Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6

อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6

Published by pearyzaa, 2020-10-23 08:52:34

Description: อจท. ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6

Search

Read the Text Version

๑ ความเป็ นมา • มีที่มาจากนิทานในหนงั สือธรรมจกั ษุ ซ่ึงสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ)์ เมื่อคร้ังดารงสมณศกั ด์ิพระสุคุณคณาจารย์ เป็นผเู้ รียบเรียงมาจากสุมงั คลวลิ าสินี อรรถกถา ฑีฆนิกายมหาวรรค • ความในตน้ เร่ืองปรินิพพานสูตร นายชิต บุรทตั ไดอ้ ่านนิทานแลว้ เห็นวา่ เป็น เร่ืองที่ดีมีคติจึงแต่งเป็นคาฉนั ท์ • มีความประสงคท์ ูลเกลา้ ฯ ถวายเพ่อื ขอพระราชทานคาพระราชวนิ ิจฉยั ตรวจแก้ จากพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั • แต่มิไดก้ ระทาเพราะเกรงจะขดั กบั พระราชประเพณีนิยม • นายชิต บุรทตั แต่งเรื่องสามคั คีเภทคาฉนั ทเ์ สร็จเมื่ออายเุ พยี ง ๒๓ ปี

๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง • นายชิต บุรทตั ซ่ึงเป็นบุตรของนายชูและนางปริก • สกลุ เดิม คือ ชวางกรู เกิดเม่ือวนั ท่ี ๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ภรรยาช่ือ นางจนั แต่ไม่มีบุตรดว้ ยกนั • ไดร้ ับพระราชทานนามสกุลใหม่วา่ บุรทตั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ และถึงแก่กรรม เม่ือวนั ที่ ๒๗ เมษายนพ.ศ. ๒๔๘๕ • ไดร้ ับการศึกษาเบ้ืองตน้ จากบิดา แลว้ ไดบ้ รรพชาเป็นสามเณร ระหวา่ งบวช เรียนไดศ้ ึกษาจนจบหลกั สูตรนกั ธรรมประโยคช้นั สอง • เป็นผรู้ ู้ภาษาบาลีสนั สกฤตเป็นอยา่ งดี และทาหนา้ ท่ีเป็นเลขานุการของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง (ต่อ) • ไดอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเดจ็ พระสงั ฆราช กรมพระยาวชิรญาณวโร รสเป็นองคอ์ ุปัชฌาย์ จากน้นั ไดล้ าสิกขาบท เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๖ • สนใจงานการประพนั ธต์ ้งั แต่คร้ังเป็นสามเณร • เม่ือลาสิกขาบทไดท้ างานหนงั สือพิมพศ์ รีกรุง พิมพไ์ ทย โฟแทก็ ซ์ ไทยหนุ่ม เทอดไทย โดยใชน้ ามปากกา เอกชน เจา้ เงาะ แมวคราว ผลงานการประพนั ธ์ที่ สาคญั คือ สามคั คีเภทคาฉนั ท์ และกรุงเทพฯ คาฉนั ท์ • มีฝีมือเชี่ยวชาญในการแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉนั ท์ โดยเฉพาะการเลือกฉนั ท์ ชนิดต่างๆ มาใชส้ ลบั กนั อยา่ งเหมาะสมกบั เน้ือเรื่องและลีลาของแต่ละตอน • ถึงแก่กรรมเม่ือวนั ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๕ รวมอายไุ ด้ ๕๐ ปี

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ สัททุลวกิ กฬี ิตฉันท์ ๑๙ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลาการอ่านสง่า เคร่งขรึม มีอานาจดุจเสือผยอง • ใชแ้ ต่งสาหรับบทไหวค้ รู บทสดุดี ยอพระเกียรติ วสันตดลิ กฉันท์ ๑๔ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลาไพเราะ งดงาม เยอื กเยน็ ดุจเมด็ ฝน • ใชส้ าหรับบรรยายหรือพรรณนาช่ืนชมส่ิงท่ีสวยงาม อุปชาตฉิ ันท์ ๑๑ • นิยมแต่งสาหรับบทเจรจาหรือบรรยายความเรียบๆ

