ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ดั ง ก ล่ า ว เ ป็ น สิ่ ง ท่ี ส ะ ท้ อ น ถึ งพั ฒ น า ก า ร ข อ ง ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ต า ม เ ง่ื อ น ไ ข ท า ง ก า ย ภ า พการเมือง และสังคม ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพาะท่ีสำ�คัญของพื้นท่ีสาธารณะ ที่ตรงข้ามกับพ้ืนท่ีส่วนตัว โดยท่ีมาดานีพัวร์ (2003)ให้ความหมายของสาธารณะ ในลักษณะที่กลุ่มคนจำ�นวนมากท่ีอยู่ในสังคมมีความคิดที่เป็นสาธารณะร่วมกันซ่ึงประกอบเป็นชมุ ชนหรอื รัฐเดยี วกนั ในบทความนตี้ ้ังข้อสังเกตถงึ ความเข้าใจเชงิ อุดมคติทว่ี ่า โดยทั่วไปนัน้ พื้นท่ขี องเอกชนนนั้ ถูกควบคมุ การใชพ้ นื้ ทโี่ ดยกฎหมายข้อบงั คบั ตา่ งๆ สว่ นพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่สำ�หรับทุกคนในชุมชนท่ีไร้กฎข้อบังคับใดๆ แต่เม่ือพิจารณาถึงบริบทปัจจุบันจะพบว่าทุกวันนี้ชีวิตสาธารณะมีความเชื่อมโยงเก่ียวข้องกันระหว่างความเป็นสาธารณะและความเป็นส่วนตัวทั้งท่ีมีความสอดคล้องและขัดแย้งกันบนพ้ืนท่ีสาธารณะเดยี วกนั ซง่ึ มารค์ ฟรานซสิ (1989: 150) อธบิ ายในบทความ Control as aDimension of Public-Space Quality ถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพน้ื ทสี่ าธารณะและการจัดการนั้นเช่ือมโยงกับรูปแบบชีวิตสาธารณะท่ีเปล่ียนแปลงอันส่งผลต่อพัฒนาการการออกแบบและการจดั การของพนื้ ทส่ี าธารณะ ดงั นน้ั พนื้ ทสี่ าธารณะประเภทใหมท่ เี่ กดิขึ้นนั้นจึงเกิดพัฒนาการการเปล่ียนแปลงตามลักษณะการใช้พ้ืนท่ีและระบบการจัดการของพน้ื ที่ มารค์ ฟรานซสิ ยงั นยิ ามเพม่ิ เตมิ ถงึ ค�ำ วา่ สาธารณะ ในบรบิ ทเมอื งสมยั ใหม่วา่ เป็นตวั แทนของรฐั (State) และสังคม (Society) ส่วนคำ�วา่ สว่ นตัวเปน็ ตัวแทนของการตลาด (Market) และความเปน็ บคุ คล (Persons) แสดงใหเ้ หน็ วา่ การใหค้ วามหมายนนั้มคี วามเขา้ ใจถงึ ธรรมชาตขิ องพนื้ ทสี่ าธารณะทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป และยงั เปน็ เหตผุ ลส�ำ คญัในการขยายความรคู้ วามเขา้ ใจความเปน็ สาธารณะของพน้ื ทส่ี าธารณะในบรบิ ทปจั จบุ นั 2-32
ชารล์ ส์ กดู เซลล์ (Goodsell, 2003) ได้แบ่งหมวดแนวความคดิ ของพนื้ ทส่ี าธารณะไวใ้ นบทความ TheConcept of Public Space and Its Democratic Manifes- tations เพ่อื แสดงความแตกตา่ งซง่ึ สามารถจำ�แนกได้ดังน้ี ตารางท2่ี .1 เปรียบเทยี บแนวคิดของพน้ื ทีส่ าธารณะของชาร์ลส์ กดู เชลล์ ท่มี า : Goodsel 20032-33
ส่วนแรกเป็นการมองถึงปัจจัยหลัก ส่วนท่ีสองเป็นมุมมองของการวางผังเมืองกูดเซลล์ ของปริมณฑลสาธารณะคือการเข้าถึงที่เป็นสากล (2003)กล่าวถึงพื้นที่สาธารณะน้ันเก่ียวข้องกับการสร้างพ้ืนท่ี (Universal Access)เช่นเดียวกับพ้ืนที่ทางสังคม เปิดโล่งทางกายภาพเพื่อทำ�ให้เกิดความสัมพันธ์กับลักษณะการ (Universal Access as a Social Realm) ทผี่ ู้คน ใช้ที่เป็นสาธารณะและเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีให้กับคนใน สามารถแสดงออกถงึ การกระท�ำ ทเี่ ปน็ สาธารณะภาย เมืองจากมุมมองนี้จะสังเกตได้ว่าพื้นท่ีสาธารณะบางพ้ืนที่น้ันไม่ ใตเ้ งอื่ นไขของสงั คมเดยี วกนั ในมมุ มองนเ้ี ปน็ การมอง ได้รองรับการใช้งานเพียงแค่เป็นพ้ืนท่ีนันทนาการพักผ่อนของ พื้นที่สาธารณะในเชิงสังคม (Socially-oriented)ท่ี ชุมชนเท่าน้ัน แต่ในบางกรณียังกลายเป็นพ้ืนท่ีท่ีรองรับและแสดง สอดคล้องกับการนิยามพ้ืนที่สาธารณะของอาเร็ บทบาทของการเป็นสถานที่เชิงการเมืองด้วย(Low,2000)มาก นท์ (1998) ท่วี า่ “บรรยากาศของการแสดงออก ไปกว่าน้ัน สตีเวน คาร์ (Carr, 1992) มองว่า “พื้นท่ี” กับ ในเร่ืองสาธารณะเป็นสิทธิของพลเมือง”1รวม ประสบการณ์ของคนน้ันสามารถเชื่อมต่อกันในเร่ืองของความ ถึงความคิดเร่ืองพ้ืนท่ีสาธารณะของฮาเบอร์ ทรงจำ�ในอดีต ยกตัวอย่างเช่น พนื้ ท่ีทางประวตั ิศาสตร์กบั พืน้ ที่ มาส (1992) ที่อธิบายปริมณฑลสาธารณะ สาธารณะในเมืองท่ีให้ผู้คนมีประสบการณ์ร่วมกับเมืองท้ังพัผ่อน ว่า สาระสำ�คัญอยู่ท่ีการสื่อสารท่ีเป็นกลาง2 นนั ทนาการ และการเมอื งตามชว่ งยุคสมัยอีกนัยหนง่ึ พน้ื ที่ต่างๆ ดงั นนั้ ในนยิ ามของปรมิ ณฑลสาธารณะใน เหล่าน้ียังทำ�หน้าท่ีเชื่อมโยงการเข้าถึงกับพ้ืนท่ีอ่ืนๆ ภายในเมือง หมวดนจี้ งึ มงุ่ ท�ำ ความเขา้ ใจพนื้ ทสี่ าธารณะในขอบเขต เข้าด้วยกัน แม้กระท้ังถนนสายหลักกลางเมืองท่ีกลายเป็นพื้นท่ี ของความเป็นรัฐและความเป็นสังคมที่เป็นองค์รวม จัดแสดงมหรสพการละเล่น งานแสดงศิลปะ ถนนคนเดิน ตาม เดียวกันโดยให้ความสำ�คัญกับความเป็นเอกภาพ เทศกาลประจำ�ปีซ่ึงชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางกายภาพระหว่าง (Unity)และความเท่าเทียม(Equality)กันของสังคม คนพื้นท่ีและลักษณะการใช้งานท่ีเป็นสาธารณะได้เป็นอย่างดีภาพท2่ี .27 ความสมั พันธ์ของคนในพืน้ ทีส่ าธารณะทม่ี า : www.behance.net/gallery/2967981 2-34
ส่วนที่สาม กูดเซลล์ (2003) มองพ้ืนท่ีสาธารณะ ภาพท่2ี .28 พืน้ ท่พี ักผ่อน Time Square ,New York ในฐานะที่เป็นสถาปัตยกรรมสาธารณะ (Public Architec- ที่มา : www.wired.com/2017/04/brilliant-simplicity-new-yorks-new-times-square/ ture)โดยอ้างว่ารูปแบบการออกแบบของพ้ืนท่ีเชิงสัญลักษณ์ มีผลต่อการเป็นพื้นท่ีแสดงอำ�นาจทางการเมืองดังจะเห็น ได้จากอาคารสาธารณะอาคารราชการและอาคารประเภท อนุสาวรีย์น้ันมีความหมายเชิงสังคมที่ผูกติดกับความทรงจำ� และการเข้าถึงพ้ืนที่กายภาพเชิงสัญลักษณ์ของผู้คนในเมือง เห็นได้ว่าปริมณฑลสาธารณะเป็นพื้นที่ที่มีแนวคิดใน มิติที่หลากหลาย ก่อรูปข้ึนจากท้ังความคิดเห็นสาธารณะและ ความคิดเห็นที่เป็นปัจเจกเข้าด้วยกันผ่านพ้ืนที่สาธารณะทาง กายภาพของเมือง อย่างท่ีเห็นได้ชัดเจนกับบทบาทของพ้ืนท่ี สาธารณะที่เป็นท่ีรวมตัวกันของผู้คนอย่างอโกร่า (Greek Agora)ในสังคมกรีกโบราณจนถึงพื้นที่โล่งสาธารณะในปัจจุบัน อย่างเช่น พ้ืนท่ีลานโล่ง จัตุรัสเมือง สวนสาธารณะ และ พื้นท่ีสาธารณะอย่างสภากาแฟ (Coffee House)ท่ีเร่ิมต้น ตั้งแต่ช่วงศตวรรษท่ี 16 ของเมืองต่างๆ ในยุโรป (Mada- nipour, 2004) ซ่ึงสะท้อนถึงบรรยากาศสาธารณะผ่านพื้นท่ี ทางกายภาพของเมืองท่ีถือเป็นต้นแบบของพ้ืนที่สาธารณะ ที่แท้จริงท่ีผู้คนมีประสบการณ์ร่วมกันเกิดเป็นชีวิตสาธารณะ2-35
