26 1.2 ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle strength) เป็นความสามารถของ กลา้ มเน้ือทห่ี ดตัวออกแรงดว้ ยความพยายาม เอาชนะแรงต้านหรือความตา้ นทานท่ีมากระทำตอ่ ร่างกาย 1.3 ความเร็ว (Speed) เป็นความสามารถในการเคล่ือนไหวหรือเคล่ือนทจี่ ากจุด หน่ึงไปยังอีกจุดหนึง่ ได้อย่าง รวดเร็วโดยใชเ้ วลาสน้ั ที่สดุ 1.4 ความอ่อนตัว (Flexibility) เป็นความสามารถในการทำงานของข้อต่อใน รา่ งกายในทกุ ๆ การเคลอ่ื นไหว ด้วยระยะทางหรือมุมท่ีมากกว่าปกติ 1.5 องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) เป็นส่วนต่าง ๆ ท่ี ประกอบขึน้ เป็นน้ำหนกั ตัวของแต่ละบุคคล เช่น กระดูก กลา้ มเนื้อ และแร่ธาตุในร่างกาย ซึง่ องค์ประกอบ เหล่าน้ีสามารถทำให้การปฏิบัติทักษะได้ผลตามต้องการด้วยจังหวะการเคล่ือนไหวที่เป็นไปตามลำดับแต่ ละขั้นตอนของทักษะ และในแต่ละส่วนของร่างกายอย่างสัมพันธ์กัน ทำให้การควบคุมร่างกายในการ ทำงานตอบสนองการส่ังการของระบบประสาทอย่างมีประสิทธิภาพและสัมพันธ์กับการหดตัวของ กลา้ มเนือ้ ตลอดการเคล่ือนไหว 2. สมรรถภาพทางกายท่ีสัมพนั ธ์กับทักษะ (Skill-related Fitness) สมรรถภาพทางกาย ที่สัมพันธ์กับทักษะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ร่างกายต้องใช้ในการเคลื่อนที่หรือเคล่ือนไหวเพ่ือปฏิบัติ เทคนิค หรือทักษะให้มีประสิทธิภาพในการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา มีองค์ประกอบอีกหลายด้านท่ี เก่ียวข้องและสัมพันธ์กับทักษะการเล่นของแต่ละชนิดกีฬาท่ีจะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพการออกแรงให้เกิด ความสามารถสงู สุดของนกั กฬี าแต่ละคนมากยง่ิ ข้ึน ประกอบดว้ ย 2.1 ความคลอ่ งแคล่ววอ่ งไว (Agility) 2.2 การทรงตัว (Balance) 2.3 การประสานงานความสัมพันธ์การเคล่ือนไหวของรา่ งกาย (Coordination) 2.4 กำลังของกลา้ มเนื้อ (Muscle Power) 2.5 เวลาปฏิกิริยา (Reaction Time) 2.6 ความเรว็ (Speed) งานวิจัยน้ี ผู้วิจัยจะทำโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล เพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ด้วยแบบฝึกการลุก น่ัง (Sit up) 60 วินาที กับเด็ก เยาวชนและประชาชนทั่วไป โดยจะใช้เกณฑ์การทดสอบสมรรถภาพทางกายของ The YMCA Physical Fitness Test / Y’s Way to Physical Fitness : the Complete Guide to Fitness Testing and Instruction, 1989
27 ตอนท่ี 2 ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) 2.1 ความหมายของความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อ กรรวี บุญชัย (2541) ได้ให้ความหมายว่า ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือคือ ความแข็งแรงสูงสุดที่เกิดจาก การหดตวั หน่ึงคร้ังของกล้ามเน้ือ การวัดความแข็งแรงของกล้ามเน้ือจะใช้การทดสอบด้วยอุปกรณ์ยกน้ำหนัก พิชิต ภูติจนั ทร์ (2543) ได้จาํ กัดความหมายไว้ว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หมายถึง กำลังสูงสุดท่ี กล้ามเน้ือมัดเนื้อหรือกลุ่มหนึ่งปล่อยออกเพ่ือต้านกับแรงต้านทาน เป็นท่ียอมรับกันว่า การพัฒนาความ แขง็ แรงของกล้ามเนอื้ สามารถสรา้ งได้โดยฝึกให้กล้ามเน้อื ไดอ้ อกแรงต่อส้กู บั ความต้านทานหรอื น้ำหนักท่ีสูงขึ้น นน่ั ก็คอื การฝึกนำ้ หนกั น่ันเอง การพัฒนาความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อขน้ึ อยู่กบั องคป์ ระกอบ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ความเข้มของกำหนดการฝึก จะบรรจุกิจกรรมที่ต่อสู้กับความต้านทานสูงหรือน้ำหนักที่ มากกว่าปกติ โดยยึดหลกั การฝกึ เกนิ อตั รา 2. ระยะเวลาในการฝึกและความต่อเนื่อง โดยปกติสัปดาห์หนึ่งควรฝึก 2-3 วันหรือมากกว่า แตต่ อ้ งมีวนั หยุดบ้าง ฝึกตอ่ เน่อื งกันทุกสปั ดาห์ 3. ลักษณะของรูปกาย คนที่สูง บาง กระดูกเล็ก จะพัฒนาไปสู่ขีดความแข็งแรงเร็วกว่า คน อว้ น ปูอม กระดูกใหญ่ ถงึ แม้จะฝึกจากกำหนดการฝกึ เดยี วกนั กต็ าม การฝกึ ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ควรมีความจำเพาะของการฝึก (Specificity of training) กล่าวคือ ควรมุ่งฝึกกล้ามเน้ือหรือกลุ่มกล้ามเน้ือท่ีจะใช้ในการแข่งขันจริง ๆ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด การฝึก กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง จะไม่ชว่ ยให้กล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ หรอื กลุ่มอื่น ๆ แข็งแรงตามไปด้วย เว้นเสยี แต่ วา่ กล้ามเน้ือมัดน้ันจะถูกทำให้ไปรว่ มทำงานด้วย ซ่ึงทำได้โดยการเพ่ิมความตา้ นทานให้มากกว่าปกติ เปน็ การ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงข้ึนได้แน่นอนว่าวิธีสร้างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือที่นิยมมากในปัจจุบัน คือ การฝึก น้ำหนัก ส่วนอีกวิธีหน่ึง คือ การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้กล้ามเน้ือทนต่อการเป็น หนอ้ี อกซเิ จนไดด้ ีขน้ึ อันเป็นผลทำใหก้ ารสร้างพลังงานระบบไม่ใช้ออกซิเจนดำเนินไปไดด้ ีกวา่ สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (2549) ได้ให้ความหมายของความอดทนของ กล้ามเนื้อ หมายถึง ความสามารถของกล้ามเน้ือในการออกแรงทำให้วัตถุเคล่ือนที่ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ หรอื หลายคร้ังติดตอ่ กันได้ ตวั อย่างแบบทดสอบ ลุก-นั่ง 60 วนิ าที ดนั พน้ื 30 วินาที ธงชัย เจริญทรัพย์มณี (2547) ได้ให้ความหมายของความแข็งแรงไว้ว่า ความสามารถของร่างกาย หรือสว่ นของร่างกายทจี่ ะทำงาน ซ่งึ เกดิ จากการรวมของปัจจยั 3 ประการ คือ ปัจจัยท่ี 1 แรงที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกลุ่มที่ต้องการให้ทำงาน (Agonists) หมายถงึ ผลรวมของแรงหดตัวของกล้ามเน้ือแต่ละมัด ซ่ึงแรงที่เกิดจากการหดตัวน้ีสามารถเพ่ิมขนึ้ ได้ โดยการ ฝกึ ทีเ่ พิ่มความตา้ นทานขน้ึ ไปเป็นลำดบั (Progressive Resistance) ใหแ้ ก่กลา้ มเนือ้ กลุม่ ทที่ ำงานน้นั
28 ปัจจัยที่ 2 ความสามารถของกล้ามเน้ือกลุ่มตรงข้าม (Antagonists) ที่จะทำงานประสานกับ กล้ามเน้ือกลุ่มท่ีทำงาน ซึ่งความสามารถของกล้ามเน้ือกลุ่มตรงข้ามน้ีสามารถเพิ่มได้แต่ต้องเพิ่มอย่างจํากัด โดยการฝกึ การเคลอื่ นไหวนั้น ๆ ทำใหม้ กี ารทำงานประสานกนั ดียง่ิ ข้นึ ระหวา่ งระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ปัจจัยท่ี 3 อัตราส่วนทางกลไก (Mechanics) ของการจัดระบบคาน (กระดูก) ที่เกี่ยวข้องซ่ึง ขึ้นอยู่กับมุมในการดึงของกล้ามเนื้อและความยาวเปรียบเทียบระหว่างแขนของแรงต้านทานกับแขนของแรง พยายามของระบบคาน ซ่ึงอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยการเปล่ียนแปลงท่าทางหรือจัดท่าทางของร่างกายแต่ละ สว่ น ใหก้ ล้ามเนอื้ หดตวั ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพสงู สุด กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ให้ความหมายของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ คือ ปริมาณสูงสุด ของแรงทกี่ ล้ามเนอ้ื มัดใดมัดหนง่ึ หรอื กลมุ่ กล้ามเนอ้ื สามารถออกแรงต้านทานได้ ในชว่ งการหดตวั 1 ครัง้ สุพิตร สมาหิโต (2555) ได้ให้ความหมายว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หมายถึง ความสามารถของ กล้ามเน้ือท่ีออกแรงในแต่ละครั้งเพ่ือต้านกับแรงต้านทาน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะทำให้เกิดความตึงตัวเพื่อ ใช้แรงในการยก ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือจะช่วยให้ร่างกายสามารถทรงตัวเป็นรูปร่าง สามารถต้านกับแรงโน้ม ถว่ งอยู่ได้โดยไมล่ ้ม ซึง่ เป็นความแข็งแรงท่ีใช้ในการเคล่ือนไหวขนั้ พนื้ ฐาน ถาวร กมุทศรี (2560) ได้ให้ความหมายว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ ความสามารถของกล้ามเน้ือ ทหี่ ดตัวออกแรงดว้ ยความพยายาม เอาชนะแรงตา้ นหรือความต้านทานที่มากระทำต่อร่างกาย สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา นันทนาการ และเต้นรำแห่งสหรัฐอเมริกา อา้ งถงึ ใน Prentice (1999) ได้ ให้ความหมายว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หมายถึง ปริมาณสูงสุดของแรงที่กล้ามเน้ือมัดใดมัดหนึ่งหรือ กลมุ่ กลา้ มเนือ้ สามารถออกแรงตา้ นทานได้ ในช่วงการหดตัว 1 ครั้ง Davis, Bull, and Roscoe (2000) ได้ให้ความหมายว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคือ ปริมาณของแรง ท่ีกล้ามเนื้อสามารถสร้างข้ึนได้เมื่อมันหดตัวและสามารถต้านทาน ยิ่งคนท่ีมีความแข็งแกร่งมากเท่าใดการทำงาน ประจำวันก็ง่ายขึน้ เท่านั้น จากการสังเคราะห์ความหมายของนักวิชาการพลศึกษา พบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Strength) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเน้ือที่สามารถออกแรงต้านทานในช่วงการหด ตวั 1 ครัง้ หรอื ออกแรงทำใหว้ ตั ถุเคลอ่ื นทตี่ ดิ ต่อกันเปน็ เวลานาน ๆ หรือหลายครัง้ ตดิ ตอ่ กนั ได้ 2.2 ความหมายและความสำคัญของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength)
29 บังอร ฉางทรัพย์ (2548) ได้กล่าวถึง การทำงานของกล้ามเน้ือหน้าท้องว่ามีการทำงานร่วมกันกับ กล้ามเนอ้ื ด้านหน้าของกระดูกสันหลังเพื่อทำหน้าท่ีในการเคล่อื นไหวของกระดูกสนั หลงั ภมร ปล้องพันธ์ (2553) ได้กล่าวถึง กลุ่มกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นกลุ่มกล้ามเน้ือที่ทำหน้าท่ียืดระหว่าง กระดูกซี่โครงและกระดูกเชิงกราน อีกทั้งกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าท้องและพังผืดยังทำหน้าท่ีไนการป้องกันอวัยวะ ภายในและเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังกลา้ มเน้ือหนา้ ท้องไม่ใหอ้ วัยวะภายในมีการกระทบกระแทกจากส่ิง ทอ่ี ยู่ภายนอกรา่ งกาย ประกอบไปดว้ ยกล้ามเนือ้ ดงั นี้ 1. กลา้ มเน้ือเรคตสั แอบโดมินสิ (rectus abdomii) 2. กล้ามเนือ้ เอกเทอร์นอล แอบโดมินิส (external abdomninis) 3. กลา้ มเนื้ออเิ ทอรน์ อล แอบโดมนิ ิส (internal abdomins) 4. กลา้ มเนื้อทรานสเวริ ์ด แอบมินิส (transverse abdominis) พชร ชลวณิช (2559) ได้กล่าวถึงความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง หมายถึง ความสามารถในการ ทำ ลุก-นั่ง (Sit-up) 30 วินาที ใหไ้ ดจ้ ำนวนครั้งมากที่สุด William C. Shiel Jr., MD, FACP, FACR (2018) ได้ให้ความหมายของกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ว่า เป็นกลุ่ม กล้ามเน้ือขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของช่องท้องซึ่งช่วยในการหายใจอย่างสม่ำเสมอ และรองรับกล้ามเนื้อกระดูกสัน หลัง ในขณะที่ช่วยยกและรักษาอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ให้อยู่ในตำแหน่งท่ีปกติ กล้ามเน้ือหน้าท้องมีบทบาท สำคญั ในการออกกำลังกาย เช่น การ\"ซทิ อพั \" กล้ามเนอื้ หน้าท้องเรยี กอย่างไม่เป็นทางการว่า \"Abs\" Segen's Medical Dictionary. (2011) ได้กล่าวถึงกล้ามเน้ือหน้าท้อง คือ กล้ามเนื้อขนาดใหญ่ของ ผนงั หนา้ ทอ้ ง เฉียงด้านนอกเฉียงด้านในช่องท้อง rectus ซง่ึ เป็นตัวช่วยหายใจพยุงกล้ามเนอื้ กระดูกสันหลงั ใน ขณะท่ียกและช่วยรกั ษาอวัยวะในชอ่ งท้องและทางเดินอาหารให้อยู่ในตำแหน่งปกติ McGraw-Hill Concise Dictionary of Modern Medicine. (2002) ได้ให้ความหมายไว้ คือ กล้ามเน้ือขนาดใหญ่ของผนังหน้าท้องด้านนอกเฉียงด้านในช่องท้องช่องทวารหนักซ่ึงช่วยในการหายใจพยุง กล้ามเนื้อกระดกู สนั หลังขณะยกและช่วยรกั ษาอวัยวะในช่องท้องและทางเดนิ อาหารให้อยู่ในตำแหน่งปกติ The Cooper Institute (2017) ได้ให้ความหมาย ความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเน้ือหน้า ทอ้ ง ไว้ว่า ความแขง็ แรงและความอดทนของกล้ามเนอ้ื หน้าท้องเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมท่าทางที่ดีและการ จดั แนวกระดูกเชงิ กรานท่ีถูกต้อง ซ่ึงสง่ิ เหลา่ น้ีมคี วามสำคญั อยา่ งย่ิงตอ่ สุขภาพหลงั ส่วนล่าง ในการทดสอบและ ฝึกกล้ามเนื้อของบริเวณน้ีเป็นการยากที่จะแยกกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น การซิทอัพท่ีมี ท่าทางท่ีหลากหลายซึ่งใช้ในการทดสอบสมรรถภาพทางกายหลายอย่างจะเก่ียวข้องกับกล้ามเน้ืองอสะโพก
30 นอกเหนือจากกล้ามเน้ือหน้าท้อง ในทางตรงกันข้ามการประเมินการโค้งงอหรือขดตัวท่ีใช้ในฟิตเนสแกรม (FitnessGram) นั้น จะปลอดภัยและมีประสิทธภิ าพมากกว่า เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับกล้ามเน้ืองอสะโพกและ จะช่วยลดการบีบตวั ของกระดูกสนั หลงั ให้เกดิ ข้ึนนอ้ ยทสี่ ดุ เมื่อเทยี บกบั การซิทอพั เต็มรูปแบบที่เทา้ ตดิ พื้น Boldt (2019) ได้กล่าวถึง 5 ประโยชน์ของความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อหน้าท้อง หน้าท้องเป็นส่วนหน่ึงของกล้ามเน้ือแกนกลางซ่ึงรวมถึงกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสะโพกและกล้ามเน้ือท่ีรองรับ กระดกู สนั หลงั ประโยชนข์ องหนา้ ทอ้ ง ครอบคลมุ ถงึ การทำงานประจำวัน การเล่นกีฬา และสุขภาพร่างกาย 1. ความแข็งแรงของช่องท้องช่วยลดอาการปวดหลัง เพราะหน้าท้องทำหน้าท่ีเป็นจุดยึด ของกล้ามเน้ือกลางและหลังส่วนล่าง หากหน้าท้องอ่อนแอจะบังคับให้กล้ามเน้ือหลังต้องทำงานหนักข้ึนเพ่ือ รองรับกล้ามเน้ือตรงกลาง ความแข็งแรงของหน้าท้องช่วยเพิ่มความทนทานของกล้ามเน้ือหลังเพื่อให้เกิดการ เม่ือยล้าและเสี่ยงต่อความเครียดหรือบาดเจ็บน้อยลง หน้าท้องแข็งแรงยังป้องกันไม่ให้พุงยื่นออกไปข้างหน้า มากเกินไปและทำให้จุดศูนย์ถ่วงเปลี่ยนไป หากกล้ามเน้ือหน้าท้องอ่อนแอโดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าคนมีน้ำหนัก เกนิ การโนม้ ตัวไปขา้ งหน้าจะทำให้เกดิ ผลเสียกับหลงั หนา้ ท้องแขง็ แรงชว่ ยป้องกันไมใ่ หก้ ระดกู เชิงกรานเอียง มากเกินไป หากมีกระดูกเชิงกรานเอียงน้ี อาจได้รับแรงกดบนแผน่ หลงั ส่วนล่างและข้อต่อด้านหลังมากเกินไป ทำให้จดุ ยืดหยุ่นที่ทำใหห้ ลังงอได้ ความกดดันน้ีอาจนำไปส่คู วามอ่อนแอ ความเจ็บปวดขน้ึ ได้ หน้าท้องแข็งแรง ยังชว่ ยให้กระดกู สันหลังอยูใ่ นแนวเดียวกนั เพือ่ ป้องกันการเส่ือมสภาพอกี ด้วย 2. เสริมสร้างการมบี ุคลิกภาพที่ดี การมีหน้าท้องท่ีแขง็ แรงจะเสริมสร้างการมีบุคลิกภาพที่ดี โดยกล้ามเนื้อหน้าท้องจะช่วยพยุงกระดูกสันหลังของคุณโดยธรรมชาติ โดยแขนและขาอยู่ในแนวเดียวกัน อีกท้ังยังทำให้ดูสูงขึ้น ผอมลงและมีความม่ันใจมากข้ึนด้วย ท่าทางท่ีเหมาะสมช่วยลดการสึกหรอของกระดูก สันหลังซ่ึงเป็นปัญหาเพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน ท่าทางที่ดียังช่วยให้ กระดูกและขอ้ ต่ออยู่ในแนวเดยี วกันเพอื่ ให้แน่ใจว่ากล้ามเนือ้ ทำงานได้อย่างเหมาะสม หากไม่มกี ารจัดตำแหน่ง นอ้ี าจมกี ารสึกหรอของพ้ืนผิวขอ้ ต่อที่ผิดปกติซ่ึงอาจนำไปสู่โรคไขข้อเส่ือมและอาการปวดขอ้ ในขณะเดียวกัน ท่าทางที่ดีจะช่วยลดความตงึ ของเอน็ ท่ียึดข้อตอ่ กระดูกสันหลังให้เขา้ ทแ่ี ละลดความเสยี่ งต่อการบาดเจ็บ 3. สร้างความแข็งแกร่งในการทำงาน ประโยชน์ของหน้าท้องมีมากกว่าการรองรับกระดูก สนั หลังและหลังส่วนล่าง การกระทำงา่ ย ๆ เชน่ การก้มลงเพื่อหยิบของท่หี ล่น หรอื ผกู รองเทา้ อาจเป็นงานทท่ี ำ ได้หากมีกล้ามเนื้อหน้าท้องท่ีแข็งแรง การบิด การยกหรือแม้แต่การขึ้นลงจากเก้าอ้ีต้องใช้ความแข็งแรงของ แกนกลางของกล้ามเน้ือท้ังนั้น การสร้างความแข็งแรงและความทนทานของหน้าท้องยังทำให้การทำงานบ้าน เช่น การถูพ้ืนและการขัดฝักบัวทำได้ง่ายขึ้นเช่นกนั เนือ่ งจากสามารถยืนงอและหมอบคลานขณะขยับแขนขา ไดอ้ ยา่ งสะดวกยิ่งขึ้น 4. พัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการกีฬา กีฬาทุกประเภทใช้ส่วนกลางลำตัวเพื่อการทรงตัว และการเคลื่อนไหว คนเราจะบิดตัวเพ่ือจับลูกบอล หมุนลำตัวเบา ๆ เม่ือว่ายน้ำ และงอตัวเมื่อจับไม้ฮ็อกกี้ หรือไม้กอล์ฟ สำหรับนักวิ่งกล้ามเน้ือหน้าท้องจะมีความโดดเด่นท่ีอาจช่วยเพ่ิมความสมดุล ความคงที่ ความ อดทนเป็นหลัก และทำให้ใช้เวลาในการว่ิงน้อยลง การเคลื่อนไหวทั้งหมดน้ีจะได้มาจากกล้ามเนื้อหน้าท้องท่ี
31 แข็งแรง เมื่อเราสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวภายในเกมหรือการแข่งขัน การบาดเจ็บก็จะน้อยลง แต่ถ้า ได้รับการบาดเจ็บแกนที่แข็งแรงจะช่วยฟื้นฟูและรักษาได้ ความแข็งแรงและความทนทานของหน้าท้องยัง หมายความว่าคณุ สามารถทำไดด้ ีกวา่ และอยู่ในสนามได้นานกวา่ คู่แขง่ 5. สร้างสมดุลท่ีดีข้ึน ประโยชน์ของความแข็งแรงของหน้าท้อง จะปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษ เม่ือใดก็ตามที่เราต้องการปรับสมดุลและรักษาเสถียรภาพของร่างกาย การมีแกนกลางของกล้ามเนื้อท่ีดีจะ ชว่ ยให้กล้ามเนื้อในกระดูกเชิงกรานหลังส่วนล่างสะโพกและหน้าท้องทำงานได้อย่างกลมกลืน เกิดความสมดุล และความมน่ั คงมากข้ึน หลายคนเข้าใจว่าการทรงตัวเปน็ เพียงแค่การยืนขาเดียวและเดนิ ไต่เชอื กเทา่ นั้น แตท่ ี่ ควรเพิ่มเติมคือการทรงตัวยังรวมถึงการเดินอยู่บนพ้ืนผวิ ท่ีไม่เรียบ ข่ีรถบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือยืนด้วย ตัวเองเมอื่ ก้าวออกจากขอบถนน สรุปจากการสังเคราะห์ความหมายและความสำคัญของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength) พอจะสรุปได้ว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นความ สามารถในการทำงานของกลุ่มกล้ามเน้ือหน้าท้องท่ีกระทำต่อแรงต้านทานได้สูงสุด ในที่น้ีจะหมายถึง ความสามารถในการทำท่า ลกุ -น่ัง (Sit up) 60 วนิ าที ให้ได้จำนวนคร้ังมากท่ีสุด ทัง้ นีก้ ล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นส่วนหน่ึงของกลุ่มกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งมีหน้าท่ีทำให้สามารถเดิน ยืน นั่ง ทรงตัวหรือทำ กิจกรรมต่าง ๆ ได้ นอกจากน้ียังช่วยพยุงร่างกายของเรารวมท้ังกระดูกสันหลังให้สามารถเคลื่อนไหวไปใน ทิศทางต่าง ๆ ได้ กล้ามเน้ือหน้าท้อง มีท้ังหมด 4 ส่วน ประกอบด้วย 1) กล้ามเนื้อหน้าท้องชั้นนอกหรือ เรียกว่าซิกแพค (Rectus Abdominis) 2) กล้ามเนื้อท้องด้านข้างชั้นนอก (External Abdominal Oblique) เชื่อมต่อกับซิกแพค 3) กล้ามเน้ือหน้าท้องชั้นใน (Transverse Abdominis) เป็นส่วนท่ีมองไม่ เห็นจากภายนอก แต่เป็นส่วนที่สนับสนุนการทำงานของอวัยวะภายใน และช่วยให้บุคลิกภาพดี หลังตรง 4) กล้ามเนื้อท้องด้านข้างช้ันใน (Internal Abdominal Oblique) เป็นส่วนท่ีมองไม่เห็นจากภายนอก เช่นกัน แตม่ ีความสำคัญในการทำงานควบคู่ไปกับกล้ามเน้ือหน้าท้องชั้นใน มีประโยชน์ต่อการเคลือ่ นไหว และการทรงตวั 2.3 ความหมายและวิธีการฝกึ ทา่ ลกุ -น่งั (Sit up) การลุกนั่ง หรือ การ Sit up เป็นอีกหนึง่ ท่าที่ใช้ทดสอบสมรรถภาพทางกาย ท่ีใชอ้ ยู่ในหลายๆองค์กร ซ่ึงท่านี้จะเป็นการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้อง แต่ความจริงแล้วการ Sit up ไม่ได้ใช้แค่กล้ามเนื้อ ท้องเพียงอย่างเดียว หากได้ทำในท่าที่ถูกต้อง กล้ามเนื้อท่ีถูกใช้มากที่สุดคือ กล้ามเน้ือต้นขา รองลงมาคือ กล้ามเนอื้ หน้าท้อง และกลา้ มเน้ือหลงั ส่วนลา่ งทช่ี ่วยในการยกตวั จะถกู ใช้นอ้ ยสุด สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (2549) ได้กำหนดแบบทดสอบสมรถภาพทางกาย โดยหนึ่งในโปรแกรมทดสอบความแข็งแรง คือ โปรแกรมทดสอบความแข็งแรงกล้ามเนื้อท้อง ใช้แบบทดสอบ ลุก-น่ัง 60 วินาที มีวิธีการปฏิบัติโดยใหผ้ ู้รบั การทดสอบนอนหงาย ชันเข่าท้ังสองข้าง เข่าทั้งสองงอเปน็ มุมฉาก