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ (ต่อ) อที ิสังฉันท์ ๒๐ • เป็นฉนั ทท์ ่ีมีจงั หวะกระแทกกระท้นั เกร้ียวกราด โกรธแคน้ และอารมณ์รุนแรง • รักมาก โกรธมาก ตื่นเตน้ คึกคะนอง หรือพรรณนาความสบั สน อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ • เป็นฉนั ทท์ ่ีมีลีลาสวยงามดุจสายฟ้าพระอินทร์ มีลีลาอ่อนหวาน • ใชบ้ รรยายความหรือพรรณนา โนม้ นา้ วใจใหอ้ ่อนโยน เมตตาสงสาร เอน็ ดู ใหอ้ ารมณ์เหงาและเศร้า วชิ ชุมมาลาฉันท์ ๘ • ระเบียบแห่งสายฟ้า เป็นฉนั ทท์ ี่ใชใ้ นการบรรยายความ

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ (ต่อ) อนิ ทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลาตอนทา้ ยไม่ราบเรียบคลา้ ยกลบทสะบดั สะบิ้ง • ใชใ้ นการบรรยายความหรือพรรณนาความ วงั สัฏฐฉันท์ ๑๒ • เป็นฉนั ทท์ ่ีมีสาเนียงอนั ไพเราะเหมือนเสียงป่ี มาลนิ ีฉันท์ ๑๕ • เป็นฉนั ทท์ ่ีใชใ้ นการแต่งกลบทหรือบรรยายความที่เคร่งขรึม เป็นสง่า ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลางามสง่าดุจงูเล้ือย • นิยมใชแ้ ต่งบทท่ีดาเนินเร่ืองอยา่ งรวดเร็วและคึกคกั

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ (ต่อ) มาณวกฉันท์ ๘ • เป็นฉนั ทท์ ่ีมีลีลาผาดโผน สนุกสนาน ร่าเริง และต่ืนเตน้ ดุจชายหนุ่ม อุเปนทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีความไพเราะใชใ้ นการบรรยายบทเรียบๆ สัทธราฉันท์ ๒๑ • เป็นฉนั ทท์ ่ีใชส้ าหรับแต่งคานมสั การ อธิษฐาน ยอพระเกียรติ หรืออญั เชิญเทวดา ใชแ้ ต่งบทส้นั ๆ สาลนิ ีฉันท์ ๑๑ • เป็นบทที่มีคาครุมาก ใชบ้ รรยายบทท่ีเป็นเน้ือหาสาระเรียบๆ

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ (ต่อ) อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ • เป็นฉนั ทท์ ี่เหมาะสาหรับใชบ้ รรยายบทเรียบๆ แต่ไม่ใคร่มีคนนิยมแต่งมากนกั โตฎกฉันท์ ๑๒ • เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลาสะบดั สะบิ้งเหมือนประตกั แทงโค ใชแ้ ต่งกบั บทที่แสดง • ความโกรธเคือง ร้อนรน หรือสนุกสนาน คึกคะนอง ต่ืนเตน้ และเร้าใจ กมลฉันท์ ๑๒ • ฉนั ทท์ ่ีมีความไพเราะงดงามเหมือนดงั ดอกบวั • ใชก้ บั บทท่ีมีความต่ืนเตน้ เลก็ นอ้ ยและใชบ้ รรยายเร่ือง

