ครูผูส อนควรเพ่มิ เตมิ ความรูเกย่ี วกับการผนั วรรณยกุ ตในภาษาไทย ดงั นี้ 1. อันอิเหนาเอามาทาํ เปนคํารอง 2. สําหรบั งานการฉลองกองกศุ ล เสยี งพยัญชนะ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา 3. ครั้งกรงุ เกา เจา สตรีเธอนพิ นธ อกั ษรกลางคาํ เปน กา กา กา กา กา 4. แตเร่อื งตน ตกหายพลดั พรายไป อกั ษรกลางคาํ ตาย - กะ กะ กะ กะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สาํ หรับงานการฉลองกองกุศล มีคาํ ตาย อกั ษรสงู คาํ เปน - ขา ขา - ขา จาํ นวน 3 พยางค คอื สําหรับ ฉลอง กศุ ล ขอ 1. มี 1 พยางค คือ อิเหนา อกั ษรสูงคําตาย - ขะ ขะ - - ขอ 3. มี 2 พยางค คือ สตรี นพิ นธ และขอ 4. มี 2 พยางค คอื ตก พลัดพราย อกั ษรตาํ่ คําเปน คา - คา คา - อักษรตาํ่ คําตายสระเสยี งสั้น - - คะ คะ คะ อักษรตา่ํ คําตายสระเสยี งยาว - - โนต โนต โนต อักษรสงู - ขา ขา - ขา อกั ษรต่าํ (คู) คา - คา คา - ครผู สู อนควรเพ่ิมเตมิ ความรวู า การผันอกั ษรสงู กบั อกั ษรกลางมีเสียงตรงกบั รปู เสมอ วธิ ีผนั อกั ษรสูงและอกั ษรต่ําใหค รบ 5 เสยี ง ทําไดโดยนําอักษรตา่ํ คทู ีม่ ี เสียงคกู ับอักษรสูงมาผนั คกู ันดงั ปรากฏในตารางขางตน ค่มู อื ครู 151
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage นักเรยี นพิจารณาคาํ ศพั ท จากน้ันนกั เรยี น พยางค ์ จงึ หมายถงึ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาครง้ั หนงึ่ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม่ คี วามหมาย รวมกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี กไ็ ด ้ พยางคม์ อี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ นดงั น้ี คริ ิเมขล จัตรุ พริ ีย ชเยศ นฤขตั รพิชัย ๑. พยญั ชนะตน้ อาจเปน็ พยญั ชนะตน้ เดย่ี วหรอื พยญั ชนะตน้ ควบ สยามินทร รัตนตรเั ยศ สมทิ ธิมาตงค • นักเรียนคิดวา คําศัพทข างตนประกอบดว ย ๒. สระ อาจเปน็ สระเดยี่ วเสยี งสน้ั หรอื สระเดยี่ วเสยี งยาว หรอื สระเลอ่ื น วิธีการประสมอักษรกี่สว น อยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอ ยาง ๓. วรรณยกุ ต์ หลากหลายข้ึนอยูก ับเหตุผลของนักเรียน การนา� องคป์ ระกอบทงั้ ๓ สว่ น คอื พยญั ชนะตน้ สระ และวรรณยกุ ต ์ มาประสมกนั เรยี กวา่ เนอ่ื งจากกจิ กรรมในชว งนี้เปน กิจกรรมในขน้ั ของการกระตนุ ความสนใจ เนนใหน กั เรียน วธิ ปี ระสมอกั ษร พยางคห์ นงึ่ จะมกี ารประสมอกั ษรตงั้ แต ่ ๓ สว่ นขน้ึ ไป วธิ ปี ระสมอกั ษรม ี ๓ วธิ ี ตั้งสมมติฐาน) ดงั นี้ ๑.๑) การประสมอักษร ๓ ส่วน วิธีน้ีเรยี กว่า มาตรา กะ กา หรือ แม่ ก กา มสี ระ พยญั ชนะ และวรรณยกุ ต ์ ประสมด้วยสระจ�านวน ๒๑ เสียง ยกเว้น ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เช่น สา� รวจคน้ หา Explore กะ กา ก ิ ก ี ก ึ ก ื ก ุ ก ู เกะ เก แกะ แก โกะ โก เกาะ กอ เกอะ เกอ เกยี เกอื กวั สว่ นพยางคท์ ม่ี สี ระ อา� ใอ ไอ เอา กา� หนดตามรปู สระจะเปน็ การประสมอกั ษร ๓ นกั เรยี นรว มกนั สบื คน ขอมูลเกย่ี วกับ สว นประกอบของภาษา ทง้ั องคป ระกอบของพยางค สว่ น จดั อย่ใู น ก กา เชน่ ดา� ใจ ไป เรา เปน็ ตน้ และองคประกอบของคาํ ถา้ ตามสา� เนยี งอกั ษรประสมกนั แลว้ ตอ้ งอย่ใู นวธิ ปี ระสม ๔ สว่ น เพราะเปน็ เสยี ง มตี วั สะกด เชน่ สระ อา� จะมเี สยี ง ม เปน็ ตวั สะกด อธบิ ายความรู้ Explain ๑.๒) การประสมอักษร ๔ ส่วน วธิ นี ้ีมี ๒ อย่างคอื ๑. ประสม ๔ สว่ นปกต ิ คือ การประสมอักษร ๓ สว่ น แล้วเพม่ิ เติมตัวสะกด 1. นักเรียนรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ เป็นสว่ นที่ ๔ เรียกต่างกนั เปน็ มาตรา ๘ มาตรา คอื แมก่ ก แมก่ ง แมก่ ด แม่กน แมก่ บ แมก่ ม ตอ ไปนี้ แม่เกย แมเ่ กอว เป็นค�าตาย ๓ แม ่ คือ แมก่ ก แมก่ ด แมก่ บ นอกนน้ั เป็นคา� เป็น • พยางคแ ละคํามคี วามแตกตา งกันอยา งไร พยางค์ประสม ๔ ส่วนปกต ิ แม่กก ประสมด้วยสระตา่ งๆ เชน่ กัก กาก กกิ และมอี งคป ระกอบอยา งไร กกี กกึ กกื กกุ กกู เกก็ เกก แกก็ แกก กก โกก กอ็ ก กอก เกกิ เกยี ก เกอื ก กวก (แนวตอบ พยางค หมายถงึ เสยี งทเ่ี ปลง ออกมา ครง้ั หนงึ่ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม คี วามหมาย พยางค์ทีป่ ระสมสระอา� อยู่ในแมก่ ม ก็ได แตกตางจากคํา ซงึ่ เปน เสยี งทีเ่ ปลง พยางคท์ ีป่ ระสมสระใอ ไอ อยู่ในแม่เกย ออกมาแลวมคี วามหมาย โดยพิจารณา ความหมายเปนหลกั พยางคม ีองคประกอบ พยางค์ประสมสระเอา อยู่ในแมเ่ กอว 3 สวน ไดแก 1. พยญั ชนะตน อาจเปน ๒. การประสมอักษร ๔ ส่วนพิเศษ คือ วิธีประสม ๓ ส่วน ซึ่งมีตัวการันต์ พยญั ชนะตนเด่ยี วหรือพยญั ชนะตนควบ 2. เพมิ่ เข้าเปน็ ส่วนท ี่ ๔ ได้แก ่ แม่ ก กา มีตัวการันต์ เช่น การต์ ูน สปั ดาห ์ อาคเนย์ เปน็ ต้น สระ อาจเปน สระเด่ียวเสยี งส้นั หรอื สระเดยี่ ว ๑.๓) การประสมอักษร ๕ ส่วน ได้แก ่ วธิ ีประสม ๔ ส่วนปกติ ซ่ึงมตี ัวการันตเ์ ติมเข้า เป็นสว่ นที ่ ๕ ไดแ้ ก่ มาตราทั้ง ๘ แม ่ ที่มตี ัวการันต์ เช่น อปั ลกั ษณ์ เหตุการณ ์ แสตมป์ เปน็ ตน้ เสียงยาว หรอื สระเล่ือน และ 3. วรรณยุกต เมื่อนาํ องคประกอบทง้ั สามมาประสมกนั เรยี กวา วิธีการประสมอกั ษร) 152 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกับโครงสรางพยางคใ นภาษาไทย เกร็ดแนะครู ในการเรยี นการสอนเร่อื ง สว นประกอบของภาษา ซง่ึ มเี น้ือหาสาํ คญั กลา วถงึ เสยี งของพยางคในขอ ใดมโี ครงสรา งตา งกบั ขออื่น องคป ระกอบของภาษาไทย ครูผูสอนควรทบทวนความรคู วามเขาใจของนกั เรียน 1. ขวาน เกย่ี วกับสว นประกอบของภาษา เรมิ่ ตนจากการใหนักเรียนพิจารณาคําศัพทท ่ี 2. หลาม กาํ หนดใหในกจิ กรรมกระตุนความสนใจ เพ่ือใหนกั เรยี นไดเกดิ การทบทวนและต้งั 3. เผย สมมติฐานเกยี่ วกบั ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยในดา นอกั ขรวธิ ใี นการเขียนสะกดคํา 4. ฝงู จากนนั้ ครจู ึงเพ่มิ เตมิ ความรูความเขา ใจเกยี่ วกับองคป ระกอบของภาษา เพอ่ื ทบทวน ความรขู องนักเรยี น และเปน การปพู ื้นฐานใหน กั เรยี นไดพิจารณาความแตกตางที่ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ขวาน มีโครงสรางพยางคแ ตกตางจาก เปน ลักษณะเฉพาะในภาษาไทย โดยองคป ระกอบของภาษาโดยทั่วไปประกอบดว ย ขออ่นื เนื่องจากมเี สียงพยัญชนะตนเปน เสียงควบแท จึงมีเสยี งพยัญชนะตน 2 เสยี ง สวนในขอ อน่ื ๆ มีเสียงพยญั ชนะตนเพียงเสียงเดียว 4 สวน คือ 1. เสียง ภาษาเกิดจากเสียงท่ใี ชพดู กัน คาํ ท่ใี ชพดู จากนั ในภาษาไทย ประกอบดว ยเสียงสระ เสียง พยญั ชนะ และเสยี งวรรณยุกต 2. พยางคแ ละคํา ซ่ึง มคี วามแตกตา งกันโดยพจิ ารณาจากความหมาย 3. ประโยค เปน การนาํ คาํ มาเรยี ง กนั ตามลักษณะโครงสรา งของภาษาแตล ะภาษา และทําใหท ราบหนาทขี่ องคํา 4. ความหมาย แบง ออกเปน 2 แบบ คือ ความหมายนยั ตรงและนัยประหวัด 152 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) องคป์ ระกอบของค�ำ คา� คอื เสียงท่เี ปล่งออกมาและมคี วามหมายอย่างหน่งึ จะเป็น 1. นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอ ไปน้ี กี่พยางค์ก็ได้ พยางค์ท่ีมีความหมายอาจประกอบด้วยพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ ค�าท ่ี • การประสมอักษรมีสว นประกอบก่สี ว น และ ประกอบด้วยพยางคเ์ ดียวเรียกวา่ คา� พยางค์เดยี ว เช่น เยน็ มา เดนิ เพลิน สวน พอ่ ชาย หญิง มีวธิ กี ารอยา งไร สว่ นค�าที่ประกอบดว้ ยพยางค์หลายพยางค ์ เรียกวา่ คา� หลายพยางค์ เชน่ ตกุ๊ ตา อาหาร พยคั ฆ์ (แนวตอบ วิธกี ารประสมอักษรมี 3 วิธี ไดแก เป็นตน้ ค�าจงึ ประกอบด้วยเสียงและความหมายซงึ่ มีจา� นวนพยางคเ์ ท่าไรก็ได้ 1. การประสมอักษร 3 สว น ประกอบดว ย พยญั ชนะ สระ และวรรณยุกตโ ดยประสม ภาษาไทยประกอบด้วยเสียงและความหมาย ในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและมี ดวยสระจาํ นวน 21 เสยี ง (ไมร วม อวั ะ เออื ะ ประสิทธิผลจ�าเป็นต้องค�านึงถึงการใช้เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพื่อสามารถสื่อความหมายได้ เอยี ะ) ยกเวน ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ 2. การประสม ชัดเจน โดยอาศัยการเรียนรู้และน�าไปใชผ้ า่ นทักษะการฟงั การพูด การเขยี นในชวี ติ ประจ�าวัน อักษร 4 สว น แบงเปน 2 รปู แบบ คือ ประสม 4 สว นปกติ คือ การประสมอักษร 3 สวน แลว เพม่ิ ตัวสะกด และการประสม 4 สวนพิเศษ คือ เพม่ิ ตวั การนั ตโดยไมม ี ตวั สะกด และ 3. การประสมอักษร 5 สว น คือ ผสม 4 สว นปกติ แลว เพมิ่ ตัวการันต เขา ไปหลังตัวสะกด) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคิด โดยใหนักเรียน เลอื กคําศัพทคนละ 1 คาํ ท่ีแสดงถงึ คุณสมบตั ิ ของนกั เรียน โดยหามซา้ํ กัน เชน หลอ สวย เท ดี นา รัก เปน ตน 2. นกั เรยี นจดั กลุมคาํ ศัพททม่ี ีการประสมอกั ษร เหมอื นกัน 3. นกั เรยี นรว มกนั แตงประโยคจากคาํ ศัพทท่ี นักเรียนรว มกนั ระดมความคิด 4. นกั เรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี • นักเรียนคดิ วา จากกิจกรรมขางตน แสดงลักษณะของคาํ ในภาษาไทยอยางไร (แนวตอบ สะทอ นสวนประกอบของพยางคท ่ี มหี ลายสวน ซ่ึงรปู เขยี นและเสียงที่ปรากฏ อาจจะไมส อดคลอ งกัน เปน ลักษณะเดน 153 ทางภาษาท่ีไดร บั อิทธิพลจากภาษาอื่น) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 5. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอใดมีการประสมอกั ษรเหมือนคาํ วา สัมฤทธิ์ เกร็ดแนะครู 1. พระเจา 2. สามญั ในการจัดกิจกรรมระดมความคดิ เหน็ ของนักเรยี นครผู ูสอนควรใหน ักเรยี นทุกคนได 3. เจา เลห มีสวนรวมในการปฏิบตั ิกจิ กรรมใหมากท่สี ดุ เพ่ือเปน จดุ เร่มิ ตนในการทาํ ความเขา ใจ 4. คําศัพท เน้อื หาและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมอ่นื ๆ ท่ตี องอาศยั ความรวมมอื จากนกั เรียนเพมิ่ มากขึน้ และกจิ กรรมดังกลาวกม็ ีความซับซอ นดานเน้อื หามากขึ้นอกี ดวย ฉะน้นั การกระตนุ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. คําศัพท มเี หตุผล ดงั ตอ ไปนี้ ความสนใจของนกั เรยี น เพ่อื ใหน ักเรียนมีสว นรวมในการปฏบิ ตั ิกิจกรรมอยางเตม็ ท่ี ยอ มถอื เปนสวนสําคัญในการเปด ประเดน็ ความคดิ เพือ่ นําเขา สูเน้อื หาในบทเรียน สัม และ คํา เปน การประสมอกั ษร 4 สว น เน่ืองจากสระอํามีการเพม่ิ เสียง ตัวสะกด ม สว น ฤทธ์ิ และ ศัพท เปน การประสมอกั ษร 5 สวน นอกจากครูผสู อนจะเนนประเด็นในการปฏิบตั ิกจิ กรรมแลว ครูผูสอนควรเพ่ิมเติม ความรูความเขา ใจของนกั เรียนดวยการสรุปหลกั การประสมอกั ษรใหผเู รยี นจดจําได งายข้ึน ดังน้ี 1. การประสมอักษรทุกแบบจะตอ งมเี สยี งพน้ื ฐาน คอื เสียงพยัญชนะตน เสียงสระ และเสยี งวรรณยกุ ต ซง่ึ เปน พื้นฐานการประสมอักษรสามสว น 2. หากเตมิ ตวั สะกดจะเปนการประสมอักษรสี่สว น แตถ าเติมตวั การันตจ ะเปน การ ประสมอกั ษรสสี่ ว นพิเศษ 3. หากเติมทัง้ ตัวสะกดและการันตจ ะเปนการประสมอักษรหาสว น คมู่ ือครู 153
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore สา� รวจคน้ หา Explore นักเรียนรว มกนั สืบคนขอมลู เกย่ี วกับบทความ ปกณิ กะ ตา่ งถิน่ ต่างภาษา เรือ่ ง ตางถ่ิน ตางภาษา อธบิ ายความรู้ Explain ภาษาในแต่ละท้องถ่ินของไทยมีสำาเนียงการพูดและคำาศัพท์ที่แตกต่างกัน ตามท้องถ่นิ ได้แก่ ภาษาถ่ินกลาง ภาษาถิ่นเหนอื ภาษาถน่ิ ใต้ และภาษาถน่ิ อสี าน 1. นกั เรียนรวมกันแสดงความคดิ เห็นในประเด็น เปน็ ตน้ โดยมสี าเหตจุ ากการขาดการตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานานระหวา่ งผทู้ พ่ี ดู ภาษาเดยี วกนั ตอ ไปน้ี จึงทำาให้ภาษาผิดเพ้ียนไป หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาษา โดยเฉพาะการ • จากตารางเปรียบเทียบการใชภ าษาไทยใน เปลย่ี นแปลงเสยี ง ซึ่งเปน็ ไปอย่างสม่าำ เสมอ และมรี ะเบียบ ท้ังน้เี พราะภาษาเป็นสง่ิ ทม่ี ี ทอ งถ่ินตา งๆ นกั เรียนคดิ วา ความแตกตาง การเปลยี่ นแปลงได้ ดงั ตัวอย่าง ของเสยี งในภาษามสี าเหตุมาจากอะไร (แนวตอบ เกิดจากการเปลีย่ นแปลงของภาษา ภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคอสี าน ภาคใต้ โดยเฉพาะการออกเสียงแตล ะเสยี ง) ฝร่ัง บ่าก้วย, บา่ มั่น, หมากสดี า ย่าหมู, ชมพู่ 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ บ่าแกว๋ น้อยหนา่ บ่าหนอ้ แหน้ หมากเขียบ หนอ่ ยน่า ขยายความเขา้ ใจ Expand กระทอ้ น บ่าตอ้ ง หมากตอ้ ง ลูกท้อน มะพรา้ ว บา่ ป๊าว หมากพ่าว พรา้ ว 1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ มะม่วง มะมว่ ง หมากมว่ ง ลูกมว่ ง • นกั เรียนคดิ วา ความรูความเขา ใจเกีย่ วกับ มะละกอ บา่ ก้วยเตด หมากหงุ่ ลอกอ ความแตกตางของภาษาถน่ิ มคี ุณคาตอการ สบั ปะรด บา่ ขะนด๋ั หมากนัด สับรด, ยานัด, มะลิ ศึกษาของนักเรยี นอยางไร ขนนุ บา่ หนนุ หมากมี่ หนุน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พทุ รา บ่าตนั หมากทนั พุทรา ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของ ชมพู่ บา่ ชมพู หมากชมพู นำา้ ดอกไม้ นกั เรียน เปนตน วา ความเขา ใจเกีย่ วกบั ความ ละมุด บ่ามดุ หมากล่ามดุ มดุ หรั่ง, สวา แตกตา งของภาษาในแตล ะทองถ่นิ มปี ระโยชน อยา งย่งิ ตอการทาํ ความเขา ใจวถิ ีชีวิตและ หมายเหตุ วฒั นธรรมในแตละทอ งถิ่น นอกจากน้ี การ • ภาษาถน่ิ เหนอื : ในบางถน่ิ ออกเสยี งคาำ นาำ หนา้ ชอ่ื ผลไมเ้ ปน็ “หมะ” “มะ” หรอื เปล่ยี นแปลงทางภาษายังสะทอ นใหเ หน็ ความ “บะ” สัมพนั ธท างวฒั นธรรมในแตละทองถนิ่ หรอื • ภาษาถ่นิ อีสาน: ใช้คาำ ว่า “หมาก” หรอื “บัก” เรยี กผลไม้ แตล ะภูมิภาคที่มคี วามสอดคลองกนั รวมถงึ ด้วยความแตกต่างของภาษาถ่ินที่เกิดขึ้น จึงเป็นประโยชน์อย่างย่ิงหากได้ศึกษา ลกั ษณะเฉพาะของภาษาในแตล ะทอ งถน่ิ ภาษาถ่นิ ของแตล่ ะท้องถน่ิ เพราะทาำ ใหส้ ามารถเข้าใจความคิด วฒั นธรรม และการ ยงั สะทอ นสภาพแวดลอ มอนั เปนลกั ษณะ ดำารงชีวิตของคนในท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง หากสามารถพูด เฉพาะของทอ งถน่ิ ไดอ กี ดว ย) ภาษาถนิ่ ได้เมอ่ื ไปเยือนทอ้ งถ่นิ นัน้ ๆ 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ 154 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอใดเปนคําไทยแทท กุ คํา ในการจัดการเรยี นการสอนดวยการใหน ักเรยี นพจิ ารณาขอมูลบทความเรอ่ื ง 1. คนงานใหมขยนั เปนพกั ๆ เอาแนไ มได ตา งถนิ่ ตางภาษาน้ี ครผู สู อนควรเนน ใหน กั เรยี นพิจารณาตารางเปรยี บเทียบการใช 2. นกั เรียนอนุบาลหกลม หวั เขา แตกเลือดไหลซบิ ๆ ภาษาในแตล ะทอ งถน่ิ นอกจากนกั เรียนจะสามารถพจิ ารณาลักษณะเดนของภาษา 3. ในสวนสาธารณะมคี นออกกาํ ลงั กายกนั ประปราย แตละถ่นิ อันสะทอนถึงวัฒนธรรมทเี่ ปนเอกลกั ษณใ นแตล ะทอ งถ่นิ ไดแ ลว ครูผสู อน 4. ที่ปากทางเขา หมบู า นมียามรกั ษาการอยูต ลอดเวลา ควรช้ใี หน ักเรียนเห็นลักษณะรว มกันทางภาษา ดว ยการอภิปรายความรูเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. คนงานใหมข ยนั เปนพกั ๆ เอาแนไ มได ลกั ษณะรวมทางภาษาจากเนื้อหาในบทเรยี นท่ีนักเรยี นไดเรยี นรมู าจากบทเรียนเรือ่ ง เปนคําไทยแทท กุ คํา สวนขอ อนื่ มคี ําภาษาตางประเทศ ดังน้ี ขอท่ี 2. คําวา ลักษณะภาษาไทย ในหนวยการเรยี นรนู ้ี อนบุ าล เปนคําภาษาบาลี ขอที่ 3. คาํ วา สาธารณะ เปน คําภาษาสนั สกฤต และขอ ที่ 4. คาํ วา รกั ษา เปน คาํ ภาษาสันสกฤต ในการจดั การเรียนการสอนเร่อื ง ลักษณะภาษาไทยนั้น ครผู ูสอนควรชแี้ จง ทาํ ความเขาใจเพม่ิ เตมิ วา ลักษณะตา งๆ ที่ปรากฏนน้ั เปน ลกั ษณะท่ีพบในภาษาไทย แตไ มใชลกั ษณะเฉพาะที่พบเฉพาะในภาษาไทยเทา นน้ั ยังปรากฏในภาษาอืน่ ดวย นอกจากนี้ การเรยี นการสอนเร่อื งลกั ษณะภาษาไทย ครผู ูสอนตองสอดแทรก ความรสู กึ รกั และภาคภูมใิ จในภาษาไทยใหก ับตวั ผูเรยี นดวย 154 คูม่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คาำ ถามประจาำ หนว่ ยการเรียนรู้ 1. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั สวนประกอบของภาษา ทงั้ องคป ระกอบของ ๑. ภาษาไทยมเี อกลกั ษณท์ ่ีแตกต่างจากภาษาอ่ืนอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอยา่ ง พยางคแ ละองคประกอบของคาํ ได ๒. สระเลือ่ นมผี ลตอ่ การผันเสียงอยา่ งไร จงอธบิ ายพอสังเขป ๓. รปู และเสยี งของอกั ษรไทย มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไร 2. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหองคประกอบของ ๔. เสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาถ่ินของไทยมีความแตกต่างกนั อยา่ งไร จงอธบิ าย พยางคแ ละองคประกอบของคาํ ได และยกตัวอยา่ งประกอบ ๕. พยางคแ์ ละคา� มคี วามสมั พนั ธห์ รอื แตกต่างกนั อย่างไร 3. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความแตกตา งทางภาษาในแตล ะทองถ่ิน พรอ มบอกคณุ คาทเ่ี กดิ จากความแตกตา งทาง ภาษาได กิจกรรมสร้างสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. ให้นักเรยี นแบง่ กลุม่ กลมุ่ ละ ๕ คน เพื่อฝึกเขยี น mind maps เกี่ยวกับเสยี ง 1. ความเรียงสรุปสาระสาํ คัญเก่ยี วกบั ลักษณะ ในภาษาไทย แล้วสง่ ตัวแทนออกมาน�าเสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน ภาษาไทย ๒. ให้นักเรียนจบั ค่กู ันฝกึ ผันเสยี งวรรณยกุ ต ์ ๕ เสียงให้ถูกตอ้ ง แลว้ สรปุ หลักการ 2. ความเรยี งสรปุ ผลการวิเคราะหล กั ษณะ ผนั เสียงวรรณยุกต์ให้ถกู ต้องเพื่อจดบนั ทกึ ความรู้ ภาษาไทย ๓. ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั การเรยี นหลกั ภาษาวา่ มีประโยชน์ 3. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกับเสยี ง ตอ่ การเรียนอย่างไร เพ่อื ให้นักเรียนมีโอกาสแลกเปลีย่ นความรูก้ นั ในภาษาไทยทั้งเสียงสระ พยญั ชนะ และ วรรณยกุ ต พรอมปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตอคําศัพท 4. ความเรียงสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั สวน ประกอบของภาษา ท้งั องคป ระกอบของพยางค และองคป ระกอบของคํา 5. ความเรยี งสรปุ ผลการวิเคราะหองคประกอบ ของพยางคและองคป ระกอบของคาํ 6. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกับความ แตกตา งทางภาษาในแตล ะทอ งถ่นิ พรอ มระบุ คณุ คา ทเ่ี กิดจากความแตกตางทางภาษา 7. บันทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 155 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย มีดงั ตอ ไปน้ี 1) คาํ ภาษาไทยเปน คําโดด สว นมากเปนคําพยางคเ ดียว ใชเรียกสิง่ ของตา งๆ เชน ลุง อา แม วิ่ง เปน ตน 2) คําภาษาไทย สะกดตรงตามมาตราตวั สะกด 3) คาํ ภาษาไทยคาํ เดยี วมหี ลายความหมายและหลายหนาที่ 4) ภาษาไทยเปนภาษาเรยี งคาํ เมื่อสลับตาํ แหนง ของคาํ ในประโยคสงผลให ความหมายเปลี่ยนไป 5) คําขยายจะวางหลังคําท่ถี กู ขยาย 6) ภาษาไทยมีคาํ ลักษณะนาม 7) ภาษาไทยมกี ารสรา งคําขึ้นใหมดวยวิธกี ารประสมคํา การซอ นคาํ การซํา้ คาํ การสมาสคํา รวมถงึ การสรางคําดว ยวธิ ีการสมาสอยา งมสี นธิ 8) ภาษาไทยมีการเปลย่ี นระดบั ของเสยี งคาํ โดยมีการใชเ สียงวรรณยกุ ต 9) ภาษาไทยมรี ะดบั ภาษา โดยเปน การใชค าํ พูดใหเหมาะสมแกบ คุ คลและกาลเทศะ 2. สระเล่อื นหรือสระประสมซึ่งประกอบไปดว ยสระ เอีย เออื อวั เปน สระเสยี งยาว ไมมผี ลตอการผนั เสยี งวรรณยกุ ต โดยการผนั เสียงวรรณยุกตขึ้นอยกู บั พยัญชนะตน ตาม หลักการแบงเสยี งอกั ษร 3 หมหู รือไตรยางศเปนสาํ คัญ แตถา รวมเสยี ง เอยี ะ เออื ะ อัวะ จะใชว ธิ กี ารผนั เสียงแบบคาํ ตาย โดยยดึ หลกั การแบงเสียงอกั ษร 3 หมู หรือ ไตรยางศเ ชน เดียวกัน 3. พยัญชนะไทยมี 44 รปู แตม กี ารใชเ สียงซาํ้ กัน จึงมีเสียงพยญั ชนะตนเพียง 21 เสียง กลาวไดว าพยญั ชนะไทยมีรปู มากกวาเสยี ง 4. เสียงวรรณยกุ ตในภาษาถน่ิ ของไทยมคี วามแตกตา งจากเสยี งวรรณยุกตในภาษาไทยกลางซ่ึงมเี พียง 5 เสยี ง สวนเสยี งวรรณยุกตใ นภาษาถิน่ เหนือมีถึง 6 เสยี ง 5. พยางคแ ละคํามคี วามสมั พันธและความแตกตา งกนั ในดานความหมาย โดยพยางค คือ เสยี งทเี่ ปลงออกมาจะมีความหมายหรือไมม ีความหมายก็ได สวนคําพจิ ารณาที่ ความหมายเปน สําคัญ คูม่ ือครู 155
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage ตอนท่ี ๔ Explore ราชาศพั ท เปา หมายการเรยี นรู เปนระเบียบของภาษาท่ีตองใชให ใชภ าษาเหมาะสมกับโอกาส กาลเทศะ และ ถกู ตอ งเหมาะสมกบั ระดบั ของบุคคล บคุ คล รวมทัง้ คําราชาศพั ทอ ยางเหมาะสม ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตรยิ เปนประมุข จงึ มีการใช สมรรถนะของผเู รยี น ถอยคําอยา งประณตี เปนพิเศษสําหรบั พระประมขุ และพระราชวงศ ทงั้ นย้ี งั มีช้นั ของบุคคลทต่ี อ งใช 1. ความสามารถในการส่ือสาร ถอ ยคําใหเ หมาะสม คอื พระสงฆ และสุภาพชน 2. ความสามารถในการคิด ผูใชจ ึงควรรจู ักสงั เกต จดจํา และใชใหถ ูกตอ ง 3. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต เพือ่ อนุรกั ษม รดกทางวัฒนธรรมนไี้ ว 4. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี สาระการเรยี นร้แู กนกลาง คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค • ค�ำรำชำศัพท์ 1. ใฝเรียนรู 2. มุงมัน่ ในการทาํ งาน 3. รักความเปนไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage 1. ครนู าํ ขาวในพระราชสาํ นักมาใหนักเรยี นพจิ ารณา óหนว ยการเรยี นรทู้ ่ี จากนน้ั นักเรียนอา นขา วในพระราชสาํ นกั ให เพ่อื นในชนั้ เรียนฟง นักเรยี นจดบันทึก คาํ ราชาศพั ท คาํ ราชาศพั ทจากขา ว ตวั ชีว้ ดั 2. ครุสุม นกั เรียน 2-3 คน นําเสนอคําราชาศัพท 3. ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • ใชภ้ ำษำเหมำะสมแกโ่ อกำส กำลเทศะ และ บคุ คล รวมทง้ั คำ� รำชำศพั ท์อยำ่ งเหมำะสม • นกั เรยี นทราบไดอยางไรวา คาํ ศพั ทที่นกั เรยี น จดบันทกึ น้นั เปนคาํ ราชาศัพท (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๓) (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตุผลของ นกั เรียน) เกรด็ แนะครู หนวยการเรยี นรนู ี้ ครูผสู อนควรทบทวนความรูของนักเรียนเก่ยี วกบั ลกั ษณะการ ใชภาษาไทย เพื่อนาํ องคความรูจากหนวยการเรียนรูด ังกลาวมาใชเ ปน พ้นื ฐานในการ ทําความเขา ใจเนือ้ หาเกย่ี วกับการเรียนการสอนเรอื่ ง คําราชาศัพท ซงึ่ เปน วัฒนธรรม ทางภาษาของไทยท่แี สดงถงึ ระดับของภาษาและการเลอื กใชภาษาใหเหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั ของบุคคล ครผู สู อนควรสรางพ้นื ฐานความรคู วามเขา ใจเกีย่ วกบั การใชค าํ ราชาศัพทในภาษาไทย ดว ยการกลา วถึงความสมั พันธร ะหวา งภาษาและวัฒนธรรม ภาษานอกจากจะเปน เคร่ืองมือส่ือความรู ความคิด ความรสู ึก จินตนาการ รวม ถงึ ทัศนคตขิ องผูใชภาษาแลว ภาษายังเปนการสรางพืน้ ฐานความเขา ใจของบุคคล แสดงใหเ หน็ ความสมั พันธของบคุ คล การใชภาษาจึงตองคํานงึ ถงึ กาลเทศะ และ บุคคลท่ีเราสนทนาดว ย ตลอดจนการใชถ อยคาํ พิเศษสําหรบั พระมหากษตั รยิ และ พระบรมวงศานวุ งศ ถือเปนการแสดงออกถงึ ความจงรักภกั ดี รวมถงึ บุคคลชั้นผูใหญ ทพ่ี ึงยกยอ งนับถอื ตามความเหมาะสมดว ย การศึกษาคาํ ราชาศัพทใ หเกดิ ความรู ความเขาใจอยา งแทจรงิ นกั เรียนควรตดิ ตามขาวสารขอมูลท่เี กี่ยวของอยางสมํ่าเสมอ 156 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ้ ความสนใจ Engage ๑. ควำมหมำยของคำ� รำชำศพั ท์ ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ค�ำรำชำศัพท์ คือ ค�ำสุภำพที่ใช้ให้เหมำะสมกับฐำนะของบุคคลต่ำงๆ ค�ำรำชำศัพท์ เป็นกำรก�ำหนดค�ำและภำษำที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงำมของไทย แม้ค�ำรำชำศัพท์จะมี • ในชีวิตประจําวันเรามีโอกาสนอ ยในการใช โอกำสใชใ้ นชวี ิตนอ้ ย แตเ่ ป็นสง่ิ ทแ่ี สดงถึงควำมละเอียดอ่อนและเปน็ ลกั ษณะพิเศษของภำษำไทย คาํ ราชาศพั ท เหตใุ ดนกั เรยี นจงึ ตอ งศึกษา โดยเฉพำะกำรใช้กบั บุคคลกลมุ่ ตำ่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี คําราชาศัพท และการศึกษาคําราชาศัพท ๑. พระมหำกษัตริย์ สง ผลตอความเขาใจคุณคาและลกั ษณะเดน ๒. พระบรมวงศำนวุ งศ์ ของภาษาไทยอยางไร ๓. พระภกิ ษุสงฆ ์ สำมเณร ๔. ขนุ นำง ข้ำรำชกำร สา� รวจคน้ หา Explore ๕. สุภำพชน วิธีกำรใช้รำชำศัพท์น้ันต้องค�ำนึงถึงผู้ฟังเป็นส�ำคัญ กล่ำวคือ จะต้องใช้ค�ำให้เหมำะสม นักเรยี นสาํ รวจความหมายของคําราชาศัพท กับฐำนะของผู้ฟังไม่ว่ำผู้พูดจะเป็นใครก็ตำม เว้นแต่พระภิกษุสงฆ์เท่ำนั้น ท่ีต้องใช้ค�ำสุภำพ และบคุ คลกลมุ ตา งๆ ทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การใชค าํ ส�ำหรบั ตนเองดว้ ย ราชาศพั ท ในบทนี้จะน�ำเสนอกำรใช้ค�ำรำชำศัพท์ส�ำหรับพระมหำกษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์ และ สภุ ำพชน ดงั ต่อไปน้ี อธบิ ายความรู้ Explain ๒. คำ� รำชำศพั ทส์ ำ� หรับพระมหำกษตั รยิ ์ นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถามวา การใชคาํ ราชาศพั ทกบั บคุ คลกลมุ ตางๆ แบงลําดบั ขัน้ ของ ค�ำรำชำศัพท์ ส�ำหรับพระมหำกษัตริย์เป็นค�ำท่ีข้ำรำชบริพำรใช้เม่ือกรำบบังคมทูลหรือ บคุ คลไดก ก่ี ลมุ อะไรบา ง ใช้เม่ือกล่ำวถึงพระมหำกษัตริย์ หรือพระบรมวงศำนุวงศ์ ค�ำรำชำศัพท์ส�ำหรับพระมหำกษัตริย ์ ทีค่ วรศึกษำในระดับนี ้ มีดงั น้ี ขยายความเขา้ ใจ Expand ๒.๑ ค�ำนำมรำชำศพั ท์ นกั เรยี นรว มกันอภิปรายในประเดน็ ท่วี า นักเรียนคิดวา วิธกี ารใชค าํ ราชาศัพทตอ งคํานึงถงึ เม่ือจะใช้ค�ำนำมเป็นค�ำรำชำศัพท์ต้องเติมค�ำว่ำ “พระ” และ “พระราช” หน้ำค�ำน้ันๆ เร่ืองใดเปน สําคญั หากนกั เรียนใชค ําราชาศพั ทใน เช่น พระชนมำยุ พระรำชด�ำริ พระรำชทรัพย์ พระรำชวัง ฯลฯ นอกจำกน้ี มีค�ำบำงค�ำใช้กับ การส่อื สารจะสงผลดีตอการสื่อสารอยา งไร พระมหำกษัตริย์พระองค์เดียวเท่ำน้ัน คือ “พระบรม” และ “พระบรมราช” โดยใช้น�ำหน้ำค�ำ (แนวตอบ การใชค ําราชาศพั ทเปน การใชค าํ ให ดังกล่ำว เช่น พระบรมรำชชนก พระบรมรำชชนนี พระบรมรำชโองกำร พระบรมเดชำนุภำพ เหมาะกับฐานะบุคคลระดบั ตา งๆ เปน การให (อำ� นำจอันยิง่ ใหญ่) พระบรมรำชจกั รีวงศ ์ เปน็ ต้น เกยี รติคูสนทนา สงผลดีตอ การส่ือสาร เปนการ สรางสมั พนั ธภาพท่ีดีระหวา งกัน สงผลใหการ สื่อสารสมั ฤทธิผล) ตรวจสอบผล Evaluate 157 นักเรยี นสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับความหมาย และบุคคลกลมุ ตางๆ ทใี่ ชคําราชาศพั ทไ ด ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับการใชคาํ ราชาศัพทท ่เี ตมิ คําวา พระ ขอใดเม่ือเติม “พระ” ขา งหนา แลวใชเปนราชาศพั ทสําหรับพระมหากษัตรยิ ครูควรเพม่ิ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกับทีม่ าของคาํ ราชาศัพท โดยคาํ ราชาศพั ท ไดทุกคํา มีท่มี า 2 แนวทาง ดังนี้ 1. รับมาจากภาษาอื่น คาํ ราชาศพั ทของไทยสว นใหญ 1. บรมราชานสุ าวรีย บรมฉายาลกั ษณ บรมหฤทัย เปนคาํ ยืมมาจากภาษาเขมร ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤต เชน เสวย เสด็จ ประพาส 2. บรมชนกนาถ บรมโกศ บรมวงศ พระโอรส 2. เกดิ จากการสรา งคาํ ขึ้นมาใหม ประกอบดวย วธิ ีแรก คือ ประสมคําไทย 3. บรมหัตถเลขา บรมรูป บรมบพิตร กบั คําไทย เชน หองเครื่อง (ครวั ) วธิ ที ี่สอง คือ ประสมคําไทยกบั คาํ ภาษาอ่นื เชน 4. บรมมนเทียร บรมอฐั ิ บรมเกศา บนั้ พระองค (เอว) ถงุ พระบาท (ถงุ เทา ) และวธิ ที ีส่ าม คอื ประสมคําภาษาอ่นื เขา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. บรมชนกนาถ บรมโกศ บรมวงศ เตมิ คาํ วา ดว ยกนั เชน พระพกั ตร (หนา) พระ ไดทั้งสามคํา สวนขอ อื่นๆ มีขอยกเวน ในการใชคาํ วา พระ ดังน้ี ขอที่ 1. เตมิ คาํ วา พระ ได 2 คํา ยกเวน คาํ วา บรมหฤทัย ท่ีถกู ตอ งใชวา พระราช- หฤทัย ขอท่ี 3. เตมิ คําวา พระ ได 2 คํา ยกเวน คําวา บรมหตั ถเลขา ควรใช วา พระราชหตั ถเลขา และขอ ที่ 4. เตมิ คาํ วา พระ ไมไดท ้ัง 3 คาํ ควรแกไ ข เปน พระราชมนเทียร พระอฐั ิ และเสน พระเจา คู่มือครู 157
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี ค�ำอน่ื ๆ นอกจำกนีท้ ่ีน�ำด้วย “พระราช” ม ี ดังนี้ • นกั เรยี นคิดวา คาํ ราชาศพั ทมีความแตกตาง พระราชหฤทยั (ใจ) พระราชศรทั ธา (ความศรทั ธา) จากการใชภ าษาโดยทว่ั ไปหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น พระราชกุศล (บุญกุศล) พระราชด�ารัส (คา� กล่าว) ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตผุ ลของ นักเรยี น) พระราชดา� ริ (ความคิด) พระราชสาสน ์ (จดหมาย) สา� รวจคน้ หา Explore พระราชประสงค์ (ความประสงค)์ พพรระะรราาชชกนรพิ ณนียธ์ ก(จิงา1 (นกปจิ รอะนั พพันงึ ธท)์ า� ) พระราชหัตถเลขา (จดหมาย) พระราชลญั จกร (ตรา) “พระ”2 พระราชปรารภ (ค�ากล่าวถึง) นักเรียนสบื คนการใชค ําราชาศัพทส าํ หรับ ๑) ค�ำนำมหมวดร่ำงกำย นา� ดว้ ย พระมหากษัตรยิ โดยศึกษาการใชค ํานามราชาศัพท พระพักตร ์ (ดวงหน้า) พระปราง (แก้ม) พระนาสกิ (จมูก) อธบิ ายความรู้ Explain พระหตั ถ ์ (มอื ) พระเศียร (ศีรษะ) พระเนตร (ตา) พระกรรณ (ห)ู พระโอษฐ ์ (ปาก) พระศอ (คอ) 1. นกั เรยี นจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน พรอ มรว มกัน พระกร (ปลายแขน) พระทนต์ (ฟนั ) พระนขา (เล็บ) แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นจากประเดน็ คําถาม พระพาหา (ตน้ แขน) พระชงฆ์ (แข้ง) พระบาท (เท้า) ดงั ตอไปน้ี พระอรุ ะ (อก) พระโสณี (ตะโพก) พระอทุ ร (ทอ้ ง) • นกั เรยี นคิดวา การใชคําราชาศัพทล ดหล่ันกนั ตามลําดับช้นั ทางสงั คม สะทอนคานยิ มทาง ๒) คำ� นำมหมวดเครื่องภำชนะใชส้ อย และส่ิงต่ำงๆ น�ำด้วย “พระ” สงั คมและวฒั นธรรมไทยอยางไร (แนวตอบ สะทอ นพระบารมขี องพระมหา พระสพุ รรณศร ี (กระโถนเลก็ ) พระสพุ รรณราช (กระโถนใหญ)่ กษัตริยและพระบรมวงศานุวงศของไทย ซงึ่ ไดรบั การเคารพสักการะและไดร บั การ พระเตา้ (คนโท) พานพระศรี (พานหมาก) ยกยอ งเชิดชใู นฐานะทเ่ี ปน สถาบันหลักของ ชาติ และการใชค ําราชาศัพทใ นแตละตําแหนง พระเต้าทักษิโณทก (เต้ากรวดน�า้ ) 3 ถาดพ4ระสธุ ารส (ถาดเคร่อื งนา้� รอ้ น น้า� เย็น) ยอ มแสดงถึงลําดับของพระราชอาํ นาจที่ ๓) ค�ำนำมทั่วไปทเ่ี ตมิ คำ� “ทรง” “ตน้ ” “หลวง” ทำ้ ยคำ� นำมธรรมดำ แตกตางกันตามลาํ ดับ) เครอื่ งทรง ผ้าทรง ช้างทรง มา้ ทรง รถทรง ฯลฯ 2. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ หนา ช้ันเรยี น ลช้ากู งหตล้นว ง 5 ม า้หตลน้ าน หเรลอื วตงน้ เ รเรือือหนลตว้นง เกรฐอื นินตห้นล วฯงล ฯสวนหลวง วังหลวง ฯลฯ ๔) ค�ำนำมหมวดเครือ่ งใช ้ เครื่องประดบั น�ำด้วย “ฉลอง” ฉลองพระบาท (รองเท้า) ฉลองพระองค ์ (เสอ้ื ) ฉลองพระหัตถ์สอ้ ม (ส้อม) ฉลองพระหัตถ์ช้อน (ช้อน) 158 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดเปนคาํ ราชาศพั ทท ่ใี ชแ กพ ระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูหัว แทนคําสามญั นกั เรียนควรรู “ดู” และ “ทกั ทาย” ตามลาํ ดบั 1. ทรงทอดพระเนตร ทรงทกั ทาย 1 กรณียกจิ รากศัพทมาจากภาษาบาลี-สนั สกฤต เกิดจากการสรางคาํ โดยวธิ ี 2. ทรงทอดพระเนตร ทรงมีพระราชปฏสิ ันถาร สมาส ดวยการนาํ คาํ สองคาํ มารวมกนั คอื กรณีย+กิจ ซงึ่ ความหมายหลกั อยทู ี่ 3. ทอดพระเนตร ทรงพระราชปฏสิ นั ถาร คําหลงั ดังน้ัน คําวา กรณยี กจิ จึงหมายถึง กิจที่พึงทาํ หนา ที่อนั พงึ ทํา 4. ทอดพระเนตร มีพระปฏิสันถาร 2 พระ คาํ วา “พระ” ใชนาํ หนา คาํ ที่เรยี กอวยั วะ เคร่อื งใช หรือนําหนา คาํ นาม วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ทอดพระเนตร ทรงพระราชปฏิสนั ถาร สามัญบางคําท่ไี มม คี าํ ราชาศพั ทใ ช เชน พระหัตถ (มือ) พระกร (แขน) พระบาท เนือ่ งจากคําวา ทอดพระเนตร เปน คํากริยาราชาศัพทอ ยแู ลว จงึ ไมจาํ เปน (เทา ) พระเขนย (หมอน) ตอ งใชคําวา “ทรง” นาํ หนา สวนคําวา ทรงพระราชปฏสิ ันถาร เปน การใช 3 ตน ใชตอทา ยคํานามสามัญ มกั ใชเฉพาะกับสตั วและสิ่งของ คําราชาศัพทสําหรับพระบาทสมเดจ็ พระเจา อยหู ัว แทนการใชค าํ วา ทกั ทาย 4 หลวง คําวา “หลวง” ใชต อ ทายคาํ นามสามญั ทัว่ ไปทั้งคน สตั ว สงิ่ ของ แต เปน การใชคําไดถ ูกตองตามหลักการใชคําราชาศัพทอาจใชค ําวา มีพระราช “ตน” มกั ใชเฉพาะกบั สตั วและส่ิงของ คําวา “หลวง” บางคําก็หมายถงึ ใหญ คือ ปฏสิ ันถาร แทนได เนอ่ื งจากหากมกี ารใชคําวา ทรง แลว กไ็ มควรมกี ารใช คาํ วา “ทะเลหลวง” ทไี่ มใชค ําราชาศพั ท หมายถงึ ทะเลกวางใหญ คําวา มี แทรกในขอความ 5 ลูกหลวง ลูกของพระเจาแผนดนิ 158 คูม่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ น�ำดว้ ย “พระ” 1. สมาชิกภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคดิ เห็น ดงั ตอ ไปนี้ พระแทน่ (เตยี ง) พระแทน่ บรรทม (เตยี งนอน) • คาํ นามมีความหมายวาอยา งไร พระเขนย (หมอนหนุน) (แนวตอบ คํานาม คอื คาํ ที่ใชเ รยี กช่ือคน พระท่ี (ทน่ี อน - เจ้านาย) พระวิสูตร (มา่ น) สัตว ส่งิ ของ โดยแบงออกเปน 5 ชนิด) พระสนับเพลา (กางเกง) • คาํ วา “พระ” “พระราช” “พระบรม” และ พระยภ่ี ู่ (ท่นี อน) พระบัญชร พระแกล (หนา้ ตา่ ง) “พระบรมราช” เมอ่ื นํามาใชประกอบกบั พระทวาร (ประต)ู คาํ นามมวี ิธีการใชแ ตกตางกนั อยา งไร พระภษู า (ผา้ นงุ่ ) พระสคุ นธ ์ (เครือ่ งหอม, น�้าหอม) (แนวตอบ คาํ วา “พระ” กับ “พระราช” พระกณุ ฑล (ตมุ้ ห)ู เปน คาํ ทใี่ ชเติมหนา คํานาม เพือ่ ใหเปนคาํ พระกลด (รม่ ) พระธา� มรงค์ (แหวน) ราชาศัพท โดยคําวา “พระราช” สวนใหญ พระสาง (หวี) ใชส าํ หรับพระราชวงศช้นั สูง เชน พระมหา พระทน่ี ่ัง (เรือนหลวง) พระพชั นี (พดั ) กษตั ริย พระราชินนี าถ สวนคําวา “พระบรม” และ “พระบรมราช” ใชสําหรบั พระมาลา (หมวก) พระมหากษตั รยิ พ ระองคเ ดียว) • คําวา “ทรง” “ตน” และ “หลวง” เมอื่ นํามา พระจฑุ ามณี (ปนิ่ ) ใชป ระกอบกับคาํ นามมวี ธิ กี ารใชแ ตกตา งกัน อยา งไร พระอุณหิส (กรอบหน้า) (แนวตอบ “ทรง” วางทา ยคํานามธรรมดา คําวา “หลวง” ใชตอ ทา ยคาํ นามสามญั ท่ัวไป พระฉาย (กระจก) ทง้ั คน สตั ว ส่งิ ของ แต “ตน” มักใชเฉพาะ กบั สัตวแ ละส่ิงของ) พระราชอาสน ์ (ท่ีสา� หรบั นงั่ ) 2. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน นาํ เสนอหนาชัน้ เรียน ๕) ค�ำนำมขัตติยตระกูล น�ำด้วย “พระ” พระอัยกา (ป่ ู ตา) พระอยั ยกิ า พระอัยกี (ย่า ยาย) พระชนก พระบดิ ร พระบดิ า (พ่อ) พระชนน ี พระมารดร พระมารดา (แม่) พระเชษฐา (พชี่ าย) พระภคิน ี (พี่สาว) พระอนชุ า (นอ้ งชาย) พระขนษิ ฐา (นอ้ งสาว) พระโอรส (ลกู ชาย) พระธิดา (ลกู หญงิ ) พระนัดดา (หลาน - ลกู ของลูก) พระภาคไิ นย (หลาน - ลูกพ่ีสาว, นอ้ งสาว) ขยายความเขา้ ใจ พระปนัดดา (เหลน - ลกู ของหลาน) พระภาตยิ ะ (หลาน - ลูกพชี่ าย, นอ้ งชาย) Expand พระภัสดา พระสวามี (สามี) พระมเหสี พระชายา (ภรรยา) 1. นกั เรียนพิจารณาภาพรา งกาย จากน้นั นักเรยี น เติมคําราชาศัพทหมวดรา งกาย พระปติ ุลา (ลงุ ซึง่ เป็นพ่ขี องพ่อ) พระปติ ุจฉา (ป้า ซง่ึ เป็นพีข่ องพอ่ ) 2. นักเรยี นพจิ ารณาภาพเครื่องใช จากน้ันให พระมาตลุ า (ลงุ - ซง่ึ เป็นพีข่ องแม)่ พระมาตุจฉา (ปา้ ซงึ่ เปน็ พี่ของแม)่ นกั เรยี นบอกคําราชาศพั ทหมวดเคร่ืองใช พระสัสสรุ ะ (พอ่ ตา) พระสสั สุ (แมย่ าย) 3. นักเรยี นเขยี นแผนผังการลาํ ดบั ญาติ จากน้นั นักเรยี นเติมคาํ ราชาศัพทในแผนผงั พระเชษฐภคนิ ี (พส่ี าว) 4. ครูยกตัวอยา งการใชค าํ ราชาศพั ทที่ไมถ ูกตอ ง 159 แลวใหนกั เรยี นแกไขใหถูกตอง ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปน คาํ ราชาศัพทท ีใ่ ชแ กพระอนุวงศชน้ั พระองคเจา แทนคําสามญั ครูผูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรูความเขาใจเกย่ี วกับวิธีการเปลีย่ นคํานามสามัญเปน “ไป” และ “เปนประธาน” ตามลําดับ คาํ ราชาศพั ท โดยสามารถสรุปวธิ ีการตา งๆ ได ดงั นี้ 1. เสดจ็ ทรงเปนประธาน 1. พระบรมราช ใชน ําหนา คํานามสามญั ท่ีสาํ คัญย่งิ เพอื่ ตอ งการยกยองเชิดชู 2. เสด็จ ทรงเปนองคประธาน พระเกียรตยิ ศของพระมหากษตั ริย เพอ่ื แสดงใหเ ห็นถึงการเทดิ พระเกยี รติ 3. เสด็จฯ เปน ประธาน พระมหากษัตริยอ ยางสงู สุด 4. เสดจ็ ฯ เปน องคประธาน 2. พระบรม ใชนําหนา คํานามสามัญใชเฉพาะพระมหากษัตรยิ เพอ่ื เชิดชู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1.เสดจ็ ทรงเปน ประธานเปน การใชค าํ ราชาศพั ท พระราชอสิ ริยยศของพระองค เชน พระบรมเดชานุภาพ สาํ หรบั พระอนวุ งศช น้ั พระองคเ จา โดยใชค ําวา เสด็จ ในการเดินทาง และใช 3. พระราช นาํ หนานามสามัญสาํ คญั รองมาจาก “พระบรม” เชน พระราชกุศล คําวา ทรง นําหนา 4. พระ นาํ หนาคาํ นามสามัญท่วั ไป สําหรบั พระมหากษัตริยและพระราชวงศ เพ่อื ใหแตกตา งจากสามัญชนทั่วไป คําสวนใหญทใ่ี ชจะเกี่ยวกับเครือ่ งใชส อย สว นตางๆ ของรางกาย และทเี่ ก่ียวกับรางกาย ค่มู อื ครู 159
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นสบื คน การใชคําราชาศพั ทส าํ หรบั ๒.๒ สรรพนามราชาศัพท์ พระมหากษตั รยิ โดยศกึ ษาการใชค ําสรรพนาม ราชาศพั ท การใชส้ รรพนามราชาศพั ท์ เมอ่ื สรรพนามบุรุษที่ ๑ เป็นสามญั ชน ใช้แก่พระมหากษตั ริย์ พระบรมวงศ์ พระอนุวงศ์ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า สมเดจ็ พระสังฆราช อธบิ ายความรู Explain สรรพนามราชาศัพท์ 1. นกั เรยี นจดั กลุม กลุม ละ 4 - 5 คน รวมกันแสดง ใชแ้ ก่ ความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอ ไปน้ี บรุ ษุ ท่ี ๑ บรุ ุษท่ี ๒ • นักเรยี นบอกความหมายของคาํ สรรพนาม พระมหากษตั รยิ ์ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ (แนวตอบ คาํ ทีใ่ ชแทนนามในประโยคสอ่ื สาร ขา้ พระพทุ ธเจ้า ใตฝ้ ่าละอองธลุ พี ระบาท สมเด็จพระบรมราชินี๑ เราใชค าํ สรรพนามเพ่อื ไมตองกลา วคํานาม ซํ้าๆ ชนิดของคําสรรพนาม แบง เปน 7 ข้าพระพุทธเจา้ ใต้ฝา่ ละอองพระบาท สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร ประเภท แตใ นท่ีนีก้ ลาวถงึ เฉพาะบรุ ุษ พระบรมวงศ์ท่ีไดร้ บั พระราชทานสัปตปฎล สรรพนาม คือ สรรพนามทใี่ ชในการพูด เปน ขา้ พระพทุ ธเจ้า ใต้ฝา่ พระบาท เศวตฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศ๒ สรรพนามทใ่ี ชในการพดู จาสือ่ สารกนั ระหวา ง พระบรมวงศช์ ั้นสมเด็จเจ้าฟ้า ผูสง สารหรอื ผูพดู ผรู ับสารหรอื ผฟู ง และผทู ี่ เกลา้ กระหม่อม (ชาย) ฝ่าพระบาท พระบรมวงศ์ช้ันพระองค์เจา้ (พระราชโอรส เรากลาวถึง) เกลา้ กระหมอ่ มฉนั (หญงิ ) พระราชธดิ าของพระมหากษตั ริย์)๓ • นกั เรยี นคดิ วา การใชคําสรรพนามแทน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ตนเอง และผูท่ีเราพูดดวย รวมถงึ ผทู ีเ่ รา กระหมอ่ ม (ชาย) ฝ่าพระบาท สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กลาวถงึ อยางสภุ าพ สงผลดตี อ การสื่อสาร หม่อมฉนั (หญิง) พระอนุวงศช์ น้ั พระองคเ์ จ้า [พระเจา้ หลานเธอ อยา งไร พระองค์เจา้ พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้า (แนวตอบ เปนการใหเ กียรตผิ ูฟง และผูที่เรา (ที่ทรงกรม) พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กลา วถงึ ชวยสรา งความสมั พันธท ่ีดี เนือ่ งจาก (ทม่ี ิไดท้ รงกรม) พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ เปนการสือ่ สารตามขนบของสงั คมและ (ท่ที รงกรม)] วัฒนธรรม สง ผลใหการสอื่ สารสมั ฤทธิผล) สมเด็จพระสังฆราช • นักเรียนคดิ วา การใชคําสรรพนามราชาศัพท พระอนุวงศ์ช้ันพระองค์เจา้ [พระวรวงศเ์ ธอ ควรคาํ นึงถึงเรื่องใดบา ง อยางไร พระองคเ์ จ้า (ทีม่ ิได้ทรงกรม)] และพระอนุวงศ์ (แนวตอบ ควรคํานึงถงึ ฐานะและตาํ แหนงของ ช้นั หมอ่ มเจา้ ผรู บั สารทกี่ ําลังสื่อสาร รวมถงึ กาลเทศะใน การสอื่ สาร) ๑ ตามประกาศเรอ่ื ง การถวายพระเกียรติยศ สมเด็จพระนางเจา้ สุทดิ า พชั รสธุ าพิมลลักษณ พระบรมราชินี ประกาศ ณ วนั ท่ี ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนที่ ๑๗ ข หน้า ๔ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จ 2. ครูสุมนักเรยี นแตละกลมุ ออกมานาํ เสนอหนา พระวชิรเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมใหใ้ ชค้ �าราชาศพั ท์และค�ากราบบังคมทูลพระกรณุ าถวายพระเกยี รตยิ ศแก่ ช้นั เรียน สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี เสมอดว้ ยคา� ราชาศพั ทแ์ ละคา� กราบบงั คมทลู พระกรณุ าสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกุ ประการ ตามประกาศเรือ่ ง พระปรมาภไิ ธย พระนามาภิไธย คา� อ่าน และสรรพนาม คา� ขึ้นต้น ค�าลงท้าย ในการกราบบงั คมทูล กราบทูล ประกาศ ณ วันท่ี ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนพเิ ศษ ๑๑๗ ง ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หน้า ๔ ไดก้ ำ� หนดกำรใชส้ รรพนำมรำชำศัพทท์ ่ีใช้แก่สมเด็จพระนำงเจำ้ สทุ ดิ ำ พชั รสธุ ำพมิ ลลกั ษณ พระบรมรำชนิ ี ดังนี้ สรรพนำมบุรษุ ที่ ๑ ใช้วำ่ ๒๓“ใใขนน้ำรรพชััชรกกะาาพลลุทปปธัจัจเจจจุบุบำ้ นั”ัน สรรพนำมบุรษุ ท่ี ๒ ใช้วำ่ “ใต้ฝ่ำละอองธุลพี ระบำท” หมายถงึ สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชา ทินัดดามาตุ เปน็ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี กรมหมืน่ สทุ ธนารนี าถ ตามประกาศเรอื่ ง พระปรมาภไิ ธย พระนามาภไิ ธย คา� อา่ น และสรรพนาม คา� ขนึ้ ตน้ คา� ลงทา้ ย ในการกราบบงั คมทลู กราบทลู ประกาศ ณ วันท่ี ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดงั ปรากฏในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หน้า ๑๐ กา� หนดการใชส้ รรพนามราชาศพั ทท์ ี่ใชแ้ กพ่ ระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี กรมหมน่ื สทุ ธนารนี าถ เทยี บเทา่ การใช้ 160 คา� ขน้ึ ตน้ สรรพนาม คา� ลงทา้ ยในการกราบทลู พระบรมวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ ทเ่ี ปน็ พระราชโอรสพระราชธดิ าของพระมหากษตั รยิ ์ เกร็ดแนะครู บรู ณาการเช่ือมสาระ ครูสามารถนําเน้ือหาเรือ่ ง คาํ ราชาศพั ท บรู ณาการเชือ่ มโยงกับกลมุ สาระ ครูผูส อนควรเพม่ิ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกี่ยวกับคําสรรพนามราชาศัพท เปน การเรียนรูส งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวิชาประวัตศิ าสตร เนื้อหา คําราชาศัพททใ่ี ชแ ทนชอ่ื ซ่งึ จําแนกใชตามขัน้ หรอื ฐานะของบุคคลที่มฐี านนั ดรศกั ดิ์ เกี่ยวกบั การรับอิทธพิ ลดานคติความเช่ือเกย่ี วกับสถาบนั พระมหากษตั รยิ ใ น ตา งกันตามประเพณีซึง่ บญั ญตั ไิ ว ดงั นนั้ ครผู ูสอนตอ งสอนเรือ่ งลําดับพระราชวงศหรอื สังคมและวัฒนธรรมไทย รวมถึงความรคู วามเขาใจทางดานประวตั ิศาสตร ขัตติยตระกูล เพื่อใหผเู รียนรูจักการเลือกใชค าํ สรรพนามราชาศัพทไดเหมาะสมกับ เกย่ี วกบั ความสมั พันธท างอํานาจ รวมถึงอทิ ธพิ ลทางสังคมและวฒั นธรรม ตัวผพู ดู และฐานนั ดรศกั ด์ิ พรอมกนั น้ีครผู ูสอนควรเพมิ่ ความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับ ของราชอาณาจกั รตา งๆ ท่ีสงผลใหป ระเทศไทยรับคาํ ราชาศัพทม าใช และ คําสรรพนาม เปน คําท่ีใชแ ทนนามในประโยคสอื่ สาร ชนดิ ของคําสรรพนาม แบง เปน บทบาทของสถาบันพระมหากษตั ริยท ีม่ ีตอ สงั คมและวฒั นธรรมไทย อนั แสดง 7 ประเภท ดังน้ี 1. สรรพนามที่ใชในการพูด (บรุ ุษสรรพนาม) เปนสรรพนามทใ่ี ช ถึงรากฐานทางประวตั ิศาสตรข องประเทศไทย ในการพูดจาสอื่ สารกัน มี 3 ชนดิ คอื สรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแ ทนผสู งสาร (ผพู ดู ) สรรพนามบรุ ุษท่ี 2 ใชแ ทนผรู ับสาร (ผทู ี่พูดดว ย) และสรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแทนผทู ่ี กลาวถงึ 2. สรรพนามทใ่ี ชเช่ือมประโยค (ประพันธสรรพนาม) 3. สรรพนามบอกความ ชซี้ ํา้ (วภิ าคสรรพนาม) 4. สรรพนามชเ้ี ฉพาะ (นยิ มสรรพนาม) 5. สรรพนามบอก ความไมเ จาะจง (อนิยมสรรพนาม) 6. สรรพนามท่ีเปน คําถาม (ปฤจฉาสรรพนาม) 7. สรรพนามทีเ่ นน ตามความรสู ึกของผูพูดทม่ี ีตอบคุ คลทก่ี ลาวถึง 160 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การใชค้ �าขึ้นตน้ และคา� ลงทา้ ย ในการกราบบงั คมทูล กราบทูล และทูล ดว้ ยวาจา 1. สมาชกิ ภายในกลมุ รว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ดังตอ ไปน้ี พระบรมราชอิสรยิ ยศ, คา� ขึ้นตน้ คา� ลงทา้ ย หมายเหตุ • นกั เรยี นบอกหลักการใชคาํ สรรพนาม พระราชอิสรยิ ยศ ราชาศพั ท พรอ มยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ นักเรียนอาจกลา วถงึ ขอควรคาํ นึง พระมหากษัตริย์ ขอเดชะฝ่าละอองธลุ ี ดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหมอ่ ม ในการใชคําสรรพนามราชาศัพท โดยคาํ นึง สมเด็จพระบรมราชินนี าถ พระบาทปกเกล้า ขอเดชะ ถงึ ฐานะและตาํ แหนง ของผูรบั สารท่กี าํ ลงั ปกกระหม่อม, สอ่ื สาร ซึง่ มีลําดับชั้นที่แตกตางกัน รวมถึง สรวมชพี (โบ) ตองคํานึงถึงกาลเทศะในการสือ่ สาร นักเรยี นสามารถยกตัวอยางการใชค ํา สมเดจ็ พระบรมราชินี ขอพระราชทานกราบ ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหม่อม, การกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าสทุ ดิ า สรรพนามราชาศพั ท โดยนักเรียนสามารถ บังคมทลู ทราบ ควรมคิ วรแล้วแต่จะทรง พัชรสุธาพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชินี ใช้คา� พิจารณาคําตอบไดจ ากหนงั สอื เรยี นหนา ฝ่าละอองพระบาท พระกรณุ าโปรดเกล้า ขน้ึ ตน้ วา่ “ขอพระราชทานกราบบงั คมทูล 160 -161) พระกรณุ าทรงทราบฝ่าละอองธุลพี ระบาท” โปรดกระหมอ่ ม, ควร และใช้คา� ลงท้ายว่า “ดว้ ยเกล้าด้วย 2. ครูสมุ นกั เรียนแตละกลมุ ออกมานําเสนอ มิควรสุดแล้วแต่จะทรง กระหม่อม/ควรมิควรแลว้ แต่/สุดแตจ่ ะ หนา ช้นั เรยี น พระกรณุ าโปรดเกลา้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม” โปรดกระหม่อม สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ขอพระราชทานกราบ ดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหม่อม, คา� ขึน้ ตน้ ในการกราบบงั คมทูลสมเด็จ สยามมกฎุ ราชกมุ าร บงั คมทูลทราบ ควรมิควรแล้วแต่จะทรง พระกนิษฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพ- พระบรมวงศ์ทไ่ี ด้รับ ฝ่าละอองพระบาท พระกรุณาโปรดเกล้า รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ใช้วา่ พระราชทานสัปตปฎล “ขอพระราชทานกราบบังคมทลู ทรงทราบ เศวตฉัตรประกอบ โปรดกระหม่อม, ฝ่าละอองพระบาท” พระราชอสิ รยิ ยศ ควรมิควรสุดแต่จะทรง พระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหมอ่ ม ขยายความเขา ใจ พระบรมวงศ์ชน้ั สมเด็จเจา้ ฟ้า ขอพระราชทานกราบ ควรมิควรแลว้ แตจ่ ะ Expand ทูลทราบ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม, ฝ่าพระบาท ควรมคิ วรสุดแต่จะ โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม นกั เรยี นปฏิบัตกิ จิ กรรมตอคําศพั ท โดยให นักเรียนแบง กลมุ ตามระดบั ของการใชคาํ พระบรมวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ ขอประทานกราบ ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะ การกราบทูลพระเจา้ วรวงศ์เธอฯ กรมหมื่น ราชาศัพท เมือ่ ครูใหคําราชาศพั ทคาํ ใดคําหนึง่ ให (พระราชโอรส ทูลทราบ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม, สุทธนารนี าถ ใช้คา� ขึ้นต้นว่า “ขอประทาน สมาชกิ ภายในกลมุ ตอ คาํ ราชาศพั ทใ นระดบั ของ พระราชธิดาของ ฝ่าพระบาท ควรมิควรสดุ แตจ่ ะ กราบทูลทราบฝา่ พระบาท” และใช้ค�า ตนเอง กลมุ ใดใชเ วลารวดเร็วที่สุดเปน พระมหากษตั ริย)์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ลงทา้ ยวา่ “ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกลา้ ผชู นะในแตละเกม เลน ประมาณ 10 เกม โปรดกระหม่อม, ควรมิควรสุดแตจ่ ะ จงึ ตัดสนิ หาผูชนะ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม” เทยี บเทา่ การ ใช้ค�าขึ้นต้นและคา� ลงท้ายในการกราบทลู พระบรมวงศช์ ั้นพระองค์เจา้ พระอนุวงศช์ น้ั พระองคเ์ จา้ กราบทลู ทราบ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ค�าข้ึนต้นในการกราบทูลพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ [พระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ ฝา่ พระบาท พระองคเ์ จา้ สิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้า พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ อทติ ยาทรกติ คิ ณุ (ทท่ี รงกรม) พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ ใช้ว่า “ขอประทานกราบทลู ทราบ พระองคเ์ จา้ (ทมี่ ไิ ดท้ รงกรม) ฝา่ พระบาท” พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ (ท่ี ทรงกรม)] สมเดจ็ พระสงั ฆราช พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ทลู ทราบฝ่าพระบาท ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด (ท่ีมิไดท้ รงกรม) พระอนุวงศช์ ้ันหมอ่ มเจา้ ทูลฝา่ พระบาท แล้วแตจ่ ะโปรด สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ขอประทานกราบ ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะ สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า ทลู ทราบฝา่ พระบาท โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม 161 ขอความตอ ไปนี้ใชคําราชาศัพทผ ดิ ก่คี ํา ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชดํารัสเก่ียวกับการอนุรักษผืนปา ครูผสู อนควรเพ่มิ เติมความรเู กีย่ วกบั ชนดิ ของคาํ กรยิ าราชาศัพท ดงั ตอไปน้ี กับเจาหนาท่ีกรมปาไมท่ีทรงพระกรุณาโปรดเกลาโปรดกระหมอมใหเขาเฝา 1. คาํ กรยิ าท่เี ปน กริยาราชาศพั ทดวยตวั เอง ไดแก กรยิ าทเ่ี ปนคาํ โดด ซง่ึ บญั ญตั ิ ทูลละอองพระบาทที่อทุ ยานแหง ชาตแิ กง กระจานจังหวดั เพชรบรุ ี 1. จํานวน 1 คํา 2. จาํ นวน 2 คํา ขึ้นเฉพาะพระราชาหรือเจา นายเทา นน้ั เชน กรว้ิ ตรสั 3. จาํ นวน 3 คํา 4. จํานวน 4 คํา 2. กริยาท่ีประสมข้ึนใชเปนราชาศพั ทต ามประเภทของบคุ คล ไดแ ก คํากริยาที่ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. จํานวน 2 คํา เปน การใชค ําราชาศพั ทผดิ มคี วามหมายอยา งเดียวกนั แตบัญญตั คิ ําข้นึ ใชหลายชนิดตามระดับชน้ั ของ บุคคล เปน ตนวา กรยิ าท่มี ีความหมายวา เกิด เชน เสดจ็ พระราชสมภพ ไดแ ก ทรงมพี ระราชดํารสั ท่ีถกู ใชว า มีพระราชดํารสั และเขา เฝาทูลละออง ประสตู ิ พระบาท ทถ่ี กู ใชว า เขาเฝาทลู ละอองธุลพี ระบาท 3. กรยิ าราชาศพั ทท ใี่ ช “เสด็จ” นาํ หนาคํากรยิ าสามญั บางคําใหเ ปน คํากรยิ า ราชาศพั ทค ลา ยคลงึ กบั วธิ กี ารใชค าํ วา ทรง โดยคาํ วา เสดจ็ ใชน าํ หนา คาํ นาม ราชาศพั ททาํ ใหเ ปนคํากริยาราชาศัพท เชน เสด็จประพาส 4. กริยาราชาศพั ทท่ีใช “ทรง” นําหนาคํานามสามญั หรอื กริยาสามญั และ เม่อื ประสมกันแลวกจ็ ะกลายเปนคํากรยิ าราชาศพั ท เชน ทรงมา ทรงสราง คูมือครู 161
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore นักเรยี นสบื คนการใชค ําราชาศพั ทสาํ หรับ ๒.๓ กรยิ าราชาศัพท์ พระมหากษตั ริย โดยศึกษาการใชค าํ กริยาราชาศัพท อธบิ ายความรู Explain ๑) ใช้คำ� “ทรง” นำ� หนำ้ ค�ำนำม หรอื ค�ำกริยำธรรมดำ 1. นักเรียนจดั กลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันตอบ ทรง น�ำหน้ำคำ� นำม ทรง นำ� หนำ้ คำ� กรยิ ำ คาํ ถามในประเด็น ตอ ไปน้ี • คาํ กริยามคี วามหมายวา อยางไร ทรงกีฬา (เล่นกฬี า) ทรงเจมิ (เจิม) (แนวตอบ คาํ ทแ่ี สดงอาการ สภาพ หรอื การ ทรงงานศลิ ปะ (ทาำ งานศลิ ปะ) ทรงทาำ นุบำารงุ (ทาำ นุบาำ รงุ ) กระทําของคํานาม และคําสรรพนามใน ทรงงานอดิเรก (ทำางานอดเิ รก) ทรงปฏิบัต ิ (ปฏบิ ตั )ิ ประโยค คาํ กรยิ าบางคําอาจมีความหมาย ทรงช้าง (ขี่ช้าง) ทรงฉาย (ถ่ายรปู ) สมบูรณในตวั เอง แตบางคาํ ตองมีคาํ อ่นื มา ทรงดนตรี (เล่นดนตร)ี ทรงพิจารณา (พิจารณา) ประกอบ) ทรงธรรม (ฟงั เทศน)์ ทรงรัก (รกั ) • คาํ วา “ทรง” และ “ทรงพระ” มีหลกั ในการ ทรงบาตร (ตกั บาตร) ทรงเลอื ก (เลือก) ใชอ ยางไร และมีขอยกเวน ในการใชอ ยา งไร ทรงมา้ (ข่ีม้า) ทรงสนับสนุน (สนับสนนุ ) (แนวตอบ ใชค าํ วา “ทรง” นําหนา คํานาม หรอื ทรงศลี (รับศีล) ทรงสรา้ ง (สรา้ ง) คํากริยาธรรมดา เพอื่ เปลยี่ นคาํ นัน้ ใหเ ปน คาํ ราชาศัพท ตวั อยางเชน ทรงกีฬา หมายถึง ฯลฯ ฯลฯ เลนกฬี า ทรงทาํ นุบํารงุ หมายถึง ทาํ นุบาํ รุง ทรงบาตร หมายถงึ ตักบาตร สว นคาํ วา ๒) ใชค้ ำ� “ทรงพระ” น�ำหน้ำค�ำนำม หรอื คำ� กรยิ ำรำชำศัพท์ “ทรงพระ” ใชน ําหนาคํานามหรือคาํ กริยา ตัวอยางเชน ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ทรงพระกรุณา (กรุณา) ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ (กรุณา) โปรดกระหมอม หมายถึง กรุณา สว นคาํ กรยิ า ทรงพระเมตตา (เมตตา) ทรงพระกนั แสง (ร้องไห)้ ท่เี ปนคาํ ราชาศัพทอ ยแู ลวจะไมใช “ทรง” ทรงพระสุคนธ์ (ทาเคร่ืองหอม) ทรงพระกาสะ (ไอ) นําหนา ตวั อยางเชน ตรสั หมายถึง พดู ทรงพระสบุ นิ (ฝัน) ทรงพระประชวร (เจบ็ ปว่ ย) เสวย หมายถงึ กนิ ทอดพระเนตร หมายถึง ด)ู ทรงพระอุตสาหะ (อตุ สาหะ) ทรงพระพโิ รธ กริ้ว (โกรธ) ทรงพระวริ ยิ ะ (เพยี ร) ทรงพระสรวล (หวั เราะ) 2. ครสู ุมนักเรียนแตละกลมุ ออกมานําเสนอ ทรงพระสาำ ราญ (สบายกาย สบายใจ) ทรงพระวาตะ (ผายลม) หนาชัน้ เรียน ๓) ค�ำกรยิ ำที่เปน็ รำชำศพั ทอ์ ยแู่ ล้ว ไม่ใช้ทรง น�ำหน้ำ ตรัส (พดู ) ประสูต ิ (เกดิ ) ใชก้ บั พระบรมวงศานวุ งศ์ บรรทม (นอน) พระราชทาน (ให้) โปรด (ชอบ) เสดจ็ นิวัต (กลบั มา) เสด็จประพาส (ไปเท่ยี ว) สรงน้ำา (อาบนาำ้ ) เสวย (กนิ ) สรงพระพกั ตร ์ (ล้างหน้า) ทอดพระเนตร (ดู) ตกพระทัย (ตกใจ) 162 บูรณาการอาเซยี น ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT หากจะกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย นกั เรยี นจะใชส รรพนามบรุ ุษที่ 1 คาํ ราชาศัพทม ีทมี่ า มาจากการรบั คตคิ วามเชอ่ื ทว่ี า พระมหากษัตริยม สี ถานะ แทนตัวนักเรียนตามขอ ใด เปน สมมติเทพ กลาวคือ พระมหากษัตรยิ ทรงเปนเทพอวตารมาเพอ่ื ปกครองมนุษย 1. หมอมฉัน 2. เกลา กระหมอม เรยี กวา เทวราชา เปน คตคิ วามเชอื่ ทรี่ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมเขมรตง้ั แตส มยั อยธุ ยา 3. ขา พระพุทธเจา 4. เกลา กระหมอ มฉัน สะทอนถึงความสมั พนั ธท างวฒั นธรรมระหวางประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาทม่ี ี การถายทอดวฒั นธรรมรวมกันอยางยาวนาน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ขา พระพุทธเจา เปน สรรพนามราชาศพั ท บุรษุ ที่ 1 ทใ่ี ชแ กพ ระมหากษัตริย สว นขอ 1. หมอมฉนั ใชแ กพ ระวรวงศเธอ พระองคเจา (ท่มี ิไดทรงกรม) และพระอนวุ งศช น้ั หมอมเจา 2. เกลา กระหมอ ม และ 4. เกลา กระหมอ มฉัน ใชแ กพระเจาหลานเธอ พระองคเ จา พระเจา วรวงศ เธอ พระองคเ จา (ทีท่ รงกรมและมไิ ดท รงกรม) พระวรวงศเธอ พระองคเ จา (ทท่ี รงกรม) และสมเดจ็ พระสงั ฆราช 162 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand การใชก้ ริยาราชาศัพทต์ ามชน้ั บคุ คล 1. นักเรยี นคน หาขา ว จากนัน้ เขียนคาํ ราชาศพั ท จากขา ว ค�ำสำมญั รำชำศัพท์ ใช้แก่ 2. ครูนดั หมายนักเรียนดขู า วในพระราชสาํ นกั ขออนญุ ำต ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าต พระมหากษตั รยิ ์ จากนั้นใหน ักเรยี นจดบนั ทกึ คําราชาศพั ทท ี่ได จากขาว พรอ มเปรยี บเทยี บความหมาย และ ขอพระราชทานพระราชานญุ าต สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี จัดกลมุ คาํ ราชาศพั ททีร่ วบรวมมา สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกมุ าร พระบรมวงศท์ ี่ไดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ตรวจสอบผล Evaluate ประกอบพระราชอิสริยยศ๑ ขอพระราชทานพระอนุญาต พระบรมวงศช์ ้ันสมเดจ็ เจา้ ฟ้า 1. นกั เรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกับ คาํ ราชาศพั ท ขอประทานพระอนญุ าต พระบรมวงศช์ ั้นพระองค์เจ้า จนถงึ พระอนุวงศ์ ชนั้ หมอ่ มเจ้า 2. นกั เรียนบอกคําราชาศพั ทหมวดตางๆ พรอ ม เขยี นแผนผังหมวดขัตตยิ ตระกูลได บอก กราบบงั คมทูล, กราบบงั คมทูล พระมหากษตั ริย์ พระกรุณา 3. นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหคําราชาศพั ทได กราบบังคมทลู สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี๒ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกุฎราชกุมาร พระบรมวงศท์ ไ่ี ดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ประกอบพระราชอิสริยยศ๓ กราบทลู พระบรมวงศช์ ้นั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ จนถงึ พระวรวงศ์เธอ (ทีท่ รงกรม) ทลู พระวรวงศเ์ ธอ (ทมี่ ไิ ดท้ รงกรม) และพระอนุวงศ์ ชน้ั หมอ่ มเจา้ ให้ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย (แด)่ พระมหากษัตรยิ ์ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ (ส่งิ ของเลก็ หรอื ของท่ียกได)้ สมเด็จพระบรมราชินี น้อมเกลา้ นอ้ มกระหมอ่ มถวาย สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกุมาร (สงิ่ ของใหญห่ รือของท่ียกข้ึนให้ พระบรมวงศท์ ไี่ ดร้ บั พระราชทานสปั ตปฎลเศวตฉตั ร ไม่ได้) ประกอบพระราชอสิ ริยยศ๔ ถวาย (แด่) พระบรมวงศ์ชัน้ สมเดจ็ เจ้าฟ้า จนถงึ พระอนวุ งศ์ ชนั้ หม่อมเจา้ ๑, ๓, ๔ ในรชั กาลปัจจุบนั หมายถึง สมเด็จพระกนษิ ฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ๒ ตามประกาศเรอ่ื ง การถวายพระเกยี รตยิ ศ สมเด็จพระนางเจา้ สทุ ิดา พัชรสธุ าพมิ ลลักษณ พระบรมราชนิ ี ประกาศ ณ วนั ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๒ ดังปรากฏในราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๑๗ ข ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หนา้ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้ราชาศัพท์และค�ากราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระเกียรติยศแก่ สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี เสมอดว้ ยคา� ราชาศพั ทแ์ ละคา� กราบบงั คมทลู พระกรณุ าสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกุ ประการ ราชาศพั ทค์ า� วา่ “บอก, รายงาน” ทใ่ี ชแ้ ก่ สมเดจ็ พระนางเจา้ สทุ ดิ า พชั รสธุ าพมิ ลลกั ษณ พระบรมราชนิ ี ใชว้ า่ “กราบบงั คมทลู , กราบบังคมทลู พระกรณุ า” 163 บรู ณาการเชอื่ มสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถนําเนอื้ หาเร่อื ง คําราชาศัพท บรู ณาการเชื่อมโยงกับกลมุ สาระ ครผู สู อนควรเพมิ่ เตมิ ความรเู ก่ยี วกบั การใชคาํ ราชาศัพทใหถ กู ตองตามระเบียบ การเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวิชาพระพทุ ธศาสนา แบบแผน หากนกั เรียนพบปญหาการใชคําราชาศัพท นกั เรยี นควรยดึ แนวทาง และรายวิชาศาสนาสากล เน้ือหาเกยี่ วกบั การรับอทิ ธพิ ลดานคติความเช่ือ การใชคาํ ราชาศพั ทข องทางราชการ เกย่ี วกับสถาบันพระมหากษตั รยิ ในสังคมและวัฒนธรรมไทย ครสู ามารถ บรู ณาการความรคู วามเขา ใจทางดานคตคิ วามเชอื่ เกยี่ วกบั พระมหากษัตริย แนวคิดการปกครองแบบราชาธปิ ไตยสมยั แรกเร่ิม ซ่งึ ไดรับอทิ ธิพลจากศาสนา พราหมณ- ฮนิ ดู จากอาณาจกั รขอม และหลักความเชอื่ แบบพระพุทธศาสนา นกิ ายเถรวาท รวมถึงแนวคดิ ท่ีมาจากวรรณะ “กษัตริย” ของศาสนาฮนิ ดู นอกจากน้ี ยงั ปรากฏแนวคิด “ธรรมราชา” ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ท่วี า พระมหากษตั รยิ ควรปกครองประชาชนโดยธรรมอกี ดว ย คตคิ วามเชื่อ ดังกลา วไดนาํ เสนอผานพระนามของพระมหากษัตรยิ เชน สมยั สุโขทยั มกี าร ปกครองแบบพอ ปกครองลูก พระมหากษตั ริยจะมีพระนามขึ้นตนวา “พอ ขุน” คมู ือครู 163
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๓. ค�ำรำชำศัพทส์ �ำหรับพระภิกษุ • คําวา “อาตมา” และ “อาตมภาพ” เปนการ สมเด็จพระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยกเป็นประมุขของสงฆ์ จึงก�ำหนดให้ใช ้ ใชคาํ สรรพนามแทนตนเองของพระภกิ ษุ รำชำศัพท์กับสมเด็จพระสงั ฆรำช เทยี บเท่ำพระรำชวงศ์ชัน้ พระองคเ์ จำ้ สว่ นพระภกิ ษทุ ่เี ป็นพระ- นักเรยี นคดิ วา การใชค าํ ราชาศัพทด ังกลา ว รำชวงศน์ นั้ คงใชร้ ำชำศัพทต์ ำมลำ� ดับช้ันแห่งพระรำชวงศ์ ปรากฏในการใชค าํ ราชาศัพทร ะดับอนื่ ๆ หรือไม อยางไร ๓.๑ คำ� นำม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางหลากหลายขึน้ อยูกับเหตุผลของ ค�ำนำมท่ีใช้ส�ำหรับพระภิกษุน้ัน ส่วนมำกใช้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ค�ำบำงค�ำที่ นักเรยี น) ก�ำหนดไวเ้ ฉพำะพระภิกษุสงฆ ์ เชน่ • จากการเปรยี บเทียบขางตนนักเรียนคิดวา กาสาวพสั ตร ์ ผา้ ยอ้ มฝาด คอื ผ้าเหลืองพระ เน้อื หาขางตน สะทอนภาพสังคมและ กลด รม่ ขนาดใหญ่ มดี ้ามยาว ส�าหรบั พระธุดงค์โดยเฉพาะ วฒั นธรรมไทยอยา งไร จีวร ผา้ ส�าหรับหม่ ของภิกษสุ ามเณร คูก่ บั สบง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น สบง ผ้าน่งุ ส�าหรบั ภิกษสุ ามเณร ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกบั เหตุผลของ สงั ฆาฏิ ผา้ คลมุ กนั หนาวสา� หรับพระใชท้ าบบนจวี ร ใชพ้ ันพาดบ่าซา้ ย นักเรียน เปน ตนวา นักเรยี นอาจเปรยี บเทียบ ตาลปัตร พัดใบตาล มดี ้ามยาว สา� หรับพระใชใ้ นพิธกี รรม คาํ สรรพนามบุรุษที่ 1 ของพระภิกษุสงฆ ไทยธรรม ของถวายพระ กบั พระบรมวงศานวุ งศ รวมถงึ คาํ สรรพนาม ธรรมาสน ์ ทสี่ �าหรับภกิ ษุสามเณรนัง่ แสดงธรรม แทนตนเองของสภุ าพชนวา มีการบญั ญัตไิ ว บาตร ภาชนะชนดิ หนงึ่ ส�าหรบั ภิกษสุ ามเณรใช้รบั อาหารบณิ ฑบาต หรือไม หากมกี ารบญั ญัติหรอื ไมบัญญตั ิคาํ บรขิ าร เครอื่ งใช้สอยของภิกษุ มี ๘ อย่าง รวมเรียกวา่ “อัฏฐบริขาร” ทั้งสองประเภทสะทอนวธิ คี ดิ ทางสังคมและ ไดแ้ ก่ สบง จวี ร สงั ฆาฏิ บาตร มีดโกน เข็ม ประคดเอว วัฒนธรรมไทยอยางไร) กระบอกกรองนา�้ เบญจางคประดิษฐ ์ การกราบโดยให้อวยั วะท้ัง ๕ คอื เข่าทง้ั ๒ มอื ท้งั ๒ สา� รวจคน้ หา Explore และหนา้ ผากจดลงกบั พืน้ ปจั จยั เงนิ ที่ทายกทายิกาถวายพระเพอ่ื เป็นคา่ ปัจจยั ส่ ี คือ เครื่องนงุ่ หม่ นกั เรยี นสืบคนขอ มูลเก่ยี วกบั คําราชาศพั ท ท่ีอยอู่ าศัย อาหาร ยารักษาโรค สําหรับพระภิกษุสงฆ ดงั ตอ ไปนี้ ลิขิต จดหมายของพระสงฆ์ ๑) คำ� นำมหมวดสถำนท่แี ละส่ิงอน่ื ๆ • หมวดคาํ นาม กุฏิ เรอื นหรือตกึ ส�าหรับพระภิกษุสามเณรอยู่อาศัย • หมวดคาํ สรรพนาม วิหาร วดั สว่ นใหญเ่ ป็นท่ีประดษิ ฐานพระพุทธรปู • หมวดคาํ กริยา เจดยี ์ ส่ิงซ่งึ ก่อเปน็ รปู คล้ายลอมฟาง มยี อดแหลม บรรจุสง่ิ ท่นี บั ถอื เช่น พระธาตุ 164 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครูสามารถนําเน้ือหาเรอื่ ง คาํ ราชาศพั ทท ใี่ ชกบั พระภิกษสุ งฆ บูรณาการ ครผู สู อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั คุณคาและความสาํ คัญของ เช่อื มโยงกับกลุมสาระการเรียนรู สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า พระพุทธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไทย เนือ่ งจากพระพทุ ธศาสนามพี ระสงฆ พระพุทธศาสนา หนวยการเรียนรู หนา ที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ เปน ผูส บื ทอดและจรรโลงพระพุทธศาสนา ซ่ึงเปนศาสนาหลกั ของสังคมไทย ซงึ่ ไดร ับ เนอื้ หาเก่ยี วกับมารยาทชาวพทุ ธ การปฏิบตั ิตนตอพระภกิ ษทุ างกาย วาจา การนบั ถือจากคนไทยสว นใหญใ นสังคม การใชถ อยคําสาํ หรบั พระภิกษุสงฆจงึ มกี าร และใจ การปฏิสันถารตอพระภกิ ษุในโอกาสตางๆ เพ่อื ใหนกั เรียนสามารถนํา กําหนดข้นึ ใชเฉพาะใหถ กู ตองเหมาะสม เพ่อื เปน การแสดงออกถึงความเคารพนบั ถอื องคความรูจากการศกึ ษาคําราชาศัพทเ กย่ี วกับพระภิกษุสงฆม าประยุกตใ ชไ ด และยกยองพระสงฆ ถกู ตองเหมาะสม นอกจากน้ี นักเรยี นยังสามารถนําองคความรูจากการศึกษา ในหนวยการเรียนรูน้ีมาใชทําความเขา ใจเกี่ยวกบั บทบาทและความสําคญั ของ ฉะนั้น ในการพูดสนทนากับพระสงฆจะตองมสี ัมมาคารวะ สํารวม ไมใ ชถ อยคํา พระพทุ ธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไดด ีย่งิ ขน้ึ ทไี่ มสุภาพ ซึง่ ผพู ดู จาํ เปนตองเขาใจเรือ่ งสมณศกั ดิ์ ซ่งึ เปนยศของพระสงฆที่ไดรบั พระราชทานพดั ยศ จงึ จะสามารถเลอื กใชคาํ ราชาศพั ทไดถกู ตอง เชน สรรพนาม “เจาคุณ” ใชก ับสมเด็จพระราชาคณะ “พระคณุ เจา ” ใชกับพระราชาคณะชน้ั ตอมา เปน ตน 164 คูม่ ือครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พทุ ธาวาส สว่ นหนงึ่ ของวดั ประกอบดว้ ย โบสถ ์ วิหาร เจดยี ์ ซึ่งใชเ้ ปน็ ที่ 1. นักเรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ ประกอบสังฆกรรม โดยมีกา� แพงก้ันไวจ้ ากสว่ นทีเ่ ปน็ สังฆาวาส ตอ ไปน้ี สังฆาวาส บรเิ วณทีอ่ ยู่อาศัยของพระสงฆ์ ประกอบดว้ ย กฏุ ิ หอฉัน • นักเรียนคิดวา การใชคาํ ราชาศพั ทสาํ หรับ หศาอลสาา� กหารรบั เปเกรบ็ ยี พญร ะเปไต็นรตป้นฎิ ก1 พระภิกษสุ งฆมีความแตกตา งจากการใช หอไตร คาํ ราชาศพั ทใ นหมวดอ่นื หรอื ไม อยางไร อโุ บสถ สถานทสี่ า� หรับพระสงฆป์ ระชมุ กนั ทา� สังฆกรรม เรยี กส้ันๆ ว่า (แนวตอบ คาํ ราชาศพั ทสําหรบั พระภกิ ษสุ งฆ โบสถ์ น้นั สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆ- ๒) คำ� นำมหมวดพระภิกษแุ ละบคุ คลที่เก่ียวข้อง ปริณายกซ่ึงเปนประมุขฝา ยสงฆ กําหนดให สมภาร เจ้าอาวาส ใชคําราชาศพั ทสําหรบั พระสงั ฆราช อุปัชฌาย์ พระเถระผเู้ ปน็ ประธานในการบวช เทียบเทา กบั พระราชวงศช้ันพระองคเจา กรรมวาจาจารย ์ อาจารย์ผ้ใู ห้ส�าเรจ็ กรรมวาจา คอื คูส่ วดในการบวช สวนพระภิกษุทเ่ี ปน พระราชวงศน้นั ใหคงใช นาค ชายหนุ่มที่ไปอยวู่ ดั เพ่ือเตรยี มตัวบวช ราชาศพั ทตามลาํ ดบั ช้นั แหงพระราชวงศ ทายก ทายิกา ชายและหญิงผ้ถู วายจตปุ ัจจยั แก่ภิกษุสามเณร เชน เดิม และการใชค าํ ราชาศพั ทส าํ หรบั มหา สมณศักดท์ิ ี่ใชน้ า� หน้าช่ือภิกษทุ ่สี อบไล่ไดต้ งั้ แตเ่ ปรียญธรรม พระภกิ ษุสงฆสว นมากใชเชน เดียวกับบุคคล ๓ ประโยคขนึ้ ไป ท่วั ไป ยกเวนบางคําที่กาํ หนดไวเ ฉพาะ มคั นายก ตผนู้�าแา� หทนางง่ พครือะ ฐผาจู้ นัดากนากุรทรมาอง2กนั ศุ ดลบั สผดุชู้ ทแี้ จ้ายงทางบญุ พระภกิ ษสุ งฆ) ใบฎีกา สมหุ ์ ตา� แหน่งพระฐานานุกรม เหนอื พระใบฎกี า 2. นกั เรียนรวบรวมขอมลู เพ่มิ เตมิ ยกตวั อยาง โโยยมมอ ปุ ฏั ฐาก3 ค�าทพี่ ระภกิ ษุใช้เรยี กฆราวาส คาํ นามหมวดสถานที่และสง่ิ อ่ืนๆ ท่เี ปน ผู้แสดงตนเปน็ ผ้อู ปุ การะพระสงฆ์ คาํ ราชาศพั ทสําหรบั พระภิกษุ และคาํ นาม อบุ าสก อุบาสกิ า ชาวบ้านชายหญิงทน่ี ับถือพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมัน่ คง หมวดพระภิกษแุ ละบคุ คลท่ีเก่ียวของ พรอม บอกความหมาย ๓.๒ คำ� สรรพนำม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถรวบรวมขอ มูล คําราชาศัพทท นี่ กั เรียนสนใจ และยกตวั อยาง คำ� สรรพนำมทีพ่ ระภกิ ษใุ ชก้ ับบคุ คลระดบั ต่ำงๆ มดี ังต่อไปนี้ คําราชาศัพทไ ดอยา งหลากหลาย เปนตน วา 1. คํานามหมวดสถานท่ีและสิง่ อืน่ ๆ ตัวอยา ง บุรุษท่ี สรรพนำมทใี่ ช้ ใชก้ ับ เชน กฏุ ิ วหิ าร เจดยี พุทธาวาส สังฆาวาส ๑ อาตมา หอไตร อโุ บสถ 2. คาํ นามหมวดพระภกิ ษุและ อาตมาภาพ บคุ คลธรรมดาทวั่ ไป หรือผ้มู ีต�าแหน่งสงู บุคคลทเ่ี กย่ี วของ ตวั อยางเชน สมภาร นาค เกล้ากระผม พระราชวงศต์ ั้งแต่หมอ่ มเจา้ ข้ึนไป กรรมวาจาจารย เปนตน ) พระภกิ ษทุ ีเ่ ปน็ อุปัชฌาจารย์ หรือพระภกิ ษุ ผม กระผม ที่ดา� รงสมณศักดสิ์ งู กวา่ 3. ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ พระภิกษดุ ้วยกัน หนาชน้ั เรยี น จากน้ันนกั เรยี นบนั ทึกความ เขา ใจลงในสมดุ 165 บรู ณาการเชือ่ มสาระ นกั เรียนควรรู ครูสามารถนําเนอ้ื หาเรือ่ ง คาํ ราชาศัพททใ่ี ชกับพระภกิ ษุสงฆ บูรณาการ 1 พระไตรปฎก พระธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจามี 3 ปฎก คอื 1. วนิ ยั ปฎก เชื่อมโยงกับกลมุ สาระการเรยี นรู สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า ไดแ ก ประมวลระเบยี บขอ บังคับของภิกษแุ ละภิกษณุ ที พี่ ระพทุ ธเจา ทรงบัญญตั ิ พระพุทธศาสนา หนวยการเรียนรู ประวัตแิ ละความสาํ คัญของพระพทุ ธศาสนา 2. พระสุตตันตปฎ ก หรอื พระสตู ร ไดแก ประมวลพระพุทธพจนท ีพ่ ระพุทธเจา เนือ้ หาเกยี่ วกบั ความสําคญั ของพระพทุ ธศาสนาในสังคมและวัฒนธรรมไทย ทรงแสดงยงั ท่ตี างๆ ใหเหมาะกบั บคุ คล สถานท่ี และเหตกุ ารณมเี รือ่ งราวประกอบ ท้ังในดานคติความเชือ่ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา อทิ ธิพลตอการเมือง 3. พระอภธิ รรมปฎ ก หรือ พระอภธิ รรม ไดแก ประมวลหลักธรรมคําสอน การปกครองของไทย เพอ่ื ใหน ักเรียนเกดิ ความรูความเขาใจสภาพสังคมและ วฒั นธรรมไทยอนั มคี ติความเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนาเปนแกนกลาง ดงั ปรากฏ 2 ฐานานกุ รม ลําดับตําแหนงยศพระสงฆทพ่ี ระราชาคณะมีอาํ นาจตงั้ สมณศกั ดิ์ การใชค าํ ราชาศัพท ซึ่งเปน การยกยองใหเ กียรตพิ ระสงฆผ สู ืบทอดและจรรโลง ซง่ึ หมายถึงยศพระสงฆท ไี่ ดรับพระราชทานมหี ลายช้ัน แตล ะชัน้ มพี ัดยศเปน เคร่อื ง หลักคาํ สอนทางพระพุทธศาสนา กําหนดให สมณศักดิห์ รอื บรรดาศกั ด์หิ รอื ยศของพระสงฆน้ี มที ่ีมาจากพระมหา กษตั รยิ พ ระราชทานแกพ ระสงฆผปู ระพฤติดี ประพฤติชอบ ต้ังมนั่ ในสมณเพศ เพ่ือ สืบตอ พระพุทธศาสนา เพอ่ื ปกครองคณะสงฆใหเปนไปอยางเรยี บรอย เพราะการที่ พระสงฆรปู ใดไดรับพระราชทานสมณศกั ด์ิ ยอ มไดร บั มอบหมายภาระหนา ท่ีในการ ปกครองหมคู ณะสงฆไ ปพรอมกันดวย 3 อุปฏ ฐาก ผอู ุปถมั ภบ าํ รงุ พระภิกษสุ ามเณร ถาเปน เพศหญงิ ใหใ ชว า คมู่ ือครู 165 อุปฏ ฐายิกา
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกนั ระดมความคดิ ดว ยการตอบ บุรษุ ท่ี สรรพนามที่ใช้ ใช้กบั คาํ ถาม ตอ ไปนี้ • การใชค าํ สรรพนามราชาศพั ทของพระภิกษุ ๒ มหาบพติ ร พระเจ้าแผ่นดิน มขี อคํานงึ ในการใชอยา งไร พรอ มยก บพิตร พระราชวงศ์ ตวั อยา งประกอบ พระภิกษุด้วยกันทฐ่ี านะเสมอกัน (แนวตอบ มีการใชค าํ สรรพนามแทนตัว คุณ บคุ คลทั่วไป พระภิกษแุ ตกตางกนั ไปขึน้ อยูกับคสู นทนา คุณ เธอ ตวั อยางเชน คําสรรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 เมือ่ ใชพ ูด กับบคุ คลธรรมดาท่ัวไป หรอื ผูมตี ําแหนงสูง ค�ำขำนรับของพระภิกษุ มดี งั ตอ่ ไปนี้ ค�ำขำนรับ ใช้กับ ใชคาํ วา อาตมา หากสนทนากบั พระราชวงศ ต้งั แตชัน้ หมอมเจา ข้ึนไปใชค ําวา คำาขานรับ ใช้กบั อาตมาภาพ) • การใชคาํ กรยิ าราชาศัพทของพระภกิ ษมุ ี ขอถวายพระพร พระเจา้ แผน่ ดนิ พระราชวงศ์ ขอคาํ นึงในการใชอยา งไร พรอมยกตัวอยาง ครับ ขอรบั พระภกิ ษุด้วยกนั ประกอบ เจรญิ พร ฆราวาสทัว่ ไป (แนวตอบ มีการใชค าํ สรรพนามแทนตวั พระภกิ ษแุ ตกตา งกันไปขึน้ อยกู บั คสู นทนา คำ� สรรพนำมท่บี ุคคลท่ัวไปใช้กบั พระภิกษุ มีดังต่อไปนี้ ตัวอยา งเชน คําสรรพนามบุรุษที่ 2 เม่อื ให พูดกบั บุคคลธรรมดาท่ัวไป หรอื ผมู ตี ําแหนง บุรษุ ท่ี สรรพนาม ใช้กับ สูงใชค ําวา คณุ หรอื เธอ หากสนทนากบั พระราชวงศต ้ังแตชน้ั หมอ มเจา ข้นึ ไปใชคําวา ๑ กระผม ผม (ชาย) พระภกิ ษุท่วั ไป บพิตร) ดฉิ ัน (หญิง) พระภิกษุท่วั ไป 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๒ พระคุณเจา้ พระสงฆท์ รงสมณศักด์ิ พระคุณท่าน พระภกิ ษุสงฆท์ ่ัวไป ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓.๓ ค�ำกรยิ ำ มคี ำ� กริยำหลำยค�ำท่ีก�ำหนดไวใ้ ช้ส�ำหรับพระภกิ ษุ เชน่ คาำ ความหมาย นักเรียนแสดงบทบาทสมมตเิ กย่ี วกับการใชค าํ ครองผ้า นุ่งหม่ เช่น ครองจีวร ราชาศัพทสําหรบั พระภิกษุในสถานการณตางๆ โดยนักเรียนกาํ หนดสถานการณด ว ยตนเอง รบั บณิ ฑบาต รบั อาหารทช่ี าวบา้ นถวายเวลาตกั บาตร นมิ นต์ เชญิ เปน็ การเชิญพระมารับบณิ ฑบาต ตรวจสอบผล Evaluate อาราธนา รอ้ งขอพระภกิ ษุใหย้ ินดีพอใจทำาส่งิ ใดส่ิงหนึ่ง เช่น อาราธนาศีล คอื รอ้ งขอใหพ้ ระภิกษุใหศ้ ีล 1. นักเรียนสามารถสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั คาํ ฉันภัตตาหารเพล รับประทานอาหารม้อื กลางวนั ราชาศพั ทสาํ หรบั พระภกิ ษสุ งฆ 166 2. นกั เรียนสามารถนาํ คาํ ราชาศัพทไ ปประยกุ ต ใชได บรู ณาการเช่อื มสาระ บรู ณาการอาเซียน ครูสามารถนาํ เนือ้ หาเรือ่ ง คําราชาศพั ทท ่ใี ชกับพระภิกษุสงฆ บูรณาการ การใชค าํ ราชาศพั ทเปนการใหความสาํ คญั กบั ระดับการใชภ าษาแสดงถึงความ เช่อื มโยงกบั กลุม สาระการเรยี นรู สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวชิ า สุภาพและการใหเ กียรติคสู นทนา การใชคาํ ราชาศัพทย งั ปรากฏในภาษาชวา ซง่ึ หนา ที่พลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาํ เนนิ ชีวิตในสังคม หนวยการเรียนรู เปนภาษาถิน่ ของประเทศอินโดนเี ซีย แมว าจะไมม ีสถานะเปน ภาษาราชการ แตม ี สังคมมนษุ ย และความรเู รือ่ ง วัฒนธรรมไทย เนื้อหาเก่ียวกบั ความสําคัญของ ผูพูดเปนภาษาแมจาํ นวนถงึ 80 ลา นคน หรอื รอยละ 45 ของประชากรทงั้ หมดของ พระพุทธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรมไทย ท้ังความสําคญั ของพระพทุ ธ- อินโดนเี ซยี การพูดภาษาชวามลี กั ษณะแตกตางกนั ไป บริบททางสงั คมมผี ลตอ ศาสนาในฐานะโครงสรางหลักของสงั คมทาํ หนา ทเี่ ปน สถาบนั หลกั ทางสงั คม รปู แบบของภาษาท่ีกําหนดโดยอายหุ รือตําแหนง ในสังคม มรี ายละเอยี ดของภาษา เน่อื งจากสถาบนั ศาสนาทาํ หนา ที่เปนศูนยร วมความศรทั ธา สรางแบบแผน ชวาแตล ะชัน้ ดังตอ ไปนี้ 1. Ngoko เปนการพดู อยา งไมเปน ทางการ โดยคนท่มี ี และแนวทางการดําเนินชวี ิตของคนในสังคม วางกรอบความประพฤตขิ อง ฐานะสูงกวาเม่ือพดู กบั คนทม่ี ีฐานะตํา่ กวา 2. Madya เปนรปู แบบกลาง สาํ หรับใน สมาชิกในสงั คม ตลอดจนเปนหลักสําคญั ในการรกั ษาสงั คมใหม ีความม่นั คง สถานะท่ีไมเปนทางการ 3. Krama เปนแบบท่สี ุภาพและเปนทางการ ใชก ับคนท่ีอยู เขม แข็ง นอกจากน้ี ยงั มีบทบาทในการจัดระเบยี บสงั คม ดว ยจารตี ซง่ึ เปนเรือ่ ง ในสถานะเดียวกนั ใชโดยคนทมี่ ฐี านะตํ่ากวา เม่ือพูดกบั คนที่มีฐานะสูงกวา เชน เดก็ เก่ยี วกับคานยิ ม ปรชั ญา และอดุ มการณท างสงั คม รวมถึงการขดั เกลาทาง พดู กับผูใ หญ เปนตน ลกั ษณะรวมกนั ดังกลาว จงึ สะทอนใหเหน็ ลักษณะรวมทาง สงั คม ซึง่ เปนกระบวนการเรยี นรโู ดยซมึ ซบั บรรทัดฐานและคา นิยมทางสงั คม สงั คมและวฒั นธรรมในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตไ ดเ ปน อยา งดี ครผู สู อนจงึ ควรชแี้ นะใหน กั เรียนเห็นวา พระพทุ ธศาสนามบี ทบาทสําคัญมาก การปฏบิ ตั ิตนของนกั เรยี นตอพระสงฆจึงตอ งมีความสอดคลองกบั คา นยิ มทาง สังคมและวฒั นธรรม 166 ค่มู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ คำ� ควำมหมำย ครสู นทนาซักถามกระตุนความสนใจ ประเคน ถว�ยของพระโดยวิธยี กสง่ ให้ต�มพธิ ีก�รทกี่ �ำ หนดไว้ ดงั ตอไปน้ี เจริญพระพุทธมนต์ สวดพระพทุ ธมนต์ จ�ำ วัด นอนหลบั • หากนกั เรียนถูกตําหนหิ รือพูดจาเหยียดหยาม จำ�พรรษ� อยูป่ ระจำ�วดั ๓ เดอื น ในชว่ งเข้�พรรษ� ดวยถอ ยคําหยาบคายนกั เรียนจะเกิดความ นมสั ก�ร ก�รแสดงคว�มออ่ นน้อมโดยก�รกร�บไหว้ รสู ึกอยา งไร บรรพช� บวชเปน็ ส�มเณร อปุ สมบท บวชเป็นพระภกิ ษุ • นกั เรียนจะมวี ธิ ีการสนทนาโตต อบกบั บคุ คล ล�สกิ ข� สกึ ล�ออกจ�กคว�มเป็นภกิ ษมุ �เปน็ คนธรรมด� ดังกลา วอยางไร อ�พ�ธ เจ็บป่วย อ�บตั ิ โทษจ�กก�รลว่ งละเมิดห้�มส�ำ หรบั พระภกิ ษุ • เหตุใดจงึ เปน เชน นัน้ มรณภ�พ ต�ย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตุผลของ นกั เรียน) สา� รวจคน้ หา Explore ๔. ค�ำศพั ท์ส�ำหรบั บคุ คลทัว่ ไป นักเรยี นสืบคน ขอมลู เก่ียวกับคาํ ศัพทสาํ หรับ บคุ คลท่ัวไป พรอมสาํ รวจวธิ ีการสอื่ สารดว ย คําสุภาพ ค�ำศัพท์ส�ำหรับบุคคลท่ัวไป เรียกอีกอย่ำงว่ำ ค�ำสุภำพ เป็นค�ำที่ใช้ในกำรส่ือสำรด้วย อธบิ ายความรู้ Explain ควำมสภุ ำพ มีลกั ษณะหลีกเลีย่ ง เปล่ยี นแปลงจำกค�ำท่ถี อื ว่ำไมส่ ุภำพ หรือไมเ่ ป็นทำงกำร ดงั นี้ ๑) หลีกเล่ียงค�ำพูดเหยียดหยำม ค�ำพูดเหยียดหยำมผู้อื่นให้ได้รับควำมอับอำย เช่น ค�ำหยำบ ค�ำด่ำ ค�ำเสียดสี ค�ำเหน็บแนมต�ำหนิให้ผู้ฟังเจ็บใจ เป็นค�ำที่ไม่สมควรพูดเพรำะไม่ใช่ 1. นักเรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเดน็ ตอ ไปนี้ คำ� สุภำพ • การสนทนากบั บุคคลท่วั ไปดว ยถอ ยคํา ๒) หลีกเลี่ยงคำ� หยำบ ค�ำด่ำ คำ� กระด้ำง เปน็ คำ� ที่ไมส่ มควรพดู เชน่ กำรเรยี กผอู้ ื่นวำ่ สุภาพนน้ั นักเรียนตองคํานงึ ถึงเร่ืองใดเปน อ้ำย อี กำรใช้สรรพนำม มึง กู กำรด่ำว่ำเปรียบเปรยให้ผู้อ่ืนต่�ำเสมือนสัตว์ เช่น ควำย หมำ สาํ คญั เหี้ย ฯลฯ ถ้ำจะกล่ำวถึงของเสียท่ีขับถ่ำยออกจำกร่ำงกำย ก็ควรใช้ค�ำอื่นแทน เช่น ปัสสำวะ (แนวตอบ เปน ตน วา 1. หลกี เลย่ี งคาํ พดู (แทนเยีย่ ว) อจุ จำระ (แทนข)ี้ ผำยลม (แทนตด) ถ้ำของเสียนัน้ เป็นของสตั ว ์ ตำมตำ� รำวจวี ภิ ำค เหยยี ดหยามผอู ืน่ ใหไดรับความอับอาย ของพระยำอุปกิตศิลปสำรแนะน�ำให้ใช้ค�ำว่ำ “มูล” แทน “ขี้” เช่น มูลนก มูลหนู มูลค้ำงคำว เหน็บแนม ตําหนิใหผ ฟู งเจบ็ ใจ 2. หลีกเลย่ี ง มลู ช้ำง ฯลฯ คําหยาบ คําดา คํากระดา ง หรือเปรยี บเปรย ส่วนค�ำกระด้ำงน้ันเป็นค�ำพูดท่ีห้วน ไม่มีหำงเสียง และมีควำมหมำยไปในเชิงกดผู้อ่ืน ผูอ่นื เสมอื นสตั ว คาํ พดู ทหี่ วนไมมีหางเสียง ใหต้ ่ำ� ลง เชน่ ไล่ให้ออกไป ก็พดู วำ่ ไสหัวไป หรอื แสดงควำมดหู ม่นิ ซำ�้ เตมิ เช่น สมนำ�้ หนำ้ และมคี วามหมายในเชงิ กดผูอื่นใหตาํ่ ลง หรอื แสดงความดหู ม่ินซ้ําเตมิ 3. หลีกเล่ียง คําผวน เปน คาํ ทีม่ ีความหมายสองแง 4. หลีกเลย่ี งคําสแลง คําคะนองหรือ 167 คาํ เฉพาะกลมุ 5. หลีกเล่ยี งภาษาปาก กจิ กรรมสรา งเสรมิ ตอ งเปล่ยี นใหสุภาพเหมาะสม) 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู นักเรยี นศึกษาตวั อยา งและความหมายของคาํ ศพั ท ภาษาสแลง ภาษา ครูผูส อนควรเพม่ิ เติมความรูความเขา ใจเกยี่ วกบั ลักษณะและความสาํ คัญ ปาก และคําคะนองในหนงั สือและแหลง ความรูตา งๆ รวบรวมใหถ ูกตอง เกีย่ วกับหลักการและมารยาทของการส่อื สารในสงั คมและวฒั นธรรมไทย ภาษา แลวจดั ทําเปนหนังสือเลมเล็กใชในการอา งอิงความรู นอกจากจะใชเ ปนเครื่องมือในการส่อื ความรู ความคิด อารมณ ความรสู ึก จนิ ตนาการ ตลอดจนทัศนคตแิ ลว ยงั เปนการสรา งความสมั พันธร ะหวา งบุคคล นักเรยี นสามารถ กิจกรรมทาทาย สงั เกตความสัมพันธร ะหวางบคุ คลไดจากภาษาท่ใี ช อาทิ ความสนทิ สนมคนุ เคย การใชภาษายังตอ งคํานงึ ถงึ โอกาส กาลเทศะ เชน โอกาสท่ีเปนทางการ ยอ มมีความ นักเรยี นรวมรวมคําศพั ท ภาษาสแลง ภาษาปาก และคาํ คะนองทีพ่ บใน แตกตา งจากภาษาทีไ่ มเปน ทางการ ลกั ษณะการใชภาษายอมมคี วามแตกตางกัน สือ่ หนังสือพมิ พหรอื อนิ เทอรเนต็ รวบรวมและแกไ ขใหถ ูกตอ ง จัดทาํ เปน ดวยเหตุที่ภาษาไทยมรี ะดบั ภาษาทแ่ี ตกตา งกันแบง ออกเปน ระดบั พธิ ีการ ซ่ึงสว นใหญ หนงั สอื เลมเลก็ ใชในการอา งอิงความรู จะเปน การสอื่ สารทางเดยี ว เชน การกลาวเปดประชุม กลา วประกาศเกียรติคุณ เปนตน ภาษาระดับทางการ เชน บรรยายในชัน้ เรียน การรายงานขา ว เปน ตน ระดับสนทนา เชน การโตต อบระหวา งกลมุ บคุ คล การเขียนจดหมายระหวา งเพื่อน การรายงานบางประเภท เปนตน และระดับกนั เอง เชน การพดู คุยกับคนสนิท เปนตน เหตนุ ีใ้ นการส่ือสารนักเรยี นจงึ ควรเลือกใชภ าษาใหม ีความเหมาะสมตามความสัมพันธ ระหวา งบคุ คล กาละ เทศะ ตามโอกาส และชุมนมุ ชน คมู่ อื ครู 167
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรวมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็น ๓) หลีกเล่ียงค�ำผวน ค�ำผวน หรือค�ำท่ี ตอ ไปนี้ มีควำมหมำยสองแง่ ค�ำท่ีห้ำมผวนตำมต�ำรำ • การสนทนากบั บุคคลทว่ั ไปดว ยถอยคาํ ที่มี วจีวิภำคของพระยำอุปกิตศิลปสำร เช่น ท่ีห้ำ ความสภุ าพเรยี บรอ ยสง ผลดีตอ การสอื่ สาร ที่หก แปดตัว ฯลฯ แตถ่ ำ้ ค�ำผวนแล้วควำมหมำย อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไม่หยำบ จะถือว่ำเป็นศิลปะกำรใช้ภำษำ เช่น ไดอ ยางหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตผุ ลของ นกั ร้อง (น้องรัก) พกั รบ (พบรัก) ฯลฯ นกั เรียน เปนตนวา การใชถอยคําทม่ี คี วาม ค�ำท่ีมีควำมหมำยสองแง่น้ัน แง่หน่ึง สุภาพเรียบรอ ย ชวยใหการส่ือสารสมั ฤทธิผล มีควำมหมำยธรรมดำตรงตัว แต่อีกแง่หน่ึงอำจ และสรางความสัมพันธท่ีดรี ะหวา งกนั ) การใชภาษาพูดที่สุภาพในการสื่อสารเปนการสรางความ มีควำมหมำยไปทำงเพศ จึงถือเป็นค�ำไม่สุภำพ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ▼ ประทบั ใจใหกบั คูส นทนา ไม่สมควรพูด ๔) หลีกเล่ยี งค�ำสแลง คำ� สแลงหรือค�ำคะนอง เปน็ คำ� ท่ีมีใชก้ นั เฉพำะกลุ่ม เชน่ วยั รนุ่ ขยายความเขา้ ใจ นิยมพูดเป็นช่วงระยะเวลำหน่ึง แล้วผ่ำนไปก็มีค�ำใหม่ขึ้นมำอีก เช่น ค�ำว่ำ แอบแบว แซว Expand ซ่ำส์ ปง แจว สดุ สดุ ฯลฯ คำ� เหลำ่ นส้ี ่วนมำกผ้ทู พี่ ูดมกั จะมุง่ ควำมสนกุ มำกกว่ำอยำ่ งอนื่ เมื่อใดท่ี จ�ำเป็นต้องใช้ภำษำให้ถูกต้องตำมมำตรฐำนของค�ำสุภำพ ผู้ใช้ภำษำก็ย่อมมีดุลพินิจว่ำควรใช้ค�ำ 1. นกั เรยี นรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ อยำ่ งไรจึงจะเหมำะสม • นักเรียนคดิ วา การใชค าํ ราชาศพั ทมคี ณุ คา หรือความสาํ คัญตอ นักเรียนและบคุ คลใน ๕) หลีกเลี่ยงภำษำปำก แม้วำ่ ภำษำปำกจะไม่ใชค่ �ำหยำบหรอื คำ� สแลง แตอ่ ำจไม่เหมำะ สังคมปจจุบนั หรือไม อยางไร สำ� หรับกำรใช้เปน็ ภำษำทำงกำร จึงต้องเปลีย่ นให้สุภำพขน้ึ ตำมควำมเหมำะสม ดังคำ� ต่อไปนี้ (แนวตอบ คําราชาศพั ทย งั คงมคี วามสําคัญกบั สังคมและวัฒนธรรมไทยในปจ จุบนั อยางมาก ค�ำนำม คำ� กรยิ ำ นอกจากคําราชาศัพทจะเปน เคร่ืองแสดงวถิ ี เกือก คา� สุภาพ รองเท้า กิน ค�าสุภาพ รบั ประทาน ชีวติ และวัฒนธรรมไทยท่มี ีความผูกพันกบั ตีน ” เท้า โกหก ” พูดปด กล่าวเทจ็ สถาบันพระมหากษัตริยม าแตด้ังเดมิ แลว เมีย ” ภรรยา ร ู้ ” ทราบ การใชค าํ ราชาศัพทยงั เปนสนุ ทรียภาพใน ผัว ” สามี เอาไป ” นา� ไป การใชถ อยคํา ชว ยใหก ารพูดสอื่ สารไดอ ยา ง หวั ” ศีรษะ อยาก ” ตอ้ งการ ประสงค์ ไพเราะถูกตองตามกาลเทศะ และฐานะของ ¡ÒÃ㪌¤íÒÃÒªÒÈѾ··éѧ¡Ñº¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÔ ¾ÃÐÀÔ¡ÉØÊ§¦ áÅСÒÃ㪌¤íÒÊØÀÒ¾¡Ñº บุคคล รวมถงึ การเรยี นรูคาํ ราชาศพั ทย งั ชวย ºØ¤¤ÅÊÒÁÑÞª¹·ÑèÇä» à»š¹¡ÒÃáÊ´§Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÀÒÉÒÍ¹Ñ ´Õ§ÒÁ¢Í§ÀÒÉÒä·Â ·§Ñé 处 ÊзŒÍ¹¶Ö§ สง เสริมบคุ ลิกภาพใหกบั ผูพดู ใหเ ปน คนรูจัก ¤ÇÒÁà¤Òþ¡‹ͧã¹Ê¶Òº¹Ñ ÈÒʹÒáÅÐʶҺѹ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÂÔ ¼·ŒÙ Õãè ª¤Œ íÒÃÒªÒÈ¾Ñ ·ä ´¶Œ ¡Ù µŒÍ§ กาลเทศะ และใหเ กียรติผูอ่นื นอกจากนี้ àËÁÒÐÊÁ¡ºÑ º¤Ø ¤ÅáÅÐʶҹ¡Òó ¹Í¡¨Ò¡¨Ðä´ÃŒ ºÑ ¤Òí ¡ÂÍ‹ §ÇÒ‹ ໹š ¼ÃŒÙ ¨ŒÙ ¡Ñ ¡ÒÃãªÀŒ ÒÉÒä´´Œ áÕ ÅÇŒ คําราชาศพั ทย งั ถือเปนสวนหนง่ึ ของ ÂѧáÊ´§ãËŒàËç¹ÇÒ‹ ºØ¤¤Å¼¹ÙŒ é¹Ñ ÁÁÕ ÒÃÂÒ·áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁÍѹ´§Õ ÒÁ㹡ÒÃ㪌ÀÒÉÒ วฒั นธรรมไทยทส่ี ําคัญมาแตเดิม การเรียนรู คําราชาศพั ทย อ มทําใหเขาใจรสวรรณคดี มากย่ิงขึ้น สง เสริมความคดิ และจินตนาการ ไดเปนอยางดี) 168 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับระดับภาษา เกรด็ แนะครู ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูความเขา ใจเกย่ี วกับความหมายเรือ่ งความสุภาพมคี วาม ขอใดใชภาษาระดบั ทางการ เก่ียวโยงกับศาสตรหลายแขนงท่มี งุ ศกึ ษาความสัมพนั ธร ะหวา งบคุ คล ตลอดจนการ 1. วถิ ีชวี ติ ไทยริมฝง นํ้ากลบั มาคกึ คกั อีกครงั้ สอ่ื สารของมนุษย ครคู วรเพ่มิ เตมิ ความรูความเขาใจเก่ียวกบั ความหมายของความ 2. เม่อื กระบวนเหเรือพระราชพิธีในแมนํา้ เจาพระยาปดฉากลง สภุ าพ โดยมีรายละเอียด ดงั ตอไปนี้ 1. ความสุภาพ เปนการควบคมุ ความประพฤติ 3. ถนนการลงทนุ สายตางเรง ปด ฝุนเศรษฐกจิ ฟน จุดขาย ของตนใหเ ปนไปตามบรรทดั ฐานทางสังคมที่ควรยึดถอื เปน แนวปฏิบตั ิ 2. ความสภุ าพ 4. กระทรวงการทองเทย่ี วและกฬี าสง เสริมการทองเทีย่ วเชงิ อนุรักษ เปน การใสใ จความรสู ึกของผอู ่นื หมายความวา กอนที่จะกลาวถอยคําหรือลงมอื กระทําสงิ่ ใดลงไป ใหตระหนักวาคนแตละคนมีความตอ งการที่ตา งกนั ตอ งยอมรับ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. กระทรวงการทอ งเทย่ี วและกฬี าสงเสรมิ ความแตกตางและความหลากหลายได 3. การใชความสุภาพอยางถกู ตอ งตาม กาลเทศะเปนเสมอื นกลวิธีเลี่ยงความขดั แยง 4. ความสภุ าพนอกจากจะชวยทาํ ให การทองเท่ียวเชิงอนรุ ักษ เนอื่ งจากใชค ํากระชับ ชดั เจน สุภาพ มคี วามหมาย การสอ่ื สารสมั ฤทธิผลแลว ยังทาํ ใหผ พู ดู รูสกึ พึงพอใจในการประพฤติตนและสรา ง ตรงตัว โดยไมต องตีความ สวนขออน่ื ๆ น้นั เหตุที่ไมใชภ าษาระดบั ทางการ ความม่ันใจใหกบั ตนเองไดว า นาจะไดรบั ความสภุ าพในลกั ษณะเดยี วกันกลบั คนื จาก สงั เกตไดจากคาํ ตอ ไปน้ี ขอที่ 1. คาํ วา คึกคกั ขอ ที่ 2. คําวา ปดฉาก เปน คําทตี่ องตคี วาม และขอ ท่ี 3. คําวา ปด ฝนุ และ จุดขาย ซงึ่ ไมใ ชภ าษาระดับ ทางการ ผฟู งดวย เม่อื ตระหนักถึงขอ จํากดั ของการสือ่ สารดังกลาวแลว นกั เรียนจึงจะสามารถ สือ่ สารไดสัมฤทธผิ ล 168 คูม่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ปกณิ กะ นักเรยี นสืบคน ขอ มูลเกย่ี วกบั การใชค ําสภุ าพ จากบทความเร่ือง เถาสี่บาท à¶ÒÊÕºè Ò· อธบิ ายความรู้ Explain à¶ÒÊèºÕ Ò· ໹š ¤íÒÊÀØ Ò¾·èãÕ ªŒàÃÂÕ ¡¾ª× ª¹´Ô ˹§èÖ 1. ครขู ออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย «èÖ§ÁÕªè×;ŒÍ§àÊÕ§¡Ñº¤íÒ·èÕ¤¹ä·ÂÊÁÑÂâºÃÒ³àËç¹Ç‹Ò ความรูใ นประเด็น ตอ ไปน้ี ËÂÒºâŹ ¤×Í µ¹Œ µíÒÅ§Ö à¹èÍ× §¨Ò¡à»š¹ªè×Í·ÍèÕ Í¡àÊÕ§ • นกั เรียนคิดวา การเปล่ยี นช่อื พืชจาก àËÁ×͹¡Ñº¤íÒÇ‹Ò ÅÖ§¤ «èÖ§¤¹ä·ÂËÁÒ¶֧ÍÇÑÂÇÐ “ตาํ ลึง” เปน “เถาสี่บาท” มสี าเหตมุ าจาก à¾ÈªÒ ¨Ö§ä´ŒÁÕ¡ÒäԴᡌ䢪è×ÍàÃÕ¡µŒ¹µíÒÅÖ§ãËÁ‹Ç‹Ò อะไร à¶ÒÊèÕºÒ· ÍѹÁÕ·èÕÁÒ¨Ò¡ÁÒµÃÒà§Ô¹¢Í§ä·Âã¹Í´Õµ (แนวตอบ เกดิ จากการพองเสยี งของพืชที่ ¤×Í Ë¹èÖ§µíÒÅÖ§ÁÕÊèÕºÒ· ¨Ö§Í¹ØâÅÁ㪌àÃÕ¡ª×è͵Œ¹äÁŒ ชอ่ื วา ตาํ ลึง กบั คําวา “ลึงค” ซง่ึ หมายถึง ª¹Ô´¹Õµé ÒÁä»´ÇŒ  อวยั วะเพศชาย ซึ่งเปน คาํ ทมี่ คี วามหมาย ไมเ หมาะสม จงึ มกี ารเปล่ยี นชื่อจากคําวา Í‹ҧäáçµÒÁ µíÒÅÖ§ÂѧÁÕª×èÍàÃÕ¡ÍÕ¡ËÅÒÂÍ‹ҧ«è֧ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ÍÍ¡ä»ã¹áµ‹ÅÐ “ตาํ ลงึ ” เปน คําวา “เถาส่ีบาท” ซ่งึ มที ่ีมาจาก ·ŒÍ§¶Ôè¹ àª‹¹ ¼Ñ¡á¤º (ÀÒ¤à˹×Í) ¼Ñ¡µíÒ¹Ô¹ (ÀÒ¤ÍÕÊÒ¹) á¤à´ÒÐ (¡ÃÐàËÃèÕ§- มาตราเงินไทยในอดีต ซ่งึ มีเสียงพอ งกนั ) áÁ‹ÎÍ‹ §Ê͹) ໚¹µ¹Œ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ µíÒÅ֧໚¹äÁŒà¶ÒÅŒÁÅØ¡ÍÒÂØËÅÒ»‚ à¶ÒÁÅÕ ¡Ñ ɳСÅÁ ÊàÕ ¢ÕÂÇ µÒÁ¢ŒÍÁËÕ ¹Ç´ ขยายความเขา้ ใจ Expand àÍÒäÇŒÂÖ´à¡ÒÐ ãºÁÕÊÕà¢ÕÂÇ ÃٻËҧ¤ÅŒÒ ËÒŒ àËÅÕèÂÁ àÃÕºäÁÁ‹ Õ¢¹ ¢ÍºãºàÇŒÒ Á´Õ Í¡ 1. นักเรยี นรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ÍÍ¡µÒÁºÃÔàdz«Í¡ãº ¡ÅÕº´Í¡ÁÕÊÕ¢ÒÇ • นกั เรียนคดิ วา ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับ »ÅÒ´͡á¡Í͡໹š ËŒÒá©¡ ¼ÅÁÃÕ »Ù ÃÒ‹ § การบญั ญตั คิ าํ สภุ าพเพอื่ ใชเ รยี กพชื ชนดิ หนง่ึ ¡ÅÁÃÕ ¼Å´ÔºÊÕà¢ÕÂÇ àÁ×Íè Ê¡Ø ¨´Ñ ÁÊÕ áÕ ´§ สะทอนความสําคญั ของภาษาในสังคมและ วฒั นธรรมไทยอยา งไร ÊÃþ¤Ø³·Ò§ÂÒ (แนวตอบ สะทอ นวฒั นธรรมเกีย่ วกบั การ • Å´ÍÒ¡Ò÷ŒÍ§Í×´·ŒÍ§à¿‡Í : ¤ÇÃÃѺ»Ãзҹʴ à¾ÃÒÐà͹ä«Áã¹µíÒÅÖ§¨Ð‹ÍÂÊÅÒ สอื่ สารในสงั คมไทยทต่ี องรกั ษาความสุภาพ เรยี บรอย และมมี ารยาทในการสอ่ื สาร àÁÍ×è â´¹¤ÇÒÁÌ͹ นอกจากน้ี ยังแสดงใหเ ห็นความสาํ คัญของ • Å´ÍÒ¡Òäѹ ÍÒ¡ÒÃÍÑ¡àʺà¹×èͧ¨Ò¡áÁŧ¡Ñ´µ‹Í áÅоתÁÕ¾ÔÉ : ¹íÒ㺵íÒÅÖ§Ê´ ภาษาซ่ึงมีอทิ ธิพลตอความคิดของคนใน สงั คมและวฒั นธรรม ฉะนน้ั การสือ่ สารใน ÁÒµÒí ãËÅŒ ÐàÍÂÕ ´¼ÊÁ¡ºÑ ¹Òéí ¤¹Ñé àÍÒáµ¹‹ Òéí ·ÒºÃàÔ Ç³·àÕè »¹š ¨¹¡ÇÒ‹ ¨ÐËÒ (ãªäŒ ´´Œ ÊÕ Òí ËÃºÑ ภาษาไทยจงึ นบั วามคี วามสําคญั สอดคลอง Á´¤Ñ¹ä¿ ËÃ×Í㺵íÒáÂ) กบั คาํ กลาวที่วา “จงคดิ กอ นพูด แตอ ยาพดู • á¼ÅÍÑ¡àʺ : 㪌ãºËÃ×ÍÃÒ¡Ê´ µÒí ¾Í¡ºÃÔàdz·èàÕ »¹š กอ นคดิ ”) 169 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกับกับระดับภาษา ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรคู วามเขา ใจเกย่ี วกบั กลวธิ กี ารแสดงความสภุ าพในภาษาไทย ขอ ใดใชภาษาตา งระดบั กบั ขอ อ่นื โดยการแสดงความสภุ าพในภาษาไทยสามารถแสดงออกไดใ นหลายลกั ษณะดวยกัน 1. ศตั รูสําคัญของเห็ดหหู นูคอื ไร ไขป ลา และราเขียว เปนตนวา การพูดออ ม เชน ชวงนี้ดหู นา ตามนี าํ้ มนี วล รปู รางสมบูรณข น้ึ 2. เหด็ ขอนถึงจะเปน เห็ดในสกลุ ของเหด็ หอมแตร ปู รา งหนาตาเหมอื นเหด็ แทนการกลา ววา อวนขึ้น หรือการเลอื กใชคําที่มรี ะดบั สงู กวา เชน ใชคําวา ทาน นางรม รบั ประทาน แทนคาํ วา แดก กิน ยดั ใชค ําวา ทราบ แทนคําวา รู เปนตน นอกจากน้ี 3. การปลกู เห็ดขอนใชว ิธเี พาะดวยขเี้ ลอ่ื ยในถงุ พลาสติกเชน เดยี วกับการ การเปล่ียนประโยคคําส่ังเปนประโยคขอรอ ง ดวยการเลอื กใชคําขึน้ ตน ประโยคและ เพาะเหด็ นางฟา คาํ ลงทา ยประโยค ยังชว ยเพมิ่ ความสุภาพได ประกอบดวย การใชค ําวา วาน ชวย 4. เห็ดขอนมดี อกมากในสภาพอากาศรอน สว นเห็ดนางรมและเหด็ กรุณา และ โปรด เชน วานบอกเขาดว ย เปนตน และการใชคําลงทา ยประโยค นางฟา ออกดอกไดด ใี นทอ่ี ากาศเยน็ ประกอบดว ย การใชคาํ วา ครบั คะ คะ จา จะ หนอ ย เชน ไมไ ปครบั เปน ตน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เห็ดขอนถึงจะเปนเห็ดในสกุลของเห็ดหอม ครคู วรช้ีแนะความรูความเขา ใจเกี่ยวกบั วัฒนธรรมการใชภ าษาไทยวา ภาษา แตละภาษามีลกั ษณะเฉพาะของตนเอง นักเรียนจึงตองคํานึงถึงวฒั นธรรมการใช แตรูปรางหนา ตาเหมือนเหด็ นางรม เนอ่ื งจากขอ ท่ี 1. ขอ ที่ 3. และ ขอท่ี 4. ภาษาควบคกู บั การใชภาษา เพือ่ ใหนกั เรยี นสามารถใชภ าษาในการสื่อสารไดสัมฤทธิ- เปน ภาษาระดับทางการ สวนขอท่ี 2. เปนภาษาระดบั ก่งึ ทางการ สงั เกตจาก ผล และสรา งสมั พนั ธภาพระหวางกนั ของคูสนทนาและบุคคลรอบขางไดอีกดวย คําวา ถึงจะ ภาษาระดับทางการควรใชค าํ วา แมวา สวนคาํ วา รูปรางหนาตา ภาษาระดบั ทางการควรใชค าํ วา ลักษณะ คมู่ ือครู 169
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกบั การ คำาถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ สอ่ื สารสําหรบั บุคคลท่วั ไปหรอื วิธีการสอื่ สาร ดวยคาํ สภุ าพได ๑. การศึกษาเร่อื งการใช้ค�าราชาศพั ท์มปี ระโยชน์อย่างไร จงอธิบาย ๒. การใช้ค�าราชาศัพท์กับพระสงฆ ์ มีหลักในการใชอ้ ย่างไร 2. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกับคณุ คา ๓. ระดับภาษามีความสา� คัญต่อการใชอ้ ยา่ งไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งประกอบ และความสาํ คญั ของคาํ ราชาศพั ทตอ คนไทยใน ๔. “คา� สแลงเปน็ คา� ที่เปลย่ี นแปลงไปตามสมยั นิยม” นักเรยี นเห็นด้วยหรือไม่ อยา่ งไร ปจ จบุ นั ได ๕. การใชค้ า� สุภาพสามารถใช้ในการสือ่ สารโดยทว่ั ไปไดห้ รือไม ่ อย่างไร 3. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกบั ความ สาํ คัญของการส่ือสารผานภาษาในสงั คมและ วฒั นธรรมไทยได 4. นักเรยี นสามารถสือ่ สารกับบุคคลอืน่ ดวยภาษา ทม่ี คี วามสุภาพได หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ 1. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คัญเก่ียวกบั ความหมาย ๑. ให้นกั เรยี นคน้ หาค�าสุภาพของหมวดคา� ทกี่ �าหนดให้ถกู ต้อง เพ่อื ให้มีความรู้ท่ี และความสําคญั ของคาํ ราชาศพั ท การใชค ํา กว้างขวางข้นึ และจดบนั ทกึ ความร้ลู งในสมุด เชน่ ราชาศพั ทส าํ หรบั พระมหากษัตรยิ ประกอบดว ย คาํ นามราชาศพั ท คาํ สรรพนามราชาศัพท และ หมวดผกั ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักกาดหอม คาํ กรยิ าราชาศพั ท หมวดปลา ปลาสลิด ปลาชะโด ปลาชอ่ น ๒. ให้นกั เรยี นแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกบั การใช้คา� สแลง หรือคา� คะนองในปัจจุบัน 2. ภาพประกอบคําราชาศัพทห มวดรางกายและ และบอกข้อควรระวงั ในการใชค้ า� เหลา่ นี้ เครอื่ งใช ๓. ใหน้ กั เรยี นจดั นทิ รรศการเกย่ี วกับการใช้ภาษาไทย เพ่ือเผยแพรค่ วามรดู้ ้านการใช้ 3. แผนผงั คาํ ราชาศัพทใ นหมวดขัตติยตระกูล ภาษาไทยในโรงเรียน 4. ความเรยี งสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกบั การวิเคราะห 170 คําราชาศัพทจ ากส่ือ พรอ มความเรยี งสรุป เปรยี บเทยี บความหมาย และจัดกลมุ คาํ 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกบั คาํ ราชาศพั ท สาํ หรับพระภกิ ษสุ งฆ 6. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั การส่ือสาร สําหรบั บุคคลท่ัวไปหรอื วิธกี ารสื่อสารดวย คาํ สภุ าพ รวมถงึ ภาพสะทอนทางสงั คมและ วฒั นธรรมไทยผานการใชภาษา 7. บนั ทึกการตอบคาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. การศึกษาคําราชาศัพทม ีประโยชนอ ยา งมาก นอกจากคําราชาศพั ทจ ะเปน เคร่ืองแสดงวิถชี วี ิตและวัฒนธรรมไทยท่มี ีความผกู พนั กบั สถาบันพระมหากษตั ริยม าแตดั้งเดมิ แลว การใชคาํ ราชาศพั ทย ังชวยใหพูดสือ่ สารไดอ ยางไพเราะถูกตองตามกาลเทศะและฐานะของบคุ คล รวมถึงการเรียนรคู ําราชาศพั ทย ังชวยสงเสรมิ บุคลกิ ภาพใหกับ ผพู ดู ใหเปนคนรูจกั กาลเทศะ และใหเกยี รตผิ ูอนื่ นอกจากน้ี คาํ ราชาศพั ทยังถอื เปนสวนหนึง่ ของวัฒนธรรมไทยทสี่ ําคญั มาแตเ ดิม การเรียนรูคําราชาศัพทยอ มทําให เขา ใจรสวรรณคดีมากยิง่ ขึน้ สงเสริมความคิดและจินตนาการไดเปน อยา งดี 2. คาํ ราชาศพั ทสําหรับพระภิกษสุ งฆนน้ั กาํ หนดใหใชคําราชาศัพทส าํ หรับพระสังฆราชเทยี บเทากับพระราชวงศช้ันพระองคเจา สวนพระภกิ ษทุ ี่เปน พระราชวงศน้ันคงใช ราชาศัพทตามลาํ ดบั ชั้นแหงพระราชวงศเ ชน เดิม และการใชค าํ ราชาศัพทส ําหรับพระภิกษสุ งฆสวนมากใชเ ชนเดยี วกับบคุ คลท่ัวไป ยกเวนบางคําทกี่ าํ หนดไวเฉพาะ พระภิกษสุ งฆ 3. ระดบั ภาษามีความสาํ คัญตอการใชภาษา เน่อื งจากภาษาไทยเปนภาษาท่มี ีระดับ คอื มีลาํ ดับชน้ั ลดหล่นั กนั แตกตางกนั ตามสถานท่ีเวลาและโอกาส ดงั เชนการแบง ระดับภาษาเปน ระดบั พธิ กี าร ระดับทางการ ระดับกึง่ ทางการ ระดับสนทนา และระดบั กนั เอง นอกจากนี้ ในการส่ือสารยงั ตอ งคาํ นงึ ถึงระดบั ของบคุ คลอกี ดว ย เพือ่ ให ผสู ง สารสามารถเลอื กใชถ อยคาํ ภาษาทส่ี ภุ าพถูกแบบแผน 4. เห็นดว ยกบั คํากลาวทว่ี า คาํ สแลงเปนคําที่เปลย่ี นไปตามสมยั นิยม โดยเปน คําที่มีใชเฉพาะกลุม นิยมพูดในชว งระยะเวลาหนง่ึ ไมนานก็มักจะมคี ําใหมเ ขามาทดแทน ในการพดู คําสแลงมกั ใหค วามสําคญั กบั ความสนุกสนาน เม่ือนักเรียนตอ งการใชภาษาใหม คี วามสุภาพจงึ ตอ งพจิ ารณาอยา งถี่ถวนกอนใชภาษา 5. คาํ สุภาพสามารถใชในการสื่อสารไดโดยท่ัวไป ทัง้ น้ีตองคาํ นึงถงึ เวลา โอกาส สถานที่ รวมถึงบคุ คลที่ตองการสนทนาเปน องคป ระกอบสาํ คัญในการพจิ ารณาเลอื กใช ภาษา 170 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ตอนที่ ๔ แตงบทรอ ยกรอง สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ 4. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเ รยี นรู 2. มงุ มน่ั ในการทํางาน 3. รกั ความเปนไทย บทรอยกรอง กระตนุ้ ความสนใจ Engage ôหนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ เปนคําประพันธทถี่ ูกรอยเรียงขนึ้ ครเู ปด วีดทิ ัศนบนั ทึกกระบวนเรือพระยหุ ยาตรา โดยมลี ักษณะบังคบั ในการแตง เรียกวา ทางชลมารคใหนกั เรยี นชม หรือครเู ปด กาพยเหเ รอื “ฉนั ทลกั ษณ” มกี ารกาํ หนดจาํ นวนคาํ จากแถบบันทึกเสยี งใหน ักเรยี นฟง จากนนั้ ครู สนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอ ไปน้ี คาํ เอก คาํ โท สัมผสั ตามลกั ษณะของ บทรอ ยกรองประเภทตางๆ ไดแ ก โคลง ฉนั ท • นกั เรียนมีความรูส กึ อยางไร หลังจากที่ กาพย กลอน ราย การรจู กั ลักษณะ ประเภท นกั เรยี นไดชมหรือไดร บั ฟงบทเหเ รอื และฉนั ทลกั ษณจะชว ยใหแ ตงบทรอยกรอง • นกั เรยี นคิดวา ความไพเราะของเสียงขับบท ไดถ ูกตอ งและไพเราะ เหเ รือสะทอ นลกั ษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม ของไทยในดา นใดบา ง อยา งไร การแตง คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และโคลง ไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตผุ ลของ ตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง นักเรยี น เปนตน วา สะทอนความไพเราะของ เสยี งทก่ี อใหเกิดความไพเราะจาก • แต่งบทรอ้ ยกรอง (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๔) • แตง่ บทรอ้ ยกรองประเภท กาพย์ โคลง รา่ ย และฉนั ท์ บทประพนั ธ แสดงถงึ ความสําคญั ของ บทประพันธท ่ีมตี อสงั คมและวัฒนธรรมทาง ภาษาของไทย) เกรด็ แนะครู หนว ยการเรียนรูนี้ ครคู วรเนน การตง้ั คําถามเพ่อื ทบทวนความรเู ดมิ ของนักเรียน โดยเฉพาะความรสู กึ ของนักเรยี นเกีย่ วกบั บทประพนั ธประเภทรอ ยกรอง ครพู ยายาม ชี้แนะนักเรียนวา บทประพันธป ระเภทรอยแกวและรอยกรองมีลกั ษณะแตกตางกัน ในดานใดบางอยา งไร ครแู นะใหน กั เรียนพจิ ารณาอารมณความรูสกึ และจินตนาการ ของนักเรียนทเี่ กิดจากการฟงจากแถบบันทึกเสียง การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกระตนุ ความ สนใจ นกั เรยี นจึงควรพิจารณาเน้ือหาเรือ่ งราวตา งๆ ดว ยตนเอง ครูไมค วรบอก นักเรียนวา บทประพันธแ ตล ะบทท่นี ักเรียนไดรบั ฟง นั้นมีความไพเราะอยางไร แต ควรเนน ใหน กั เรยี นพิจารณาบทประพันธแตล ะบททีน่ กั เรียนไดร ับฟงจากการรับผสั สะ ของนกั เรยี นเอง โดยครูสามารถเพ่มิ เทคนคิ วิธีการรับผัสสะดังกลา วดวยการเปด บทประพันธท ่มี ีเสียงทาํ นองเสนาะและไมม เี สยี งทํานองเสนาะเปรียบเทยี บกัน จากนนั้ ใหน กั เรียนอธบิ ายอารมณความรสู กึ ทเี่ กิดจากจงั หวะลลี า จากการฟง เพอื่ เชือ่ มโยง ความรขู องนักเรียนสูความเขา ใจในสุนทรยี ะของบทประพนั ธ และนักเรียนสามารถ นําความรูความเขา ใจดังกลาวมาใชในการแตงบทประพนั ธในลําดับตอไป ค่มู อื ครู 171
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๑ . ลกั ษณะบงั คับ ๙ ประการของบทรอ้ ยกรอง • นักเรยี นรูจักบทรอ ยกรองประเภทใดบาง • นักเรยี นเคยแตง บทรอยกรองประเภทใด ๑) พยางค์ คอื เสยี งทเี่ ปลง่ ออกมาครง้ั หนง่ึ ๆ จะมคี วามหมายหรอื ไมม่ กี ็ได้ การนบั พยางค์ ขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะบงั คบั ของรอ้ ยกรองแตล่ ะชนดิ เชน่ ในการแตง่ รอ้ ยกรองประเภทฉนั ทถ์ อื วา่ พยางค์ และบทรอยกรองประเภทใดแตง ไดย ากท่ีสุด คอื ค�า แต่ในการแตง่ ร้อยกรองประเภทอ่นื อาจนบั รวม ๒ พยางคเ์ ปน็ ๑ คา� ได้ เชน่ วจี ตลาด • นกั เรยี นคิดวา การแตงบทรอ ยกรองตอ งมี สนอง เป็นต้น ๒) คณะ คอื ขอ้ กา� หนดของรอ้ ยกรองแตล่ ะชนดิ วา่ จะตอ้ งมจี า� นวนคา� จา� นวนวรรค จา� นวน ความรูความเขา ใจในดานใดบาง อยา งไร บาท จา� นวนบทเทา่ ใด เชน่ กลอนแปด กา� หนดว่า ๑ บทมี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๘ ค�า เปน็ ตน้ สา� รวจคน้ หา Explore ๓) สมั ผัส คอื ลักษณะบังคับใหใ้ ช้คา� คลอ้ งจองกัน มี ๒ ชนดิ ดงั น้ี ๓.๑) สมั ผัสบงั คบั หรอื สัมผัสนอก คอื ต�าแหนง่ บังคับการส่งสัมผัสกันระหวา่ งวรรค นักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับลักษณะบังคับ 9 ระหวา่ งบทของรอ้ ยกรองทกุ ประเภท โดยกา� หนดใชค้ า� ทปี่ ระสมดว้ ยสระ และมาตราสะกดเดยี วกนั ประการ ของบทรอ ยกรอง ในการรับส่งสัมผัส ดงั บทประพนั ธ์ อธบิ ายความรู้ Explain 1. นกั เรยี นรวมกนั แสดงความคดิ เห็นในประเด็น ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ ตอ ไปน้ี ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ • เมื่อนักเรยี นฟงเสียงจากบทประพันธแ ตละ ประเภทแลว นกั เรยี นมีความรูสกึ แตกตางกนั “บัดเดย๋ี วดงั หงั่งเหงง่ วงั เวงแว่ว สะดุ้งแลว้ เหลยี วแลชะแง้หา หรือไม อยางไร เห็นโยคขี ่ีรงุ้ พงุ่ ออกมา ประคองพาขน้ึ ไปจนบนบรรพต (แนวตอบ ลกั ษณะบังคบั ของฉนั ทลกั ษณ สง ผล แลว้ สอนวา่ อยา่ ไวใ้ จมนุษย ์ มนั แสนสุดลึกล้�าเหลอื ก�าหนด ตอ กลวธิ ีทางวรรณศิลปและรสทางวรรณศลิ ป ก็ไม่คดเหมือนหนง่ึ ในน�้าใจคน” ทีแ่ ตกตางกนั ไป) ถงึ เถาวัลย์พนั เกยี่ วท่เี ลย้ี วลด • นกั เรียนคิดวา เหตใุ ดนักเรียนจงึ ตองแตง (พระอภยั มณี : สุนทรภู)่ บทประพนั ธต ามลักษณะของฉันทลักษณ การแตง บทประพันธต ามบงั คับฉันทลักษณ อนั ความคิดวิทยาเหมอื นอาวธุ ประเสริฐสุดซ่อนใสเ่ สียในฝัก สง ผลตอคณุ คา ของบทประพันธอยา งไร (แนวตอบ การเรียนรฉู ันทลักษณหรอื ลักษณะ สงวนคมสมนกึ ใครฮกึ ฮัก จึงค่อยชักเชือดฟนั ให้บรรลยั คาํ ประพนั ธประเภทบทรอ ยกรองมแี บบแผนท่ี แตกตา งกนั ไป การเรียนรูเ รือ่ งฉนั ทลักษณ จับให้ม่ันค้นั หมายใหว้ ายวอด ช่วยใหร้ อดรักใหช้ ิดพิสมัย ชว ยใหนักเรียนแตงบทรอยกรองไดถูกตอง และมคี วามไพเราะ ทง้ั ในดา นเสียง ตดั ใหข้ าดปรารถนาหาสง่ิ ใด เพยี รจงไดด้ ังประสงคท์ ต่ี รงดี และรสอารมณท เ่ี กดิ จากบทประพันธทมี่ ี ความแตกตา งกันดานฉนั ทลักษณ) (เพลงยาวถวายโอวาท : สนุ ทรภู่) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด 172 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั สัมผสั ของบทประพนั ธประเภทรอยกรอง ครูควรเพิม่ เติมความรูความเขา ใจขน้ั พื้นฐานเกี่ยวกบั บทประพนั ธ บทประพนั ธแบง ขอใดมีสมั ผสั เพียงชนดิ เดยี ว ได 2 ลกั ษณะ ไดแก บทประพันธประเภทรอยแกว และบทประพันธประเภทรอ ยกรอง 1. พกั ตรน อ งละอองนวลปล่งั เปลง ลักษณะรว มอยา งหนง่ึ ของการแตงบทประพันธท ั้งสองประเภท คอื บทประพนั ธทั้งสอง 2. งามประหลาดเลศิ ลาํ้ เลขา มีการเลอื กสรรคาํ และแตงขน้ึ ตามระเบยี บแบบแผนการใชภาษา เพอ่ื ถา ยทอดอารมณ 3. อรชรออนแอน ท้งั อนิ ทรยี ความรสู ึกนึกคดิ และจนิ ตนาการของผปู ระพนั ธสผู ูอาน แตม ีลกั ษณะเฉพาะหรอื ลกั ษณะ 4. ดงั กินรลี งสรงคงคาลัย ที่มีความแตกตางกัน คอื บทประพันธป ระเภทรอยแกว ไมมีการจาํ กัดรปู แบบลกั ษณะ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. งามประหลาดเลิศลํ้าเลขา เพราะขอ ท่ี 2. การใชถอ ยคําหรือการเรียบเรยี งประโยค การแตง บทประพันธประเภทรอ ยแกว นี้ จงึ ขึ้น มเี พยี งสมั ผัสอักษร ซง่ึ เปนเสียงสัมผัสของพยญั ชนะตน ไดแก เสยี งของคําวา อยกู บั ความสามารถและความพึงพอใจของผแู ตง เปน สาํ คญั ซ่ึงมคี วามแตกตา งจากบท หลาด เลิศ ลา้ํ เล สว นขอ อ่นื ๆ มที ้ังเสยี งสัมผสั สระและสัมผสั อกั ษร ไดแก ประพันธป ระเภทรอ ยกรองท่ีมีแบบแผนขอ บังคับในการแตง หรอื ท่ีเรยี กวา ฉนั ทลักษณ ขอที่ 1. สัมผสั อกั ษร ไดแ ก ปลั่ง - เปลง สมั ผสั สระ ไดแ ก นอ ง - ออง ขอ ท่ี 3. ในบทประพันธ ฉะนัน้ นกั เรยี นจะแตงบทรอยกรองตามความคิดเห็นของนักเรียนใหมี สัมผัสสระ ไดแก ชร - ออน สมั ผสั อกั ษร ไดแ ก อร - ออ น - แอน - อนิ และ ความอิสระ มคี วามสละสลวย และมคี วามสมบูรณทางดานความหมายเพียงอยางเดยี ว ขอท่ี 4. สมั ผัสอักษร ไดแก คง - คา สัมผัสสระ ไดแก ลง - สรง - คง ไมไ ด แตตอ งแตง ตามฉนั ทลักษณหรือขอ บงั คับของบทประพันธท่ีมรี ะเบียบแบบแผน พรอมเลือกวิธกี ารส่ือสารอยา งเหมาะสม 172 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓.๒) สมั ผสั ใน คือสัมผสั ภายในวรรค ซึง่ จะมีหรอื ไม่มกี ็ได้ ไมไ่ ดก้ า� หนดใหเ้ ปน็ สัมผัส 1. นักเรียนจดั กลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน รวมกัน บังคับ แต่หากมีจะช่วยท�าให้บทร้อยกรองมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น สัมผัสท่ีเกิดภายในวรรค ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปน้ี อาจเปน็ สมั ผสั สระ คอื คา� ทป่ี ระสมดว้ ยสระ และมาตราตวั สะกดเดยี วกนั หรอื อาจเปน็ สมั ผสั อกั ษร • ลักษณะบังคบั 9 ประการของบทรอ ยกรอง คือค�าท่ีใช้พยัญชนะต้นตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน โดยไม่ต้องค�านึงถึงสระและตัวสะกด เช่น ประกอบดว ยอะไรบา ง ต--ตก ตา่� แตก ต้าน ตอ้ น ตนื่ เต้น ดังบทประพันธ์ (แนวตอบ มอี งคป ระกอบ ดังนี้ 1. พยางค 2. คณะ 3. สัมผัส 4. คาํ ครุ คําลหุ 5. คําเอก “เจ้าของตาลรกั หวานข้ึนปนี ต้น ระวงั ตนตนี มือระมดั ม่นั คําโท 6. คําเปน คาํ ตาย 7. เสยี งวรรณยกุ ต เหมอื นคบคนคำาหวานรำาคาญครนั ถา้ พลง้ั พลนั เจบ็ อกเหมือนตกตาล” 8. คาํ นําหรอื คําขึน้ ตนบทประพันธต าม ลักษณะฉนั ทลกั ษณ 9. คําสรอ ย) (นริ าศพระบาท : สนุ ทรภ่)ู • พยางคมคี วามหมายวาอยางไร และ ความหมายของพยางคใ นบทประพนั ธม คี วาม สัมผสั สระ ตาล-หวาน, หวาน-คาญ, ค�า-ร�า, อก-ตก แตกตางกันหรือไม และความแตกตาง ดังกลา วมสี าเหตมุ าจากเรือ่ งใดเปนสําคัญ สัมผสั อักษร ตน-ตนี , มอื -มดั -มั่น, คบ-คน-คา� -คาญ (แนวตอบ พยางคโดยทั่วไปหมายถงึ เสียงที่ เปลง ออกมาคร้งั หน่ึงๆ จะมคี วามหมายหรือ พล้ัง-พลนั , ตก-ตาล ไมม ีความหมายกไ็ ด การนับพยางคขึน้ อยูก บั ฉนั ทลักษณของบทประพันธ ตัวอยา งเชน ๔) คำาคร ุ คำาลหุ คอื ค�าทม่ี เี สยี งหนักและเสยี งเบา บงั คับใชใ้ นบทร้อยกรองประเภทฉันท์ คาํ ประพนั ธประเภทฉันทถ ือวา พยางค คือ ๔.๑) คำ� ครุ มี ๓ ลักษณะ ดังน้ี คํา แตในบทประพนั ธป ระเภทอ่นื อาจนบั 2 พยางคเ ปนหน่ึงคําก็ได ตามบงั คบั คณะ ๑. ค�าทปี่ ระสมดว้ ยสระเสยี งยาวในแม่ ก กา เชน่ มาลี ศรีโสภา หรือขอ กาํ หนดจํานวนคาํ ในบทประพันธ แตล ะประเภท) ๒. คา� ทมี่ ตี ัวสะกด เชน่ น้อง รกั นักเรยี น พากเพียร เขียน อ่าน • นกั เรยี นคดิ วา วิธีการนับพยางคดังกลา ว สง ผลตอ คณุ คา ทางวรรณศลิ ปอยา งไร ๓. คา� ท่ปี ระสมด้วยสระอ�า ใอ ไอ เอา เช่น น�า้ ใจ ไม่ เมา (แนวตอบ การนบั จาํ นวนคํา ยอมคาํ นึงถงึ บงั คับคณะของบทประพนั ธ เพ่ือใหเกดิ ๔.๒) ค�ำลห ุ มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ เสยี งสมั ผสั รวมถงึ เสยี งหนกั เบา ชวยสราง ความไพเราะ และรสอารมณท ่ีเกิดจาก ๑. คา� ที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในแม่ ก กา เชน่ มะลิ เอะอะ บทประพนั ธตามบงั คบั ฉันทลักษณข อง บทประพันธแตล ะประเภท) ๒. ค�าท่ีประสมดว้ ยสระอา� อาจเป็นไดท้ ้งั ค�าครุและลหุ ในกรณีคา� ที่ประสมด้วย 2. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ สระอ�า เปน็ พยางค์หนา้ ของคา� ๒ พยางค์ ใช้เปน็ คา� ลหุได้ เชน่ ตา� บล ทา� นอง สา� แดง หนา ชนั้ เรียน ๕) คำาเอก คำาโท คือ ค�าท่ีบังคับใช้รูปวรรณยุกต์เอกและโท ในต�าแหน่งท่ีก�าหนดไว้ใน บทร้อยกรองประเภทโคลงและรา่ ย ๑. คา� เอก คอื ค�าหรอื พยางคท์ ี่มีรปู วรรณยุกตเ์ อก เช่น ไม่ ใช่ ท่ี ป่า นมุ่ ๒. ค�าโท คือ คา� หรอื พยางค์ท่ีมีรปู วรรณยุกต์โท เช่น ฟ้า ให้ นา้� บ้าน ๓. ค�าเอกโทษ คือ ค�าโททเี่ ขียนโดยใช้รปู วรรณยุกต์เอก เช่น “ท่าโขลงโขลงช้างคา่ ม ตามโขลง” (ข้าม - คา่ ม) 173 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั สัมผสั อักษรในบทประพนั ธป ระเภทโคลง โคลงตอ ไปนี้บาทใดใชส ัมผสั อักษรเดนชดั ท่สี ุด ครูควรเพิม่ เติมความรูความเขาใจเก่ยี วกบั ความสาํ คัญของบทรอยกรองประเภท รอ นอากาศอาบน้าํ บรรเทา ตา งๆ ลวนมพี ัฒนาการตอ เน่ืองในยคุ สมยั ตางๆ อยา งเปนลําดับ และมกี ารบนั ทกึ รอ นแดดพอแฝงเงา รม ได ไวเปน ตาํ ราอยา งหลากหลาย บทรอยกรองหลากหลายประเภทของไทย ไมวาจะ รอ นในอุระเรา เหลือหลกี เปนบทรอ ยกรองประเภทโคลง ฉนั ท กาพย และกลอน ลวนมลี กั ษณะแยกยอ ย รอ นอกราคหมกไหม หมน เพีย้ งเพลิงรุม อนื่ ๆ หลากหลายแตกตา งกันไป บทรอ ยกรองแตละชนิดและแตล ะประเภทลว น 1. บาทท่ี 1 2. บาทที่ 2 ใหอ ารมณค วามรูสกึ ท่ีมคี วามแตกตา งกัน จากจงั หวะของเสยี ง ลลี าการประพนั ธ 3. บาทที่ 3 4. บาทท่ี 4 ขอบังคับเหลา น้ลี ว นสง ผลตอการเลือกสรรถอ ยคําทีส่ ง ผลตอคุณคา ทางวรรณศลิ ป วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. บาทที่ 3 มีสมั ผัสอกั ษรทง้ั วรรคหนาและ ทงั้ ในดานเสยี งและความหมายจากบทประพันธ คนไทยสามารถเลอื กลกั ษณะ วรรคหลงั คอื รอน - (อุ)ระ - เรา เหลอื - หลกี สวนในขอ อืน่ ๆ ปรากฏสมั ผสั คําประพนั ธของบทรอยกรองเหลานีม้ าใชใ นการแตงใหมคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง อกั ษร ดงั นี้ ขอท่ี 1. คอื อา - อาบ ขอ ท่ี 2. ไมมีสมั ผัสอกั ษร และขอ ท่ี 4. คอื กับอารมณความรูสึกและจนิ ตนาการท่ีตอ งการถายทอดไดอ ยางหลากหลาย คือ รอ น - ราค หมก - ไหม ดงั นัน้ ในบาทท่ี 3 จึงปรากฏสัมผสั อกั ษรเดนชดั การฝกฝนการแตง คาํ ประพนั ธประเภทรอ ยกรองแตละประเภท จึงสะทอ นถงึ ท่ีสดุ ความไพเราะ ประณตี ของบทประพันธ นับเปน สมบัติทางวฒั นธรรมไทยทม่ี คี ณุ คา อยา งย่ิง นักเรียนควรทาํ การศึกษาเพ่ือใหเกดิ ความเขาใจและตระหนักในคุณคา ดานวฒั นธรรมทางภาษาจากความไพเราะของบทรอยกรองไทย คู่มอื ครู 173
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรว มกนั แสดงความคิดเห็น ๔. คำ� โทโทษ คือ คำ� เอกทีเ่ ขียนโดยใชร้ ปู วรรณยุกต์โท เชน่ ดังตอ ไปนี้ “ใครติสใิ ครเส้อ หอ่ นรสู้ สี า” (เซ่อ - เสอ้ ) • นกั เรียนคดิ วา สัมผสั ฉนั ทลกั ษณท่ีปรากฏใน ๖) ค�ำเป็น คำ� ตำย เป็นลกั ษณะบังคับที่ใช้ในกำรแตง่ โคลง ร่ำย และกลบท โดยเฉพำะ บทประพันธ ซงึ่ ประกอบดว ย สมั ผสั นอก โคลงส่ีสุภำพใชค้ �ำตำยแทนคำ� เอกได้ และสัมผสั ในมีความสําคญั ตอ การแตงบท ๖.๑) ค�ำเป็น มี ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี ประพันธร อ ยกรองอยา งไร ๑. ค�ำหรือพยำงค์ท่ีประสมสระเสียงยำวใน แม ่ ก กำ เช่น มำ ด ี สี ฟ้ำ (แนวตอบ สัมผัสนอกเปนสัมผสั บงั คบั ของบท ๒. ค�ำที่มมี ำตรำตัวสะกด แมก่ ง กน กม เกย เกอว เชน่ กำงเกง ลนลำน จมุ๋ จ๋มิ รอยกรองทุกประเภท สงสมั ผสั คลอ งจองกนั วุ้ยว้ำย แวววำว โดยใชเ สียงสระ ชวยใหบทรอ ยกรองมีความ ๓. คำ� ที่ประสมด้วยสระเสยี งสนั้ อำ� ไอ ใอ เอำ เช่น ด�ำข�ำ ไปไหน ใจใหญ่ ไพเราะและแสดงใหเ ห็นลักษณะเฉพาะของ ๖.๑) ค�ำตำย ม ี ๒ ลักษณะ ดงั นี้ บทรอ ยกรอง ตลอดจนการแบงจังหวะลลี า ๑. คำ� ท่ีประสมสระเสียงสนั้ ในแม ่ ก กำ เช่น เอะอะ เลอะเทอะ ของบทรอยกรอง) ๒. ค�ำที่มีตวั สะกดในมำตรำแม่กก กด กบ เชน่ ยกึ ยกั อดึ อัด ซบุ ซบิ พบรัก • นักเรยี นคิดวา เสียงสมั ผสั ในบทประพนั ธ ๗) เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงสำมัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวำ ซึ่งประกอบดวย สัมผัสสระ และสัมผัส ที่ก�ำหนดใช้ในบทกลอน ซึ่งถือว่ำเสียงวรรณยุกต์เป็นสิ่งจ�ำเป็นในกำรเขียนกลอนให้ไพเรำะ พยัญชนะหรอื สัมผสั อกั ษร มคี วามสาํ คัญตอ ต้องรู้วำ่ ค�ำท้ำยวรรคใดนิยมใชห้ รอื ไมน่ ยิ มใช้เสยี งวรรณยุกต์ใด คุณคา ทางวรรณศิลปในบทประพนั ธอ ยางไร ๘) คำ� น�ำ คอื คำ� ข้ึนตน้ สำ� หรบั รอ้ ยกรองบำงประเภท เชน่ กลอนบทละคร กลอนสกั วำ (แนวตอบ สงผลตอความไพเราะ จังหวะ ลีลา กลอนดอกสรอ้ ย กลอนเสภำ โดยทุกประเภทมีลักษณะบังคบั เช่นเดยี วกบั กลอนสุภำพ ดังแผนผัง ของบทประพันธ โดยสมั ผัสในสามารถใชได ทง้ั สัมผสั สระและสมั ผัสอักษร) *❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ • นักเรยี นบอกความหมายและลักษณะของ คําครุ คาํ ลหุ การใชคําลักษณะดงั กลาว ❁❁❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁❁❁ สงผลตอ คณุ คา ทางวรรณศิลปของ บทประพนั ธอ ยา งไร กลอนบทละคร 1มีลักษณะบังคบั เช่นเดยี วกับกลอนสภุ ำพ วรรคหนึ่งม ี ๖-๙ ค�ำ แต่นิยมใช้ (แนวตอบ คาํ ครุ คาํ ลหุ เปนการแบง คําตาม เพยี ง ๖-๗ คำ� จึงจะเข้ำจังหวะร้องและร�ำ โดยจะข้นึ ตน้ บทวำ่ เมอื่ นั้น บัดนั้น นา้ํ หนกั ของเสยี งคาํ โดยเปน คาํ ท่มี เี สยี งหนัก ตวั อย่ำงเช่น และเสียงเบาตามลําดบั ใชในคําประพันธ ประเภทฉันท เสยี งหนกั เบาชวยใหเ กิดจงั หวะ บัดน้ัน นายทัพรบั ส่ังใสเ่ กศา ลีลาของคาํ โดยเฉพาะคําประพันธป ระเภท ต่างคนต่างขบั โยธา ทง้ั กองหนุนกองหน้าประดงั ฉนั ท ซงึ่ ฉนั ทแ ตล ะชนดิ จะมีลลี าแตกตางกนั เร่งพลพาชีตีกระหนาบ ตวั นายชกั ดาบออกไล่หลงั ไป สงผลตอรสทางวรรณคดีทม่ี ีความ เสียงดังคร้นื ครนั่ สนนั่ ดง แตกตา งกนั ) ทนายปืนยิงปนื ตงึ ตัง 2. ครูสมุ นักเรยี นแตละกลุมออกมานําเสนอ 2 (อิเหนา : พระราชนพิ นธใ์ น ร. ๒) หนาชน้ั เรียน กลอนสกั วำ มลี กั ษณะบังคับคลำ้ ยกลอนสภุ ำพ ตำ่ งกันท่ตี อ้ งข้ึนต้นวำ่ สกั วำ และจบลง ดว้ ยค�ำวำ่ เอย คณะของกลอนสักวำบทหนึ่งม ี ๔ ค�ำกลอน หรอื ๘ วรรค * วรรคแรกหรือวรรคสดบั จะใชค้ �ำขึน้ ตน้ แตกต่ำงกนั ออกไปตำมประเภทของร้อยกรอง แต่ วรรคอ่นื ๆ ก�ำหนดสัมผัสบงั คบั เหมอื นกัน 174 นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกีย่ วกับคาํ ครุคาํ ลหุ 1 กลอนบทละคร กลอนท่แี ตงขึ้นเพ่อื ใชใ นการแสดงละคร หลักเกณฑใ นการแตง ขอ ใดมีตาํ แหนง คําครลุ หุเหมอื นขอความตอไปน้ี “บารมี ธ มากลน ” โดยทั่วไปกเ็ หมอื นกบั การแตงกลอนสุภาพแตล ะวรรคมคี าํ ไดต งั้ แต 6-9 คาํ การนับ 1. คนจะดีเพราะนา้ํ ใจ กลอนบทละครจะนบั เปน คาํ กลอน คือ 2 วรรค เทากบั 1 คาํ กลอน การจะใชคาํ 2. สารนี้มลิ บเลอื น มากนอ ยขึน้ อยกู ับทํานองรอ งเปนสาํ คัญ การใชคําขน้ึ ตน “เมือ่ นัน้ ” ใชเมอื่ ข้ึนตนกับ 3. ฟา สีนา้ํ นํา้ สีฟา ตวั ละครท่สี าํ คญั เชน ตวั เอกหรอื กษตั รยิ “บัดน้ัน” ใชข นึ้ ตนตัวละครที่เปน ตัวรอง 4. พรงุ น้เี ราจะรักกัน เชน เสนาอํามาตยห รือตัวละครธรรมดา “มาจะกลา วบทไป” ใชข ึ้นตนเมอื่ เร่ิมตอน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. คนจะดเี พราะน้ําใจ มีตาํ แหนงคาํ ครุ คาํ ลหุ ใหม (นอกจากน้ี ยงั มกี ารข้นึ ตน ดวยวลี ตง้ั แต 2 คํา 4 คํา หรอื อาจมากกวา กไ็ ด) ตรงกับ “บารมี ธ มากลน” ประกอบดวย คําครุ คําลหุ คําครุ คาํ ลหุ คาํ ครุ 2 กลอนสักวา เปน รอ ยกรองประเภทกลอนลํานาํ ชนิดหนงึ่ 1 บท มี 4 คํากลอน คําครุ ขึน้ ตน ดวยคาํ วา “สักวา” และลงทายดวยคาํ “เอย” กลอนสกั วานาํ มาใชในบท ประพันธทวั่ ไปของผูท่มี ีความสามารถทางดา นการประพันธ และนาํ มาใชในการ ละเลน โตตอบกันระหวางผูเลน หลายคน ซึ่งตอ งอาศัยความรคู วามสามารถดานการ ประพนั ธ และผูเลนยังตองอาศยั ไหวพริบปฏภิ าณในการโตตอบกันไดอยา งถกู ตอ ง และทันทวงที กอใหเ กดิ ความสนกุ สนานทงั้ ผเู ลนและผูฟง 174 คู่มอื ครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ตัวอย่างเชน่ 1. สมาชกิ ภายในกลุมรวมกันแสดงความคดิ เห็น ดงั ตอ ไปนี้ สกั วาหวานอ่นื มหี ม่ืนแสน ไม่เหมือนแมน้ พจมานท่หี วานหอม • นักเรยี นคดิ วา เสยี งวรรณยกุ ตใ นบท กล่ินประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจติ โนม้ ดว้ ยโลมลม รอ ยกรองมคี วามสาํ คญั อยางไร และเสียง แมน้ ล้อลามหยามหยาบไมป่ ลาบปล้ืม ดงั ดดู ดืม่ บอระเพด็ ต้องเข็ดขม วรรณยุกตสงผลตอคณุ คา ทางวรรณศลิ ป ผ้ดู ไี พร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมนิ หน้าระอาเอย อยางไร (แนวตอบ เสียงวรรณยุกตข องไทยมลี ักษณะ กลอนดอกสรอ้ ย1บทหน่ึงมี (สกั วาหวานอืน่ มีหมื่นแสน : พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ) สูงตํา่ คลา ยเสียงดนตรี การใชเ สียง วรรณยกุ ตใ นบทประพนั ธจงึ สง ผลดตี อการ ๘ วรรค วรรคละ ๗-๘ ค�า วรรคแรกมี ๔ คา� โดยคา� ที่ ๑ และ อานออกเสยี งทํานองเสนาะ โดยเฉพาะการ ค�าท่ี ๓ เป็นคา� เดยี วกนั ส่วนค�าท่ี ๒ จะต้องเปน็ คา� วา่ เอ๋ย และต้องจบลงดว้ ยค�าวา่ เอย เสมอ เออ้ื นเสยี ง การทอดเสียง เพอ่ื ความไพเราะ) ตัวอย่างเช่น • คาํ เปนและคาํ ตายมีลักษณะอยา งไร การใช คาํ เปนคาํ ตายในบทรอ ยกรองสง ผลตอกลวิธี ฝูงวัวคววงั าเอยย๋ผวา้ ังยเลวางท ิวากาล2 หงา่ งเหง่งย�า่ ค�า่ ระฆงั ขาน ทางวรรณศิลปอยางไร คอ่ ยคอ่ ยผ่านท้องทงุ่ มุ่งถนิ่ ตน (แนวตอบ มีความสัมพนั ธกบั เสยี งวรรณยุกต ชาวนาเหน่ือยออ่ นต่างจรกลบั ตะวนั ลบั อับแสงทุกแห่งหน สงผลตอ ทํานองการออกเสียง) ทง้ิ ทงุ่ ใหม้ ดื มวั ทวั่ มณฑล และท้งิ ตนตเู ปลย่ี วอยู่เดียวเอย 2. ครสู ุมนกั เรียน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ (ร�าพึงในป่าชา้ : พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร) หนา ช้ันเรียน กลอนเสภา3มลี กั ษณะบงั คบั เชน่ เดยี วกบั กลอนสภุ าพ โดยจะใชค้ �าขนึ้ ตน้ วา่ ครานนั้ จะกลา่ วถงึ ตวั อย่างเช่น ครานั้นขุนแผนแสนสนิท คอยทา่ ชา้ ผิดหามาไม่ ขยายความเขา้ ใจ Expand เย้อื งย่างตามนางเขา้ หอ้ งใน สลดใจสงสารวันทองนกั แลเห็นนวลน้องเจา้ รอ้ งไห ้ ลมจับหลับไปยังมึนหนัก 1. ครนู าํ บทประพันธประเภทตางๆ มาให ดว้ ยพระเวทวิเศษศักดิป์ ระสิทธี นักเรียนพจิ ารณา จากนน้ั ใหน กั เรียนบอก เสกน้�าประพรมชโลมพกั ตร์ ลกั ษณะบงั คบั ของบทประพันธ (เสภาเรื่องขุนช้างขนุ แผน : พระราชนพิ นธ์ใน ร. ๒) 2. นกั เรยี นยกตัวอยา งบทประพนั ธร อ ยกรอง ๙) ค�าสรอ้ ย คอื คา� ที่ใชล้ งท้ายวรรค ท้ายบาท เพ่อื ความไพเราะในการเอ้อื นเสียง หรือ ประเภทใดก็ได ท่ีมลี กั ษณะบังคบั ทง้ั 9 เพิ่มข้อความให้สมบรู ณ์ ใช้เปน็ ค�าถาม ใชเ้ พื่อใหค้ รบความ สว่ นมากจะใช้เฉพาะโคลงกบั รา่ ย เช่น ประการ พรอมระบดุ วยวา ลักษณะบงั คับของ เอย แล แฮ นา เทอญ บทประพนั ธที่นักเรียนยกมาสง ผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลปใ นบทประพันธอยา งไร ตวั อย่างเช่น ตนี งูงไู ซรห้ าก เห็นกัน ตรวจสอบผล Evaluate นมไกไ่ กส่ า� คัญ ไกร่ ู้ หมูโ่ จรต่อโจรหัน เห็นเล่ห ์ กนั นา ปราชญร์ ู้เชิงกนั เชิงปราชญฉ์ ลาดกล่าวผ ู้ (ประชมุ โคลงโลกนิต ิ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) 1. นักเรยี นสามารถสรุปสาระสาํ คัญของลกั ษณะ 175 บังคบั 9 ประการในบทรอยกรอง พรอมระบุ คุณคาทางวรรณศิลปไ ด 2. นกั เรียนสามารถวเิ คราะหล ักษณะบงั คบั ของ ขอ สอบ O-NET บทประพนั ธ พรอมยกตัวอยา งได นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกบั การใชค ําใหสอดคลองกับฉันทลักษณข องบท ประพันธ ขอใดไมปรากฏในคาํ ประพนั ธตอไปนี้ 1 กลอนดอกสรอย กลอนดอกสรอ ย เปนกลอนท่ีเเตง ขึ้นเพื่อขับรอ ง กลอนดอก- ใครจกั ผูกโลกแม รัดรงึ สรอ ย 1 บท มี 4 บาท 1 บาท จะมี 2 วรรค ใน 1 วรรค จะมี 7-8 พยางค ยกเวน เหล็กเทาลําตาลตรงึ ไปห มั้น วรรคที่ 1 จะมี 4 พยางค และพยางคท ่ี 2 จะมีคําวา เอย สว นวรรคสุดทายของบท มนตรยาผกู นานหงึ หายเสือ่ ม จะลงทายดว ยคําวา เอย ผูกเพอื่ ไมตรีน้นั แนน เทาวนั ตาย 2 ทิวากาล ทวิ า อาจแผลงเปน ทิพา แปลวา วนั ถาเปนทวิ ากร แปลวา เวลา 1. คําซา้ํ กลางคืน แตถ า เปน ทิพากร จะแปลวา พระอาทิตย 2. คาํ ซอน 3 กลอนเสภา คอื กลอนขบั รอ งเชนเดียวกบั กลอนดอกสรอยและกลอนสักวา 3. คําโทโทษ แตมิไดข บั รองประกอบดนตรหี รอื ประกอบทาํ นองเพลงไทย กลอนเสภานา จะพฒั นา 4. คาํ ตายแทนคําเอก มาจากการอา นกลอน โดยอา นเปนทํานองพิเศษขนึ้ กวา ทาํ นองเสนาะของกลอนปกติ แลวใชกรับเปนเคร่อื งประกอบจังหวะการอานไพเราะนาฟง ย่งิ ขึ้น เรียกวา “ขบั เสภา” วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. คาํ ซาํ้ ไมป รากฏคาํ ซํ้าในบทประพันธ สวน และโดยทีเ่ ปน กลอนขบั รองเพ่ือเลา เร่อื งราว จํานวนคําในวรรคของกลอนเสภาจงึ คอ นขางมากมกั มีต้ังแต 7-9 คาํ ลักษณะพเิ ศษอกี ประการหนึง่ ก็คือ ในแตละตอน ในขออ่ืนๆ ปรากฏการใชค ํา ดงั ตอ ไปน้ี ขอท่ี 2. คําซอ น คือ รดั รงึ นานหึง ขอท่ี 3. คําโทโทษ คอื หมน้ั และขอท่ี 4. คาํ ตายแทนคําเอก คอื โลก ผกู มกั นิยมขึน้ ตนดว ยคําวา “คราน้ัน” หรอื “มาจะกลา วถงึ ” คูม่ อื ครู 175
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตุน ความสนใจ ดังตอ ไปนี้ ๒. การแตง่ คาำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ • นกั เรยี นรจู กั หรอื เคยเรยี นวรรณคดที ม่ี ลี กั ษณะ กาพยเ์ ป็นคา� ประพันธท์ ีแ่ ตง่ ง่าย มลี ักษณะคลา้ ยฉันท์ แตไ่ มบ่ งั คับ คร ุ ลห ุ กาพย์ทน่ี ิยมใช้ คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพยห รอื ไม อยางไร มี ๓ ชนดิ คือ กาพย์ยาน ี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค ์ ๒๘ • นกั เรียนยกบทประพนั ธก าพยทีน่ กั เรียน ๒.๑ กลักาษพณยะย์ ฉาันนท ีล๑ักษ๑ณข์1องกาพยย์ านี ๑๑ ประทับใจ และนกั เรียนเกดิ ความประทบั ใจ ในประเดน็ ใดบา ง อยา งไร • นกั เรยี นทราบหรอื ไมว า การแตง คาํ ประพนั ธ ๑) คณะ ประเภทกาพยเปนทักษะทส่ี ามารถฝกฝนได ๑. กาพยย์ านี ๑๑ หนึ่งบทมี ๔ วรรค หรอื ๒ บาท สา� รวจคน้ หา Explore บาทแรก เรียกว่า บาทเอก และบาทท ่ี ๒ เรียกวา่ บาทโท ๒. บาทหนง่ึ ม ี ๒ วรรค วรรคหนา้ ม ี ๕ คา� วรรคหลงั มี ๖ คา� นกั เรยี นสบื คน ขอมลู เก่ียวกับการแตงคํา ๒) เสียง คา� สุดทา้ ยของบท ห้ามใชค้ �าตาย และคา� ทม่ี ีรูปวรรณยกุ ต์ ประพันธประเภทกาพย ไดแก กาพยย านี 11 กาพย ๓) สัมผัส กา� หนดสมั ผสั ในบท ๒ แหง่ และสมั ผสั ระหวา่ งบท ๑ แหง่ คือ ฉบัง 16 และกาพยสรุ างคนางค 28 รวมถงึ ศึกษา ๑. คา� ทา้ ยของวรรคหน้าสมั ผสั กบั คา� ที่ ๑, ๒ หรอื ๓ ของวรรคหลังในบาทเอก บทประพนั ธประเภทกาพยเ ร่ือง จติ ...จิต...จติ ... ๒. คา� ทา้ ยของบาทเอก สมั ผสั กบั ค�าท้ายของวรรคหนา้ ในบาทโท (จิตสาธารณะ) พรอ มบทวเิ คราะห ๓. ค�าทา้ ยของบทแรก สมั ผัสกับค�าทา้ ยของบาทเอกในบทต่อไป อธบิ ายความรู้ Explain แผนผังและตวั อยา่ งกาพย์ยานี ๑๑ 1. ครูนําบทประพันธประเภทกาพยย านี 11 มาให ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ นกั เรียนพจิ ารณา ครูสุมนักเรยี น 2-3 คน ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ ออกมาเขียนเสนโยงสัมผสั ฉนั ทลกั ษณจ าก ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ บทประพันธ ❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ 2. นกั เรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ ก ิ่งแกว้ พแรพะรเ้วสพดรจ็ รโณดยรแาดย2น ชล ทรงเรอื ตน้ งามเฉิดฉาย • นกั เรยี นคดิ วา กาพยยานี 11 มลี ลี าการ พายอ่อนหยับจับงามงอน ประพันธเ หมาะสมกับเนือ้ หาแบบใด ลว้ นรูปสตั ว์แสนยากร (แนวตอบ กาพยย านี 11 มีลีลาการประพันธ นาวาแน่นเปน็ ขนัด สาครลั่นครั่นครืน้ ฟอง เหมาะสมกบั เน้ือหาที่เปน พรรณนาโวหาร เชน การพรรณนาความรูสึก ความรัก เรอื ริว้ ทิวธงสลอน (กาพย์เห่เรอื : เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร)์ และความงาม เปน ตน) ค�าแนะน�าบางประการในการแตง่ กาพยย์ านี ๑๑ • กาพยยานี 11 มลี กั ษณะคาํ ประพนั ธอยางไร และมวี ิธกี ารแตง บทประพนั ธอ ยา งไร ๑. คา� ทร่ี บั สมั ผสั ไมน่ ยิ มใชค้ า� ทมี่ เี สยี งเดยี วกบั คา� ทสี่ ง่ สมั ผสั ถงึ แมจ้ ะเขยี นตา่ งกนั เชน่ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถพิจารณาคาํ ตอบ สาน-สาส์น-ศาล-สาร เปน็ ต้น จากหนงั สอื เรยี นภาษาไทย หลักภาษาและ 176 การใชภ าษาหนา 176) 3. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั สัมผัสอักษรในบทประพันธประเภทโคลง 1 ฉันทลกั ษณ ลักษณะบังคบั ของคาํ ประพนั ธไทย เปนตําราทว่ี าดวยวิธีรอยกรอง ขอ ความตอไปนเ้ี ปนคําประพนั ธชนดิ ใด ถอยคาํ หรอื เรียบเรยี งถอ ยคําใหเ ปนระเบยี บตามลกั ษณะบงั คับและบัญญัตทิ ี่นักปราชญ ขาไหวพระบาทสามองคพระอศิ วรผทู รงอุสุภราชฤทธิร์ อน ขาไหว ไดร างเปนแบบไว ถอยคาํ ทรี่ อยกรองขนึ้ ตามลกั ษณะบญั ญัติแหง ฉันทลกั ษณ เรยี กวา พระนารายณส กี่ รทรงครฑุ เขจรจะปราบอรินทรเรอื งรงค คําประพนั ธ และไดใ หค วามหมายของคําประพันธว า คอื ถอยคําที่ไดร อ ยกรอง 1. กาพย หรือเรียบเรยี งข้นึ โดยมีขอบังคบั จํากัดคํา และวรรคตอนใหรบั สัมผัสกนั ไพเราะ 2. กลอน ตามกฎเกณฑท ี่ไดวางไวในฉันทลกั ษณ โดยแบง เปน 7 ชนดิ คอื โคลง รา ย ลลิ ิต 3. โคลง กลอน กาพย ฉันท กล ซงึ่ ก็คอื รอยกรองไทย ฉันทลกั ษณแตละชนิดมีลกั ษณะ 4. ฉันท แยกยอยลงไปอกี หลายรูปแบบ ซ่งึ แตรูปแบบก็มลี ลี าที่มีความแตกตา งกนั ขึ้นอยกู บั วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. กาพย ขอ ความทยี่ กมาเมอื่ จดั วรรคให จงั หวะของเสียงสัมผัสทมี่ คี วามแตกตา งกนั ผูป ระพนั ธน าํ มาใชใ นการประพันธ ถูกตอ งตามลกั ษณะฉนั ทลักษณ จะเปน คําประพนั ธป ระเภทกาพย ดงั ตอ ไปน้ี เนื้อหาทมี่ ีความแตกตางกัน เชน สัททลุ วิกกีฬต ฉนั ท มลี ีลาโออา สงา งาม มักใชใ น ขาไหวพระบาทสามองค พระอิศวรผูทรง การประพันธบ ทประณามพจน บทยอพระเกียรติ สรรเสรญิ กษตั รยิ หรือพรรณนา อสุ ุภราชฤทธิร์ อน บทโศกของกษัตรยิ เปนตน ขา ไหวพ ระนารายณส ่กี ร ทรงครฑุ เขจร 2 พรรณราย สีเล่อื มระยับหรอื งามผุดผอง จะปราบอรนิ ทรเ รอื งรงค 176 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ๒. ในการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ไม่มีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ หรือรูปวรรณยุกต์ แต่ 1. นกั เรยี นจับคู จากนัน้ ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คู ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญและจัตวา ในค�าสุดท้ายของบาทโท เสียงตรี เสียงเอก รว มกันตอบคาํ ถามหนา ชัน้ เรียนในประเดน็ กม็ ีบ้างแตไ่ ม่คอ่ ยนิยม ตอ ไปน้ี ๓. ค�าสดุ ท้ายของบท ไม่นิยมใชค้ า� ตายหรือคา� ทมี่ รี ปู วรรณยกุ ต์ • นักเรียนคดิ วา การแตง คําประพนั ธประเภท ๔. กาพย์ยานี ๑๑ เหมาะกับเนื้อหาที่เป็นพรรณนาโวหาร เช่น พรรณนาความรู้สึก กาพยย านี 11 ควรคํานงึ ถึงเรื่องใดบา ง ความรัก และความงาม อยา งไร ข ้อบงั คับ แ๕ล.ะ ไสมัมเ่ คผรัส่งใคนร ัดคมือา กสนัมักผ ัสแภต่ถาย้าใมนจี วะรทรา�คใเหป้ท็นา� สนัมอผงัสไพไมเร่บาังะคสับลจะสะมลวีหยร1ยือง่ิ ไขม้นึ ่มีก็ได้ ไม่ถือเป็น (แนวตอบ นอกจากการแตง บทประพนั ธ ใหสอดคลองกบั ฉันทลกั ษณแลว นกั เรียน ๒.๒ กาพยฉ์ บงั ๑๖ ควรคํานงึ ถงึ ลักษณะการแตง ดงั น้ี 1. คาํ ทร่ี บั สัมผัสไมน ิยมใชคาํ ทม่ี เี สียงเดียวกบั ลักษณะฉนั ทลกั ษณ์ของกาพย์ฉบงั ๑๖ คําทส่ี ง สมั ผสั ถงึ แมจะเขยี นตางกัน เชน ๑) คณะ กาพย์ฉบัง ๑๖ หน่ึงบท มี ๓ วรรค วรรคแรก ๖ ค�า วรรคท่สี อง ๔ คา� และ สาน สาสน ศาล สาร เปน ตน 2. วรรค วรรคท้าย ๖ ค�า สุดทา ยของบาทโทนยิ มใชว รรณยกุ ตส ามญั ๒) เสยี ง นยิ มใชเ้ สยี งสามัญและเสียงจัตวาเปน็ คา� สง่ สมั ผัสและคา� ท้ายวรรค และจัตวา สวนเสยี งวรรณยกุ ตต รี รวมถงึ ๓) สัมผัส สัมผัสมรี ะหว่างวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสระหว่างบท ๑ แห่ง วรรณยุกตเอกก็มีบาง แตไ มค อ ยนิยม 3. คํา สัมผสั ระหวา่ งวรรค คา� ทา้ ยวรรคแรกสมั ผสั กบั คา� ทา้ ยวรรคทีส่ อง สดุ ทา ยของบท ไมน ยิ มใชค ําตายหรอื คําทม่ี ี สมั ผสั ระหว่างบท คา� ทา้ ยวรรคของบทแรก สัมผสั กบั คา� ท้ายวรรคแรกของบทต่อไป รปู วรรณยกุ ต 4. เลนเสียงสัมผัสในชวยเสรมิ ความไพเราะสละสลวยของบทประพนั ธ แผนผังและตวั อยา่ งกาพยฉ์ บงั ๑๖ ยง่ิ ขน้ึ ) ❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ❁❁❁❁❁❁ ขยายความเขา้ ใจ Expand ❁❁❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁❁❁ 1. นักเรยี นยกบทประพันธทีม่ ลี ักษณะคําประพันธ ประเภทกาพยย านี 11 ทนี่ กั เรยี นประทับใจ ชายใดไมเ่ ที่ยวเทยี วไป ทกุ แคว้นแดนไพร จากนนั้ ใหน กั เรียนวเิ คราะหคณุ คาทาง มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหยา้ เนาทกุ ข์ ไมด่ น้ ซนซุก วรรณศิลปของบทประพนั ธ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งไดอ ยาง ก็ช่อื ว่าช่วั มัวเมา 2 หลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น (นทิ านเวตาล : น.ม.ส.) เปนตน วา สุวรรณหงสทรงพหู อ ย งามชดชอ ยลอยหลังสินธุ เพียงหงสทรงพรหมินทร 177 ลนิ ลาศเลือ่ นเตือนตาชม) ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด นกั เรียนควรรู ขอ ใดมคี ําประพนั ธท ่ีเหมอื นกบั คําประพนั ธทยี่ กตวั อยางมาน้ี 1 ไพเราะสละสลวย ท่กี ลา วหรอื เรียบเรียงไดเนื้อถอ ยกระทงความและมีสํานวน “กลางไพรไกขนั บรรเลงฟงเสียงเพยี งเพลงซอเจงจาํ เรียงเวียงวงั ” กลมกลืนไพเราะระรื่นหู (ใชแ กถอยคําสาํ นวน) เชน บทความน้มี ีสํานวนสละสลวย 1. เรงพลพาชตี กี ระหนาบตวั นายชกั ดาบออกไลหลัง เปนตน 2. ตนี งงู ูไซรหากเห็นกันนมไกไกส ําคัญไกรู 3. ลงิ คา งครางโครกครอกฝงู จ้งิ จอกออกเหาหอน 2 นิทานเวตาล พระราชวรวงศเธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ หรอื ทรงเปน ท่รี จู ัก 4. ไวปากไววากยวาทไี ววงศกวีไวเ กยี รติและไวน ามกร กนั ในพระนามแฝงวา น.ม.ส. ทรงนพิ นธเร่ืองนิทานเวตาลขึ้นเมอ่ื พ.ศ.2461 ตน เคา ของนทิ านเวตาลมาจากวรรณคดอี ินเดยี ช่อื เวตาลปญ จวงิ ศติ แปลวา นทิ าน 25 วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ไวปากไวว ากยว าทีไวว งศก วีไวเ กยี รติและไว เรอื่ งของเวตาลซึ่งกลา วถงึ การท่ีเวตาล เลา นิทานหลอกลอ พระวกิ รมาทิตยแ หง กรงุ นามกร เปน คาํ ประพนั ธป ระเภทกาพยฉบัง 16 นกั เรยี นสามารถพิจารณาได จากจํานวนคาํ ซึ่งมจี ํานวนเทากัน คือ จํานวน 16 คาํ และพจิ ารณาสัมผสั ใน อชุ ชยนิ ี (อชุ เชนี) ต้ังแตเ วลาหัวคํ่าจนใกลส วา ง นทิ านเร่อื งน้ีกวชี ่ือ ศิวทาสแตงไว เปนภาษาสันสกฤตต้ังแตโ บราณกาลสําหรบั ฉบับภาษาไทย น.ม.ส. มไิ ดทรงแปล บทประพันธทีใ่ ชในการแบง วรรคตอน สามารถแบงบทประพันธต ามลักษณะ จากตนฉบบั ภาษาสนั สกฤตโดยตรง แตท รงใชฉ บับภาษาอังกฤษ Vikram and the ฉันทลกั ษณได ดงั น้ี กลางไพรไกขนั บรรเลง ฟงเสยี งเพียงเพลง Vampire or Tales of Hindu Devilry ของเซอร ริชารด เอฟ เบอรต นั (Sir Richard F. Burton ) เปนหลกั ในการเรยี บเรียง นิทานเวตาลมีลักษณะเปน นิทานซอ นนิทาน ซอเจง จาํ เรยี งเวยี งวงั กลาวคือ มีนทิ านยอยหลายเร่ืองซอนอยูในนิทานเร่อื งใหญ โดยฉบับของ น.ม.ส. ไวปากไววากยวาที ไววงศกวี ไวเ กยี รตแิ ละไวน ามกร ประกอบดวยนิทานยอ ยเพยี ง 10 เรือ่ ง จากทงั้ หมด 24 เร่ือง 177 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. ครูนาํ บทประพันธประเภทกาพยฉ บัง 16 มาให คำ� แนะนำ� บำงประกำรในกำรแตง่ กำพยฉ์ บงั ๑๖ นกั เรียนพิจารณา จากนน้ั ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 ๑. กาพยฉ์ บังมีลีลาคึกคกั โลดโผน และสงา่ งามกว่ากาพยย์ าน ี โบราณนิยมใช้แต่งบท คน ออกมาเขียนเสน โยงสัมผสั ของฉันทลักษณ พากย์โขน บทสวดมนต ์ การตอ่ ส ู้ ถา้ เปน็ นยิ าย นทิ าน ก็ใชเ้ ปน็ บทพรรณนาโวหารทต่ี อ้ งการใหล้ ลี า จากบทประพนั ธ ดงั กลา่ ว ปจั จุบันนยิ มใชเ้ ขียนบทสดุด ี และบทปลกุ ใจ ๒. ความไพเราะของกาพยฉ์ บงั ขน้ึ อยกู่ บั เสยี งสมั ผสั ใน มกั จะเพม่ิ ในวรรคเปน็ คๆู่ ทกุ วรรค 2. นกั เรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปน้ี ท้งั สัมผสั สระและสัมผสั อกั ษร • นักเรยี นคดิ วา กาพยฉ บัง 16 มลี ีลาการ ๓. ค�าสุดท้ายของบทนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญและจัตวา ส่วนวรรณยุกต์อ่ืน ประพนั ธอ ยา งไร พรอ มยกตวั อยาง ไมน่ ิยมใช้และพบไม่บ่อยนัก บทประพันธท่มี ลี ลี าในการประพันธ ก าพ๔.ย กส์ ารุพายง์ฉคบังน า๑ง๖ค ไ1 ์ม๒บ่ ๘งั คบั สมั ผสั ระหว่างวรรคท่ ี ๒ กบั วรรคท่ี ๓ จะมีหรอื ไมม่ กี ็ได้ สอดคลองกนั ประกอบการอธิบาย (แนวตอบ กาพยฉ บังมลี ีลาการประพนั ธค ึกคกั ๒.๓ โลดโผน และสงา งามกวา กาพยย านี นยิ มใช แตงบทพากยโขน บทสวดมนต ถา เปน บท ลักษณะฉนั ทลักษณข์ องกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ประพนั ธท่มี เี น้อื หาในลกั ษณะของนิทานหรือ ๑) คณะ กาพยส์ ุรางคนางค ์ ๒๘ บทหนึง่ มบี าทเดยี ว แบ่งเป็น ๗ วรรค วรรคละ ๔ ค�า นยิ ายก็ใชเ ปน บทพรรณนา ปจจบุ ันนิยมใช รวม ๒๘ คา� จึงเรยี กวา่ กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ เขียนบทสดุดี และบทปลกุ ใจ) ๒) สมั ผสั • นักเรียนคดิ วา การแตงคาํ ประพันธประเภท ๑. คา� ทา้ ยวรรคหน้าสมั ผสั กบั คา� ทา้ ยวรรคทส่ี อง กาพยฉ บงั 16 ควรคํานงึ ถึงเรอ่ื งใดบา ง ๒. ค�าทา้ ยวรรคท ่ี ๓ สมั ผสั กับคา� ท้ายวรรคท ่ี ๕ และวรรคท ี่ ๖ อยา งไร ๓. ค�าท้ายวรรคที่ ๔ สัมผัสกบั คา� ท่สี ามของวรรคท ่ี ๕ (แนวตอบ เนนความไพเราะของสมั ผสั ใน มกั ๔. สัมผสั ระหวา่ งบท ค�าทา้ ยวรรคท่ี ๗ ของบทแรก สมั ผสั กบั ค�าท้ายวรรคท ่ี ๓ ของ เพมิ่ ในวรรคเปน คๆู ทุกวรรค ทง้ั สัมผสั สระ บทต่อไป และสัมผัสอกั ษร คาํ สดุ ทายของบทนยิ มใช แผนผังและตัวอยำ่ งกำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ เสยี งสามญั หรอื จตั วา แตไ มนิยมใชใ นวรรค อ่นื และไมบงั คบั สัมผสั ระหวางวรรคที่ 2 ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ และ 3) ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ 3. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ❁❁❁❁ ขยายความเขา้ ใจ Expand วันนนั้ จันทร มีดารากร เป็นบริวาร เหน็ สิ้นดินฟ้า ในป่าทา่ ธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ี่มลี ักษณะคําประพนั ธ เยน็ ฉา�่ น�้าฟ้า ชนื่ ชะผกา วายุพาขจร ประเภทกาพยฉ บัง 16 ทน่ี ักเรยี นประทับใจ จากน้ันใหนักเรยี นวเิ คราะหค ุณคาทาง สารพันจันทน์อิน รน่ื กล่นิ เกสร แตนตอ่ คลอรอ่ น ว้าวอ่ นเวยี นระวนั 22 วรรณศิลปของบทประพันธ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งไดอยาง (กาพย์พระไชยสุริยา : สนุ ทรภู่) หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของนักเรียน) 178 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู 1 กาพยส ุรางคนางค กาพยส รุ างคนางคแบง ออกเปน 3 ชนดิ คือ คําประพนั ธในขอใดแตกตางจากขออืน่ 1. กาพยสรุ างคนางค 28 ดงั ปรากฏในเน้อื หาหนังสอื เรียน 2. กาพยสุรางคน างค 32 1. เปบ ขา วทุกคราวคํา จงสจู ําเปนอาจิณ หรือกาพยธ นัญชยางค เปน กาพยท่ีประดิษฐขน้ึ ใหม โดยพระราชวรวงศเ ธอกรมหมนื่ เหงือ่ กูท่ีสูกิน จงึ กอ เกิดมาเปน คน พิทยาลงกรณ โดยทรงอธิบายวา กาพยน ้ี คือ กาพยส รุ างคนางค 28 แบบเกา แต 2. รอนรอนออนอสั ดง พระสุรยิ งเยน็ ยอแสง เพ่ิมคาํ อีก 4 คํา และเพมิ่ สมั ผสั อกี และ 3. กาพยส รุ างคนางค 36 หรอื กาพยขบั ไม ชวงดังนํ้าครัง่ แดง แฝงเมฆเขาเงาเมรธุ ร มกี ารกําหนดใชวรรคละ 4 คํา แบงเปน 9 วรรค มีบงั คับสมั ผสั ขามวรรค 3 แหง 3. เขาตกทะเลบก สกิ ็ตกทะเลไป 2 กาพยพระไชยสุรยิ า เปนวรรณคดที ี่ประพนั ธโดย สนุ ทรภู เปนนทิ านสาํ หรบั คลืน่ สีขจีใส ปะทะซาฉะฉา ฉาน สอนการเขียนอาน โดยมบี ทอา นเรยี งลาํ ดับการสะกดคาํ ต้ังแต แม ก กา ตามดว ย 4. จาํ ปาหนาแนน เนื่อง คลกี่ ลบี เหลืองเรอื งอราม แมกน แมกง แมก ก แมกด แมก บ แมก ม จนถงึ แมเกยตามลําดบั ลักษณะการ คดิ คะนึงถึงนงราม ผวิ เหลืองกวา จําปาทอง ประพนั ธแบบกาพยประเภทตางๆ คอื กาพยย านี 11 กาพยฉบงั 16 และกาพย สรุ างคนางค 28 เช่ือกนั วา สนุ ทรภปู ระพนั ธขนึ้ ในราวป พ.ศ. 2383-2385 วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เขาตกทะเลบก สิก็ตกทะเลไป 178 คมู่ อื ครู คลน่ื สีขจใี ส ปะทะซาฉะฉาฉาน บทประพนั ธข า งตน เปนอินทรวิเชียรฉันท สวนในขอ อืน่ เปนกาพยย านี 11 สงั เกตไดจากการใชคําครุ คาํ ลหุ เนื่องจากบทประพนั ธมจี าํ นวนคาํ เทากันและ มสี ัมผัสเหมอื นกนั
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ กาพย์สุรางคนางค์ไม่เคร่งครัดสัมผัสใน อาจเป็นสัมผัสสระ สัมผัสอักษร หรือไม่มี 1. ครูนาํ บทประพนั ธป ระเภทกาพยส ุรางคนางค สัมผสั ในก็ได้ แตเ่ นน้ ความหมายค�าเปน็ หลกั แบ่งจงั หวะค�าในวรรคเป็นสองคู ่ เชน่ 28 มาใหน กั เรยี นพจิ ารณา จากน้ันครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาเขยี นเสน โยงสมั ผัส ไมง้ าม/นา�้ ใส รม่ รน่ื /ช่ืนใจ สวนสวย/งามตา ฉันทลกั ษณจ ากบทประพนั ธ มาลี/สสี ัน ดุจฝนั /เห็นมา ชมุ่ ชนื่ /อุรา พาเพลนิ /เชิญชม 2. นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ตอไปนี้ • นกั เรียนคดิ วา การแตงคาํ ประพนั ธประเภท คำ� แนะน�ำบำงประกำรในกำรแต่งกำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ กาพยสรุ างคนางค 28 ควรคํานึงถงึ เร่ือง ๑. คา� สดุ ทา้ ยของวรรคท ่ี ๓ หากลงดว้ ยเสียงจัตวาจะเพ่ิมความไพเราะยงิ่ ขึน้ เช่น ใดบาง อยางไร (แนวตอบ 1. กาพยสุรางคนางคไมเครงครัด บ้านหนองสารแตร ดินแดนเก่าแก่ ประวตั ิขานไข สมั ผัสใน อาจเปนสมั ผัสสระ สัมผัสอกั ษร เป็นท่รี าบสงู หนองน้�ากวา้ งใหญ่ ๒ป๘ล าบชามุ งเหวรลรือคใจอ า จจะเล่นชคาวา� บ ซ้าน้�าคช่นืา�11 ชซมา้� ความ หรอื ไมม ีสมั ผัสในก็ได แตเนนความหมาย ของคําเปนหลกั โดยแบง จงั หวะคําในวรรค ๒. ความไพเราะของกาพย์สรุ างคนางค ์ ออกเปนสองคู อาทิ ไมงาม/นํ้าใส รมรืน่ / ด้วยเสียงสระหรือดว้ ยเสยี งพยญั ชนะ กจ็ ะเพิม่ ความไพเราะข้ึน เชน่ ชืน่ ใจ สวนสวย/งามตา 2. คาํ สดุ ทา ยของ วรรคทีส่ าม หากลงดว ยเสยี งจตั วา จะมี เรียกขานสืบมา บา้ นคอยคอยทา่ หรอื วา่ คอยใคร ความไพเราะเพ่มิ มากข้นึ สามารถเพม่ิ ความ อยา่ ลืมบา้ นคอย ร่องรอยฝากไว้ รอคอยน�้าใจ อย่ทู บี่ า้ นคอย ไพเราะไดดวยการเลน คํา ซาํ้ คาํ ซ้าํ ความ ดวยเสียงสระหรอื พยัญชนะ สัมผสั ในเปน ๓. สมั ผสั ใน เปน็ สมั ผัสไมบ่ งั คับ จะมหี รอื ไมก่ ็ได ้ สว่ นใหญน่ ยิ มแต่งให้มีเป็นค่ๆู สัมผัสไมบงั คบั จะมีหรือไมมีกไ็ ด สวนใหญ นิยมแตง ใหม ีสัมผัสในเปนคๆู ) ตัวอย่ำง กำรแต่งค�ำประพนั ธป์ ระเภทกำพย์ จิต..จิต..จติ ..(จติ สาธารณะ) 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ จติ คือส่อื สญั ญาณ เสรมิ ประสานการกระทา� จติ จดกา� หนดจา� 2 จารประจงตรงชว่ั ดี จิตตนหากวนวก ก็ดงั นกหลงพงพี จิตจกั หนักทวี ต้องปลอ่ ยวางวา่ งอาวรณ์ จติ เดนิ ทางสองแพรง่ วางตา� แหน่งให้แน่นอน ขยายความเขา้ ใจ จิตรูอ้ โคจร จงพจิ ารณ์ผ่านวิจัย Expand จติ ใดดา� เนนิ ดี เกดิ สขุ ศรสี วา่ งใส 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ี่มลี กั ษณะคําประพนั ธ จิตน้ันดา� เนินไป ประกอบสจุ รติ ธรรม ประเภทกาพยส ุรางคนางค 28 ทน่ี กั เรียน จติ สาธารณะ ผูกพนั ธะอปุ ถัมภ์ จติ เอ้ือเกือ้ กลู นา� 3 ประทับใจ จากนั้นใหน กั เรยี นวเิ คราะหค ุณคา เสนุขอ่ื สงะวอิถาีค4ดวปาัญมดญีคารสอ่องง ทางวรรณศลิ ปข องบทประพันธ จติ ชนคนของชาติ (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตวั อยางได เชน (บทจรติ ้อรยกกั รภอักงชดนตี ะ้อเลงิศ 5การประกวดโครงการประกวดรอ้ ยกรองออนตไอลบน ์ แสทมานคบมนญุ กั ก“ลคอนุณแแหผง่ ป่นรดะเนิ ท”ศไทย ครัง้ ที ่ ๔ ก็สบั กส็ น ประจา� ปี ๒๕๕๓ ประเภทกาพย์ยาน ี ๑๑ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ผลงานของเดก็ หญิงคุณา สังฆงาม) ปะปวนปะปน สถลวิถี นําหลานและบตุ ร บุรุษสตรี กะจอกะจี สนนั่ สําเนียง) 179 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ขอใดเรยี งลําดับคาํ ประพนั ธต อไปนี้ไดถูกตอง 1 ซ้ําคาํ การซ้ําคาํ และการเลนคาํ เปน กลวิธใี นการแตง ทกี่ วนี าํ มาใชเ พ่อื ใหเ กดิ (ก) กาพยยานลี ํานํา (ง) สบิ เอด็ คาํ จาํ อยาคลาย (ข) วรรคหนาหา คาํ หมาย ความงามแหง วรรณศลิ ป การซาํ้ คําและการเลนคํานั้นดเู ผินๆ ไมพ เิ คราะหใ หดีอาจ (ค) วรรคหลังหกยกแสดง จะคิดวา เปนวิธกี ารแบบเดยี วกัน แตแ ททีจ่ ริงแลว แตกตา งกนั โดยสิ้นเชิง การซ้ําคํา 1. (ก) (ข) (ค) (ง) เปน กลวธิ ีท่ใี ชคําคาํ เดยี วกันซาํ้ ในคาํ ประพันธ อาจจะวางไวติดกันแบบคําซาํ้ หรือ 2. (ก) (ค) (ข) (ง) วางไวแ ยกจากกนั แตเ ปน ระเบยี บเรียบรอย โดยความหมายของคาํ ที่ซ้าํ นน้ั จะตอ ง 3. (ก) (ง) (ข) (ค) ไมเ ปล่ยี นแปลง จะมีความหมายเหมอื นกันทุกคาํ สวนการเลน คํา เปนกลวธิ ที ่ีใชค ํา 4. (ก) (ค) (ข) (ง) คําเดียวกันซาํ้ ในคําประพนั ธ แตค วามหมายของคาํ จะแตกตางกันไป วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. กาพยย านี 11 ขอความท่ยี กมาเม่อื จดั วรรคใหถ ูกตอ งตามลกั ษณะ ฉันทลักษณ จะเปน คําประพันธป ระเภทกาพย ดงั ตอ ไปน้ี (ก) กาพยย านีลาํ นํา (ง) สิบเอ็ดคําจาํ อยา คลาย (ข) วรรคหนา หา คาํ หมาย (ค) วรรคหลังหกยกแสดง คมู่ อื ครู 179
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ นกั เรยี นรวมกนั ตอบคําถามในประเดน็ ท่วี า นักเรยี นคิดวา บทประพนั ธเ รือ่ ง จิต..จติ ..จิต.. (จติ สาธารณะ) มคี วามโดดเดน ดานกลวธิ ีทาง บทวเิ คราะห์ วรรณศลิ ปอ ยางไร ค�ำประพันธ์ ประเภทภำพยย์ ำนี ๑๑ ในหัวขอ้ จิต..จติ ..จิต (จิตสำธำรณะ) ท่ีไดร้ ับรำงวลั ชนะเลิศกำรประกวดโครงกำรประกวดรอ้ ยกรองออนไลน์ มีขอ้ พิจำรณำทีค่ วรศกึ ษำ วิเครำะห์ เพอ่ื น�ำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นกำรแตง่ ค�ำประพนั ธป์ ระเภทกำพย์ยำนี ๑๑ ไดด้ งั นี้ ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑. สมั ผสั กำพยย์ ำนี ๑๑ ทง้ั หกบท แตง่ ไดถ้ กู ตอ้ งตำมฉนั ทลกั ษณข์ องคำ� ประพนั ธป์ ระเภท 1. ครูเปดเพลงใหน กั เรียนฟง นักเรียนรว มกัน กำพย์ยำนี ๑๑ ท้ังจำ� นวนค�ำและสัมผสั บังคับ ดังน้ี พิจารณาแนวคดิ สําคัญของบทเพลง จากน้ัน นักเรยี นนําแนวคิดสาํ คญั รวมถึงแรงบนั ดาลใจ ● สมั ผสั ระหวา่ งวรรค (สมั ผสั บงั คบั ) บททห่ี นง่ึ ญาณ - สาร, ทา� - จา� ท่ไี ดจ ากบทเพลงมาใชใ นการแตง บทประพนั ธ บททส่ี อง วก - นก, พี - วี บททส่ี าม แพรง่ - แหนง่ , นอน - จร 2. นกั เรยี นเลอื กบทประพนั ธป ระเภทกาพยอ ยางใด บททสี่ ี่ ดี - ศร,ี ใส - ไป อยางหน่ึง จากน้นั แตง บทประพนั ธ โดยมวี ธิ ี บททหี่ า้ ณะ - ธะ, ถมั ภ์ - นา� การแตง ดังน้ี บททห่ี ก ชาติ - อาด, สอ่ ง - ตอ้ ง • กําหนดแนวคิดและวตั ถุประสงคส าํ คญั ของ เรื่องใหช ัดเจนวา นกั เรียนตองการแตง ● สมั ผสั ระหวา่ งบท (สมั ผสั บงั คบั ) บททห่ี นงึ่ - สอง ดี - พี เกยี่ วกบั เร่ืองอะไร โอกาสใด เพอื่ ประโยชนใด บททส่ี อง - สาม วรณ์ - นอน เปน สําคญั บททสี่ าม - สี่ จยั - ใส • นักเรยี นเขยี นแนวคดิ หลกั ในการแตง อาจใช บททส่ี ่ี - หา้ ธรรม - ถมั ภ์ ผงั มโนทศั นใ นการลาํ ดบั เร่อื งราว หรอื วาง บททหี่ า้ - หก ครอง - สอ่ ง โครงเรอ่ื งในการแตง • แตงบทประพันธประเภทกาพยตามลกั ษณะ นอกจำกนี้ยังปรำกฏสัมผัสในที่ช่วยเพิ่มควำมไพเรำะให้แก่ร้อยกรอง เช่น สำน - กำร ฉนั ทลักษณ อาจมกี ารปรบั เปลี่ยนโครงเรือ่ ง กำ� - จ�ำ เป็นต้น ไดเ ล็กนอย แตยงั คงสาระสาํ คัญไว • ในการแตงคําประพันธน ักเรียนพิจารณา ๒. บังคับเสียง ค�ำประพนั ธ์ประเภทกำพยย์ ำนี ๑๑ ไมม่ กี ำรบังคับเสยี ง กลวิธีการสรรคํา โดยศกึ ษาคน ควาจาก ๓. รูปแบบ ค�ำประพันธ์ประเภทกำพย์ยำนี ๑๑ ทั้งหกบท แต่งได้ถูกต้องตำม พจนานุกรม รปู แบบของกำพย์ยำนี ๑๑ ท้งั ในด้ำนจ�ำนวนค�ำและสัมผสั บังคบั • ตรวจสอบทบทวนเนื้อหา แลวแลกเปลยี่ น ๔. คา� เปน็ ค�าตาย ไม่มขี อ้ บงั คบั ค�ำเปน็ คำ� ตำย แสดงความคิดเห็นกบั เพอ่ื นรวมช้นั เรียน ๕. การใชโ้ วหาร ผ้แู ต่งใช้สำ� นวนกำรเขยี นแบบพรรณนำโวหำรกลำ่ วถงึ ควำมส�ำคญั ของ จติ ทจ่ี ะกำ� หนดใหไ้ ปทำงดหี รอื ชว่ั ถำ้ ไปทำงไมด่ จี ะทำ� ใหเ้ ดอื ดรอ้ น แตถ่ ำ้ ไปทำงควำมประพฤติ ชอบ มีน�้ำใจต่อผู้อ่ืนก็จะเกิดควำมสุขสดใส แล้วถ้ำจิตใจของคนในชำติต่ำงมีควำมจงรักภักดี ก็ต้องแสดงออกดว้ ยกำรตอบแทนคุณแผน่ ดิน ทำ� ให้บ้ำนเมืองรม่ เย็นเป็นสขุ ๖. แสดงความรู้สึก ผู้แต่งใช้โวหำรภำพพจน์อุปมำเปรียบจิตท่ีคิดกลับไปกลับมำ เหมือนนกที่หลงป่ำ พลัดจำกป่ำ และในบทที่ ๓ ผู้แต่งได้กล่ำวถึงจิตมีทำงเดินอยู่สองทำง วำ่ จะเลอื กเดนิ ทำงใดระหวำ่ งดกี บั ชว่ั และในบทท่ี ๔ กลำ่ วถงึ หำกเจำ้ ของจติ เดนิ ไปในทำงดี ผล ตรวจสอบผล Evaluate ทีไ่ ดร้ ับจะมีแต่ควำมสขุ ควำมเจรญิ ทั้งตอ่ ตนเองและประเทศชำติ 1. นักเรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั การแตง คําประพนั ธประเภทกาพย พรอ มยก ตวั อยา งและวิเคราะหคณุ คา ทางวรรณศิลปไ ด 180 2. นกั เรียนแตง บทประพันธป ระเภทกาพยไ ด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ในการปฏิบัตกิ จิ กรรมแตงคําประพันธป ระเภทกาพย ครูผูสอนควรใหน กั เรยี น “หวานใดไมหวานนกั เทา รสรักสมคั รสมไรร กั หนกั อารมณหวานเหมือน รูจ กั วิธกี ารพจิ ารณาคณุ คาทางวรรณศลิ ปจากบทประพันธป ระเภทกาพยก อนเปน ขมอมโศกา” อันดบั แรก โดยพิจารณาภาษาตง้ั แตร ะดบั เสียง คํา และความหมายของคาํ รวมถงึ บทประพันธขางตนใชโวหารประเภทใด และใชลักษณะคาํ ประพันธ ระดบั ความจากบทประพันธ เพอื่ ใหน ักเรยี นนําความรูความเขาใจดงั กลา วมาใชเปน ประเภทใด พื้นฐานในการแตง และการพจิ ารณาบทประพันธท น่ี กั เรียนแตงขึน้ เอง นอกจากน้ี ลําดบั ท่ี ประเภทของโวหาร ลักษณะคาํ ประพันธ ในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมขยายความเขา ใจโดยใหนักเรียนพิจารณาเนอ้ื หาของบทเพลง 1. อุปมาโวหาร กาพย พรอมกบั แรงบนั ดาลใจจากบทเพลงท่ีครผู สู อนเปดใหน ักเรียนฟงน้นั ครูผูส อนไมควร 2. เทศนาโวหาร กาพย จํากดั การตคี วามของนักเรยี น ครูผูสอนควรใหอิสระทางความคดิ และการตคี วาม 3. สาธกโวหาร กลอน 4. พรรณนาโวหาร กลอน เพ่อื ใหน ักเรียนสามารถใชเนื้อหาจากบทประพันธมาเปน พืน้ ฐานในการสราง แรงบันดาลใจในการแตง ไดอ ยา งอสิ ระ ครผู ูส อนควรเนนพิจารณาเนือ้ หาในการแตง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. อุปมาโวหาร โดยกลาวเปรยี บเทียบรสชาติ ของนกั เรียน จากการวเิ คราะหเน้อื หาและองคประกอบของผูร ับสาร เพอ่ื ใหน กั เรียน สามารถแตง บทประพันธไ ดอ ยางสอดคลอ งและมีความสมบูรณดา นวรรณศิลปมาก กับความรกั สว นลักษณะคาํ ประพนั ธประเภทกาพยย านี 11 ขอ ความที่ ทส่ี ดุ ยกมาเมือ่ จัดวรรคใหถกู ตองตามลักษณะฉนั ทลกั ษณ จะเปนคําประพันธ ประเภทกาพย ดงั ตอไปน้ี หวานใดไมหวานนัก เทา รสรกั สมัครสม ไรร กั หนกั อารมณ หวานเหมือนขมอมโศกา 180 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๓. การแต่งคาำ ประพนั ธ์ประเภทโคลง ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี • นักเรียนรจู ักลักษณะคาํ ประพันธป ระเภท โคลงเป็นบทร้อยกรองเก่าแก่ของไทย มีปรากฏในลิลิตโองการแช่งน�้า ซึ่งเป็นวรรณคดี โคลงจากวรรณคดีเรื่องใดบา ง อยา งไร เลม่ แรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑โค(พลงรกะเรจะ้าทอู้1ทู่ แอลงะ)กลแโหค่งลกงร2ุงปศรรีอะเยภุธทยขาองโคโคลลงแงทบี่ค่งอวรอศกึกเปษ็นา ๔ ประเภท คือ โคลงสุภาพ โคลงดั้น • นกั เรียนยกบทประพนั ธประเภทโคลงที่ ในระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย มีดังน้ี นกั เรยี นประทบั ใจ พรอ มคาํ อธบิ าย ๒.๑ โคลงสสี่ ภุ าพ • นกั เรียนเคยแตงบทประพันธป ระเภทโคลง หรือไม นักเรียนทราบหรือไมวา การแตงบท บทร้อยกรองประเภทโคลงส่ีสุภาพ เป็นค�าประพันธ์ที่มีลักษณะบังคับคณะ สัมผัส และ ประพันธประเภทโคลงเปนทกั ษะท่สี ามารถ ค�าเอก คา� โท ดังนี้ ๑) คณะ โคลงส่ีสภุ าพบทหนง่ึ มี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้า ๕ คา� วรรค ฝก ฝนได หลงั ๒ ค�า ยกเว้นบาทท่ี ๔ วรรคหลังมี ๔ คา� และบาทท่ีหน่ึง บาทท่ีสามอาจมีคา� สร้อยหรือ สา� รวจคน้ หา Explore ไมม่ กี ็ได้ ๒) สัมผัส สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ คือ ค�าท้ายในบาทแรกส่งสัมผัสไปยังค�าท่ี ๕ นักเรยี นสืบคน ขอ มลู เก่ยี วกับการแตงบท ของบาทท่ีสองและสาม ค�าท้ายของบาทที่สองส่งสัมผัสไปยังคา� ที่ ๕ ของบาททสี่ ่ี สัมผสั ในของ ประพันธประเภทโคลง รวมถึงศกึ ษาบทประพนั ธ รอ้ ยกรองประเภทโคลงสส่ี ภุ าพนยิ มใช้สมั ผัสอักษรมากกว่าสัมผสั สระ ประเภทโคลงเรือ่ ง วฏั จกั ร พรอ มบทวิเคราะห ๓) ค�ำเอก ค�ำโท มีค�าเอก ๗ แห่ง ค�าโท ๔ แห่ง ตามแผนผงั ดงั นี้ อธบิ ายความรู้ Explain แผนผงั และตวั อยา่ งโคลงสี่สภุ าพ 1. ครนู าํ บทประพนั ธประเภทโคลงสส่ี ภุ าพมาให ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ ❁ ❁ (❁ ❁) นักเรยี นพิจารณา จากนน้ั ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ คน ออกมาเขยี นเสนโยงสมั ผัสฉนั ทลกั ษณ ❁ ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁ ❁่ (❁ ❁) จากบทประพนั ธ พรอมบอกลกั ษณะบงั คบั ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁้ ❁ ❁ ฉนั ทลกั ษณข องบทประพนั ธ เสยี งฦ ๅเสยี งเล่าอา้ ง อนั ใด พเี่ อย 2. นักเรยี นรวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ เสียงย่อมยอยศใคร ท่ัวหล้า • นักเรียนคิดวา การแตงคําประพันธป ระเภท สองเขือพห่ี ลบั ใหล ลมื ตื่น ฤๅพ่ี โคลงสีส่ ภุ าพควรคํานงึ ถึงเรอ่ื งใดบา ง สองพค่ี ดิ เองอ้า อยา่ ไดถ้ ามเผือ อยางไร (แนวตอบ การแตงคําประพนั ธประเภท (ลลิ ิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง) โคลงสสี่ ุภาพนอกจากนกั เรยี นจะตอ งคาํ นึง ถึงบงั คับคณะและสมั ผสั ของบทประพนั ธ ขอที่ควรคํานงึ อยา งมาก คือ เสียงวรรณยุกต ซึง่ ประกอบดวยคําเอก 7 แหง คาํ โท 4 แหง 181 ตามแผนผัง สง ผลตอ การแสดงอารมณ ความรูสกึ ผา นเสยี ง) 3. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั ฉนั ทลักษณบ ทประพันธป ระเภทโคลง นกั เรยี นควรรู ขอความตอไปน้เี มื่อจัดวรรคถูกตองตามฉันทลักษณจะเปนคาํ ประพนั ธ 1 โคลงกระทู มลี ักษณะของฉนั ทลกั ษณเหมือนโคลงส่สี ุภาพ แตลักษณะของ ชนดิ ใด การเขยี นจะแตกตา งออกไป โดยมกี ารตง้ั ขอความเปนกระทไู วข างหนา ของบาท เสดจ็ พน ทวาเรศขามคูเวียงหวน่ั ฤทยั ทานเพยี งจกั วา พระองคก็ออนเอยี ง ท้ัง 4 จงึ แตงตอ ดวยถอ ยคําที่มีเน้ือความอธบิ ายหรอื เปน การขยายความของกระทู เอนอาสนอกระรัวมวั หนา ส่ันสา นเสียวแสยง เพื่อใหเกดิ ความชดั เจนย่ิงขนึ้ หรอื ถา เปน กระททู ่ีไมม ีความหมายในตวั เอง เชน 1. โคลง 2. กลอน โก วา ปา เปด เปน ตน ก็จะแตงเติมเสริมพยางคหรือคาํ ใหกระทูนน้ั มคี วามหมาย 3. ฉันท 4. รา ย มากยิ่งขึน้ คาํ วา “กระทู” แปลวา หวั ขอ หรือขอความตางๆ ซึ่งตามปกติจะตอง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. โคลง ขอความทยี่ กมาเมื่อจดั วรรคให เปนหัวขอ หรอื ขอ ความส้นั ๆ ที่มคี วามหมาย ถกู ตอ งตามลกั ษณะฉนั ทลักษณ จะเปนคาํ ประพันธป ระเภทโคลง ดงั ตอ ไปนี้ 2 กลโคลง คอื ลกั ษณะบงั คบั ท่ีกําหนดเพิ่มมากกวาฉนั ทลกั ษณปกติ ในรูปแบบ เสด็จพนทวาเรศขา ม คเู วยี ง ตางๆ เพ่ือใหเ กิดเสยี งสัมผัสของคําหรือการเรยี งเสยี ง เรยี งคําท่มี ชี นั้ เชงิ ขน้ั สูงและ หวนั่ ฤทยั ทานเพียง จักวา มีช่ือเรยี กตางๆ กัน เชน กลบทกบเตนตอยหอย กลบทจตั วาทณั ฑี ซ่งึ ลักษณะ พระองคก็ออนเอยี ง เอนอาสน บงั คับท่เี พม่ิ มา ไดแ ก บงั คับสระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต คาํ ครุ ลหุ ซ้าํ คาํ เดิมหรอื อกระรัวมัวหนา สนั่ สานเสยี วแสยง ซ้ําคาํ เพย้ี น ซํ้าคําหรือวลี เหมอื นกระทู สว นกลบทในโคลงสี่สุภาพน้นั เรยี กอกี อยา ง วา โคลงกลบท คือ โคลงสีท่ ีม่ ีการกาํ หนดใหใชอกั ษร หรือคาํ ตามตําแหนง ทีบ่ ังคับ อาจเปนการซ้าํ เสยี งสระ ซํา้ เสียงพยญั ชนะตน ค่มู ือครู 181
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครนู าํ บทประพันธประเภทโคลงสามมาให ๓.๒ โคลงสามสภุ าพ นักเรียนพิจารณา ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาเขียนเสนโยงสมั ผัสจากบทประพันธ ๑) คณะ โคลงสามสุภาพบทหน่ึงมี ๒ บาท แบ่งเป็น ๔ วรรค วรรคท่ี ๑, ๒, ๓ มี วรรคละ ๕ คา� วรรคสดุ ทา้ ยมี ๔ คา� อาจมคี า� สร้อยได้ ๒ ค�า 2. นักเรียนรว มกนั พจิ ารณาบทประพันธ ๒) ค�ำเอก ค�ำโท มีคา� เอก ๓ แห่ง คอื ค�าที่ ๔ วรรค ๒ ค�าท่ี ๒ วรรค ๓ และค�าที่ ๑ พรอมตอบคําถาม ตอไปน้ี วรรคที่ ๔ มีค�าโท ๓ แหง่ คอื ค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ และ ๓ และคา� ที่ ๒ วรรคที่ ๔ “โคลงสามแปลกโคลงสอง ๓) สมั ผสั คา� สดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ๑ สง่ สมั ผสั ไปยงั คา� ท่ี ๑ หรอื ที่ ๒ หรอื ที่ ๓ ของวรรคท่ี ๒ ตามทาํ นองทแ่ี ท ค�าสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ส่งสมั ผัสไปยังคา� สุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ วรรคหนง่ึ พงึ แตมแล เลห น้จี งยล เย่ยี งเทอญ” สัมผัสระหวา่ งบท ค�าสุดทา้ ยของบทแรกส่งสมั ผสั ยังคา� ท่ี ๑, ๒ หรอื ๓ ของบทตอ่ ไป • นกั เรียนคดิ วา คาํ ประพันธป ระเภทโคลงสาม มีความแตกตางจากคําประพันธประเภท แผนผงั และตวั อย่างโคลงสามสุภาพ โคลงสองในเรอื่ งใดบา ง อยางไร (แนวตอบ ลกั ษณะของโคลงสามมคี วาม ❁❁❁❁❁ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ แตกตา งจากโคลงสอง คอื มีการเพมิ่ บาทหนา โคลงสองอกี 1 บาท จาํ นวน 5 คํา รวมเปน ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁ ้ ❁ ❁ (❁ ❁) 3 บาท และกําหนดสมั ผัสใหค าํ สุดทายของ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ บาทท่ี 1 ใหส มั ผัสกบั คําที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ❁❁❁❁❁ ของบาทท่ี 2 (หรือบทแรกของโคลงสองเดิม) ขอ บงั คบั อนื่ ๆ เปน เชน เดียวกับโคลงสอง ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ ❁่ ❁้ ❁ 1❁ (❁ ❁) ทกุ ประการ) ลว่ งลดุ ่านเจดีย ์ สามองคม์ แี ห่งหั้น 3. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ แดนตอ่ แดนกนั น้นั เพอื่ รรู้ าวทาง ขบั พลวางเข้าแหลง่ แหง่ อยธุ2เยศหล้า แลธุลฟี ุ้งฟา้ 3 มดื คลมุ้ มวั มล ยง่ิ นา (ลิลิตตะเลงพา่ ย : สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส) ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓.๓ โคลงสองสภุ าพ 1. นักเรียนยกบทประพันธท ่มี ลี ักษณะคาํ ประพันธ ๑) คณะ โคลงสองสภุ าพบทหนึง่ มี ๒ บาท แบ่งเปน็ ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๒ มี ประเภทโคลงสามที่นกั เรยี นประทับใจ จากนนั้ วรรคละ ๕ ค�า วรรคสดุ ท้ายมี ๔ คา� อาจมีคา� สรอ้ ยได้ ๒ คา� ใหนกั เรียนวเิ คราะหค ณุ คา ทางวรรณศลิ ปข อง ๒) คำ� เอก ค�ำโท มคี า� เอก ๓ แห่ง คอื คา� ท่ี ๔ วรรค ๑ คา� ท่ี ๒ วรรค ๒ และคา� ที่ ๑ บทประพันธ วรรคที่ ๓ คา� โท ๓ แหง่ คอื ค�าสดุ ท้ายของวรรคที่ ๑ และ ๒ และค�าที่ ๒ วรรคท่ี ๓ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตวั อยา งไดอ ยา ง ๓) สัมผสั ค�าสุดทา้ ยของวรรคที่ ๑ สง่ สมั ผัสไปยงั คา� สดุ ท้ายวรรคท่ี ๒ สมั ผัสระหวา่ งบท หลากหลายขึน้ อยูก ับเหตุผลของนักเรยี น คา� สุดทา้ ยของบทแรกส่งสมั ผัสไปยงั ค�าท่ี ๑, ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป เปน ตนวา ขบั พลวางเขาแหลง แหงอยุธเยศหลา 182 แลธลุ ีฟุงฟา มืดคลุม มัวมล ยงิ่ นา) 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด นกั เรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกีย่ วกบั บทประพนั ธประเภทโคลงสองสุภาพ 1 หั้น คาํ ภาษาถิ่น ใชเ หมอื นกับคําวา นนั้ ขอใดเหมาะจะเตมิ ลงชอ งวางในโคลงสองสุภาพ 2 บทนี้ 2 คลมุ เปนคําวิเศษณ หมายถึง มดื มวั ไมแจม ใส ของคาวพลนั เสพแลว ยามสรุ ยิ เคลอื่ น....(.ก..)..... 3 ลลิ ติ ตะเลงพา ย เปน บทประพันธป ระเภทลลิ ติ ช่อื คาํ ประพนั ธประเภทรอ ยกรอง ลับไมหมดศรี แบบหน่งึ ซึง่ ใชโคลงและรายตอสัมผสั กันเปนเรอื่ งยาว ประกอบดว ย รา ยสุภาพ ของหวาน....(.ข...)...ลูกไม หลายสง่ิ เสาะหาได โคลงสองสภุ าพ โคลงสามสภุ าพ และโคลงส่สี ภุ าพ แตง สลับกันไป จํานวน 439 บท แตล ว นอยา งดี นกั นอ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส และพระเจา บรมวงศเ ธอ 1. (ก) คลอ ย (ข) นี่ กรมหมื่นภูบาลบรริ ักษ ทรงนพิ นธเรือ่ งนข้ี ึน้ เพอ่ื เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนเรศวร 2. (ก) ที่ (ข) พาน มหาราช จดั เปน วรรณคดปี ระเภทเฉลิมพระเกียรตพิ ระมหากษัตรยิ โดยเนอ้ื หาและ 3. (ก) คลาด (ข) เปน กลวิธีการแตง ไดร ับอทิ ธิพลจากวรรณคดเี รื่อง ลิลติ ยวนพาย ลิลติ ตะเลงพา ยเปน 4. (ก) แคลว (ข) มี บทประพนั ธซ่งึ มที ี่มาของเรือ่ ง คือ 1. พระราชพงศาวดารฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. (ก) แคลว (ข) มี เนื่องจากการเติมคําใน 2. วรรณคดีเกา เร่ือง ลลิ ติ ยวนพา ย ลลิ ติ พระลอ 3. จินตนาการของผแู ตง คอื ขอ 4 ทําใหโคลงสองสุภาพทัง้ 2 บท มีเนอื้ ความเหมาะสมและถกู ตองตาม ชวงบทนิราศ ฉนั ทลกั ษณ 182 คูม่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ แผนผงั และตัวอย่างโคลงสองสุภาพ 1. ครูนําบทประพนั ธประเภทโคลงสองสภุ าพ มาใหน กั เรยี นพิจารณา จากน้ันครสู มุ ❁ ❁ ❁ ❁่ ❁้ ❁ ❁่ ❁ ❁ ❁้ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาเขยี นเสนโยงสมั ผสั ฉนั ทลักษณจ ากบทประพันธ ❁่ ❁้ ❁ ❁ (1❁ ❁) 2 3 ค ลาดเคกลรา้ ตครละากสอมงรก4อดแก้ว เรยี มจักร้างรสแคล้ว 2. นักเรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ • นกั เรยี นคิดวา การแตงคําประพนั ธป ระเภท จาำ ใจจรจากสร้อย อยแู่ ม่อยา่ ละหอ้ ย5 โคลงสองสุภาพควรคาํ นงึ ถงึ เรือ่ งใดบา ง อยางไร ห่อนชา้ คืนสม แม่แล (แนวตอบ การแตง คําประพนั ธประเภทโคลง สองสภุ าพนอกจากนักเรยี นจะตอ งคาํ นึง (ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส) ถึงบงั คบั คณะ บทหนง่ึ มี 2 บาท แบง เปน 3 วรรค วรรคที่ 1 และ 2 มีวรรคละ 5 คํา ตัวอย่าง การแตง่ คา� ประพนั ธ์ประเภทโคลง หมุนวน วรรคสดุ ทายมี 4 คํา อาจมคี าํ สรอยได 2 คํา วฏั จักร6 สะดุดได้ มคี ําเอกและคําโทอยา งละ 3 คํา คาํ สดุ ทา ย จบจกั ร- วาลแฮ ของวรรคท่ี 1 สงสมั ผัสไปยงั คําสุดทายใน ตดิ วงวฏั จกั รล้อ หลุดพน้ ไฉนหนอ วรรคท่ี 2 ถาแตง บทตอไป คาํ สุดทายของ อเนกอัปมงคล บทแรกจะสงสมั ผัสไปยงั คาํ ที่ 1 หรอื 2 หรือ เกดิ ดับอยู่จวบจน เพยี งกาล 3 ของวรรคแรกในบทตอไป และขอทีค่ วร เวยี นว่ายกับกรรมไว้ สดุ เชื้อ คาํ นึงอยา งมากในการประพนั ธ คือ เสยี ง ตามดบั สูญเฮย วรรณยกุ ต ซ่งึ ประกอบดวยคาํ เอก 3 แหง สรุ ยิ ะยออยยู่ ั้ง ตอ่ ต้านทวนสมยั คําโท 3 แหง ตามผงั ฉันทลกั ษณ สงผลตอ ตราบเม่ือจวบถึงวาร การแสดงอารมณความรูสึกผา นเสยี ง) เงาคราสคูท่ นทาน รวมกอ่ กำาเนิดเกื้อ ขยายความเขา้ ใจ Expand มนษุ ยใ์ ดจิตบ่มพร้อม บำาเพญ็ 1. นกั เรียนยกบทประพันธท ม่ี ลี กั ษณะคาํ ประพนั ธ จนกเิ ลสจบประเดน็ ขัดข้อง ประเภทโคลงสองสุภาพทนี่ ักเรยี นประทับใจ ปญั ญาเปดิ แลเห็น อรยิ สจั จากน้ันใหนกั เรียนวิเคราะหคุณคาทาง วฏั จักรอนันตจกั รพ้อง พ่ายแล้วลับสลายฯ วรรณศลิ ปของบทประพันธ (ผลงานประกวดรอ้ ยกรองออนไลน์ฯ ประจาำ ป ี ๒๕๕๒ เดอื นสงิ หาคม (แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตัวอยา ง เชน (๑๖ สงิ หาคม - ๑๕ กนั ยายน ๒๕๕๒) รวบรวมโดยสมาคมนักกลอนแหง่ ประเทศไทย) พระครวญถึงออ นทาว หนกั อุระราชราว ทร่ี า งแรมศรฯี ใครปรานหี นง่ึ บาง เชิญนชุ มาแนบขา ง 183 ชว ยชี้ชวนชม พฤกษนา) กจิ กรรมสรา งเสรมิ 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ นกั เรียนควรรู นกั เรยี นยกตวั อยางโคลงจํานวนสบิ บท ใหน ักเรยี นพิจารณาตําแหนง 1 ตระกอง กอด เก่ียวพนั กระกอง ก็วา รากศพั ทมาจากภาษาเขมร จากคําวา คาํ เอก คําโทและตาํ แหนงคําสัมผสั สรุปเปนแผนผังโคลง ตฺรกง 2 เรียม คาํ ใชแ ทนตวั ผูพดู สาํ หรบั ผชู ายพดู กบั ผูหญงิ ทรี่ ัก เปน สรรพนามบุรุษท่ี 1 กจิ กรรมทาทาย 3 แคลว รอดไป พน ไป มกั ใชในความหมายปฏิเสธ เชน เปนเน้อื คกู นั แลว นักเรยี นนําโคลงที่รวบรวมมาแลกเปลย่ี นกบั เพ่อื นรว มชน้ั เรียน จากนั้น ไมแ คลว กนั ไมแ คลว ไมเรยี ว เปนตน นกั เรียนเขยี นแผนผังโคลงและตัวอยางโคลง พรอมโยงเสน สัมผัสและบอก ตาํ แหนงคาํ เอก คําโทจากโคลงทีน่ ักเรียนไดรบั 4 สมร นางงามซง่ึ เปน ที่รัก รากศัพทมาจากภาษาสนั สกฤต จากคําวา สมฺ ร ซึ่งหมายถงึ กามเทพ 5 ละหอย อาการท่ีพดู เวา วอนดว ยนาํ้ เสยี งออ ยๆ กอใหเ กิดความสงสารเห็นอก- เหน็ ใจ เชน เสยี งละหอย เปน ตน โศกเศราเพราะความผิดหวงั หรือคิดถึง เชน หนา ละหอย เปน ตน 6 วฏั จกั ร ชว งระยะเวลาของเหตุการณห รือกิจกรรมชุดหนึง่ ซง่ึ เกดิ ข้ึนและดาํ เนนิ ตดิ ตอ กันไปอยางมีระเบียบจนจบลง ณ จุดเริ่มตน นนั้ อีก คู่มือครู 183
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรว มกันตอบคําถามในประเด็นที่วา บทวิเคราะห์ นักเรยี นคดิ วา บทประพนั ธเร่อื ง วฏั จักร มี จากตัวอย่างเรอ่ื ง วฏั จกั ร เป็นการแต่งคา� ประพนั ธป์ ระเภทโคลงสี่สุภาพ มขี อ้ พิจารณาที่ ความโดดเดน ดานกลวธิ ที างวรรณศิลปอ ยา งไร นักเรียนควรศึกษา วิเคราะห์เพ่ือน�าไปประยุกต์ใช้ในการแต่งค�าประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได ได ้ ดงั น้ี อยางหลากหลายข้ึนอยูกบั เหตุผลของนกั เรียน ๑. สัมผสั โคลงส่ีสุภาพทง้ั สามบทแต่งไดถ้ ูกต้องตามฉันทลกั ษณข์ องคา� ประพนั ธป์ ระเภท เปนตน วา เนือ้ หากลา วถงึ การหลดุ พน จาก โคลงส่ีสภุ าพ ท้ังจา� นวนค�าและสัมผัส มกี ารใชส้ มั ผสั อักษรในทุกๆ บท วฏั สงสารของมนุษย ดวยการบม เพาะจติ ใจให ๒. บงั คบั เสยี ง โคลงสสี่ ภุ าพทง้ั สามบทใหเ้ สยี งไดถ้ กู ตอ้ งทกุ ตา� แหนง่ ตา� แหนง่ บงั คบั คา� เอก หลุดพน จากกิเลส เกดิ ปญ ญาเหน็ แจงในอริยสัจ และโทถูกต้องทกุ ตา� แหน่ง และใชค้ �าทีม่ เี สียงสามัญไดถ้ กู ตอ้ งตามต�าแหน่งบงั คบั ของเสียง เปนการใชถ อยคําเรียบงาย พรรณนาใหเกิด ๓. รูปแบบ โคลงสี่สุภาพท้ังสามบท แต่งได้ถูกต้องตามรูปแบบของโคลงส่ีสุภาพ ท้ังใน จินตภาพไดเ ปนอยางด)ี ด้านจา� นวนค�า สัมผสั คา� เอก คา� โท และค�าสร้อย ๔. คาำ เปน็ คาำ ตาย มกี ารใช้ค�าตายแทนค�าเอก ตามลักษณะบงั คับของโคลงสีส่ ภุ าพ เชน่ 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด จักร อ๕เน. กพหรรลณุดนสาุดโวกหิเลาสร1 ขผดัู้แตเป่งใดิ ช ้สเป�า็นนตวน้น ในการเขียนแบบพรรณนาโวหารในการกล่าวถึง ขยายความเขา้ ใจ Expand วัฏจกั ร โดยพรรณนาถึงการเวียนวา่ ยตายเกดิ ในวัฏจกั รและการหลดุ พ้นจากวัฏจักรของมนษุ ย์ 1. นกั เรียนเลอื กบทเพลงทนี่ ักเรียนประทบั ใจ ๖. แสดงความรู้สึก ผู้แต่งให้ค�าที่แสดงความรู้สึกเก่ียวกับวัฏจักร ในโคลงบทแรก นกั เรยี นนําแรงบนั ดาลใจทไี่ ดจ ากบทเพลงมาใช ในการแตงบทประพนั ธ โดยกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของมนุษย์เป็นวัฏจักรท่ีจะหาทางให้หลุดพ้นได้ 2. นักเรียนแตงบทประพันธป ระเภทโคลงสี่สุภาพ พด้วรยรณวิธนีใดาถ เึงชค่นว าเมวเียปน็นวว่าัฏยกจัับกรกขรอรมงพไวร้ ะหอลาุดทพิต้นยไ์ทฉ่ีมนีขห้ึนนแอล ะสต่วกนแในลโะคถลูกงดสับี่สดุภ้วายพสบุรทิยทค่ีสรอาสงก2 ลเช่า่นว โดยมีวิธีการแตง ดังนี้ • กําหนดแนวคดิ และวตั ถปุ ระสงคส ําคญั ของ สุริยะยออยู่ย้ัง เพียงกาล ตราบเม่ือจวบถึงวาร สุดเช้ือ เงาคราสคู่ทนทาน ตามดับ สูญเฮย เร่อื งใหช ัดเจนวา นกั เรยี นตองการแตง และจบความพรรณนาในโคลงส่ีสุภาพบทท่ีสามกล่าวพรรณนาถึงการหลุดพ้นจากวัฏจักรของ เกีย่ วกับเรอ่ื งอะไร โอกาสใด เพอ่ื ประโยชน มนษุ ยน์ น้ั ตอ้ งรจู้ กั การบม่ เพาะจติ ใจใหห้ ลดุ พน้ จากกเิ ลสกอ่ ใหเ้ กดิ สตเิ หน็ แจง้ ในอรยิ สจั กจ็ ะชว่ ย ใดเปนสําคญั ใหห้ ลดุ พน้ จากวัฏจกั รได้ • นักเรยี นเขยี นแนวคิดหลกั ในการแตง อาจใช ผงั มโนทศั นในการลาํ ดบั เร่อื งราว หรือวาง การแต่งบทร้อยกรองมีแบบในการเลือกใช้คำา คณะ สัมผัส แตกต่างกันไปตาม โครงเรอ่ื งในการแตง ลักษณะฉันทลักษณ์ และมีธรรมเนียมนิยมในการแต่งบทร้อยกรองให้เหมาะสมกับงานเขียน • แตงบทประพันธประเภทโคลงสีส่ ภุ าพตาม ซ่งึ บทรอ้ ยกรองไทยมคี วามไพเราะในเร่อื งรสคำาและรสความ จึงทำาให้มคี ุณค่าในเชงิ วรรณศิลป์ ลักษณะฉนั ทลกั ษณ อาจมีการปรบั เปล่ียน และสังคม การแต่งบทร้อยกรองนอกจากจะทำาให้มีความแตกฉานในเร่ืองการใช้คำาแล้ว โครงเร่ืองไดเล็กนอ ย แตย งั คงสาระสาํ คญั ไว บทร้อยกรองท่ีแต่งจะเป็นเคร่ืองสะท้อนความคิด และวัฒนธรรมของสังคมในยุคน้ันๆ ได้ • ในการแตง คําประพันธน กั เรียนพิจารณา เปน็ อย่างดี กลวิธีการสรรคาํ โดยศึกษาคนควาจาก พจนานุกรม 184 • ตรวจสอบทบทวนเนอ้ื หา จากนน้ั จงึ แลกเปลยี่ น แสดงความคดิ เหน็ กับเพ่ือนรวมชัน้ เรยี น นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั ลักษณะเดนของบทประพนั ธ 1 พรรณนาโวหาร คอื โวหารทีใ่ ชก ลา วถึงเรือ่ งราว สถานที่ บุคคล ส่งิ ของ หรือ ขอ ใดเปน ลักษณะเดน ท่ีสุดของคําประพันธต อไปนี้ อารมณอ ยา งละเอยี ด สอดแทรกอารมณ ความรสู กึ ลงไปเพ่ือโนม นาวใจ ใหผูร ับสาร โลกนม้ี อิ ยูดวย มณี เดยี วนา เกิดภาพพจน เกิดอารมณค ลอยตามไปดวย ใชใ นการพดู โนมนา ว อารมณข องผฟู ง ทรายและส่งิ อืน่ มี สว นสรา ง หรอื เขยี นสดดุ ี ชมเมือง ชมความงามของบคุ คล สถานที่และแสดงอารมณความรสู ึก ปวงธาตุต่ํากลางดี ดุลยภาพ ตางๆ เปน ตน การใชพรรณนาโวหาร ควรมีความประณตี ในการเลือกใชถอยคาํ ภาคจกั รพาลมิรา ง เพราะน้ําแรงไหนฯ สาํ นวนทไ่ี พเราะเพราะพรง้ิ เลนคาํ เลนอกั ษร ใชถ อยคาํ ทั้งเสยี งและความหมายให 1. โวหารโลดโผน ตรงกับความรสู ึกทตี่ อ งการพรรณนา รูจ กั ปรุงแตงถอ ยคํา ใหผรู บั สารเกิดภาพพจน 2. ความหมายลกึ ซ้งึ ชวนคดิ ใชโวหารเปรียบเทียบใหเห็นภาพชดั เจน รจู กั เลือกเฟน เนือ้ หาวา สว นใดควรนํามา 3. การสรรคําเพือ่ สอื่ ภาพไดช ดั เจน พรรณนา ตอ งเขา ใจเนอ้ื หาทจ่ี ะพรรณนาเปน อยา งดี และพรรณนาใหเปนไปตาม 4. เสียงสมั ผัสสระและพยัญชนะทไี่ พเราะ อารมณความรูสึก โดยไมเ สแสรง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ความหมายลึกซง้ึ ชวนคดิ เพราะเนือ้ ความ 2 สรุ ิยคราส “การกลืนดวงอาทติ ย” ตามความเขาใจของคนโบราณทเี่ ชอื่ วา ทย่ี กมาแสดงความหมายลึกซึ้ง ใหแงค ดิ โดยชใี้ หเ ห็นในเชงิ เปรียบเทยี บวา พระราหอู มดวงอาทิตย สรุ ยิ ปุ ราคา กเ็ รียก หรือในปจจบุ นั เปนปรากฏการณทาง คนทกุ ชนชน้ั ในสงั คมมีความสาํ คญั เทากนั ไมค วรมกี ารแบงชนชัน้ ธรรมชาติ เกิดข้ึนเมื่อดวงอาทิตย ดวงจันทร และโลก โคจรมาเรียงกนั 184 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ปกณิ กะ นักเรียนสบื คนขอมลู จากบทความเรื่อง กาพยเ หเ รอื ¡Ò¾ÂàËà‹ Ã×Í อธบิ ายความรู้ Explain ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í à»š¹¤íÒ»Ãоѹ¸»ÃÐàÀ·Ë¹Öè§ 1. นกั เรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ᵋ§äÇŒÊíÒËÃѺ¢Ñºàˋ㹡ÃкǹàÃ×Í â´ÂÁÕ·íҹͧàË‹·èÕ ตอ ไปน้ี • กาพยเ หเ รือมีการใชค าํ ประพันธป ระเภท ààʪÃÍ‹¹×Í´¨¤ÇãŹ¹ŒÍ¢¶§³Ö§¡·ÐѺàÕ軨ÃÃèÔÁѧÐËÍ·ÇÍÐÑ¡º¡à¨ÃÒÐ×ÍÃ㨾ªÐÒŒ·ãªíÒ¢Œ·¹ÍíÒͧ¹§½ÍÊ‚¾§ÇҪЌÒÂàÅÇËЋҋ 2ǪЌÒáàËÅËÃÐ1‹ ×ÍËààÁÒáçè×ÍÇ ใดบา ง อยางไร (แนวตอบ ประกอบดว ยคาํ ประพนั ธ 2 µŒÍ§¡ÒÃã˾Œ ÒÂ˹¡Ñ ¨§Ñ ËÇÐàÃÇç ¨Ð㪷Œ Òí ¹Í§ÁÙÅàË‹ â´Â ประเภท คือ ขึ้นตน ดว ยโคลง 1 บท ÁÕ¾¹Ñ¡§Ò¹¢Ñºàˋ˹èÖ§¤¹à»š¹µŒ¹àÊÕ§áÅÐÁÕ½‚¾Ò¤Í แลวตอ ดวยกาพยย านเี รื่อยไปจนจบตอน) ÌͧÃѺ ¾ÃÍŒ Á¡Ñº¡ÒÃã˨Œ §Ñ ËÇШҡ¾¹¡Ñ §Ò¹»ÃШÒí àÃ×Í • บทเหเรือมีความสาํ คัญตอ ขบวนพยหุ ยาตรา áµÅ‹ ÐÅíÒ ทางชลมารคอยางไร (แนวตอบ ใหจังหวะในการพายวาชา หรือเรว็ ¡Ò¾Âà Ë‹àÃ×͹ѹé 㪤Œ Òí »Ãоѹ¸ ò »ÃÐàÀ· และจังหวะหนักเบา) ´ŒÇ¡ѹ ¤Í× ¢éÖ¹µŒ¹´ŒÇÂâ¤Å§ ñ º· áÅÇŒ ᵋ§µÍ‹ ´ÇŒ  ¡Ò¾ÂÂÒ¹ÕàÃ×èÍÂ仨¹¨ºµÍ¹ àÁè×ͨТÖ鹵͹ãËÁ‹¡ç¨Ð 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ᵋ§â¤Å§¢éÖ¹ÁÒÍա˹Ö觺· áÅŒÇᵋ§µ‹Í´ŒÇ¡Ҿ ¨¹¨ºµÍ¹àª¹‹ ¹ÕéÊÅѺ¡¹Ñ ä» ขยายความเขา้ ใจ Expand ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í·èÕà¡‹Òá¡‹·èÕÊØ´ ¤×Í ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í นกั เรยี นรวมกันอภปิ รายในประเด็น ตอ ไปนี้ ¾Ãй¾Ô ¹¸à¨ÒŒ ¿Ò‡ ¸ÃÃÁ¸àÔ ºÈà (਌ҿ҇ ¡§ØŒ ) ã¹ÃªÑ ¡ÒÅ • นักเรียนคิดวา พระราชพธิ ีพยหุ ยาตรา ÊÁà´ç¨¾ÃÐ਌ÒÍ‹ÙËÑǺÃÁâ¡È ÊÁÑÂÍÂØ¸Âҵ͹»ÅÒ «Ö觷çᵋ§äÇŒ ò àÃÍ×è § ¤×ͺ·àË‹ªÁàÃ×Í ªÁ»ÅÒ ªÁäÁŒ ทางชลมารคนอกจากจะเปน พระราชพิธที ่มี ี ความสาํ คัญแลว ความไพเราะของบทเหเรือ áÅЪÁ¹¡ ¡ºÑ Í¡Õ º·Ë¹è§Ö ¤×Í º·àËà‹ Ã×ÍàÃ×Íè §¡Ò¡Õ สะทอ นความงดงามทางศิลปะและ วัฒนธรรมของไทยอยา งไร Êѹ¹Ôɰҹ¡Ñ¹Ç‹Ò¡Ò¾ÂàË‹àÃ×Í à´ÔÁ¤§¨Ðᵋ§à¾è×͢ѺàË‹¡Ñ¹àÁ×èÍà´Ô¹·Ò§ä¡Åã¹áÁ‹¹íéÒ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยา ง ᵋã¹ÀÒÂËÅѧ¤§ÁÕᵋ਌ҹÒÂËÃ×;ÃÐÃҪǧȪÑé¹ÊÙ§ áÅÐÊØ´·ŒÒÂÁÕ㪌ᵋ㹡ÃкǹàÃ×ͧ͢ หลากหลายขึน้ อยกู ับเหตุผลของนกั เรยี น ¾ÃÐ਌Òá¼¹‹ ´Ô¹à·‹Ò¹é¹Ñ ¡Ò¾ÂàË‹àÃ×ÍäÁ‹¹ÔÂÁ»Ãоѹ¸¡Ñ¹ÁÒ¡¹Ñ¡ à¹×èͧ¨Ò¡à»š¹¤íÒ»Ãоѹ¸ÊíÒËÃѺ㪌㹾ԸաÒà เปน ตน วา บทเหเรือเปน บทประพันธทใี่ ชใน การประกอบพระราชพธิ ีสําคญั ของพระมหา- ¤×Í ã¹¡ÃкǹàÃ×ÍËÅǧËÃ×Í¡Ãкǹ¾ÂØËÂÒµÃÒ·Ò§ªÅÁÒä ¡ÒÃᵋ§¡Ò¾ÂàË‹àÃ×֧ͨÁÑ¡ กษตั ริย สะทอ นความสาํ คัญของวฒั นธรรม ᵋ§¢¹éÖ ÊíÒËÃºÑ ·Õ¨è Ð㪌àË‹àÃ×Í¨Ã§Ô æ ทางภาษาท่ที รงคุณคาของสงั คมไทย สังเกต ไดจ ากความไพเราะของบทประพนั ธ สะทอ น ๑๘๕ ลักษณะเดน ของบทประพันธประเภท รอ ยกรองในสงั คมไทยทีม่ คี วามโดดเดนดา น ความไพเราะของเสยี งเปน สาํ คญั ) ขอ สอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’49 ออกเกยี่ วกบั ฉันทลกั ษณบทประพันธประเภทโคลง ขอความตอไปน้ีเมอ่ื จดั ถูกตองตามฉนั ทลักษณจ ะเปน คาํ ประพนั ธชนิดใด นา้ํ ฝนหลน จากฟา มาดินเปน บอ เกดิ วารนิ แผก วา งของอันคูธรณนิ แตงโลก 1 ชา ละวะเห หรอื ในการเหเรือเลนเรียกวา เหชา เปนทํานองทใ่ี ชเ ร่มิ ตนการเหม ี ปลาอาศัยแหลง สรา งตางเหยาเรือนรงั จังหวะชา ๆ ทวงทํานองไพเราะถือเปน การใหสญั ญาณเริ่มตน เคลอื่ นเรือในกระบวน 1. รายสภุ าพ ทกุ ลําไปพรอ มๆ กนั อยา งชาๆ บทน้ขี น้ึ ตน วา “เหเอย ...พระเสด็จ...โดย...แดน 2. โคลงสุภาพ (ลูกครู ับ โดยแดนชล)” การเหท ํานองชา ละวะเหนี้ ฝพ ายจะอยูในทา เตรียมพรอ ม 3. กลอนสภุ าพ จนกระทงั่ ลูกครู ับทา ย ตนเสียงจงึ เรมิ่ จังหวะเดนิ พายจังหวะท่ี 1 บทเหท ี่เปนตวั อยา ง 4. กาพยย านี ในตอนท่ีเปนทาํ นองชาละวะเห คอื บทท่ีเปนกาพยย านีบทแรกในพระนพิ นธเ จาฟา กงุ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. โคลงสุภาพ ขอ ความทยี่ กมาเมอ่ื จดั วรรค 2 สวะเห เปน การเหเม่อื ใกลจ ะถงึ ที่หมาย พนกั งานนําเหแ ละพลพายจะตอ งจํา ใหถกู ตองตามลักษณะฉนั ทลักษณ จะเปนคําประพนั ธ ดังตอ ไปนี้ ทํานองและเน้อื ความทํานองสวะเหใ หแ มน เพราะตองใชป ฏภิ าณคะเนระยะทาง น้ําฝนหลน จากฟา มาดิน และใชเ สียงส้ันยาวใหเ หมาะแกส ถานการณ นับวาเปนการเหท่ยี ากที่สุด แตแ สดง เปนบอ เกิดวารนิ แผกวาง ความสงางามของกระบวนเรอื ไดด ี การเหทาํ นองสวะเหเ ปน ทํานองเหต อนนาํ เรอื เขา ของอนั คธู รณนิ แตง โลก เทียบทาหรือฉนวน คือ เม่ือขึน้ ทํานองเหน ี้ กเ็ ปนสัญญาณวา ฝพ ายจะตองเก็บพาย ปลาอาศยั แหลง สรา ง ตางเหยา เรอื นรัง โดยไมตองส่ังพายลง บทเหทํานองนี้ ข้นึ ตนวา “ชา แลเรือ” ลกู คูร ับ “เฮ เฮ เฮ เฮโฮ เฮโฮ” วรรคสุดทายจบวา “ศรชี ยั แกว พอ เอย ” ลูกคูร ับ “ชยั แกวพอ อา” เรือพระทน่ี ่ังก็ จะเขาเทียบทา พอดี และจบบทเห คูม่ ือครู 185
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นสามารถสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับการ คำาถามประจาำ หนว่ ยการเรยี นรู้ แตงคาํ ประพันธป ระเภทโคลง พรอมยกตวั อยา ง และวิเคราะหค ณุ คาทางวรรณศลิ ปไ ด ๑. ลักษณะบังคบั ของบทรอ้ ยกรองมีความส�าคัญต่อการแตง่ บทรอ้ ยกรองอยา่ งไร ๒. คา� ครุ ค�าลหุ ทบ่ี งั คับใชใ้ นบทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์มีลกั ษณะอย่างไร 2. นักเรียนแตงบทประพนั ธป ระเภทโคลงสสี่ ภุ าพได 3. นกั เรียนสามารถสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั จงอธิบาย ๓. คา� นา� หรือคา� ข้ึนต้นใชใ้ นบทรอ้ ยกรองประเภทใด จงอธิบายและยกตัวอย่าง คําประพนั ธประเภทโคลง และภาพสะทอน ๔. บทพากย์โขน บทสวดมนต์ ในสมยั โบราณนิยมแตง่ ดว้ ยค�าประพันธป์ ระเภทใด สังคมและวัฒนธรรมไทยได เพราะเหตใุ ด หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ๕. การแต่งค�าประพนั ธม์ ีคุณคา่ ทางภาษาในดา้ นใด จงอธิบาย 1. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั ของลกั ษณะบังคบั 9 กจิ กรรมสร้างสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ ประการในบทรอยกรอง พรอมระบุคุณคาทาง วรรณศลิ ป ๑. ให้นักเรียนรว่ มกันฝกึ แตง่ กาพย์ ๑ ชนิด ด้วยปากเปล่าในชน้ั เรยี นตามหวั ขอ้ ที่ ก�าหนดรว่ มกนั เชน่ 2. ความเรียงวเิ คราะหลักษณะบงั คบั ของ - ชื่อเพ่อื นของฉนั บทประพันธ พรอ มตัวอยา งบทประพันธแ ละ - โรงเรียนแสนรนื่ รมย์ ความเรียงสรปุ คุณคา ทางวรรณศลิ ป - เรยี นวิชานี้มแี ตค่ วามสุข 3. ความเรียงสรปุ สาระสาํ คัญเกีย่ วกบั การแตง ๒. ให้นกั เรียนแต่งโคลงส่สี ภุ าพเพื่อเล่าประวัตคิ วามเป็นมาของโรงเรียนหรอื ชมุ ชน คาํ ประพันธป ระเภทกาพย พรอมตวั อยาง ของตนเอง ความเรียงวิเคราะหค ณุ คาทางวรรณศลิ ป ๓. จัดกจิ กรรมประกวดการแตง่ ค�าประพนั ธ์ในวันส�าคัญตา่ งๆ เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะและ 4. บทประพันธประเภทกาพย พัฒนาการในการใชภ้ าษาเชิงสร้างสรรค์ 5. ความเรยี งสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับการแตง - วันเขา้ พรรษา - วันภาษาไทยแหง่ ชาติ คาํ ประพันธป ระเภทโคลง พรอ มตัวอยางและ - วันครู ความเรยี งวิเคราะหคณุ คา ทางวรรณศิลป 6. บทประพนั ธประเภทโคลงส่ีสภุ าพ 7. ความเรยี งวเิ คราะหคุณคา ทางวรรณศลิ ป ประเภทโคลง และภาพสะทอนสังคม วัฒนธรรมไทยจากบทประพันธ 8. บันทกึ การตอบคาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 186 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. ชว ยทําใหบทรอยกรองมคี วามไพเราะและมีความสมบรู ณท างดานเสียงและความหมาย กอใหเกดิ ความซาบซง้ึ ในจังหวะลีลา รวมถงึ อรรถรสของบทประพันธ และบทรอยกรองแตล ะประเภท ซงึ่ มีลกั ษณะบังคบั แตกตา งกันยอมกอ ใหเกิดรสและความไพเราะแตกตา งกนั 2. คาํ ครุ คาํ ลหุ เปน การแบงคาํ ตามนา้ํ หนักของเสียงคาํ โดยเปนคาํ ที่มีเสียงหนกั และเสียงเบาตามลําดบั ใชในคําประพันธป ระเภทฉันท เสยี งหนักเบาชว ยใหเกดิ จงั หวะ ลลี าของคาํ ซง่ึ ฉนั ทแตละชนดิ จะมีลลี าแตกตางกนั ไป คําครแุ ละคําลหมุ ีลักษณะ ดังน้ี คําครุ เปน คําท่ีประสมดว ยสระเสียงยาวในมาตราตวั สะกดแม ก กา เชน สี ดู ขา เปนตน หรอื เปน คําท่ีมีตวั สะกด เชน ฉนั รกั นอง เปน ตน และเปน คําท่ปี ระสมดว ยสระ ไอ ใอ เอา สวนคาํ ลหุ เปนคําทป่ี ระสมดว ยสระเสียงสน้ั ในแม ก กา เชน มะระ จะ ดุ เปนตน หรือเปน คาํ ท่ปี ระสมดว ยสระอํา เชน จํา คาํ ทํา เปน ตน และเปน คําทมี่ ีเสียงสน้ั บ บ ธ ณ 3. คํานําหรือคาํ ข้ึนตน เปน ลกั ษณะบังคับของบทรอ ยกรองประเภทกลอน ประกอบดวยบทประพนั ธป ระเภทตา งๆ ดังน้ี 1) กลอนบทละคร ขึ้นตน บทประพนั ธดว ยคําวา “เมอ่ื น้นั ” และ “บดั น้นั ” 2) กลอนสักวาขน้ึ ตน ดว ยคาํ วาสกั วาในบทแรก 3) กลอนดอกสรอ ยข้นึ ตน โดยวรรคแรกมี 4 คํา และมคี าํ วา “เอย” เปน คําที่ 2 ของวรรคแรก 4) กลอนเสภา ข้ึนตนบทดวยคาํ วา “ครานน้ั ” 4. บทพากยโ ขน บทสวดมนตในสมยั โบราณนิยมแตง ดวยคาํ ประพันธป ระเภทกาพยฉ บัง 16 เน่อื งจากมีลีลาคึกคกั โลดโผน และสงางามกวา คําประพันธประเภทกาพยอน่ื ๆ 5. การแตง คาํ ประพนั ธม คี ุณคาทางภาษาที่ชวยพัฒนาความคิดและจนิ ตภาพทงั้ ของผูแ ตง และผูอา นบทประพันธ เนอ่ื งจากคณุ คาอันเกดิ จากความงามทางวรรณศลิ ปใ นบท ประพนั ธ และความไพเราะของบทประพันธเ กดิ จากการเลอื กใชถ อ ยคาํ ใหสามารถส่อื ความคดิ ความรสู กึ อารมณ โดยจดั วางคาํ ท่เี ลอื กสรรไวใ หม ีความตอเน่อื ง รอ ยเรยี งใหม คี วามไพเราะเหมาะสมกับจังหวะ ถกู ตอ งตามหลักภาษา และการใชโวหารที่กอ ใหเกดิ รสกระทบใจ ความรสู กึ และอารมณข องผอู าน 186 คูม่ ือครู
กระตุน้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate บรรณานกุ รม กาญจนา นาคสกุล และคณะ. ๒๕๔๕. บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑ - ๒. กรุงเทพมหานคร: สถาบัน ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กา� ชยั ทองหลอ่ . ๒๕๔๓. หลักภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: รวมสาสน์ . กสุ มุ า รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สงั กปั ภาษา ๒. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทศั น์. กุหลาบ มลั ลิกะมาส. ๒๕๓๓. การเขยี น ๑. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรเจรญิ ทัศน์. ครุ สุ ภา. ๒๕๑๘. ค�าบรรยายภาษาไทยชั้นสูงของชุมนมุ ภาษาไทยของครุ ุสภา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ คุรุสภาลาดพรา้ ว. ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ. ๒๕๕๐. หนงั สอื เรยี นภาษาไทย ม.๔ เลม่ ๑ หลกั ภาษาและการใชภ้ าษา. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๘. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทศั น.์ นมิ่ นวล หาญทนงค์. ๒๕๔๑. ท ๐๔๓ การแตง่ คา� ประพนั ธ์. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน์. ประภาศรี สหี อา� ไพ. ๒๕๓๘. วฒั นธรรมภาษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เปล้ือง ณ นคร. ๒๕๔๒. ภาษาวรรณนาววิ ฒั น์ และวิบตั ขิ องภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: ขา้ วฟ่าง. พงษ์ศกั ด์ิ สสุ มั พนั ธ์ไพบลู ย์. ๒๕๔๒. เทคโนโลยีโทรคมนาคม. กรุงเทพมหานคร: คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมิตร. เยาวลักษณ์ ชาตสิ ขุ ศิรเิ ดช. ๒๕๔๘. ค�าราชาศพั ทน์ ่าร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน.์ . ๒๕๔๘. เรียงถอ้ ยรอ้ ยกรอง. กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจริญทัศน์. ราชบัณฑิตยสถาน. ๒๕๕๐. พจนานกุ รมศพั ทว์ รรณคดไี ทย ภาคฉันทลักษณ.์ กรงุ เทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน. . ๒๕๕๖. พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: ศิริวฒั นาอนิ เตอร์พรนิ้ ท์ จา� กัด (มหาชน). ราชบณั ฑิตยสภา, สา� นกั งาน. ๒๕๖๓. ราชาศพั ท์ ฉบับราชบัณฑติ ยสภา เฉลมิ พระเกียรติพระบาท สมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งในโอกาส พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก พทุ ธศักราช ๒๕๖๒. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร: ธนอรณุ การพมิ พ์. วิชราพร พุ่มบานเยน็ . ๒๕๔๕. เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพวิ เตอร์. กรุงเทพมหานคร: ซอฟทเ์ พรส. วชิ าการ, กรม, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. ๒๕๕๐. ภาษาเพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพร้าว. . อา่ นอย่างไรให้ไดร้ ส. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ ุรุสภา, มปป. สุจรติ เพยี รชอบ. ๒๕๓๙. ศลิ ปะการใชภ้ าษา. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. 187 คมู่ ือครู 187
กระตุ้นความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate สจุ ิตรา จงจิตร. ๒๕๔๗. มนษุ ยก์ ับวรรณกรรม. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ สภุ าพร มากแจง้ . ๒๕๓๕. กวนี พิ นธไ์ ทย ๑. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ สุโขทัยธรรมาธริ าช, มหาวิทยาลยั . ๒๕๔๓. เอกสารการสอนชดุ การใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรงุ หน่วยที่ ๑-๘).นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. . ๒๕๔๓. เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอา่ นภาษาไทย. นนทบรุ :ี โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. เสรมิ สรา้ งเอกลกั ษณข์ องชาต,ิ สาำ นกั งาน. ๒๕๕๕. ราชาศพั ท์ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔. กรงุ เทพมหานคร: ด่านสุทธาการพิมพ์. อัจจมิ า เกดิ ผล. ๒๕๔๖. ฟงั พดู อ่านเขียนในชวี ิตประจำาวัน. กรุงเทพมหานคร: ศูนยต์ ำาราและเอกสาร ทางวชิ าการ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . 188 188 ค่มู อื ครู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198