Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา.final

พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา.final

Published by Sunisa Yok, 2023-07-03 00:20:08

Description: พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา.final

Search

Read the Text Version

2. บทบาทครู: การปรบั กระบวนการเรียนและวธิ กี ารสอนในศตวรรษที่ 21 ในอดตี ประเทศไทย คุ้นชนิ รปู แบบการสอนของครูทปี่ รากฏภาพเป็นแบบ Passive Learning จัดการเรียนรู้โดยการอ่าน ฟังบรรยาย ยึดเนื้อหา (Content Based) จากหนังสือและตำราเป็นที่ตั้ง ครูพยายามบรรยายบอกทุกสิ่งอย่างในตำราหรือหนังสือให้นักเรียนจดบันทึก แล้วนำไปใช้สอบวัด นกั เรยี นเพ่ือเก็บเปน็ คะแนนความรรู้ ปู แบบเดิม ๆ ทีค่ ุ้นชนิ น้ี เรยี กว่า “ยดึ ครเู ปน็ ศูนยก์ ลาง (Teacher- centered)” (ณรงค์ เพชรล้ำ, 2558) ในยุคต่อมาครูเริ่มที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสอนและ นำเสนอเนือ้ หาใหก้ บั นักเรียนได้รับร้มู ากขึ้น แตก่ ็ยังถอื ยึดครูเปน็ ศูนยก์ ลางอย่ดู ี ดังภาพ TeKcnhonwolleodgiecal (TK) Pedagogical KCnoonwtleendte Knowlede (CK) (PK) ภาพที่ 2 กรอบการทำงานของ TPACK (อนุศร หงสข์ ุนทด, 2558) เม่ือประเทศก้าวเข้าสศู่ ตวรรษที่ 21 การจดั กระบวนการเรียนรู้ จงึ พยายามเปลี่ยนบทบาทครู จากผ้บู รรยายมาเป็นคณะครู โดยร่วมกันออกแบบกจิ กรรมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ (Pedagogy) ให้นักเรียนใช้เป็นเครื่องมือไปเรียนรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก และ เสนอแนะเครื่องมือการเข้าถึงองค์ความรู้ผ่านวิธีการต่าง ๆ ผ่าน Technology ให้เข้าถึงความรู้ได้ อย่างรวดเรว็ และกว้างขวาง นำความรูท้ ีไ่ ด้มาแลกเปลี่ยนกบั เพื่อนในชัน้ เรยี น เรียกกระบวนการเรียนรู้ แบบนี้ว่า “Active Learning โดยยึดนักเรียนเปน็ ศูนย์กลาง (Student-centered)” ต่อมารัฐเล็งเห็น ความสำคัญของเทคโนโลยี จึงได้จัดทำทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยยึดกรอบของระบบ สนับสนุนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทำเป็นโมดุล และในส่วนของเทคโนโลยีจะเป็นโมดุล 7 (Module7) ว่าด้วยความสอดคล้องกับการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้กับกระบวนการจัดการเรียนรู้ จัดทำโปรแกรมการเรียน จัดทำหน่วยเรียนรู้ บูรณาการของแต่ละระดับชั้น จัดทำใบกิจกรรมเพ่ือ มอบหมายให้เกดิ กระบวนการเรยี นรู้ การสืบคน้ ในรปู แบบออนไลน์ และ ออฟไลน์ ชว่ ยมอบหมายงาน รายงานผลงานส่งการบ้าน จัดทำเครื่องมือวัดผลประเมินผล จัดทำ Career Path นักเรียนรายบุคคล อีกทั้งได้กำหนด “บทบาทของครูด้านเทคโนโลยี” คือ (1) เลือกใช้เทคโนโลยีในการประยุกต์ใช้ในการ 43

จัดทำหลักสูตรและหน่วยการเรียนรู้ (2) ใช้สื่อและเทคโนโลยีช่วยในการออกแบบกระบวนการจัดการ เรียนรู้ จัดทำใบความรู้ เอกสารมอบหมายการทำงาน การส่งงานในรูปแบบกลุ่มเมล์ หรือรูปแบบอื่น (3) ใช้เทคโนโลยีในการประชุมเครือข่ายทางไกลประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แก้ปัญหา และพัฒนางาน ของคณะครู (4) ใช้เทคโนโลยีในการจัดทำเครื่องมือการวัดและประเมินผล จัดทำคลังข้อสอบ จัดชุด ข้อสอบ จัดการสอบ และจัดเก็บขอ้ มูลและประมวลผล แสดงผลตามระเบียบการวดั ประเมินผล (5) ใช้ เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการติดตามความก้าวหน้าและพฤติกรรมผู้เรียน (6) ใช้เทคโนโลยีเป็น เคร่อื งมอื ในการนิเทศให้ความช่วยเหลือ และกำกบั ติดตามโรงเรียน (ณรงค์ เพชรล้ำ, 2558) “ครู” จึง ถือว่าเป็นผู้เปิดโลกที่เชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยี ครูยุคใหม่ต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี (Technological Knowledge) หรือ TK หมายถึง สามารถประยุกต์ใช้สื่ออุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศึกษา (อนุศร หงส์ขุนทด, 2558) พร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเขา้ หาเด็ก ปล่อยให้เด็กได้ลงมือทดลองทำด้วยตัวเอง ผ่านการดีไซน์ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา มี ทัศนคติ แรงจงู ใจ และมมุ มองการใชช้ วี ติ ทีด่ ี อันจะนำไปสูก่ ารพัฒนานวัตกรรมไดใ้ นอนาคต “ครู” หรอื ผสู้ อนตอ้ งมีความพร้อมทจี่ ะจัดการเรียนรู้ หาวิธีการ รูปแบบการเรียนร้ใู หม่ ๆ สื่อ อุปกรณ์ รวมไปถงึ การจัดสภาพแวดล้อมในการเรยี นรู้ใหม่ ๆ ในหอ้ งเรยี น เพอ่ื เนน้ ให้ผู้เรียนเกิดทักษะ หลาย ๆ ด้าน มีกระบวนการคิด กระบวนการการแก้ปัญหา และมีเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้สำหรับ การดำรงชีวิตในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ห้องเรียนท่ี ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลักๆ 3 สิ่งด้วยกัน คือ ผู้สอน (Teacher) ผู้เรียน (Learner) และสื่อ (Media) (สุชัชวีร์ สุวรรณ์สวัสด์ิ, 2561) นั่นแสดงได้ชัดว่า ครูต้องปรับตัวและเพิ่มบทบาทขึ้นอีก ท้ัง ต้องแสวงหาความรูใ้ ห้เท่าและทันโลก (รู้เท่าเอาไว้กนั รู้ทันเอาไว้แก้) ไม่เช่นนั้นแล้ว ครูอาจจะล้าหลงั นักเรียนในยุคปัจจุบันนี้ ยกตัวอย่าง เช่น ขณะครูกำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียน นักเรียน นักศึกษากลับ กำลังค้นคว้าวิชาเดียวกันกับที่ครูกับสอน จาก Professional ที่กำลังสอนออนไลน์ในต่างประเทศ เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม ครูเองก็ต้องเข้าใจในบทบาทตนเองและต้องเร่งศึกษาค้นคว้าการใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ให้ชำนาญ ประกอบด้วย การใช้อินเตอร์เน็ต (Internet of Things: IOT) การประมวลผล แบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) และเข้าใจการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เทคโนโลยีเหล่าน้ี จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งตอบสนองความต้องการด้านต่าง ๆ ของ ผู้เรียนได้มากมาย ถึงเวลาที่ครูต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอน และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยออกแบบการ สอนแทน (ซึ่งจะได้พูดถึงในการใช้รูปแบบสื่อการสอนออนไลน์ต่อไป) รวมถึงการแก้ปัญหาการเรียนรู้ ซงึ่ เป็นสว่ นหนง่ึ ของการจัดสภาพแวดล้อมการเรยี นรทู้ ี่ทำให้เกิดการเรยี นรู้ เกดิ ความรว่ มมือ แรงจูงใจ ตรงตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เรียน เปิดพื้นที่ไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพ่ิม ประสิทธิภาพของเน้ือหาความรู้และกระบวนการเรียนรู้ที่มีอยู่ Smart Classroom อาจมีรูปแบบท่ี 44

แตกต่างกันไปตามบริบทของโรงเรียนและผู้เรียนด้วย ดังนั้น ความสามารถในการบูรณาการ ICT ของ ครูเข้ากับการจัดการเรียนการสอน จึงถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญต่อการเริ่มต้นในการใช้ ICT เข้ากับ การจดั สอนของครูในห้องเรยี นอยา่ งเหมาะสมในศตวรรษนี้ 3. รปู แบบส่อื /เทคโนโลยกี ารสอนทนี่ ิยมใช้ในแบบออนไลน์ในปจั จบุ นั (E-Learning) E-Learning (Electronic learning) : การเรียนรผู้ า่ นส่ืออเิ ล็กทรอนิกสห์ ากจะปรบั ทักษะการ สอนยุคใหม่ให้ทันกับนักเรียนเจนเนอร์เรชั่นปัจจุบัน ครูจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสื่อมัลติมีเดียเข้ามา เป็นตัวช่วยในการจดั การเรียนการสอนในรปู แบบตา่ ง ๆ เช่น การจดั ทำสอ่ื การสอนออนไลน์ การจัดส่ง งานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น จากที่ผ่านมาครูมักจะประสพปัญหาต่าง ๆอยู่เสมอ ได้แก่ (1) ปัญหาการจดั เก็บเอกสารจำนวนมหาศาล ประเภทใบเช็คช่ือ ใบคะแนน กระดาษข้อสอบของนักเรียน รวมถึงสมุดนักเรียน เป็นต้น (2) การสูญหายของเอกสาร หากครูไม่มีระบบการจัดการที่ดีอาจทำให้ เอกสารสำคัญที่กล่าวมาสูญหายได้ ปัญหาดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนให้กับครูไทยในยุคที่ผ่านมา เกดิ ปญั หาวนอยูใ่ นลักษณะน้ซี ้ำ ๆ ในบทความนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอเทคโนโลยีในรูปแบบออนไลน์ที่ครูสามารถสร้างสื่อการสอน และนำเป็นเชื่อมต่อให้เป็นระบบดิจิตอลต่าง ๆ เข้ากับโปรแกรมการใช้งาน เปลี่ยนการจัดเก็บข้อมูล แบบเดิม ๆ มาเป็นจัดเก็บแบบอิเล็กทรอนกิ ส์ไฟลใ์ ห้นักเรียนสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลตนเองได้ เมื่อได้รับอนุญาตผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วยนวัตกรรมโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีให้บริการต่าง ๆ ใน รูปแบบที่ให้บริการฟรี ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในยุคนี้ ครูจึงเริ่มสร้างสรรค์แผนงานและริเริ่ม การจดั ทำส่อื นวัตกรรมใหม่ๆข้ึนมาใช้งานได้ การทีค่ รสู ร้างส่ือการสอนด้วยรปู แบบออนไลน์ และสร้าง ฐานข้อมูลออนไลนไ์ ด้ จะชว่ ยใหค้ รูประหยัดเวลาและแกป้ ญั หาดงั ทกี่ ลา่ วมาไดเ้ ป็นอย่างดี ครจู ะมีเวลา ใส่ใจในการสอนได้มากข้ึน ส่อื เทคโนโลยดี ังกล่าวผูเ้ ขยี นนำมากลา่ วไวเ้ ฉพาะท่ีได้รบั ความนยิ มและเป็น ท่รี จู้ กั ประกอบไปดว้ ยโปรแกรม ดังนี้ 3.1 Plickers (www.plickers.com) Plickers เป็นเครอ่ื งมือประเภทการประเมนิ ผู้เรยี น หรือ สรา้ งเป็นเกมเพ่ือประกอบการสอน สิ่งทคี่ รจู ำเป็นต้องมีคือ (1) มือถอื สมารท์ โฟนท่ีโหลดแอปพลิเคชัน Plickers ได้ (2) กระดาษคำตอบ (สามารถโหลดได้ในเวบ็ ไซต์ www.plickers.com) สว่ นวิธีการจัดทำ สอ่ื น่นั ให้ศกึ ษาเพิ่มในเว็บไซต์ www.plickers.com ไดเ้ ลย Plickers ถอื วา่ เปน็ เคร่ืองมือทีถ่ กู ออกแบบ มาใหใ้ ชง้ านอยา่ งเรียบงา่ ย โดยท่ีผู้เรยี นไม่จำเป็นต้องมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไมต่ ้องมีคอมพิวเตอร์หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ เลย จึงทำให้ Plickers เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงนักเรียนได้ทุกพื้นที่ การ ประเมินนักเรียนโดยใช้ Plickers จะสร้างความกระตือรือร้นมากขึ้นในช่วงบทเรียน ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีไมส่ ามารถหลีกเลีย่ งได้อีกต่อไปแลว้ และครูควรศึกษาพัฒนาความรู้เนือ้ หาทางเทคนคิ และ 45

การฝกึ อบรมสรา้ งสื่อเทคโนโลยี เมือ่ เรมิ่ ใชเ้ ครือ่ งมือดจิ ิทลั ร่วมกับนกั เรยี น นกั เรยี นก็เตม็ ใจใช้งานมาก ย่งิ ข้นึ นำไปสู่การพฒั นาเทคโนโลยใี นระดับทีส่ ูงข้นึ ในอนาคต (Easterly Anak Michael, 2019) 3.2 Kahoot (https://kahoot.it) Kahoot เป็นเครื่องมือประเภทการตอบคำถามใน ห้องเรียน สร้างความตื่นเต้นในการเรยี นการสอน ใช้การจับเวลาเป็นตัวขับเคลือ่ นคำถาม มีเวลาสั้นๆ ในการอ่านแล้วตัดสินใจคำตอบ 4 ตัวเลือก สะสมคะแนนนักเรียนที่ตอบถูกเพื่อเลื่อนลำดับให้สูงข้ึน สิ่งที่ผู้เรียนต้องมีคือ สมาร์ทโฟนและต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต การส่งผลคำตอบเพื่อแสดงต้องอาศัย ความแรงของสัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยส่วนหนึ่ง วิธีการใช้งานเบื้องต้น (1) เข้าไปที่เว็บไซต์ http://getkahoot.com เพื่อทำการสมัครและตั้งคำถามแล้วรับ PIN (2) เมื่อได้ PIN แล้วเข้าไปใน เว็บ http:// kahoot.it แล้วกรอก PIN ของเรา เพื่อตั้งชื่อและตั้งคำถามได้อย่างอิสระ กรณีสัญญาณ อินเตอร์เน็ตอ่อนไม่ครอบคลุม ครูก็อาจะแชร์สัญญาณจากมือถือเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนร่วมกนั ได้ การใช้ Kahoot เพื่อปรับแผนการสอน โดยทดสอบนักเรียนในหัวข้อต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจ ความสามารถของพวกเขาก่อนปรับแผนการสอน สำรวจความรู้ของนักเรียนในหัวข้อหลังจากที่ได้รับ การบรรยายเพื่อชว่ ยให้นกั เรยี นตรวจสอบความเข้าใจในหวั ข้อตา่ ง ๆ ได้ (Licorish, 2018) 3.3 Socrative (www.socrative.com) Socrative เป็นเครื่องมือประเภทออกแบบต้ัง คำถาม สามารถตัง้ คำถาม-คำตอบ แบบปรนยั ได้ไม่จำกัดข้อ เป็นคำถามถกู /ผดิ หรือเป็นคำถามท่ีพิมพ์ คำตอบ สามารถใช้เป็นการแข่งขันทางวิชาการได้ ครูผู้สอนสามารถสร้างการประเมินหรือการตอบ แบบสำรวจตอบคำถามจริง / เท็จและแบบสั้นๆ ได้ โดยเข้าไปสมัครใช้งานและศึกษาวิธีการใช้งาน เพม่ิ เตมิ ที่ www.socrative.com แลว้ ทำตามข้นั ตอนแนะนำ (Pamela D. Wash, 2014) 3.4 Zip Grade (www.zipgrade.com/pricing/) Zip Grade เป็นเครื่องมือที่ลดภาระการ ตรวจข้อสอบ และลงคะแนนให้ครูโดยอัตโนมัติ หลักการของ Zip Grade ครูจะต้องมีข้อสอบใน แบบฟอร์มเฉพาะ ที่สมาร์ทโฟนสามารถตรวจได้ นักเรียนจะฝนเต็มวง หรือกากบาท ตัวแอปพลิเคชนั ก็สามารถตรวจข้อสอบได้ วธิ กี าร คือ (1) ถ่ายรูปขอ้ สอบและตรวจข้อสอบ (2) ส่งข้อมลู เปน็ ดิจติ อลขึ้น ไปเก็บบนเว็บ แอปพลิเคชันยังสามารถวิเคราะห์ข้อสอบได้ว่า ข้อไหนตอบเยอะหรือน้อย มีข้อจำกัด คือแบบให้ใช้ฟรีตรวจได้เพียงเดอื นละ 100 แผ่น เท่านั้น ทั้งนี้ หากสนับสนุนซอฟต์แวรด์ ้วย Version Full ก็จะสามารถออกแบบ รปู แบบกระดาษคำตอบไดเ้ อง ตามจำนวนข้อสอบทอ่ี อกสอบได้ 3.5 ClassDojo (https://www.classdojo.com) ClassDojo เป็นเครื่องมือประเภทที่สร้าง ข้ึนเพ่อื เปน็ สงั คมออนไลน์ สำหรบั ครู นกั เรียน และผู้ปกครอง ยังเปน็ ตวั ชว่ ยเสริมในการสอนของครูได้ อีกทางหนึ่ง ในเรื่องของการเช็คชื่อ ให้คะแนนนักเรียนระหว่างเรียนโดยเฉพาะด้านคุณลักษณะ เช่น การทำงานเป็นทีม ตอบคำถาม การชว่ ยเหลอื คนอืน่ เป็นต้น ClassDojo จะชว่ ยให้ครตู ิดตามผล และ ประเมินผู้เรียนในด้านคุณลักษณะ (Character) ได้มีประสิทธิภาพมาก (MARYANNE CHIARELLI, 2015) เข้าใช้งานและวิธใี ชไ้ ด้ที่ https://www.classdojo.com 46

3.6 Google (https://www.google.co.th) Google เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถรอบ ด้านที่สุดในศตวรรษที่ 21 นี้ และได้รับความนิยมสูงสุด เป็นบริการให้ใช้งานฟรีบนพื้นที่ความจุ 15 GB และมีฟีเจอร์ให้บริการเด่น ๆ จำนวนมาก เหมาะกับการนำมาใช้ในการเรียนการสอนในยุคน้ี เกือบทกุ ฟเี จอร์ โดยผูเ้ ขยี นขอสรปุ ความสำคญั และจำเป็นดงั นี้ (1) Google Drive เป็นเครื่องมือประเภทจัดเก็บข้อมูลงานบนแหล่งข้อมูลออนไลน์ (Cloud) และแบ่งปันหรือเผยแพร่ข้อมูลให้กลุ่มหรือสาธารณะ ฟีเจอร์นี้มาทดแทนการใช้แฟลชไดร์ฟ (Flash Drive) ในยุคที่ IOT มีให้บริการทุกที่บนโลกที่มีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ประสิทธิผลจะทำให้ครู ทำงานน้อยลง สะดวกขึ้น ค้นหาข้อมูลการสอนได้ง่ายขึน้ Google Drive เป็นแหล่งเก็บข้อมูลบนไฟล์ Google Doc/Google Slide/Google Sheet ซึ่งมีลักษณะการใช้งานเช่นเดียวกับ Microsoft Word / Excel / PowerPoint ครูสามารถที่จะทำงานจัดการเอกสาร แก้ไขเอกสารร่วมกันได้ แล้วงานก็จะ เสร็จไวข้ึน สมัครเขา้ ใช้งานได้ท่ี http://drive.google.com (2) Google Form เป็นเครื่องมือที่ครูสามารถสร้างแบบสอบถามให้กับนักเรียน สร้าง ข้อสอบ เพื่อให้นักเรียนเข้าไปสอบซ่อม Online สร้างระบบยืม – คืน หรือระบบส่งงานหรือส่ง การบ้านต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยระบบจะถูกเชื่อมโยงส่งข้อมูลเข้าไปเก็บใน Google drive และ แสดงรายการใน Google Sheet ใหโ้ ดยอัตโนมัติ (3) Google Blogger สมยั นี้คนเล่น Facebook กันเยอะ แต่ blogs กย็ ังไมต่ ายแล้วกำลัง กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจา้ ของบล็อก โดย สามารถใช้เปน็ เครื่องมือ สื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเหน็ การเผยแพร่ผลงาน ใน หลายๆด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง และที่สำคัญเป็นเทคโนโลยีที่ครูสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ค่อยๆเขียน สะสมผลงานไปเรื่อย ๆ (อุดม ตะหน่อง, 2559) นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้ว ครูยังสร้างชื่อ ให้ตัวเองได้อีกด้วย สมัครเข้าใช้งานที่ http://www.blogger.com ยกตัวอย่างเว็บบล็อกที่เก็บงาน บางแห่ง http://pormodtanoy.blogspot.com ทั้งนี้มีเว็บไซต์ที่ครูสามารถศึกษารายละเอียดได้ จากคมู่ ือการสรา้ ง Blogger ได้ เชน่ https://goo.gl/QPSLx0 โดยใช้รหัสผ่าน 2516 (4) Google site เป็นเว็บแอพพลิเคชั่นออนไลน์หนึ่งที่ช่วยในการเรียนการสอนของครู ออกแบบได้ง่าย ๆโดยสามารถเชื่อมโยงเนื้อหา แหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไฟล์ เสียง วีดิโอ ท่ี นักเรียนสามารถเขา้ ถึงแหล่งข้อมูลได้ง่าย และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด ก็สามารถเกิดการเรียนรู้ด้วย ต น เ อ ง ไ ด ้ ( ภ า ส ก ร เ ร ื อ ง ร อ ง , 2 5 5 9 ) ต ั ว อ ย ่ า ง Site ท ี ่ ส อ น ว ิ ธ ี ส ร ้ า ง ส ื ่ อ ก า ร ส อ น https://sites.google.com/a/hoksib.ac.th/website/home (5) Google Classroom เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างห้องเรียนในรูปแบบออนไลน์อีกแบบ ที่กำลังได้รับความนิยมในทุก ๆ สถาบันการศึกษา เนื่องจากเป็นบริการของ Google ที่เข้าถึงได้ง่าย ตัวอยา่ งเช่น ครสู ามารถสัง่ งานใน Google Classroom แล้วให้นักเรียนส่งการบ้านออนไลน์ได้เลย ครู 47

