๒.๑ ลกั ษณะเร่ืองส้ัน (ต่อ) เร่ืองส้ันท่ีดคี วรมีลกั ษณะดงั ต่อไปนี้ ๑) ความยาว เร่ืองส้ันควรมีความยาวพอประมาณ โดยทวั่ ไปนิยมกาหนดความยาวของ เร่ืองส้นั จากเวลาท่ีอ่าน คือ ภายในระยะเวลา ๕-๕๐ นาที หรือจากจานวนคา ๒) โครงเรื่อง เรื่องส้นั ท่ีดีควรมีโครงเร่ืองเดียว และเป็นโครงเร่ืองง่ายๆ ไม่ซบั ซอ้ น ๓) แก่นเรื่องหรือแนวคดิ เรื่องส้นั ที่ดีควรมุ่งเสนอแนวคิดหรือแก่นของเร่ืองเพียงขอ้ เดียว ๔) ตวั ละคร เรื่องส้นั ท่ีดีควรมีตวั ละครนอ้ ย โดยเฉพาะตวั ละครที่มีบทบาทสาคญั หรือเป็น ตวั ละครเอกมกั มีเพียง ๒-๓ ตวั ๕) บทสนทนา เรื่องส้นั ควรมีบทบาทที่ใชภ้ าษาไดส้ มจริงสอดคลอ้ งกบั บรรยากาศของ เร่ืองและตวั ละคร ๖) ฉาก และบรรยากาศ ฉากและบรรยากาศ ควรมีความสมั พนั ธ์กนั และควรสอดคลอ้ งกบั เน้ือเรื่องและที่สาคญั ท่ีสุด คือ ตอ้ งมีความสมจริง ๗) ตอนจบของเร่ือง เรื่องส้นั อาจมีจุดจบแบบธรรมดา คือ จุดจบของเรื่องอาจเป็นไปตาม ความคาดหมายของผอู้ ่าน หรือการจบเร่ืองแบบพลิกความคาดหมาย ๘) ความแน่น เร่ืองส้นั ท่ีดีควรตอ้ งมีกลวิธีการสร้างบทสนทนา การพรรณนาฉาก บรรยากาศ และตวั ละคร ใหม้ ีความกระชบั รัดกมุ และมีประโยชน์ต่อการดาเนินเร่ือง
๒.๒ ประเภทของเร่ืองส้ัน การแบ่งประเภทของเรื่องส้ันสามารถแบ่งไดเ้ ป็นหลายรูปแบบ การใชเ้ กณฑก์ าร แบ่งท่ีมีความแตกต่างกนั ย่อมส่งผลให้การแบ่งประเภทของเร่ืองส้ันมีความแตกต่างกนั ดว้ ย เช่น หากใชจ้ ุดมุ่งหมายในการแต่งเป็นเกณฑใ์ นการแบ่งจะแบ่งประเภทเร่ืองส้ันออกเป็น ๒ ประเภท คือ • เร่ืองส้นั แนวประเทืองอารมณ์ • เร่ืองส้นั ท่ีใหค้ วามเพลิดเพลินใจเป็นหลกั เร่ืองส้นั แนวประเทืองปัญญาหรือเรื่องส้ันท่ีผแู้ ต่งมุ่งใหผ้ อู้ ่านเกิดความรู้ ความคิด และเกิดความเขา้ ใจในเร่ืองราวความเป็นไปของชีวติ
องค์ประกอบทโ่ี ดดเด่นของเร่ืองส้ันเป็ นเกณฑ์ ดงั นี้ ๑) เร่ืองส้ันชนิดผูกเร่ือง คือ เร่ื องส้ันที่ให้ความสาคัญกับโครงเรื่ อง ผู้แต่งจะสร้าง สถานการณ์ที่ซบั ซ้อนข้ึนภายในโครงเรื่อง ทาให้ผูอ้ ่านเกิดความสงสยั และใคร่รู้ที่จะติดตามเรื่องต่อไป จนจบ เช่น เรื่อง “สร้อยคอท่ีหาย” ของ ประเสริฐอกั ษร เร่ือง “จบั ตาย” ของ มนสั จรรยงค์ เป็นตน้ ๒) เร่ืองส้ันชนิดเน้นแนวความคดิ คือ เร่ืองส้นั ท่ีผูแ้ ต่งตอ้ งการเสนอแนวคิดหรือทรรศนะ ของเรื่องมายงั ผอู้ ่านเป็นหลกั เช่น เรื่อง “ถนนสายท่ีนาไปสู่ความตาย” ของ วิทยากร เชียงกลู ๓) เร่ืองส้ันชนิดเน้นตวั ละคร คือ เรื่องส้นั ที่ผแู้ ต่งให้ความสาคญั กบั ตวั ละครมากกว่าโครง เรื่อง เพราะถือวา่ เหตุการณ์ในเร่ืองเกิดข้ึนจากพฤติกรรมของตวั ละคร ผแู้ ต่งจึงสร้างลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครใหม้ ีความเด่นชดั เพ่ือช้ีใหผ้ อู้ ่านเห็นวา่ ลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครเอกส่งผลต่อตวั ละครตวั อื่นภายใน เรื่อง หรือเป็นการดาเนินเรื่องตามพฤติกรรมของตวั ละครเอก ๔) เรื่องส้ันชนิดเน้นบรรยากาศ คือ เร่ืองส้นั ท่ีผแู้ ต่งตอ้ งการสร้างบรรยากาศของเรื่องให้มี ความสมจริง ทาใหผ้ อู้ ่านรู้สึกเหมือนไดร้ ่วมรับรู้อยใู่ นสถานการณ์จริง เรื่องส้นั ประเภทน้ีจะเกี่ยวกบั การ สืบสวน อาชญากรรม หรือเป็นเหตุการณ์ท่ีน่าต่ืนเตน้ ระทึกใจ
๓หน่วยการเรียนรู้ที่ การประเมินคุณค่างานเขียน ๑ การประเมนิ คุณค่างานเขียน ชุติมา สัจจานนท์ และคณะ (๒๕๔๒) ไดเ้ สนอหลกั เกณฑก์ ารประเมินคุณค่าวรรณกรรม ไทย เพ่ือใชเ้ ป็ นแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์ ประเมินคุณค่าวรรณกรรมและเป็ นแนวทางในการ สร้างสรรคว์ รรณกรรมที่มีคุณค่าดว้ ยเกณฑก์ ารประเมินคุณค่าน้ี นกั เรียนสามารถนาไปใชใ้ นการอ่าน เพ่ือประเมินคุณค่างานเขียนท้งั ของตนเองและผูอ้ ื่น เพ่ือนามาใชใ้ นการพฒั นางานเขียนของตนเองได้ โดยใช้แนวทางการประเมินเป็ นเครื่องช่วยกาหนดทิศทางและขอบเขตงานเขียนเพ่ือให้ผลงานมี เอกภาพและมีคุณภาพ
๓.๑ การประเมนิ คุณค่าเรื่องส้ัน การประเมินคุณค่างานเขียน คือการศึกษาวิเคราะห์งานเขียน ท้งั ดา้ นแนวคิด การใชภ้ าษา กลวิธีการแต่ง รวมถึงคุณค่าท่ีไดร้ ับจากงานเขียน โดยวธิ ีการศึกษา ดงั น้ี ๑) เร่ืองยอ่ ๒) แก่นเรื่อง ๓) การเปิ ดเรื่อง ๔) ปมปัญหา ๕) จุดวิกฤต ๖) จุดคล่ีคลาย (๑) การดาเนินเร่ืองตามเขม็ นาฬิกา ๗) ปิ ดเรื่อง (๒) การดาเนินเรื่องทวนเขม็ นาฬิกา ๘) การดาเนินเร่ือง (๓) การดาเนินเรื่องแบบสลบั ไปมา
๓.๑ การประเมนิ คุณค่าเรื่องส้ัน (ต่อ) ๙) กลวิธีการเลา่ เรื่อง ๑๐) กลวิธีการต้งั ช่ือเรื่อง ๑๑) การสร้างตวั ละคร ๑๒) การสร้างฉาก ๑๓) บทสนทนา ๑๔) คุณค่า (๑) คุณค่าด้านวรรณศิลป์ (๒) คุณค่าด้านสังคม