32 เท้าท้ังสองวางห่างกันประมาณ 1 ช่วงไหล่ ฝ่าเท้าวางราบกับพ้ืน มือท้ังสองวางแตะไว้ท่ีหน้าขาท้ังสองข้างให้ ผู้ช่วยการทดสอบน่ังอยูท่ ่ีปลายเท้าและเอามือท้ังสองจับไวท้ ่ีบริเวณใต้ข้อพบั ของผู้เขา้ รบั การทดสอบ เมอ่ื ได้ยิน สัญญาณ “เร่ิม” ให้ ผู้เข้ารับการทดสอบยกลำตัวขึ้นไปสู่ท่าน่ัง ก้มตัวให้ศีรษะผ่านไประหว่างเข่าแขนทั้งสอง เหยียดตรงไปข้างหน้า และให้ปลายนิ้วแตะเส้นตรงที่อยู่แนวเดียวกับปลายเท้าทั้งสองข้าง แล้วลงกลับสู่ท่า เริม่ ตน้ โดยจะตอ้ งใหส้ ะบักทงั้ สองข้างแตะพื้น ธนา ปุกหุต (2560) ไดใ้ ห้ความหมายและวธิ ีการทำลุกนง่ั (Sit up) กลา่ วคือ การทดสอบลุกน่ังในชาย และหญิงจะไม่มีความแตกต่างกัน ท่าเร่ิมต้นให้ผู้ปฏิบัติตอนหงายบนเบาะ งอเข่าสองข้างข้ึนเป็นมุมประมาณ 90 องศา เข่าและเท้าชิดกัน ต่อจากนั้นใช้มือสองข้างประสานกันหลังต้นคอและให้ศอกทั้งสองข้างตั้งขึ้น ช้ีท้องฟา้ จะมีผู้ควบคมุ การทดสอบ 2 คน คนที่ 1 นั่งบริเวณปลายเท้าผู้ปฏิบัติ และจะจับปลายเท้าไว้ไมใ่ หล้ อย ข้ึนจากพื้น และคอยจับเวลาในการปฏิบัติ ผู้ควบคุมคนที่ 2 น่ังด้านข้างคอยสังเกตและนับจำนวนการปฏิบัติ ท่ีถูกต้องโดยคอยเตือนเรื่องการหายใจ เข้าออกกับท่าทางท่ีผิด เมื่อพร้อมให้จับเวลาเร่ิมปฏิบัติโดยให้ผู้ถูก ทดสอบเกร็งลำตวั ขน้ึ เพ่ือให้ปลายข้อสอบข้างใดขา้ งหนึ่งแตะบริเวณตน้ ขาส่วนใดก็ได้ เมอื่ สัมผสั แล้วให้นอน ราบลงไปดังท่าเริ่มต้นนับเป็น 1 ครั้ง ให้ปฏิบัติเช่นน้ีมากท่ีสุดในเวลา 1 นาที ผู้ปฏิบัติสามารถพักได้ระหว่าง ทดสอบ แต่เวลาจะไม่หยุดควรบอกระยะเวลาที่เหลือเป็นระยะ ๆ เมื่อครบจึงเลิกปฏิบัติ จุดอ่อนของการ ทดสอบท่าลุกนั่งงอเข่า 1) การจัดท่าเริ่มต้นมือต้องประสานแน่นไว้หลังต้นคอ ไม่ใช่หลังศีรษะ ให้ผู้ควบคุม สงั เกตดูว่าถูกต้องหรือไม่ และควรมีการสาธิตให้ดูก่อนปฏิบัติจริง ผู้ควบคุมควรแนะนำและสาธิตการปฏิบัติให้ ชม 2) จะนับจำนวนคร้ังกับท่าปฏิบัติท่ีถูกต้องเท่าน้ัน 3) การกลั้นหายใจระหว่างปฏิบัติ ผู้ควบคุมควรแนะนำ และสาธติ วิธีหายใจเข้า-ออก เตือนเรื่องการหายใจระหว่างการปฏิบัติ 4) การพักเหนื่อยระหว่างการทดสอบใน ทา่ นั่งหรือนอนราบผู้ควบคมุ ควรแนะนำว่าพักได้หากทำไมไ่ หว ถ้าพร้อมให้ทำตอ่ เพม่ิ เติมแต่เวลาจะไมห่ ยุดนับ 5) ข้อศอกไม่แตะส่วนต้นขาหรือหลังนอนราบไม่ติดพื้น ผู้ควบคุมให้สังเกตและเตือนว่าจะไม่นับจำนวนคร้ังนั้น 6) มือประสานหลังต้นคอหลุด ผู้ควบคุมให้สังเกตและเตือนให้ประสานกันตอ่ ไป 7) เจา้ หน้าที่ไม่บอกระยะเวลา ทีเ่ หลอื ให้ทราบ ผู้ควบคุมจงึ ควรฝึกซอ้ มและแนะนำวิธีการใหก้ บั เจ้าหน้าทที่ ดสอบให้พร้อม กรมพลศึกษา (2562) ได้กล่าวถึง แบบทดสอบการลุก-นั่ง 60 วินาที (60 Seconds sit ups) มี วตั ถุประสงค์การทดสอบ เพื่อทดสอบความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อท้อง อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ คือ 1) เบาะฟองน้ำ หรือโฟมรองพื้น 2) นาฬิกาจับเวลา 1/100 วินาที มีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้ 1) ให้ผู้รับการ ทดสอบนอนหงาย ชันเข่าข้ึนให้เข่าท้ังสองงอเป็นมุมประมาณ 90 องศา ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง วางราบกับพื้นโดยวาง ชิดกัน ให้ส้นเท้าท้ังสองข้างวางเป็นเส้นตรงในแนวระดับเดียวกัน แขนทั้งสองเหยียดตรงในท่าคว่ำมือวางแนบไว้ ข้างลำตัว 2) ให้ผู้ช่วยทดสอบน่ังอยู่ที่ปลายเท้าของผู้รับการทดสอบ และใช้เข่าทั้งสองวางแนบชิดกับเท้าทั้งสอง ของผู้รับการทดสอบ ใช้มือท้ังสองจับยึดไว้ท่ีบริเวณใต้ข้อพับเข่าของผู้รับการทดสอบป้องกันไม่ให้ลำตัว ขา และเท้าเคล่ือนท่ี 3) เมอื่ ได้ยนิ สญั ญาณ “เริ่ม” ให้ผ้รู ับการทดสอบยกลำตัวขน้ึ เคลือ่ นไปสูท่ า่ นงั่ กม้ ลำตวั พรอ้ ม กบั ยกแขนทั้งสองข้างเหยยี ดตรงไปข้างหน้าให้ปลายนวิ้ มือไปแตะท่ีเส้นตรงท่อี ยู่ในแนวระดบั เดยี วกับส้นเทา้ ท้ัง
33 สองข้าง แล้วนอนลงกลับส่ทู า่ เร่ิมต้นใหส้ ะบักท้ังสองข้างแตะพื้น นับเป็น 1 คร้งั ปฏบิ ัตติ ่อเนื่องกนั จนครบเวลา 60 วินาทีโดยให้ผู้รับการทดสอบพยายามทำให้ได้จำนวนคร้ังมากท่ีสุด 4) ผู้รับการทดสอบสามารถหยุดพัก ระหว่างการทดสอบและสามารถปฏิบัติต่อได้ตามเวลาที่เหลือผลการทดสอบให้นับจำนวนครั้งท่ีทำได้อย่าง ถูกต้องตอ่ เนื่อง Capritto (2020) ผู้เช่ียวชาญด้านการออกกำลังกาย ได้ศึกษารูปแบบที่เหมาะสมและข้อผิดพลาด ท่ัวไปของวิธีการซิทอัพ โดยท่ัวไปแล้วการออกกำลังกายที่เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง การซิทอัพอย่าง ถูกต้องสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับแกนกลางและความยืดหยุ่นในกระดูกสันหลังได้ อย่างไรก็ตามการซิท อพั ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ ประโยชน์ของการซิทอัพคือการเพิ่มความแข็งแรงของแกนกลาง การ ซทิ อพั ช่วยให้กลา้ มเนอื้ หนา้ ท้องทำงานไดท้ ั้งหมด โดยเฉพาะชดุ กล้ามเน้อื ซิกแพคทเ่ี รียงตวั อย่ดู ้านหน้าทอ้ ง อีก ท้ังยังชว่ ยสร้างความตอ่ เน่ืองเวลาเคลื่อนไหว ความยืดหยุ่นของกระดูกสนั หลัง การซทิ อัพทำไดย้ ากในตอนแรก เนื่องจากอาจไม่สามารถงอและยืดกระดูกสันหลังได้ การซิทอัพบนพื้นแข็ง เช่น พื้นไม้เน้ือแข็งกระเบื้องหรือ พ้ืนเส่ือยิมอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำที่บาดเจ็บที่กระดูกสันหลังส่วนเอวได้ การซิทอัพบนพ้ืนผิวที่นุ่ม เช่น พรม เนื้อนุ่มอาจให้ความสบายมากขึ้นและป้องกันการบาดเจ็บได้ ขั้นตอนการทำการซทิ อัพอย่างเหมาะสม 1) นอน หงายบนพ้ืน งอเข่าเพ่ือให้เท้าราบกับพ้ืน วางเท้าของคุณให้ม่ันคงวางไว้ใต้ม้านั่งหรือไม้ค้ำยันอื่น ๆ หากคุณมี ผู้ช่วยฝึกคุณสามารถให้พวกเขาจับเท้าของคุณไว้ได้ ท้ังน้ีวิธีท่ีดีท่ีสุดในการซิทอัพ คือการไม่มีท่ีรั้งเท้า หรือมี ผู้ช่วยในการจับขา จะทำให้ซิทอัพไดผ้ ลลพั ธ์ที่ดีกว่า 2) กอดอกไว้เหนือหน้าอก มือซ้ายควรวางบนไหล่ขวา มือ ขวาวางไว้บนไหล่ซ้าย ไม่วางมือไว้ข้างหลังศีรษะเพราะอาจทำให้มือต้องดึงคอข้ึนมา 3) ให้หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเริ่มตัวแทนคร้ังแรก 4) ออกแรงกล้ามเน้ือหน้าท้องเพ่ือยกหลังข้ึนจากพ้ืน สะโพกอยู่น่ิงและกดลงกับ พ้ืนจนกว่าคุณจะตั้งตรงได้เต็มที่ 5) ลดตัวกลับไปที่ตำแหน่งเร่ิมต้นไม่ส่งแรงกระแทก 6) ทำซ้ำจนกว่าจะครบ จำนวนคร้งั หรือเวลาที่กำหนด Todingan, Moningka ,Danes (2016) ได้ทำงานวิจัยเก่ียวกับการ Sit up พบว่า การ Sit up ระหว่างมุมน่ังท่ี 90° ถือว่าเป็นมุมน่ัง Sit up ท่ีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรอบเอวและหน้าท้องได้ดีกว่า มุมนั่ง ที่ 45 ° และ 120 ° กล่าวคือ วิธีการยกร่างกายส่วนบนจากท่านอนหงายแล้วสร้างมุมซิทอัพ 90° มีการ เปล่ียนแปลงโดยการเปลี่ยนมุมนั่ง 90° เป็น 45° และ 120° นอกจากนี้ยังมีหลักฐานท่ีพิสูจน์ได้ว่าการ Sit-up จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไขมันบริเวณช่องท้องให้ลดลง ซ่ึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะหน้า ท้องเป็นส่วนสำคัญของร่างกายมนุษย์ รอบท้อง(เอว) ผู้ชายจะมีมากกว่า 90 ซม. และผู้หญิงจะมีมากกว่า 85 ซม. ซ่ึงเป็นภาวะของคนอ้วน) การ Sit up จึงถูกออกแบบให้เป็นแบบฝึกหน่ึงในการฝึกความต้านทานการออก กำลังกายให้กับกล้ามเน้ือหน้าท้อง เป้าหมายของการศึกษาครั้งน้ี ไม่เพียงแต่จะเขา้ ใจความสัมพันธ์ระหว่างมุม ซิทอัพกับการเปลี่ยนแปลงของเอวและเส้นรอบวงเอวเท่านั้น แต่ยังเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงรอบเอว ระหว่างมุมน่ัง Sit up 45 °, 90° และ 120 ° 25 นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย Sam Ratulangi ถูกแบง่ ออกเป็น 3 กลุ่มตัวอย่างของมุมนั่ง (45 °,90° และ 120 °) แต่ละกลมุ่ ตัวอย่างได้รบั คำส่ังให้ทำ 50 ครั้ง
34 ต่อวัน ภายใน 15 วันหลังปฏิบัติ ก่อนวันแรกของการฝึกและวันสุดท้ายหลังการฝึก เอวเส้นรอบวงจะถูกวัด จากน้ันจะวิเคราะหข์ ้อมูล แสดงความแตกต่างเฉลีย่ ของรอบเอวในกลุ่ม 45° มมุ ซิทอัพคือ 10 มม. ในกลุ่ม 90° มมุ ซทิ อพั คือ 12,22 มม. และในกลุ่ม 120° มมุ ซิทอัพคือ 13,75 กล่าวโดยสรปุ การ Sit up มคี วามสัมพันธ์กัน อย่างมากระหว่างมุมการซิทอัพ (45°, 90°, 120°) และมีการเปล่ียนแปลงรอบเอว ความสัมพันธ์ท่ีสำคัญท่ีสุด และเกดิ การเปล่ียน คอื กลมุ่ ตวั อย่างท่ีทำมุมนั่ง 90° สรุปความหมายและวิธีการฝึกท่าลุก-นั่ง (Sit up) เป็นทักษะที่ใช้ในการออกกำลังกายหน้าท้อง ทำให้เกดิ ความแข็งแรง บริเวณกล้ามเนอื้ หนา้ ท้อง รอบวงเอว กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเน้ือหลังสว่ นล่าง วิธีการฝึกจะเริ่มต้นจากการนอนหงายราบลงบนพ้ืน ตั้งเข่าชันขึ้น วางเท้าท้ังสองข้างกว้างประมาณหัวไหล่ มอื ท้ังสองข้างประสานไว้ที่หน้าอก เป็นท่าเตรียมฝึกท่าลุก-น่ัง Sit up โดย 1) เริ่มจากออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อ หน้าท้องเพ่ือยกลำตัวส่วนบนข้ึนมาจนกระท่ัง ทำมุมเป็นรูปตัว V กับต้นขา 2) ค่อย ๆ ลดลำตัวลงถึงพื้น เพ่ือเปน็ การคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องออก นบั เป็น 1 ครั้ง 2.4 ความหมายและวธิ ีการฝกึ ทา่ ครนั ช์ (Crunch) ครันช์ (Crunch) เป็นหนึ่งในการออกกำลังกายหน้าท้องที่นิยมมากที่สุดท่าหนึ่ง ท่านี้จะคล้ายกับการ ทำซิทอัพ แต่จะไม่ยกตัวขึ้นสูงเท่ากับการซิทอัพ (Sit up) จะเน้นการเกร็งหน้าท้อง การยกขาและลำตัวด้านบน ซ่งึ ทา่ ครันช์จะมีหลายแบบ ในทกุ ท่าจะช่วยในเร่อื งการกระชับกล้ามเน้ือหน้าทอ้ ง สร้างซิกแพค และลดพุงเป็น หลัก การทำท่าครันช์ (Crunch) จะไม่ได้ใช้แค่กล้ามเน้ือท้องเพียงอย่างเดียว หากได้ทำในท่าท่ีถูกต้อง กล้ามเน้ือท่ีถูกใช้มากที่สุดคือ กล้ามเนื้อหน้าท้อง รองลงมาคือ กล้ามเน้ือต้นขา ส่วนกล้ามเน้ือหลังจะไม่ได้ใช้ ซง่ึ ตา่ งจากการทำท่าซทิ อัพ (Sit up) Ajani (2020) ได้กล่าวว่า การออกกำลังกายด้วยท่าครันช์เป็นหนึ่งในวิธีท่ีง่ายและมีประสิทธิภาพใน การเพ่ิมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหน้าท้อง ท่าครันช์มีลักษณะคล้ายคลึงกับท่าซิตอัพ แต่จะยกเพียงลำตัว ช่วงบนข้ึนเท่าน้ันซึ่งแตกต่างจากท่าซิตอัพท่ีต้องยกลำตัวข้ึนมาจากพื้นทั้งหมด ท่าครันช์จะช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดการบาดเจ็บในระหว่างการออกกำลังกายและให้ใช้งานกล้ามเน้ือหน้าท้องอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพ่ึง กลา้ มเน้ือสะโพก วธิ ีการฝึกทา่ ครนั ช์ คือ 1. นอนหงายบนแผ่นรองออกกำลงั กาย หรือพนื้ ผิวท่เี ป็นพรมจะช่วยทำให้ปลอดภัยในการฝึก 2. ชันเข่าข้ึนและวางเท้าราบบนพ้ืน. กางเข่าและเท้าให้กว้างเท่าช่วงสะโพก วางเท้าราบบน พนื้ ให้สน้ เท้าหา่ งจากกระดกู กน้ กบประมาณ 12-18 นิ้ว (30-45 ซม.) 3. วางแขนไขว้กันบนอก.หรือนำมือมาประสานกันไวท้ ี่ท้ายทอย จะดีกว่าการวางมือไว้ที่หลัง ต้นคอหรือศีรษะ เพราะการใช้มือออกแรงดันศีรษะหรือคอเพ่ือยกลำตัวข้ึนมาอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ทง้ั นี้สามารถใช้แผน่ น้ำหนกั 2-4 กโิ ลกรัมวางไว้บนอกเพ่ือเพ่มิ แรงต้านในการฝึกท่าครนั ช์ได้
35 4. ยกกระดูกสะบักขึ้นจากพื้นโดยควบคุมการเคล่ือนไหวให้ถูกวิธีและไม่ติดขัด. สูดหายใจเข้า ลึกๆ แลว้ ผ่อนออกมาพร้อมเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและยกลำตัวช่วงบนข้ึนมาพอใหก้ ระดูกสะบักยกข้ึนมาจากพื้น ค้างไว้ 1-2 วินาที ไม่ยกลำตัวขึ้นมาจากพื้นทั้งหมดเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างได้ การฝึกท่า ครันช์ดว้ ยวิธที ่ีถูกตอ้ งจะช่วยเน้นที่กลา้ มเน้ือหน้าท้องได้มีประสิทธภิ าพท่ดี ีกว่าเม่ือเทียบกับการทำท่าซิทอัพ สรุปความหมายและวิธีการฝึกท่าครันช์ (Crunch) คือ การออกกำลังกายบริหารหน้าท้องให้มี ความแข็งแรง เร่ิมต้นจากการนอนหงายหน้าราบลงบนพ้ืน นำมือมาประสานกันไว้ท่ีท้ายทอย วางเท้าสองข้าง หา่ งกันประมาณหัวไหล่ ตง้ั เข่าชันข้ึนมา เร่ิมจากการสดู ลมหายใจเขา้ จนสดุ จากน้ันออกแรงเกร็งกล้ามเน้ือหน้า ทอ้ งเพือ่ ยกลำตัวสว่ นบนขึน้ โดยไม่ให้หลังส่วนล่างยกข้ึนจากพน้ื ค่อยๆ คลายกล้ามเน้ือหนา้ ท้องออก ลดลำตัว ช่วงบนลงกลบั ไปสู่ท่าเตรยี ม นับเปน็ 1 ครั้ง ตอนท่ี 3 โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกาย (A Training Program for Physical Fitness) 3.1 โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกาย เป็นโปรแกรมเพื่อช่วยพฒั นาร่างกายให้มคี วามสามารถในการทำงานหรือทำกิจกรรมทางกาย อย่างใด อย่างหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมนี ักวิชาการและนักวิจัยได้นำเสนอหลักการ รายละเอยี ด โปรแกรมการ ฝกึ สมรรถภาพทางกายท่ีหลากหลายรปู แบบไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ สุพิชชา วงศ์จันทร์ (2551) ได้กล่าวถึงโปรแกรมการออกกำลังกาย 6 สัปดาห์ ซึ่งมีวิธีการออกกำลัง กายท่ีจะต้องปฏิบัติ ระยะเวลาและจำนวนคร้ังของการออกกำลังกายแต่ละวิธี และตารางสำหรับบันทึก ความสำเร็จ โดยมีข้ันตอนการออกกำลังกายสำหรับตนเอง คือ 1. เร่ิมต้นโดยการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ในเบื้องต้นก่อนแล้วบันทึกลงในแบบบันทึกสมรรถภาพ 2. จัดโปรแกรมออกกำลังกายที่มีระดับสอดคล้องกับ ระดับสมรรถภาพแล้วเริ่มออกกำลังกายตามแผนหรือวิธีการที่จัดไว้ โดยสามารถฝึกท่าทางการยืดเหยียด กล้ามเน้ือและการฝึกความแข็งแรงได้จากโปสเตอร์และ VCD โปรแกรมการออกกำลังกาย American College of Sport Medicine (ACSM) 3. ทุกคร้ังที่ออกกำลังกายให้บันทึกวันท่ีและท่าออกกำลังกายท่ี ปฏิบัติ 4. เมื่อออกกำลังกายตามระยะเวลาและจำนวนครั้งท่ีกำหนดไว้ในแต่ละสัปดาห์แล้ว ผู้ออกกำลังกาย สามารถเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนคร้ังตามท่ีกำหนดในสัปดาห์ต่อไปได้ หากไม่สามารถออกกำลังกายบางวิธี ได้ครบตามจำนวนครั้งหรอื ระยะเวลาที่กำหนดให้ฝึกซ้ำจนกวา่ จะทำได้ครบตามโปรแกรมทกุ วิธี ถึงแม้ว่าจะใช้ เวลามากกว่า 6 สัปดาห์ 5. เมื่อออกกำลังกายครบตามโปรแกรมแล้ว ให้ท่านทดสอบสมรรถภาพทางกายซ้ำ เพ่ือประเมินความก้าวหน้าและจัดโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่ให้กบั ตนเอง 6. บันทึกผลการทดสอบระดับ สมรรถภาพและระดับการออกกำลังกายลงในแบบบันทึกสมรรถภาพและออกกำลังกายต่อไป ท้ังน้ียังมี ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพ่ือเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ 1. ควรฝึกด้วยแรงต้านทานของ กล้ามเน้ือมัดใหญ่ ๆ ใหญ่ 8-10 เท่า 2. ควรฝึกปฏิบัติซ้ำ ๆ ท่าละ 8-15 ครั้ง ต่อชุดเมื่อผู้ออกกำลังกาย สามารถปฏิบัติได้ 15 ครงั้ ให้ฝกึ โดยการเพม่ิ ความหนักในรูปแบบเพิ่มนำ้ หนักที่ใช้หรอื เพ่ิมการฝึกชุดที่ 2 ชุดละ
36 8-15 คร้ัง 3. ให้ฝึกวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2-3 วัน 4. ขณะออกแรงต้านใหห้ ายใจเขา้ -ออกปกติ ไม่ต้องกล้ัน หายใจ สำหรับขอ้ แนะนำการเตรียมตัวกอ่ นการทดสอบ มีดงั น้ี 1. ก่อนวันทดสอบใหน้ อนหลบั ให้เพียงพออยา่ ง น้อย 7-8 ช่ัวโมง ไม่ควรออกกำลังกายระดับรุนแรงในวันท่ีจะทดสอบ และงดรับประทานอาหาร ชา กาแฟ และบุหร่ีก่อนการทดสอบอย่างน้อย 3 ช่ัวโมง 2. ในการทดสอบควรสวมใส่เส้ือผ้าอย่างหลวม ๆ ที่เหมาะสม อาจจะเป็นเส้ือยืด กางเกงวอร์ม และสวมรองเท้าสำหรับเดิน-ว่ิงหรือรองเท้าหุ้มส้น พื้นเรียบท่ีสวมใส่สบาย 3. ควรอบอุ่นร่างกายก่อนการทดสอบทุกคร้ังเพราะจะช่วยกระตุ้นให้อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เพ่ิมข้ึนอย่างช้า ๆ ทำให้ร่างกายอุ่นข้ึนและกล้ามเน้ือยืดหยุ่น สามารถเคลื่อนไหว ทดสอบได้อย่างสะดวก สุดท้ายเป็นข้อแนะนำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังจากได้ทดสอบสมรรถภาพหรือออกกำลังกายแล้ว 1. ให้ยืด เหยียดกล้ามเน้ือมัดใหญ่ แบบหยุดน่ิงค้างไว้จำนวน 10-12 ท่า 2. ยืดเหยียดจนถึงจุดที่รู้สึกว่าตึงหรือหนักแต่ ไมเ่ จบ็ ค้างไว้ท่าละ 10-30 วนิ าที 3. ควรปฏิบัตกิ ่อนและหลังการออกกำลังกายทกุ คร้ัง ทยาวีร์ ช่างบรรจง. (2559) ได้กล่าวถึงการสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายเพ่ือพัฒนาสมรรถภาพ ทางกาย โดยใช้การออกกำลังกายแบบวงจรมีกระบวนการพัฒนา มีดงั น้ี 1. กำหนดจำนวนของอุปกรณห์ รือท่า ในการออกกำลังกาย โดยเลือกใหม้ ีความหลากหลาย สามารถออกกกำลงั กลา้ มเนื้อหลาย ๆ ส่วนท่ัวร่างกายได้ ภายในคราวเดียว โดยเร่ิมจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไปหากล้ามเน้ือมัดเล็ก 2. ควรมีสถานีในการฝึกไม่น้อยกว่า 12-8 สถานี โดยเรียงลำดับสถานีในลักษณะให้มีการออกกำลังกายในกล้ามเนื้อตรงกันข้าม เช่น กล้ามเนื้อต้น ขาด้านหน้าไปต้นขาด้านหลัง กล้ามเน้ือหน้าท้องไปกล้ามเน้ือหลัง เป็นต้น รวมทั้งในแต่ละสถานีควรมี เจ้าหน้าทีส่ ำหรบั บันทึกผลการปฏิบัติ 3. การออกกำลังกายในแตล่ ะสถานีใหเ้ วลาโดยประมาณต้ังแต่ 30 วินาที ไปจนถึง 3-1 นาที ความยากของกิจกรรมไม่ควรหนักมาก อาจกำหนดแต่ละสถานีเป็นระยะเวลาหรือจำนวน ครง้ั โดยจัดการออกกำลงั กายประมาณ 3-1 เซต หลังจากครบทกุ สถานีแลว้ ให้วนออกกำลงั กายซ้ำอีก 2-1 เซต ส่วนการพกั ระหว่างสถานีไมเ่ กนิ 15-30 วนิ าทีหรอื ไม่พักเลย ทั้งนี้ยังมีตัวอย่างการสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อพัฒนาสมรรถภาพแบบวงจร ซึ่ง ประกอบด้วย 1. ก่อนเข้าสู่โปรแกรมการออกกำลังกายแบบวงจรผู้เข้ารว่ มการออกกำลงั กายได้รับฟังการชี้แจง และการปฐมนิเทศเก่ียวกับจุดมุ่งหมาย วิธีการดำเนินการของกิจกรรมตามโปรแกรมการทดสอบสมรรถภาพ และการเตรียมตวั ก่อนเข้ารับการทดสอบ 2. มีการทดสอบสมรรถภาพทางกายของผูเ้ ข้าร่วมการออกกำลังกาย ตามแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ เดอะเพรสิเดนท์ ชาเลนจ์ (The President’s Challenge) ของ สถาบัน The President Council on Physical Fitness and Sports : PCPFS) แบ บทดสอบ 5 รายการคอื ดัชนมี วลกาย (Body Composition) น่งั งอตวั ไปข้างหนา้ รูปตัววี (V-Sit Reach) นอนงอตวั (Curl- Up) ดันพื้นมุมฉาก (Right Angle Push-Ups) ความอดทนในการวิ่ง /เดิน (Endurance Run/Walk) และทำ การปฏิบัติตามท่าตา่ ง ๆ ในแต่ละสถานีให้ได้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทำได้ เพื่อนำมาคำนวณเป็นระดับความหนกั เบา ของกิจกรรมผู้เข้าร่วมการออกกำลังกาย ทำกิจกรรมตามโปรแกรมการออกกำลังกาย โดยมีขั้นตอนคือ อบอุ่น ร่างกายก่อน 5 นาที จากนั้นเริ่มทำกิจกรรมตามโปรแกรม โดยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจับคู่กันแล้วเข้าประจำ สถานี โดยมผี ู้ช่วยที่ได้รับการฝึกอย่างดีประจำอย่ทู ุกสถานี เพื่อควบคุมการฝึกให้เป็นไปตามขน้ั ตอนโปรแกรม