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ (ต่อ) จติ รปทาฉันท์ ๘ • เป็นฉนั ทท์ ่ีเหมาะสาหรับบทที่น่ากลวั เอะอะ เกร้ียวกราด ตื่นเตน้ ตกใจและกลวั สุรางคนางค์ฉันท์ ๒๘ • มีลกั ษณะการแต่งคลา้ ยกบั กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ แต่ต่างกนั ท่ีมีขอ้ บงั คบั ครุ ลหุ เพมิ่ ข้ึนมา ทาใหเ้ กิดความไพเราะมากยง่ิ ข้ึน • เหมาะสาหรับขอ้ ความท่ีคึกคกั สนุกสนาน โลดโผน ตื่นเตน้ กาพย์ฉบัง ๑๖ • เป็นกาพยท์ ี่มีลีลาสง่างาม ใชส้ าหรับบรรยายความงามหรือดาเนินเรื่องอยา่ งรวดเร็ว

๔ เร่ืองย่อ • พระเจา้ อชาตศตั รู ทรงครองแควน้ มคธมีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง ตอ้ งการขยาย อาณาจกั รไปยงั แควน้ วชั ชีอนั มีพวกกษตั ริยล์ ิจฉวปี กครอง • กษตั ริยล์ ิจฉวที ุกพระองคล์ ว้ นทรงมนั่ อยใู่ นธรรมที่เรียกวา่ “อปริหานิยธรรม ๗” คือ ธรรมอนั เป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญ • พระเจา้ อชาตศตั รูทรงวางแผนใหว้ สั สการพราหมณ์อามาตยค์ นสนิทไปเป็นไส้ศึก • กษตั ริยล์ ิจฉวที รงต้งั ใหเ้ ป็นครูสอนศิลปวทิ ยาแก่บรรดาราชกุมารเป็นที่ไวใ้ จ ในหมู่กษตั ริยล์ ิจฉวี • วสั สการพราหมณ์ไดด้ าเนินอุบายเพ่อื ทาลายความพร้อมเพรียงและความ สามคั คีกนั ของกษตั ริยล์ ิจฉวี หลงั จากเวลาผา่ นไป ๓ ปี ความสามคั คีกถ็ ูก ทาลายสิ้น • พระเจา้ อชาตศตั รูกก็ รีธาทพั สู่เมืองเวสาลี บรรดากษตั ริยล์ ิจฉวไี ม่มีใครมายก ทพั เขา้ ต่อสูศ้ ึก พระเจา้ อชาตศตั รูจึงสามารถยดึ ครองเมืองเวสาลีไดโ้ ดยง่าย

๕ บทวเิ คราะห์ ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • แต่งดว้ ยคาประพนั ธ์ประเภทฉนั ทช์ นิดต่างๆ จานวน ๑๙ ชนิด และ กาพย์ ๑ ชนิด • ลกั ษณะคาประพนั ธ์ท่ีกวเี ลือกใชม้ ีความสอดคลอ้ งและให้อารมณ์ เหมาะสมกบั เน้ือหา

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • สทั ทุลวกิ กีฬิตฉนั ท์ ๑๙ เป็นฉนั ทท์ ่ีมีลีลาสง่างาม เคร่งขรึม ศกั ด์ิสิทธ์ิ • กวนี ามาใชแ้ ต่งบทไหวค้ รู

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • อีทิสงั ฉนั ท์ ๒๐ มีรูปแบบการแต่งโดยใช้ ครุ ลหุ สลบั กนั ทาใหเ้ กิด เสียงท่ีใหอ้ ารมณ์ความรู้สึกท่ีรุนแรง โกรธแคน้ • พระเจา้ อชาตศตั รูทรงแสร้งแสดงพระอาการพโิ รธวสั สการพราหมณ์

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • อินทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๑๑ เป็นฉนั ทท์ ี่มีลีลาอ่อนหวาน ใชบ้ รรยายหรือ พรรณนาความเพื่อโนม้ นา้ วใจใหอ้ ่อนโยน เมตตาสงสาร ใหอ้ ารมณ์ เศร้า เหงา วา้ เหว่ สลดใจ • กวใี ชบ้ รรยายตอนวสั สการพราหมณ์ถูกโบยตี

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • วสนั ตดิลกฉนั ท์ ๑๔ เป็นฉนั ทท์ ่ีมีลีลาไพเราะงดงาม ใชส้ าหรับ บรรยายหรือพรรณนาชื่นชมส่ิงที่สวยงาม • สการพราหมณ์ใชว้ าทศิลป์ ยกยอ่ งกษตั ริยล์ ิจฉวี หวงั จะพ่ึงพระบรม โพธิสมภาร

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ • สุรางคนางคฉ์ นั ท์ ๒๘ เป็นฉนั ทท์ ่ีใหอ้ ารมณ์คึกคกั สนุกสนาน • พระเจา้ อชาตศตั รูทรงเตรียมไพร่พลเพอ่ื ยกทพั เขา้ สู่เมืองเวสาลี

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเรื่อง (สาระ) • มุ่งช้ีใหเ้ ห็นโทษของการแตกความสามคั คีท่ีจะนามาซ่ึงความเสียหาย ในหมู่คณะและประเทศชาติ • ดงั เช่นกษตั ริยล์ ิจฉวแี ตกความสามคั คีกนั หลงั จากพระเจา้ อชาตศตั รู แห่งแควน้ มคธใหว้ สั สการพราหมณ์ไปยแุ ยง • กษตั ริยล์ ิจฉวแี ตกความสามคั คีกนั แสดงใหเ้ ห็นการเอาชนะแควน้ ที่มี อานาจมากกวา่ ได้ เพราะการใชส้ ติปัญญามิใช่กาลงั

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (โครงเร่ือง) • มีการวางโครงเร่ืองท่ีดี จดั ลาดบั เน้ือหาตามธรรมเนียมการแต่ง o เริ่มดว้ ยบทประณามพจน์ คือ บทไหวพ้ ระรัตนตรัย ส่ิง ศกั ด์ิสิทธ์ิ บิดา มารดา ครู อาจารยแ์ ละพระมหากษตั ริย์ o บอกจุดประสงคก์ ารแต่งและกล่าวถ่อมตวั o เริ่มดว้ ยบทชมบา้ นชมเมือง และกล่าวถึงพระเจา้ อชาตศตั รูท่ีมี พระราชประสงคจ์ ะปราบแควน้ วชั ชี o ออกอุบายยยุ งบรรดาพระโอรสของกษตั ริยล์ ิจฉวที ุกพระองค์ แตกสามคั คีกนั o พระเจา้ อชาตศตั รูยกทพั มาตีแควน้ วชั ชี และยดึ ไดอ้ ยา่ งง่ายดาย

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (ตวั ละคร) • พระเจา้ อชาตศตั รู o มีพระปรีชาสามารถในการปกครองบา้ นเมือง ทรงต้งั อยใู่ น ทศพิธราชธรรม ทรงมีความรอบคอบและฉลาดหลกั แหลม

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (ตัวละคร) • วสั สการพราหมณ์ o มีความจงรักภกั ดีต่อพระเจา้ อชาตศตั รู เป็นผทู้ ่ีมีความรักชาติ บา้ นเมืองของตนอยา่ งแรงกลา้

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (ตัวละคร) • กษตั ริยล์ ิจฉวี o เป็นกษตั ริยท์ ี่เคยต้งั มนั่ อยใู่ นอปริหานิยธรรม ๗ แต่ภายหลงั ทรง ขาดวจิ ารณญาณ

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (ฉากและบรรยากาศ) • กวจี ินตนาการฉากและบรรยากาศ โดยเลือกใชค้ าอยา่ งพถิ ีพถิ นั • เลือกประเภทฉนั ทไ์ ดเ้ หมาะกบั เน้ือเร่ืองในแต่ละตอน ทาใหก้ าร พรรณนาเห็นภาพของฉากและบรรยากาศอนั งดงาม

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา องค์ประกอบของเร่ือง (กลวธิ ีการแต่ง) • กวเี ลือกสรรคาฉนั ทท์ ่ีมีลีลาท่วงทานองมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม • การดาเนินเรื่องจึงชวนใหน้ ่าติดตาม • มีศิลปะในการนาถอ้ ยคาและโวหารมาประกอบ

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชค้ าไดถ้ ูกตอ้ งตรงตามความหมายท่ีตอ้ งการ o มีการใชค้ าที่ประณีตเป็นพเิ ศษ

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชศ้ พั ทเ์ หมาะแก่เน้ือเร่ืองและฐานะของบุคคลในเร่ือง

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชเ้ ลือกคาโดยคานึงถึงเสียง o การใชค้ าที่เล่นเสียงหนกั เบา

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชเ้ ลือกคาโดยคานึงถึงเสียง o การเล่นเสียงสมั ผสั

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชเ้ ลือกคาโดยคานึงถึงเสียง o การเล่นสมั ผสั ชุดคาและชุดเสียง

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การสรรคา • การเลือกใชเ้ ลือกคาโดยคานึงถึงเสียง o มีการเล่นคา

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การใช้โวหาร • บรรยายโวหาร

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การใช้โวหาร • พรรณนาโวหาร

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ การใช้โวหาร • พรรณนาโวหาร

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ลลี าการประพนั ธ์ • พโิ รธวาทงั

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ลลี าการประพนั ธ์ • สลั ลาปังคพสิ ยั

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๓. คุณค่าด้านสังคม สะท้อนวฒั นธรรมของคนในสังคม • สะทอ้ นภาพการปกครองโดยระบอบสามคั คีธรรม

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๓. คุณค่าด้านสังคม สะท้อนวัฒนธรรมของคนในสังคม • สะทอ้ นภาพการปกครองโดยระบอบสามคั คีธรรม • อปริหานิยธรรม o เม่ือมีภารกิจกป็ ระชุมปรึกษาหารือกนั โดยไม่เบ่ือหน่าย o เขา้ และเลิกประชุมพร้อมกนั ร่วมกนั ประกอบกิจอนั ควรกระทา o ยดึ มน่ั ในจารีตประเพณี ประพฤติดีปฏิบตั ิตามโดยไม่ดดั แปลง o ผใู้ หญ่ใหโ้ อวาทสงั่ สอน ผนู้ อ้ ยยอมปฏิบตั ิตามดว้ ยความเคารพ o ไม่ทาร้ายข่มเหงบุตรและภรรยาผอู้ ่ืน o ไม่ลบหลู่ดูแคลนเจดียสถานท่ีท่ีคนเคารพสกั การะ o ใหค้ วามคุม้ ครองป้องกนั พระอรหนั ตใ์ นแควน้ วชั ชี

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๓. คุณค่าด้านสังคม สะท้อนวฒั นธรรมของคนในสังคม • สะทอ้ นภาพการพิพากษาคดีและการลงโทษ

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๓. คุณค่าด้านสังคม สะท้อนแนวคดิ ของคนในสังคม

๕ บทวเิ คราะห์ (ต่อ) ๓. คุณค่าด้านสังคม สะท้อนแนวคิดของคนในสังคม • สะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพสงั คมวา่ จะตอ้ งมีความสามคั คีจึงจะอยรู่ อดได้ • เมื่อใดกต็ ามที่ความเป็นปึ กแผน่ ความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของคน ในชาติถูกทาลาย ทาใหฝ้ ่ายตรงขา้ มมีโอกาสโจมตีไดง้ ่าย • เป็นอุทาหรณ์ท่ีผอู้ ่านตอ้ งนาไปเป็นเครื่องเตือนใจวา่ การคบคนและ การไวว้ างใจบุคคลอื่นน้นั ตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณไตร่ตรองใหร้ อบคอบ มิฉะน้นั จะนาผลร้ายมาสู่ตนได้

• เน้ือหาของเร่ืองจะใหข้ อ้ คิดคติเตือนใจเหมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจุบนั • ใหค้ ุณค่าในดา้ นการใชถ้ อ้ ยคาไดอ้ ยา่ งไพเราะลึกซ้ึง การพรรณนาทาใหเ้ กิด อารมณ์ ความรู้สึกตามเน้ือเรื่อง • ลีลาของฉนั ทท์ ุกบทกม็ ีความไพเราะในตวั เองการใชล้ กั ษณะฉนั ทส์ อดคลอ้ ง กบั เน้ือหาทุกบท • ถา้ อ่านออกเสียงทานองเสนาะ จะเกิดเสียงไพเราะยง่ิ ข้ึน • ใหค้ วามรู้เก่ียวกบั ศพั ทภ์ าษาบาลสี นั สกฤต • เป็นการอนุรักษว์ ฒั นธรรมทางภาษา

๕หน่วยการเรียนรู้ท่ี ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมพิ ระร่วงเป็ นวรรณคดเี ก่าแก่ท่ีแต่งขนึ้ ต้ังแต่สมยั สุโขทยั เรื่องราว เกย่ี วกบั ความแปรเปลย่ี นและความไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้

๑ ความเป็ นมา • ไตรภูมิพระร่วง หรือเรียกวา่ ไตรภูมิกถา หรือ เตภูมิกถา น้ีไม่มีตน้ ฉบบั เดิมเป็น หลกั ฐานที่มีอยเู่ ป็นฉบบั คดั ลอก • ปรากฏในบานแผนกวา่ พระมหาช่วยวดั กลาง (ปากนา้ จงั หวดั สมุทรปราการ) จารไว้ ณ เดือนสี่ ปี จอ จุลศกั ราช ๑๑๔๐ สมยั ธนบุรี เป็นภาษาไทย แต่เขียนเป็น ตวั อกั ษรขอม ซ่ึงก่อนนบั ถือกนั วา่ เป็นอกั ขระท่ีขลงั ศกั ด์ิสิทธ์ิ • ตน้ ฉบบั ไตรภูมิพระร่วงท่ีถอดเป็นตวั อกั ษรไทย พมิ พเ์ ผยแพร่เป็นคร้ังแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ • พญาลิไทยเสวยราชยใ์ นเมืองศรีสชั นาลยั ได้ ๖ ปี จึงไดพ้ ระราชนิพนธ์เร่ืองไตร ภูมิพระร่วงข้ึน

๒ ประวตั ผิ ้แู ต่ง • พญาลิไทยเป็นพระมหากษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๕ แห่งอาณาจกั รสุโขทยั ก่อนเสวยราช สมบตั ิดารงตาแหน่งพระมหาอุปราช ครองเมืองศรีสชั นาลยั อยู่ ๖ ปี ไดพ้ ระ นามวา่ พญาไทยราช • พญาลิไทยครองราชย์ เม่ือ พ.ศ. ๒๑๙๐ มีพระนามวา่ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงเช่ียวชาญในพระพทุ ธศาสนา ทรงมีพระปรีชาหลากหลายดา้ น และทรง เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รกที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ • ทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วงข้ึนเป็นวรรณคดีศาสนาเล่มแรกของไทย มีอิทธิพลยงิ่ ในการเป็นเคร่ืองมือใหพ้ ระองคไ์ ดป้ กครองอาณาจกั รอยา่ งมน่ั คง และสงบสุข • พญาลิไทยเสดจ็ สวรรคต เม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๙ สิริรวมเวลาท่ีทรงครองราชยส์ มบตั ิ เป็นเวลา ๒๙ ปี

๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ • ในบานแผนกไดบ้ อกจุดมุ่งหมายไวว้ า่ แต่งเพ่ือเทศนาแก่พระมารดา o “ถามุนใส่เพ่อื ใด ใส่เม่ืออตั ถพระอภิธรรมและใครจะเทศนาแก่พระมารดา ท่าน อน่ึงจะใคร่จะจาเริญพระอภิธรรมโสด...” • ผแู้ ต่งไดเ้ รียบเรียงเป็นร้อยแกว้ โดยใชโ้ วหาร o เทศนาโวหาร พรรณนาโวหาร และบรรยายโวหาร • โดยเฉพาะการพรรณนาน้นั จะใชถ้ อ้ ยคาที่แจ่มแจง้ จนสามารถโนม้ นา้ วใจผอู้ ่าน ใหค้ ลอ้ ยตาม แมว้ า่ จะมีการใชภ้ าษาที่ค่อนขา้ งจะเขา้ ใจยาก

๔ เร่ืองย่อ ตอนเร่ิมเร่ือง • เป็นคานาโดยกล่าวถึงคาถานมสั การ เวลาแต่ง จุดมุ่งหมายในการแต่ง • คมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาท่ีนามาใชอ้ า้ งอิงในการแต่ง กล่าวถึงช่ือพระเถระสาคญั ที่เป็นผใู้ หค้ วามรู้ และคุณค่าในการอ่าน ตอนเนื้อเร่ือง • กล่าวถึงสิ่งมีชีวติ แลว้ จาแนกภูมิท้งั สามอนั เป็นภูมิที่สตั วโลกท้งั หลายเวยี นวา่ ย ตายเกิด แบ่งภูมิออกเป็นช้นั ๆ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ • ตอนจบกล่าวถึงการสิ้นกลั ป์ มีไฟประลยั กลั ป์ ลา้ งโลก การต้งั โลกใหม่ และ เร่ืองพระมหาจกั รพรรดิ

๔ เร่ืองย่อ (ต่อ) กามภูมิ อบายภูมิ หรือ ทุคติภูมิ สุคตภิ ูมิ • นรกภูมิ • ติรัจฉานภูมิ • มนุสสภูมิ • เปรตวสิ ยั ภูมิ • จาตุมหาราชิกาภูมิ • อสุรกายภูมิ • ตาวติงษาภูมิ • ยามาภูมิ • ตุสิตาภูมิ • นิมมานรตีภูมิ • ปรนิมมิตวสวตั ตีภูมิ

๔ เรื่องย่อ (ต่อ) รูปภูมิ ทุติยฌานภูมิ • ปริตตาภาภูมิ ปฐมฌานภูมิ ทุตยิ ฌานภูมิ • อปั ปมาณาภาภูมิ • พรหมปาริสชั ชาภูมิ • ปริตตาภาภูมิ • อาภสั สราภูมิ • พรหมปุโรหิตาภูมิ • อปั ปมาณาภาภูมิ • มหาพรหมาภูมิ • อาภสั สราภูมิ จตุตถฌานภูมิ ปัญจสุทธาวาส • เวหปั ผลาภูมิ • อสญั ญีสตั ตาภูมิ • อวหิ าภูมิ • อตตปั ปาภูมิ • สุทสั สาภูมิ • สุทสั สีภูมิ • อกนิฏฐาภูมิ

๔ เร่ืองย่อ (ต่อ) อรูปภูมิ • อากาสานญั จายตนภูมิ • วญิ ญาณญั จายตนภูมิ • อากิญจญั ญายตนภูมิ • เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ

๔ เร่ืองย่อ (ต่อ) • ปฏิสนธิอยใู่ นครรภม์ ารดา • น้าลา้ งเน้ือ • เป็นกลละ • ชิ้นเน้ือ • 7 วนั เป็น อมั พทุ ะ • กอ้ นแขง็ (คลา้ ยของเหลวสีแดง) • มีมือ 2 เทา้ 2 หวั 1 • อีก 7 วนั เป็นเปสิ • เป็นเดก็ ทารก (ขน้ ข้ึน) • อีก7วนั เป็นฆนะ (แขง็ ตวั ข้ึนเป็นกอ้ นกลมรีคลา้ ยรูปไข่) • อีก 7 วนั เป็น เบญจสาขาหูด (เป็นตุ่ม5 ตุ่ม) • อีก 7 วนั มีฝ่ามือ นิ้ว ขน เลบ็ และอ่ืนๆ

๔ เร่ืองย่อ (ต่อ)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook