กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๕
คาแนะนาในการใช้ PowerPoint - กดป่ ุม SlideShow ทแ่ี ถบด้านบนหรือด้านล่าง - กดป่ ุม Esc ยกเลกิ คาสั่งหรือออกจาก Slide Show - กดป่ ุมลูกศรหรือคลกิ ส่วนใดในหน้า Slide เพ่ือเลื่อนไปหน้าถดั ไป
คาแนะนาในการใช้ PowerPoint กดป่ ุมนี้ กลบั ไปหน้าสารบญั (Contents) PowerPoint นี้ เหมาะสาหรับคอมพวิ เตอร์ทใ่ี ช้โปรแกรม Microsoft Office 2010 การใช้เวอร์ชั่นอื่นๆ หรือ เวอร์ชั่นทตี่ า่ กว่า คุณสมบตั บิ างอย่างอาจทางานไม่สมบูรณ์
สารบญั ๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี มหำเวสสันดรชำดก กณั ฑ์มัทรี ๒หน่วยการเรียนรู้ท่ี บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพำธำ ๓หน่วยการเรียนรู้ที่ ลลิ ติ ตะเลงพ่ำย ๔หน่วยการเรียนรู้ท่ี คมั ภรี ์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ๕หน่วยการเรียนรู้ท่ี โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็ นเสมยี น
๑หน่วยการเรียนรู้ที่ มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มัทรี กัณฑ์มัทรี เป็ นกัณฑ์ที่ ๙ ในมหาเวสสันดรชาดก สานวนของ เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ซ่ึงเป็นกณั ฑท์ ี่แสดงถึงความโศกเศร้าอาลยั รักท่ีแม่ มีต่อลูกอยา่ งซาบซ้ึง มีความดีเด่นท้งั ในดา้ นเน้ือเร่ืองและการใชถ้ อ้ ยคาและ ขอ้ คิดที่มีประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ
๑ ความเป็ นมา เรื่องมหาเวสสนั ดรชาดกเป็นวรรณคดีเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนา มีเคา้ โครง เร่ืองมาจากที่พระพทุ ธเจา้ ทรงเทศนา ณ วดั นิโครธาราม เมืองกบิลพสั ดุ์ ขณะท่ีประทบั อยู่ ที่วดั นิโครธาราม บรรดาพระประยรู ญาติ ไดเ้ ขา้ เฝ้าแต่กม็ ีใจกระดา้ งถือตนไม่ยอมนอ้ ม ไหว้ พระองคจ์ ึงทาใหบ้ รรดาพระประยรู ญาติสิ้นความมานะถือตน ดว้ ยพทุ ธบารมีให้ บงั เกิดฝนโบกขรพรรษ์ ฝนโบกขรพรรษน้ีมีลกั ษณะพิเศษคือ มีสีแดงใสบริสุทธ์ิ หากผใู้ ด ปรารถนาใหเ้ ปี ยกกเ็ ปี ยก หากผใู้ ดไม่ปรารถนาใหเ้ ปี ยกกไ็ ม่เปี ยก ภิกษุท้ังหลายเห็นถึงความอัศจรรย์จึงทูล ถามพระพุทธองค์ พระองค์จึงตรัสว่าฝนโบกขรพรรษ ไม่มีความอัศจรรย์ เพราะเมื่อชาติก่อนก็เคยตกลง มาแล้ว เป็ นเหตุให้พระองค์ทรงเทศนาเร่ือง มหา เวสสันดรชาดก ซ่ึงเป็ นหน่ึงในสิบพระชาติก่อนบรรลุ ธรรม แต่ละชาติทรงบาเพญ็ บารมีแตกต่างกนั ดงั น้ี
ความเป็ นมา พระชาตทิ ่ี ช่ือชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็ น ๑ เตมิยชาดก (เต) พระเตมียก์ มุ ารบาเพญ็ เนกขมั บารมี ๒ มหาชนกชาดก(ชะ) พระชนกกมุ ารบาเพญ็ วริ ิยะบารมี ๓ สุวณั ณสามชาดก(สุ) พระสุวรรณสามบาเพญ็ เมตตาบารมี ๔ เนมิราชชาดก(เน) พระเนมิราชกมุ ารบาเพญ็ อธิษฐานบารมี ๕ มโหสถชาดก(มะ) มโหสถกมุ ารบาเพญ็ ปัญญาบารมี ๖ ภูริทตั ชาดก(ภู) พญานาคชื่อภูริทตั บาเพญ็ ศีลบารมี ๗ จนั ทกมุ ารชาดก(จะ) พระจนั ทกมุ ารบาเพญ็ ศีลบารมี ๘ พรหมนารทชาดก(นา) พระพรหมนารทกมุ ารบาเพญ็ อุเบกขาบารมี ๙ วธิ ุรชาดก(ว)ิ พระวธิ ุรบณั ฑิตบาเพญ็ สจั จะบารมี ๑๐ เวสสนั ดรชาดก(เว) พระเวสสนั ดรบาเพญ็ ทานบารมี
๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง ผูแ้ ต่งเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี คือ เจา้ พระยาพระคลงั นามเดิมว่า หน เป็ นเสนาบดีจตุสดมภ์ กรมท่า เดิมเป็ นหลวงสรชิต เม่ือคร้ังหลวงสรชิตรับราชกาล อยทู่ ี่กรุงธนบุรี มีความดีความชอบดา้ นการเรียบเรียงหนงั สือ มาก รัชกาลท่ี ๑โปรดให้แต่งต้งั เป็ นพระยาพิพฒั โกษา และ ต่อมาไดร้ ับการแต่งต้งั เป็นเจา้ พระยาพระคลงั ท่านมีบุตรชาย ๒ คน คนหน่ึงเป็นจินตกวี และอีกคนหน่ึงเป็นครูพณิ พาทย์ ส่วนบุตรหญิงคนหน่ึงคือ เจา้ จอมมารดานิ่ม เป็นเจา้ จอมมารดาสมเดจ็ พระบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร ในรัชกาลที่ ๒ เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ถึงแก่อสญั กรรมเม่ือ พ.ศ. ๒๓๔๘ ในสมยั รัชกาลท่ี ๑ หนงั สือที่เจา้ พระยาพระคลงั (หน) แต่งท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ มหาชาติกลอนเทศน์หรือเวสสนั ดร ชาดก กณั ฑก์ มุ ารและกณั ฑม์ ทั รี
๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ มหาเวสสนั ดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลกั ษณะคาประพนั ธเ์ ป็นร่าย ยาวท่ีมี คาถาบาลีนา ร่ายยาว บทหน่ึงไม่จากดั จานวนวรรณ แต่ท่ีนิยมคือ ต้งั แต่ ๕ วรรคข้ึนไป แต่ ละวรรคไม่ควรนอ้ ยกวา่ ๕ คา ซ่ึงคาสุดทา้ ยของวรรคหนา้ จะสมั ผสั วรรคหลงั คาใดกไ็ ด้ แต่เวน้ คาสุดทา้ ยของวรรคและอาจจบลงดว้ ย “คำสร้อย”