37 การออกกำลังกายแบบวรจร แบ่งเป็น 8 สถานี โดยมีรายละเอียดดังน้ี สถานีที่ 1 ห้อยตัว เพื่อพัฒนาความ ทนทานของกล้ามเน้ือแขนและหัวไหล่ สถานีท่ี 2 ว่ิงอ้อมเก้าอี้ เพื่อพัฒนาความเร็ว สถานีที่ 3 กระโดดไกล เพ่ือพัฒนาพลังกล้ามเน้ือขา สถานีท่ี 4 ทุ่มลูกฟุตบอล เพ่ือพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ลำตัว ไหล่และแขน สถานท่ี 5 ก้มเก็บของ เพ่ือพัฒนากล้ามเนื้อหลัง สถานที่ 6 กระโดดเชือก เพื่อพัฒนาความ อดทนของระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ สถานที่ 7 ดันพ้ืน เพ่ือพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือแขน สถานท่ี 8 ว่ิงเปี้ยว เพ่ือพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว ในการทำกจิ กรรมควรเร่ิมทำพร้อม ๆ กนั โดยผู้ฝกึ เป็น ผุ้ให้สัญญาณ เม่ือเร่ิมทำกิจกรรมแต่ละสถานีเสร็จแล้วให้เคล่ือนไปยังสถานีต่อไปลักษณะตามเข็มนาฬิกาจน ครบทุกสถานี จากนั้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 5 นาที 3. ในสัปดาห์ที่ 4-1 ปฏิบัติแบบวงจร 1 รอบ ใช้เวลา ประมาณ 30 นาที 4. ส่วนในสปั ดาห์ที่ 8-5 ปฏิบตั ิวงจรละ 2 รอบ ใช้เวลาประมาณ 60 นาที พกั ระหว่างรอบ 5 นาที 5.เม่ือทำการออกกำลังกายตามโปรแกรมการออกกำลังกายแบบวงจรครบตามจำนวนสัปดาห์ที่ กำหนดแล้วให้ทำการทดสอบสมรรถภาพทางกายตามแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับประชาชนทั่วไป อายุ 19-59 ปี ของสำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(สุพิตร สมาหิโต และคณะ, 2556) ประกอบด้วยแบบทดสอบ 6 รายกาย คือ 1. ความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อวัดระดับ เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย 2. แรงบีบมือ เพื่อวัดกำลังของกล้ามเนื้อแขน 3. ยืน–น่ัง บนเก้าอี้ 60 วินาที เพื่อ ประเมินความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเน้ือขา 4. งอตัวไปข้างหน้า เพ่ือวัดความอ่อนตัว 5. วิ่งอ้อม หลัก เพ่ือวัดความคล่องแคล่วว่องไวและความสามารถในการทรงตัวแบบเคลื่อนท่ี 6. ก้าวเป็นจังหวะ 3 นาที เพือ่ วัดความอดทนของระบบหวั ใจและไหลเวียนโลหิต ธนา ปุกหุต (2560) ได้กล่าวถึงการดำเนินการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ควรอธิบายทำความเข้าใจ กับผู้เข้ารับการทดสอบหลังจากได้กลุ่มทดสอบมาแล้วเพ่ือให้ผู้รับการทดสอบทราบถึงขั้นตอนกับคนอ่ืนหรือ อย่าฝืนปฏิบตั ิจนเกินความสามารถของตนเอง ตลอดจนให้ระวังการหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอระหว่างการ ทดสอบ ห้ามกล้ันหายใจเพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและอาจหน้ามืดเป็นลมได้ การปฏิบัติในแต่ละท่า ทดสอบให้ทำอย่างถูกต้องไม่รีบร้อนเพราะถ้าปฏิบัติผิดในครั้งน้ัน ๆ จะไม่นับจำนวนเพิ่มเข้าไป การปฏิบัติใน แต่ละท่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที จึงขอเน้นในความถูกต้องให้มากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้ ระหว่างการทดสอบ ขอให้ ผู้เข้ารับการทดสอบแจ้งเจ้าหน้าทไ่ี ดต้ ลอดเวลา ควรจดั ให้มีสถานกี ารอุ่นเครื่อง การยืดเหยียดกลา้ มเนื้อ ต่อจากการตรวจทางแพทย์และอยู่ก่อนหน้าสถานีการปฏิบัติการทดสอบ เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เตรียมพร้อม หรือตื่นตัวในการทดสอบ กรมพลศึกษา (2562) ได้กล่าวถึงโปรแกรมการทดสอบการลุก-น่ัง (Sit up) ในการทดสอบจะไม่นับ จำนวนคร้ังในกรณีต่อไปน้ี 1) มือทั้งสองไม่ได้วางแตะท่ีพื้นข้างลำตัว เหมือนกับท่าเริ่มต้น 2) ในขณะกลับลง ไปสู่ท่าเร่ิมต้น สะบักทั้งสองข้างไม่แตะพื้น 3) ปลายน้ิวมือท้ังสองข้างยื่นไปแตะไม่ถึงเส้นที่อยู่แนวเดียวกับ ระดับส้นเท้าได้ 4) ผู้รับการทดสอบใช้มือในการช่วยยกตัวขึ้น เช่น ใช้มือดึงหรือเก่ียวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
38 หรือกางเกงท่ีสวมใส่หรือใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของแขนดันพื้น เพ่ือช่วยในการยกลำตัวข้ึน การบันทึกคะแนนจะ ทำโดยให้บันทึกจำนวนคร้ังทีป่ ฏิบัติได้อย่างถูกต้องในเวลา 60 วินาทโี ดยให้ผรู้ ับการทดสอบปฏิบัตเิ พียงครั้งเดียว 3.2 โปรแกรมการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นโปรแกรมการพัฒนาการเพิ่มความแข็งแรง กำลังและความทนทานของกล้ามเนื้อ โดยมีนักวิชาการและนักวิจัยได้นำเสนอหลักการ รายละเอียด แบบทดสอบและโปรแกรมสำหรบั การฝึกความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ ดงั ต่อไปน้ี สุธนะ ติงศภัทย์ (2560) ได้กล่าวถึงหลักการเพ่ิมความแข็งแรง กำลัง และความทนทานไว้ว่า ความ แข็งแรง เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อในการออกแรง ส่วนกำลังเป็นความสามารถของกล้ามเนื้อการออก แรงในระยะเวลา ท่สี ้นั ทสี่ ุด หรอื ความเร็วสูงสุด มีรายละเอียดดงั นี้ การออกกำลงั กายแบบ Concentric หรือมกั รู้จกั ในชื่อ Isotonic คอื ในระหวา่ งการหดตัว ของกล้ามเนื้อที่ความยาวของกล้ามเนื้อเปล่ียนแปลงไปนั้น กล้ามเนื้อจะมีความตึงตัว (Tone) เปลี่ยนแปลงไป ตลอดเวลา ดังน้ันเพื่อเป็นการหลีกเล่ียงการเข้าใจผิดจึงควรใช้คำว่า Concentric แทน Isotonic การออก กำลังกายแบบ Concentric เป็นการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงเป็นหลัก และการหดตัวของ กล้ามเนอื้ ในระหวา่ งการเล่นกีฬามกั จะเป็นแบบ Concentric น้ี (วิ่งขึน้ เขา) การออกกำลังกายแบบ Eccentric เป็นการออกกำลังกายโดยให้กล้ามเน้ือยืดยาวออก ในขณะหดตัวทำให้การหดตัวแบบ Eccentric จะได้แรงมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการหดตัวแบบอื่น ๆ การ ออกกำลังกายแบบ Eccentric เป็นการออกกำลังกายเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงเป็นหลักจากการหดตัวแบบ Eccentric ได้แรงมากท่ีสุดนี้เอง ทำให้การหดตัวแบบน้ีเกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อรวมถึงเอ็นกล้ามเน้ือมาก ท่ีสุด ข้อเสียอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อ และเอ็น (Tendon) ได้ง่าย กล้ามเน้ือต้องการพักฟ้ืนนาน (ว่งิ ลงเขา) การออกกำลังกายแบบ Isokinetic เป็นการออกกำลังกล้ามเน้ือตลอดช่วงการเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วคงที่ เป็นการออกกำลังกายเพ่ือเพ่ิมทั้งความแข็งแรง และกำลัง การออกกำลังกายแบบนี้มี ประโยชน์ 2 ประการ คือ เป็นการออกกำลังกายท่ีกล้ามเนื้อจะต้องทำงานสูงสุดตลอดช่วงการเคลื่อนไหว ซ่ึง อาจทำงานแบบ Concentric หรือ Eccentric ก็ได้ และการออกกำลังกายแบบ Isokinetic มีความคล้ายคลึง กับการเคลื่อนไหวในการเลน่ กฬี าหลายชนิดทตี่ อ้ งเคลื่อนไหวรา่ งกายด้วยความเร็วสูง และคงที่ การออกกำลังกายแบบ Plyometric เป็นการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังเป็นหลัก ขน้ั ตอนของการออกกำลังกายแบบนี้ เริ่มต้นด้วยการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบ Eccentric โดยให้กล้ามเนื้อยืด ออกพอประมาณ ที่สำคัญต้องยืดออกอย่างรวดเร็ว จากน้ันให้ทำการหดตัวของกล้ามเน้ือแบบ Concentric อยา่ งรวดเรว็ เชน่ กนั ดว้ ยวิธีการนกี้ ลา้ มเนอื้ จะมกี ำลังมาก Johnson and Nelson (1986) กล่าวถึง แบบทดสอบที่ใช้เคร่ืองมือท่ีช่ือว่า Dynamometer ได้แก่ แบบทดสอบความแข็งแรงของมือ (Hand Grip Strength Test) ท่ีสามารถทดสอบได้ทุกเพศทุกวัย เริ่มต้น
39 ด้วยการปรับความกว้างของที่จับให้พอเหมาะกับขนาดความกว้างของมือผู้เข้ารับการทดสอบ โดยปกติความ กว้างของท่ีจับจะอยู่ในตำแหน่งของข้อน้ิวข้อท่ีสองของแขนข้างที่ถนัดวางตำแหน่งข้อศอกให้ทำ มุม 90 องศา และห่างจากลำตัว 2 น้ิว ให้ผู้เข้ารับการทดสอบกำมือข้างที่ทำการทดสอบให้แน่นท่ีสุด และบีบมือให้เต็มท่ี และบันทกึ ผลการทดสอบอนญุ าตให้ทดสอบ 3 ครงั้ ใช้ผลการทดสอบท่ีดที สี่ ดุ เปน็ คะแนนการทดสอบ Johnson and Nelson (1986) ได้แนะนำแบบทดสอบความอดทนของกล้ามเนื้อเพิ่มเติม ไดแ้ ก่ 1) แบบทดสอบลุกนั่งงอเข่า (Sit-up Bent Knees) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1967 โดย Johnson ใช้วัดความอดทนของกล้ามเน้ือหน้าท้องที่เหมาะสำหรับเด็กชาย และเด็กหญิงอายุตั้งแต่ 10 ปี จนถึงระดับอุดมศึกษา มีค่าความเช่ือถือได้เท่ากับ 94 ค่าความเป็นปรนัยเท่ากับ 98 และมีความ เท่ียงตรงเฉพาะหน้า ในการทดสอบให้ผู้เข้ารับการทดสอบนอนหงาย งอเข่า และเลื่อนส้นเท้าให้ใกล้กับ ก่ึงกลางของบ้ันท้ายมากท่ีสุดโดยให้เข่าสูงจากพ้ืนอย่างน้อย 1 หลา และต้องจัดตำแหน่งเข่า และเท้าให้อยู่ใน ลักษณะนี้ตลอดการทดสอบ ผู้ควบคุมการทดสอบควรทำเครื่องหมายแสดงจุดที่วางส้นเท้า และจุดท่ีบั้นท้าย สัมผัสพื้นเพอื่ ควบคุมใหผ้ ู้เข้ารับการทดสอบปฏิบัติการทดสอบได้ถูกต้อง ขณะท่ีนอนหงายให้งอเขา่ และเอามือ ทั้งสองข้างประสานไว้หลังคอ เมื่อเร่ิมทำการทดสอบให้ลุกข้ึนงอตัวเอาศอกซ้ายแตะเข่าขวา และกลับสู่ท่าเร่ิม ในครั้งต่อไปให้สลับเอาศอกขวาแตะเข่าซ้าย และกลับสู่ท่าเร่ิม ทำให้ได้มากที่สุด จนกระท่ังหมดแรงหรือไม่ สามารถทำได้อกี คะแนนท่ีไดจ้ ะนบั จำนวนคร้ังทปี่ ฏบิ ัตลิ ุก-นั่งทถี่ กู ต้อง เทา่ นั้น 2) แบบทดสอบลุกนั่งท่ีดัดแปลงปรับปรุงโดย AAHPERD (AAHPERD Modified Sit-ups) ในแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายเกี่ยวกับสุขภาพของ AAHPERD แบบทดสอบลุกนั่งจะใช้การงอเข่าโดยให้ ส้น เท้าห่างจากบั้นท้าย 12-18 น้ิว แขนท้ังสองข้างประสานกันที่หน้าอกโดยให้มือซ้ายแตะไหล่ขวา และมือขวาแตะ ไหล่ซ้าย ให้ผู้เข้ารับการทดสอบ นอนหงาย และพยายามลุกขึ้นเอาศอกท้ังสองข้างแตะหน้าขาและกลับสู่ท่านอน หงายให้กลางหลังสัมผัสพื้น ก่อนที่จะเร่ิมทำครั้งต่อไปได้ แขนและมือท้ังสองข้างต้องสัมผัสไหล่ตลอดการทดสอบ จงึ จะถอื วา่ เปน็ การทดสอบที่ถูกต้อง 1 คร้ัง บันทกึ จำนวนคร้ังทท่ี ำไดถ้ ูกต้องมากทสี่ ดุ ในระยะเวลา 1 นาที 3) แบบทดสอบงอแขนห้อยตัว (Flexed-Arm Hang) ในปี ค.ศ. 1976 AAPERD ได้พฒั นาแบบทดสอบ น้ีข้ึนเพ่ือใช้วัดความอดทนของแขน และหัวไหล่ในลักษณะงอแขนห้อยตัว โดยใช้ทดสอบกับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี จนถึงระดับอุดมศึกษา โดยปกติ แบบทดสอบนี้เหมาะสำหรับทดสอบกับเด็กผู้หญิง แต่ในกรณีที่เด็กผู้ชายไม่ สามารถทดสอบด้วยการดึงแขนข้ึนให้คางอยู่เหนือราวได้ท่ีสามารถใช้แบบทดสอบนี้แทนได้ การบันทึกผลให้ พิจารณาถึงความก้าวหน้าของตัวผู้เข้ารับการทดสอบ ค่าความเช่ือถือได้ของแบบทดสอบเท่ากับ 90 ค่าความ เป็นปรมัยเท่ากับ 99 และมีความเท่ียงตรงเฉพาะหน้า ในการทดสอบ ให้ผู้ช่วย 2 คน ช่วยกันยกผู้เข้ารับการ ทดสอบข้ึนจากพ้ืน และให้ผู้เข้ารับการทดสอบจับราว ด้วยมือท้ังสอง โดยจับแบบคว่ำมือ งอข้อศอก และยกตัว คา้ งไว้ให้คางอยู่เหนือราวใหน้ านทสี่ ุด บนั ทึกเวลาทีผ่ เู้ ขา้ รบั การทดสอบคา้ งตวั ได้นานทส่ี ดุ เป็นคะแนน 4) แบบทดสอบดึงข้อ (Pull-ups) ในปี ค.ศ.1976 AAHPERD ได้พัฒนาแบบทดสอบนี้ข้ึน เพื่อใชว้ ัดความอดทน ของกล้ามเน้ือแขนและหัวไหล่ด้วยการดึงตัวขึ้น เปน็ แบบทดสอบท่ีใชท้ ดสอบเด็กผู้ชายทีม่ ี อายุ ต้ังแต่ 10 ปีจนถงึ ระดับอุดมศึกษา มีค่าความเชื่อถือได้จากการทดสอบซำ้ เทา่ กับ 87 ในปี ค.ศ. 1972 Mike
40 Recio จากมหาวิทยาลัย Northeast Louisiana ได้รายงานค่าความเป็นปรนัยของแบบทดสอบน้ี มีค่าเท่ากับ 99 และมีความเทย่ี งตรงเฉพาะหน้า เมอื่ เริ่มต้นการทดสอบใหผ้ ู้เขา้ รบั การทดสอบจบั ราวบาร์เดีย่ วด้วย 2 มือท้ัง สองข้างและแขนเหยียดห้อยตัวลงมา จากนั้นให้ดึงตัวขึ้นไปจนกระท่ังคาง ของผู้เข้ารับการทดสอบอยู่เหนือราว จบั หลังจากน้ันให้เหยียดแขนปล่อยตัวลงมาห้อยเหมือนท่าเรมิ่ ต้น ให้ผู้เข้ารับการทดสอบปฏิบัติในท่าท่ีถูกต้อง ให้ได้จำนวนครั้งมากท่ีสุด บันทึกจำนวนคร้ังที่ผู้เข้ารับการทดสอบทำได้มากที่สุดเป็นคะแนน แบบทดสอบน้ี บางคร้ังเรียกว่า แบบทดสอบ Chin ups (Nieman, 1986: 120) ซึ่งวัดได้ทั้งความแข็งแรง และความอดทนของ กล้ามเน้ือแขนและหัวไหล่ ด้วยการดึงลำตัวข้ึน ผู้ชายจะทดสอบด้วยการห้อยแขนและพยายามดึงตัวขึ้นโดยให้ คางอยูเ่ หนือราวของบาร์ สว่ นผู้หญิงทดสอบดว้ ยการงอแขนน้อยตัวให้นานทสี่ ุดแทน Hoeger (2002) ได้แนะนำแบบทดสอบความอดทนของกล้ามเนื้อ ดงั นี้ แบบทดสอบย่อกระโดด (Bench-Jump) เป็นแบบทดสอบวัดความอดทนของกล้ามเน้ือขา ขณะท่กี ล้ามเน้ือมีการหดตัว ซำ้ ๆ ที่เหมาะสำหรบั ทดสอบกับวัยรนุ่ จนถงึ วยั กลางคน ในการทดสอบใหผ้ ู้เข้ารับ การทดสอบ อบอุ่นร่างกายก่อนการทดสอบ จากน้นั ให้ยืนห่างมา้ น่งั ท่ีใช้กระโดด (สูง 161/4 น้ิว) เมื่อพรอ้ มแล้ว ให้ผู้เข้ารับการทดสอบกระโดดเท้าคู่ขึ้นไปยืนบนม้าน่ัง และกระโดดกลับลงมาที่เดิมทำติดต่อกัน 1 นาที นับ จำนวนคร้ังที่เท้ากระโดดลงพ้นื หากไม่สามารถกระโดดได้ครบ 1 นาที อาจใชว้ ิธีก้าวขึ้นไปยนื บนม้าน่ังทลี ะเท้า และกลบั ลงสู่พื้นทีละเท้าเป็นระยะเวลา 1 นาทีก็ได้ บันทึกคะแนนจากจำนวนครง้ั ท่ีเท้าลงสู่พืน้ แบบทดสอบยุบข้อแบบประยุกต์สำหรับผู้ชาย (Modified Dip for Men) เป็นแบบทดสอบ ความอดทนของกล้ามเน้ือแขนและหัวไหล่ โดยใช้ทดสอบเฉพาะผู้ชายตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ผู้เข้ารับ การทดสอบต้องอบอุ่นร่างกายก่อนทดสอบ จากน้ันให้ผู้เข้ารับการทดสอบจับขอบม้านั่งด้วยมือท้ังสองโดยให้ มือที่จับช้ีไปทางปลายเท้าทั้งสอง ให้ผู้ช่วยจับปลายเท้าจัดให้สะโพกงอเป็นมุม 90 องศา แขนเหยียดตึง จากนนั้ ยบุ ตวั ลงจนกระท่ังศอกทำมุม 90 องศา แล้วจงึ ดันตัวกลับเขา้ สูท่ ่าเร่ิมต้น ให้ปฏิบัติตามจงั หวะของเครื่องให้ จังหวะ (Metronome) โดยตั้งจังหวะที่ 50 ครัง้ ต่อนาที และนับจำนวนครั้งท่ีปฏิบัติได้ ซ่ึงจะสิ้นสุดการนับเม่ือไม่ สามารถปฏบิ ตั ิตามจังหวะของเครือ่ งใหจ้ ังหวะได้ แบบทดสอบยุบข้อแบบประยุกต์สำหรับผู้หญิง (Modified Push-up for Women) เป็น แบบทดสอบ ความอดทนของกล้ามเน้ือแขน และหัวไหล่ที่ใช้ทดสอบเฉพาะผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซ่ึง Johnson and Nelson (1986) กล่าวว่า แบบทดสอบนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีจนถึง นักศึกษาระดับอุดมศึกษา และพบว่าความเท่ียงตรงจากการเปรียบเทียบกับดัชนีของ The Roger's Short Index มีค่าเท่ากับ 72 ค่าความ เชื่อถือได้มีค่าเท่ากับ 93 วิธีการทดสอบจะให้ผู้เข้ารับการทดสอบอบอุ่น ร่างกายก่อนทดสอบ จากน้ันวางฝ่ามือท้ังสองข้างราบกับพ้ืนให้กว้างประมาณ 1 ช่วงไหล่ ปลายน้ิวมือชี้ไป ทางด้านหน้า ยกลำตัวข้ึน โดยวางเข่าลงกับพ้ืนเพ่ือน้ำหนักตัวส่วนล่าง ให้ผู้เข้ารับการทดสอบยุบตัวลง จนกระท่ังหน้าอกสัมผัสพ้ืนแล้วจึงคันตัวกลับเข้าสู่ท่าเร่ิมต้น โดยไม่แอ่นหลังหรือยกสะโพกข้ึนให้ปฏิบัติตาม จงั หวะของเครื่อง ให้จงั หวะ (Metronome) โดยต้ังจังหวะไวท้ ี่ 56 ครั้งต่อนาที และนับจำนวน คร้ังท่ีปฏิบัติได้ โดยจะสิ้นสดุ การนับเมื่อไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิตามจังหวะของเคร่ืองใหจ้ ังหวะได้
41 แบบทดสอบลุก-นั่ง (Abdominal Crunch) เป็นแบบทดสอบวัดความอดทนของกล้ามเน้ือ หน้าท้องที่ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ในการทดสอบควรให้ผู้เข้ารับการทดสอบอบอุ่นร่างกายก่อนทดสอบ จากนั้นให้ นอนหงายลงกับพ้ืนยกเข่าข้ึนทำมุมประมาณ 100 องศา แยกขาทั้งสองข้างห่างกันเล็กน้อย ฝ่าเท้าวางราบกับ พื้นให้ผู้เข้ารับการทดสอบรักษาตำแหน่งของร่างกายในระหว่างทดสอบให้เหมือนตอนเร่ิมต้นทดสอบ ตลอดเวลาที่ทำการทดสอบ แขนทง้ั สองขา้ งเหยียดตรงราบข้างลำตวั คว่ำฝ่ามอื และนิ้วเหยียดตรง ให้ปลายน้ิว สัมผัสขอบของแผ่นเทปทแี่ สดงเส้นสัญลักษณไ์ ว้ (แผ่นเทปอยใู่ กลก้ ับปลายนว้ิ ) ให้ผู้เข้ารบั การทดสอบยกศีรษะ ขึ้นจากพื้นจนกระท่ังคางห่างจากหน้าอกประมาณ 1-2 นิ้ว รักษาตำแหน่งของศีรษะในขณะท่ียกขึ้นให้ เหมือนกันทุกคร้ังตลอดการทดสอบงอตัวขึ้นลงตามจังหวะของเคร่ืองให้จังหวะ (Metronome) ท่ีตั้งจังหวะไว้ 60 คร้ังต่อนาที ใช้นิ้วมือเคลื่อนไปสมั ผัสแผ่นเทปอีกด้านหนึ่งที่ทำสัญลักษณ์ไว้ (ระยะทางระหว่างแผ่นเทปจุด ที่ 1 ถึงจุดที่ 2 เท่ากับ 34 น้ิว) จากนั้นจงึ ยึดตัวกลบั สู่ท่าเร่มิ ต้น ก่อนทดสอบควรให้ผู้เขา้ รับการทดสอบทดลอง ปฏิบัติก่อนทดสอบจริง เพ่ือให้เคย ชินกับจังหวะ และขั้นตอนการทดสอบประมาณ 5-10 วินาที การทดสอบ จะส้ินสุดเมื่อผเู้ ข้ารับการทดสอบงอตัวข้ึน และยดื ตัวลงไม่ตรงจังหวะตามเครอ่ื งให้จังหวะหรอื มีการงอศอก ยก ไหล่แทนงอ ลำตัวหรือมีการเคลื่อนลำตัวเพ่ือให้ปลายน้ิวเคล่ือนที่ไปสุดขอบอีกด้านหน่ึงของแผ่นเทปท่ีทำ สัญลักษณ์ไว้ หรือมีการยกส้นเท้าข้ึนจากพื้นหรือคางไม่ชิดอกหรือทำได้เกิน 100 ครั้งหรือไม่ สามารถทดสอบ ต่อไปได้อีก การให้คะแนนพิจารณาจากจำนวนครั้งท่ีปฏิบัติท่าท่ีสมบูรณ์ได้ตามเคร่ืองให้จังหวะ และปลายนิ้ว สามารถเคลื่อนไปสัมผัสขอบแผ่นเทปอกี ดา้ นหน่งึ ได้ Heyward (2002) ได้เสนอแบบทดสอบเพ่ือประเมินความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบ หัวใจไว้ว่า การทดสอบการออกกำลังกายสูงสุดด้วยลู่กล (Treadmill Maximal Exercise Tests) เป็นการ ทดสอบการออกกำลังกายบนลู่กลด้วยความเร็ว และความชันในหลากหลาย ระดับความเร็วจะสูงถึง 25 ไมล์ ต่อชั่วโมง ระดับความชันจะคำนวณเป็นเปอร์เซ็นตค์ วามชัน ความหนกั ของการออกกำลังกายบนลกู่ ล คือ การ เพ่ิมความเร็วหรือความชัน หรือเพิ่มทั้งความเร็ว และความชันของลู่กล การวัดปริมาณการใช้ออกซิเจนระหว่าง ออกกำลังกายเป็นเรื่องยาก และค่าใช้จ่ายสูง ดังน้ัน American College of Sport Medicine (2000) หรือชื่อย่อ ACSM ได้พัฒนาสูตรท่ีใช้ในการประมาณปริมาณออกซิเจนขณะออกกำลังกาย (Vo2) สูตรนี้มีความเที่ยงตรงใน การประมาณ VO2 เฉพาะช่วงออกกำลังกายสูงสุดเท่านั้น ถ้านำมาใช้ในขณะท่ีไม่ได้อยู่ในช่วงออกกำลังกาย สูงสุด การวัดออกซิเจนสูงสุดจะได้น้อยกว่าการประมาณออกซิเจนสูงสุด เพราะว่าการออกกำลังกายสูงสุด มี ท้ังแบบอากาศนิยม (Aerobic Exercise) คือ การออกกำลังกายท่ีต้องใช้ออกซิเจนในขณะออกกำลัง และอนา กาศนิยม (Anaerobic Exercise) คอื การออกกำลังกายทไ่ี มใ่ ช้ออกซเิ จนในขณะออกกำลัง 3.3 โปรแกรมและแบบทดสอบการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength Training Program)
42 การทดสอบความแข็งแรงของซิทอัพไม่จำเป็นต้องมีการซิทอัพซ้ำ ๆ ข้ันตอนและรูปแบบที่ง่ายกว่า การทดสอบ 4 ระดับ 1. กำหนดให้ผู้เข้าร่วมทำการซิทอัพเพื่อเพิ่มความยาก ในทำนองเดียวกันการยกขาตรง จะตรวจสอบความสามารถของกล้ามเนอ้ื หน้าท้องในการทำงานเมื่อความยากลำบากในการเคล่ือนไหวเพ่ิมขึน้ Wood (2008) ได้กล่าวเกี่ยวกับการทดสอบ Abdominals มีการทดสอบสมรรถภาพทางกายจำนวน มากเพื่อวดั การทำงานของกล้ามเน้ือหนา้ ทอ้ ง (หรอื 'abs' ตามท่ีมักเรียกกันในอุตสาหกรรมการออกกำลังกาย) น่ีเป็น ส่วนสำคัญมากสำหรับการทดสอบเน่ืองจากความแข็งแรงของหน้าท้องหรือความทนทานของกล้ามเนื้อหน้า ท้องเป็นตัวบ่งช้ีความแข็งแรงของแกนกลางดงั นนั้ ความมน่ั คงของแกนกลางและการรองรบั หลังส่วนล่างจงึ เป็น สงิ่ ท่ีตอ้ งคำนึงถงึ หากมกี ารทดสอบ การทดสอบแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ 1. ความแข็งแรงของหน้าท้องและ 2. ความทนทาน ของช่องท้อง ในการทดสอบความแข็งแรงของหน้าท้องการประเมิน คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ในการทำงานอย่างเหมาะสมและอยู่ในตำแหน่งทถ่ี ูกต้อง ในการทดสอบความทนทานของชอ่ งทอ้ งการประเมิน คือ ความสามารถในการขยับท้องซ้ำ ๆ ในเวลาที่กำหนด (เช่นหนึ่งนาที) หรือในอัตราท่ีกำหนด การทดสอบที่ จะใช้จะข้ึนอยู่กบั สิ่งทจี่ ะวดั ช่ังนำ้ หนกั เมอ่ื เทียบกับค่าใชจ้ ่ายและความสะดวกในการดำเนินการทดสอบ 3.4 หลักการฝึกเพ่ือพฒั นาความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือ หลักการฝึกเพ่ือพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ 1. หลักการฝึกเกิน (Overload Principle) เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดในการฝึกยกน้ำหนัก (Weight Training) เพราะน้ำหนักเป็นแรงต้าน ทำให้เซลล์ กล้ามเนื้อทำงานมากกว่าสภาวะปกติในชีวิตประจำวัน น้ำหนักที่เกินจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโตขึ้น แข็งแรงขึน้ หลักการฝึกเกินจะกระทำได้โดย 1) เพิ่มแรงต้านหรือน้ำหนักท่ีจะยก 2) เพิ่มจำนวนคร้ังของการยก ภายในกล้ามเนื้อ จะมีเส้นใยกล้ามเน้ือ (Fiber) เป็นจำนวนมาก เส้นใยกล้ามเนื้อมีความสามารถแตกต่างกัน คุณสมบัติท่เี ห็นได้ชัดเจน คือ เส้นใยกล้ามเน้ือชนิดหดตัวเร็ว (Fast–Twitch) และเส้นใยกล้ามเน้อื ชนิดหดตัว ช้า (Slow-Twitch) กล้ามเนื้อชนิดหดตัวเร็ว จะหดตัวได้เร็วและแรงกว่ากล้ามเนื้อชนิดหดตัวช้า ในการเล่น กีฬาจึงต้องคำนึงถึงชนิดของกล้ามเนื้อที่ใช้กล้ามเนื้อชนิดหดตัวเร็วสามารถนำพลังงานมาใช้ทันทีทันใด มากกว่ากล้ามเน้ือชนิดหดตัวช้า เช่น กลุ่มกล้ามเน้ือต้นแขนด้านหน้า (Biceps) ต้นแขนด้านหลัง (Triceps) และน่อง (Gastrocnemius) ซึ่งมี จำนวนกล้ามเนื้อชนิดหดตัวเร็วมากกว่ากล้ามเนื้อชนิดหดตัวช้า เพื่อใช้ใน การขว้าง การเร่งความเร็ว และการ กระโดด เป็นต้น กล้ามเนื้อชนิดหดตัวช้าสามารถนำพลังงานมาใช้ได้น้อย แต่ใช้ได้เป็นระยะเวลานานกว่ากล้ามเน้ือ ชนิดหดตัวเร็ว เช่น กลุ่มกล้ามเนื้อขา สะโพก และหลัง ซ่ึงเรามักใช้ กล้ามเน้ือกลุ่มเหล่าน้ีในกีฬาประเภทท่ีเล่นใช้เวลานาน ทนทาน ได้แก่การวิ่งระยะไกล หรือการข่ีจักรยาน ทางไกล เป็นต้น จึงเรียกได้ว่าใยกล้ามเน้ือชนิดหดตัวเร็ว ใช้พลังงานแอนแอโรบิค (Anaerobic) และใย กล้ามเน้ือชนิดหดตัวช้าใช้พลังงานแอโรบิค (Aerobic) ส่วนในด้านการฝึกยังไมม่ ีหลักฐานปรากฏแน่นอนวา่ ผล การฝึกจะทำให้ใยกล้ามเน้ือเกิดการเปลย่ี นแปลงไปได้ แต่การฝึกสามารถเปลี่ยนรปู ร่างและองค์ประกอบอ่ืน ๆ ได้เช่น ผลการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ถ้าเปรียบเทียบกันพบว่าทำให้กล้ามเน้ือชนิดหดตัวเรว็ เพ่ิมขนาด
43 ใหญ่ข้ึนอย่างมาก ในขณะที่กล้ามเน้ือชนิดหดตัวช้าใหญ่ข้ึนเช่นเดียวกันแต่เพียงเล็กน้อย ส่วนผลจากการฝึก ความทนทานของกล้ามเน้ือชนิดหดตัวช้าจะเพ่ิมปริมาณความสามารถในการใช้ออกซิเจนได้มากกว่ากล้ามเน้ือ ชนิด หดตวั เรว็ ทเี่ พมิ่ เพียงเล็กนอ้ ย และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ไมเ่ ห็นด้วยกับสมมติฐานท่ีว่า นักวิ่งมาราธอนจะมี อตั ราส่วนของกล้ามเน้ือชนดิ หดตวั ช้ามาก เน่ืองจากการฝึกหรือผลมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ปัจจุบัน นน้ี ักวิจัยยังคงจำเป็นต้องใช้นักกีฬาระดับโลกท่ีผ่านการฝึกมาอย่างหนัก เป็นกลุ่มทดลองในการวิจัยเพ่ือศึกษา ข้ันต่อไป 2. หลักการใช้แรงต้านทานก้าวหน้า (Progressive Resistance Principle) กล้ามเน้ือต้องได้รับ การฝึก โดยใช้น้ำหนักเป็นแรงต้านทาน ย่ิงน้ำหนักมากเท่าใดก็ย่ิงกระตุ้นให้กล้ามเน้ือเจริญเติบโตมากขึ้น เท่านั้น หลักการใช้แรงต้านทานจึงเป็นหลักในการฝึกยกน้ำหนัก (Weight Training) ซ่ึงต้องทำเป็นชุดและ จำนวนคร้ัง คือ 2-3 ชุด และ 7-12 ครั้ง เป็นหลักท่ัว ๆ ไป 3. หลักการฝึกเฉพาะเจาะจง (Principle of Specificity) การฝึกกล้ามเนื้อต้องศึกษาว่า มัดกล้ามเนื้อใดที่จะนําไปใช้ประโยชน์ในการเคล่ือนท่ีของ กิจกรรมการออกกำลังกายนั้น เนื่องจากกีฬาแต่ละประเภทใช้กล้ามเน้ือมัดสำคัญ ๆ แตกต่างกัน ควรฝึก กล้ามเน้ือให้เฉพาะเจาะจง หรือใกล้เคียงการนำไปใช้จริงให้มากที่สุด การวางแผนการฝึกความแข็งแรงของ กล้ามเน้ือ (Strength Training Strategy) มีดังน้ี 1) จำนวนคร้ังท่ียก 7-12 ครั้ง สำหรับการยกแต่ละชุด โดย ใช้เวลายกติดต่อกันอย่างน้อย 40 วินาที และไม่ควรเกิน 70 วินาที 2) น้ำหนักที่จะยก การยกน้ำหนักท่ีมาก เกินความสามารถ อาจจะทำให้ไม่สามารถยกได้ถึง 7 และ 12 ครั้ง ดังนั้นควรเลือกใช้น้ำหนักเบาไว้ก่อน โดย สังเกตว่ายกได้ 7-12 คร้ังอย่างสบาย และฝึกจนกระท่ังสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ต่อไป 3) เวลาท่ีจะเพ่ิมน้ำหนัก ได้ เม่ือยกน้ำหนักได้เกินครั้งที่ 7 และรู้สึกอ่อนแรงเมื่อจะยกในคร้ังที่ 9 หรือ10 สามารถเพ่ิมน้ำหนักได้เพราะ นั่นแสดงว่ากล้ามเน้ือพร้อมที่จะรับน้ำหนักได้อีก 4) จำนวนชุด (Set) หมายถึง จำนวนคร้ังที่จะใช้ทั้งหมดแล้ว พัก เช่น การวิดพื้น 10 ครั้ง เรียกว่า 1 ชุด การวิดพ้ืนกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ท้ังความแข็งแรงและ ความทนทาน การปฏบิ ัติ 2-5 ชุด เป็นทีน่ ิยมกัน แต่อย่างไรกต็ ามการวิดพื้น 3 ชดุ เป็นเกณฑม์ าตรฐานท่ีดที ส่ี ุด 5) ระยะเวลาพักระหว่างชุด (Set) การพักระหว่างชุดเป็นสิ่งจำเป็น โดยใช้เวลาพักระหว่างชุดต่อชุดให้น้อย ทีส่ ุด ซึ่งไม่ควรเกิน 1 นาทีส่วนการพักท่ีนานกวา่ 1 นาทีควรเป็นระยะพักในช่วงภายหลังการฝึกความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อเสร็จสิ้นแล้ว และพร้อมที่จะฝึกโปรแกรมสมรรถภาพด้านอ่ืน ๆ เช่น ความทนทานของระบบ หัวใจและไหลเวียนโลหิต 6) จะใช้เคร่ืองมือใด ท่ีห้องออกกำลัง ผู้ฝึกต้องเลือกใช้จากกลุ่มกล้ามเน้ือมัดใหญ่ ๆ ก่อน เครื่องใดยังไม่มีผู้ใช้ควรเข้าไปใช้ไม่จำเป็นต้องรอนาน เพราะอาจทำให้ร่างกายไม่พร้อมต่อเน่ืองกัน กลุ่มกล้ามเน้ือมัดหน่ึงสามารถใช้เครื่องได้หลายชนิด ถึงแม้ว่าจะฝึกกล้ามเนื้อมัดเดียวกันเพราะจะช่วยให้ผู้ฝึก ไม่เบ่ือง่าย เป็นผลดีต่อสภาวะจิตใจ 7) ความบ่อยของการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นท่ีนิยมกันทั้งการฝึกเพ่ือสุขภาพ และฝึกเพื่อการแข่งขัน มีการค้นคว้าพบว่า ไม่ควรทิ้งช่วงเวลาการฝึก กลา้ มเนอื้ แต่ละคร้ังนานเกนิ 2–3 วัน การฝึกจงึ น่าจะเป็นวันเว้นวนั หรอื 3 วนั ตดิ ตอ่ กนั และพักไมเ่ กนิ 3 วนั
44 Bompa (1993) ได้กล่าวถึง หลักการฝึกความแข็งแรง (Strength Training Principle) ไว้ดังน้ี 1. หลักของความหลากหลายในการฝึก (Principle of Variety) ความหลากหลายในการฝึกเป็นสิ่งจำเป็นใน การพัฒนาการฝึก เพราะจะเป็นผลดีต่อสภาพร่างกายและจิตใจของนักกีฬา เพราะการฝึกที่ซ้ำกันนั้น นักกีฬา จะเกิดความเบ่ือหน่าย ไม่อยากฝึก การให้ความหลากหลายในรูปแบบในการฝึกท่ีเหมาะสมกับการพัฒนาการ เคล่ือนไหวช่วงเวลากอ่ นการแขง่ ขัน ในช่วงระหว่างการแข่งขัน หรือจบฤดูการแข่งขัน ความหลากหลายในการ ให้น้ำหนักในการฝึกท่ีสอดคล้องกับหลักการเพิ่มน้ำหนักแบบก้าวหน้าในการฝึกความหลากหลายในชนิดของ การหดตัวของกล้ามเน้ือ ความหลากหลายในเรื่องของความเร็วในการหดตัว (ช้า ปาน กลาง และเร็ว) ตาม โปรแกรม ช่วงของการฝึก และความหลากหลายในเร่ืองของเคร่ืองมือที่ใช้ฝึกความหลากหลาย ในระยะฝกึ ตาม แผนการฝึก จะทำให้เพ่ิมประสิทธิภาพของการฝึกได้มากข้ึน 2. หลักของความแตกต่างของบุคคล (Principle of Individualization) ความแตกต่างระหว่างบุคคล ในการฝึกที่จะต้องคำนึงถึงคือ ระดับความสามารถของแต่ละ บุคคล และพื้นฐานของการฝึกในแต่ละบุคคล ดงั นน้ั การฝึกในแตล่ ะบุคคล แมจ้ ะเล่นกีฬาชนิดเดียวกนั การฝึก ก็อาจไม่เหมือนกัน 3. หลักของความเฉพาะเจาะจง (Principle of Specificity) การฝึกจะต้องมีความ เฉพาะเจาะจงท่ีจะพัฒนาความแข็งแรงในกีฬาชนิดนั้น ๆ จึงต้องเลือกโปรแกรมการฝึกความแข็งแรงให้ เหมาะสมต่อกิจกรรมการเคล่ือนไหวหรือทักษะในกีฬา ซ่ึงควรพิจารณา ดังนี้ ระบบพลังงานหลักที่ต้องใช้ใน กีฬา การเลือกการฝึกความแข็งแรงจะต้องให้สอดคล้องตรงกับการใช้พลังงาน เช่น เลือกการฝึกเพื่อท่ีจะใช้ใน กีฬาท่ีใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกล ว่ายน้ำระยะไกล ก็จะต้องฝึกความอดทนของกล้ามเน้ือเป็นหลักก็ต้อง ให้ตรงกับกลุ่มกล้ามเน้ือท่ีใช้งาน 4. หลักของการเพิ่มน้ำหนักแบบก้าวหน้าในการฝึก (Principle of Progressive Increase of Load in Training) ความก้าวหน้าของการเพิ่มน้ำหนักในการฝึกเป็นพื้นฐาน สำหรับวางแผนการฝึกของนักกีฬา ซึ่งควรคำนึงถึงระดับความสามารถของนักกีฬาแต่ละคนด้วย Bompa (1996) ได้ให้แนวคิดไว้ว่า การฝึกความแข็งแรงเพื่อท่ีจะพัฒนาระบบประสาทกล้ามเน้ือให้ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากท่ีสุด เพ่ือประสทิ ธผิ ลในการแข่งขันกีฬา การฝึกความแข็งแรง จึงเป็นการฝึกเพื่อพัฒนาพลัง หรือความสามารถของกล้ามเน้ือที่จะใช้แรง ซง่ึ การฝกึ จะต้องมกี ารวางแผน การจัด โปรแกรมการฝกึ ระยะยาว (Periodization) โดยอาจจะแบ่งได้ดังน้ี 1) ระยะเตรียม เป็นการฝึกเพื่อการปรบั ตัวทางกายภาค การฝึกความ แข็งแรงสูงสุด การเตรียมไปสู่พลังอดทนของกล้ามเน้ือ 2) ระยะแข่งขัน เป็นการรักษาสภาพร่างกาย การฝึก พลัง การฝึกความอดทนของกล้ามเนื้อ การหยดุ ฝึกความแข็งแรง 3) ระยะการเปลี่ยนแปลง การฝึกชดเชย การ ฝึกเพื่อการปรับตัวทางกายวิภาค การฝกึ ระยะน้ีเปน็ การให้กล้ามเนือ้ เอ็นขอ้ ต่อ เอ็นกลา้ มเน้ือ ไดม้ ีการปรับตัว ให้รับสภาพการฝึกที่หนักต่อไป และการฝึกระยะน้ี จะต้องสร้างความแข็งแรงท่ีสมดุลกันในการงอและเหยียด ของกล้ามเนื้อ ซ่ึงเป็น ระยะท่ีเตรียมความแข็งแรงพื้นฐานท่ีจะนาไปสู่การฝึกความแข็งแรงสูงสุดต่อไป โดยใช้ เวลา 8-10 สปั ดาห์ การฝึกด้วยแรงต้านเพ่ือพัฒนาความเร็วและความแข็งแรง การฝึกด้วยแรงต้านหรือการฝึก ด้วยน้ำหนักเป็นหัวใจสำคัญในการเตรียมนักกีฬาประเภทท่ีต้องใช้ ความเร็วสูงสุด โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยท่ี เกย่ี วข้อง ดังนี้ 1) ความตอ้ งการความแขง็ แรงของนักกฬี าในแต่ละประเภท 2) ระดับความสามารถของนักกฬี า 3) กลุ่มกล้ามเนื้อท่ีใช้ในการเล่นกีฬานั้น ๆ 4) ลักษณะการหดตัวของกล้ามเนื้อในการเคล่ือนไหวท่าต่าง ๆ 5) ลักษณะการเคล่ือนไหวในการฝึกด้วยน้ำหนัก 6) ความหนักและความบ่อยของการฝึกด้วยน้ำหนัก 7)
45 ความก้าวหน้าของการฝึกด้วยน้ำหนัก การฝึกด้วยแรงต้าน สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) การฝึกด้วยน้ำหนักท่ีหนักมาก โดยจะใช้ความหนัก 80-90% ของ 1 RM ใช้จำนวนคร้ังที่ 4-6 คร้ัง โดยอาศัย ทฤษฎีท่ีว่า การยกน้ำหนักด้วยความหนักมากจะมีผลทำให้มีการระดมหน่วยยนต์ได้สูงสุด และเป็นการเพ่ิม ขนาดของกลา้ มเน้ือให้ใหญ่และแข็งแรงข้ึน การฝึกแต่ละครั้งจะฝึก 3-4 ชดุ ชดุ ละ 4-6 คร้ัง พักระหว่างเซต 2- 3 นาที 2) การฝึกด้วยแรงต้านแบบเคล่ือนที่จะแตกต่างกับการฝึกด้วยน้ำหนักท่ีหนักมาก โดยจะใช้ความหนัก 30-40% ของ 1 RM ด้วยจังหวะท่ีเร็ว การฝึกรูปแบบน้ีเป็นการฝึกเฉพาะกีฬา เป็นการสร้างพลัง สูงสุดของ กล้ามเนื้อ ซึ่งมีรายงานผลว่าการฝึกวธิ ีนจี้ ะได้มาซ่ึงความสามารถสูงสุดวิธีหนึง่ โดยจะฝึก 4 ชดุ ชุดละ 10 - 15 คร้ัง ใช้เวลาพักระหว่างชุด น้อยกว่า 30 วินาที 3) การฝึกพลัยโอเมตริก เป็นการส่งเสริมความสามารถของ นักกีฬาให้ออกแรงสูงสุดด้วยความเร็วสูง กิจกรรมท่ีต้องการความเร็วสูง ได้แก่ นักว่ิงระยะส้ัน และนักกีฬา ประเภททีมท่ีต้องใช้การกระโดด การเปล่ียนทิศทางอย่างรวดเร็ว การเคล่ือนไหวแบบพลัยโอเมตริก สามารถ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1) ระยะการเหยียดตัวของกล้ามเน้ือ เป็นช่วงท่ีนักกีฬาลงสู่พื้น กล้ามเนื้อเตรียม ตอบสนองต่อแรงกระแทกกับพื้น 2) ระยะอะมอทิเซช่ัน (Amortization) เป็นระยะที่สองของการฝึกพลัยโอ เมตริก เป็นช่วงเวลาระหว่างหลังจากการเกิดการหดแบบยาวออกและจะเริ่มต้นการหดแบบส้ันเข้า ถ้า ระยะเวลาของระยะอะมอทิเซช่ันส้ันจะมีผลทำให้เกิดการหดตัวแบบส้ันอย่างรวดเร็ว เพราะมีการกระตุ้น รเี ฟล็กซ์ยืด (Stretch Reflex) (ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์ และกุลธิดา เชิงฉลาด, 2544) ซึ่งสิ่งสำคัญอยู่ท่ีการใช้ ความเร็วสูงสุดในการกระโดดข้ึนหลังจากที่เท้ากระทบพ้ืน ถ้านักกีฬามีความเร็วสูงและใช้เวลาสั้นที่สุด จะทำ ให้เกิดพลังสงู สุด 3) ระยะการหดตัวของกล้ามเนอ้ื เป็นช่วงท่ีเร่ิมกระโดดขึ้นจากพ้ืน ความหนักของการฝึกพลัย โอเมตริก สามารถประเมินได้จาก 1) ทิศทางของการกระโดด - ความเร็วในการกระโดด 2) การเปล่ียน ตำแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย 3) ลักษณะของพ้ืนผิวที่ใช้ในการกระโดด 4) การแบกน้ำหนักในการ กระโดด (Hawley and Burke, 1998) จากหลักการฝึกเพ่ือพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า มีหลักการฝึกเพื่อ พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ได้แก่ 1. หลักการฝึกเกิน (Overload Principle) 2. หลักการใช้แรงต้านทาน ก้าวหน้า (Progressive Resistance Principle) 3. หลักการฝึกเฉพาะเจาะจง (Principle of Specificity) และ จะต้องมีการวางแผนการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ โดยคำนึงถึงเรื่องความหนัก จำนวนคร้ังที่ เวลาท่ีจะเพิ่ม น้ำหนกั ไดจ้ ำนวนชุดฝึก ระยะเวลาพกั ระหว่างชุด จะใช้เคร่ืองมือใดในการฝกึ และความบ่อยของการออกกำลังกาย
46 ตอนท่ี 4 นวตั กรรมดิจทิ ัล (Digital Innovation) 4.1 ความหมายนวัตกรรมดจิ ทิ ัล (Digital Innovation Meaning) สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (2558) ได้ให้ความหมาย ของคำว่า นวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation) หมายถึง ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ที่ ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ปรับเปล่ียนไปตามบริบทของเทคโนโลยีที่มีการ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนบนพื้นฐานของการหลอมรวม เทคโนโลยี Digital Supply Chain (Digital Chain (ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัล) หมายถึง ข้ันตอนการดำเนินธุรกิจ ดิจิทัลซ่ึงครอบคลุมต้ังแต่ผลิตภัณฑ์และบริการต้นน้ำไปจนกระทั่งผลิตภัณฑ์และบริการปลายน้ำ รวมถึง กิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการบูรณาการและการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการสรา้ งมูลค่าเพ่ิมให้กับผลิตภัณฑ์ และบรกิ าร) มงคล เฮงโรจนโสภณ (2562) ได้กล่าวถึง Digital Innovation หรือนวัตกรรมดิจิทัลให้เข้าใจง่าย ๆ ไวว้ ่าเปน็ การสร้างส่ิงใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผ้ใู ช้งานโดยอาศยั เทคโนโลยีสองส่วนหลักอย่าง IT และ OT มาทำงาน ร่วมกัน โดย IT หรือ Information Technology เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลนับแสนนับล้านให้เป็นระบบ นำมาผสมผสานกับ OT หรือ Operation Technology ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองมือ หรือโปรแกรมต่าง ๆ เพ่ือมา จัดการ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเหล่าน้ันให้สามารถแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ และ พยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยนวัตกรรมดิจิทัล จะไม่จำกัดอยู่แค่การคิดค้นสินค้าข้ึนมา ใหม่ หรือสร้างสินค้าท่ีไม่เคยมีมาก่อนบนโลก แต่เป็นการนำเทคโนโลยีมาทำงานร่วมกับข้อมูล เพื่อพัฒนามา เป็นนวัตกรรมการจัดการรูปแบบใหม่ ท่ีตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้ เช่นเดียวกับ เนาวนิตย์ สงคราม (2562) ได้กล่าวถึง Digital Innovation คือสิ่งประดิษฐ์ที่มีระบบดจิ ิทัลเป็นส่วนหน่งึ ทำใหเ้ กดิ ความ ทันสมัย ใชง้ าน ดแู ลและประมวลผลขอ้ มลู ต่าง ๆ ไดง้ ่าย กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2563) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีกับ วทิ ยาศาสตร์การกีฬา โดยให้ความหมาย นวัตกรรม คือ สิ่งใหม่ (Newness) ที่ถกู พัฒนาขน้ึ โดยใช้องค์ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์ (Knowledge and Creativity Idel) รวมถึงเทคโนโลยี (Technology) ซ่ึงอาจทำให้ เกดิ ผลิตภัณฑ์ใหม่ บรกิ ารใหม่ หรอื กระบวนการใหม่ โดยเทคโนโลยี (Technology) จะเป็นส่วนสำคัญทที่ ำให้ เกิดนวัตกรรมดิจิทัลเพราะเป็นการใช้ความรู้ เครื่องมือ กระบวนการ เทคนิควิธีการทางวิทยาศาสตร์มา ประยุกต์เพ่ือให้เกิดฟังก์ชันการทำงานท่ีดีท่ีสุด การสร้างนวัตกรรมจึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งด้านการออกกำลังกายและเล่นกีฬาสามารถทำให้คนเรามีสมรรถภาพทางกายและสุขภาพท่ีดีได้ ดังน้ันการพัฒนาทางด้านความเป็นเลิศทางกีฬาในปัจจุบัน จึงนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพ่ิมขีดความสามารถ ใหก้ ับนกั กฬี า รวมถงึ เป็นสว่ นสนับสนุนดา้ นการฝกึ ซอ้ มใหก้ ับผฝู้ ึกสอนอีกดว้ ย