2.6.1 ความเป็นสาธารณะของพืน้ ทส่ี าธารณะเชิงกายภาพ ภาพท2่ี .29 ขอบเขตพ้ืนท่ีสว่ นตวั ท่มี า : www.behance.net/gallery/2967981 แนวความคดิ ของความเปน็ สาธารณะเปน็ การอา้ งองิ ถงึ คณุ ลกั ษณะทางกายภาพของพื้นท่ีและลักษณะพฤติกรรมทางสังคมท่ีเก่ียวข้องกับผู้คนในพืน้ ท่ี (Forrest and Paxson, 1979) พืน้ ทส่ี าธารณะมีระดับของความเป็นสาธารณะท่ีแปรผันตามลักษณะของการครอบครองและการจัดการของผู้มีสว่ นรว่ มในพนื้ ทท่ี ม่ี คี วามหลากหลายทรี่ วมถงึ ทงั้ ชว่ งอายุ เพศ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุระดบั ชนชนั้ รวมถงึ กลมุ่ คนอนื่ ๆ ทเ่ี ปน็ ความสมั พนั ธใ์ นเชงิ พฤตกิ รรมในสงั คมจากการศึกษางานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ความเป็นสาธารณะของพื้นที่สาธารณะน้ันมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัดอย่างต่อเน่ือง ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสูญเสียปฏิสัมพันธ์กันทางสังคมภายในเมืองอย่างมาก จากงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับพื้นท่ีสาธารณะนั้นยืนยันว่า พื้นที่สาธารณะนั้นไม่ได้ทำ�ให้เกิดการพัฒนาเพียงแค่สภาพแวดล้อมทางกายภาพของเมืองให้ดีเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมอื งได้เป็นอย่างดี(Compton, 1993; Llyod and Auld, 2003; Loganand Molotch, 1987; Madanipour, 2003; Young, 1990)ซ่ึงจะเห็นว่าทัศนคติเก่ียวกับการท่ีพ้ืนท่ีจะเป็นพื้นท่ีสาธารณะท่ีมีคุณค่าได้นั้น ต้องเป็นพ้ืนที่ที่สามารถเปิดโอกาสให้เกิดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและมีการแลกเปลี่ยนกันทั้งเชิงความหมายและเชิงคุณค่าทางวัฒนธรรมพ้ืนที่สาธารณะและพื้นท่ีส่วนตัวนั้นแยกออกจากกันไม่ได้ หรือเป็นเหมือนองค์ประกอบซึ่งกันและกันท่ีอยู่ภายในเมืองในฐานะพ้ืนที่ทางกายภาพของเมืองซ่ึงปรากฏอยู่ในหลายๆ รูปแบบ เช่น ถนน ตลาด ลานพลาซ่าลานเมือง สวนสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งแต่ละพ้ืนท่ีต่างมีลักษณะทางกายภาพท่ีแตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วพื้นท่ีถูกใช้และทำ�หน้าท่ีเช่ือมระหว่างกลุ่มอาคารและกิจกรรมต่างๆ ในเมืองเข้าด้วยกัน 2-36
สตีเวน คาร์ (1992: 30) กล่าวว่าถนนเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ ระบบการสื่อสารของเมือง ในท่ีน้ีความหมายของวัตถุที่เคล่ือนท่ี รวมถึงคนและ ข้อมูลที่มีการเคลื่อนจากตำ�แหน่งหน่ึงไปอีกตำ�แหน่งหนึ่ง ที่มากไปกว่านั้น พื้นท่ี ยังรองรบั ชวี ติ สาธารณะทง้ั ในเชงิ สัญลักษณ และหน้าท่ีใชส้ อยไปพร้อมกัน โดย ทั่วไปพ้ืนที่สาธารณะทางกายภาพนั้นถูกนิยามถึงการเข้าถึง (Accessibility) ซ่ึงเป็นการรับรู้ถึงธรรมชาติเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Nature) ของพื้นท่ี กิจกรรมต่างๆ (Activities) ผลประโยชน์(Interest) สิทธิ (Right) ของผู้คนใน พื้นท่ที ี่แสดงถงึ ต�ำ แหน่งที่ต้งั (Location) และการออกแบบ (Design) ของพ้ืนท่ี ส่วน เบรโ์ ตโรนี่ (Bertoloni, 2003: 31) กล่าววา่ พื้นทีส่ าธารณะท่เี ปน็ พ้ืนทท่ี ีผ่ ู้คน มากมายเข้ามาสู่พ้นื ที่และสามารถทำ�กจิ กรรมทม่ี คี วามแตกต่างกันได้ ซง่ึ ในประเด็น ของการเข้าถึงสามารถศึกษาทำ�ความเข้าใจได้ผ่านทั้ง 4 เกณฑ์การเข้าถึงทาง กายภาพของพน้ื ที่ การเขา้ ถงึ กจิ กรรม การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และการเขา้ ถงึ ทรพั ยากร2-37 ภาพท่ี 2.30 งานเทศกาล Time Square ,New York ทม่ี า : www.wired.com/2017/04/brilliant-simplicity-new-yorks-new-times-square/
ในบริบทปัจจุบัน การวิเคราะห์พื้นที่สาธารณะเพื่อประเมินความเป็น นอกจากปฏสิ ัมพนั ธข์ องผใู้ ช้และประสบการณท์ ก่ี ลา่ วสาธารณะนั้นเป็นเรื่องท่ีซับซ้อนเน่ืองจากพ้ืนท่ีน้ันประกอบด้วยปัจจัยท่ีหลาก ขา้ งต้น ท่ีเป็นปัจจยั ในการรับรู้ความเปน็ สาธารณะยงั ต้องค�ำ นงึหลาย โดยธรรมชาติที่แท้จริงของพื้นที่สาธารณะนั้นสามารถแปลงพื้นที่เองให้ ถงึ ในทางภาคปฏิบตั ิทม่ี ปี จั จยั ทางด้านกฎหมายและข้อบังคับ ทม่ี ีเป็นได้ท้ังพ้ืนที่เชิงอำ�นาจ เช่น กลายเป็นพื้นท่ีของการประท้วงและยังเป็นพื้นท่ี อทิ ธพิ ลตอ่ ความเปน็ สาธารณะในการจดั การพน้ื ที่ อยา่ งท่ี สตเีวนสำ�หรับการเฉลิมฉลองของคนในเมืองได้ (Davison, 1994: 4-9) เน่ืองจาก คาร์ (1992) ระบุว่าความเป็นสาธารณะประกอบด้วยสิทธิเหนือพ้ืนที่น้ันมีศักยภาพของการใช้สอยโดยที่ผู้คนมารวมตัวกันเพ่ือแสดงออกตาม พนื้ ที่ 5 ประการดงั น(้ี 1) สทิ ธใิ นการเขา้ ถงึ และอยใู่ นพน้ื ทส่ี าธารณะวัตถุประสงค์แต่ละกลุ่มคนผ่านพ้ืนที่ตัวแทน ในขณะเดียวกันยังเป็นการใช้สอย (2) สทิ ธเิ สรภี าพในการกระท�ำ กจิ กรรมในพนื้ ทส่ี าธารณะ (3) สทิ ธิพื้นท่ีในลักษณะพื้นที่เชิงสัญลักษณ ่ีแสดงถึงการปรากฏตัวของกลุ่มคนใน ในการเรยี กรอ้ งและใชท้ รพั ยากรในพน้ื ทสี่ าธารณะ (4) สทิ ธใิ นการพ้ืนท่ี ซ่ึงในประเด็นของการเปิดให้เข้าถึงของพื้นท่ี จึงเป็นการแสดงถึงความ เปลีย่ นแปลงปรับปรงุ พ้นื ท่ีสาธารณะ (5) สทิ ธใิ นการเปน็ เจา้ ของเป็นสาธารณะน่ันเองปัจจัยอื่นๆ ของความเป็นสาธารณะหรือความเป็นส่วนตัว พ้นื ทีส่ าธารณะ ซง่ึ การเข้าถึงเปน็ ส่วนประกอบหลักทช่ี ัดเจนของของพ้ืนท่ีสามารถพิจารณาได้จากการรับรู้ของผู้ใช้งานหรือประสบการณ์ของ พนื้ ทส่ี าธารณะ ซง่ึ เมอื่ พจิ ารณาในเรอื่ งของสทิ ธใิ นการเขา้ ถงึ นนั้พ้ืนท่ีขึ้นอยู่กับการเป็นสถานที่ กิจกรรม ผู้ใช้พื้นท่ีท่ีจะสร้างความเป็นสาธารณะ น�ำ ไปสปู่ ระเดน็ วา่ ใครควบคมุ พนื้ ทแ่ี ละการก�ำ หนดวา่ ใครบา้ งจะไดร้ บัของพื้นที่สาธารณะ ยกตัวอย่าง ลานที่เป็นพื้นท่ีสาธารณะที่รองรับกับการใช้ อนญุ าตใชพ้ น้ื ทไี่ ดด้ งั นน้ั จากหลายๆ ปจั จยั ในการวเิ คราะหแ์ นวคดิงานเพ่ือสาธารณชน แต่เม่ือมีคนหรือกลุ่มคนท่ีจับกลุ่มย่อยเพ่ือคุยกันหรือทำ� ความเป็นสาธารณะ จะเห็นได้ว่าปัจจัยการเข้าถึงพ้ืนท่ีสาธารณะกจิ กรรมเฉพาะกลุ่ม ลานน้ันจะรองรบั การเปน็ พนื้ ท่ีส่วนตัวดว้ ยไปพร้อมกนั ซง่ึ เชิงกายภาพ จึงเป็นปัจจัยท่ีชัดเจนที่สุดในการศึกษาถึงการเพิ่มในกรณนี ชี้ ใี้ หเ้ หน็ วา่ ระดบั ความเปน็ สาธารณะหรอื ระดบั ความเปน็ สว่ นตวั ของพน้ื ท่ี หรือการลดความเป็นสาธารณะของพื้นท่ี และยังครอบคลุมนั้น มีเงื่อนไขทั้งจากการรับรู้และวิธีการมองพ้ืนท่ีของผู้ใช้และบริบทที่เก่ียวข้อง มิติทางกายภาพในนิยามท่ีเป็นอาณาบริเวณสาธารณะด้วย 2-38