๓.๒ ตวั อย่างการประเมนิ คุณค่าเร่ืองส้ัน : พสิ ูจน์รัก...ด้วยความดี การประเมินคุณค่างานเขียนคือ การศึกษาวิเคราะห์งานเขียน ท้งั ดา้ นแนวคิด การใช้ภาษากลวิธีการเขียน รวมถึงคุณค่าท่ีไดร้ ับ ซ่ึงการประเมินคุณค่างานเขียนยงั มี ประโยชนต์ ่อนกั เรียนกลา่ วคือ สามารถนาแนวทางที่ดีต่างๆ มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่ือสร้างสรรค์ งานเขียนตนเอง ซ่ึงในท่ีน้ีจะประเมินคุณค่าเร่ืองส้ัน “พิสูจน์รัก...ดว้ ยความดี” ของ กลั ยา น้อยพรหม จากหนงั สือเร่ืองส้ันสานวนไทยเพื่อให้นักเรียนเห็นแนวทางการเขียนเพ่ือ นามาพฒั นางานเขียนของตนเอง
ตวั อย่างการประเมนิ คุณค่าเร่ืองส้ัน : พสิ ูจน์รัก...ด้วยความดี (ต่อ) “พิสูจน์รักดว้ ยความดี” เป็นเร่ืองของ “มิ้นต”์ หญิงสาวที่กาพร้าบิดาดว้ ยอุบตั ิเหตุเม่ือ เธอยงั เลก็ ตลอดเวลาแม่เป็นผูเ้ ล้ียงดูและเติมเต็มความรักส่วนท่ีขาดหายไป จนกระทง่ั วนั หน่ึงแม่ ของเธอกจ็ ากไปดว้ ยโรคหวั ใจลม้ เหลว เธอจึงตอ้ งใชช้ ีวติ อยใู่ นความดูแลของญาติผใู้ หญ่ “พสิ ูจน์รัก...ดว้ ยความดี” ผเู้ ขียนไดก้ าหนดแนวคิดหรือแก่นเร่ืองเพ่ือเป็นกรอบในการ เขียนว่า “ทาความดีมีน้าใจ สุดยอดคาถาให้คนรัก” ข้อสังเกตเกี่ยวกับการสร้างแนวคิดเพื่อ สร้างสรรคง์ านเขียนน้นั โดยส่วนใหญ่จะเป็ นวลีหรือประโยคส้ันๆ ท่ีกระชบั เขา้ ใจไดโ้ ดยท่ีไม่ ตอ้ งตีความ “พสิ ูจนร์ ัก...ดว้ ยความดี” ใชก้ ลวิธีการดาเนินเร่ืองแบบทวนเขม็ นาฬิกา กลวิธีการต้งั ชื่อเรื่อง นบั เป็นส่วนสาคญั สาหรับการสร้างสรรคง์ านเขียนทุกประเภท เพราะเป็นส่วนแรกที่ดึงดูดความสนใจของผอู้ า่ น เร่ืองส้ันเรื่องน้ีมีกลวธิ ีการต้งั ช่ือเรื่องดว้ ยประโยค ที่เรียบง่าย สอดคลอ้ งกบั แนวคิดหลกั ของเรื่อง และส่งผลใหม้ ีน้าหนกั น่าเช่ือถือ
๓.๓ การประเมนิ คุณค่ากวนี ิพนธ์ การประเมินคุณค่ากวนี ิพนธ์ คือการพนิ ิจพจิ ารณาวา่ กวนี ิพนธ์น้นั มีคุณค่า มากนอ้ ยเพียงไร โดยอาศยั หลกั เกณฑ์ ดงั น้ี ๑) เนื้อหา คือการศึกษาเน้ือความท้ังหมดของกวีนิพนธ์ ว่ามีการแสดงออกซ่ึง แนวความคิดใด หรือเสนอทรรศนะเฉพาะบุคคล ๒) รูปแบบคาประพนั ธ์ คือการพิจารณาความสอดคลอ้ งของเน้ือหาวา่ มีความสัมพนั ธ์ กบั รูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ที่เลือกนามาใชม้ ากนอ้ ยเพียงไร รวมถึงการพิจารณาว่ากวีสามารถแต่งกวี นิพนธ์น้นั ๆ ไดถ้ ูกตอ้ งตรงตามระเบียบแบบแผนของคาประพนั ธห์ รือไม่ อยา่ งไร ๓) ความงามด้านการประพนั ธ์ คือการศึกษากลวธิ ีท่ีกวใี ชใ้ นการประพนั ธ์ กล่าว คือ มีการเลือกใชค้ า ความ ภาพพจน์ เพอื่ แสดงออกซ่ึงอารมณ์และความงามของบทกวี ๔) คุณค่าของกวีนิพนธ์ คือการศึกษากวนี ิพนธ์วา่ ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ สร้าง จินตนาการ ใหข้ อ้ คิด ทาใหต้ ระหนกั และเขา้ ใจชีวติ อยา่ งลมุ่ ลึก หรือเสนอแง่คิดแก่ผอู้ ่านอยา่ งไร
๑.๔ ตัวอย่างการประเมนิ คุณค่ากวนี ิพนธ์ : ยวนพ่ายโคลงด้นั ตวั อยา่ ง โคลงบทที่ ๕๘-๕๙ จากยวนพา่ ยโคลงด้นั ประเมินคุณคา่ ตามหลกั เกณฑไ์ ด้ ดงั น้ี ยวนพ่ายโคลงด้นั เป็ นวรรณคดีประวตั ิศาสตร์และวรรณคดียอพระเกียรติ ดว้ ยเหตุท่ีเน้ือ เรื่องเปรียบเสมือนบนั ทึกเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอยธุ ยา สุโขทยั และลา้ นนา กล่าวถึงพระราชสงครามระหว่างสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งอยุธยาและพระเจา้ ติโลกราชแห่ง ลา้ นนา ในการแยง่ ชิงสิทธิในการครอบครองเมืองศรีสชั นาลยั หรือเชียงชื่น สาเหตุที่ถือวา่ วรรณคดีเรื่อง น้ีเป็นวรรณคดีประวตั ิศาสตร์ เพราะเน้ือความส่วนใหญ่มีความสอดคลอ้ งกบั เอกสารทางประวตั ิศาสตร์ เช่น พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบบั หลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ิ ตานานพ้ืนเมืองเชียงใหม่ เป็ นต้น นอกจากน้ียงั มีเหตุการณ์บางอย่างท่ีปรากฏในยวนพ่ายโคลงด้นั แต่ไม่มีการบนั ทึกไวใ้ นเอกสารทาง ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดีเร่ืองน้ีจึงมีความสาคญั ต่อการสอบทานเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์อีกประการ หน่ึง เนื่องจากเป็ นเอกสารฝ่ ายอยุธยา เน้ือหาส่วนใหญ่จึงเป็นการสรรเสริญหรือยอพระเกียรติพระราช สงครามของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงถือว่ายวนพ่ายโคลงด้นั จดั เป็ นวรรณคดียอพระเกียรติ สาหรับเน้ือความตอนท่ียกมาแสดงน้ี เป็นการปรารภของกวีที่ประสงคจ์ ะให้งานกวีนิพนธ์ของตนเป็นท่ี นิยมอยา่ งแพร่หลาย และคงอยอู่ ยา่ งยงั่ ยนื ตลอดไป
การประเมินคุณค่างานเขียนท้งั ที่เป็นงานเขียนทว่ั ไป หรืองานเขียนกวีนิพนธ์ ถือ เป็ นการตดั สินคุณค่าของงานเขียนท่ีผูอ้ ่านตอ้ งวิเคราะห์แยกแยะรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน โดยผา่ นกระบวนการตีความ ก่อนที่จะประเมินคุณค่าโดยใชว้ ิจารณญาณตดั สินอยา่ งมีเหตุผล การประเมินจาเป็ นต้องอาศยั หลกั เกณฑ์ในการประเมินที่ถูกต้อง แม่นยา ท้งั ยงั ตอ้ งอาศยั ความรู้ ประสบการณ์และความเที่ยงตรงของผปู้ ระเมิน การประเมินคุณค่างานเขียนตามแนวทางท่ีถูกตอ้ งและปราศจากอคติจะทาให้ นกั เรียนสามารถมองเห็นแนวทางหรือกลวิธีการเขียน การสร้างสรรค์ของผูป้ ระพนั ธ์แต่ละ ท่านซ่ึงมีรูปแบบเฉพาะท่ีแตกต่างกนั โดยที่นกั เรียนสามารถนาแนวทางท่ีดีเหล่าน้นั มาปรับใช้ เพ่ือพฒั นางานเขียนของตนเองได้ เช่น ถา้ นักเรียนเขียนเรื่องส้ันก็จะตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั องคป์ ระกอบท้งั หมด รู้จกั นารูปแบบเฉพาะที่ไดร้ ับจากการศึกษางานของผอู้ ื่นมาใชแ้ ละพฒั นา ไปสู่ความเป็นเอกลกั ษณ์ในงานเขียนของตนเอง
ตอนที่ ๓ การฟัง การดู การพูด ๑. การฟังและดูอย่างมปี ระสิทธิภาพ ๒. การพดู อภปิ ราย การพดู แสดงทรรศนะ และการโต้แย้ง
๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี การฟังและดูอย่างมีประสิทธิภาพ ๑ การฟังและดูอย่างมปี ระสิทธิภาพ ปัจจุบนั มีข่าวสารจากส่ือประเภทต่างๆ ทาใหม้ นุษยจ์ าเป็นตอ้ งรู้จกั เลือกฟัง เพราะ ไม่สามารถฟังไดท้ ้งั หมด พิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลในการฟังวา่ ควรเช่ือถือหรือไม่เพียงใด เช่น การฟังและดูข่าว โฆษณา บทเพลงและละครต่างๆ การใชค้ วามคิดพจิ ารณาในการฟังก่อน แลว้ จึงเชื่อเป็นการฝึกการคิดทาใหเ้ กิดปัญญาแตกฉาน แลว้ นาส่ิงที่มีคุณค่าต่อตนเองมาพฒั นา คุณภาพชีวติ ใหม้ ีความสุขกาย สบายใจ ท้งั ตนเอง ครอบครัวและสงั คม
๑.๑ ความหมาย การฟังและดู คือกระบวนการรับสารผา่ นคลื่นเสียงและสญั ลกั ษณ์ท่ีมา จากน้นั ผรู้ ับสารจึงแปลคล่ืนเสียงท่ีไดย้ นิ หรือภาพท่ีเห็นเป็นความหมายต่างๆ ผรู้ ับสารจะสามารถ แปลความหมายตรงตามที่ผูส้ ่งสารส่งมาได้ครบถว้ น ข้ึนอยู่กบั ปัจจยั ต่างๆ เช่น ความรู้ ประสบการณ์ ทศั นคติ
๑.๒ แนวทางฝึ กทกั ษะการฟังและดูอย่างมปี ระสิทธิภาพ การปฏิบตั ิตนใหส้ ามารถเป็นผฟู้ ังและดูไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ควรหมนั่ ฝึกฝนอยเู่ สมอท้งั ควรรู้จกั ต้งั คาถาม สรุปประเดน็ เน้ือหาที่ไดร้ ับ ดงั แนวทางต่อไปน้ี ๑) ก่อนฟังและดู ๒) ขณะฟังและดู ๓) หลงั ฟังและดู
๑) ก่อนฟังและดู ๑.๑) ฝึ กทักษะการได้ยิน หรือทักษะการดู คือผูร้ ับสารตอ้ งฝึ กฝนประสาทสัมผสั ท่ี เกี่ยวขอ้ งให้สามารถรับเสียงและภาพไดร้ วดเร็ว ถูกตอ้ ง แยกเสียงรบกวน ตลอดจนสามารถสังเกต รายละเอียดต่างๆ ของสิ่งที่ไดฟ้ ังและดู ๑.๒) ฝึ กสมาธิ ผรู้ ับสารตอ้ งฝึกฝนสมาธิ ไมว่ อกแวก ตลอดจนบงั คบั จิตใจใหอ้ ดทน ต่อความไมส่ ะดวกต่างๆ ท่ีอาจเกิดข้ึนในขณะท่ีฟังและดู ๑.๓) เปิ ดใจให้กว้าง ผรู้ ับสารตอ้ งยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน ตลอดจนเปิ ดใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงท่ีอาจเกิดข้ึน เช่น ในการศึกษาคน้ ควา้ ทางวชิ าการอาจพบหลกั ฐานหรือ ขอ้ มลู ใหม่ ที่เป็นเหตเุ ป็นผลและสามารถหกั ลา้ งทฤษฎีแนวคิดเดิมได้ เป็นตน้ ๑.๔) ศึกษาหาความรู้ล่วงหน้า ผูร้ ับสารควรศึกษาขอ้ มูลล่วงหน้าเพื่อช่วยให้ทาความ เขา้ ใจเรื่องท่ีฟังและดูไดร้ วดเร็วยงิ่ ข้ึน ๑.๕) กาหนดจุดม่งุ หมายในการฟัง วา่ ตอ้ งการขอ้ มลู ความรู้ ขอ้ คิดเห็น ความบนั เทิง หรือความจรรโลงใจ เพื่อใหส้ ามารถกาหนดทิศทางในการดูและฟังไดใ้ นแตล่ ะคร้ัง
๒) ขณะฟังและดู ๒.๑) ทาความเข้าใจ เป็นข้นั ตอนเบ้ืองตน้ ซ่ึงผรู้ ับสารอาจใชว้ ธิ ีต้งั คาถาม แลว้ ตอบใหไ้ ด้ วา่ เน้ือหาของสารที่ไดร้ ับคืออะไร ปรากฏแนวคิดใด เป็นตน้ ๒.๒) จบั ใจความ เม่ือผา่ นกระบวนการทาความเขา้ ใจ ผรู้ ับสารควรสรุปใจความสาคญั ท่ี ไดร้ ับจากการฟังและดู โดยอาจสรุปเป็นประเดน็ หรือเรียบเรียงข้ึนใหมต่ ามความเขา้ ใจของตน ๒.๓) วิเคราะห์จุดมุ่งหมาย หมายถึง การประเมินสาระสาคญั ของสารท่ีส่งมาว่ามี จุดประสงคใ์ ด เช่น มุ่งใหค้ วามรู้ ความบนั เทิง เป็นตน้ ๒.๔) ตคี วาม หมายถึง การอาศยั ทกั ษะต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ของผรู้ ับสารรวมถึง บริบทต่างๆ ตีความนยั ที่แฝงมาในสาร ๒.๕) ประเมินค่า หมายถึง กระบวนการท่ีผรู้ ับสารตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณประเมินวา่ สารที่ ไดร้ ับจากการฟังและดู “ดี” หรือ “ไมด่ ี” อยา่ งไร มีความสมเหตสุ มผลน่าเชื่อถือมากนอ้ ยเพียงไร ๒.๖) จดบันทกึ ในขณะรับสารผรู้ ับสารอาจใชว้ ิธีการจดบนั ทึกรายละเอียดสาคญั ๆ เพ่ือ ทาความเขา้ ใจภายหลงั
๓) หลงั ฟังและดู ๓.๑) ต้งั คาถาม อาจปฏิบตั ิได้ ๒ กรณี คือ หาโอกาสซกั ถามผพู้ ูดเมื่อมีโอกาสอนั สมควร หรือต้งั คาถามกบั ตวั เองเพอื่ ทบทวนความรู้ ๓.๒) ทบทวนบันทกึ ผรู้ ับสารควรบนั ทึกสาระสาคญั ที่ไดร้ ับทนั ทีภายหลงั จากรับสาร และประเมินค่าเรียบร้อยแลว้ จากน้ันควรทบทวนดูบันทึกเพื่อเพ่ิมเติมรายละเอียดหรือตดั ทอน รายละเอียดท่ีไมส่ าคญั ๓.๓) แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อ่ืน ผรู้ ับสารควรแลกเปลี่ยนขอ้ คิดเห็นกบั ผอู้ ื่นเพ่ือ ตรวจสอบวา่ สิ่งท่ีตนรับรู้มาถกู ตอ้ งหรือไม่ อยา่ งไร ๓.๔) นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผรู้ ับสารควรนาขอ้ คิด สาระความรู้ท่ีได้รับจากการฟัง และดู ท่ีประเมินค่าความน่าเชื่อถือแลว้ ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ท้งั ต่อตนเองและสังคมอยา่ งเหมาะสม
๒ แนวทางการประเมนิ ค่าเร่ืองทฟ่ี ังและดู การนาเสนอข่าวสารผา่ นส่ือประเภทต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทศั น์ หนงั สือ ตาราหรือ ส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ เป็ นตน้ จึงมีความจาเป็ นท่ีผรู้ ับสารจะตอ้ งพิจารณา ความน่าเช่ือถือของสารการนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ตนเองและสงั คม
แนวทางการประเมินค่าเรื่องที่ฟังและดู มีดงั น้ี ๒.๑ รูปแบบ ๑) ลกั ษณะรูปแบบ ๒) แนวทางการประเมนิ ค่ารูปแบบ ๑) ลกั ษณะรูปแบบ ๑.๑) ข่าว พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ๒๕๔๒ ให้ความหมายคาว่า “ข่าว” วา่ คาบอกเล่าเร่ืองราวซ่ึงโดยปกติมกั เป็นเร่ืองเกิดใหม่หรือเป็นที่สนใจ คาบอกกลา่ ว คาเล่าลือ รูปแบบของข่าวจะประกอบดว้ ยขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คิดเห็น คือ ภายในเน้ือของข่าวจะ นาเสนอเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจริง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง แต่ในขณะเดียวกันจะสอดแทรก ขอ้ คิดเห็น หรือถอ้ ยคาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของผเู้ ขียนลงไปในเน้ือหาของข่าว
วิธีการนาเสนอข่าวจะมุ่งให้ผอู้ ่านรับรู้เหตุการณ์ว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทาไม อยา่ งไร โดยสามารถแบ่งประเภทของข่าวได้ ดงั น้ี (๑) ข่าวการเมือง นาเสนอความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง นักการเมือง กระบวนการตา่ งๆ ตลอดจนกลไกและนโยบายทางการเมือง (๒) ข่าวสังคม นาเสนอข่าวของบุคคลซ่ึงเป็ นท่ีจบั ตามองของสังคม ณ ช่วงเวลาใด เวลาหน่ึง เช่น กลุ่มไฮโซ นกั ธุรกิจ (๓) ข่าวเศรษฐกิจ นาเสนอความเคล่ือนไหวทางเศรษฐกิจ การเงิน ราคาสินคา้ ดชั นี ที่ใชว้ ดั ค่าทางเศรษฐกิจตา่ งๆ (๔) ข่าวอาชญากรรม นาเสนอคดีอาชญากรรมต่างๆ การเขา้ จบั กุม ปราบปราม คนร้าย (๕) ข่าวบันเทิง นาเสนอความเคลื่อนไหวในวงการบนั เทิงของดารา นกั ร้องศิลปิ น ผทู้ ่ีเป็นที่ช่ืนชอบ (๖) ข่าวกีฬา นาเสนอเรื่องกีฬาต่างๆ เช่น การแข่งขนั ผลการแข่งขนั การจดั การ บริหารสมาคมกีฬาตา่ งๆ เป็นตน้
๑.๒) โฆษณา เป็ นการนาเสนอแนวความคิดสินค้า และบริ การน้ันๆ สู่ กลุ่มเป้าหมายหมายตามจุดมุ่งหมายท่ีแตกต่างกนั การโฆษณาสินคา้ แต่ละประเภทย่อมมี จุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันแม้แต่สินค้าประเภทเดียวกัน การโฆษณาต่างเวลาก็ย่อมมี จุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกนั จุดมุ่งหมายหลกั ของการโฆษณา คือ การขายสินคา้ แต่จุดมุ่งหมายท่ีตอ้ งการให้ เกิดข้ึนฉบั พลนั คือ การติดต่อส่ือสาร (Immediate purpose is to communicate) หนา้ ท่ีสาคญั ของการโฆษณามีหลายประการ เช่น กระตุน้ ใหร้ ับรู้ สร้างภาพลกั ษณ์ที่ดี จูงใจกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มมูลค่าสินคา้ เป็นตน้
๑.๓) เพลง คือ การบรรเลงและการขบั ร้อง แต่เดิมอาจจาแนกออกเป็นเพลงใน ราชสานกั และเพลงพ้นื บา้ น ดงั น้ี (๑) เพลงในราชสานัก คือ เพลงที่ใชบ้ รรเลงประกอบในพระราชพธิ ี บรรเลงขบั กลอ่ ม เลา่ นิทาน เช่น บทมโหรี กลอ่ มพระบรรทม ดุษฎีสงั เวยกล่อมชา้ ง เป็นตน้ ซ่ึงภายหลงั นิยมเรียกรวมๆ วา่ เพลงไทยเดิม (๒) เพลงพืน้ บ้าน เป็นการเล่นเพลงตามภูมิภาคต่างๆ มีท้งั เพลงท่ีเนน้ การขบั ลา หรือเน้ือร้องเป็ นสาคญั โดยมีเคร่ืองกากบั จงั หวะประกอบ เช่น เพลงปรบไก่ ลาตดั อีแซว เป็นตน้ และอีกประเภทหน่ึงที่อาศยั การบรรเลงดนตรีเป็นทานองประกอบการขบั ร้อง เช่น ขบั ซอ เป็นตน้ ภายหลงั เพลงไดม้ ีการพฒั นาข้ึนเป็นเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง สตริง แจ๊ส เป็นตน้
๑.๔) ละคร เดิมหมายถึงมหรสพประเภทหน่ึง ใชว้ ิธีการราแสดงเป็ นเร่ืองราว ดาเนินเร่ืองไปโดยลาดบั โดยมีวงป่ี พาทยท์ าดนตรีประกอบอิริยาบถต่างๆ รวมถึงอารมณ์ของ ตวั ละครเช่น บทโศก บทรัก บทโกรธ และการแสดงอิทธิฤทธ์ิต่างๆ อาจอธิบายพฒั นาการ ของการละครไทยได้ ดงั น้ี (๑) ละครระยะแรก เป็นละครที่ตวั ละครไม่มาก ยงั ไม่ใหค้ วามสาคญั กบั เคร่ืองแต่งกาย โดยเฉพาะตวั ละครรองมกั ถอดเส้ือแสดง ท้งั ยงั ไม่มีการตกแตง่ ฉากใหส้ มจริง (๒) ละครที่พัฒนาจากระยะแรก คือ ละครที่พฒั นาข้ึนเป็นแบบแผนเป็นท่ียอมรับท้งั ใน ราชสานัก และของประชาชนทว่ั ไป ละครระยะน้ีมีการพฒั นาเคร่ืองแต่งกายคลา้ ยเคร่ืองทรงของ พระมหากษตั ริย์ เครื่องดนตรีประกอบมีมากชิ้นข้ึน (๓) ละครท่ีเริ่ มรั บอิทธิ พลจากตะวันตก ละครระยะน้ีเร่ิ มพัฒนาราวรัชกาล พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เช่น ละครดึกดาบรรพ์ ละครร้อง ท่ีพฒั นาจากละครโอเปรา และยงั มีการพฒั นาไปสู่ละครพดู อีกดว้ ย (๔) ละครปัจจุบัน เป็นละครท่ีรับแนวคิดอิทธิพลตะวนั ตกมาปรับปรุง เช่น ละครวทิ ยุ และละครโทรทศั น์ เป็นตน้
๒) แนวทางการประเมนิ ค่ารูปแบบ ๒.๑) ข่าว การพิจารณาประเมินค่ารูปแบบของข่าวที่ไดฟ้ ังหรือดู ควรพิจารณาว่าเน้ือหา สาระของข่าวแสดงขอ้ เทจ็ จริงใด และขอ้ คิดเห็นน้นั มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร แหล่งที่มาของ ขอ้ มูลมีความเช่ือถือเพียงใด ๒.๒) โฆษณา การพิจารณาประเมินค่ารูปแบบของโฆษณา ควรพิจารณาว่าโฆษณาที่ไดฟ้ ัง และดูมีรูปแบบการนาเสนอเป็นอยา่ งไร ดึงดูดความสนใจหรือสร้างความสนใจแก่ผชู้ มมากนอ้ ยเพียงใด และรวมถึงทาใหเ้ กิดความตอ้ งการ กระตุน้ กลุ่มเป้าหมายใหเ้ กิดความตอ้ งการท่ีจะซ้ือสินคา้ และบริการได้ มากนอ้ ยเพียงใด ๒.๓) เพลง การพิจารณาประเมินค่ารูปแบบของบทเพลง ควรพิจารณาความสอดประสาน ระหวา่ งเน้ือร้องและทานอง เพื่อนาเสนอความคิดรวบยอดของบทเพลง ๒.๔) ละคร การพิจารณาประเมินค่ารูปแบบของละคร ควรพิจารณาว่ากลวิธีการนาเสนอ การสร้างฉาก ตวั ละคร โครงเรื่อง และองคป์ ระกอบศิลป์ ที่ใชใ้ นละคร ทาหน้าที่สอดรับกนั และมีความ เหมาะสมกบั เน้ือหาของละครอยา่ งไร ช่วยนาเสนอแนวคิดหลกั ของเร่ืองใหโ้ ดดเด่นไดอ้ ยา่ งไร
๒.๒ การใช้ภาษา ๑) ลกั ษณะการใช้ภาษาในสื่อประเภทต่างๆ ๑.๑) ข่าว การใช้ภาษาในข่าวเป็ นไปตามเง่ือนไขของการนาประโยคมา ประกอบกนั เพอ่ื เลา่ เร่ืองราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ บนเน้ือท่ีจากดั ดงั น้นั จึงตอ้ งตดั ส่วนท่ีไม่ สาคญั ออกไปคงไวเ้ พียงสาระสาคญั ซ่ึงลกั ษณะการใชภ้ าษาในข่าวสามารถสรุปได้ ดงั น้ี (๑) การใช้ภาษาในระดบั ปานกลาง คือ มีการใชค้ าง่ายๆ เพือ่ สื่อความหมายแก่ คนทุกกลุม่ ทุกเพศ ทุกวยั โดยใชภ้ าษาท้งั ในระดบั ก่ึงแบบแผน และภาษาแบบแผนปะปน กนั ในเน้ือหาของข่าว เช่น ซิ่งสยอง ๑๖ ศพ บนโทลเวย์ ชน ๖ คนั ตาย ๒ ศพ รถ นร.ปลอดภยั
(๒) การเลือกสรรคา โดยเฉพาะคากริยา คาวิเศษณ์ โดยจะเลือกคาท่ีทาใหเ้ ห็น อากปั กิริยาชดั เจน รวมถึงการใชค้ าขยายเพ่ือถา่ ยทอดภาพ อารมณ์ความรู้สึก เช่น เลน่ “ดึงผา้ ปูโต๊ะ” ไม่ระวงั ตูล้ ม้ ทบั นอ้ งชาย (๓) การเลือกใช้คาสั้น แต่สื่อเน้ือความไดค้ รบถว้ น เช่น สวนสตั วเ์ ชียงใหม่ไดส้ มาชิกเพิม่ “พทิ บูล” จากล่ินไม่ได้ ขย้าคอสาหสั (๔) การใช้คาสแลง คาเฉพาะกลุม่ คาไม่สุภาพ คาตลาด การเรียกช่ือบุคคลท่ี ปรากฏในเน้ือหาของข่าวมกั จะไม่เรียกตรงๆ จะใชฉ้ ายา ช่ือเล่น คาลาดบั ญาติหรือ ตาแหน่งหนา้ ที่ เช่น เกมมหนั ตภยั ทา ๒ โจ๋เป็นโจร ปลน้ บา้ น-กลางกรุง โจรรถตูก้ วาดเพชร ๑.๕ ลา้ น
(๕) การใช้คาและสานวนต่างประเทศ เพอ่ื ใหไ้ ดอ้ ารมณ์ความรู้สึก เช่น ไนก้ี เปิ ดรับทีมบู๊แมนเชสเตอร์ฯ พรีเมียร์คพั ๒๐๑๒ สเตป็ ง่ายๆ กบั เกิร์ลส เกิร์ลส MOVE WITH PASSION (๖) การใช้เคร่ืองหมายต่างๆ เช่น ปรัศนี อศั เจรีย์ อญั ประกาศ และรวมถึง อกั ษรยอ่ เช่น ซุกกล่องขมงั เวทยใ์ กล้ กฟผ. เตือน “บุหรี่กานพล”ู อนั ตรายกวา่ บุหร่ีทว่ั ไป
๑.๒) โฆษณา ใชภ้ าษาแปลกใหม่ ไม่ซ้าใคร จนบางคร้ังการเรียงรูปประโยค เป็นแบบเฉพาะท่ีต่างไปจากไวยากรณ์และโครงสร้างภาษา ท้งั น้ีเพ่ือจูงใจใหผ้ รู้ ับสารคลอ้ ย ตามและซ้ือสินคา้ บริการ ซ่ึงลกั ษณะการใชภ้ าษาในโฆษณาสามารถสรุปได้ ดงั น้ี (๑) การใช้ภาษาเพื่อดึงดดู ความสนใจของผู้รับสาร ทาใหเ้ กิดความสนใจต่อ สินคา้ และบริการ เช่น ทาไมนกั ธุรกิจช้นั นา...จึงเลือกใชค้ อมพวิ เตอร์ของเรา หายห่วงเร่ืองผิวหมองคล้า ร่องรอยจากกาลเวลา (๒) การใช้ภาษาเพื่อให้เกิดความต้องการ เพอื่ กระตุน้ ใหก้ ลุ่มเป้าหมายเกิด ความตอ้ งการในสินคา้ และบริการ เช่น โมเดิร์นทีเป็นชาผงสาเร็จรูปชงง่าย เพียงละลายในน้าเยน็ คลีน วอช ผงซกั ฟอกมหศั จรรย์ ซกั สะอาด ลา้ งง่าย รีดล่ืน
๑.๓) เพลง ใชภ้ าษาท่ีไพเราะ สละสลวย มีถอ้ ยคาคลอ้ งจองสมั ผสั กนั ใชภ้ าพพจน์ โวหารเพื่อถ่ายทอดเร่ืองราวหรือแนวคิดหลกั ของเพลงเพ่ือชกั จูงให้ผฟู้ ังเกิดจินตภาพ คลอ้ ย ตามและสร้างความบนั เทิง จรรโลงจิตใจ เช่น โลกมนษุ ย์ย่อมจะดีกว่านีแ้ น่ เพราะมผี ู้ไม่ยอมแพ้แม้ถกู หยนั คงยืนหยดั สู้ไปใฝ่ ประจัญ ยอมอาสัญกเ็ พราะปองเทิดผองไทย (ความฝันอนั สูงสุด : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงพระราชนิพนธ์ทานอง)
๑.๔) ละคร ในบทสนทนาของตวั ละครจะใชภ้ าษาท่ีมีความสมจริง เพ่ือสื่ อ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงบรรยากาศของเร่ืองให้ผูร้ ับสารเกิดอารมณ์ร่วมและเกิด จินตภาพคลอ้ ยตามได้ เช่น (เสียงหวูดเรือดงั อีกคร้ัง เวลากาลงั จะหมดลงทุกที) นพพร คาพดู กย็ งั มีอีกเป็นลา้ น ผมจะบอกออกไปไดอ้ ยา่ งไร เวลามนั นอ้ ยลงทุกที ไม่ มีเพยี งพอใหพ้ ดู ไป กรี ติ จงพดู เท่าที่ทาไดเ้ ถิดนะ นพพร อยากหา้ มเวลา กรี ติ นพพร อยา่ กงั วล อยา่ หวน่ั ไหว นพพร อยากหา้ มฟ้าดิน กรี ติ คาใดๆ กต็ าม เป็นหมื่น เป็นลา้ น จะอ่านจากสายตา...) (ตวั อย่าง)
๒) แนวทางการประเมนิ ค่าด้านภาษา ๒.๑) พจิ ารณาการเลือกใช้ถ้อยคาเพื่อส่ือความ หมายถึง การพจิ ารณาวา่ ผสู้ ่ง สารเลือกใชถ้ อ้ ยคาเพอื่ ส่ือความมายงั ผรู้ ับสารไดถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสมแก่ความและกาลเทศะ หรือไม่รวมถึงสื่อความไดต้ รงความหมายมากนอ้ ยเพียงไร เช่น ข่าว ตอ้ งไม่ใชถ้ อ้ ยคาท่ีสื่อ ไปในทางบิดเบือนเน้ือข่าวใหผ้ รู้ ับไขวเ้ ขวหรือเขา้ ใจผดิ โฆษณาสามารถเลือกใชถ้ อ้ ยคา เพื่อชกั จูงใหค้ ลอ้ ยตามไดม้ ากนอ้ ยเพียงไร ๒.๒) พจิ ารณาการใช้วรรณศิลป์ หมายถึง การพิจารณาความกลมกลืน ระหวา่ งการใชภ้ าษากบั เน้ือเร่ือง ตลอดจนการใชโ้ วหาร เช่น บรรยาย พรรณนา เป็นตน้ หากเป็นละครหรือบทเพลงควรพจิ ารณาการใชภ้ าพพจน์ เช่น อุปมา อติพจน์ บุคคลวตั เป็นตน้ เพ่ือพิจารณาความสอดคลอ้ งของอารมณ์กบั บทประพนั ธ์
๒.๓ แนวคดิ แนวคิด คือขอ้ คิดเห็นหรือขอ้ มูลท่ีเกิดจากความรู้สึกนึกคิด ทศั นคติท่ีผูส้ ่งสาร ส่งมายงั ผูร้ ับสาร ท้งั น้ีแนวคิดของผูส้ ่งสารถูกสร้างข้ึนภายใตก้ รอบ บริบททางสังคมที่ หลากหลาย การประเมินเร่ืองที่ฟังและดูในชีวิตประจาวนั สิ่งที่สาคญั ท่ีสุด คือผูร้ ับสาร สามารถประเมินไดว้ ่าแนวคิดท่ีไดร้ ับจากการฟังมีประโยชน์อย่างไรและจะนาไปปรับใช้ กบั ชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไร ดงั น้นั การรับสารดว้ ยวิธีการต่างๆ จึงเป็นการเปิ ดมุมมอง โลก ทศั น์ใหก้ วา้ งขวางข้ึน หากผรู้ ับสารสามารถตีความประเมินค่าแนวคิดท่ีส่งมาได้ ดงั น้ี ๑) การนาเสนอแนวคดิ ๑.๑) ข่าว ๑.๒) โฆษณา ๑.๓) เพลง ๑.๔) ละคร
๒) แนวทางการประเมนิ ค่าแนวคดิ กระบวนการพิจารณาประเมินค่าแนวคิดท่ีปรากฏในสารท่ีฟังและดู คือ การพจิ ารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรองวา่ แนวคิดที่ปรากฏน้นั ส่งผลหรือมีอิทธิพลอยา่ งไร ต่อตวั บุคคลหรือสังคมโดยรวม มีประโยชน์ต่อความเป็นไปในสภาวการณ์ปัจจุบนั หรือไม่ อยา่ งไรการประเมินค่าสารใดก็ตาม ผูร้ ับสารแต่ละคนมีสิทธิในการตีความ เห็นดว้ ย ไม่เห็นดว้ ยกบั สารท่ีไดร้ ับอยา่ งอิสระ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ ความรู้ บริบทของแต่ละสังคมเป็ นสาคญั แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินค่าที่ดีมิใช่การ ประเมินค่าดว้ ยเหตุผลส่วนตน คือ ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบแต่ควรใชเ้ หตุผลในการ พจิ ารณาและตอ้ งสามารถยกเหตุผลมาประกอบความคิดเห็นของตนได้
๒.๔ ตวั อย่างการดูการฟังอย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยจะนาเสนอตวั อย่างการฟัง และดูอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ต า ม ก ร ะ บ ว น ก า ร ดั ง ก ล่ า ว ขา้ งตน้ ผ่านสื่อ ๔ ประเภท คือ ข่าว โฆษณา เพลงและละคร ดงั น้ี ๑) การฟังและดู : ข่าว ๑.๑) รูปแบบ ๑.๒) การใชภ้ าษา ๑.๓) แนวคิด
๒) การฟังและดู : โฆษณา โดยจะนาเสนอโฆษณาของบริษทั ประกนั ชีวิตแห่งหน่ึงซ่ึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกบั เดก็ สาววยั รุ่นคนหน่ึงที่ถูกกดดนั ท้งั จากตวั เองและคนรอบขา้ ง ดว้ ยขอ้ หาที่วา่ “พ่อเป็นใบ”้ ซ่ึงทาใหเ้ ธอรู้สึกไม่ชอบใจที่เกิดมามีพ่อเป็นคนพิการ จนบางคร้ังเธอไดแ้ สดงกิริยากา้ วร้าว กบั พ่อ แต่แลว้ ในวนั เกิดของเธอ เธอถูกคนรักบอกเลิก เธอเศร้าเสียใจจนคิดทาร้ายตวั เอง และในขณะที่เธอกาลงั นงั่ คร่าครวญถึงคนอื่นอยนู่ ้นั พ่อกลบั กาลงั ต้งั อกต้งั ใจซอ้ มอวยพร วนั เกิดให้เธออยา่ งแข็งขนั และเม่ือพ่อรับรู้ว่าลูกกาลงั จะตาย เขาทาทุกวิถีทางเพื่อท่ีจะย้ือ ชีวิตลูกจึงทาใหเ้ ธอรู้วา่ พอ่ รักอยา่ งสุดหวั ใจ ๑.๑) รูปแบบ ๑.๒) การใชภ้ าษา ๑.๓) แนวคิด
๓) การฟังและดู : เพลง คิดคิดมิวายกงั วลใหห้ ม่นฤทยั หมอง หลงใหลหมายปองคนปรานี ชะตาชีวติ ขาดญาติบิดรและนอ้ งพี่ นกนอ้ ยคลอ้ ยบินมาเดียวดาย ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง แสงลบั นบั วนั จะเตือนใหใ้ จตอ้ งขื่นขม ขาดเรือนแหลง่ พกั พานกั นอน ชีวิตระทมเพราะรอมา บาปกรรมคงมีจาทนระทม เฝ้ามองใหเ้ ดือนชุบวิญญาณ์ ทอ้ งฟ้าสายณั ห์ตะวนั เลือน หากเยน็ ลงฟ้าคงยง่ิ มืดยง่ิ ตรอมตรม จวบจนั ทร์แจ่มฟ้านภาผอ่ ง สักวนั บุญมาชะตาคงดี ๑.๑) รูปแบบ ๑.๒) การใชภ้ าษา ๑.๓) แนวคิด
๔) การฟังและดู : ละคร ขอยกตวั อย่างละครเร่ืองพระมหาชนก ของอาจารยจ์ กั รกฤษณ์ ดวงพตั รา ซ่ึง ดดั แปลงจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ตอนที่ยก มาเป็นบทสนทนาโตต้ อบระหว่างนางมณีเมขลากบั พระมหาชนก ในขณะท่ีพระมหาชนก เรือแตกและวา่ ยน้าอยใู่ นมหาสมุทร ดงั น้ี - ฟอลโลว์บริเวณท่ี ๑ หร่ีลงจนมืด - - ไฟบริเวณท่ี ๘ สว่างขึน้ - - เห็นเรือสาเภากาลังจมลงในมหาสมุทร บรรดาคนบนเรือกาลังต่ืนตระหนก แต่พระมหาชนกสงบ ระงับ ทรงหยิบผ้าชุบน้ามันมาพันพระองค์ผืนหน่ึง และทรงนุ่งอีกผืนหนึ่ง แล้วจึงทรงยืนเกาะ เสากระโดง - มหาชนกลวั มรณภยั ร้องไห้คร่าครวญ กราบไหวเ้ ทวดาท้งั หลาย แต่พระมหาสัตวไ์ ม่ ทรงกนั แสง ไม่ทรงคร่าครวญ ไม่ไหวเ้ ทวดาท้งั หลาย พระองคท์ รงทราบว่าเรือจะจม จึงคลุกน้าตาล กรวดกบั เนยเสวยไวจ้ นเต็มทอ้ ง แลว้ ชุบผา้ เน้ือเกล้ียงสองผืนดว้ ยน้ามนั จนชุ่ม ทรงนุ่งให้มนั่ ทรงยืน เกาะเสากระโดง ข้ึนยอดเสากระโดงเวลาเรือจม ทรงกาหนดทิศวา่ เมืองมิถิลาอยทู่ ิศน้ี - เรือจมลง เห็นพระมหาชนกทรงเกาะเสากระโดงเพยี งลาพัง - - ไฟหลงั เวทีสว่างขึน้ เป็นสีแดง ส่วนไฟบริเวณที่ ๘ หร่ีลงจนมืด ทุกอย่างสงบน่ิง - - เสียงคลน่ื ลมสงบ และเสียงคนเงียบลง -
๒หน่วยการเรียนรู้ท่ี การพดู อภปิ ราย การพดู แสดงทรรศนะ และการโต้แย้ง ๑ การพูดอภปิ ราย การอภิปราย เป็นการพดู เพือ่ แลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็น เก่ียวกบั เร่ืองใดเรื่อง หน่ึงอยา่ งกวา้ งขวางและอาจนาไปสู่การตดั สินใจหาขอ้ ตกลงเพ่ือแกป้ ัญหาต่างๆ การอภิปราย น้นั อาจจะมีผอู้ ภิปรายส่วนหน่ึง ผฟู้ ังอีกส่วนหน่ึงหรือสมาชิกทุกคนที่อยใู่ นกลุ่มน้นั เป็นท้งั ผู้ พดู และผฟู้ ังกไ็ ด้
๑.๑ ความหมายและความสาคญั ของการพูดอภปิ ราย พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน (๒๕๔๒) ไดใ้ ห้ความหมายของ “อภิปราย” ว่า หมายถึง การพูดจากนั การปรึกษาหารือกนั ในที่น้ีหมายถึง การท่ีบุคคลกลุ่มหน่ึงมีความตอ้ งการ จะปรึกษาหารือกนั ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง เพื่อช่วยกนั แสดงความคิดเห็น เพ่ือแกป้ ัญหาอยา่ งใดอยา่ ง หน่ึงหรื อเป็ นการแลกเปล่ียนความรู้กนั ๑.๒ จุดมุ่งหมายของการพดู อภิปราย การพดู อภิปรายมีจุดมงุ่ หมายที่สาคญั ดงั น้ี ๑. เพ่อื แลกเปล่ียนความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของผอู้ ภิปรายและผรู้ ่วมอภิปราย ๒. เพ่อื แกป้ ัญหาร่วมกนั ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ๓. เพ่ือนาคนท่ีมีความสนใจในเรื่องเดียวกนั มาพดู เร่ืองที่สนใจเหมือนกนั เพื่อใหเ้ กิดแนวคิดที่กวา้ งขวาง ๔. เพ่อื นาเสนอขอ้ เทจ็ จริงอยา่ งเป็นทางการ ๕. เพื่อวเิ คราะห์เรื่องใดเร่ืองหน่ึงที่มีความคิดเห็นแตกตา่ งกนั ตามมุมมองของผอู้ ภิปราย
๑.๓ ประเภทของการพดู อภปิ ราย การอภิปรายแบ่งออกเป็นประเภทได้ ๒ ประเภท คือ ๑) การอภิปรายในกลุ่ม ๒) การอภิปรายในทปี่ ระชุมชน ๑.๔ องค์ประกอบของการพดู อภิปราย ๑) บทบาทและหน้าที่ของผู้ดาเนินการอภปิ ราย ๒) บทบาทและหน้าท่ีของผู้อภปิ ราย ๓) หัวข้อเรื่อง ๔) สถานทอ่ี ภปิ ราย
๑.๕ ข้นั ตอนในการอภปิ ราย ๑. ผดู้ าเนินการอภิปรายกล่าวทกั ทาย ผรู้ ่วมอภิปรายและผฟู้ ังการอภิปราย ๒. ผดู้ าเนินการอภิปรายกล่าวถึงความสาคญั ของประเดน็ ท่ีจะอภิปราย ๓. ผดู้ าเนินการอภิปรายกล่าวแนะนาผรู้ ่วมอภิปรายและกล่าวถึงข้นั ตอนที่จะใชใ้ นการอภิปราย เพ่ือใหเ้ ป็นขอ้ ตกลงร่วมกนั ของผรู้ ่วมอภิปราย ๔. เมื่อผอู้ ภิปรายไดอ้ ภิปรายจบลง ผดู้ าเนินการอภิปรายตอ้ งทาหนา้ ที่สรุปสาระสาคญั ของผทู้ ี่อภิปราย และพูดเช่ือมโยงกลา่ วเชิญผอู้ ภิปรายคนต่อไป ๕. เมื่อการอภิปรายจบลง ผดู้ าเนินการอภิปรายตอ้ งสรุปสาระสาคญั ของการอภิปรายและเชิญใหผ้ ฟู้ ัง ไดร้ ่วมแสดงความคิดเห็นหรือซกั ถามปัญหา ใหผ้ รู้ ่วมอภิปรายทุกคนมีส่วนร่วมในการตอบปัญหา ๖. ผดู้ าเนินการอภิปรายสรุปสาระที่ไดจ้ ากการอภิปรายอีกคร้ังหน่ึง และกล่าวขอบคุณทุกฝ่ ายที่ร่วม การอภิปราย
๑.๖ มารยาทในการพดู อภิปราย ๑. มีสมาธิ ต้งั ใจ และมีมารยาทในการฟัง ไม่พดู คุยส่งเสียงดงั รบกวนผอู้ ่ืนระหวา่ งการอภิปราย ๒. จดประเดน็ สาคญั ที่สนใจ ๓. ถา้ มีขอ้ สงสยั ตอ้ งการซกั ถามควรขออนุญาตผดู้ าเนินการอภิปรายในช่วงเวลาท่ีเปิ ดโอกาสให้ ซกั ถาม และควรซกั ถามดว้ ยถอ้ ยคาที่สุภาพ ๔. ผฟู้ ังที่ดีควรแสดงความคิดเห็นท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการอภิปราย
๒ การพดู แสดงทรรศนะ การพดู แสดงทรรศนะในสงั คมประชาธิปไตยของบุคคลเกี่ยวกบั เรื่องใดเร่ืองหน่ึง ยอ่ มเป็นไปตามปกติท่ีควรกระทา ถา้ ทรรศนะน้นั แสดงออกดว้ ยความจริงใจและบริสุทธ์ิใจ เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรคแ์ ละมีเจตนาที่ดี ทรรศนะต่างๆ ถึงแมจ้ ะแตกต่างกนั ลว้ น นบั วา่ เป็นประโยชนท์ ้งั สิ้น เพราะจะทาใหผ้ อู้ ื่นไดม้ ีโอกาสใชค้ วามคิดพิจารณาเลือกวธิ ีการ แกป้ ัญหาไดห้ ลายแง่มุมดว้ ยความสุขมุ รอบคอบ ป้องกนั ความเสี่ยง การแสดงทรรศนะของ บุคคลแตกต่างกนั มิไดห้ มายถึงการแตกความสามคั คีในสงั คม ๒.๑ ความหมายและความสาคญั ของการพูดแสดงทรรศนะ ๒.๒ ประเภทของการพดู แสดงทรรศนะ ๒.๓ องค์ประกอบของการพดู แสดงทรรศนะ ๒.๔ ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล ๒.๕ มารยาทในการพดู แสดงทรรศนะ
๓ การโต้แย้ง มนุษยไ์ ม่จาเป็นตอ้ งมีความคิดเห็นหรือความพอใจในส่ิงใดส่ิงหน่ึงเหมือนกนั ความแตกต่างกนั ทางความคิดเป็นเร่ืองธรรมดาท่ีสามารถเกิดข้ึนไดท้ ุกสงั คม การแสดงความ คิดเห็นเก่ียวกบั เศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรม บุคคลยอ่ มแสดงทรรศนะท่ีแตกต่างกนั ไปตาม ประสบการณ์ความรู้ ค่านิยม ความเช่ือ บางคนอาจเห็นดว้ ยหรือไม่เห็นดว้ ย ๓.๑ ความหมายและความสาคญั ของการโต้แย้ง ๓.๒ จุดมุ่งหมายของการโต้แย้ง ๓.๓ คุณสมบตั ิของผู้โต้แย้ง ๓.๔ องค์ประกอบของการโต้แย้ง ๓.๕ กระบวนการโต้แย้ง ๓.๖ ประเดน็ ในการโต้แย้ง ๓.๗ มารยาทในการพดู โต้แย้ง
ตอนท่ี ๔ หลกั การใช้ภาษา ๑. ระดบั ภาษาและอทิ ธิพลของการใช้ภาษา ๒. การพดู อภปิ ราย การพดู แสดงทรรศนะ และการโต้แย้ง
๑หน่วยการเรียนรู้ที่ ระดบั ภาษาและอทิ ธิพลของการใช้ภาษา ๑ ระดบั ภาษา ภาษาเป็นวฒั นธรรมที่มีความสาคญั อยา่ งมากต่อชีวติ มนุษย์ แมว้ า่ ภาษาจะเป็นสิ่งที่ จบั ต้องไม่ได้ แต่ภาษาเข้ามามีบทบาทต่อการดาเนินชีวิตมนุษย์ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั เน่ืองจากมนุษยเ์ ป็นสตั วส์ งั คม จาเป็นจะตอ้ งอยรู่ ่วมกนั มีการปฏิสัมพนั ธ์และติดต่อสื่อสารกนั มนุษยจ์ ึงตอ้ งใชภ้ าษาเพอื่ เป็นส่ือกลางในการสื่อความหมายใหเ้ กิดความเขา้ ใจกนั
๑.๑ การแบ่งระดบั ภาษา ระดบั ภาษาที่ใชใ้ นการส่ือสารอาจแบ่งออกเป็น ๓ ระดบั คือ ภาษาแบบแผน ภาษาก่ึงแบบแผน และภาษาไม่เป็นแบบแผน ๑) ภาษาแบบแผน ๒) ภาษากง่ึ แบบแผน ๓) ภาษาไม่เป็ นแบบแผน
๑) ภาษาแบบแผน ภาษาแบบแผน เป็นระดบั ภาษาท่ีใชพ้ ดู หรือเขียนท่ีผใู้ ชต้ อ้ งระมดั ระวงั เรื่องความถูกตอ้ งทางหลกั ภาษาเป็ นสาคญั รู้จกั เลือกใชค้ าให้ถูกตอ้ งเหมาะสม การสร้างประโยคตอ้ งมีความสมบูรณ์ ส่ือความชดั เจน สุภาพ และมีมารยาท ภาษา แบบแผนใช้สื่อสารกันในท่ีประชุมท่ีจดั อย่างเป็ นพิธีการ เช่น การเปิ ดประชุม รัฐสภา การกล่าวปราศรัย การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริ ญญาบัตร เป็ นต้น สัมพนั ธภาพระหวา่ งผสู้ ่งสารกบั ผรู้ ับสารจะเป็นไปอยา่ งเป็นทางการภาษาเขียนท่ี เป็ นภาษาแบบแผน เช่น การเขียนเอกสารทางวิชาการ บทความทางวิชาการ การ เขยี นสารคดีทางวิชาการ เป็นตน้
๒) ภาษากง่ึ แบบแผน ภาษาในระดบั น้ีจะลดความเป็ นทางการลงเพื่อให้เกิดสัมพนั ธภาพท่ี ใกลช้ ิดระหวา่ งผูร้ ับสารและผูส้ ่งสาร การใชภ้ าษาระดบั น้ีมกั ใชใ้ น การกล่าวอวย พร การประชุมกล่มุ เลก็ การอภิปรายกล่มุ การบรรยายในห้องเรียน ถา้ เป็ นการใช้ ภาษาเขียนจะใช้ภาษาก่ึงแบบแผนในโอกาสที่ไม่เป็ นทางการ ไดแ้ ก่ ภาษาที่ใช้ เขียนในนิตยสาร วารสาร การใชถ้ อ้ ยคาสานวนภาษาจะทาใหเ้ กิดความรู้สึกคุน้ เคย กัน เน้ือหาเป็ นเร่ืองเกี่ยวกับความรู้ท่วั ๆ ไป เช่น การแสดงความคิดเห็นเชิง วิชาการ หรือเก่ียวกบั การดาเนินชีวิต เป็นตน้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173