พุทธวจน คู่มือ
ช่อื ของโสดาบนั ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้ ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำาแรกกิเลส ยนื อย่จู รดประตแู ห่งอมตะ. -บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๙๕-๙๖/๑๘๗.
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน ธรรมวนิ ัยจากพุทธโอษฐ์ เพอื่ ตรวจสอบความเปน็ โสดาบันของตนเอง ดว้ ยตนเอง
สารีบตุ ร ! ทีม่ ักกล่าวกนั ว่า โสดาบนั โสดาบนั ดงั นี้ เป็นอย่างไรเล่า สารบี ุตร ? “ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจริญ ! ทา่ นผ้ใู ด เป็นผู้ประกอบพร้อมแลว้ ดว้ ยอริยมรรคมีองคแ์ ปดนอ้ี ยู่ ผ้เู ช่นนั้นแล ขา้ พระองคเ์ รียกวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผ้มู ีชอื่ อย่างนๆี้ มโี คตรอย่างนๆ้ี พระเจ้าขา้ !”. สารบี ตุ ร ! ถูกแลว้ ถกู แลว้ ผู้ท่ปี ระกอบพรอ้ มแล้ว ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเอง กเ็ รยี กผเู้ ช่นนนั้ วา่ เปน็ พระโสดาบัน ผู้มชี อ่ื อยา่ งนๆ้ี มโี คตรอยา่ งน้ๆี . -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๓.
พุทธวจน ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน พุทธวจนสถาบัน รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ �ำ ของตถาคต
พุทธวจน ฉบบั ๒ คูม่ ือโสดาบัน ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลขิ สทิ ธ์ิในต้นฉบบั นีไ้ ด้รบั การสงวนไว้ ไมส่ งวนสทิ ธิใ์ นการจดั ท�ำ จากตน้ ฉบับเพ่ือเผยแผ่ในทุกกรณี ในการจดั ทำ�หรือเผยแผ่ โปรดใชค้ วามละเอียดรอบคอบ เพ่อื รักษาความถูกต้องของข้อมูล ขอค�ำ ปรกึ ษาด้านขอ้ มูลในการจัดท�ำ เพือ่ ความสะดวกและประหยดั ตดิ ต่อได้ที่ มลู นิธิพุทธโฆษณ์ โทรศพั ท ์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ พุทธวจนสมาคม โทรศพั ท ์ ๐๘ ๑๖๔๗ ๖๐๓๖ มลู นิธพิ ทุ ธวจน โทรศัพท์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คณุ ศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คณุ อารีวรรณ โทรศัพท ์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปที พี่ มิ พ์ ๒๕๕๗ ศลิ ปกรรม ปรญิ ญา ปฐวนิ ทรานนท์, วชิ ชุ เสริมสวสั ดิ์ศรี, ณรงคเ์ ดช เจรญิ ปาละ จดั ท�ำ โดย มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ (เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org) ส�ำ หรบั ผตู้ อ้ งการปฏิบัตธิ รรรม ติดตอ่ ได้ท่ี ศูนยป์ ฏบิ ตั ิพทุ ธวจน (Buddhawajana Training Center) ซอยคลองสต่ี ะวนั ออก ๗๓ หมู่ ๑๕ คลองส่ี อ�ำ เภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี โทรศพั ท์ ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๖๕๗, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๗๒๑, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๔๗๑
มลู นธิ ิพทุ ธโฆษณ์ เลขท่ี ๒๙/๓ หมูท่ ี่ ๗ ต�ำ บลบงึ ทองหลาง อ�ำ เภอลำ�ลกู กา จังหวัดปทมุ ธานี ๑๒๑๕๐ โทรศพั ท์ /โทรสาร ๐ ๒๕๔๙ ๒๑๗๕ เวบ็ ไซต์ : www.buddhakos.org
อกั ษรยอ่ เพื่อความสะดวกแก่ผู้ทย่ี งั ไมเ่ ขา้ ใจเร่อื งอกั ษรยอ่ ทใี่ ชห้ มายแทนชือ่ คมั ภีร์ ซ่งึ มอี ยโู่ ดยมาก มหาวิ. ว.ิ มหาวภิ งั ค์ วินัยปิฎก. ภิกขฺ นุ .ี ว.ิ ภิกขนุ ีวภิ ังค์ วินัยปฎิ ก. มหา. ว.ิ มหาวรรค วินัยปิฎก. จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วินัยปิฎก. ปริวาร. ว.ิ ปริวารวรรค วินยั ปิฎก. สี. ท.ี สีลขนั ธวรรค ทีฆนกิ าย. มหา. ท.ี มหาวรรค ทีฆนกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏกิ วรรค ทฆี นิกาย. ม.ู ม. มลู ปัณณาสก์ มชั ฌิมนกิ าย. ม. ม. มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย. อปุ ร.ิ ม. อุปริปณั ณาสก์ มัชฌมิ นกิ าย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. นทิ าน. สํ. นทิ านวรรค สงั ยุตตนิกาย. ขนธฺ . ส.ํ ขันธวารวรรค สังยตุ ตนกิ าย. สฬา. สํ. สฬายตนวรรค สงั ยุตตนิกาย. มหาวาร. ส.ํ มหาวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. เอก. อํ. เอกนิบาต อังคตุ ตรนิกาย. ทุก. อ.ํ ทกุ นิบาต อังคุตตรนกิ าย. ติก. อํ. ติกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย. จตกุ กฺ . อ.ํ จตกุ กนิบาต องั คตุ ตรนิกาย.
ปญฺจก. อํ. ปญั จกนิบาต อังคุตตรนิกาย. ฉกฺก. อํ. ฉักกนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. สตตฺ ก. อํ. สตั ตกนบิ าต อังคุตตรนิกาย อฏฺก. อ.ํ อัฏฐกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. นวก. อ.ํ นวกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ทสก. อํ. ทสกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. เอกาทสก. อํ. เอกาทสกนิบาต องั คตุ ตรนกิ าย. ข.ุ ขุ. ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนกิ าย. ธ. ข.ุ ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย. อ.ุ ข.ุ อุทาน ขทุ ทกนิกาย. อิติวุ. ข.ุ อิตวิ ุตตกะ ขทุ ทกนกิ าย. สุตฺต. ข.ุ สุตตนิบาต ขุททกนกิ าย. วมิ าน. ข.ุ วมิ านวตั ถุ ขทุ ทกนิกาย. เปต. ข.ุ เปตวัตถุ ขทุ ทกนกิ าย. เถร. ขุ. เถรคาถา ขุททกนิกาย. เถรี. ข.ุ เถรีคาถา ขทุ ทกนกิ าย. ชา. ข.ุ ชาดก ขุททกนกิ าย. มหาน.ิ ขุ. มหานทิ เทส ขุททกนิกาย. จูฬน.ิ ข.ุ จูฬนทิ เทส ขทุ ทกนิกาย. ปฏสิ ม.ฺ ข.ุ ปฏิสมั ภิทามรรค ขุททกนิกาย. อปท. ขุ. อปทาน ขทุ ทกนกิ าย. พทุ ธฺ ว. ข.ุ พุทธวงส์ ขุททกนิกาย. จริยา. ข.ุ จริยาปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย. ตวั อยา่ ง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอ้ า่ นวา่ ไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ข้อที่ ๒๔๕
คำ�อนโุ มทนา เพื่อต้องการให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ทราบถึงแง่มุม ความเป็นอัจฉริยจิตของบุคคลผ้สู ามารถเอาชนะความตาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายเกิดตายในสังสารวัฏ สามารถ นำ�ไปตรวจสอบตนเอง ภายใต้หลักธรรมขององค์สมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วา่ เดนิ มาอยา่ งถกู ตอ้ ง ถกู ทาง กา้ วหนา้ ไปแคไ่ หนอยา่ งไร โดยไมต่ อ้ งพง่ึ พาผอู้ น่ื มาตดั สนิ ใหส้ มดงั ท่ี พระองคต์ รสั วา่ ใหบ้ คุ คลทง้ั หลายพง่ึ ตนพง่ึ ธรรม คณะผจู้ ดั ท�ำ จึงได้รวบรวมคุณธรรมความเป็นโสดาบัน ในแง่มุมต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ ขออนโุ มทนากบั คณะศษิ ยง์ านธรรมและผสู้ นบั สนนุ ทกุ ทา่ น ทไ่ี ดร้ ว่ มแรงกาย แรงใจ กระท�ำ ใหง้ านส�ำ เรจ็ ลลุ ว่ ง ไปไดอ้ ยา่ งดี และขออานสิ งสแ์ หง่ การชว่ ยเผยแผค่ �ำ สอนของ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงเปน็ เหตใุ หท้ า่ นทง้ั หลาย ท่ีได้ร่วมเก่ียวข้องกับผลงานช้ินน้ี ทั้งท่ีเป็นผู้ทำ�และผู้อ่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมตามเหตุปัจจัยที่กระทำ� ในอนาคตกาล อนั ใกล้น้ดี ว้ ยเทอญ. ภกิ ขุคกึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล
คำ�น�ำ หนงั สอื “พทุ ธวจน ฉบบั คมู่ อื โสดาบนั ” ไดจ้ ดั ท�ำ ขน้ึ ดว้ ยปรารภเหตทุ ว่ี า่ ปจั จบุ นั มหี ลกั เกณฑก์ ารพยากรณค์ วาม เป็นอริยบุคคลเกิดข้ึนมากมาย ซ่ึงผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ก็จะ ยึดถือเอาตามแบบท่ีตนเองถูกส่ังสอนมา และในบรรดา หลักเกณฑ์ท้ังหลายเหล่าน้ัน ผู้ปฏิบัติจะมั่นใจได้อย่างไร วา่ สามารถใช้ตรวจวดั สอบได้อย่างถูกตอ้ งตรงจริง ตามท่ี พระศาสดาบัญญตั ไิ ว้ ด้วยพระศาสดาตรสั ไวว้ ่าบุคคล ๓ จำ�พวกน้ี ปรากฏขึ้นยากในโลก คอื ๑. พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ๒. บคุ คลผู้แสดงธรรมวนิ ยั ท่พี ระตถาคตประกาศแล้ว ๓. กตัญญกู ตเวทีบคุ คล เนอ้ื หาของหนงั สอื เลม่ น ้ี จงึ ไดร้ วบรวม พทุ ธวจน ท่ี ตรสั ถงึ หลกั เกณฑส์ �ำ หรบั ตรวจสอบภาวะความเปน็ พระโสดาบนั ด้วยตนเอง ไว้ถงึ ๕๐ กว่านยั ยะ
ดงั นน้ั คณะผจู้ ดั ท�ำ จงึ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ พทุ ธวจน ฉบับ “คู่มือโสดาบัน” จะช่วยให้พุทธบริษัทมีหลักเกณฑ์ วัดสอบความเป็นพระโสดาบนั ท่ถี กู ตอ้ ง ตรงตามพุทธวจน สมดังพทุ ธประสงค์ท่วี า่ “อรยิ สาวกนน้ั เมอ่ื ปรารถนาอยู่ ก็พึงพยากรณ์ตนด้วยตนนน้ั แหละวา่ เราเปน็ พระโสดาบนั ผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มอี ันจะตรัสรู้ธรรมในกาลเบื้องหน้า”. คณะงานธัมมะ วดั นาปา่ พง สิงหาคม ๒๕๕๔
สารบญั ๑. แวน่ สอ่ งความเป็นพระโสดาบัน ๒ ๒. พระโสดาบันเป็นใคร (นัยที่หน่ึง) ๔ ๓. พระโสดาบันเป็นใคร (นัยทส่ี อง) ๗ ๔. พระโสดาบนั ประกอบพรอ้ มแล้ว ๑๐ ด้วยอรยิ มรรคมีองค์แปด ๕. หลักเกณฑพ์ ยากรณ์ภาวะโสดาบนั ของตนเอง ๑๑ ๖. พระโสดาบนั รจู้ กั ปญั จปุ าทานขันธ ์ ๑๙ ๗. พระโสดาบนั รู้จักอนิ ทรยี ์หก ๒๐ ๘. โสดาปตั ตมิ รรค ๒ จำ�พวก ๒๓ ๙. โสดาปตั ตผิ ล ๒๕ ๑๐. พระโสดาบนั เปน็ ผบู้ ริบรู ณ์ในศลี (ปาฎโิ มกข์) ๒๗ ได้พอประมาณในสมาธแิ ละปญั ญา ๑๑. พระโสดาบันละสังโยชน์ได้สามข้อ ๓๐ มีสามจ�ำ พวก
๑๒. ละสังโยชนส์ ามและกรรมทพี่ าไปอบาย ๓๑ คือ โสดาบนั ๑๓. พระโสดาบนั มีญาณหย่งั รูเ้ หตใุ ห้เกดิ ขนึ้ ๓๓ และเหตใุ หด้ บั ไป ของโลก ๑๔. พระโสดาบนั คอื ผู้เหน็ ชดั รายละเอียด ๓๙ แต่ละสายของปฏิจจสมุปบาท ตลอดทงั้ สาย โดยนัยแห่งอริยสจั สี่ (เห็นตลอดสาย นัยที่หนง่ึ ) ๑๕. พระโสดาบนั คือ ผเู้ ห็นชดั รายละเอียด ๔๙ แตล่ ะสายของปฏิจจสมปุ บาท ตลอดทง้ั สาย โดยนยั แห่งอรยิ สัจส่ี (เห็นตลอดสาย นยั ท่สี อง) ๑๖. ผู้ร้ปู ฏจิ จสมปุ บาทแต่ละสาย ๖๓ โดยนยั แหง่ อริยสัจสี่ ทง้ั ปัจจบุ ัน อดตี อนาคต ชอ่ื วา่ โสดาบัน (ญาณวัตถุ ๔๔) ๑๗. ผ้รู ู้ปฏิจจสมปุ บาทแต่ละสายถงึ “เหตุเกิด” ๗๙ และ “ความดบั ” ท้งั ปจั จุบนั อดตี อนาคต กช็ อื่ ว่าโสดาบัน (ญาณวัตถุ ๗๗)
๑๘. ผ้มู ีธมั มญาณและอนั ๎วยญาณ (พระโสดาบัน) ๙๑ ๑๙. ผสู้ ิ้นความสงสัย (พระโสดาบัน)ในกรณ ี ๙๕ ของความเห็นท่ีเปน็ ไปในลกั ษณะยึดถือตัวตน ๒๐. ผู้สนิ้ ความสงสยั (พระโสดาบัน) ในกรณ ี ๙๙ ของความเหน็ ที่เป็นไปในลกั ษณะขาดสูญ ๒๑. ผลแห่งความเปน็ โสดาบนั ๑๐๕ ๒๒. ความเปน็ โสดาบัน ๑๐๖ ประเสรฐิ กว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๓. ความเป็นพระโสดาบนั ไมอ่ าจแปรปรวน ๑๐๘ ๒๔. สิ่งท่ีผ้ถู งึ พรอ้ มดว้ ยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) ๑๑๐ ทำ�ไม่ได้โดยธรรมชาติ ๒๕. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๒ (พระโสดาบัน) นัยทีห่ นึ่ง ๒๖. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๔ (พระโสดาบนั ) นยั ทีส่ อง ๒๗. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๖ (พระโสดาบนั ) นยั ท่ีสาม
ธรรมะแวดล้อม (หมวดธรรมทช่ี ว่ ยสรา้ งความเข้าใจ แต่ไมไ่ ด้ระบถุ งึ ความเป็นโสดาบันโดยตรง) ๒๘. อริยมรรคมีองคแ์ ปด ๑๒๐ ๒๙. คำ�ทีใ่ ชเ้ รียกแทนความเปน็ พระโสดาบนั ๑๒๕ ๓๐. สังโยชน์สบิ ๑๒๗ ๓๑. อรยิ ญายธรรม คอื การรเู้ รอ่ื งปฏจิ จสมปุ บาท ๑๒๙ ๓๒. ฝุ่นปลายเลบ็ ๑๓๒ (พอรอู้ รยิ สจั ทกุ ขเ์ หลอื นอ้ ยขนาดฝนุ่ ตดิ ปลายเลบ็ เทยี บปฐพ)ี ๓๓. สามัญญผลในพุทธศาสนาเทียบกันไม่ได้ ๑๓๕ กับในลัทธอิ ่นื ๓๔. ลักษณะแหง่ ผเู้ จรญิ อนิ ทรยี ข์ ั้นอรยิ ะ ๑๓๗ ๓๕. พระโสดาบันกับพระอรหนั ตต์ ่างกัน ๑๓๙ ในการเหน็ ธรรม ๓๖. พระโสดาบันกับพระอรหนั ต์ต่างกัน ๑๔๓ ในการเหน็ ธรรม (อีกนัยหนึง่ )
๓๗. ความลดหล่นั แห่งพระอรยิ บคุ คล ๑๔๕ ผปู้ ฏิบัตอิ ยา่ งเดียวกัน ๓๘. คนตกน�ำ้ ๗ จำ�พวก ๑๕๐ (ระดับต่างๆ แหง่ บคุ คลผ้ถู อนตัวข้ึนจากทกุ ข์) ๓๙. คนมกี เิ ลสตกนรกทั้งหมดทกุ คน ๑๕๕ จรงิ หรอื ? (บคุ คลทม่ี เี ชอ้ื เหลือ ๙ จำ�พวก) ๔๐. ผลแปดประการอนั เปน็ ภาพรวม ๑๖๒ ของความเปน็ พระโสดาบนั ๔๑. ระวงั ตายคาประตูนิพพาน ! ๑๖๗ ๔๒. ธรรมเป็นเครื่องอย่ขู องพระอรยิ เจ้า ๑๗๑ ๔๓. ผู้สามารถละอาสวะทง้ั หลาย ๑๗๗ ในสว่ นท่ีละไดด้ ว้ ยการเห็น ๔๔. สัมมาทิฏฐิโลกุตตระ นานาแบบ ๑๘๑ (ตามคำ�พระสารีบตุ ร)
ภาคผนวก พระสูตรที่คน้ ควา้ เพม่ิ เติม ๔๕. คุณสมบตั พิ ระโสดาบัน (นยั ที่ ๑) ๒๑๔ ๔๖. คณุ สมบตั ิพระโสดาบนั (นัยท่ี ๒) ๒๑๕ ๔๗. คุณสมบตั พิ ระโสดาบนั (นัยท่ี ๓) ๒๑๖ ๔๘. คุณสมบัติพระโสดาบัน (นัยท่ี ๔) ๒๒๒ (โสตาปัตติยงั คะ ๔ จ�ำ แนกด้วยอาการ ๑๐) ๔๙. อานสิ งส์ของธรรม ๔ ประการ ๒๓๒ ๕๐. ผตู้ ั้งอยู่ในเสขภมู ิ ๒๓๖ ๕๑. คณุ ธรรมของผูต้ ำ่�กว่าโสตาปัตติมรรค ๒๓๘ และเปน็ เหตใุ หไ้ มไ่ ปสอู่ บายในชาตนิ ัน้ ๕๒. ธรรม ๗ ประการของผตู้ ง้ั อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล ๒๔๐
คูมือโสดาบัน ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ เพื่อตรวจสอบความเปนโสดาบันของตน ดวยตนเอง
2 พุทธวจน ๑ แวน่ สอ่ งความเปน็ พระโสดาบนั อานนท์ ! เราจกั แสดง ธรรมปรยิ ายอันช่ือว่า แว่นธรรม ซ่ึงหากอริยสาวกผู้ใด ไดป้ ระกอบพร้อมแลว้ เมื่อจำ�นงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำ�ได้ในข้อที่ตนเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บาย ทคุ ติ วนิ บิ าตสน้ิ แลว้ , ในขอ้ ทต่ี นเปน็ พระโสดาบนั ผมู้ ีอนั ไมต่ กต่�ำ เป็นธรรมดา เท่ียงแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ ดงั นี้. อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ในที่นี้ เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวัน่ ไหวในองค์พระพุทธเจา้ ... ในองค์พระธรรม... ในองคพ์ ระสงฆ์... และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจ ของเหล่าอริยเจา้ คือ เปน็ ศลี ท่ีไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3 ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่าน สรรเสรญิ เปน็ ศลี ทท่ี ิฏฐิไมล่ บู คลำ� และเปน็ ศลี ท่เี ปน็ ไป เพื่อสมาธิ. อานนท์ ! ธรรมปรยิ ายอนั นแ้ี ล ทช่ี อ่ื วา่ แวน่ ธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำ�นง จะพยากรณ์ตนเอง กพ็ ึงทำ�ได,้ ดงั นี้แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑/๑๔๗๙-๑๔๘๐.
4 พุทธวจน ๒ พระโสดาบนั เปน็ ใคร (นัยท่หี นงึ่ ) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น ้ี เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มแลว้ ดว้ ย ธรรม ๔ ประการนเ้ี อง จงึ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแท้ ตอ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . ธรรม ๔ ประการนน้ั เปน็ อยา่ งไร ? ๔ ประการนน้ั คอื : - (๑) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระพทุ ธเจา้ วา่ เพราะ เหตอุ ยา่ งนๆ้ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลก อยา่ งแจม่ แจง้ เปน็ ผสู้ ามารถฝกึ คนทค่ี วรฝกึ ไดอ้ ยา่ งไมม่ ี ใครยง่ิ กวา่ เปน็ ครขู องเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บานดว้ ยธรรม เปน็ ผมู้ คี วามจ�ำ เรญิ จ�ำ แนกธรรม สัง่ สอนสัตว์ ดังน.ี้
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5 (๒) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระธรรม วา่ พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ แี ลว้ , เปน็ สง่ิ ทผ่ี ศู้ กึ ษา และปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง, เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ใหผ้ ลไดไ้ มจ่ �ำ กดั กาล, เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจง มาดเู ถดิ , เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั , เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ด้ เฉพาะตน ดงั นี.้ (๓) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในพระสงฆ์ วา่ สงฆส์ าวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ติ รงแลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ ธู้ รรมเครอ่ื งออกจากทกุ ขแ์ ลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ สมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คอื คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ . นน่ั แหละคอื สงฆส์ าวกของพระผมู้ ี พระภาคเจา้ เปน็ สงฆ์ควรแก่สักการะท่เี ขาน�ำ มาบชู า เปน็ สงฆค์ วรแกส่ กั การะทเ่ี ขาจดั ไว้ตอ้ นรบั เป็นสงฆ์ควรรบั ทกั ษิณาทาน เปน็ สงฆท์ ี่บคุ คลทวั่ ไปจะพงึ ท�ำ อญั ชลี เปน็ สงฆท์ ่ีเปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญอ่ืนยิง่ กวา่ ดงั น้ี.
6 พุทธวจน (๔) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ทง้ั หลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า : เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลท่ีเป็นไทจากตัณหา เปน็ ศลี ทีผ่ รู้ ทู้ า่ นสรรเสรญิ เป็นศีลทีท่ ฏิ ฐไิ ม่ลบู คล�ำ และ เป็นศลี ที่เป็นไปเพ่ือสมาธิ ดังน้.ี ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอรยิ เจา้ ผปู้ ระกอบ พรอ้ มแลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล ชอ่ื วา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙-๔๓๐/๑๔๑๔-๑๔๑๕.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7 ๓ พระโสดาบนั เปน็ ใคร (นยั ท่ีสอง) อยา่ กลัวเลย มหานาม ! อยา่ กลวั เลย มหานาม ! ความตายของท่านจักไม่ต่ำ�ทราม กาลกิริยาของท่าน จกั ไมต่ ่�ำ ทราม. มหานาม ! อรยิ สาวกผูป้ ระกอบด้วย ธรรม ๔ ประการ ย่อมเปน็ ผมู้ ปี กติน้อมไปในนพิ พาน โน้มไปสูน่ พิ พาน เอนไปทางนพิ พานโดยแท.้ ธรรม ๔ ประการ อยา่ งไรเล่า ? ธรรม ๔ ประการ คอื :- มหานาม ! อรยิ สาวกในกรณนี ้ี (๑) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวัน่ ไหวในพระพทุ ธเจา้ ว่า “เพราะเหตอุ ย่างน้ีๆ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ นั้น เป็นผไู้ กลจากกิเลส ตรสั รูช้ อบได้ โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติ ใหถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลกอยา่ งแจม่ แจง้ เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
8 พุทธวจน เปน็ ครผู ู้สอนของเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตน่ื ผู้เบกิ บาน ด้วยธรรม เปน็ ผูม้ คี วามจำ�เริญ จ�ำ แนกธรรม ส่งั สอนสัตว”์ ดังน.ี้ (๒) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ว่า “พระธรรม เป็นสิ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและ ปฏบิ ตั พิ งึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง เปน็ สง่ิ ทป่ี ฏบิ ตั ไิ ดแ้ ละใหผ้ ลได้ ไมจ่ �ำ กดั กาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดังน.้ี (๓) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ วา่ “สงฆส์ าวกของพระผมู้ ี พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัตใิ ห้รธู้ รรมเปน็ เครอ่ื งออกจากทุกขแ์ ลว้ เปน็ ผปู้ ฏิบัติสมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่ง บรุ ษุ สค่ี ู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ นน่ั แหละสงฆส์ าวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ สงฆค์ วรแกส่ กั การะทเ่ี ขาน�ำ มาบชู า เปน็ สงฆค์ วรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควร
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 9 รับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ�อัญชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดังนี้. (๔) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ทง้ั หลาย ชนดิ เปน็ ทพ่ี อใจของเหลา่ พระอรยิ เจา้ : เปน็ ศลี ทไ่ี มข่ าด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไมพ่ รอ้ ย เปน็ ศลี ที่เปน็ ไทจากตัณหา เป็นศีลทผ่ี รู้ ้ทู า่ นสรรเสริญ เปน็ ศีลท่ีทฏิ ฐิไม่ลูบคลำ� และ เป็นศลี ทเ่ี ป็นไปพร้อมเพ่ือสมาธิ ดงั น.ี้ มหานาม ! เปรียบเหมือนต้นไม้น้อมไปใน ทิศปราจีน โน้มไปสู่ทิศปราจีน เอนไปทางทิศปราจีน. ต้นไม้นั้น เมื่อเขาตัดที่โคนแล้ว มันจะล้มไปทางไหน? “มนั จะลม้ ไปทางทศิ ทม่ี นั นอ้ มไป โนม้ ไป เอนไปพระเจา้ ขา้ !”. มหานาม ! ฉันใดก็ฉันนั้น : อริยสาวกประกอบ แลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี ยอ่ มเปน็ ผมู้ ปี กตนิ อ้ มไป ในนพิ พาน โนม้ ไปส่นู พิ พาน เอนไปทางนพิ พานโดยแท้ แล. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๖๕-๔๖๖/๑๕๑๑-๑๕๑๒.
1 0 พุทธวจน ๔ พระโสดาบนั ประกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด สารีบุตร ! ทม่ี ักกล่าวกนั วา่ โสดาบัน-โสดาบนั ดงั น้ี เปน็ อยา่ งไรเล่า สารีบตุ ร ? “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ทา่ นผใู้ ด เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดนอ้ี ย ู่ ผเู้ ชน่ นน้ั แล ขา้ พระองคเ์ รยี กวา่ เป็น พระโสดาบนั ผมู้ ชี อ่ื อยา่ งนๆ้ี มโี คตรอยา่ งนๆ้ี พระเจา้ ขา้ !”. สารีบตุ ร ! ถกู แลว้ ถกู แลว้ ผทู้ ป่ี ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอริยมรรคมอี งค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเองกเ็ รียกผ้เู ช่นน้ัน วา่ เปน็ พระโสดาบัน ผู้มีชือ่ อยา่ งน้ๆี มโี คตรอยา่ งนี้ๆ. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1 1 ๕ หลกั เกณฑพ์ ยากรณภ์ าวะโสดาบนั ของตนเอง คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการอนั อรยิ สาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ ดว้ ย, อรยิ สาวกประกอบ พรอ้ มแลว้ ดว้ ยโสตาปตั ติยังคะส่ี ดว้ ย, อรยิ ญายธรรม เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้ว ด้วยดดี ้วยปญั ญา ด้วย; ในกาลนั้น อริยสาวกนัน้ เม่อื หวังอย่กู พ็ ยากรณ์ ตนดว้ ยตน นนั่ แหละวา่ “เราเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บายทคุ ตวิ นิ บิ าตสน้ิ แลว้ , เราเปน็ ผู้ถึงแล้วซ่งึ กระแส (แหง่ นพิ พาน) มีความไม่ตกต่�ำ เปน็ ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อม เป็นเบื้องหน้า” ดังนี.้ คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ เหล่าไหนเลา่ อันอริยสาวกท�ำ ใหส้ งบรำ�งบั ได้แล้ว ?
1 2 พุทธวจน (๑) คหบดี ! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่เป็นปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรม (ปจั จบุ ัน) บ้าง, ย่อม ประสพภัยเวรใดในสัมปรายิก (ในเวลาถัดต่อมา) บ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะปาณาติบาต เป็นปัจจยั ; ภยั เวรนัน้ ๆ เป็นสงิ่ ทีอ่ รยิ สาวกผู้เวน้ ขาดแลว้ จากปาณาติบาต ทำ�ให้สงบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . (๒) คหบดี ! บุคคลผ้ถู ือเอาส่ิงของท่ีเขาไม่ได้ ใหอ้ ยูเ่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภัยเวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ยอ่ มเสวยทกุ ขโทมนสั แห่งจิตบ้าง เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้นๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากอทินนาทาน ทำ�ให้ สงบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . (๓) คหบดี ! บคุ คลผปู้ ระพฤตผิ ดิ ในกามทง้ั หลาย อยเู่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ ม ประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ย่อมเสวยทกุ ขโทมนสั แหง่ จติ บา้ ง, เพราะกาเมสมุ จิ ฉาจารเปน็ ปจั จยั ; ภยั เวรนน้ั ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากกาเมสุมิจฉาจาร ทำ�ใหส้ งบรำ�งับไดแ้ ลว้ .
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1 3 (๔) คหบดี ! บุคคลผ้กู ล่าวคำ�เท็จอย่เู ป็นปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวร ใดในสัมปรายิกบ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะมสุ าวาทเปน็ ปจั จยั ; ภยั เวรนน้ั ๆ เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวก ผเู้ วน้ ขาดแลว้ จากมสุ าวาท ท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . (๕) คหบดี ! บุคคลผ้ดู ่มื สุราและเมรัยอันเป็น ที่ตง้ั ของความประมาทอยู่เป็นปกติ ยอ่ มประสพภยั เวร ใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะสุราและเมรัย เปน็ ปัจจัย ภยั เวรน้นั ๆ เปน็ สง่ิ ทอี่ รยิ สาวกผ้เู วน้ ขาดแลว้ จากสุราและเมรัย ท�ำ ให้สงบร�ำ งบั ได้แล้ว. คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้แล อัน อรยิ สาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . ………… คหบดี ! อรยิ สาวก เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ย องคแ์ หง่ โสดาบนั ๔ ประการ เหลา่ ไหนเลา่ ?
1 4 พุทธวจน (๑) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส ตรสั รชู้ อบได้ โดยพระองคเ์ อง เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เปน็ ผ้ไู ปแลว้ ด้วยดี เป็นผรู้ ้โู ลกอยา่ งแจม่ แจง้ เปน็ ผสู้ ามารถ ฝกึ คนทค่ี วรฝกึ ไดอ้ ยา่ งไมม่ ใี ครยง่ิ กวา่ เปน็ ครขู องเทวดา และมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บาน ดว้ ยธรรม เป็นผู้มคี วามจำ�เรญิ จำ�แนกธรรมสงั่ สอนสตั ว”์ ดังน้ี. (๒) คหบดี ! อรยิ สาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมห่ วน่ั ไหว ในพระธรรม วา่ “พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ ี พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นส่ิงท่ีปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จ�ำ กดั กาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดงั น.้ี
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1 5 (๓) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระสงฆ์ ว่า “สงฆ์สาวกของพระผู้มี พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เปน็ ผปู้ ฏบิ ัติสมควรแลว้ ได้แกบ่ คุ คลเหล่านี้ คอื คแู่ ห่ง บุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละ คือ สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจา้ เปน็ สงฆค์ วรแกส่ ักการะทเี่ ขานำ� มาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็น สงฆ์ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ� อญั ชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดงั น.้ี (๔) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็นท่ี พอใจของพระอริยเจา้ : เป็นศีลทีไ่ ม่ขาด ไม่ทะลุ ไมด่ ่าง ไมพ่ ร้อย เป็นศลี ท่เี ป็นไทจากตัณหา วญิ ญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกทิฏฐิลบู คลำ� เปน็ ศีลทเี่ ปน็ ไปพรอ้ มเพอื่ สมาธิ ดงั น้ี.
1 6 พุทธวจน คหบดี ! อรยิ สาวก เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยองคแ์ ห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหลา่ น้แี ล. ………… คหบดี ! ก็ อรยิ ญายธรรม เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวก เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา เป็น อยา่ งไรเลา่ ? คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ย่อมทำ�ไว้ ในใจโดยแยบคาย เปน็ อยา่ งดี ซง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาทนน่ั เทยี ว ดังน้วี ่า “เพราะส่งิ น้มี ี ส่งิ น้จี ึงมี; เพราะความเกิดข้นึ แหง่ สง่ิ น้ี สง่ิ นจ้ี งึ เกดิ ขน้ึ . เพราะสง่ิ นไ้ี มม่ ี สง่ิ นจ้ี งึ ไมม่ ;ี เพราะความดับไปแห่งสง่ิ น้ี สิง่ นีจ้ ึงดับไป: ขอ้ น้ีได้แก่ สง่ิ เหลา่ น ้ี คอื เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั จงึ มสี งั ขารทง้ั หลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสท้ังหลาย จึงเกิดข้ึน ครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอย่างน.ี้
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1 7 เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา นั้นนั่นเทยี ว จงึ มคี วามดบั แหง่ สังขาร; เพราะมคี วามดบั แหง่ สงั ขาร จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างน้”ี . คหบดี ! อริยญายธรรม1 นี้แล เป็นธรรมที่ อริยสาวกน้ันเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วย ปญั ญา. คหบดี ! ในกาลใดแล ภยั เวร ๕ ประการ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวกทำ�ให้สงบรำ�งับได้แล้วด้วย, อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ เหลา่ นี้ ด้วย, อริยญายธรรมนี้ เป็นธรรมอนั อรยิ สาวก เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาด้วย; 1. ดคู �ำ อธบิ ายความหมายของค�ำ นโ้ี ดยละเอยี ดไดใ้ นหมวด “ธรรมะแวดลอ้ ม” ในหวั ข้อที่ ๓๑ หน้า ๑๒๙.
1 8 พุทธวจน ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่ ก็พยากรณ์ตน ด้วยตนนั้นแหละว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำ�เนิด เดรัจฉานส้ินแล้ว มีเปรตวิสัยส้ินแล้ว มีอบายทุคติ วนิ บิ าตสิน้ แล้ว, เราเปน็ ผูถ้ ึงแลว้ ซ่ึงกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรูพ้ ร้อมเปน็ เบือ้ งหนา้ ” ดงั นี.้ ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕-๑๙๘/๙๒. หมายเหตผุ รู้ วบรวม : ยงั มสี ตู รอกี สตู รหนง่ึ ขอ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั สตู รนี้ ผดิ กนั แตเ่ พยี งตรสั แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายแทนทจ่ี ะตรสั กบั อนาถบณิ ฑกิ คหบด,ี คอื สตู รท่ี๒แหง่ คหปตวิ รรคอภสิ มยสงั ยตุ ต์นทิ าน.ส.ํ ๑๖/๘๕/๑๕๖. และ ยงั มสี ตู รอกี สตู รหนง่ึ (เวรสตู รท่ี ๒ อปุ าสกวรรค ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๙๕/๙๒.) มเี คา้ โครงและใจความของสตู รเหมอื นกนั กบั สตู รขา้ งบนน้ี ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง ในสตู รน้ันมคี �ำ วา่ “ยอ่ มพิจารณาเหน็ โดยประจักษ์” แทนค�ำ วา่ “ยอ่ ม กระท�ำ ไวใ้ นใจ โดยแยบคายเปน็ อยา่ งดี ซง่ึ ปฏิจจสมปุ บาทน่ันเทียว” แห่งสตู รขา้ งบนนี้ เทา่ นั้น.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1 9 ๖ พระโสดาบนั รจู้ กั ปญั จปุ าทานขนั ธ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอื่ ใดแล สาวกของพระอรยิ เจ้า ในธรรมวินัยนี้ มารู้จกั ความก่อข้นึ แห่งอปุ าทานขันธ์ห้า, รจู้ ักความตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ของอปุ าทานขันธห์ ้า, รู้จกั รสอร่อยของอุปาทานขนั ธห์ า้ , รจู้ ักโทษอันร้ายกาจของอปุ าทานขันธห์ า้ , รจู้ กั อบุ ายทไ่ี ปใหพ้ น้ อปุ าทานขนั ธห์ า้ นเ้ี สยี ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ ; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื นน้ั แหละ สาวกของพระอรยิ เจา้ ผนู้ น้ั เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.
2 0 พุทธวจน ๗ พระโสดาบนั รจู้ กั อนิ ทรยี ห์ ก ภิกษทุ ้งั หลาย ! อนิ ทรยี 1์ ๖ อยา่ งเหล่าน้ี มีอย.ู่ ๖ อยา่ งอะไรเลา่ ? ๖ อย่าง คือ :- จกั ขุนทรยี ์ โสตนิ ทรยี ์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรยี ์ กายนิ ทรีย ์ มนนิ ทรยี ์ ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อใดแล อริยสาวกมา รูจ้ กั ความก่อข้ึนแหง่ อนิ ทรยี ท์ ้ังหกเหลา่ น้,ี ร้จู ักความต้ังอย่ไู มไ่ ด้แห่งอินทรยี ท์ ้งั หกเหล่าน้,ี รูจ้ กั รสอรอ่ ยของอินทรียท์ ง้ั หกเหล่านี้, รู้จักโทษอันร้ายกาจของอนิ ทรียท้งั หกเหลา่ น้,ี รจู้ กั อุบายทไ่ี ปให้พ้นอนิ ทรยี ท์ ั้งหกเหล่านี้, ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ ; 1. อนิ ทรยี ์ แปลวา่ อ�ำ นาจหรอื ความเปน็ ใหญ;่ เมอ่ื รวมกบั ค�ำ วา่ ตา (จกั ขนุ ทรยี ์) ก็จะหมายถึง ความเปน็ ใหญใ่ นเรือ่ งการมองเหน็ หรอื ก็คือความเป็นใหญ่ ในหน้าท่นี ัน้ ๆ (เชน่ การได้ยิน, การไดก้ ล่นิ , ...).
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2 1 ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๙๐๒-๙๐๓.
2 2 พุทธวจน
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2 3 ๘ โสดาปตั ตมิ รรค ๒ จ�ำ พวก ก. สัทธานุสารี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ตา...หู...จมูก...ล้นิ ...กาย...ใจ เปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวนเปน็ ปกติ มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอน่ื เปน็ ปกต.ิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บคุ คลใด มคี วามเชอ่ื นอ้ มจติ ไป ในธรรม ๖ อย่างนี้ ด้วยอาการอย่างน้;ี บุคคลน้ีเราเรยี กวา่ เป็น สทั ธานุสารี หย่ังลงสู่สมั มตั ตนิยาม (ระบบแห่งความถกู ตอ้ ง) หยงั่ ลงส่สู ปั ปุรสิ ภูมิ (ภมู ิแหง่ สตั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภูมิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเข้าถึงนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสัย และ ไมค่ วรทจ่ี ะท�ำ กาละกอ่ นแตท่ จ่ี ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล.
2 4 พุทธวจน ข. ธมั มานุสารี ภกิ ษุท้งั หลาย ! ธรรม ๖ อย่างเหลา่ นี้ ทนตอ่ การเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใด ด้วยอาการอยา่ งนี้; บคุ คลนเี้ ราเรยี กว่า ธัมมานสุ ารี หยัง่ ลงสสู่ ัมมตั ตนิยาม (ระบบแห่งความถูกต้อง) หยั่งลงสสู่ ปั ปุรสิ ภูมิ (ภูมแิ หง่ สตั บุรุษ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเข้าถึงนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสัย และ ไมค่ วรทจ่ี ะท�ำ กาละกอ่ นแตท่ จ่ี ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล. ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2 5 ๙ โสดาปตั ตผิ ล ภกิ ษุท้งั หลาย ! บุคคลใดย่อมรู้ ย่อมเห็นซึ่ง ธรรม ๖ อยา่ งเหลา่ น้ี ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี (ตามทก่ี ลา่ วแลว้ ในโสดาปตั ตมิ รรค ๒ จ�ำ พวก มกี ารเหน็ ความไมเ่ ทย่ี งเปน็ ตน้ ); บุคคลนี้เราเรียกว่า โสดาบัน (ผู้ถงึ แลว้ ซ่งึ กระแส) ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน มีการตรสั รู้พร้อมเป็นเบือ้ งหนา้ . ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๗๘/๔๖๙. สตู รขา้ งบนน้ี (ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.) ทรงแสดงอารมณ์ แหง่ อนจิ จงั เปน็ ตน้ ดว้ ยธรรม ๖ อยา่ ง คอื อายตนะภายในหก; ในสูตร ถัดไปทรงแสดงอารมณ์นั้น ด้วยอายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็มี, แสดงด้วยวิญญาณหก ก็มี, ดว้ ยสมั ผสั หก ก็มี, ดว้ ยเวทนาหก ก็ม,ี ด้วยสญั ญาหก กม็ ,ี ด้วย สญั เจตนาหก กม็ ี, ดว้ ยตัณหาหก กม็ ,ี ดว้ ยธาตุหก กม็ ,ี และดว้ ย ขนั ธ์หา้ กม็ ;ี ทรงแสดงไวด้ ว้ ยหลักการปฏิบัติอย่างเดียวกนั .
2 6 พุทธวจน สารบี ตุ ร ! อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค นน้ี ัน่ แหละ ชอ่ื วา่ กระแส ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๔-๔๓๕/๑๔๓๑.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2 7 ๑๐ พระโสดาบนั เปน็ ผบู้ รบิ รู ณใ์ นศลี (ปาฏโิ มกข)์ ไดพ้ อประมาณในสมาธแิ ละปญั ญา ภิกษทุ ั้งหลาย ! สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้ ย่อมมาสูอ่ ทุ เทส (การยกขึน้ แสดงในทา่ มกลางสงฆ์) ทุกกึง่ แห่งเดือนตามลำ�ดับ อันกุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์ พากนั ศกึ ษาอยใู่ นสิกขาบทเหล่านนั้ . ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! สิกขาสามอย่างเหล่าน้ีมีอยู่ อันเปน็ ทป่ี ระชุมลงของสิกขาบททงั้ ปวงนัน้ . สกิ ขาสามอยา่ งนั้นเปน็ อย่างไรเลา่ ? คอื :- อธสิ ีลสกิ ขา อธิจิตตสกิ ขา อธิปัญญาสกิ ขา ภิกษุทัง้ หลาย ! เหล่าน้ีแล สิกขาสามอย่าง อนั เปน็ ท่ีประชมุ ลงแหง่ สิกขาบทท้งั ปวงนนั้ .
2 8 พุทธวจน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผู้ ท�ำ ใหบ้ รบิ รู ณ์ ในศลี ท�ำ พอประมาณในสมาธ ิ ท�ำ พอประมาณในปญั ญา. เธอยงั ลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย1บา้ ง และตอ้ งออกจากอาบตั ิ เลก็ นอ้ ยเหลา่ นน้ั บา้ ง. ข้อนน้ั เพราะเหตุไรเล่า ? ขอ้ นน้ั เพราะเหตวุ า่ ไมม่ ผี รู้ ใู้ ดๆ กลา่ วความอาภพั ต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้น เพราะเหตุสักว่า การลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย และการตอ้ งออกจากอาบตั เิ ลก็ นอ้ ย เหลา่ น.้ี ส่วนสิกขาบทเหล่าใดที่เป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย2์ ทเ่ี หมาะสมแกพ่ รหมจรรย,์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื มศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบทเหลา่ นน้ั สมาทานศกึ ษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. 1. สิกขาบทเลก็ นอ้ ย คอื อภิสมาจารกิ าสกิ ขา เปน็ สิกขาบทท่ีบัญญตั ิเพ่อื ให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนที่ยังไม่เลื่อมใส และเลื่อมใสยิ่งเกิดขึ้นแก่คนท่ี เล่อื มใสแลว้ . 2. สิกขาบทเหลา่ ใดท่เี ปน็ เบอื้ งตน้ แห่งพรหมจรรย์ คอื สิกขาบทปาฏโิ มกข์.
ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2 9 ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม เป็นโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็น ผเู้ ทยี่ งตอ่ พระนพิ พาน มกี ารตรสั รพู้ รอ้ มในเบอื้ งหนา้ . ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗-๒๙๙/๕๒๖.
3 0 พุทธวจน ๑๑ พระโสดาบนั ละสงั โยชนไ์ ดส้ ามขอ้ มสี ามจ�ำ พวก ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม1 เป็นผู้สัตตักขัตตุปรมะ ยังต้องท่องเที่ยวไปในภพ แห่งเทวดาและมนุษย์อีกเจ็ดครั้ง เป็นอย่างมาก แล้ว ย่อมกระทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้. (หรอื วา่ ) ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม เปน็ ผโู้ กลงั โกละ จกั ตอ้ งทอ่ งเทย่ี วไปสสู่ กลุ อกี สองหรอื สามครง้ั แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ (หรอื ว่า) ภกิ ษุนนั้ , เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง สงั โยชนส์ าม เปน็ ผเู้ ปน็ เอกพชี ี คอื จกั เกดิ ในภพแหง่ มนษุ ย์ อกี หนเดยี วเทา่ นน้ั แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ติก. อํ. ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗. 1. สงั โยชน์ คอื เครอ่ื งรอ้ ยรดั จติ ๑๐ ประการ; ดใู นธรรมะแวดลอ้ มหวั ขอ้ ท่ี ๓๐ หนา้ ๑๒๗.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288