Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู หลักภาษาฯ ม.6

คู่มือครู หลักภาษาฯ ม.6

Published by pearyzaa, 2021-05-18 02:40:38

Description: คู่มือครู หลักภาษาฯ ม.6

Search

Read the Text Version

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบับนักเรยี น 20%) นกั เรียนกลมุ ทจี่ ับสลากได ๕. เชญิ ผอู้ ภปิ รายพดู เรยี งตามลา� ดับ ในขณะทผ่ี ูอ้ ภิปรายพดู ผู้ดา� เนินการอภิปราย หมายเลข 3-6 สง ตวั แทนออกมา พยายามจับใจความส�าคัญของเร่อื งแลว้ จดบันทกึ ไว้ อธบิ ายความรูเ กย่ี วกบั หวั ขอ ท่ไี ดร บั มอบหมายความยาวคนละไมเ กนิ ๖. กลา่ วสรปุ การอภปิ รายของผู้อภิปรายคนท่ี ๑ และเชิญผู้อภิปรายคนท่ี ๒ พูด 3 นาที นกั เรยี นคนอ่นื ๆ บนั ทึก เป็นลา� ดับต่อไปจนครบ ความรูทไี่ ดรบั จากการฟง ลงสมดุ จากนน้ั ครตู ้ังคําถามกบั นกั เรยี น ๗. เมอื่ พดู อภปิ รายครบทกุ คนแล้วเชญิ ใหผ้ ู้อภปิ รายพดู เพ่มิ เติมได้อกี ครง้ั โดยวิธกี ารสุม เรยี กชื่อเพอ่ื ตอบ ๘. กอ่ นจบการอภปิ รายควรเปดิ โอกาสใหผ้ ฟู้ งั ไดซ้ กั ถามและมอบหมายปญั หาตา่ งๆ ทผ่ี ฟู้ งั ซกั ถามใหผ้ รู้ ว่ มอภปิ รายตอบ • นักเรียนยกตัวอยา งภาษาหรอื ๙. กลา่ วปดิ การอภปิ ราย โดยสรปุ เรอื่ งทงั้ หมดอกี ครง้ั หนงึ่ อยา่ งยอ่ และกลา่ วขอบคณุ สํานวนทเ่ี หมาะสมสําหรับการ ผฟู้ ังรวมทงั้ ผู้เข้าร่วมอภปิ ราย พูดอภิปราย ๒) บทบาทและหน้าท่ีของผู้อภิปราย ผู้อภิปรายเป็นผู้ท่ีต้องแสดงข้อเท็จจริง (แนวตอบ จากการศึกษาของ และข้อคิดเห็นเก่ียวกับเรื่องราวต่างๆ ดังนั้น จึงควรเตรียมศึกษาหาความรู้ในเรื่องท่ีจะอภิปราย คณะกรรมการพบวา มาเปน็ อยา่ งดี โดยทว่ั ไปผอู้ ภปิ รายจะมีบทบาทและหน้าทใ่ี นการอภิปราย ดงั นี้ - การทํางานทผี่ านมาคอ นขา ง ๑. กลา่ วขอบคณุ ผดู้ า� เนนิ การอภปิ รายและกลา่ วสวสั ดผี ฟู้ งั ทไ่ี ดม้ โี อกาสมารว่ มอภปิ ราย มปี ญหา วันนี้จึงตอ งมีการ ๒. อภปิ รายตามความรู้ ความสามารถและความคิดของตนเอง ระดมพลังความคดิ ของ ๓. อธิบายความรู้ ข้อเท็จจริง ประสบการณ์ให้ผู้ฟังได้ทราบ พร้อมท้ังเสนอแนะ ทกุ คนเพือ่ แกป ญ หาน้ี แนวคิดใหมท่ ีเ่ ปน็ ประโยชน์ - ความคดิ เหน็ ของทกุ ทาน ๔. รักษาเวลาในการพดู เปน็ สา� คัญ รวมทัง้ มมี ารยาทในการพูดอภิปราย มปี ระโยชนและหลากหลาย การอภิปรายผู้ร่วมอภิปรายทุกคนมีความส�าคัญต่อการอภิปรายท้ังส้ิน ทุกคนจะต้อง แตว ันนเ้ี ราตองรว มกันสรุป ทราบบทบาทหน้าท่ีของตนเองทั้งทางด้านเน้ือหาและคุณสมบัติของการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี เพอ่ื ใหเหน็ แนวทางที่ชัดเจน) เพราะจะมสี ่วนทา� ใหบ้ รรยากาศในการอภิปรายเป็นไปอย่างราบรื่น ๓) หวั ขอ้ เรอื่ ง เปน็ สง่ิ สา� คญั มากในการอภปิ ราย ผดู้ า� เนนิ การอภปิ รายจะตอ้ งกา� หนด • มารยาทในการพดู อภิปราย ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ฟังส่วนใหญ่ ทั้งน้ีเพ่ือเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟังและผู้จัด มีความสําคัญอยา งไร และมี การอภิปรายจะต้องพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมส�าหรับการอภิปรายในหัวข้อน้ันๆ ควรให้คณะ ลักษณะอยางไร ผอู้ ภิปรายไดท้ ราบหวั ข้อเร่ืองหรือญตั ติในการอภปิ รายกอ่ นล่วงหนา้ เพอื่ ศึกษาคน้ คว้าข้อมลู ของ (แนวตอบ มคี วามสาํ คัญ คือ ชวย เรื่องที่จะนา� มาอภิปราย ซึง่ หัวข้อเร่อื งทค่ี วรน�ามาจดั การอภปิ รายมลี ักษณะ ดงั น้ี ใหการอภิปรายราบร่ืน สุภาพ ๑. ควรเลอื กเรือ่ งท่ีตรงกับความสนใจของผอู้ ภิปรายและเป็นประโยชนแ์ ก่ผู้ฟงั ผูพดู และผูฟง รสู กึ ถงึ การให ๒. เร่ืองท่ีอภิปรายควรเป็นเรื่องท่ีมีแหล่งค้นคว้าข้อมูล ควรเลือกหนังสือส�าหรับ เกยี รติกัน สรางเสริมใหก าร คน้ คว้าหลายๆ เลม่ ประกอบการอภิปรายเพ่อื เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้ฟังและมีความนา่ เชือ่ ถอื อภิปรายประสบความสาํ เรจ็ ๓. ควรเลอื กเรือ่ งทีเ่ หมาะสมกบั เวลาท่ีจะอภปิ ราย ควรมขี อบเขตไม่เกนิ ๑ ช่ัวโมง มารยาทในการพูดอภปิ ราย คอื หรอื ๑ ชวั่ โมงครึง่ ผูมีสว นรว มในการอภปิ ราย รว มกันแสดงความคดิ เห็น 144 อยางสภุ าพใชภ าษาท่ีเหมาะสม ตรงประเดน็ ต้ังใจฟง ผูอ ่นื พดู ปราศจากอคติ ซักถามเมือ่ ผดู าํ เนนิ การอภปิ รายเปด โอกาส) นกั เรียนควรรู ผอู ภิปราย นอกจากจะมที กั ษะในการฟง และการพดู ท่ีดีแลว ควรมที ักษะทางดา นการ ควบคมุ อารมณความรสู กึ เปดใจกวา งยอมรับฟงความคดิ เหน็ ของผูอ ่นื ไมค วรแสดงอารมณ ฉุนเฉยี วหรือแสดงสหี นา ไมพ อใจเมอ่ื มผี วู พิ ากษวจิ ารณความคดิ เหน็ ของตน 144 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ๔. เร่ืองท่ีจะอภิปรายควรจะเป็นเร่ืองท่ีพัฒนาให้ดีข้ึน เช่น เร่ืองเก่ียวกับอาหาร ขยายความเขา ใจ สขุ ภาพ อากาศ การแตง่ กาย การทา� งานใหป้ ระสบความสา� เรจ็ การออกก�าลงั กาย ฯลฯ 1. ครชู วนนกั เรยี นสนทนาเกีย่ วกบั ๕. เรื่องที่อภปิ รายควรมีอุปกรณป์ ระกอบ จะท�าใหน้ ่าสนใจ มคี วามหมาย เชน่ สอื่ ปญหาตางๆ ทีเ่ กิดขึ้นภายใน อิเลก็ ทรอนิกส์ วดิ ีโอ ภาพยนตร์ หนงั สอื ตา่ งๆ โรงเรียน เชน หองน้ํา ท่ีท้ิงขยะ ๔) สถานทอ่ี ภปิ ราย การจัดสถานท่ีอภิปรายสามารถเลือกจัดได้หลายรูปแบบซ่ึง ไมเ พยี งพอ ฯลฯ จากนน้ั ให ขึน้ อยกู่ บั ประเภทของการอภปิ ราย จา� นวนผู้อภิปราย จ�านวนผูฟ้ ัง ตอ้ งมีป้ายช่อื ผู้ดา� เนินรายการ นกั เรียนเขา กลมุ จํานวน 6 กลุม และผู้ร่วมอภิปรายให้มองเหน็ ได้ชัดเจน หรอื ตามความเหมาะสมเพอื่ รว มกนั คดั เลือกประเดน็ ปญ หาสาํ หรบั ๑.๕ ขนั้ ตอนในการอภปิ ราย การอภปิ ราย สงตัวแทนออกมา เขียนหนา กระดานโดยไมใหซ า้ํ กับ ๑. ผดู้ �าเนนิ การอภิปรายกลา่ วทักทาย ผูร้ ว่ มอภปิ รายและผูฟ้ ังการอภิปราย กลุมอน่ื ๆ เม่อื แตละกลมุ ไดหัวขอ ๒. ผดู้ �าเนนิ การอภปิ รายกล่าวถงึ ความส�าคญั ของประเด็นทจี่ ะอภปิ ราย สําหรบั การอภปิ รายแลว นักเรยี น ๓. ผู้ด�าเนินการอภิปรายกล่าวแนะน�าผู้ร่วมอภิปรายและกล่าวถึงขั้นตอนท่ีจะใช้ในการ แตละกลมุ เริม่ การอภปิ รายเพ่ือหา อภปิ ราย เพ่ือใหเ้ ป็นขอ้ ตกลงร่วมกันของผ้รู ่วมอภิปราย แนวทางแกไ ขเปน เวลา 10 นาที ๔. เมื่อผู้อภิปรายได้อภิปรายจบลง ผู้ด�าเนินการอภิปรายต้องท�าหน้าที่สรุปสาระส�าคัญ โดยแบงสถานภาพและบทบาท ของผู้ทอ่ี ภปิ ราย และพดู เชอ่ื มโยงกล่าวเชญิ ผอู้ ภิปรายคนต่อไป ใหค รบองคประกอบของการ ๕. เม่ือการอภิปรายจบลง ผู้ด�าเนินการอภิปรายต้องสรุปสาระส�าคัญของการอภิปราย อภปิ ราย สง ตัวแทนออกมาสรุป และเชิญให้ผู้ฟังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นหรือซักถามปัญหา พยายามให้ผู้ร่วมอภิปรายทุกคนมี ผลการอภปิ รายหนา ชั้นเรยี น สว่ นรว่ มในการตอบปัญหา ๖. ผู้ด�าเนินการอภิปรายสรุปสาระท่ีได้จากการอภิปรายอีกคร้ังหนึ่ง และกล่าวขอบคุณ 2. นักเรียนเขียนแสดงบทบาทของ ทุกฝ่ายทีร่ ่วมการอภปิ ราย ตนเองตามสถานภาพท่ไี ดร ับขณะ เขากลมุ อภปิ รายความยาวไมเ กิน ๑.๖ มารยาทในการพดู อภปิ ราย หนง่ึ หนากระดาษรายงาน ในการพูดอภปิ ราย ทุกคนมคี วามส�าคญั ต่อการอภิปราย ดังน้ัน ผู้รว่ มอภิปรายทุกคนจะ ตรวจสอบผล ตอ้ งมมี ารยาทในการพูดและการฟงั เพื่อชว่ ยให้บรรยากาศในการอภิปรายเปน็ ไปด้วยดี มารยาท ส�าคญั ทพ่ี งึ ปฏิบตั ิ มีดงั นี้ ครูตรวจสอบความรู ความเขาใจ เกยี่ วกบั การพูดอภิปรายของนักเรียน ๑. มีสมาธิ ต้ังใจ และมีมารยาทในการฟัง ไม่พูดคุยส่งเสียงดังรบกวนผู้อ่ืนระหว่าง จากการรูสถานภาพและบทบาท การอภปิ ราย ของตนเอง รวมถงึ การใชภาษาและ มารยาทในการพดู อภปิ ราย ๒. จดประเด็นสา� คัญที่สนใจ ๓. ถ้ามีข้อสงสัยต้องการซักถามควรขออนุญาตผู้ด�าเนินการอภิปรายในช่วงเวลาที่เปิด หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู โอกาสให้ซกั ถาม และควรซกั ถามดว้ ยถอ้ ยคา� ทสี่ ุภาพ ๔. ผู้ฟงั ที่ดคี วรแสดงความคิดเห็นทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ การอภิปราย บนั ทึกบทบาทและสถานภาพ ทไ่ี ดรบั จากการเขากลมุ อภปิ ราย 145 นักเรียนควรรู สถานท่อี ภิปราย ควรเปน ที่ทม่ี ีความเหมาะสม บรรยากาศไมพลุกพลาน ควรมคี วาม สะดวกสบายในดานตางๆ เชน แสงสวางทีพ่ อเหมาะ เกาอนี้ ั่งสบาย หอ งน้าํ มีเพยี งพอ ตอ ความตอ งการ เปนตน คมู ือครู 145

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) ครชู วนนกั เรยี นสนทนาเกี่ยวกบั ในการพูดอภิปรายทุกคนจะต้องรู้บทบาทของตนเองท้ังผู้ด�าเนินการอภิปราย ผู้ร่วม การพูดแสดงทรรศนะ จากนน้ั อภปิ ราย และผฟู้ งั รวมทง้ั ตอ้ งมมี ารยาทในการพดู และการฟงั จะชว่ ยใหบ้ รรยากาศในการอภปิ ราย ต้งั คําถามกบั นักเรียนวา เป็นไปไดด้ ้วยดี • นกั เรยี นคิดวาการพดู แสดง ๒ การพดู แสดงทรรศนะ ทรรศนะสามารถใชพูดใน โอกาสใดไดบ าง การพดู แสดงทรรศนะในสงั คมประชาธปิ ไตยของบคุ คลเกยี่ วกบั เรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ยอ่ มเปน็ (แนวตอบ การพดู แสดงทรรศนะ ไปตามปกติที่ควรกระท�า ถ้าทรรศนะน้ันแสดงออกด้วยความจริงใจและบริสุทธ์ิใจ เป็นประโยชน์ สามารถใชไ ดต ลอดเวลาเมอ่ื ในทางสร้างสรรค์และมีเจตนาท่ีดี ทรรศนะต่างๆ ถึงแม้จะแตกต่างกันล้วนนับว่าเป็นประโยชน์ ตองการแสดงความคิดเหน็ ท้ังส้ิน เพราะจะท�าให้ผู้อ่ืนได้มีโอกาสใช้ความคิดพิจารณาเลือกวิธีการแก้ปัญหาได้หลายแง่มุม โดยเฉพาะเมื่อตองการแสดง ดว้ ยความสขุ มุ รอบคอบ ปอ้ งกนั ความเสยี่ ง การแสดงทรรศนะของบคุ คลแตกตา่ งกนั มไิ ดห้ มายถงึ ทรรศนะในที่ประชมุ ตา งๆ) การแตกความสามัคคีในสังคม สํารวจคน หา ๒.๑ ความหมายและความสา� คญั ของการพดู แสดงทรรศนะ นกั เรยี นสบื คนในประเด็น ทรรศนะ ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถงึ ความหมาย ความสาํ คญั และประเภท ความเห็น การเห็น เครื่องรู้เห็น สิ่งท่ีเห็น การแสดง อาจเขียนว่า ทัศนะ ก็ได้ ตามที่ใช้กัน ของการพดู แสดงทรรศนะ โดย โดยทัว่ ไป ทรรศนะ หมายถงึ ความคดิ เห็นทป่ี ระกอบดว้ ยเหตุผล นักเรยี นอาจสบื คน จากหนงั สอื เรียน หนา 146-147 หรือจากแหลง เรยี นรู ๒.๒ ประเภทของการพดู แสดงทรรศนะ ประเภทอืน่ ๆ ทส่ี ามารถเขา ถงึ ได สรปุ ความรทู ี่ไดจ ากการสืบคน ดว ย ทรรศนะมหี ลากหลาย ซึง่ พอจะจ�าแนกทรรศนะท่ีคนในสังคมแสดงกันอย่เู ป็นปกติทว่ั ไป ตนเองลงสมุด แบง่ ได้เปน็ ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) ทรรศนะเชงิ ขอ้ เทจ็ จรงิ โดยมากจะเป็นทรรศนะทก่ี ลา่ วถงึ เรอ่ื งท่ีเกิดขึ้นไปแลว้ NET ขอ สอบ ป 51 แต่เป็นเรื่องท่ียังมีคนถกเถียงกันอยู่ การแสดงทรรศนะเชิงข้อเท็จจริงเป็นเพียงการสันนิษฐานจะ น่าเชื่อถือมากนอ้ ยเพยี งใด ขอ้ เท็จจริงทถ่ี กู ต้องเป็นอยา่ งไรน้นั ข้ึนอย่กู ับเหตผุ ลท่ผี แู้ สดงทรรศนะ ขอ สอบถามวา ขอความตอ ไปนี้ น�ามาสนับสนุน แสดงทรรศนะประเภทใด ๒) ทรรศนะเชงิ คณุ คา่ เป็นทรรศนะท่ีเกิดจากการประเมิน อาจเป็นวัตถุ บุคคล กิจกรรม โครงการ วิธีการหรือทรรศนะ ผู้แสดงทรรศนะว่าส่ิงใดดีหรือไม่ดีอย่างไร มีประโยชน์ “การรณรงคเรอื่ งโรคไขเ ลือดออก หรือโทษ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อาจจะประเมินโดยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นประเภท จําเปนตอ งอาศยั ความรวมมอื รวมใจ เดยี วกนั หรอื มลี ักษณะคล้ายกันตามเกณฑ์ท่ีกา� หนด หรอื ประเมินโดยล�าพงั ของส่ิงน้ันก็ได้ ของชมุ ชนจึงจะกําจัดยุงไดหมด ๓) ทรรศนะเชงิ นโยบาย เป็นทรรศนะท่ีบ่งบอกว่าในอนาคตควรท�าอะไร อย่างไร ฝนที่ตกท้ิงชว งเปนระยะๆ ทําให หรือควรจะปรับปรุงแก้ไขสิ่งใด นโยบายมีหลายระดับตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ ชาวบา นดแู ลแหลง นํา้ ขงั ไมท่วั ถึง สถาบันและประเทศชาติ ทรรศนะประเภทนี้มักจะต้องบอกให้แน่ชัดว่า ส่ิงท่ีเสนอให้ท�านั้นมี เพราะฉะน้นั จึงตอ งผนกึ กําลงั กนั ท้ังหมูบาน กาํ จัดดแู ลแหลงนํา้ ขัง 146 อยา งพรอมเพรียงและตอ เนื่อง” 1. เชิงขอเท็จจรงิ 2. เชงิ นโยบาย 3. เชิงขอเทจ็ จรงิ และนโยบาย 4. เชงิ ขอเทจ็ จรงิ และคุณคา (วเิ คราะหค ําตอบ จากขอ ความมี การนําเสนอเชงิ ขอ เทจ็ จรงิ และ นโยบายหรอื การเสนอแนะใหทาํ ดังน้ันจงึ ตอบ ขอ 3.) 146 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ข้ันตอนอย่างไร มีเป้าหมายเป็นประโยชน์อย่างไรและถ้ามีอุปสรรคจะแก้ไขได้อย่างไร บางคร้ัง สํารวจคน หา อาจมีวิธปี ฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอน ครทู าํ สลากจาํ นวน 3 ใบ เขยี น ๒.๓ องคป์ ระกอบของการพูดแสดงทรรศนะ หมายเลข 1-3 จากนนั้ แบงนักเรยี น เปน 3 กลุม ในจาํ นวนทเ่ี ทา ๆ กนั การพูดแสดงทรรศนะประกอบด้วยองค์ประกอบทีส่ �าคัญ ดงั นี้ หรอื ตามความเหมาะสม ใหแตล ะ ๑) โครงสรา้ งของการแสดงทรรศนะ ประกอบด้วยสว่ นส�าคัญ ๓ สว่ น คือ กลมุ สงตวั แทนออกมาจับสลาก ๑.๑) ที่มา คือส่วนท่ีเป็นเรื่องราวท�าให้เกิดการแสดงทรรศนะและมีความจ�าเป็นที่ ประเด็นสาํ หรับการสืบคนความรู จะต้องแสดงทรรศนะ ดังน้ี ๑.๒) ข้อสนับสนนุ คอื หลกั การขอ้ เทจ็ จรงิ รวมทงั้ ทรรศนะของบคุ คลอื่นท่ผี ูแ้ สดง ทรรศนะนา� มาใชป้ ระกอบให้เปน็ เหตุผลสนับสนุน หมายเลข 1 องคประกอบของ ๑.๓) ข้อสรปุ คอื สารที่ส�าคญั ของการแสดงทรรศนะ เปน็ ข้อวินจิ ฉัย ข้อสันนษิ ฐาน การพดู แสดงทรรศนะ ข้อเสนอแนะหรือการประเมินที่น�าเสนอเพ่ือใช้เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่ดี หมายเลข 2 ความแตกตาง ๒) ภาษาทใี่ ชใ้ นการแสดงทรรศนะ ควรใชถ้ อ้ ยค�ากะทัดรดั มคี วามหมายแจ่มชดั ระหวา งทรรศนะ เรยี งล�าดับเนอื้ ความไมส่ ับสน วกวน ถกู ต้องตามระดบั ของการสื่อสาร ดังน้ี ของบคุ คล ๑. ใช้ค�าหรือกลุ่มค�าที่แสดงว่าเป็นเจ้าของทรรศนะ อาจเป็นค�านาม สรรพนาม หมายเลข 3 มารยาทในการพดู ประกอบกับคา� กริยาท่รี ะบุชัดว่าเปน็ ข้อสรุปของการแสดงทรรศนะ ดงั ตัวอย่าง แสดงทรรศนะ - ทป่ี ระชมุ มีมตวิ ่า ให้ระงบั การพานกั เรยี นไปทศั นศกึ ษาตา่ งจังหวดั โดยครใู หเวลาสาํ หรับนักเรยี นใน - ดฉิ นั เห็นวา่ โรงเรยี นควรมโี ครงการเรยี นร่วมในโรงเรยี นท่ัวไป การสบื คน รว มกนั เปนเวลา 15 นาที ๒. ใชค้ า� หรือกลุม่ คา� กริยาชว่ ยในข้อสรปุ เพือ่ ให้เหน็ วา่ เปน็ การแสดงทรรศนะ เชน่ อธิบายความรู นา่ นา่ จะ คง ควรจะต้อง ดงั ตวั อย่าง นกั เรียนกลุมทจี่ บั สลากได - โรงเรยี นควรจะตอ้ งค�านงึ ถึงสขุ ภาพของนักเรยี นเปน็ อนั ดบั แรก หมายเลข 1 สง ตวั แทนออกมา - คณะนกั เรยี นคงเขา้ ใจผดิ เกย่ี วกบั การจดั ปจั ฉมิ นเิ ทศคณะกรรมการเครอื ขา่ ยผปู้ กครอง อธบิ ายความรเู ก่ยี วกับองคป ระกอบ ของการพูดแสดงทรรศนะ ความยาว ๓. ใช้ค�าหรือกลุ่มค�าที่สื่อความหมายไปในทางแสดงทรรศนะ อาจเป็นการแสดง ไมเ กิน 5 นาที นกั เรียนในหอ งบนั ทกึ ความเชอื่ ม่นั คาดคะเน ดงั ตัวอยา่ ง ความรทู ่ีไดร ับจากการฟงลงสมุด - นกั เรียนของเรามีทางชนะการแขง่ ขันอยา่ งไม่ต้องสงสยั เกรด็ แนะครู - เป็นไปไมไ่ ดท้ จี่ ะประสบโชคสองคร้ังสองครา ครูผูสอนอาจยกตัวอยา งประโยค 147 ที่ปรากฏการใชกลุม คาํ เพอื่ บงชีว้ า เปน การแสดงความคิดเหน็ ให NET ขอสอบ ป 49 นกั เรยี นฟง เชน “โรงเรียนควรจะ ตอ งคํานึงถึงความปลอดภยั ” “คณะ ขอสอบถามวา ขอใดใชภ าษาแสดงทรรศนะ กรรมการนาจะทบทวนนโยบายใหม” 1. พวกเราทุกคนขอแสดงความคดิ เห็น... 2. พวกเราทกุ คนขอยืนยนั วา ... จากน้ันชีใ้ หนกั เรยี นเหน็ ขอสังเกต 3. พวกเราทกุ คนตอ งการให. .. 4. พวกเราทุกคนเหน็ วา ควร... วาประโยคท่คี รูยกตัวอยางนนั้ หาก (วเิ คราะหคาํ ตอบ คาํ ท่เี ปนภาษาแสดงทรรศนะคือ “เหน็ ” “ควร” ดังนนั้ จงึ ตอบ ขอ 4.) ไมปรากฏการใชกลมุ คําแสดงความ คิดเหน็ ประโยคน้ันๆ จะไมเปน การ แสดงความคดิ เห็น แตเ ปนประโยค บอกใหท ราบถงึ ขอ เทจ็ จรงิ บางประการ เชน “โรงเรยี นคาํ นงึ ถงึ ความปลอดภยั ” เปน ตน คูมือครู 147

