สังคมโลกในศตวรรษที่ 21 มีความแตกต่างจากในอดีตมาก มีการเคลื่อนย้ายผู้คน ส่ือ เทคโนโลยี และทรัพยากรต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็วและสะดวก มีความเชื่อมโยงทาง เศรษฐกจิ สงั คม การเมืองการปกครองระหว่างภมู ภิ าค ประเทศ สงั คมและชุมชน มคี วามซับซ้อนและ เปล่ียนแปลงของความรู้และข้อมูลข่าวสารตลอดเวลาอย่างเป็นพลวัต Whitehead (1931) อธิบายว่า ในอดีตช่วงอายุของคนคนหนึ่งอาจมีเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงให้พบเห็นน้อย ต่างจากในปัจจุบัน ท่ี ในช่วงอายุคนคนหนึ่งมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมเกิดขึ้นมากมาย วิถีชีวิตและการทำงานในศตวรรษ ที่ 21 มีความแตกต่างจากอดีต มีความเปิดกว้าง ยอมรับ และให้ความสำคัญกับข้อมูลความรู้และ ข่าวสารที่หลากหลาย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนในศตวรรษนี้จึงไม่ สามารถใช้ความรู้และทักษะบางอย่างในอดีตมาแก้ปัญหาในปัจจุบันได้ดี การจัดการศึกษาและการ เรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 จึงไมใ่ ชก่ ระบวนการถ่ายทอดความรู้ แตค่ ือการส่งเสรมิ ทักษะการเรียนรู้ตลอด ชีวติ ใหก้ บั ผคู้ น ฉะนั้น กระบวนการจัดการศึกษาในประเทศไทยอาจจะต้องกลับมาทบทวนหลาย ๆ ปัจจัยที่ ยงั เป็นอปุ สรรคและปัญหาทง้ั กระบวนการจากการศึกษาเอกสาร ตำรา บทความทางวิชาการ งานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง และสภาพข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาในอดีตถึงปัจจุบัน พบว่ามีปัญหาการศึกษาหลาย ประการที่ยังพบอยู่ในปัจจบุ นั ทีส่ ำคัญ ๆ ได้แก่ 1. ปัญหาครู ที่สำคัญ คือ ปัญหาการผลิตครูที่ยังไม่สามารถผลิตให้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม เพียงพอในทุกระดับการศึกษาและสาขาวิชา ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนครูตามมา ส่วนปัญหา คุณภาพครูพบว่ายังมีครบู างส่วนที่ยงั ไม่ได้มาตรฐานด้านความรู้ท่ีดีเพียงพอที่จะถ่ายทอดให้กับผู้เรียน นอกจากน้ีครูบางส่วนยังขาดความตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบ ขาดคุณธรรมจริยธรรม รวมท้ัง ปัญหาหนี้สินของครูซึ่งเป็นเหตุให้ครูขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน และมีคุณภาพชีวิตลดลง ทำให้ อุทิศตนต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ไม่เต็มที่ ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ผลสัมฤทธิ์ใ นการ เรียนการสอนของผรู้ บั การศึกษาหรอื ผเู้ รยี นและคุณภาพการศกึ ษาโดยรวมของประเทศลดลงไปดว้ ย 2. ปัญหาการเรียนรู้ ที่สำคัญ คือ ปัญหาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพของผู้เรียนตกต่ำ โดยเฉพาะกรณีที่เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปัญหาหลักสูตรการเรียนการสอน กระบวนการจัดการ เรียนรู้และการวัดประเมนิ ผล รวมท้ังการเรียนการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์และหนา้ ที่ความเปน็ พลเมือง ซ่ึงเปน็ วิชาที่ได้รับความสำคัญนอ้ ยมาก ในปจั จุบัน จนถกู มองวา่ หายไปหรอื ยงั คงมีอยู่ แต่เปน็ ส่วนหน่ึง ที่อยู่ในวิชาอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงหลักสูตรให้มีเนื้อหาสาระวชิ าประวัติศาสตร์และหน้าที่ความ เป็นพลเมืองนั้นแยกมาโดยเฉพาะ 3. ปัญหาระบบการบริหารจัดการ ที่สำคัญ คือ ปัญหาในเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการ การศึกษา ปัญหาการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาจากส่วนกลางสู่เขตพื้นที่การศึกษา 93
และสถานศึกษา แมจ้ ะมกี ฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และวธิ ีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัด การศึกษาแล้วก็ตาม แตห่ น่วยท่นี ำไปปฏิบัติยังไม่มีความเป็นอิสระและคล่องตวั ในการบริหารงานและ จดั การศึกษาเทา่ ทค่ี วร 4. ปัญหาการกระจายโอกาสและคุณภาพการศึกษา ที่สำคัญ คือ ปัญหาการจัดการศึกษา โดยภาครัฐของไทยมีการรวมศูนย์โดยส่วนกลาง แม้จะเปิดโอกาสให้พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและ หลักสูตรสถานศึกษาได้เอง แตใ่ นทางปฏบิ ตั ิสำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาส่วนใหญย่ งั ไม่ให้ความสำคัญ กับการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น และหลักสูตรสถานศึกษา รวมทั้งเกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็น ธรรมทางการศึกษาในพ้ืนท่จี ังหวัดชายแดนภาคใตแ้ ละโรงเรยี นชายขอบ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก และการศกึ ษาของเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส ซึง่ เปน็ ปัจจยั ท่ีทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน ในคณุ ภาพของการศึกษาเป็นต้น 5. ปัญหาการผลิตและพัฒนากำลังคนเพ่ือเพิ่มศักยภาพการแข่งขนั ที่สำคัญ คือ หลักสูตร การอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาปจั จุบนั ไมส่ ามารถตอบสนองความต้องการเพ่ือผลติ และพฒั นากำลังคน ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพและศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ (กลุ่มงานบริการวิชาการ สำนักงาน เลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร์,2559 : 3-4) นอกจากนี้ ยังมีความซับซ้อนของปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยอีกมากมาย เช่น การปฏิรูป การเปลี่ยนแปลงการบริหาร แผนการศึกษายังไร้ทิศทาง โครงสร้างการบริหารยงั รวมศูนย์ ขาดแคลน ครูในบางสาขา นโยบายสร้างความสับสนทางการศึกษา การประกันคุณภาพสร้างภาระมาก ครูถูก เบี่ยงเบนความสนใจภาระงานสอน สนใจการศึกษาแต่ขาดการเรียนรู้ ลูกคนงานต่างด้าวเข้าไปถึง ระบบการศึกษา ทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด วิธีสอนล้าสมัยเน้นการท่องจำ ภาระงาน ครูมากเกินไป เรียนกวดวิชา การฝึกฝนอบรมไม่ตรงกับความต้องการ เงินเดือนครูต่ำ นักเรียนสาย อาชีวะเรียนต่อปริญญาตรี เวลาเรียนมากแต่เวลาเรียนรู้ได้น้อย เรียนแต่วิชาการไม่ได้เรียนจริยธรรม ปริญญาตรีล้น อาชีวะขาดแคลน จึงกล่าวได้ว่า ปัญหาความล้มเหลวของการศึกษาไทยไม่ได้มีสาเหตุ มาจากการขาดแคลนทรพั ยากรทจ่ี ำเป็น แต่เกิดจากการขาด “ประสิทธิภาพ” ในการใชท้ รพั ยากร อัน เนื่องมาจากการขาด “ความรับผิดชอบ ” ของระบบการศึกษาต่อนักเรียนและผู้ปกครอง การปฏิรูป คุณภาพการศึกษาจึงควรเริ่มต้นด้วยการสร้างความรับผิดชอบของผู้จัดการศึกษาทั้งภาครัฐโรงเรียน และครู (อัมมาร สยามวาลา และคณะ, 2555 : 4) เพราะสถานการณ์การศึกษาของประเทศไทยมิใช่ ว่าจะตกต่ำไปอย่างนี้ตลอดไป หากวันใดที่ผู้บริหารประเทศเห็นความสำคัญในการผลักดันการแก้ไข ปัญหาและการพัฒนาคุณภาพอย่างจริงจังที่ไร้ซึ่งทุนผูกมัดและการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้อำนาจ อีกทัง้ การจัดการระบบศกึ ษาใหท้ วั่ ถึง ดังทร่ี ะบไุ วใ้ นรฐั ธรรมนูญไทยว่าต้องให้รัฐจัดการศึกษาอย่างเท่า เทียม เป็นธรรม มีความเสมอภาคไม่ว่าจะผู้เรียนจะอยู่ที่ในตัวเมืองหรือในชนบทที่ห่างไกลย่อม 94
สามารถเข้าถึงสิทธิ์ทางการศึกษาเท่าเทียมกัน นอกจากนี้หากรัฐบาลยังมีความเห็นว่าความแตกต่าง ของการจัดการศึกษาของภาคเอกชนมีประสิทธิภาพก็นา่ จะให้เอกชนเข้ามาจัดการศึกษาด้วยก็ได้แตก่ ็ ต้องต้ังอยู่บนฐาน ของความเสมอภาคมิใช่มองถึงทุนเป็นที่ตั้ง อีกทั้งการจัดการศึกษาน่าจะเป็นเชิง กระบวนการมากกว่าจะเป็นช่วงชั้นแต่ละวัยที่ไม่สอดรับการส่งต่อระหว่างการจัดการศึกษา ที่แม้ว่า ผู้ปกครองมีสทิ ธิจ์ ะเลอื กใหบ้ ุตรตนเองไปเรียนทไี่ หนก็ได้ก็แสดงให้เหน็ ถงึ คุณภาพของโรงเรียนบางแห่ง วา่ ขาดประสทิ ธภิ าพในการพัฒนาบุตรของตนเองจึงออกมาในรูปของการยา้ ยโรงเรยี นไปเรื่อย ๆ ซง่ึ ทำ ให้เปน็ ผลเสียมากกวา่ ผลดี และการพฒั นาคณุ ภาพของผู้เรียนกจ็ ะขาดความตอ่ เนอ่ื ง แนวคดิ การพัฒนาทกั ษะการสอนของครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาบุคลากรทีเ่ ป็นระบบและต่อเนือ่ งมุ่งเน้นการกำหนดมาตรฐานความสามารถแต่ละ ตำแหน่งโดยมีที่มาจากพื้นฐานความรู้ (knowledge) ทักษะ (skill) คุณลักษณะส่วนบุคคล (trait) ซึ่ง ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดในการปฏิบตั ิงาน ดังนั้นจะต้องมีเคร่ืองมือทีส่ ามารถแปรกลยุทธ์ขององค์กร ไปสู่การบริหารงานบุคคลให้เป็นไปอย่างมีทิศทาง และมีความต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการสรรหา และคัดเลือก การพัฒนาบุคลากร การวัดและประเมินศักยภาพ การวางแผนอาชีพ เป็นต้น เพื่อให้ บรรลุเป้าหมายตามที่องค์กรกำหนด สถานศึกษาจึงจำเป็นต้องปรับระบบการบริหารงานบุคคลให้มี ทิศทางที่ชัดเจน การพัฒนาบุคลากรจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาในสถานศึกษาให้มีความสามารถตรงตามที่ต้องการ โดยมุ่งเน้นคุณลักษณะที่สนับสนุนต่อ ความสำเร็จของสถานศกึ ษา และคุณลักษณะที่สัมพันธ์กับความสำเร็จของงานในปัจจุบันก็ยงั ไม่มผี ้ใู ด ที่ระบุสมรรถนะหลักของครู (ภิญญาพัชญ์ กาวินคำ, 2560 : 22) โดยเฉพาะการจัดการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 เน้นให้ทั้งผู้เรียนและครูก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน ผู้ที่ต้องพัฒนาไม่ใช่เพียง ผู้เรียนเท่านั้น แต่รวมไปถึงครูด้วยที่ต้องปรับบทบาทเป็นครูในศตวรรษที่ 21 โดยการไม่ตั้งตนเป็น “ผู้รู้”แต่เป็น “ผู้เรียนรู้” เรียนไปพร้อมกับผู้เรียน ปรับกระบวนการเรียนการสอนเป็น “สอนน้อย เรียนมาก” เรียนรู้จากการปฏิบัติ เรียนรู้จากชีวิตจริง เรียนรู้จากความซับซ้อนและไม่ชัดเจนของโลก และสังคม รวมไปถึงสร้างความรู้ขึ้นใช้เองและส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ขึ้นใช้เองเช่นกัน ครูต้อง พัฒนาและปรับเปลี่ยนบทบาทเป็น “โค้ช” และการออกแบบการเรียนรู้เพื่อผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (นวพร ชลารกั ษ์, 2558) : 71) เพราะฉะนั้น การพัฒนาด้านทักษะวิทยาการให้ทันสมัย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เทคนิค วิธีการ เรยี น การสอนแบบใหมๆ่ ท่ีมปี ระสิทธิภาพเพือ่ การพฒั นาทักษะที่จำเปน็ สำหรับครูไทยในอนาคต 95
การพัฒนาครูยคุ ใหม่ 4.0 (8C-Teacher) น่าสนใจ 8 ประการเปน็ การสอนที่ครูต้องนำทักษะ ทั้ง 8 ด้านไปใช้ในการพัฒนาตนเองให้เกิดประสิทธิภาพ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, อ้างใน ศิริพร ปัญญาจันทร์, มปป. : 2) ได้ 8 ประการดงั น้ี 1. Content ครูต้องมีความรู้และทักษะในเรื่องที่สอนเป็นอย่างดี หากไม่แม่นในเรื่องที่สอน หรอื ถา่ ยทอดแลว้ กย็ ากทน่ี กั เรยี นจะมคี วามรู้ความเขา้ ใจในเนอื้ หานนั้ ๆ 2. Computer (ICT) Integration ครูต้องมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ จัดการเรียนการสอน เนื่องจากกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นความสนใจ ให้กับนักเรียน และหากออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริม ความร้แู ละทักษะทีต่ อ้ งการได้เปน็ อย่างดี 3. Constructionist ครูผู้สอนต้องเข้าใจแนวคิดที่วา่ ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ขึ้นเอง ได้จากภายในตัวของผู้เรียนเอง โดยเชื่อมโยงความรู้เดิมที่มีอยู่ภายในเข้ากับการได้ลงมือปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งครูสามารถนำแนวคิดนี้ไปพัฒนาวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้นักเรยี น เกดิ ความร้แู ละทกั ษะท่ีต้องการได้ 4. Connectivity ครูต้องสามารถจัดกิจกรรมให้เชื่อมโยงระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้เรียนกับ ครู ครภู ายในสถานศึกษาเดียวกันหรือต่างสถานศึกษา ระหวา่ งสถานศกึ ษา และสถานศึกษากับชุมชน เพอื่ สร้างสภาพแวดลอ้ มในการเรียนร้ทู ีเ่ ป็นประสบการณต์ รงให้กบั นกั เรยี น 5. Collaboration ครูมีบทบาทในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะการเรียนรู้แบบ ร่วมมือกันระหว่างนักเรียนกับครู และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน เพื่อฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง และทักษะท่ีสำคัญอ่ืน ๆ 6. Communication ครูต้องมีทักษะการสื่อสาร ทั้งการบรรยาย การยกตัวอย่างและการ เลือกใช้สื่อ การนำเสนอสื่อ รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ใหก้ บั นกั เรียนได้อยา่ งเหมาะสม 7. Creativity ในยุคสมัยหน้า ครูต้องออกแบบสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้ จัด สภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการเรียนรูด้ ้วยตนเองของผู้เรียน มากกว่าการเป็นผู้ถา่ ยทอดความรู้โดยตรง เพียงอย่างเดียว 8. Caring ครูต้องมีมุทิตาจิตต่อนักเรียน ต้องแสดงออกถึงความรัก ความห่วงใยอย่างจริงใจ ต่อนกั เรยี น เพื่อใหน้ กั เรยี นเกิดความเชื่อใจ สง่ ผลให้เกิดสภาพการเรียนรู้ตื่นตัวแบบผ่อนคลาย ซึ่งเป็น สภาพท่ีนักเรียนจะเรียนร้ไู ด้ดที ส่ี ดุ สรปุ ได้ว่า แนวคดิ การพัฒนาทกั ษะของครูและบุคลากรทางการศึกษาย่อมขนึ้ อยูก่ ับสภาพการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกอีกทั้งในระดับนโยบายทางการศึกษาที่สามารถส่งเสริมให้ครูและบุคลากร ทางการศึกษา มีศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์อีกทั้งการเรียนรู้รูปแบบการสอนในเชงิ 96
ทฤษฎีในอดีต ข้อเสนอแนะในปัจจุบัน และทิศทางการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนในยุคใหม่ที่เหมาะสม และสอดคลอ้ งกับความต้องการขอประเทศชาติเปน็ สำคญั ทำใหค้ รูและบคุ ลากรทางการศึกษายิ่งต้องมี การพัฒนาตนเองไปอีกข้นึ ให้สามารถทำหน้าทภ่ี ายใตบ้ ริบททางสังคมทย่ี ังมีความเชื่อเก่าหลงเหลืออยู่ อีกมาก ที่เชื่อว่าครูคือคนที่สามารถจะพัฒนาและยกระดับความสามารถของสมาชิกทางสงั คมได้และ เป็นปูชนียบุคคลอันสูงส่ง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเข้าไปเรียนรู้ศิลปะวิทยาการต่าง ๆ เมื่อสังคมได้ เปลยี่ นแปลงไปทำให้ความเช่ือเหล่านนั้ ค่อย ๆ หายไป ซ่งึ มาพร้อมกบั การทำหน้าทีผ่ ู้ทีถ่ ่ายทอดความรู้ แต่มิได้ต้งั อย่ฐู านของความเคารพบชู าเหมือนดงั ในอดตี แต่เป็นเพียงคนท่ีทำหนา้ ทใี่ นการพัฒนาคนเอง ที่ใช้เครื่องมือทางการศึกษาเข้ามาพัฒนาคน หากผู้สอนหรือครูขาดเสียซ่ึงทักษะและความรบั ผดิ ชอบ ต่อหน้าที่เสียแล้วก็หวังคุณภาพของคนในสังคมยากด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ฝากรัฐบาลน่าจะทำให้ แนวคิดผู้เสียสละผู้ที่หน้าที่เรือจ้างให้มีคุณค่าในเชิงจิตวิญญาณของความเป็นครูให้มากกว่าการต้ัง กฎเกณฑ์ และใช้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อปรับการศึกษาไปสู่ความเปน็ สากลโดยไม่มีอะไรเป็นฐาน ซึ่งเชอ่ื แน่ว่า การทำหน้าท่ีในความเป็นครูจะสามารถพัฒนาตนเองเพื่อการพัฒนาคนในชาติได้หากมีการ ส่งเสริมการพฒั นาทกั ษะของครูอย่างจรงิ จัง วเิ คราะหก์ ารพัฒนาทกั ษะการสอนของครใู นยคุ ไทยแลนด์ 4.0 ครูและบุคลากรทางการศึกษาถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการหนุนเสริมคุณภาพการศึกษา ของคนในชาติหากปัจจัยไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ก็ยากที่ทำให้แผนการ ศกึ ษาของชาตบิ รรลุเปา้ หมายได้ แม้ว่าจะท่มุ เทงบประมาณมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ได้ช่วย ให้ศักยภาพของผู้เรียนไดร้ ับการพัฒนาตามที่มุ่งหวังได้ ดงั นนั้ ประเทศไทยเข้าสยู่ ุคไทยแลนด์ 4.0 อัน เป็นยคุ แห่งนวัตกรรมสร้างสรรค์มากมายที่จะต้องเกดิ ข้ึนภายใต้การชีน้ ำของครูที่เป็นเสมือนโค้ช คอย ฝึกฝนอบรมความเข้มแข็งทุกด้านให้กับผ้เู รยี นแตห่ ากครแู ละบุคลากรทางการศึกษายงั ไร้ศักยภาพและ ขาดทักษะในการสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ก็จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการพัฒนา ทักษะของครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาอย่างจรงิ จังโดยมองประเด็นดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาทักษะการผลิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสมกับยุคแห่งนวัตกรรมการสอนผ่านการผลิตสื่อสารที่ทันสมัย มีความ แตกต่างเพ่ือกระตุน้ ใหก้ ับผู้เรยี นความเขา้ ใจไดง้ ่ายขนึ้ ในองค์ความรทู้ ่ีถา่ ยทอดไป จนสามารถปฏิบัติได้ อย่างรวด อีกทั้งทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อความเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะ ความรู้ที่ผู้เรียนใช้กันอยู่จะต้องสามารถพลิกแผลงมาใช้กับการเรียนการสอนได้เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะ ผลิตหรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ครูและบุคลากรทางการศึกษาย่อมจะต้องมีความรู้และปรับใช้ใน ลักษณะต่าง ๆ อาจจะต้องมีการจัดโครงการอบรมเทคโนโลยีกันบ่อยมากยิ่งขึ้น มีการทั ศนะศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียน หรือการนำมาใช้ในการเรียนการสอนในห้องปฏิบัติการสอนก็ได้ เป็นต้น ซึ่งมอง 97
โดยธรรมชาติของผู้เรียนยุคใหม่จะมีการเรียนรู้เทคโนโลยีที่รวดเร็วมากทำให้บางครั้งครูก็อาจจะเป็น ผเู้ รยี นมากกวา่ ผสู้ อนจึงอาจจะเกดิ การขาดยอมรบั ในส่ิงที่ครสู อนหรือที่เรียกว่า ทักษะด้านเทคโนโลยี ไม่สามารถนำมาสอนได้ก็เพราะผู้เรียนมีความรู้มากกว่า ดังนั้น ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะต้อง พฒั นาตนเองไปสกู่ ารผลิตสอ่ื การผลติ โปรแกรมการผลติ นวัตกรรมต่าง ๆ และนำมาประยุกตใ์ ช้ในการ เรยี นการสอนอันเปน็ แสดงถงึ ความรู้สมยั ใหมใ่ นประเทศไทย 4.0 2. ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาทักษะจิตวิทยาการสื่อสารมีความจำเป็น พอ ๆ กับเทคโนโลยีกเ็ พราะเป็นศาสตร์ท่ีอธิบายถึงความต้องการ แรงจูงใจของพฤติกรรมมนุษยอ์ ยา่ ง เห็นไดช้ ดั เจนหรือท่ีเรียกวา่ รู้เขารู้เรา หากครูและบุคลากรทางการศึกษามีความสามารถในการศึกษา จิตวทิ ยาแห่งการส่อื สารย่อมทำใหเ้ ข้าใจในการสิง่ ท่ผี ู้ฟังหรือผู้เรียนมีความต้องการอะไรจะต้องใช้อะไร ในการสือ่ สาร เชน่ เด็กบางอาจจะชอบฟังนิทานมากกว่าการดูการ์ตูน เดก็ บางคนอาจจะชอบฟังเพลง มากกว่าการดูภาพยนตร์ เด็กบางคนมีความต้องการอ่านมากกว่าการพูด เด็กบางคนอาจจะต้องการ คดิ มากกวา่ ฟังและพูด เดก็ บางคนอาจจะชอบเรยี นกบั ครผู หู้ ญิงมากกว่าครชู าย หรอื เดก็ บางคนอาจจะ ชอบเรียนรู้กลางแจ้งมากกว่าเรียนรู้ในห้องเรียน และเด็กบางคนอาจจะฉลาดแต่สมาธิสั้น เป็นต้น เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเหล่านี้ย่อมเป็นคุณสมบัติของผู้สอนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ที่จำเป็นจะต้องจัด กลุ่มแต่พฤติกรรมออกมาให้อยู่ในชุดเดียวกันที่เหมาะสมต่อการใช้จิตวิทยาการสื่อสารที่นำไปสู่ ประสิทธิภาพการสอนได้ดียิ่งขึ้นไป ดังนั้น ในยุคประเทศไทย 4.0 หรือ 5.0 ก็ตามจิตวิทยาการสอน ยอ่ มตอ้ งถกู นำมาใชใ้ นการอ่านความต้องการและพฤติกรรมการตอบสนองของผูเ้ รียนต่อไป 3. ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาทักษะชีวิตของครูและบุคลากรทางการ ศึกษาถึงแมว้ า่ ยทุ ธศาสตรก์ ารศึกษาจะเขียนไว้อย่างดเี ย่ียมแต่เห็นว่า ทกั ษะชวี ิตในความเป็นครูจะต้อง ยึดถือ ยดึ มน่ั ในอดุ มการณ์ของความเป็นครหู รือท่ีเรียกวา่ จิตวิญญาณความเปน็ ครใู หป้ รากฏออกมาใน รูปของพฤติกรรมต้นแบบในสังคม ซึ่งในอดีตเราเชื่อว่าครูผู้ที่ต้องให้ความเคารพสักการบูชา เพราะ ปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคมตลอดเวลาทำให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงเป็นครูอยู่นั้นเอง นอกจากนี้ ทักษะชีวิตมิใช่เป็นเฉพาะภายในโรงเรียนเท่านั้นแต่จะต้ องเป็นได้ทั้งภายนอกโรงเรียนอีกด้วย เพราะฉะน้นั ความเป็นครูอนั หมายถึงผู้ที่แบกภาระอันหนักต่อความคาดหวังของสงั คมอย่างมากต้องมี จิตเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์ไม่ว่าลูกศิษย์นั้นจะฉลาดหรือโง่ก็ตามย่อมมีจิตใจรัก เอ็นดูและหวังดี ตลอดเวลาไม่วา่ ประเทศไทยจะกา้ วไปไกลขนาดไหนก็ตาม 4. ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะเป็นต้องพัฒนาทกั ษะการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของ ตนเอง หรือสามารถพัฒนาทักษะได้ด้วยตนเองจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีการอ่าน การศึกษาเพิ่มเติมจากสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เกิดความเป็นรู้ใหม่ที่สามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนไ ด้ โดยเฉพาะการเรยี นรูจ้ ากส่ือออนไลน์จากท่ัวโลกที่มีความคิดจากสถานการณ์จริง นอกจากนี้ ความคิด สร้างสรรค์แม้ว่าจะเรียนรู้ได้แต่ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องใช้ระบบความคิด และใช้ 98
จินตนาการส่วนตัวก่อเกิดเป็นความรู้ของตนเอง เช่น การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ หลากหลายอาจจะแตกต่างไปจากข้อปฏิบัติเดิม หรือทางเลือกเดิมที่มีอยู่แล้ว ปรับประยุกต์วิธีการ ใหม่ๆ แต่เป้าหมายการสอนยังคงเดิม หรืออาจจะพัฒนาทักษะต่าง ๆ ในรูปแบบที่หลากหลายมาก ยิ่งขึ้น ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้วิธีการกระตุ้นความสร้างสรรค์ของตนเองอาจจะใช้ คำถามง่าย ๆ แล้วลองค้นหาคำตอบด้วยตนเองก่อน และค่อยไปทบทวนแนวคิดต่าง ๆ ว่ามีความ สอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร 5. ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาทักษะการวิจัยและพัฒนาผูเ้ รยี นไปพรอ้ ม ๆ กัน เพราะบางอย่างผู้สอนก็มิได้เก่งไปทุก ๆ เรื่องแต่ผู้เรียนอาจจะเสริมสร้างกระบวนการค้นหา คำตอบได้ ดังนั้น ครูและบุคลากรทางการศึกษายุคใหม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาความรู้ สร้างความรู้ และประยุกต์ความรู้นั้นได้ด้วยกระบวนการวิจัยทางการศึกษาหรือทางสังคมอื่น ๆ อัน เป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์จริงของผู้สอนเรียกว่า ประสบการณ์ จะสามารถแปลงปัจจัย ต่าง ๆ ไปสู่การค้นหาคำตอบ คำตอบจะสามารถกลายเป็นนวัตกรรมได้หรือไม่ ยอ่ มขนึ้ อยู่กับความคิด สร้างสรรค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเชื่อแน่ว่าหากผู้สอนสามารถจัดกระบวนการวิจัยได้ ด้วยตนเองย่อมจะสามารถพัฒนาผู้เรียนไปพรอ้ ม ๆ กันได้ เช่น การค้นหาคำตอบว่าทำไมเ่ ดก็ จึงไมท่ ำ การบ้าน มีอะไรเป็นปัจจัยสำคัญ และจะสามารถมีแนวทางใดบ้างที่แก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ให้กับ ผู้เรียน ในลักษณะดังกล่าวจะเรียกว่า ครูที่เป็นผู้สร้างความรู้และสร้างผู้เรียนที่มีคุณภาพไปพร้อม ๆ กนั ได้ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วย 1) ทกั ษะพื้นฐานในการรูห้ นงั สอื ไดแ้ ก่ สามารถค้นคว้า ใฝห่ าความรู้จากทรพั ยากรการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายผ่านการอ่านออกเขียนได้ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผลทาง วิทยาศาสตร์ การเงนิ สงั คมและวฒั นธรรม เปน็ ตน้ 2) ทักษะการคิด ได้แก่ สามารถใช้เหตุผลและความคิดในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ประเมนิ ค่า คดิ สรา้ งสรรค์ ตัดสินใจและแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งดี เปน็ ตน้ 3) ทักษะการทำงาน ได้แก่ สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในการทำงาน การ ติดต่อสอ่ื สาร การทำงานเป็นทีม แสดงภาวะผูน้ ำและความรบั ผิดชอบ มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี ริเรม่ิ งานและดแู ลตนเองไดอ้ ดทนและขยนั ทำงานหนกั สร้างหุ้นส่วนธรุ กิจ เปน็ ตน้ 4) ทกั ษะการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ไดแ้ ก่ สามารถรบั รู้ เข้าใจการใชแ้ ละการจัดการส่ือสาร สนเทศ เปิดใจรับสารและเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเท่าทัน สามารถบริหารจัดการเทคโนโลยี เรียนรู้ เทคนคิ วทิ ยาการตา่ ง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ และสามรถนำข้อมูลเหลา่ นั้นมาใชอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสม และเป็นประโยชน์ทงั้ ตอ่ ตนเองและผูอ้ น่ื เป็นต้น 99
5) ทกั ษะการใช้ชีวิต ได้แก่ สามารถแสวงหาความรู้ นำตนเองในการเรียนรู้ได้ มคี วามมัน่ ใจใน ตัวเอง กระตือรือร้นในความรู้ เป็นผู้ผลิต มุ่งความเป็นเลิศ สามารถดำรงชีวิตด้วยความรับผิดชอบต่อ ตนเองและผู้อื่น เป็นพลเมืองที่ดี รู้และเคารพกติกา มีระเบียบวินัย คำนึงถึงสังคม คิดถึงภาพรวมโลก มีคุณธรรม ยึดมั่นในสันติธรรม มีความเป็นไทย เข้าใจความหลายหลายทางวัฒนธรรม และแบ่งปัน ประสบการณ์ เป็นต้น การจัดศึกษาและการเรียนรู้ควรมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาคนในฐานะพลเมืองให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมใน การดำรงชีวิตอย่างสมดุล มีทักษะจำเป็นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข มีภาวะผู้นำการ เรียนรู้ด้วยตนเองอยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวิต โดยเน้นการเรียนรู้เพื่อสร้างเสรมิ แรงบันดาลใจให้มีชีวิตอยู่ อย่างมีความหมาย การเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการรังสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การเรยี นรู้เพือ่ ปลูกฝังจติ สาธารณะ ยดึ ประโยชน์ส่วนรวม และการเรียนรู้เพือ่ การนำไปปฏิบัติ มงุ่ สร้าง การทำงานให้เกิดผลสัมฤทธ์ิ เป็นพลเมืองที่มีคณุ ภาพ พึ่งพาตนเองได้ และดำเนินชีวิตอย่างมีความสขุ ทั้งนี้ หลักสูตรและวิธีการจดั การศึกษาและการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ควรจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และ พฒั นาตนเองอย่างต่อเน่ือง มิใช่การจดจำเน้ือหาวิชา เนน้ การเรยี นรู้ท่เี กดิ จากความตอ้ งการของผู้เรียน อย่างแท้จริงและลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงและต่อยอดความรู้นั้นได้ด้วยตนเอง “ครู” ต้องสามารถสร้างและออกแบบสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศเกื้อหนุนและเอื้อต่อการ เรียนรู้อยา่ งมีเปา้ หมาย การเช่ือมโยงความรหู้ รือแลกเปล่ยี นความรู้กับชุมชนและสงั คมโดยรวม จัดการ เรียนรู้ผ่านบริบทความเป็นจริง และการสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าถึงสื่อเทคโนโลยี เครื่องมือ และ แหลง่ เรียนรทู้ ม่ี ีคุณภาพ (สุวธิ ดิ า จรงุ เกียรตกิ ลุ , 2561) สรปุ ได้วา่ สภาพการณ์ครูไทยกับทักษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 นอกจากการจดั ศกึ ษาและ การเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ครูควรเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กนักเรียน ครูคือผู้เรียน (Teachers as Learners) ทต่ี ้องแสวงหาความรู้อยา่ งตอ่ เน่ืองเช่นกัน เพือ่ ให้นักเรยี นมคี ุณภาพ ครูคือ ผู้ออกแบบการเรียนรู้ (Learning Designer) สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่ปรับไปตามบริบทและ ลักษณะของชั้นเรียนได้ และการพัฒนาความสามารถครูที่แท้จริงคือการสอนในห้องเรียน แล้วเรียนรู้ และปรับปรุงการสอนจากตรงนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นของการพัฒนาครูในปัจจุบัน จะเน้นไปที่การอบรม/ การสัมมนาแบบ Hotel-based ซึ่งจดั ขึ้นนอกหอ้ งเรยี นเป็นสว่ นใหญ่ ทกั ษะการเรยี นรสู้ คู่ วามเปน็ ครูมอื อาชีพ ผลกระทบของโลกาภวิ ัตน์ต่อการศกึ ษาไทยมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซง่ึ หลีกเล่ยี งได้ยาก แต่ การพัฒนาระบบการศึกษาไทยให้พร้อมต่อสภาพโลกาภิวัตน์ได้นั้น จำเป็นต้องเตรียมพร้อมในเชิงรุก ตั้งแต่วันนี้ โดยเน้นการบริหารจัดการในส่วนที่ไดร้ ับผลกระทบมากที่สุด ผลกระทบที่มีผลมากที่สดุ ใน 100
ปัจจุบันนั้น เป็นปัญหาในชั้นเรียนที่พบเจอในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการควบคุมชั้น เรียน ด้วยเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ครูไทยอย่างเราต้องรู้จักหาวิธีการในการดูแลชั้นที่ สร้างสรรค์มากขึ้น ในอดีตเราอาจจะถือไม้เรียวเดินไปเดินมาสร้างความยำเกรงให้เดก็ ในหอ้ งเรียนหัน มาฟังเราได้ แต่ปัจจุบันนี้วิธีการนี้อาจใช้ไม่ได้แล้ว ซ้ำร้ายยังส่งผลเสียต่ออาชีพการทำงานของเราอีก ด้วย เพราะการสื่อสารในโลกในยุคปัจจุบันนี้เป็นสิ่งรวดเร็วมาก ภาพที่เรายืนถือไม้เรียวหรือกำลังทำ โทษเดก็ อาจถูกบันทึกและเผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งถือแม้ว่าเราจะปรารถนาดีสักแค่ไหน กระแส สงั คมที่รบั ชมผา่ นสอ่ื แคผ่ วิ เผนิ กพ็ รอ้ มท่ีจะโจมตีเรา โดยไมร่ บั ฟงั เหตุผลใด ๆ ทั้งสน้ิ ครูมืออาชีพ ตามแนวคิดของ เอกชัย กี่สุขพันธ์, 2538 หมายถึง ครูที่ประสบความสำเร็จใน วิชาชีพครู สามารถปฏิบัติหน้าที่ครไู ด้อยา่ งดจี นประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและมีความเจริญ งอกงามก้าวหน้าในอาชีพครูอย่างตอ่ เนื่อง จนสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีแกผ่ ู้อื่นได้ ลักษณะของครูมือ อาชีพ คือครูที่นอกจากจะมีความรู้ มีคุณธรรมจรรยาบรรณวิชาชีพแล้ว ยังต้องมีองค์ประกอบ 3I ดงั ตอ่ ไปน้ี คือ การสรา้ งแรงบันดาลใจ (Inspiration) ทักษะการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและทักษะ สื่อสาร (IT & Communication skills) และการออกแบบการเรียนรู้ (Instructional design) หรือ ออกแบบวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันได้ เทคนิคสำคัญสำหรับครูมืออาชีพ คือการปรับใช้เทคโนโลยีให้ เหมาะกับบริบทของโรงเรียน ทันสมัย ไม่ล้าสมัยรวมถึงอาจไม่จำเป็นต้องล้ำสมัยมากเกินไป โดยต้อง พัฒนาตนเองให้ทันนักเรียนในเรื่องนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการสอนให้นักเรียนรู้เท่าทันการใช้ เทคโนโลยีนอกจากนี้ต้องสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนของนักเรียน ไม่มุ่งเน้นให้นักเรียนเก่งในวิชา ของตน แต่ต้องให้นักเรียนอยากที่จะเรียนวิชาของตนแม้ว่าจะไม่ถนัดก็ตาม โดยครูต้องไม่ยัดเยียด และครูจะต้องออกแบบการเรียนรู้ได้หลากหลาย เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับชั้นเรียน แต่ละ หอ้ งเรยี นเน่ืองจากธรรมชาติและบริบทของแต่ละหอ้ งเรยี นทแ่ี ตกตา่ งกนั เมื่อแยกประเดน็ พิจารณาแต่ ละลกั ษณะจะมีรายละเอยี ดตามรปู แผนภาพที่ 1 ครูมืออาชีพ Professional Teacher (เอกชัย กส่ี ขุ พันธ์, 2538) 101
อับราฮัม เฮช มาสโลว์ (Abraham H. Maslow) นักจติ วทิ ยาท่ีมชี ่อื เสยี งชาวสหรฐั ได้นำเสนอ ทฤษฎีเก่ยี วกับแรงจงู ใจ ซง่ึ เขาได้อธบิ ายว่า มนษุ ยเ์ รานนั้ มคี วามต้องการไม่สิ้นสดุ และปรารถนาท่ีจะ ได้รับการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง โดยการการตอบสนองนั้นจะเป็นไปตามลำดับขั้น และเมื่อขั้นหน่ึง ขั้นใดได้รับการตอบสนองแล้ว ก็จะขยับความปรารถนาขึ้นไปในขั้นที่สูงขึ้น ซึ่งในทฤษฎีแรงจูงใจของ มาสโลว์นี้ ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขน้ั ได้แก่ 1) ตอ้ งการของรา่ งกาย (Physiological needs) เป็นความตอ้ งการพ้ืนฐานเพอ่ื การดำรงชีวิต ประกอบดว้ ย อากาศ น้ำ อาหาร เครอ่ื งนุ่งหม่ ยารกั ษาโรค 2) ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) เป็นความต้องการในการได้รับปกป้อง คมุ้ ครอง และมคี วามมัน่ คงปลอดภัย 3) ความต้องการด้านสังคม (Social needs) เป็นความต้องการที่จะได้รับความรักและการ ยอมรับจากบุคคลอ่นื 4) ความตอ้ งการการยกย่อง (Esteem needs) เปน็ ความต้องการการยกย่องและเคารพนับถือ 5) ความต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต (Self-actualization needs) เป็นความ ตอ้ งการสูงสดุ แต่ละ่ บคุ คลตามเป้าหมายที่ตนเองคาดหวงั ไว้ ถ้าดูตามทฤษฎีของมาสโลว์แล้ว จะเห็นได้ว่า ความต้องการของมนุษย์เรานั้นมีการเติบโตขึ้น ตามลำดับ โดยเริ่มต้นจากความต้องการภายในร่างกายของตัวเองก่อน แล้วแผ่ขยายไปเป็นความ คาดหวังจากบุคคลอื่น จนสุดท้ายนำมาสู่สิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างความคาดหวังในชีวิต ซึ่งถ้าเอา แนวคิดจากทฤษฎีนี้มาประยุกต์ใช้สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ของเด็กในห้องเรียน ส่งเสริมได้ตาม แนวทางดังน้ี 1) การจดั ชั้นเรยี นให้เหมาะสม ห้องเรียนที่เล็กอุดอู้ ไมร่ ะบายอากาศ มมี มุ อับมุมทึบมากมาย และร้อนอบอ้าวเกินไป ลว้ นไม่ส่งผลดีตอ่ การเรียนร้ขู องเดก็ รวมไปถงึ สภาพจิตใจของตวั ผสู้ อนเองด้วย การปรับปรุงห้องเรียนให้เหมาะสมเป็นไปตามวัยเด็กและสอดคล้องการสุขภาพลานามัยของเด็ก เช่น อาจจัดให้มีคูลเลอร์น้ำในห้องเรียนเพื่อใหเ้ ดก็ สามารถดื่มได้ จัดเฟอร์นเิ จอร์ไม่บังทิศทางลม ติดพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศที่เพียงพอ และดูแลความสะอาดอยู่เสมอ จะช่วยตอบสนองความต้องการ พื้นฐานด้านร่างกายของเด็กได้ ซึ่งจะช่วยให้เดก็ มีความพรอ้ มและสมาธิในการเรยี นรู้มากขึ้น หรือไม่ก็ ลองเปลี่ยนจากการนั่งเรียนในห้องเรียน ไปเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนดูบ้าง ก็น่าจะเป็นวิธีที่ช่วย ได้มาก 2) การสรา้ งบรรยากาศการเรียนรทู้ เี่ ป็นมิตรและผอ่ นคลาย ไมม่ ใี ครชอบบรรยากาศแห่งความ กดดัน การถูกข่มขู่ หรือโดนบังคับจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นในการเรียนหรือในโลกการทำงาน ในระบบ การศึกษาของบ้านเรา หลายทา่ นทเ่ี ปน็ ครอู าจมองวา่ ถ้าไม่บงั คับหรือเคี่ยวเข็ญบา้ ง เดก็ ๆ ก็จะไม่สนใจ เรียน แต่เท่าที่เคยสัมผัสมา ถึงแม้จะเคี่ยวเข็ญอย่างไร ถ้าตัวเด็กนั้นไม่ได้รูส้ กึ อยากเรียนมาตั้งแต่แรก 102
ก็ยากที่ทำให้เด็กหันมาสนใจเรียน แถมยังทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ไม่ดีกับการเรียนอีกด้วย ดังนั้น เพื่อ จะตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยตามทฤษฎีของมาสโลว์ เราก็ควรสร้างบรรยากาศการ เรียนรู้ที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรกับเด็ก เพื่อให้เขารู้สึกว่าการมาโรงเรียนนั้นไม่น่ากลัวและสนุกสนาน โดยการสอนของครูนั้นมีความสร้างสรรค์ อารมณ์ดี และรับฟังความต้องการของเด็ก ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ เด็กรักการมาเรยี นและสนใจเรยี นมากข้นึ 3) การเนน้ สือ่ และกิจกรรมหลากหลายเพ่ือให้เด็กได้ปฏสิ มั พันธ์ระหว่างกนั การจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการและสื่อที่หลากหลายและแปลกใหม่อยู่เสมอ จะช่วยจูงใจให้เด็กสนใจในการจัดการเรียน การสอนของครู ซึ่งปัจจุบันมีสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยจัดการเรียนการสอนมากข้ึน เช่น แบบจำลอง คอมพิวเตอร์ หรือชุดการเรียนรู้ต่างๆ ถ้ารู้จักนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ก็จะช่วยให้ เด็กมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ซึ่งถ้าเน้นกิจกรรมให้เด็กได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น การ ทำงานเป็นกลมุ่ หรอื การจัดให้เกดิ การแข่งขันเป็นทีม ก็จะเป็นการตอบสนองความต้องการด้านสังคม ซ่งึ จะชว่ ยใหเ้ ด็ก ๆ ไดร้ ับความรักและมีการยอมรับระหวา่ งกนั 4) การยกย่องและชมเชย ถือเป็นการเสริมแรงทางบวกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เกิดการ ปรับเปลีย่ นพฤติกรรมได้ ซึ่งถ้าตามทฤษฎีของมาสโลว์จะเห็นวา่ เมื่อมนุษยเ์ ราไดร้ บั การยอมรับแล้ว ก็ ปรารถนาที่จะได้การชมเชยยกย่องในขั้นต่อมา ซึ่งการชมเชยเด็ก ๆ เมื่อเขาทำกิจกรรมต่าง ๆ สำเร็จ หรือนำเสนอแนวคิดที่น่าสน ใจนั้น ก็ล้วนเป็นการช่วยให้เขาหันมาสนใจการเรียนและมีสมาธิกับส่ิง เหล่าน้นั มากขึ้นได้ 5) การสร้างแรงบนั ดาลใจ การศึกษาในทกุ ระดับ ควรพุง่ ประเด็นใหผ้ เู้ รยี นนั้นเกดิ แรงบันดาล ใจในการเรียนรู้ มากกว่าที่จะสนใจทีว่ ิชาการเป็นหลัก เพราะแรงบันดาลใจนัน้ คือแรงผลักดันที่สำคญั ทชี่ ว่ ยใหใ้ หเ้ ด็กมุ่งม่นั ต่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จในชีวิต การสรา้ งใหเ้ ด็กเกิดแรงบนั ดาลใจนั้น ถือแม้ จะยากย่ิง แต่ถ้าสามารถสร้างได้แลว้ เด็กจะเตบิ โตในโลกของการเรียนรู้ได้ด้วยตวั เอง ซ่ึงวิธีการที่ช่วย สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กนั้นคือการให้เด็กได้พบเจอประสบการณ์ที่หลากหลาย ผ่านสถานที่หรือสื่อ ตา่ ง ๆ เพ่อื ให้เขาไดม้ คี วามฝันในเรอื่ งทเ่ี ขาสนใจและในฐานะครูก็ควรส่งเสริมและสนับสนนุ เขาในเร่ือง เหล่านนั้ อย่างเต็มใจและสม่ำเสมอ จงึ จะเป็นแนวทางทเี่ หมาะสม (นรรัชต์ ฝันเชยี ร, 2561) ในยุคสังคมปัจจุบนั มีอีกหนึ่งทักษะทีส่ ำคัญ และจ าเป็นที่ไม่อาจสามารถปฏิเสธ หรือไม่อาจ ยอมรับได้ คือทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะการสื่อสาร (IT & Communication skills) การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร และความสามารถในการสื่อสารของครใู นด้านการ ใช้ภาษาอังกฤษในปัจจุบนั มคี วามสำคัญต่อความสำเรจ็ ความก้าวหนา้ ในการทำหนา้ ทข่ี องครูเป็นอย่าง มากเพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะทำให้ครูสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แต่ต้องอาศัยทักษะความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็นสำคัญเนื่องจาก 103
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ทุกคนใช้เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่และเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน อินเตอร์เน็ต (Internet) การที่นักเรียนจะสามารถเรียนรู้ได้หลากหลายจากสิ่งที่ครูเตรียมไว้ จึงต้อง อาศัยครูเป็นสำคัญในการเลือกและจัดเตรียมเนื้อหา ประสบการณ์ให้นักเรียน ซึ่งปัจจุบันนี้การนำ เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยสอนอย่างเต็มรูปแบบของครูยังไม่สามารถปฏิบัติได้เต็มที่มากนัก เพราะอุปสรรคสำคัญของครูส่วนใหญ่ อยู่ที่ความสามารถทางภาษาอังกฤษจึงทำให้ครูไม่สามารถ เชื่อมโยงการเรียนรู้จากโลกภายนอกสู่ห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) สามารถช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงความรู้จากโลกภายนอกเข้ามาสู่ หอ้ งเรียนได้อย่างง่ายดาย การจัดการเรียนการสอนกส็ ามารถท่จี ะแสดงตวั อย่างใหเ้ ห็นเป็นรูปธรรมได้ ชดั เจนมากขึ้น รวมถึงการสรา้ งความกระตอื รอื ร้นในการเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ปน็ อย่างดีอกี ดว้ ย ความสามารถด้านการส่ือสารไม่เพียงแตภ่ าษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาไทยกเ็ ปน็ สิ่งที่จำเป็นและ เปน็ ประโยชนต์ ่อวิชาชีพครูเป็นอย่างยิง่ เพราะการเรียนการสอนของครูต้องใชภ้ าษาไทยในการอธิบาย การสอน การสื่อสารกบั ผูเ้ รยี น และใช้ในการพัฒนาความรู้ ความคดิ ต่าง ๆ จากการอ่าน การเขียน ซึ่ง ทักษะหรือความสามารถด้านการสื่อสารนี้มีความสำคัญต่ออาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าครูจะเก่งมาก ขนาดไหนแตไ่ ม่สามารถอธบิ ายให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจได้ ก็ไมส่ ามารถเป็นครูมืออาชีพไดอ้ ย่างแนน่ อน สรุปได้ ว่าภาษาไทยช่วยทำให้ครูสอนนักเรียนให้เข้าใจความรู้ ส่วนภาษาอังกฤษช่วยเสริมให้ครูสอนนักเรียน ให้เข้าถงึ แหลง่ ความรู้ ตามที่ เคยให้ขอ้ คดิ ไว้ (ณฐั พงศ์ จนั ทนะศิริ, 2559) การแก้ปัญหาของครูมืออาชีพจึงควรเริ่มที่การสร้างแรงบันดาลก่อน และก่อนที่ครูจะให้แรง บันดาลใจเกิดขึ้นกับนักเรียนแล้วต้องเริ่มสร้างแรงบันดาลใจในตนเองก่อน “ครู คือผู้นำทางวิญญาณ ท้งั แกบ่ คุ คลและสังคม” ดังน้นั แบบอยา่ งของการแสดงออกของครูทกุ อยา่ งจึงสง่ ผลต่อนกั เรียนโดยตรง หน้าที่ครูจึงมิใช่สั่งสอนเพียงอย่างเดียว แต่ครูต้องเป็นแบบอย่างทั้งด้านความประพฤติ วาจา และ จิตใจ ทักษะแห่งการเป็นครูมืออาชีพก็ต้องสื่อสารกับนักเรียนได้เป็นอย่างดี ต้องรู้จักที่จะสังเกตและ พัฒนานักเรียนในทุกด้าน รักการเรียนรู้ ทันสมัย ไม่ปิดกั้นความคิด และสามารถออกแบบการสอนท่ี นา่ สนใจ ครูท่ที ำไดเ้ ช่นน้ีก็สามารถพฒั นาความเป็นมอื อาชพี ไดง้ ่ายขึ้น 104
บทสรุป ครูมืออาชีพต้องสร้างอุดมการณ์ให้ตนเองเสมอ ๆ เริ่มตั้งแต่การเติมเต็มความรู้คือการ แสวงหาความรู้ ใหม่ ๆ เสมอ ๆ การเติมเต็มให้ใจเข้มแข็ง การเติมเต็มเวลาคือการเสียสละความสุข ส่วนตัว การเติมเต็มคนคือการสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับชุมชน และการเติมเต็มพลังคือทุ่มเทกำลังกาย และกำลังใจให้แก่ลูกศิษย์อย่างเต็มกำลังความสามารถ การสร้างครูมืออาชีพ มิได้ต้องการครูที่เก่งแต่ อยา่ งใด แตต่ ้องการครูที่ตระหนักถงึ ภาระหนา้ ท่ขี องคำวา่ “ครู (teachers)” ครทู ี่มีสัมผัสที่ดีกับศิษย์ เข้าใจธรรมชาติของศิษย์ และทำให้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ในตัวศิษย์แต่ละคนได้ฉายแววออกมา อย่างเต็มที่ ซึ่งครูทุกคนทุกระดับสามารถพัฒนาตนเองเป็นครูมืออาชีพได้ หากครูมีการตื่นตัวในการ พัฒนาตนและเตรียมความพร้อมเพื่อยอมรับการเปลีย่ นแปลง เปิดใจให้ กวา้ ง มใี จเปน็ กลาง พยายาม เรยี นรอู้ ย่างเท่าทันและรอบรู้ มีมุมมองอย่างเชื่อมโยงในการสังเคราะห์ วิเคราะห์ ถงึ ความเป็นจริงใน สงั คม มโี ลกทศั น์ทีก่ วา้ งไกล และความคดิ สร้างสรรคเ์ ก่ียวกบั กระบวนการเรยี นรู้ ที่สำคญั ยิ่งอีก ครูมือ อาชีพคือจะต้องมีความอดทน เพราะผลงานของครูจะบังเกิดผลแก่ศิษย์และงานที่ยิ่งใหญ่ของครูคือ การสอนคนซึ่งเป็นงานเพื่อสังคมมนุษย์ ด้วยภาระท่ีหนักหนว่ งเช่นน้ีครูมืออาชีพจึงควรเชื่อและนับถอื ตนเอง เชื่อในคณุ คา่ ของสง่ิ ทคี่ รมู ืออาชพี กำลังพยายามทำใหส้ ำเร็จน้ัน คือสอนใหผ้ ู้อน่ื ไดเ้ รียนรู้เพื่อจะ สามารถ ปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้น ครูมืออาชีพต้องเป็นครู ดว้ ยใจรัก มีความพร้อมในทุก ๆ ดา้ นท่ีจะเป็นครู ประพฤตติ ัวดี วางตัวดี เอาใจใสแ่ ละดแู ลศษิ ย์ ปฏิบัติ หน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูหากครูเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงของโลกแห่งการ เรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงนั้นก็จะสามารถพัฒนาเป็น “ครูมืออาชีพ” ที่ เพรียบพร้อมได้รับการยอมรับ สามารถสร้าง “ผลผลิตอันมีคุณภาพและมีคุณค่า” ทำให้เกิดความ เจริญก้าวหน้าทั้งต่อตนเองอาชีพ สถาบัน และประเทศชาติได้อย่างแน่นอนฉะนั้น การพัฒนาทักษะ การสอนของครใู นยคุ ไทยแลนด์ 4.0 จะมมี ติ ิของการปรบั เปลย่ี นทศิ ทางการศึกษาของโลกให้มีคุณภาพ ด้วยนวตั กรรมสมยั ใหม่ ๆ ซ่งึ มมุ มองของผูเ้ ขยี นเห็นว่าครูนา่ จะพฒั นาตนเองให้มีศักยภาพดว้ ยการต้อง พัฒนาทักษะการผลิตและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การพัฒนาทักษะจิตวิทยาการสื่อสาร การต้องพัฒนาทักษะชวี ิต การพัฒนาทักษะการกระตุ้นความคดิ สร้างสรรค์ และการพัฒนาทักษะการ วิจัยและพัฒนาผู้เรียนไปพร้อม แต่กระนั้น ภาคนโยบายของรัฐจะต้องมีส่วนในการสนับสนนุ กิจกรรม การเรียนการสอนและลดช่องว่างระหว่างพื้นทีข่ องการศึกษาให้มากที่สุดเพื่อความเท่าเทียม ยุติธรรม ความเสมอภาคของการศึกษาในประเทศไทย และยกระดับการศึกษาไปสู่การจัดการศึกษาและการ พัฒนาครูพร้อมทั้งบุคลากรทางการศึกษาในยุคใหม่ ให้มีคุณภาพ พร้อมที่จะแข่งขันภายใต้โลกแห่ง การเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา 105
เอกสารอา้ งองิ ภาษาไทย กฤษพงษ์ กีรติกร. (2557). “การยกระดับคุณภาพครู”. ใน การประชุมคณะกรรมการปฏิรูประบบ ผลิตและพฒั นาครู ครงั้ ท่ี 2/2557 วนั ที่ 24 มกราคม 2557. ณัฐพงศ์ จันทนะศิริ . (2559). ครูมืออาชีพ (Professional Teacher). 22 สิงหาคม 2562. https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/50207/-edu-teaartedu- teaart-teaarttea ดเิ รก พรสีมา. (2554). แนวทางการพฒั นาวชิ าชีพครู. (เอกสารอดั สำเนา). นรรัชต์ ฝันเชียร. (2561). เทคนิคการรับมือกับเด็กนักเรียนในห้องเรียน. 22 สิงหาคม 2562. https://www.trueplookpanya.com/blog/content/68010/-teaartedu-teaart- teaarttea ประเวศ วะสี. (2553). คำบรรยายเร่ือง การศึกษาท่ีพาชาติออกจากวิกฤติ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย.์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก วันท่ี 19 สงิ หาคม 2452. พณิ สดุ า สิรธิ รังศรี. (2557). ครใู นศตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. วรากรณ์ สามโกเศศ และคณะ. (2553). ข้อเสนอระบบการศกึ ษาทางเลือกท่ีเหมาะสมกับสขุ ภาวะคน ไทย. กรงุ เทพฯ: ภาพพมิ พ.์ วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพอ่ื ศษิ ยใ์ นศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนธิ สิ ดศรี-สฤษดิ์วงศ์. สมุ น อมรววิ ฒั น.์ (2554). ครุศึกษากบั ความเปล่ียนแปลงที่ทา้ ทาย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์พชั รนิ ทร์ พ.ี พี. สุรศักด์ิ ปาเฮ. (2553). การพัฒนาครูท้ังระบบตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) วันที่ 28-29 ธันวาคม 2553 ณ โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ จังหวัดแพร่. แพร่ : สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาแพร่ เขต 2. สวุ ิธดิ า จรุงเกยี รตกิ ุล. (2561). ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี21 (The Twenty-First Century Skills). 2 สิงหาคม 2562 . https://www.trueplookpanya.com/blog/content/66054/- Teaartedu-teaart-teaarttea เอกชยั กส่ี ขุ พนั ธ์. (2538). การบรหิ าร: ทกั ษะและการปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พส์ ขุ ภาพใจ. ภาษาต่างประเทศ McKinsey. (2007). McKinsey Report on Education. (August 20, 2019). Retrieved from http//www.mckinsey.com. 106
บทท่ี 7 การใช้ OLE Model พัฒนาการจัดการเรยี นการสอนฐานสมรรถนะ การเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาของประเทศไทยจากเดิมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะ (Skill) ไปสู่ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ (Competency) เนื่องมาจากหลักสูตร การเรียนการสอน และ การประเมินการเรียนรู้ ยังขาดประสิทธิภาพ ไม่ทันโลกและไม่เกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ดังจะเห็น ได้ จากผลการทดสอบทั้งระดับชาติ ( O-NET ) และระดับนานาชาติ (PISA) เด็กไทยมีผลสัมฤทธิ์ต่ำมาก รวมทั้งมีคุณลักษณะที่ไม่พึงประสงค์หลายประการ เช่น “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” “หัวโต ตัวลีบ” “รู้แต่ไม่ทำ” “นกแก้วนกขุนทอง” “เก่งแบบเป็ด” “เรียนเพื่อสอบ” “เรียนแบบตัวใคร ตัวมัน” “ไม่มคี วามใฝเ่ รียน ใฝร่ ู”้ “ไมส่ นใจเรยี นร”ู้ เหลา่ นเ้ี ม่ือวเิ คราะหเ์ จาะลกึ ถงึ สาเหตุของปัญหาก็ พบว่ามีปัญหามาจากหลักสูตร การเรียนการสอน และการวัดประเมินผลการเรียนรู้ ที่ขาดความ ยืดหยุ่นไม่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและบริบทที่แตกต่างหลากหลาย ครูขาดทักษะการ จดั การเรยี นการสอนเชงิ รุกทจ่ี ะชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้ไดด้ ี ครยู ังไมส่ ามารถจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะในการนำความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะที่ได้เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ไดจ้ ริง (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2563, น. 1-3) ดงั นนั้ ครจู ำเปน็ ตอ้ งเตรยี มความพร้อม เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนด้วยการนำเอานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่สนองตอบและ สอดคล้องกับการศึกษาฐานสมรรถนะ ( Competency – Based Education: CBE) มาใช้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มดำเนินการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency – Based Curriculum: CBC) แล้วในปีการศึกษา 2565 สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มีความพร้อม ปกี ารศกึ ษา 2566 สำหรบั โรงเรียนระดบั มัธยมศึกษาท่ีมีความพร้อมและโรงเรียนประถมศึกษาที่เหลือ และปีการศึกษา 2567 ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะกับทุกโรงเรยี น (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน, ออนไลน์, 2564) เพื่อความเข้าใจและการนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน บทความเรื่องการใช้ OLE Model พัฒนาการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะนี้จะขอนำเสนอ เนื้อหาสาระดังนี้ 1) การศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education : CBE) และ 2) การจดั การเรยี นการสอนฐานสมรรถนะ ด้วย OLE Model การศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education: CBE) เป็นท่ียอมรับกนั วา่ การท่ีคณุ ภาพของผเู้ รียนตกต่ำทงั้ ทางดา้ นผลสมั ฤทธ์ิ และคณุ ลกั ษณะท่ีพึง ประสงค์ ก็เนื่องมาจากแต่เดิมหลักสูตรเน้นความรู้ที่มีเนื้อหาจำนวนมาก ทำให้ครูไม่สามารถจัด กระบวนการเรยี นรู้เชงิ รุกอย่างมีคุณภาพ และยังขาดการจดั ประสบการณท์ ี่ช่วยให้ผู้เรยี น สามารถนำ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะที่ได้เรียนรู้แล้วไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ส่งผลให้ 107
ผู้เรียนขาดสมรรถนะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ข้อเสนอจากการรายงานของ PISA จากการประเมิน ความรู้และทักษะของผู้เรียนในเรื่อง การอ่าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการแก้ปัญหา พบว่า ความสำเร็จในชวี ติ ของนักเรยี นขึ้นอยู่กับระดบั ของสมรรถนะของผเู้ รยี น (Students’ success in life depend on a much wider range of competencies) (ทิศนา แขมมณี, ออนไลน์, 2565) ดังน้ัน การศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education: CBE) จึงน่าจะเป็นการจัดการศึกษา ทส่ี ามารถใหน้ กั เรียนบรรลผุ ลตามจุดมุง่ หมายของการศกึ ษาชาตติ ามทกี่ ำหนดไว้ได้ แนวคิดเกี่ยวกบั สมรรถนะ McClelland D. C. (1973) ได้กล่าวว่า “สมรรถนะเป็นตวั ช้ีวัดความสำเร็จของการทำงานท่ี ดีกว่าเชาว์ปัญญา (Intelligence) ที่จะเห็นได้ว่าผู้เรียนที่เรียนเก่ง อาจไม่ประสบความสำเร็จในการ ทำงานเสมอไป แต่ผู้ที่มีสมรรถนะหลากหลาย มักประสบความสำเร็จสูงในการทำงาน เนื่องจาก สามารถประยุกต์ใชห้ ลักการ วิธกี าร ทักษะ และคุณลกั ษณะต่าง ๆ ท่ตี นมีอยใู่ ห้เกิดประโยชน์ต่องานทีท่ ำ” สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2562, น.6) ได้ให้ความหมายสมรรถนะว่าเป็น ความสามารถของบุคคลในการใช้ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) เจตคติ (Attitude) และ คุณลักษณะ (Attributes) ที่ตนมีอยู่ในการทำงาน หรือการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ จนประสบความสำเร็จใน ระดับใดระดับหนึ่ง สมรรถนะจะเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมการปฏิบัติที่สามารถวัดและ ประเมินผลได้ สมรรถนะจงึ เปน็ ผลรวมของการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ ทักษะ เจตคตแิ ละคุณลักษณะทช่ี ่วย ให้บุคคลหรอื กล่มุ บุคคลประสบความสำเร็จในการทำงาน ดงั ภาพ 1 ศกั ยภาพ ภายใน ความรู้ ทักษะ เจคต/ิ คุณลักษณะ KNOWLEDGE SKILL ATTIUDE/ATTRIBUT E ประยุกตใ์ ช้ APPLY/USE งาน/สถานการณ์/ชวี ติ TASK/JOB/LIFE SITUATIONS สมรรถนะ COMPETENCY (ABILITY/CAPABILITY/PROFICIENCY) - Ability to do/preform สามารถปฏบิ ตั ิทำ - Under condition เงอ่ื นไข/งาน/สถานการณ์ - Critical/Proficiency ตามเกณฑ์ที่กำหนด ภาพ 1 THE CONCEPTUAL FRAMEWORK OF \"COMPETENCY\" กรอบแนวคิดเกีย่ วกับ \"สมรรถนะ\" (ท่ีมา: สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2562, น.8) 108
ทิศนา แขมมณี (ออนไลน์, 2565) ไดก้ ล่าวว่า ทักษะ (Skills) และสมรรถนะ (Competency) มกั ใชค้ วบคกู่ ัน หรอื สลบั กนั อยบู่ อ่ ย ๆ ทงั้ สองคำเปน็ คำที่แสดงถึงพฤติกรรมการกระทำหรือการปฏิบัติ เหมอื นกนั แตกต่างกันที่ทักษะเป็นความสามารถในการทำส่ิงใดสิ่งหน่งึ ได้ดใี นระดับหน่ึง แต่สมรรถนะ เปน็ ความสามารถในการปฏบิ ตั ิงานใด ๆ ทเี่ หน็ ผลได้จากความสำเร็จจงึ จะนบั วา่ มีสมรรถนะ ดังนั้นสมรรถนะจึงเป็นผลรวมการประยุกต์ใช้ของความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะ ซึ่งเปน็ ศกั ยภาพภายใน (Potential) ของบุคคลหรือกลมุ่ บุคคลแล้วเกดิ ความสำเรจ็ ในการทำงาน หลกั สตู รฐานสมรรถนะ (Competency – Based Curriculum: CBC) Alvin Toffler (1970) ได้กล่าวว่า “ผู้ไม่รู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่คนอ่านไม่ออกเขียนหนังสือ ไม่ได้อกี ต่อไปแล้ว แต่เป็นคนทไ่ี มส่ ามารถเรียนรใู้ หม่ (Learn) ละทิ้งความรเู้ ดิม (Unlearn) และเรียนรู้ เรื่องเดิมแบบใหม่ (Relearn)” การจัดการเรียนรู้จึงต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ และเป้าหมายแบบ ใหม่ เพอ่ื ให้ทนั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงของโลกทเี่ กิดข้ึนตลอดเวลา หลักสูตรการศึกษาของชาติที่ใช้ในปัจจุบัน คือ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นผลลัพธ์ทีต่ ้องการให้เกิดกับผู้เรียน แต่ก็พบว่าหลักสูตรไม่เอื้อให้สังคมไทยเกิดการพัฒนาและปรับตัวได้ทันต่อสภาวการณ์และการ เปลย่ี นแปลงทีเ่ กดิ ขน้ึ นอกจากนี้ กฎหมายและยุทธศาสตรส์ ำคัญของประเทศที่เกยี่ วข้องกบั การศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงต่อมา ได้กำหนดจุดหมายการพัฒนาคน แนวการจัดการศึกษาของประเทศปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและ สภาวะของประเทศ เช่น แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 เน้นการตอบสนองความ ต้องการของผู้เรียนเพื่อยกระดับชนช้ันของสังคม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ที่เอื้อต่อการสร้าง สังคมแห่งปัญญาและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และแผนการปฏิรูปประเทศด้าน การศึกษา พ.ศ. 2564 (ฉบับปรับปรุง) มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา ลด ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มุ่งความเป็นเลิศและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้กำหนดให้การพฒั นาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเป็นหนึง่ ในกจิ กรรมปฏริ ปู ประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ( Big Rocks) (CBE Thailand, ออนไลน์, 2565) กระทรวงศึกษาธิการจึงได้อาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545 กำหนดให้ปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช…. ในลักษณะหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) ซึ่งเป็นหลกั สูตรท่ีมุ่งให้ผู้เรียนไดร้ บั การพัฒนาสมรรถนะหลกั ท่ี 109
สำคัญต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในโลก ศตวรรษท่ี 21 ประกอบดว้ ยสมรรถนะหลัก 6 ด้าน (CBE Thailand, ออนไลน์, 2565) ดังภาพ 2 ภาพ 2 สมรรถนะหลกั 6 ด้าน (ทีม่ า: CBE Thailand, ออนไลน์, 2565) 1. สมรรถนะการจัดการตนเอง: การรู้จกั รัก เห็นคณุ ค่าในตนเองและผู้อื่น การพัฒนาปัญญา ภายใน ตั้งเป้าหมายในชีวิตและกำกับตนเองในการเรียนรู้และใช้ชีวิต การจัดการอารมณ์และ ความเครียด รวมถึงการจัดการปัญหาและภาวะวิกฤต สามารถฟื้นคืนสู่สภาวะสมดุล (Resilience) เพื่อไปสูค่ วามสำเรจ็ ของเป้าหมายในชวี ิต มสี ขุ ภาวะท่ดี ีและมีสัมพันธภาพกบั ผ้อู น่ื ได้ดี 2. สมรรถนะการคิดข้นั สูง: สามารถคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และตดั สินใจอยา่ งมีวิจารญาณ บนหลักเหตุผลอย่างรอบด้าน โดยใช้คุณธรรมกำกับการตัดสินใจได้อย่างมีวิจารณญาณ มี ความสามารถคดิ อย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วยความเข้าใจถึงความเชือ่ มโยงของสรรพสิง่ ที่อยู่ร่วมกันอยา่ ง เปน็ ระบบ ใช้จินตนาการและความรู้สรา้ งทางเลอื กใหม่ เพอื่ แก้ปัญหาทซี่ บั ซ้อนไดอ้ ยา่ งมีเป้าหมาย 3. สมรรถนะการสื่อสาร: มีความสามารถรับรู้ รับฟัง ตีความ และส่งสารด้วยภาษาต่าง ๆ ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา โดยใช้กระบวนการคิด ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ ความเข้าใจ ในระบบ คุณค่า การแก้ปัญหาร่วมกันผ่านกลวิธีการสื่อสาร อย่างฉลาดรู้ สร้างสรรค์ มีพลัง โดยคำนึงถึงความ รับผดิ ชอบต่อสังคม 4. สมรรถนะการรวมพลังทำงานเปน็ ทมี : สามารถจัดระบบและกระบวนการทำงาน กจิ การ และการประกอบการใด ๆ ทั้งของตนเอง และร่วมกับผู้อื่น โดยใช้การรวมพลังทำงานเป็นทีม มีแผน 110
ขั้นตอน ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย มีภาวะผู้นำ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการประสาน ความคดิ เห็นท่ีแตกตา่ งสู่การตดั สินใจและแกป้ ญั หาเป็นทีม อย่างรับผดิ ชอบร่วมกนั สรา้ งความสัมพนั ธ์ ทด่ี ีและจัดการความขดั แยง้ ภายใต้สถานการณ์ท่ีย่งุ ยาก 5. สมรรถนะการเป็นพลเมอื งท่เี ข้มแข็ง: การปฏบิ ตั ิตนอยา่ งรับผิดชอบในฐานะพลเมืองไทย และพลโลก รู้เคารพสิทธิเสรภี าพของตนเองและผูอ้ ื่น เคารพในกฎกติกาและกฎหมาย มีส่วนร่วมทาง สังคมอย่างมีวิจารณญาณ อยรู่ ่วมกับผู้อนื่ ท่ามกลางความหลากหลาย เหน็ คุณค่าของศกั ด์ิศรีความเป็น มนุษย์ มบี ทบาทในการตัดสินใจและสรา้ งการเปล่ียนแปลงทางสังคม โดยยดึ มนั่ ในความเท่าเทียมเป็น ธรรม คา่ นยิ มประชาธิปไตย และสันตวิ ธิ ี 6. สมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน: มีความเข้าใจพื้นฐาน เกี่ยวกับปรากฏการณ์ของโลกและเอกภพและความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และ ธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ใช้และรู้เท่าทันวิทยาการเทคโนโลยี มีความอยากรู้ อยากเห็น ช่างสังเกต เห็นคุณค่า สามารถแก้ปัญหา หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เพื่อการดำรงชีวิตและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อยา่ งย่ังยนื จากหลกั สตู รฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum: CBC) ท่ีกำหนดสมรรถนะ หลัก 6 ด้าน ข้างต้นจึงต้องการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ (Competency – Based Instruction: CBI) และ การวดั และประเมินผลฐานสมรรถนะ (Competency – Based Assessment: CBA) ให้มีความสอดคลอ้ งกันทงั้ กระบวนการเรยี นการสอนต่อไป การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ ด้วย OLE Model โดยที่หลักสูตรฐานสมรรถนะ ( Competency-based Curriculum: CBC) เป็นการ ปรับเปลีย่ นจดุ เน้นจากการรูม้ าเป็นการทำหรือการปฏิบัติ (ในระดบั การ ประยกุ ต์ใช)้ การจัดการเรียน การสอนฐานสมรรถนะจึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย กระบวนการเรียนรู้จะต้องปรับจากการรับ (ความรู้) ซึ่งมีลักษณะเฉื่อยไม่ตื่นตัว (Passive) มาเป็นการรุกหรือการตื่นตัวที่จะเรียนรู้ (Active) คือผู้เรียนต้องเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ เป็นผู้จัดกระทำต่อสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างแท้จริง (คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและสำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, ออนไลน์, 2564, น. 5) ในขณะเดียวกันครูก็ตอ้ งเป็นผู้เตรียมการจดั การเรียนการสอนฐาน สมรรถนะต่อไป โดยเน้นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ทันสมัยเหมาะกับผู้เรียนตามหลักสูตรฐาน สมรรถนะ 111
หลักการจดั การเรียนการสอนฐานสมรรถนะ การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีจุดประสงค์การ เรียนรู้ฐานสมรรถนะเป็นเป้าหมาย คือ มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการประยุกต์ใช้ ความรู้ ทกั ษะ เจตคตแิ ละคุณลักษณะต่าง ๆ อย่างเป็นองค์รวม ในการปฏิบัตงิ าน การแก้ปัญหา และ การใช้ชีวิต เป็นการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เรียนรู้เพื่อให้สามารถใช้การได้จริงใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ เปน็ การเรยี นเพือ่ ใชป้ ระโยชน์ไมใ่ ชก่ ารเรียนเพื่อรเู้ ท่านั้น การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะเน้น “การปฏบิ ตั ”ิ โดยมชี ดุ ของเน้อื หา ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการนำไปสู่สมรรถนะที่ต้องการ จึงทำให้สามารถลดเวลาเรียน เนื้อหาจำนวนมากที่ไม่จำเป็น เอื้อให้ผู้เรียนมีเวลาในการเรียนรู้เนื้อหาที่จำเป็นในระดับที่ลึกซึ้งข้ึน และมีโอกาสได้ฝึกฝนการใช้ความรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะในระดับ ชำนาญหรือเชี่ยวชาญ เป็นการเรียนการสอนที่มีการบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ ความรู้ในศาสตร์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานใดงานหนึ่งในการนำไปใช้เพื่อให้เกิดความสำเร็จของการ ปฏิบัติงาน การเรียนการสอนจึงเน้นการบูรณาการมากขึ้น (คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูป การศกึ ษาและสำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, ออนไลน์, 2564, น. 5) ในการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะนั้น ผู้เรียนสามารถใช้เวลาในการเรียนรู้และมี ความก้าวหนา้ ในการเรียนรู้ไปตามความถนัดและความสามารถของตน สามารถไปไดเ้ ร็ว – ช้าแตกต่าง กันได้ โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะประสบความสำเร็จ คือ การให้ข้อมูล ป้อนกลบั แกผ่ ู้เรยี นเพือ่ การปรับปรงุ พฒั นา แนวทางการจัดการเรยี นร้ฐู านสมรรถนะ ในการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะเพื่อพัฒนาผู้เรียน ครูสามารถเลือกใช้ตามความ พร้อมและบริบทโรงเรียน และความถนัดของครู แนวทางการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะมี 6 แนวทาง ดังนี้ (คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและสำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, ออนไลน์, 2564, น. 5-6) แนวทางที่ 1: ใช้งานเดิม เสรมิ สมรรถนะ เปน็ การจัดการเรียนรูท้ ีส่ อดแทรกสมรรถนะ ซง่ึ ครู เห็นว่าสอดคล้องกับบทเรียนนั้นเข้าไป และคิดกิจกรรมเสริมเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาสมรรถนะนั้น เพิ่มขึน้ เปน็ การช่วยเพ่ิมการเรียนร้ขู องผู้เรียนให้เข้มข้น มคี วามหมาย และเกิดสมรรถนะทีต่ ้องการ แนวทางท่ี 2: ใชง้ านเดมิ ต่อเตมิ สมรรถนะ เปน็ การจดั การเรียนรทู้ ี่ต่อยอด เพ่มิ เติมจากงาน เดิมให้ต่อเนื่องไปถึงขั้นการฝึกฝนการนำความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ได้เรียนรู้แล้วไปประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ทีห่ ลากหลาย เพอื่ พัฒนาผ้เู รยี นให้มีสมรรถนะในเรอื่ งที่เรียนร้นู ัน้ 112
แนวทางที่ 3: ใช้รูปแบบการเรียนรู้สูก่ ารพัฒนาสมรรถนะ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีการนำ รูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ มาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับสมรรถนะที่สอดคล้องกัน และเพิ่มเติมกิจกรรมที่ สามารถช่วยพัฒนาสมรรถนะนั้นให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อันจะส่งผลให้การเรียนการสอนตามรูปแบบ การเรียนรู้ทใ่ี ช้มปี ระสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย แนวทางที่ 4 : สมรรถนะเป็นฐานผสานตัวชี้วัด เป็นการจัดการเรียนรู้โดยนำสมรรถนะที่ ต้องการพัฒนาเป็นตัวตั้งและนำตัวชี้วัดที่สอดคล้องกันมาออกแบบการสอนร่วมกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระ และทักษะตามที่ตัวชี้วัดกำหนดไปพร้อม ๆ กันกับการพัฒนาสมรรถนะหลักท่ี ตอ้ งการ แนวทางท่ี 5 : บูรณาการผสานหลายสมรรถนะ เป็นการจดั การเรียนรูโ้ ดยนำสมรรถนะหลัก หลายสมรรถนะเป็นตัวตั้ง และวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง แล้วออกแบบการสอนที่มีลักษณะเป็น หน่วยบูรณาการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม โดยเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชา/กลุ่ม สาระการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ แนวทางท่ี 6 : สมรรถนะชีวิตในกิจวัตรประจำวนั เปน็ การสอดแทรกสมรรถนะทสี่ ่งเสริมใน การทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น เป็นการใช้กิจกรรม ในชีวิตประจำวนั ทีท่ ำอยู่แลว้ เป็นสถานการณ์ในการฝึกฝนสมรรถนะ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกดิ สมรรถนะที่ต้องการแล้วยัง ช่วยทำให้การทำกิจวตั รประจำวันของผู้เรียนมีคุณภาพและประสิทธิภาพ มากขึน้ ดว้ ย แนวทางการจัดการเรียนรฐู้ านสมรรถนะทัง้ 6 แนวทาง มคี วามสมั พนั ธ์กัน ดงั แสดงในภาพ 3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะ 6 แนวทาง แนวทางท่ี 5 : บูรณาการผสานหลายสมรรถนะ แนวทางที่ 4 : สมรรถนะเป็นฐานผสานตัวชี้วัด แนวทางที่ 3 : ใชร้ ปู แบบการเรยี นรู้สูก่ ารพฒั นาสมรรถนะ แนวทางที่ 2 : ใช้งานเดมิ ตอ่ เตมิ สมรรถนะ แนวทางท่ี 1 : ใชง้ านเดมิ เสรมิ สมรรถนะ ภาพ 3 แนวทางการจดั การเรียนรฐู้ านสมรรถนะ (ทมี่ า: คณะกรรมการอิสระเพอื่ การปฏิรูปการศกึ ษาและสำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, ออนไลน์, 2565) 113
OLE Model กบั การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ ในการเขียนหัวข้อนี้ผู้เขียนบทความได้ดัดแปลงจากบทความของรัชภูมิ สมสมัย (ออนไลน์, 2564) เรื่อง “สมรรถนะผู้เรียน” ความว่าสมรรถนะผูเ้ รียนเป็นคุณลักษณะของผูเ้ รียนทีป่ ระกอบด้วย ความรู้ ทักษะกระบวนการ บคุ ลกิ ภาพสว่ นตัว และแรงจูงใจ ท่ีมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานรวมกัน จนผลักดันให้ผลการปฏิบัติงานสำเร็จบรรลุตามเป้าหมายหรือเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด สอดคล้อง กับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งหลักสูตรอิงมาตรฐานที่ต้องการให้ ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ 5 ด้าน ประกอบด้วย ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการ คิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี สามารถเขยี นเปน็ สมการเพ่ือใช้จัดการเรยี นการสอนได้ ดังนี้ K + A + P + M & Successful = Competency ดังนั้นการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดสมรรถนะผู้เรียน และการประเมินสมรรถนะผู้เรียนจึงไม่ สามารถแยกส่วนเปน็ K เป็น A หรอื เปน็ P ได้ แต่ในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการกำลังจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช…. ในลักษณะหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) ขึน้ ประกอบด้วยสมรรถนะ หลกั 6 ด้าน คือ สมรรถนะการจัดการตนเอง สมรรถนะการคดิ ขน้ั สูง สมรรถนะการสอื่ สาร สมรรถนะ การรวมพลังทำงานเป็นทีม สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง และ สมรรถนะการอยู่ร่วมกับ ธรรมชาตแิ ละวิทยาการอย่างยั่งยนื และจากกรอบแนวคิดเก่ียวกบั \"สมรรถนะ\"กล่าวว่าสมรรถนะเป็น ผลรวมของการประยุกต์ใช้ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) เจตคติ (Attitude) และคุณลักษณะ (Attributes) รวมกันประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสำเรจ็ ในงาน (สำนกั งานเลขาธิการ สภาการศึกษา, 2562, น.6) จึงได้ปรับปรุงแนวคิดของรัชภูมิ สมสมัย (ออนไลน์, 2564) สร้างสมการ การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะใหม่เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเลือกวิธีสอน โดยสามารถ เขียนเป็นสมการการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะได้ ดังน้ี K + S + A/A & Successful = Competency K หมายถึง ความรู้ (Knowledge) S หมายถึง ทักษะ (Skills) A/A หมายถงึ เจตคติ (Attitude) และคณุ ลกั ษณะ (Attributes) ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดสมรรถนะผู้เรียน และการประเมินสมรรถนะ ผู้เรียนจึงไม่สามารถแยกส่วนเป็น K เป็น S หรือ เป็น A/A ได้ แต่ถ้าครูสามารถสอนให้บรรลุทั้ง K S 114
และ A/A จนเกิด Successful ก็เชื่อได้ว่านักเรียนจะเกิดสมรรถนะตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดย การนำเอา OLE Model มาใช้ในการพฒั นาการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ จะเหน็ ได้วา่ OLE Model มีกระบวนการในการจัดการเรียนการสอนที่ครอบคลุมตามรายละเอียดตามหลักสูตรฐาน สมรรถนะ (Competency – Based Curriculum: CBC) ทง้ั 2 ดา้ น คอื การจดั การเรียนการสอนฐาน สมรรถนะ (Competency – Based Instruction: CBI) และการวัดและประเมินผลฐานสมรรถนะ (Competency – Based Assessment: CBA) ดังตาราง 1 ตาราง 1 OLE Model กับการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ Objective Learning Evaluation Output Outcome Competency K การออกแบบ K สถานการณ์/ S การเรียนรู้ S ชนิ้ งาน/ A/A ท่ตี อบสนอง A/A ภาระงาน KSA/A + Competency และ Competency โดยปกติครูมกั จะประเมนิ ถงึ ข้ันตอน Output เทา่ นนั้ ไม่ไดป้ ระเมินไปถึงข้ันตอน Outcome สง่ ผลให้กระบวนการประเมินสมรรถนะของผเู้ รยี นตามหลักสตู ร ไม่สมบูรณ์เทา่ ท่ีควร แต่ถ้าต้องการจะประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนด้วยควรย้อนกลบั ไปที่สมการของสมรรถนะผ้เู รียน จะพบว่าสมรรถนะผู้เรียนเกิดจากการหลอมรวมระหว่างความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะ เพราะฉะนั้นถา้ ต้องการประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน จะไมส่ ามารถประเมนิ แบบแยกส่วนได้ ระยะแรกให้ เพิ่มเติม 3 จุดดงั น้ี (ดดั แปลงจาก รัชภมู ิ สมสมยั , ออนไลน์, 2564) 1. ในส่วน Objective จากเดิมที่เป็นของมาตรฐาน/ ตัวชี้วัด (KSA/A) ก็ให้เพิ่มเติมในเรื่อง สมรรถนะ ผ้เู รยี นมากำหนดเปน็ เปา้ หมายด้วย แต่สมรรถนะที่เราเลือกต้องสอดคล้องกับ KSA/A และ เนอื้ หาทจ่ี ะสอน ผู้เรยี นดว้ ย 2. ในส่วน Learning จากเดิมที่เป็นการออกแบบการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนบรรลุ มาตรฐาน/ตัวชี้วัด (KSA/A) ก็ให้เพิ่มเติมการออกแบบการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนบรรลุเรื่อง สมรรถนะผเู้ รียนอีกทางดว้ ย ในการจดั การเรียนการสอนฐานสมรรถนะควรลดการใชต้ ำราเรียน เพราะความรู้ที่อยู่ในตำรา เรียนนั้นไม่สามารถ Update ตัวมันเองได้ ด้วยเพราะโลกในศตวรรษที่ 21 ความรู้เปลี่ยนแปลงได้ 115
อยา่ งรวดเรว็ และรุนแรง แตค่ วรไปเพิม่ การใชส้ ถานการณ/์ ปรากฏการณ/์ อตั ลกั ษณเ์ ชงิ พ้ืนท่ีจากชีวิต จรงิ และภาพอนาคตของผ้เู รยี นเปน็ ฐานในการออกแบบการเรียนรู้ เพราะสดุ ท้ายแลว้ เมอ่ื ผเู้ รยี นสำเร็จ การศึกษา ผู้เรียนจะได้มีภูมิรู้ในการรับมือกับสถานการณ์ ณ เวลาปัจจุบันนั้น ๆ และสามารถปรับตวั เข้ากับสังคมได้ 3. ในส่วน Evaluation ก็ให้เพิ่มเติมในส่วนชิ้นงาน/ ภาระงาน เข้าไป และต้องเป็นชิ้นงาน/ ภาระงานที่สอดคล้องกับ KSA/A สอดคล้องกับชีวิตจริง และท้าทายความสามารถของผู้เรียน การที่ ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาจากชิ้นงาน/ ภาระงานจนสำเร็จได้นั้นแสดงว่าผู้เรียนคนนั้นเกิดสมรรถนะ ตามที่ครูกำหนดในขั้น Objective แล้ว ถ้าเกิดสมรรถนะมากก็หาทางส่งเสริมต่อยอด ถ้าเกิด สมรรถนะน้อยหรือไม่เกิดก็หาทางในการพัฒนาต่อไป การประเมิน Outcome คือ การประเมิน สมรรถนะของผู้เรียน ซึ่งสมรรถนะนั้นถือว่าเป็นผลที่ได้จากการหลอมรวมระหว่าง ความรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skills) เจตคติ (Attitude) และคุณลกั ษณะ (Attributes) จากขน้ั ตอน OLE Model ในส่วนของ Evaluation ใหท้ ำการประเมนิ เป็น 2 ระยะ คือ 1. การประเมิน Output ในส่วนนี้จะเป็นการประเมินระยะแรก คือ การประเมินตาม มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด (KSA/A) ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ว่าผู้เรียนบรรลุมาตรฐาน/ ตัวชี้วัด หรือไม่? อย่างไร? ข้อควรระวังของการประเมินระยะแรกคือ การเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับ KSA/A ตัวอยา่ ง เชน่ ตัวช้ีวัดทเ่ี ป็นความรู้ (K) ควรเลือกใช้เคร่อื งมือประเภทการทดสอบ ตวั ชว้ี ดั ทีเ่ ปน็ ทกั ษะ (S) ควรเลือกใชเ้ ครื่องมอื ประเภทการประเมนิ ภาคปฏิบัติ ตัวชวี้ ดั ที่เปน็ ทัศนคติ (A/A) ควรเลือกใช้เคร่ืองมือประเภทการสงั เกตพฤติกรรม 2. การประเมิน Outcome คือ การประเมินสมรรถนะของผู้เรยี น ซึ่งสมรรถนะนั้นถือว่าเป็น ผลท่ไี ดจ้ ากการหลอมรวมระหว่าง ความรู้ ทกั ษะ เจตคตแิ ละคุณลักษณะ ในการประเมินสมรรถนะจึง ไม่สามารถแยกการประเมินเป็นด้าน ๆ เหมือนระยะแรกได้ แต่ต้องเป็นการประเมินแบบองค์รวมท้ัง เรื่องความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะ ซึ่งในการประเมินสมรรถนะนั้นต้องประเมินโดยผ่าน สถานการณ์/ ภาระงาน/ ชิ้นงาน และเมื่อผู้เรียนได้รับโจทย์ที่เป็นสถานการณ์ ภาระงาน ชิ้นงานแลว้ ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจในการแก้ปัญหาโจทย์นั้นให้ประสบผลสำเร็จให้ได้ โดยอาศัยการบูรณาการท้ัง เรื่องความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะของผู้เรียนประกอบเข้าด้วยกัน ( K + S + A/A & Successful) สถานการณ์/ ภาระงาน/ ชิ้นงานจึงเป็นเครื่องมือท่ีใช้ประเมินสมรรถนะของผู้เรียน ในการ เลือกสถานการณ์/ ภาระงาน/ ชิ้นงาน ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือต้องสอดคล้องกับเนื้อหาของกลุ่ม สาระที่ให้ผู้เรียนได้ทำ และต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดของสมรรถนะที่จะใช้ประเมิน และทำให้ผู้เรียน เกดิ ความรู้สึกที่ ท้าทาย มากกว่า ท้อแท้ 116
บทสรุป ในการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะตามสมการ K + S + A/A & Successful = Competency พัฒนาร่วมกับ OLE Model จะต้องทำให้สอดคล้องกับสมรรถนะตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช…. ที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินประกาศใช้ อันเป็นหลักสูตรฐาน สมรรถนะ (Competency-based Curriculum) ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสมรรถนะหลักท่ี สำคัญต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในโลก ศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยสมรรถนะหลัก 6 ด้าน คือ 1) สมรรถนะการจัดการตนเอง 2) สมรรถนะ การคิดขั้นสูง 3) สมรรถนะการสื่อสาร 4) สมรรถนะการรวมพลงั ทำงานเปน็ ทีม 5) สมรรถนะการเปน็ พลเมืองที่เข้มแข็ง และ 6) สมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน โดยที่การ จัดการเรียนการสอนจะต้องคำนึงถึงกิจกรรม/ สถานการณ์/ ภาระงาน/ ช้นิ งาน และการประเมินผลที่ จะสง่ ผลใหผ้ ู้เรียนเกดิ สมรรถนะตามทีต่ อ้ งการตอ่ ไป 117
เอกสารอ้างองิ ภาษาไทย คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2564). การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก. [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 5 เมษายน 2565,https:// watponcmpeo.files.wordpress.com/ การจดั การเรยี นรูฐ้ านสมรรถนะเชงิ รกุ .pdf/. ทิศนา แขมมณี, ออนไลน์. (2565). หลักสูตรฐานสมรรถนะกับบทบาทของศึกษานิเทศก์ แนวใหม่. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 5 เมษายน 2565,https://docs.google.com/ viewer?a=v&pid=sites&srcid= aGktc3VwZXJ2aXNvcnk1Lm5ldHxucHQyfGd4OjM3O WRlZWI2ZjdjMGM4ZjA. รัชภูมิ สมสมัย. (2564). สมรรถนะผู้เรียน ตอนท่ี 1. [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 5 เมษายน 2565 https:// sornorpoom.files.wordpress.com/2019/08/สมรรถนะผู้เรียน ตอนที่ 1.pdf. รัชภูมิ สมสมัย. (2564). สมรรถนะผู้เรียน ตอนท่ี 2. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 5 เมษายน 2565, https:// sornorpoom.files.wordpress.com/2019/08/สมรรถนะผู้เรยี น ตอนท่ี 2.pdf. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. (2564). หลักสูตรฐานสมรรถนะ. [ออนไลน์]. สืบค้น เมอื่ 5 เมษายน 2565, https://cbethailand.com/ฐานสมรรถนะ/. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2562). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน ระดับการศึกษา ขั้นพืน้ ฐาน. บรษิ ัท 21 เซน็ จูรี่ จำกดั . นนทบรุ ี. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2563). การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก. บริษัท 21 เซ็นจรู ี่ จำกัด. นนทบุร.ี Alwin Toffler. (1970). Future Shock. Bantam Book. New York. CBE Thailand. (2565). หลักสูตรการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช .... (หลักสตู รฐานสมรรถนะ). [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 5 เมษายน 2565, https://cbethailand.com/หลักสูตร-2/ กรอบหลกั สตู ร/. ภาษาตา่ งประเทศ McClelland D. C. (1973). Testing for Competence Rather than for Intelligence. American Psychologist, 28(1), 1-14. 118
บทที่ 8 การรู้ดิจิทัล (Digital literacy) เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทำให้บุคคลสามารถทำงานได้รวดเร็วและ ง่ายดายมากขึ้นสามารถค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ ดูหนังฟังเพลงส่งหรือเผยแพร่ข้อความให้ ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย เทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นเครื่องมีอสำคัญต่อการเรียนรู้และการศึกษาในปัจจุบัน การเข้าถึงเทคโนโลยี ดิจิทัลมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์เคลอื่ นท่ี แท็บเล็ต เปน็ ต้น การรูด้ ิจิทลั จึงเปน็ ทักษะท่ีสำคญั ทีใ่ ช้ในการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล (Karpati, 2011) และเปน็ แนวคดิ เกี่ยวกับความสามารถในพัฒนาและประยุกต์ทักษะด้านเทคโนโลยีได้ อย่างเหมาะสมสรา้ งสรรค์ปลอดภยั มจี ริยธรรม และมีประสทิ ธิภาพ รวมถงึ มีทักษะการคิดเชงวิเคราะห์ และประเมินสารสนเทศดิจิทัลการทำงานร่วมกันทำงานออนไลน์ การตระหนักรู้ในการใช้เทคโนโลยี ดังนั้นการพัฒนาการรู้ดิจิทัลจึงเกี่ยวกับการสร้างความรู้ความเข้าใจคว ามสามารถพื้นฐานในการใช้ เทคโนโลยที ีช่ วยให้สามารถตัดสนิ ใจทเี่ หมาะสมรู้เท่าทัน ความหมายของการรดู้ ิจิทัล นกั วชิ าการได้ให้ความหมายของการรู้ดิจิทัลอยา่ งหลากหลาย ดงั นี้ Paul Gilster เป็นผู้ใชค้ าศพั ท์ Digital literacy เป็นคนแรกในปี 1997 หมายถึงความสามารถใน การทำความเขา้ ใจและสามารถใชส้ ารสนเทศท่ีมรี ปู แบบทีห่ ลากหลายและจากหลาย ๆ แหลง่ ผา่ น คอมพิวเตอร์ (Gilster, 1997) Bawden (2008) ให้ความหมาย Digital literacy ว่าเป็นชุดทักษะที่ประกอบด้วยทักษะทำงาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและทักษะการรู้สารสนเทศ การประเมินสารสนเทศ การ รู้เท่าทันสื่อและการรู้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโดยเน้นทักษะและทัศนคติในการประเมินสารสนเทศ และรวมรวมีองค์ความรู้ American Library Association (2013) ให้ความหมาย Digital literacy ว่าหมายถึง ความ สามารถในการใช้สารสนเทศและเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อค้นหา ประเมิน สร้างสรรค์ และสื่อสาร สารสนเทศซ่ึงต้องการทงั้ ทักษะทำงเทคนิคและทักษะทำงการคิด Aviram & Eshet-Alkalai (2006) ให้ความหมายว่า Digital literacy เป็นเทคนิคกระบวนการ ในการทำงานกับเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองดิจิทัล และทักษะทำงานด้านอารมณแ์ ละทำงาน สงั คม (Emotional-social skills) Martin (2005, p.135 ) อธิบายใน DigEuLit (European Framework for Digtial Literacy) 119
ซึ่งเป็นกรอบแนวคดิ การรดู้ ิจทิ ัลของสหภาพยุโรปว่า Digital literacy เป็นความตระหนัก ทัศนคติและ ความสามารถของแต่ละบุคคลในการใช้เคร่ืองมีอดิจิทัลอย่างเหมาะสมเพื่อระบุเขา้ ถึงจดั การ บรู ณาการ วิเคราะห์ สังเคราะห์ทรัพยากรดิจิทัลรวมถึงการสร้างความรู้ใหม่ สร้างสื่อเพื่อการสื่อสารและการ สะทอ้ นความคดิ ไปยังผู้อนื่ เพ่ือให้เกิดกิจกรรมทำงสังคมที่สร้างสรรค์ในบริบทของสถานการที่เก่ียวข้อง กับชวี ิตประจำวัน พรชนิต วลีนำราช (2017) ให้ความหมายว่าการรู้สารสนเทศเป็นความรู้ ความเข้าใจในการใช้ เครื่องมีอทำงเทคนิค และเกี่ยวข้องกับความรู้ความสามารถพื้นฐานในการใช้ในการทำงานกับ เทคโนโลยี สารสนเทศและเครือข่ายสารสนเทศ ได้แก่ ความสามารถในการค้นคืน การจัดการ การ แบ่งปนั รวมถงึ การสร้างสารสนเทศและความรู้ ทักษะการเรียนรใู้ นการทำงานกบั สารสนเทศที่นำสนอ ผ่านคอมพิวเตอร์ในรูปแบบและจากแหล่งที่หลากหลาย ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และทักษะทำงาน ด้านอารมณ์และทางสังคมโดยการมีตรรกะการคิดที่ถูกต้องและไม่ใช้อารมณ์ แต่ให้ความสำคัญกับ เนื้อหา นอกจากนี้ยังต้องมีการมีทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร การร่วมมีอกับผู้สอนรวมถึงมี การตระหนักด้านจริยธรรมและ มารยาทบนอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมีอสำคัญต่อการ เรยี นร้แู ละการศึกษา ดังนั้น การรู้ดิจิทัล หมายถึง ความสามารถด้านดิจิทัลในการใช้เคร่ืองมีอดิจิทัล เพื่อการ เข้าถึง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การจัดการ การบูรณาการการแบ่งปัน การสื่อสาร การสร้าง สารสนเทศและความรู้ใหม่โดยมีทักษะการรู้สารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ ทักษะทำงานด้านอารมณ์และทำงสังคม อีกทั้งทักษะการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิต ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อนในสภาพแวดล้อมดิจิทัลโดยตระหนักถึงความรับผิดชอบ ส่วนบุคคล จริยธรรมและมารยาท ความสำคญั ของการรดู้ จิ ิทลั การรู้ดิจิทัลเป็นทักษะที่สำคัญที่ใช้ในการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล ( Karpati, 2011) และเป็น เหมีอนทักษะชีวิต (UNESCO’s Information for All Programme [IFAP], 2011) หรือทักษะเพื่อ การ อยู่รอด (Survival skill) ซึ่งทำให้สามารถเรียนรู้และทำงานในสภาพแวดล้อมดิจิทัลได้อย่างมี ประสิทธิภาพ Aviram & Eshet-Alkalai (2006) อธิบายว่า การรู้สารสนเทศ เป็นการรวมทักษะ 3 ทักษะเข้าไวด้วยกัน ได้แก่ ทักษะการทำงานร่วมกันเทคโนโลยีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดิจิทัลและ ทักษะด้านอารมณ์และทำงสังคม จะเห็นได้ว่า การรู้ดิจิทัลเกี่ยวข้องกับการดำเนนิ ชีวิตประจำวัน การ ทำงาน การเรียน หรือการพักผ่อนภายใต้สภาพแวดล้อมดิจิทัลได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยการ พฒั นาทักษะต่าง ๆ อย่างตอ่ เนอ่ื ง นำไปสู่การเรยี นรู้ตลอดชีวิต (Martin, 2005) นำไปสู่ประโยชน์ของ การร้ดู ิจิทัลในการพฒั นาประชาชน และประเทศไดด้ งั ท่ี Siddike (2010) กลา่ วถึงดังตอ่ ไปน้ี 120
1) การรดู้ จิ ิทัลสง่ เสริมพฒั นาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 2) การรดู้ จิ ทิ ลั ลดชอ่ งว่างดิจิทลั ทำให้ประเทศพัฒนา 3) การรูด้ จิ ิทัลช่วยพฒั นาคุณภาพชวี ติ และการทำงานในสภาพแวดลอ้ มดจิ ิทลั 4) การรดู้ ิจทิ ัลทำใหก้ ระบวนการเรยี นรูใ้ ห้มีคุณภาพและประสิทธผิ ล 5) การรดู้ ิจิทัลช่วยพัฒนาคุณภาพสนิ ค้าด้วยการใชเ้ ทคโนโลยี 6) การรูด้ ิจิทัลช่วยเพม่ิ การเขา้ ถงึ สารสนเทศบนอินเทอร์เนต็ เพื่อการตัดสินใจได้ 7) การรู้ดิจิทัลมีประโยชน์ต่อการพัฒนาธรกรรมีอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) เพิ่มโอกาส ทำงานธรุ กิจและการผลติ 8) การรู้ดจิ ิทลั ช่วยดึงดดู จากนกั ลงทนุ ต่างชาตเิ น่อื งจำกดั ประชาชนมีทกั ษะทีจ่ ำเปน็ ตอ่ การพฒั นา 9) การรู้ดจิ ทิ ัลทำให้เยาวชนคดิ เปน็ เขยี นเปน็ เรียนรเู้ ป็น แก้ปัญหาเป็น 10) การรดู้ จิ ิทัลช่วยกระตุ้นให้ผ้เู รียนสนใจการเรียนรู้ กรอบแนวคิดการรู้ดิจิทลั การรดู้ จิ ิทลั มคี วามสัมพันธ์และมีความใกล้เคียงกับกับทักษะการรู้สารสนเทศและซึ่งประกอบด้วย การ ทราบความต้องการสารสนเทศของตน ทักษะในการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ การพจิ ำรณาประเมินความถูกต้องหรือความนา่ เชื่อถือของสารสนเทศทีร่ วมถึงการนำไปใช้ ประโยชน์อย่างมีจริยธรรม Association of College & Research Libraries (2000) อธิบายว่า ใน สภาพแวดล้อมดิจิทัล ทักษะการรู้สารสนเทศเป็น Multi-literacies ประกอบด้วยทักษะหลายทักษะ เช่น ทักษะการรู้เท่าทันสื่อและทักษะการรู้ดิจิทัล เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งสืบค้นออนไลน์ที่เหมาะสมได้ ดังนั้น การรู้ดิจิทัลส่งเสริมทักษะการรู้สารสนเทศ ซึ่งการพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศทำให้ผู้เรียน สามารถเพิม่ ประสิทธิภาพการเรยี นในสภาพแวดล้อมดจิ ิทัลได้ดีย่ิงข้นึ รวมถงึ การพฒั นาทักษะการเรียนรู้ ด้วยตนเองหรือการเรยี นรูต้ ลอดชวี ติ อีกด้วย UNESCO’s Information for All Programme [IFAP] (2011) อธิบายว่าการรู้ดิจิทัล เกี่ยวข้อง กับทักษะหลายประเภท ได้แก่ ทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT skills) ทกั ษะพลเมีอง (Civic skills) ทกั ษะการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Learning to learn skills) และทักษะการ เรียนรู้ตลอดชีวิต เช่นเดียวกับสานักงานพัฒนาวทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ [สวทช.] (ม.ป.ป.) ไดอ้ ธิบายว่า การรู้ ดิจทิ ัลคอื ความหลายหลายของทกั ษะต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งสมั พนั ธก์ ัน ไดแ้ ก่ 1. การรู้สารสนเทศ (Information literacy) เป็นความสามารถในการสืบค้น ประเมิน และ ใช้สารสนเทศ การรู้สารสนเทศพัฒนาเพื่อการใช้ ห้องสมุด และมีความสำคัญในสภาพแวดลอ้ มดิจทิ ลั ทขี่ ้อมลู และสารสนเทศอยู่ในระบบออนไลน์ 2. การรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy) ความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์และสร้างเนื้อหา 121
ได้อย่างหลากหลายรูปแบบ คือ การรู้เลือกรับสารสนเทศจากสื่อที่แตกต่างกัน การรู้ขอบเขตและการ เผยแพร่สารสนเทศผ่านสื่อ ความเข้าใจและความตระหนักเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อ สามารถความ น่าเชื่อถอื ของส่อื ได้ 3. การรู้เทคโนโลยี (Technology literacy) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีซึ่งครอบคลุม จากทักษะคอมพวิ เตอร์ข้ันพ้นื ฐานส่ทู ักษะที่ซับซ้อนมากขึ้นเพอื่ เป้าหมายและบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 4. การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual literacy) ความสามารถในการตีความ การวิเคราะห์ การ เรียนรู้ การทำความเข้าใจสิ่งที่เห็น การแสดง ความคิดเห็น และสามารถใช้สิ่งที่เห็นนั้นในการทำงาน และการดำรงชวี ิตประจำวัน 5. การรู้การสื่อสาร (Communication literacy) การรู้การสื่อสารเป็นรากฐานสาหรับการ คิดการจัดการและการเช่ือมต่อกบั คนอ่นื ในสงั คมเครือขา่ ย 6. การรู้สังคม (Social literacy) การรู้สังคมหมายถึงวัฒนธรรมแบบการมีส่วนร่วมซึ่งถูก พัฒนาผ่านความร่วมมีอและเครือข่าย ทักษะการทำงานภายในเครือข่ายทำงสังคม เพื่อการรวบรวม ความรู้ การเจรจำขา้ มวฒั นธรรมท่แี ตกต่างและการผสานความขดั แย้งของขอ้ มลู MediaSmarts (n.d.) อธิบายว่าการรู้ดิจิทัล ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ใช้ ( Use) เข้าใจ (Understand) และสร้าง (Create) ดังแผนภาพ ภาพท่ี 2.1 Digital literacy 1. การใช้ (Use) หมายถึง ทักษะ ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์และอนเทอร์เน็ต ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน คือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ไปถึงขั้นสงู ในการเข้าถึงและใช้ ความรู้ เช่น โปรแกรมที่ชวยในการสืบค้นข้อมูล (Search engine) ฐานข้อมูลออนไลน์ รวมถึง เทคโนโลยี อบุ ตั ใิ หม่ เชน่ Cloud computing 122
2. การเข้าใจ (Understand) หมายถึง ชดของทักษะชวยให้เกิดการคิด วิเคราะห์ ประเมิน สังเคราะห์ เข้าใจสื่อดิจิทัล จนทำให้เข้าใจถึงบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นๆรวมถึงทักษะการ จัดการสารสนเทศและการใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อติดต่อสื่อสาร ประสานงานร่วมมีอ และแก้ไขปัญหา ความรับผิดชอบต่อสิทธิความเป็นเจ้าของ การมีส่วนร่วมในสังคมดิจิทัล เพื่อให้ สามารถตดั สินใจในการกระทำในโลกออนไลน์ 3. การสร้างสรรค์ (Create) หมายถึง ความสามารถในการผลติ เน้ือหาและการส่ือสารอย่างมี ประสทิ ธภิ าพผ่านเครื่องมีอสื่อดจิ ิทัลที่หลากหลาย การสรา้ งสรรคส์ ่อื ดิจทิ ลั รวมถึงความสามารถในการ ดัดแปลงใหเ้ หมาะสมกับบริบทและผชู้ มท่แี ตกต่าง Martin (2005) กลา่ วว่าการรู้สารสนเทศประกอบดว้ ยส่วนประกอบหลักดังน้ี 1. การรู้ดจิ ิทัลเกี่ยวกับความสามารถทำงดิจิทลั ในการทำงาน การเรียนรู้ การพกั ผอ่ นและการ ดำเนินชีวิตประจำวนั 2. การรู้ดิจิทัลมีความแตกต่างกันข้ึนอยู่กับสถานการณ์สาหรับแต่ละบุคคลและยังเป็นระบวน การพฒั นาอยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชีวติ 3. การรู้ดจิ ิทัลไม่เพียงเป็นความรู้ทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเท่าน้ัน แต่ รวมถึงทักษะที่หลากหลาย เช่น ทักษะการรู้สารสนเทศ (Information literacy) ทักษะการรู้เท่าทัน ส่อื (Media literacy) และทักษะการมีองเห็น (Visual literacy) เป็นตน้ 4. การรดู้ ิจิทลั เกยี่ วข้องกับการแสวงหาและการใชค้ วามรู้ เทคนคิ ทศั นคติและคุณสมบัติสว่ น บคุ คล ถึงความสามารถในการว่างแผนดำเนนิ การและประเมินดิจิทัลในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และความสามารถในการสะท้อนพฒั นาการของการรดู้ ิจทิ ลั พรชนิต วลีนำราช (2017) สรุปว่าสมรรถนะการรู้ดิจิทัลประกอบไปด้วย ทักษะ ความรู้และ ทัศนคติ ดังนี้ 1. ทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ทักษะการรู้สารสนเทศ ทักษะการรวบรวมจัดเก็บและสร้างความรู้ทักษะ การสื่อสารและเผยแพร่สารสนเทศดิจิทัลและกระบวนการคดิ ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ทกั ษะทำงสังคม ( Softskills) 2. ความรู้ที่จำเป็นในสภาพแวดลอมดิจิทัล ได้แก่ ความรู้เรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยีท่ี หลากหลายใหเ้ หมาะสมและมีประสิทธิภาพในการสบื ค้นและเข้าถึงสารสนเทศ ความรเู้ รอื่ งสารสนเทศ ท่นี ำเสนอผ่าน คอมพิวเตอร์ในรูปแบบและจากแหล่งที่หลากหลาย การรู้เท่าทันสื่อ ความรู้เรื่องการประเมิน สารสนเทศดิจทิ ัล ความรู้เรือ่ งจริยธรรมทำงวิชาการ 123
3. ทัศนคติที่เหมาะสม ได้แก่ การมีสานึกที่ดีในการใช้อินเทอร์เน็ต ตระหนักถึงการป้องกัน ความเป็นส่วนตัวและสิทธิในทรัพย์สินทำงปัญญาทั้งของตนและผู้อื่นการยึดมั่นในกฎระเบียบและ บรรทัดฐานในการสอื่ สาร การยดึ มัน่ ในคุณธรรม จริยธรรมและการเป็นสมาชิกทด่ี ีของสงั คม Joint Information Systems Committee (JISC, 2014) องค์การไม่แสวงหาผลกาไรของส หราชอาณาจักร (United Kingdom) อธิบายว่า การรดู้ จิ ิทลั จำเป็นทำงานด้านวชิ าการที่สนับสนุนโดย เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงและหลากหลาย มีความสำคัญในบริบทของระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หนว่ ยบรกิ าร สาระวิชา และวชิ าชพี มี 7 องคป์ ระกอบ ได้แก่ 1) การร้เู ทา่ ทันส่อื (Medial literacy) เปน็ การอานอยา่ งมีวจิ ำรณญาณและผลิตผลงานทำงวชิ าการ อย่างสรา้ งสรรคแ์ ละสื่อสารอยา่ งมีออาชพี 2) การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน (Communications and collaboration) มีส่วนร่วม ในเครอื ข่ายดิจทิ ัลสำหรับการเรียนรแู้ ละการวจิ ยั 3) การจดั การอาชีพและความเป็นตัวตน (Career and identity management) การจัดการ ชือ่ เสียงและตวั ตนบนโลกออนไลน์ 4) การรู้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT literacy) การยอมรับ การปรับตัว ประยุกต์ และการใชอ้ ุปกรณด์ จิ ทิ ัล โปรแกรมประยกุ ต์ และบริการดจิ ทิ ัล 5) ทักษะการเรียนรู้ (Learning skills) การศึกษาและเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพใน สภาพแวดล้อมท่ีเต็มไปด้วยเทคโนโลยที ง้ั แบบทำงการและไม่เปน็ ทำงการ 6) ความเป็นวชาการดิจิทัล (Digital scholarship) การมสี ่วนร่วมทางวิชาการท่อี ุบัตใิ หม่ การ ดำเนนิ การทำงวิจยั และวชิ าชพี ท่ขี น้ึ อย่กู บั ระบบดิจทิ ัล 7) การรูส้ ารสนเทศ การสืบค้น การตคี วาม การประเมนิ การจัดการ และแบ่งปนั สารสนเทศ ดังภาพ 124
ภาพที่ 2.2 The Seven elements of Digital literacies กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (2559) ได้จัดทำกรอบทักษะดิจิทัล ประกอบด้วย 9 ประเด็น ไดแ้ ก่ 1. สิทธิและความรับผิดชอบเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบเมื่อใช้สิทธินั้นบนสื่อ สาธารณะยุคดิจิทัลในฐานะเป็นประชากรของสังคมในระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับชุมชน ระดบั ประเทศ ระดบั โลก โดยความรบั ผิดชอบนี้รวมถงึ ความรับผิดชอบต่อตวั เอง และความรบั ผิดชอบ ตอ่ สังคมทง้ั ผลกระทบที่เกิดจากการกระทำและทำงกฎหมาย ด้วยการใชส้ ิทธเิ สรภี าพอย่างถูกต้อง จะ ทำใหก้ ารอย่รู ่วมกันในสังคมเดยี วกัน เกิดความสงบสขุ ไมข่ ดั ตอ่ ฎหมาย จริยธรรม ศีลธรรม ของสังคม ถือเป็นพื้นฐานประการแรกที่จำเป็นต้องทราบเพื่อจะอยู่ในสังคมีออนไลน์ที่มีการเชื่อมโยงประชากร จากทุกประเทศทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกนั 2. การเข้าถึงสื่อดิจิทัล เกี่ยวกับความเข้าใจอินเทอร์เน็ตและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยชอง ทำต่าง ๆ รวมถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละชองทำงได้เพื่อให้สามารถใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลที่ ต้องการ จำจากอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนีย้ ังจำเปน็ ต้องเข้าใจส่ือทำงดิจทิ ลั ชนดิ ตา่ ง ๆ รวมถงึ การนำไปประยุกต์ใชง้ านในปจั จุบัน 3. การสื่อสารยุคดิจิทลั เก่ียวกับความเข้าใจการสื่อสารผ่านทำงส่ือและเคร่ืองมีอทำงดิจิทัลใน แง่มุมต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสม ความแตกต่าง ความเสี่ยงของสื่อ และเครื่องมีอพร้อมทั้ง 125
สามารถสื่อสารโดยการใช้ข้อความหรือถ่อยคำอย่างสร้างสรรค์ มีประโยชน์และเคารพผู้สอน เพ่ือ ประโยชน์ต่อส่วนรวมนอกจากน้ียังรวมถึง ความสามารถวเิ คราะห์ข้อมลู ต่าง ๆ ทีม่ ีอยู่บนส่ือดิจิทัลต่าง ๆ ว่าสง่ิ ไหนเปน็ ข้อเทจ็ จริง สิ่งไหนเปน็ ความเหน็ ส่ิงไหนเป็นความจริงบางสว่ น สงิ่ ไหนเป็นความ จริง เฉพาะเหตุการณ์นั้น ๆ เพื่อไม่ให้ตกเปน็ เหยือ่ ของการสอสารทำงดจิ ิทลั 4. ความปลอดภัยยุคดิจิทัลเกี่ยวกับความเข้าใจความมั่นคง ความเป็นส่วนตัวและการท้ิง รอยเทา้ ดจิ ทิ ัลในการใช้อปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ในยคุ ดิจิทัลรวมถึงภัยในรปู แบบตา่ ง ๆ ท้ังในแง่วธการที่ ไดร้ บั การคุกคามผลกระทบทเี่ กดิ ข้ึน การปอ้ งกัน การลดความเส่ยี งต่อภยั เหลา่ นัน้ 5. ความเข้าใจสื่อดิจิทัล เกี่ยวกับความเข้าใจสารสนเทศและสื่อในยุคดิจิทัล เพื่อที่สามารถ ระบุ ข้อมูลที่ต้องการหาข้อมูลนั้น ประเมินประโยชน์ ความเกี่ยวข้อง ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลนั้นจากแหล่งต่าง ๆ นอกจากนั้นผู้ศึกษายังจำเป็นต้องสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา เปน็ ความรเู้ พื่อ นำไปใชป้ ระโยชนผ์ ่านทำงการนำเสนอได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 6. แนวทำงปฏบิ ัติในยุคดิจิทลั เกย่ี วกับแนวทำงปฏิบัติในสังคม มารยาทและพฤติกรรมีอนพง ปฏบิ ตั ิเมื่ออยูร่ ว่ มในสังคมดิจิทัล เพื่อไมส่ รา้ งความเดือดร้อน ความรำคาญ ความเครยี ด ความกังวลใจ รวมถึงเป็นสาเหตุของปัญหาทำงสภาพจิตของบุคคลอื่นและตัวเอง การประพฤติตามมารยาทที่ เหมาะสม จะทำให้สังคมยอมรับนับถือและให้เกียรติเรา ดังนั้นมารยาทในสังคมดิจิทัลจึงเป็นสิ่งท่ี จำเป็นต้องเรียนร้แู ละปูพืน้ ฐานไวใ้ นการใชง้ านสงั คมดจิ ิทัล 7. สุขภาพดียุคดิจิทัล เกี่ยวกับความเข้าใจอันตรายและผลกระทบด้านสุขภาพในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ ว่าจะเป็นด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต โรคที่เกิดขี้นรวมถึงความสัมพันธ์และผลกระทบต่อเยาวชน การใช้อินเทอร์เน็ตและสื่อดิจิทัล เพื่อป้องกัน หลีกเลี่ยง ลดผลกระทบ จนถึงวิธีการรักษาเบื้องต้น ทั้ง ตอ่ ตวั เองและคนใกลต้ วั เพือ่ ใหส้ ามารถใชช้ ีวิตอยา่ งมีความสุขในยุคดจิ ิทลั ได้ 8. ดิจิทัลคอมเมิร์ซ เกี่ยวกับความเข้าใจการทำธรกิจออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซประเภทต่าง ๆ รวมถงึ อนั ตราย ภัยและความเสี่ยงจากการทำธรกรรมน้ัน พร้อมท้ังวธิ ปี ้องกัน ลดความเสีย่ งและรับมีอ กับอันตราย ภยั และความเสยี่ งเหลา่ นนั้ โดยรขู้ ้นั ตอนปฏิบตั เิ มอ่ื ตกเปน็ เหยอื่ การหลอกลวงเหล่าน้ี 9. กฎหมายดิจทิ ัล เกี่ยวกับความเข้าใจสิทธิและข้อจำกัดที่ควบคุมการใช้สือ่ ดิจิทัลในรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งได้ถูกกำหนดโดยภาครัฐ เพื่อที่จะได้สามารถปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตได้อยู่ถูกต้องตาม กฎระเบียบ สงั คม ซง่ึ จะเปน็ การเคารพสทิ ธิของผ้อู น่ื อกด้วย จากกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการรู้ดิจิทัล สามารถสรุปได้ว่าการรู้ดิจิทัลเกี่ยวข้องกับทักษะที่ หลากหลาย เช่น ทักษะการรู้สารสนเทศ ทักษะการรู้เท่าทันส่ือ เป็นต้น ซึ่งเป็นทกั ษะที่จำเป็นสำหรบั การดำเนินชีวิตและการศกึ ษาในสภาพแวดล้อมดจิ ทิ ลั 126
ระดับของการรดู้ จิ ิทัล Martin and Grudziecki (2006) แบ่งระดับการร้ดู จิ ิทัลออีกเป็น 3 ระดบั ดงั ภาพ ภาพที่ 2.3 ระดับของการรู้ดิจิทัล การรดู้ จิ ทิ ัลระดบั ที่ 1 สมรรถนะดจิ ทิ ัล (Digital competency) เป็นพื้นฐานของการรู้ดิจิทัลประกอบด้วยทักษะที่แตกต่างกนเริ่มตั้งแต่การรู้ในสิ่งที่เห็น และคู่ มอี ทักษะการปฏิบัติจนถึงทักษะการคิดวเิ คราะห์ การประเมนิ ทัศนคตแิ ละการตระหนักรู้ บคุ คลควรมี การรดู้ จิ ิทัลในระดับน้ีเพ่ือนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน ดังนัน้ การมีสมรรถนะดจิ ิทัลนำไปสู่ความสำเร็จใน การดำรงชีวิตคือสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์และบริบทสามารถทำงานใน หลายหน้าที่หลายวัตถุประสงค์รวมถึงสามารถแก้ปัญหาประเภทต่างๆได้ในการดำรงชีวิตการทำงาน และการเรยี นรู้โดยกระบวนการของการรดู้ ิจิทลั ประกอบด้วยข้ันตอน ดังภาพ ภาพที่ 2.4 กระบวนการของการรู้ดิจทิ ัล 127
1. Statement ระบปุ ญั หางานและกจิ กรรมที่ตอ้ งทำใหช้ ดั เจน 2. Identification ระบุทรัพยากรดิจทิ ลั ที่ตอ้ งการนำมาแก้ปัญหาหรือปฏิบัติงานให้สำเรจ็ 3. Accession ระบแุ หล่งและคน้ หาทรัพยากรดิจิทัลทีต่ ้องการ 4. Evaluation ประเมินวัตถุประสงค์ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือของทรัพยากรดิจิทัลและ ความเก่ียวข้องกับปญั หาและงานทก่ี ำหนด 5. Interpretation ทำความเขา้ ใจความหมายที่ทรพั ยากรดิจทิ ลั ส่ือออกมา 6. Organization จดั การและจัดกลุ่มทรัพยากรดิจิทัลให้สามารถนำไปใชใ้ นการแก้ปัญหาและ นำไปใช้เพื่อความสำเร็จในการปฏบิ ัติงาน 7. Integration บูรณาการทรัพยากรดิจิทัลเข้าด้วยกันเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและความ สำเร็จในการปฏิบัติงาน 8. Analysis วิเคราะห์ทรัพยากรดิจิทัลโดยใช้แนวคิดและรูปแบบที่จะสามารถแก้ปัญหา หรือ ทำ ใหก้ ารปฏบิ ัตงิ านความสำเรจ็ 9. Synthesis สังเคราะห์ทรัพยากรดิจิทัลอีกครั้งในรูปแบบหรือแนวทำงใหม่ที่สามารถ แกป้ ญั หา หรอื ทำใหก้ ารปฏิบตั ิงานความสำเร็จ 10. Creation สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ สารสนเทศใหม่ การผลิตสื่อ หรือสื่อดิจิทัลอน ๆ ซึ่งจะ นำมาซึง่ ความสำเร็จของการปฏบิ ัติงานและการแกป้ ัญหา 11. Communication มปี ฏิสัมพนั ธก์ บั ผู้เกยี่ วขอ้ งกบั การปฏบิ ัติงานหรือการแกป้ ัญหา 12. Dissemination เผยแพร่นำเสนอแนวทำงการแกป้ ัญหาหรอื ผลลพั ธ์กับบุคคลทเี่ กย่ี วข้อง 13. Reflection พจำรณาความสำเร็จในการแก้ปัญหาหรือกระบวนการทำงานให้สำเร็จ ซ่ึง สะท้อนว่าเป็นผู้รู้ดิจิทัล (Digitally literate person) พรชนิต วลีนำราช (2017) อธิบายว่าบุคคลที่มี สมรรถนะดิจิทัลมีหลากหลายรปู แบบตามกาลเวลา สถานการณ์ และเครอื่ งมีออานวยความสะดวกท่ีมี การพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป องค์ประกอบของสมรรถนะดิจิทัลของบุคคลจึงรวมความถึงทักษะในการ สืบค้นสารสนเทศ ใช้โปรแกรมการประมวลผลคาและการเตรียมอีกสารดิจิทัลการสื่อสารด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ การสร้างสรรค์และปรับแต่งภาพดิจิทัล การใช้โปรแกรมสเปรดชิต การนำเสนอด้วย ดิจิทัล การตีพิมพ์เผยแพร่บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและออนไลน์ การสร้างสรรค์และใช้ฐานข้อมูล การจำลอง (Simulation) และการทำโมเดล การเล่นเกมดิจิทัลและเกมีออนไลน์ การสร้างและใช้สื่อ ดิจิทัล และการ เรยี นรใู้ นสภาพแวดลอ้ มดจิ ิทัล การรดู้ ิจิทัลระดับท่ี 2 การใช้ดิจิทัล (Digital usage) เป็นการประยุกต์ใช้สมรรถนะดิจิทัลในวิชาชีพเฉพาะสาขาหรือบริบทต่าง ๆ ของชีวิต ดังน้ัน การใช้ดิจิทัลเกิดขึ้นตามความต้องการของสถานการณ์ โดยใช้สมรรถนะดิจิทัลที่มีในตัวบุคคลอยู่แล้ว 128
กับความต้องการของปัญหาและการปฏิบัติงาน ดังนั้น การใช้ดิจิทัลจึงอยู่ในกิจกรรมทำงวิชาชีพ ขอบเขตทำงสังคมก่อให้เกิดชมชนปฏิบัติ (Communities of practices) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีการ แบ่งปันปัญหาหรือเรื่องราวร่วมกันและกลุ่มคนที่พยายามรู้อย่างลึกซึ้งและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จน ทำใหเ้ กดิ การเรยี นร้แู ละฝึกฝนทุกวนั หรือเป็นชุมชนแห่งการเรยี นรู้ (Community of learning) ภาพท่ี 2.5 การใชด้ จิ ิทัล จากภาพแสดงการใช้ดิจิทัลเพื่อการแก้ปัญหาหรือการปฏิบัติงานให้สำเร็จโดยใช้สมรรถนะ ดิจิทัล ที่เหมาะสมในกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยงานหรือปัญหาเกิดจากบริบทต่าง ๆ ใน ชีวิตของแต่ ละบุคคลซึ่งอาจเป็นการทำงาน การเรียน การพกผ่อน หรือแง่มุมเหมือน ๆ ของชีวิต ใน การปฏิบัติงานหรือ การแก้ปัญหาให้สำเร็จนั้น บุคคลระบุสมรรถนะดิจิทลั ท่ีต้องการผ่านกระบวนการ เรียนรู้ทีม่ ีและต้องการ หลังจากนั้นจึงเลือกใช้สมรรถนะดจิ ิทลั อย่างเหมาะสม การใช้ดิจทิ ลั เกีย่ วขอ้ งกับ การใช้เครื่องมีอดิจิทัลในการสืบค้นและกระบวนการสารสนเทศ จากนั้นจึงคิดแนวทำงแก้ปัญหาหรือ การปฏิบัติงานให้งานสำเร็จและแนวทำงที่ได้นี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติต่อไปอีกในการ ดำเนินชีวิต การรดู้ จิ ทิ ลั ระดบั ที่ 3 การแปลงรปู ดิจิทัล (Digital transformation) เป็นขั้นสูงสุด เป็นความสำเร็จเมื่อีการใช้ดิจิทัลได้รับการพัฒนาให้สามารถสร้างนวัตกรรมเกิด ความคิดสร้างสรรค์กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในวิชาชีพและโดเมนความรู้ (Knowledge domain) การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถ เกิดขึ้นได้ทั้งในระดับบุคคล ระดับกลุ่ม หรือ 129
ระดับ องค์กร แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม กจิ กรรมและการใชส้ มรรถนะที่เหมาะสมเพยี งพอท่จี ะเป็นผู้รูด้ ิจิทัล ผู้รู้ ดจิ ิทลั ไม่ จำเปน็ ต้องดำเนนิ ตามลาดับของระดับการรู้ดจิ ทิ ลั ข้างต้น ใ น ป ี 2 0 1 3 American Library Association Office for Information Technology Policy’s Digital Literacy Task Force (Task Force) (Cordell, 2013) ได้กำหนดคุณลักษณะของ ผรู้ ู้ดจิ ิทัล (A digitally literate person) 5 ดา้ น ดังนี้ 1. มีทักษะที่หลากหลายทั้งกระบวนการคิดและเทคนิคที่จำเป็นในการค้นหา เข้าใจ ประเมนิ สรา้ งสรรค์ และสื่อสารสารสนเทศดจิ ทิ ลั ในรปู แบบทห่ี ลากหลาย 2. สามารถใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อการสืบค้นและ คน้ คืนสารสนเทศ การตีความหมายผลการสบื คน้ และตดั สินคุณภาพของสารสนเทศน้นั ได้ 3. เข้าใจความสมพันธระหว่างเทคโนโลยีการเรียนรู้ตลอดชีวิต สิทธิส่วนบุคคล และการ จดั การ และการใช้สารสนเทศทีเ่ หมาะสม 4. สามารถใช้ทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อสื่อสารและทำงานร่วมกับเพื่อน รว่ มงาน ครอบครัว และสาธารณะได้ 5. สามารถใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อเข้าร่วมในสังคมพลเมีองอย่างแข็งขนโดยทำให้เกิดการ เคลื่อนไหว แจง้ ข่าวสาร และเปน็ ส่วนหนึ่งของชมุ ชน การพัฒนาการรดู้ ิจิทลั การรู้ดิจิทัลเป็นความสามารถทำงดิจิทัลที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตในยุคดิจิทัล สิ่งสำคญั ของ การพัฒนาการรู้ดิจิทัล คือ กระบวนการการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการรู้ดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียง การรู้ เกี่ยวกับเทคโนโลยีเท่านั้นแต่ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับจริยธรรม สังคม และการ สะท้อน (Reflection) ซึ่งฝังอยู่ในการทำงาน การเรียนร การพักผ่อน และชีวิตประจำวัน (MediaSmarts, n.d.) นิตยา วงศ์ใหญ่ (2560) เห็นว่าครอบครัวเป็นแก่นหลักสำคัญซึ่งมีหน้าที่ดแู ลการใช้สื่อดิจิทลั ของ เยาชนซึ่งเป็นดิจิทัลเนทีฟ คอยปลูกฝังและสอนให้ใช้สอดิจิทัลไปในทำงสร้างสรรค์ ปลอดภัย มี มารยาทใน การเขา้ สังคมออนไลน์ รับผดิ ชอบในสงิ่ ทเี่ ขยี น พด และกระทำลงไปในโลกออนไลน์ ซึ่งสิ่ง ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญและนำไปสู่การเป็นพลเมีองในยุคดิจิทัล (Digital Citizen) ได้ภายใต้ กรอบของการรู้ดิจิทัล คือ รู้ใช้ (Use) รู้เข้าใจ (Understand) และรู้สร้างสรรค์(Create) นอกจากน้ี นิตยา วงศใ์ หญ่ (2560) ยัง เหน็ วา่ ครผู ู้สอนหรือสถาบันการศึกษายังเป็นแกน่ สำคัญ ในการพฒั นาการรู้ ดิจิทัลของเยาวชนในระบบการ เรียนการสอนที่ปรับเปลี่ยนไป ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เพื่อให้ได้ความรู้ หรอื คาตอบ ซึ่งเกิดจากการสำรวจ ค้นคว้าหาข้อมูล การฝึกปฏบิ ตั ิ การทดลอง รวมถงึ การเรียนรู้ผ่าน สิ่งต่าง ๆ รอบตัว สื่อดิจิทัลทำให้เกิด โอกาสในการชวยให้ผู้เรียนเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์กับแหล่ง 130
สารสนเทศและกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน เป็นการเรียนโดยการเรียนรู้จากการแก้ปญั หา ( Problem based learning) และเรียนร้จู ากการลงมีอทำ (Learning by doing) สำนักงานคณะกรรมการดจิ ิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจทิ ลั เพ่อื เศรษฐกิจ และสังคม (2562) ให้ความหมายของการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy) คือ “บุคคลมีสมรรถนะใน การ เขา้ ถึง ค้นหา คัดกรอง วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมิน จดั การ ประยุกต์ใช้ สื่อสาร สร้าง แบ่งปัน และติดตามข้อมูล ( Data) สารสนเทศ ( Information) และสาร ( Content Media) ได้อย่าง เหมาะสม ปลอดภัย มีความรับผิดชอบ มีมารยาท เคารพสิทธิและกฎหมาย ด้วยเครื่องมีอและ เทคโนโลยีที่เหมาะสม และหลากหลาย”และได้จัดทำหลักสูตรการเข้าใจดิจิทัลสาหรับพลเมีองไทย (Digital literacy for Thai citizens) เพื่อสนับสนุนการเป็นพลเมีองในศตวรรษที่ 21 หรือพลเมีอง ดิจิทัล โดยและกำหนดกรอบสมรรถนะด้านดิจิทัลประกอบด้วย 4 ด้าน คือ การเข้าถึง (Assess) การ ประเมิน (Evaluation) การสร้าง (Creation) และการใช้เครื่องมีอและเทคโนโลยี (Use) โดยที่ การ เข้าถึง การประเมินและการสร้างข้อมูลและสารสนเทศ จะเป็นกระบวนการทำงานหลัก และการใช้ เครื่องมีอและเทคโนโลยีจะเป็นส่วนประกอบสนับสนุนให้กระบวนการการเข้าถึง การประเมิน และ การสร้างให้เกิดสารสนเทศ (Information) ภาพที่ 2.6 กรอบการเขา้ ใจดิจทิ ลั ของสานกงานคณะกรรมการดิจทิ ัลเพื่อเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ กระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม 131
จากภาพการเขา้ ใจดิจทิ ัลแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การกระทำหรือกระบวนงานที่ได้สรุปจากข้อมูลที่ศึกษามาข้างต้น และได้แบ่งออีก เป็น 2 ระดับ คือ กระบวนงานหลัก (Process) และ กระบวนงานย่อย (Element Process) ซึ่งแบ่ง ส่วนงานย่อย ตามกรอบการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศขององค์การสหประชาชาติ ( Global Media and Information Literacy Assessment Framework) 10 ประกอบด้วย 1) การเข้าถึง (Access) ประกอบดว้ ย การระบุ/ การนิยาม (Definition) การคน้ หา (Search/Find) การเขา้ ถงึ (Access) และ การค้นคืน/การอางอง (Retrieve) 2) การประเมิน (Evaluation) ประกอบด้วย การเข้าใจ (Understanding) การวิเคราะห์ผล (Assessment) การประเมิน (Evaluation) และการจัดการ (Organization) 3) การสร้าง (Creation) ประกอบด้วย การสร้าง (Creation) การสื่อสาร (Communication) การมสี ว่ นร่วม (Participation) และ การติดตาม (Monitoring) ส่วนที่ 2 การใช้เครื่องมีอและเทคโนโลยี คือ เครื่องมีอ อุปกรณ์ เทคโนโลยีกระบวนการ เทคนิคและนวตกรรมใดที่สามารถถูกใช้เพื่อ การเข้าถึง (Access) การประเมิน (Evaluation) และการ สร้าง (Creation) ข้อมูล สารสนเทศ และเนื้อหาสื่อได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นดิจิทัล หรือเล็กทรอนิกส์ หรอื เทคโนโลยีสารสนเทศเสมีอไป ซึ่งตวั เครอื่ งมอี และเทคโนโลยีนั้นมีการเกดิ ข้ึนใหมแ่ ละพฒั นาตนเอง ตลอดเวลา ซึ่งตัวผู้ใช้ต้องมีความสามารถ ในการใช้เครื่องมีอ หรือเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม และ หลากหลายสาหรับเครื่องมีอและเทคโนโลยีสำคัญในยุคดิจิทัลตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ ( Computer) สมาร์ตโฟน (Smartphone) อินเทอร์เน็ต (Internet) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ชมชน ออนไลน์ (Online Communication) พาณิชย์อเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-Commerce) ฯลฯ ท่ีผู้คนในยุคดจิ ิทัล ตอ้ งใช้ให้ เหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ ส่วนที่ 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวัง คือ ส่วนขยายของการกระทำทต้องการให้เกิดผลลัพธ์ โดยการ กระทำ น้นั สามารถกำหนดได้อย่างหลากหลาย รวมถึงระดับความชานำญ ( Proficiency) อยา่ งเช่น ได้ อย่าง เหมาะสม ได้อย่างถกู ต้อง ไดอ้ ยา่ งถูกกฎหมาย ได้อย่างถูกจริยธรรม ไดอ้ ยา่ งมีมารยาท ไม่ละเมิด สิทธิ์และ เสรีภาพผู้สอนเคารพผู้สอนได้อย่างปลอดภัยได้อย่างม่ันคงได้อย่างย่ังยืน ได้อย่างหลากหลาย ได้อย่าง คุ้มค่า ได้มาตรฐานได้อย่างมีวิจำรณญาณได้อย่างสร้างสรรค์มีสุขภาพที่ดีมีประสิทธภิ าพ ฯลฯ ทงั้ น้ี ผลลัพธ์ที่คาดหวงที่มีขอบเขตที่ชดเจนในการตัดสินและวัดผลงานได้ ควรใช้คำเหล่านี้ได้แก่ ได้อย่าง เหมาะสมได้อย่างถูกกฎหมายไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพผู้อ่ืนได้อย่างปลอดภัย เป็นต้น DigEuLit: European Digital Literacy Framework (Martin and Grudziecki, 2006) กำหนด กรอบแนวคิดเพื่อการพัฒนาการรู้ดิจิทัลเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้สอน (Tutor interface) ด้านผเู้ รียน (Student interface) และดา้ นสว่ นสนับสนุน (Support interface) ดังภาพ 132
ภาพท่ี 2.7 DigEuLit: European Digital Literacy Framework ด้านผู้สอน (Tutor interface) ประกอบด้วย 1) ขอ้ กำหนดของการร้ดู ิจิทลั (Digital Literacy Course Provision Profile) ซ่ึงผู้บรหิ ารหลักสูตรเป็นผู้จดั ทำซ่งึ จะทำให้องค์ประกอบดจิ ิทลั มีความสัมพนั ธก์ นั ข้อกำหนดจะทำให้มุมมีองดิจิทัลของผู้เรียนชดเจน ผู้สอนสามารถเน้นที่เป้าหมายได้ ข้อ กำหนดการรู้ดิจิทัลประกอบด้วยสมรรถนะดิจิทัลที่ต้องการ และกิจกรรมการเรียนรู้และการติดตาม ความพร้อมของผู้เรียน (Student Readiness Monitor) เพื่อติดตามผู้เรียนให้นักเรียนมีสมรรถนะที่ ตอ้ งการด้านผู้เรียน (Student interface) ประกอบดว้ ย 1) การวิเคราะห์ความต้องการสมรรถนะดิจิทัล (Digital Competence Needs Analysis) กอ่ นเรม่ิ การเรียนเพื่อใหผ้ ู้สอนทราบ ในขณะเดียวกันทำให้ ผู้ เรี ยนทราบสมรรถนะท่จี ำเปน็ ต้องมี 2) ประวัติพัฒนาการรู้ดิจิทัล ( Digital Literacy Development Profile) ซึ่งทำให้ผู้เรียน สามารถติดตามพัฒนาการการเป็นผู้รู้ดิจิทัล การเรียน การ ประกอบอาชีพ และเป้าหมายของชีวิตซึ่ง ประกอบด้วย 2.1) แผนการพัฒนาตนเอง (Personal development plan) ประกอบด้วย แผนการเรยี น การประกอบอาชีพ หรอื เปา้ หมายในชวี ิต รวมถงึ กิจกรรมและความสำเร็จ 2.2) แฟ้มสะสมงานอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-portfolio) ซงึ่ เปน็ หลกั ฐานท่เี กย่ี วข้องกบั การ พัฒนาตนเอง อาจจะอยู่ในรูปแบบของตัวอักษรภาพ เสียง คลิปวิดีทัศน์สื่อมัลติมีเดีย และวัสดุการ 133
จัดเกบ็ ดจิ ทิ ัล 2.3) ประวติการเรียน (learning log) ซึ่งเป็นประวติการเรียนทั้งที่เป็นทำงการและ ไม่ เป็นทำงการ วุฒกิ ารศึกษาทไ่ี ดร้ บั 2.4) ประวตสิ ่วนตวั (curriculum vitae) ซงึ่ สามารถทำให้ทันสมัยได้ อยา่ งตอ่ เน่อื ง ด้านส่วนสนบั สนุน (Support interface) ประกอบด้วย 3 องคป์ ระกอบ ได้แก่ 1) การบำรงุ รักษา และการบรหิ ารจัดการ (Maintenance and administration) เพอ่ื ทำให้ มนั่ ใจเก่ียวกบั หนา้ ท่ี ความ ตอ่ เน่อื งของระบบแก่ผ้ใู ช้ 2) ข้อกำหนดของสมรรถนะดจิ ทิ ลั 3) แหลง่ รวมเนื้อหาเกีย่ วกับสมรรถนะ ดิจทิ ลั (Digital Competence Content Reservoir) ซึ่งระบุองค์ประกอบของสมรรถนะดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง ผู้เรียนสามารถใช้แหล่งรวมเนื้อหานี้เพื่อการ พัฒนาสมรรถนะดจิ ทิ ัลท่ตี ้องการได้อยา่ งต่อเน่ืองโดยองค์ประกอบทั้งหมดมีความสมั พันธ์กับดังภาพ ภาพท่ี 2.8 ความสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบของ DigEuLit: European Digital Literacy Framework สำหรับประเทศไทย ธดา แซ่ชน และทัศนีย์ หมีอสอน ( 2559) นำเสนอแนวทำงในการ พฒั นา อย่างต่อเนื่องและเขม้ แข็ง ดงั ต่อไปน้ี 1. การพัฒนาโครงสรางพื้นฐาน (Developing the infrastructure) โดยลงทุนพัฒนา 134
โครงสร้าง พื้นฐานทำงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารต่าง ๆ เพอ่ื ให้ผ้ใู ช้เข้าถึงสารสนเทศได้มากทส่ี ุด 2. การเตรียมทรัพยากรการสอนและการเรียนรู้ (Preparing learning and teaching resources) มีการเตรียมทรัพยากรที่มีอยู่และจัดทำเว็บท่าออนไลน์ (Online digital portal) เหมาะ สาหรบั ผู้ใชง้ านทุกกลุ่มและง่ายต่อการเข้าถงึ สารสนเทศ โดยจัดการรวบรวมทรพั ยากรการเรียนรู้ดิจิทัล (Digital Learning Resources) และเชื่อมโยงโดยตรงไปยังหลักสูตรการศึกษาและสามารถเข้าถึงได้ ผา่ น เว็บทา่ ออนไลน์ทีจ่ ดั ทำขนึ้ โดยหนว่ ยงานกลาง 3. การพัฒนาความสามารถของผู้สอน (Improving teacher capacity) การพัฒนาผลลัพธ์ การเรียนรขู้ องผ้เู รยี นน้ัน ผ้สู อนและผ้นู ำสถาบันการศกึ ษาจำเป็นต้องมีความเขา้ ใจอย่างลึกซึ้งในบริบท ของ เนอ้ื หาและการเรยี นการสอนท่ีเปล่ียนแปลงไปจากการใช้เทคโนโลยี การพัฒนาความสามารถของ ผู้สอนจะต้องมีการทำงานร่วมกันกับนักวิชาชีพ นักการศึกษา นักอุตสาหกรรม และนักธุรกจิ เพื่อการ พัฒนาและ การฝังนวัตกรรมลงไปในการเรียนรู้รวมทั้งมีการปฏิบัติการสอนที่มีประสิทธิผลที่จะบูรณา การเทคโนโลยีดิจิทัลกับรายวิชาในหลักสูตรสาขาต่าง ๆ โดยผู้สอนควรได้รับโอกาสในการพัฒนา ทักษะของตนในส่วนที่ เกี่ยวขอ้ งกบั การใชง้ านเทคโนโลยีดิจิทลั 4. ภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นการส่งเสริมความเป็นผนำในสถาบันการศึกษา นอกจาการ รับรู้ นโยบาย ว่างเปา้ หมายของการรูด้ ิจทิ ลั แล้ว ผูน้ ำสถาบนั การศกึ ษาจำเปน็ ตอ้ งได้รบั การพัฒนาด้วย มาตรฐานระดับชาติ สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลแบบมีออาชีพ ผลักดันให้เกิดการ เปล่ยี นแปลงการสอน 5. ความร่วมมอี ระหวา่ งภาครัฐและภาคเอกชน (Public and private sector partnerships) อาจมีการทำข้อตกลงกันระหว่างภาครัฐและภาคอีกชน เช่น การพัฒนาบทเรียนให้ฟรี เป็นสาธารณะ เขา้ ถึงไดบ้ นเวบ็ ทา่ ออนไลนด์ ิจทิ ัลท่เี ช่อื มโยงกบั หลักสูตรผา่ นอนิ เทอร์เน็ตความเร็วสงู ตัวช้วี ัดการรู้ดจิ ทิ ลั นกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาตรขี องไทยประกอบดว้ ย 4 องค์ประกอบ 12 ตวั บง่ ชี้ ดังภาพ ภาพท่ี 2.9 เกณฑ์การวัดระดับการร้ดู จิ ิทลั ของ Techataweewan and Prasertsin 135
องคป์ ระกอบท่ี 1 ทักษะปฏิบตั ิ (Operation skills) หมายถงึ ความสามารถในการปฏิบัติงานหรือใช้เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์และการสื่อสารและสื่อดจิ ิทลั ทั้ง ในชวี ติ ประจำวน การศึกษาและการ ประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 3 ตัวบง่ ช้ี ได้แก่ พทุ ธพิ สิ ัย (Cognition) หมายถงึ ความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ สาร และสื่อดิจิทัล โดยสามารถเลือกปฏิบัติด้วยวธที่เหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีสาหรับสถานการณ์ ต่าง ๆ และแยกแยะได้ว่าเรื่องใดสามารถใช้เทคโนโลยีทำงานได้อัตโนมัติเรื่องใดที่คนสามารถ ดำเนินการเองได้ การประดิษฐ์ (Invention) หมายถึง ความสามารถในการบูรณาการและประยุกต์เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สาร และสื่อดจิ ทิ ลั เพื่อสรา้ งผลงาน องค์ความรู้ หรอื นวัตกรรมใหม่ ๆ การนำเสนอ (Presentation) หมายถึง ความสามารถในการนำเสนอสารสนเทศดิจิทัลใน รูปแบบ ที่หลากหลายโดยเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสาหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมายและมุ่งผลลัพธ์ที่มี ประสทิ ธิภาพ องค์ประกอบที่ 2 ทกั ษะการคิด (Thinking skills) หมายถึง ความสามารถในการคิดในลักษณะต่าง ๆ โดยเป็นการคิดขั้นสูงที่ซับซ้อนเพื่อเข้าใจ ประเมิน และสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการสอื่ สาร และสือ่ ดจิ ิทลั ประกอบด้วย 3 ตัวบง่ ชี้ ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ ( Analysis) หมายถึง ความสามารถใน การพิจารณาแยะแยะตีความหา ความสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบสำคัญในสารสนเทศดจิ ิทัล นำมาจัดกระทำในรปู แบบต่าง ๆ เช่น เรียง ลาดับ จดหมวดหมู่ คานวณค่าสถิติ เป็นต้น เพื่อสรุปความหรือนำเสนอใหม่สาหรับใช้ประโยชน์ใน บรบิ ทตา่ ง ๆ การประเมิน (Evaluation) หมายถึง ความสามารถในการตัดสินคุณค่าของสารสนเทศดิจทิ ลั ว่า สารสนเทศใดเกี่ยวข้องกับความต้องการใช้ประโยชน์ มีความถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์ และ น่าเชื่อถือ รวมทั้งการแยกแยะสารสนเทศที่เป็นเท็จ ( Misinformation/ Disinformation) สารสนเทศชวนเชือ่ (Propaganda) และประทษุ ว่าจำ (Hate speech) ความคดิ สร้างสรรค์ (Creativity) หมายถงึ ความสามารถในการคิดแกป้ ัญหาหรือตอบคาถาม เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างหลากหลาย ยืดหยุ่น และเป็นความคิดในเชงบวก ( Positive thinking) นำไปสู่ การประดษิ ฐ์คดิ ค้นต่าง ๆ ท่ีแปลกใหม่และเป็นประโยชน์ตอ่ สว่ นรวม องคป์ ระกอบที่ 3 ทักษะการร่วมมอี (Collaboration skills) หมายถึง ความสามารถในการ รว่ มมอี กบั กลุ่มบุคคลในสภาพแวดล้อมดิจทิ ัล ซ่ึงบุคคลเหล่าน นั้นอาจมีพื้นฐานต่างกันท้ังความคดิ วัฒนธรรม ค่านิยม หรือความรู้ เพื่อทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ให้ 136
ประสบความสำเร็จ รวมทั้งการสร้างกลุ่ม หรือปฏิบัติตนตามบทบาทของสมาชิกกลุ่ม และการแบ่งปัน สารสนเทศดิจิทัลแก่กลุ่มบุคคลประกอบด้วย 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ การทำงานเป็นทีม (Teamwork) หมายถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ การ สื่อสาร และสื่อดิจิทัลในการทำงานร่วมกับผู้สอน โดยให้ความร่วมมีอต่อกลุ่มทั้งบทบาทที่เป็น ผูน้ ำหรือผ้ตู ามและใชศ้ กั ยภาพของตนอยา่ งเต็มท่ี เพื่อรว่ มกันปฏิบัติงานให้บรรลเุ ป้าหมายของกลุม่ การเป็นเครือข่าย (Networking) หมายถึง ความสามารถในการสร้างและ/หรือเป็นสมาชก ของ เครือข่ายออนไลนต์ า่ ง ๆ เพอ่ื สร้างความสัมพนั ธแ์ ละเอือ้ ประโยชน์รว่ มกัน การแบ่งปัน (Sharing) หมายถงึ ความสามารถในการแบง่ ปันสารสนเทศดจิ ิทัลผา่ นเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารในรูปแบบและชองทำงที่เหมาะสม โดยคานึงถึงสารสนเทศที่มีคุณค่าและมี ประโยชน์ตอ่ ผ้รู บั องคป์ ระกอบที่ 4 ทกั ษะการตระหนกั รู้ (Awareness skills) หมายถึง การประพฤติปฏิบัติผ่าน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสา ร และการใช้ส่ือ ดิจิทัลอย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมาย โดย ตระหนักถึงความถูกต้องดีงามของสังคม มีความรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ และมีมารยาท รวมทั้งรู้จักป้องกันตนเองจากอันตราย และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งาน เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล ประกอบด้วย 3 ตัวบ่งช้ี ไดแ้ ก่ ความมีจริยธรรม (Ethics) หมายถึง การประพฤติปฏิบัติผ่านสื่อดิจิทัลที่เป็นที่ยอมรับ โดยทั่วไปใน สังคมหรือตามเกณฑ์ของสังคม ถูกต้องตามหลักศาสนาและมีมารยาทในการใช้ อินเทอร์เน็ต(Netiquette) รวมทงั้ เคารพความแตกต่างและไม่เท่าเทียมกันของสังคมกลุ่มต่าง ๆ ในการ ใช้และเข้าถึง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่อดิจิทัลการป้องกันตนเอง (Safeguarding self) หมายถงึ การมคี วามตระหนกั ถึงอันตรายทอ่ี าจเกดิ ขึ้นกับตนเองได้บนอินเทอรเ์ น็ต รวมทั้งการปอ้ งกันความเสีย่ งที่อาจเกดิ ขึ้น โดยสามารถในการจัดการ ขอ้ มูลส่วนตัวของตนเองใหป้ ลอดภัย แววตา เตชาทววรรณ และคนอื่น ( 2559) มีข้อแนะนำในการพัฒนาการรู้ ดิจิทัลสาหรับ นักศึกษาระดบั ปริญญาตรีตามีองคป์ ระกอบข้างต้น ดงั ต่อไปนี้ ข้อเสนอแนะแนวทำงการพัฒนาองค์ประกอบที่ 1 ทักษะการปฏิบัติ (ด้านพุทธิพิสัย ด้าน การประดษิ ฐ์ และด้านการนำเสนอ) 1. ฝึกปฏิบัติการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่อดิจิทัล แนะนำแหล่งเรียนรู้ เพ่มิ เติม ใช้ระบบเพ่อื นช่วยเพือ่ น (Peer Assist) เพอื่ ให้เกดิ ทักษะการใชง้ านมากขึ้น 2. มีอบหมายงานหรือตั้งโจทย์ปัญหาเพื่อให้สร้างผลงานในรูปแบบการบูรณาการเทคโนโลยี 137
สารสนเทศและสือ่ ดจิ ิทัล โดยเป็นงานท่แี ปลกใหม่ สามารถใชเ้ ป็นประโยชนห์ รือแก้ปญั หาได้ 3. ฝึกการนำเสนอกับกลุ่มต่าง ๆ ในรูปแบบที่หลากหลาย และหลายช่องทำงด้วยสอดิจิทัล เพือ่ สรา้ งทักษะการนำเสนอผลงาน ข้อเสนอแนะแนวทำงการพัฒนาองค์ประกอบที่ 2 ทักษะการคิด (ด้านการวิเคราะห์ด้าน การ ประเมนิ และด้านความคิดสรา้ งสรรค์) 1. ส่งเสริมการจัดกิจกรรมให้ฝึกคิด ดูความสัมพันธ์ จัดหมวดหมู่ คานวณ สรุปความ เพื่อ หา คาตอบเร่ืองใดเรื่องหนึ่งจากสารสนเทศดิจิทัลมากกว่า 1 รายการ 2. ฝึกให้ประเมินตัดสินคุณค่าของสารสนเทศดิจิทัล โดยเฉพาะสารสนเทศจากโดยให้ วิเคราะห์ตามเกณฑ์พื้นฐาน ได้แก่ การใช้ประโยชน์หรือความตรงต่อความต้องการความถูกต้อง ครบถ้วน ทันต่อเหตุการณ์และมีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งสามารถแยกแยะสารสนเทศ ที่ได้รับได้ว่า เป็น ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะแนวทำงการพัฒนาองค์ประกอบที่ 3 ทักษะการร่วมมีอ (ด้านการทำงานเปน็ ทีมด้านการเปน็ เครือข่าย และด้านการแบ่งปัน) 1. ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าความสำคัญของการทำงานร่วมกัน โดยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ แบบ ร่วมมอี กนั มกี ารแบ่งหน้าทท่ี ช่ี ดั เจน รวมทง้ั จัดอภปิ รายหรอื ทำกิจกรรมกล่มุ ผ่านส่อื ออนไลน์ 2. ฝึกการสร้างความสัมพันธ์และเออประโยชน์ร่วมกัน เป็นเครือข่ายที่สร้างสรรค์ในโลก ออนไลน์ รวมท้งั แนะนำกล่มุ เครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ท่ีดี มปี ระโยชนต์ อ่ การเรียนรู้ 3. แนะนำแหล่งหรือเว็บไซต์แบ่งปันผลงานออนไลน์ และชองทำงการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ กระตุ้นให้มีการแบ่งปันผลงานตนเองสู่ผู้อนหรือสาธารณะอย่างสร้างสรรค์ รู้จักยอมรับและเข้าใจคำ ชมเชย วจิ ำรณ์ หรอื เสนอแนะ เพ่ือนำมาพัฒนาผลงานต่อไป ข้อเสนอแนะแนวทำงการพัฒนาองค์ประกอบท 4 ทักษะการตระหนัก (ด้านความมี จรยิ ธรรม ดา้ นการร้กู ฎหมาย และด้านการป้องกนั ตนเอง) 1. เน้นการปลูกฝังความมีจริยธรรมและมรรยาทในการใช้อินเทอร์เน็ตและส่ือดิจิทลั ต่าง ๆ 2. ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างและไม่เท่าเทียมกันของสังคมกลุ่มต่าง ๆ และ รู้จกั เคารพในสทิ ธคิ วามเป็นมนุษยแ์ ละความแตกต่างของผู้อ่นื 3. ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับการใช้และการเข้าถึงเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่อื สาร และสื่อดจิ ทิ ัล 4. ให้ความรู้เก่ยี วกบั การป้องกันตนเองจากความเส่ยี งหรืออันตรายท่ีอาจเกดิ ขึ้นได้จากการใช้ อินเทอร์เน็ต โดยเชื่อมโยงสู่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวน เน้นยกตัวอย่างเหตุการณ์สถานการณ์ ข่าวปจั จบุ นั ใช้สง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตัว ทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ปฏิบตั ิได้ และสามารถปอ้ งกันตนเองไดม้ ากขนึ้ 138
ทักษะการใช้งาน ทกั ษะการคดิ ทกั ษะความรว่ มมีอ ทักษะความตระหนัก เป็นองคป์ ระกอบที่ จำเป็นสาหรับนักศึกษาผู้รู้ดิจิทัล ทักษะการใช้งานหมายถึงสมรรถนะทำงเทคนิคในการใช้เทคโนโลยี อยา่ ง มีประสทิ ธภิ าพ นกศึกษาต้องแสดงให้เห็นทักษะการคิดวิเคราะห์ ทกั ษะการคิดทำให้นักศึกษามี ความ เขา้ ใจและมีทัศนคตท่ีดกี ับเทคโนโลยนี ักศึกษาต้องคดิ อย่างสรางสรรค์เพื่อผลตงานท่ีมีประโยชน์ ต่อตนเอง ปฏิสัมพันธ์ ดังนั้น นักศึกษาต้องมีทักษะการ ทำงานร่วมกันและทักษะความตระหนัก นักศึกษาต้อง ตระหนักถึงผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านความปลอดภัยของตนเองและ สังคม การรู้ดิจิทัล เป็นทักษะการคิด การประเมิน และการแสดงถึงจริยธรรมและ มารยาทเน็ต ( Netiquette) คือ กิริยา อาการที่พึงประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมีออนไลน์ หรือ ชุดวิธีประพฤติตนที่เหมาะสม เมื่อใช้อินเตอร์เน็ต (สานักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ [สพธอ.], 2012) การสอนการรดู้ ิจทิ ัล โรงเรยี นทกุ แหง่ ในประเทศสหรฐั อเมริกาไดม้ ีการผนวกความรู้ด้านการรูด้ ิจิทลั เข้ากับหลักสูตร ทีม่ ี อยู่ โดยมีเป้าหมายใหเ้ ยาวชนมีทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 สามารถออกี แบบ ส่ือสาร ตดิ ตอ่ เชอื่ มโยง เรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงความสามารถในการใช้เครื่องมีอดจิ ทิ ัลเพื่อรวบรวม สร้าง ประเมินและ ประยุกต์ใช้สื่อดิจิทัลอย่างชาญฉลาด และเป็นพลเมีองดิจิทัล (Digital Citizenship) ซึ่งหมายถึง เยาวชนท่ีมีความรับผิดชอบต่อเนื้อหาและการกระทำเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตโทรศัพท์มีอถือและสื่อดิจิทัล และมีความปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมายและจริยธรรมในยุคดิจิทัล (Common Sense Media, 2009) UNESCO ( 2011) การกำหนดแนวคิดความสามารถด้านICTสำหรับครูผู้สอน( ICT Competency Framework for Teachers: ICT-CFT) ที่อธิบายว่าครูผู้สอนมีบทบาทที่สำคัญในการ พัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลของผู้เรียน เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะใ นศตวรรษที่ 21 และการเป็น ครูผู้สอน มีออาชีพต้องมีความสามารถทำงานด้าน ICT เป็นพื้นฐานหรือมีทักษะของการรู้ดิจิทัลซ่ึง เกย่ี วกับความรแู้ ละ ทกั ษะเกยี่ วกบั นโยบายทำงการศึกษาและการใช้ ICT อย่างมจี ริยธรรม กา้ วทันนว ตกรรมในการเรียนการ สอนดิจิทัล ทักษะการรู้ดิจิทัลของครูผู้สอนรวมถึงความสามารถในการใช้ ICT อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพในการ สอน การเรียนรู้ การพัฒนาทำงวิชาชพี และการจัดการโรงเรยี นซึ่งเกี่ยวข้อง กับชดุ ของทักษะท่ีต่างกนั การพฒั นาการรดู้ จิ ทิ ัลในสถานศึกษาควรพจิ ำรณา 5 ด้าน ดังต่อไปน้ี 1. ภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ (Leadership and vision) ทักษะที่ต้องการสาหรับการางแผน และ การพัฒนากลยุทธ์ ICT การพัฒนาโครงสรา้ งพื้นฐานอยา่ งยั่งยืน และการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเปน็ ทกั ษะของ ผู้นำ 2. การเรียนรู้และการเรียนการสอน (Learning and teaching) การพัฒนาแรงกระตุ้น 139
ทักษะ และสมรรถนะที่ต้องการสาหรับการใช้กลยุทธ์ ICT ซึง่ เป็นทกั ษะของครผู สู้ อน 3. การผลติ และการปฏิบัติ (Productivity and professional practice) คณุ ภาพของเครื่อง มีอ ช่วยสอนและกระบวนการที่เกิดจากการตระหนักในกลยุทธ์ ICT ซึ่งเป็นทักษะของครูผู้สอนและ ผเู้ รยี น 4. การสนับสนุน การจัดการ และการดำเนินการ ( Support, management, and operations) คุณภาพของการตระหนักในกลยุทธ ICT และข้อกำหนดทำงเทคนิค วิชาชีพ และการ สนบั สนุนทำง ศลี ธรรมแกบ่ คุ ลากร ซ่งึ เป็นทักษะของผู้นำ ผู้บรหิ าร และบุคลากรทำงเทคนิค 5. การวดและการประเมนิ (Assessment and evaluation) การวดคุณภาพของกระบวนการ ทำงการศึกษาและบทบาทของกลยุทธ ICT ซึ่งเป็นทักษะของผู้นำ ผู้บริหาร ครูผู้สอนและบุคลากร ทำงานเทคนคิ 6. ประเด็นทำงสังคม จริยธรรมและกฎหมาย (Social, ethical and legal issues) คุณภาพของ ความเกย่ี วขอ้ งกบั กลยุทธ ICT ตามสทิ ธขิ องบคุ คลหรือกล่มุ ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกับกฎหมาย ดังภาพ ภาพท่ี 2.10 การพฒั นาการรู้ดจิ ทิ ลั ในสถานศึกษา Kaeophanuek, Na-Songkhla, & Nilsook (2018 ) ได้สัมภาษณ์อาจารย์สาขาบรรณารักษศาสตร์ และสารสนเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเกี่ยวกบั การเรยี นการสอนและ สภาพแวดล้อม การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลและวิธีการในการพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศ พบว่า วธิ กี ารทีใ่ ชใ้ นการพฒั นามี 4 วธิ ี ได้แก่ 140
1) มหาวทยาลัยควรกำหนดนโยบายที่ชดเจนและจัดสภาพแวดล้อมมีอย่างเหมาะสมเพ่ือ อำนวยความสะดวกในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ เช่น การมีโครงสร้างพื้นฐานและ กระตุน้ การ ปฏบิ ตั ิและการพฒั นาการใชร้ ะบบ e-learning ในทุกรายวชิ า 2) หลักสูตรควรบูรณาการทักษะการรู้ดิจิทัลกับเน้ือหาในรายวชาต่าง ๆ เนื่องจากการเรียนที่ สนับสนุนการรู้ดิจิทัลนั้นไม่สามารถบรรลุได้เพียงแค่จัดการอบรมปฏิบัติการเท่านั้น หากแต่ต้องมี บทเรยี น 3) การออีกแบบการเรยี นการสอนตอ้ งมีผู้เรยี นเป็นศนู ย์กลาง ( Student-centred learning) นกั ศกึ ษาควรไดร้ บั การกระตนุ้ ให้ฝึกปฏิบตั ิและการแก้ปัญหาดว้ ยตน เองโดยมีเทคโนโลยใี นการอานวย ความสะดวกในการจัดการเรยี นการสอน ทกุ ขนั้ ตอนควรพัฒนาทักษะการคิดของนักศึกษาและควรเน้น การวดผลท่ีชวยให้นักศึกษาพัฒนาความคิดโดยใช้กลยุทธการตั้งคาถาม การประเมนิ ผลสามารถชวยให้ ผู้สอนเรียนรู้เกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมของนักศึกษาเมื่อใช้สื่อสังคมีออนไลน์ คาถามที่จะถามใน ชน เรียนควรเกี่ยวกับสถานการณ์จริงหรือผู้สอนควรมีกรณีศึกษาเพื่อให้นักศึกษาได้คิดอย่างมี วจิ ารณญาณ ถามคาถามและอภิปรายคาตอบในห้อง นักศึกษาสว่ นใหญต่ ระหนักถึงส่ิงท่ีตนต้องทำอยู่ แล้ว แตม่ คี วาม ยากลาบากในการปฏบิ ัตใิ นชวี ติ ประจำวนั 4) นอกจากมหาวทยาลัยตอ้ งกำหนดนโยบายที่ชดเจนและมีโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีเพ่ือ ส่งเสริมการรู้สารสนเทศ และหลักสูตรต้องสอดคล้องกับเนื้อหาของแต่ละรายวิชาแล้ว ครูผู้สอนต้องมี การ ใช้เทคนิคและวธการสอน การประเมินผลที่กระตุ้นให้นักศึกษาพัฒนากระบวนการคิด การตอบ คาถาม การอภิปรายและโต้ว่าที การสรา้ งสรรค์โครงการทีใ่ ชเ้ ครื่องมีอดิจิทลั ทเี่ หมาะสม จะเห็นไดว้ า่ ผู้สอนจำเปน็ ต้องมสี มรรรถนะดจิ ิทัลทีม่ ปี ระสิทธภิ าพเพื่อให้ใหผ้ เู้ รยี นสามารถคิด อย่างมีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งภายใน และ ภายนอกห้องเรียน (White, 2015 อางถึงในนิตยา วงศ์ใหญ่, 2560 ) นั่นคือ ครูผู้สอนต้อง สามารถใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนผ่านโลกออนไลน์ ทำให้เกิดการ แลกเปลย่ี น แนวคิด รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้กับผู้เรียนได้ นอกจากนี้ ผู้สอนจำเป็นต้อง สรา้ งเนอ้ื หาในสื่อดิจิทัลมากข้ึนเพื่อฝึกผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง สอดิจิทัลนี้ จะเป็นแหล่ง สารสนเทศที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนมากกว่าข้อมูลที่ผู้เรียนได้จากโลก ออนไลน์ ธิดา แซ่ชน และทัศนีย์ หมีอสอน (2559) เสนอรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียน ให้ เกดิ การรู้ดิจทิ ลั โดยเนน้ ผูเ้ รียนเปน็ ศูนย์กลางเป็นผฝู้ ึกคดิ ฝกึ ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ 1. การปฏิบัติตามหลักฐานเชงประจักษ์ ( Evidence based practice: EBP) เป็น กระบวนการ สืบค้นหาหลักฐานความรู้จากงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติ นำหลักฐานนั้นมาประกอบการพ 141
จำรณา ตัดสินใจ กำหนดเป็นแนวปฏิบัติ เช่น กิจกรรการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ตและการใช้ทรัพยากร สารสนเทศออนไลน์ใน 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ตง้ั คาถามทต่ี อบได้ 2) คน้ หาสารสนเทศหรือหลกั ฐานท่ีดีท่สี ุดทส่ี ามารถหาคาตอบได้ 3) การทบทวนและประเมนิ สารสนเทศหรือหลักฐานที่ได้มาท้ังคุณภาพและความน่าเชื่อถือ 4) การนำผลหรอื คาตอบทไ่ี ด้ไปใช้ในการทำงาน 2. การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem based learning: PBL) เป็นการเรียนการ สอนที่ กระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเอง ต้องการค้นคว้าหา ความรู้เพื่อการ แก้ปัญหาในสถานการณจ์ ริง เช่น ตั้งคาถามหรือจำลองสถานการณจ์ ากชีวิตจริงใหก้ ับ นักศึกษาเพื่อให้ นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น แก้ปัญหาตามสภาพจริง การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานเป็นวธการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับการรู้ดิจิทัล ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดและ รวบรวมสารสนเทศเพื่อ แก้ปัญหาอย่างมีความหมายและสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ (Ryberg & Georgsen, 2010) 3. การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project based learning) เป็นการเรียนการสอนท่ี เน้น ฝึกประสบการณ์ การลงมีอปฏิบัติเหมีอนกับทำงานในชวิตจริงอย่างเป็นระบบ กระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดความ สนใจ ค้นคว้าทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เขียนกระบวนการ จัดทำโครงงาน และสรุปผลงาน เป็นชน้ิ งานเป็นรปู ธรรม 4. การเรียนรู้โดยใช้กรณศี กึ ษา (Case based learning) มุ่งเนน้ ไปทกี่ ารวิเคราะห์ อภิปราย สรุปผลจากเรื่องราวทีมีข้อความบรรยายเช่นใช้กรณีศึกษาผสมผสานกับการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) ผเู้ รียนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเม่ือเขามีส่วนรว่ ม ท้งั นคี้ วรเปน็ การเรียนรู้ร่วมกัน ทำงานออนไลน์ (Onlinecollaborative learning) โดยใชส้ อ่ื อเล็กทรอนิกส์เพ่ือจูงใจในการเรียนเพม ขึ้นและใช้การเรียนรู้ร่วมกัน ในห้องเรียนเป็นพื้นฐาน เช่น การเรียนการสอนผ่านเว็บ และเรียนด้วย ตนเองผ่านสือ่ ดิจิทัล อีกท้งั ให้ ผู้เรียนสอนตัวเองโดยมีครูเป็นผชู้ ้ีแนะโดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกและ ประยุกต์ใช้ทักษะดิจิทัล จะทำให้ ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพและความสามารถดิจิทัลเหล่านี้ไปสู่ สถานการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมการส่งเสรมการใช้ดิจิทัลอย่างส รางสรรค์และรับผดชอบ ต่อสังคม โดยได้พัฒนาหลักสูตรการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy Curriculum) พ.ศ. 2559 มีคาอธิบาย รายวชา คือ หลักสูตรการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy Curriculum) มีจำนวนเนื้อหาตลอดหลักสูตร 9 กลุ่มเนื้อหา ประกอบด้วย สิทธิและความรับผิดชอบ การเข้าถึงสื่อดิจิทัล การสื่อสารยุคดิจิทัล ความ ปลอดภัยยุคดิจิทัล ความเข้าใจสื่อดิจิทัล แนวปฏิบัติ ในสังคมดิจิทัล สุขภาพดียุคดิจิทัล ดิจิทัลคอมเมิร์ซ และ กฎหมายดิจิทัล หลักสูตรพัฒนาขึ้นมาเพ่ือ สาหรับประชาชนทุกกลุ่มวัยที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย จัดทำโดยมหาวทยาลัยมหิดล ที่ ปรึกษากิจกรรมศึกษาวิเคราะห์กรอบแนวทำงการพัฒนาทักษะดิจิทัล เบื้องต้น (Digital Literacy) 142
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219