ตัวอย่างร่ายยาว สา มทฺที ส่วนสมเดจ็ พระมทั รีศรีสุนทรบวรรำชธิดำมหำสมมตุ ิวงศ์วิสุทธิ สิบสันดำนมำ วราโรหา ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดจุ เนือ้ ทองไม่เทียมสี ยสสฺสินี มพี ระ เกียรติยศอันโอฬำรลำ้ เลิศวิไลลกั ษณ์ยอดกษตั ริย์ อันทรงพระศรัทธำโสมนัสนบนิว้ ประนมน้อมพระเศยี รเคำรพทำน ท้ำวเธอกช็ ื่นบำนบริสุทธิ์ด้วยปิ ยบตุ รมิ่งมกฎุ ทำนอัน พิเศษ ฝ่ ำยฝงู อมรเทเวศทุกวิมำนมำศมนเทียรทุกหม่ไู ม้ กย็ ิม้ แย้มพระโอษฐ์ตบพระหัตถ์ อย่ฉู ำดฉำน ร้องสำธุกำรสรรเสริญเจริญทำนบำรมี ทั้งสมเดจ็ อมรินทร์เจ้ำฟ้ำสุรำลยั อัน เป็นใหญ่ในดำวดึงส์สวรรค์ กม็ ำโปรยปรำยทิพยบปุ ผำกรอง ทั้งพวงแก้และพวงทองก็ โรยร่วงจำกกลบี เมฆกระทำสักกำรบูชำ แก่สมเดจ็ นำงพระยำมทั รี ท้ำวเธอทรงกระทำ อนโุ มทนำทำน เวสฺสนดฺ รสฺส แห่งพระเวสสันดรรำชฤๅษผี ้เู ป็นพระภัสดำ อิติ เมาะ อิมิ นา ปกาเรน ด้วยประกำรดงั นีแ้ ล้วแล
๔ เร่ืองย่อ มทั รีเป็ นชื่อกณั ฑ์ที่ ๙ แห่งมหาเวสสันดร ชาดก เริ่มต้งั แต่เทวบุตร ๓ องค์ นิรมิตกายเป็ นสัตว์ ร้ายขวางทางพระนางมทั รี เกิดลางแก่พระนางมทั รี พระนางจึงวิงวอนขอหนทางต่อสัตวร์ ้ายท้งั สาม เม่ือ เดินทางถึงอาศรม พระนางทูลถามพระเวสสันดรถึง กุมารท้งั สอง พระเวสสันดรจึงตดั พอ้ ต่อว่าถึงการท่ี กลบั ผิดเวลา พระนางมทั รีเฝ้าราพึงราพนั ถึงสองกุมาร พลางเที่ยวเดินตามหาจนสลบไป คร้ันพอพระนางมทั รีฟ้ื นคืนสติแลว้ พระเวสสันดรจึงตรัสบอกความจริง ว่าได้ยกสองกุมารให้แก่ชูชก พระนางจึงอนุโมธนา บุตรทานบารมี
๔ เนื้อเรื่อง เน้ือเร่ืองสาคญั บางส่วนจากมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี ภิกขฺ เว ดูกรสงฆ์ผ้ทู รงศลี สังวรญำณ เทวสงฆฺ าโย ฝ่ ำยฝงู เทพทุกสถำน พิมำนไม้ไพรพนมมอี ำรมณ์อันร้อนเร่ำ ส่วนเทพยเจ้ำจอมสำกล จ่ึงมเี ทวยบุ ลบังคับ แก่เทพอันดบั ท้ังสำมองค์ อันทรงมหิทธิฤทธิศกั ดำว่ำ ท่ำนเอ่ยจงนิรมิตบิดเบือนกำย กำยเป็นอินทรีย์ เป็นพยคั ฆรำชสีห์สองเสือ สำมสัตว์สกดั หน้ำนำงพระยำมทั รีไว้ ต่อ ทิพำกรคลำดไคลคล้อยเยน็ เห็นดวงพระจันทร์ขึน้ มำอย่รู ำงๆ ท่ำนจึงลกุ หลกี หนทำง ให้แก่นำงงำม ตโย เทวปตุ ตฺ า ส่วนเทพยเจ้ำท้ังสำมกอ็ ำลำลลี ำศผำดแผลง จำแลงเป็น พญำไกรสรรำชผำดแผดเสียงสนั่น ดั่งสำยอสนีลน่ั ตลอดป่ ำ องค์หนึ่งเป็นพยคั ฆพญำ เสือโคร่งคำรนร้อง องค์หน่ึงเป็นเสือเหลืองเนื่องคะนองย่องหยดั สะบัดบำท ต่ำงองค์ก็ กระทำสีหนำทน่ำพิลึกแสยงขน กพ็ ำกนั จรดลไปนอนคอยท่ีช่องแคบขวำงมรคำ ที่ พระนำงเธอจะเสดจ็ มำ สู่พระบรรณศำลำ นั้นแล
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี นีเจ โวลมฺพเก สุริเย ทั้งเวลำกเ็ ยน็ ลงเยน็ ลงไรๆ จะคำ่ แล้ว ยงั ไม่เห็นหน้ำพระ ลูกแก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึ่งจะได้วิธีทำงที่จะครรไล พระนำงจ่ึ งปลงหำบ คอนลงวอนไหว้แล้วอภิวำทน์ ข้ำแต่พญำพำฬมฤครำชอันเรืองเดช ท่ำกเ็ ป็นพญำสัตว์ใน หิมเวศวนำสณฑ์ จงผินพักตร์ ปริ มณฑลท้ังสำมรำ มำรับวันทำน้อมไปด้วยทศนัข เบญจำงค์ เม เมาะ มยา แห่ งน้องนำงนำมชื่อว่ำมัทรี ราชปุตฺตี น้องก็เป็ นกัลยำณีหน่อ กษตั ริย์มัททรำชสุริยวงศ์ อนึ่งน้องเป็นเอกองค์อัครบริจำริกำกร แห่งพระเวสสันดรรำชฤๅษี อันจำจำกพระบุรีมำอยู่ไพร น้องนีก้ ต็ ้ังใจสุจริตติดตำมมำด้วยกตเวที อนึ่ งพระสุริยศรีกย็ ำ่ สนธยำสำยัณห์แล้ว เป็ นเวลำพระลูกแก้วจะอยำกนมกำหนดเสวย พระพี่เจ้ำขอน้องเอ๋ยทั้ง สำมรำ ขอเชิญกลบั ไปยงั รัตนคูหำห้องแก้ว แล้วจะได้เชยชมซ่ึงลกู รักและเมยี ขวญั อนึ่งน้องนี้ จะแบ่งปันผลไมให้สักกิ่ง ครึ่งหน่ึงนั้นน้องจะขอไปฝำกพระหลำนน้อยๆ ทั้งสองรำ มคคฺ ํ เม เทถ ยาจิตา พระพ่ีเจ้ำทั้งสำมของน้องเอ่ย จงมีจิตคิดกรุณำสังเวชบ้ำง ขอเชิญล่วงครรไลให้ หนทำงพนำวนั อันสัญจร แก่น้องที่วิงวอนอย่นู ีเ้ ถิด
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี น ทิสฺสเร แต่ลูกรักท้ังคู่ไปอย่ไู หนไม่เห็นเลย อยโส อสฺสโม โอพระอำศรมเจ้ำ เอ๋ยน่ำอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนดูนี่สุกใสด้วยสีทองเสียงเนือ้ นกนี่ร่ำร้ องสำรำญรังเรียกคู่คูขยับ ขัน ท้ังจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้ องอยู่หริ่งๆ ระเร่ือยโรยโหยสำเนียงด่ังเสียงสังคีตขับ ประโคมไพร โอ เหตุไฉนเหงำเงียบเม่ือยำมนี้ ทั้งอำศรมกห็ มองศรีเสมือนหน่ึงว่ำจะเศร้ ำ โศก เออชะรอยว่ำพระเจ้ำลูกจะวิโยคพลัดพรำกไปจำกอกพระมำรดำเสียจริงแล้วกระมัง ในคร้ังนี้ นำงก็กลับเข้ำไปทูลพระรำชำสำมีด้วยสงสัยว่ำ พระพุทธเจ้ำข้ำประหลำดใจ กระหม่อมฉัน อันสองกุมำรไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ หรือพำกันไปเท่ียวลับพระเนตรนอก ตำแหน่ง สิงห์สัตว์ที่ร้ำยแรงคะนองฤทธ์ิ มำพำนพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้ำพำไปกินเป็น อำหำร ถึงกระนั้นกจ็ ะพบพำนซ่ึงกเลวระร่ำง มิเลือดกเ็ นือ้ จะเหลืออย่บู ้ำงสักส่ิงอัน แต่พอ แม่ได้รู้สำคัญว่ำเป็ นหรือตำย สุดที่แม่จะมุ่งหมำยสุดประมำณแล้ว จึ่งตรัสว่ำโอ้เจ้ำแว่น แก้วส่องสว่ำงอกของแม่เอ่ย แม่เคยได้รับขวญั เจ้ำทุกเวลำ เป็นไรเล่ำเจ้ำจึ่งไม่มำเหมือนทุก วนั มตา หรือว่ำพระลกู เจ้ำอำสัญศูนย์สิ้นพระชนมำน อย่ใู นป่ ำพระหิมพำนต์นีแ้ ล้วแล
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี อถ มหาสตฺโต สมเด็จพระรำชสมภำร เม่ือได้สดับสำรพระมัทรีเธอแสน วิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง ถึงแม้นจะมิตรัสแก่นำงมั่งจะมิเป็นกำร จำจะเอำโวหำรกำรหึง เข้ำหักโศกให้เส่ือมลง จึ่งเอือ้ นโองกำรตรัสประภำษว่ำ นนุ มทฺทิ ดูกรนำงนำฏพระน้อง รัก ภทเฺ ท เจ้ำผู้มพี ักตร์อันผุดผ่องเสมือนหน่ึงเอำนำ้ ทองเข้ำมำทำทับประทินผิว รำวกะ ว่ำจะลอยล่ิวเลื่อนลงจำกฟ้ำ ใครได้เห็นเป็ นขวัญตำเต็มหลงละลำยทุกข์ ปลุกเปลือ้ ง อำรมณ์ชำยให้เชยชื่น จะน่ังนอนเดินยืนกต็ ้องอย่ำง ราชปตุ ฺตี ประกอบไปด้วยเชือ้ ศกั ด์ิสมมตุ ิวงศ์พงศ์กษตั รำ เออกเ็ มื่อเช้ำเจ้ำจะ เข้ำป่ ำน่ำสงสำร ปำนประหนึ่งว่ำจะไปมิได้ ทำร้ องไห้ฝำกลูกมิรู้แล้ว คร้ันคลำดแคล้ว เคลื่อนคล้อยเข้ำสู่ดง ปำนประหนึ่งว่ำจะหลงลืมลกู สละผวั ต่อมืดมวั จึ่งกลบั มำ ทำเป็น บีบนำ้ ตำตีอกว่ำลูกหำย ใครจะไม่รู้แยบคำยควำมคิดหญิง ถ้ำแม้นเจ้ำอำลัยอยู่ด้วยลูก จริงๆ เหมือนวำจำ กจ็ ะรีบกลบั เข้ำมำแต่ววี่ นั ไม่ทันรอน
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจำรี เม่ือเสด็จพระมัทรีทรงกำสรดแสน กมั ปนำท เพยี งพระสันดำนจะขำดจะดับสูญ ปริเทวิตฺวา นำงเสวยพระอำดูรพูนเทวษ ในพระอุรำ นำ้ พระอัสสุชลนำเธอไหลนองคลองพระเนตร ทรงพระกันแสงแสน เทวษพิไร่ร่ำ ตงั้ แต่ประถมยำมคำ่ ไม่หย่อนหยดุ แต่สักโมงยำม นำงเสดจ็ ไต่เต้ำติดตำม ทุกตำบล ละเมำะไม้ไพรสณฑ์ศิขริน ทุกห้วยธำรละหำนหินเทวหุบห้องคูหำวำส ทรงพระพิไรร้องก้องประกำศเกร่ินสำเนียง พระสุรเสียงเธอเยือกเยน็ ระย่อทุกอกสัตว์ พระพำยรำเพยพัดทุกก่ิงก้ำน บุษบงก็เบิกบำนผกำกร รัศมีพระจันทรก็มัวหมอง เหมือนหนึ่งจะเศร้ ำโศกแสนวิปโยคเม่ือยำมปัจจุสมัย ท้ังรัศมีพระสุริโยทัยส่องอยู่ รำงๆ ขึน้ เรืองฟ้ำ เสียงชะนีเหนี่ยวไม้ไห้หำละห้อยโหน พระกำลังนำงก็อิดโรยพิไร ร่ำร้อง พระสุรเสียงเธอก่กู ้องกงั วำนดง เทพเจ้ำทุกพระองค์กอดพระหัตถ์เงี่ยพระโสต สดับสำร พระเยำวมำลย์เธอเที่ยวหำลูก พระนำงเธอทุกข์แสนเขญ็ ตั้งแต่ยำมเยน็ จน รุ่งเช้ำกส็ ุดสิ้นที่จะเที่ยวค้น ทุกตำแหน่งแห่งละสำมหนเธอเท่ียวหำ
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มัทรี ภิกขฺ เว ดูกรภิกษสุ งฆ์ผ้ทู รงศลี วิสุทธิสิกขำ เมื่อสมเดจ็ พระมทั รีเธอได้สม ปำฤๅดีคืนมำนำงพระยำเจ้ำละอำยแก่เทพดำนัก ด้วยตัวมำนอนอย่บู นตกั พระรำชสำมมี ิ บังควร อฏุ ฐาย จึ่งอุฏฐำกำรโดยด่วนเล่ือนพระองค์ลงจำกตกั พระรำชสำมี พระมทั รีจ่ึง ทูลถำมว่ำพระพทุ ธเจ้ำข้ำ พระลกู รักท้ังสองรำไปอย่ไู หนนะฝ่ ำยพระบำท ท้ำวเธอจ่ึง ตรัสประภำษว่ำดูกรเจ้ำมทั รี อันสองกมุ ำรนีพ้ ี่ให้เป็นทำนแก่พรำหมณ์ แต่วนั วำนนีแ้ ล้ว พระน้องแก้วเจ้ำอย่ำโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้ำน้ันให้โสมนัสศรัทธำ ในทำงอันก่อกฤดำ ภิหำรทำนบำรมี ลจฉฺ าม ปตุ ฺเต ชีวนตฺ า ถ้ำเรำทั้งสองนยี้ งั มชี ีวิตสืบไป อันสองกมุ ำรนี้ ไซร้กค็ งจะได้พบกนั เป็นมน่ั แม่น ถึงแสนสัตพิธรันต์เคร่ืองอลงกำรซึ่งพระรำชทำนไป นั้น เรำกจ็ ะได้ด้วยพระทัยหวงั
มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี สา มทฺที ส่วนสมเดจ็ พระมทั รีศรีสุนทรบวรรำชธิดำมหำสมมตุ ิวงศ์วิสุทธิ สิบสันดำนมำ วราโรหา ทรงพระพกั ตร์ผิวผ่องดจุ เนือ้ ทองไม่เทียมสี ยสสฺสินี มพี ระ เกยี รติยศอันโอฬำรลำ้ เลิศวิไลลกั ษณ์ยอดกษตั ริย์ อันทรงพระศรัทธำโสมนัสนบนิว้ ประนมน้อมพระเศียรเคำรพทำน ท้ำวเธอกช็ ื่นบำนบริสุทธ์ิด้วยปิ ยบตุ รม่ิงมกฎุ ทำนอัน พิเศษ ฝ่ ำยฝงู อมรเทเวศทุกวิมำนมำศมนเทียรทุกหม่ไู ม้ กย็ ิม้ แย้มพระโอษฐ์ตบพระหัตถ์ อย่ฉู ำดฉำน ร้องสำธุกำรสรรเสริญเจริญทำนบำรมี ท้ังสมเดจ็ อมรินทร์เจ้ำฟ้ำสุรำลยั อัน เป็นใหญ่ในดำวดึงส์สวรรค์ กม็ ำโปรยปรำยทิพยบปุ ผำกรอง ทั้งพวงแก้และพวงทองก็ โรยร่วงจำกกลบี เมฆกระทำสักกำรบชู ำ แก่สมเดจ็ นำงพระยำมทั รี ท้ำวเธอทรงกระทำ อนุโมทนำทำน เวสฺสนดฺ รสฺส แห่งพระเวสสันดรรำชฤๅษผี ้เู ป็นพระภสั ดำ อิติ เมาะ อิมิ นา ปกาเรน ด้วยประกำรดงั นีแ้ ล้วแล
๔ คาศัพท์ คาศัพท์ ความหมาย กฤดาภินิหาร อภินิหาร บุญอนั ยงิ่ ท่ีทาไว้ กเลวระ (กเฬวระ) ซากศพ กมั ปนาท เสียงบนั ลือ เสียงสนนั่ หวนั่ ไหว คนธรรพ์ ชาวสวรรคพ์ วกหน่ึง มีความชานาญในวชิ าขบั ร้อง ดนตรี ดรุณเรศ หญิงสาวรุ่น ไตรภพ ภพสาม ไดแ้ ก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทานพาหิรกะ การให(้ ทาน) ส่ิงนอกกาย
คาศัพท์ ความหมาย คาศัพท์ ความจริงอนั เป็นที่สุด ประโยชน์อยา่ งยง่ิ ช่ือพระอภิธรรม ปรมตั ถ ปิ ฎก พระพรหมผเู้ ป็นใหญ่ พรหมเมศร์ พลิ าป ร้องไห้ คร่าครวญ บ่นเพอ้ ร่าไร ราพนั มจั ฉริยะ ลาวณั ย์ ความตระหน่ี วสิ ญั ญีภาพ อุฏฐาการ ความงาม ความน่ารัก สลบ หมดความรู้สึก สิ้นสติ อาการท่ีไม่รู้สึกตวั ลุกข้ึน
๗ บทวิเคราะห์ มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั ร สานวนของเจา้ พระยาพระคลงั (หน) มีคุณค่ามากมายใน ดา้ นต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี ๗.๑ คุณค่าดา้ นเน้ือหา ๗.๒ คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ ๗.๓ คุณค่าดา้ นสงั คม
๗.๑ คุณค่าด้านเนื้อหา ๑.) รูปแบบ แต่งดว้ ยคาประพนั ธ์ประเภทร่ายยาวนาดว้ ยคาบาลีท่อนหน่ึง แลว้ แต่งเนร่ายยาวมีคาบาลีแทรก เป็นการใชร้ ูปแบบคาประพนั ธ์ไดเ้ หมาะสมกบั เน้ือหา ช่วยใหน้ กั เรียนมีความซาบซ้ึงในความรักของผเู้ ป็นแม่ไดด้ ียงิ่ ๒.) องค์ประกอบของเร่ือง ๒.๑ สาระ เป็นการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูก ๒.๒ โครงเร่ือง มีการวางโครงเร่ืองไดด้ ี โดยการผกู เรื่องใหเ้ ทพบุตร ๓ องค์ นิรมิตกายเป็นสตั วร์ ้ายมาขวางทางพระนางมทั รีมิใหก้ ลบั อาศรมไดท้ นั เวลา เมื่อพระนางกลบั มาแลว้ ไม่พบสองกมุ ารกเ็ ศร้าโศก ต่อมาภายหลงั ไดท้ ราบจากพระ เวสสนั ดรวา่ ไดป้ ระทานสองกมุ ารใหแ้ ก่พราหรมณ์ชูชก พระนางมทั รีกค็ ลายความ โศกและเตม็ พระทยั อนุโมทนา ๒.๓ ตวั ละคร มีลกั ษณะตวั ละครสาคญั ดงั น้ี
คุณค่าด้านเนื้อหา พระเวสสันดร ๑.) มคี ณุ ธรรมสูงเหนือมนษุ ย์ยากทมี่ นุษย์ทว่ั ไปจะทาํ ได้ ไดแ้ ก่การบริจาค บุตรของตน คือ พระชาลีและพระกณั หา ซ่ึงเป็นแกว้ ตาดวงใจ ดงั ขอ้ ความในบท ประพนั ธ์ ดงั น้ี “...ท้ำวเธอจ่ึงตรัสประภำษว่ำดกู รเจ้ำมทั รี อันสองกมุ ำรนีพ้ ี่ให้เป็นทำนแก่พรำหมณ์ แต่วนั วำนนีแ้ ล้ว พระน้องแก้วเจ้ำอย่ำโศกศลั ย์ จงตงั้ จิตของเจ้ำน้ันให้โสมนัส ศรัทธำ ในทำงอันก่อกฤดำภิหำรทำนบำรมี ลจฉฺ าม ปุตฺเต ชีวนตฺ า ถ้ำเรำท้ังสองนีย้ งั มชี ีวิตสืบไป อันสองกมุ ำรนีไ้ ซร้กค็ งจะได้พบกันเป็นมนั่ แม่น ถึงแสนสัตพิธรันต์ เคร่ืองอลงกำรซึ่งพระรำชทำนไปน้ัน เรำกจ็ ะได้ด้วยพระทัยหวงั ทชฺชา สปปฺ ุริโส ทำน มทั รีเอ่ย อันอริยสัตบรุ ุษเห็นปำนดัง่ ตัวพ่ีฉะนี้ ถึงจะมขี ้ำวของสักเท่ำใดๆ ทสิ ฺ วา ยาจกมาคเต ถ้ำเห็นยำจกเข้ำมำใกล้ ไหว้วอนขอไม่ย่อท้อในทำงทำน จนแต่ชั้น ลกู รักยอดสงสำรพยี่ งั ยกให้เป็นทำนได้...”
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.) มีความเข้าใจในธรรมชาติของมนษุ ย์ เช่นการทาใหพ้ ระนางมทั รีทรงหาย เจบ็ พระทยั เพ่อื จะไดค้ ลายความโศกเศร้า มิเช่นน้นั พระนางมทั รีจะโศกเศร้าจนอาจเป็น อนั ตรายต่อพระวรกายได้ “ ส่วนสมเดจ็ พระยอดม่ิงเยำวมำลย์มทั รี เม่ือได้สดบั คำพระรำชสำมบี ริภำษ ณำนำงท่ีควำมโศกกเ็ ส่ือมสร่ำงสงบจิตเพรำะเจบ็ ใจ”
คุณค่าด้านเนื้อหา พระนางมทั รี ๑.) มีความจงรักภกั ดตี ่อพระสวามี ปรากฏในขอ้ ความ ดงั น้ี “..ว่ำมทั รีนีเ้ ป็นข้ำเก่ำแต่ก่อนมำด่ังเงำตำมพระบำทำกเ็ หมือนกัน นอกกว่ำนั้นที่แน่นอน คือนำงไหนอันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกำล ยังจะติดตำมพระรำชสมภำรมำบ้ำงละหรื อไม่ แต่มทั รีที่แสนดือ้ ผ้เู ดยี วดอก ไม่รู้จักปลิน้ ปลอกพลิกไพล่เอำตวั หนี มทั รีสัตยำสวำมิภักดิ์ รักผวั เพียงบิดำกว็ ่ำได้ ถึงจะยำกเยน็ เขญ็ ใจกต็ ำมกรรม...” ๒.) เป็ นยอดกลุ สตรี ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีภรรยาและมารดาไดส้ มบูรณ์ครบถว้ น “...โอพระจอมขวัญของแม่เอ๋ย เจ้ำมิเคยได้ควำมยำกย่ำงเท้ำเหยยี บดิน ริ้นก็มิได้ไต่ไรก็ มิได้ตอม เจ้ำเคยฟังแต่เสียงพ่ีเลีย้ งเขำขับกล่อมบำเรอด้วยดุริยำงค์ ยำมบรรทมธุลีลมก็ มิได้พัดมำแผ้วพำนแม่สู้พยำบำลบำรุงเจ้ำแต่เยำว์มำ เจ้ำมิได้ห่ำงพระมำรพำสักหำยใจ โอควำมเขญ็ ใจในคร้ังนีน้ ่ีเหลือขนำด สิ้นสมบัติพลัดญำติยงั แต่ตัวต้องไปหำมำเลยี้ งลูก และเลยี้ งผวั ทุกเวลำ..”
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓.) มคี วามอดทน ไม่ยอ่ ทอ้ ต่อความยากลาบาก “..อุตสำหะตระตรำกตระตรำเตร็ดเตร่หำผลำผลไม้ ถึงท่ีไหนจะรกเรี้ยวกซ็ อกซอน อุตส่ำห์ เที่ยวไม่ถอยหลงั จนเนือ้ หนังข่วนขำดเป็นริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนำม..” ๔.) มีจติ กศุ ล เช่นเดียวกบั พระเวสสนั ดร “ส่วนสมเดจ็ พระมทั รีศรีสุนทรบวรรำชธิดำมหำสมมตุ ิวงศ์วิสุทธิสืบสันดำนมำ วรำโร หำ ทรงพระพกั ตร์ผิวผ่องดจุ เนือ้ ทองไม่เทียมสี ยสสฺสินี มพี ระเกยี รติยศอันโอฬำรลำ้ เลิศ วิไลลกั ษณ์ยอดกษตั ริย์ อันทรงพระศรัทธำโสมนัสนบนิว้ ประนมน้อมพระเศียรเคำรพ ทำน ท้ำวเธอกช็ ื่นบำนบริสุทธิ์ด้วยปิ ยบตุ รมิ่งมกฎุ ทำนอันพิเศษ..”
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๔ ฉากและบรรยากาศ ฉากเป็นป่ าบริเวณท่ีต้งั อาศรมของพระเวสสนั ดรผแู้ ต่งบรรยายฉากและ บรรยากาศไดส้ มจริงสอดคลอ้ งกบั เน้ือเรื่อง เช่น “ อิเม เต ชมฺพกุ า รุกฺขา ควรจะสงสารเอ่ยดว้ ยตน้ หวา้ ใหญ่ใกลอ้ าราม งามด้วยก่ิงก้านประกวดกนั ใบชอุ่ม ประชุมช่อเป็ นฉัตรช้นั ดง่ั ฉัตรทอง แสงพระจนั ทร์ด้นั ส่อง ตอ้ งน้าคา้ งท่ีขงั ให้ไหลลงหยดยอ้ ย เหมือนหน่ึงน้าพลอย พร้อยๆ อยพู่ รายๆ ตอ้ งกบั แสงกรวดทรายท่ีใตต้ น้ อร่ามวาม วาวดูเป็ นวนวงแวว..”
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๕ กลวธิ ีการแต่ง ผแู้ ต่งเนน้ ใหผ้ อู้ ่านเกิดความซาบซ้ึงในการพรรณนาความรักของแม่ท่ีมีต่อลูก รสวรรณคดีท่ีเด่นชดั ที่สุดคือ สลั ลาปังคพิสยั รองลงมา คือ พิโรธวาทงั ซ่ึงปรากฏในตอน ท่ีพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางมทั รีเศร้าโศกเสียพระทยั มาก จึงทรงคิดหาวิธีตดั ความ เศร้าโศกน้นั ดว้ ยการกล่าวบริภาษพระนางมทั รีวา่ คิดนอกใจไปคบกบั ชายอ่ืน ทาใหพ้ ระ นางเจ็บพระทยั ออกไปตามหากุมารท้งั สองจนสลบไป ส่งผลให้ผูอ้ ่านเกิดความรู้สึก สงสารและเห็นใจพระนางมทั รีท่ีตอ้ งสูญเสียพระโอรสพระธิดาไป และเม่ือพระนางทราบความจริงก็คลายเศร้าและอนุโมทนาทานบารมีกบั พระ เวสสนั ดรดว้ ย ผอู้ ่านกเ็ กิดความปี ติใจ นบั วา่ ใชก้ ลวธิ ีในการนาเสนอไดน้ ่าสนใจ
๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑.) การสรรคา ในบทประพนั ธ์น้ี กวไี ดเ้ ลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีสื่อความคิดได้ ดงั น้ี การใช้ถ้อยคาให้เกดิ อารมณ์สะเทือนใจ ๑. กำรใช้ถ้อยคำรำพึงรำพัน เป็นการราพนั บรรยายผา่ นตวั ละครท่ีให้ อารมณ์ความสะเทือนใจและตรงใจผเู้ ป็นแม่ในทุกยคุ สมยั และเพิม่ ความรักความ ผกู พนั ใหผ้ อู้ ่านผเู้ ป็นลูกใหม้ ากยง่ิ ข้ึน ดงั น้ี “.. เม่ือเช้ำแม่จะเข้ำสู่ป่ ำ พ่อชำลแี ม่กัณหำยงั ทูลส่ัง แม่ยงั กลับหลงั มำโลมลบู จูบ กระหม่อมจอมเกล้ำทั้งสองรำ กล่ินยงั จับนำสำอย่รู วยร่ืน..”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒. กำรใช้ถ้อยคำสำนวนเชิงตดั พ้อ ทาใหเ้ กิดอารมณ์สงสารเวทนาและบีบค้นั จิตใจผอู้ ่านผฟู้ ังอยา่ งยง่ิ ดงั น้ี “..อกของใครจะอำภพั ยบั พิกลเหมือนอกของมทั รีไม่มเี นตร น่ำจะสงสำรสังเวชโปรดปรำนี ว่ำมัทรีนีเ้ ป็ นเพื่อนยำกอยู่จริงๆ ช่ำงค้อนติงปริภำษณำได้ลงคอไม่คิดเลย พระคุณเอ่ยถึง พระองค์จะสงสัยก็นำ้ ใจของมัทรีนีก้ ตเวที เป็ นไม้เท้าก้ำวเข้ำสู่ที่ทำงทดแทน รำม สีตำว นุพฺพตำ อุปมาเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระคุณเอ่ยเกล้ำกระหม่อมฉำนทำผิดแต่เพียงนีเ้ พรำะว่ำล่วงรำตรีจึ่งมีโทษขอพระองค์จง ทรงพระกรุณำโปรดซ่ึงโทษำนโุ ทษกระหม่อมฉันมทั รี แต่คร้ังเดยี วนีเ้ ถิด”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓. กำรใช้ถ้อยคำแสดงอำรมณ์หึงหวงให้เจบ็ แค้นเพ่ือดับควำมโศกเศร้ำ ดว้ ย สานวนกระทบกระแทกอารมณ์ใหป้ วดร้าวใจ ดงั น้ี “.. จำจะเอำโวหำรกำรหึงเข้ำหักโศกให้เสื่อมลง จ่ึงเอื้อนโองกำรตรัสประภำษว่ำ นนุ มทฺทิ ดูกรนำงนำฏพระน้องรัก ภทฺเท เจ้ำผู้มีพักตร์ อันผดุ ผ่องเสมือนหน่ึงเอำนำ้ ทองเข้ำ มำทำทับประทินผิว รำวกะว่ำจะลอยล่ิวเล่ือนลงจำกฟ้ำ ใครได้เห็นเป็ นขวัญตาเต็มหลง ละลายทุกข์ ปลกุ เปลือ้ งอารมณ์ชายให้เชยช่ืน จะนั่งนอนเดินยืนกต็ ้องอย่ำง..
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๔. กำรใช้คำซำ้ และคำเรียบเรียง เป็นการใชค้ าท่ีเขา้ ใจง่ายซ้าๆ กนั เพ่อื บรรยาย ธรรมชาติและบุคคลใหเ้ ด่นชดั มากข้ึน เช่น “..อกแม่นีใ้ ห้อ่อนหิวสุดละห้อย ท้ังดำวเดือนกเ็ คล่ือนคล้อยลงลบั ไม้ สุดที่แม่จะติดตำมเจ้ำ ไปในยำมนี้ ฝูงลิงค่ำงบ่ำงชะนีท่ีนอนหลบั กก็ ลิง้ กลบั เกลือกตัวอย่ยู ้ัวเยยี้ ท้ังนกหกกง็ ัวเวีย เหงำเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เท่ียวเซซังเสำะแสวงทกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกรำวป่ ำ สุดสำยนยั นำที่แม่จะตำมไปเลง็ แล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทรำบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่ จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝี เท้ำที่แม่จะเยือ้ งย่องยกย่ำงลงเหยยี บดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญำสุดหำสุด ค้นเห็นสุดคิด จะได้พำนพบประสบรอยพระลกู น้อยแต่สักนิดไม่มเี ลย”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒. การใช้โวหาร ในบทประพนั ธ์กวไี ดเ้ ลือกใชส้ านวนภาษาก่อใหเ้ กิดจินตภาพ ดงั น้ี ๒.๑) การใช้อุปมาโวหารทแ่ี สดงความเศร้าโศกของพระนางมทั รีจนสลบไป เป็นจุดเด่นของกณั ฑม์ ทั รีท่ีทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความสะเทือนใจดว้ ยความสงสาร การใชถ้ อ้ ยคา แสดงความสามารถของกวใี นดา้ นการประพนั ธ์ไดอ้ ยา่ งเด่นชดั ดงั น้ี “.. พระกำยนำงให้เสียวส่ันหวน่ั ไหวไปท้ังองค์ ดุจชายธงอันต้องกาํ ลงั ลมอย่ลู ิว่ ๆ สิ้นพระ แรงโรยเธอโหยหิวระหวยทรง พระศอเธอหงบุ ง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลส่ังกย็ งั มิทันที่ว่ำจะทูลเลย แต่พอตรัสว่ำพระคุณเจ้ำเอ๋ยคำเดยี วเท่ำน้ัน กห็ ำยเสียงเอียง พระกำยบ่ำยศิโรเพฐน์ พระเนตรหลบั หับพระโอษฐ์ลงทันที วิสญฺญี หุตฺวำ นำงกถ็ ึงวิสัญญี สลบลงตรงหน้ำฉำน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอสนีฟาดขาดระเนนเอน แล้วล้มลงตรงหน้ำพระท่ีนั่ง นั้นแล”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.๒) การใช้คาองิ สานวนสุภาษติ เป็นการทาใหเ้ กิดคติแง่คิดกบั ผอู้ ่านและ ผฟู้ ังเทศนไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี ดงั น้ี “..โอพระจอมขวญั ของแม่เอ๋ย เจ้ำมิเคยได้ควำมยำกย่ำงเท้ำลงเหยยี บดนิ ร้ินกม็ ิได้ไต่ไรก็ มไิ ด้ตอม...” “..อกเอ๋ยจะอย่ไู ปไยให้ทนเวทนำ อุปมำเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมอาสัญลงเพราะ ลูกเป็ นแท้ เท่ียง..” “..เจ้ำเอำแต่ห่วงสงสารนี่หรือมำสวมคล้องให้แม่นีต้ ิดต้องข้องอย่ดู ้วยอำลยั ..”
๗.๓ คุณค่าด้านสังคม ๑.) สะท้อนค่านิยมเกย่ี วกบั สังคมไทย ในสมยั โบราณถือวา่ ภรรยาเป็นทรัพย์ สมบตั ิของสามี สามีมีสิทธ์ิเหนือภรรยาทุกประการ ดงั คาท่ีพระเวสสนั ดรทรงตรัสแก่ พระนางมทั รีวา่ “..เจ้ำเป็นแต่เพยี งเมยี หรือมำหม่ินได้ ถ้ำแม้นพอ่ี ยู่ในกรุงไกร เหมือนแต่ก่อนเก่ำ หำกว่ำเจ้ำทำเช่นนี้ กำยของมทั รีกจ็ ะขำด สะบน้ั ลงทันตำ ด้วยพระกรเบือ้ งขวำของอำตมำนีแ้ ล้วแล..”
คุณค่าด้านสังคม ๒.) สะท้อนให้เห็นธรรมชาตขิ องมนุษย์ ความรักนามาซ่ึงความทุกข์ ความ โศกเศร้าเสียใจ แต่ความเศร้าโศกจะบรรเทาลงไดเ้ มื่อเกิดความเขา้ ใจในสิ่งท่ีผอู้ ่ืนทา ตวั อยา่ งเช่นตอนท่ีพระเวสสนั ดรกล่าวบริภาษพระนางมทั รี เพอื่ ใหพ้ ระนางมทั รีโกรธจน ลืมความโศกเศร้า “.. สมเด็จพระรำชสมภำร เม่ือได้สดับสำรพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์ สุดกำลังถึงแม้นจะมิตรัสแก่นำงม่ังจะมิเป็นกำร จำจะเอำโวหำรกำรหึงเข้ำมำ หักโศกให้เสื่อมลงจึ่งเอือ้ นโองกำรตรัสประภำษว่ำ..”
คุณค่าด้านสังคม ๓.) สะท้อนความเช่ือของสังคมไทย จากขอ้ ความตอนที่พระนางมทั รีออกสู่ป่ า เพือ่ เกบ็ ผลไมใ้ หก้ ณั หา ชาลี และพระเวสสนั ดรเสวยเป็นประจา ผลไมต้ ่างๆ กเ็ พ้ยี น ผดิ ปกติซ่ึงถือเป็นลางร้าย จากความในบทประพนั ธว์ า่ “.. เหตไุ ฉนไม้ที่มผี ลเป็นพ่มุ พวง กก็ ลำยกลบั เป็นดอกดวงเดียรดำษอนำถเนตร แถวโน้นกแ็ ก้วเกดพิกลุ แกมกับกำหลง ถดั น่ันกส็ ำยหยดุ ประยงค์และยมโดย พระ พำยพดั กร็ ่วงโรยรำยดอกลงมลู มอง แม่ยงั ได้เกบ็ เอำดอกมำร้อยกรองไปฝำกลกู เม่ือวนั วำน กเ็ พยี้ นผิดพิสดำรเป็นพวงผล ผิดวิกลแต่ก่อนมำ สพฺพำ มยุ ฺหนฺติ เม ทิ สำ ทั้งแปดทิศกม็ ืดมิดมวั มนทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้ำกด็ ำดแดงเป็นสำยเลือด ไม่เว้น วำยหำยเหือดเป็นลำงร้ำยไปรอบข้ำง (ทกฺขิณกชุ ิ) พระนัยเนตรกพ็ ร่ำงๆ อย่พู รำย พร้อย ในจิตใจของแม่ยงั น้อยอย่นู ิดเดียว ทั้งอินทรีย์กเ็ สียวๆสั่นระรัวริก แสรก คำนบันดำลพลิกพลดั ลงจำกพระอังสำ ท้ังขอน้อยในหัตถำท่ีเคยถือ กเ็ ลื่อนลอย หลดุ ลงจำกมือไม่เคยเป็นเห็นอนำถ..”
คุณค่าด้านสังคม ๔.) สะท้อนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี อนั เป็นประเพณีท่ี เก่ียวเน่ืองกับพระพุทธศาสนา โดยเร่ือง “เวสสันดรชาดก” เป็ นชาดกท่ี พุทธศาสนิกชนนิยมนามาเล่าขานจดั เป็นเทศน์มหาชาติประจาทุกปี มาต้งั แต่ คร้ังอดีต โดยจะจดั สถานท่ีใหส้ อดคลอ้ งกบั เร่ืองราว ใหเ้ ป็นป่ าท่ีอุดมดว้ ยไม้ ผล มีการบรรเลงดนตรีไทยประกอบ ท้งั น้ีพระสงฆท์ ่ีมาเป็ นผูเ้ ทศน์ จะเป็ น พระสงฆท์ ่ีเทศนไ์ ดอ้ ยา่ งไพเราะ ใชภ้ าษาง่ายๆ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ถึงผฟู้ ังทุกเพศทุกวยั บางคร้ังกม็ ีการเทศนแ์ หล่ดว้ ย
๒หน่วยการเรียนรู้ที่ บทละครพูดคาฉันท์ เร่ือง มัทนะพาธา มทั นะพาธา เป็นบทพระราช นิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏเกลา้ เจ้าอยู่หัว แสดงให้เห็นถึงพระปรี ชา สามารถของพระองค์ในด้านอักษร ศาสตร์ ซ่ึงบทละครเรื่องน้ีไดร้ ับการยก ยอ่ งจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็ นยอดของ บทละครพูดคาฉันท์ ดว้ ยความไพเราะ ของการเลือกใชถ้ อ้ ยคาที่สื่ออารมณ์ของ ตวั ละครไดอ้ ย่างดีเย่ียม ท้งั ยงั สอดแทรก คติสอนใจเร่ืองความรักอีกดว้ ย
๑ ความเป็ นมา มทั นะพาธา แปลวา่ ความเจบ็ ปวดหรือความเดือดร้อนเพราะความ รัก บทละครพดู คาฉนั ทเ์ ร่ือง มทั นะพาธา หรือตานานแห่งดอกกหุ ลาบ มี ลกั ษณะเป็นบทละครพดู คาฉนั ท์ จานวน ๕ องก์ แบ่งเป็น ๒ ภาค คือภาค สวรรคแ์ ละภาคพ้นื ดิน เป็นบทพระราชนิพนธ์จากจินตนาการใน พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงใหน้ างเอกของเร่ืองนามวา่ มทั นา ซ่ึงแปลวา่ ความลุ่มหลง แทนคาวา่ กพุ ชกะที่แปลวา่ ดอกกหุ ลาบ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์ เม่ือวนั ท่ี ๒ กนั ยายน ๒๔๖๖ ณ พระราชวงั พญาไทและ เสร็จสมบูรณ์ในวนั ที่ ๑๔ ตุลาคม ปี เดียวกนั เมื่อพระราชนิพนธ์เสร็จกพ็ ระราชทานแก่ สมเดจ็ พระนางเจา้ อินทรศกั ด์ิศจีพระวรชายา
๒ ประวตั ผิ ู้แต่ง พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระ นามเดิมวา่ สมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหาวชิราวธุ เป็นพระราชโอรส องคท์ ี่ ๒๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชสมภพเม่ือวนั ท่ี ๑ มกราคม ๒๔๒๓ ทรง ศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุ ๑๔ พรรษา กเ็ สดจ็ ไป ศึกษา ณ ประเทศองั กฤษ ต่อมาเสดจ็ นิวตั ประเทศไทยเพ่ือ ทรงรับการสถาปนาเป็นสมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหาวชิราวธุ สยาม มกฎุ ราชกมุ าร จากน้นั ไดก้ ลบั ไปศึกษาวชิ าทหาร ณ โรงเรียนทหารบกท่ีแซนดเ์ ฮซิ ต์ และ ไดร้ ับเกียรติบตั รเป็นนายทหารประจา ณ กรมทหารราบเบาเดอรัม กองพนั ที่ ๑ ที่อลั เตอร์ซอท นอกจากน้ีทรงศึกษาดา้ นประวตั ิศาสตร์และกฎหมายที่ มหาวทิ ยาลยั ออกซฟอร์ด และทรงมีความสามารถดา้ นภาษาเป็นพิเศษ
ประวตั ผิ ู้แต่ง เมื่อปี ๒๔๔๗ ไดท้ รงผนวช ณ วดั บวรนิเวศ วหิ าร เม่ือทรงลาสิกขาบท เสดจ็ ประทบั ณ พระราชวงั สราญรมย์ ทรงต้งั สโมสรการประพนั ธช์ ่ือทวปี ัญญาสโมสร และออกหนงั สือรายเดือนช่ือทวปี ัญญา เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ เม่ือวนั ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๓ และสวรรคตเม่ือวนั ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ พระองคท์ รงพระปรีชาสามารถทางดา้ นอกั ษรศาสตร์ ทรงมีผลงานพระราช นิพนธ์ท้งั ร้อยแกว้ ร้อยกรองกวา่ ๒๐๐ เร่ืองเช่น เรื่องศกนุ ตลา รามเกียรต์ิ บทละคร เรื่องเวนิสวานิส เป็นตน้ มทั นะพาธาไดจ้ ดั พมิ พเ์ ผยแพร่เป็นคร้ังแรกเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๖๗ แลว้ จดั แสดงเป็นละครพดู คาฉนั ท์ ดา้ นงานพระราชนิพนธ์พระองคจ์ ะใชน้ ามปากกาวา่ อัศวพำหุ รำมจิตติ พนั แหลม ศรีอยธุ ยำ นำยแก้วนำยขวญั พระขรรค์เพชร นำยแก้ว ณ อยธุ ยำ น้อยลำ ท่ำนรำม ณ กรุงเทพ
๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ บทละครคาฉนั ทเ์ ร่ือง มทั นะพาธา ประกอบดว้ ยกาพย์ ๓ ชนิด คือ กาพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ และฉนั ท์ ๒๑ ชนิด เช่น วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๘ อินทรวเิ ชียร ฉนั ท์ ๑๑ อปุ ชาติฉนั ท์ ๑๑ ภุชงคประยาตฉนั ท์ ๑๒ อินทรวงศฉ์ นั ท์ ๑๒ วสนั ตดิลกฉนั ท์ ๑๔ เป็นตน้
๔ เร่ืองย่อ ภาคสวรรค์ กล่าวถึง สุเทษณ์เทพบุตร ซ่ึงอดีตกาลคือกษตั ริยแ์ ห่ง แควน้ ปัญจาล มทั นา เป็นราชธิดากษตั ริยแ์ คว้ นสุราษฎร์ สุเทศน์ไดส้ ่งทูตไปสู่ ขอมทั นา แต่พระราชบิดานางไม่ยอมยกให้ สุเทษณ์จึงยกทพั ไปรบทาลาย บา้ นเมืองและจบั พระราชบิดาของนามมาเป็นเชลยศึก แลว้ จะใหป้ ระหารชีวติ เสีย แต่มทั นาขอไถ่ชีวติ พระบิดาไว้ โดยยนิ ยอมเป็นบาทบริจาริกา เม่ือพระบิดานางรอดชีวติ นางกป็ ลงพระชนมต์ นเองแลว้ ไปบงั เกิดเป็นเทพธิดา บนสวรรค์ นาม มทั นา ส่วนทา้ วสุเทษณ์กก็ ระทาพลีกรรมจนสาเร็จ เมื่อ สิ้นพระชนมก์ ไ็ ปบงั เกิดบนสวรรคเ์ ช่นกนั และมีโอกาสไดพ้ บกนั อีกคร้ัง แต่ นางมทั นากย็ งั ไม่มีใจรักสุเทษณ์เทพบุตรเช่นเดิม
เร่ืองย่อ ณ วมิ านของสุเทษณ์เทพบุตร ไดม้ ีคนธรรพ์ เทพบุตร เทพธิดาท่ีเป็น บริวารต่างมาบาเรอขบั กล่อมถวาย แต่สุเทษณ์เทพกไ็ ม่มีความสุข เพราะ พระองคร์ ักนางมทั นา พระองคจ์ ึงใหว้ ทิ ยาธรชื่อ มายาวนิ ใชเ้ วทยม์ นตร์สะกด ใหน้ างมายงั วมิ านของตน ฝ่ายนางมทั นาเม่ือถูกเวทยม์ นตส์ ะกดมา เม่ือสุเทษณ์ เทพบุตรถามอยา่ งไร นางกท็ วนคาถามทุกคร้ัง ทาใหส้ ุเทษณ์เทพบุตรรู้สึกขดั ใจ จึงใหม้ ายาวนิ คลายมนตร์ เม่ือนางฟ้ื นสติกต็ กใจกบั เหตุกาณ์ สุเทษณ์เทพบุตร ถือโอกาสฝากรักแต่นางไม่ยนิ ยอม เพราะไม่ไดร้ ักสุเทษณ์เทพบุตร จึงกริ้ว โกรธนางและสาปใหน้ างมทั นาจุติจาสวรรคไ์ ปเป็นดอกกหุ ลาบในเมืองมนุษย์ โดยใหโ้ อกาสนางเป็นมนุษยไ์ ดเ้ มื่อถึงคืนวนั เพญ็ เพียงหน่ึงวนั หน่ึงคืนเท่าน้นั เม่ือใดท่ีนางมีรักเมื่อน้นั จึงจะพน้ คาสาปกลายร่างเป็นมนุษยไ์ ด้ และหากเมื่อใด นางมีทุกขเ์ พราะรักใหน้ างกล่าวออ้ นวอนพระองคจ์ ะยกโทษทณั ฑใ์ ห้
เร่ืองย่อ ภาคพืน้ ดนิ พระฤๅษีไดข้ ดุ เอาตน้ กหุ ลาบจากป่ าหิมาวนั มาปลูกไว้ ใกลก้ บั อาศรม เม่ือถึงคืนวนั เพญ็ นางจะปรากฏโฉมเป็นมนุษยค์ อยปรนนิบตั ิรับ ใชพ้ ระฤๅษี วนั หน่ึงเทา้ ชยั เสน กษตั ริยแ์ ห่งนครหสั ินเสดจ็ ประพาสป่ าและมาถึง อาศรมพระฤๅษี เม่ือถึงคืนวนั เพญ็ ที่นางมทั นากลายเป็นมนุษย์ นางไดพ้ บกบั ทา้ ว ชยั เสนกเ็ กิดความรักต่อกนั พระฤๅษีจึงจดั พิธีอภิเษกให้ ทา้ วชยั เสนพานางกลบั เมือง พระองคร์ ักใคร่หลงใหลนางมากทาให้ นางจณั ฑีมเหสีหึงหวง อิจฉาริษยา จึงทาอุบายใหท้ า้ วชยั เสนเขา้ ใจผดิ วา่ นางมทั นาเป็นชูก้ บั ทหารเอก นางมทั นาจึงถูกตดั สินประหารชีวติ แต่เพชรฆาตสงสาร จึงปล่อยตวั นางไป นางจึงกลบั ไปยงั อาศรมและวงิ วอนขอใหส้ ุเทษณ์เทพบตุ ร ช่วย สุเทษณ์เทพบุตรไดข้ อความรักจากนาง นางปฏิเสธอีกคร้ัง สุเทษณ์ เทพบุตรจึงสาปนางใหเ้ ป็นดอกกหุ ลาบไปตลอดชีวติ
๕ เนื้อเรื่อง มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา ยกตวั อยา่ งเน้ือเรื่องสาคญั บางส่วนไดด้ งั น้ี (ฉบงง,๑๖) สุเทษณ์. ปวงรูปเจ้ำวำดมำนี้ เปนรูปนำรี ที่ล้วนประเสริฐเลิศงำม; แต่กูดทู ุกนงรำม กย็ งั เห็นทรำม กว่ำนำรีรัตน์มทั นำ ฉนั้นแม้ไม่อำจหำ เทียมเท่ำมทั นำ ฤๅกูจะกล่ำวชมเชย? เปนกรรมกูแล้วเจ้ำเอย, จำต้องชวดเชย ที่รักสมคั จริงใจ. เม่ือจิตระรถตามหารูปสาวงามจากทวั่ ทุกสารทิศ เพ่อื หวงั ใหส้ ุเทษณ์คลาย ความทุกข์ แต่สุเทษณ์กก็ ล่าววา่ ไม่มีนางใดงามเทียบเท่ามทั นาไดแ้ ละเศร้าใจ ท่ีตนจะตอ้ งผดิ หวงั กบั ความรักเสียแลว้
มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา จติ ระรถ. ฉนั้นต้องคิดแก้ไข (ฉบงง,๑๖) พระองค์ได้สมจินดำ โดยอุบำยให้ กหู มดปัญญำ สุเทษณ์. จะแก้ฉันใดเล่ำหวำ? ขนุ โขนคีรี จติ ระรถ. ข้ำบำทขอทูลบัดนี้ เรืองวิทยำกร เชิงชำญโยคิน ยำมข้ำเที่ยวไปถึงท่ี ไปผกู หทยำ ศรีมนั ทะระงำมงอน, ได้พบหนึ่งวิทยำธร มนี ำมว่ำมำยำวิน; ผ้นู ีม้ คี วำมรู้ชิน และเชี่ยวอำถรรพวิทยำ รู้จักใช้โยคะนิทรำ แห่งผ้ทู ี่อย่แู ม้ไกล อำจร่ ำยมำตร์ เรี ยกมำได้
มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมทั นา เม่ือจิตระรถเห็นสุเทษณ์ เป็นทุกขด์ งั น้นั จึงคิดวางแผน เพอ่ื ใหส้ ุเทษณ์ สมหวงั ในรัก โดยวา่ ตนน้นั รู้จกั กบั วทิ ยาธรคน หน่ึง ช่ือวา่ มายาวนิ เป็นผเู้ ชี่ยวชาญคาถาอาคม อาจร่ายมนตช์ ่วยได้
มทั นะพาธา ตอน สุเทษณ์ฝากรักนางมัทนา (สุรางคณา,๒๘) สุ เทษณ์. อันตวั เรำนี้ จิตจ่ออย่ทู ่ี โฉมมะทะนำ, ผ้เู ลิศเลอสรร ในช้ันกำมำ พะจรฟำกฟ้ำ บ่มใี ครทัน ตัง้ แต่เรำมำ เกิดในฟำกฟ้ำ พิภพภมู ิสวรรค์, เรำเห็นต้องจิต คิดอยำกเชยขวญั แต่โอ้นำงน้ัน หล่อนไม่ปลงใจ มายาวนิ ข้ำบำทเลง็ ดู ด้วยญำณกร็ ู้ นำงนีค้ ือใคร, อีกทั้งรู้เลศ ว่ำเหตไุ ฉน นงรำมจึ่งไม่ ปลงใจยินดี เม่ือมายาวนิ ไดม้ าเขา้ พบสุเทษณ์ สุเทษณ์กด็ ีใจยง่ิ และเล่าวา่ ตนน้นั หลงรักนางมทั นา ผงู้ ดงามกวา่ ทุกนางบนสวรรคช์ ้นั ฟ้า แต่นางน้นั ไม่รับรักดว้ ย มายาวนิ เม่ือดูดว้ ยญาณ กท็ ราบวา่ เหตุที่ไม่สมหวงั น้นั เป็นเพราะเหตุใด จึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคร้ังอดีตชาติท่ีสุ เทษณ์ยงั เป็นมนุษยใ์ หฟ้ ังจนแจ่มแจง้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183