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%) นกั เรยี นในกลมุ ทีจ่ ับสลากได การแสดงทรรศนะมีความส�าคัญในสังคมประชาธิปไตย เพราะว่าทรรศนะที่ดีก่อให้เกิด หมายเลข 2 และ 3 สง ตัวแทน ประโยชนแ์ ละมีคณุ ค่าในทางสร้างสรรค์ ออกมาอธิบายความรูในประเด็น ทีก่ ลุมของตนเองไดร บั มอบหมาย ๒.๔ ความแตกตา่ งระหว่างทรรศนะของบุคคล กลุม ละไมเกิน 5 นาที นกั เรยี น คนอ่ืนๆ บนั ทึกความรูที่ไดรบั จาก การทบ่ี คุ คลมที รรศนะแตกตา่ งกนั เปน็ เรอ่ื งธรรมดา ทรรศนะทต่ี า่ งกนั อาจปรบั เขา้ หากนั การฟงลงสมดุ จากน้นั ครตู ้งั คาํ ถาม หรือเปล่ียนแปลงได้และสามารถนา� ความแตกต่างมาใชป้ ระโยชน์ ความหลากหลายของการแสดง กับนักเรยี นวา ทรรศนะมาจากเหตุส�าคัญ ๓ ประการ คอื • การพูดแสดงทรรศนะท่ีดีควร ๑. ความรู้และประสบการณ์ บุคคลท่ีมีความรู้แตกต่างกัน การแสดงทรรศนะในเร่ือง เปนอยา งไร เดยี วกนั ยอ่ มไดข้ อ้ สรปุ ทแี่ ตกตา่ งเชน่ เดยี วกนั แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม มนษุ ยส์ ามารถพฒั นาความรขู้ อง (แนวตอบ การพูดแสดงทรรศนะ ตนเองใหม้ ากข้ึนไดจ้ ากการเรยี นรู้ ทด่ี ี ตอ งมเี หตผุ ลประกอบท่ี นา เชื่อถือ คอื มีขอ สนับสนนุ ๒. ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละความเชอ่ื บคุ คลทม่ี คี วามเชอ่ื ทแ่ี ตกตา่ งกนั จะมที รรศนะ ความคิดเห็นของผพู ดู แลวจงึ ท่แี ตกตา่ งกนั ไปดว้ ย สรปุ ขอ สนบั สนนุ กบั ความคดิ เหน็ ทกี่ ลนั่ กรองจากเหตุผลและ ๓. ค่านิยม หมายถึง ความรู้สึกที่มีอยู่ภายในจิตใจของบุคคลแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม ประสบการณค วามร)ู การกระท�าอย่างใดอย่างหน่ึงมีคุณค่าและมีความส�าคัญต่อบุคคลแต่ละกลุ่มที่อยู่รวมกัน เช่น ค่านิยมเร่อื งความกตัญญู บคุ คลทีม่ ีความเช่ือแตกตา่ งกันจะมีทรรศนะแตกตา่ งกนั • ยกตัวอยา งลักษณะของผพู ูด แสดงทรรศนะที่ดี ๒.๕ มารยาทในการพดู แสดงทรรศนะ (แนวตอบ ตองมคี วามรู ประสบการณหรอื ความ ๑. เลอื กแสดงทรรศนะในเรอ่ื งทเ่ี ปน็ ประโยชน์ สรา้ งสรรค์ นา่ สนใจและเหมาะสมกบั ผฟู้ งั เชี่ยวชาญในดานน้ันๆ มเี หตุผล และดู เปนตน ) ๒. มีความรูแ้ จ้ง รอบรู้ ในเรื่องทจ่ี ะแสดงทรรศนะเปน็ อย่างดี เพื่อใหก้ ารแสดงทรรศนะ ขยายความเขา ใจ ในแต่ละคร้ังเกิดประโยชน์สงู สดุ แก่สงั คม ครูจัดกิจกรรมขน้ึ ภายในชั้นเรยี น ๓. เรียบเรียงความคิดใหเ้ ปน็ ระบบ เชื่อมโยงตอ่ เนื่องสมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีเอกภาพ โดยใหนกั เรียนเสนอหวั ขอ ท่สี นใจ ๔. พูดใหเ้ หมาะสมกับเวลาทีก่ า� หนดและเปดิ โอกาสใหผ้ ้อู ื่นได้แสดงทรรศนะ เพ่อื ใหเ้ กดิ สาํ หรับใชแ สดงทรรศนะรว มกัน ผลประโยชน์ที่ดรี ่วมกนั นกั เรยี นแตล ะคนออกมาแสดงทรรศนะ ๕. มศี ลิ ปะในการเรยี บเรยี งถอ้ ยคา� ทใ่ี ชใ้ นการแสดงทรรศนะเพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจในทรรศนะ ของตนหนา ชัน้ เรียน ภายในเวลา ท่ีแสดงออกไป 5 นาที ๖. เลอื กใชภ้ าษาที่สุภาพ ไมก่ ่อให้เกิดความรสู้ ึกทไ่ี มด่ ีต่อกนั ของผู้แสดงทรรศนะ ๗. มีความสามารถในการใช้เหตุผล เพื่อท�าให้การแสดงทรรศนะมีความน่าเช่ือถือ ๘. มคี ณุ ธรรมและมีความมน่ั คงทางจติ ใจ ไมแ่ สดงอารมณโ์ กรธ เมือ่ มีผู้ไม่เหน็ ดว้ ยกบั การแสดงทรรศนะของตนเอง ตรวจสอบผล 148 ครูตรวจสอบความรู ความเขาใจ หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู เกยี่ วกบั การแสดงทรรศนะ การแสดง เหตผุ ลสนบั สนนุ ความคดิ เห็นของ บทพดู แสดงทรรศนะของนักเรยี นในหัวขอ นกั เรยี น รวมถึงการใชภาษาจาก ทีก่ ําหนดรวมกนั ความยาวไมเ กนิ 5 นาที การพดู แสดงทรรศนะหนาชน้ั เรียน 148 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ ๓ การโตแ้ ยง้ ครูชวนนกั เรียนสนทนาเกีย่ วกบั ความหมายของการโตแยง ท่ีถูกตอง จากนั้นตั้งคําถามกบั นกั เรยี นวา • นักเรยี นคดิ วา นกั เรียนสามารถ มนุษย์ไม่จ�าเป็นต้องมีความคิดเห็นหรือความพอใจในส่ิงใดส่ิงหน่ึงเหมือนกัน ความ พบการพูดโตแยงไดจากที่ใด แตกต่างกันทางความคิดเป็นเร่ืองธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกสังคม การแสดงความคิดเห็น ไดบ า ง และเพราะอะไร เกย่ี วกบั เศรษฐกจิ การเมอื ง วฒั นธรรม บคุ คลยอ่ มแสดงทรรศนะทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปตามประสบการณ์ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ความรู้ ค่านิยม ความเช่ือ บางคนอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการแสดง ไดอ ยา งหลากหลาย เพราะ ทรรศนะที่ไม่ตรงกันหรือไม่คล้อยตามกันจะก่อให้เกิดการโต้แย้ง ซ่ึงการโต้แย้งไม่ใช่การทะเลาะ เปน การแสดงความคิดเหน็ หรือการแตกความสามัคคี การโต้แย้งท่ีดีจะต้องเป็นการแสดงความคิดเห็นร่วมกันเพื่อหาทาง อยา งอิสระ) แกไ้ ขเร่อื งใดเรอ่ื งหนึ่ง ๓.๑ ความหมายและความส�าคัญของการโตแ้ ย้ง สํารวจคนหา การโตแ้ ยง้ คอื การแสดงทรรศนะแยง้ กนั ระหวา่ งบคุ คล ๒ ฝา่ ย โดยแตล่ ะฝา่ ยจะใชข้ อ้ มลู สถิติ หลกั ฐาน เหตผุ ล เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตน คัดคา้ นทรรศนะของอกี ฝา่ ยหนง่ึ หัวขอ้ หรือ นกั เรียนจบั คกู บั เพ่ือนรวมกนั เน้ือหาสาระในการโต้แย้งแต่ละคร้ังจะต้องกา� หนดว่าจะโต้แย้งในเร่ืองใด มีประเด็นอะไรบ้างท่ีจะ สบื คนความรใู นประเดน็ ความหมาย ต้องน�ามาพจิ ารณา และจดุ มุงหมายของการโตแ ยง โดยนักเรียนอาจสืบคนจาก การโตแ้ ย้งยตุ ิลงดว้ ยการตดั สิน การโตแ้ ยง้ มไี ด้ในทุกระดับ ตงั้ แตร่ ะดบั ครอบครัว ชุมชน หนงั สอื เรียนหรอื แหลงเรียนรู สงั คมและระดบั โลก ประเภทอืน่ ๆ ท่ีสนใจและสามารถ เขาถึงได บันทึกความรูทไ่ี ดรับจาก ๓.๒ จดุ มุ่งหมายของการโต้แยง้ การคนควาดวยตนเอง ลงสมดุ การโต้แย้งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วยกับความคิดของตน ผู้โต้แย้งจึงต้องเสนอ ความคดิ เหน็ ทเ่ี ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ชดั เจน ตรงประเดน็ มเี หตผุ ลและหลกั ฐานประกอบเพอื่ ใหน้ า่ เชอ่ื ถอื ไม่ควรใช้ความรสู้ กึ ส่วนตัวเสนอความคิดจะท�าให้เป็นการโต้เถยี งและไม่เกดิ ประโยชน์ ๓.๓ คณุ สมบตั ขิ องผ้โู ตแ้ ยง้ NET ขอ สอบ ป 53 คณุ สมบัตทิ สี่ �าคญั ของผู้พูดโต้แย้ง มดี ังน้ี ๑. มีความรู้ ความเขา้ ใจหัวข้อที่จะนา� มาโต้แยง้ เป็นอยา่ งดี ขอ สอบถามวา ขอใดเปนประเด็น ๒. มีความสามารถในการเรียบเรยี งหัวข้อท่ีจะโตแ้ ยง้ ไมท่ �าใหผ้ ฟู้ ังสับสน โตแ ยง ของขอความตอ ไปน้ี ๓. มคี วามสามารถในการน�าเสนอ “มีขอ เสนอใหรฐั สภาพจิ ารณาแยก ๔. มีความสามารถในการสรปุ ไดอ้ ย่างคมคายและน่าเช่ือถอื พ้ืนที่ 3 อําเภอของจังหวดั เชยี งใหม ๓.๔ องคป์ ระกอบของการโตแ้ ยง้ คือ ฝาง แมอ าย ไชยปราการ ตัง้ เปน จังหวัดใหมมเี กณฑทีต่ อ งพิจารณา การโตแ้ ยง้ มีองค์ประกอบทีส่ า� คญั ๒ สว่ น คอื หลายอยาง อาทิ ควรมพี ืน้ ท่ีไมนอ ย ๑. เหตผุ ล คอื หลักการ ข้อเทจ็ จรงิ ทปี่ รากฏ ซ่ึงผแู้ สดงทรรศนะยกขึ้นมาเพอ่ื ช้แี จง กวา 5,000 ตร.กม. ประชากรไมน อ ย กวา 600,000 คน ซึง่ อําเภอทัง้ 3 149 ขา งตน มีพนื้ ทรี่ วมกันทง้ั ส้นิ 2,315 ตร.กม. และมปี ระชากรรวม 249,096 คน” 1. จังหวัดใหมค วรชอื่ “จังหวัด ฝาง” หรือไม 2. เกณฑก ารตงั้ จงั หวัดใหมเหมาะสมหรอื ไม 3. พน้ื ที่ 3 อาํ เภอ ควรแยกมาต้ังเปนจงั หวดั หรอื ไม 4. รัฐสภามีอํานาจในการตง้ั จังหวดั ใหมหรอื ไม (วเิ คราะหคําตอบ ในขอความท่ยี กมาเสนอใหพ นื้ ท่ที ง้ั 3 อาํ เภอ ต้ังเปน จังหวดั ใหม ผูส ง สารโตแยงโดยยกเหตุผลเกีย่ วกบั เกณฑก ารพิจารณา จัดตัง้ จังหวัดใหมเพ่ือแสดงใหเหน็ ขอเทจ็ จรงิ วาอาํ เภอทัง้ 3 อาํ เภอ ยังไมครบตามเกณฑของการจัดต้งั ดงั นั้นจึง ตอบ ขอ 3.) 149คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคนหา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%) ครแู บง นักเรียนเปน 5 กลุม ใน ๒. ขอ้ สรปุ (ทรรศนะ) เปน็ สว่ นสา� คญั ทแ่ี สดงทรรศนะ อาจเปน็ ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ สนั นษิ ฐาน จํานวนเทาๆ กนั หรือตามความ หรอื ประเมนิ ค่านา� มาเสนอใหผ้ ู้อ่ืนพิจารณายอมรับหรอื นา� ไปใช้ เหมาะสม จากน้นั ใหแ ตล ะกลมุ สง ตัวแทนออกมาจบั สลากประเด็น ทรรศนะที่ ๑ สาํ หรับการสืบคนรวมกนั ดังน้ี สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย เปิดกว้างทางความคิดและการแสดงออกอย่างเสรี หมายเลข 1 คณุ สมบตั ขิ องผโู ตแ ยง จงึ ทา� ใหว้ ฒั นธรรมของโลกตะวนั ตกหลงั่ ไหลมาอยา่ งไมข่ าดสาย มผี ลทา� ใหว้ ฒั นธรรมไทยถกู หลงลมื หมายเลข 2 องคประกอบของการ ไป (เหตุผล) โตแยง ดงั น้นั หน่วยงานทง้ั ภาครฐั และเอกชนจึงควรทมุ่ งบประมาณสนบั สนนุ การจดั โครงการ หมายเลข 3 กระบวนการโตแ ยง เพ่ือรณรงคใ์ หเ้ ยาวชนไทยหนั มาใส่ใจในวัฒนธรรมไทยมากขึน้ (ขอ้ สรุปและข้อเสนอทรรศนะ) หมายเลข 4 ประเด็นในการโตแยง หมายเลข 5 มารยาทในการโตแ ยง อธบิ ายความรู ทรรศนะที่ ๒ สังคมไทยเปิดกว้างและวัฒนธรรมของโลกตะวันตกหล่ังไหลเข้ามานั้น มีผลดีต่อการ นักเรยี นในกลมุ ทจี่ ับสลากได หมายเลข 1-3 สงตัวแทนออกมา ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการลงทุน การที่วัยรุ่นไทยใส่ใจต่อวัฒนธรรมไทยน้อยลง อาจมาจาก อธิบายความรใู นหัวขอท่กี ลุมของ สาเหตอุ ่นื ทอ่ี าจไมใ่ ช่การเปดิ กว้างของสังคม (เหตุผล) ตนเองไดรบั มอบหมาย นกั เรียน ในกลุมอน่ื ๆ บันทึกความรูที่ไดร บั ฉะน้ัน เราอาจจะสิ้นเปลืองงบประมาณไปโดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการ จากการฟงลงสมดุ ถดถอยทางวัฒนธรรม งบประมาณส�าหรับการจัดโครงการ ควรน�ามาใช้เพ่ือการวิจัยส�ารวจค้นหา สาเหตุท่ีแทจ้ รงิ เพื่อจะได้แกไ้ ขปัญหาได้ตรงจดุ (ขอ้ สรปุ หรอื ข้อโตแ้ ย้งทรรศนะท่ี ๑) เกร็ดแนะครู หากการโต้แย้งยังดา� เนนิ ตอ่ ไป เจ้าของทรรศนะที่ ๑ จะตอ้ งพิสูจนใ์ ห้ไดว้ า่ เป็นจรงิ และ ครคู วรชแี้ นะแกน กั เรยี นวา สงิ่ สาํ คญั ถา้ พสิ จู น์ได้ส�าเร็จจนเปน็ ท่ียอมรับแก่ผู้โตแ้ ยง้ หรอื ผตู้ ัดสนิ ทรรศนะท่ี ๑ กจ็ ะไดร้ บั การยอมรบั ทีส่ ุดในการโตแ ยงตองควบคุม อารมณข องตนเอง ไมควรแสดงออก ๓.๕ กระบวนการโต้แย้ง ทางภาษากายหรือสหี นา การโตแ ยง ทีด่ คี อื การโตแ ยง ดว ยเหตุผลเพอ่ื ผู้โต้แย้งต้องมีพื้นฐานความรู้เก่ียวกับกระบวนการโต้แย้งและมีความรู้เก่ียวกับหัวข้อท่ี หาทางแกไ ขปญหาตา งๆ ท่ีเกดิ ขนึ้ น�ามาโตแ้ ย้งน�าเสนอใหผ้ ้อู ื่นเขา้ ใจได้อยา่ งชัดเจน ภายในกลุม องคก รหรอื สังคม ไมใช การเอาชนะฝายใดฝา ยหน่งึ กระบวนการโต้แย้งแบ่งได้เปน็ ๔ ข้นั ตอน ดงั นี้ ๑. ประเด็นในการโต้แย้ง ๒. การนิยามค�าหรอื กลุ่มค�าส�าคญั ในประเดน็ ของการโต้แยง้ ๓. การค้นหาและเรียบเรียงขอ้ สนบั สนุนทรรศนะของผโู้ ตแ้ ยง้ ๔. การช้ีให้เหน็ จดุ อ่อนและความผดิ พลาดของทรรศนะของฝา่ ยตรงขา้ ม 150 NET ขอสอบ ป 50 ขอสอบถามวา ขอ ใดมกี ารแสดงเหตุผล 1. บา นเมืองสะอาด ประชาชาติปลอดโรค 2. เติมนํ้ามนั ทไี ร ขับไปไดหนอ ยเดยี ว 3. ภมู ิปญญาไทย ขอจงรว มใจสง เสริม 4. รกั ชาติ ศาสน กษัตริย เปนคุณสมบัตขิ องคนไทย (วเิ คราะหค ําตอบ การแสดงเหตุผลจะตอ งมีทั้งขอ สรุปและขอ สนับสนุน ดงั นน้ั จงึ ตอบ ขอ 1.) 150 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู ๓.๖ ประเด็นในการโต้แยง้ นักเรียนในกลมุ ท่จี ับสลากได หมายเลข 4 และ 5 สงตัวแทน ประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง เรื่องที่ก่อให้เกิดการพูดโต้แย้งกัน โดยท้ังสองฝ่ายจะ ออกมาอธบิ ายความรูใ นหวั ขอทก่ี ลุม เสนอไปตามทรรศนะของตน ในการโต้แย้งจะมีท้ังประเด็นหลักและประเด็นรอง ประเด็นเป็น ของตนเองไดร บั มอบหมาย นกั เรียน จุดสา� คัญในการโต้แยง้ ผ้โู ต้แย้งต้องร้จู ักวธิ กี ารตั้งประเด็น อาจแบ่งได้เปน็ ๓ ประเภท ดังนี้ ในกลุมอื่นๆ บันทกึ ความรทู ไ่ี ดร บั ๑) ขอ้ โตแ้ ยง้ เชงิ นโยบาย ข้อโตแ้ ยง้ ลักษณะนม้ี ีความแตกต่างจาก ๒ ประเภท คอื จากการฟง ลงสมุด จากน้นั ครู จะมงุ่ หาทางเลอื กในการปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหเ้ กดิ ความสา� เรจ็ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง ขอ้ โตแ้ ยง้ เชงิ นโยบาย ต้ังคาํ ถามกับนกั เรียนวา มุ่งให้เกดิ การกระท�าใหม่ เปล่ยี นแปลงวธิ ีการปฏบิ ตั ิที่จะทา� ใหด้ ีกว่าที่เคยเปน็ อยู่ เชน่ • ลักษณะเดน ของการโตแยง “ขณะนี้โรงเรียนของเราก�าลังปรับปรุงบริเวณท่ีเคยปลูกต้นกระถินณรงค์ไว้ โดยตัด เปนอยา งไร ออกท้ังหมดและถมที่ใหม่ ท้ังน้ีทางฝ่ายอาคารสถานที่มีนโยบายท่ีจะปลูกต้นไม้โตเร็วและให้ร่มเงา (แนวตอบ การโตแ ยงมลี ักษณะ ได้ดี เชน่ ก้ามปู หูกวาง เปน็ ต้น เดน คือ การพดู เพ่ือตองการ หกั ลา งอีกฝายหนึ่งดว ยขอมลู ขา้ พเจา้ เหน็ วา่ ตน้ ไมจ้ า� พวกนมี้ ปี ระโยชนก์ เ็ ฉพาะแตใ่ หร้ ม่ เงาเทา่ นนั้ ยงั มตี น้ ไมช้ นดิ อนื่ ๆ และเหตุผลทน่ี าเชอื่ ถือ ซง่ึ ผูพ ูด ทีใ่ หท้ ัง้ ร่มเงาและใหป้ ระโยชนท์ างอื่นอกี ดว้ ย เช่น มะมว่ ง ขนุน กระทอ้ น ชมพู่ เป็นต้น แม้จะเตบิ โต ตอ งใชภ าษาสุภาพ หนักแนน ช้ากวา่ บา้ งเพียง ๒-๓ ปี ก็คงจะไมน่ านเกนิ ไปนัก แตป่ ระโยชนส์ า� คญั ระยะยาวที่ได้รับก็คอื รายได้ ไมใ ชอ ารมณ) จากผลไม้ในปหี นงึ่ ๆ รวมกันแลว้ คงจะเปน็ จา� นวนไมใ่ ช่นอ้ ย อาจน�ามาใช้เปน็ เงนิ สวัสดิการส�าหรับ โรงเรียนได้ จากสถิตทิ ี่ผู้รู้ประมาณไว้ ปรากฏวา่ มะม่วงในพืน้ ท่ี ๑ ไร่ หากปลูกโดยคัดเลอื กพันธ์ุ • คุณสมบัตขิ องผูโตแ ยงทดี่ ีควร ทีเ่ หมาะสมและบ�ารุงรกั ษาใหถ้ กู หลกั วชิ าแลว้ ยังทา� รายไดถ้ ึงปลี ะประมาณ ๕,๐๐๐ บาท เปน อยางไร (แนวตอบ มคี วามรู ความสามารถ ข้าพเจา้ จงึ ขอเสนอวา่ โรงเรียนน่าจะทบทวนนโยบายท่ีจะปลกู ต้นไมเ้ พยี งเพือ่ เอาร่มเงา ประสบการณ หรือเชีย่ วชาญใน แต่อยา่ งเดยี วเสีย ควรพิจารณาปลูกไม้ผลตามทีไ่ ดเ้ สนอแนะน่าจะเปน็ การสมควรกวา่ ” ดานนนั้ ๆ เปน อยางดี สามารถ นาํ เหตผุ ล ขอมูล หลกั ฐานทด่ี ี ๒) ขอ้ โตแ้ ยง้ เชงิ ขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ ขอ้ โตแ้ ยง้ ทยี่ กประเดน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทที่ กุ คนรบั ทราบ นา เช่อื ถอื มาใชอางอิงประกอบ กันดีมาเป็นประเด็นส�าหรับการโต้แย้ง เพ่ือเสนอทางเลือกทั้งในแง่ความคิดและการกระท�าให้แก่ การพดู ได ใชภาษาพดู คมคาย ผฟู้ งั เชน่ นา ฟง นาํ เสนอประเดน็ โตแ ยง ไดไ มวกวน โนมนาวผูฟ ง ได ทรรศนะที่ ๑ ตอ งไมใชอารมณในการพูด “ดว้ ยปรากฏวา่ ในชว่ งสอง สามสปั ดาหท์ ผ่ี า่ นมา ไดม้ มี จิ ฉาชพี ลอบเขา้ มาในบรเิ วณหมบู่ า้ น และยอมรบั ฟง ความคิดเห็นของ ผอู น่ื ) ในยามวิกาลและโจรกรรมทรัพย์สินมีค่าหลายรายการไปจากบ้านของคุณสมศักด์ิและคุณรุ่งนภา การทเี่ หตกุ ารณเ์ ชน่ นเ้ี กดิ ขน้ึ ยอ่ มแสดงใหเ้ หน็ วา่ คณะกรรมการหมบู่ า้ นไมไ่ ดม้ มี าตรการทจี่ ะปอ้ งกนั NET ขอ สอบ ป 51 หรือเข้มงวดกับยามรักษาการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวังเป็นพิเศษ โดย ขอ สอบถามวา ขอ ใดมวี ธิ แี สดง ข้อเท็จจริงทุกคร้ังที่ทรัพย์สินของผู้อาศัยในหมู่บ้านสูญหายไป กรรมการหมู่บ้านกลับเพิกเฉยต่อ เหตุผลตา งกับขอ อน่ื คา� รอ้ งเรยี น และปลอ่ ยใหเ้ หตกุ ารณแ์ บบเดยี วกนั นเี้ กดิ ขนึ้ กบั บา้ นของคณุ รงุ่ นภา เมอื่ พจิ ารณาอยา่ ง 1. สุวทิ ยส นใจรายละเอียดทุกเรื่อง 151 ที่เรยี น เขาอยากรเู นื้อหาวชิ า 2. สุพลอยากไดค ะแนนดี เขาหมน่ั ทําแบบฝกหดั สง ครูทุกวัน 3. สุรชั นงั่ อา นหนังสอื ในหองสมดุ จนคาํ่ บา นเขาไมม หี องสว นตัว 4. สพุ จนม กั คิดเร่อื งอ่ืนๆ ทกุ คร้งั ท่อี า นตํารา เขาเปน คนไมมีสมาธิ (วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1., 3. และ 4. มีวธิ กี ารแสดงเหตุผลเหมือนกนั คอื การเชือ่ มโยง จากผลไปหาเหตุ ซึ่งอาจใชคําวา “เพราะ” เชอ่ื มประโยคได สวนขอ 2. มวี ธิ ีการแสดง เหตุผลจากเหตุไปหาผล ซง่ึ อาจใชค ําวา “จึง” เชอ่ื มประโยค ดงั นัน้ จงึ ตอบ ขอ 2.) คูมอื ครู 151

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%) ครสู มุ เรียกชื่อนกั เรยี นเพื่ออธิบาย ละเอียดแล้วยังพบอกี ว่า ระบบสาธารณปู โภคของหมบู่ า้ นก็มคี วามบกพรอ่ ง แสงสว่างมไี ม่เพยี งพอ ความรเู กีย่ วกับการโตแ ยง จาก ซึ่งอาจเปน็ อีกสาเหตุหน่ึงทท่ี �าให้มิจฉาชีพเข้ามาโจรกรรมไดอ้ ยา่ งสะดวก การตอบขอ ซักถามของครู ข้าพเจา้ จึงเหน็ วา่ การที่ทรัพย์สินของหม่บู ้านถูกโจรกรรมนนั้ เป็นเพราะคณะกรรมการ • มารยาทในการโตแยง คอื อะไร หมู่บ้านไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่และละเลยเร่ืองความปลอดภัยของหมู่บ้านมาเป็น เหมือนหรือแตกตา งกบั การพดู ระยะเวลานาน” ประเภทอน่ื ๆ อยา งไร (แนวตอบ มารยาทในการ ทรรศนะที่ ๒ โตแ ยงไมแ ตกตา งกบั การพูด “ปัญหาที่ทรัพย์สินของผู้อาศัยภายในหมู่บ้านถูกโจรกรรมไป ดังเช่นกรณีบ้านของ ประเภทอนื่ มากนกั แตป ระเด็น ในการโตแยง บางครั้งอาจเปน คุณสมศักดแิ์ ละคุณรุง่ นภา ข้าพเจา้ เหน็ ว่าเรานา่ จะพจิ ารณาถึงสาเหตุของปญั หาอย่างรอบดา้ นเพื่อ เรอ่ื งละเอียดออน ผูพูดจึงตอง ค้นหาต้นเหตุที่แท้จริง เราไม่น่าพิจารณาเพียงปลายเหตุ การไม่เข้มงวดของยามรักษาการณ์หรือ ใชเหตุผลมากกวา อารมณ ปัญหาแสงสวา่ งไม่เพยี งพอ ข้าพเจา้ เหน็ ว่าอาจไมใ่ ชต่ ้นเหตุแห่งปญั หา หากเรามองจากลักษณะทาง หลกี เลย่ี งการใชอารมณ กายภาพของหมู่บ้านจะพบว่า หมู่บ้านของเราต้ังอยู่บนพ้ืนท่ีเส่ียง มีมิจฉาชีพชุกชุม และห่างจาก อคติ ความรูสึกสว นตัว สถานีต�ารวจ ข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงน่าจะเป็นสาเหตุส�าคัญท่ีท�าให้มิจฉาชีพเข้ามาโจรกรรมทรัพย์สิน ซึ่งจะชกั นาํ ไปสูการโตเ ถยี ง ภายในหมู่บ้านไดถ้ ึงสองครง้ั ” โดยขาดเหตุผลได) NET ขอสอบ ป 51 ๓) ขอ้ โตแ้ ยง้ เชงิ คณุ คา่ เป็นข้อโต้แย้งท่ีต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น ความ เชอื่ ของผฟู้ งั มากกวา่ จะกลา่ วถงึ เรอ่ื งมาตรฐาน การตดั สนิ มาตรฐานของแนวคดิ หรอื สง่ิ ทนี่ า� เสนอ ขอ สอบถามวา จากขอ ความ มักจะมีคา� ทีช่ ใี้ หเ้ ห็น เช่น ดีกว่า ถกู ต้องกว่า เหมาะสมกว่า มปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ เป็นต้น เช่น ตอ ไปนี้ขอใดควรจะเปนคําโตแยง ท่มี ี น้ําหนักมากทส่ี ุดของฝายคัดคา น “ชักชวนหรือเห็นชอบให้ท�าร้ายตนเอง ความจริงเรื่องการพูดถึงภาพของเพลงหรือ “ผูน าํ ชุมชนแหงหนงึ่ ดํารจิ ะสราง สนามฝก กอลฟ ในที่วา งของชุมชน มิวสิควิดีโอเกี่ยวกับความรักแบบส้ินคิดท่ีเห็นกันบ่อยๆ ในจอทีวีนั้น ว่ากันมาเป็นช่วงๆ เป็นปีๆ เพื่อใหช าวชมุ ชนไดม ีโอกาสฝกเลน จนท้ังคนพูดและคนฟังอาจเบื่อไปข้างหนึ่ง แต่ความรักแบบสิ้นคิดน้ีก็ยังปรากฏให้เห็น เหมือนคน กอลฟ แตก ็มผี ูค ัดคา นหลายคน” คิดภาพหรือคนเขียนเพลงนึกอย่างอ่ืนที่สร้างสรรค์ไม่ออก นอกจากการท�าร้ายร่างกายตนเองของ 1. สนามฝก กอลฟก็เปนหนา ฝ่ายท่ีผิดหวัง ทั้งๆ ที่พ้ืนวิธีคิดพระพุทธศาสนาแท้ๆ บอกว่าการท�าลายชีวิตเป็นบาป แทนที่จะ เปน ตาของชมุ ชนดี แตจะ สรา้ งสรรคง์ านเพลงหรอื สรา้ งพลงั เพลงใหเ้ ปน็ ประโยชนก์ บั จนิ ตนาการของมนษุ ยห์ รอื อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ สน้ิ เปลืองเกนิ ไปนะ ก็สร้างความเพลิดเพลินกลับสร้างภาพที่ท�าร้ายคนฟัง คนดู แล้วจะเหลืออะไรในสังคมน้ีท่ีเรียกว่า เป็นแก่นสารให้คนอาศัยเป็นความคิดอ่าน ควรน่ังทบทวนตัวเองสักพักเถิด หรือไม่ก็หาหนังสือดีๆ 2. สนามฝก กอลฟก็มีอยหู ลายแหง มาอา่ น หาเพลงดๆี มาฟงั อะไรทดี่ ๆี นะ่ แลว้ คิดเปรยี บเทยี บกนั ดู วา่ ลงทนุ ลงแรงเหมอื นกนั ใชเ้ วลา ท่วั ไปหมด จะสรางอกี ทําไมกนั ไปเหมอื นกันแต่งานแตกตา่ งกนั อยา่ งไร เพราะงานท่ที า� ย่อมสะท้อนถึงสตปิ ัญญาของผทู้ �า” 3. สนามฝกกอลฟเปนเร่อื ง หนงั สือพมิ พม์ ติชน ฉบบั วนั ที ่ ๒๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ สน้ิ เปลือง สูทําอยางอ่ืนจะ คมุ คามากกวา 4. สนามฝกกอลฟ เปน ประโยชน 152 สาํ หรับบางคน ถาทาํ เปน สวนสุขภาพพวกเราจะไดใ ช รว มกันมากกวา (วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1., 2. และ 3. เปนคาํ โตแ ยง ในเชิงตําหนกิ อ ให เกดิ ความรูสกึ ทีไ่ มด ี และไมไดเ สนอแนะทางออกทีเ่ ปน ประโยชน สว นขอ 4. เปนคําโตแ ยงที่มีนาํ้ หนักของเหตุผลมากที่สุด เปนไปใน ทางบวกพรอ มกบั การเสนอแนะทางออกทดี่ ี ดงั นนั้ จงึ ตอบ ขอ 4.) 152 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ๓.๗ มารยาทในการพูดโตแ้ ยง้ ขยายความเขา ใจ ๑. ผู้โต้แย้งควรหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ การโต้แย้งจะต้องจบลงด้วยการแพ้และชนะ 1. นกั เรียนจับคูก ับเพื่อน เขยี น แต่การแพ้ในท่ีนี้ไม่ได้หมายถึงการพ่ายแพ้จากเกมกีฬาหรือการแข่งขันประเภทอ่ืน การแพ้ใน ประเด็นทนี่ าสนใจที่สามารถ การโตแ้ ย้ง หมายถงึ ทรรศนะของตนไมไ่ ด้รบั การยอมรับ ค�าวา่ แพแ้ ละชนะในการโต้แยง้ คอื การ นํามาเปนประเด็นในการโตแ ยง ชนะกันด้วยเหตุผล ผถู้ กู แย้งจงึ ไมค่ วรเก็บมาเปน็ อารมณ์ ควรทา� ใจเป็นกลางยอมรับเหตผุ ล ได จากนัน้ ครูคัดเลือกประเดน็ ที่ เหมาะสม ใหแตละคอู อกมาพดู ๒. ผโู้ ต้แยง้ ควรมมี ารยาทในการใช้ภาษาในการโตแ้ ยง้ ควรใช้ภาษาท่เี หมาะสมแกร่ ะดบั โตแ ยง หนาช้นั เรยี น คูละไมเกิน ของบุคคลท่ีมีส่วนร่วมในการโต้แย้งและเหมาะสมแก่สถานที่ การใช้ภาษาเพ่ือการพูดโต้แย้ง 3 นาที หรือครูอาจสุมเรยี กเพยี ง ผู้พูดควรระมัดระวังการใช้ภาษาให้สุภาพ แสดงความอ่อนน้อม ไม่ยกตนข่มท่าน เม่ือท�าการ 1-3 คู โต้แย้งกับบุคคลท่ีอาวุโสกว่า การโต้แย้งท่ีกระท�าในที่สาธารณะ ผู้โต้แย้งต้องมีความระมัดระวัง รักษามารยาทในการใช้ภาษาใหถ้ กู ต้องเหมาะสม 2. นักเรยี นรวมกันอภิปรายแสดง ความคิดเห็นวาการโตแยง ๓. ผู้โต้แย้ง ควรใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ประเด็นใดสามารถโต้แย้งได้อย่างสร้างสรรค์ แตกตางจากการโตเ ถยี งอยา งไร ประเด็นใดเม่ือโต้แย้งไปแล้วจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ประเด็นใดไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้ ต้อง (แนวตอบ การโตแยง คือ การใช ระมัดระวงั การยกประเด็นมาโตแ้ ย้ง เพราะบางเรอื่ งเป็นเร่อื งละเอยี ดอ่อน อาจจะกระทบกระเทือน เหตุผล ขอ มูลหรือหลกั ฐานมา จติ ใจผอู้ ่นื ได้ หักลา งอกี ฝายหนึง่ หรอื โนม นา ว ใหผ ูฟง เช่อื ถอื คลอ ยตามผพู ูด การพูดอภิปราย การพูดแสดงทรรศนะและการโต้แย้งเป็นการพูดแสดงความคิด และสามารถสรปุ ประเด็นโตแยง ความรสู้ กึ เกย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งใดเรอื่ งหนงึ่ อยา่ งมเี หตผุ ล ผพู้ ดู ควรศกึ ษาการพดู ในลกั ษณะดงั กลา่ ว เพ่ือนําไปใชไ ด สวนการโตเถียง ให้เข้าใจและควรมมี ารยาทในการใช้ภาษา หลกี เลี่ยงการใช้อารมณ์ ทส่ี า� คัญควรเลือกใช้ถ้อยคา� คอื การพดู เพอ่ื เอาชนะอกี ฝา ยหนงึ่ ในการส่ือสารให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ส�าหรับการโต้แย้งควรเลือกประเด็นโต้แย้งในทาง เปนสาํ คัญ การโตเถยี งอาจไมม ี สร้างสรรค์และกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ประเด็นท่ไี ม่เกดิ ประโยชนไ์ มค่ วรพดู โต้แยง้ กนั เหตุผลท่นี าเชือ่ ถอื และมกั นาํ ไป สกู ารทะเลาะเบาะแวง กนั หรอื เปนการพูดดวยอารมณ) ตรวจสอบผล 1. ครตู รวจสอบความรูความเขา ใจ เก่ียวกับการพูดโตแยง รวมถึงการ ใชภาษาในการพดู ของนักเรียน จากการพูดหนาชัน้ เรียนหรือจาก บทรางทน่ี ําสง 2. นกั เรียนตอบคําถามประจาํ หนวย การเรียนรู 153 แหสลดกั งฐผานลการเรียนรู บทพูดโตแยง คลู ะไมเ กิน 3 นาที B พืน้ ฐานอาชพี B การพดู อภปิ ราย การพดู แสดงทรรศนะ และการโตแ ยง เปนทกั ษะการพูดเพือ่ เสนอและแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ตอกนั โดยมจี ุดมงุ หมายเพือ่ หาทางออกหรือวิธกี ารแกไขปญหาตา งๆ ซึ่งครผู สู อนอาจจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเพื่อปูพื้นฐาน ใหนักเรียนมที กั ษะการพูดเพือ่ แสดงความคดิ เห็น มที ักษะในการคนควาหาขอมลู หลกั ฐานจากแหลงขอ มูลทีน่ า เช่ือถอื ซง่ึ การฝกฝนทักษะเหลา น้ีในหอ งเรียนจะชว ยเออ้ื ประโยชน และเพ่ิมพนู ประสบการณใ หแกน กั เรียนเพ่ือนาํ ไปประยุกตใ ช 153ในการประกอบอาชพี คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate เกร็ดแนะครู (ยอ จากฉบับนักเรยี น 20%) (แนวตอบ คําถามประจาํ หนวย คำาถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ การเรยี นรู 1. • องคป ระกอบของการพูด อภิปราย ประกอบไปดวย ๑. องค์ประกอบส�าคัญของการพูดอภปิ ราย การพูดแสดงทรรศนะและการโต้แย้ง ผดู าํ เนนิ การอภปิ ราย มีอะไรบา้ ง จงอธิบาย ผอู ภิปราย หัวขอ และสถานท่ี ในการอภิปราย ๒. การพูดอภิปราย การพดู แสดงทรรศนะและการโตแ้ ยง้ มคี วามส�าคัญอย่างไร ในสงั คมประชาธปิ ไตย จงอธิบาย ๓. นักเรยี นยกตวั อยา่ งการโต้แยง้ ในเรื่องใดเรอ่ื งหน่ึงทเ่ี ปน็ ทสี่ นใจของสังคม • องคประกอบของการพดู มาอธิบายพอสงั เขป แสดงทรรศนะ ประกอบไป ดว ย โครงสรางของการแสดง ๔. นักเรยี นแสดงความคิดเห็นว่ามารยาทในการพูดอภิปราย แสดงทรรศนะและโตแ้ ย้ง ทรรศนะ ภาษา มีสว่ นชว่ ยใหก้ ารพูดแต่ละประเภทดา� เนนิ ไปอยา่ งราบรื่นไดอ้ ยา่ งไร จงอธิบาย • องคป ระกอบของการโตแ ยง ประกอบไปดว ยเหตผุ ลและ ขอสรปุ 2. การพูดอภปิ ราย การพูดแสดง ทรรศนะและการโตแ ยง มคี วามสําคัญตอ สังคม ประชาธปิ ไตยเพราะเปน การพูด กจิ กรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรียนรู้ แสดงความรู ความคิดเห็นที่มี ตอ เรือ่ งใดเร่อื งหนึ่ง หรอื ปญหา ตางๆ ท่ีจะตอ งหาทางออก ๑. นกั เรียนแสดงทรรศนะเก่ียวกับเรอื่ งการแตง่ กายของวัยร่นุ ในปัจจบุ ัน แล้วให้ รวมกนั โดยผพู ดู จะตองใช นกั เรียนร่วมกนั ประเมนิ คา่ เหตผุ ล และการแสดงหลกั ฐาน ท่นี าเชื่อถือประกอบการพดู ๒. แบ่งนักเรยี นออกเปน็ สองฝา่ ยใหโ้ ตแ้ ย้งกันในหวั ขอ้ “การศึกษาในระดับอดุ มศกึ ษา ดังน้นั การพูดทงั้ สามประเภท ควรเป็นบรกิ ารให้เปล่าแกป่ ระชาชน” โดยก�าหนดให้นกั เรยี น ๓ คน ท�าหนา้ ท่ี จงึ มคี วามสําคัญตอ สังคม ตดั สนิ ว่าฝา่ ยใดแสดงทรรศนะทีป่ ระกอบดว้ ยเหตุผล มนี ้�าหนักนา่ เชื่อถือกวา่ กนั ประชาธปิ ไตย เพราะสงั คม ๓. นักเรียนแบง่ กลุ่มออกเป็น ๕ กลมุ่ แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ อภปิ รายรว่ มกันในหวั ขอ้ “อาหารคอื ยารักษาโรค” ประชาธิปไตยเปน สงั คมที่ยึดถอื ในเสยี งสวนใหญของประชาชน ดงั นน้ั แลว การพดู ทงั้ สามประเภท จงึ เปนการพูดท่ีแสดงความรู ความคดิ เห็นตอ กนั 3. การโตแยงในประเด็นตางๆ ของสังคมปจจุบันมีหลาย ประเด็น แตประเดน็ ทเี่ ปน 154 เรื่องละเอียดออ น หรือมคี วาม เกยี่ วของกับคานิยม ความเชื่อ วฒั นธรรมประเพณี ไมควรทจ่ี ะนํามาโตแ ยง หรือหากตองมีการกลาวถึง ก็ควรกลาวอยา งระมดั ระวงั ดว ยภาษาท่ีสภุ าพและ แสดงการใหเ กียรติ ซงึ่ ประเดน็ ทค่ี วรนํามาโตแ ยง ในปจ จุบนั เชน การพัฒนาเทคโนโลยีกับการอนรุ ักษภ มู ิปญ ญาไทย เปน ตน 4. มารยาทในการพดู อภิปราย แสดงทรรศนะและโตแยง มีสว นชวยใหก ารพดู แตล ะประเภทดาํ เนินไปอยางราบรนื่ เพราะชวย ทําใหผ พู ดู รจู ักหนา ที่ของตนเอง ใหเ กียรติและยอมรบั ฟงความคิดเห็นซ่งึ กันและกัน ซึ่งทาํ ใหการพดู แตล ะประเภทยตุ ิลง ดวยดีและมีแนวทางแกไขปญหา) 154 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Explore Expand Evaluate ôตอนท่ี กระตุนความสนใจ หลักการใช้ภาษา ครชู วนนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกบั ลกั ษณะเฉพาะหรอื เอกลกั ษณข อง ภาษาไทย จากนัน้ ตั้งคําถามเพ่ือนํา เขา สูห นว ยการเรียนรวู า • นกั เรยี นคิดวา ภาษาไทยมี ลกั ษณะเฉพาะท่โี ดดเดน อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ไดอยา งหลากหลาย ตาม พ้ืนฐานความรูความเขา ใจ โดย ครชู แี้ นะเพม่ิ เติมวา ภาษาไทย เปนภาษาที่มรี ะดับในการเลือก ใชใหเ หมาะสมกบั สมั พนั ธภาพ ระหวา งบคุ คล โอกาส กาลเทศะ เนอื้ หาและประเภทของสื่อที่ เลอื กใช เปนตน) ภ า ษ า เ ป  น วั ฒ น ธ ร ร ม ที่ สํ า คั ญ อ ย  า ง ห นึ่ ง ซ่ึ ง อ ยู  กั บ ม นุ ษ ย  ม า เ ป  น เ ว ล า ยาวนาน มนุษยสรางภาษาข้ึนเพ่ือใชในการแสดงความรูสึกนึกคิดและส่ือสาร กับผูอื่นในสังคม ภาษาพูดและภาษาเขียนจึงมีบทบาทสําคัญตอการดําเนินชีวิต เพราะเปนส่ิงท่ีทําใหสามารถส่ือสารเพื่อใหเกิดความเขาใจซึ่งกันและกันได ภาษาไทยมีการแบงระดบั การใชภาษาออกเปนหลายระดบั ผใู ชภาษาจงึ ควรเลอื ก ใชระดับภาษาใหเหมาะสมตามสัมพันธภาพระหวางบุคคล เพราะหากใชภาษา ผิดระดบั หรือไมเ หมาะสมจะทําใหการส่ือสารไมสมั ฤทธผิ ลตามทต่ี องการ คมู อื ครู 155

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%) • ใชภาษาไดเหมาะสมกับบคุ คล ตอนท่ี ๔ กาลเทศะและโอกาสตา งๆ ใน ชวี ิตประจําวนั • วเิ คราะหอทิ ธิพลของภาษา ตางประเทศและภาษาถ่ินทม่ี ีตอ ภาษาไทย กระตนุ ความสนใจ ñหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ภาษาไทย ครชู วนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกบั เป็นเคร่ืองมือในการส่อื สารของคนไทย ภาพประกอบหนาหนว ย จากน้นั ตงั้ ทีเ่ ป็นเอกลกั ษณ์ แสดงถงึ วฒั นธรรม คาํ ถามกบั นกั เรยี นวา ทางภาษา การก�าหนดการใชต้ ามระดบั • บคุ คลทัง้ สองในภาพกาํ ลงั อยู ของบคุ คล เปน็ สงิ่ ที่แสดงให้เห็นถึงลกั ษณะของ ในสถานการณใดและนักเรยี น เคยอยใู นสถานการณดงั กลา ว การใหค้ วามเคารพนบั ถือเป็นลกั ษณะเด่น หรอื ไม อยา่ งหนึ่งของความเปน็ ไทย (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ไดอยา งหลากหลายตามความ ระดบั ภาษาและอทิ ธพิ ลของการใชภ้ าษา คิดเหน็ สว นตน ครูควรช้แี นะ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ขอ มูลที่ถกู ตองวาในชีวิต • ใช้ภาษาเหมาะสมแกโ่ อกาส กาลเทศะ และบุคคล ••• ประจําวนั ของนกั เรยี นตองมี • รวมทงั้ คา� ราชาศพั ทอ์ ยา่ งเหมาะสม (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๓) ระดบั ภาษา โอกาสไดพ บปะเพอื่ สนทนา วิเคราะหอ์ ิทธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศและภาษาถนิ่ คา� ราชาศพั ท์ กบั บุคคลในสถานภาพและ (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๕) อิทธิพลของภาษาต่างประเทศและภาษาถิน่ สถานการณตางๆ เชน สนทนา กบั เพื่อน พอ แม ครู อาจารย เปน ตน ) เกร็ดแนะครู ครูควรช้แี นะวา เม่อื นกั เรียนตอ ง สนทนากับบคุ คลในโอกาสและ กาลเทศะที่แตกตา งกัน จงึ จําเปน ตอ งเลอื กใชระดับภาษาใหถ กู ตอง เหมาะสม เพราะการส่ือสาร ในแตล ะครงั้ ไมใ ชเปนเพียงการสอื่ ส่งิ ทเี่ ราตอ งการใหผอู ื่นรบั รูเทา นนั้ แตม สี ิ่งสาํ คญั ท่ีตองคํานึงถึงทกุ คร้งั ท่มี ีการใชภาษา คอื ส่งิ แวดลอ มหรอื สถานการณใ นการใชภ าษา 156 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๑ ระดับภาษา กระตุนความสนใจ ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่มีความส�าคัญอย่างมากต่อชีวิตมนุษย์ แม้ว่าภาษาจะเป็นสิ่งท่ี ครชู วนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกบั จบั ตอ้ งไมไ่ ด ้ แตภ่ าษาเขา้ มามบี ทบาทตอ่ การดา� เนนิ ชวี ติ มนษุ ยต์ ง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั เนอื่ งจาก ภาษาระดบั ตา งๆ โดยยกตวั อยา งคาํ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จ�าเป็นจะต้องอยู่ร่วมกัน มีการปฏิสัมพันธ์และติดต่อส่ือสารกัน มนุษย์จึง ในระดับท่ีไมเปนแบบแผนและสุม ต้องใช้ภาษาเพอื่ เปน็ สอ่ื กลางในการสอื่ ความหมายใหเ้ กดิ ความเข้าใจกนั เรียกช่อื นักเรียนเพื่อตอบคาํ ถามวา ทั้งน้ี การใช้ภาษาต้องค�านึงถึงฐานะของบุคคลและโอกาสท่ีต้องการสื่อสาร เน่ืองจาก ภาษาไทยแบง่ ระดบั การใชภ้ าษาออกเปน็ หลายระดบั ผใู้ ชภ้ าษาจงึ ควรเลอื กใชร้ ะดบั ภาษาใหเ้ หมาะสม • คาํ ที่ครูยกตัวอยางน้นั ใชเปน ตามสัมพันธภาพของบุคคล เพราะหากใช้ภาษาผิดระดับหรือไม่เหมาะสมจะท�าให้การสื่อสารไม่ ภาษาก่งึ แบบแผนและภาษา สมั ฤทธิผลตามท่ีต้องการ แบบแผนอยา งไร ๑.๑ การแบง่ ระดบั ภาษา สาํ รวจคน หา ระดับภาษาที่ใช้ในการส่ือสารอาจแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ภาษาแบบแผน ภาษา ครูทาํ สลากจํานวน 3 ใบ โดยเขียน กงึ่ แบบแผน และภาษาไม่เป็นแบบแผน หมายเลข 1, 2 และ 3 จากน้ันแบง ๑) ภาษาแบบแผน เป็นระดับภาษาที่ใช้พูดหรือเขียนที่ผู้ใช้ต้องระมัดระวังเร่ือง นกั เรยี นเปน 3 กลุม ในจํานวน ความถูกตอ้ งทางหลกั ภาษาเปน็ ส�าคัญ รจู้ กั เลอื กใชค้ �าใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม การสรา้ งประโยคต้อง เทาๆ กนั หรอื ตามความเหมาะสม มีความสมบูรณ์ สื่อความชัดเจน สุภาพ และมีมารยาท ภาษาแบบแผนใช้สอ่ื สารกนั ในทีป่ ระชุม จากนนั้ ใหแตละกลุมสง ตวั แทนออก ท่ีจัดอย่างเป็นพิธีการ เช่น กำรเปิดประชุมรัฐสภำ กำรกล่ำวปรำศรัย กำรกล่ำวรำยงำนในพิธี มาจบั สลากประเด็นสาํ หรับการ มอบปริญญำบัตร เป็นต้น สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารจะเป็นไปอย่างเป็นทางการ สบื คนความรรู ว มกนั ดังน้ี ภาษาเขียนทีเ่ ปน็ ภาษาแบบแผน เชน่ กำรเขียนเอกสำรทำงวิชำกำร บทควำมทำงวิชำกำร กำร เขยี นสำรคดีทำงวชิ ำกำร เปน็ ต้น หมายเลข 1 ภาษาแบบแผน ๒) ภาษากึ่งแบบแผน ภาษาในระดับน้ีจะลดความเป็นทางการลงเพื่อให้เกิด หมายเลข 2 ภาษากึง่ แบบแผน สัมพันธภาพทใี่ กล้ชิดระหวา่ งผ้รู ับสารและผ้สู ง่ สาร การใช้ภาษาระดับนม้ี ักใชใ้ น กำรกลำ่ วอวยพร หมายเลข 3 ภาษาไมเปน แบบแผน กำรประชุมกลุ่มเล็ก กำรอภิปรำยกลุ่ม กำรบรรยำยในห้องเรียน ถ้าเป็นการใช้ภาษาเขียนจะใช้ โดยใหแตละกลุมศึกษาลักษณะ ภาษากึ่งแบบแผนในโอกาสท่ไี ม่เปน็ ทางการ ไดแ้ ก่ ภาษาท่ีใช้เขียนในนิตยสำร วำรสำร การใช้ ของภาษาระดบั ตางๆ ทก่ี ลุมไดร บั ถอ้ ยคา� สา� นวนภาษาจะทา� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ คนุ้ เคยกนั เนอ้ื หาเปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั ความรทู้ ว่ั ๆ ไป เชน่ มอบหมาย พรอมทงั้ ยกตัวอยา ง กำรแสดงควำมคดิ เห็นเชิงวชิ ำกำร หรือเกย่ี วกับกำรดำ� เนินชีวติ เปน็ ตน้ ประกอบใหเห็นชัดเจน ๓) ภาษาไมเ่ ปน็ แบบแผน เป็นการใช้ภาษาท่ีผู้ใช้ไม่เคร่งครัดในเรื่องการใช้ภาษา ภาษาระดับน้ีเป็นภาษาท่ีใช้ในวงจ�ากัด เช่น ภำษำท่ีใช้กันภำยในครอบครัวระหว่ำงสำมี-ภรรยำ อธบิ ายความรู บิดำมำรดำ-บุตร และญำติสนิทมิตรสหำย สนทนากันในชีวิตประจ�าวันมุ่งส่ือความหมายพอให้ เข้าใจ นกั เรยี นในแตล ะกลุม สงตวั แทน ออกมาอธิบายความรูในประเด็นทไี่ ด รบั มอบหมาย เพอ่ื นๆ ในชน้ั เรียน บนั ทกึ ความรูที่ไดรบั จากการฟง ลงสมุด 157 นักเรียนควรรู สัมพันธภาพ หมายถงึ ความ ผกู พนั ความเกี่ยวขอ ง NET ขอสอบ ป 50 ขอสอบถามวา ขอ ใดใชภ าษาระดบั ทางการ 1. วิถชี ีวิตไทยกลับมาคึกคกั อีกครง้ั 2. เม่อื กระบวนแหเรือพระราชพิธใี นแมน ้าํ เจา พระยาปด ฉากลง 3. ถนนการลงทนุ ทุกสายตางเรงปดฝุน 4. กระทรวงการทองเท่ียวสงเสริมการทอ งเทย่ี วเชิงอนุรักษ (วิเคราะหค าํ ตอบ ภาษาระดบั ทางการตอ งมคี วามกระชบั ชัดเจน ไมตองตีความ ดังน้นั จงึ ตอบ ขอ 4.) คมู อื ครู 157

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคนหา (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) นักเรียนสบื คนความรูใ นประเดน็ ปจจยั ทม่ี ีอิทธิพลตอการเลอื กใช ระดับภาษา โดยอาจสบื คน ไดจาก ฉะนนั้ การใชภ้ าษาอาจมคี า� สแลง คา� ยอ่ คา� ตลาด หรอื คา� ภาษาตา่ งประเทศปะปนอยบู่ า้ ง หนงั สอื เรียน หนา 158 หรอื จาก ภาษาเขียนท่ีไม่เป็นแบบแผนเป็นภาษาท่ีใช้เฉพาะกลุ่ม มักใช้เขียนบทสนทนาและเร่ืองส่วนตัว การสร้างประโยคไม่ค�านึงถึงความถูกต้องของหลักภาษา ภาษาไม่เป็นแบบแผนสามารถแบ่งได้ แหลง เรยี นรปู ระเภทอ่ืนๆ ที่สนใจ เป็น ๒ ระดบั คือ หรอื สามารถเขา ถงึ ได ภาษาปาก เป็นระดับภาษาที่ใช้พดู กนั ในชีวิตประจ�าวันกบั บุคคลในครอบครวั และบุคคล ทว่ั ไป เช่น ในการติดตอ่ งานการซ้ือขาย การประกอบอาชีพ การโฆษณาทางสื่อต่างๆ เป็นตน้ อธบิ ายความรู ภาษาตา�่ เปน็ ระดบั ภาษาทจี่ ดั เปน็ ภาษาไมส่ ภุ าพ ไมค่ า� นงึ ถงึ ความถกู ตอ้ งของหลกั ภาษา นักเรียนยนื ในลกั ษณะวงกลมเพ่อื อาจมกี ารใชค้ �าหยาบ คา� ที่สอ่ ไปในทางหยาบคาย คา� สแลง หรอื เรยี กวา่ “ค�ำตลำด” ภาษาระดบั นี้ รว มกันอธบิ ายความรแู บบโตตอบ รอบวงเก่ียวกับปจ จยั ที่มีอทิ ธิพล ไม่เหมาะที่จะใช้ส่ือสารโดยทวั่ ไป ไม่ควรน�าไปใช้กับบุคคลทอ่ี าวุโสกว่าหรอื ในสถานที่สาธารณะ ตอการเลือกใชร ะดบั ภาษา โดยครู ตั้งคาํ ถามกบั นักเรียนวา ๑.๒ ปจั จัยทม่ี ีอทิ ธพิ ลต่อการเลอื กใช้ระดบั ภาษา • สัมพันธภาพระหวางบคุ คลหรอื ปัจจัยทกี่ �าหนดการเลอื กใชร้ ะดบั ภาษาเพือ่ การสื่อสาร มีดงั น้ี ความสมั พันธระหวา งผสู งสาร ๑) โอกาสและสถานท ี่ เปน็ ปจั จยั ทกี่ า� หนดการเลอื กใชร้ ะดบั ภาษา ถา้ สอื่ สารกบั บคุ คล กับผูรบั สารมีความหมาย กลุ่มใหญ่หรือในที่ประชุมภาษาที่ใช้จะต่างระดับกันกับการส่ือสารท่ีบ้าน ซ่ึงโอกาสในการใช้ระดับ วาอยา งไร อธบิ ายพรอมยก ภาษาสามารถแบ่งออกเปน็ โอกำสอยำ่ งเปน็ ทำงกำร คอื โอกาสสา� คัญต่างๆ ทเี่ ปน็ พิธีการ ระดับ ตัวอยางประกอบ ภาษาท่ใี ช้จะเปน็ ภาษาระดบั แบบแผน เช่น งานพระราชพธิ ีตา่ งๆ การกลา่ วสนุ ทรพจน ์ การกลา่ ว เปดิ ประชุม สว่ นการเขียนจะใช้ในการเขียนรายงานทางวชิ าการ กิตตกิ รรมประกาศ เอกสารตา่ งๆ ของทางราชการ เปน็ ตน้ และ โอกำสท่ไี มเ่ ปน็ ทำงกำร ทงั้ ในการติดตอ่ ส่อื สารกนั ในชีวิตประจ�าวัน (แนวตอบ ความสมั พนั ธร ะหวาง และการตดิ ตอ่ กนั ทางด้านธุรกจิ ตา่ งๆ ระดบั ภาษาที่ใชอ้ าจเป็นภาษาก่งึ แบบแผนหรอื ภาษาไม่เปน็ ผูสง สารและผรู บั สาร หมายถงึ บทบาททางสังคมระหวา งผูส ง แบบแผน สารและรับสารเมอ่ื เปรียบเทยี บ ๒) สมั พนั ธภาพระหวา่ งบคุ คล จะเป็นปัจจัยในการใช้ระดับภาษาที่บุคคลสื่อสาร กนั เชน เจา นายกับลูกจา ง อาจารยก ับลกู ศิษย บดิ ากบั บตุ ร กัน รวมทั้งยังต้องค�านึงถึงในเร่ืองโอกาสในการใช้ด้วย เช่น บุคคลที่เป็นเพื่อนกันเม่ือกล่าว เปน ตน) ในทีป่ ระชุมก็ไมส่ ามารถใช้ภาษาระดบั เดยี วกนั กับที่เคยใชพ้ ดู คุยกันตามลา� พังได้ ๓) ลกั ษณะของเนอ้ื หา เนอื้ หาของสารมคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั โอกาสในการสอ่ื สาร เชน่ เน้ือหาส่วนตัวไม่น�าไปใช้ในโอกาสท่ีต้องใช้ภาษาระดับแบบแผน ถ้าใช้ภาษาไม่เหมาะสมก็จะ ทา� ใหก้ ารสอื่ สารไมป่ ระสบผลส�าเร็จตามทีต่ ้องการได้ NET ขอ สอบ ป 50 ๔) สอ่ื ทใ่ี ช ้ เป็นปัจจัยส�าคัญอกี ประการหนงึ่ ท่ีทา� ใหร้ ะดบั ภาษาแตกตา่ งกัน เช่น การ เขยี นจดหมายสว่ นตวั ปดิ ผนกึ ซองจะใชร้ ะดบั ภาษาไมเ่ หมอื นกบั การเขยี นสอื่ สารลงบนไปรษณยี บตั ร ขอสอบถามวา ขอ ใดไมใ ชสํานวน การบอกเรือ่ งราวตา่ งๆ ดว้ ยตนเองกบั การประกาศผ่านเครอ่ื งขยายเสยี งภาษาทีใ่ ชพ้ ดู ก็จะมคี วาม อยา งตา งประเทศ แตกต่างกนั เป็นตน้ 1. ในความคิดของผมหนังสือ เลมน้ีดที ีส่ ุดในสถานการณ ปจ จุบัน 158 2. ไมเ ปนการยากทีเ่ ราจะสบื คน ประวัติชีวติ ของทานผูรู 3. ปจจบุ ันนชี้ าวกรุงเทพฯ ประสบปญ หาการจราจรติดขัด 4. คนไทยกําลังใหความสนใจในขา วเศรษฐกจิ (วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. “ในความคิดเหน็ ของผม” ขอ 2. “ไมเ ปน การยากท่ี” และขอ 4. “ใหค วามสนใจใน” เปน สํานวนภาษาตางประเทศ ดังนน้ั จงึ ตอบขอ 3.) 158 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ๑.๓ ลักษณะของภาษาในระดับตา่ งๆ สํารวจคนหา ลกั ษณะของภาษาในระดบั ตา่ งๆ จะกลา่ วในประเดน็ การเขยี นเรยี บเรยี งประโยค กลวธิ กี าร นักเรียนจบั คูกับเพื่อน รวมกนั น�าเสนอ และถอ้ ยคา� ทีใ่ ช ้ ซงึ่ สามารถสรปุ พอสงั เขปได ้ ดงั นี้ สบื คนความรูในประเด็นลักษณะของ ๑) ลกั ษณะของภาษาแบบแผน มดี งั น้ี ภาษาในระดบั ตางๆ โดยนกั เรยี น ๑.๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ในภาษาแบบแผนท้ังผู้พูดและผู้เขียนจะต้อง อาจสบื คน ขอมูลจากหนงั สอื เรยี น ระมัดระวังการใช้ภาษาให้สละสลวย เนื้อหาให้มีความต่อเน่ืองกลมกลืนกันอย่างมีระเบียบ เช่น หนา 159-161 หรือจากแหลงการ การกล่าวสุนทรพจน ์ การกล่าวค�าปราศรยั หรอื การกลา่ วตอ้ นรบั มกั เตรยี มวาทนิพนธ์ไว้ลว่ งหน้า เรยี นรูประเภทอน่ื ๆ ท่ีสนใจและ หากเป็นหนังสือราชการก็จะเขียนอย่างมีระบบตามแบบแผน โดยกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่อง สามารถเขาถงึ ได อย่างตรงไปตรงมา อาจประกอบเหตผุ ล ความตอ้ งการ ความจา� เปน็ ประสงค์ให้ผรู้ ับสารทราบ หรือใหก้ ระท�าการอย่างใดอย่างหน่ึง อธบิ ายความรู การเขียนบทความใช้ภาษาระดับแบบแผนก็เช่นกัน เน้ือหาจะเรียงไปตามล�าดับ เช่น เร่ิมเร่ืองด้วยความจ�าเป็นที่จะต้องให้ความรู้ อาจมีตัวอย่างประกอบแล้วจบลงด้วยแนวทาง ครูสมุ เรียกช่ือนักเรียนออกมา ท่จี ะน�าความรู้ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ เปน็ ตน้ อธบิ ายความรเู กยี่ วกบั ลกั ษณะของ ๑.๒) กลวธิ กี ารนา� เสนอ ภาษาแบบแผนจะนา� เสนอตามรปู แบบทกี่ า� หนดไวแ้ ลว้ เชน่ ภาษาระดับตางๆ จากน้นั ใหนกั เรยี น ค�ากราบบังคมทูลหรือค�ากล่าวรายงานจะต้องใช้ค�าขึ้นต้นและค�าลงท้ายตามแบบแผนที่ก�าหนด ยนื ในลักษณะวงกลมเพอ่ื รวมกนั ถ้าเป็นการน�าเสนอทางวิทยุ โทรทศั น ์ เช่น ประกาศหรือแถลงการณจ์ ะใช้ระดบั ภาษาทีไ่ มเ่ จาะจง อธบิ ายความรูแบบโตต อบรอบวง ส่ือสารไปที่ผู้ใด แต่มุ่งไปสู่สาธารณชนเป็นหลัก ในการเขียนหนังสือราชการหรือธุรกิจระหว่าง โดยวธิ กี ารซักถามจากครู หน่วยงาน มักส่ือสารกนั ระหวา่ งตา� แหน่งในนามของหน่วยงานน้ันๆ ๑.๓) ถอ้ ยคา� ทใี่ ช ้ ภาษาทใ่ี ชใ้ นระดบั แบบแผนจะใชส้ รรพนามบรุ ษุ ท ่ี ๑ ไดแ้ ก ่ กระผม “ขอเดชะฝาละอองธุลีพระบาท ผม ดิฉัน และข้ำพเจ้ำ สรรพนามฝา่ ยผรู้ บั มักใช้ ท่ำน ทำ่ นทั้งหลำย ดงั ตวั อย่าง ปกเกลาปกกระหมอ ม ดวยสภา มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ในการ พระรำชพงศำวดำรเปน็ หลกั ฐำนทำงประวัติศำสตร์ท่มี คี วำมส�ำคัญ เน่อื งจำกเป็น ประชุมครั้งที่ 4/2542 เม่ือวันที่ 13 หลกั ฐำนซง่ึ นกั ประวตั ศิ ำสตรใ์ ชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยและกมั พชู ำโดยเฉพำะ กรกฎาคม 2542 ไดพิจารณาเหน็ วา ตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษท ี่ ๑๙ เปน็ ตน้ มำ ดงั นน้ั ในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ ทย และประวตั ศิ ำสตร์ ใตฝาละอองธุลพี ระบาทเปน กัมพชู ำ พระรำชพงศำวดำรจงึ เป็นเอกสำรส�ำคญั ทค่ี วรได้มกี ำรจดั พิมพเ์ ผยแพร่ให้เปน็ ทร่ี ู้จกั พระมหากษตั รยิ าธริ าชผเู ปย มดว ย แพรห่ ลำย สำ� หรบั ใหท้ ง้ั นกั ประวตั ศิ ำสตรแ์ ละนกั เรยี นนกั ศกึ ษำไดม้ เี อกสำรทำงประวตั ศิ ำสตร์ พระอัจฉรยิ ภาพดา นภาษาไทย...” ไวใ้ ชใ้ นกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ ทย และประวตั ศิ ำสตรก์ มั พชู ำ แตป่ จั จบุ นั พระรำชพงศำวดำร ไทยยังไม่เคยมีกำรแปลและจัดพิมพ์เผยแพร่เป็นภำษำเขมรมำก่อน ดังน้ันนักประวัติศำสตร์ • จากตวั อยา งนักเรยี นคดิ วา ชำวกัมพูชำจึงศึกษำเร่ืองรำวประวัติศำสตร์ไทยโดยผ่ำนพระรำชพงศำวดำรไทยท่ีแปลเป็น เปนการใชภาษาระดับใด และมี ภำษำฝรง่ั เศส หรือภำษำอังกฤษ วธิ กี ารสังเกตอยางไร (แนวตอบ เปนภาษาแบบแผน โครงการแปลพระราชพงศาวดารกรุงเกา่ ฉบบั หลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ ิ ฉบบั ภาษาไทย-เขมร โดยสังเกตจากการเรยี บเรยี ง ถอยคาํ เขาประโยคท่ีมคี วาม ซบั ซอน ถอยคาํ ทีใ่ ชเ ปน ภาษา ระดบั สงู กลวธิ กี ารนาํ เสนอทเ่ี ปน แบบแผน) 159 NET ขอ สอบ ป 49 นกั เรยี นควรรู ขอสอบถามวา ขอใดจําเปนตองใชค าํ ทบั ศพั ทภาษาตางประเทศ วาทนพิ นธ มาจากคาํ วา วาทะ 1. ราคานํ้ามนั ดเี ซลและเบนซินข้ึนๆ ลงๆ 2. รัฐบาลตอ งกําจัดคอรรัปชัน หมายถึง คาํ พูด และนพิ นธ หมายถงึ 3. ยกั ษใ หญมือถอื ทมุ โพรโมชัน 4. เวลาขับรถตองคาดเซฟตีเบลต เร่อื งทแี่ ตงขน้ึ การเรยี บเรียงถอยคาํ (วิเคราะหคาํ ตอบ “คอรรปั ชัน” ใชว า “ฉอราษฎรบังหลวง” “โพรโมชัน” ใชวา “สงเสรมิ การขาย” และ วาทนพิ นธ จงึ หมายถึง คาํ พดู ที่ “เซฟตเี บลต” ใชวา “เข็มขัดนิรภยั ” ดงั นัน้ จงึ ตอบ ขอ 1.) เรยี บเรยี งใหส ละสลวยมาเปน อยา งดแี ลว คูมือครู 159