กส็ ามารถเกบ็ งานของนักเรียนได้ ขอ้ ครหาท่ีพบบ่อยที่ว่าหาตวั ครูไม่เจอ ห้องพักครูล็อคเข้าไปส่งไม่ได้ จะไม่มอี กี ตอ่ ไป หากใช้ Google Classroom (7) Prezi (https://prezi.com) เป็นเครื่องมือการนำเสนองานที่มีมานานแล้ว ลักษณะ การทำงานคล้ายคลึงกับ Power point การนำเสนอหน้าชั้นเรียนจะดูน่าสนใจขึ้น ถือว่าเป็นศิลปะ หรอื เสน่ห์ในการนำเสนอท่แี ตกตา่ งจากการเลอื่ นสไลค์ไปทีละหน้าแบบธรรมดา ๆ เม่ือใช้ชำนาญจะทำ ให้การนำเสนอเห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้น Prezi เสมือนการวางภาพการนำเสนอไว้บนผืนผ้าใบแผน่ เดียว แล้วใช้การซูมเข้า-ออก เลื่อนเพื่อไล่ลำดับการนำเสนอ หากครูมีความเชี่ยวชาญกับ Power point ก็จะมีความเข้าใจในการใช้เครื่องมือน้งี ่ายข้นึ ท่มี ีเอกลักษณ์เด่น ๆ คอื การนำเสนอโดยการซูมเข้าซูมอ อกเนื้อหาที่ต้องการ และสามารถข้ามไปยังเนื้อหาใด ๆ ก็ได้ตามความต้องการ (วิชัย พัวรุงโรจน , 2017) ครูท่ีสนใจเข้าไปศกึ ษาเพมิ่ เตมิ และสมคั รใช้งานไดท้ ่ี https://prezi.com (8) Aurasma (https://www.aurasma.com) เป็นเครื่องมือสร้างสื่ออีกตัวที่พึ่งจะได้รับ ความนิยม ใช้แอปพลิเคชันสแกน จะเห็นเป็นภาพสามมิติลอยออกมา AURASMA ก็เช่นกันถ่ายเป็น คลิปวิดีโอ เมื่อถ่ายลงไปที่ภาพแล้ว คลิปวิดีโอจะเล่นขึ้นมา โรงเรียนที่ใช้ทำเป็นแผ่นพับหรือบอร์ด ประชาสัมพนั ธ์ ใชท้ ำสอื่ การสอนติดไว้ตามโรงเรียน นักเรยี นก็สามารถใชม้ ือถือสแกนดูได้ทันที (จักริน บรู ณะนิตย์, 2560) เขา้ ไปศึกษาเพ่ิมเตมิ และทดลองใชไ้ ดท้ ่ี https://www.aurasma.com (9) Website / WebBlogs / Webpage เว็บไซต์/เว็บเพจ/เว็บบล็อกการสอน เป็นอีก เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความเติมโตทางดิจิทัลในโลกสมัยใหม่ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึง ข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ครูและอาจารย์สอนจำนวนมากเลือกที่จะสร้างเว็บไซต์เพื่อนำเสนอข้อมูลการ สอน เอกสารการสอน และแบบทดสอบต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรีจำนวนมาก ครูที่ สนใจควรศกึ ษาเรยี นรู้วิธกี ารสรา้ งและนำมาใช้เป็นส่ือการเรียนการสอนในรายวิชา เพอื่ ให้บทเรยี นเกิด ความนา่ สนใจและสรา้ งบรรยากาศในชั้นเรียน นกั เรียนนกั ศึกษาสามารถตดิ ตามค้นควา้ ข้อมูลที่ครูผู้นำ ใส่ในเว็บไซตน์ น้ั ๆ ดว้ ยตนเอง ตวั อยา่ งเวบ็ ไซต์ท่จี ัดทำเป็นสือ่ การสอน เช่น http://buddhisminthai.eu5.org เป็นต้น ครูศึกษาวิธีการสร้างสื่อการสอนด้วยเว็บไซต์ฟรีได้ที่ http://pormodtanoy.blogspot.com/2018/05/2-template-hosting-domain-subdomain.html และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน ครูยังสามารถติดต่อเว็บไซตต์ ่าง ๆ ที่ให้บริการปรึกษาการ จัดทำได้แบบ Real time ตลอดเวลา (อดุ ม ตะหน่อง, 2561) (10) Facebook มีงานวิจัยเรื่อง “การใช้ Facebook เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน” สรุปผลได้ว่า Facebook ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนมากขึ้น สามารถติดต่อกับผู้สอนและ ผู้เรียนได้อย่างทันท่วงที ความสามารถต่าง ๆ ที่ Facebook มีไม่ใช่เพียงแค่โพสต์หรือแชร์อย่างเดียว Facebook สามารถทำแนวสอบ สร้างแบบถามความเหน็ การโหวต หรือการวเิ คราะหข์ ้อมูลแนวโนม้ ต่าง ๆ ได้ อีกทั้งนักเรียนก็สามารถส่งงานให้ครูผ่าน Facebook ได้ ทำให้ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่าย 48

สามารถส่งและแก้ไขส่วนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย Facebook มี Feature ต่าง ๆ ที่สนับสนุน รองรับ Interactive classroom ได้ด้วย หากครูไม่มองข้ามเทคโนโลยีใกล้ตัว ศึกษาลูกเล่นต่าง ๆ (Feature) ที่เป็นประโยชน์ต่อการสอนแล้วนำมาใช้อย่างพึงระมัดระวัง Facebook ก็จะมีประโยชน์ และตอบสนองต่อการปรบั ตวั ใหท้ ันกับยคุ สมัยอย่างมหาศาล (แอนณา อม่ิ จำลอง, 2556) (11) Line เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ได้รับความนิยมในอันดับต้น ๆ ในศตวรรษนี้ไปแล้ว ต้น กำเนิดของโปรแกรมนี้ เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นในการติดต่อสารกันในปี พ.ศ. 2554 เมื่อคราวเกิด แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นแล้วทำใหร้ ะบบการสื่อสารขัดข้อง ผู้พัฒนาจึงได้พัฒนาต่อยอดโปรแกรม ไลน์เพื่อให้คนที่ประสบเหตุสามารถติดต่อกลับหาคนรักและครอบครัวได้ จนกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ สื่อสารที่ได้รับความนิยมจนทุกวันนี้ (สามารถ อัยกร, 2558) ปัจจุบันนี้ Line ได้กลายเป็นเครื่องมือ สื่อสารเพือ่ การเรียนรู้ โดยมีวิธีการคอื ดาวน์โหลด Application line office ทช่ี ่ือ LINE @ App เพื่อ ติดตั้ง มีกําหนดให้ทดลองใช้ได้ 30 วัน หลังจากนั้นจะมีค่าใช้จ่ายหากมีการใช้ต่อและผู้เข้าร่วมได้ นํา application นี้ ไปใชในการจัดทำสื่อการเรียนจัดเป็นนวัตกรรมสอทางการสอนที่ทันสมัย เป็น แรงจูงใจแก่นักศึกษาในการเรียน สามารถติดต่ออาจารย์ผู้สอนได้โดยตรง (ณัฏฐ์ณรัณ แคล่วคล่อง, 2560) จากที่กล่าวมาในส่วนของรูปแบบสื่อและเทคโนโลยีสำหรับการจัดการเรียนนั้น ผู้เขียนนำมา เสนอในส่วนที่เป็นเว็บไซต์ออนไลน์เท่านั้น ในส่วนของแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนไม่ได้กล่าวถึง ซึ่ง โดยปกติในปัจจุบนั เว็บไซต์สำหรับสร้างสือ่ การสอน ก็จักสร้าง Application สำหรับการใช้งานควบคู่ ไปพร้อมกันในคราวเดียว มีทั้งที่เป็นระบ Android และระบบ IOS ครูสามารถโหลดมาใช้งานควบคู่ กับเว็บไซต์ได้ทันที และฟีเจอร์ที่นำเสนอทั้งหมดเป็นรูปแบบให้บริการฟรีและมีฟีเจอร์ครบครัน ทั้งนี้ หากต้องการลูกเล่นเพิ่มเติมสามารถจ่ายค่าใช้บริการเพิ่มเติมตามที่ปรากฏในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ เพ่ือ กา้ วไปสูก่ ารพฒั นาสอ่ื การสอนแบบทนั ยุคและก้าวลำ้ เทคโนโลยแี หง่ ศตวรรษนอ้ี ย่างเตม็ รูปและยั่งยืน ดังนั้น เทคโนโลยีการสอนในศตวรรษที่ 21 นี้ ครูจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อสามารถปรับเปลี่ยน วิธีการสอนและพัฒนาทักษะทีจ่ ำเป็นที่ครไู ทยในอนาคตควรมี (E-Teacher) ซึ่งครูต้องมีทักษะในการ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีจะช่วย กระตุ้นความสนใจให้กับนักเรียน และหากออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมความรู้และทักษะที่ต้องการได้เป็นอย่างดี การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการ สอนแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านเครือข่าย (Network) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ครูต้องมีการปรับทัศนคติ ใหม่ พัฒนาความรแู้ ละทักษะความสามารถท่จี ำเป็นตามแนวทาง E-Teacher ในศตวรรษท่ี 21 ตามที่ กล่าวมา 49

บทสรุป ประเทศไทยเดินทางมาถึงยุคที่เรียกว่า Education 4.0 เป็นยุคแห่งนวัตกรรม ทั้งผู้สร้างทั้ง ผู้สอนและผู้เรยี น ทุกคน ทุกกลุ่มต้องเป็นนักคิดนักสร้างนวัตกรรม เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนเกิด การสร้างนวัตกรรมและร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ เกิดการพึ่งพาอาศัยกันและ กัน เช่น ใช้สถานที่ทำงานของภาคอตุ สาหกรรมในการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น เปน็ ต้น เมื่อมองในแวดวงทางการศึกษาจากประเทศทว่ั โลก เห็นไดช้ ัดวา่ แตล่ ะประเทศกำลังก้าวข้าม รูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ ที่เน้นครูเป็นศูนย์กลางมาเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบให ม่ที่ใช้ เทคโนโลยีเป็นฐานแทบทุกประเทศ ในอนาคตอันใกล้โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน อย่างรวดเร็ว ส่งต่อความรู้กันได้อย่างไร้ขีดจำกัดเพียงปลายนิ้วสัมผัสโดยใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที เท่าน้นั ในทุก ๆ ด้าน การเรียนร้จู งึ เกดิ ข้ึนได้ทุกทที่ ุกเวลาแบบไร้พรมแดนผ่านระบบเครือข่าย ยุคนี้จึง ถือว่าเป็นยุคของ “โลกคือห้องเรียน” อย่างแท้จริง ห้องเรียนที่จากเดิมแค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ครูทำ หน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ใหก้ ับผูเ้ รียนเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนก็มีหน้าที่รับความรู้จากครูผ้สู อน พอถึงยุคไทยแลนด์ 4.0 จะเป็นยุคที่เริ่มนำสื่อเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทอดความรู้จาก ครูผู้สอนไปสู่ผู้เรียนอย่างเต็มรูป ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้รวดเร็ว ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่ เรยี นรู้ สนกุ สนาน กระตือรอื รน้ ในการเรียนรู้มากข้นึ เมื่อผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกต้อง ก็ต้องอาศัยผู้สอนที่ เข้าใจและมีความรู้ในด้านการใช้เทคโนโลยดี ้วยเช่นกนั “ครู” จึงเป็นผู้สร้างบรรยากาศและเจตคตทิ ี่ดี ต่อการเรยี นรู้ ให้ผูเ้ รยี นรจู้ ักเลอื กศกึ ษาค้นคว้าข้อมลู ขา่ วสารอย่างถูกตอ้ งเหมาะสมและมีวิจารณญาณ เพราะข้อมูลสารสนเทศที่เผยแพร่บนระบบอินเทอร์เน็ตนั้นมีทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ยังไม่ได้ ผ่านการกลั่นกรอง ดังนั้นผู้สอนมีหนา้ ทีต่ ้องชี้แนะให้ผู้เรียนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีระบบมี เหตุผล คิดสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้สูงสุด ไม่เช่นนั้น เทคโนโลยีที่โลกกำลัง หลงไหล ไม่ว่าศตวรรษที่ 21 นี้ หรือศตวรรษหน้า ก็อาจนำความหายนะมาใหม้ ากกวา่ เป็นการพัฒนา ที่พวกเราหวังกัน จนท้ายที่สุดนำไปสู่ความล่มสลายของการศึกษา “เทคโนโลยี” จึงเป็นสิ่งที่เราต้อง เขา้ ใจและเรยี นรู้วิธกี ารใชง้ านอย่างถกู ต้องและถ่องแท้ เพราะไมเ่ ช่นน้นั ไซรม้ ันจะกลับกลายมาทำลาย เราเสมือนเปน็ “ดาบสองคม” แหง่ ศตรวรรษน้ี อยา่ งทีห่ ลายคนห่วงใย“ครู”ในยคุ นี้ ต้องมีคุณลักษณะ ทเี่ รียกว่า E-Teacher มคี วามเข้าใจสือ่ เทคโนโลยี มีทักษะในการใช้และถา่ ยทอดหรือขยายความรู้ของ ตนเองไปสู่นักเรียนผ่านสื่อเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเสาะหาและคัดเลือกเนื้อหา ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนผ่านทางสื่อเทคโนโลยี สามารถใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ลในฐานะผู้ผลิตและผู้กระจายความรู้ไปสศู่ ษิ ย์ ได้อยา่ งงดงามและมนั่ คงตลอดไป ถึงอย่างนั้น “ครู” ต้องจัดการเรียนการสอนในยุคโลกดิจิตอลด้วยเทคโนโลยีเพื่อต้องการให้ โลกทั้งโลกคอื ห้องเรียน ผู้เรียนเองกต็ ้องมีคุณลักษณะที่เปน็ ผูช้ ้ีนำตนเองได้ดว้ ย การจัดหลักสูตรก็ต้อง 50

ปรับความยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับความแตกต่างทางบุคคลในยุคปัจจุบัน(ยุคดิจิตอล) การสอนไม่ยึด ติดตำรา ไม่เน้นท่องจำ เน้นให้นักเรียนคิดได้แก้ปัญหาเป็นผ่านเทคนิคด้าน ICT เพื่อให้นักเรียน สามารถใช้ชวี ติ อยใู่ นโลกแหง่ ความเป็นจริงท่ีปนั่ ป่วนไปด้วยเทคโนโลยลี ำ้ สมยั อย่างหาทางเลี่ยงไม่ได้ ยังไรก็ตามเป้าหมายสำคัญทีส่ ดุ ของมวลมนุษยชาตใิ นยุคน้ีและในอนาคตที่ครูต้องสร้าง นั่นก็ คือ “สร้างคนให้เป็นคนคณุ ภาพเปน็ คนดีและมีคณุ ธรรม” 51

เอกสารอา้ งองิ ภาษาไทย จุฬารัตน์ ธรรมประทปี . (2562). การใช้ ICT ในห้องเรียนวทิ ยาศาสตร์: บทบาทครสู ำคัญตอ่ ความสำเรจ็ ในการใช้ ICT, สบื คน้ 15 สิงหาคม 2562. จาก https://adacstou.wixsite.com/adacstou. จกั รนิ บูรณะนติ ย์. (2560). เทคโนโลยีการศกึ ษาสำหรับครูไทยยุค 4.0. สบื คน้ 15 กรกฎาคม 2562, จาก https://medium.com/opencurriculum/9-เทคโนโลยีการศึกษา-สำหรับครูไทยยุค-4-0-3f364235a443. ฐติ ิวสั ส์ สุขป้อม. (2561). มารยาทที่ดีสำหรบั ครู. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎจนั ทรเกษม. สืบค้น 2 สิงหาคม 2562, จาก http://departmentsecretary.freeoda.com/Marayatthai/index.html. ณรงค์ เพชรลำ้ . (2558). แนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ท่ีเน้นสมรรถนะสาขาวิชาชีพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. ณัฏฐณ์ รณั แคลว่ คล่อง. (2560). สรุปสาระสำคัญจากการจัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรยี นรู้เร่ือง “Learn in Line” . กรงุ เทพฯ: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล. พรชัย ภปู่ ระเสรฐิ . (2562). ทกั ษะมนษุ ยท์ ่ีต้องปรบั ตวั ให้ทนั ในยุคศตวรรษที่ 21. สืบคน้ 1 มิถนุ ายน 2562. จาก https://www.youtube.com/embed/O21WWndZDrI นิรมิษเพยี ร ประเสรฐิ . (2560). SMART CLASSROOM: หอ้ งเรยี นในยุค 4.0. สบื คน้ 1 สิงหาคม 2562, จาก http://oho.ipst.ac.th/smart-classroom-4-0-part2 บัณฑิต เอื้ออาภรณ์. (27 มีนาคม 2562). จี้มหา\"ลัยปรับตัวก่อนที่จะล่มสลาย.เดลินิวส์ออนไลน์. สืบค้น 1 สงิ หาคม 2562, จาก https://www.dailynews.co.th/education/700971 ฟาฏินา วงศ์เลขา. (3 พฤศจิกายน 2558). การจัดการเรียนการสอนในยุคโลกดิจิตอล. เดลินิวส์ ออนไลน์. สืบคน้ 1 สิงหาคม 2562, จาก https://www.dailynews.co.th/education/358284 ภาสกร เรืองรอง. (2559). การฝึกอบรมเรื่องการสรา้ งแบบประเมินออนไลน์โดยใช้ Google site ร่วมกับการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื , วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อตุ รดติ ถ, 8 (2), 86-94. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). ทกั ษะเพอ่ื การดำรงชวี ติ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนธิ ิสดศรี-สฤษด์วิ งศ์. วิชยั พวั รุงโรจน. (2558). แนวโนมวธิ ีการเรยี นการสอนยุคใหมดวยเครือ่ งมือประเมินผลระหวางเรยี นออนไลน.์ วารสารนวตั กรรมการเรียนรมู หาวทิ ยาลยั วลัยลกั ษณ์, 3(2), 45-68. สมใจ เดชบำรุง, คณุ ลกั ษณะของครไู ทยในศตวรรษท่ี 21. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร,16 (1), 120-131. สามารถ อัยกร. (2558).โปรแกรมไลน์กับการติดต่อส่ือสารภายในองค์การ Line Programing and Inter-Organization Communication. Journal of Nakhonratchasima college. 9(1), 102-107. 52

เอกสารอา้ งอิง(ต่อ) สุวิทย์ เมษินทรีย์.(2016).หัวใจสำคัญการเดินหน้าประเทศไทย 4.0. สืบค้น 18 สิงหาคม 2562, จาก https://m.facebook.com/drsuvitpage/posts/1406520106321382?locale2=th_TH สุวิทย์ เมษนิ ทรีย.์ (สิงหาคม 2562). อนุสารอดุ มศกึ ษา, 45(494). 20-25. สุชัชวีร์ สวุ รรณสวสั ดิ์. (16 มกราคม 2562). 3 บทบาทใหม่ครยู คุ อลั ฟ่า รับวันครแู หง่ ชาติ 2562.หนังสอื พิมพ์ประชาชาติธุรกิจ. สืบค้น 18 สิงหาคม 2562, จาก https://www.prachachat.net/ education/news-278682 สชุ ัชวีร์ สุวรรณสวสั ดิ์. (30 ธันวาคม 2561) . ป’ี 62 มหา’ลัยตอ้ งปรับตัวแบบหกั ศอกลดวิชาบังคับเพิม่ วชิ าเลือกให้นศ. มีอสิ ระในการเรียนร้.ู มตชิ นออนไลน.์ สืบค้นจาก https://www.matichon.co.th/ education/news_1294950 อนุศร หงษ์ขุนทด. (2558). ความรู้ในวิธีการสอนผนวกเทคโนโลยี (Technological Pedagogical Knowledge : TPK) . (Online).สืบค้น 15 กรกฎาคม 2562. จาก http://pitcforteach. blogspot.com/2015/03/tpack-model.html อดุ ม ตะหน่อง. (2559). ค่มู อื อบรมการพัฒนานวัตกรรมสื่อการจัดการเรียนการสอนดว้ ยคอมพิวเตอรผ์ า่ น Web Blogs. นครปฐม : มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. อุดม ตะหน่อง. (2559). พุทธศาสนาในชีวิตคนไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. สืบค้น 15 กรกฎาคม 2562, จาก http://buddhisminthai.eu5.org อุดม ตะหน่อง. (2561). การสร้างเว็บไซต์ฟรี. สืบวันท่ีเมื่อ 15 กรกฎาคม 2562. จาก http://pormodtanoy.blogspot.com/2018/05/2-template-hosting-domain-subdomain.html อุดม คชินทร. (27 มีนาคม 2562). จี้มหา\"ลัยปรับตัวก่อนที่จะล่มสลาย.เดลินิวส์ออนไลน์. สืบค้น 18 สิงหาคม 2562,จาก https://www.dailynews.co.th/education/700971 แอนณา อม่ิ จำลอง และคณะ. (2556). การใช้เฟซบคุ๊ เป็นช่องทางการส่อื สารการเรยี นการสอนทางด้าน นิเทศศาสตร์. วารสารนเิ ทศศาสตร์ธรุ กิจบณั ฑิตย์, 7(1). 75-93 53

เอกสารอา้ งอิง(ตอ่ ) ภาษาตา่ งประเทศ CHIARELLI, M., SZABO, S., WILLIAMS, S. (2015). Texas Journal of Literacy Education, (3)2. Retrieved From https://files.eric.ed.gov/fulltext/EJ1110950.pdf Licorish, S. (2018). Research and Practice in Technology Enhanced Learning. Retrieved From https://telrp.springeropen.com/articles/10.1186/s41039-018-0078-8#Sec3 Poh, M. Technologies That Will Shape Future Classrooms. Retrieved From https://www.hongkiat.com/blog/future-classroom-technologies Wash, P. (2014). Taking advantage of mobile devices: Using Socrative in the classroom. Journal of Teaching and Learning with Technology, 3(1), 99-101. Wang, A. I., & Lieberoth, A. (2016). The Effect of Points and Audio on Concentration, Engagement, Enjoyment, Learning, Motivation, and Classroom Dynamics Using Kahoot!. Proceedings of the European Conference on Games Based Learning. 54

บทท่ี 4 การจัดการเรียนรู้ผู้เรยี นในยคุ ดิจิทลั การเปลยี่ นแปลงท่ีเกิดขึ้นอยา่ งรวดเร็วในโลกยุคดจิ ิทลั สง่ ผลทำใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงอย่าง มากตอ่ พฤติกรรมในการใช้ชวี ิตรวมถึงการเรียนรู้ โลกแหง่ การเรียนรู้ได้พัฒนาไปอยา่ งมากจากการท่ีมี ระบบอินเทอร์เน็ตและการพัฒนาของเทคโนโลยี ดิจิทัล ระบบเครือข่ายความรู้ออนไลน์มีการ ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสรมิ การเรียนรูข้ อง ผู้เรียน และเข้ามามี ส่วนสำคัญในด้านข้อมูล เครื่องมือในการเรียนรู้ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์ให้กับ ผู้เรียน พฤติกรรมในการเรยี นรู้ของผเู้ รียนก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เน่อื งจากแต่ละคนเลือกที่จะเรียนรู้ หรือหาข้อมลู ตามความสนใจของ ตนเอง ผู้เรียนสามารถศึกษาหรือเรียนรู้ไดต้ ามทีต่ ้องการ ทั้งในส่วน ของเนื้อหา เวลา และสถานที่ ส่งผลให้การจัดการศึกษา จำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อสร้าง สภาพแวดล้อมและรูปแบบการเรยี นรู้ที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียนในยุคนี้ โดยมุ่งเน้นการจัดการ เรียนรู้ โดยยึดหลัก “โลกคือห้องเรียน” ผู้เรียนในยุคดิจิทัล ต้องพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และเกิดประโยชน์ สูงสุด ผู้สอนในยุคดิจิทัลจึงต้องปรับตัวให้เข้า กับการเรียนรู้ให้เท่าทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดเวลา ทั้งนี้ผู้สอนในยุคดิจิทัล ควรมีลักษณะเป็น E-Teacher ต้องพัฒนา ทักษะ บทบาทหน้าที่ มาตรฐานการใช้ส่อื ในการจัดการเรยี นรู้อยา่ งต่อเน่ือง เพือ่ ให้สามารถช้แี นะ สง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนเรียนรู้ได้ ด้วยตนเอง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดการทรัพยากรการเรียนรู้ร่วมกันและการสื่อสารการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้สื่อ สังคมออนไลน์ ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล ผู้สอน ต้องศึกษาและทำความเข้าใจในองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การเรียนรู้ในยุคดจิ ทิ ัล ผู้เรียนและผู้สอน ในยุคดิจิทัล การรู้ดิจิทัล การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อม ของการเรียนรู้ดิจทิ ัล และการประเมินผลการเรยี นรูใ้ นยุคดิจิทัล เพื่อที่จะบริหารจัดการให้เอื้อต่อการเรยี นรู้ของผู้เรียนใหม้ ี ประสทิ ธิภาพสงู สดุ 55

บทนํา ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยุค Analog ไปสู่ยุค Digital จึงทำให้ เทคโนโลยดี ิจทิ ัลมีอิทธพิ ล ต่อการดำรงชวี ติ เกดิ การเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อพฤติกรรมในการใช้ชีวิต รวมถึงการเรียนรู้ โลกแห่งการ เรียนรู้ได้พัฒนาไปอย่างมากจากการที่มีระบบอินเทอร์เน็ตและการ พัฒนาของเทคโนโลยีดจิ ทิ ัล สำหรบั ผเู้ รียนในยคุ ดิจิทลั องคค์ วามรู้ต่าง ๆ ไม่ไดห้ าได้เพยี งในห้องเรียน อย่าง เดียว รูปแบบการเรียนรู้และช่องทางใหม่ๆ ได้ถูกพัฒนาขึ้น อย่างมากมาย เกิดหลักสูตรอบรม ทางช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ในรูปแบบตามที่ผู้เรียนสนใจเฉพาะด้าน ซึ่งทำให้ ผู้เรียนสามารถ เข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น พัฒนาทักษะได้ ตรงตามที่ตนเองสนใจ สถาบันการศึกษามีการปรับ หลักสูตรและวิธีการสอนที่เน้นการเรียนรู้ให้เกิด ประสิทธิภาพ สามารถประยุกต์ใช้ได้จริง ความนิยม การ เรียนรู้นอกระบบมีมากขึ้น ผู้เรียนมองหารูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้เรียนได้ รวดเร็ว นอกจากนี้ยังเกิดนวตั กรรมการเรยี นรู้ใหม่ ๆ ท่ีสามารถตอบโจทย์และ รองรับการใช้งานอย่างเหมาะสมของคนแต่ละกลุ่ม เริ่มหันมาทำ Platform หรือหลักสูตร การเรียนรู้ ของตนเองหรือแชร์ข้อมูลองค์ความรู้ของตนเอง ผา่ นทางชอ่ งทางออนไลน์ทาง Platform ตา่ ง ๆ มาก ขึ้น เช่น Platform การเรียนรู้ที่เรียกว่า MOOCs ที่เปิดให้ ผู้เรียนสามารถเรียนได้จากที่ไหนก็ได้ใน โลก นอกจากนี้สื่อ สังคมออนไลน์และสื่อเพื่อการเรียนรู้เกิดขึ้นมากมาย ให้ ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า ตามเนื้อหาที่ตนสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความรู้รอบตัว ทักษะเฉพาะด้าน ไลฟ์สไตล์ วิชาและ ทฤษฎี ความรู้ด้านตา่ ง ๆ ทางช่องทาง เช่น Facebook, YouTube, Google, Instagram, Podcast เป็นตน้ สำหรับ Application ก็ยังคงมีหลากหลายที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ มากมาย ไม่ว่าจะสำหรับผู้สอน ผเู้ รยี น ผู้ท่ีสนใจเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ทว่ั ไป เชน่ Application ชว่ ยครูผ้สู อนจัดระบบการ เรียนการสอน นําเสนอองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ หรือ Application ที่ใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาช่วยส่งเสริมการ เรียนรู้ เปน็ ต้นจากสถานการณแ์ ละแนวโน้มการเปลีย่ นแปลงการเรียนรู้ของยคุ ผู้เรียนใหม่ เทคโนโลยีเปน็ ส่วน ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาและกระบวนการ เรียนรู้ตลอดชวี ิต ทำให้เกิดการ เรียนรู้แบบใหม่ ซึ่งเป็น โอกาสอันดีของผู้เรียนในการเลือกรูปแบบการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับตนเอง นําไปสู่พฤติกรรมและความต้องการการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาทักษะความรู้ในการทำงาน ทักษะชวี ิตและความรูใ้ นชวี ิตประจำวัน โดยวิธหี าความรเู้ พิ่มเตมิ จากส่อื ต่าง ๆ มากขึน้ ผเู้ รียนเกิดการ เรยี นรจู้ ากชีวติ จริงและจากกระบวนการคดิ มคี วามหลากหลายทางด้านปญั ญาและสามารถเรยี นรู้จาก สังคม โดยได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ลึกซึ้งมากขึ้นจากการลงมือ ปฏิบัติและการไดร้ ่วมทมี เรียนรู้ทำใหเ้ กิดการเรียนรูอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพพรอ้ มเผชิญปัญหาและสามารถ เลือกวิธีแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมเมื่อพิจารณาถึงการจัดการศึกษาในสถานศึกษาในปัจจุบัน สิ่งที่ ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล ห้องเรียนคงจะไม่ เพียงพอสำหรับ ผู้เรียนในยุคดิจิทัลอีกต่อไป เพราะแหล่งเรียนรู้ในโลกยุค ใหม่นั้น กว้างขวางและไร้ 56

พรมแดน ไร้ขีดจํากัดทั้งสถานที่ และเวลา โลกจึงเสมือนเป็นห้องเรียนห้องใหม่ที่ผู้เรียนสามารถเสาะ แสวงหาความรไู้ ดอ้ ยา่ งไม่รูจ้ บ การจัดการเรียนรูเ้ พือ่ พฒั นาผเู้ รยี นในยคุ ดจิ ิทัล การจดั การเรียนรู้ (learning management) ไมใ่ ช่เป็น เพียงการถา่ ยทอดเนื้อหาวิชา โดยใช้ วิธีการบอกให้จดจํา และนําไปท่องจําเพื่อการสอบเท่านั้น แต่การจัดการเรียนรู้เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีความหมายทีล่ ึกซึง้ กว่านัน้ กล่าวคือ วิธีการใดก็ตามที่ผู้สอนนํามาใชเ้ พื่อใหผ้ ู้เรียนเกิด การเรียนรู้ เรียกได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ใน ทัศนะ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี นฤมล ปภัสสรานนท์ ได้สรุปความหมายของการ จัดการเรียนรู้ ว่าหมายถึง การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้และประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และ ผู้เรียนสามารถนําความรู้ไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ ทั้งนี้เป็นการมุ่งพัฒนาผู้เรียนในทุก ด้าน ทั้งด้าน ร่างกาย อารมณ์ สงั คม สติปญั ญา เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นอยู่ในสงั คมอย่างมีความสขุ กระทรวงศึกษาธิการ สรุปความหมายของการจดั การเรียนรู้ว่าเป็นกระบวนการสาํ คัญในการ นําหลักสูตรสู่การปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตาม มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สมรรถนะสําคัญของผู้เรียนและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามทีก่ ําหนดไว้ในหลักสตู ร โดยยึดหลักวา่ ผู้เรียนมีความสําคัญที่สุดมอร์ (Moore) [3] ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ไว้ว่าการจัดการ เรียนร้คู ือพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งท่ีพยายามช่วยใหบ้ ุคคลอืน่ ได้เกิดการพัฒนาตนในทุกด้านอย่างเต็ม ศักยภาพและดันแคน (Hough & Duncan) [4] อธิบาย ความหมายของการจัดการเรียนรู้ว่าหมายถงึ กจิ กรรมของ บคุ คลซึ่งมหี ลักและเหตุผล เป็นกิจกรรมท่ีบุคคลได้ใช้ ความรขู้ องตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนนุ ให้ผู้อืน่ เกิด การเรียนรู้และความผาสกุ ดังนั้นการจัดการเรยี นรู้จึงเป็น กิจกรรมในแง่มุม ต่าง ๆ 4 ด้าน คือ 1. ด้านหลักสูตร (curriculum) หมายถึง การศึกษาจุดมุ่งหมายของการศึกษาความเข้าใจใน จุดประสงค์รายวิชาและการตั้งจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจนตลอดจนการเลือกเนื้อหาได้ เหมาะสมสอดคลอ้ งกบั ทอ้ งถนิ่ 2. ด้านการจัดการเรียนรู้ (instruction) หมายถึง การเลือกวิธีสอนและเทคนิคการจัดการ เรยี นรู้ท่ีเหมาะสมเพื่อช่วยใหผ้ เู้ รียนบรรลถุ ึงจุดประสงคก์ ารเรยี นรูท้ ี่วางไว้ 3. ด้านการวัดผล (measuring) หมายถึง การเลือกวิธีการวัดผลที่เหมาะสมและสามารถ วเิ คราะห์ผลได้ 4. ด้านการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ (evaluating) หมายถึง ความสามารถในการ ประเมินผลของการจัดการเรียนรู้ทั้งหมดได้จากความหมายดังกล่าว การจัดการเรียนรู้มีความหมาย 57

ครอบคลุมทั้งด้านวิธีการ กระบวนการและตัวบุคคล ดังนั้น จึงอาจสรุปความหมายของการจัดการ เรียนรู้ได้ว่า การ จัดการเรียนรู้คือกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน เพื่อที่จะทําให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของผู้สอนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญผู้เรียน จะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะนําพาตนเองไปสู้เป้าหมายของ หลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จําเป็นสําหรับผู้เรียน เช่นกระบวนการ เรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชญิ สถานการณ์และ แก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทําจริง กระบวนการ จัดการกระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนพัฒนา เพราะจะ สามารถช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรไู้ ด้ดี บรรลุเปา้ หมายของหลักสูตรดงั นนั้ ผู้สอนจงึ จําเปน็ ต้องศึกษา ทําความเข้าใจใน กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนา ทางด้านดิจิทัลส่งผลให้ พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เปลี่ยนไป ความรู้ใหม่ ๆ มากมายนอกห้องเรียนทําให้ผู้เรียนในยุคน้ี แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและดิจิทัลมีการพัฒนาไปอย่าง รวดเร็ว โลกดิจิทัลจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ใน ปัจจุบัน ระบบการศึกษาต้องปรับตัว ความรู้ใน ปัจจุบันมี มากมายและแสวงหาไดง้ ่ายขึ้น การเรียนรู้ในยุคนีจ้ งึ ไม่ใช่ การเรียนเพื่อท่องจําแต่เป็นเรียน เพ่ือรแู้ ละรู้เพื่อนําไปใช้ ต่อได้ สถาบันการศึกษาหลายแห่งจึงมีการปรับหลักสตู รและวิธีการสอนที่เน้น ไปที่การเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง มีการบูรณาการสาขาวิชาต่าง ๆ เข้า ด้วยกันผู้เรียนมองหารูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถตอบ โจทย์ความต้องการของผู้เรียนได้ รวดเร็ว เลือกเรยี นส่ิงท่ีตนเองสนใจไดท้ ันที ระบบการเรยี นรู้ทางออนไลนเ์ ขา้ มามีบทบาทมากขึ้นทําให้ สามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามที่ตนเอง สนใจ ภายใต้เวลาสถานที่ตามที่ตนเองสะดวก ดังนั้น เพื่อที่จะ พฒั นาผเู้ รียนให้มสี มรรถนะด้านดจิ ทิ ัล สามารถใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลในการแสวงหาข้อมูล ความรู้จากแหล่ง เรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางทั่วถึง ครูผู้สอนจึงต้องทําความเข้าใจธรรมชาติของผู้เรียนในฐานะเป็นพลเมืองดิจิทัล (Digital Native) เพื่อ ออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้เอื้อต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียนให้มากที่สุดจากผลสํารวจของ WEF Global เกี่ยวกับพลเมือง ดิจิทัล (Digital Native) โดยสํารวจออนไลน์ DQ Screen Time Test กับ ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย พบว่า พฤติกรรมของเด็กไทยส่วนใหญ่ใช้เวลาบนเวบ็ ไซต์มากกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 ชั่วโมง โดยเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนสูงสุด 73% [5]พลเมืองดิจิทัล (Digital Native) หมายถึง คนที่เกิดใน ยุคของการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ เทคโนโลยีดิจทิ ัล เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ (Smartphone) แท็บเล็ต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการส่อื สารทางออนไลน์ โดยมี พฤติกรรม ดังน้ี 58

1. มีการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่เสมอ (Social) มีการ เข้าเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, YouTube, Google, Instagram, Twitter เป็นประจําคอยอัปเดตเรื่องราวต่าง ๆ ด้วย พฤติกรรมการใชส้ ่อื สงั คมออนไลนน์ ้ี จงึ ใหค้ วาม รว่ มมือและสรา้ งความสมั พันธท์ ด่ี แี ละมีความเข้าใจใน คนอืน่ 2. มีความรู้ในการใช้งานอย่างถูกต้อง (Savy) นอกเหนือจากมีความรู้และเข้าใจการใช้ อินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดียังมีความฉลาดในการคิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งส่งผลทําให้มีการ ตัดสินใจท่ถี ูกตอ้ งภายใต้ สถานการณ์ที่เกดิ ขน้ึ 3. ระบคุ วามเส่ียงในการใช้งานได้อย่างปลอดภัย (Safety) สามารถระบุช่องทางออนไลน์ที่ไม่ เหมาะสมคํานึงถึงความเสี่ยงสามารถป้องกันภัยอันตรายก่อนที่จะมาสู่ตนเองและ ผู้อื่นพฤติกรรมของ พลเมืองดิจิทัลดังกล่าว ส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีภูมิคุ้มกันในการใช้อินเทอร์เน็ต ผู้สอนต้อง ปรับเปลี่ยน กระบวนการจดั การเรียนรู้ ตอ้ งออกแบบและ วางแผนการจดั การเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล ทําให้ “โลกคือห้องเรียน” ที่ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วสามารถอัป เดตสงิ่ ต่าง ๆ ได้ใน รปู แบบ Real-Time ซึง่ เป็นข้อมลู ที่ได้รบั การอัปเดตอยู่เสมอให้ทันต่อสถานการณ์ และการเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ และ เพื่อให้ผสู้ อนไดม้ ีการจัดการเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกบั ผูเ้ รยี นในยุคดิจิทัล ผู้เขียนขอนําเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง องคป์ ระกอบ ของการจัดการเรียนรู้ 7 องคป์ ระกอบ ดังรูปท่ี 1 59

การเรียนรูใ้ นยคุ ดิจิทัล การศกึ ษาในยคุ ดิจทิ ลั หลายประเทศทว่ั โลกกําลงั กา้ วขา้ มรปู แบบการเรยี นการสอนแบบเดิม ๆ ทีใ่ ช้ครูผ้สู อนเปน็ ศูนยก์ ลางมาเป็นการเรียนรใู้ นรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานการจดั การเรียนรู้ ในยุคนี้ถือว่าเป็นยุค ของ “โลกคือห้องเรียน” ซึ่งกําลังจะแปรสภาพจากอดีตที่ห้องเรียนเป็นเพียงแค่ หอ้ งส่ีเหล่ยี มเลก็ ๆ มคี รูผู้สอนทําหน้าท่ีเปน็ ผู้ถ่ายทอดวชิ าความรู้ให้กับผูเ้ รยี นเพยี งอย่างเดียวผู้เรียนก็ มีหน้าท่รี บั ความรู้จากผู้สอนซงึ่ แตกต่างจากปจั จบุ นั ท่เี ร่ิมมีการนําสื่อเทคโนโลยีเข้ามามสี ว่ นร่วมในการ ถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจสนใจใฝ่เรียนรู้สนุกสนาน กระตือรือร้นในการเรียนรูม้ ากขึ้นทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทลั หรือการรู้ ดิจิทัล (Digital Literacy) หมายถึง ทักษะในการนําเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บเล็ต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสารการปฏิบัติงาน และการทํางานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนา กระบวนการทํางาน หรือ ระบบงานในองค์กรให้มีความ ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ทักษะดังกล่าวครอบคลมุ ความสามารถ 4 มิติ ได้แก่ การใช้ (Use) เข้าใจ (Understand) การสร้าง (create) และเข้าถึง (Access) เทคโนโลยี ดิจทิ ัล ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพแมว้ ่าการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีสว่ นรว่ มในระบบการจัดการศึกษา นั้นจะทําให้ผู้เรียนมีแหล่งเรียนรู้ที่กว้าง ใหญ่ไพศาล มีความรู้มากมายหลากหลายให้ศึกษาเรียนรู้ สามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในเรือ่ งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง อย่างง่ายดาย แต่การที่ผูเ้ รียนจะเกิดการ เรียนรู้ผ่านการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ถี ูกตอ้ ง กต็ ้องอาศยั ผู้สอนที่เข้าใจ และมีความรใู้ นด้านการใช้ เทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ผู้สอนยัง จําเป็นต้องเป็นผู้สร้างบรรยากาศและเจตคติที่ดีต่อการ เรียนรู้ ให้ ผู้เรียนรู้จักเลือกศึกษาค้นคว้าข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้องเหมาะสมและมีวิจารณญาณ เพราะข้อมูล สารสนเทศที่เผยแพร่บนระบบอินเทอร์เน็ตนั้นมีทั้งข้อมูลที่ ถูกต้องและข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการ กลั่นกรอง ดังนั้นผู้สอน มีหน้าทีต่ ้องช้ีแนะให้ผูเ้ รียนได้รู้จกั การคิดวิเคราะห์ คิด อย่างมีระบบมีเหตุผล คิดสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ต่อการเรียนรู้สูงสุดเพื่อเอื้อตอ่ การเรียนรู้ในยคุ ดิจิทัลนั้น บทบาท ของผู้สอน ควรเปลี่ยนเป็นผู้อํานวยความสะดวกและชี้แนะแนวทาง เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งการ เรียนรู้อย่างทั่วถึงและเกิดการ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และบางครั้งผู้สอนอาจจะตอ้ งเปน็ ผู้ ร่วมเรียนร้ไู ป พร้อมกับผู้เรียนด้วย ดังนั้นผู้สอนในยุคนี้จึง ต้องมีคุณลักษณะที่เรียกว่า E-Teacher เช่น ต้องมี ประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้แบบใหม่โดยจัดการเรียน การสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและส่ือ เทคโนโลยี มีทักษะ ในการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อขยายองค์ความรู้ของ ตนเองตลอดเวลา มี ความสามารถในการถ่ายทอดหรือขยายความรู้ของตนเองสู่ผู้เรียนผ่านสื่อเทคโนโลยีได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีความสามารถในการเสาะหาและคัดเลือกเนื้อหาความรู้หรือเนื้อหาที่ทันสมัย เหมาะสมและเป็น ประโยชน์ต่อผู้เรียนผ่านทางสื่อเทคโนโลยี สามารถใช้สื่อ เทคโนโลยีอย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งในฐานะ ที่เป็นผู้ผลิตความรู้ ผู้กระจายความรู้ และผู้ใช้ความรู้ เป็น 60

ต้น สถาบันการศึกษาในทุกระดับ มีการปรับตัวและ เตรียมพร้อมในยุคดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ใน ดา้ นเทคโนโลยี แต่รวมถงึ การปรับตวั และปรับหลักสตู รเพื่อให้ผู้เรียนรุ่นใหม่สามารถพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะอาชีพในหลาย ๆ ด้านที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลได้ เช่น การ ปรับหลักสูตรการ เรียนรู้ให้บูรณาการระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆการเรียนโดยไม่จํากัดแผนการเรียนสามารถเลือกเรียนได้ ตามวิชาที่ตนสนใจ การเพิ่มวิชาการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี เข้าไปในหลักสูตรไม่ว่าจะเป็น AI Coding ใหผ้ เู้ รียนได้เลือก เรียน เปน็ ต้น จะเหน็ ไดว้ า่ การศกึ ษาทั้งในและนอกระบบ ต่างปรบั ตัวตามพฤติกรรม การเรียนรู้และบริบทที่เปลี่ยนไปในยุคดิจทิ ัลเปน็ ยุคแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวติ สําหรับทุกวยั ท่ีสามารถ แสวงหาความรูไ้ ด้จากท้ังทางออฟไลนแ์ ละออนไลน์ ผู้สอนในยคุ ดิจทิ ัล เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพล ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน อย่างมาก ครผู ู้สอน ควรตดิ ตาม ศึกษา และทําความเข้าใจแนวทางและพฒั นาการท่ีเกิดขึ้นอย่างรู้เท่า ทนั เพือ่ ทีจ่ ะนาํ เทคโนโลยีดจิ ทิ ัลไปประยุกตใ์ ช้ให้เป็นประโยชน์ในการจัดการเรยี นรู้ และพฒั นาผู้เรียน ให้มีความรู้ทางด้านไอทีและนําไปประยุกต์ใช้ในการดํารงชีวิตได้ ผู้สอนในยุคดิจิทัลจึงต้องปรับตัวให้ เข้ากับพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เท่าทันยุคสมัยที่ เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ต้องพัฒนาทักษะ บทบาทหน้าทมี่ าตรฐานการใชส้ ่ือในการสอนอย่างต่อเนื่อง เพือ่ ใหส้ ามารถชแ้ี นะและส่งเสริมให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลา โดยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนต้องเน้นการเรียนรู้ในห้องเรียน ออนไลน์ยุคใหม่ (MOOC) เป็น การศึกษาที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตการจัดการทรัพยากรการ เรียนรู้ร่วมกันและการสือ่ สารการแลกเปลี่ยนเรียนรโู้ ดยใช้สื่อสงั คมออนไลน์ ทงั้ นี้ผู้สอนในยคุ ดจิ ทิ ลั จึง ควรมีลักษณะเป็น E-Teacher ต้องพัฒนาทักษะ บทบาทหน้าที่ มาตรฐานการใช้สื่อในการสอนอย่าง ต่อเนื่อง เพ่ือให้สามารถชแี้ นะและส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ไดด้ ว้ ย ตนเองตลอดเวลา บทบาทของผู้สอน ในยุคดิจิทัลนั้น จะต้อง เป็นผู้สร้างสรรค์และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้สื่อเพื่อการศึกษาอย่างเป็น กระบวนการ ได้รับความรู้จากการศึกษาค้นคว้าที่ผู้เรียนได้ค้นคว้าด้วยตนเองอย่างแท้จริง โดยผู้เรยี น จะต้องมีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ขององค์ความรู้กับการค้นคว้า เข้าใจและรู้จักเลือกสรรข้อมูลที่มี อยู่อยา่ งมากมาย นาํ มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด นอกจากนัน้ ผสู้ อนต้องส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นรู้จกั แสวงหา ความรู้ไดด้ ว้ ยตนเองในการจดั การเรียนรู้ (Learning Management) ผสู้ อนเปน็ ผทู้ ่มี บี ทบาทสําคัญใน การวางแผนและออกแบบ การจัดการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ในบริบทของสังคม โลกในยุคดิจิทัล ต้องปรบั เปลย่ี นเพื่อให้รองรับการเรียนรู้ใน รปู แบบใหม่ ตอ้ งมีการทาํ ระบบการเรยี นรู้ท่คี าํ นึงถึงผู้เรียน เป็นสําคัญ เช่น การออกแบบระบบการเรียนให้รองรับอุปกรณ์ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งบน คอมพิวเตอร์และ สมาร์ทโฟน การใช้ระบบ Data และ Tracking ผู้เรียนรายบุคคล เพื่อติดตามว่า ผู้เรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียน มากน้อยแค่ไหน รวมถึงการดึงเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการ 61

วางแผนเพื่อปรับปรงุ ระบบการเรียนการสอนให้ดยี ่ิงขึน้ การเปดิ ช่องทางให้ผเู้ รียนสามารถถามคําถาม ที่สงสัย เกี่ยวกับเนื้อหา และการมีช่องทางให้แจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อพบปัญหาการใช้งานระบบการเรียน ผูส้ อนในยคุ ดจิ ทิ ลั จะตอ้ งปรบั เปล่ยี นบทบาทหน้าทีใ่ ห้สามารถจัดการเรยี นรู้ให้กับผู้เรยี นในยุคดิจิทัลได้ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังนี้ 1. สอนโดยยดึ ผู้เรยี นเป็นสาํ คัญ คอื ครทู าํ หนา้ ที่เปน็ ผชู้ ่วยเหลือสนับสนนุ ใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาตน ได้เต็มศักยภาพ โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ เครื่องมอื ชว่ ย 2. สง่ เสรมิ การเรยี นรตู้ ลอดชีวติ โดยใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศเป็นผชู้ ว่ ย คอื ผู้สอนตอ้ งฝึกนิสัย ใหผ้ เู้ รียนรัก การเรียนรู้ รักการค้นควา้ และการปรบั เปลย่ี นความคดิ ได้ตามเหตแุ ละผล 3. ผู้สอนต้องทําหน้าที่เป็นผู้จัดการสารสนเทศและการ จัดการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ อย่างเหมาะสม 4. ผูส้ อนตอ้ งสร้างให้ผูเ้ รยี นร้อู ยา่ งเทา่ ทนั กับส่ือ เทคโนโลยสี ารสนเทศ 5. ผู้สอนต้องสร้างสมรรถนะให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน คือ ความสามารถด้านไอทีที่จําเป็นให้มี ความรู้ ทักษะ ความคิด การสื่อสาร เพื่อให้สามารถอยู่ได้ในสภาวะการดํารงชีวิต และการทํางาน ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม 6. พัฒนาผู้เรียนให้พร้อมที่จะรับบทบาทใหม่ ๆ ใน สังคมโลกาภิวัตน์ ให้เตรียมตนเอง ตลอดเวลาแม้ว่าการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสําคัญ อย่างมาก แต่การอบรมสั่งสอนของ ครูผู้สอนในด้าน คุณธรรม จริยธรรม จะต้องมีควบคู่กันไปตลอดเวลา ในการ ช่วยเตรียมให้ผู้เรียนมี ความพรอ้ มในการปรบั ตวั เพอ่ื การดํารงชีวิตอยู่อย่างเหมาะ สมกับลกั ษณะที่เป็นไปในสงั คม แวดลอ้ มท่ี เปลี่ยนแปลงไป ครูผู้สอนต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพราะความรู้และเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงเรว็ และลา้ สมัยเร็วเชน่ กนั ผ้เู รียนในยคุ ดจิ ิทลั ผู้เรยี นในยุคดิจทิ ัลสว่ นใหญ่ ประกอบดว้ ยคนใน 3 ร่นุ (Generation) ได้แก่ 1. Generation Y หรือ Gen Y คือคนท่ีเกดิ ระหวา่ งปี พ.ศ.2524 - 2543 คอื ช่วงท่ีวิวัฒนาการ ด้านเทคโนโลยีเริ่ม เข้ามาและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ คน Gen Y จึงเกิดมาพร้อมกับยุคเทคโนโลยีที่ เพยี บพรอ้ มทงั้ อุปกรณ์ไอทแี ละอินเทอรเ์ น็ตเข้าถงึ ข้อมูลตา่ ง ๆ ได้ง่ายและรวดเรว็ ด้วยสภาพแวดล้อม ที่ เกิดมาท่ามกลางเทคโนโลยีทําให้คนรุ่น Gen Y มี ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะใช้ ทํางานติดต่อสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกันการให้ความสําคัญกับ สังคมรอบข้างก็น้อยลง โดยไปเพ่ิ ม ความสําคัญในโลกไซเบอร์แทน นอกจากนี้ลักษณะนิสัยของคนกลุม่ นี้ กล้าแสดงออก กล้าแสดงความ คิดเห็น มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ชอบความท้าทาย มีค่านิยมที่ต่างจากคนรุ่นก่อนทั้ง ในเรื่องการ ดําเนินชวี ติ และการทาํ งาน 62

2. Generation Z หรือ Gen Z คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 - 2552 เป็นคนรุ่นที่เกิดมา โดยถูกแวดล้อมไป ด้วยเทคโนโลยี มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว คนรุ่น นี้เป็นกลุ่มที่มีการเข้าถึง อินเทอร์เน็ตและข้อมูลต่าง ๆ ในระดับที่สูงมาก ชอบอะไรที่ สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ทําให้รับรู้เร็ว เนื่องจากใช้เวลาอยูบ่ น โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียเป็นส่วนใหญ่ เรียกได้ ว่าเป็น พื้นเมืองดิจิทัล (Digital Native) ส่งผลให้เติบโตมาพร้อม ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล จาํ นวนมากในเวลาอัน รวดเร็ว Gen Z จึงเขา้ สูว่ ยั ผใู้ หญ่รวดเร็วกวา่ Generation อื่น ๆ หรือสิ้นสุดวัย เด็กตอนอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น ทําให้ กลายเป็นกลุ่มที่มีความซับซ้อนและแตกต่างจากคนรุ่นใน ยุค กอ่ น เนือ่ งจากเติบโตมาในยคุ ของข้อมลู ขา่ วสาร 3. Generation Alpha หรือ Gen Alpha กลุ่มคนนี้จะ เกิดในช่วงปีพ.ศ. 2553 เป็นต้นไป หรือ Gen Alphaนั้นจะ เกิดในช่วงศตวรรษที่ 21 นั่นเอง จึงเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุน่ ใหม่ Gen Alpha เกิดในสภาพแวดล้อมใหม่ การ ติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จากผลการ สํารวจ ประชากรโลก ในปี 2558 นั้น มีจํานวนคนกว่า 2.5 ล้านคนเกิดในทุกสัปดาห์ทั่วโลก ดังนั้น Gen Alpha จึงมแี นวโนม้ วา่ จะมปี ระชากรกว่า 2 พนั ลา้ นคนภายในปี พ.ศ. 2568 ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการเรียนรู้หรือ ที่เรียกว่า สมรรถนะของผู้เรียน (Competency-Based) ต้องได้รับการพัฒนาให้เกิดขึ้น เป็นสมรรถนะทางดิจิทัล และสารสนเทศ สง่ ผลต่อการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพสูงสุด ทางการเรียนในบรบิ ทแห่งสังคมยุคดิจทิ ัล ดังรปู ท่ี 2 รปู ที่ 2 สมรรถนะทางดิจิทลั และสารสนเทศที่พฒั นาโดย มหาวิทยาลยั ออ๊ กฟอร์ด บรคู๊ สโคนลั เซเว่น พิลลาร์ SCONUL’s Seven Pillars [7] 63

ผูเ้ รยี นในยคุ ดิจิทัล จะตอ้ งมคี ุณลกั ษณะดงั นี้ 1. ต้องมีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงต้องมีความสนใจใฝ่ รู้ที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ โปรแกรมต่าง 2. ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแยกแยะหาความรู้หรอื ศึกษา เกี่ยวกับสิ่งตนเองสนใจ เช่น สนใจทางด้าน การผลติ ส่อื หรอื สนใจด้านการใช้โปรแกรม เปน็ ต้น 3. ตอ้ งรู้จักสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับดา้ นการใชไ้ อซีที 4. ตอ้ งสามารถเขา้ ถงึ ความร้เู กี่ยวกบั ไอซีทีได้อย่างเหมาะสม 5. สามารถเปรียบเทียบและประเมินค่าของการใชไ้ อซี ทไี ดอ้ ย่างเหมาะสม 6. สามารถจดั การบรหิ ารและประยุกตใ์ ช้ไอซที ีได้อยา่ งเหมาะสม 7. สามารถท่จี ะสงั เคราะห์และสรา้ งสรรค์นวตั กรรม หรอื สิง่ ใหม่ ๆ ข้ึนมาได้ การรู้ดิจทิ ัล การรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) หมายถึง ความรู้ ความ เข้าใจในการใช้เครื่องมือทางเทคนิค และเกี่ยวข้องกับความรู้ความสามารถพื้นฐานในการใช้ในการทํางานกับเทคโนโลยีสารสนเทศและ เครือข่ายสารสนเทศ ได้แก่ ความสามารถในการค้นคืน การจัดการ การแบ่งปัน รวมถึง การสร้าง สารสนเทศและความรู้ ทักษะการเรียนรู้ในการทํางานกับสารสนเทศที่นําเสนอผ่านคอมพิวเตอร์ใน รูปแบบและจากแหล่งที่หลากหลาย ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และ ทักษะทางด้านอารมณ์และทาง สงั คม โดยการมีตรรกะการคิดทีถ่ ูกต้องและไม่ใชอ้ ารมณ์แตใ่ ห้ความสำคญั กับเนื้อหา นอกจากนยี้ งั ต้อง มีการมีทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการ สื่อสาร การร่วมมือกับผู้อื่น รวมถึงมีการตระหนักด้าน จรยิ ธรรมและมารยาทบนอนิ เทอรเ์ น็ต การรดู้ จิ ิทัล ทําให้เกดิ ทักษะตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วข้องสัมพันธ์ กัน ดังน้ี 1. การรู้สื่อ (Media Literacy) การรู้สื่อสะท้อนความสามารถ ของผู้เรียนเกี่ยวกับการเข้าถึง การวิเคราะห์ และการผลติ สือ่ ผ่าน ความเขา้ ใจและการตระหนกั เกย่ี วกบั 1) ศิลปะ ความหมาย และการส่งขอ้ ความใน รปู แบบตา่ ง ๆ 2) ผลกระทบและอทิ ธิพลของส่ือมวลชนและ วัฒนธรรมที่เป็นท่นี ยิ มผลิตขน้ึ 3) สื่อขอ้ ความถูกสร้างข้ึนอยา่ งไรและทําไมถึงถกู 4) ส่อื สามารถใชใ้ นการสอ่ื สารความคดิ ของเราเองได้อยา่ งมีประสิทธิภาพได้อยา่ งไร 2. การรู้เทคโนโลยี (Technology Literacy) ความชํานาญ ในเทคโนโลยีส่วนใหญ่มักจะ เกี่ยวข้องกับความรู้ดิจิทัล ซึ่งครอบคลุมจากทักษะคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานสู่ทักษะที่ ซับซ้อนมากข้ึน เชน่ การแกไ้ ขภาพยนตรด์ จิ ทิ ัล หรือการ เขียนรหัสคอมพิวเตอร์ 3. การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) การรู้ สารสนเทศเป็นอีกสิ่งที่สําคัญของการรู้ ดิจิทัลซึ่งครอบคลุมความสามารถในการประเมินว่าสารสนเทศใดที่ผู้เรียนต้องการการรู้วิธีการที่จะ 64

ค้นหาสารสนเทศที่ต้องการออนไลน์ และการรู้ การประเมินและการใช้สารสนเทศที่สืบค้นได้ การรู้ สารสนเทศถูกพัฒนาเพื่อการใช้ห้องสมุด ยังสามารถเข้าได้ดีกับยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคที่มีข้อมูล สารสนเทศออนไลน์มหาศาลซึ่งไม่ได้มีการกรอง ดังนั้นการรู้วิธีการคิดวิเคราะห์ เกี่ยวกับแหล่งที่มา และเน้ือหานับเป็นสง่ิ จําเปน็ 4. การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy) การรู้ เกี่ยวกับสิ่งที่เห็นสะท้อนความสามารถ ของผู้เรียนเกี่ยวกับความเข้าใจการแปลความหมายสิ่งที่เห็นการวิเคราะห์การเรียนรู้การแสดงความ คิดเห็น และความสามารถในการใช้สิ่งที่เห็นน้ันในการทํางานและการดํารงชีวิตประจําวันของ ตนเอง ได้ รวมถงึ การผลติ ขอ้ ความภาพไมว่ า่ จะผ่านวัตถกุ ารกระทาํ หรอื สัญลักษณ์ การรู้เกย่ี วกบั ส่ิงที่เห็นเป็น ส่ิงจําเปน็ สาํ หรบั การเรียนร้แู ละ การสอ่ื สารในสงั คมสมยั ใหม่ 5. การรู้การสื่อสาร (Communication Literacy) การ รู้การสื่อสารเป็นรากฐานสําหรับการ คิด การจัดการ และ การเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ในสังคมเครือข่าย ปัจจุบัน ผู้เรียน ไม่เพียงจําเป็นต้อง เข้าใจการบูรณาการความรู้จากแหล่ง ต่าง ๆ เช่น เพลง วิดีโอ ฐานข้อมูลออนไลน์ และสื่ออื่น แต่ยัง จําเป็นตอ้ งร้วู ิธกี ารใช้แหล่งสารสนเทศเหล่านั้นเพ่ือเผยแพร่และแลกเปล่ียนความรู้ 6. การรู้สังคม (Social Literacy) การรู้สังคมหมายถึง วัฒนธรรมแบบการมีส่วนร่วม ซึ่งถูก พัฒนาผ่านความร่วมมือและเครือข่าย เยาวชนต้องการทักษะสําหรับการทํางานภายในเครือข่ายทาง สังคม เพื่อการรวบรวมความรู้ การเจรจาข้ามวัฒนธรรมที่แตกต่าง และการผสานความขัดแย้งของ ขอ้ มูล 7. การออกแบบการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล การออกแบบการเรียนรู้เป็นขั้นตอนหนึ่งของการ จัดการเรียนรู้ที่มีความจําเป็นและมีความสําคัญยิ่งต่อการ เสริมสร้างประสิทธิภาพทางการเรียนของ ผู้เรียน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการเรียนจากการใช้เทคโนโลยีแบบพกพา (Mobile Learning) ซึ่งเป็นสื่อ เทคโนโลยีที่เป็นที่นิยมกันทั่วไปใน ปัจจุบัน สอดคล้องกับ กูกัลก้า ฮูล์ม และแทร็กเลอร์ (Kukulska- Hulme and Traxler) ในเรอ่ื งของการออกแบบ การเรยี นรใู้ นยุคดิจิทัล ดังนี้ 1. การออกแบบเนอ้ื หา (Design of Content) โดยคํานงึ ถึง องคป์ ระกอบ ดังน้ี 1) การออกแบบเนื้อหาสําหรับผูเ้ รียน (Learner- Centre Content) จะเน้นไปในสร้างสรรค์ ให้ผ้เู รยี นเกิด การเรียนรไู้ ดด้ ้วยตัวเอง 2) การออกแบบเนื้อหาสําหรับบุคคลท่ัวไป (Personalized Content) ผู้เรียนมีความคิดเหน็ ถึงการ ออกแบบเนื้อหาสําหรับบุคคลทั่วไปว่าการออกแบบเนื้อหา สําหรับคนทั่วไปนั้นไม่เน้น รายละเอียดท่เี ปน็ เน้อื หาเชิง วชิ าการมากนัก แต่เน้นการแบง่ ปันความรู้และแลกเปล่ยี น เรยี นรู้กัน 3)cความทนั สมยั และเปน็ ปัจจุบนั ของเน้ือหา (Update Content) จะต้องมคี วามทันสมัยและ เป็นปจั จุบันตลอดเวลาเพือ่ ให้ผเู้ รียนไดเ้ พม่ิ พนู และกา้ วทนั ความร้ใู หม่ ๆ 65

4) การจัดแบ่งช่วงเวลาการใช้เนื้อหา (Time or Scheduled Content) ควรคํานึงถึงการ จัดแบ่งชว่ งเวลา ของการใชเ้ นือ้ หาใหม้ ีความเหมาะสม กับวัย เพศ อายุของผเู้ รียน 5) การสื่อสารเชิงวนเนื้อหา (Aural Content) ควรใช้ภาษาเขียนมาทําการเรียบเรียงให้เป็น ภาษาหรือขอ้ ความทเี่ ข้าใจงา่ ย มีความเหมาะสม ไมย่ ดื เย้ือจนหาเนอ้ื หาความรู้ไม่ได้ 6) ความยืดหยุ่นของเนื้อหา (Flexible Content) ควรใช้เนื้อหาที่มีความเหมาะสมไม่ตึง เครยี ด ควรเพมิ่ ทางเลือกให้กับผู้เรียนในการสอบถามหรือให้ความคิดเห็นได้ และการออกแบบเน้ือหา ไมค่ วรมแี ค่ตัวอักษรอยา่ งเดียว แต่ควรมภี าพหรอื สที แี่ สงให้เหน็ ถงึ ความน่าสนใจมากข้นึ 2. การออกแบบกิจกรรมทางการเรยี น (Design of Activities) แบง่ ออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) พฤติกรรมทางการเรียน (Behaviorist Learning) หมายถึง ความสนใจในเนื้อหา การ แสดงออกหรือลักษณะของผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญที่แสดงออกให้เห็นต่อกิจกรรม หรือเนื้อหา ดังน้ัน การออกแบบกิจกรรมทางการเรยี น จะตอ้ งคํานึงถึงช่วงอายุของผู้เรยี นและคาํ นึงถึงสงิ่ ที่จะเป็นมิตรต่อ ผูเ้ รียนในแตล่ ะชว่ งอายุ 2) การสร้างสรรค์ทางการเรียน (Constructivist Learning) การออกแบบกิจกรรมในการ เรียนรคู้ วรเปน็ ไป อยา่ งสรา้ งสรรค์ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นคดิ และ มคี วามรับผดิ ชอบ ต่อตนเองและ สว่ นรวม มากขนึ้ นอกจากนี้ในการออกแบบกจิ กรรมควรเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนร้ผู า่ นการเช่ือมโยงเนื้อหา ใหม่ ๆ เข้ากับประสบการณ์ในชีวิต หรอื สถานการณ์รอบตวั ของแตล่ ะคน 3. การออกแบบกระบวนการส่ือสาร 1) การออกแบบกระบวนการสื่อสารเป็นสิ่งที่สําคัญของการออกแบบการเรียนการสอนในยุค ดิจิทัล เพราะ ภาษาเขียนอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของการสื่อสารใน ปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มจะใช้ การสื่อสารผ่านรปู ภาพมากขึ้น รวมทั้งการทําการสอนทีต่ ้องอาศัยการตอบโต้กันผ่านทาง หน้าจอ ซึ่ง ผู้สอนจะต้องใชเ้ ครื่องมือที่มีอยู่ เพื่อออกแบบ ของเนื้อหาและ กระบวนการส่ือสาร เพื่อให้ผู้เรยี นเกิด ความเข้าใจและ สามารถตอ่ ยอดความคดิ ได้ 2) มีระบบการจัดการเก็บรวบรวมสารสนเทศทั้งใน รูปแบบของภาพและเสียง และคัดเลือก ทรัพยากรที่มีและนํามาใช้อย่างเหมาะสมโดยจะส่งผลให้การเรียนรู้มีความ น่าสนใจ น่าติดตามไม่ทํา ใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความเบ่ือหนา่ ย องค์ประกอบทสี่ าํ คัญของการจัดการเรยี นรู้ในยุคดิจิทลั 3 ส่วนที่สําคัญนี้ เป็นปัจจัยสําคัญต่อการเสริมสร้าง ศักยภาพและความสามารถทางการเรียนของผู้เรียนในสังคมยุคท่ี ทุกคนต่างเรียกว่า สังคมไร้สายที่สามารถ เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สังคมแห่ง ยุคดิจิทัล (Digital Age) เมื่อองค์ประกอบของการสร้างรูปแบบของการสอนครบถ้วน สิ่งที่ขาดไม่ได้ เลยสําหรับ ครูผู้สอนคือ ความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยใี หม่ ๆ เพื่อนํามาปรับเปลี่ยนและปรบั ใช้กับการสอนได้อย่างต่อเนื่องพยายามมองหาวิธีถ่ายทอดและเสริมทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มี ประสิทธภิ าพมากข้นึ 66

3) การจัดสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ในยคุ ดจิ ทิ ัล การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ต่อผู้เรียนเป็นสิ่งท่ีจําเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล ซ่ึงเป็นยุคแห่งความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมทางด้านเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจําวันของมนุษย์ เป็นอย่างมาก การ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมที ักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 จึงมีความสําคัญ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างเยาวชนใน ยุค ใหม่ให้มีความพร้อมกับการดํารงชีวิตในโลกปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการจัด สภาพแวดล้อมการ เรียนรู้ที่เอื้อต่อการส่งเสริมทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จะเป็นเครื่องมือสําคัญในการทําให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวคดิ ของ นํา้ ทพิ ย์ องอาจวาณิชย์ ท่ีได้กล่าวถึง สภาพ แวดล้อมในการเรียนรู้ศตวรรษที่ 21 ไว้ว่า ถือเป็นระบบการ สนับสนุนที่จัดการเงื่อนไขในการ เรียนรู้ของมนุษย์ท่ดี ที ี่สุด ช่วยสนบั สนุนความสมั พนั ธข์ องมนุษย์ในทางบวกสาํ หรับการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพสําหรับการเรียนในระบบออนไลน์นั้น ควรจัดให้ทั้ง ผู้สอนและผู้เรียนมีสื่ออุปกรณ์ เทคโนโลยที ี่ทันสมัย เอื้อให้ ทั้งผู้เรียนและครูผู้สอนสามารถเข้าถงึ และใช้อนิ เทอร์เน็ตได้ อย่างสะดวก ในด้านการเข้าถึงเทคโนโลยี ควรจัดให้มีระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ผู้เรียนสามารถใช้ได้ทั้งใน ห้องเรียน และนอกห้องเรียน ทําให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนมี โอกาสได้เรยี นรูด้ ว้ ยตนเองโดย การทดลอง ค้นคว้า ปฏบิ ัติจรงิ รวมท้งั ส่งเสริมการเรียนรู้ ร่วมกับผู้อื่น ร้จู ักเรยี นร้รู ่วมกันเปน็ กลุ่ม เปน็ แหล่งสําหรับ กลุม่ ผู้สนใจในเรอ่ื งคลา้ ยกันได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เช่น การจัดพื้นที่การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ให้เป็น พื้นที่การเรียนรู้สําหรับผู้สนใจทางด้าน วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีโดยสามารถเข้าศกึ ษาด้วยตนเองเพิ่มเติม ให้มีการจัดเตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ การรวบรวมส่อื การเรยี นรู้ท่ีมีมาตรฐานใหผ้ ู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดว้ ยตนเองและ สามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่างกัน ขยายโอกาสการ เรียนรู้เชื่อมโยงผู้คน ข้อมูลข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้สู่ทุก คน อย่างเท่าเทียมเพื่อให้นักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษาผู้ปกครองและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึง แบง่ ปนั และเรยี นรู้ ไดท้ ุกที่ในทุกเวลา สําหรบั หอ้ งเรียนไอซีทีในยุคดิจทิ ลั การจดั ห้องเรียน สาํ หรับการเรยี นร้ไู อซีทคี วรแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื ห้องเรียนคอมพวิ เตอร์ ห้องเรียนอัจฉรยิ ะ และห้องเรียน อเี ลิร์นนงิ่ โดยให้ความสําคัญ และความจาํ เป็นทมี่ ีตอ่ การใช้ หอ้ งเรยี นดจิ ทิ ัล ดังนี้ 1. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดการเรียนการสอน ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Learning by Information Technology) 2. เพือ่ ปรับเปล่ยี นกระบวนทศั น์ทางการเรยี น (Learning Paradigm Shift) 3. เพื่อจําแนกคัดกรองการใช้สื่อดิจิทัลระหว่างครู กับนักเรียน (Digital Divide between Educators and Students) 4. เพื่อเปน็ การใชเ้ ทคโนโลยีชั้นเรียนเชงิ ปฏิสัมพนั ธ์ (Interactive Classroom Technologies) 67

นอกจากการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพดังกล่าว การ จัดสภาพสิ่งแวดล้อมของการเรียนในยุค ดจิ ิทลั ควรมีลักษณะดังน้ี 1. มีการพัฒนาเครือข่ายความรู้เชิงบูรณาการและผสมผสานกันให้มีความน่าสนใจและเพ่ิม จาํ นวนมากขึ้น 2. ปรับปรุงและพัฒนาแนวคดิ ในการสรา้ งผูเ้ รยี นให้มีคุณลักษณะตรงกบั การเรยี นยุคใหม่ โดย การเพ่ิมประสิทธภิ าพในดา้ นการสร้างตัวแบบทางการเรยี น 3. สร้างผเู้ รยี นใหเ้ กิดทกั ษะในการแสวงหาความรู้ หรอื สร้างองค์ความรจู้ ากประสบการณ์และ ส่งิ ทีเ่ รยี นรทู้ ง้ั ในหอ้ งเรยี นและนอกห้องเรยี น 4. หลอมรวมองค์ความรู้ในเนื้อหาของหลักสูตรการ เรียนให้เกิดขึ้นทั้งกับผู้เรียนและกลุ่ม เครือข่ายการเรียนรู้ 5. สร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะของนักวางแผนทางการ เรียนได้ด้วยตนเองและเชื่อมโยง ความสามารถในการเช่ือมโยงความรูจ้ ากเครอื ข่ายภายนอก 6. กําหนดกลยุทธ์หรือวิธีการสร้างกรอบแนวคิดเพื่อ การออกแบบเรียนที่ยืดหยุ่นสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ สังเคราะห์และบูรณาการเชิงพฤติกรรมเพ่ือสร้างกิจกรรม ทางการเรียนที่ส่งผลต่อ ประสิทธภิ าพการเรียนรู้ 9. การประเมินผลการเรียนรู้ดิจิทัล สําหรับการประเมินผลการเรียนรู้ดิจิทัลนั้น ควรยึด หลักการ ประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในระหว่างการ ประเมินที่เสริมพลังตามสภาพจริง หรือเรียกว่า Empowerment Evaluation เป็นการประเมินที่ให้ความสําคัญกับการนําผลการประเมินมาพัฒนา ผู้เรียนและปรับปรุงการ จัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ควรประเมินให้ ครอบคลุมทั้งด้าน กระบวนการเรียนรู้หรือที่เรียกว่าProcess assessment ผลการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Product assessmentและความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Progress assessment แล้วนําผลการ ประเมินไปใช้ในการพัฒนาผูเ้ รียนเป็นรายบุคคลต่อไป การ ประเมินผลการเรียนร้จู ะเนน้ การให้ผู้เรียน ประเมินตนเอง มากขึ้น ผู้เรียนได้สะท้อนความคิดและถอดบทเรียนนําไปสู่การพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเน่อื ง การประเมนิ ผลการเรียนรู้ดจิ ทิ ลั จึงควรให้ความสําคัญกับการเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นท่ี ทักษะใน การประเมินตนเองมากยิ่งขึ้น ในการประเมินผลการเรียนรู้ดิจิทัล ผู้สอนควรยึด หลักการในการ ประเมนิ ผู้เรยี น ดังนี้ 1. ใหผ้ เู้ รียนทราบผลการประเมินและข้อมลู ยอ้ นกลับ (feedback) อย่างรวดเรว็ 2. สนับสนุนการวัดและประเมินเพื่อพัฒนาคุณภาพ ของผู้เรียน (assessment) บนพื้นฐาน แนวคดิ การประเมนิ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 3. สนบั สนนุ การประเมินการเรยี นรู้ให้มีความหลากหลาย 68

4. เลือกเวลาและสถานที่ในการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ อย่างเหมาะสม การให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดี ที่จะทําให้ผูเ้ รยี น เกิดการเรียนรูแ้ ละพัฒนาขึน้ นั้น ผู้สอนควรให้ข้อมูล ย้อนกลับเกี่ยวกับกระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียนผลการเรียนรู้ จุดแข็ง จุดที่ควรปรับปรุงและที่สําคัญคือการชี้แนะแนวการปรับปรุง และพฒั นาตนเองของผู้เรยี นรายบุคคล สรปุ ปัจจุบันโลกแห่งการเรียนรู้ได้พัฒนาไปอย่างมากจาก การที่มีระบบอินเทอร์เน็ตและการ พัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล สําหรับผู้เรียนในยุคดิจิทัล องค์ความรู้ต่าง ๆ ไม่ได้แสวงหาได้เพียงใน ห้องเรียนเท่านั้น รูปแบบการเรียนรู้และแหล่งเรียนรูใ้ หม่ ๆ ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย โลกดิจิทลั จึงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในปัจจุบันการศึกษาในยุคดิจิทัล หลายประเทศทั่วโลกกําลังก้าวข้าม รูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ ที่ใช้ครูผู้สอนเป็น ศูนย์กลาง มาเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ท่ี ใช้เทคโนโลยี เป็นฐาน การจัดการเรียนรู้ในยุคนี้ถือว่าเป็นยุคของ “โลก คือห้องเรียน” มีเทคโนโลยี เป็นสื่อกลางองค์ความรู้จาก แหล่งความรู้ต่าง ๆ ทั่วโลก ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารและ ความรู้ท่ีหลากหลายได้อยา่ งกวา้ งขวาง รวดเร็วทันเหตกุ ารณ์ ผู้เรียนต้องพัฒนาทักษะการรู้ดจิ ทิ ัลเพ่ือ เพิ่ม สมรรถนะการเรียนรู้ในยุคสมัยนี้ เพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ใน ยุคดิจิทัล บทบาทของผู้สอนต้อง เปลี่ยนเป็นผู้อํานวยความ สะดวกและชี้แนะแนวทางเพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งการ เรียนรู้อย่างทัว่ ถงึ และเกดิ การเรียนร้ไู ด้ดว้ ยตัวเอง ดงั น้ันผู้สอนในยุคน้ีจงึ ตอ้ งมีคุณลักษณะที่เรียกว่า E-Teacher จึงเป็น ความจําเปน็ สาํ หรบั ผสู้ อนในการจัดการเรยี นรู้ในยุค ดจิ ิทลั ท่ีจะต้องปรบั เปล่ยี นองค์ประกอบของการ เรียนรู้ ต่าง ๆ ของผ้เู รียน ทงั้ การปรบั เปลีย่ นกระบวนทัศนใ์ นเร่ือง การเรยี นรใู้ นยุคดิจิทัล ผู้เรียนและ ผู้สอนในยุคดิจิทัล การรู้ดิจิทัล การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อม ของการเรียนรู้ ดิจิทัล และการประเมินผลการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพ สงู สดุ 69

เอกสารอ้างอิง ภาษไทย นฤมล ปภสั สรานนท์, 2558, “การจัดการเรียนรู้” เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการจัดการเรียนรู้ และการ จัดการชั้นเรียน, คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏธนบรุ ี, (เอกสารอดั สาํ เนา) กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, แนวทางการจดั การเรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551, โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตร แหง่ ประเทศไทยจํากัด, กรุงเทพฯ Beetham H. and Sharpe, R., 2013, สมรรถนะทาง ดิจิทัลและสารสนเทศ , ที่พัฒนาโดย มหาวิทยาลยั อ๊อก ฟอรด์ บรุ๊ค ชื่อ สโคนัล เซเวน่ พลิ ลาร์ (SCONUL’s Seven Pillars), หน้า 295. [8] พรชนิตว์ ลีนาราช, 2560, “ทักษะการรู้ดิจิทัลเพื่อ พัฒนาคุณภาพการเรียน”, วารสารหอ้ งสมุด, ปที ี่ 61, ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม 2560), หน้า 81. 70

บทที่ 5 การจัดการเรียนรสู้ ำหรบั ผู้เรยี นในยคุ Thailand 4.0 ปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ซึ่งขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมไปสู่ความ “มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน” เน้นภาคการผลิตไปสู่ภาค บริการมากขึ้นและประชากรมีรายได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยจะต้องมีการสร้างนวัตกรรม เป็นของตนเอง ดังนั้น การศึกษาจึงต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อก้าวเข้าสู่ “การศึกษา 4.0” อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกันการศึกษาในยุค Thailand4.0 ไม่ใช่เป็นเพียงการให้ ความรู้กับคนหรอื ผูเ้ รียนเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ กล่าวคือ ในการเรียนรูใ้ ด ๆ ก็ ตาม นอกจากความรู้ที่ผูเ้ รยี นจะได้รับแล้ว ผู้เรียนจะตอ้ งได้รบั การพัฒนาทักษะที่สำคัญในการดำเนนิ ชีวิตไปด้วย และการจะก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นอกจากการ ปรับปรุงเรื่องของหลักสูตร ตำรา และบทบาทของครูผู้สอนแล้ว เราก็ควรจะต้องส่งเสริมทักษะแห่ง อนาคตให้กับผู้เรียนด้วย เพราะเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและ สงั คมในอนาคต ซง่ึ ทักษะท่ีสำคัญเหล่าน้ีได้แก่ ทักษะการคิดเชิงบริหาร ทักษะการใช้ Internet ทักษะ การคิดวิเคราะห์ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณทักษะการแก้ปัญหาทักษะความคิดสร้างส รรค์ ทกั ษะการสร้างสมั พันธภ์ าพระหว่างบุคคลทักษะดา้ นภาษาอังกฤษ ทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ และทักษะ ด้านจิตสาธารณะ เป็นต้น ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะดังกล่าว นอกจากกลวิธีและ กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ แล้ว ครูผู้สอนควรน าแนวทางของ STEM Education, Active Learning และ Problem Based Learning มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เพื่อหล่อหลอมให้ผู้เรียนเกิด “ทักษะ” ดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีคงอยู่และมพี ฒั นาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่สามารถนำไปเปน็ ฐานในการสร้าง ผลผลติ หรือนวตั กรรม (innovation) ได้ในอนาคต 71

บทนำ ในปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่โลกยุคดิจิตอล อย่างเต็มตวั ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย Thailand4.0 ซ่ึงมีหัวใจสำคัญคอื การปรับเปล่ียน โครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value–Based Economy) มีการ ขับเคล่อื นประเทศดว้ ยเทคโนโลยี ความคดิ สร้างสรรค์ และนวัตกรรม และเปลี่ยนจากการเนน้ ภาคการ ผลิตไปสู่ภาคบริการมากขึ้น Thailand4.0 เป็นโมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2504 ได้เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบับแรก ซึ่งก็คือยุค Thailand1.0 ที่เน้น การเกษตรเป็นหลัก ประชากรประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก้าวเข้าสู่ยุค Thailand2.0 ซึ่งมุ่งเน้นด้านอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อนมาก เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่อง หนงั เครื่องนุ่งห่ม เปน็ ตน้ และตอ่ มาก้าวเขา้ สยู่ ุค Thailand3.0 ทีม่ งุ่ เน้นด้านอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ท่ี มีความซับซ้อนและการส่งออก โดยมีนักลงทุนตา่ งชาติเขา้ มาลงทนุ แต่ประเทศไทยเป็นเพียงผูร้ บั จา้ ง ในการผลิตเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เปน็ ตน้ (โพยม จันทรน์ ้อย, 2560) การเข้าสู่ Thailand4.0 ประเทศไทยต้องมีการสร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง โดยไม่ต้อง พึ่งพาต่างชาติเหมือนแต่ก่อน ซึ่งเป้าหมายสำคัญของ Thailand4.0 คือ การขับเคลื่อนไปสู่การเป็น ประเทศท่ี “ม่งั คงั่ ม่ันคง และยั่งยืน”กล่าวคอื การทำให้ประเทศไทยกา้ วไปสู่ประเทศที่มีรายได้สงู และ มกี ารพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ใหม้ ีคุณภาพสูง โดยเฉพาะ คนหรอื ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญและมีความจำเป็นมากที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้และกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ โดยการเป็นผู้ที่นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งการที่จะพัฒนาบุคคลให้มี คุณภาพ มีความรู้ความสามารถสอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวได้นั้น ระบบการศึกษาของประเทศ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนและก้าวสู่ “การศึกษา 4.0” ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือ สำคัญในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพของบุคคล (เสาวลักษณ์ พิสิษฐ์ไพบูลย์, 2559: 2; นวรัตน์ รามสูตและบลั ลงั ก์ โรหติ เสถยี ร, 2559; นพรัตนม์ ศี รีและอมรินทร์เทวตา. 2561: 22) ในแวดวงการศึกษาได้มีการกล่าวถึงการก้าวสู่ยุค Thailand4.0 กันอย่างกว้างขวาง และมี ความตนื่ ตวั เป็นอยา่ งมาก โดยเฉพาะการเรง่ ดำเนนิ การปฏริ ปู การศึกษาให้กบั เด็กไทย เพ่ือการก้าวเข้า สู่ยุค 4.0 ได้อย่างเป็นรูปธรรมในหลาย ๆ ด้าน นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมช. กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศกึ ษา, 2559: 10-11) อธิบายว่าการศกึ ษาใน ยุค Thailand4.0 ไม่ใช่เป็นเพียงการให้ความรู้กับคนหรือผู้เรียนเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมมนุษย์ให้ เป็นมนุษย์ นั่นหมายความว่า ในการเรียนรู้ใด ๆ ก็ตาม นอกจากความรู้ที่ผู้เรียนจะได้รับแล้ว ผู้เรียน จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญในการดำเนินชวี ิตไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนของผู้เรียนตอ้ งสอน ให้มี “ความรู้คู่คุณธรรมและมีทักษะในศตวรรษที่ 21” ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา 72

การคิดสร้างสรรค์ การสร้างนวัตกรรม การเรียน/การทำงานเป็นทีม การมีภาวะผู้นำ การสื่อสาร การ ใช้ข้อมูลและสารสนเทศ การใช้คอมพิวเตอร์และปัญญาประดษิ ฐ์ การคิดคำนวณ การสร้างอาชีพและ การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (ดิเรก พรสีมา, 2559) ดังนั้น สถาบันการศึกษา และครูผู้สอนควรต้องจัดการศึกษา/จัดการเรียนรู้ไปในทิศทางเชิง สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น โดยการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีและสรา้ งนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ เมื่อใดท่ีผเู้ รียนมีความสขุ และสนกุ กบั การเรียนรู้ และคดิ ว่าส่ิง ใดย่ิงยากส่ิงน้ันยิ่งท้าทาย นั่นแสดงว่าการยกระดบั คุณภาพการศึกษาของชาติประสบความสำเร็จแล้ว ในบทความนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอประเด็นสำคัญที่เกี่ยวขอ้ งกับ “การจัดการเรยี นรู้สำหรับผู้เรียนในยคุ Thailand4.0” โดยแยกหวั ขอ้ ใหเ้ ห็นชดั เจนดังน้ี (ดิเรก พรสีมา, 2559; คมชดั ลึก, 2560) การเตรยี มหลักสตู ร การศึกษาทุกระดับจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของโลกท่ี เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การศึกษาหรือหลักสูตรในยุค Thailand4.0 ควรมีเป้าหมายหลักเพ่ือ ผลผลิต โดยครตู อ้ งฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นใช้ทกั ษะการคิดมากกว่าการใช้ความจำ ไม่เนน้ การสอน/การเรียนแบบ ท่องจำ ไม่เน้นการสอบเพื่อให้ได้คะแนนสูง ๆ ครูผู้สอนควรเลิกการบรรยายเป็นสำคัญ แต่ควรให้ ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์และใช้สถานการณ์ปัญหาเป็นฐานในการเรียนรู้ (Problem Base Learning) และใชก้ ารเรยี นรเู้ ชิงรุก (Active Learning) เนอ่ื งจากการจดั การเรียนร้ลู ักษณะเหล่าน้ีเน้นผู้เรียนเป็น ศูนยก์ ลางในการเรยี นรู้ โดยผเู้ รียนไดเ้ สาะแสวงหาความรมู้ าใชใ้ นการแกป้ ญั หาที่ได้รบั มอบหมายอย่าง มีกระบวนการและมีขั้นตอน ซึ่งจะท าให้ได้มาซึ่งความรู้ที่ทันต่อเหตุการณ์และเป็นความรู้ที่ผู้เรียน สามารถนำไปใช้ได้จริง ( เอกนฤน บางท่าไม้. 2561: 34 อ้างอิงจาก Walton, H. and Matthews, M., 1989) นอกจากนี้ ครูต้องสอนน้อย แต่ให้ผู้เรียนเรียนมาก และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือ กระทำด้วยตนเอง ให้ผู้เรียนเลือกเรียนและกระทำกิจกรรมการเรียนรู้ตามความถนัดและความสนใจ ของตน โดยครูผู้สอนต้องเชื่อมั่นในตัวผู้เรียนว่ามีความสามารถในการแสวงหาความรู้ และสร้างองค์ เรียนรู้ด้วยตนเองไดใ้ นขณะเดยี วกัน หลักสูตรทุกระดับควรมีการสอนเรื่องความดีและคุณธรรมควบคู่ ไปกับการสอนเรื่องขององค์ความรู้โดยเฉพาะครูผู้สอนและพ่อแม่ควรเริ่มสั่งสอนและปลูกฝังด้าน คุณธรรมให้กับเด็กตั้งแต่การศึกษาในระดับปฐมวัย ให้เด็กรู้จักแยกแยะความดีกับความชั่ว ให้รู้จัก แบ่งปัน มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีความละอายหรือเกรงกลัวต่อบาป เพราะคุณธรรมเหล่านี้เป็น พ้ืนฐานสำคัญของการพัฒนาไปสคู่ วามเป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ สถาบนั การศึกษาควรมีการสง่ เสรมิ การเรยี นการสอนและนำ “STEM Education (Science, Technology, Engineering, Mathematics)” มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยเฉพาะวิชา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพราะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโลกและวัตถุต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญ 73

ยิ่ง ซ่งึ จะชว่ ยให้ผเู้ รียนมีความเข้าใจและรู้เท่าทนั โลกหรือสถานการณ์ตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดขน้ึ และสามารถนำ ความรู้ในศาสตร์เหลา่ นี้ (STEM) ไปบูรณาการและพัฒนานวตั กรรม (Innovation) อันเป็นฐานในการ พัฒนาประเทศต่อไปในอนาคตได้นอกจากนี้ โรงเรียน สถานประกอบการของรัฐและเอกชน พิพิธภัณฑ์ แหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ฯลฯ ควรจัดให้มีห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ ห้องแสดงนิทรรศการ และห้องสาธิต เพื่อให้ผู้เรียนได้มาศึกษาดูงานได้สะดวก เพราะการเรียนรู้ในยุค 4.0 ไม่ได้เกิดขึ้น เฉพาะในหอ้ งเรยี นแล้วอกี ต่อไป แตผ่ เู้ รยี นสามารถเรยี นรู้นอกห้องเรียนได้ตลอดเวลาเชน่ กนั การจัดการเรียนรู้ทุกวิชาควรต้องเป็นไปในทำนองเดียวกัน โดยมีความทันสมัย ไม่กำหนด รูปแบบการเรียนรู้ที่ตายตัว แต่ควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมตาม ความถนัดของผเู้ รียนและสถานการณ์ต่าง ๆ มีกระบวนการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง และผู้เรียนทุกคนต้อง ร่วมมือกันในการเรียนรู้นอกจากนี้ การจัดความพร้อมของโรงเรียนแตล่ ะแห่งควรต้องเท่าเทียมกัน ไม่ ว่าจะเป็นสื่อ อุปกรณ์ ครูผู้สอน และอาคารสถานที่ เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบถึงความแตกต่าง อยา่ งไรกต็ าม การปรับปรุงหลกั สตู รอยา่ งเดียวคงไม่เพยี งพอตอ่ การก้าวสู่ยุค 4.0 ท่ปี ระสบความสำเร็จ อย่างแน่นอน ดังนั้น หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจำเปน็ ตอ้ งปรับปรุงตำราเรียนท่ีช่วยกระตุ้นให้ผู้เรยี นอยาก เรียนรู้ เกดิ ความสงสยั เกดิ คำถาม และอยากค้นควา้ หาคำตอบ ดังน้ัน ตำราเรยี นจงึ ควรตอ้ งตอบสนอง ความต้องการของผู้เรียนจริง ๆ และระบบการประเมินก็ควรให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ หลักสูตรด้วยเช่นกันโดยเฉพาะข้อสอบที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ควรเป็นข้อสอบอัตนัย หรือ เป็นสถานการณท์ ่ีเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นในลักษณะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดแก้ปัญหา เป็นต้น อันจะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถใน การคิด ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2556: คำนำ) กล่าวว่าความสามารถในการคิดเป็นพื้นฐานสำคัญที่มี ความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของบุคคลได้อยา่ งมีคุณภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปญั ญา ซงึ่ เป็นพนื้ ฐานสำคญั ในการพฒั นาประเทศ นอกจากน้ี ครผู สู้ อนควรปรับ ระบบการสอบให้มีจำนวนน้อยลง เพื่อไม่ให้ผู้เรียนวิตกกังวลกับการเตรียมตัวสอบมากเกินไป เพราะ บางครัง้ ปริมาณของจำนวนขอ้ สอบทม่ี ากเกินไป ไม่สามารถสะท้อนความรทู้ ผ่ี ้เู รียนมีไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ บทบาทของครูผ้สู อนในยคุ Thailand 4.0 รัฐมนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2559: 10; ธนวัฒน์ศรีไพโรจน์และคณะ. 2561 : 98) กล่าวว่าการศึกษาในยุค Thailand4.0 ควรมีการสร้างคน หรือผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในยุคน้ี การกำหนดสมรรถนะและบทบาท ของครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 จึงมีการกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ๆ เนื่องจากคุณภาพของครูผู้สอนมัก เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเรจ็ ทางดา้ นการศึกษา โดยเฉพาะอย่างย่ิง ตอ่ ประสิทธภิ าพในการเรียนรู้ ของผู้เรียน และหน้าที่ของครูผู้สอนจึงมิใช่การสอนหนังสือเพื่อส่งต่อความรู้ไปสู่ผู้เรียนเท่านั้น แต่ครู 74

ควรเป็นผู้ที่มีบทบาทในการหล่อหลอมให้เกิดทักษะที่สำคัญแก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ครูผู้สอนจึงมี หน้าที่เป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ หรือเรียกว่า กระบวนกร (facilitator)”มากกว่าซึ่ง บทบาทสำคญั ของครูผูส้ อนในยุค 4.0 คอื ครมู หี นา้ ที่วางแผนการจัดการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้ และเตรียมสื่ออุปกรณ์การเรยี นรู้ให้มีความเหมาะสมกับวยั และเนือ้ หาที่เรียน รวมทั้งครูผูส้ อน ควรกระตุ้นและสร้างแรงจงู ใจให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนรู้โดยครผู ู้สอนควรจัดการเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้อยา่ งแท้จริง ควรมีลักษณะที่เอื้อต่อการเรียนรู้จากประสบการณ์จรงิ ได้ลงมือ ปฏิบัติ และรู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ จนทำให้ผู้เรียนสามารถนำองค์ ความรู้ที่มีอยู่มาบูรณาการเชิงสรา้ งสรรค์ เพื่อสร้างผลผลติ หรือนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาได้เพื่อเป็นการ ตอบสนองความต้องการของประเทศ ซึ่งคุณลักษณะนี้จะติดตัวผู้เรียนไปตลอดชีวิต ต้องฝึกให้ผู้เรียน เรียนรู้ภูมิปัญญาหลักของไทยและจากทั่วโลก ที่สำคัญต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้กระบวนการที่จะแสวงหา ความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยสอนวิธีวิจัยตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา และครูผู้สอนก็ ต้องทำวิจัยชั้นเรียน โดยนำผลการวิจัยด้านการเรียนกาสอนมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มี ประสทิ ธภิ าพอยเู่ สมอ เพราะการวจิ ัยเป็นกระบวนการในการแสวงหาคำตอบ การแสวงหาความรู้ใหม่ และการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่น่าเชื่อถือได้ โดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการวิจัยด้าน การเรียนกาสอนนับเป็นตัวบ่งชี้ของความก้าวหน้าของศาสตร์ทางการสอนประเภทหนึ่ง (ชนาธิป พร กลุ , 2552: 6; ทิศนา แขมมณี, 2553: 471) ครูผู้สอนควรจัดการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนรู้จักการคิดวิเคราะห์ เน้นการวิเคราะห์ปัญหาเป็น รายบุคคล มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ฝึกให้ผู้เรียนตรวจสอบ ทบทวน และกำกับตนเอง โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ต้องมีความมั่นใจในตนเอง และสนับสนนุ ให้ผู้เรียนกล้า คิดนอกกรอบ คิดสิ่งที่แปลกแหวกแนว ไม่เหมือนความคิดของคนทั่วไป ครูควรเตรียมคำถามที่แปลก ใหม่/ท้าทายความสามารถของผู้เรียน และในการสอนให้ผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมได้น้ัน ครูผู้สอนต้องฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านการทำโครงการ/โครงงานที่มีการสรุปผลการศึกษาค้น คว้าใน รูปแบบการจัดสมั มนา การเสวนา และการจัดนิทรรศการ เป็นต้น เพราะรูปแบบการเรียนรู้ลักษณะนี้ จะเป็นเวทีให้ผู้เรียนได้ฝึกการบริหารจัดการ การวางแผน การแก้ปัญหา ตลอดจนการแลกเปลี่ยน เรียนรู้กับเพื่อน ๆ อันเป็นกระบวนการที่จะช่วยทำให้ผู้เรียนได้ผลิตผลงาน หรือนวัตกรรมที่เป็นองค์ ความรู้จากกระบวนการเรียนรู้ท่ีสร้างสรรค์นั่นเองดังนั้น การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนในยุค 4.0 จึง ควรเป็นการเรียนการสอนท่เี น้นการคิดอย่างสรา้ งสรรค์ (Creative Learning) ด้วยเช่นกนั นอกจากนี้ การสร้างชุมชนแห่งความสงสัย (Community of Inquiry) ก็นับเป็นภารกิจหลกั อีกอยา่ งหน่งึ ของครูผ้สู อน โดยครูตอ้ งสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ทที่ ำให้ผ้เู รยี นมีความกระหายใคร่รู้ กระตือรือร้น และอยากค้นหาคำตอบ เพราะความสงสัยจะนำไปสู่การตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนกลายเป็น “Active Learner” โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้โดยยึดปัญหาเป็นฐาน 75

(Problem Base Learning = PBL) ซึ่งผู้เรียนอาจจะค้นหาค าตอบที่เป็นจริงได้จากทั้งในโรงเรียน และนอกโรงเรียน ดิเรก พรสีมา (2559) กล่าวว่าในกระบวนการของการเรียนรู้โดยยึดปัญหาเปน็ ฐาน ผู้เรียนอาจค้นหาคำตอบได้จากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ แปลงสาธิต โรงงาน สถานประกอบการ บริษัท ห้างร้านที่เป็นธุรกิจของรัฐและเอกชน จึงทำให้เกิดคำว่า “Work based Learning” หรือ “Work-integrated Learning” หรือ “Site-based Learning” ขึ้น และสถานประกอบการเหล่านี้ก็ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรยี นในยุค 4.0 และจากการจัดการเรียนรู้โดยยึดปัญหาเป็นฐานน้ี ก็จะ ช่วยใหค้ รูผู้สอนและผู้เรียนคน้ พบความรู้ใหม่ สรา้ งสรรค์ความรู้ใหม่ และสรา้ งนวัตกรรมใหม่ได้เพราะ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์ที่เป็นปัญหาจริง และร่วมกันคิดหาทางแก้ปัญหาต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) และนำไปสู่การพัฒนา ทักษะกระบวนการ ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (ทิศนา แขมมณี, 2553: 137) ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าบทบาทและหน้าที่ของครูผู้สอนในยุค Thailand4.0 คือ เป็นผู้อำนวย ความสะดวกในการเรียนรู้ท่ีทำหน้าที่หล่อหลอมให้ผู้เรียนเกิด “ทักษะ” ด้านต่าง ๆ ที่คงอยู่และมี พัฒนาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเน้นให้ผู้เรียนใช้การคิดวิเคราะห์การแก้ปัญหา และการคิด สร้างสรรค์ ที่สามารถนำไปเป็นฐานในการสร้างผลผลิตหรือนวัตกรรม (Innovation) ได้ในอนาคต เพื่อตอบสนองนโยบาย Thailand4.0 ของประเทศคือ การก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และ ทรัพยากรบุคคลของประเทศเป็นผู้มีความรู้ความสามรถ และใช้ความสามารถนั้นในการขับเคลื่อน ประเทศ ทักษะที่สำคัญสำหรับผูเ้ รียนในยคุ ไทยแลนด์ 4.0 การจะก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นอกจากการปรับปรุง เรื่องของหลักสูตร ตำรา และบทบาทของครูผู้สอนแล้ว เราก็ควรจะต้องส่งเสริมทักษะแห่งอนาคต ให้กับผเู้ รยี นด้วย เพราะเป็นทักษะท่ีจำเป็นสำหรับการรับมอื ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมใน อนาคต ซึ่งทักษะที่สำคัญเหล่านี้ได้แก่ ทักษะการคิดเชิงบริหาร ทักษะการใช้ Internet ทักษะการคิด วิเคราะห์ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณทักษะการแก้ปัญหาทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการ สร้างสัมพันธ์ภาพระหว่างบุคคลทักษะด้านภาษาอังกฤษ ทักษะด้านคณิตศาสตร์ และทักษะด้านจิต สาธารณะ โดยมรี ายละเอยี ดดังน้ี (อานนท์ ศักดว์ิ รวิชญ์, 2560) 1) ทักษะการคดิ เชิงบรหิ าร (Executive Function Skills) นายแพทย์วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ (บ้านเมือง, 2559) กล่าวว่าในการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กไทย คือ ทักษะการคิดเชิงบริหาร (Executive Function : EF) ซ่งึ เป็นทกั ษะทางสมองท่เี ดก็ ใช้ควบคมุ อารมณ์ ความคิด และการกระทำกจิ กรรมต่าง ๆ เพือ่ กำกับ 76

ตนเองให้สามารถทำงานจนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตัง้ ไว้ EF จะช่วยให้เด็กคิดเป็น เรียนรู้ เปน็ แกป้ ัญหาเป็น สามารถอยรู่ ว่ มกับผ้อู นื่ ได้อย่างมคี วามสขุ และทีส่ ำคญั ช่วยลดปัญหาความลม้ เหลว ทางการเรียน ผู้เรียนออกจากโรงเรียนกลางคัน และห่างไกลจากการใช้ยาเสพติด จากงานวิจัยพบว่า เด็กไทยมี EF ค่อนข้างต่ำ (ผู้จัดการออนไลน์2559) จึงส่งผลให้เด็กเมื่อเติบโตขึ้นมักตัดสินใจผิดพลาด มีปัญหาความจำ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หุนหันพลันแล่น โดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งที่ท้าทายหรือสิ่งที่ไม่ดี ดงั น้ัน สถาบนั การศกึ ษาและหน่วยงานทเ่ี กีย่ วข้องจึงต้องหันมาให้ความสำคญั กับการพัฒนา EF ให้กับ เดก็ โดยเฉพาะในโรงเรียน ครผู ้สู อนควรจดั การเรยี นร้ทู ่ีเปิดโอกาสใหผ้ ้เู รียนไดล้ งมือปฏิบัติ ฝึกการคิด การวางแผน การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์ การกำกับตนเอง และการยั้งคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูควรปล่อยให้เด็กได้ออกไปเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็กในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และมีอิสระ ทักษะ EF ที่สำคัญประกอบด้วยทักษะย่อย 9 ด้านดังนี้ (1) ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory) (2) ทักษะการยืดหยุ่นทางความคิด (Shift Cognitive Flexibility) (3) ทักษะการยับยั้งช่ัง ใจ (Inhibitory Control) (4) ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus) (5) การควบคุมอารมณ์ (Emotion Control) (6) การตรวจสอบตนเอง (Self-Monitoring) (7) การริเร่ิมและลงมอื ทำ (Initiating) (8) การ วางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing) และ (9) การมุ่งเป้าหมาย (Goal- Directed Persistence) (สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ,2560) อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทักษะสมองด้าน EF เด็กจะได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้าเด็กได้รับการ พฒั นาตัง้ แตช่ ว่ งปฐมวยั อายุระหว่างแรกเกิด 6 ขวบโดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ครูผ้สู อนไม่ควรให้เด็กปฐมวัย เร่งเรียนเรื่องการอ่าน การเขียนมากจนเกินไป จนไปกดทับการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ของเด็ก เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการคิดวิเคราะห์ และทักษะการคิดแก้ปัญหา เป็นต้น ศาสตราจารย์ นายแพทย์วจิ ารณ์ พาณิช (ผูจ้ ดั การออนไลน์, 2559) กล่าวว่าในปัจจบุ นั เดก็ ทีเ่ ก่งและฉลาดคือ เด็กท่ี สามารถเรียนรู้ได้ดี สอบได้คะแนนสูง ๆ สามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเราต้องปรับเปลี่ยนความคิดเสีย ใหม่ว่า เด็กเก่งคือ เด็กที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ รู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง สามารถคิ ด ตัดสินใจ และแกป้ ัญหาได้อยา่ งเหมาะสมดังน้นั เราจึงตอ้ งฝกึ ทักษะ EF ให้แกเ่ ด็กตั้งแตช่ ่วงต้น ๆ ของ ชวี ิต เพราะเด็กที่มี EF ดจี ะมีทกั ษะพน้ื ฐานในการดำเนนิ ชีวิตทีด่ ี และมกั จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบ ความสำเร็จในอนาคต ดังคำกล่าวท่ีวา่ “EF คือรากฐานอันแข็งแกรง่ ของการพฒั นามนุษย”์ ดังน้ัน ใน การพัฒนาประเทศไปสู่ยุค 4.0 ที่ประชากรในชาติมีรายได้สูง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เด็ก ผู้เรยี น หรือผู้ใหญ่จำเป็นตอ้ งมที ักษะการคดิ เชงิ บรหิ ารอย่างแนน่ อน 2) ทกั ษะการใช้ Internet (Internet Skills) Internet เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการค้นคว้าหาความรู้ โดยเฉพาะในปัจจุบัน เราคง ปฏเิ สธไม่ไดว้ ่าInternet มปี ระโยชน์และจำเปน็ อยา่ งยงิ่ ตอ่ การเตรยี มความพร้อมให้กับเด็กหรือผู้เรียน ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 เด็กในปัจจบุ นั จะอยูก่ บั Internet เกอื บตลอดเวลา เด็กใชช้ ีวติ ส่วนใหญ่ไปกบั Social 77

Media รวมทั้งเรียนหนังสือกับ Youtube นั่นแสดงว่าเด็กหรือผู้เรียนไม่สามารถหลีกหนีจากกระแส ของเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ทักษะการใช้ Internet ก็เปรียบเสมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน คือ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเด็กหรือผู้เรียนมัวหมกมุ่นอยู่กับการท่อง Internet เพื่อสร้างความบันเทิง ให้กับตนเอง เช่น เล่นเกม facebook, line, instragram และ shopping โดยไม่สนใจการเรียนและ การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนหรือบุคคลอ่ืน Internet ก็จะส่งผลกระทบทางลบต่อตัวผู้เรียนดังนั้น ใน ฐานะครูผ้สู อน ครคู วรแนะนำและให้แนวทางในการใช้Internet อย่างเหมาะสมแกผ่ ู้เรยี น เชน่ ครูต้อง สอนใหผ้ ้เู รียนรจู้ กั แบ่งเวลาในการใช้ Internet ใหเ้ หมาะสม โดยเฉพาะ เวลาที่ใช้ internet เพ่ือศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลควรมีระยะเวลายาวนานกว่าเพื่อความบันเทิง และครูควรแนะนำแหล่งอ้างอิงหรือ ฐานข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้แก่ผู้เรียน รวมทั้งครูควรฝึกให้ผู้เรียนรู้จักเลือกและแยกแยะ ข้อมูลประเภทต่าง ๆ ที่หลากหลาย อันจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการใช้ Internet ได้มาก ท่ีสุด ซึ่งสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (2560: 19) กล่าวว่าในปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อการศึกษา เป็นทิศทางของการพัฒนาที่จ าเป็นเนื่องจากเป็นช่วงการเข้าสู่ยุค “Internet of thing” ซึ่งกิจกรรมในชีวิตประจำวันของบุคคลส่วนใหญ่มักผ่านโครงข่ายการเช่ือมต่อ ขนาดใหญ่ และคงหนีไม่พ้นกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับการค้นคว้าหาความรู้อย่างไม่มีที่ สิ้นสุด จนทำให้เกิด knowledge network หรือศูนย์การเรียนรู้บนเครือข่าย โดย UniNet จะทำ หนา้ ท่เี ปน็ โครงข่ายเชอ่ื มโยงทุกสถาบนั การศึกษาทุกระดับท้ังรฐั และเอกชน และมี Thai MOOCs เป็น เนื้อหาของการเรียนรู้ที่วางอยู่บนโครงข่าย Network เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าถึงทุกองค์ความรู้ได้ ตลอดเวลา โดยไม่จำกดั เวลาและสถานท่ี (วริ ชั ปณั ฑศ์ ิรโิ รจน์, 2559: 3) 3) ทักษะการคดิ วิเคราะห(์ Analytical Thinking Skills) นายแพทย์ธรี ะเกยี รติ เจรญิ เศรษฐศลิ ป์ รมช. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา, 2559: 10-13) กล่าวว่าการศกึ ษาในยุค Thailand4.0 ควรมกี ารสร้างคนให้มีทักษะใน ศตวรรษที่ 21 โดยเน้นทักษะในการคิดวิเคราะห์เป็นหลัก เพราะบุคคลที่รู้จักคิดวิเคราะห์จะเป็นท่ี ต้องการของตลาดแรงงาน การคิดวิเคราะห์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชวี ิตและ เป็นพื้นฐานของการคิดทั้งมวล บุคคลที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะมีความสามารถในด้าน ต่าง ๆ เหนือกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้น ในการจัดการเรียนรูเ้ พื่อเอื้อต่อการพัฒนาการคดิ วิเคราะห์ให้กบั ผูเ้ รียน ครูผู้สอนตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับการคิดวเิ คราะห์ให้ดีเสียก่อน หลังจากน้ันจึงค่อย ๆ สอดแทรกหรือบูรณาการการคิดวิเคราะห์เข้าไปในกระบวนการจัดการเรียนรู้ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. 2556: 69) และดิลก ดิลกานนท์ (2525 อ้างถึงในประพันธ์ศิริ สุเสารัจ,2556: 82-83) ได้เสนอแนว ทางการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ให้แก่ผู้เรียนไว้ดังนี้ (1) ครูผู้สอนกำหนดสิ่งต่าง ๆ เช่น เรื่องราวหรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วให้ผู้เรียนฝึกการวิเคราะหป์ ระเด็นต่าง ๆ ของสิ่งเหล่านี้ตามที่ครูกำหนด (2) ครู กำหนดจุดมงุ่ หมายของการวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนวิเคราะหเ์ พ่ืออะไร (3) ฝกึ ให้ผู้เรียน 78

รจู้ ักการพิจารณาข้อมลู ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ และกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าจะใช้หลักใดเป็น เครื่องมือในการวิเคราะห์ และ (4) ให้ผู้เรียนได้ฝึกการสรุปและรายงานผลการวิเคราะห์อย่างเป็น ระบบและชดั เจน นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน การตั้งคำถามที่ดี จะเปน็ ประโยชนแ์ ละช่วยพฒั นาการคิดไดเ้ ป็นอย่างดี และครผู ้สู อนควรจดั บรรยากาศภายในห้องเรียน ที่มีการเปิดรับการเรียนรู้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถคิด ตัดสินใจ และเลือกสิ่งต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง และเมือ่ ผู้เรยี นทำผิด ครกู ไ็ ม่ควรลงโทษเดก็ เพราะการเรยี นรู้แบบลองถูกลองผดิ ก็นบั เป็น การเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยฝึกให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ได้ เพราะการเรียนรู้จากความผดิ พลาด จะทำให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ และจะประเมินว่าจะทำ เช่นน้อี ีกหรือไมใ่ นคราวตอ่ ๆ ไป 4) ทักษะการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ (Critical Thinking Skills) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นความสามารถทางการคิดที่ช่วยให้บุคคลไตร่ตรอง พิจารณา ประเมินข้อมูลและสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้าน รู้ที่มาที่ไป เข้าใจเหตุและผล ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาด ในการตัดสินใจได้ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประเทศที่บุคคลสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เอง จำเป็นทีเ่ ด็กหรือผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมให้มีความคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ เปน็ ผทู้ ีไ่ ม่หลงเช่ืออะไร ง่าย ๆ ต้องรู้จักคิดอย่างรอบด้าน สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็น เกี่ยวกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ทางลึก และไกล ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและพิจารณา ข้อมูลอย่างสมเหตุสมผลได้ (ทิศนา แขมมณี,2556: 114–115) และชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2557: 100) กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิต หากบุคคลได้รับ การฝึกฝนจะทำให้สามารถคิดตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อยา่ งรอบคอบ เป็นความคิดท่ีช่วยใน การจัดระบบข้อมูล เชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งยังเป็น เครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นให้ค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้พิจารณาอย่าง ไตรต่ รองและเกิดองคค์ วามรใู้ หม่ ๆ ขน้ึ สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมากมายที่มีทั้งเป็นข้อมูลจริงและเป็นเท็จ โดยเฉพาะ ในโลก online ที่เต็มไปด้วยการทะลักทลายของข้อมูล (information overload) จำเป็นอย่างยิ่งที่ บุคคลต้องใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณในการรับและแยกแยะขอ้ มูล ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าว เขา้ สูย่ คุ 4.0 แล้ว ซ่ึงบุคคลหรือผเู้ รียนจะต้องสามารถสร้างนวตั กรรมหรืองานวจิ ัยได้ ซง่ึ ในการกระทำ กิจกรรมหรืองานดังกล่าว อาศัยความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียวคงไมเ่ พียงพอ แต่ต้องอาศัยทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณด้วย ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณให้แก่ผู้เรียน ครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึกการสังเกต ฝึกการอธิบายหรือแสดงความคิดเห็น เก่ียวกับเรอื่ งต่าง ๆ โดยเน้นการใชเ้ หตุผล ฝกึ การรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อื่นโดยไม่ใช้อารมณ์ แต่ต้อง 79

อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ฝึกการเปรียบเทียบและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ฝึกการวิพากษ์/วิจารณ์ และจำแนกหาจดุ เด่น-จุดด้อย คดิ ถงึ ขอ้ ดขี ้อเสีย รวมทง้ั ฝกึ การสรปุ ความ (ทศิ นา แขมมณี, 2556: 56) นอกจากนี้ ครูไม่ควรเน้นการท่องจำหรือให้ทำตามที่ครูบอก แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการคดิ ในหลาย ๆ มติ ิ โดยฝึกทัง้ การพดู และการเขียนไปพร้อม ๆ กัน ครคู วรใช้ค าถามท่ที ้าทายรวมทั้งจัดส่ือ การสอนให้น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นผู้เรียนได้คิดหาคำตอบและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวได้อย่างมี วิจารณญาณ ตลอดจนครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณจากเนื้อหาที่มีความ หลากหลาย เช่น จากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ บทความ สารคดี และบทประพันธ์ต่าง ๆ เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งที่ จำเป็นสำหรบั ผเู้ รียนในยคุ ไทยแลนด์ 4.0 อยา่ งหลีกเลย่ี งไม่ได้ 5) ทักษะการแกป้ ัญหา (Problem Solving Skills) ในการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่ง ประเทศชาตจิ ะไมส่ ามารถพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมของตนข้นึ มาได้ ถ้าทรพั ยากรบุคคลไม่มีทักษะใน การแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวผู้เรียนจ าเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝนให้มีทักษะน้ี ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ทีห่ ลากหลาย เช่น การใช้บทบาทสมมติ โครงงาน การสืบสวนสอบสวน และ การศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่มีวิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีการสอนใดที่ดีที่สุดที่จะ สอนใหผ้ ูเ้ รียนมที ักษะในการแก้ปัญหาได้ นอกเสยี จากการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดฝ้ ึกการแก้ปัญหาด้วย ตนเอง ครผู ้สู อนควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ไดค้ ิด อธบิ าย อภิปราย และเปรียบเทยี บแนวคดิ ทหี่ ลากหลาย จนเกิดเป็นกระบวนการแกป้ ัญหาของตัวผู้เรยี นเอง (ไมตรี อินทรป์ ระสทิ ธิ์, 2558) และจากผลการวิจัย พบว่าการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ส่วน บุคคลของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความสามารถในการหาแนวทางการ แก้ปัญหาที่แตกต่างกนั ของผู้เรียน สามารถช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นได้พัฒนากระบวนการคิด และการแก้ปัญหา ได้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนไม่ควรเน้นการเรียนรู้ที่มุ่งคำตอบท่ีถูกต้อง โดยละเลยกระบวนการในการได้มาซึ่งคำตอบ ซง่ึ จะทำใหผ้ ู้เรียนขาดทกั ษะในการแกป้ ัญหา และไมส่ ามารถนำความรทู้ มี่ ไี ปประยุกตใ์ ช้ในสถานการณ์ อื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรนำเสนอสถานการณ์ปัญหาท่ีแปลกใหม่ และไม่คุ้นเคย เพื่อกระตุ้น ให้ผ้เู รียนเกิดความอยากรู้อยากเห็นและพยายามคน้ คว้าหาแนวทางในการแกป้ ญั หาที่หลากหลายด้วย ตนเองรวมทัง้ ครูควรเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนได้แสดงความคดิ เห็น และฝกึ การซักถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วย (ประภสั สร เพชรสุม่ และคณะ, 2560 : 86) ดังท่ี ไมตรี อินทร์ประสทิ ธ์ิ (2555: 11-13) กล่าวว่าการให้ ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา และการพยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหาของตนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์โดยตรง และสามารถสร้างแนวทางพื้นฐานในการแก้ปัญหาของตัว ผู้เรียนเองได้ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้โดยการให้ผู้เรียนเผชิญกับการแก้ปัญหาจะช่วยพัฒนา 80

ผู้เรียนในดา้ นตา่ ง ๆ ดว้ ยเชน่ กนั เชน่ การฝึกทักษะการสังเกต การคน้ ควา้ และเกบ็ รวบรวมข้อมูล การ วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล การแปลผลและการสรุปความ การฝึกการทำงานเป็นทีม การ แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ และประสบการณ์ระหว่างผูเ้ รยี น เป็นต้น 6) ทกั ษะความคดิ สรา้ งสรรค์ (Creative Thinking Skills) นกั วชิ าการอธิบายว่าความคิดสร้างสรรคเ์ ปน็ ความสามารถทางสมองระดบั สูงท่ีคดิ ได้กวา้ งไกล หลายทิศทาง หลายแง่มุม หรือที่เรียกว่าลักษณะการคิดแบบอเนกนัย (divergent thinking) ประกอบด้วยความคิดย่อย ๆ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิด ยืดหยุ่น และความคิดละเอียดลออ ความคิดสร้างสรรค์เปน็ ความสามารถในการคิดส่ิงที่แปลกใหม่ ไม่ เหมือนความคิดของคนทั่วไป รวมทั้งสามารถคิดดัดแปลงความคิดเดิมให้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่มี คุณประโยชน์และได้รับการยอมรับจากสังคม (Socially valued idea) กล่าวคือ เด็กต้องสามารถคิด ต่อยอดผลงานที่มีอยู่เดิมให้แปลกใหม่กว่าเดิม สามารถประยุกต์และใช้ประโยชน์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ซ่ึงทกั ษะดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคม์ ปี ระโยชนแ์ ละจำเปน็ สำหรบั บุคคลในสังคมที่มี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริบทของการศึกษายุคThailand 4.0 ท่ี ต้องการให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตนเองได้อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน ต่างมุ่งเน้นแตเ่ น้อื หาวชิ า การสอนไมม่ คี วามสมั พนั ธ์กับชีวติ ประจำวนั หรือชวี ิตจรงิ ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิด ความเบื่อหน่ายในการเรยี น รูส้ ึกอดึ อดั และทำให้ความคดิ สร้างสรรคข์ องผเู้ รยี นมแี นวโนม้ ลดลง ทำให้ สมองไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และส่งผลให้อัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนตามธรรมชาติจะถูก ทำลายลงด้วย ดังผลการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา โดยสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา รายงานว่าผ้เู รยี นมีความคดิ สรา้ งสรรคอ์ ยูใ่ นระดบั ปรับปรุง (กติ ิยา เก้า เอ้ียน, 2558: 14) ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนควรจัดการ เรยี นรู้ทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ กึ คิดจินตนาการ ไดล้ งมือสรา้ งสรรคผ์ ลงานตามทีค่ ดิ ไว้ เพราะถ้าได้แต่ คิด แต่ไม่เคยได้ลงมือกระทำ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ก็คงจะไม่เกิดข้ึน เช่นเดียวกัน กิจกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เช่น กิจกรรมด้านศิลปะ การประพันธ์ การประดิษฐ์หรือการออกแบบผลงานที่สามารถคิดหาคำตอบได้หลายทางเลือก เป็นต้น ส่วนวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เช่น การสอนแบบระดมพลังสมอง การสอนคิดแบบ หมวก 6 ใบ และการสอนตามแนวคิดของวิลเลียมส์ เป็นต้น นอกจากนี้ บรรยากาศในการเรียนรู้ของ ห้องเรียนก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์เช่นกันโดยครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศ ให้มีความผ่อนคลาย ให้อิสระทางความคิด สนับสนุนความคิดที่แปลกใหม่ มีความเป็นกลาง ไม่อคติ หรือชื่นชมเฉพาะผลงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น บางครั้งผู้เรียนบางคนอาจยังไม่ประสบ ความสำเร็จในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น ครูผู้สอนควรให้กำลังใจและชี้แนะข้อบกพร่องให้ 81

ผู้เรียนทราบ เพือ่ จะได้เปน็ การจูงใจให้ผู้เรียนมีความพยายามและมุ่งมั่นท่จี ะทำงานน้ันตอ่ ไป อย่างไรก็ ตาม ความคิดสร้างสรรค์ควรได้รับการกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง และกิจกรรม เหล่านี้จะต้องมีความเหมาะสมตามความสามารถและวัยของผู้เรียน (ลักขณา สริวัฒน์, 2558: 161; ธูปทอง กว้างสวาสด์ิ, 2554: 276–278) นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด ได้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนอย่างเป็นอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับ อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ (2552: 71) กล่าวว่าความคิดสร้างสรรค์คือ กระบวนการทางปัญญาระดับสูงที่ใช้ กระบวนการทางความคิดหลาย ๆ อยา่ งมารวมกนั เพ่ือสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ หรอื แก้ปญั หาท่ีมีอยู่ให้ดีข้ึน และความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้สร้างสรรค์ต้องมีอิสรภาพทางความคิด ซึ่งจะทำให้ ผู้เรียนมีความสุข สนุกในการเรียนรู้ และส่งผลให้ผูเ้ รยี นสามารถคดิ จนิ ตนาการสร้างสรรคผ์ ลงานและ เกิดผลทางบวกต่อผู้เรียนในแง่ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิดสร้างสรรค์ กล้าเสี่ยงที่จะ คิดสร้างผลงานท่ีแปลกใหม่ ตลอดจนเห็นคณุ คา่ ของผลงานนัน้ ดว้ ยความภาคภมู ใิ จ 7) ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal Relationship Skills) การเข้าสู่ยุค Thailand4.0 การเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนมีทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ระหว่างบุคคลก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะด้านอื่น ๆ เพื่อที่จะสามารถตอบสนองความ ต้องการของสังคมและทำงานร่วมกันในสังคมได้ ไม่ว่าในสังคมไทยด้วยกันเอง หรือการติดต่อสัมพันธ์ กันกับชาวต่างชาติก็ตาม การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและมี ความสำคัญในการดำเนินชีวิตทั้งในระดับส่วนตัวและส่วนรวม สัมพันธภาพระหว่างบุคคลจึงเป็นการ สร้างพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสม เป็นทักษะทางสังคมที่สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ ในบริบททาง การศึกษา ครูผู้สอนมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะด้านนี้ให้แก่ผู้เรียน ซ่งึ ครูผูส้ อนควรให้ผ้เู รียนได้ฝึกปฏิบตั ิด้านตา่ ง ๆ ดงั น้ี (1) ฝึกการสอ่ื สาร โดยสลบั การเปน็ ผ้ฟู งั และผพู้ ูดทด่ี ี (2) ฝกึ การแสดงน้ำใจ ความเอ้ือเฟ้ือเผอ่ื แผ่ รจู้ กั การให้และการรบั (3) ฝึกการให้เกียรติผอู้ ่นื อยา่ งจรงิ ใจ เพราะจะชว่ ยใหผ้ ้อู ่ืนมีความภาคภูมิใจและมีความรู้สึกที่ ดีตอบแทนมา (4) ฝึกการชมเชยและให้กำลงั ใจผู้อื่นในสถานการณ์ที่เหมาะสม (นันทนา วงษ์อินทร์, 2543) นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เปิดเผยและเล่าเรื่องราวของตนเองให้เพื่อน ๆ รับทราบบ้าง อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคุ้นเคยและมีความสนิทสนมมากขึ้น ตลอดจนครูควรจัด กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมและทำกิจกรรมร่วมกับ เพื่อน ๆ และสนับสนุนการท างาน เป็นทีม/กลุ่มมากกว่าการทำงานเป็นรายบุคคล และที่สำคัญ ครูผู้สอนต้องมีความเป็นกันเอง มีความ ยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ หรืออคติกับผู้เรียนคนใดคนหนึ่ง เพื่อผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะการ 82

สรา้ งสัมพันธภาพระหวา่ งบุคคลได้อย่างเต็มท่ี และเป็นการปูพื้นฐานให้เป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพต่อไปใน อนาคตทีส่ ามารถทำงานร่วมกับผู้อืน่ ได้ และสามารถดำรงชีวติ อยูใ่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข 8) ทกั ษะดา้ นภาษาองั กฤษ (English skills) ทกั ษะภาษาองั กฤษเป็นหวั ใจสำคัญในการส่ือสารกับนานาชาติ ไมว่ า่ จะเปน็ การติดต่อสื่อสาร การคา้ ขาย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฯลฯ ในยคุ Thailand4.0 ความสามารถในการใชภ้ าษาอังกฤษ (English Proficiency) จึงนับว่าเป็นสิ่งจำเปน็ อย่างยิ่ง เพราะภาษาอังกฤษจะช่วยให้เด็กไทยสามารถ ค้นคว้าหาข้อมูลและติดตามความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และ วิทยาการด้านต่าง ๆ ได้จากทั่วโลก ในขณะเดียวกัน หากเด็กไทยต้องการเผยแพร่ความคิด บทความ งานวิจัย ตำรา วัฒนธรรม และนวัตกรรมต่าง ๆ ไปสู่เวทีโลก ภาษาอังกฤษก็จะเป็นตัวกลางในการ สื่อสารผลงานดังกล่าว แต่จากผลการประเมนิ ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของแบบทดสอบต่าง ๆ เช่น TOEFL หรือ TOEIC ปรากฏว่าผลคะแนนของเด็กไทยยังต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอ่ืน ๆ ในชาติอาเซียน หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ประเทศไทยก็จะเสียเปรียบในการแข่งขันอย่างแน่นอน ดังนน้ั การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถาบันการศึกษาจงึ ควรต้องปรับเปลี่ยนให้มีความทันสมัย และเอ้ือ ตอ่ การเรียนรตู้ ลอดเวลา ไม่วา่ จะเป็นในห้องเรียนหรอื นอกห้องเรียน โดยเฉพาะรปู แบบการเรียนรู้ควร ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กับอาจารย์ชาวต่างชาติบ้าง และควรกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารในชีวิตประจำวันตามโอกาสที่เหมาะสม ครูไม่ควรเน้นการสอนเฉพาะหลักไวยากรณ์เท่าน้ัน เพราะในสมัยก่อน เด็กไทยอาจจะทำข้อสอบได้ แต่พูดหรือสนทนาภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ดังนั้น ใน ปัจจุบัน การสอนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ นอกจากการสอนหลักไวยากรณ์แล้ว ครูผู้สอน จำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้ฝึกสนทนาภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาในสถานการณ์จริงด้วย และควรเริ่ม เรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สองในช่วงต้น ๆ ของชีวิต เพราะเป็นชว่ งเวลาท่ีเหมาะสมในการเรียนรู้ ซึง่ จะชว่ ยใหก้ ารเรียนภาษามีประสทิ ธิภาพมากขนึ้ (Anderson,1995: 371)นอกจากน้ี ทศิ นา แขมมณี (2556: 126) เสนอแนะว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนควรใช้ในการสอนทางด้านภาษาคือ “กระบวนการเรียนภาษา”กระบวนการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะ ทางภาษา ซึ่งวิชาภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน ครูผู้สอนควรนำกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้ในการ สอนวชิ าภาษาอังกฤษ โดยมีข้นั ตอนต่าง ๆ ดงั น้ี (1) การทำความเขา้ ใจสัญลกั ษณ์ รูปภาพ สอ่ื และเครือ่ งหมาย ในขนั้ นี้ ครูควรสอนให้ผู้เรยี น เรยี นรู้เกีย่ วกบั ความหมายของคำ กลุม่ คำ ประโยค และสำนวนตา่ ง ๆ (2) การสร้างความคิดรวบยอด ในขั้นนี้ ครูควรสอนให้ผู้เรียนรู้จักการเชื่อมโยงความรู้จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมา อันจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและมองเห็นภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง 83

(3) การสื่อความหมาย ความคิด ในขั้นนี้ ครูควรสอนให้ผู้เรียนฝึกการถ่ายทอดภาษาให้ผู้อื่น เขา้ ใจ โดยเฉพาะ การฝกึ การสนทนาและส่ือสารดว้ ยภาษาอังกฤษ และ (4) การพฒั นาความสามารถ ในขนั้ น้ี ครูผู้สอนควรกระต้นุ ให้ผู้เรยี นใช้การเรยี นรตู้ ามข้ันตอน ต่าง ๆ คือความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินคา่ ซึ่งรูปแบบและกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้น่าจะเป็นช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษได้อย่างมี ความหมาย และมีประสทิ ธิภาพสูงสุด 9) ทักษะด้านคณติ ศาสตร์(Mathematics Skills) ความสามารถทางคณิตศาสตร์เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการสร้างองค์ความรู้ และศึกษา หาความรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ จากการประเมินผล นานาชาติ (PISA = Programme for International Student Assessment) ความสามารถด้าน คณิตศาสตร์ของเด็กไทย พบว่าไดค้ ะแนนน้อยมาก ซึง่ จะทำให้ศกั ยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ต่ำไปด้วย ดังนั้น หากเราต้องการให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จตามนโยบาย 4.0 เด็กไทย จำเป็นต้องมีความแตกฉานด้านคณิตศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในการจัดการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ ครูผู้สอนควรเน้นการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ การให้เหตุผล และการใช้ตรรกะ มากกวา่ การเน้นการคิดคำนวณ ซึง่ PISA ไม่ได้เน้นประเดน็ การคำนวณมากนัก (อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์, 2560: 3-4) อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่าเด็กหรือผู้เรียนสว่ นใหญ่ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ ไมด่ ี ไม่ใช่เพราะเดก็ ไมเ่ กง่ หรอื ไมม่ ีความสามารถ แตต่ ้นเหตทุ ส่ี ำคัญกลบั พบว่าเด็กมเี จตคติทางลบต่อ วิชาคณิตศาสตร์ เพราะครูสอนคณิตศาสตร์มักมีบุคลิกภาพที่น่าเกรงขาม ขึงขัง เข้มงวด ชอบดุ และ พูดเสียงดัง จนผู้เรียนรู้สึกกลัวครู ไม่กล้าถามคำถาม เมื่อเกิดความสงสัยหรือไม่เข้าใจในเนื้อหาที่ครู สอน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกสนุก และไม่มีความสุขเมื่อต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้น ครผู ู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ควรปรบั บคุ ลิกภาพของตนให้ย้ิมแย้ม แจ่มใส มีความเป็นกันเอง มคี วามผ่อน คลาย ใหก้ ำลังใจ และให้การเสริมแรงในโอกาสที่เหมาะสม ตลอดจนควรสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรใู้ ห้ มีความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น และมีอิสระ เพื่อผู้เรียนจะได้กล้าคุยหรือถามคำถามได้ อันจะช่วยให้ ผู้เรียนสามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ ในการจัดการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ ครูผู้สอนควรใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย และมีความสอดคล้องกับความสามารถ ของผ้เู รยี น เช่น การใชส้ ถานการณ์จำลอง การใชเ้ กมประกอบการสอน การสอนแบบรว่ มมือกนั เรียนรู้ และการสอนแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่เน้นการคิดแบบอเนกนัย เป็นต้น ทิศนา แขมมณี (2556: 126) เสนอวา่ กระบวนการเรยี นรู้ท่ีครูควรใช้ในการสอนวชิ าคณิตศาสตร์คอื “กระบวนการคณติ ศาสตร์” ซึ่ง ประกอบด้วย 2 วิธีการได้แก่ (1) การสอนทักษะการคิดคำนวณ โดยมีขั้นตอนย่อย คือ การสร้าง ความคิดรวบยอดของคำ นิยามศัพท์ การสอนกฎด้วยวิธีอุปนัย (คือ สอนจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ ใหม่) การฝึกการวินิจฉัย และการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง และ (2) การสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์ 84

โดยมีขั้นตอนย่อย คือ การแปลโจทย์เชิงภาษา การหาวิธีแก้ปญั หาโจทย์ การวางแผน การปฏิบัติตาม ขั้นตอน และการตรวจสอบคำถาม ซึ่งรูปแบบและกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ ผู้เรียน โดยช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ และที่สำคัญช่วยให้ผู้เรียนมีความสุข สนุกในการ เรยี นรู้ และเกิดการเรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธิภาพ 10) ทักษะด้านจติ สาธารณะ(Public Mind Skills) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งกระแสความเจริญอย่างรวดเร็วนี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนใน สงั คมไทย เชน่ มีการแข่งขนั กันสงู มีการใหค้ ุณคา่ ของวัตถุสิ่งของมากกว่าความดีงาม มีการแกง่ แย่งชิง ดีกัน เอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า มีความเห็นแก่ตัว และมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองมากกว่า ผลประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าคนไทยมีแนวโน้มจะมีจิตสาธารณะต่ำลง ในอนาคต อันใกล้นี้ ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มตวั ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรบั การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในบริบทของการศึกษา ครูผู้สอนจึงควรสร้างจิตสาธารณะให้เกิดแก่ผู้เรียน เมื่อกล่าวถึงคำว่า “จิตสาธารณะ” มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย ซึ่งพอสรุปใจความสำคัญได้ว่า จิต สาธารณะหมายถึง จติ สำนกึ ทดี่ ีในการตระหนักถงึ หนา้ ที่ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สาธารณะมากกว่าตนเอง นั่นคือ การรู้จักการให้มากกว่าการรับ ยึดมั่นทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนร่วมมือในการ แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ในชมุ ชนหรอื สังคม โดยไม่ขดั ตอ่ กฎหมาย บคุ คลที่มจี ิตสาธารณะจะไม่น่ิงดูดาย อะไร ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าสามารถปลูกฝังให้เด็กหรือ เยาวชนได้ ก็จะเป็นประโยชนต์ อ่ สงั คม โดยเปน็ การช่วยลดปัญหาท่เี กดิ ขึ้นกับตนเองและสังคม และจะ ช่วยทำให้สังคมเป็นสขุ ในเชิงประจักษ์ได้ การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตสาธารณะเป็นหน้าที่ที่ครูผู้สอนทุกคนพึงตระหนักและต้อง ร่วมมือกันปลูกฝงั ให้เกิดแกผ่ ู้เรียน โดยการสอดแทรกไว้ในกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาที่ตนเองสอน แต่ละครง้ั หรอื อาจจะบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน ๆ ด้วยกไ็ ด้ ครูผ้สู อนควรให้ผเู้ รยี นเกดิ การ เรยี นรเู้ กี่ยวกบั จิตสาธารณะโดยผ่านการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง (Learning by doing) จากวธิ ีการทหี่ ลากหลายอย่างต่อเนื่อง และคอ่ ยเปน็ ค่อยไป อยา่ เร่งรีบจนเกนิ ไป ตัวอย่างกิจกรรมเพื่อ พัฒนาจิตสาธารณะ เช่น ครูให้ผู้เรียนช่วยกนั หาแนวทางในการแก้ปัญหาและรักษาสภาพแวดล้อมใน ชุมชนด้วยการไปทัศนะศึกษาและลงมือปฏิบัติกิจกรรมในสถานที่จริง หรือครูมอบหมายให้ผู้เรียน ช่วยกันคิดโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้บริหารและครูผู้สอนควร ประพฤตติ นเป็นแบบอย่างท่ีดใี ห้แก่ผู้เรยี น อาจกลา่ วได้ว่าจิตสาธารณะเป็นส่ิงทมี่ ีความสำคัญ มีความ จำเป็น อันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมในทุกระดับ ถ้าหากบุคคลในระดับครอบครัวได้รับการพัฒนา อย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง ดังนั้น การสร้างและปลูกฝังจิตสาธารณะต้องสร้างให้กับเด็กและเยาวชน 85

โดยเริ่มทั้งจากที่บ้านและโรงเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐานนับเป็นสถานท่ี สำคัญในการบ่มเพาะเด็กหรือผู้เรียนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประ ทศในอนาคต เพราะสถาบันการศึกษานอกจากมีหน้าที่อบรมสั่งสอนด้านวิชาการแก่ผู้เรียนแล้ว ควร จะต้องอบรมคุณธรรม จริยธรรมด้านจิตสาธารณะ โดยการปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักการเสียสละ การให้ มากกว่าการรับ ซง่ึ จะเป็นการเตรียมเข้าสู่การพัฒนาจิตใจตนเองของผู้เรียนสจู่ ิตสำนึกสาธารณะต่อไป ในอนาคต บทสรุป นโยบาย Thailand4.0 คือโมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่มีเป้าหมายสำคัญใน การขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความ“มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน”โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value – Based Economy) เน้นภาคการผลิตไปสู่ภาค บริการมากข้นึ และประชากรมีรายไดส้ ูง นัน่ หมายความวา่ ประเทศไทยจะตอ้ งมีการสร้างนวัตกรรมเป็น ของตนเอง และมีการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพสูง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน ประเทศ ซ่งึ การท่ีจะพัฒนาบุคคลให้มคี ุณภาพ มีความรู้ความสามารถสอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวได้ ดังนั้น การศึกษาจึงต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อก้าวเข้าสู่ “การศึกษา 4.0” อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในการเรียนรู้ใด ๆ ก็ตาม ผู้เรียนจะต้องได้รับการสอนให้มี “ความรู้คู่คุณธรรมและมีทักษะในศตวรรษที่ 21” ได้แก่ ทักษะการคิดเชิงบริหาร ทักษะการใช้ Internet ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ทักษะการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ ทกั ษะการแก้ปญั หาทักษะความคิด สร้างสรรค์ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ทักษะด้าน คณิตศาสตร์ และทกั ษะด้านจิตสาธารณะ นอกจากน้ี ครูผ้สู อนควรนำแนวทางของ STEM Education, Active Learning และ Problem Based Learning มาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความ เข้าใจและรเู้ ทา่ ทันโลกหรือสถานการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กิดขึน้ และในการจดั การเรียนรทู้ ุก ๆ วิชาควรมีความ ทนั สมัย มคี วามยดื หยุน่ สามารถปรบั เปลย่ี นได้ตามความเหมาะสมและความถนัดของผู้เรียน ครูผูส้ อน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง และรู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดย บทบาทและหน้าท่ีของครผู สู้ อนในยุค Thailand 4.0 คอื เปน็ ผูอ้ านวยความสะดวกในการเรียนรู้ที่ทำ หน้าท่ีหล่อหลอมให้ผู้เรียนเกดิ “ทักษะ” ด้านต่าง ๆ และมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ตลอดจนส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้ใช้การคิดวิเคราะห์การแก้ปัญหา และการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ องค์ความรู้ที่มีอยู่มาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผลผลิตหรือนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาได้อันเป็น ฐานในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทย จะต้องมีนวัตกรรมเป็นของตนเองและก้าวไปสู่ประเทศยุค 4.0 อย่างเต็มตัว รวมทั้งเปลี่ยนแปลงจาก “ประเทศก าลังพฒั นา” ไปสู่ “ประเทศพัฒนาแลว้ ” อย่างแนน่ อน 86

เอกสารอา้ งอิง ภาษาไทย กิติยา เกา้ เอีย้ น. (2558). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใชแ้ นวคิดของวิลเลยี มสท์ มี่ ตี ่อความคิด สรา้ งสรรคข์ องเด็กปฐมวยั . วารสารวิจัยทางการศกึ ษา. 9(2): 13–21. ชยั วฒั น์ สุทธริ ัตน.์ (2557). เทคนคิ การใชค้ ำถามการพฒั นาการคิด (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4). กรงุ เทพฯ:วีพรินท์. ชนาธิป พรกลุ . (2552). การออกแบบการสอน: การบรู ณาการ การอา่ น การคิดวเิ คราะห์ และการเขียน. กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ดเิ รก พรสมี า. (4 พฤศจิกายน 2559). ครไู ทย 4.0. มติชนออนไลน์. สืบคน้ จาก https://www.matichon.co.th /news/345042. ทิศนา แขมมณ.ี (2553). ศาสตรก์ ารสอน องค์ความรูเ้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรียนรูท้ ี่มีประสทิ ธิภาพ (พิมพ์ครั้งท่ี 13). กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . _______. (2556). รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ธนวัฒน์ศรีไพโรจน์, ดุษฎี โยเหลา และ ปยิ ดา สมบตั จิ นิ ดา. (2561). อทิ ธพิ ลของโปรแกรมการโคช้ การจดั การ เรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐานทีม่ ตี ่อสมรรถนะของครูผู้สอน. Veridian E-Journal, Silpakorn University. 11, 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม) : 96-110. นพรัตน์มีศรี และอมรินทร์เทวตา. (2561). “ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้และความคิด สร้างสรรค์ของพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยศิลปากร.” Veridian E-Journal, Silpakorn University. 11, 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม) : 21-34. สรา้ งเดก็ ไทย ยคุ 4.0. (13 ธนั วาคม2559). บา้ นเมือง. สืบคน้ จากhttp://www.banmuang.co.th/ news/Bangkok/70354. ธูปทอง กวา้ งสวาสด์.ิ (2554). การสอนการคิด. กรุงเทพฯ: ส านักพมิ พ์ขา้ วฟ่าง. นันทนา วงษ์อินทร์. (2543). การพัฒนาอารมณ์.หนังสือรวมบทความทางวิชาการเร่ืองอีคิว. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์ . นวรัตน์ รามสูตและบัลลังก์ โรหิตเสถียร. (สิงหาคม 2559). การศึกษาไทย 4.0 ในบริบทการจัดการ ศกึ ษาเพือ่ การพฒั นาท่ยี ั่งยืน.ขา่ วสำนักงานรฐั มนตรี. สืบคน้ จากhttp://www.moe.go.th/ websm/2016/aug/354.html. ประพนั ธ์ศริ ิ สเุ สารัจ. (2556). การพัฒนาการคิด (พิมพ์คร้งั ท่ี 5). กรุงเทพฯ: 9119 เทคนคิ พร้ินต้ิง. โพยม จนั ทรน์ ้อย. (12 มีนาคม 2560). การศกึ ษา 4.0. ผูจ้ ัดการออนไลน์. สืบคน้ จาก http://www. manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9600000025195. 87

เอกสารอ้างองิ (ตอ่ ) ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2555). การใช้วิธีการพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนแบบ Open Approach เพื่อสง่ เสรมิ การพัฒนาวิชาชีพครคู ณติ ศาสตรแ์ บบ Lesson Study Approach. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2558). การพัฒนาวิชาชีพครูคณิตศาสตร์ด้วยนวัตกรรมการศึกษาช้ันเรียน (Lesson Study) และวธิ กี ารแบบเปิด (Open Approach).เอกสารประกอบการอบรมเรอื่ งการ พฒั นาวชิ าชพี ครคู ณิตศาสตรด์ ว้ ยนวตั กรรมการศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) และวิธกี ารแบบ เปิด (Open Approach) ในเขตพืน้ ท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรธี รรมราช: มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช. ลกั ขณา สริวัฒน์. (2558). การรคู้ ิด (Cognition). กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. วิรชั ปณั ฑศ์ ริ โิ รจน.์ (2559). Education 4.0. สบื ค้น 16 มกราคม 2561, จาก http://www.applicadthai. com/articles/education-4-0. สังคมไทยเลีย้ งลูกผิดทาง เนน้ “อ่านเขียน” ลืมพัฒนาสมอง “EF” เพ่มิ ทักษะชวี ติ อึ้ง! เดก็ ไทยบกพรอ่ งถึง 30%. (19 พฤศจิกายน 2559). ผจู้ ดั การออนไลน์. สบื คน้ จาก http://www.manager.co.th/Daily/ ViewNews.aspx?NewsID=9590000115758 เสาวลกั ษณ์ พสิ ิษฐ์ไพบูลย.์ (2559). ขับเคลือ่ นการศึกษาไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0. สืบคน้ 14 ตุลาคม 2560, จาก http://www.thaihealth.or.th/Content/33499%-ขบั เคลือ่ นการศกึ ษาไทยสู่%ไทย แลนด์ %204.0.html อานนท์ ศกั ดวิ์ รวิชญ์. (8 มกราคม 2560). 11 คุณลักษณะของคนไทย 4.0 ทต่ี อ้ งปฏิรูปจะชว่ ยให้ Thailand 4.0 เป็นความจริง. ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นจาก http://www.manager.co.th/Daily/View News.aspx?NewsID=9600000002086. อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์.(2552). หนังสือชุดสร้างลูกให้เป็นอัจฉริยะ (เล่มที่ 2 ฝึกลูกรักให้เป็นนักคิด). กรุงเทพฯ: ไทยยเู น่ียนกราฟฟิกส์. เอกนฤน บางทา่ ไม.้ (2561). “การพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานเพ่ือสง่ เสริม ความสามารถในการแก้ปัญหาในรายวิชาการถ่ายภาพดิจทิ ลั สำหรบั นกั ศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศกึ ษาศาสตรม์ หาวิทยาลัยศลิ ปากร” Veridian E-Journal, Silpakorn University, 11, 1 (มกราคม–เมษายน): 30-51. ภาษาต่างประเทศ Anderson, J. R. (1995). Cognitive psychology and its implications (4th edition). New York: W.H. Freeman and Company. 88

บทท่ี 6 ศตวรรษที่ 21 : ทกั ษะการเรยี นรู้สูค่ วามเป็นครมู ืออาชีพ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน การพัฒนาทักษะการ เรียนรู้ถอื เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของครใู นศตวรรษที่ 21 จึงต้องปรับตัวให้เข้ากบั การเรียนร้ใู ห้ เท่าทนั ยุคสมัยที่เปลยี่ นแปลงไป ท้ังนต้ี ้องพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง โดยเฉพาะความเป็น ครูมืออาชีพ เพื่อให้สามารถชี้แนะ และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตลอดเวลา นอกจากนี้ ครูไทยในอนาคตยังต้องมีความรู้จริงในเร่ืองที่สอน และต้องมีเทคนิควิธกี ารให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ จากประสบการณ์ รวมทั้งจัดกิจกรรมเชื่อมโยงความรู้จากแหล่งเรียนรู้ภายนอก ฝึกให้ผู้เรียนทำงาน เป็นทีม เป็นนักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และ แสดงออกซึ่งความรักและความห่วงใยต่อผู้เรียน ทั้งนี้กระบวนการเรียนการสอนดังกล่าวจะสัมฤทธ์ิ ผลได้ ถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันหาทางลดปัญหาและอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนาครู ซึ่งแนวทางและ ความเป็นไปได้ในการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 นั้น ต้องดำเนินการทั้งด้านนโยบายและด้านการ พัฒนาตนเองของครคู วบคู่กนั ไป จงึ จะทำใหค้ รูเปน็ ครมู อื อาชพี อยา่ งแทจ้ รงิ 89

บทนำ ทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21 (21ST Century Skills) เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิตของประชาชนคนไทย ในฐานะการเป็นพลเมืองของโลก ที่มีการดำรงชวี ติ ท่ามกลางโลกแหง่ เทคโนโลยีโลกของเศรษฐกิจและการค้า โลกาภิวัตน์กับเครือข่าย ความสมดุลยของสิ่งแวดล้อมและ พลงั งาน ความเปน็ สังคมเมอื ง และความเป็นโลกส่วนตัวอยู่กับตัวเอง ซึง่ คนไทยยงั ตดิ กบั ดกั และวงั วน ของการเป็นผใู้ ช้ ผู้บริโภค และผูซ้ ้อื ขาดการประมาณตนในการใชใ้ ห้เหมาะสมพอเพยี งตอ่ เนื้องาน ตก เป็นทาสทางความคิด ไม่สามารถเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดการใช้งาน และก้าวไม่ผ่านไปสู่ การเป็นผู้คิดนวัตกรรม นำไปใช้เพื่อดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีคุณภาพอย่างเหมาะสม (วิจารณ์ พานิช ,2555) ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการศึกษาภายใต้ยุทธศาสตร์ของการปฏิรูป การศึกษาในศตวรรษที่ 21 นั้นได้กล่าวถึง การศึกษากับการพัฒนาสังคมเป็นหลักสำคัญโดยรวมของ ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนา ซึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์ของการปฏิรูป การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในปัจจุบันได้มุ่งเน้นในมิติของการพัฒนา 4 มิติ ที่สำคัญ ได้แก่ การปฏิรปู นักเรยี นยคุ ใหม่ การปฏิรปู ครยู คุ ใหม่ การปฏริ ูปโรงเรยี นยคุ ใหมห่ รือแหล่งเรยี นรู้ยุคใหม่และการปฏิรูป ระบบบริหารจัดการยุคใหม่ ซึ่งในทุกมิตินั้นจะมีความสอดรับสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ บรรลุผลของการปฏิรูปการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 (สุรศักดิ์ ปาเฮ, 2556) สำหรับการปฏิรูปเพื่อ พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่นั้น ได้มีข้อเสนอแนะในเชิงยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปครูและบุคลากร ทางการศึกษาหลากหลายแนวทางตามข้อเสนอของคณะกรรมการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้เสนอแนะไว้ ทั้งนี้เพื่อสร้างให้ครูยุคใหม่มีบทบาทในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และ สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคณุ ภาพ มาตรฐาน และในขณะเดียวกันสามารถพัฒนาตนเอง และแสวงหาความรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นนั้น บุคคลสำคัญที่สุดใน กระบวนการพัฒนาการศึกษา และการพฒั นาการเรียนรู้ กค็ อื “คร”ู ครยู งั คงเปน็ ผ้ทู ีม่ ีความหมายและ ปจั จัยสำคัญมากที่สดุ ในห้องเรยี น และเป็นผ้ทู ่ีมคี วามสำคัญต่อคุณภาพการศึกษา ท้ังน้ีเพราะคุณภาพ ของผู้เรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพของครู(McKinsey, 2007; วรากรณ์ สามโกเศศ, 2553; ดิเรก พรสีมา, 2554) ครูเป็นปัจจัยสำคัญในระดับโรงเรียนที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมากที่สุด จึงจำเป็นท่ี จะต้องให้ครูได้รับการพัฒนาคุณภาพ มีศักยภาพ เป็น “ครูเพื่อศิษย์” อย่างสมบูรณ์ มีทักษะการ เรียนรู้ และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตของตนเอง ระหว่างเป็นครูเป็นการ เรียนรู้และมีศักดิ์ศรีสำหรับการเป็นครูเพื่อศิษย์และเพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง มีสมรรถนะและ ความเชี่ยวชาญในการท างานที่ประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ดีต่อการทำงานที่เน้น ทักษะมากกว่าความรู้ (กฤษณพงศ์ กีรติกร, 2557) เปลี่ยนวิธีการสอน ท่ีเน้น “วิชาเป็นตัวตั้ง”เป็น “เน้นชีวิตผู้เรียนเป็นตัวตั้ง” (ประเวศ วะสี, 2553) หรือ มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (ราชกิจจานุเบกษา, 90

2542) อยา่ งจริงจัง มกี ารพัฒนาวชิ าชพี เป็นท่ียอมรับของสงั คม เปน็ ครทู ่มี คี ่า คือเป็นครูท่ีทำงานแต่ไม่ ทำเงิน คิดถึงส่วนรวม มากกว่าส่วนตน ค้นคว้าเพิ่มพูน ปัญญา และเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณา (สุมน อมรววิ ฒั น์, 2555) อนาคตการศึกษาไทย การปฏิรูปการศึกษาไทยได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างพยายาม พัฒนาและดำเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างมาก ซึ่งการจะพัฒนาการศึกษาไทยจะประสบ ความสำเร็จได้ในสภาพยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการในเชิงรุก ร่วมดว้ ยน่นั หมายความถงึ การให้ความสำคัญกับการคาดการณ์แนวโน้มอนาคตทางด้านการศึกษา เพ่ือ นำมาใช้ประกอบการจัดการศึกษาไทยได้สอดคล้องสภาพการเปลี่ยนแปลง หลีกเลี่ยงอุปสรรคปัญหา และใช้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอนาคตที่จะมาถึง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาคือ พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ซงึ่ ได้นยิ าม คำวา่ “การศกึ ษา” เปน็ กระบวนการเรยี นรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสาน ทางวฒั นธรรม การสร้างสรรคจ์ รรโลง ความก้าวหน้าทางวชิ าการ การสรา้ งองค์ความรู้อันเกิดจากการ จัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัย เกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การ จัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี ความสุข” จากนิยาม และความมุ่งหมายดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการศึกษาเป็นกลไกสำคัญ ในการพฒั นามนุษย์ใหม้ ีความสมบรู ณ์ และการเรยี นรขู้ องมนุษยน์ ้ันสามารถเรียนรูไ้ ด้ตลอดเวลา รัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เสนอโครงการพัฒนาครูรูปแบบ ครบวงจรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการกำหนดนโยบายในการปฏิรูป ระบบผลติ และพัฒนาครเู พ่ือตอบสนองต่อการพัฒนาทรพั ยากรบุคคลอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ สูงสุด มคี วามสอดคลอ้ งกับ แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561 – 2580) ยุทธศาสตร์ชาติดา้ นการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มีนโยบายกำหนด กรอบวงเงินให้ครูรายบุคคล เพื่อใช้เป็นทุนในการพัฒนาตนเอง ตามความต้องการจำเป็นของครู รายบุคคล คนละ 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) ต่อคน/ต่อปี โดยเป็นค่าลงทะเบียน ค่าพาหนะ เดินทาง ค่าที่พักและค่าเบี้ยเลี้ยง เลือกการพัฒนาจากกิจกรรมหรือ โครงการที่ผ่านการรับรองจาก สถาบันครุ พุ ัฒนา จากนโยบายดังกลา่ ว สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พืน้ ฐานจงึ ได้ดำเนินการ โครงการพฒั นาครรู ปู แบบครบวงจรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พน้ื ฐาน โดยดำเนินการ คัดเลือกหลักสูตรที่สถาบันคุรุพัฒนา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภารับรอง และประชาสัมพันธ์ให้ครูได้ 91

เลอื กหลักสูตรเพื่อพัฒนาตนเองตามความตอ้ งการ ความจำเป็น ตามแผนพฒั นา ตนเองรายบุคคล (ID PLAN) ในระบบลงทะเบียนและติดตามประเมนิ ผลครผู ้เู ขา้ รับการพัฒนา training.obec.go.th เพ่ือให้ ครูสามารถเลือกอบรมตามความต้องการ และหน่วยงานส่วนกลางสามารถ บริหารจัดการจัดสรร งบประมาณไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับครูที่แจ้งความ ประสงค์เข้ารับ การอบรมในหลักสูตร ต่าง ๆ และสามารถทราบความต้องการในการพัฒนาตนเองของครูในภาพรวม ได้ และนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ให้ กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับครู ให้พัฒนาครูโดยการจัดสรรวงเงิน ตอ่ หัวในการพัฒนาเพ่ิมพูนความรขู้ องครู (คูปองคร)ู ใหเ้ หมาะสม สภาพการณ์ครูไทยกับทกั ษะการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 นบั จากอดตี ถงึ ปจั จบุ ัน สังคมไทยยังคงให้ความสำคัญตอ่ “ครู” ว่าเป็นบุคคลทีจ่ ะส่งเสรมิ และ สรรค์สรา้ งการเรียนรขู้ องผเู้ รียนให้มีคุณภาพ และเมื่อสถานการณ์การเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งที่เป็น การเรียนรู้ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ที่ก่อให้เกิดการเรยี นรู้ตลอดชีวิต ที่จำเป็นต้องได้รบั การ ส่งเสริม พัฒนาและยกย่องเพื่อร่วมกันปกป้องและเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก หรือผู้เรียนให้ เป็นผู้ที่มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมอันดีงาม รวมทั้งมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นคนดีของชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ (พิณสุดา สิริธรังศรี, 2557) ดังนั้น หนึ่งในส่วนสำคัญของการพัฒนา การศึกษาและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้คือ “ครู” เพราะคุณภาพของผู้เรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพ ของครูเปน็ สว่ นสำคญั อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ครูไทยในปัจจุบันยังมีปัญหาที่ควรได้รับการพัฒนาอีกหลาย ประเด็น จำนวนครูในสถานศึกษามีปริมาณที่แตกต่างกันมากระหว่างเมืองกับชนบท ในบางเมืองมี จำนวนครูเกนิ เกณฑ์ที่กำหนด ในขณะทีบ่ างพ้ืนทช่ี นบทมจี ำนวนครูต่ำกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด ซ่ึงทำให้ใน บางพื้นที่ครูหน่ึงคนตอ้ งสอนมากกว่าหนึ่งชั้นเรียน เพราะครูไม่เพียงพอ เวลาอยู่ที่โรงเรียน ครูใช้เวลา กับการเตรียมสอนและการอยู่ในชัน้ เรียนนอ้ ยลง เพราะตอ้ งทำงานเอกสารและทำการประเมนิ ซึ่งการ ประเมินครโู ดยสว่ นมาก มุ่งดทู ีว่ ิทยฐานะของครูเปน็ หลกั จนละเลยการพิจารณาท่ีคุณภาพของตัวเด็ก ทำให้ครูทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สอน ให้ความรู้ในรูปแบบของ Teacher-centered ไม่สามารถทำหน้าที่ เป็นผู้จุดประกาย หรือสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่าน้ัน ระบบผลิตบุคลากรทางการศึกษาของประเทศไทยไม่สามารถผลิตครูที่เข้าใจความหลากหลายของ สังคมไทย จึงไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ มีจิตวิญญาณความเป็นครู มีหลักการทาง จิตวิทยาในการสอน และเข้าใจในความเปน็ ชุมชนของแต่ละท้องถ่ิน ทำให้บุคลากรทางการศกึ ษาขาด คณุ ภาพในการจดั การเรียนการสอน ซ่ึงสง่ ผลต่อคุณภาพการศึกษาไทยโดยรวม 92