นอกจากน้ี สตีเวน คาร์ (1992) ยังแบ่งประเด็นการเข้าถึงเป็น 3 ภาพท2ี่ .31 ลาน St. Peter’s Square เมือง Vartican City ส่วน ดังนี้ (1) การเข้าถึงเชิงกายภาพ(2) การเข้าถึงทางการมองเห็น (3) ทม่ี า : en.wikipedia.org/wiki/St._Peter%27s_Square การเข้าถึงเชิงสัญลักษณ์ ในการเข้าถึงเชิงกายภาพเป็นการอ้างอิงถึงสภาพ แวดล้อมทางกายภาพ และลกั ษณะทางเข้าสสู่ ถานท่ที ่ที ุกๆ คนใช้สอยได้ ทแ่ี สดง ถึงทางเข้าโดยมีการออกแบบที่เป็นรูปธรรมท่ีชัดเจนการเข้าถึงทางการมองเห็น ได้จากภายนอกและรู้สึกปลอดภัยและเชื้อเชิญ ทำ�ให้คนเกิดการรับรู้ในการเข้าสู่ พ้ืนท่ี ส่วนการเข้าถึงเชิงสัญลักษณ์เป็นการเพิ่มการเข้าถึงทางสังคมที่แสดง ถึงนัยทางสังคม คนในสังคม การออกแบบและการจัดการท่ีสามารถมองเป็น องค์ประกอบทางสังคมซ่ึงสะท้อนการคัดสรรว่าใครได้รับการต้อนรับและปฏิเสธ ในการเข้าสู่พืน้ ที่นั้น นอกจากนั้นในมมุ ของ เทดเซลล์ และ โอซี (Tiedsell and Oc, 1998) ยังสามารถต้ังข้อสังเกตได้ว่าสภาพแวดล้อมเดียวกันที่ประกอบ ดว้ ยการสรา้ งพน้ื ทท่ี เี่ ปน็ สว่ นตวั และหรอื การรวมกลมุ่ กนั นนั้ มผี ลตอ่ การรบั รไู้ ด้ หลายด้าน เชน่ การรวมกนั ของกลุ่มคนบางกลุ่มทไ่ี มพ่ งึ ประสงค์ ท�ำ ให้เกิดความ รสู้ กึ คุกคามต่อกลุม่ คนอืน่ ๆ ได้ ในทางกลบั กัน หากการรวมตวั ของกลุ่มคนทม่ี ี ระดับ หรือประเภทกิจกรรมที่ใกล้เคียงกันทำ�ให้รู้สึกปลอดภัยและเช้ือเชิญในการ เข้าสู่พ้ืนที่ได้เช่นกันการเข้าถึงกิจกรรมและการเข้าถึงข้อมูลยังเป็นส่วนประกอบ ของการเข้าถึง ที่จะทำ�ให้เกิดการนิยามพ้ืนท่ีสาธารณะในฐานะที่เป็นสถานที่ซึ่ง เปิดโอกาสให้เกิดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเป็นพ้ืนที่แลกเปล่ียนโต้แย้งกันได้ใน ลักษณะของการแสดงออกบนพนื้ ท่ีสาธารณะ อย่างที่ มเู กอร์ อคั คาร์ (Akkar, 2004) ไดก้ ล่าวไวใ้ นประเดน็ ของพนื้ ท่สี าธารณะใหม่ (New-Generation Public Spaces) วา่ นเ่ี ปน็ กระบวนการพฒั นาของพน้ื ทสี่ าธารณะทเี่ กดิ ขนึ้ ใหมซ่ งึ่ สมั พนั ธ์ กบั การเขา้ ถงึ ผลประโยชนแ์ ละขอ้ มลู ของพน้ื ทสี่ าธารณะทม่ี คี วามเชอื่ มโยงโดยตรง กับผู้กระทำ�ในลักษณะสาธารณะหรือส่วนตัว (Public/ Private Actors) บน พื้นท่ีสาธารณะ ทำ�ให้เห็นว่าพื้นท่ีสาธารณะน้ันไม่ได้แสดงออกถึงเพียงแค่การ เป็นพื้นที่สาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการดำ�รงอยู่ของคู่ตรงข้ามอย่าง พื้นท่ีส่วนตัว ซึ่งหากมองจากประเด็นท่ีทำ�การศึกษาทบทวนถึงลักษณะการเข้า ถงึ ลกั ษณะตัวแทน และผลประโยชนบ์ นพื้นท่ี ทำ�ใหม้ องเห็นขอ้ ควรพจิ ารณาเชิง เปรยี บระหวา่ งพนื้ ทสี่ าธารณะภาครฐั และพน้ื ทสี่ าธารณะทมี่ ภี าคเอกชนดแู ลจดั การ2-39
ภาพที่2.32 กลุม่ เด็กนักเรยี น 2.6.2 รูปแบบกิจกรรมนอกสถานท่ีที่ผู้คนเลือกทีม่ า : tumblr_ndkvlwNsU21tmplozo1_r1 กระทำ�ต่อพนื้ ทสี่ าธารณะ ตามแนวทางของ Jan Gehl (Gehl,1971, as cited in Boonthum, 2013, pp. 14-20) ให้พิจารณาการใช้ชีวติ เพื่อประกอบกจิ กรรมกลางแจ้ง (Out- door space) จ�ำ แนกได้ 3 ประเภท คือ 2.6.2.1. กจิ กรรมท�ำ เปน็ ประจ�ำ (Necessary activities)เปน็ กจิ กรรมทท่ี �ำ เปน็ กจิ วตั รประจ�ำ วันสมำ�่ เสมอเปน็ ภาคบงั คบั ใหต้ ้องท�ำ เช่น ไปโรงเรยี น ไปทำ�งาน ไป จับจา่ ยซอื้ ของเป็นกิจกรรมเปน็ ประจ�ำ วัน ซ่ึงไม่มที างเลือกมากนัก 2.6.2.2. กจิ กรรมทางเลอื ก (Optional activities) เป็นกิจกรรมท่ีคน ปรารถนาทจี่ ะท�ำ แลว้ สถานทน่ี น้ั เลอื กใหเ้ กดิ ขนึ้ ไดจ้ รงิ ซง่ึ จะตอ้ งเงอื่ นไขในเรอื่ งรปู แบบ ทางกายภาพที่ ดเี หมาะสม เชน่ เดินคยุ กนั ในท่ีอากาศดี โล่งโปรง่ ไมม่ ีส่ิงขดี ขวาง (Flow) การพูดคยุ ในทีส่ วา่ งไสวปลอดภยั สร้างม้านัง่ ให้สะอาด ยนื มองเห็นบรรยากาศทมี่ ชี ีวติ ชีวา ถ้า มกี ิจกรรมทางเลือกมากเท่าใดแสดงว่าคณุ ภาพของสภาพแวดลอ้ มย่อมดีเท่าน้นั 3. กจิ กรรมทางสังคม (Social activities) เปน็ กิจกรรมที่ขนึ้ อยู่กบั ส่งิ ทปี่ รากฏในพ้นื ทส่ี าธารณะ กิจกรรมทางสงั คมรวมถงึ ทเี่ ล่นของเด็ก ทส่ี นทนา ซ่งึ กจิ กรรมทางสงั คมอาจจะเปน็ เพยี งผสู้ งั เกตการณ์ เชน่ การมองเหน็ การไดย้ นิ หรอื 2-40
2.6.3 เกณฑ์พจิ ารณาความสำ�เรจ็ ของ ภาพท2ี่ .33 เกณฑพ์ ิจารณาความสำ�เรจ็ ของพื้นทีส่ าธารณะ ที่มา : www.pps.org/reference/grplacefeat/ การวิจัยพื้นท่ีสาธารณะมากกว่า 1000 แห่งทั่วโลก พบว่ามีคำ�อยู่ 4 คำ� ท่ีเป็นเง่ือนไขของการทำ�ให้พื้นที่สาธารณะประสบความสำ�เร็จ ได้แก่ การเข้าถึงได้ง่าย, สะดวกสบาย, มีกิจกรรม และความรู้จักมักคุ้น 2.6.3.1. ความสบายและภาพลักษณ์ (comfort and image) พิจารณาจากความปลอดภยั (safety) ความมีเสน่ห(์ charm) ประวตั ิศาสตร์ (history) ความนา่ ดึงดูด(attractiveness) จติ วญิ ญาณ (spirituality) ความ สามารถ ในการนง่ั ได้ (sittability) ความสามารถในการเดนิ ได(้ walkability) ความเขยี ว (greeness) และความสะอาด(cleanliness) 2.6.3.2. การเข้าถึงและการเช่ือมต่อ (access and linkage) พิจารณาจากความสามารถในการอ่านได้ (readability) ความสามารถใน การเดินได้ (walkability) ความไว้วางใจได้ (reliability) ความตอ่ เนือ่ งกัน (continuity) ความใกลช้ ิด (proximity) ความเชือ่ มตอ่ (connectedness) ความสะดวก (convenience) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (accessibility) 2.6.3.3. การใช้งานและกจิ กรรม (uses and activity) พจิ ารณา จากเอกลกั ษณ์เฉพาะ (uniqueness) ความสามารถจ่ายได้ (affordability) ความสนกุ สนาน (fun) กจิ กรรม (activity) การใชป้ ระโยชน์ (usefulness) การ เฉลมิ ฉลอง (celebration) ความมชี วี ิต (vitality) ความเปน็ ทอ้ งถนิ่ (indig- enousness) 2.6.3.4. ความเปน็ สงั คม (sociability) พจิ ารณาจากการรว่ มมอื กนั (co-operation) ความภาคภมู ใิ จ (pride) การยนิ ดตี อ้ นรบั (welcoming) ความหลากหลาย (diversity) การบอกเล่าเรื่องราว (story telling) การมี2-41
ภาพท2่ี .34 กจิ กรรมความส�ำ เร็จของพื้นที่สาธารณะท่มี า : www.pps.org/reference/grplacefeat/ 2-42
DESIGN PRINCIPLES2.7 หลกั ทเ่ี กย่ี วข้องกับการออกแบบ การออกแบบอาคารเรียนเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการเรียนรู้น้ันมีความ สำ�คัญเป็นอย่างมากท้ังนี้เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานท่ีสำ�คัญของการพัฒนา ประเทศ สภาพแวดล้อมภายในอาคารเรียนเป็นปัจจัยท่ีมีความสำ�คัญต่อกระบวนการ เรียนรดู้ งั นั้นแนวทางการออกแบบอาคารเรียนนจี้ งึ มีเปา้ หมายในการเสริมสรา้ งสภาวะ นา่ สบายในอาคารทงั้ ในสว่ นของความสบายทางดา้ นอณุ หภมู แิ ละความรสู้ กึ รอ้ นหนาว ความสบายทางดา้ นแสงสวา่ งและการมองเหน็ ทเ่ี หมาะสมและความสบายทางดา้ นคณุ ภาพ เสียงภายในอาคาร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักท่ีต้องคำ�นึงถึงเพ่ือให้สามารถออกแบบอาคาร เรยี นให้บรรลุเป้าหมายตามทต่ี อ้ งการได้อย่างบูรณาการ ภาพท2ี่ .35 ระยะและต�ำ แหน่งการจัดหอ้ งกจิ กรรม ทม่ี า : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DA-2-43
ภาพที่2.26 การสะทอ้ นเสยี ง 2.7.1แนวทางการออกแบบที่มา : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DA-ภาพที2่ .36 ขนาดและต�ำ แหน่งการจัดห้องดนตรี การออกแบบสภาพแวดลอ้ มภายในอาคารเรยี นให้ที่มา : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DA- มคี วามเหมาะสมในการเรียนร้นู ้นั สามารถแบ่งออกได้เป็นสอง ส่วนหลักทส่ี �ำ คญั ได้แก่ 2.7.1.1 การเสริมสรา้ งความสบายทางดา้ นกายภาพ (สุธวี นั โลห่ ส์ วุ รรณ,2551) สามารถแบง่ ออกไดด้ ังต่อไปน้ี ความสบายทางด้านอุณหภูมิร้อนหนาวที่มีความ เหมาะสม (Thermal Comfort) ความสบายทางดา้ นความสวา่ งและการมองเหน็ ทม่ี ี ความเหมาะสม (LightingandVisual Comfort) ความสบายทางดา้ นคณุ ภาพเสยี งภายในอาคารทม่ี ี ความเหมาะสม (Acoustical Comfort) โดยแนวทางการออกแบบน้ันจะมุ่งในการสร้าง เสริมความสบายในด้านต่าง ๆ โดยใช้ประโยชน์จากต้นทุน ทางธรรมชาติให้มากที่สุด และใช้พลังงานไฟฟ้าให้น้อยที่สุด นอกจากนยี้ งั ตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน ในรปู แบบตา่ ง ๆ ใหม้ คี วามหลากหลายและสอดคลอ้ งกบั เนอื้ หา ของการเรยี นการสอนอกี ดว้ ย 2.7.1.2 การเสรมิ สร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตวั สถาปัตยกรรม เปรียบเสมือนกับว่า ‘อาคารคือครูคนหนึ่ง’ ที่ สามารถ ใหค้ วามรตู้ อ่ ผเู้ รยี นไดค้ อื การออกแบบอาคารดว้ ยองคค์ วามรู้ ทางวทิ ยาศาสตรท์ �ำ ใหป้ รากฏการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในอาคาร จะสามารถถูกรบั รูโ้ ดยประสาทสมั ผัส และแปรเปลย่ี นเปน็ การ เรียนรู้ด้วยประสบการณข์ องนกั เรียนเอง 2-44
2.7.2 ADMINISTRATION AND OFFICESภาพท่2ี .37 ระยะและต�ำ แหนง่ การจดั สว่ นบรหิ ารที่มา : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DATA2-45
2.7.3 LATOUT RETAIL SHOPภาพที2่ .38 รูปตัดระยะและต�ำ แหน่งการจดั ส่วนบริหาร ภาพท่ี2.39 LATOUT RETAIL SHOPท่มี า : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DATA ท่ีมา : FOURTH EDITION NEUFERT ARCHITEC’DATA 2-46
2(A.7c.t4iveกาnรoคisวeบcคoุมnเสtrียolง)ที่ใชง้ าน การควบคุมเสยี งท่ใี ช้งาน ( ANC ) หรือทเี่ รยี กว่าการ ลดเสียงรบกวน หรอื การลดเสียงรบกวน ( ANR ) เป็นวธิ กี ารลด เสยี งที่ ไมพ่ งึ ประสงคด์ ว้ ยการเพมิ่ เสยี งท่ีสองซง่ึ ออกแบบมาเพือ่ ยกเลิกเสียงแรก เสยี งเปน็ คลน่ื แรงกดดนั ซงึ่ ประกอบดว้ ยระยะเวลาการ บบี อดั และความ วอ่ งไวสลบั กนั ล�ำ โพงตดั เสยี งรบกวนจะสง่ เสยี งคลน่ื เสยี งทม่ี คี วามกวา้ งเทา่ กนั แตจ่ ะมเี ฟสกลบั (หรอื ทเี่ รยี กวา่ antiphase ) กบั เสยี งตน้ ฉบบั คลนื่ รวมกนั เพอื่ สรา้ งคลน่ื ลกู ใหมใ่ น กระบวนการท่เี รยี กว่า การรบกวน และการยกเลกิ ซ่งึ กนั และกันอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ซึง่ เรยี กว่า การรบกวน ท่เี ปน็ อันตราย (ที่มา : wikipedia.org/wiki/Active_noise_control) ภาพที่2.40 การหกั ล้างของคลนื่ เสยี ง ท่ีมา : en.wikipedia.org/wiki/Active_noise_control2-47
ภาพที่2.41 อุปกนณ์ป้องกนั เสยี งรบกวน การควบคุมสัญญาณรบกวนแบบแอ็คทีฟท่ีมีอยู่ในปัจจุบันทำ�ได้โดยอาศัยวงจรอะนาที่มา : www.plazatio.com ล็อกหรอื การประมวลผลสัญญาณดิจิตอล อลั กอรธิ ึมทปี่ รับเปลี่ยนไดร้ ับการออกแบบมาเพอ่ื วิเคราะห์รูปคล่ืนของสัญญาณ เสยี งด้าน หลงั หรอื เสียง nonaural จากน้ันใช้อัลกอรธิ ึมเฉพาะ สรา้ งสญั ญาณทจ่ี ะเปล่ียนเฟสหรือคว่ำ�ขว้ั ของสญั ญาณเดมิ สัญญาณคว่�ำ (ใน antiphase) จะ ถกู ขยายและตวั แปลงสญั ญาณจะสรา้ งคลนื่ เสยี ง ขน้ึ กบั ความกวา้ งของรปู คลนื่ เดมิ ท�ำ ใหเ้ กดิ การ รบกวนท่ีเป็นอันตราย ชว่ ยลดปริมาณเสียงทม่ี องเหน็ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ล�ำ โพงลดเสียงรบกวนอาจอยรู่ ว่ มกับแหลง่ กำ�เนดิ เสียงทจ่ี ะ ลดทอน ในกรณีนตี้ ้องมี ระดับพลังงานเสียงเท่ากับแหล่งที่มาของเสียงท่ีไม่ต้องการ อีกวิธีหน่ึงคือตัวแปลงสัญญาณที่ ปล่อยสัญญาณยกเลิกอาจจะอยู่ในตำ�แหน่งท่ีต้องการลดทอนสัญญาณเสียง (เช่นหูของผู้ใช้) ต้องมรี ะดับพลงั งานที่ตำ่�กวา่ มากส�ำ หรับการยกเลิก แต่จะมผี ลเฉพาะกับผ้ใู ช้รายเดียวเท่านั้น การ ยกเลิกเสียงรบกวนในสถานท่ีอ่ืนทำ�ได้ยากกว่าเน่ืองจาก wavefronts สามมิติของเสียงท่ีไม่พึง ประสงค์และสัญญาณการยกเลิกสามารถจับคู่และสร้างโซนการสลับการแทรกแซงท่ีเป็นรูปแบบและ ทำ�ลายไดช้ ว่ ยลดเสียงรบกวนในบางจดุ ขณะทีเ่ สยี งอื่น ๆ เพิม่ ขนึ้ เปน็ สองเท่า ในพื้นทท่ี ีม่ ขี นาดเล็ก (เชน่ หอ้ งโดยสารของรถยนต)์ สามารถลดเสยี งรบกวนทว่ั โลกไดจ้ ากล�ำ โพงหลายตวั และ ไมโครโฟน ตอบรบั และวัดการตอบสนองทางกามารมณ์ของตู้ (ที่มา : wikipedia.org/wiki/Active_noise_control) 2-48
2.7.4.1 การควบคมุ เสยี งรบกวนแบบใช้ ภาพที่2.42 หลักการทำ�งานการหกั ลา้ งคล่นื เสียง แหลง่ พลงั งานและแบบไม่ใชพ้ ลงั งาน ทม่ี า : en.wikipedia.org/wiki/Active_noise_control การควบคมุ เสยี งรบกวนเปน็ วธิ ที ใี่ ชง้ านหรอื เปน็ พาสซฟี ในการลด การปลอ่ ยมลพษิ ทางเสยี งซง่ึ มกั เกดิ ขนึ้ เพอ่ื ความสะดวกสบายสว่ นบคุ คลการ ค�ำ นงึ ถงึ สงิ่ แวดลอ้ มหรอื การปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย การควบคมุ เสยี งทใ่ี ชง้ าน อยเู่ ปน็ การลดเสยี งโดยใชแ้ หลง่ จา่ ยไฟ การควบคมุ เสยี งรบกวนแบบ Passive คือการลดเสียงโดยใช้วัสดุที่มีการแยกเสียงรบกวนเช่นฉนวนกันความร้อน กระเบ้ืองดูดซับเสียงหรือ ผา้ พันคอ แทนท่จี ะเป็นแหลง่ จา่ ยไฟ การยกเลิกเสียงรบกวนที่ใช้งานได้ดีที่สุดสำ�หรับคลื่นความถ่ีตำ่� สำ�หรับความถ่ีที่สูงข้ึนความต้องการเว้นวรรคสำ�หรับพ้ืนที่ว่างและโซนของ เทคนิคการเงียบกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ในโพรงอะคูสติกและระบบท่ีใช้ลำ�แสง จำ�นวนโหนดจะเติบโตข้ึนอย่างรวดเร็วโดยมีความถี่ที่เพิ่มข้ึนทำ�ให้เทคนิคการ ควบคมุ เสยี งรบกวนไมส่ ามารถควบคุมไดอ้ ย่างรวดเร็ว การรักษาแบบพาส ซีฟจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในความถี่ท่ีสูงขึ้นและมักให้การแก้ปัญหาที่เพียง พอโดยไม่ต้องใช้การควบคมุ (ทมี่ า : wikipedia.org/wiki/Active_noise_control)2-49
ภาพท2ี่ .43 ระดบั ความดังเสยี งในชวี ติ ประจำ�วันท่มี า : www.hearnowforyou.com.au/noise-induced-hearing-loss 2-50
2.7.5 การจัดบรรยากาศในชน้ั เรียน บรรยากาศในชนั้ เรยี นมสี ว่ นส�ำ คญั ในการสง่ เสรมิ ความสนใจใครร่ ใู้ คร่ เรยี นใหแ้ กผ่ เู้ รยี น ชนั้ เรยี นทม่ี บี รรยากาศเตม็ ไปดว้ ยความอบอนุ่ ความเหน็ อก เหน็ ใจ และความเออื้ เฟอื้ เผอื่ แผต่ อ่ กนั และกนั ยอ่ มเปน็ แรงจงู ใจภายนอกทก่ี ระตนุ้ ให้ผ้เู รียนรักการเรยี น รักการอย่รู ว่ มกันในช้นั เรยี น และชว่ ยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติอันดีงามใหแ้ กน่ ักเรยี น นอกจากนก้ี ารมหี อ้ งเรียนที่ มบี รรยากาศแจม่ ใส สะอาด สว่าง กวา้ งขวางพอเหมาะ มีโต๊ะเก้าอี้ทีเ่ ปน็ ระเบยี บ เรียบร้อย มมี ุมวชิ าการส่งเสรมิ ความรู้ มกี ารตกแตง่ หอ้ งใหส้ ดใส ก็เป็นอกี ส่งิ หนง่ึ ทส่ี ง่ ผลท�ำ ใหผ้ เู้รยี นพอใจมาโรงเรยี น เขา้ หอ้ งเรยี นและพรอ้ มทจ่ี ะมสี ว่ นรว่ ม ในกจิ กรรมการเรยี นการสอน ดงั นนั้ ผเู้ ปน็ ครจู งึ ตอ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ ว กับความหมาย ความสำ�คัญ ประเภทของบรรยากาศ หลักการจัดบรรยากาศ ในชนั้ เรยี นและการจดั การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ เพอื่ พฒั นาผเู้ รยี นใหม้ ลี กั ษณะ ตามทห่ี ลกั สตู รไดก้ ำ�หนดไว้ (ท่ีมา : www.gotoknow.org/posts/438137)ภาพที่2.44 บรรยากาศทดี่ ีในโรงเรยี นทมี่ า : 120-Division School / WAU Design
2.7.5.1 ความหมายของการจัดบรรยากาศในช้นั เรียน การจดั บรรยากาศในชัน้ เรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดลอ้ มในชั้นเรียนให้ เอ้ืออำ�นวยต่อการเรียนการสอน เพื่อช่วยส่งเสริมให้กระบวนการเรียนการสอนดำ�เนินไป อย่างมีประสิทธภิ าพ และชว่ ยสรา้ งความสนใจใฝ่รู้ ใฝศ่ กึ ษา ตลอดจนชว่ ยสร้างเสรมิ ความ มีระเบยี บวนิ ยั ให้แก่ผูเ้ รียน (ท่มี า : www.gotoknow.org/posts/438137)ภาพท2ี่ .45 สภาพแวดลอ้ มโรงเรยี นที่มา : 120-Division School / WAU Design
2.7.5.2 ประเภทของบรรยากาศในชัน้ เรียน สมุ น อมรวิวัฒน์ (2530 : 13) ไดส้ รุปผลการวจิ ยั เรอ่ื งสภาพในปจั จุบันและปัญหาด้านการเรยี นการสอนของครปู ระถมศกึ ษาไว้ สรุปได้วา่ บรรยากาศในชั้นเรียนต้องมลี ักษณะทางกายภาพทอี่ �ำ นวยความสะดวกตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นรสู้ รา้ งความสนใจใฝร่ แู้ ละศรทั ธาตอ่ การเรยี น นอกจากนปี้ ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกลมุ่ นกั เรยี นและระหวา่ งครกู บั นกั เรยี น ความรกัและศรัทธาท่ีครูและนักเรียนมีต่อกัน การเรียนที่รื่นรมย์ปราศจากความกลัวและวิตกกังวล สิ่งเหล่าน้ีจะช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนได้ดี ดังน้ันจึงสามารถแบง่ ประเภทของบรรยากาศในช้นั เรียนได้ 2 ประเภทคือ1. บรรยากาศทางกายภาพ2. บรรยากาศทางจิตวิทยาบรรยากาศทง้ั 2 ประเภทนี้ มสี ่วนสง่ เสรมิ การเรยี นร้ทู งั้ สน้ิ ภาพที่2.46 บรรยากาศกระตุ้นการเรียนรู้ ทม่ี า : 120-Division School / WAU Design
ภาพท2ี่ .47 การจดั สภาพแวดลอ้ มภายในโรงเรียนทมี่ า : 120-Division School / WAU Designบรรยากาศทางกายภาพ ( Physical Atmosphere) บรรยากาศทางกายภาพหรือบรรยากาศทางด้านวตั ถุ หมายถงึ การจัดสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆภายในหอ้ งเรยี นให้เปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย น่าดู มีความสะอาด มเี คร่ืองใช้ และสิ่งอ�ำ นวยความสะดวกตา่ ง ๆ ที่จะส่งเสริมให้การเรียนของนักเรยี นสะดวกขนึ้ เชน่ ห้องเรียนมีขนาดเหมาะสม แสงเขา้ถูกทาง และมีแสงสว่างเพียงพอ กระดานด�ำ มีขนาดเหมาะสม โต๊ะเกา้ อ้ีมขี นาดเหมาะสมกับวัยนกั เรียนเปน็ ต้นบรรยากาศทางจิตวิทยา ( Psychological Atmosphere) บรรยากาศทางจิตวิทยา หมายถึง บรรยากาศทางด้านจิตใจท่ีนักเรียนรู้สึกสบายใจ มีความอบอุ่น มีความเป็นกันเอง มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และมีความรักความศรัทธาต่อผู้สอนตลอดจนมอี ิสระในความกล้าแสดงออกอยา่ งมรี ะเบียบวินัยในชน้ั เรียน 2-54
2.7.5.3 ความสจำ�คากญั กาขรอสงำ�รกวาจรเอจกัดสบารรรงยานาวกิจาัยศใ(นสช�ำ น้นั กัเรงยี านนคณะ ภาพท่2ี .48 ภายในโรงเรยี น ท่มี า : 120-Division School / WAU Designกรรมการการศกึ ษาเอกชน. 2531: ค) ไดค้ น้ พบว่าบรรยากาศในช้ันเรียนเป็นส่วนหน่ึงที่ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนและเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้เพ่ิมมากขึ้น การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ท่ีครูให้ความเอื้ออาทรต่อนักเรียน ท่ีนักเรียนกับนักเรียนมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกันที่มีระเบียบ มีความสะอาด เหล่านี้เป็นบรรยากาศท่ีนักเรียนต้องการ ทำ�ให้นักเรียนมีความสุขท่ีได้มาโรงเรียนและในการเรียนร่วมกับเพ่ือนๆ ถ้าครูผู้สอนสามารถสร้างความรู้สึกนี้ให้เกิดขึ้นต่อนักเรียนได้ ก็นับว่าครูได้ทำ�หน้าท่ีในการพัฒนาเยาวชนของประเทศชาติให้เติบโตข้ึนอย่างสมบรูณ์ทั้งทางดา้ นสตปิ ัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม โดยแทจ้ ริง ดังนนั้ การสรา้ งบรรยากาศในช้นั เรยี นจึงมีความสำ�คญั อยา่ งยิง่ ซึ่งประมวลไดด้ ังนี้ 1. ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหก้ ารเรยี นการสอนด�ำ เนนิ ไปอยา่ งราบรน่ืเช่น หอ้ งเรยี นท่ไี มค่ บั แคบจรเกนิ ไป ท�ำ ให้นกั เรียนเกดิ ความคล่องตัวในการท�ำ กิจกรรม 2. ชว่ ยสร้างเสริมลักษณะนิสยั ที่ดงี ามและความมีระเบยี บวินัยให้แก่ผู้เรียน เช่น ห้องเรียนที่สะอาด ท่ีจัดโต๊ะเก้าอี้ไว้อย่างเป็นระเบียบ มีความเออ้ื เฟอ้ื เผ่ือแผ่ต่อกนั นักเรียนจะซึมซับสิ่งเหลา่ นไ้ี ว้โดยไมร่ ู้ตัว2-55
ภาพท2ี่ .49 บรรยากาศและความเงียบสงบ 3. ชว่ ยสง่ เสรมิ สขุ ภาพทดี่ ใี หแ้ กผ่ เู้ รยี น เชน่ มแี สงสวา่ งท่ีท่ีมา : 120-Division School / WAU Design เหมาะสม มที น่ี งั่ ไมใ่ กลก้ ระดานด�ำ มากเกนิ ไป มขี นาดโตะ๊ และเกา้ อท้ี เี่ หมาะ สมกบั วยั รูปรา่ งของนักเรียนนกั ศึกษา ฯลฯ 4. ชว่ ยสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ และสรา้ งความสนใจในบทเรยี น มากย่ิงขน้ึ เช่น การจดั มุมวชิ าการต่าง ๆ การจัดป้ายนิเทศ การ ตกแตง่ หอ้ งเรยี นดว้ ยผลงานของนกั เรยี น 5. ช่วยสง่ เสริมการเปน็ สมาชิกที่ดีของสงั คม เชน่ การ ฝกึ ใหม้ มี นษุ ยส์ มั พนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กนั การฝกึ ใหม้ อี ธั ยาศยั ไมตรใี นการอยู่ รว่ มกัน ฯลฯ 6. ช่วยสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนและการมาโรงเรียน เพราะในชั้นเรียนมีครูที่เข้าใจนักเรียน ให้ความเมตตาเอื้ออารีต่อ นักเรยี น และนกั เรยี นมคี วามสัมพันธอ์ ันดีต่อกัน กล่าวโดยสรปุ ได้ว่า การจัดบรรยากาศในชนั้ เรียนจะชว่ ยสง่ เสรมิ และ สร้างเสริมผู้เรียนในด้านสติปญั ญา รา่ งกาย อารมณ์ และสังคมได้ เปน็ อยา่ งดี ท�ำ ใหน้ กั เรยี นเรยี นดว้ ยความสขุ รกั การเรยี น และเปน็ คน ใฝเ่ รยี นใฝร่ ใู้ นทสี่ ดุ (ทมี่ า : www.gotoknow.org/posts/438137) 2-56
2.7.5.4 การจัดบรรยากาศทางด้านกายภาพ ภาพท2่ี .50 การจดั โตะ๊ เรียนให้เหมาะกับกจิ กรรม ทีม่ า : The Atelier / Biome Environmental Solutions การจัดบรรยากาศทางด้านกายภาพ เปน็ การจัดวสั ดุอุปกรณส์ ่งิ อ�ำ นวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกยี่ วกับการเรยี นการสอน รวมตลอดไปถึงส่ิงต่าง ๆ ที่เสรมิ ความรู้ เชน่ ปา้ ยนิเทศ มมุ วชิ าการ ชั้นวางหนงั สอื โต๊ะวางสอ่ื การสอน ฯลฯ ให้เป็นระเบียบเรยี บร้อย ท�ำ ใหเ้ กดิ ความสบายตา สบายใจ แกผ่ ูพ้ บเห็น ถา้ จะกลา่ วโดย ละเอียดแลว้ การจดั บรรยากาศทางดา้ ยกายภาพ ได้แก่ การจัดสงิ่ ต่อไปน้ี 1. การจดั โต๊ะเรียนและเกา้ อี้ของนกั เรยี น 1.1 ให้มขี นาดเหมาะสมกบั รูปรา่ งและวัยของนกั เรยี น 1.2 ใหม้ ชี อ่ งวา่ งระหวา่ งแถวทนี่ กั เรยี นจะลกุ นงั่ ไดส้ ะดวก และท�ำ กจิ กรรมไดค้ ลอ่ งตวั 1.3 ให้มคี วามสะดวกต่อการทำ�ความสะอาดและเคลือ่ นย้ายเปล่ยี นรปู แบบที่นั่งเรยี น 1.4 ใหม้ รี ปู แบบทไี่ ม่จำ�เจ เช่น อาจเปล่ยี นเปน็ รูปตวั ที ตวั ยู รปู ครึ่งวงกลม หรือ เข้ากลุ่มเปน็ วงกลม ได้อย่างเหมาะสมกบั กิจกรรมการเรียนการสอน 1.5 ให้นักเรยี นที่นั่งทกุ จดุ อา่ นกระดานด�ำ ไดช้ ัดเจน 1.6 แถวหน้าของโต๊ะเรียนควรอยู่ห่างจากกระดานดำ�พอสมควร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร ไม่ควรจัดโต๊ะติดกระดานดำ�มากเกินไป ทำ�ให้นักเรียนต้องแหงนมองกระดานดำ� และหายใจเอาฝุน่ ชอลก์ เข้าไปมาก ท�ำ ใหเ้ สยี สขุ ภาพ 2. การจดั โต๊ะครู 2.1 ใหอ้ ยู่ในจดุ ทเี่ หมาะสม อาจจดั ไว้หน้าหอ้ ง ขา้ งหอ้ ง หรอื หลงั ห้องก็ได้ งาน วิจัยบางเรื่องเสนอแนะให้จัดโต๊ะครูไว้ด้านหลังห้องเพ่ือให้มองเห็นนักเรียนได้อย่างท่ัว ถงึ อย่างไรก็ตาม การจัดโต๊ะครนู ้ันข้ึนอยู่กบั รูปแบบการจัดทน่ี งั่ ของนกั เรียนดว้ ย 2.2 ใหม้ คี วามเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ทงั้ บนโตะ๊และในลน้ิ ชกั โตะ๊ เพอ่ื สะดวกตอ่ การท�ำ งาน ของครู และการวางสมดุ งานของนักเรยี น ตลอดจนเพือ่ ปลกู ฝังลักษณะนสิ ยั ความ เปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ยแก่นกั เรยี น2-57
ภาพที2่ .51 อากาศภายในอาคารถา่ ยเท 2.7.5.5 การจัดสภาพหอ้ งเรียนท่มี า : Crossroads School for Arts and Sciences ก) มีอากาศถา่ ยเทได้ดี มหี นา้ ตา่ งพอเพยี ง และมีประตเู ข้า ออกไดส้ ะดวก ข) มแี สงสว่างพอเหมาะ เพอื่ ช่วยให้ผูเ้ รียนอ่านหนงั สือได้ ชัดเจน เพือ่ เปน็ การถนอมสายตา ควรใชไ้ ฟฟ้าช่วย ถา้ มแี สง สวา่ งน้อยเกินไป ค) ปราศจากสิ่งรบกวนตา่ ง ๆ เช่น เสยี ง กลิน่ ควัน ฝุ่น 2-58
LAW “สถานศึกษา” หมายความว่า สถานพัฒนาเดก็ ปฐมวัย โรงเรยี น ศนู ย์การเรียน วทิ ยาลยั สถาบัน มหาวิทยาลยั หนว่ ย งานการศกึ ษาหรือหน่วยงานอนื่ ของรฐั หรือของเอกชน ทม่ี อี �ำ นาจหนา้ ที่หรือมี วัตถุประสงคใ์ นการจัดการศึกษา2.8 กฎหมายที่เกยี่ วขอ้ ง หวั ขอ้ /ข้อบงั คับกฎหมาย ภาพประกอบระยะรน่ จากถนนสาธารณะ ภาพที่2.52 ระยะร่นอาคาร ที่มา : www.scgbuildingmaterials.com 1. ถนนสาธารณะที่มคี วามกวา้ งน้อยกว่า 10 เมตรให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึง่ กลางถนนสาธารณะไมน่ ้อยกว่า 6 เมตร 2. ถนนสาธารณะทีม่ คี วามกว้างตง้ั แต่ 10 เมตรขน้ึ ไป แตไ่ มเ่ กนิ 20 เมตรให้ ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของความกว้างของเขตถนนน้นั ๆ เชน่ ถา้ ถนนกว้าง 12 เมตร แนวอาคารต้องรน่ ห่างจากเขตถนนเทา่ กบั 1.20 เมตร 3. ถนนสาธารณะท่มี คี วามกว้างตง้ั แต่ 20 เมตรขึ้นไปให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไมน่ อ้ ยกว่า 2 เมตรจ�ำ นวนทจ่ี อดรถ ภาพที2่ .53 สัญลักษณท์ ่จี อดรถ ที่มา : biezumd.com สถานศึกษา ท่มี ีพ้ืนทใ่ี ชส้ อยรวมในแตล่ ะหลังตั้งแต่ 300 ตร.ม.ขึน้ ไปโดยคิด 1คัน/240 ตร.ม. ทจี่ อดรถคนพกิ ารและคนชรา 10-50คนั /1คัน 21-100คนั /2คัน 101 คนั ข้ึนไป /2คนั และเพิม่ 1คนั ตามจำ�นวนรถทีเ่ พ่มิ มา100 คนั เศษเกนิ 50 คันใหค้ ิดเปน็ 100คันตารางท2่ี .2 กฎหมายทีเ่ ก่ียวขอ้ งทมี่ า : พนั ทิวา เพชรสมี ่วง2-59