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Engage Explore Explain Evaluate ขยายความเขาใจ (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) นกั เรยี นแตงประโยคจํานวน 5 ประโยค โดยใชภาษาในระดับที่ แตกตา งกนั ทงั้ 3 ระดับ สงครูผสู อน ๒) ลกั ษณะของภาษากง่ึ แบบแผน มีดงั น้ี ๒.๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ลักษณะการเขียนเรียบเรียงประโยคของภาษา ก่ึงแบบแผนทั้งผู้พูดและผู้เขียนจะต้องระมัดระวังการใช้ภาษาเช่นเดียวกับการเขียนเรียบเรียง ประโยคของภาษาแบบแผน ส�าหรับภาษากึ่งแบบแผนซึ่งมีการโต้ตอบและอภิปราย การพูดอาจ NET ขอสอบ ป 52 ไม่เรียงล�าดับหรือไม่เป็นระเบียบบ้าง อาจพูดในส่ิงที่ตนอยากรู้ อยากจะพูด ถือเป็นหน้าท่ีของ ขอสอบถามวา ขอ ใดใชภ าษา ผนู้ า� การพดู ทีจ่ ะตอ้ งพยายามนา� เข้าสปู่ ระเดน็ เพือ่ ใหก้ ารพดู หรือการอภปิ รายตรงตามจุดประสงค์ ตา งระดบั กบั ขออนื่ ทต่ี อ้ งการ 1. ถา พดู ถึงโซเดียมเกือบทุกคน ๒.๒) กลวิธีการน�าเสนอ การใช้ภาษากึ่งแบบแผนจะไม่มีรูปแบบวิธีการน�าเสนอท่ี ก็จะนึกถึงอาหารรสเค็ม ตายตัว ข้ึนอยูก่ บั ความประสงคข์ องผสู้ ่งสาร 2. อาหารรสเคม็ จะมีรสชาติ ๒.๓) ถอ้ ยคา� ทใ่ี ช ้ ภาษาทใ่ี ชใ้ นระดบั กง่ึ แบบแผน ผสู้ ง่ สารและรบั สารจะใชส้ รรพนาม ถกู ปากมากกวาอาหารรสจดื ๆ แทนตนเองและผู้รบั สารเชน่ เดียวกับระดบั ภาษาแบบแผน ดังตวั อย่าง 3. คนไขบางคนรบั ไมไ ดเ ลยกบั การกินอาหารรสจดื ส�ำเร็จ! ไทยพฒั นำข้ำวโพดสมี ่วงตำ้ นมะเรง็ -ชะลอแก ่ (กรมประชำสัมพันธ์) ศนู ย ์ 4. ผูประกอบกจิ การอาหารจึง ส่งเสริมและพัฒนำอำชีพกำรเกษตรจังหวัดตรัง ประสบควำมส�ำเร็จในกำรพัฒนำและปลูก เลือกใชเ กลือโพแทสเซยี มแทน ขำ้ วโพดเหนยี วพนั ธแุ์ ฟนซีสมี ว่ ง ๑๑๑ และพนั ธส์ุ ีขำวม่วง ๒๑๒ พบคณุ สมบัติเยี่ยมดำ้ นกำร (วิเคราะหค ําตอบ “ผปู ระกอบ ต่อต้ำนอนมุ ูลอิสระ ลดโอกำสกำรเกิดโรคมะเร็ง เตรียมเกบ็ เมล็ดพันธุ์ทีผ่ ลิตได้รุ่นแรก เพ่อื กจิ การ” เปน ภาษาระดบั ทางการ แจกจำ่ ยแกเ่ กษตรกรท่สี นใจ ซ่งึ แตกตา งจากขอ อนื่ ซึง่ ใช ภาษาไมเ ปนทางการ ดังน้นั จงึ http://health.kapook.com/view35855.html ตอบ ขอ 4.) ๓) ลกั ษณะภาษาทไ่ี มเ่ ปน็ แบบแผน มีดังนี้ ๓.๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ภาษาระดับไม่เป็นแบบแผน ไม่จ�าเป็นต้องมี ระเบียบ เพยี งแตจ่ ะพูดเพ่อื สือ่ สารใหเ้ ขา้ ใจกนั ไดเ้ ท่าน้นั ๓.๒) กลวธิ กี ารนา� เสนอ ภาษาไมเ่ ปน็ แบบแผนจะไมม่ รี ปู แบบการนา� เสนอทตี่ ายตวั NET ขอสอบ ป 53 เชน่ เดยี วกนั กบั ภาษาระดบั กง่ึ แบบแผน แตอ่ าจจะใชน้ า้� เสยี งแสดงความคนุ้ เคยหรอื แสดงความรสู้ กึ ได้ ๓.๓) ถ้อยคา� ทใี่ ช้ ภาษาระดับไมเ่ ปน็ แบบแผน สรรพนามที่ใช้แทนตวั ผสู้ ่งสาร เชน่ ขอสอบถามวา ขอใดใชภาษา ฉนั ผม ดฉิ ัน กัน เรำ หนู สรรพนามแทนผรู้ ับสาร เชน่ เธอ คุณ ท่ำน ตัว แก ดังตัวอยา่ ง ตางระดบั กบั ขออ่นื 1. โรคผ่ืนภมู แิ พผ วิ หนงั อกั เสบ เปนโรคทเี่ กดิ ข้นึ แกเ ดก็ มากกวา พอดีเวลำนัน้ จวนค่�ำแลว้ ตำของผมเหลือบไปเหน็ ชำยทุ่งไกลโนน้ มีกระตอ๊ บเล็กๆ ผใู หญ และมีตะเกียงจุด มีแสงริบหร่ี ผมจึงชี้ให้เขำดูและพูดว่ำ เอ็งลองคิดดูซิว่ำ กระต๊อบเล็กๆ ไฟริบหรี่นั้นมันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้ำงในท่ีนั้น นำยก้ำนเหมือนสะกิดใจ มองดูภำพน้ันอย่ำงใช้ 2. ในตอนแรกน้ี คุณหมอขอกลา ว ควำมคิด ในครู่นน้ั เอง เขำคงจะได้ควำมคิดขึ้นแล้วตบขำตวั เองฉำดใหญ่ แล้วร้องไหข้ นึ้ เฉยๆ ถงึ เรอ่ื งของผวิ หนงั แหง กอ นครบั 3. ลูกนอ ยควรจะใชครีมที่มี ความเขมขน ไมใ ชโลช่นั ซ่งึ ผสม 160 นา้ํ มาก 4. นองหนูตอ งใชค รมี บํารงุ ผิวทันที หลังอาบนา้ํ ไมเชนน้ันผวิ นอ งหนจู ะแหงยง่ิ ข้ึน (วิเคราะหค ําตอบ ขอ 2. คําที่ไมเ ปน ทางการ เชน คุณหมอ ขอ 3. คาํ ที่ไมเปนทางการ เชน ลูกนอ ย โลชน่ั สว น ขอ 4. คาํ ท่ไี มเปน ทางการ เชน นองหนู ดงั นน้ั จงึ ตอบขอ 1.) 160 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate และพูดท้งั รอ้ งไห้ “กูไมต่ ำยแลว้ มึงเอ๋ย กพู บทำงแล้ว” พูดแล้วจับแขนผมเบำๆ และพดู ตอ่ กระตุน ความสนใจ “มงึ เอ๋ย มงึ เป็นเพอ่ื นแทข้ องกู ท่ไี มท่ ้งิ ก ู กูไดท้ ำงจะตอบแทนมึงแล้ว กูไมต่ อ้ งเขำ้ ปำ่ ” ผมมอง เขำอย่ำงต้ืนตันและก็อดจะน้�ำตำไหลไปดว้ ยไมไ่ ด ้ “เพื่อนเอ๋ย ขำ้ ขอเวลำสองวันจะสรำ้ งเรอื่ ง ครูหาขอ ความขนาดยาวที่ปรากฏ ใหมใ่ ห้เอ็งตรวจ รบั รองว่ำเอง็ ตอ้ งชอบใจ” การใชคาํ ราชาศพั ทน าํ มาอา นให นกั เรียนฟง จากนั้นตัง้ คาํ ถามกับ (“ค�านา� ” แผลเกา่ : เหม เวชกร) นกั เรยี นเพื่อนําเขาสูห วั ขอ การเรยี นรู การใชร้ ะดบั ภาษาเปน็ เรอ่ื งของความเหมาะสมในการใชค้ า� ตามสมั พนั ธภาพระหวา่ ง • นกั เรยี นคดิ วา ราชาศัพทมคี วาม บคุ คล โอกาสและกาลเทศะ เพอ่ื ใหส้ มั ฤทธผิ ลสมความมงุ่ หมาย การใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกบั บคุ คล สําคัญทางดานใดบา ง เปน็ การแสดงวฒั นธรรมทางภาษาทด่ี งี าม ผทู้ ใ่ี ชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมกบั บคุ คลและใชไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง (แนวตอบ มีความสําคัญทั้งทาง จะไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ ผมู้ มี ารยาท รจู้ กั การใชภ้ าษาไดด้ ี และมวี ฒั นธรรมทางภาษาทด่ี งี ามอกี ดว้ ย สงั คมและวฒั นธรรม รวมทั้ง ทางสุนทรยี ลกั ษณเ ชิงภาษา) ๒ ราชาศพั ท์ สาํ รวจคน หา ๒.๑ ความหมายและความสา� คญั แบง นกั เรยี นเปน 4 กลุม ใน คา� ราชาศพั ท ์ หมายถงึ กลมุ่ คา� ศพั ทท์ มี่ ลี กั ษณะพเิ ศษ คอื เปน็ คา� ทใี่ ชก้ บั พระมหากษตั รยิ ์ จํานวนเทาๆ กัน หรอื ตามความ เชื้อพระวงศ ์ เชน่ พระเนตร เสด็จพระรำชด�ำเนนิ เสวย เปน็ ตน้ นอกจากน้ ี พระยาศรีสนุ ทรโวหาร เหมาะสม แตล ะกลมุ สงตัวแทน (น้อย อาจารยางกรู ) ได้อธิบายเพ่ิมเติมว่า “ค�าราชาศัพท์เป็นถ้อยคา� ภาษาทผ่ี ูท้ �าราชการพึงศึกษา ออกมาจับสลากประเดน็ สําหรับ จดจา� ไวใ้ ชใ้ ห้ถกู ในการกราบบังคมทูล การเขียนหนังสือ รวมไปถงึ การแต่งค�าประพันธก์ วนี พิ นธ ์ การคน ควารว มกนั ดงั นี้ ซ่ึงจะกลา่ วถึงผ้ใู ด ส่งิ ใด กค็ วรใช้ให้สมความ และไม่ให้ผิดไปจากแบบแผนธรรมเนยี มปฏบิ ตั ”ิ ราชาศพั ทม์ ีหลักเกณฑ์การใช้ที่เปน็ แบบแผน ไดร้ ับการยอมรับและสบื ทอดต่อๆ กนั มา หมายเลข 1 คาํ ราชาศพั ทท่ใี ช สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาไทย มคี วามไพเราะนา่ ฟงั ดงั นนั้ การใชค้ า� ราชาศพั ท์ เรียกเครือญาติ นอกจากจะเปน็ การรกั ษาแบบแผนทางภาษาไวแ้ ลว้ ยังเปน็ การแสดงออกถงึ ความเคารพท่บี คุ คล พึงมตี ่อบคุ คลท่ีควรแกก่ ารเคารพ กลา่ วคอื การใชค้ �าราชาศพั ทใ์ หถ้ กู ต้องเปน็ วธิ กี ารแสดงความ หมายเลข 2 คําราชาศพั ทท่ใี ช เคารพ เทดิ ทนู ประการหนึ่งซ่งึ เป็นรปู ธรรมแกพ่ ระเจา้ แผน่ ดินให้สูงกวา่ บุคคลอ่นื และรวมถงึ การ เรยี กสวนตา งๆ ถวายพระเกยี รตใิ ห้แก่พระบรมวงศานุวงศอ์ ีกประการหนึ่ง ของรา งกาย ๒.๒ ที่มาของค�าราชาศัพท์ หมายเลข 3 คาํ ราชาศัพทท่ีใช เรยี กกริ ิยาอาการ คา� ราชาศพั ท์ที่ปรากฏใช้อยูใ่ นปัจจุบันมีทม่ี าแตกต่างกนั ดังนี้ ๑) ราชาศพั ทท์ มี่ าจากคา� ไทยแท ้ ราชาศัพทท์ ี่ผกู ข้นึ จากค�าไทยแท ้ มดี งั น้ี หมายเลข 4 คาํ ราชาศพั ทท ่ีใช ๑.๑) ค�าท่ใี ช้เรยี กเครือญาต ิ เช่น พ ่ี น้อง อาจแปลงให้เปน็ ราชาศัพทเ์ พอ่ื ใชส้ า� หรบั เรยี กส่ิงของทัว่ ไป พระเจ้าแผน่ ดินและพระราชวงศไ์ ด ้ โดยนา� กลุ่มค�าอ่ืนมาประกอบ เชน่ โดยสมาชกิ ในแตล ะกลุมตอ ง รวมกนั คน หาคําศัพทในหมวดท่จี ับ สลากได จาํ นวนไมตา่ํ กวา 20 คํา ซ่งึ ตอ งมีคาํ ศพั ทท ่ใี ชคําไทยแทผกู ให เปนราชาศพั ทอยา งนอ ย 3 คาํ 161 คูม ือครู 161

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) นักเรยี นในแตละกลุม สง ตวั แทน พระเจ้าพยี่ าเธอ หมายถึง พระองคเ์ จา้ ท่ีเปน็ พช่ี ายของพระเจา้ แผ่นดนิ ออกมาอธิบายความรูเก่ียวกบั สมเด็จพระเจา้ พยี่ าเธอ หมายถึง เจ้าฟา้ ที่เปน็ พ่ชี ายของพระเจา้ แผ่นดนิ คําศัพทในหมวดท่กี ลมุ ของตนเอง จับสลากได โดยยกตวั อยา งคํา ข้อสังเกต ค�ำไทยแท้บำงค�ำที่ใช้ส�ำหรับเรียกเครือญำติอำจใช้วิธีกำรแปลงให้เป็น และอธบิ ายความหมาย เพอื่ นๆ รำชำศัพทโ์ ดยน�ำกล่มุ ค�ำอนื่ มำประกอบไมไ่ ดเ้ สมอไป เช่น ลงุ รำชำศัพทใ์ ช้ว่ำ พระปิตุลา กลุม อืน่ ๆ บันทกึ ความรูทีไ่ ดร บั จาก ๑.๒) ค�ำทีใ่ ช้เรียกส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย เช่น กรำม เตำ้ นม มวี ธิ กี ำรแปลงใหเ้ ป็น การฟง รำชำศพั ท์ ดังนี้ NET ขอ สอบ ป 59 พระกราม หมายถงึ กราม ใชส้ า� หรับพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ พระเตา้ หมายถงึ เต้านม ใช้ส�าหรบั พระเจา้ แผน่ ดินและพระราชวงศ์ ขอ สอบถามวา คําใดเหมาะสม สําหรับเตมิ ลงในชอ งวา ง ขอ้ สงั เกต คำ� ไทยแทซ้ ง่ึ เปน็ คำ� นำมแลว้ นำ� มำแปลงใหเ้ ปน็ รำชำศพั ท์ โดยใชค้ ำ� “พระ” เตมิ หนำ้ คำ� นน้ั มีนอ้ ยมำก โดยส่วนใหญจ่ ะแปลงให้เป็นรำชำศพั ทโ์ ดยไมใ่ ชค้ ำ� เดมิ เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระทนต์ หมายถงึ ฟัน ใชส้ �าหรบั พระเจ้าแผ่นดนิ และพระราชวงศ์ ในพธิ เี ปด “หอดดู าวเฉลมิ พระเกยี รติ” พระพาหา หมายถึง แขน ใช้สา� หรบั พระเจ้าแผน่ ดนิ และพระราชวงศ์ 1. เสดจ็ เปน องคป ระธาน ๑.๓) ค�ำที่ใช้เรียกกริ ยิ ำอำกำร เช่น ถำม ไอ จำม ยนื ข่ีมำ้ เลน่ ดนตรี เปน็ ตน้ 2. เสดจ็ ไปเปนองคประธาน มวี ธิ กี ำรแปลงให้เปน็ รำชำศพั ท์ โดยใช้ค�ำ “ทรง” เติมหน้ำค�ำ ดงั น้ี 3. เสด็จพระราชดําเนนิ ไปทรงเปน ทรงถาม หมายถงึ ถาม ใช้ส�าหรับพระเจ้าแผน่ ดินและพระราชวงศ์ ประธาน ทรงไอ ทรงจาม หมายถึง ไอ จาม ใช้สา� หรับพระราชวงศ์ 4. ทรงพระราชดําเนนิ ไปทรงเปน ทรงยนื หมายถงึ ยืน ใช้ส�าหรับพระเจ้าแผ่นดนิ และพระราชวงศ์ ทรงมา้ หมายถงึ ขมี่ า้ ใชส้ า� หรบั พระเจา้ แผน่ ดินและพระราชวงศ์ ประธาน ทรงดนตร ี หมายถึง เล่นดนตรี ใช้ส�าหรบั พระเจา้ แผน่ ดนิ และพระราชวงศ์ (วเิ คราะหค าํ ตอบ คาํ ราชาศพั ทข อง คาํ วา “ไป”ทใี่ ชแ กส มเดจ็ พระเทพ- ข้อสังเกต ค�ำไทยแท้ที่น�ำมำแปลงให้เป็นรำชำศัพท์ ด้วยวิธีกำรเติม “ทรง” หน้ำ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช- ค�ำนั้นๆ ยังมีอยู่อีกเป็นจ�ำนวนมำกนอกเหนือจำกตัวอย่ำงท่ียกมำ แต่ไม่ได้หมำยควำมว่ำจะใช้ กมุ ารี จะใชค าํ วา “เสดจ็ พระราช- วธิ ีกำรเช่นนไ้ี ดก้ ับค�ำไทยทุกคำ� ทเี่ ปน็ กรยิ ำหรือนำม เชน่ ไหว้ รำชำศัพทใ์ ชว้ ่ำ ทรงคม หรือ อว้ น ดาํ เนนิ ไป”และคาํ วา “เปน ประธาน” รำชำศพั ท์ใชว้ ่ำ ทรงพ่วงพี หรือ ทรงพระเจริญ จะใชคําวา “ทรงเปน ประธาน ” ๑.๔) คำ� ท่ีใชเ้ รยี กสิง่ ของเคร่ืองใชท้ ั่วไป เชน่ ทีน่ ่ัง แส้ เก้ำอ้ี มวี ธิ ีกำรแปลงใหเ้ ป็น ดงั น้นั จึงตอบ ขอ 3.) รำชำศัพท์ ดงั น้ี 162 162 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate พระที่นั่ง หมำยถงึ ทีป่ ระทบั ของพระเจำ้ แผน่ ดนิ ในพระรำชวัง สํารวจคน หา พระแส ้ หมำยถึง แส้ พระเกำ้ อ้ ี หมำยถึง เก้ำอ้ี แบง กลมุ นักเรียนเปน 4 กลุม ใน จํานวนเทา ๆ กัน หรือตามความ ๒) ราชาศพั ทท์ ม่ี าจากภาษาอนื่ ราชาศพั ทท์ ผี่ ูกข้นึ จากค�าทยี่ มื มาจากภาษาตา่ ง เหมาะสม สง ตัวแทนออกมาจับสลาก ประเทศ มีดังน้ี ประเดน็ สําหรับการคน ควารวมกัน ๒.๑) ค�าที่ใชเ้ รียกเครอื ญาติ เชน่ ปู่ ตา เมือ่ จะแปลงใหเ้ ปน็ ราชาศพั ท ์ จะใช้คา� ท่มี า ดงั น้ี จากภาษาบาลี คือ อยั กา ทง้ั น้ีการใช้ขนึ้ อยกู่ บั อสิ ริยศกั ด ิ์ เชน่ หมายเลข 1 คาํ ท่ีใชเ รียก พระอัยกำ หมำยถึง ปู ่ ตำ ของพระมหำกษัตริย์และเจำ้ นำย เครอื ญาติ (ป ู่ ตำซง่ึ ไมใ่ ชพ่ ระมหำกษัตริยห์ รือเจำ้ นำย) พระบรมอยั กำ หมำยถงึ ป่ ู ตำของพระมหำกษัตริย์ หมายเลข 2 คาํ ทีใ่ ชเรยี ก สมเด็จพระบรมอยั กำ หมำยถงึ ปู่ ตำของพระมหำกษัตรยิ ์ (ปู่ ตำ ท่ีเป็นสมเด็จ สว นตางๆ ของ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ) รา งกาย สมเดจ็ พระบรมอัยกำธบิ ด ี หมำยถึง ป ู่ ตำของพระมหำกษัตรยิ ์ (ปู่ ตำ ที่เป็นสมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอที่ทรงศกั ดสิ์ ูงเป็นพเิ ศษ) หมายเลข 3 คาํ ทใ่ี ชเ รยี ก สมเด็จพระเจำ้ อยั กำเธอ หมำยถงึ ป ู่ ของพระมหำกษตั รยิ ์ (ใชเ้ ฉพำะกรมสมเดจ็ พระ กริ ิยาอาการ ปรมำนุชิตชิโนรส ซึ่งเปน็ สมเด็จพระเจ้ำอยั กำเธอ ของพระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจ้ำอยู่หวั ) หมายเลข 4 คําทใ่ี ชเ รียก ป ู่ ตำของพระมหำกษตั ริย ์ (ปู ่ ตำ ทเ่ี ปน็ สิ่งของทว่ั ไป พระมหำกษตั รยิ ์) โดยสมาชกิ ในแตล ะกลุมตอ ง รวมกนั คน หาคําศพั ทใ นหมวดทจ่ี ับ สลากได จาํ นวนไมต่ํากวา 20 คํา ซงึ่ คําศพั ทเ หลา นัน้ จะตอ งใชคําทย่ี ืมมา จากภาษาอ่นื ผูกใหเปนราชาศัพท อธิบายความรู สมเดจ็ พระบรมอยั กำธิรำช หมำยถึง นักเรียนในแตละกลมุ สง ตัวแทน ออกมาอธิบายความรเู กีย่ วกับ ๒.๒) คา� ทใ่ี ชเ้ รยี กสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย เมอ่ื จะแปลงใหเ้ ปน็ ราชาศพั ทจ์ ะใชค้ �าทม่ี า คาํ ศัพทใ นหมวดท่กี ลมุ ของตนเอง จากภาษาอนื่ แลว้ เตมิ คา� “พระ” ขา้ งหนา้ เช่น จบั สลากได โดยยกตัวอยา ง คําอธิบาย ทีม่ าและความหมาย มอื รำชำศพั ท์ใช้ว่ำ พระหตั ถ ์ (บำล)ี เพอ่ื นๆ กลุม อื่นๆ บันทกึ ความรูท ีไ่ ด ตำ รำชำศัพทใ์ ชว้ ่ำ พระเนตร (บำลี) รับจากการฟง เหงือ่ รำชำศพั ทใ์ ช้วำ่ พระเสโท (บำลี) ฟัน รำชำศัพท์ใชว้ ่ำ พระทนต์ (บำล)ี ๒.๓) ค�าที่ใช้เรียกกิริยาอาการ เช่น ความช่วยเหลือ เม่ือแปลงให้เป็นราชาศัพท์ จะใชค้ า� ท่มี าจากภาษาอ่ืน แลว้ เติมค�านา� หน้าให้เหมาะสมกบั อิสรยิ ศักดิ ์ เชน่ 163 คูม ือครู 163

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคนหา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%) นกั เรียนจบั คกู ับเพอ่ื นรว มกนั พระบรมรำชำนุเครำะห์ ใชส้ �ำหรบั พระมหำกษตั ริย์ คน หาความรูเ กี่ยวกบั ขอ สังเกต พระรำชำนุเครำะห ์ ใช้ส�ำหรับ สมเดจ็ พระบรมรำชินีนำถ สมเด็จพระบรมรำชิน ี บางประการเกีย่ วกับราชาศพั ท สมเดจ็ พระบรมรำชชนก สมเดจ็ พระบรมรำชชนนี โดยนกั เรียนอาจสืบคนความรูได สมเดจ็ พระยุพรำช จากหนงั สือเรียน หนา 164-166 หรอื สมเดจ็ พระบรมโอรสำธริ ำช สยำมมกุฎรำชกมุ ำร แหลง เรยี นรูประเภทอื่นๆ ท่สี ามารถ สมเดจ็ พระเทพรตั นรำชสดุ ำฯ สยำมบรมรำชกมุ ำรี เขา ถึงได พระรำชวงศช์ ้นั สมเดจ็ เจำ้ ฟำ้ และพระองคเ์ จำ้ อธบิ ายความรู พระอนุเครำะห ์ ใช้ส�ำหรบั ครสู ุม เรียกชอ่ื นักเรียนเพื่ออธิบาย ขอ้ สงั เกต คา� ทถ่ี อื วา่ เปน็ ราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ ไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งแปลงใหเ้ ปน็ ราชาศพั ทด์ ว้ ย ความรูเ กย่ี วกบั ขอ สังเกตบางประการ วธิ กี ารตา่ งๆ ดงั ทีน่ า� เสนอ เชน่ รับสง่ั ตรัส เสวย กริ้ว ประทำน โปรด เกย่ี วกับราชาศพั ท เพอ่ื นๆ ๒.๔) คา� ทใี่ ชเ้ รยี กชอ่ื สงิ่ ของเครอื่ งใชท้ ว่ั ๆ ไป เชน่ ตา่ งห ู แหวน เมอ่ื จะแปลงใหเ้ ปน็ ในชนั้ เรยี นบนั ทกึ ความรทู ีไ่ ดรับจาก ราชาศพั ท์จะใช้ค�าจากภาษาอนื่ แล้วเติมค�า “พระ” น�าหนา้ เช่น การฟง ลงสมดุ สง ครผู สู อน ตำ่ งห ู รำชำศพั ท์ใช้วำ่ พระกณุ ฑล (บำลี-สนั สกฤต) NET ขอสอบ ป 53 แหวน รำชำศัพท์ใช้วำ่ พระธ�ำมรงค ์ (เขมร) ทนี่ อน รำชำศัพท์ใช้ว่ำ พระยี่ภู่ (บำลี-สันสกฤต) ขอสอบถามวา ขอใดเปนคํา หมอน รำชำศัพท์ใช้ว่ำ พระเขนย (เขมร) ราชาศัพททใ่ี ชแทนคํากริยาในวงเล็บ ไดถูกตองตามลาํ ดบั ๓) การใชร้ าชาศพั ท ์ ราชาศพั ทเ์ ปน็ การใชภ้ าษาทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ วฒั นธรรมอนั ดงี าม ของไทย ซึง่ ควรใชใ้ ห้ถูกตอ้ งเหมาะสมและค�านงึ ถงึ ลา� ดับพระราชวงศ์ ดงั นี้ พระบาทสมเด็จพระเจาอยหู ัว ลา� ดับท่ ี ๑ พระมหากษัตริย์ (ด)ู ผลการดาํ เนนิ งานของโครงการ ลา� ดับท ่ี ๒ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชชนน ี สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาํ ริ แลว สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ (ทักทาย) กบั ราษฎรท่มี าเฝารับเสดจ็ ล�าดบั ท่ี ๓ พระบรมวงศ์ชัน้ สมเดจ็ เจา้ ฟ้า ล�าดบั ท่ ี ๔ พระบรมวงศ์ชั้นพระองคเ์ จ้า พระอนุวงศ์ชัน้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์ 1. ทรงทอดพระเนตร ทรงทักทาย เจ้า พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ ทั้งท่ไี ม่ได้ทรงกรมและทรงกรม 2. ทรงทอดพระเนตร ล�าดับท ี่ ๕ พระอนวุ งศ์ชน้ั หม่อมเจ้า ทรงมีพระราชปฏสิ นั ถาร ขอ้ สงั เกต สมเดจ็ พระสงั ฆราช จะใชร้ าชาศัพท์ในล�าดับชัน้ ที่ ๔ ส่วนชนั้ อ่นื ๆ เชน่ 3. ทอดพระเนตร หมอ่ มราชวงศ ์ หมอ่ มหลวง จะไมใ่ ช้คา� ราชาศพั ท ์ แตใ่ หใ้ ช้ค�าสุภาพ ๓.๑) ขอ้ สงั เกตบางประการเก่ยี วกับราชาศัพท์ มดี งั น้ี ทรงพระราชปฏสิ นั ถาร ๑. ทรง ใช้น�าหน้าค�ากริยา กลุ่มค�ากริยา ให้เป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงฟัง 4. ทอดพระเนตร ทรงยินดี ทรงเป็นศิษย์เก่ำ เป็นต้น มีพระปฏิสนั ถาร 164 (วเิ คราะหค ําตอบ ทอดพระเนตร เปน กรยิ าราชาศพั ทอยูแลว ไมต อ งใช “ทรง” นําหนา จึง ใชวา “ทอดพระเนตร” สว น พระราชปฏสิ นั ถารเปนนาม ราชาศัพทเ ม่ือจะใชเปนกรยิ า ราชาศัพทจ งึ ตองใช “ทรง” นาํ หนา เปน “ทรงพระราช- ปฏิสนั ถาร” ดงั นัน้ จงึ ตอบ ขอ 3.) 164 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ๒. ทรง ใชน้ า� หน้านามราชาศพั ทใ์ ห้เปน็ กริยาราชาศพั ท์ เชน่ พระกรณุ ำ เป็น สาํ รวจคน หา นามราชาศพั ท ์ ใช้ทรงนา� หนา้ เป็น ทรงพระกรณุ ำ หมายถงึ มคี วามกรณุ า เป็นตน้ ๓. กรยิ าใดเป็นราชาศพั ท์อยู่แล้ว ไมต่ อ้ งใช้ “ทรง” นา� หน้าคา� เหล่าน้นั เช่น นักเรยี นจับคกู ับเพื่อนรวมกัน บรรทม เสวย ประทับ สรง คน หาคํานามและคํากริยาราชาศัพท ๔. ทรง ใช้นา� หน้าคา� กรยิ าท่มี ีนามราชาศัพท์ต่อท้ายไม่ได ้ เชน่ มพี ระกรุณำ ซ่งึ มีลกั ษณะการใชท ่ีแตกตางกนั ตาม จะไมใ่ ช้ว่า ทรงมพี ระกรุณำ หรอื มีพระรำชโองกำร จะไม่ใชว้ า่ ทรงมพี ระรำชโองกำร ลาํ ดับพระราชวงศ จาํ นวนไมตา่ํ กวา ๕. เสดจ็ ใชน้ า� หนา้ คา� กรยิ าสามญั บางคา� ใหเ้ ปน็ กรยิ าราชาศพั ท ์ โดยความหมาย 15 คาํ รวบรวมลงสมุด สา� คัญจะอยทู่ ี่กริยาขา้ งหลัง เช่น เสดจ็ ประพำส เสดจ็ เถลงิ ถวัลยรำชสมบตั ิ และใชน้ �าหน้าค�านาม ราชาศัพท์เพอ่ื ใหเ้ ป็นค�ากริยาราชาศัพท ์ เช่น เสดจ็ พระรำชสมภพ อธบิ ายความรู ๖. “พระบรม” ใชน้ า� หนา้ คา� นามทคี่ วรยกยอ่ ง ซง่ึ สงวนไวใ้ ชก้ บั พระมหากษตั รยิ ์ เทา่ น้นั เช่น พระบรมมหำรำชวัง พระบรมรำโชวำท เปน็ ตน้ นักเรยี นแตละคนู าํ คาํ นามและ ๗. “พระราช” ใชน้ า� หนา้ คา� นามทส่ี า� คญั รองลงมา สา� หรบั พระมหากษตั รยิ ์ เชน่ คาํ กริยาราชาศพั ทท ี่รวบรวมไดมา พระรำชอำ� นำจ รวมถงึ สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชิน ี สมเด็จพระบรมราชชนก นําเสนอในรูปแบบตารางเพือ่ แสดง สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ใหเ หน็ ลักษณะการใชทถ่ี ูกตองตาม สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมาร ี เช่น พระรำชกศุ ล ลําดบั พระราชวงศ โดยนกั เรยี น ๘. “พระ” ใช้น�าหน้าค�านามที่เป็นส่ิงสามัญทั่วไป ส�าหรับล�าดับพระราชวงศ์ อาจเทยี บเคยี งหรือใชตวั อยา งจาก ตงั้ แตพ่ ระมหากษตั รยิ จ์ นถงึ ชนั้ พระองคเ์ จา้ สามารถแสดงตวั อยา่ งการใชค้ า� นามและกรยิ าราชาศพั ท์ หนงั สอื เรยี น หนา 165-166 เพือ่ เปน ใหถ้ กู ต้องตามล�าดบั พระราชวงศไ์ ด ้ ดงั นี้ แนวทางสําหรบั การนาํ เสนอ คำ� สำมญั คำ� รำชำศพั ท์ ใชส้ ำ� หรบั NET ขอสอบ ป 53 พระบรมราโชวาท พระมหากษัตริยท์ ่ที รงรับพระบรมราชาภเิ ษกแลว้ ขอสอบถามวา ขอใดเม่อื เตมิ “พระ” ขางหนา แลวใชเ ปน ราชาศัพท พระราโชวาท พระมหากษตั รยิ ์ทยี่ ังไมไ่ ดร้ ับพระบรมราชาภเิ ษก สาํ หรบั พระมหากษัตริยไ ดท ุกคาํ ค�าสอน สมเด็จพระบรมราชินนี าถ สมเด็จพระบรมราชนิ ี 1. บรมราชานสุ าวรยี  พระโอวาท สมเด็จพระบรมราชชนก บรมฉายาลักษณ บรมหฤทยั สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกุฎราชกุมาร 2. บรมชนกนาถ บรมโกศ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บรมวงศ พระราชวงศช์ ้นั สมเด็จเจา้ ฟา้ และพระองคเ์ จา้ 3. บรมหัตถเลขา บรมรูป โอวาท หม่อมเจา้ บรมบพิตร 165 4. บรมมนเทียร บรมอัฐิ บรมเกศา (วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1. ใชไ ด 2 คาํ สว น “บรม หฤทยั ” ตองแกเปน “พระราชหฤทัย” ขอ 2. ใชไดทงั้ 3 คํา ขอ 3. ใชได 2 คาํ สว น “บรมหัตถเลขา” ตองแกเปน “พระราชหตั ถเลขา” ขอ 4. ใชไ มไดเ ลยทงั้ 3 คํา ตอ งแกเ ปน “พระราชมนเทียร” “พระอัฐิ” และ “เสนพระเจา” ตามลาํ ดบั ดงั น้นั จึง ตอบ ขอ 2.) คูมือครู 165

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคน หา (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) นกั เรยี นจับคกู บั เพ่ือนรวมกัน คำ� สำมญั คำ� รำชำศพั ท์ ใชส้ ำ� หรบั คน หาลกั ษณะการใชราชาศัพท สาํ หรบั การกราบบังคมทูลดวยวาจา ค�าวินจิ ฉยั พระบรมราชวนิ จิ ฉยั พระมหากษตั ริยท์ ่ที รงรบั พระบรมราชาภเิ ษกแล้ว โดยนักเรยี นอาจสบื คน ความรูไ ดจ าก หนังสือหรือ พระมหากษัตริย์ที่ยงั ไมไ่ ด้รบั พระบรมราชาภเิ ษก หนังสอื เรียน ในหนา 166-167 หรอื เพลงทแี่ ต่ง พระราชวนิ จิ ฉัย สมเด็จพระบรมราชินีนาถ จากตําราวชิ าการ แหลง สารสนเทศ สมเดจ็ พระบรมราชินี อืน่ ๆ ทส่ี นใจและสามารถเขา ถงึ ได รปู ถา่ ย พระวินิจฉยั สมเดจ็ พระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี อธิบายความรู พระราชนิพนธ์ สมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกฎุ ราชกมุ าร ครสู ุมเรยี กช่อื นักเรียนเพ่อื อธบิ าย พระนิพนธ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ความรูเกีย่ วกับการใชร าชาศัพทเพ่ือ นพิ นธ์ พระราชวงศ์ช้นั สมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า กราบบงั คมทลู ดว ยวาจา ซง่ึ ครผู ูสอน พระบรมฉายาลกั ษณ์ พระมหากษตั ริย์ อาจจะยกลําดบั พระราชวงศแลว สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ ต้งั คาํ ถามถามนกั เรียนวา จะใชค าํ สมเด็จพระบรมราชนิ ี กราบบังคมทลู วา อยา งไร เปนตน สมเด็จพระบรมราชชนก สมเดจ็ พระบรมราชชนนี NET ขอ สอบ ป 53 สมเดจ็ พระยุพราช สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร ขอสอบถามวา ราชาศพั ทใ นขอใด สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ใชเ ติมในชองวา งไดถกู ตอ ง พระราชวงศช์ นั้ สมเดจ็ เจ้าฟา้ และพระองคเ์ จ้า พระเจาหลานเธอ พระองคเจา หม่อมเจา้ พชั รกิติยาภา...โดยรถพระที่นง่ั จาก พระมหากษัตรยิ ์ พระท่ีนั่งอมั พรสถาน พระราชวงั ดุสติ ไป...ในงาน “มดั หมมี่ ดั ใจเดก็ ” พระฉายาลกั ษณ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ บรเิ วณสวนโรงแรมแชงกรลี า สมเด็จพระบรมราชนิ ี สมเด็จพระบรมราชชนก 1. เสดจ็ ทรงเปน ประธาน สมเด็จพระบรมราชชนนี 2. เสด็จ ทรงเปน องคป ระธาน สมเด็จพระยพุ ราช 3. เสด็จฯ เปนประธาน สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกุฎราชกมุ าร 4. เสด็จฯ เปนองคประธาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (วเิ คราะหค าํ ตอบ พระราชวงศ พระรูป พระราชวงศ์ต้ังแตช่ ้นั สมเดจ็ เจา้ ฟ้าถงึ หม่อมเจา้ ช้ัน “พระองคเจา” คาํ ราชาศัพท สําหรบั การเดินทางใชวา ๓.๒) การใช้ค�าราชาศัพท์ส�าหรับการกราบบังคมทูลพระกรุณา กราบบังคมทูล “เสดจ็ ” เปน ประธาน เม่อื จะใช กราบทูล ทลู ด้วยวาจากบั พระราชวงศ์สามารถสรุปเปน็ ตารางได ้ ดังนี้ เปน กริยาราชาศพั ทใ หใ ช “ทรง” นาํ หนาเปน “ทรงเปน ประธาน” 166 ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 1.) 166 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ฐำนนั ดรของ คำ� ขน้ึ ตน้ สรรพนำม คำ� ลงทำ้ ย ขยายความเขาใจ ผรู้ บั ฟงั นกั เรยี นจบั กลมุ ตามความสมคั รใจ พระมหากษตั รยิ ์ ขอเดชะฝา่ ละอองธุลี บรุ ษุ ท ี่ ๑ : ขา้ พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ในจํานวนเทา ๆ กัน หรือตามความ สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ พระบาทปกเกล้า บรุ ุษท ่ี ๒ : ขอเดชะ เหมาะสมใหไ ดจํานวนทงั้ สิ้น 5 กลมุ ปกกระหม่อม ใตฝ้ า่ ละอองธุลีพระบาท จากนนั้ สง ตวั แทนออกมาจบั สลาก ดังน้ี สมเด็จพระบรมราชิน ี ขอพระราชทานกราบ บรุ ษุ ท ี่ ๑ : ขา้ พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม สมเด็จพระบรม- บงั คมทลู ทราบฝา่ ละออง บรุ ุษที่ ๒ : หรอื ควรมิควรแล้วแต่ หมายเลข 1 ความสาํ คญั ของ โอรสาธริ าชฯ พระบาท ใต้ฝ่าละอองพระบาท จะทรงพระกรุณาโปรด ราชาศัพท สมเดจ็ พระเทพรัตน- เกล้าโปรดกระหม่อม ราชสุดาฯ หมายเลข 2 ทม่ี าของราชาศัพท หมายเลข 3 ขอสังเกตเก่ียวกับ พระบรมวงศ์ชั้น ขอพระราชทานกราบทลู บรุ ษุ ท ่ี ๑ : ขา้ พระพทุ ธเจา้ ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะ สมเดจ็ เจ้าฟา้ ทราบฝ่าพระบาท บรุ ษุ ท ่ี ๒ : ใตฝ้ า่ พระบาท โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม ราชาศัพท หมายเลข 4 การใชร าชาศัพทให พระบรมวงศ์ชนั้ ขอประทานกราบทลู บรุ ษุ ท ่ี ๑ : ขา้ พระพทุ ธเจา้ ควรมิควรแล้วแต่จะ พระองคเ์ จ้า ทราบฝา่ พระบาท บรุ ษุ ท ี่ ๒ : ใตฝ้ า่ พระบาท โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม ถูกตองตามลาํ ดับ ราชวงศ พระอนวุ งศ์ชน้ั พระเจ้า กราบทูล บรุ ษุ ท่ี ๑ : ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด หมายเลข 5 การใชราชาศพั ท วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ทราบฝา่ พระบาท เกล้ากระหมอ่ ม (ช.) เพ่อื กราบบงั คมทูล (ทไี่ ม่ได้ทรงกรม) และ เกลา้ กระหมอ่ มฉนั (ญ.) เมื่อจบั สลากไดแ ลวใหน ักเรยี น พระวรวงศ์เธอ พระองค์ บรุ ษุ ที่ ๒ : ฝ่าพระบาท รวมกนั ศึกษาคนควาขอ มลู เพื่อนาํ มา เจา้ (ท่ที รงกรม) จดั แสดงบนแผน ปา ยนิเทศประเภท พลาสติกลกู ฟูก สง ครผู สู อน พระอนวุ งศช์ นั้ ทูล ทราบฝา่ พระบาท บรุ ษุ ท ี่ ๑ : กระหมอ่ ม (ช.) ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด พระวรวงศเ์ ธอ พระองค์ หม่อมฉัน (ญ.) ตรวจสอบผล เจ้า (ทไี่ ม่ได้ทรงกรม) บุรุษท ี่ ๒ : ฝ่าพระบาท ครตู รวจสอบความรูความเขา ใจ พระอนวุ งศช์ นั้ หมอ่ มเจา้ ทลู ฝ่าพระบาท บรุ ษุ ท ี่ ๑ : กระหมอ่ ม (ช.) แลว้ แตจ่ ะโปรด ของนกั เรียนจากแผนปา ยนเิ ทศ หม่อมฉนั (ญ.) ท่ีนําสง บรุ ุษท่ ี ๒ : ฝ่าพระบาท แหสลดกั งฐผานลการเรียนรู สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ขอประทานกราบทลู บรุ ษุ ท ่ี ๑ : ขา้ พระพทุ ธเจา้ ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะ สมเด็จพระสังฆราชเจา้ ทราบฝา่ พระบาท บรุ ษุ ท ี่ ๒ : ใตฝ้ า่ พระบาท โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม แผนปายนเิ ทศประเภทพลาสติก ลูกฟกู สมเดจ็ พระสังฆราช กราบทลู บรุ ษุ ท่ี ๑ : ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด ปจั จุบันไดแ้ ก่ ทราบฝา่ พระบาท เกล้ากระหมอ่ ม (ช.) สมเด็จพระญาณสงั วร เกลา้ กระหมอ่ มฉนั (ญ.) สมเดจ็ พระสงั ฆราช บรุ ษุ ที่ ๒ : ฝ่าพระบาท สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก 167 คูมอื ครู 167

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%) ครูอธบิ ายเกย่ี วกบั ลักษณะเฉพาะ ๓.๓) ตัวอย่างการกราบบังคมทูลด้วยวาจา ค�าถวายสัตย์สาบานในการที่ได้รับ ของคําในภาษาไทย จากนน้ั ให พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักด์ิรามาธิบดี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นักเรียนยกตัวอยา งคาํ ทนี่ กั เรยี น ในพระบรมมหาราชวัง คดิ วาเปนคาํ ไทยแท นกั เรยี นในหอ ง วิเคราะหล กั ษณะของคาํ ดงั กลา วรว ม ขอเดชะฝ่ำละอองธุลีพระบำทปกเกล้ำปกกระหม่อม ข้ำพระพุทธเจ้ำ (ออกชื่อถวำย กนั จากนนั้ ครตู ัง้ คําถามเพอื่ นาํ เขา สู สตั ยส์ ำบำน) ขอพระรำชทำนกระทำ� สตั ยป์ ฏญิ ำณสำบำนตวั ตอ่ ประเทศชำตแิ ละประชำชนชำวไทย หัวขอ การเรยี นการสอน เฉพำะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ์ เฉพำะพระพทุ ธมหำมณีรตั นปฏมิ ำกร ทำ่ มกลำงมหำสันนิบำต นี้วำ่ • คาํ ไทยแทใ ชป ะปนกบั คาํ ทย่ี มื มา ข้ำพระพุทธเจำ้ ผู้เป็นสมำชิกแหง่ เคร่อื งรำชอิสริยำภรณอ์ ันมศี ักด์ิรำมำธบิ ดี จะภักดตี อ่ จากภาษาตา งประเทศ นกั เรยี น ชำตบิ ำ้ นเมือง จะซื่อสัตยต์ ่อประชำชนและตอ่ หน้ำที ่ จะปฏบิ ตั ิกำรทุกอยำ่ งโดยเตม็ ก�ำลังสติปญั ญำ คดิ วา นา จะมสี าเหตมุ าจากอะไร ควำมสำมำรถ และโดยควำมเสียสละ เพ่ือควำมเจริญควำมสงบสุข และควำมมั่นคงไพบูลย์ของ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบ ประเทศชำติไทย จนตรำบเท่ำชวี ติ รำ่ งกำยจะหำไม ่ ไดอยางหลากหลาย ตาม หำกข้ำพระพุทธเจ้ำประพฤติปฏิบัติฝืนค�ำสัตย์นี้เม่ือใด ขอควำมวิบัติจงบังเกิดแก่ พน้ื ฐานความรูและความเขาใจ ข้ำพระพุทธเจ้ำ เม่ือนั้นโดยฉับพลันทันทีอย่ำให้มีควำมสุขควำมสวัสดีด้วยประกำรใดๆ หำก เชน ความเจรญิ กาวหนาทาง ข้ำพระพุทธเจ้ำด�ำรงมั่นในสัตย์ปฏิญำณนี้ย่ังยืนไป ขออำนุภำพพระรัตนตรัยและเทพยดำอำรักษ ์ เทคโนโลยี การตดิ ตอ ทางดาน มีพระสยำมเทวำธิรำช เป็นต้น จงบันดำลควำมสุขควำมสวัสดีแก่ข้ำพระพุทธเจ้ำทุกเม่ือ ให้ข้ำ การคา ขาย เศรษฐกจิ การรับ พระพุทธเจ้ำมีควำมเจริญในหน้ำท่ีรำชกำร เป็นก�ำลังทะนุบ�ำรุงประเทศชำติสืบไปได้ตำมปณิธำน วฒั นธรรมบางประการเขา มา ปรำรถนำจงทกุ ประกำร ใชในสังคม วัฒนธรรมไทย เปน ตน ) ด้วยเกล้ำดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ สาํ รวจคนหา ๓ อทิ ธิพลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย นกั เรียนจับคูก บั เพอื่ นรว มกัน ภาษาเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการสื่อสาร สืบคน ประโยชนข องการยืมคําภาษา ของมนษุ ย์ ตางประเทศเขามาใชใ นภาษาไทย การยืมค�าท่ีมาจากภาษาต่างประเทศจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการรับวัฒนธรรมอื่นเข้ามา บันทกึ ความรูท ี่ไดจ ากการสบื คน รว ม ในภาษาของตน ไมว่ า่ การรบั น้นั จะเกดิ ขน้ึ ด้วยความจงใจหรือไมก่ ต็ าม นอกจากนี ้ การยมื คา� ทม่ี า กนั ลงสมุด โดยนกั เรียนอาจสบื คน จากภาษาต่างประเทศเขา้ มาใช้ยงั มคี วามสัมพันธ์กบั การค้า การเมอื งการปกครอง และการศึกษา จากหนงั สือเรียนภาษาไทยหรอื แหลง ซ่งึ ท�าให้ภาษามคี วามเจรญิ งอกงามและมีค�าส�าหรบั ตดิ ตอ่ สื่อสารมากข้ึน การเรียนรปู ระเภทอื่นๆ ค�าท่ียืมมาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยมีหลากหลายที่มา แต่ละภาษาท่ีน�ามาใช้ มีลักษณะทางภาษาท่แี ตกตา่ งกัน ภาษาต่างประเทศท่ปี รากฏการใชใ้ นภาษาไทยในด้านตา่ งๆ นัน้ ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นอทิ ธพิ ลของภาษาต่างประเทศ ดังนี้ 168 168 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ๓.๑ ภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาไทย สํารวจคนหา ภาษาบาลแี ละสนั สกฤต เป็นภาษาในตระกลู อนิ โด-อารยนั (Indo-Aryan) ซง่ึ เปน็ สาขา ครทู ําสลากเทากับจํานวนนักเรียน ย่อยในภาษาตระกูลอนิ โด-ยโู รเปียน (Indo-European) ในหองโดยเขียนหมายเลข 1, 2, 3 ๑) อิทธิพลของค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต พบการใช้อย่าง และ 4 ลงบนกระดาษในจาํ นวน กลมกลนื เปน็ หนงึ่ ในภาษาไทย มกี ารใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในชวี ติ ประจา� วนั ในการตดิ ตอ่ สอื่ สารทว่ั ไป เทา ๆ กนั หรือตามความเหมาะสม ท้ังภาษาพูด ภาษาเขียน และแม้แต่ใช้เป็นค�าวิสามานยนามเรียกสิ่งของต่างๆ สถานท่ี รวมถึง จากนัน้ ใหน กั เรียนแตล ะคนออกมา ช่อื บุคคล และการใชเ้ ป็นคา� ราชาศัพท ์ เช่น จับสลาก ใครทจี่ ับไดห มายเลข เหมือนกนั ใหอ ยกู ลุมเดยี วกนั • ค�าวิสามานยนาม เชน่ ครุ สุ ภา เปน็ ตน้ จากนน้ั ครูแจงหวั ขอสําหรับการ • ชือ่ บุคคล เช่น นท ี ปราชญ ์ พล ประสทิ ธ ์ิ เปน็ ตน้ สบื คนความรูรวมกนั ดงั นี้ • คา� ราชาศพั ท ์ เชน่ พระบรมราชโองการ ประสตู ิกาล พระครรภ ์ เปน็ ตน้ • การสื่อสาร พบค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ใช้ในชีวิตประจ�าวันหรือ หมายเลข 1 อทิ ธพิ ลของภาษา บาลแี ละสนั สกฤตใน การสอื่ สารทีเ่ ปน็ ทางการ ดงั น้ี ภาษาไทย “ตำมที่คุรุสภา ไดก้ �ำหนดกำรสรรหำครูภาษาไทยดเี ดน่ เพ่ือรับรำงวัลเขม็ เชดิ ชูเกยี รติ หมายเลข 2 อิทธพิ ลของภาษา จำรึกพระนามาภิไธยย่อ สธ ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ตำมโครงกำรยกย่องเชิดชูเกียรติ เขมรในภาษาไทย ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทำงกำรศกึ ษาน้ัน บัดน ้ี คณะกรรมการคุรสุ ภา ในกำรประชมุ ครง้ั ที ่ ๑๔/๒๕๕๔ วนั ท ี่ ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๕๔ ได้อนมุ ตั ิให้ครูภาษาไทยผูม้ คี ุณสมบตั คิ วรแก่กำรยกยอ่ ง เชดิ ชูเกยี รติ หมายเลข 3 อิทธพิ ลของภาษา เปน็ ครูภาษาไทยดีเด่น ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ ดงั ตอ่ ไปน”้ี ชวาและมลายู ใน ภาษาไทย นอกจากนย้ี งั ถอื วา่ คา� ทย่ี มื มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ในภาษาไทย เปน็ ภาษาระดบั สงู จึงนิยมน�ามาใช้เป็นค�าราชาศัพท์ รวมถึงใช้ในการประพันธ์งานวรรณคดีและงานกวีนิพนธ์ โดย หมายเลข 4 อทิ ธิพลของภาษา เฉพาะวรรณคดโี บราณ เช่น ยวนพา่ ยโคลงด้ัน ก�าสรวลสมทุ ร ทวาทศมาส เชน่ อังกฤษในภาษาไทย โดยแตละกลุมจะตอ งศกึ ษา วธิ ีการสังเกตคาํ ท่ียมื มาจากภาษา ตางประเทศนนั้ ๆ และอิทธิพลของ ภาษาดังกลาวทม่ี ตี อ ภาษาไทย ใช เวลาในการสบื คน รว มกัน 20 นาที ๏ ศรีสิทธิสวสั ด ิ์ ชยศั ดมุ งคล NET ขอสอบ ป 51 วมิ ลวบิ ลุ ย อดุลยาดิเรก เอกภูธรกรกช วิกสิตสโรโชดม บรมนบอภวิ าท ขอสอบถามวา ขอ ใดไมม คี าํ ทม่ี า ทศนขั สมชุ ลิด สํนะุ พระสัทธรรมาทติ ย บพติ รมหทิ ธมิ เหาฬาร จากภาษาบาลีหรอื ภาษาสันสกฤต บาทรโชพระโคดม 1. เราตอ งใชภาษาไทยใหถูกตอ ง (ยวนพ่ายโคลงดั้น) 2. อยาเลยี้ งลูกใหเ ปน เทวดา 3. ชื่อของเขาอยูใ นทําเนียบรุน 169 4. ภรรยาของเขาทาํ งานอยทู น่ี ่ี (วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. คอื ภาษา ขอ 2. คือ เทวดา สวนขอ 4. คอื ภรรยา ขอ 3. ไมมคี ําท่ยี มื มาจากภาษาบาลี และสันสกฤต ดังนน้ั จึง ตอบ ขอ 3.) คูมือครู 169

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%) นักเรยี นกลมุ ท่จี ับสลากได ๒) หลกั การสงั เกตคา� ทย่ี มื มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต มีดงั นี้ หมายเลข 1 สง ตัวแทน 2 คน ออกมา ๒.๑) การใช้อักษรบางตัวท่ีไม่นิยมเขียนในค�าภาษาไทย อักษรบางตัวพบมากใน อธิบายความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั คา� ยมื ภาษาบาลแี ละสนั สกฤต แตม่ ใี นภาษาไทยนอ้ ยหรอื บางตวั ไมพ่ บการใชใ้ นภาษาไทยเลย ไดแ้ ก่ มอบหมาย โดยแตล ะคนอธบิ าย ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ภ ศ ษ ฬ และสระ ฤ ฤๅ ตวั อยา่ งค�าท่ีมีอกั ษรที่นยิ มใช้ในภาษาบาลแี ละ ความรคู นละประเด็น ใชเวลาคนละ สนั สกฤต เชน่ ฐำนะ ฐำกูร ฎกี ำ ทณั ฑฆำต ทักษะ ปฏิปักษ ์ เปน็ ตน้ ไมเ กนิ 3 นาที เพอื่ นๆ ในช้นั เรียน ๒.๒) การใชต้ วั การนั ตท์ า้ ยคา� คา� ทยี่ มื มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ทป่ี รากฏใชใ้ น บันทกึ ความรทู ไ่ี ดรบั จากการฟง ภาษาไทยนิยมใช้ตัวการันต์ในต�าแหน่งสุดท้ายของค�า เพื่อปรับลดจ�านวนพยางค์ในค�าภาษาบาลี ลงสมุด หลงั การอธิบายความรู ครู และสันสกฤตให้ออกเสียงภาษาไทยได้สะดวกและเข้ากับระบบเสียงของภาษาไทย เช่น ศำสตร์ สุม เรียกชือ่ นกั เรยี นเพอื่ ตอบคําถาม ลักข์ เกียรต์ิ มนุษย์ ฤทธิ์ วสิ ุทธ์ิ กษตั รยิ ์ เปน็ ต้น ๒.๓) ไม่ใช้เคร่ืองหมายไม้ไต่คู้ ค�าท่ียืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตไม่มีการใช้ • การเรยี นรภู าษาบาลแี ละ เครอื่ งหมายไมไ้ ตค่ ู้ เนอื่ งจากไมไ้ ตค่ เู้ ปน็ เครอื่ งหมายทใ่ี ชเ้ ขยี นค�าทอ่ี อกเสยี งสนั้ ในค�าไทยแทแ้ ละ สนั สกฤต ทาํ ใหน ักเรยี น ค�าท่ียืมมาจากภาษาต่างประเทศอื่นท่ีไม่ใช่ภาษาบาลีและสันสกฤต แต่ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี เขา ใจรากฐานทางภาษาและ และสนั สกฤตไมใ่ ชเ้ คร่ืองหมายไมไ้ ตค่ ้ ู แมเ้ ปน็ คา� ทอ่ี อกเสียงส้ัน เช่น เพชฌฆำต เวจกุฎี เป็นต้น วัฒนธรรมไทยอยางไร ๒.๔) ไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์ ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย (แนวตอบ ไทยรับภาษาบาลีและ ไมม่ ีการใชร้ ปู วรรณยุกต์กา� กบั แมใ้ นการออกเสียงจะเหมือนมเี สียงวรรณยกุ ต์กต็ าม เชน่ เกษม สนั สกฤต มาจากการนบั ถือ เกศ เปน็ ต้น พระพทุ ธศาสนา ซ่งึ เปนรากฐาน ๒.๕) มกั เปน็ คา� หลายพยางค ์ คา� ทยี่ มื มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตทใี่ ชใ้ นภาษาไทย ของสงั คมไทย ภาษาบาลแี ละ ส่วนใหญเ่ ปน็ ค�าหลายพยางค ์ เชน่ ศิลปศำสตร์ มไหศวรรย์ กำลกิณี ประเทศ สถำปนิก เปน็ ต้น สนั สกฤตจึงเขา มามอี ิทธพิ ลและ เปนสว นหนึง่ ในชวี ิตประจําวัน ๓.๒ อิทธิพลของภาษาเขมรในภาษาไทย ของคนไทย เชน ใชในบท สวดมนต การต้ังชือ่ เปน ตน) ภาษาเขมรเปน็ ภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ (Austroasiatic) ภาษาทส่ี า� คญั ในตระกลู นี้ เชน่ ภาษาเขมร ภาษามอญ ภาษาเวยี ดนาม เป็นตน้ NET ขอ สอบ ป 53 ๑) อทิ ธพิ ลของคา� ทย่ี มื มาจากภาษาเขมร ในภาษาไทยมลี กั ษณะการใชค้ ลา้ ยคลงึ กับอิทธิพลของค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต พบการใช้ในชีวิตประจ�าวันในลักษณะ ขอ สอบถามวา ขอใดไมม ีคาํ ยมื วิสามานยนามเรียกชือ่ คน สถานท ี่ ใชใ้ นการติดต่อสือ่ สารทว่ั ไป และยังพบการใชใ้ นคา� ราชาศพั ท ์ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต เช่น ก. วันจะจรจากนองสิบสองค่ํา • ค�าวิสามานยนาม เชน่ ราชดา� เนิน พระประแดง (กรอ่ นมาจาก กมรเตง) เปน็ ต้น ข.พอจวนย่าํ รุงเรงออกจากทา • คา� กริยา เช่น เดิน แถลง ฉลอง ต�าหน ิ เผดียง เปน็ ต้น ค.รําลกึ ถึงดวงจันทรครรไลลา • คา� ราชาศพั ท ์ เชน่ เสดจ็ เสวย บรรทม บัณฑรู ตรสั เปน็ ตน้ ง. พตี่ ้ังตาแลแลตามแพราย 1. ขอ ก. และ ข. 170 2. ขอ ก. และ ค. 3. ขอ ข. และ ง. 4. ขอ ค. และ ง. (วิเคราะหค ําตอบ ขอ ก. มคี ํายมื ภาษาบาลีและสันสกฤต คอื “จร” และขอ ค. มคี ํายืมภาษา บาลแี ละสันสกฤต คอื “จันทร” ดงั นัน้ จึง ตอบ ขอ 3.) 170 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate นอกจากนยี้ งั พบการใชใ้ นจารกึ เอกสาร วรรณคดโี บราณ เชน่ จารกึ สมยั สโุ ขทยั มหาชาติ อธิบายความรู คา� หลวง อนริ ทุ ธคา� ฉนั ท ์ ฉนั ทด์ ษุ ฎสี งั เวยกลอ่ มชา้ ง เปน็ ตน้ ซง่ึ การศกึ ษาคา� ทยี่ มื มาจากภาษาเขมร ช่วยใหต้ คี วาม ท�าความเขา้ ใจจารกึ และวรรณคดีโบราณไดช้ ดั เจนยง่ิ ขน้ึ เช่น นักเรียนกลุมทีจ่ ับสลากได หมายเลข 2 สง ตวั แทน 2 คน ออกมา บรรทัดที่ ๑ ๑๒๖๙ ศก กรุ พฺระบำทกมรฺ เดงอญฤ ไทย อธบิ ายความรใู นประเด็นท่ไี ดร ับ บรรทดั ท ี่ ๒ รำช ด ชำ พรฺ ะเจำ ต พรฺ ะบำทกมฺรเดงอญศฺรีรำม มอบหมายโดยใชกติกาเรื่องเวลา บรรทดั ท ี่ ๓ รำช น�ำ เสนำพลพฺยหู โผง อว� ิ ศฺรีสชนำไลย เชนเดยี วกบั กลุม ที่ 1 เพอ่ื นๆ ใน ชั้นเรยี นบนั ทึกความรทู ไ่ี ดรับจากการ (จารกึ วัดป่ามะมว่ ง ภาษาเขมร ด้านท ่ี ๑ พ.ศ. ๑๙๐๔) ฟงลงสมดุ หลังการอธิบายความรู ครสู มุ เรียกชือ่ นกั เรียนเพอ่ื ตอบ ๏ อัญขยมบงั คมภวู สวะ มนตรชากรุงชนะ คําถาม นติ ยเทวดาผอง ๏ มนตรพระ ด อาจโปรด ชนะเคราะหบงั คอง • คาํ ทย่ี มื มาจากภาษาเขมร มกั นาํ เนาบาปเนาะผอง ด ศรีรแสงสะ มาใชใ นดา นใด และเพราะเหตใุ ด ... (แนวตอบ มกั ใชเปนคําราชาศพั ท ๏ อาจเดริ ดาํ เนิรนกั กมุ บเิ ดิรบเิ จรญิ จบ หรือคําสวดตางๆ เชน ฉนั ท อาจเถวอบินกั สยบ กมุ บิยอกจรลงิ ฮอง ดุษฎสี งั เวยกลอมชาง เพราะ … ไทยไดรบั วฒั นธรรมท่ีสบื ทอด ๏ สรวมสรรพเทวนจุ งอวย พรนอุ ํานาจถวาย ทางศาสนาบางสว นมาจาก สดดุ บี ังคมบดิราํ พาย นิตยภักดสิ บวาร เขมร รวมทง้ั รับความเชอื่ เรือ่ ง สมมติเทพมาจากเขมร ดงั น้ัน จึงปรากฏคําทยี่ ืมมาจากภาษา เขมรในภาษาไทยในรปู แบบของ คาํ ราชาศัพท) (ฉันทด์ ุษฎสี งั เวยกลอ่ มช้าง) ๒) หลกั การสงั เกตคา� ทย่ี มื มาจากภาษาเขมร มีดงั นี้ NET ขอสอบ ป 51 ๒.๑) คา� โดด ภาษาเขมรเปน็ คา� โดด คา� ยมื ภาษาเขมรในภาษาไทยจงึ มลี กั ษณะเปน็ คา� โดดดว้ ย เชน่ กรงุ เนำ ขลงั เปน็ ตน้ ขอ สอบถามวา ขอ ใดไมมีคํายืม ๒.๒) มีลักษณะการสะกดไม่ตรงกับภาษาไทย ภาษาเขมรมีหน่วยเสียงตัวสะกด จากภาษาตา งประเทศ มากกว่าภาษาไทย จึงพบว่าเมื่อน�ามาใช้ในภาษาไทยแม้จะมีการปรับเสียงให้ตรงกับหน่วยเสียง ตัวสะกดของภาษาไทย แต่ก็มีการรักษาอักขรวิธีการเขียนเดิมไว้ จึงสามารถสังเกตเห็นถึงความ 1. ฝรั่งเปน ตน ตํารับอาหารกินเรว็ แตกต่างจากภาษาไทยได้งา่ ย เชน่ เพญ็ เสดจ็ ประจญั เปน็ ต้น ยืนกินเดินกินกไ็ ด ๒.๓) เป็นคา� ท่ไี มม่ ีรปู วรรณยุกต ์ ภาษาเขมรเป็นภาษาท่ีไม่มีหนว่ ยเสียงวรรณยุกต์ ค�าท่ยี ืมมาจากภาษาเขมรจึงไมม่ ีรปู วรรณยกุ ต์ เชน่ กระแส เสมยี น เปน็ ต้น 2. เม่อื เรารบั มากต็ องกนิ ตามอยา ง เขาและรสู กึ วา งา ยดี 171 3. เราไมไ ดก นิ เพือ่ ประหยดั เวลา เอาไวท าํ การงานอยา งอืน่ 4. เปน การกนิ เลนๆ กนั ในหมู คนวยั ทีย่ งั ทํามาหากนิ ไมไ ด มากกวา (วเิ คราะหคําตอบ ขอ1. คือ ตํารับ เดิน (เขมร) ขอ 3. คอื เวลา การ (บาลีและสันสกฤต) สวน ขอ 4. คอื การ วัย (บาลีและสนั สกฤต) ดงั น้ันจึง ตอบ ขอ 2.) คมู ือครู 171

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) นกั เรยี นในกลุมทจ่ี ับสลากได ๒.๔) เปน็ คา� แผลง ภาษาเขมรมวี ธิ กี ารสรา้ งคา� ใหมด่ ว้ ยการเตมิ หนว่ ยคา� เตมิ หนา้ และ หมายเลข 3 สงตวั แทน 2 คน ออกมา หน่วยคา� เตมิ กลาง ซ่ึงในภาษาไทยเรียกว่า “คำ� แผลง” คา� ทยี่ ืมมาจากภาษาเขมรทใี่ ชใ้ นภาษาไทย อธิบายความรูใ นประเดน็ ท่ไี ดรับ จึงมีคา� ที่ยืมมาจากค�าแผลงด้วย เช่น ส�ำเร็จ (เสรจ็ ) กำ� ลัง (ขลัง) ด�ำรสั (ตรัส) เปน็ ต้น มอบหมาย โดยใชกติกาเร่อื งเวลา ๒.๕) นยิ มน�ามาใช้เปน็ ค�าราชาศัพท์ คา� ทย่ี มื มาจากภาษาเขมรในภาษาไทยมกั น�า เชน เดียวกบั กลมุ ท่ี 1 และ 2 เพอ่ื นๆ มาใช้เปน็ ค�าราชาศพั ทใ์ นภาษาไทยด้วย เช่น บัณฑรู เสวย ขนอง เป็นต้น ในชั้นเรยี นบันทึกความรูที่ไดร ับจาก การฟงลงสมุด หลังการอธบิ าย ๓.๓ ภาษาชวา-มลาย ู ในภาษาไทย ความรู ครสู มุ เรียกช่ือนักเรยี นเพอื่ ตอบคําถาม ภาษาชวา-มลายู เปน็ ภาษาในตระกูลมาลาโย-โพลินเี ชียน (Malayo-Polynesian) หรือ ออสโตรนเี ชียน (Austronesian) • การยืมคาํ ทีม่ าจากภาษา ๑) อทิ ธพิ ลของคา� ทย่ี มื มาจากภาษาชวา-มลาย ู ในภาษาไทยสามารถจา� แนก ชวา มลายู มาใชในภาษาไทย ออกเปน็ ๓ กลมุ่ คอื กลมุ่ ทรี่ บั มาใชใ้ นภาษาไทยถนิ่ ใต ้ เชน่ กาหย ู (มะมว่ งหมิ พานต)์ ฆง (ขา้ วโพด) สะทอ นใหเหน็ อิทธิพลทางดา น หลุด (ดนิ โคลน) เป็นต้น กลมุ่ ท ี่ ๒ คอื คา� ทีร่ บั มาใชใ้ นภาษาไทยทัว่ ไป เช่น กรชิ กัญชา กา� ปัน ใด วิรงรอง เป็นต้น กลุ่มสุดท้าย คือค�ายืมภาษาชวา-มลายู ในวรรณคดี เช่น ยิหวา ปันจุเหร็จ (แนวตอบ ไทยรบั คําท่ีมาจาก กระยาหงัน ตนุ าหงนั เป็นตน้ ชวา มลายู เนือ่ งมาจากอิทธิพล ดา นวรรณคดี เชน อิเหนา ๏ จึงเห็นจารึกอักษร นามกรพระโอรสา นอกจากนี้แลว ยังนํามาใชเปน ช่ือหยงั หยงั หนึ่งหรัดอินดรา อุดากนั สาหรปี าตี คาํ ในภาษาถนิ่ ใต ดงั นัน้ คาํ ทยี่ ืม อเิ หนาเองหยังตาหลา เมาะตาริยะกดั ดงั สุรศรี มาจากภาษาชวา มลายู จงึ มี ดาหยังอรริ าชไพรี เองกะนะกะหรีกุเรปน อทิ ธพิ ลตอภาษาไทยในดานของ วรรณคดแี ละคาํ ศัพทเ ฉพาะถน่ิ ) (บทละครเรือ่ งอิเหนา : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ) นักเรียนควรรู ๒) หลกั การสงั เกตคา� ทย่ี มื มาจากภาษาชวา-มลาย ู มดี ังน้ี ๒.๑) มีลักษณะเป็นค�าสองพยางค์ ภาษาชวา-มลายู มีค�าพยางค์เดียวน้อย แต่ คาํ ราชาศัพท คอื คาํ เฉพาะใช ภาษาไทยเปน็ ภาษาคา� โดด จงึ สามารถสงั เกตเหน็ ไดง้ า่ ยวา่ คา� ใดเปน็ คา� ทยี่ มื มาจากภาษาชวา-มลาย ู สาํ หรับเพ็ดทูลพระเจา แผน ดนิ และ เชน่ ระเด่น บหุ ลนั บุหรง ปำเตะ เป็นตน้ เจานาย ตอมาหมายถงึ คาํ ท่ใี ชก ับ ๒.๒) ไม่มีเสียงพยัญชนะควบกล�้า แต่ภาษาไทยมีพยัญชนะหลายเสียงที่สามารถ พระภิกษสุ งฆ ขา ราชการ เป็นพยญั ชนะควบกลา้� ได้ จึงมีความแตกต่างกนั อย่างชดั เจน เชน่ กัลปงั หำ กะปะ เป็นต้น และสุภาพชน ๒.๓) ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ไม่มีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ดังน้ัน ค�าท่ียืมมาจากภาษา ชวา-มลายู ในภาษาไทยส่วนใหญ่จงึ ไมม่ ีรูปวรรณยุกต ์ เช่น เจยี ระไน โนรี เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตาม NET ขอสอบ ป 52 ค�ายืมบางค�าท่ีน�ามาใช้มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับด้วย เพ่ือให้สอดคล้องกับระบบเสียงในภาษาไทย เชน่ บำ้ บำ ย่ำหนัด เปน็ ตน้ ขอ สอบถามวา คําประพนั ธตอ ไปน้ี 172 มคี ํายมื ภาษาตา งประเทศกีค่ าํ (ไมน ับคําซํา้ ) พ่ีมนุษยส ุดสวาทเปนชาติยักษ จงคดิ หักความสวาทใหข าดสญู กลบั ไปอยคู ูหาอยาอาดูร จงเพมิ่ พูนภาวนารักษาธรรม 1. 7 คาํ 2. 8 คํา 3. 9 คํา 4. 10 คํา (วิเคราะหคาํ ตอบ คํายืมภาษาตา งประเทศไดแ ก มนษุ ย สวาท ชาติ ยักษ สูญ คูหา อาดรู ภาวนา รกั ษา ธรรม รวม 10 คาํ ดงั นั้นจงึ ตอบ ขอ 4.) 172 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore ๓.๔ ภาษาองั กฤษในภาษาไทย อธิบายความรู ภาษาอังกฤษอยู่ในตระกลู ภาษาอินโด-ยูโรเปยี น (Indo-European) คา� ในภาษาอังกฤษ นกั เรยี นในกลุม ที่จบั สลากได สามารถเปลีย่ นรปู ด้วยการเตมิ หนว่ ยผนั คา� หรอื เปลย่ี นเสียงสระในคา� หมายเลข 4 สงตวั แทน 2 คน ออกมา ๑) อิทธพิ ลของค�าท่ยี มื มาจากภาษาองั กฤษ เกดิ จากการติดตอ่ รับวัฒนธรรม อธบิ ายความรูในประเดน็ ที่ไดรับ ศิลปวิทยาการจากชาติตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย จึงท�าให้รับค�ายืมภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ มอบหมาย โดยใชก ตกิ าเรือ่ งเวลา ซ่ึงบางส่วนมีการใช้เป็นปกติในชีวิตประจ�าวัน เช่น เกม ฟรี คอมพิวเตอร์ เป็นต้น แต่บางค�า เชน เดียวกบั กลุมอืน่ ๆ เพอื่ นๆ เป็นศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ วิทยาการ หรือหน่วยงานหน่ึงๆ เช่น อิเล็กตรอน นิวเคลียส ในชน้ั เรยี นบนั ทกึ ความรูทีไ่ ดรับจาก เอกซเรย ์ เป็นต้น นอกจากนีย้ งั มกี ารใชค้ �ายมื ภาษาองั กฤษเพอื่ ใชเ้ รยี กชอ่ื ประเทศตา่ งๆ อีกด้วย การฟงลงสมดุ หลงั การอธบิ าย ความรู ครูสุม เรยี กช่ือนักเรียนเพื่อ ต่อมทอนซลิ (tonsil) เปน็ กลมุ่ ของเนอ้ื เยอื่ ประเภทตอ่ มนำ้� เหลือง มีหน้ำทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ตอบคําถาม กับระบบภมู ิคมุ้ กนั ของรำ่ งกำย ภำยในตอ่ มมีเมด็ เลือดขำวหลำยชนดิ หนำ้ ที่หลักคอื จับและท�ำลำย เช้ือโรคท่ีเข้ำสู่ร่ำงกำยทำงทำงเดินอำหำร หน้ำที่รองลงมำคือ สร้ำงภูมิคุ้มกัน ต่อมทอนซิลพบได้ • ปจ จบุ ันการศึกษาภาษาอังกฤษ หลำยตำ� แหน่ง ต่อมท่ีเรำเห็นจะอย่ดู ำ้ นขำ้ งของช่องปำก มชี อ่ื เรียกว่ำ พาลาทนี ทอนซลิ (palatine มอี ิทธิพลตอ การใชค าํ หรอื การ tonsil) นอกจำกน้ันตอ่ มทอนซิลยงั พบไดบ้ ริเวณโคนล้นิ (lingual tonsil) และชอ่ งหลงั โพรงจมูก ออกเสียงในภาษาไทยอยา งไร (adenoid tonsil) (แนวตอบ ทาํ ใหมีการใชคาํ ภาษา ไทยปนกบั ภาษาองั กฤษ และ http://www.meedee.net/magazine/med/medical-life/4916 ออกเสียงภาษาไทยไมชดั เจน เพราะคนุ เคยกับสําเนียงภาษา ๒) หลกั การสงั เกตคา� ทยี่ มื มาจากภาษาองั กฤษ มีดังนี้ อังกฤษ ) ๒.๑) ลักษณะเป็นค�าหลายพยางค์ ค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษท่ีปรากฏใช้ใน ภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นค�าหลายพยางค์ เม่ือน�ามาใช้จึงท�าให้ภาษาไทยมีค�าหลายพยางค์มากข้ึน ขยายความเขา ใจ เชน่ นวิ เคลยี ร์ ไดโนเสำร์ ทรำนซิสเตอร์ เป็นตน้ ๒.๒) ไมม่ กี ารเปลย่ี นรปู ไวยากรณ ์ แมภ้ าษาองั กฤษจะมกี ารเปลย่ี นแปลงรปู คา� ตาม นกั เรยี นเลือกเขยี นวิเคราะห ลักษณะทางไวยากรณ์ แต่เม่ือเป็นค�ายืมในภาษาไทยจะไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปค�าตามลักษณะ อทิ ธิพลของคําทยี่ ืมมาจากภาษา ของภาษาไทย และค�าท่ียืมมาจากภาษาอังกฤษมักเกิดข้ึนโดยไม่ค�านึงถึงชนิดและหน้าท่ีของค�า ตา งประเทศทมี่ ตี อ ภาษาไทย ความยาว ในภาษาองั กฤษ เชน่ คา� เดมิ เปน็ คา� นามแตเ่ มอ่ื รบั มาใชก้ ลายเปน็ คา� กรยิ า หรอื เดมิ เปน็ คา� คณุ ศพั ท์ ไมเ กนิ หน่งึ หนา กระดาษรายงาน สง แตน่ �ามาใช้เปน็ ค�ากริยา เช่น คอมมสิ ชัน เปน็ ตน้ ครูผูสอน ๒.๓) มีเสยี งพยญั ชนะทไี่ ม่มีในระบบเสียงภาษาไทย คา� ท่ียืมมาจากภาษาองั กฤษที่ ปรากฏใชใ้ นภาษาไทย อาจมบี างคา� ทม่ี พี ยัญชนะควบกล้�าท่ไี มม่ ีในระบบเสียงภาษาไทย เชน่ บล ตรวจสอบผล บร ดร ฟล ฟร ทร เป็นต้น ท�าใหภ้ าษาไทยมีหน่วยเสยี งพยัญชนะควบกล�้ามากข้ึน เชน่ แบรนด์ ดรัมเมเยอร์ แฟลต เปน็ ตน้ บางคา� อาจมีเสยี งพยัญชนะทา้ ยท่ไี ม่มใี นระบบเสยี งภาษาไทย เชน่ ฟ ครูตรวจสอบความรู ความเขาใจ ได้แก่ ออฟฟศิ สตฟั ฟ์ ล ไดแ้ ก่ เซลล ์ แอลกอฮอล์ ส ไดแ้ ก่ เซอร์วสิ ของนักเรียนจากบทวิเคราะหท ่ีนาํ สง 173 แหสลดักงฐผานลการเรยี นรู บทวิเคราะหอทิ ธพิ ลของคาํ ที่ยมื มาจากภาษาตางประเทศท่มี ีตอ ภาษาไทย ความยาวไมเกนิ หน่ึงหนา กระดาษรายงาน NET ขอสอบ ป 50 ขอสอบถามวา ขอใดไมม ีคาํ ในภาษาไทยแทนคาํ ภาษาตางประเทศ 1. วยั รุนสวนใหญชอบรองเพลงฮติ ติดอันดบั 2. รัฐบาลมีโพรเจกตพ ฒั นาชนบทมากมาย 3. พอ คารับออรเดอรส่งั สนิ คาจากอเมรกิ า 4. ปจ จบุ นั อินเทอรเ น็ตมคี วามจําเปนอยางย่ิง (วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. “ฮิต” ใชค าํ ไทยวา “ยอดนิยม” ขอ 2. “โพรเจกต” ใชคาํ วา “โครงการ” ขอ 3. “ออรเดอร” ใชคาํ ไทยวา “คาํ สั่งซ้อื ” ดังน้ันจึง ตอบ ขอ 4.) คมู ือครู 173

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%) ครนู ํานักเรยี นเขา สูหัวขอ การเรียน ๔ ภาษาถน่ิ การสอน ดว ยการเปด เพลงลูกทงุ ท่ี ผรู อ งรองดวยสาํ เนยี งภาคเหนือ การศึกษาเรื่องภาษาไทถิ่น หรือภาษาไทยถิ่น เพ่ือศึกษาร่องรอยการใช้ในภาษาไทย ภาคอีสานและภาคใต ซ่งึ ภายใน มาตรฐาน สามารถอธิบายกระบวนการใช้ค�าเหล่าน้ีได้ด้วยวิธีการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติ บทเพลงจะปรากฏสาํ เนยี งและ ซึ่งจะช่วยสืบคน้ ทม่ี าและการใช้ภาษาไทยได้ คําศพั ทเฉพาะถ่นิ จากนั้นตัง้ คําถาม กับนกั เรียนวา ๔.๑ ความหมาย • เพลงลูกทงุ ทนี่ ักเรยี นไดฟ ง นั้น ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาย่อยของภาษาใดภาษาหน่ึงท่ีแตกต่างออกไปตามท้องถ่ินที่ มีสําเนียงใดบาง ผพู้ ูดอาศัยอยู่ (แนวตอบ ภาคเหนอื ภาคอสี าน และภาคใต) ภาษาไท ภาษาไต ภาษาไทย หมายถึง ภาษาตระกลู ไต-กะได (Tai-Kadai) ท่ีพบการใช้ ตงั้ แตต่ อนใตข้ องประเทศจนี ตะวนั ออกของประเทศอนิ เดยี ตอนเหนอื ของประเทศพมา่ ตอนเหนอื • สิ่งใดคือสาเหตปุ ระการสําคญั ที่ ของประเทศเวียดนาม ประเทศไทย ประเทศลาว และตอนเหนือของประเทศมาเลเซยี ทําใหน ักเรยี นสามารถแยกแยะ บทเพลงลกู ทุง ไดวา เปน ของ ภาษาไทถ่ิน หมายถึง ภาษาของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไต-กะได ท่ีอาศัยอยู่นอก ภูมิภาคใด ประเทศไทย เชน่ ภาษาจว้ ง (ตอนใต้ของจีน) ภาษาพาเก ภาษาอาหม (รฐั อสั สัม ประเทศอินเดยี ) (แนวตอบ สําเนียง กลาวคือ ภาษาเขิน (ประเทศพมา่ ) ภาษาไทด�า (ประเทศเวียดนาม) ภาษาลาว (ประเทศลาว) เป็นตน้ ภาษาถิน่ ในแตล ะภมู ิภาคมี ลกั ษณะสาํ เนียงเสยี งท่แี ตกตาง ภาษาไทยถนิ่ หมายถงึ ภาษาของกลมุ่ คนทใ่ี ชภ้ าษาตระกลู ไต-กะได ทอ่ี าศยั อยใู่ นภมู ภิ าค กัน ซ่งึ มคี วามเฉพาะไมเหมือน ต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถจ�าแนกเป็นถิ่นใหญ่ๆ ตามสภาพภูมิศาสตร์และการแบ่งการ กนั เชน สาํ เนียงอีสานจะส้นั ปกครองเป็นไทยถน่ิ เหนือ ไทยถิน่ กลาง ไทยถน่ิ อีสาน ไทยถ่ินใต้ หว น เสียงข้ึนจมกู ในขณะท่ี สําเนยี งภาคเหนือจะชา ภาษาไทยมาตรฐาน หมายถงึ ภาษายอ่ ยหนง่ึ ในภาษาไทยถน่ิ กลาง คอื ภาษาไทยกรงุ เทพฯ เนบิ นาบ เปน ตน) ท่ีได้รับการยอมรับให้เป็นภาษากลางในการติดต่อราชการ และเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเรียน การสอนในระบบการศกึ ษาของประเทศไทย สํารวจคน หา ส�าหรับภาษาถ่ินที่จะกล่าวถึงในท่ีน้ีจะอธิบายเฉพาะภาษาไทยถิ่นต่างๆ ของกลุ่มคนที่ อาศัยอยู่ในประเทศไทย คือ ไทยเหนือ ไทยอสี าน และไทยใต ้ ทีพ่ บรอ่ งรอยการใช้ในภาษาไทย นกั เรียนจับคกู บั เพือ่ นรวมกนั มาตรฐาน หรอื อาจกล่าววา่ ค�าศพั ทท์ ่เี ข้าใจว่าเป็นภาษาถ่นิ ทพ่ี บในภาษาไทยมาตรฐานนั้น ที่จรงิ สืบคนในประเดน็ “การแบงกลุม เป็นกลุ่มค�าศัพท์ด้ังเดิมของกลุ่มคนไทย หากแต่เมื่อผ่านระยะเวลาท�าให้อิทธิพลของภาษาเขมร ภาษาไทยถ่ิน” โดยนกั เรียนอาจ ภาษาบาล ี และภาษาสนั สกฤต เขา้ มามบี ทบาทตอ่ การใชภ้ าษาไทยของคนไทยภาคกลาง ในขณะที่ สืบคนความรไู ดจากหนงั สือเรยี น ภาษาไทยถ่ินอื่นๆ ยังคงมีการใช้ใกล้เคียงกับค�าศัพท์ด้ังเดิม ซ่ึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงเสียง หนา 174-175 หรือจากแหลงการ พยญั ชนะ วรรณยุกตบ์ ้างตามสภาพสังคมของแต่ละพืน้ ท่ี เรยี นรปู ระเภทอน่ื ทนี่ ักเรียนสนใจ และสามารถเขาถึงได เชน แหลง ๔.๒ การแบ่งกลุ่มภาษาไทยถนิ่ การเรียนรูสารสนเทศ ภาษาไทยถ่นิ สามารถจ�าแนกเป็น ๔ กลุ่ม ตามสภาพภูมศิ าสตร ์ และส่วนการปกครอง ได้ ดังนี้ 174 174 คมู ือครู เกร็ดแนะครู ครูอาจจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภายในชัน้ เรยี นดวยการจดั ทําใบงานเพื่อใหนักเรียนรวบรวม คาํ ศพั ทของภาษาไทยถนิ่ ตา งๆ ในแตล ะประเภท เชน คํานาม คาํ ลักษณนาม คาํ กรยิ า คาํ วเิ ศษณ เปน ตน จากนัน้ ใหเลอื กคําท่ีมคี วามหมายเหมอื นกัน แตเรยี กตางกันนํามาจดั ปา ยนิเทศรว มกัน ในชน้ั เรียน

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Expand Evaluate ภาษาไทยถ่ินเหนือ ภาษาไทยท่ีใช้พูดในจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือของประเทศ สํารวจคนหา ได้แก่ เชยี งราย เชียงใหม ่ ล�าพูน ลา� ปาง แพร ่ นา่ น พะเยา แมฮ่ อ่ งสอน รวมถงึ บางสว่ นของ ภาคกลางตอนบน และบางส่วนของ ราชบรุ ี สระบุร ี เป็นต้น นักเรียนจับกลุม กบั เพอื่ น กลมุ ละ 3 คน รวมกนั สืบคนใน ภาษาไทยถิ่นกลาง ภาษาท่ีใช้ในภาคกลางของประเทศ ได้แก่ ก�าแพงเพชร ชัยนาท ประเดน็ “อิทธิพลของภาษาถ่ินทมี่ ี นนทบุรี ปทุมธาน ี พระนครศรีอยุธยา พจิ ิตร พษิ ณุโลก เพชรบรู ณ์ สโุ ขทยั สุพรรณบรุ ี เป็นต้น ตอภาษาไทย” โดยใชเ วลาในการ สืบคนรวมกนั เปน เวลา 15 นาที ภาษาไทยถนิ่ อสี าน ภาษาทใี่ ชใ้ นภาคอสี านของประเทศ ไดแ้ ก ่ กาฬสนิ ธ ์ุ ขอนแกน่ ชยั ภมู ิ บรุ ีรมั ย ์ ร้อยเอด็ เลย หนองบวั ลา� ภ ู อา� นาจเจรญิ อุดรธาน ี อุบลราชธานี เปน็ ตน้ บรู ณาการสอู าเซยี น ภาษาไทยถนิ่ ใต ้ ภาษาทใี่ ชใ้ นภาคใตข้ องประเทศ ไดแ้ ก ่ กระบ ่ี ชมุ พร ตรงั นครศรธี รรมราช ภาษาไทยมลี กั ษณะเฉพาะทาง นราธิวาส ภเู กต็ ยะลา สงขลา สรุ าษฎรธ์ าน ี เปน็ ตน้ ภาษา คอื เปน ภาษาคาํ โดด (Isolating Language) คําศัพทใ นภาษาเปน ๔.๓ การใช้ภาษาถิน่ คําพยางคเ ดยี วและเปน คาํ สําเร็จรูป ในตัวเองไมวา จะอยใู นตาํ แหนง ใด การศกึ ษาภาษาถนิ่ นอกจากจะทา� ใหส้ ามารถทา� ความเขา้ ใจบรบิ ททางสงั คม วฒั นธรรม ของประโยค ในขณะเดียวกันภาษา ของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงท�าให้สามารถติดต่อส่ือสารกับคนแต่ละท้องถิ่นได้อย่างถูกต้องตรงตาม ไทยก็เปน ภาษาทไ่ี ดร ับอิทธพิ ลจาก ความหมายแลว้ การศึกษาภาษาถ่นิ ยงั ทา� ใหผ้ ู้ศึกษาภาษาไทย สามารถทา� ความเข้าใจ และสืบคน้ ภาษาตา งประเทศหลายประเทศดว ย ร่องรอยของค�าไทยเดิมที่เคยใช้ร่วมกันในกลุ่มภาษาตระกูลไต-กะได ที่ปัจจุบันไม่ใช้แล้วหรือใช้ เหตผุ ลตางๆ เชน ความสัมพนั ธก ัน ในบรบิ ทอืน่ ในภาษาไทยมาตรฐาน หากคา� เหล่านนั้ บางสว่ นยงั คงพบการใชใ้ นภาษาถ่นิ ต่างๆ ซงึ่ ทางเช้อื ชาติ ความสมั พันธ การศึกษาดังกล่าวอาจท�าให้สามารถตีความและท�าความเข้าใจการใช้ค�าตามท่ีปรากฏอยู่ในจารึก ทางประวัติศาสตร ซง่ึ เม่ือพอ เอกสารโบราณ และวรรณคดีโบราณ ส�าหรับรอ่ งรอยการใช้ค�าไทยเดิมของกลุม่ คนไทยภาคกลาง ขนุ รามคาํ แหงมหาราชแหง กรุง ทพ่ี บได้จากเอกสารโบราณ สามารถยกตัวอย่างได้ ดังนี้ สุโขทัยไดท รงประดษิ ฐอกั ษรไทยก็ ๑. หลวก หมายถงึ “ฉลาด รอบร”ู้ พบการใชใ้ นเอกสาร และจารกึ โบราณ เชน่ ปรากฎคาํ ท่ยี ืมมาจากภาษาเขมร ปะปนอยูมาก การตดิ ตอ คาขาย “ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวกกวา่ ปู่ครใู นเมืองนที้ ุกคน” อิทธิพลทางศาสนา การแลกเปลย่ี น (ศิลาจารกึ พ่อขนุ รามคา� แหง พ.ศ. ๑๘๓๕) ทางวัฒนธรรม ไมว าภาษาไทยจะ ยมื คํามาจากภาษาตา งประเทศดวย ปัจจุบันคา� วา่ “หลวก” คงมกี ารใช้ในภาษาไทยถน่ิ เหนือ ในขณะทภี่ าษาไทยมาตรฐาน มี เหตผุ ลใดกต็ าม ยอ มแสดงใหเ หน็ วา การเปลยี่ นแปลงเสียงสระ จาก สระอัว เป็นสระอะ คือ “หลวก” เป็น “หลกั ” ในคา� วา่ “หลักแหลม” ประเทศในภูมภิ าคอาเซียนมีความ ๒. ลูทา่ ง อยชู า่ ง หมายถงึ “สะดวก” พบในจารกึ และวรรณคดโี บราณใชว้ ่า สมั พันธก ันทางเชื้อชาติ ศาสนา วฒั นธรรม หากครผู สู อนสามารถให “ลทู ่างเพื่อนจงู ววั ไปคา้ ข่มี ้าไปขาย” ความรคู วามเขาใจท่ีถกู ตองเกี่ยวกบั (ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามค�าแหง พ.ศ. ๑๘๓๕) สาเหตุการยมื คาํ ใหแ กนักเรยี นได ก็ จะทําใหน ักเรยี นเขา ใจในอัตลักษณ “อยูชา่ งพระเจา้ สร้าง ขม่ บร” ทางภาษาของตนเองและมองเห็น ความเชอื่ มโยงทางภาษาระหวาง (ยวนพา่ ยโคลงดัน้ ) ประเทศในภูมภิ าคอาเซยี นเพื่อสรา ง ความเขาใจอนั ดตี อกนั 175 คูมอื ครู 175

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) นกั เรียนในแตล ะกลมุ สง ตวั แทน ปจั จบุ นั คา� นไ้ี มพ่ บการใชใ้ นภาษาไทยมาตรฐาน แตย่ งั ปรากฏการใชใ้ นภาษาไทยถน่ิ เหนอื ออกมาอธิบายความรูเ กีย่ วกบั ๓. เกยี ด ในคา� วา่ “เกียดกนั ” ในภาษาไทยโบราณ พบการใช้ในค�าวา่ “กดี กัน” ในภาษา อทิ ธพิ ลของภาษาถนิ่ ทมี่ ตี อ ภาษาไทย ไทยมาตรฐาน โดยแตละกลมุ ใชเ วลาไมเ กิน 3 นาที ๔. ยา่ ง หมายถึง “เดิน” ซง่ึ ในภาษาไทยมาตรฐานปจั จบุ นั ใช้คา� ว่า “เดิน” ตามค�าที่ยืมมา จากนน้ั ครใู หน กั เรยี นยืนในลกั ษณะ จากภาษาเขมร คา� ว่า “ยา่ ง” พบการใชอ้ ย่ใู นภาษาไทยถ่ินเหนอื ถิน่ อีสาน วงกลมเพอ่ื รว มกนั อธบิ ายความรู ๕. หวั นอน หมายถงึ ทศิ ใต้ ทศิ ที่หนั หวั เวลานอนตามคติโบราณ คอื การหนั หัวไปทาง แบบโตตอบรอบวง ทศิ ใต ้ คา� ว่า “หัวนอน” หรอื “ทศิ หัวนอน” พบการใชใ้ นเอกสาร และจารึกโบราณ เชน่ • ความหลากหลายทางดา น “เบ้อื งหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรธี รรมราช วัฒนธรรมในสงั คมไทย สง ผล ฝงั่ ทะเลสมทุ รเปน็ ที่แล้ว” อยางไรตอ การใชภ าษา (แนวตอบ ความหลากหลายทาง (ศิลาจารกึ พอ่ ขุนรามค�าแหง พ.ศ. ๑๘๓๕) ดา นวัฒนธรรมในสงั คมไทย จะทําใหก ารใชภ าษาในแตละ ปจั จบุ นั คา� วา่ “หวั นอน” ทพี่ บการใชใ้ นความหมายวา่ “ทศิ ใต”้ ยงั คงมอี ยใู่ นภาษาไทยถนิ่ ใต้ วัฒนธรรมมรี ูปแบบท่ีแตกตาง ๖. ค�าเรียกล�าดับลูก ลูกสาว ในสังคมไทยแต่เดิม มีการก�าหนดค�าส�าหรับบอกล�าดับ กันออกไป ถอยคําและการ ลกู ชาย-ลกู สาว (ใสไ่ วห้ นา้ ชอื่ ตวั หรอื บางครงั้ ใชเ้ สมอื นชอ่ื ตวั ) เพอื่ สะดวกในการเรยี ก หรอื การจดั สอื่ ความดวยภาษาทา ทางก็ ระเบยี บคนในสังคม ซง่ึ คา� ทใี่ ชบ้ อกล�าดบั ลูกชาย-ลกู สาว แบ่งเปน็ ลูกชายคนที่ ๑-๑๒ และลกู สาว แตกตางกนั ) คนท่ี ๑-๑๐ โดยคดั ตามที่ปรากฏในพระอัยการบานแพนก กฎหมายตราสามดวง ดงั นี้ • นกั เรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ดจึง ลูกชายคนที่ ๑ อ้าย ลกู สาวคนท่ี ๑ เออ้ื ย ตอ งเรียนรหู รอื มคี วามรูเกี่ยวกบั ลกู ชายคนที่ ๒ ย่ี ลกู สาวคนท ี่ ๒ อี่ ภาษาถ่นิ ลูกชายคนท่ี ๓ สาม ลูกสาวคนท ่ี ๓ อาม, อ่าม (แนวตอบ เมือ่ ตอ งการตดิ ตอ ลกู ชายคนท่ี ๔ ไส ลูกสาวคนท ่ี ๔ ไอ, ไอ่ สื่อสารกับคนในสังคม ลกู ชายคนที่ ๕ งวั ลกู สาวคนท่ี ๕ อวั , อัว้ วฒั นธรรมนน้ั ๆ จึงตอ งเรียนรู ลกู ชายคนที่ ๖ ลก ลูกสาวคนท ่ี ๖ อก วฒั นธรรมการใชภาษาในแตล ะ ลูกชายคนท่ ี ๗ เจด ลูกสาวคนท่ ี ๗ เอก สังคมใหถ องแท) ลูกชายคนท ี่ ๘ แปด ลกู สาวคนท่ี ๘ แอก ลกู ชายคนท ่ี ๙ เจา ลกู สาวคนท ่ี ๙ เอา ลกู ชายคนท ่ี ๑๐ จง ลกู สาวคนท ่ี ๑๐ อัง ลูกชายคนท่ี ๑๑ นงิ ลกู ชายคนที่ ๑๒ สอง 176 176 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate ธรรมเนยี มไทยแต่โบราณ จะมีคา� ทใ่ี ชเ้ รยี กล�าดับลกู ชาย ลกู สาว ไวช้ ดั เจน เชน่ เรยี ก อธิบายความรู ลูกชายคนท่ ี ๑ วา่ “อ้าย” คนท่ ี ๒ วา่ “ย”่ี เรียกลูกสาวคนที่ ๑ วา่ “เอ้ือย” คนท ี่ ๒ วา่ “อ่”ี เป็นตน้ ลกั ษณะดังกล่าว พบการใชใ้ นเอกสารโบราณ เชน่ ครสู ุมเรียกชื่อนักเรยี นเพือ่ อธิบาย ความรูเ กี่ยวกับอิทธิพลของภาษาถ่ิน “ทาวลกผถู้ ว้ นหกนนั้ ประสูติในปฉ ลู เอกศก จุลศกั ราช ๗๗๑ เม่ือได้ครองเมอื งพรา้ ว ทมี่ ีตอภาษาไทย จากการซกั ถามของ วังหินอยู่มินานเทา่ ใด กระทา� ผิดอาชญา พระราชบดิ าทรงพระพิโรธ จงึ เนรเทศไปไว้เมืองยวมใต”้ ครู (พงศาวดารโยนก) • จากขอ มลู ตางๆ ทีน่ ักเรยี น ศึกษาดว ยตนเองและการบันทึก “...แต่น้ีด�าพงศ์ผีปู่ผาค�า...(ฝู)งผู้หลาน ปู่ขุนจิด ขุนจอด ปู่พระญาศ(รีอินทราทิ)ตย์ ความรจู ากการฟง นักเรยี น ปพู่ ระญาบาน ปู่พระญารามราช ปไู สส...(ส)งคราม ปู่พระญาเลอไทย ปพู ระญาง่ัวนาํ ถม ป.ู่ ..(พระ) มองเหน็ อทิ ธพิ ลของภาษาถ่นิ ท่ี ญามหาธรรมราชา พ่อง�าเมอื ง พอ่ เลอไทยแ...(ลไท)ยผู้ดีผชี าวเลอื งเท่านแ้ี ล...” มีตอ ภาษาไทยอยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบ (จารึกปขู่ นุ จดิ ขุนจอด พ.ศ. ๑๙๓๕) ไดอ ยางหลากหลาย ตาม พืน้ ฐานความรูและความเขาใจ คร้ังนั้นเจาอายพรญา แลเจาย่ีพรญาพระราชกุมารท่านชนช้างด้วยกัน ณ สะพาน เชน ภาษาถิ่นมอี ิทธพิ ลตอ ป่าถา่ น ถงึ พิราลยั ทัง้ สองพระองคท์ น่ี ัน้ จึงพรราชกมุ ารเจา สามพรญา ได้เสวยราชสมบตั พิ รณครร ภาษาไทยในสว นของวรรณคดี ศรีอยทุ ธยา และวรรณกรรม เพราะ วรรณกรรมทอ งถน่ิ ตา งๆ รวมถงึ (พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์) ภาษติ คาํ สอน ในแตละภาค จะปรากฏคําศพั ทเ ฉพาะถ่นิ ซง่ึ ในปัจจุบันค�าดังกล่าวไม่พบการใช้ในภาษาไทยมาตรฐาน หากยังคงพบการใช้อยู่ใน ผูอานจะตองตคี วามวรรณคดีได ภาษาไทยถนิ่ เหนือ และถน่ิ อีสาน แมว้ ่าความหมายของคา� จะเปล่ยี นไป เชน่ คา� ว่า “อา้ ย” แปลว่า จะตอ งเขาใจความหมายของ พี่ชาย และ “เอื้อย” แปลวา่ พส่ี าว ศัพทท่ีปรากฏ นอกจากนี้ยัง นอกจากนยี้ งั มคี า� อกี ประเภทหนงึ่ ในภาษาไทยมาตรฐานทม่ี กี ารใชค้ า� ไทยดงั้ เดมิ คกู่ นั กบั หมายรวมถึงวรรณคดีโบราณ คา� ไทยมาตรฐานปัจจบุ ัน ในลักษณะของคา� ซอ้ น เชน่ เชน ศิลาจารึกพอ ขุนรามคาํ แหง ๑. ทองค�า ค�าว่า “ทอง” และ “ค�า” ตา่ งมคี วามหมายว่า “ทองคา� ” ซึง่ ในปัจจุบนั ค�าว่า มหาราช) “ค�า” ไม่ใชค้ วามหมายนี้ในภาษาไทยมาตรฐาน แตย่ ังคงพบการใช้อยู่ในภาษาไทยถนิ่ เหนือ ๒. คอยทา่ มคี วามหมายว่า “คอย” ปัจจบุ ันค�าว่า “ทา่ ” ในภาษาไทยมาตรฐาน ถ้าใชเ้ ป็น • นักเรียนคิดวาการใชภ าษาถ่นิ คา� โดดจะไมส่ ามารถสอ่ื ความหมายวา่ “คอย” ได ้ แตย่ งั คงพบการใชค้ า� วา่ “ทา่ ” ซงึ่ มคี วามหมายวา่ ตองมขี อควรระมดั ระวังเปน “คอย” ในภาษาไทยถ่ินใต้ สว่ นคา� วา่ “ท่า” ในภาษาไทยมาตรฐาน ปัจจุบนั มกั พบในรปู คา� ประสม พิเศษหรือไม อยา งไร เช่น ทา่ เรือ และคา� ซ้อน เช่น คอยท่า เปน็ ต้น (แนวตอบ การใชภาษาถน่ิ มีขอ ควรคํานงึ คือ 177 - ผูท่ไี มใชเ จาของภาษาถน่ิ ไมควรนําภาษาถ่ินไปพูด @ มุม IT นกั เรียนควรรู ในเชงิ ลอเลยี น - ถาเปนบุคคลในกลุมเดยี วกนั สามารถศกึ ษาคนควา เพิม่ เติมเกย่ี วกบั พงศาวดารโยนก เปน หลกั ฐานทาง ควรใชภาษาถ่นิ พูด เพราะจะ จารกึ ในประเทศไทย ไดจากเวบ็ ไซตข องศนู ย โบราณคดีประเภทลายลักษณอ ักษร ทาํ ใหเ กดิ ความรกั ใครส ามัคคี มานษุ ยวทิ ยาสิรนิ ธร http://www.sac.or.th/ ทใี่ ชศ ึกษาเรอ่ื งราวหรือประวัติความ - ในขณะทสี่ นทนากัน ถา มี databases/inscriptions/th/main.php เปน มาเกย่ี วกบั อาณาจกั รลา นนา บุคคลตา งถิน่ รวมอยูดวย ไมค วรใชภาษาถิ่นควรเปลี่ยน มาใชภาษากลางแทน เพือ่ เปนการใหเกียรตซิ ึ่งกนั และกนั ) คมู อื ครู 177

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%) นักเรียนรวมกันจัดปายนเิ ทศ ๓. เสื่อสาด ทั้ง ๒ ค�า มีความหมายเดยี วกัน โดยคา� วา่ “สาด” ยังคงมีใช้อย่ใู นภาษาไทย เพื่อแสดงถึงอิทธพิ ลของภาษาถ่ิน ถิ่นเหนอื ไทยถนิ่ ใต้ ในขณะท่ีไทยมาตรฐานไมใ่ ชแ้ ลว้ ทม่ี ตี อภาษาไทยในดานตา งๆ เชน ๔. ก้าวยา่ ง คา� วา่ “ก้าว” มคี วามหมายว่ายกเท้ายา่ งไป สว่ นค�าว่า “ย่าง” มคี วามหมาย วรรณคดี การสอ่ื สารในชวี ติ ประจาํ วนั ว่าเดนิ ปจั จุบัน ค�าว่า “ย่าง” พบการใชใ้ นความหมายว่าเดนิ ในภาษาไทยถน่ิ เหนือ และถนิ่ อีสาน ฯลฯ แตส่ �าหรับในภาษาไทยมาตรฐานไม่ใชใ้ นความหมายน้ี จากการก�าหนดให้ภาษาไทยกรุงเทพฯ เป็นภาษาไทยมาตรฐาน และจัดให้มีการเรียน ตรวจสอบผล การสอนเป็นรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ ส่งผลให้การใช้ภาษาไทยถิ่นในภูมิภาคต่างๆ เร่ิมมีการ เปลยี่ นแปลง และมจี า� นวนคา� ศพั ทท์ ใี่ ชล้ ดนอ้ ยลง ดว้ ยสาเหตทุ ร่ี บั อทิ ธพิ ลของภาษาไทยมาตรฐาน 1. ครตู รวจสอบความรู ความเขา ใจ จึงท�าให้ภาษาไทยถ่ินต่างๆ รับค�าไทยมาตรฐานไปใช้เป็นจ�านวนมาก และใช้เป็นปกติในชีวิต เก่ยี วกับอทิ ธิพลของภาษาถนิ่ ทีม่ ี ประจา� วัน โดยมีวิธีการพูดตามสา� เนียงเฉพาะของแต่ละภูมภิ าค ตอ ภาษาไทยของนกั เรียนจาก ปายนเิ ทศที่รวมกนั จดั แสดง การใชภ้ าษาสอื่ สารใหส้ มั ฤทธผิ ล นอกจากตอ้ งคา� นงึ ถงึ การใชถ้ อ้ ยคา� สา� นวนใหถ้ กู ตอ้ ง ตรงกบั ความหมายทต่ี อ้ งการจะสอื่ และการเรยี บเรยี งถอ้ ยคา� ใหถ้ กู ตอ้ งตรงตามหลกั การใชภ้ าษา 2. นกั เรียนตอบคําถามประจาํ หนวย แลว้ ยงั ตอ้ งคา� นงึ ถงึ วฒั นธรรมการใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมตามโอกาส กาลเทศะและสถานท ี่ การเรยี นรู ในโอกาสที่เป็นทางการภาษาท่ีใช้ก็ต้องเป็นภาษาระดับแบบแผน มีลักษณะความสมบูรณ์และ ถกู หลกั ไวยากรณ ์ ไมม่ ภี าษาระดบั สนทนาปะปน ดว้ ยเหตนุ ภ้ี าษาจงึ มหี ลายระดบั ตามสมั พนั ธภาพ หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู ระหว่างผูส้ ง่ สารกับผูร้ บั สาร กาลเทศะ เนื้อหาและสอื่ ทใ่ี ชใ้ นการส่งสาร สิ่งเหลา่ นเ้ี ปน็ ปัจจยั ที่ กา� หนดให้เหมาะสมตามความนิยม เพือ่ ใหเ้ กดิ ความรสู้ ึกทีด่ ีต่อกนั ท�าให้สังคมด�ารงอยไู่ ด้ ปายนเิ ทศที่มเี นอื้ หาตามหัวขอ อิทธิพลของภาษาต่างประเทศถือเป็นส่วนหน่ึงของการรับวัฒนธรรมอื่นเข้ามาใน ทกี่ าํ หนด ภาษาไทย เปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทที่ า� ใหภ้ าษาไทยมคี า� มากขนึ้ เปน็ ลกั ษณะธรรมชาตขิ องภาษาทต่ี อ้ งมี การยืมคา� จากภาษาอ่ืนเข้ามาปะปน เพราะภาษาเปน็ เคร่อื งมอื ในการสื่อความหมายทม่ี นษุ ย์ใช้ ติดตอ่ สมั พนั ธก์ ันทางด้านการคา้ ขาย วรรณคดี การศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 178 178 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain คำาถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ เกร็ดแนะครู ๑. การใช้ระดบั ภาษาให้ถกู ตอ้ งมีประโยชน์อย่างไร จงอธิบาย (แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ย ๒. นักเรียนสงั เกตภาษาที่ใชใ้ นชีวิตประจา� วันของนักเรยี นวา่ เป็นการใช้ภาษา การเรียนรู 1. การใชร ะดบั ภาษาใหถกู ตองมี ในระดับใด และใช้ภาษาระดับนน้ั ในเวลาใด ๓. ปจั จยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการเลือกใชร้ ะดับภาษามีอะไรบ้าง จงอธิบาย ประโยชนด ังนี้ ๔. นกั เรียนคิดว่าการไดเ้ รยี นรคู้ า� ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทยมปี ระโยชนห์ รือไม่ - สรางสัมพนั ธภาพท่ดี ีระหวา ง อย่างไร บุคคล ๕. นกั เรยี นคดิ วา่ การศกึ ษาภาษาไทยถน่ิ ตา่ งๆ มปี ระโยชนต์ อ่ การศกึ ษาหรอื ไม ่ อยา่ งไร - สรา งความเลอ่ื มใสศรทั ธา 2. ระดับภาษาท่ีใชใ นชีวิต กจิ กรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ ประจาํ วัน ไดแ ก - ภาษาแบบแผน คือ ภาษา ๑. นกั เรียนหาตวั อยา่ งระดบั ภาษาตั้งแตร่ ะดบั แบบแผนไปจนถึงระดับไม่เป็นแบบแผน จากหนังสอื พิมพ์ นิตยสาร วารสาร แลว้ นา� มาอภิปรายเพ่อื หาขอ้ แตกต่างของ ท่ีใชใ นแบบเรียน ในที่ประชมุ ระดบั ภาษารว่ มกนั ในชั้นเรียน และไปติดตอ สถานท่ีราชการ - ภาษาก่งึ แบบแผน คือ ภาษา ๒. หากนกั เรียนมีจติ อาสาตอ้ งการจะขอรบั บริจาคสิง่ ของเพ่ือช่วยเหลอื ทพ่ี ดู กบั ครู พอ แม ญาตผิ ใู หญ ผ้ปู ระสบอุทกภัย นกั เรียนจะมีวธิ ีการส่อื สารอยา่ งไรกับผูอ้ นื่ ให้รว่ มมือกบั นกั เรียน บคุ คลท่ไี มสนิทสนมดวย ใหน้ ักเรียนเขียนคา� รา่ งโดยใช้ระดบั ภาษาที่ถูกต้องลงในสมุดส่งครผู ู้สอน - ภาษาปาก คอื ภาษาทใ่ี ชพูด กบั บุคคลทใี่ กลช ดิ สนิทสนม ๓. นกั เรยี นสืบคน้ ขอ้ มลู วา่ คา� ทน่ี ักเรยี นใชฟ้ ัง พดู อ่าน และเขยี นเป็นค�าทีย่ ืมมาจาก - ภาษาสแลง คือ ภาษาทใ่ี ช ภาษาอะไร หาคา� แตล่ ะภาษามาอย่างน้อย ๓ ภาษา ภาษาละ ๑๐ คา� พูดคุยกบั เพ่ือนสนิท 3. ปจจยั ที่มอี ิทธพิ ลตอ การเลอื กใช 179 ระดับภาษา ไดแ ก โอกาสและ สถานที่ สัมพนั ธภาพระหวาง บุคคล เน้อื หาและส่ือทใี่ ช 4. การเรยี นรูภาษาตางประเทศ มีประโยชนถา เลือกนํามาใช ใหเ หมาะสมกับความรู เพศ วยั สถานท่ีและในโอกาสตา งๆ 5. การศึกษาภาษาถ่ินมปี ระโยชน ตอ การศึกษาเรียนรเู พราะใน วรรณคดีบางเร่ืองจะปรากฏ คําเฉพาะของถน่ิ ตา งๆ หากมี ความรูเร่อื งภาษาถนิ่ ก็จะทําให สามารถแปลความวรรณคดี เร่อื งที่อานไดอ ยางถูกตอ ง) คูมอื ครู 179

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%) สามารถแตงบทรอยกรองประเภท ตอนท่ี ๔ ฉนั ทแ ตละประเภทได กระตุน ความสนใจ òหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ฉนั ท์ ครชู วนนกั เรียนสนทนาในประเด็น เป็นค�าประพันธ์ท่บี งั คบั คร ุ ลหุ ลกั ษณะนสิ ยั ของคนไทยทีเ่ ปน นอกจากน้ียังมกี ารเพ่ิมเสยี งสมั ผัสให้ คนสนุกสนาน ครน้ื เครง และปจ จยั ท่ี เหมาะสมกบั ความนิยม การแตง่ ฉนั ทใ์ ห้ ทําใหเกิดบทรอยกรองประเภทตา งๆ มเี สยี งและจังหวะสอดคล้องกับเนอื้ เรื่องเปน็ ในสงั คมไทยต้งั แตอดตี จนกระทัง่ ส่ิงทผ่ี ้แู ต่งต้องค�านึงถงึ เพราะจะท�าให้ผูอ้ า่ น ปจ จบุ นั เชน สภาพแวดลอ ม ผูฟ้ ังเกิดอารมณ์ความรสู้ กึ คลอ้ ยตาม ทรพั ยากรทม่ี คี วามอดุ มสมบูรณ ทาํ ใหค นไทยมคี วามสขุ เมอ่ื มคี วามสขุ การแตง่ คา� ประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์ จึงเกดิ แรงบนั ดาลใจในการสราง ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง บทรอ ยกรองขน้ึ เปนตน • แต่งบทร้อยกรอง (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๔) • บทร้อยกรองประเภทฉนั ท์ เกร็ดแนะครู ครูยกตวั อยางคําฉันทท ี่มีจังหวะ สนกุ เรา ใจ ทําใหเ กดิ อารมณคลอย- ตาม เชน อที ิสงั ฉนั ท จากเร่ือง สามคั คีเภทคาํ ฉนั ท ตอนท่พี ระเจา - อชาตศัตรโู กรธวัสสการพราหมณ  เอออเุ หมน ะมึงชชิ างกระไร ททุ าสสถุลฉะน้ีไฉน กม็ าเปน  ศึกบถ งึ และมงึ ก็ยังมเิ ห็น จะนอยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด 180 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๑ ความสาํ คัญของการแต่งคําประพันธ์ กระตนุ ความสนใจ การเผยแพร่ประสบการณ์ แนวความคิด องค์ความรู้ รวมถึงข้อคิด ข้อควรปฏิบัติตน ครเู ปด คลปิ เสียงการอา น รวมถึงข้อค�าสอนต่างๆ ต้ังแต่อดีตเป็นต้นมา ส่วนใหญ่มักถ่ายทอดผ่านการท่องจ�าและเล่าสู่กัน บทรอ ยกรองประเภทฉนั ทต า งๆ ที่ ฟังในลักษณะมุขปาฐะ แม้ว่าจะมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็เผยแพร่กันอยู่ภายใน สามารถดาวนโ หลดไดผา นเครอื ขา ย วงจ�ากัด ด้วยเหตุที่กลุ่มบุคคลท่ีมีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ยังคงจ�ากัดอยู่แต่กลุ่ม อินเทอรเนต็ หรือครเู ปน ผูบนั ทกึ เสียง บคุ คลช้ันสงู ขนุ นาง และพระสงฆห์ รอื บุคคลบางกลมุ่ เทา่ นัน้ ใหนักเรียนฟง เพ่ือนาํ เขาสหู ัวขอ จากสาเหตุดังกล่าวจึงท�าให้การเผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆ ในสังคมส่วนใหญ่ หากเป็น การเรียนการสอน จากน้ันต้ังคาํ ถาม ข้อความท่ีมีความยาวมักจะก่อให้เกิดอุปสรรค ด้วยอาจสับสนไม่อาจเรียบเรียงล�าดับก่อนหลัง กับนักเรียนวา หรืออาจทา� ให้เนอ้ื หาขาดตกบกพรอ่ ง จงึ ทา� ใหม้ ีการผูกเน้ือหาใหม้ คี วามคลอ้ งจอง สัมผัสกนั จาก ระดบั เรยี บงา่ ย เช่น มเี พียงค�าสัมผสั วรรคตอ่ วรรค ไปจนถงึ มีการพัฒนาไปสู่รปู แบบคา� ประพนั ธ์ • นกั เรยี นมคี วามรสู ึกอยางไร ที่มีความซับซ้อนมากข้นึ ในภายหลัง ทง้ั นีเ้ พอ่ื ความสะดวกในการจดจา� และท�าความเข้าใจ หลงั จากการฟงบทรอ ยกรองท่ี นอกเหนือจากความส�าคัญดังกล่าวแล้ว ค�าประพันธ์หรือกวีนิพนธ์ยังเป็นเคร่ืองมือ ครูนํามาเปน ตวั อยาง ถา่ ยทอดอารมณ ์ ความรสู้ กึ อนั ลมุ่ ลกึ ละเมยี ดละไมของกวไี ดอ้ ยา่ งลกึ ซงึ้ ดว้ ยลกั ษณะทค่ี า� ประพนั ธ์ (แนวตอบ คําตอบไมม ถี กู หรอื ผิด แตล่ ะประเภทตา่ งกม็ กี ารจา� กดั จา� นวนคา� ทใี่ ชใ้ นแตล่ ะบท จงึ เปน็ ขอ้ จา� กดั ใหก้ วจี า� เปน็ ตอ้ งเลอื กสรร นักเรยี นสามารถตอบไดอ ยาง ถ้อยค�าอย่างพิถีพิถัน เพ่ือใช้ในบทประพันธ์ให้สามารถน�าเสนออารมณ์ความรู้สึก ทรรศนะ หลากหลาย เพราะเปนการ ตลอดจนเน้ือความไดค้ รบถ้วนตรงตามความตอ้ งการ แสดงความคดิ เหน็ อยางอิสระ ครูควรสนบั สนนุ ใหน ักเรยี น ๒ การแต่งคาํ ประพนั ธ์ประเภทฉันท์ ทกุ คนไดม โี อกาสรว มกนั ในการ แสดงความคิดเห็น) ค�าประพันธป์ ระเภทฉนั ท ์ ไทยได้รับแบบอยา่ งมาจากคัมภรี ว์ ุตโตทัยของอนิ เดยี โดยได้ คดั เลอื ก ดดั แปลงเพอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของภาษาไทยรวมถงึ การเพม่ิ สมั ผสั ของคา� จงึ ทา� ให้ สํารวจคน หา ฉันทใ์ นภาษาไทยมีความไพเราะเพราะพร้งิ ฟงั รืน่ หูมากกว่าแบบฉบบั ซึ่งบงั คบั แต่คณะ ครุ ลหุ ฉนั ทม์ ีลักษณะบงั คับ ๔ ประการ คือ คณะ พยางค ์ คร ุ ลหุ และสมั ผสั เดมิ นน้ั ก�าหนด นกั เรียนจบั คกู บั เพ่ือนรวมกนั เพยี ง คร ุ ลห ุ แตไ่ ทยเพมิ่ สมั ผสั ใหไ้ พเราะยง่ิ ขนึ้ กอ่ นจะกลา่ วถงึ ฉนั ทลกั ษณข์ องฉนั ท ์ ควรทา� ความ สืบคนในประเดน็ ความสาํ คญั ของ เข้าใจเกย่ี วกับ ครุ ลห ุ ดังนี้ การแตงคําประพันธท ั้งในอดตี และ ปจจบุ ัน โดยนักเรียนอาจสืบคน ครุ คอื พยางคห์ รอื คา� ทีม่ เี สียงหนกั ไดแ้ ก ่ ค�าท่ีประสมกบั สระเสยี งยาวในแม ่ ก กา (ไมม่ ี ความรไู ดจ ากหนงั สือเรยี นหรอื แหลง ตวั สะกด) รวม อา� ไอ ใอ เอา และค�าทมี่ ีตัวสะกดทง้ั หมด เชน่ เขยี น สวย นัง่ ยนื เป็น นก เป็นต้น การเรยี นรูประเภทอืน่ ๆ ที่นักเรยี น โดยใช ้ “ ัล”ห เ ุ ปคน็ อื สพญั ยลางกั คษห์ ณรแ์ือทคน�าทคีม่า� ีเคสียรุงเบา ไดแ้ ก ่ ค�าทปี่ ระสมกบั สระเสยี งส้นั ในแม่ ก กา เช่น สนใจหรอื สามารถเขาถึงได บนั ทกึ ช ิ นะ รวิ ศิระ ปะท ุ นิธิ เปน็ ต้น โดยใชส้ ญั ลกั ษณ ์ “ ุ ” แทนคา� ลหุ ความรูท่ีไดร ับจากการสืบคน รว มกัน ลงสมุด 181 นักเรียนควรรู คณะ คือ การกาํ หนดลักษณะของ บท บาท วรรค และคําของรอยกรอง แตละประเภท นกั เรยี นควรรู นกั เรยี นควรรู พระั จดันดั ทแรปคลรงงึ่ มซากี จตากาเมคตราํื่อรงาหมาย ุ ดัดแปลงมาจากเครือ่ งหมาย ฉันทศาสตร ไมกลดั ตามตําราฉนั ทศาสตร คมู ือครู 181

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคน หา (ยอจากฉบบั นกั เรียน 20%) ครทู ําสลากเทา กับจาํ นวนนักเรยี น ทั้งน้ใี นบทเรยี นระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ จะขอเสนอวิธแี ต่งฉันทเ์ พยี ง ๓ ชนิด เพอ่ื ให้ ในหอ ง โดยเขียนหมายเลข 1, 2 และ เหมาะแกร่ ะดบั ชนั้ และวยั ของผเู้ รยี น ไดแ้ ก ่ สทั ทลุ วกิ กฬี ติ ฉนั ท ์ ๑๙ โตฎกฉนั ท ์ ๑๒ และอที สิ งั ฉนั ท ์ ๒๐ 3 ในจํานวนเทา ๆ กันหรือตาม ความเหมาะสม จากนนั้ ใหน ักเรยี น ๒.๑ สทั ทลุ วกิ กีฬติ ฉนั ท์ ๑๙ แตล ะคนออกมาจบั สลาก ใครทจี่ บั ได หมายเลขเหมือนกนั ใหอยกู ลุมเดยี ว สทั ทลุ วกิ กฬี ิตฉันท ์ มคี วามหมายว่า “เสอื ผยอง” หรอื “เสือคะนอง” คอื มีเสยี งหนกั เบา กัน จากนั้นครแู จงประเดน็ สาํ หรับ ของครุ ลห ุ สง่างามประดจุ เสอื คา� อธิบายในคมั ภีร์ฉันทว์ ุตโตทยั ให้ความหมายวา่ “คำถำทม่ี เี สยี ง การสบื คน ความรู ดังนี้ เปลง่ ออกเหมอื นกำรกระโดดของเสอื ดำว” (สทฺทูลสส วิกกีฬติ � วยิ อจุ จารณสทโท ยสสต � สททลู วิกกฬี ติ )� หมายเลข 1 สัททุลวกิ กฬี ต ฉันท จากลลี าดงั กลา่ วสทั ทลุ วกิ กฬี ติ ฉนั ท ์ ๑๙ จงึ เปน็ ทน่ี ยิ มนา� มาใชส้ า� หรบั แตง่ บทประณามพจน์ 19 หรอื บทไหวค้ ร ู บทยอพระเกยี รตหิ รอื บทอาเศยี รวาท และอาจนา� มาใชแ้ ตง่ บทบรรยาย บทพรรณนา ความเศร้าโศก แตม่ กั ใช้กับเทพ เทวดา ตวั ละครท่เี ปน็ กษัตรยิ ์ หมายเลข 2 โตฎกฉนั ท 12 ลักษณะบังคับของของสทั ทลุ วกิ กีฬติ ฉันท ์ มีดงั นี้ หมายเลข 3 อีทสิ ังฉนั ท 20 ๑) การบงั คบั คณะ ไดแ้ ก่ โดยนกั เรยี นแตล ะกลมุ จะตอ ง ๑ บท มี ๓ วรรค ศกึ ษาเกยี่ วกบั ลกั ษณะบงั คบั ของฉนั ท วรรคแรกม ี ๑๒ ค�า วรรคทส่ี องมี ๕ ค�า วรรคสดุ ทา้ ยม ี ๒ ค�า ทไี่ ดร บั มอบหมาย ซงึ่ อาจสบื คน ขอ มลู ๒) การบงั คบั สมั ผสั ไดแ้ ก่ ไดจ ากหนังสอื เรยี น หนา 182-185 ๑. คา� สดุ ท้ายวรรคแรกสมั ผสั กบั ค�าสุดท้ายของวรรคท่ ี ๒ หรือตําราการแตงคาํ ประพันธ ครใู ห ๒. สัมผัสระหว่างบท ค�าสุดท้ายของบทแรกสัมผัสกับค�าสุดท้ายของวรรคแรกใน เวลาสําหรบั การสบื คนและหาขอ มลู บทตอ่ ไป ที่ถูกตอ งรวมกันเปนเวลา 10 นาที ๓) การบงั คบั คร ุ ลห ุ กา� หนดตามแผนผงั ต่อไปน้ี อธิบายความรู ัั ัั ุุ ั ั ั ั ั ั ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ั ั ุ ุ ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ุ ัั ุ ั ุ ั นักเรยี นในกลุมที่ 1 สง ตวั แทน ออกมาอธิบายความรู กลุม ละ 5 นาที เพื่อนๆ ในชนั้ เรียนบันทึกความรทู ี่ ไดรับจากการฟงลงสมดุ หลงั การ อธิบายความรูข องนกั เรียนในกลมุ ๏ พรอ้ มเบญจางคประดิษฐ์สฤษฎิสดดุ ี ท่ี 1 ครูตั้งคําถามโดยสมุ เรยี กชอื่ กายจติ วจไี ตร ทวาร นักเรียนเพ่อื ตอบคําถาม ๏ ไหว้คณุ องค์พระสคุ ตอนาวรณญาณ ยอดศาสดาจารย์ มุนี • ลีลาของสทั ทุลวิกกีฬต ฉนั ท มี ลกั ษณะเปนอยางไร 182 (แนวตอบ สทั ทลุ วกิ กฬี ต ฉันท มีลีลาโออา สงางาม มักใชก บั เนอ้ื ความในบทประณามพจน บทยอพระเกยี รติ สรรเสรญิ กษัตรยิ  หรอื พรรณนาบทโศก ของเทวดาหรือกษตั รยิ ) 182 คมู อื ครู เกร็ดแนะครู ครูแนะนํานกั เรียนใหศ กึ ษาวรรณคดเี ร่อื ง สามคั คเี ภทคาํ ฉนั ทข องนายชติ บุรทตั หรอื มทั นะพาธา พระราชนิพนธใ นพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูห ัว ซ่ึงใชฉันทท ี่มีลีลาสอดคลอ งกับเนอ้ื หา ของเรือ่ งและกวีเลอื กใชฉ นั ทไดอ ยางหลากหลายมสี มั ผสั ในทีแ่ พรวพราวชว ยใหฉันทซ ึง่ มีเสยี งหนกั เบาของครุ ลหุ เปนทํานองชว ยทวีความไพเราะ มเี สียงสัมผสั เสนาะรอยเรียง

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate ๏ อกี คณุ สนุ ทรธรรมคัมภิรวิธี ปฎิ ก อธบิ ายความรู พุทธพจนป์ ระชมุ ตรี (สามัคคีเภทค�าฉนั ท์ : ชิต บุรทตั ) นกั เรียนในกลุม ที่ 2 สง ตวั แทน ออกมาอธิบายความรู โดยใชเ วลา ๒.๒ โตฎกฉันท ์ ๑๒ 5 นาที เพ่ือนๆ ในชน้ั เรยี นบันทึก ความรทู ่ีไดรับจากการฟงลงสมุด โตฎกฉนั ท ์ คอื ฉนั ทท์ ม่ี ลี ลี าประดจุ นายโคบาลผแู้ ทงโคดว้ ยประตกั มลี ลี ากระชน้ั สะบดั สะบง้ิ หลงั การอธบิ ายความรูข องนักเรยี น มักใช้กบั เนอ้ื ความแสดงความโกรธ รอ้ นรน คกึ คะนอง สนกุ สนาน หรือเปน็ บทส�าแดงอทิ ธฤิ ทธ์ ิ ในกลมุ ท่ี 2 ครูตัง้ คําถามกับนักเรียน อศั จรรย ์ ซงึ่ ลกั ษณะบงั คับของโตฎกฉนั ท์ มดี ังน้ี โดยสมุ เรียกชือ่ เพ่ือตอบคําถาม ๑) การบงั คบั คณะ ไดแ้ ก่ โตฎกฉนั ท์ ๑ บท มี ๒ บาท • ลลี าของโตฎกฉันท 12 ๑ บาท ม ี ๒ วรรค มลี กั ษณะอยา งไร ๑ วรรค ม ี ๖ คา� (แนวตอบ โตฎกฉนั ท 12 มีลีลา ๒) การบงั คบั สมั ผสั ไดแ้ ก่ กระชน้ั มีเสียงสะบดั กระตุก ๑. คา� สุดทา้ ยของวรรคแรกสัมผสั กับค�าท ี่ ๓ ของวรรคท ่ี ๒ ใชก ับเน้อื ความแสดงอารมณ ๒. คา� สุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ สัมผัสกับค�าสดุ ท้ายของวรรคที่ ๓ โกรธ แสดงการเคล่อื นไหวหรอื ๓. ถ้าแต่งหลายบทตอ้ งมสี มั ผัสระหวา่ งบท คือ ค�าสุดท้ายของบทแรกสมั ผัสกับคา� บทบาทสนุกสนาน) สดุ ท้ายของวรรคท ี่ ๒ ของบทตอ่ ไป ๓) การบงั คบั คร ุ ลห ุ กา� หนดตามแผนผงั ตอ่ ไปนี้ NET ขอสอบ ป 51 ขอสอบถามวา ขอใดมตี ําแหนง คาํ ครุ คาํ ลหุ เหมอื นขอความตอ ไปน้ี “บารมี ธ มากลน ” 1. คนจะดเี พราะนา้ํ ใจ ุ ุ ุ ุ ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ุ ุุ ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ุ ุุ ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ุุ ุ ั ั ัั 2. สารน้ีมลิ บเลือน 3. ฟาสนี ํา้ นํา้ สฟี า 4. พรุงนี้เราจะรักกนั (ขดขขขวอออองั เิ คน1324รน้ั าจะหึงค ตัััั าํ อตบุัััอบขั ุััอ ุั ๏ ประลฤุ กษมหุ ตุ ทนิ อุตดมไกร ัั ั ั ะดิถีศุภยาม 1ุั .)ั ั รณรงควิชัย- หติ โกวทิ พราหมณ์ ั นิติไสยพธิ ี ๏ ทิชพฤฒิปโุ ร กป็ ระกอบกิจตาม (สามัคคเี ภทคา� ฉนั ท ์ : ชติ บุรทัต) 183 คมู ือครู 183

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) นกั เรยี นในกลมุ ที่ 3 สงตัวแทน ๒.๓ อีทิสังฉนั ท ์ ๒๐ ออกมาอธิบายความรู โดยใชเวลา 5 นาที เพอ่ื นๆ ในชัน้ เรียนบันทึก อที ิสงั ฉันท ์ ใชส้ า� หรบั แตง่ เรือ่ งท่ีแสดงความคิดวติ ก เกรีย้ วกราด หรืออารมณ์โกรธ หรอื ความรทู ่ไี ดร ับจากการฟงลงสมุด อารมณต์ ืน่ เต้น หลงั การอธบิ ายความรขู องนกั เรยี น ลกั ษณะบังคบั ของอีทิสังฉนั ท ์ มดี งั น้ี ในกลุม ท่ี 3 ครตู ้ังคาํ ถามโดยสมุ เรยี ก ๑) การบงั คบั คณะ ได้แก่ ชอื่ นกั เรียนเพื่อตอบ ๑ บท มี ๓ วรรค วรรคแรกมี ๙ พยางค ์ วรรคทส่ี องม ี ๘ พยางค์ วรรคสดุ ทา้ ยมี ๓ พยางค์ • ลีลาของอที สิ ังฉนั ท 20 ๒) การบงั คบั สมั ผสั ได้แก่ มลี กั ษณะเปน อยา งไร ๑. ค�าสดุ ทา้ ยของวรรคแรกสัมผัสกบั คา� สดุ ทา้ ยของวรรคที่ ๒ (แนวตอบ อีทสิ ังฉนั ท 20 มีลลี า ๒. สมั ผัสระหว่างบท ค�าสดุ ท้ายของวรรคท่ีสามในบทท ่ี ๑ สมั ผสั กับค�าสุดทา้ ยของ สะบัดสะบิ้ง แตไ มเทากบั วรรคแรกในบทที ่ ๒ โตฎกฉันท มีทํานองเสียง ๓) การบงั คบั คร ุ ลห ุ กา� หนดตามแผนผงั ดงั น้ี กระตุก กระช้นั แตคลายลง ในชว งทา ย มกั ใชกบั เน้ือความ แสดงอารมณโ กรธเกร้ียว) ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั นักเรียนควรรู ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ุ ั ั อีทสิ ังฉนั ท 20 มีลกั ษณะเหมือน กลอนกลบทตะเขบ็ ไตข อน ซ่งึ วรรณคดที ป่ี ระพันธด วยฉนั ทป ระเภท ดงั กลา ว เชน ๏ ภูบดสี ดับอปุ ายะตาม ณ บังอาจ ณ วาทวสั สการพราหม มทั นะพาธา: รัชกาลที่ 6 ๏ เกนิ ประมาณเพราะการณ์ละเมดิ ประมาท นิทานเวตาล: พระราชวงศเ ธอ บ ควรจะขดั บรมราช วโรงการ กรมหมนื่ พทิ ยา- ลงกรณ ๏ ท้าวก็ทรงแสดงพระองค์ ธ ปาน สามคั คีเภทคําฉันท: ชิต บรุ ทัต ประหน่งึ พระราชหทยั ลดุ าล พิโรธจึง สรวงปกาสิตคาํ ฉันท: สุภร ผลชวี นิ ๏ ผนั พระกายกระทบื พระบาทและองึ พระศัพทสีหนาทพึง สยองภัย ๏ เอออุเหม่นะมงึ ชชิ า่ งกระไร B ทุทาสสถุลฉะน้ไี ฉน กม็ าเป็น พื้นฐานอาชีพ B การแตงบทรอ ยกรองในปจจุบนั ไดรับความสนใจนอยลง เนอ่ื งจาก 184 มคี วามเครงครดั ในเรื่องฉนั ทลกั ษณ รวมถงึ ยากตอ การทําความเขา ใจ ซ่ึงครูผูสอนควรช้ีแนะแกนักเรียนวา คุณคาทีแ่ ทจรงิ ของบทรอ ยกรองที่ทําใหแ ตกตางจากรอยแกว คือ ความเครงครดั ในฉันทลกั ษณ และการเลอื กสรรคํามาใชเ พื่อใหตรงกบั ฉันทลกั ษณพรอมๆ กบั การสอ่ื ความหมายอยางลกึ ซ้งึ ดงั น้ัน อาชีพนักประพันธจ ึงเปน อาชีพท่มี ีเกียรติและชว ยธํารงเอกลักษณไทยใหคงอยู ซง่ึ ครูผสู อนอาจจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรนู ้เี พื่อปพู ื้นฐานไปสอู าชีพ นกั ประพนั ธด วยการกําหนดหัวขอ แลวใหน ักเรียนฝกประพนั ธดวยฉนั ทป ระเภทตา งๆ 184 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ๏ ศึก บ ถึงและมึงกย็ ังมเิ หน็ ขยายความเขา ใจ จะนอ้ ยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด ๏ อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ นกั เรียนจับคูกับเพอื่ น เลอื กฉนั ท ขยาดขยน้ั มทิ นั อะไร ก็หม่นิ กู ประเภทท่ชี อบจาก 3 ประเภทท่ไี ด ๏ กลกะกากะหวาดขมงั ธนู ศึกษา จากน้ันรวมกันประพนั ธฉ นั ท บ ห่อนจะเหน็ ธวัชรปิ ู สลิ ่าถอย โดยใหมคี วามสมั พันธร ะหวา ง ๏ พา่ ยเพราะภัยพะตวั และกลัวจะพลอย เนื้อความกบั ลลี าของฉนั ท ความยาว พินาศชิพติ ประดดิ ประดอย ประเดน็ ขดั อยา งนอย 1 บท พรอมนําเสนอดว ย ๏ กกู เ็ อกอุดมบรมกษัตริย์ วธิ กี ารอา นโดยใสท าํ นองหนา ชน้ั เรยี น วจิ าระถว้ น บ ควรจะทัด จะทานคา� ตรวจสอบผล (สามัคคีเภทคา� ฉันท ์ : ชิต บุรทัต) 1. ครตู รวจสอบความรู ความเขาใจ คา� ประพนั ธป์ ระเภทฉนั ทเ์ ปน็ คา� ประพนั ธท์ ไ่ี ทยรบั รปู แบบวธิ กี ารแตง่ มาจากการแตง่ ฉนั ท์ ของนักเรยี นเกี่ยวกบั ฉันทลกั ษณ ของอนิ เดยี ซง่ึ แต่เดิมมีเพยี งการก�าหนดครุ ลหไุ ว้เทา่ นน้ั แตก่ วไี ทยนา� มาดัดแปลงโดยเพิ่มสมั ผสั ของฉันทท ่เี ลอื ก จากผลงานการ เป็นลกั ษณะของคา� ประพนั ธ์แบบไทย ทา� ใหม้ คี วามไพเราะมากขน้ึ ประพนั ธรว มกันของนกั เรยี น การแต่งค�าประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท ์ ผ้แู ตง่ ควรศกึ ษาลกั ษณะบังคับทางฉันทลักษณ์ของ 2. นกั เรียนตอบคาํ ถามประจาํ หนวย ฉันทแ์ ตล่ ะชนิดใหเ้ ข้าใจอยา่ งถ่องแท ้ และเลอื กสรรถอ้ ยค�ามาใชใ้ นการแต่ง โดยคา� นงึ ถงึ เน้อื หา การเรียนรู และเสยี งอันเกิดจากการเรียบเรยี งถอ้ ยคา� เพอ่ื ใหค้ า� ประพันธ์มีทงั้ “รสคา� ” และ “รสความ” จะท�าใหค้ �าประพันธ์มคี วามไพเราะและซาบซ้งึ ตรึงใจผ้อู า่ น แหสลดกั งฐผานลการเรยี นรู คําประพันธโ ดยเลอื กใชป ระเภท ของฉนั ททีท่ ง้ั คมู ีความคดิ เหน็ รวมกัน ความยาวไมนอยกวา 1 บท NET ขอสอบ ป 51 ขอ สอบถามวา ขอความตอไปนี้ เปน คาํ ประพนั ธชนดิ ใด “แสนสาวสุรางควรสนมก็ประดบั ดงั ดาราแวดลอ มพระจันทร ณ อากาศเรอื ง ธ รงั ษ”ี 1. โคลง 2. ฉนั ท 3. กาพย 4. กลอน 185 (วิเคราะหค าํ ตอบ เมื่อแบงวรรค ถูกตองแลว ขอความท่ียกมา เปนคาํ ประพันธประเภท “วสนั ตดิลกฉนั ท” ดงั นั้นจึง ตอบ ขอ 2.) คูมือครู 185

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate เกรด็ แนะครู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) (แนวตอบ คําถามประจําหนวย คำาถามประจำาหนว่ ยการเรียนรู้ การเรียนรู 1. วรรณคดีเรื่องทีแ่ ตง ดวยฉันท ๑. วรรณคดีทีแ่ ต่งดว้ ยฉนั ท์ทีน่ ักเรียนร้จู กั มีเรื่องใดบ้าง เชน พระนลคาํ ฉนั ท สมทุ รโฆษ- ๒. ลักษณะบงั คบั ของฉันท์สัททุลวกิ กฬี ติ ฉนั ท์ ๑๙ เปน็ อย่างไร อธบิ ายพรอ้ ม คําฉนั ท สามัคคีเภทคําฉันท มงคลสูตรคําฉนั ท มัทนะพาธา ยกตวั อยา่ งฉันท์ประกอบ เปน ตน ๓. หากนักเรียนต้องการฝึกแต่งฉนั ท์พรรณนาความงาม ณ สถานท่ีใดทีห่ นงึ่ ทีน่ กั เรยี น 2. สทั ทลุ วกิ กฬี ตฉนั ท 19 เปน ฉันทท ่ีมีลลี าสงา งามประดุจ เคยพบและมีความประทับใจ นกั เรียนจะเลือกแตง่ ดว้ ยฉนั ท์ชนิดใด เพราะเหตุใด อาการตะครบุ เหยือ่ ของเสือโครง ๔. ให้นกั เรยี นเรียงคา� เหล่านี้ให้เปน็ สทั ทุลวกิ กีฬิตฉนั ท์ ๑๙ ให้ถูกต้อง และไดใ้ จความ เปนฉันทท ใ่ี ชแ ตง สดุดี ไหวค รู มี สมบูรณ ์ (ยาตร ส ู่ นคร วสิ าล ี กรธี า ธ พยหุ ราษฎร ์ มาคธ จอม ทพั ) ความศกั ดิ์สทิ ธ์ิ การใชคาํ คร-ุ ลหุ ชัดเจน มกี ารบงั คบั คณะ ไดแ ก 1 บท มี 2 บาท บาทที่ 1 มี 1 วรรค บาทท่ี 2 มี 2 วรรค วรรคแรก ในบาทที่ 1 มี 12 คาํ วรรคแรก กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ ในบาทท่ี 2 มี 5 คาํ และวรรค ที่ 2 ของบาทท่ี 2 มี 2 คํา ๑. นกั เรยี นจบั คูก่ นั เลือกแต่งค�าประพนั ธด์ ้วยโตฎกฉนั ทม์ า ๒ บท สมั ผสั คาํ สดุ ทา ยของวรรคแรก ๒. นักเรยี นแบง่ กลุม่ ๕ กลุม่ จัดท�าปา้ ยนิเทศบทไหว้ครูโดยใชส้ ัททลุ วกิ กฬี ิตฉันท์ สงสมั ผสั ไปยงั คําสดุ ทา ยใน ๓. นกั เรียนเลือกบทร้อยกรองทแ่ี ตง่ ดว้ ยสัททุลวิกกฬี ิตฉนั ท ์ โตฎกฉนั ท์ วรรคท่ี 2 คําสดุ ทา ยวรรคท่ี 3 สง สมั ผัสตอบทไปยงั คาํ สดุ ทาย หรอื อีทสิ ังฉันท ์ มา ๔ บท พร้อมทั้งถอดค�าประพันธ์ วรรคแรกในบทตอไป เชน ศรี- ๔. นกั เรยี นฝกึ แตง่ ฉันท ์ ๑ บท โดยเลอื กฉนั ทป์ ระเภทใดประเภทหน่ึงที่สนใจ มี-ภาค-วากย เปน ตน เชน มาแตง่ พรรณนาความงามของสถานท่ีท่ีนักเรยี นประทบั ใจ  ขาขอเทิดทศนัขประณาม คุณพระศรี สรรเพชญพระผมู ี พระภาค  อีกธรรมาภิสมยั พระไต ปฎกวากย ทรงคุณคะนึงมาก ประมาณ 3. เลือกแตง วสนั ตดิลกฉนั ท เพราะ วสันตดลิ กฉนั ทเ ปนฉันทที่มี ความงดงามหลังจากที่ฝนตก มคี วามเขียวขจีและสดชน่ื 186 ใชส าํ หรบั ดําเนินเรื่องราวและ บรรยายความงดงามของ สภาพแวดลอ ม สภาพภูมิประเทศ เปน ตน 4. จอมทัพมาคธราษฎรธ ยาตรพยุหกรี ธาสูว ิสาลี นคร) 186 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹءÃÁ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (๒๕๔๓). อา่ นอยา่ งไรให้ไดร้ ส. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว. กัลยา น้อยพรหม. (๒๕๔๑). “พิสูจน์รัก…ด้วยความดี” ใน เร่ืองส้ันส�านวนไทย เล่ม ๓. รตั น ฦๅชาฤทธิ์, บรรณาธิการ. หน้า ๑-๑๗. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. กาญจนา นาคสกลุ และคณะ. (๒๕๔๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๑-๒. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. ก�าชัย ทองหล่อ. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : รวมสาสน์ . คณาจารยภ์ าควชิ าภาษาไทย คณะศลิ ปศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ (๒๕๔๖). การใชภ้ าษาไทย ๒. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ครุ สุ ภา. (๒๕๑๘). คา� บรรยายภาษาไทยชน้ั สงู ของชมุ นมุ ภาษาไทยของครุ สุ ภา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ ครุ ุสภาลาดพรา้ ว. จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . (๒๕๕๒). การคน้ ควา้ และการเขยี นรายงาน. กรงุ เทพฯ : โครงการเผยแพร่ ผลงานวชิ าการ คณะอักษรศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. โชษติ า มณีใส. (๒๕๕๓). การใชภ้ าษาไทยเพอื่ ประสทิ ธผิ ล. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ ดวงใจ ไทยอุบญุ . (๒๕๕๒). ทกั ษะการเขียนภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ประภาศรี สีหอ�าไพ. (๒๕๓๘). วัฒนธรรมทางภาษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . เปลื้อง ณ นคร. (๒๕๔๒). ภาษาวรรณนา : วิวฒั นแ์ ละวิบัตขิ องภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : ข้าวฟ่าง. พระธรรมวิสุทธิมงคล. (๒๕๔๓). ธรรมรักษาคลังหลวง. กรุงเทพฯ : ศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และ การพมิ พ.์ พระพรหมคณุ าภรณ ์(ป.อ.ปยตุ โฺ ต). (๒๕๕๐). รกั ของพอ่ แม ่ ทงั้ รกั แทแ้ ละรกั ยง่ั ยนื . มองธรรมถกู ทาง มีสขุ ทกุ ที.่ (หน้า ๗-๑๐). กรุงเทพฯ : สถาบนั บนั ลอื ธรรม. พระยาอปุ กิตศิลปสาร. (๒๕๔๘). หลักภาษาไทย : อกั ขรวิธ ี วจีวิภาค วากยสมั พนั ธ์ ฉนั ทลกั ษณ์. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ . พระวรเวทยพ์ สิ ฐิ . (๒๕๓๔). หลกั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : ศนู ยภ์ าษาและวรรณคดไี ทย คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . 187 คมู ือครู 187

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. (๒๕๔๓). เอกสารการสอนชดุ วชิ าการใชภ้ าษาไทย (ฉบบั ปรบั ปรงุ หน่วยท่ี ๑-๘). นนทบรุ ี : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. . (๒๕๔๓). เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอา่ นภาษาไทย. นนทบรุ ี : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. เยาวลกั ษณ ์ ชาติสุขศริ เิ ดช. (๒๕๔๘). เรียงถ้อยร้อยกรอง. กรงุ เทพฯ : อกั ษรเจริญทศั น์. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๐). พจนานกุ รมศัพทว์ รรณคดไี ทย ภาคฉนั ทลกั ษณ์. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. รนื่ ฤทยั สัจจพันธ.ุ์ (๒๕๔๔). วรรณคดีศึกษา. กรุงเทพฯ : ธารปญั ญา. สถาบันภาษาไทย. (๒๕๔๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. . (๒๕๕๒). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๓. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว. . (๒๕๕๓). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๒. พมิ พค์ รง้ั ท ่ี ๒. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว. . (๒๕๕๓). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๔. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว. สจุ รติ เพยี รชอบ. (๒๕๓๙). ศิลปะการใชภ้ าษา. กรุงเทพฯ : สถาบันภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. สุจิตรา จงจิตร. (๒๕๔๗). มนุษย์กบั วรรณกรรม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ สุปราณี พดั ทอง. (๒๕๔๔). ศิลปะการประพนั ธภ์ าษาไทย : รอ้ ยกรอง. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัย ธรรมศาสตร์. อจั จมิ า เกดิ ผล. (๒๕๔๖). ฟงั พดู อา่ นเขยี นในชวี ติ ประจา� วนั . กรงุ เทพฯ : ศนู ยต์ า� ราและเอกสารทาง วิชาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. อวยพร พานชิ และคณะ. (๒๕๕๓). ภาษาและหลกั การเขยี นเพอื่ การสอ่ื สาร. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. 188 188 คมู อื ครู

แบบทดสเนอบนอกงิ มาารตรคฐาดิ น การจดั การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน มจี ุดมงุ หมายเพ่ือใหผูเรยี นอา นออก เขียนได คดิ คํานวณเปน มุง ใหเกิดทกั ษะการเรยี นรูต ลอดชีวติ เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูท่ีสอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว จึงควรใหผูเรยี นฝก ฝนการนาํ ความรไู ปประยุกตใ ชในชวี ิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญ หาได ดงั น้ันเพ่อื เปน การเตรยี มความพรอม ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูท่ีสําคัญตามท่ีระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดช้ันป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรมการคิด เพอ่ื สรา งแบบทดสอบที่มคี ุณสมบัติ ดงั น้� 1 2วดั ผลการเรียนรู เนนใหผเู รยี นเกดิ การคิด ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน้�ไปใชเปนเครื่องมือวัด และประเมนิ ผล รวมท้ังเปน เครอ่ื งบง ช้คี วามสําเรจ็ และรายงาน ท่สี อดคลอ งกับมาตรฐาน ตามระดับพฤตกิ รรมการคดิ คุณภาพของผูเรียนแตละคน เพ่ือเปนการเตรียมความพรอม ตัวชี้วดั ช้นั ปท ุกขอ ที่ระบไุ วใ นตวั ชี้วดั ของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการ โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ คดิ คาํ นวณ และดา นเหตผุ ล สาํ หรบั รองรบั การประเมนิ ผลผเู รยี น ในระดบั ประเทศ (NT) และระดับนานาชาติ (PISA) ตอไป แบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคดิ ที่จดั ทาํ โดย โครงการวัดและประเมนิ ผล บริษทั อักษรเจรญิ ทศั น อจท. จํากัด ประกอบดวย แบบทดสอบประจําภาคเรียนที่ 1 และแบบทดสอบประจําภาคเรียนท่ี 2 ซึ�งแตละภาคเรียนจะมีแบบทดสอบ 2 ชุด แตละชุดมีทั้ง แบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด และระดับพฤติกรรมการคิดที่สัมพันธกับแบบทดสอบไวอยาง ชัดเจน เพอื่ ใหผ สู อนนาํ ไปใชเปน เคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผลผเู รียนไดอยางมปี ระสิทธิภาพ ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ภาคเรยี นท่ี 1 ตารางวิเคราะหร ะดับพฤติกรรมการคดิ ตารางวเิ คราะหมาตรฐานตัวช้ีวดั ชุดที่ มาตรฐาน ตวั ชว้ี ัด ขอ ของแบบทดสอบที่สมั พันธกบั ตัวชว้ี ดั พกฤราตะริกดคับริดรม ขอ ของแบบทดสอบที่สัมพันธก ับ รวม ระดบั พฤติกรรมการคดิ - - 2 1 - 2, 4 - 7 A ความรู ความจํา - 5 4 3, 11 - 14 B ความเขาใจ - 27 68 C การนาํ ไปใช 14 - 15, 18, 23, 35 4 ท 1.1 7 16 D การวเิ คราะห 1, 3, 5 - 7, 10 - 12, 19 - 22, 24 - 30, 4 8 9 - 10, 17 32 - 34, 36 - 40 9 15, 18 1 19 - 23 E การสงั เคราะห 8, 13, 16 - 17 1 ท 2.1 4, 5* - F การประเมินคา 2, 4, 9, 31 1 25 - 27 2 29 ท 3.1 3 30 - 31 5 24 6 28 3 32 - 33, 37 ท 4.1 4 35 - 36, 40 5 38 - 39 หมายเหตุ : มีเฉลยและคาํ อธบิ ายเชิงวเิ คราะห อยทู า ยแบบทดสอบภาคเรยี นท่ี 1 และภาคเรยี นที่ 2 (1) โครงการวัดและประเมินผล

ตารางวิเคราะหแ บบทดสอบ ภาคเรยี นที่ 1 ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคดิ ตารางวิเคราะหม าตรฐานตวั ชีว้ ัด พกฤราตะรกิดคบัริดรม ขอของแบบทดสอบทีส่ มั พันธก ับ รวม ชดุ ท่ี มาตรฐาน ตัวช้วี ัด ขอ ของแบบทดสอบทีส่ ัมพันธกับตวั ช้วี ดั ระดบั พฤตกิ รรมการคดิ 1 6 11 A ความรู ความจาํ 31 7 2 2, 5, 9 - 10 B ความเขาใจ 13 - 14, 25, 30, 32, 39 23 46 C การนําไปใช 1, 11, 22, 24, 26, 34 - 35 1 D การวเิ คราะห 3 - 7, 9 - 10, 12, 15 - 21, 27- 29, 33, 2 ท 1.1 6 7 36 - 38, 40 E การสังเคราะห 2 74 F การประเมินคา 8, 23 88 โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 93 1 11 - 12, 14 - 16 2 ท 2.1 4 13, 17 - 18 5 19 - 20 1 21 2 22 ท 3.1 3 23 - 24 5 25 - 28 6 29, 30 3 31 - 32, 34 ท 4.1 4 35, 37 5 33, 36, 38 - 40 *หมายเหตุ ตัวช้วี ดั บางตวั ปรากฏอยูในขอ สอบทีเ่ ปนอตั นัย โครงการวัดและประเมินผล (2)

แบบทดสอบวช� า ภาษาไทย หลกั ภาษาและการใชภ าษา 1ภาคเรย� นท่ี ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ ช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 ชดุ ท่ี 1 ¤Ðá5¹0¹ÃÇÁ ช่ือ นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………….. เลขประจําตวั สอบ โรงเรยี น……………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………. สอบวนั ท่ี เดือน พ.ศ.…………………….. ……………………………………….. ………………………………………………… โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด 1ตอนที่ 1. แบบทดสอบฉบับน�ม้ ีทง้ั หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ 2. ใหน กั เรยี นเลือกคําตอบท่ีถกู ที่สุดเพียงขอเดียว ¤Ðá¹¹àµçÁ 40 อา นขอความท่ีกําหนด แลวตอบคาํ ถามขอ 1. - 4. โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ การเลี้ยงรางกายพอแมใหอยูเย็นเปนสุขอยางนี้ยังหาเพียงพอท่ีจะ “เปลื้องหนี้” ท่ีทานเคยใหเราไม เพราะหน้ี ของทา นทมี่ ตี อ เรานน้ั เปน หนชี้ นดิ ที่ไมใชเ พยี งทว มบา ทว มหเู ทา นน้ั แตเ ปน หนช้ี นดิ ทว มหวั ทเี ดยี ว เราจะทดแทนเพยี ง เลก็ นอ ยหาคุม ไม เลี้ยงกายทา นยังไมพอ ยงั ตองเลีย้ งนํา้ ใจทา นควบคกู นั ไปดว ย การเลยี้ งนาํ้ ใจพอ แมก ค็ อื การไมท าํ ใหท า นชา้ํ ใจ เสยี ใจ หรอื ถงึ กบั นา้ํ ตาตกเพราะเรา การทเ่ี ราผเู ปน ลกู ประพฤตติ น ตามคําแนะนําตกั เตือนของทาน เปน คนออ นนอม ไมห วั ด้ือถือร้ัน มสี ัมมาคารวะ รกั เคารพทา นทงั้ ตอ หนาและลับหลงั ไมถือโทษโกรธเคืองและแสดงความไมพอใจออกใหทานเห็น ใหทานนอยใจ โดยถือวาทานเปนพระจริงๆ การพูดจา หรือการแสดงกริ ิยาอืน่ ออกมาดวยความยาํ เกรง มีความยกยองนับถืออยูในที การประพฤตติ นของเราอยา งนีย้ อมจะนํา ความแชมช่ืนเบิกบานใจ และความพอใจมาสูทานได เพราะพอแมน้ันพอเห็นลูกเช่ือฟงคําเทานั้น ก็เปนอันหมดหวง ความกังวลวาลูกจะไมดีดังใจนึก ความกลัววาลูกจะลําบากลําบนในวันหนาจะหมดไป เม่ือทานหมดหวงในเรา ทานก็ กินไดน อนหลับ จิตใจก็พลอยสบายไปดวย เปนการตอ อายทุ านไดเสยี ดวย การบํารุงพระในบาน : พระธรรมกิตตวิ งศ 1. บคุ คลใด “เปลอ้ื งหน”ี้ ตามทรรศนะของผูเขยี นได 3. จุดมุงหมายของผเู ขยี นสอดคลองกับขอ ใด D เหมาะสมทสี่ ุด D 1. การดูแลผสู ูงอายุ 1. นภิ าเล้ยี งดูพอแมอยางดยี ามเจบ็ ไข 2. การกตัญตู อ บพุ การี 2. ยุพินใหเงนิ พอแมใชจ า ยอยางเพียงพอ 3. การสรางบญุ กุศลทีย่ ่งิ ใหญ 3. สุพรใหการดูแลเอาใจใสพ อ แมไมใหท านวา เหว 4. การสรา งเสริมสขุ ภาพใหพ อแม 4. พมิ พาใหก ารเลย้ี งดู ไมท อดทงิ้ เคารพบชู า และเชอื่ ฟง 4. ชาดกเร่ืองใดสามารถนาํ มาเปน ขอมลู สนบั สนนุ ขอความ 2. การ “เล้ยี งนํ้าใจพอแม” กอ ใหเกิดผลดอี ยา งไร F ทีก่ ําหนดใหอ า นได F 1. ไดบญุ กศุ ลเจริญรุง เรือง 1. พระเตมยี  2. พอแมสขุ ภาพดีทง้ั กายและใจ 2. พระภรู ิทัต 3. พอ แมสบายใจ หมดความกงั วล 3. พระมโหสถ 4. ไดร บั การเคารพยกยองนบั ถอื จากบุคคลท่วั ไป 4. พระสุวรรณสาม ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวเิ คราะห การสังเคราะห การประเมินคา A B C D E F (3) โครงการวัดและประเมินผล

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 5. “เพชรดี มณแี ดง เขยี วใสแสงมรกต เหลอื งใสสดบษุ ราคมั ” อานขอความทกี่ าํ หนด แลวตอบคําถามขอ 10. D ขอ ใดขยายความและช้ีคณุ สมบตั ิท่แี ตกตางจากขอ อ่นื ผลที่ไดเปนคะแนนท่ีเปนประกาศนียบัตร หรือ 1. เพชร หมายถงึ รัตนทีม่ คี ุณคา มรี าคา ใครมไี วป ระดับ เปน รางวัลนัน้ มีประโยชนอ ยา งไร ตองเขา ใจวา เปน จะมีอํานาจ วาสนา และมบี ารมี ผูเ ยาว เปน เวลาทต่ี องสะสมความรู ไมใชการเรียน เพื่อเอาคะแนน เปนการเรียนเพ่ือที่จะเตรียมตัว 2. มณแี ดง หมายถึง รัตนทม่ี ีสแี ดงใส มีประกายเหมือน สําหรับดํารงชีวิตอยูในโลกนี้ เพื่อเปนประโยชนแก สาแหรก สังคมและเพอ่ื ประโยชนข องตัวเอง 3. เขียวใสแสง หมายถึง มรกต เปนรตั นท่ีมสี เี ขียว พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช มอี าํ นาจ 10. จากพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร- 4. เหลอื งใสสด หมายถงึ บุษราคัมทีม่ สี เี หลอื งสดใส D มหาภูมพิ ลอดุลยเดชทรงประเมินผลของคะแนนทไี่ ด แสดงถึงความสดใสมีเสนห  จากการเรยี นสอดคลองกับขอ ใด 6. การแปลความในขอ ใดเปรยี บเทยี บใหเ กดิ อารมณค วามรสู กึ 1. รางวลั แหง ชวี ิต D เศราและเจบ็ ปวดใจ 2. ประกาศนียบัตรแหง ชวี ิต 3. เปนคะแนนสะสมไวศกึ ษาตอ 1. มีแตท กุ ขใจเจ็บดังเหน็บหนาม 4. เตรยี มตัวไวสาํ หรับการดํารงชีวิต 2. ตองจาํ จนทนกรรมทตี่ ดิ ตาม 11. การที่ขุนชางวายนาํ้ ไปถวายฎกี ายังเรอื พระท่นี งั่ ของ 3. จะขืนความคิดไปก็ใชที่ D พระพนั วษา พระองคป ระเมินการกระทําของขุนชาง 4. ทุกวันนี้ใชแมจะผาสกุ สอดคลอ งกบั ขอใด 7. ขอ ความใดเขยี นขยายความไดส มบูรณ 1. คราน้ันสมเดจ็ พระพนั วษา ทรงพระโกรธาโกลาหล D 1. ผลิตภัณฑน ําเขา เพือ่ สาวไทยโดยเฉพาะ 2. คือคําบอกเลา จากคณุ ลดาวลั ย สระบัวแกว ตัวแทน ทดุ อา ยจญั ไรมิใชคน บนบกบนฝง ดังไมมี 2. ใชท ี่ใชท างวางเขา มา ฤๅอา ยชา งเปน บา กระมงั นี่ จําหนายจากภาคตะวันออก 3. ดฉิ นั ทํางานประจาํ ในบริษทั เอกชนแหงหนง่ึ มรี ายได เฮย ใครรบั ฟองของมันที ตเี สยี สามสบิ จงึ ปลอยไป 3. มหาดเล็กกร็ ับเอาฟอ งมา ตาํ รวจควา ขนุ ชา งหาวางไม ประจําพอมพี อกนิ ในแตล ะเดอื น 4. แตเม่ือมาสมัครเปนตวั แทนจําหนา ยเครอ่ื งสาํ อาง ลงพระราชอาญาตามวา ไว พระจึงใหต ้งั กฤษฎกี า 4. วาต้ังแตว นั น้สี บื ตอ ไป ทาํ ใหม รี ายไดเ พม่ิ มากขนึ้ จนสง ลกู เรยี นจบปรญิ ญาตรี 8. พระพันวษาทรงมีรบั สั่งสรุปเรือ่ งราวทั้งหมดวา หนา ทีข่ องผูใ ดใหรักษา E “มันเกดิ เหตุทงั้ นีก้ เ็ พราะหญิง จึงหึงหวงชว งชิงยงุ ยง่ิ อยู ถา ประมาทราชการไมนําพา ปลอ ยใหใ ครเขามาในลอ มวง จาํ จะตัดรากใหญใหห ลน พรู ใหล กู ดอกดกอยแู ตก ง่ิ เดยี ว” 12. การประเมนิ คา ของพระพนั วษาในขอใด เปน ผลทาํ ให บทรอ ยกรองน้ีสอดคลอ งกบั สาํ นวนใดมากท่ีสุด D พระองคก รว้ิ และทรงตดั สนิ จมนื่ ไวยวา ทาํ การหมน่ิ พระองค 1. ตดั รากถอนโคน 1. จะปรึกษาตราสนิ ใหไมได 2. ตัดญาตขิ าดมิตร จงึ ทาํ ตามนํ้าใจเอางายงา ย 3. ตัดไฟตนลม 2. คราน้ันพระองคผ ูทรงเดช 4. ตดั พอตดั ลูก ฟง เหตุขนุ เคอื งเปน หนักหนา 3. ลงพระราชอาญาตามวา ไว 9. การอา นในขอ ใดเสรมิ ใหเ กดิ ความเพลดิ เพลนิ และแสวงหา พระจึงใหต ั้งกฤษฎกี า F ความรูอยา งคมุ คา 4. ถา ฉวยเกิดฆา ฟน กนั ลม ตาย อนั ตรายไพรเมอื งก็เคืองกู 1. พิชยั ยุทธอา นการต ูนญ่ปี นุ 2. ชลทศิ อานหนงั สอื แขงรถยนต 3. ศุวฒั นช ัยอา นวรรณคดเี รอ่ื งสามกก 4. สถาพรอา นนวนิยายสบื สวนสอบสวน โครงการวัดและประเมินผล (4)

13. การประเมนิ คาของวนั ทองเกี่ยวกับขุนชางในขอใด อานขอความทก่ี ําหนด แลว ตอบคาํ ถามขอ 16. - 17. E เปนเหตุใหพระพนั วษากร้ิวแลวสั่งประหารชวี ิตวนั ทอง สวนความอิจฉาในรูปแบบของการใชชีวิตบน โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 1. เงนิ ทองกองไวมิใหใคร พื้นฐานของการเลียนแบบผูอ่ืนในทางท่ีผิด เชน ขาไทใชสอยเหมอื นของตัว ผิดจากกลุม ผิดจากสังคม หรือผิดจากบุคลิกภาพ รสนยิ ม และความสามารถของตัวเองน้นั บุคคลท่มี ี 2. สลู าํ บากบุกปา มาดว ยกัน ความรสู ึกประเภทน้ี แทจริงแลวเปนคนที่ไมมคี วาม สารพนั อดออมถนอมใจ มนั่ คงในตนเอง ทาํ ใหบ างคร้ังอาจลมเหลว ไมเปนท่ี ยอมรับของคนอื่นได เพราะเมื่อไมสามารถจะเปน 3. จะกินขา วนัง่ เคลา อยูคอยทา จะมี จะทาํ หรอื จะไดต ามที่ใจตอ งการแลว ยอ มทาํ ให ใหพ ิมมานงั่ กนิ ดวยกนั กอ น จติ ใจเศรา หมอง ความรสู กึ เชน นถี้ อื เปน ศตั รทู ยี่ งิ่ ใหญ จะทําลายความสุขและความสําเร็จในชวี ิต 4. พี่เคย้ี วหมากเจาอยากพย่ี ังคาย แขนซายคอดแลว เพราะหนนุ นอน สรุปสุดทายวิธีท่ีจะขจัดความรูสึกอิจฉาใหหมด ไปจากชีวิตของเราก็คือ การฝกความม่ันใจในพลัง อา นบทรอยกรองทก่ี าํ หนด แลว ตอบคาํ ถามขอ 14. ความสามารถ และประสิทธิภาพของตัวเอง พอใจ ในความเปนตัวเอง ตลอดจนสง่ิ ทม่ี อี ยู ทจี่ รงิ ใจเหน็ ไปอยเู รอื นอื่น คงคดิ คืนทหี่ มอ มเปน แมนมน่ั 16. จากขอ ความทกี่ าํ หนดใหอ า นขอ ใดเหมาะสมทจ่ี ะใชเ ปน ชอ่ื ดวยรกั ลกู รกั ผวั ยงั พวั พัน E ของผงั มโนภาพ คราวนน้ั ก็ไปอยูเพราะจาํ ใจ แคนคิดดวยมติ รไมร กั เลย พอใจในตนเอง เชอ่ื มน่ั ในตนเอง ยามมีที่เชยเฉยเสยี ได เสยี แรงรวมทุกขย ากกันกลางไพร …………………………….. กินผลไมต า งขาวทกุ ขเ พรางาย พอไดด มี สี ขุ ลืมทุกขยาก ทํางานของตน ยึดมั่นในความ ก็เพราะหากหมอ มมีซ่งึ ท่ีหมาย อยางมคี ณุ ภาพ ถกู ตอ ง วา นกั ก็เครอื่ งเคอื งระคาย เอ็นดนู องอยาใหอ ายเขาอกี เลยฯ 1. วธิ ีขจัดความอจิ ฉา 2. ความอิจฉาดา นวตั ถุ บทเสภาเรอื่ ง ขนุ ชา งขุนแผน 3. สภาพสังคมทีแ่ ขง ขันดานวัตถุ 4. ความอจิ ฉาในรปู แบบการใชชวี ิต 14. จากบทเสภาเรอื่ ง “ขนุ ชา งขนุ แผน” มลี กั ษณะการแปลความ 17. ตามทรรศนะของผูเ ขยี นศตั รทู ่ีย่ิงใหญซ ่งึ จะทาํ ลายความ C สอดคลอ งกบั ขอใด E สาํ เร็จในชีวติ ตรงกับขอ ใด 1. การเลยี นแบบผอู ืน่ ในทางที่ผดิ 1. เอยอางเหตุผลสว นตัวทร่ี กู ันสองคน 2. คนท่ีไมม คี วามม่ันคงในตนเอง 2. การเลา เรือ่ งยอนอดตี ใหผ ูอ านเขา ใจไดงา ย 3. คนท่ีไมเปนทยี่ อมรบั ของผูอื่น 3. บอกความเพื่อใหสํานึกวา ไมมเี หตุการณซํา้ รอยเดิม 4. คนที่มีความอจิ ฉาอยูในชีวติ 4. อธิบายวาบัดนีอ้ ายุมากข้ึนแลวจะทาํ ส่งิ ใดใหคิดกอน 18. พฤติกรรมใดแสดงถงึ ระเบียบวนิ ยั ในการอาน 15. พฤตกิ รรมของบุคคลในขอใดแสดงถึงความไมเ คารพ C 1. กรองทพิ ยแ อบนําถุงขนมเขาไปนงั่ กินบนโตะ C และปฏิบัตติ นไมเหมาะสมในการอา น 2. นษุ ยานั่งเถียงกับเพื่อนและจบั หนังสือตเี พือ่ น 1. ภัทรพลชวนสเุ มษใหมานัง่ อา นท่ีโตะเดยี วกนั 3. มณฑาน่ังพดู โทรศพั ทและหัวเราะเสยี งดัง 2. ธรี วทิ ยเ ดนิ ไปหยบิ หนงั สอื มาอา นแลว นาํ ไปวางไวท เี่ ดมิ 4. ณัฐชาหยบิ หนังสือจากชั้นมาคนควา แลวนาํ ไปเก็บไว 3. กานตดนัยคยุ กับพรี พลเรื่องการทํารายงาน พรอมท้ัง ตามเดมิ เปดหนังสือใหเ พือ่ นดู 4. ชัชวาลหยบิ หนังสือมาพับหนา ทตี่ นตอ งการแลว แอบ ฉกี พบั ใสกระเปาเสอ้ื ของตน (5) โครงการวัดและประเมินผล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook