๑.๓ การเขยี นเทศนาโวหาร เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจง้ เพื่อใหผ้ อู้ ่านคลอ้ ยตาม หรืออาจกล่าวไดว้ า่ มุ่งชกั จูงให้ผอู้ ่านคิดเห็นหรือคลอ้ ยตามความคิดเห็นของผูเ้ ขียน อาจเป็ นการ ช้ีแนะ เสนอทรรศนะ หรือขอ้ สงั เกตตอ่ เรื่องใดเรื่องหน่ึง โดยผเู้ ขียนอาจนาโวหารประเภทอื่น เช่น บรรยาย หรือพรรณนาโวหารมาประกอบเพ่ือให้ผอู้ ่านคลอ้ ยตามวตั ถุประสงคข์ องผเู้ ขียน ผเู้ ขียน จาเป็ นตอ้ งมีความเขา้ ใจประเด็นที่ตอ้ งการนาเสนออยา่ งชดั เจน จึงจะทาใหส้ ารท่ีส่งออกไปบรรลุ วตั ถุประสงค์ ซ่ึงโวหารประเภทน้ี นิยมใชใ้ นงานเขียนที่ตอ้ งการเสนอหลกั ธรรม หลกั จริยธรรม โอวาท เป็นตน้ ๑) แนวทางการเขยี นเทศนาโวหาร ๒) ตวั อย่างการเขยี น เทศนาโวหาร
๑) แนวทางการเขยี นเทศนาโวหาร การเขียนเทศนาโวหารท่ีดีตอ้ งใชภ้ าษาเพ่อื ชกั จูงผอู้ า่ นไปในทิศทางท่ีดี ก่อใหเ้ กิด การเปล่ียนแปลง ซ่ึงการเขียนเทศนาโวหารอาจกาหนดแนวทางได้ ดงั น้ี ๑. เร่ืองท่ีจะเขียนควรมีความชดั เจน สามารถอธิบายและหาเหตุผลมาประกอบการเขียนได้ ๒. วิธีเขียนชัดเจน รู้จกั ใช้เหตุผล ใช้หลกั ฐานอา้ งอิงประกอบเพ่ือให้เน้ือหามีน้าหนัก น่าเชื่อถือ และมีการจดั ลาดบั การแสดงเหตุผลอยา่ งเหมาะสม ๓. ภาษาเขา้ ใจง่าย กระชบั มีน้าหนกั แจ่มแจง้ ชดั เจน และเร้าความสนใจของผอู้ ่าน ๔. ในการเขียนเทศนาโวหารใหไ้ ดต้ รงตามจุดมุ่งหมาย ผเู้ ขียนตอ้ งใชโ้ วหารชนิดอื่น เช่น บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร บางคร้ังอาจใชส้ าธกโวหารและอุปมาโวหารร่วมดว้ ย
๒) ตวั อย่างการเขยี นเทศนาโวหาร ...พระธรรมท่ีทรงประกาศคือ ธรรมอนั ใหเ้ ห็นแจง้ ความจริงอยา่ งยง่ิ ส่ี ประการ สี่ประการน้นั คืออะไร? ไดแ้ ก่ ความจริงอยา่ งย่งิ เป็นทุกข์ ความจริงอยา่ ง ยงิ่ คือเหตุของทุกข์ ความจริงอยา่ งยิ่งคือการดบั ทุกขท์ ้งั สิ้น และความจริงอยา่ งย่งิ คือทางที่ไปถึงความดบั ทุกข์ท้งั สิ้น ดูก่อนภราดา ความจริงอย่างยิ่งคือทุกข์น้ัน อยา่ งไร? ไดแ้ ก่ ความเกิดมาน้ีเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความอาลยั ความคร่า ครวญความทนลาบาก ความเสียใจและความคบั ใจ ลว้ นเป็นทุกข์ ความพลดั พราก จากสิ่งที่รักเป็ นทุกข์ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็ นทุกข์ ความที่ไม่ได้สม ประสงคเ์ ป็นทุกข์ รวมความบรรดาลกั ษณะต่างๆเพื่อยดึ ถือผูกพนั ยอ่ มนาทุกขม์ า ใหท้ ้งั น้นั ดูก่อนภราดา น่ีแหละความจริงอยา่ งยงิ่ คือ ทุกข.์ .. (กามนิต วาสิฏฐี : เสฐยี รโกเศศ นาคะประทปี [แปล] )
๑.๔ การเขยี นอุปมาโวหาร อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยยกตวั อย่างสิ่งท่ีคลา้ ยคลึงกนั มา เปรียบเพ่ือให้เกิดความชดั เจนดา้ นความหมาย ดา้ นภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากย่งิ ข้ึน อุปมาโวหารใชเ้ ป็ นโวหารเสริมบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพ่ือให้ ชดั เจนน่าอ่าน โดยอาจเปรียบเทียบอย่างส้ันๆ หรือเปรียบเทียบอยา่ งละเอียดก็ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยู่ กบั อปุ มาโวหารน้นั จะนาไปเสริมโวหารประเภทใด แนวทางการเขยี นอุปมาโวหาร การเขียนอุปมาท่ีดีมีแนวทาง ดงั น้ี ๑. เปรียบเทียบส่ิงท่ีเหมือนกนั สองส่ิง มกั มีคาวา่ เหมือน ดุจ คลา้ ย เปรียบอยา่ งดงั เช่ือมคา หรือความใหส้ อดคลอ้ งกนั ๒. เปรียบเทียบโดยการโยงความคิดจากสิ่งหน่ึงไปยงั สิ่งหน่ึง เป็นการเปรียบโดยนยั ตอ้ ง อาศยั การตีความประกอบ ๓. เปรียบเทียบโดยการซ้าคา ๔. เปรียบเทียบโดยการยกตวั อยา่ งประกอบ เช่น พระราชา ๑ หญิง ๑ ไมเ้ ล้ือย ๑ยอ่ มรัก ผคู้ นและส่ิงที่อยใู่ กลๆ้
๑) แนวทางการเขยี นเทศนาโวหาร การเขียนเทศนาโวหารท่ีดีตอ้ งใชภ้ าษาเพ่อื ชกั จูงผอู้ า่ นไปในทิศทางท่ีดี ก่อใหเ้ กิด การเปล่ียนแปลง ซ่ึงการเขียนเทศนาโวหารอาจกาหนดแนวทางได้ ดงั น้ี ๑. เร่ืองท่ีจะเขียนควรมีความชดั เจน สามารถอธิบายและหาเหตุผลมาประกอบการเขียนได้ ๒. วิธีเขียนชัดเจน รู้จกั ใช้เหตุผล ใช้หลกั ฐานอา้ งอิงประกอบเพ่ือให้เน้ือหามีน้าหนัก น่าเชื่อถือ และมีการจดั ลาดบั การแสดงเหตุผลอยา่ งเหมาะสม ๓. ภาษาเขา้ ใจง่าย กระชบั มีน้าหนกั แจ่มแจง้ ชดั เจน และเร้าความสนใจของผอู้ ่าน ๔. ในการเขียนเทศนาโวหารใหไ้ ดต้ รงตามจุดมุ่งหมาย ผเู้ ขียนตอ้ งใชโ้ วหารชนิดอื่น เช่น บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร บางคร้ังอาจใชส้ าธกโวหารและอุปมาโวหารร่วมดว้ ย
๑.๕ การเขยี นสาธกโวหาร สาธกโวหาร หมายถึง โวหารท่ีมุ่งใหค้ วามชดั เจน ยกตวั อยา่ งเพื่ออธิบายใหแ้ จ่ม แจง้ หรือสนบั สนุนความคิดเห็นท่ีเสนอใหน้ ่าเช่ือถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริมบรรยาย โวหาร พรรณนาโวหาร ๑) แนวทางการเขยี นสาธกโวหาร ๑. เร่ืองที่ยกมาเป็นตวั อยา่ งประกอบตอ้ งเป็นเหตุเป็นผลกบั เน้ือหาไม่ขดั แยง้ กนั ๒. ภาษาท่ีใชต้ อ้ งมีความชดั เจนและเขา้ ใจง่ายและรวมถึงเลือกใชโ้ วหารอื่นประกอบ
๒) ตัวอย่างการเขยี นสาธกโวหาร สังคมจะอยรู่ ่มเยน็ เป็นสุข หรือทุกขเ์ ดือดร้อนกด็ ว้ ยอาศยั ครอบครัวแต่ละครอบครัวในสังคมน้นั เป็น เคร่ืองบ่งช้ี เพราะครอบครัว คือ หน่วยเลก็ เลก็ ท่ีสุดเป็นแกนเป็นแก่น เมื่อนาแต่ละหน่วยมาประกอบเขา้ ดว้ ยกนั จึงมี สังคมเป็ นหมู่บา้ น ตาบล อาเภอ ประเทศชาติข้ึนไดก้ ารพฒั นาประเทศหรือคุณภาพชีวิตจะบรรลุไม่ได้ หากไม่เริ่ม เจาะลึกลงไปท่ีคุณภาพของครอบครัวแต่ละครอบครัวสวสั ดิภาพของครอบครัวข้ึนอยกู่ บั ความซ่ือสัตยไ์ วว้ างใจซ่ึงกนั และกนั เคารพในสิทธิเสรีภาพของกนั และกนั ตามควร เพราะต่างคนต่างมาจากภูมิหลงั ท่ีแตกต่างกนั จริตนิสัยไม่ เหมือนกนั อาจเปรียบไดก้ บั นิทานเร่ืองกบกบั หนู คร้ังหน่ึงมีกบกบั หนูเป็นเพื่อนรักกนั มาก จนสาบานต่อกนั วา่ ถา้ ใครประสบอนั ตรายหรืออะไร อีกฝ่ าย ยอมตายแทนได้ และเพ่ือพิสูจน์ความเป็นเพ่ือนร่วมเป็นร่วมตาย ท้งั คู่กต็ กลงปลงใจผกู ขาขา้ งหน่ึงของตนเขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื ไปไหนจะไดไ้ ม่มีทางพลดั พรากจากกนั แมใ้ นยามนอนวนั หน่ึงท้งั คู่เดินผา่ นมาถึงสระใหญ่ น้าในสระใส น่าแหวก วา่ ย กบลืมไปวา่ ขาขา้ งหน่ึงของตวั ผกู ติดอยกู่ บั หนู กก็ ระโดดลงไปดาผดุ ดาวา่ ยดว้ ยความเบิกบานสาราญใจ หนูซ่ึงว่าย น้าไม่เป็นพยายามร้องเรียกกบเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ไดผ้ ล เพราะกบไม่ไดย้ ิน ผลท่ีสุด หนูก็สาลกั น้าจนขาดใจตาย บงั เอิญ เหยย่ี วตวั หน่ึงบินผา่ นมาเห็นซากหนูผลุบๆ โผล่ๆ อยทู่ ่ีผวิ น้า กโ็ ฉบลงมาคาบข้ึนไป กบที่ยงั ดาผุดดาวา่ ยอยกู่ พ็ ลอยติด ข้ึนไปดว้ ย เลยเป็นเหยอ่ื แก่เหยย่ี วไปสามีภรรยากเ็ ปรียบไดก้ บั กบและหนู ต่างฝ่ ายต่างมีชีวิตจิตใจและเอกลกั ษณ์ของ ตนเม่ือมาอยรู่ ่วมกนั กค็ วรประพฤติตนดุจไมส้ องตน้ ท่ีข้ึนเคียงกนั แต่มีร่มเงาของตน ถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั เก้ือหนุนจุนเจือ อาทรต่อกนั ไม่ใช่ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงดึงดนั เอาแต่ใจตนเอง บีบบงั คบั ใหอ้ ีกฝ่ ายตอ้ งผ่อนปรนโอนอ่อนตาม จนไม่เหลือ ความเป็นตวั ของตวั (ครอบครัวนั้นสาคัญไฉน : อมรา มลิลา)
๒ โวหารภาพพจน์ กลวธิ ีการใชภ้ าษาเพ่ือส่ือความหมาย จากผเู้ ขียนไปยงั ผอู้ ่านมีหลายวิธี ซ่ึงการเขียนโดย ใชโ้ วหารภาพพจนน์ บั เป็นวิธีหน่ึงในการสร้างภาพในใจใหเ้ กิดกบั ผอู้ า่ น สามารถโนม้ นา้ วจิตใจ และอารมณ์ความรู้สึกของผอู้ า่ นใหม้ ีต่องานเขียนได้ ภาพพจน์ หมายถึง กลวธิ ีการเรียบเรียงถอ้ ยคาในลกั ษณะต่างๆ ที่ผเู้ ขียนใชเ้ พ่อื สร้างจินตภาพหรือทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความประทบั ใจ เขา้ ใจลึกซ้ึงและเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มากกวา่ ถอ้ ยคาที่กล่าวอยา่ งตรงไปตรงมา ดงั น้ี
๑) อุปมา (Simile) อุปมา คือ การนาสิ่งท่ีมีลักษณะเด่นร่วมกัน ๒ ส่ิง ต่างประเภทกันมา เปรียบเทียบกนั โดยใช้คาเช่ือมแสดงความเปรียบเทียบไวอ้ ย่างชัดเจน เช่น เหมือน เสมือน ดจุ ดงั ดงั หนึ่ง ดั่ง ราว คล้าย เทียบ เปรียบ ปาน เป็นตน้ โดยมากมกั ใชเ้ พื่ออธิบาย สิ่งท่ีเป็นนามธรรมใหเ้ ห็นเป็นรูปธรรม พระกรรณเทียบเปรียบกลบี บษุ บง นาสิกทรงวงขอวิเชียรฉาย ดาเนินเดินทอดระทวยกาย กรกรายคล้ายงวงเอราวณั (บทละครเรื่องพระลอนรลกั ษณ์ : สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวงั บวรมหาศักดิพลเสพ)
๒) อุปลกั ษณ์ (Metaphor) อุปลกั ษณ์ คือ การนาของ ๒ ส่ิงที่มีคุณสมบตั ิร่วมกนั บางประการมา เปรียบเทียบกนั โดยเปรียบสิ่งหน่ึง เป็นอีกสิ่งหน่ึงโดยตรง จะปรากฏคาวา่ คือ เป็น คอื นา้ ผึง้ คอื นา้ ตาคอื ยาพิษ คอื หยาดนา้ อมฤตอันช่ืนชุ่ม คอื เกสรดอกไม้คอื ไฟรุม คอื ความกล้มุ คอื ฝัน...น่ันแหละรัก (ไฟรัก ไฟลา ไฟชัง : รยงค์ เวนรุ ักษ์)
๓) บุคคลวตั (Personification) บุคคลวตั หรือบุคลาธิษฐาน คือการสมมติสตั วห์ รือส่ิงไม่มีชีวติ ใหม้ ี สติปัญญา ความคิด หรือแสดงอากปั กิริยา อารมณ์เหมือนมนุษย์ นางแย้มเหมือนแม่แย้ม ยวนสมร ใบโบกกลกวกั อร เรียกไท้ ช้องนางคลสี่ าหร่ายขจร โบกเรียกพระฤๅ เชิญราชชมไม้ไหล้ กิ่งก้มถวายกร (ลลิ ติ พระลอ)
๔) นามนัย (Metonymy) นามนัย คือการนาคาหรือวลีท่ีบ่งบอกลกั ษณะ คุณสมบตั ิของส่ิงใด สิ่งหน่ึง มากล่าวแทนสิ่งน้นั ท้งั หมด มงกฎุ แทน พระมหากษัตริย์ ตราชู แทน ความยุตธิ รรม
๕) อตพิ จน์ (Hyperbole) อตพิ จน์ คือ การกล่าวขอ้ ความท่ีเกินความเป็นจริง เพือ่ แสดงการเนน้ ย้ากิริยาอาการ ความรู้สึก มุ่งผลทางดา้ นจิตใจมากกวา่ ขอ้ เทจ็ จริง เรียมร่าชลเนตรถ้วม ถึงพรหม พาหม่สู ัตว์จ่อมจม ชีพม้วย พระสุเมรุเปื่ อยเป็นตม ทบท่าว ลงแฮ อกนิษฐ์ มหาพรหมฉ้ วย พี่ไว้จึงคงฯ (โคลงเบ็ดเตล็ด ตานานศรีปราชญ์)
๖) สัทพจน์ (Onomatopoeia) สัทพจน์ คือ การใชค้ าเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงสตั ว์ เสียงดนตรี เพอื่ ใหเ้ กิดภาพข้ึนภายในใจของผอู้ ่าน สร้างบรรยากาศท่ีเหมือนจริง แอดออดออดแอดแอดออด ไผส่ อดพลอดซอพอ้ ส่ง (บนพรมใบไผ่ : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
๗) สัญลกั ษณ์ (Symbol) สัญลกั ษณ์ คือการนาคาคาหน่ึงมากล่าวแทนความหมายของคาอีกคาหน่ึง โดยถือวา่ คาที่นามาใชแ้ ทนกนั ไดน้ ้นั ตอ้ งเป็นท่ีรู้จกั และเขา้ ใจกนั ทว่ั ไป ดอกไม้ แทน ผู้หญงิ แมลงภู่ ผงึ้ แทน ผู้ชาย สีขาว นกพริ าบ แทน ความสะอาด บริสุทธ์ิ แทน เสรีภาพ สันตภิ าพ
๓ การเขียนโครงการและรายงานโครงการ โครงการเป็ นส่วนหน่ึงในความสาเร็จขององคก์ ร ถา้ หน่วยงานใดให้ ความสาคัญแก่โครงการ จัดทาโครงการท่ีมีคุณภาพและพฒั นางานไปตาม โครงการ หลงั จากปฏิบตั ิงานก็มีการรายงานผลให้ทราบถึงความสาเร็จหรือ ความลม้ เหลวของโครงการ ช้ีใหเ้ ห็นปัญหาและอุปสรรคในการดาเนินการ เพ่ือ หาทางแกไ้ ขปรับปรุงในการดาเนินการคร้ังต่อไปหรือยตุ ิโครงการเมื่อเห็นวา่ ไม่ เกิดประโยชน์ไม่สมควรจะให้เป็ นโครงการต่อเน่ือง การจดั ทาโครงการและ รายงานโครงการก็จะมี ประสิ ทธิ ภาพช่วยให้หน่ วยงานประสบความสาเร็ จ มี ความเจริญกา้ วหนา้ ได้
๓.๑ การเขยี นโครงการ โครงการ คือ การเขียนเพื่อนาเสนอแผนงานที่เรียบเรียงตามลาดบั ข้นั ตอนใหเ้ ห็นเคา้ โครงการ ปฏิบตั ิงานอยา่ งเป็นระบบ เพ่ือนาไปปฏิบตั ิใหบ้ รรลุผลตามแผนและตามความมุ่งหมายที่กาหนดโครงการมี ความสาคญั ดงั น้ี ๑. เป็ นส่วนหน่ึงในการพฒั นาหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ โครงการจะช่วยทาให้มองเห็น ขอบเขตและทิศทางในการพฒั นางาน สามารถติดตามผลและประเมินผลความสาเร็จไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ ๒. เป็นส่วนหน่ึงในระบบบริหารจดั การในหน่วยงาน หน่วยงานท่ีประสบความสาเร็จจะตอ้ งมี การวางแผน และกาหนดแผนงานท่ีชัดเจนให้ทุกคน ทุกฝ่ ายสามารถปฏิบัติงานตามแผนงานจนบรรลุ วตั ถุประสงคไ์ ด้ ๓. เป็นส่วนหน่ึงในการทาให้เกิดงานในลกั ษณะพิเศษของหน่วยงานหรือองคก์ รต่างๆ เพราะ โครงการไม่ใช่งานท่ีปฏิบตั ิประจา เมื่อมีการปฏิบตั ิงานตามโครงการในหน่วยงานจึงมีการเคลื่อนไหว มีความ ร่วมมือกนั ปฏิบตั ิงานในเชิงสร้างสรรคเ์ พื่อผลสาเร็จของโครงการ
๑) ลกั ษณะของโครงการ ที่สาคญั มีดงั น้ี ๑. เป็นงานที่ทาเป็นกรณีพเิ ศษ ทาเป็นคร้ังคราวหรือทาเพยี งคร้ังเดียวไม่ใช่งานประจา ๒. เป็นงานที่ตอ้ งดาเนินตามแผนท่ีกาหนดไว้ ๓. มีขอ้ จากดั บางอยา่ ง เช่น โครงการบางโครงการทาสาเร็จแลว้ แต่ตอ้ งติดตามผลที่ เก่ียวเน่ือง
๒) ส่วนประกอบของโครงการ ท่ีสาคญั มีดงั น้ี (๑) ส่วนนา คือ ขอ้ ความเบ้ืองตน้ ของโครงการ เป็นการใหพ้ ้ืนฐานความรู้ก่อนที่จะนาเขา้ สู่ รายละเอียดของโครงการ ไดแ้ ก่ (๑) ชื่อโครงการ (๒) ช่ือแผนงาน (๓) ลกั ษณะโครงการ (๔) สนองนโยบาย (๕) หน่วยงานท่ีรับผิดชอบ (๖) ผ้รู ับผิดชอบ (๗) ระยะเวลาดาเนินการ
๒) ส่วนประกอบของโครงการ (ต่อ) (๒) ส่วนเนื้อหา เป็นสาระสาคญั ของโครงการ ไดแ้ ก่ (๑) ความเป็นมา / หลกั การและเหตผุ ล (๒) วตั ถปุ ระสงค์ (๓) เป้าหมาย (๔) งบประมาณดาเนินงาน (๕) วิธีดาเนินงาน/กิจกรรมท่ีจะดาเนินการ (๖) การประเมินผลโครงการ
๒) ส่วนประกอบของโครงการ (ต่อ) (๓) ส่วนขยายความ คือ ขอ้ ความท่ีขยายรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั โครงการ ไดแ้ ก่ (๑) ตัวชีว้ ดั ความสาเร็จ (๒) เป้าหมายตวั ชีว้ ดั (๓) เครื่องมือท่ีใช้ประเมิน (๔) ลงลายมือช่ือผ้เู สนอโครงการ ผเู้ ห็นชอบโครงการ ผอู้ นุมตั ิโครงการ
๓) แนวทางการเขยี นโครงการ การเขียนโครงการไม่ไดก้ าหนด รูปแบบการเขียนที่แน่นอน โดยทว่ั ไปจะนิยม เขียนในรูปแบบตามตวั อยา่ ง ดงั ต่อไปน้ี
๓.๒ การเขยี นรายงานโครงการ การเขียนรายงานโครงการเป็นการวิจยั รูปแบบหน่ึง คือ การวิจยั เชิงประเมิน รายงาน โครงการแตกต่างจากการวิจยั ในส่วนที่การวิจยั เป็นการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งเป็นระบบ โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอ่ื แสวงหาองคค์ วามรู้ใหม่ โดยยดึ หลกั การเขียนที่จะทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเร่ืองดว้ ยตนเองไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและกระจ่าง ชดั มากท่ีสุด รวมท้งั สามารถจบั ประเดน็ ผลของการศึกษาและขอ้ สรุปจากการศึกษาไดเ้ ป็นอยา่ งดี
๑) ลักษณะของการเขียนรายงานโครงการ คือ เขียนในเชิงวิชาการ โดยยึดหลกั การ เขียนใหก้ ระจ่างชดั ใหผ้ อู้ า่ นสามารถเขา้ ใจเรื่องดว้ ยตนเอง ๒) ส่วนประกอบของรายงานโครงการ ท่ีสาคญั มีอยู่ดว้ ยกนั ๓ ส่วน คือ ส่วนนา ส่วนน้ือหา และส่วนทา้ ย ดงั น้ี ๒.๑) ส่วนนา ๒.๒) ส่วนเนื้อหา ๒.๓) ส่วนท้าย ๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ
๒) ส่วนประกอบของรายงานโครงการ (ต่อ) ๒.๑) ส่วนนา เป็นส่วนที่ประกอบดว้ ยรายละเอียดต่างๆ ก่อนที่จะถึงเน้ือหาของรายงานโครงการ ส่วนนามีองคป์ ระกอบที่สาคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ปกนอก (๒) ปกใน (๓) คานา (๔) สารบัญ (๕) สารบญั ตาราง (๖) สารบัญแผนภาพ (๗) บทคัดย่อหรือบทสรุปสาหรับผ้บู ริหาร
๒) ส่วนประกอบของรายงานโครงการ (ต่อ) ๒.๒) ส่วนเนื้อหา ส่วนเน้ือหาจะเขียนแยกบท หรือเขียนไม่แยกเป็นบทกไ็ ดแ้ ต่ตอ้ งมีหวั ขอ้ ตา่ ง ๆ ครบถว้ น ดงั น้ี (๑) บทนา (๒) การตรวจเอกสาร (๓) วิธีศึกษาการดาเนินโครงการ (๔) ผลการศึกษาการดาเนินงานโครงการ (๕) สรุปผลศึกษาการดาเนินงานโครงการและข้อเสนอแนะ ๒.๓) ส่วนท้าย ส่วนทา้ ย ประกอบดว้ ยบรรณานุกรมและภาคผนวก
๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ การเขียนรายงานโครงการสามารถทาไดห้ ลายวิธี บางหน่วยงานไดก้ าหนดรูปแบบของ ตนข้ึนมาโดยเฉพาะ ตามความเหมาะสม แนวทางการเขียนรายงานโครงการ มีดงั น้ี ๓.๑) การเขียนส่วนนา มีแนวทางการเขียน ดงั น้ี (๑) ปกนอก ส่วนใหญ่จะระบุช่ือโครงการ เช่น รายงานโครงการ ชื่อผรู้ ายงาน และหรือ หน่วยงานผรู้ ายงาน และปี ที่รายงาน (๒) ปกใน ส่วนใหญ่จะมีขอ้ ความเหมือนปกนอกทุกประการ (๓) คานา จะกล่าวถึงที่มาของโครงการอยา่ งยอ่ และอาจกล่าวถึงวตั ถุประสงคข์ องโครงการ (๔) สารบญั จะระบุช่ือบทและหวั ขอ้ สาคญั ของรายงานวา่ (๕) สารบัญตาราง จะระบุตาแหน่งหนา้ ของตารางท้งั หมดท่ีมีอยใู่ นรายงานโครงการ (๖) สารบัญแผนภาพ จะระบุตาแหน่งของแผนภาพท้งั หมดที่มีอยใู่ นรายงานโครงการ (๗) บทคัดย่อ หรือบทสรุปสาหรับผบู้ ริหาร บทคดั ยอ่ ประกอบดว้ ยหลกั การและเหตุผลในการ ดาเนินงานตามโครงการ
๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ (ต่อ) ๓.๒) การเขียนส่วนเนื้อหา มีแนวทางการเขียน ดงั น้ี (๑) บทนา ประกอบดว้ ย ๑. ความเป็นมาของรายงานโครงการ ๒. วตั ถปุ ระสงคข์ องรายงานโครงการ ๓. ขอบเขตของรายงานโครงการ • ขอบเขตดา้ นประเดน็ ที่รายงาน • ขอบเขตดา้ นแหล่งขอ้ มูลหรือกล่มุ ตวั อยา่ งผใู้ หข้ อ้ มูล • ขอบเขตดา้ นช่วงเวลาของการศึกษาโครงการ ๔. ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ ๕. นิยามศพั ท์
๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ (ต่อ) (๒) การตรวจเอกสาร ประกอบดว้ ย ๑. แนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ งในการทาโครงการ ๒. งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั โครงการ (๓) วิธีศึกษาการดาเนินโครงการ ประกอบดว้ ย ๑. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ๒. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการศึกษาการดาเนินงานโครงการ ๓. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๔. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ (ต่อ) (๔) ผลการศึกษาการดาเนินงานโครงการ ประกอบดว้ ย ๑. ผลการดาเนินงานโครงการ ๒. อภิปรายผลการดาเนินงาน (๕) สรุปผลการศึกษาการดาเนินงานโครงการและข้อเสนอแนะ ประกอบดว้ ย ๑. สรุปผลการศึกษาการดาเนินงานโครงการ ๒. ขอ้ เสนอแนะ
๓) แนวทางการเขยี นรายงานโครงการ (ต่อ) ๓.๓) การเขียนส่วนท้าย ประกอบดว้ ย (๑) การเขยี นบรรณานกุ รม หรือเอกสารอ้างอิง (๒) การเขยี นภาคผนวก
๔ การเขียนรายงานการประชุม การประชุมเป็ นการส่ือสารท่ีมีความสาคญั และมีความจาเป็ นในการทางานร่วมกนั ใน ระบบกลุ่ม การที่บุคคลกลุ่มหน่ึงมาพบปะกนั โดยมีจุดประสงค์ร่วมกนั ตามที่นัดหมายกนั ไว้ มีการ ระดมความคิดในการแกไ้ ขปัญหา เสนอแนะเพ่อื การพฒั นา แลกเปล่ียนความรู้ความคิด ทาใหเ้ กิดความ ร่วมมือ การประชุมโดยทวั่ ไป ไม่วา่ จะเป็นการประชุมของหน่วยงานท้งั ภาครัฐและภาคเอกชน แบ่งการประชุมออกเป็น ๒ ประเภท คือ (๑) การประชุมสามญั หมายถึง การประชุมตามปกติซ่ึงกระทาเป็ นประจาตามขอ้ บงั คบั หรือ นโยบายของหน่วยงาน เช่น ประชุมประจาสปั ดาห์ ประจาเดือน ประจาปี เป็นตน้ (๒) การประชุมวิสามญั หมายถึง การประชุมท่ีจดั ข้ึนเป็ นพิเศษ ในกรณีที่มีเรื่องเร่งด่วนหรือ เรื่องสาคญั ที่ตอ้ งมีการประชุมพิจารณาขอความเห็นจากสมาชิกหรือจากคณะกรรมการในเรื่องใดเร่ือง หน่ึง นอกเหนือจากการประชุมสามญั
๔.๑ ลกั ษณะการเขยี นรายงานการประชุม รายงานการประชุมเป็ นขอ้ ความที่เลขานุการหรือผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมายให้บนั ทึก โดยทวั่ ไปจะบนั ทึกวา่ เป็ นการประชุมคณะใด เมื่อใด ท่ีใด มีใครเขา้ ประชุมบา้ ง ท่ีประชุมได้ พจิ ารณาเรื่องใดอยา่ งไร ผลการประชุมเป็นประการใด ๔.๒ ลกั ษณะการเขยี นรายงานการประชุม การเขียนรายงานการประชุมของแต่ละหน่วยงานจะมีรูปแบบที่แตกต่างกนั ท้งั น้ี ข้ึนอยกู่ บั การพจิ ารณาขององคก์ ร รายงานการ
ลกั ษณะการเขยี นรายงานการประชุม (ต่อ) ลกั ษณะการเขียนรายงานการประชุม โดยทวั่ ไปประกอบไปดว้ ยหวั ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี ๑) ช่ือหน่วยงาน ๒) คร้ังที่ ๓) วนั เดือน ปี ๔) ณ (ใหล้ งช่ือสถานที่ประชุม) ๕) ผ้มู าประชุม ๖) ผ้ไู ม่มาประชุม (ถ้าม)ี ๗) เริ่มประชุมเวลา ๘) ระเบยี บวาระ * ๙) เลกิ ประชุมเวลา ๑๐) ผ้จู ดรายงานการประชุม
* ๘) ระเบยี บวาระ (ต่อ) หวั เรื่องหรือญตั ติท่ีจะประชุมเรียงตามลาดบั ไป ตามระเบียบ สานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยงาน สารบรรณ ไดก้ าหนดระเบียบวาระโดยเรียงตามลาดบั ดงั น้ี วาระท่ี ๑ เร่ืองทป่ี ระธานแจ้งให้ทปี่ ระชุมทราบ เร่ืองที่ ๑............................................................................................................................................................. เรื่องที่ ๒............................................................................................................................................................ วาระที่ ๒ รับรองรายงานการประชุม คร้ังที่....................................................................................................... วาระท่ี ๓ เรื่องเสนอเพ่อื พิจารณา เร่ืองที่ ๑............................................................................................................................................................. เรื่องท่ี ๒............................................................................................................................................................ วาระท่ี ๔ เร่ืองอื่นๆ เรื่องท่ี ๑............................................................................................................................................................. เรื่องท่ี ๒............................................................................................................................................................
๒หน่วยการเรียนรู้ท่ี การเขยี นบันเทิงคดี ๑ ความรู้พืน้ ฐานเกย่ี วกบั บันเทงิ คดี บนั เทิงคดีเป็ นเร่ืองแต่งจากจินตนาการหรืออาจมีเค้าโครงจากความจริงนามา ผสมผสานกบั จินตนาการ โดยมีจุดมุ่งหมายสาคญั คือให้ความบนั เทิงแก่ผูอ้ ่าน ผูเ้ ขียนจะผูก เป็ นเร่ืองราว มีตวั ละคร ฉาก และเหตุการณ์ต่างๆ เพ่ือมุ่งประเทืองอารมณ์ บางเรื่องอาจแฝง ความรู้และคุณค่าทางจริยธรรมไวด้ ว้ ย
๑.๑ ลกั ษณะบนั เทงิ คดี บนั เทิงคดีท่ีดีจะตอ้ งมีลกั ษณะ ดงั น้ี • ใหค้ วามสนุกสนาน เพลิดเพลิน ประเทืองอารมณ์ • ส่งเสริมสติปัญญา • มีขอ้ คิดคติเตือนใจ โดยท่ีผเู้ ขียนมีเจตนาในการเขียนหรือไม่มีเจตนากต็ าม • มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ • ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของผอู้ า่ น • การใชถ้ อ้ ยคาสานวนโวหารไพเราะเหมาะสม สื่อความชดั เจน
๑.๒ ประเภทของบนั เทงิ คดี โดยทวั่ ไปวรรณกรรมจะแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ วรรณกรรมประเภทร้อยแกว้ และวรรณกรรมประเภทร้อยกรอง ๑) นวนิยาย คือการเขียนผกู เรื่องราวที่มีพฤติกรรมต่อเนื่องกนั มีความสัมพนั ธ์กนั ในลกั ษณะจาลองสภาพชีวิตของสังคมส่วนหน่ึงส่วนใด โดยมีความมุ่งหมายใหค้ วามบนั เทิง ใจแก่ผอู้ า่ น คือ ใหผ้ อู้ ่านสะเทือนอารมณ์ไปกบั เน้ือเรื่องอยา่ งมีศิลปะ ๒) เร่ืองส้ัน คือการเขียนเรื่องจาลองสภาพชีวิตในช่วงส้ัน มุมหน่ึงของชีวิต หรือ เหตุการณ์หน่ึง หรือช่วงระยะหน่ึงของชีวิต เพ่ือใหผ้ อู้ ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ หรือนิยามอีก อยา่ งหน่ึงวา่ เรื่องส้นั คือ วิกฤตการณ์ชุดหน่ึง มีความสัมพนั ธ์สืบเนื่องกนั และนาไปสู่จุดยอด หน่ึง
๑.๓ องค์ประกอบของการเขยี นบนั เทงิ คดี ๑) โครงเร่ือง คือ การลาดบั เหตุการณ์ไวล้ ่วงหนา้ วา่ ใหด้ าเนินไปอยา่ งไร โดยนาเหตุการณ์มาเรียงต่อกนั ๒) ตวั ละคร ๒.๑) ตวั ละครเอก คือ ตวั ละครที่มีบทบาทสาคญั ในการดาเนินเรื่อง หรือในเหตุการณ์ต่างๆ ของเร่ือง ๒.๒) ตวั ละครประกอบ คือ ตวั ละครซ่ึงมีบทบาทในฐานะส่วนประกอบของการดาเนินเร่ืองเท่าน้นั ๓) แนวคดิ หรือแก่นของเรื่อง ๓.๑) แก่นเร่ืองแสดงทรรศนะ คือ แนวคิดท่ีผเู้ ขียนมุ่งเสนอความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง ๓.๒) แก่นเรื่องแสดงอารมณ์ คือ แนวคิดที่ผเู้ ขียนมุ่งแสดงสภาวะทางอารมณ์ความรู้สึกของตวั ละคร ๓.๓) แก่นเร่ืองแสดงพฤติกรรม คือ แก่นเร่ืองท่ีผเู้ ขียนมุ่งเสนอพฤติกรรมหรือบางแง่มมุ ของตวั ละคร ๓.๔) แก่นเร่ืองแสดงสภาพและเหตุการณ์ คือ มุ่งแสดงภาพบางอยา่ งหรือเหตุการณ์ตวั ละคร
๑.๓ องค์ประกอบของการเขยี นบันเทงิ คดี (ต่อ) ๔) ฉาก • ภูมิประเทศ สภาพทอ้ งถิ่น ทิวทศั น์ การจดั แบ่งสถานท่ี เช่น ที่ต้งั ของประตูหนา้ ต่างในหอ้ ง • อาชีพ สถานภาพทางการงานและความเป็นอยปู่ ระจาวนั ของตวั ละคร • เวลา ยคุ สมยั ที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง เช่น ยคุ ทางประวตั ิศาสตร์ หรือฤดูกาลของปี • สภาพแวดลอ้ มโดยทว่ั ไปของตวั ละคร เช่น สภาวะเง่ือนไขทางศาสนา จิตใจศีลธรรม สงั คม หรือ สภาวะอารมณ์ ๕) กลวธิ ี ผเู้ ขียนอาจเป็นผเู้ ล่าเรื่องน้นั เองหรือกาหนดใหต้ วั ละครในเรื่องเป็นผเู้ ล่า ๒.๑) ตวั ละครเอก คือ ตวั ละครที่มีบทบาทสาคญั ในการดาเนินเร่ือง หรือในเหตุการณ์ต่างๆ ของเร่ือง ๒.๒) ตวั ละครประกอบ คือ ตวั ละครซ่ึงมีบทบาทในฐานะส่วนประกอบของการดาเนินเรื่องเท่าน้นั ๖) ภาษา ผเู้ ขียนแต่ละคนมีกลวธิ ีการใชภ้ าษาอนั เป็นลกั ษณะเฉพาะตวั
๑.๔ แนวทางการเขยี นบันเทงิ คดี การเขียนบันเทิงคดีเป็ นเรื่องของความสามารถเฉพาะบุคคล ต้องฝึ กฝนตาม แนวทาง เพ่อื ใหเ้ กิดความชานาญและคน้ พบเทคนิควิธีการที่เป็นแบบเฉพาะของตน ซ่ึงแนวทาง การฝึกเขียนบนั เทิงคดี มีดงั น้ี ๑) การเปิ ดเร่ือง คือ จุดเร่ิมตน้ ของเร่ืองซ่ึงถือเป็นส่วนสาคญั ท่ีจะดึงดูดความสนใจ ของผอู้ า่ นใหต้ ิดตามเรื่องราว ๒) การดาเนินเร่ือง เป็นตอนกลางของเรื่องที่มีความสาคญั มาก จึงตอ้ งสร้างความ ขดั แยง้ (Conflict) ที่เร้าใจใหเ้ กิดภายในเรื่อง ๒.๑) ความขัดแย้ง คือ ปัญหาท่ีจะทาใหเ้ รื่องราวดาเนินตอ่ ไป แบ่งไดห้ ลาย ประเภท เช่น ความขดั แยง้ ระหวา่ งมนุษยก์ บั มนุษย์ ความขดั แยง้ ระหวา่ งมนุษยก์ บั สังคม ๒.๒) กลวธิ ีเกย่ี วกบั การดาเนินเรื่อง เช่น การเลา่ เรื่องไปตามลาดบั เวลาก่อนหลงั ของเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึน เลา่ เหตุการณ์เกิดตา่ งสถานที่สลบั กนั ไปมา
๓) การปิ ดเร่ือง การปิ ดเรื่อง คือ จุดจบของเรื่อง เป็ นช่วงที่มีความสาคญั มากเพราะเป็ นตอนท่ี ประเมินผลใหร้ ู้ว่า ผูอ้ ่านมีความประทบั ใจต่อเร่ืองมากนอ้ ยเพียงใด วิธีการปิ ดเร่ืองที่นิยม เช่น ปิ ดเรื่องแบบหักมมุ หรือพลิกความคาดหมายของผอู้ ่าน ๔) การสร้างตวั ละคร ผเู้ ขียนจะสมมติใหส้ ่ิงใดเป็นตวั ละครกไ็ ด้ เช่น คน สัตว์ ตน้ ไม้ เทวดา นางฟ้า แนวทางสาหรับการสร้างตวั ละครในงานเขียนบนั เทิงคดีมี ๔ วิธี ดงั น้ี ๔.๑) สร้างใหส้ มจริง ๔.๒) สร้างตามอุดมคติ ๔.๓) สร้างแบบเหนือจริง ๔.๔) สร้างโดยใชต้ วั ละครแบบฉบบั
๕) การสร้างลกั ษณะนิสัยของตวั ละคร ผเู้ ขียนสมมติใหส้ ิ่งใดส่ิงหน่ึงเป็นตวั ละครโดยอาจสร้างใหม้ ีลกั ษณะต่างๆ เช่น สมจริง เหนือจริงหรือแบบอุดมคติ ๕.๑) บรรยายอปุ นิสยั ของตวั ละครโดยตรง ๕.๒) ตวั ละครอ่ืนๆ พดู ถึงตวั ละครอีกตวั หน่ึง ๕.๓) บอกนิสยั ของตวั ละครผา่ นพฤติกรรม ๕.๔) บอกอุปนิสัยของตวั ละครผา่ นความรู้สึกนึกคิดของตวั ละครเอง ๕.๕) บอกอุปนิสัยของตวั ละครจากสมั พนั ธภาพของตวั ละครกบั ตวั ละครอ่ืนๆ
๖) แนวคดิ วิธีเขียนแนวคิดของเร่ือง อาจทาได้ ๒ วธิ ี ดงั น้ี • บอกตรงๆ ผเู้ ขียนอธิบายแนวคิดไวต้ รงๆ ในส่วนใดส่วนหน่ึง ของเร่ือง อาจเป็นตน้ เรื่อง ทา้ ยเร่ือง หรือชื่อเร่ือง • แฝงไวใ้ นส่วนต่างๆ เช่น ในเหตุการณ์ พฤติกรรมของตวั ละคร และส่วนประกอบอ่ืนๆ อนั มีผลต่อความหมายของเรื่อง ๗) ฉาก วธิ ีการเขียนบรรยายฉาก มี ๒ วธิ ี คือ • ใชบ้ ทพรรณนายาวๆ ไวต้ อนเร่ิมเร่ือง • ใหร้ ายละเอียดเก่ียวกบั เวลาและสถานท่ีกระจายตลอดท้งั เร่ือง
๘) กลวธิ ี ผเู้ ขียนสามารถใชก้ ลวธิ ีในการเลา่ เรื่องไดห้ ลายวิธี ดงั น้ี ๑. ใหต้ วั ละครสาคญั ในเร่ืองเป็นผเู้ ล่าเรื่องของตนเองโดยใชส้ รรพนาม “ผม” “ฉนั ” “ดิฉนั ” “ขา้ พเจา้ ” หรือ “เรา” ๒. ใชบ้ ุรุษท่ีหน่ึงซ่ึงเป็นตวั ละครรองในเรื่องเป็นผเู้ ล่า ซ่ึงคลา้ ยวิธีแรกแต่ใชต้ วั ละคร รองซ่ึงมกั จะเป็นผใู้ กลช้ ิดกบั ตวั ละครสาคญั เป็นผเู้ ล่า ๓. ผเู้ ขียนในฐานะเป็นผรู้ ู้แจง้ เห็นจริงทุกอยา่ งเป็นผเู้ ล่า กลวธิ ีในการเล่าเร่ืองแบบน้ี มีปรากฏในนวนิยายไทยส่วนใหญ่ แต่ในเร่ืองส้นั กม็ ีพบบา้ ง ๔. ผูเ้ ขียนในฐานะเป็ นผูส้ ังเกตการณ์เป็ นผูเ้ ล่า ซ่ึงคล้ายวิธีท่ีสามแต่ต่างกันที่ผูเ้ ขียนไม่ สามารถทราบความรู้สึกนึกคิดของตวั ละครไดเ้ ลย มีหนา้ ท่ีเพียงรายงานเฉพาะส่ิงที่ตนไดเ้ ห็นไดย้ นิ ไดฟ้ ัง ไดส้ งั เกตการสนทนาหรือการกระทาของตวั ละครเท่าน้นั ๕. ใช้บุรุษที่หน่ึงเป็ นผูเ้ ล่าด้วยวิธีกระแสจิตประหวดั คือ การให้บุรุษที่หน่ึงเล่าเรื่องของ ตนเอง แต่ปรากฏในรูปกระแสความคิดประหวดั ไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ
๙) ภาษา การใชภ้ าษาในบทสนทนาซ่ึงมีความสาคญั ต่อการเขียนเรื่องส้นั นวนิยาย บทสนทนาคือถอ้ ยคาในการพดู สนทนาระหวา่ ตวั ละครต้งั แต่ ๒ ตวั ข้ึนไป บทสนทนาในบนั เทิง คดีจะอยใู่ นเคร่ืองหมายอญั ประกาศ “...... .” และเขียนแยกคาสนทนาโตต้ อบของตวั ละครไวค้ น ละบรรทดั ๑. ช่วยดาเนินเรื่อง แทนการบรรยายของผเู้ ขียน และในบทละครบทสนทนาเป็ นการ ดาเนินเร่ืองโดยตรง ๒. ช่วยใหผ้ อู้ า่ นรู้จกั ตวั ละครในเร่ืองโดยทางออ้ ม เช่น ผเู้ ขียนอาจกาหนดให้ตวั ละคร ตวั ใดตวั หน่ึงในเร่ือง กล่าวถึงตวั ละครสาคญั ในเรื่อง ผเู้ ขียนไม่จาเป็ นตอ้ งบอกอยา่ งตรงไปตรงมา เป็ นการสร้างความน่าสนใจในการแต่ง ๓. ช่วยใหว้ ธิ ีการเขียนไมซ่ ้าซาก แหง้ แลง้ ๔. สร้างความสมจริง ทาใหผ้ อู้ ่านรู้สึกวา่ เป็นเรื่องราวท่ีเกิดข้ึนจริง ๕. ทาให้งานเขียนน่าอ่าน และมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะบทสนทนาท่ีคมคายและมี อารมณ์ขนั หรือเหมาะสมตามสถานะของตวั ละคร
๙) ภาษา การใชภ้ าษาในบทสนทนาซ่ึงมีความสาคญั ต่อการเขียนเรื่องส้นั นวนิยาย บทสนทนาคือถอ้ ยคาในการพดู สนทนาระหวา่ ตวั ละครต้งั แต่ ๒ ตวั ข้ึนไป บทสนทนาในบนั เทิง คดีจะอยใู่ นเคร่ืองหมายอญั ประกาศ “...... .” และเขียนแยกคาสนทนาโตต้ อบของตวั ละครไวค้ น ละบรรทดั ๑. ช่วยดาเนินเรื่อง แทนการบรรยายของผเู้ ขียน และในบทละครบทสนทนาเป็ นการ ดาเนินเร่ืองโดยตรง ๒. ช่วยใหผ้ อู้ า่ นรู้จกั ตวั ละครในเร่ืองโดยทางออ้ ม เช่น ผเู้ ขียนอาจกาหนดให้ตวั ละคร ตวั ใดตวั หน่ึงในเร่ือง กล่าวถึงตวั ละครสาคญั ในเรื่อง ผเู้ ขียนไม่จาเป็ นตอ้ งบอกอยา่ งตรงไปตรงมา เป็ นการสร้างความน่าสนใจในการแต่ง ๓. ช่วยใหว้ ธิ ีการเขียนไมซ่ ้าซาก แหง้ แลง้ ๔. สร้างความสมจริง ทาใหผ้ อู้ ่านรู้สึกวา่ เป็นเรื่องราวท่ีเกิดข้ึนจริง ๕. ทาให้งานเขียนน่าอ่าน และมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะบทสนทนาท่ีคมคายและมี อารมณ์ขนั หรือเหมาะสมตามสถานะของตวั ละคร
๒ ตวั อย่างการเขยี นบนั เทงิ คดี : เรื่องส้ัน เรื่องส้ันเป็ นบนั เทิงคดีประเภทหน่ึง ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลจากตะวนั ตก มีความยาวประมาณ ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ คา ผเู้ ขียนเขียนข้ึนโดยใชจ้ ินตนาการของตนอยา่ งสมจริง มีขนาดส้ัน ตวั ละครไม่มาก ดาเนินเรื่องดว้ ยความรวดเร็วและมีจุดมุ่งหมายเดียวโดยอาศยั ศิลปะการเขียนที่ชวนใหน้ ่าอ่านและชวน ให้คิด นักวิชาการกาหนดให้เร่ืองส้ันมีกาเนิดในสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๑๙-๑๘๒๐ โดย นกั เขียนชาวอเมริกนั คือ วอชิงตนั เออร์วิง (Washington Irving) ซ่ึงเขียนลงในหนงั สือ The Sketch Book ต่อมาเอด็ การ์ อลั เลน โป (Edgar Allen Poe) และนาธาเนียล ฮอวธ์ อร์น (Nathaniel Hawthorne) ไดเ้ ขียนเรื่องส้นั จนเป็นท่ีรู้จกั แพร่หลายของผอู้ า่ น
ประเทศไทยก่อนหนา้ ที่จะมีเรื่องส้ันตามแบบตะวนั ตก งานเขียนบนั เทิงคดีร้อยแกว้ ของ ไทยเป็นนิทานหรือตานานปรัมปรา ในสมยั รัชกาลท่ี ๕ ศิลปวทิ ยาการ ตลอดจนวรรณกรรมแบบของ ยโุ รปไดเ้ ขา้ มาในประเทศไทย กรมหม่ืนพชิ ิตปรีชากร ไดเ้ ขียนเร่ือง “สนุกน์ินึก” ลงในหนงั สือวชิ รญาณวเิ ศษ ซ่ึงดาเนินเรื่องโดยใชบ้ ทสนทนาเป็นหลกั และใชฉ้ ากจริงคือวดั บวรนิเวศวหิ ารนบั เป็นเร่ือง เลา่ ร่วมสมยั และมีความสมจริง ซ่ึงถือวา่ “สนุกน์ินึก” เป็นเรื่องส้นั เรื่องแรกของไทย
๒.๑ ลกั ษณะเร่ืองส้ัน การเขียนเร่ืองส้ันของไทยไดร้ ับอิทธิพลมาจากนักเขียนชาวตะวนั ตก เช่น โอ.เฮ็นรี และ กีย์ เดอ โมปัสซงั ค์ ทาใหเ้ กิดเป็นวรรณกรรมบนั เทิงคดีร้อยแกว้ แบบใหม่ ของไทยในราวปี พ.ศ. ๒๔๗๒ และนิยมเขียนอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบนั การเขียน เรื่องส้ันใหม้ ีความสนุกสนานน่าติดตามน้นั เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173