หัวขอ้ /ข้อบงั คบั กฎหมาย ภาพประกอบระยะหา่ งของปากทางเข้าออก จากสะพานหรอื เชิงลาดสะพาน แนวศูนย์กลางปากทางเขา้ ออกของรถจะตอ้ งไมอ่ ยูบ่ นเชงิ ลาดสพาน และต้องห่างจากจุดสุดเชงิ ลาดมรี ะยะไม่น้อยกวา่ 50 เมตร ส�ำ หรบั โรงมหรสพระยะดงั กล่าวต้องไม่นอ้ ยกวา่ 100 เมตร ภาพท2ี่ .54 ระยะห่างจากศนู ยก์ ลางปากทางเขา้ รถถึงจดุ เชงิ ลาด(สะพานหรือทางเปลย่ี นระดับ) ที่มา : www.tca.or.th/tca_website/img/knowledgesระยะห่างของปากทางเข้าจากทางแยกหรอื ทางรว่ มแยก แนวศนู ยก์ ลางปากทางเขา้ ออกของรถจะตอ้ งไม่อยใู่ นท่ีเปน็ ทางร่วมหรอื แยก และตอ้ งหา่ งจากจดุ เรม่ิ ตน้ โคง้ หรอื หกั มมุ ของขอบทางรว่ มหรอื ขอบทางแยกสาธารณะ มีระยะไม่นอ้ ยกว่า 20 เมตร ส�ำ หรบั โรงมหรสพระยะดังกล่าวตอ้ งไมน่ ้อยกว่า 50 เมตร ภาพท่ี2.55 ระยะหา่ งจากศูนย์กลางปากทางเข้ารถถึงจุดโคง้ หรือทางแยกสาธารณะ ท่มี า : www.tca.or.th/tca_website/img/knowledgesอาคารจอดรถท่ีใช้ทางลาดส�ำ หรบั ขึน้ ลงและเขา้ ออกอาคาร ความลาดชันของทางลาดขึ้นลงระหว่างชัน้ ของอาคารจอดรถ ที่ก�ำ หนดใหล้ าดชนั ได้ไมเ่ กินร้อยละ 15 คือความสงู แนวด่ิง 0.15 เมตร หรอื 15 เซน็ ดเิ มตร ตอ่ ต่อความยาวแนวราบ 1 เมตร ชานพัก กรณที ่ีทางลาดข้นึ ลงระหวา่ งชนั้ สงู เกิน 5 เมตร จะต้องมีที่พักค่นั เป็นชว่ งสูงไมเ่ กิน 5 เมตร โดยทพี่ ักหน่ึงๆต้องมคี วามยาวไมน่ อ้ ยกว่า 6 เมตร ภาพท2ี่ .56 ทางลาดท่จี อดรถ ทม่ี า : www.thaiengineering.comตารางท่ี2.3 กฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 2-60ที่มา : พันทวิ า เพชรสมี ่วง
หวั ขอ้ /ข้อบังคับกฎหมาย ภาพประกอบทีจ่ อดรถส�ำ หรบั คนพิการ ก�ำ หนดขนาดทจี่ อดรถส�ำ หรบั ผพู้ กิ ารและคนชราตอ้ งกวา้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 2.40 เมตรยาวไมน่ อ้ ยกวา่ 6.00 เมตร และตอ้ งมที วี่ า่ งขา้ งทจ่ี อดรถไมน่ อ้ ยกวา่ 1.00 เมตร ตลอดความยาวของทจี่ อดรถ ทว่ี า่ งดงั กลา่ วตอ้ งมพี นื้ ผวิ เรยี บระดบั เสมอกนั สรปุ คอื ทจี่ อดรถมคี วามกว้างไมน่ อ้ ยกวา่ 3.40 เมตรและยาวไม่นอ้ ยกวา่ 6.00 เมตร ภาพที2่ .57 ทจ่ี อดรถสำ�หรับคนพิการ ท่มี า : www.actripity.com/car-parking-space-standardsบนั ไดหนีไฟ อาคารใดๆก็ตามท่มี คี วามสงู ตงั้ แต่ 4ช้นั ขึน้ ไปหรือสูง 3ช้ันและมดี าดฟ้าเหนอื ช้ัน3 ที่มีพ้นื ท่ี 16 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมบี นั ไดหนีไฟ เพ่มิ เติมจากบันไดหลัก ภาพท2ี่ .58 ขนาดบนั ไดหนีไฟ ทีม่ า : www.scgbuildingmaterials.comระยะห่างระหวา่ งบนั ไดหนีไฟ กำ�หนดทางเดนิ สู่ห้องแต่ละช้ันอาคารท่เี ปน็ ทางตัน คือ ระยะห่างระหวา่ งประตหู อ้ งสดุ ทา้ ยที่เปน็ ทางตันประตบู นั ไดหนีไฟจะต้องไม่เกิน 10 เมตรตำ�แหน่งตดิ ตง้ั FHC ภาพที2่ .59 ระยะระหว่างบันไดหนไี ฟสองบนั ได ตำ�แหน่งต้ดู บั เพลิงควรอยู่ห่างไมเ่ กนิ 60 เมตร เม่อื วดั ตามแนวทางเดนิ ที่มา : www.scgbuildingmaterials.comโดยต�ำ แหนง่ ของต้คู วรยดึ หลกั ท่วี า่ เมอ่ื เกดิ ไฟไหม้ ผู้ทใี่ ช้ตู้ดับเพลงิ ต้องเข้าถึงไดส้ ะดวก และท่ีสำ�คัญคือ สามารถหนไี ฟได้ถา้ ควบคมุ ไฟไมอ่ ยู่2-61 ตารางท2่ี .4 กฎหมายทีเ่ กย่ี วข้อง ทีม่ า : พันทวิ า เพชรสมี ่วง
ตารางท2่ี .5 กฎหมายจ�ำ นวนห้องน้ำ�ทม่ี า : พันทวิ า เพชรสีมว่ ง 2-62
CSTAUSDEYC 2.9 อาคารตัวอยา่ ง 2-63
BNSQOUUNUAOLERAVEARDArchitects PLAN ArquitectosLocation Plaza Nunoa, Region Metropolitana, Chile Architects in Charge Rodrigo Caceres Moe na, Alejandro Vargas Peyreblanque, Alvaro Gonzalez BastiasStructural Engineering JC IngenierosArea 11345.0 sqmProject Year 2012 ภาพที่2.60 ทัศนียภาพจากด้านข้างโครงการ ทม่ี า : www.archdaily.com/619994/boulevard-nunoa-square
โครงการน้ีมีแนวคิดมาจากการท่ีต้องการอนุรักษณ์บริบทโดยรอบและสร้างทางเลือกใหม่ในการทำ�กิจกรรมของผู้ที่อาศัยในเมืองนี้ โดยออกแบบพื้นที่สาธารณะให้มีความสัมพันธ์กับชั้นใต้ดิน โดยเป็นความสัมพันธ์แนวตั้ง ซึ่งบูรณาการเพิ่มส่วนการค้าเข้าไปให้เข้ากับวัฒนธรรมเดิมและรองรับกับคนเดินถนนและยานพาหนะให่อยู่ร่วมกันได้ และยังมีอาคารเก่าอยู่ร่วมบริเวรด้านบนด้วย ส่วนท่ีเป็นพล่าซ่าเป็นองค์ประกอบสำ�คัญของอาคารเพราะเป็นพื้นท่ีรองรับการทำ�กิจกรรมต่างๆของนักท่องเที่ยว นอกจากน้ียังทำ�ให้ที่จอดรถเก่าของเมืองอย่รู ว่ มกบั อาคารใหมอ่ ยา่ งลงตวั อกี ดว้ ยโดยเช่อื มความแตกตา่ งแตล่ ะระดับชั้นใหม้ กี ิจกรรมต่างๆแทรกอยู่ภาพท2่ี .61 ทศั นียภาพจากด้านหนา้ โครงการท่มี า : www.archdaily.com/619994/boulevard-nunoa-square
ภาพที2่ .62 SECTION Aท่ีมา : www.archdaily.com/619994/boulevard-nunoa-squareภาพท่2ี .63 SECTION Bทมี่ า : www.archdaily.com/619994/boulevard-nunoa-square 2-66
ภาพท2่ี .64 ทัศนียภาพจากด้านหนา้ โครงการท่มี า : www.archdaily.com/804682/media-library-third-place
MEDIA LIBRALY[THIRD-PLACE]IN THIONVILLE Architects Dominique Coulon & associes Location 1 Avenue Andre Malraux, 57180 Terville, France Architects in Charge Dominique Coulon, Steve Letho Duclos Area 4590.0 m2 Project Year 2016 Photographs Eugeni Pons, David Romero-Uzeda 2-68
MEDIA LIBRALY [THIRD-PLACE] IN THIONVILLE โครงการนี้เป็นการเสนอพ้ืนที่ โ ซึ่งกิจกรรมท่ีหลากหลาย ทางเลือกที่3 ท่ีจะเช่ือมความสัมพันธ์ของ นี้จะสามารถเชื่อมโยงบุคคลแต่ละเพศแต่ละ ความเป็นสาธารณะให้สามารถใช้ได้ทุกเพศ วัยเข้ามาหากันได้ และนอกจากนี้ยังโชว์ ทุกวัย โดยต้ังคำ�ตอบเก่ียวกับการเข้ามาใช้ พ้ืนที่บางส่วนของโครงการโดนการใช้ งานตามบรบิ ททเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ เกดิ เปน็ หอ้ งสมดุ กระจกเพื่อให้คนที่ผ่านไปมาเห็นกิจกรรม สื่อสารที่จะช่วยให้คนที่เข้ามาใช้งานมีความ ข้างในและอยากที่จะเข้ามาใช้งาน โดยพ้ืนที่ คิดสร้างสรรค์และมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ละส่วน ด้านบนหลังคาจัดเป็น roof ซ่ึงโครงการนี้ไม่ใช่เป็นเพียงห้องสมุดเพียง garden และโดยรอบอาคารกป็ ลกู ต้นไม้ให้ อยา่ งเดยี วแตร่ วมฟงั กช์ นั่ การใชง้ านไวห้ ลาย รม่ รน่ื สามารถพาครอบครวั มานง่ั เลน่ เปน็ รปู แบบคอื โซนเลน่ โซนสรา้ งสรรค์ โซนศลิ ปะ เหมอื นสวนสาธารณะขนาดยอ่ มของชมุ ชน ห้องดนตรี รา้ นอาหาร2-69 ภาพท2ี่ .65 ทศั นียภาพจากดา้ นขา้ งโครงการ ทีม่ า : www.archdaily.com/804682/media-library-third-place
ภาพท2่ี .66 บรรยากาศภายในและนอกโครงการ 2-70ทม่ี า : www.archdaily.com/804682/media-library-third-place
THE NEW URBAN SCHOOL-MIXED USE SPORTS COMPLEX PROPOSAL2-71 ภาพที่2.67 ทัศนียภาพจากด้านหนา้ โครงการ ท่มี า : www.archdaily.com/305228/the-new-urban-school-mixed-use
Architects: EFFEKT + Rubow Location: Helsingor, Denmark Type: Music School, Sportsl Complex, Transformation plan, sustainable masterplan Size: 20,000 m2 Year: 2012ภาพที่2.68 บรรยากาศภายในโครงการทม่ี า : www.archdaily.com/305228/the-new-urban-school-mixed-use
ในการออกแบบศูนย์กีฬานี้สร้างเพ่ือเช่ือมโยงโรงเรียนท่ีเกิดข้ึนใหม่ รวมถึงอาคารเก่าท่ีมีประวัติศาสตร์ในยา่ นน้ีให้มารวมตวั เขา้ ด้วยกนั และเกิดเปน็ พ้นื ทส่ี าธารณะ โดยมีแนวคิดจากการที่จะเปิดกว้างและบูรณาการใ้ห้สภาพแวดล้อมทางการศกึ ษามคี วามนา่ ดงึ ดดู ตอ่ คนเมอื งในยา่ นนน้ั ใหม้ คี วามทันสมัยและเขา้ กบั รปู แบบชวี ิตมากขึน้ ที่ต้งั โครงการตั้งอยู่บริเวณเนินเขาทีส่ ามารถเช่ือมตอ่ กบั อาคารเกา่ และใหม่ โดยการออกแบบจะค�ำ นงึ ถงึ การรกั ษาอาคารเก่าท่ีมอี งคป์ ระกอบของสมยั ก่อนไว้และใช้ต�ำ แหน่งของโรงเรียนที่คนเข้ามาใช้ร่วมกันเพื่อออกแบบและสร้างความหลากหลายใหก้ ับพนื้ ท่ี จึงออกมาเปน็ ‘‘Mixed Use SportsComplex’’ ภาพที่2.69 แปลนชน้ั 1 ท่มี า : www.archdaily.com/305228/the-new-urban-school-mixed-useภาพท่ี2.70 SECTIONที่มา : www.archdaily.com/305228/the-new-urban-school-mixed-use 2-74
BOULEVARD NUNOA SQUARE ARCHITECTURE LOCATION PROGRAM AREAMEDIA LIBRALY [THIRD-PLACE] IN THIONVILLE PLAN Arquitectos Plaza Nunoa, Parking 11345.0 sqm Region Metropolitana, Restaurants Chile Retail shop AREA ARCHITECTURE LOCATION PROGRAM 4590.0 sqm Dominique Coulon 1 Avenue Andre Malraux, Liblary AREA & associes 57180 Terville, France Music Studio Park 20,000 sqmTHE NEW URBAN SCHOOL-MIXED USE SPORTS COMPLEX PROPOSAL LOCATION PROGRAM ARCHITECTURE EFFEKT + Rubow Helsingor, Denmark Music School Sports Complex ตารางที2่ .6 เปรยี บเทียบกรณีศกึ ษา ที่มา : พนั ทวิ า เพชรสีม่วง2-75
CONCEPT LAYOUT PLAN SECTION PLAN SECTIONCONCEPT LAYOUT PLAN SECTIONCONCEPT LAYOUT 2-76
ภาพท่3ี .1 ปกบทท่ี 3ที่มา : พันทิวา เพชรสมี ว่ ง
ตวเิ�ำคแรหานะหง่ ์โทคี่ตร้ังงแกลาะร3.1วเิ คราะหท์ �ำ เลที่ต้ังโครงการ3.1.1วิเคราะห์ทตี่ งั้ โครงการ การเลือกท่ีต้ังโครงการมาจากการมองเห็นปัญหาและศักยภาพในพ้ืนท่ีท่ีมีความหลากหลายด้านการใช้สอยและจ�ำ นวนคนท่มี ากและตา่ งวยั จงึ สมควรท่ีจะปรับปรุงและพัฒนาพ้ืนที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมใช้สอยและตอบโจทย์พฤติกรรมคนในทอ้ งถนิ่ ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ เพอ่ื สง่ เสรมิ คณุ ภาพคนในชมุ ชนและพน้ื ทใี่ กลเ้ คยี ง ซงึ่ ทต่ี งั้ โครงการอยทู่ ่ี โรงเรยี นเทพลลี า จงั หวดักรงุ เทพมหานคร ยา่ นรามค�ำ แหง ซง่ึ บรเิ วรนอี้ ยใู่ นเขตพนื้ ทอ่ี ยู่อาศยั หนาแนน่ มาก เปน็ แหลง่ พาณชิ ยกรรม แหลง่ การศกึ ษา และยังมสี าธารณปู โภค สาธาณูปการท่ีครบครัน มรี ะบบดา้ นการคมนาคมทางรถ เรอื และอนาคตมีแผนสร้างรถไฟฟ้าสายสสี ้มจึงเหมาะสมท่ีจะได้รับการพัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพ่ือรองรับความเจรญิ และความก้าวหน้าในอนาคต 3-2
3.1.2 ประวัติความเปน็ มาของยา่ นท่ตี ั้งโครงการ เขตบางกะปิ ตามลำ�ดับแต่เดิมเป็นป่าทึบ เม่ือราว พทุ ธศกั ราช 2386 (ประมาณ 100 ป)ี ในรัชสมยั ของสมเด็จพระ นัง่ เกล้าเจา้ อยู่หัว เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี ไดเ้ ป็น แมท่ พั ยกกองทพั ไพรพ่ ลพรอ้ มกบั เจา้ เมอื งอนื่ ๆ ฝา่ ยตะวนั ออก ไปปราบกบฏทนี่ คร จ�ำ ปาศกั ดแิ์ ละเมอื งหลวงพระบาง ไดร้ บั ชยั ชนะ ในราชการสงคราม จึงได้กวาดต้อนครอบครัวหัวเมืองรายทาง ติดตามกลบั มาดว้ ย โดยให้ตั้งบา้ นเรือนอยู่บริเวณยา่ นคลองกุ่ม ในปจั จบุ นั ซง่ึ แตเ่ ดมิ ยงั มสี ภาพเปน็ ปา่ ทบึ ตอ่ มามผี อู้ พยพมาท�ำ มา หากินเพิม่ ขน้ึ ตามล�ำ ดบั ทางราชการจงึ จัดต้งั เปน็ อ�ำ เภอใหช้ ่ือวา่ “อ�ำ เภอบางกะป”ิ โดยมที ต่ี งั้ อ�ำ เภออยบู่ รเิ วณตรงขา้ มวดั เทพลลี า แขวงหวั หมากในปัจจบุ นั ต่อมาอำ�มาตยพ์ ระยาเพชรปราณี สมุห นครบาล (สมัยน้ันมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงนานานิคม) เจ้ากรม อ�ำ เภอ เหน็ ว่าทีต่ ั้งท่ีวา่ การอำ�เภอไม่เหมาะสมกบั สภาพทอ้ งที่ จงึ สงั่ ยา้ ย ทว่ี า่ การอ�ำ เภอ ไปตามแนวคลองแสนแสบทางทศิ ตะวนั ออก ทตี่ ้ังเดิมคอื บรเิ วณที่ต้ังส�ำ นกั งานเขตบางกะปิในปจั จุบนั ส่วนชื่ออำ�เภอท่ีเรียกกันว่า “บางกะปิ” นั้นเป็นช่ือที่ทางการตั้ง ขึ้นอาจสันนิษฐานว่าเพราะท้องท่ีน้ีอุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้งเล็กๆ มากมายและประชาชนนยิ มน�ำ มาท�ำ กะปกิ นั มาก หรอื อาจสนั นษิ ฐาน ไดว้ า่ มาจากค�ำ วา่ “กระบ”ี่ หมายถงึ ทอ้ งทท่ี ม่ี ลี งิ ชกุ ชมุ เพราะเปน็ ปา่ ทบึ และเมอื่ น�ำ มาประมวลเขา้ กบั สญั ลกั ษณข์ องเขตบางกะปทิ ใี่ ชต้ รา หนุมานเป็นเครือ่ งหมาย ก็น่าจะเปน็ ไปไดเ้ ช่นกัน (ที่มา : http://arit.chandra.ac.th/edu/Web_social/ bangkapi/general.html)ภาพที่3.2 แผนท่ถี นนสายหลักเขตบางกะปิท่มี า : พันทวิ า เพชรสมี ่วง
คำ�ขวัญเขตบางกะปิ ราชมงั คลากีฬาสถาน ตำ�นานรักขวญั -เรียมยอดเยี่ยมแหลง่ อดุ มศกึ ษา ภาพที่3.3 ราชมงั คลากฬี าสถาน ทม่ี า : www.pinterest.com/pin/454230312388406153/?lp=true
3.1.3 ข้อมลู สถิตพิ ืน้ ท่ีขอ้ มูลสถติ เิ ขตบางกะปิพน้ื ที่ 28.523 ตร.กมประชากร 149,102 คน (พ.ศ. 2558)ความหนาแนน่ 5,227 คน/ตร.กม.แขวงคลองจน่ั 86,813 คนแขวงหวั หมาก 61,043 คนบา้ นเรอื น จำ�นวน 70,100 หลงัประชากรสว่ นใหญอ่ าชพี ค้าขาย(ทม่ี า: ศนู ยข์ อ้ มลู เศรษฐกจิ การคลงั และการ เขตบางกะปิ มีพื้นที่ประมาณ28.523 ตารางกิโลเมตร ตง้ั อยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของกรงุ เทพมหานคร สภาพภูมิประเทศทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มมีลำ�คลองไหลผ่าน ที่ราบค่อนข้างลุ่มมากอยู่บริเวณแขวงคลองจ่ัน มีแนวเขตตดิ ตอ่ กับเขตต่าง ๆทิศเหนือ ตดิ ต่อ เขตบึงกมุ่ทศิ ตะวนั ออก ติดตอ่ เขตสะพานสงู และเขตบึงกมุ่ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ตอ่ เขตวงั ทองหลาง เขตลาดพร้าว เขตห้วยขวางทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ เขตสวนหลวงและเขตประเวศภาพที่3.4 ถาพถ่ายมุมสูงราชมังคลากฬี าสถานท่ีมา : www.bkktopview.com/?p=290
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164