47 กรมพลศึกษา (2563) ได้กล่าวถึง นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการกีฬาท่ีถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อ ตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ทง้ั ท่เี ป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคล เช่น เคร่ืองแต่งกาย และอุปกรณ์ที่ ใช้เพื่อออกกำลังกายและเล่นกีฬา ตัวอย่างท่ีพบเห็นได้ทั่วไป คือ 1. รองเท้า เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับนักกีฬาส่วน ใหญ่ ผู้ผลิตจึงพยายามใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อคิดค้นนวัตกรรมรองเท้าที่มีวัสดุและรูปทรงเหมาะกับ การเคลื่อนไหวของผู้เล่นกีฬาแต่ละชนิด 2. ชุดว่ายน้ำ มีการออกแบบชุดว่ายน้ำให้สามารถลดแรงเสียดทานระหว่าง พ้ืนผิวของชุดกับแรงต้านของกระแสน้ำโดยเลือกเส้นใยท่ีมีลักษณะเบา ไม่อมน้ำ แห้งเร็ว ช่วยกระชับกล้ามเน้ือ ทำให้ นักกีฬาผู้สวมใส่ สามารถว่ายน้ำได้ดีขึ้น 3. นาฬิกาอัจฉริยะ ท่ีมีฟังก์ชันการทำงานสำหรับการออกกำลังกายและดูแล สุขภาพ เช่น การนับก้าวเดิน การคำนวณแคลอรี่ท่ีใช้ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งนี้นาฬิกาอัจฉริยะน้ีสามารถ เช่อื มต่อกบั สมาร์ทโฟนได้ดว้ ย 4. ยางยืดบรหิ ารกลา้ มเน้ือ เป็นอุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการออกกำลังกายและบริหารกล้ามเน้ือก ด้วยแรงต้าน โดยแรงต้านที่เกิดจากยางยืดจะไม่มีแรงกระชาก ลดการบาดเจ็บได้ดี พกพาสะดวกและสามารถ ประยุกต์ใช้งานได้หลายท่าออกกำลังกายอีกด้วย ยังมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายในตลาดด้านการกีฬาโลก ซึ่ง สามารถดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งานได้มาก เช่น นวัตกรรมกลไกที่ช่วยในการเคลื่อนท่ีของมนุษย์ (Mechanics of Human Motion) นวัตกรรมการใช้เซนเซอร์ (Sensors) นวัตกรรมวัสดุทางเลือกที่แปลกใหม่ (New Materials) นวัตกรรม เทคโนโลยีส่ิงทอ (Textile Technology) นวตั กรรมเหล่านี้จะส่งผลดีโดยตรงต่อสุขภาพ ช่วยลดพฤติกรรมเนือยนิ่งของ เด็กและเยาวชนที่อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ รวมทั้งยังสามารถสร้างแรงจูงใจในการรักษาสุขภาพให้กับคนสูงวัยอีกด้วย นำไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน ซึ่งส่งผลดีเชิงสังคมอีกทางหน่ึง ด้วยเหตุน้ีการพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การ กีฬาจึงมีความสำคัญ และไม่ยุ่งยากซับซ้อนเสมอไป เพราะยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่เรียบง่าย แต่สามารถใช้ ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เช่น โบซู่บอล (Bosu Ball) ลูกบอลคร่ึงวงกลม อุปกรณ์นับก้าวแบบพกพา (Pedometer) ฯลฯ ดังน้ันหากผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมมีความเข้าใจในประเด็นปัญหา หรือมีความรู้ในการพัฒนาทางกายและสุขภาพ ของกลุ่มเปา้ หมายกส็ ามารถสร้างนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาไดเ้ ช่นกนั จากการสังเคราะห์ความหมายของนวัตกรรมดิจิทัล คือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ท่ีเกิดจากการประยุกต์ใช้ ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัล อาจหมายถึง การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความเชื่อมโยงกับทักษะในการนำ เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีมีอยู่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร และการทำงาน ร่วมกัน หรือใช้เพ่ือพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของเทคโนโลยีท่ีมี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาทิเช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อ ออนไลน์
48 4.2 ความหมายเทคโนโลยีด้านสขุ ภาพ (Fitness Technology) World Health Organization (2007) ได้กล่าวว่าเทคโนโลยีสุขภาพ หมายถงึ การประยุกชใ์ ช้ความรู้ และทักษะเก่ียวกับสุขภาพผ่านอุปกรณ์ เทคโนโลยี ยารักษาโรค วัคซีน และระบบที่พัฒนาข้ึนเพื่อแก้ปัญหา ดา้ นสขุ ภาพและพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของมนุษย์ Crooks (2018) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีสุขภาพ ไว้ว่า การนำเทคโนโลยี ระบบดิจิทัลมาช่วยให้ มนุษย์สามารถติดตาม จัดการและปรับปรงุ พฤติกรรมด้านสุขภาพและดูแลตนเองมากย่ิงขึ้น ผ่านการรายงานผลท่ี มีคุณภาพและช่วยลดคา่ ใช้จ่ายรวมถงึ อำนวยความสะดวกผ้ใู ช้งานมากยิ่งขน้ึ Wongvibulsin, Martin, Steinhubl, and Muse (2019) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีสุขภาพ ไว้ว่า การใช้เคร่ืองมือที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้มนุษย์เกิดการเปล่ียนแปลงทางพฤติกรรม ดา้ นสุขภาพท่ีดียิ่งขนึ้ โดยเป็นการเชื่อมโยงระหวา่ งการดูแลสุขภาพเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อป้องกันการ เกิดโรค การให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รวมท้ังอำนวยความสะดวกให้มนุษย์เอาใจใส่ สนใจดูแล สุขภาพที่เปน็ เรื่องใกล้ตัวได้ง่ายและรวดเรว็ มากย่ิงขน้ึ Orhan and Serin (2019) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีสุขภาพ ไว้ว่า การสร้างระบบท่ีสนับสนุน บริการด้านสุขภาพ การให้ความรู้และข้อมูลเก่ียวกับสุขภาพ การรักษาพยาบาลเบื้องต้น รวมถึงการดูแลสุขภาพ เบื้องต้นโดยการใช้งานผ่านอุปกรณ์ เทคโนโลยที ช่ี ่วยดแู ละและฟื้นฟูสขุ ภาพของมนุษย์ให้สมบรู ณ์มากยิ่งข้ึน ธิติมา บุญเจริญ (2556) ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีสุขภาพ หมายถึง การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และ ระเบียบวิธีทางวทิ ยาศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาและปฏิบตั งิ านอย่างเปน้ ระบบ เพ่อื ส่งเสริมและ สนับสนุนให้มนษุ ยม์ ีภาวะแหง่ ความสมบรู ณ์ทางรา่ งกาย จติ ใจ และการดำรงชวี ิตอยู่ในสงั คมด้วยดี ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (2560) ได้ให้ความหมายของ เทคโนโลยีสุขภาพ ไว้ว่า การนำเทคโนโลยี อุปกรณ์ดิจิทัลและบริการไอซีทีที่เช่ือมโยงระหว่างผู้ใช้งานและผู้ให้บริการด้าน สุขภาพ เพ่ืออำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการ ข้อมูลด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งถึง และ ปลอดภยั จากการสังเคราะห์ความหมายของเทคโนโลยีสุขภาพ สามารถให้ความหมายได้ว่า คือ การนำ ความรู้ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และทักษะเกี่ยวกับด้านสุขภาพ มาประยุกต์ใช้และเช่ือมโยงกับเทคโนโลยี เคร่ืองมือ อุปกรณ์พกพา ระบบดิจิทัล โดยการให้ความรู้ ข้อมูล และการรายงานผลเก่ียวกับพฤติกรรม สุขภาพที่มีคุณภาพ เพ่ือช่วยดูแล สนับสนุน ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้มนุษย์เอาใจใส่ต่อสุขภาพ และเกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพทดี่ ี สง่ ผลใหต้ นเองมสี ุขภาพสมบูรณ์และแข็งแรงมากย่งิ ข้ึน
49 4.3 ตัวอย่างนวัตกรรมและเทคโนโลยดี า้ นกีฬา นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการกีฬาหรือเทคโนโลยีเพ่ือสุขภาพถูกพัฒนาข้ึนมาเพื่อตอบสนองความ ตอ้ งการของคนในยุคปัจจุบนั โดยออกแบบมาใหม้ คี วามทนั สมยั เอาใจคนที่รักการเล่นกีฬาและเทคโนโลยี เป็น การเพิ่มความม่ันใจในการออกกำลังกายสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเริ่มออกกำลังกาย ไปพร้อมกับเรียนรู้ เทคโนโลยีแบบใหม่ ทจ่ี ะสรา้ งความสนุกสนานในการออกกำลังกายให้คุณได้มากข้ึนกวา่ เดิม อาทเิ ช่น 1. เซนเซอร์สกี หรือ“สกีอัจฉริยะ”(Ski Sensors) เป็นอุปกรณ์ช่วยในการเล่นสกีบนเนิน หิมะการใช้เซนเซอร์ในตัวทำให้การเล่ือนสกีนั้นง่ายขึ้น เพราะมีอุปกรณ์ในการอ่านและให้ข้อมูลช่วยในการ เคล่ือนที่และเคล่ือนไหวสำหรับนักสกีและผู้ฝึกสอน ชุด Snowcookie ใช้เซนเซอร์สามตัว, สองตัวจะติดต้ังบน สกีด้วยแถบปะยึด (Velcro) ตัวที่สามจะติดอยู่กับร่างกาย ข้อมูลจะถูกส่งไปยังสมาร์ทโฟน ควบคุมโดย พารามิเตอร์การข่ีท่ีสำคัญที่สุดท่ีสามารถดูได้หลังจากการฝึกซ้อม โปรแกรมของระบบเซ็นซอร์จะสามารถ ตรวจจับข้อผิดพลาดและเตือนเมื่อเข้าสู่การเล้ียว แล้วร่างกายเกิดการหมุนของไหล่ หรือการเคลื่อนไหวของ สะโพกมากเกนิ ไป ภาพที่ 2.1 เซนเซอรส์ กี หรือ“สกอี จั ฉริยะ” (วนั ใหม,่ 2019) https://newdaycrypto.com/th/winter-sports- 2. อุปกรณ์สวมศีรษะตรวจสอบการกระแทก (Reebok Checklight) เป็นอุปกรณ์ช่วยใน การตรวจสอบการกระแทกของนักกีฬา เช่น แข่งรถ, อเมริกันฟุตบอล, รักบี้, บาสเก็ตบอล หรือฟุตบอล กีฬา เหล่านี้จะมีการปะทะกันเกิดข้ึนได้ตลอดเวลา และสิ่งท่ีจะตามมาก็คืออาการบาดเจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะการ บาดเจ็บที่ศีรษะ บางคร้ัง หยุดหายใจเพราะถูกกระแทกศีรษะแรง ๆ หรือหมดสติก็มี ซ่ึงถือว่าอันตรายมาก แมว้ า่ ในสนามจะมีแพทย์คอยดูแลอยู่ แต่ถ้าผเู้ ล่นรู้อาการและความหนักเรว็ เทา่ ไรกจ็ ะช่วยเหลอื ได้เร็วข้นึ เท่าน้ัน
50 Reebok Checklight เป็นอุปกรณ์สวมศีรษะท่ีติดตั้งเซนเซอร์ไว้ โดยมันจะวัดความแรงและ จำนวนคร้ังท่ีเกิดการปะทะที่ศีรษะของผู้เล่นตลอดท้ังการแข่งขันเอาไว้ในตัว Reebok Checklight จะ ประกอบไปด้วยไฟ LEDs สีต่าง ๆ สำหรบั บอกสภาวะต่าง ๆ เช่น สีเขียวแสดงสถานะว่าเครื่องกำลังทำงานอยู่ สีเหลืองหมายถึงแรงกระแทกปานกลาง, สีแดงเป็นแรงกระแทกแบบหนัก ๆ ไฟกะพริบหมายถึงแบตเตอร่ีใกล้ หมด เป็นต้น ประโยชน์ของ Reebok Checklight คือทำให้นักกีฬารู้ตัวว่าการเข้าปะทะนั้นทำให้เกิดอันตราย แค่ไหน เพื่อนำไปปรับแก้ หาวิธีเข้าปะทะท่ีปลอดภัยกว่า การออกแบบ Reebok Checklight เป็นลักษณะ คลา้ ยหมวกท่สี ามารถครอบทง้ั ศรี ษะ ไมเ่ กิดความรำคาญขณะใส่เพราะสวมใส่สบาย ภาพท่ี 2.2 อุปกรณส์ วมศรี ษะตรวจสอบการ กระแทก (ทมี ขา่ วไทยรัฐออนไลน์, 2557) https://www.thairath.co.th/content/395496 50 3. อุปกรณ์เสริมสร้างบุคลิกภาพ (Lumo Lift Will Make You Stand Straighter) เป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถติดต้ังบนเส้ือผ้า เพื่อตรวจเช็คกระดูกสันหลังและบุคลิกของแต่ละคน โดยมี คุณสมบัติการทำงานท่ีจะส่ันเบาๆ เตือนเมื่อผู้ใช้เดิน ยืนหรือน่ังหลังค่อม และมีระบบตรวจสอบความโค้งของ กระดูกสันหลังเพ่ือปรับบุคลิกให้ผู้ใช้ยืดตัวขึ้น และยังสามารถคำนวณแคลอร่ีในแต่ละวัน โดยแจ้งผลผ่านทาง สมาร์ทโฟน ภาพท่ี 2.3 อปุ กรณ์เสรมิ สรา้ งบคุ ลิกภาพ (ทีมข่าวไทยรฐั ออนไลน์, 2557) https://www.thairath.co.th/content/395496 4. อุปกรณ์ช่วยให้ออกกำลังกาย (Tao Exercise Device) เป็นอปุ กรณ์ทท่ี ำให้คุณสามารถ ออกกำลงั กายไดอ้ ย่างอยา่ งดาย โดยอปุ กรณด์ ังกลา่ วจะเป็นตัวออกคำส่งั เพียงคุณถือไว้ในมือเทา่ น้ัน ใช้ได้ทุกท่ี
51 และทุกเวลา ไม่วา่ ผู้ใช้จะน่ังดูทวี ี ทำงานอยู่บนโต๊ะทำงาน หรอื นั่งเครือ่ งบนิ กส็ ามารถออกกำลังกายได้ เพียงแค่ ผใู้ ช้ถอื เคร่อื งนี้และกดปุ่มทำงาน Tao จะเป็นเหมือนโคช้ ที่ควบคุมการออกกำลงั กายของผู้ใช้อย่างถูกวธิ ี ภาพที่ 2.4 อปุ กรณช์ ว่ ยใหอ้ อกกำลงั กาย (ทีมข่าวไทยรฐั ออนไลน์, 2557) https://www.thairath.co.th/content/395496 5. อปุ กรณ์ท่ีเก็บข้อมูลการออกกำลงั กาย (Jaybird Reign Fitness Tracker) ออกแบบ มาใหส้ ามารถเช็คสภาพร่างกายของแตล่ ะคนให้มีความพร้อมก่อนออกกำลังกาย เป็นเทคโนโลยีฟิตเนสท่จี ะ ตามตดิ ผู้ใช้ไปทุกกจิ กรรม ไม่วา่ จะเป็นการเดิน การขึน้ บนั ได หรอื การเคล่ือนไหวในรปู แบบตา่ ง ๆ นอกจากนน้ั ยังชว่ ยคำนวณออกมาเปน็ ระยะทาง ความเร็ว หรอื เป็นแคลอรี่ เพ่ือใหเ้ ราปรับเปล่ียนพฤติกรรม และทำให้เรา ทำตามเปา้ หมายทเ่ี รากำหนดไวไ้ ดส้ ำเร็จ ภาพที่ 2.5 อุปกรณท์ เ่ี กบ็ ข้อมูลการออกกำลังกาย (ทมี ข่าวไทยรัฐออนไลน์, 2557) https://www.thairath.co.th/content/395496 6. อปุ กรณ์วัดชพี จร (LG Heart Rate Earphones) เป็นอุปกรณ์ทมี่ ีลักษณะเป็นหูฟัง ใช้ งานงา่ ย สามารถตรวจสอบการเต้นของหวั ใจ และปริมาณการได้รับออกซเิ จนในแต่ละวันของผู้ใชง้ าน
52 ภาพท่ี 2.6 อปุ กรณว์ ดั ชีพจร (ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน,์ 2557) https://www.thairath.co.th/content/395496 6. เคร่ืองเสริมสร้างกล้ามเนื้อและสลายไขมัน (Electromyography (EMG) เป็น เครอื่ งวัดคล่ืนไฟฟ้ากล้ามเน้ือ เป็นเครื่องมือวัดระดับความตึงตวั ของกล้ามเนื้อจากการกระต้นุ อย่างรุนแรงจะมี ผลลัพธ์เทา่ กัน มีการนำมาใชใ้ นการวิจัยทกั ษะกีฬาได้เปน็ อย่างดี 6.1 เคร่ือง EMSculpt เป็นเครื่องมือช่วยสร้างกล้ามเนื้อและสลายไขมันบริเวณ หน้าท้อง โดยมีระบบการทำงานจากการส่งคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความแรงสูงเข้าไปกระตุ้นท่ีกล้ามเน้ือหน้า ท้องบริเวณท่ีต้องการ เพ่ือให้เกิดการหดตัวของกล้ามเน้ืออย่างรุนแรง ผู้ใช้งานจะไม่มีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น ทง้ั น้ีจากการทดลองใชก้ ับกลุ่มตัวอยา่ งจำนวน 22 คน พบวา่ ผ้ใู ช้งานสามารถลดไขมนั บริเวณหน้าท้องได้เฉลี่ย ร้อยละ 20 จากไขมนั บริเวณหน้าท้องท้ังหมด และผู้ใช้งานสามารถสร้างกล้ามเนื้อบริเวณหน้าทอ้ งไดเ้ ฉล่ียร้อย ละ 15 จากกล้ามเนื้อท่ีสามารถเกิดบริเวณหน้าท้องได้ ภายในระยะเวลาการทดลอง 2 สัปดาห์ ทั้งน้ีเคร่ือง EMSculpt เหมาะสำหรับคนท่ีไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย แต่หากไดอ้ อกกำลงั กายควบคู่ไปกับการใช้เครอื่ ง EMSculpt จะทำให้สามารถลดไขมันและสร้างกล้ามเน้ือบริเวณหน้าท้องได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเคร่ือง EMSculpt ไดผ้ ่านการรับรองจากองคก์ ารอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ข้อจำกัดของ เคร่ือง EMSculpt คือ มรี าคาที่คอ่ นข้างสูงถึง 3,000 ดอลลาร์สหรฐั (Rovzar, 2018) ภาพท่ี 2.7 เคร่ือง EMSculpt (พฤภัทร ทรงเท่ยี ง, 2018) https://thestandard.co/emsculpt/
53 6.2. อุปกรณ์ Abs8 toning belt เป็นอุปกรณ์ท่ีช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณ หน้าท้องตั้งแต่ส่วนนอกของร่างกายไปจนถึงส่วนท่ีลึกที่สุดของร่างกาย มีการออกแบบคล้ายเข็มขัดเพ่ือให้ สามารถคาดรอบเอว รูปทรงโค้งตามสรีระของผู้ใช้งานเพื่อตอบสนองการสร้างกล้ามเน้ือบริเวณหน้าท้องได้ อย่างแมน่ยำ โดยจะมีแผ่นเจลสีฟา้ ติดอยู่กับเขม็ ขัดที่คาดอยู่บริเวณหน้าทอ้ ง เมอ่ื มีการใช้งาน ผ้ใู ช้งานสามารถ เลือกความรุนแรงของคลื่น EMS (electrical muscle stimulation) ท่ีจะไปชว่ ยกระตุ้นกลา้ มเนื้อบรเิ วณหน้า ทอ้ งไดต้ ามต้องการจากแผ่นเจลสีฟ้าที่ติดอยู่บริเวณหน้าท้อง โดยคลื่น EMS มีต้ังแต่ระดับอ่อนสุดที่สามารถใช้ งานได้ท้ังวันไปจนถึงระดับรุนแรงสุด สำหรับผู้ใช้งานท่ีมีเวลาค่อนข้างจำกัดในการใช้งานอุปกรณ์ ท้ังนี้เครื่อง Abs8 toning belt มีการออกแบบและพัฒนาให้ผู้ใช้งานสามารถใชง้ านในชวี ิตประจำวันภายใตเ้ สอ้ื ผ้าท่ีสวมใส่ ได้ นอกจากน้ีผู้ใช้งานสามารถเช่ือมต่อ Abs8 toning belt เข้ากับอุปกรณ์พกพาหรือ Smart Watch ของ ตนเองเพ่ือทราบรายละเอียดการทำงานและความเหมาะสมของความรุนแรงของคลื่น EMS ท่ีเหมาะสมกับ ร่างกายของตนเอง จากการทดลองใช้งาน Abs8 toning belt ของผู้ใช้จริง เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า สามารถลดรอบเอวได้เฉล่ีย 3.5 เซนติเมตรต่อคน กล้ามเน้ือหน้าท้องกระชับข้ึนร้อยละ 72 และความแข็งแรง บรเิ วณหน้าท้องเพิม่ ขน้ึ ร้อยละ 54 จากกล้ามเนื้อหน้าท้องท้ังหมด ทั้งนี้ Abs8 toning belt หากใชง้ านรว่ มกับ การออกกำลังจะช่วยให้เสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องได้อย่างดีและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดย Abs8 toning belt มรี าคาอยทู่ ่ี 180 ดอลลารส์ หรฐั แบตเตอรี่ในการใช้งานสามารถอยู่ได้ 1 เดือน (Bell, 2018) ภาพที่ 2.8 อปุ กรณ์ Abs8 toning belt (Lee Bell, 2019) https://www.forbes.com/sites/leebelltech/2019/01/29/fitness-tech-slendertones-abs8- toning-belt-review/?sh=6de899df1093
54 6.3 เครื่อง Body Forme อุปกรณ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความแรงสูง(high‐intensity focused electromagnetic : HIFEM) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความแรงสูงเข้าไปในชั้น ของกล้ามเน้ือ เพื่อกระตุ้นกล้ามเน้ือให้หดตัวแบบ Supramaximal Contraction (กล้ามเน้ือได้ทำงานเต็ม ประสิทธิภาพท่ี 100% ในขณะท่ียังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่เฉย ๆ) ซ่ึงกล้ามเนื้อหดตัวมากกว่าการออกกำลังกายแบบ ปกติ เช่น ซิทอพั (Sit up) ครนั ช์ (Crunch) สควอท (Squat) และยงั ช่วยให้เผาผลาญไขมนั ได้ในเวลาเดยี วกันอกี ด้วย จากงานวิจัยทางการแพทย์ของ Brian M. Kinney (2019) แผนกศัลยกรรมตกแต่ง University of Southern California Division of Plastic Surgery, Beverly Hills, California ท่ีได้ศึกษา การทำงานของเครื่อง HIFEM ได้ให้ผลลัพธ์ว่า จากกลุ่มตัวอย่าง 22 คน การยิงคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าช่วยให้กลุ่ม ตัวอย่างเพ่ิมความหนาของเส้นใยกล้ามเน้ือ (Gain Muscle) สูงสุดที่ 32% (เฉลี่ย15.4%) และลดเซลล์ไขมัน บริเวณหน้าท้อง (Lose Fat) ได้มากท่ีสุดถึง 44% (เฉลี่ย18.6%) ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนต่อเน่ืองกัน หากเปรียบการทำงานของเคร่ือง HI-FEM ได้ จะเหมือนกับการออกกำลังกายแต่พิเศษกว่าตรงท่ีเรานั้น นอน พักอยู่เฉย ๆ แต่กล้ามเนื้อมันทำงานของมันได้เอง ได้กล้ามเนื้อและลดไขมันท้ัง ๆ ท่ียังนอนเล่นโทรศัพท์ได้ โดยโปรแกรมที่เหมาะสมคือต้องทำทรีทเมนต์ HI-FEM กับผู้เชี่ยวชาญหรือนักกายภาพบำบัดจาก Behap Wellness Clinic อย่างสม่ำเสมอ ทุก ๆ 2-5 วัน พร้อมทั้งติดตามผลด้วยการถ่ายรูป Before-After เพ่ือให้ เห็นความแตกต่างให้มากท่ีสุดโดยแนะนำให้ทำ 4-6 ครั้ง โดยระยะการทำแต่ละคร้ังประมาณ 30 นาที (เทียบเท่ากับการทำท่า Crunch (หน้าท้อง) หรือ Squat (ก้น) ถึง 20,000 ครั้งเลยทีเดียว) ภายในเวลา 2 สัปดาห์ตอ่ เน่ืองและเหน็ ผลชัดเจนจนน่าพอใจทีส่ ุดในเดือนที่ 2 ภาพที่ 2.9 กลา้ มเนื้อบริเวณหน้าทอ้ งหลังจากทำ Sit up ในระยะเวลา 2 สปั ดาห์
55 4.4 นวตั กรรมดิจิทลั ในงานวิจัยโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดจิ ิทัลเพอื่ สง่ เสริมความแข็งแรงของกลา้ มเน้ือหนา้ ท้อง Application - นบั จำนวนครั้ง - เวลา - บันทึกสถิติ (รายวนั /รายเดือน/รายป)ี 90o Sensor ภาพท่ี 2.10 นวัตกรรมดิจิทลั ทางพลศึกษาเพื่อสร้างความแขง็ แรงของหน้าท้อง อปุ กรณ์ นวัตกรรมดจิ ิทัลเพื่อสร้างความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหนา้ ท้อง ประกอบดว้ ย 1. นวตั กรรมเขม็ ขัดคาดหน้าท้อง (Sit-Up Sensor) 2. Smart Phone ทตี่ ดิ ตง้ั แอปพลเิ คชนั (Sit-Up Application) วธิ ใี ช้ 1. ผู้ใช้งานนำนวัตกรรมเข็มขัดคาดหน้าท้องคาดท่ีบริเวณหน้าท้องของตนเอง ให้ระบบเซนเซอร์ (Sit-Up Sensor) อยู่บริเวณกลางหนา้ ท้อง 2. ผู้ใช้งานทำการตรวจสอบการเช่ือมต่อนวัตกรรมเข็มขัดคาดหน้าท้อง(Sit-Up Sensor) กับ Smart phone ที่ตดิ ต้ังแอปพลเิ คชัน(Sit-Up Application) ของนวัตกรรมเข็มขัดคาดหนา้ ทอ้ ง 3. ให้ผู้ใช้งานเอนตัวนอนราบขนานกับพ้ืน จากน้ันทำการยกตัวขน้ึ มาให้ได้ความสงู จากหลังถึงพ้ืนทำ มุม 90 องศา หากผู้ใช้งานสามารถยกตัวขึ้นมาได้ความสูงจากหลังถึงพ้ืนทำมุม 90 องศา ระบบเซนเซอร์ จะส่งสัญญาณดังไปที่ Smart Phone ที่ติดต้ังแอปพลิเคชันของนวัตกรรมเข็มขัดคาดหน้าท้อง เพ่ือสง่ เสยี งการ นับจำนวนคร้ังที่สามารถปฏิบัติได้ หากผู้ใช้งานไม่สามารถยกตัวข้ึนมาได้ความสูงจากหลังถึงพื้นทำมุม 90 องศา
56 ระบบเซนเซอร์จะไม่ส่งสัญญาณไปที่ Smart Phone ท่ีติดต้ังแอปพลิเคชันของนวัตกรรมเข็มขัดคาดหน้าท้อง นอกจากนี้แอปพลิเคชันยังสามารถบันทึกข้อมูลส่วนตัว กำหนดระยะเวลาในการทำ กำหนดองศาในการ ด้วย ตนเอง รวมถึงการบันทึกข้อมูลให้ผ้ใู ช้งานสามารถดูรายละเอียดเกยี่ วกบั ข้อมลู การทำ ของตนเองย้อนหลัง เพ่ือ พฒั นาความแขง็ แรงของตนเองให้ดีย่ิงข้ึนในอนาคตต่อไปได้ ตอนท่ี 5 งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง 5.1 งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้องกับสมรรถภาพทางกาย กรวิชญ์ เกตุทะนงค์ ถนอมศักด์ิ เสนาคำ และมยุรี ศุภวิบูลย์. (2554) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผล การฝกึ ความแข็งแรงระหว่างบนพ้ืนกับลูกบอลออกกำลังกาย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาเปรียบเทียบผลการ ฝึกความแข็งแรงระหว่างบนพื้นกับบนลูกบอลออกกำลังกาย กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชาย โรงเรียนเพชรถนอม สำนักงานเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3–4 อายุระหว่าง 9–11 ปี จำนวน 90 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน คือ กลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองที่ 1 ฝึก โปรแกรมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้อง กล้ามเนื้อส่วนบน บนพ้ืน กลุ่มทดลองท่ี 2 ฝึกโปรแกรมความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อท้อง กล้ามเน้ือส่วนบน บนลูกบอลออกกำลังกาย จากน้ันนำผลท่ีได้มาวิเคราะห์ข้อมูล ทางสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวน การทดลองแบบวัดซ้ำ (One-way Analysis of Variance with Repeated) โดยมีค่านัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท้อง ระหว่างกลุ่มตัวอย่างท้ัง 3 กลุ่ม ในช่วงก่อนการฝึกแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 อย่างไรก็ตาม หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ท่ี 8 ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท้องของกลุ่มฝึกบนพ้ืนและ กลุ่มฝึกบนลูกบอลดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 2) เม่ือเปรียบเทียบภายในกลุ่ม พบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้อง ในกลุ่มฝึกบนพื้นและกลุ่มฝึกบนลูกบอล หลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 และ 8 ดีกว่าก่อนการฝึก และหลงั การฝกึ สัปดาห์ที่ 8 ดกี ว่าหลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 อย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.05 3) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือส่วนบน ระหว่างกลุ่มตัวอย่างท้ัง 3 กลุ่ม ในช่วงก่อนการฝึกไม่แตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ ที่ 8 ความแข็งแรงของ กลา้ มเน้ือสว่ นบน ของกลุ่มฝึกบนพ้นื และกลุ่มฝกึ บนลูกบอลแตกต่างจากกลุ่มควบคมุ อยา่ งมีนัย สำคญั ทางสถติ ิ ท่ีระดบั 0.05 4) เม่ือเปรียบเทียบภายในกลุ่มพบว่าความแข็งแรงของกล้ามเน้ือส่วนบน ในกล่มุ ฝึกบนพ้ืนและ กลมุ่ ฝึกบนลูกบอล หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ 8 ดีกว่าก่อนการฝกึ และหลังการฝกึ สัปดาห์ที่ 8 ดีกว่าหลังการ ฝกึ สปั ดาหท์ ่ี 4 อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 อนุศักดิ์ สุคง เทเวศน์ จันทร์หอม ธิติพงษ์ สุขดี และดิศรณ์ แก้วคล้าย(2561) ได้ทำการศึกษาปัจจัยด้าน สมรรถภาพทางกายที่มีผลต่อทักษะการส่งและการรับลูกฟุตบอล ของนิสิตคณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วโิ รฒ โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งน้ี คือ นิสิตชายหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตสาขาวิชาพลศึกษาคณะพล ศกึ ษา มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ปกี ารศกึ ษา 2559 เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวิจยั เป็นแบบทดสอบสมรรถภาพ
57 ทางกาย และแบบทดสอบทักษะฟุตบอล โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยด้าน สมรรถภาพทางกายมีผลต่อทักษะการส่งและการรับลูกฟุตบอลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 4 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ การประสานสัมพันธ์ (X9) การทรงตัว (X10) ความเร็ว (X7) และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (X2) ซ่ึงปัจจัยทั้ง 4 นี้ สามารถร่วมกันทำนายทักษะ การส่งและการรับลูกฟุตบอลของนิสิตคณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ร้อยละ 50.30 นำค่า สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการได้เป็น 2 รูปแบบ คือ รูปแบบท่ี 1 รูปคะแนนดิบ [Y/ = 0.117+ 0.372 (X9) + 0.667 (X10) + (-0.716) (X7) + 1.942 (X2)] และรูปแบบที่ 2 รูปคะแนนมาตรฐาน [Z/Y = 0.439 (Z X9) + 0.196 (Z X10)+( -0.211) Z X7)+ 0.153 (Z X2)] เกรียงไกร อินทรชัย และ บณั ฑิต เทียบทอง (2563) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้ชุดกิจกรรมการ ฝึกแบบสถานีเพ่ือเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับนิสิตในรายวิชากิจกรรมพลศึกษาสำหรับครู โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุดกิจกรรมส่งเสริมสมรรถภาพทางกายแบบสถานี และ 2) ศึกษาผลของการใช้ชุด กจิ กรรมดงั กล่าวต่อนสิ ิตจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 คน กลุ่มตัวอยา่ งถกู แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลมุ่ ที่ 1 กลุ่ม ควบคุมได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ และกลุ่มที่ 2 กลุ่มทดลองได้รับชุดกิจกรรมส่งเสริม สมรรถภาพทางกายแบบสถานีที่สร้างขึ้นเป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยจะเปรียบเทียบผลการทดสอบสมรรถภาพ ทางกายท่ีสัมพันธ์กับสุขภาพ 5 รายการ ก่อนและหลังการทดลอง โดยผู้วิจัยพัฒนาชุดกิจกรรมส่งเสริม สมรรถภาพทางกายแบบสถานี และใช้แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคะแนนที ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมสมรรถภาพ ทางกายแบบสถานี ที่ประกอบด้วย กิจกรรมเสริมสร้างความอ่อนตัว กิจกรรมเสริมสร้างความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อ กิจกรรมเสริมสร้างความอดทนของกล้ามเน้ือ และกิจกรรมเสริมสร้างความอดทนของระบบ ไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 2) ค่าเฉล่ียคะแนนทดสอบ สมรรถภาพทางกายรายการลุก-น่ัง 60 วินาที ดันพ้ืน 30 วินาที น่ังงอตัวไปข้างหน้า และวิ่งระยะไกลของ กลุ่มทดลอง พบวา่ หลงั การทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 ยกเว้นค่าเฉล่ียดัชนี มวลกาย และ 3) ค่าเฉล่ียคะแนนทดสอบสมรรถภาพทางกายหลังการทดลองทุกรายการ ยกเว้นค่าเฉล่ียดัชนี มวลกายของกลุ่มทดลองสงู กวา่ กลุ่มควบคมุ อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 นพดล นิ่มสุวรรณ (2563) ได้ทำการศึกษา สมรรถภาพทางกาย และพฤติกรรมการออกกำลังกาย ของนักศึกษาท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาว่ายน้ำ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับสมรรถภาพทางกาย 2) ศึกษาพฤติกรรมการออกกำลังกาย และ 3) ศึกษา เปรียบเทียบพฤติกรรมการออกกำลังกายกับเพศ และช้ันปีของนักศึกษาท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาว่ายน้ำ 895-141 ว่ายน้ำ (หลักสูตรเก่า) และ 895-030 ว่ายน้ำ (หลักสูตรใหม่)) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยา เขตหาดใหญ่ กลุ่มประชากร เป็นนักศึกษาท่ีลงทะเบียนเรยี นวิชาว่ายน้ำ ประจำภาคการศกึ ษาที่ 2 ปีการศกึ ษา 2561 จำนวน 94 คน โดยผู้วิจัยได้คัดเลือกแบบเจาะจงจากนักศึกษาท่ีสภาพร่างกายพร้อม เคร่ืองมือที่ใช้ใน
58 การวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของการกีฬาแห่งประเทศไทย และ แบบสอบถาม ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่ จำนวน 57 คน (ร้อยละ 60.6) มีสมรรถภาพทางกายอยู่ในระดับต่ำ รองลงมาจำนวน 20 คน (ร้อยละ 21.3) มี สมรรถภาพทางกายระดับต่ำมาก และจำนวน 17 คน (ร้อยละ 18.1) มีสมรรถภาพทางกายระดับปานกลาง 2) พฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาพบว่า ในภาพรวมนักศึกษาส่วนใหญ่ออกกำลังกายในระดับ บ่อยคร้ัง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.95 และ 3) ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างด้านพฤติกรรมการออกกำลังกายกับ ปัจจัยส่วนบุคคลจำแนกตามเพศ และช้ันปีของนักศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 สรุปได้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีสมรรถภาพทางกายต่ำ ท้ัง ๆ ท่ีนักศึกษาส่วนใหญ่ บอกวา่ ออกกำลังกายบ่อย รุ้งเสาวลักษณ์ กิจเมธีกุล สมบัติ อ่อนศิริ อำนวย ตันพานิชย์ และ วิสูตร กองจินดา(2563) ได้ ทำการศึกษาผลของการประยุกตใ์ ชห้ ลัก FITT ในการสอนพลศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ ของนิสิตมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยกลมุ่ ตวั อย่างเปน็ นสิ ิตท่กี ำลังศกึ ษาในภาคฤดูร้อน ปกี ารศึกษา 2560 จำนวน 70 คน แบง่ ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง 35 คน กลุ่มควบคุม 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใน ครั้งน้ีคือ แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษารายวิชาแบดมินตัน เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ สำหรับนสิ ิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีขั้นตอนการสอนท่ีประยุกตใ์ ช้หลัก FITT ทงั้ หมด 5 ข้ันตอน โดยผ่าน การตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เช่ียวชาญด้านการสอนพลศึกษา หลัก FITT และการสอนวิชา แบดมินตันจำนวน 4 ท่าน และแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพสำหรับนิสิตมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ การทดลองใช้เวลาท้ังหมด 6 สัปดาห์ โดยให้กลุ่มทดลองเรียนสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ ระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. กลุ่มควบคุมเรียนสัปดาห์ละ 2 วัน คือ วันอังคาร วันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา13.00-16.00 น. วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความ แตกต่างของค่าเฉล่ียของผลการทดสอบหลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 6 ระหว่างกลุ่มทดลองและควบคมุ ผลการวจิ ัยพบว่า ความแตกต่างของค่าเฉล่ียสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพด้านความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบ หายใจระหว่างกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุมแตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคญั ท่ีระดับ .05 ศราวิน เทพสถิตภรณ์ ปรัชญา แก้วแกน และปริญญา เรืองทิพย (2563) ได้ทำการศึกษาใน โครงการการทดสอบสมรรถภาพทางกาย และสุขภาวะทางกายของผู้สูงอายุไทย โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ ทดสอบสมรรถภาพทางกาย ประเมนิ สุขภาวะทางกาย วิเคราะห์ความสัมพันธและจัดกลุมสมรรถภาพทางกาย และหาดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุไทยท่ัวประเทศ กลุมตัวอย่างเปนผูสูงอายุชวยเหลือตัวเองได ประกอบดวยเพศชายและหญิง อายุ 60-69 ป ซ่ึงไดมาจาก 5 ภูมิภาคของไทย ภูมิภาคละ 400 คน รวม ทั้งหมด จำนวน 2,000 คน เคร่ืองมือที่ใชในการวิจัยมี 2 ชุด ชุดที่ 1 คือ การทดสอบสมรรถภาพทางกาย สำหรับผูสูงอายุไทย 6 ด้าน ไดแก ดานองคประกอบของรางกาย ดานความทนทานของระบบไหลเวียนเลือด และการหายใจ ดานความแข็งแรงและความทนทานของกลามเนอ้ื ดานความคลองแคลววองไวและการทรงตัว
59 ดานความออนตัว และดานเวลาปฏิกิริยาตอบสนองและการประสานสัมพันธ นอกจากนี้มีการบันทึกสัญญาณ คล่ืนไฟฟากลามเนื้อ (อีเอ็มจี) ชุดท่ี 2 คือสุขภาวะทางกายของผูสูงอายุ ไดแก ด้านกิจกรรมทางกาย ดาน โภชนาการ ดานการนอนหลับและพักผอน และดานปญหาสุขภาพและโรคไมติดตอ การวิเคราะหขอมูลทั่วไป ทำโดยใช้การแจกแจงความถี่ รอยละ คาเฉล่ีย และสวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยจําแนกตามเพศและภูมิภาค การวิเคราะห์การจัดกลุมสมรรถภาพทางกายของผูสูงอายุไทย ดวยสถิติการวิเคราะหกลุม และดัชนีชี้วัด สมรรถภาพทางกาย ผลการวิจัยปรากฏวาสามารถจัดกลุมสมรรถภาพทางกายของผูสูงอายุได 4 กลุม ไดแก กลุม ดีมาก มีจํานวน 522 คน (รอยละ 26.14) กลุมดี มีจํานวน 770 คน (รอยละ 38.56) กลุมพอใช มี จํานวน 478 คน (รอยละ 23.93) และกลุมเสี่ยง จํานวน 227 คน (รอยละ 11.37) ผลการวิเคราะหกลุมพบวา ปจจัยเสนรอบเอวสามารถจัดกลุมไดดีที่สุด (F=669.732) รองลงมาคือ VO2 Max จากการทดสอบเดิน 6 นาที น้ำหนักตัวและคาดัชนีมวลกาย (BMI) ตามลําดับ ผลการวิเคราะหดัชนีชี้วัดได 12 เกณฑการประเมิน ประกอ บดวยการยายบล็อก 30 วินาที เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง นั่งงอตวั ไปขางหนา เวลาท่ีใช TUG ระยะทางที่ไดจาก การเดนิ 6 นาที เปอรเซน็ ตไขมนั ใตผวิ หนัง เสนรอบสะโพก และเสนรอบเอว Chen and et al. (2002) ได้ทำการศึกษาเร่ือง \"การสรา้ งเกณฑ์ปกตดิ ชั นีมวลรา่ งกายทีแ่ สดงใหเ้ ห็น ถึงการมีสุขภาพดีสำหรับเด็กและวัยรุ่น จากการทดสอบสมรรถภาพทางกายท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพ\" มี วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื สร้างเกณฑ์ปกตดิ ัชนีมวลรา่ งกายของเด็กนักเรียนในประเทศไตห้ วัน โดยการประเมินผลขอ้ มูล ที่มีอยู่ จากการสำรวจในเรื่องของสมรรถภาพของเด็กนักเรียนในประเทศไต้หวัน (เด็กชาย 444,652 คน เด็กหญิง 433,555 คน) โดยตรวจหาความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลร่างกายกับความสามารถใการปฏิบัติการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายมีความสัมพันธ์ในทางลบกับการเพิ่มข้ึนของดัชนีมวลร่างกาย ซ่ึงในการทดสอบ สมรรถภาพทางกายจะประกอบด้วยรายการทดสอบ เดินว่ิง 800 เมตร (สำหรับเด็กหญิง) และ1,600 เมตร (สำหรับเด็กชาย) ยืนกระโดดไกล ลุก-น่ัง และนั่งงอตัวไปข้างหน้ ผลการวิจัยพบว่า ดัชนีมวลร่างกาย และ ความสามารถในการปฏิบัติการทดสอบสมรรถภาพทางกาย มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซ่ึง น้ำหนักมาตรฐานของเด็กและวัยรุ่นอายุไม่กิน 18 ปี จะมีค่าดัชนีมวลร่างกาย (กิโลกรัม/เมตร2) ต้ังแต่ 23.7- 25.5 (สำหรับเด็กชาย) และ 22.6-24.6 (สำหรับเด็กหญิง) ซ่ึงผลงานวิจัยน้ีจะไม่นำไปใช้ประโยชน์ในการ ประเมินสถานะปัจจุบันวา่ เด็กเปน็ โรคอ้วน หรอื น้ำหนกั เกนิ มาตรฐานแตเ่ พียงอย่างเดียวเทา่ นั้น แตจ่ ะใชใ้ นการ สนับสนนุ การเขา้ รว่ มกิจกรรมการออกกำลังกาย Perry and et al. (2002) ได้ทำการศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบสุขภาพและสมรรถภาพ ในกลุ่ม ตัวอย่างขนาดเล็ก เป็นเด็กญ่ีปุ่นท่ีมีต้นตระกูลต่างกัน และอาศัยอยู่ 2 ทวีป มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ ลักษณะทางกายภาพ 2 ตัวแปร คือ สุขภาพ และสมรรถภาพ รวมทั้งสารอาหารท่ีได้รับ ระหว่างเด็กญี่ปุ่นท่ีอาศัย อยู่ในอมริกาและญ่ีปุ่น โดยทำการวิจัยท่ีเมือง Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา และเมือง Tsukba ประเทศญ่ีปุ่น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนญ่ีปุ่นที่อาศัยอยู่ในอเมริกา 14 คน จับคู่เพศและอายุให้เท่าเทียมกัน กับนักเรียนท่ีอาศัย อยู่ในญ่ีปน การวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นการเปรียบเทียบนักเรียนท่ีอาศัยอยู่ในอเมรกิ าและญ่ีปุ่น โดยใช้สถิติ t-test
60 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทั้งสองกลุ่มมีความแตกตำงกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนี้ ดัชนีมวลกายเท่ากับ 19:3 (อเมริกา) และ16.9 (ญ่ีปุ่น) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .02 เปอร์เซ็นต์ ไขมันในร่างกายเท่ากับ 22.0% (อเมริกา) และ 14. 3% (ญ่ีปุ่น) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .002 ความดันโลหิตจากอัตราการเต้น ของหัวใจเท่ากับ 65.8 mm.Hg. (อเมริกา) และ 58.9 mm.Hg. (ญ่ีปุ่น) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ผลรวมของโคเลสเตอรอลเท่ากับ 169.8 mg/dl (อเมริกา) และ 138.7 mg/d! (ญี่ปุ่น) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .001 กระโตดสูงเท่ากับ 28.9 เซนติเมตร (อเมริกา) และ 34.4 เซนติเมตร (ญ่ีปุ่น) ท่ีอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .02 ความอ่อนตัวเท่ากับ 58.2 เซนติเมตร (อเมริกา) และ 42.6 เชนติเมตร (ญ่ีปุ่น) อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .002 ความดันโลหิตเท่ากับ 107.5 mm.Hg. (อเมริกา) และ 101.9 mm.Hg (ญ่ีปุ่น) อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .10 และความแข็งแรงของขาเท่ากับ 81.5 kg. (อเมริกา) และ 55:8 kg (ญ่ีปุ่น) อย่างมี นัยสำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .11 Taskin (2009) ได้ศึกษาผลของการฝึกแบบสถานีที่มีผลต่อความสามารถในการออกต้วว่ิงและความอด หนแบบแอนแอโรบิค กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนพลศึกษาเพศชายจำนวน 32 คน อายุเฉลี่ย 23.92 ปี แบ่งเปน็ กลุ่ม ทดลองและกล่มุ ควบคมุ กลุ่มละ 16 คน โดยการสุ่มอย่างงา่ ย โดยใชก้ ารฝกึ แบบสถานี ทงั้ หมด 8 สถานี เปน็ เวลา 10 สปั ดาห์ สับดาหล์ ะ 3 วัน และใช้การทดสอบแบบ Pre-test Post-test โดยใช้แบบทดสอบสำเร็จรูปของสหพนั ธ์ฟุต บอสนานาชาติ หรือ F-MARC (The FIFA Medical Assessment and Research Centre) ในการวัดผล ผล การศึกษาพบวา่ การฝกึ แบบสถานีมีผลต่อความเร็วในการออกตัวของกลุ่มทดลองอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 ท่ี pre-test = 14.76 ± 0 48 วินาที และ post-test = 14.47 ± 0.43 วินาที และมีผลต่อความอดทนแบบ แอนแอโรบิคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ pre-test = 31:.53 ± 0.48 วินาที และpost-test = 30.73 ± 0.50 วินาที จึงสรุปได้ว่า การฝึกแบบสถานี ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คร้ัง มีผลต่อการ เพม่ิ ขน้ึ ของความเร็วในการออกตัวและความอดทนแบบแอนแอโรบิค Hofstetter Mäder and Wyss (2012). ได้ทำการศึกษาผลของของการฝึกแบบวงจรกลางแจ้ง จำนวน 7 สัปดาห์ ต่อสมรรถภาพทางกายของทหารเกณฑช์ าวสวสิ แลนด์ มวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการ ออกกำลังกายแบบวงจรกลางแจ้งท่ีเพ่ิมจากการฝึกฝนร่างกายตามปกติต่อสมรรถภาพทางกายและอัตราการ บาดเจ็บของทหารในกองทพั สวิส กล่มุ ประชากรได้แก่ ทหารเกณฑ์ชาวสวิส จำนวน 250 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ทดลอง 125 คน และกลุ่มควบคุม 125 คน อายุระหว่าง 20-21 ปี จากค่ายทหารเดียวกัน ดำเนินการทดลองโดย การให้กลุ่มทดลองออกกำลังกายแบบวงจรกลางแจ้งเป็นเวลา 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 60 นาที เพิ่มเติมจาก โปรแกรมการออกกำลังกายตามปกติของกองทัพ ผลการทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีสมรรถภาพทางกาย เพิ่มข้ึนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การฝึกแบบวงจรกลางแจ้งท่ีเพ่ิมเติมต่อสัปดาห์ทำให้คะแนน สมรรถภาพทางกายโดยรวมดีขึ้นมากขึ้น แต่อัตราการเกิดการบาดเจ็บไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มทดลองและ กลมุ่ ควบคุม
61 5.2 งานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอ้ื หนา้ ท้อง อรรถพล ณ อุบล และ ชาญเวช ธรรมเสาวภาคย์ (2554) ได้ทำการศึกษาผลของโปรแกรมการฝึก ดว้ ยน้ำหนกั แบบประยุกตโ์ ดยใชว้ ัสดุใกล้ตวั ท่ีมผี ลต่อความแข็งแรงกล้ามเน้ือหน้าทอ้ งกอ่ นและหลังการฝกึ โดย กลุ่มเป้าหมาย คือนักศึกษาชายมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีปัญหาน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวง สาธารณสุขจำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน ตามคะแนนเฉล่ียของการทำแบบทดสอบ ลุก-นั่ง ซ่ึงกลุ่มต่ำ ได้แก่ กลุ่มที่ทำ คะแนนได้ 6-9 ส่วนกลุ่มกลางได้แก่กลุ่มที่ทำคะแนนได้11-13 และกลุ่มสูง ทำคะแนนได้ 16-19 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) โปรแกรมการฝึกด้วยน้ำหนักแบบประยุกต์โดยใช้ วัสดุใกล้ตัว 2) แบบทดสอบ ลุก-น่ัง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม spss หาค่าเฉล่ียร้อยละและค่าเบ่ียงเบน มาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มเป้าหมาย มีความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องเพ่ิมมากกว่าก่อนการ ฝึก ทง้ั สามกลุ่มทดลอง และกลุม่ ทดลองทั้งสามกลุ่มมีความแข็งแรงของกลา้ มเน้ือหน้าท้องเพ่ิมมากขน้ึ แตกตา่ ง กัน โดยกลุ่มท่ีทำ Pre Test ได้ต่ำ จะมีความแข็งแรงที่เพ่ิมข้ึนมากกว่ากลุ่มทดลองที่ทำ Pre Test ได้ ระดับกลางและระดับสูง หัสดิน เชยบาล ภัทรพร สทิ ธเิ ลิศพิศาล และ เพยี รชัย คำวงษ์ (2555) ได้ทำการศกึ ษาผลของการฝึก ความแข็งแรงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวต่อสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะจำเพาะของนักกีฬา บาสเกตบอล โดยศึกษาผลการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวต่อความมั่นคงของแกนกลาง ลำตัวและเชิงกรานและสมรรถภาพทางทักษะ ได้แก่ ความคล่องแคล่ว กำลังกล้ามเนื้อขา ในอาสาสมัคร นักกีฬาบาสเกตบอลชาย มหาวทิ ยาลัยแม่ฟ้าหลวง จำนวน 18 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง อย่างละ 9 คน โดยกลุ่มควบคุมได้รับการฝึกบาสเกตบอล เพียงอย่างเดียวแต่กลุ่มทดลองได้รับการฝึก บาสเกตบอลร่วมกับการออกกำลังกายตามโปรแกรมเพ่ิมความแข็งแรงกล้ามเน้ือแกนกลางลำตัว ฝึก 3 วันต่อ สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ มีการทดสอบความม่ันคงของกระดูกสันหลังและและเชิงกราน (Stability Test; LPST) สมรรถภาพทางทักษะ ได้แก่ การทดสอบ South East Missouri State University (SEMO) เพ่ือทดสอบความคล่องแคล่ว การทดสอบ Sargent เพ่ือทดสอบกำลังกล้ามเน้ือขา ก่อนและหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า หลงั การฝึก ค่า LPST และความคล่องแคล่วในกลมุ่ ทดลองเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05) การศึกษานี้ไม่พบความแตกต่างของค่า กำลังกล้ามเนื้อขาหลังการฝึก (p>0.05) ของกลุ่มทดลอง แต่พบว่ามีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้นการ ออกกำลังกายเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงกล้ามเนือ้ แกนกลางลำตัวสามารถเพ่ิมความ มน่ั คงของแกนกลางลำตัวและเชิงกราน และความคล่องแคลว่ ในนักกฬี าบาสเกตบอลชายได้ ภรัณยู สกุลชิต (2559) ได้ทำวิจัยเรื่อง ผลของการฝึกแบบวงจรต่อความคล่องแคล่ว ความอดทน และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของนักกีฬาเทเบิลเทนนิส โดยศึกษาผลการฝึกแบบวงจรต่อความคล่องแคล่ว ความอดทนและความแขง็ แรงของกลา้ มเน้อื ในนักกีฬาเทเบิลเทนนิส และเปรียบเทียบผลการฝึกแบบวงจรต่อ ความคล่องแคล่ว ความอดทนและความแข็งแรงของกลา้ มเนอ้ื ในนักกฬี าเทเบิลเทนนิสระหว่างกลมุ่ ที่ฝกึ เทเบิล
62 เทนนิสอย่างเดียวและกลุ่มท่ีฝึกเทเบิลเทนนิสร่วมกับการฝึกแบบวงจร ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการฝึก 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลอง มีความอดทน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและแขนดีข้ึนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 อย่างไรก็ตามความคล่องแคล่วไม่แตกต่างกันทางสถิติ กลุ่มควบคมุ มีความอดทนและความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อขาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 อย่างไรก็ตามความคล่องแคล่วและความแข็งแรง ของกล้ามเน้ือแขนไม่แตกต่างกันทางสถิติ ผลการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมภายหลัง การฝึก 8 สัปดาห์ พบว่าความอดทนของกล้ามเน้ือมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 อยา่ งไรก็ตามความคลอ่ งแคล่ว ความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือขาและแขน ไมม่ ีความแตกตา่ งกันทางสถิติ พัชรี ย่ำเที่ยง, พงษ์เทพ สาระไกร, และ วีระชัย หอมดอก (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนา โปรแกรมฝึกน้ำหนัก ท่ีมีผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้องและกล้ามเน้ือขาของนักกีฬาฟุตบอลชายทีม วิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเพชรบูรณ์ โดยศึกษาผลการสร้างโปรแกรม การฝึกด้วยน้ำหนักเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้องและกล้ามเนื้อขาของนักกีฬาฟุตบอลชายทีม วทิ ยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ สถาบันการพลศึกษาวทิ ยาเขตเพชรบูรณ์ ผลการวิจัยพบว่านักกีฬาฟุตบอล ชายทีมวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตเพชรบูรณ์ท่ีเข้าร่วมโปรแกรมการฝึก ด้วยน้ำหนัก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเน้ือขา ก่อนและหลังการฝึก แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาํ คัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ชุติญา อุ่นทานนท์ (2560) ได้ทำวิจัยเรื่อง การสร้างกล้ามเนื้อตามลักษณะการใช้งานเพื่อพัฒนา ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัวและขา ได้ศึกษาการสร้างโปรแกรมการฝึกกล้ามเน้ือตามลักษณะการใช้งาน เพ่ือพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัวและขา ศึกษาผลของการฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกกล้ามเน้ือตาม ลักษณะการใช้งาน และเปรียบเทียบความแข็งแรงของกล้ามเน้ือลำตัวและขาก่อนและหลังการฝึกด้วย โปรแกรมการฝึกกลา้ มเนอ้ื ตามลักษณะการใช้งาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายชว่ งช้ันท่ี 4 ปีการศึกษา 2558 ของโรงเรียนพุทไธสง สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 60 คน โดยการเลือก แบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างได้รับการฝึกเป็นเวลา 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วันวันละ 1 ชั่วโมง ทดสอบก่อน การฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ 8 ผลการวิจัยพบว่า (1) โปรแกรมการฝึกกล้ามเน้ือตามลักษณะการใช้ งานที่สร้างข้ึนใช้ทำการฝึก 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ช่ัวโมง สามารถพัฒนาความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อลำตัวและขาได้ (2) ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาก่อนการฝึกมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 1.86 กิโลกรัม/ น้ำหนักตัว หลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 และ 8 มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 1.87, 1.87 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว ความแข็งแรง ของกล้ามเน้ือหลังก่อนการฝึกมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.77 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว หลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 และ 8 มี ค่าเฉล่ียเท่ากับ 1.79, 1.84 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท้อง ลุก-นั่ง 60 วินาที ก่อนการ ฝึกมีคา่ เฉลยี่ เท่ากับ 49.53 คร้ัง หลังการฝึกสัปดาหท์ ่ี 4 และ 8 มีค่าเฉล่ยี เท่ากับ 52.13, 56.58 ครั้งตามลำดับ และ (3) ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัวที่วัดด้วยความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหลังและกล้ามเนื้อท้อง และ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อขาหลงั การฝึกสปั ดาห์ที่ 8 สงู กวา่ กอ่ นการฝกึ อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05
63 ศิรัตน์ปภา ย่ังยืนสิน, วารี วิดจายา, อมรพันธ์ อัจจิมาพร และกรกฤษณ์ ชัยเจนกิจ (2562) ได้ทำ วิจัยเร่ืองผลของการฝึกแบบวงจรที่มีความหนักสูงแบบประยุกต์ต่อความแข็งแรงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเน้ืองอ เหยียดเข่า, กล้ามเนื้อหัวไหล่ และคุณภาพชีวิตในผู้หญิงท่ีเป็นโรคอ้วน โดยศึกษาผลของการฝึก แบบวงจรท่ีมีความหนักสูงแบบประยุกต์ต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว, กล้ามเน้ืองอ-เหยียด เข่า, กล้ามเน้ือหัวไหล่ และคุณภาพชีวิตในผู้หญิงอ้วน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผู้เข้าร่วมวิจัย จำนวน 22 คน อายุ ระหวา่ ง 30-40 ปี ทม่ี ีค่าดชั นีมวลกาย 25.0–29.9 กิโลกรัม/เมตร 2 ถกู แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการสุ่ม กลุ่ม ละ 11 คน คือ กลุ่มท่ีได้รับการฝึก และกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึก โดยกลุ่มท่ีได้รับการฝึกจะทำการฝึกด้วย โปรแกรมแบบวงจรที่มีความหนักสูงแบบประยุกต์เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน เวลาที่ใช้ในการออก กำลังกายต่อรอบ 7.50 นาที โดยสัปดาห์ ท่ี 1 ออกกำลังกาย 1 รอบ, สัปดาห์ที่ 2-3 สองรอบ, สัปดาห์ท่ี 4-5 สามรอบ, สปั ดาห์ที่ 6-7 สี่รอบ และสัปดาห์ที่ 8 ห้ารอบ ท้ัง 2 กลุ่มจะถูกวดั ตวั แปรท้ังหมด คือ ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหัวไหล่ กล้ามเน้ืองอเหยียดเข่า กล้ามเน้ือแกนกลางลำตัว และแบบสอบถามเก่ียวกับคุณภาพ ชีวิต ผลการวิจัยพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มที่ได้รับการฝึกและภายในกลุ่มท่ีไม่ได้รับ การฝึก อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มท่ีได้รับการฝึกแบบวงจร ท่ีมีความหนักสูงแบบประยุกต์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีการ เพิ่มข้ึนของกำลังกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนในกล้ามเน้ือแขนและขามี แนวโน้มเพ่ิมข้ึน แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และในกลุ่มท่ีได้รับการฝึกมีความรู้สึกเจ็บปวดต่อร่างกาย ลดลง รวมทั้งรู้สึกมีพลังมากข้ึนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าหลังจากการออกกำลังกายด้วย โปรแกรมการฝึกแบบวงจรทีม่ ีความหนกั สูงแบบประยุกต์ในผู้หญงิ อ้วน เปน็ เวลา 8 สัปดาห์น้ัน มีการเปล่ียนแปลง ของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือแกนกลาง ตัวและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพชีวิตในมิติของการรับรู้ ความรู้สกึ เจบ็ ปวดต่อร่างกายและความรสู้ ึกมีพลังในการทำงาน แต่ไมพ่ บการเปลี่ยนแปลงน้ีในกลุม่ ควบคมุ Giacomini, Vargas da Silva, Weber, and Monteiro (2016) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้ โปรแกรม พิลาทิสเพ่ือช่วยเพ่ิมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจและประสิทธิภาพการทำงาน ของปอด กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงท่ีอยู่ประจำที่ 16 คน ทำการทดลองโดยใช้โปรแกรมเก่ียวกับความหนาของ กล้ามเน้ือผนังหน้าท้อง โดยประเมินก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการฝึก 8 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมพิลาทิส ส่งเสริมการเจรญิ เตบิ โตของกล้ามเน้ือผนังช่องท้องและการเพ่ิมขึ้นของระบบทางเดินหายใจ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อ และประสทิ ธภิ าพการป้องกนั ความออ่ นแอของกล้ามเน้ือหน้าท้อง Hasan, Kamal, and Hussein (2016) ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละดัชนีมวลกายและ ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือและความอดทนในเด็กปกติและเด็กอ้วนที่แข็งแรง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็น เด็กเพศชายและเพศหญิงอายุ 10–13 ปี ท่ีมีสุขภาพดจี ำนวน 75 คน ซ่ึงไม่มีปัญหาเก่ียวกับศัลยกรรมกระดูกการ รับรู้หรือการรู้คิด โดยถูกเลือกจากสมาคม Awlady ในเมือง Maadi กรุงไคโร กลุ่มตัวอย่างจะถูกแบ่งออกเป็น สามกลุ่มตามเปอร์เซ็นต์ไทล์มวลร่างกายของเด็กแต่ละคน กลุ่ม a จะเป็นเด็กท่ีมีเปอร์เซ็นต์ไทล์เท่ากับหรือ มากกว่า 5% แต่น้อยกว่า 85% กลุ่ม b จะเป็นเด็กท่ีมีเปอร์เซ็นต์ไทล์เท่ากับหรือมากกว่า 85% แต่น้อยกว่า
64 95% และกลุ่ม c จะเป็นเด็กท่ีมีเปอร์เซ็นต์ไทล์เท่ากับหรือมากกว่า 95% มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำการ ประเมินสองครั้งด้วยแรงบิดสูงสุดสำหรับกล้ามเนื้อ triceps และกล้ามเน้ือ quadriceps ถูกสำรวจโดย Biodex Isokinetic เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าที่ความเร็วเชิงมุม 60 /s ในโหมดการหดศูนย์กลางในขณะที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง ถูกประเมินโดยการทดสอบกล้ามเน้ือด้วยตนเอง นาฬิกาจับเวลาถูกใช้เพื่อคำนวณระยะเวลาอ่อนล้าเพื่อประเมิน เวลาความอดทน ผลการวิจัยพบว่า เด็กกลุ่มอ้วน(น้ำหนักเกิน) มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความอดทน แตกต่างกับเด็กกลุ่มน้ำหนักปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความ แขง็ แรงของกล้ามเน้ือและค่าดชั นีมวลกายในขณะที่ความอดทนของกล้ามเนื้อมีความสัมพันธเ์ ชิงลบ Tayashiki, Maeo, Usui, Miyamoto, and Kanehisa (2016) ได้ทำการศึกษาถึงผลของการฝึกการหด เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องท่ีมีต่อความแข็งแรงและพลังของลำตัวและกล้ามเนื้อแขนขาท่ีต่ำกว่า กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ชายอายุ 23–24 ปี จำนวน 20 คน เป็นกลุ่มทดลอง 11 คน และกลุ่มควบคุม 9 คน กลุ่มทดลองจะได้ทำการ ฝึกโดยใช้โปรแกรมเป็นเวลา 8 สัปดาห์ (3 วันต่อสัปดาห์) ประกอบด้วยการฝึกการค้ำยันช่องท้อง 2 ชุด และ พกั ผ่อนกลา้ มเน้ือ 2 ชุด โดยการทำซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า รปู แบบการฝึกอบรมด้วยการหดเกร็งของกล้ามเน้ือหน้า ท้องสามารถเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเพิ่มความแข็งแรงและพลังงานในระหว่างการเคลื่อนไหวท่ี เก่ยี วข้องกบั ลำตัวและสะโพก Kato, et. al. (2017) ได้ทำการศึกษาถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของ กล้ามเน้อื หน้าท้อง โดยเก็บรวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับความสูง, ดชั นมี วลกาย และขนาดของรอบเอว จากกลุ่ม ตวั อย่างท่ีเป็นอาสาสมัครผู้ชายจำนวน 30 คน โดยวัดแรงบีบมือ และแรงดึงหลังโดยใช้อุปกรณ์ในการวัด กลุ่ม ตัวอยา่ งทำการทดสอบลกุ -นั่ง ซง่ึ เปน็ ตวั บ่งช้ีถงึ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอ้ื ลำตัวในการยืดหดตัว ผู้วิจัยยงั ได้วัด ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยใช้อุปกรณ์ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น ซ่ึงจะทำให้สามารถประเมินความสัมพันธ์ ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือลำตัว และสัดส่วนของร่างกายที่เป็นค่าตัวเลขเช่นเดียวกับความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 5 ใน 30 คน ที่เข้าร่วม ได้เข้าตรวจใน เคร่ืองเอกซเรย์ร่างกาย Positron Emission Tomography (PET) จำนวนสองชุดประกอบด้วยการตรวจ หลังจากช่วงพัก (กลุ่มควบคุม) และระหว่างการออกกำลังกาย (กลุ่มทดลอง) ในกลุ่มศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ใช้ อุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย จำนวน 2 รอบ รอบละ 20 นาที โดยใช้อุปกรณ์ก่อนและหลังฉีด Fluorodeoxyglucose (FDG) เข้าร่างกายการคำนวณการเอกซเรย์ร่างกายด้วยเคร่ือง PET จากภาพท่ีได้รับ ประมาณ 60 นาทีหลังจากฉีด FDG ผู้วิจัยได้มีการเปรียบเทียบการเผาผลาญพลังงานของกล้ามเนื้อโครงร่าง ของผู้เข้าร่วมในการศึกษาทั้งสองกลุ่ม ซง่ึ ผลการวิจยั พบวา่ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ โดยการใชอ้ ุปกรณ์ และ การลุก-น่ัง 30 วินาที มีความสัมพันธ์การสะสม FDG ภายในช่องท้องและกล้ามเน้ือช่องท้องสูงข้ึนอย่างมี นัยสำคญั ในกลมุ่ ทดลอง
65 ตอนที่ 6 กรอบแนวคิดการวิจยั การวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยทำการศึกษาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องหลังจากที่ใช้โปรแกรมการ ฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งจากการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ผวู้ ิจัยจึงกำหนดตวั แปรที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยรายละเอียด ดงั น้ี ตัวแปรต้น คือ โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล เป็นโปรแกรม การฝึกเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องของแต่ละบุคคลหรือ ความสามารถในการตอบสนองของกล้ามเน้ือหน้าท้องในการทำ อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วย 1) อุปกรณ์ Sensor พร้อมสายรัดหน้าอก 2) สมาร์ทโฟน ที่มีแอปพลิเคชันเฉพาะ (Application) เพอ่ื ให้ผู้ออกกำลงั กายใชง้ านง่าย และสามารถดำเนนิ การ ได้ดว้ ยตนเอง ตัวแปรตาม คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นความสามารถในการทำงานของกลุ่ม กล้ามเน้ือหน้าท้องท่ีกระทำต่อแรงต้านทานได้สูงสุด ในท่ีน้ีจะหมายถึงความสามารถในการทำท่า ลุก-นั่ง (Sit up) 60 วินาที ให้ได้จำนวนคร้ังมากทสี่ ดุ โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเอง นวัตกรรมดจิ ทิ ัล โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวัตกรรมดจิ ทิ ลั ความแขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื หนา้ ทอ้ ง ภาพท่ี 2.11 กรอบแนวคิดการวจิ ัยโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดิจทิ ลั เพอ่ื ส่งเสรมิ ความบแทขท็งแ่ี ร3งของกล้ามเนอื้ หน้าทอ้ ง
บทที่ 3 วธิ ีการดำเนินการวิจัย งานวิจยั ครั้งน้ีเป็นการศึกษาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดจิ ิทัลเพื่อ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยมีวัตถุประสงค์ท่ัวไป คือ เพื่อพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ ทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และวัตถุประสงค์ เฉพาะ 4 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 2) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 3) เพ่ือ ศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และ 4) เพ่ือรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหนา้ ท้อง โดยแบ่งขน้ั ตอนการดำเนินงานวจิ ัยออกเป็น 4 ระยะตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องงานวจิ ยั ดงั น้ี ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองและการ ยอมรบั นวัตกรรมดิจทิ ลั ทางพลศกึ ษา ประชากร / กลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ ผ้เู รยี นระดับปริญญาตรีทว่ั ประเทศ กลุ่มตวั อย่าง ผู้เรียนระดับปริญญาตรีท่ัวประเทศ เพศชายและเพศหญิงทม่ี ีอายตุ ้ังแต่ 18 ปี – 23 ปี ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ควรทำกิจกรรมเพื่อสร้างความแข็งแรงให้ กล้ามเนื้อในระดับความเข้มข้นปานกลางถึงมากท่ีสุดในกลุ่มกล้ามเน้ือทุกส่วน (WHO, 2020) ได้มาจากการ เลือกสมุ่ แบบหลายขน้ั ตอน ประกอบด้วย 4 ขน้ั ตอนดงั นี้ ขั้นตอนท่ี 1 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง เน่ืองจากวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลในระยะท่ี 1 น้ี เป็นการ วิเคราะห์ สมการเชิงโครงสร้าง ด้วยสาเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยอาศัยแนวคิดของ Hair et al. (1998) ซ่ึงเสนอว่าการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการวิเคราะห์โมเดลลิสเรลไม่มีกฎตายตัว และสามารถอาศัยเกณฑ์หลายเกณฑ์ในการพิจารณา เกณฑ์หน่ึงที่สามารถใช้ในการพิจารณาคือ ขนาดของ โมเดลซ่ึงโดยทั่วไปมักใช้ผู้ตอบจำนวน 5-10 คน ต่อพารามิเตอร์ที่ต้องการประมาณค่า 1 ตัว เน่ืองจากโมเดล สมการเชิงโครงสร้างในการวิจัยมีพารามิเตอร์ที่ต้องการประมาณค่า 58 ตัว ถ้าใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 10 ขนาด กล่มุ ตัวอย่างจะเทา่ กบั 580 คน และเนื่องจากอัตราการตอบกลับของแบบสอบถามในการวิจัยโดยท่วั ไปเฉลย่ี มี ค่าประมาณรอ้ ยละ 80 (นงลกั ษณ์ วิรชั ชยั , 2542) ผวู้ ิจยั จึงเก็บขอ้ มลู กล่มุ ตัวอย่าง 700 คน ขน้ั ตอนที่ 2 เป็นการเลอื กพื้นท่ตี ั้งสถาบันอุดมศึกษาที่กลุ่มตัวอย่างกำลงั ศึกษาอยู่ โดยกำหนดสถาบัน ในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร สำหรับในต่างจังหวัดผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลากซ่ึง
67 จังหวัดที่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น พะเยา มหาสารคาม นครราชสีมา สงขลา นครศรธี รรมราช เปน็ ตน้ ขั้นตอนที่ 3 เป็นการเลือกสถาบนั อุดมศึกษาโดยใช้วธิ กี ารสมุ่ อยา่ งง่ายดว้ ยการจบั สลาก ขน้ั ตอนที่ 4 การเลือกกลุ่มตวั อย่างแบบโควตา้ โดยกำหนดกลุม่ ตวั อย่างสถาบนั อดุ มศกึ ษาละ 100 คน เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยน้ีแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การศึกษาสภาพและความต้องการ การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเอง และส่วนที่ 2 การยอมรบั นวัตกรรมดจิ ทิ ัลทางพลศึกษา โดยมีรายละเอียดดงั น้ี ส่วนที่ 1 การศึกษาสภาพและความต้องการการใชโ้ ปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ผู้วิจัยศึกษาสภาพและความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง โดยใช้ แบบสอบถามการศึกษาสภาพความจริง ความต้องการและการยอบรับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความ แขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื หน้าท้อง โดยแบบสอบถามแบง่ ออกเป็น 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามโดยสร้างเป็นแบบตรวจสอบรายการ และข้อคำถาม ปลายเปิด ได้แก่ เพศ อายุ ชื่อจังหวัด มหาวิทยาลัย สงั กัด คณะ สาขาวชิ า วิชาเอก ชั้นปี ความถ่ีในการออกกำลงั กาย ต่อสัปดาห์ ประสบการณ์การใชอ้ ุปกรณ์ดิจิทัลเพ่ือช่วยในการออกกำลังกาย ในกรณีมีประสบการณ์ ความถ่ีใน การใชอ้ ุปกรณด์ จิ ทิ ัลตอ่ สัปดาห์ ตอนที่ 2 สภาพความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง มีลักษณะเป็น มาตรประมาณค่า 7 ระดับ (Likert scale) โดยให้ผู้ตอบเลือกระดับความคิดเห็นที่คิดว่าตรงกับความคิดเห็น ของตนเอง ซึ่งมีรูปแบบการตอบสนองคู่เพ่ือประเมินสภาพความเป็นจริงและความต้องการการใช้โปรแกรมการ ฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ประเภทอุปกรณ์ในการออกกำลังกายท่ีท่านใช้ ออกกำลังกาย อปุ กรณ์เช่ือมต่อทางเทคโนโลยที ่ที ่านใช้ออกกำลังกาย และปัจจัยในการเลอื กใชอ้ ปุ กรณใ์ นการ ออกกำลังกาย ซง่ึ แตล่ ะระดบั ความคดิ เหน็ มีความหมาย ดงั นี้ 7 หมายถึง มีการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองอยู่ในระดับมากที่สุดตาม สภาพปัจจุบนั และสภาพทตี่ อ้ งการ 6 หมายถึง การใชโ้ ปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยู่ในระดบั มากตามสภาพ ปจั จบุ นั และสภาพทตี่ ้องการ 5 หมายถึง การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ตามสภาพปจั จบุ ันและสภาพท่ีต้องการ
68 4 หมายถึง การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยู่ในระดับปานกลางตาม สภาพปัจจุบันและสภาพทตี่ ้องการ 3 หมายถึง การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยู่ในระดับค่อนข้างน้อย ตามสภาพปจั จบุ ันและสภาพทตี่ ้องการ 2 หมายถึง มีการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยู่ในระดับน้อยตาม สภาพปจั จุบนั และสภาพที่ต้องการ 1 หมายถึง มีการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองอยใู่ นระดับน้อยทส่ี ุดตาม สภาพปจั จุบนั และสภาพทีต่ ้องการ โดยผู้วิจัยแบง่ เกณฑ์ เพอ่ื ประเมนิ ความต้องการจากคา่ เฉลยี่ ของน้ำหนักคะแนน ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 6.50 – 7.00 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดับมากท่สี ุด คะแนนเฉล่ีย 5.50 – 6.49 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดบั มาก คะแนนเฉล่ีย 4.50 – 5.49 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดับคอ่ นขา้ งมาก คะแนนเฉล่ีย 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดบั ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดบั คอ่ นข้างน้อย คะแนนเฉล่ีย 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองในระดบั นอ้ ย คะแนนเฉล่ีย 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความต้องการการใชโ้ ปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายดว้ ยตนเองในระดับน้อยที่สุด การสรา้ งและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื ผ้วู ิจยั ได้ดำเนินการสร้าง และตรวจสอบแบบสอบถามสภาพความจริง ความต้องการการใช้โปรแกรม การฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้ ข้นั ตอนท่ี 1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เพ่ือศึกษาถึงตัวแปรของโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเอง ขั้นตอนที่ 2 กำหนดกรอบโครงสร้างของแบบสอบถาม โดยสร้างเป็นตารางวิเคราะห์เน้อื หา ซ่งึ ผวู้ ิจัยนำ นิยามเชิงปฏิบัติการท่ีกำหนดขึ้น มากำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นพฤติกรรมที่ต้องการวัดและเขียน ข้อความ
69 ข้นั ตอนท่ี 3 นำตารางวิเคราะหเ์ น้ือหาและขอ้ คำถามท่ีสร้างขึ้น ไปสร้างเป็นขอ้ คำถามท่ตี ้องการวัด ขั้นตอนท่ี 4 ตรวจสอบด้านความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ของแบบสอบถาม โดยผู้วิจัย นำแบบสอบถามและตารางวิเคราะห์เนื้อหาให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมของ ข้อคำถามรายข้อกับนิยามเชิงปฏิบัติการ รวมท้ังขอข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแบบสอบถาม ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 1) ด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 1 ท่าน 2) ด้านนวัตกรรมดิจิทัล 1 ท่าน 3) ด้านความ แขง็ แรงของกลา้ มเนอ้ื 1 ท่าน 4) ดา้ นการวิจยั จำนวน 2 ทา่ น รวม 5 ท่าน โดยมีคุณสมบัติ คือมีประสบการณ์ ในดา้ นการเรยี นการสอนในศาสตรท์ ่เี กี่ยวขอ้ งมาไมน่ ้อยกว่า 5 ปี ขนั้ ตอนที่ 5 นำข้อเสนอแนะจากผู้ทรงมาปรับปรงุ แก้ไขข้อคำถามให้ถูกต้องตามข้อเสนอแนะ ขั้นตอนท่ี 6 นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองกับนิสิต นักศึกษาที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ กลุ่มตัวอย่าง แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน เพื่อตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือด้านความเท่ียงเชิง ความสอดคล้องภายใน โดยวิธหี าสมั ประสิทธิ์แอลฟา ตามสูตรของครอนบาค(Cronbach Alpha Coefficient) ซง่ึ ผลการวิเคราะห์พบว่าขอ้ คำถามในแต่ละดา้ นมคี า่ ความเที่ยงทั้งฉบับ คอื 0.97 การวเิ คราะหข์ ้อมูล การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติการวิเคราะห์ข้อมูลตามสิ่งที่ต้องการศึกษา โดยแบ่งการวิเคราะห์ ข้อมูล ไดด้ งั นี้ 1. ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามโดยสร้างเป็นแบบตรวจสอบรายการ และข้อคำถามปลายเปิด ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ช่อื จังหวดั มหาวทิ ยาลยั สังกดั คณะ สาขาวชิ า วชิ าเอก ช้ันปี ความถ่ีในการออกกำลงั กายต่อสัปดาห์ ประสบการณ์การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพ่ือช่วยในการออกกำลังกาย ในกรณีมีประสบการณ์ ความถ่ีในการใช้ อุปกรณ์ดิจิทัลต่อสัปดาห์ เพ่ือศึกษาลักษณะข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้สถิติความถ่ี ร้อยละ ค่า มชั ฌิมเลขคณิต และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การวิเคราะหส์ ภาพความต้องการจำเป็น ผู้วิจัยใช้สถิตคิ ่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิตอิ นุมาน ได้แก่ T-test และ F-test ส่วนที่ 2 การศกึ ษาการยอมรบั นวัตกรรมดิจทิ ลั ทางพลศึกษา ผู้วิจัยศึกษาความตอ้ งการและการยอบรับนวัตกรรมดิจทิ ัลเพอ่ื ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้า ท้อง โดยแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 7 ระดับ (Likert scale) โดยให้ผู้ตอบเลือกระดับความ คิดเห็นที่คิดว่าตรงกับความเป็นจริง เพื่อประเมินการยอมรับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของ กลา้ มเน้ือหน้าท้อง แบง่ ออกเปน็ 9 หวั ขอ้ ได้แก่ การรับรู้ถงึ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ การรบั รู้ถึงความง่ายในการ ใช้งาน ความเชื่อมั่น ความเข้ากันได้ การใส่ใจสุขภาพ ทัศนคติ เจตนาแสดงพฤติกรรม การใช้งานจริง และการ ยอมรับอุปกรณ์การทดสอบลุกนั่ง และปัจจัยในการเลือกใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย ซ่ึงแต่ละระดับความ คดิ เห็น มีความหมายดงั นี้
70 7 = เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง หมายถึง เหน็ ด้วยกับข้อความร้อยละ 81-100 6 = เห็นดว้ ย หมายถงึ เห็นดว้ ยกับข้อความรอ้ ยละ 71-80 5 = คอ่ นข้างเหน็ ด้วย หมายถงึ เห็นด้วยกับขอ้ ความรอ้ ยละ 61-70 4 = เห็นดว้ ยและไม่เห็นดว้ ยพอๆ กนั หมายถงึ เห็นดว้ ยกับขอ้ ความร้อยละ 51-60 3 = ค่อนขา้ งไมเ่ หน็ ด้วย หมายถึง เห็นด้วยกับข้อความร้อยละ 41-50 2 = ไม่เหน็ ด้วย หมายถงึ เหน็ ดว้ ยกบั ข้อความร้อยละ 31-40 1 = ไมเ่ ห็นด้วยอยา่ งยิ่ง หมายถงึ เห็นดว้ ยกับข้อความร้อยละ 0-30 โดยผวู้ จิ ัยแบ่งเกณฑ์ เพ่ือประเมินความตอ้ งการจากคา่ เฉลี่ยของน้ำหนักคะแนน ดงั น้ี คะแนนเฉลย่ี 6.50 – 7.00 หมายถึง มีการยอมรบั นวตั กรรมดจิ ิทลั ทางพลศกึ ษาในระดับมากทีส่ ุด คะแนนเฉลี่ย 5.50 – 6.49 หมายถึง มกี ารยอมรับนวัตกรรมดิจทิ ลั ทางพลศึกษาในระดบั มาก คะแนนเฉลย่ี 4.50 – 5.49 หมายถงึ มีการยอมรับนวัตกรรมดิจทิ ัลทางพลศกึ ษาในระดบั ค่อนขา้ งมาก คะแนนเฉล่ยี 3.50 – 4.49 หมายถงึ มกี ารยอมรับนวัตกรรมดจิ ิทลั ทางพลศึกษาในระดบั ปานกลาง คะแนนเฉลยี่ 2.50 – 3.49 หมายถงึ มกี ารยอมรบั นวัตกรรมดจิ ิทัลทางพลศึกษาในระดับค่อนข้างน้อย คะแนนเฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถงึ มกี ารยอมรับนวตั กรรมดจิ ิทัลทางพลศกึ ษาในระดับนอ้ ย คะแนนเฉลยี่ 1.00 – 1.49 หมายถึง มีการยอมรบั นวัตกรรมดจิ ิทลั ทางพลศกึ ษาในระดับนอ้ ยทสี่ ุด การสรา้ งและการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง และตรวจสอบแบบสอบถามการยอมรบั นวัตกรรมดิจิทัลทางพลศึกษา โดย มีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี ขั้นตอนท่ี 1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือศึกษาถึงตัวแปรของการยอมรับ นวตั กรรมดิจทิ ัลทางพลศึกษา ข้ันตอนที่ 2 กำหนดกรอบโครงสร้างของแบบสอบถาม โดยสร้างเปน็ ตารางวิเคราะห์เนื้อหา ซ่งึ ผวู้ ิจัยนำ นิยามเชิงปฏิบัติการที่กำหนดข้ึน มากำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นพฤติกรรมท่ีต้องการวัดและเขียน ข้อความ ขนั้ ตอนท่ี 3 นำตารางวิเคราะหเ์ น้ือหาและข้อคำถามทสี่ ร้างข้ึน ไปสรา้ งเป็นข้อคำถามทตี่ ้องการวดั ขั้นตอนท่ี 4 ตรวจสอบด้านความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ของแบบสอบถาม โดยผู้วิจัยนำ แบบสอบถามและตารางวิเคราะห์เนื้อหาใหผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ิพจิ ารณาความสอดคลอ้ งและความเหมาะสมของข้อคำถามราย ขอ้ กับนิยามเชิงปฏิบัติการ รวมท้ังขอข้อเสนอแนะเพ่ือการปรับปรุงแบบสอบถาม ผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วย 1) ด้าน โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 1 ท่าน 2) ด้านนวัตกรรมดิจิทัล 1 ท่าน 3) ด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 1 ท่าน 4) ด้านการวิจัย จำนวน 2 ท่าน รวม 5 ท่าน โดยมีคุณสมบัติ คือ มีประสบการณ์ในด้านการเรียนการ สอนในศาสตรท์ เ่ี กีย่ วขอ้ งมาไม่น้อยกวา่ 5 ปี ขน้ั ตอนท่ี 5 นำข้อเสนอแนะจากผูท้ รงมาปรับปรุงแก้ไขข้อคำถามให้ถูกต้องตามข้อเสนอแนะ
71 ข้ันตอนที่ 6 นำแบบสอบถามท่ีปรับปรุงแล้วไปทดลองกับนิสิต นักศึกษาท่ีมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ กลุ่มตัวอย่าง แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน การดำเนินการจะมีการสาธิตอุปกรณ์ให้ดูก่อนที่กลุ่ม ตัวอย่างจะใช้เครื่องมือ โดยการตอบแบบสอบถามเพื่อตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้านความเที่ยงเชิง ความสอดคล้องภายใน โดยวิธีหาสัมประสิทธ์ิแอลฟา ตามสตู รของครอนบาค(Cronbach Alpha Coefficient) ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่าข้อคำถามในแต่ละด้านในแบบสอบถามส่วนท่ี 1 มีค่าความเที่ยง คือ 0.97 และ แบบสอบถามสว่ นที่ 2 มคี า่ ความเทยี่ งคอื 0.95 การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirm Factor Analysis) และการวเิ คราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling Analysis) การเกบ็ รวบรวมข้อมูลระยะที่ 1 ผู้วิจัยทำจดหมายขอความอนุเคราะห์ไปยังสถาบันการศึกษา เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลไปยังกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัยจะเก็บข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ Google form ซง่ึ ในจดหมายขออนญุ าตเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะแนบ QR Code , Link สำหรับการเข้าไปตอบแบบสอบถาม ,และเอกสารข้อมูลสำหรับผู้มีส่วนร่วมในการ วิจัยและหนังสือแสดงยินยอมเข้าร่วมการวิจัย เม่ือผู้วิจัยดำเนินการเก็บแบบสอบถามการวิจัยจนครบถ้วนแล้ว ผู้วิจัยจะทำหนังสือขอบคุณในความอนุเคราะห์ไปยังสถาบันการศึกษา ทั้งน้ีจะมีผู้ช่วยวิจัย คือ นิสิตระดับ ปริญญาเอก ทำหนา้ ที่ประสานงานการเก็บข้อมลู แบบสอบถาม ระยะท่ี 2 การสร้างต้นแบบโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อหนา้ ทอ้ ง ประชากร / กลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน การวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง ทีม่ คี ุณสมบัติ คือ มีความเชีย่ วชาญในด้านทเี่ ก่ยี วข้องไม่นอ้ ยกวา่ 5 ปี
72 เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย แบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) ประกอบด้วย ผ้เู ข้าร่วม สนทนากลมุ่ ย่อย ผู้บันทกึ การสนทนา หวั ขอ้ หรือแนวคำถามในการสนทนา การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อสังเคราะห์ลักษณะโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ ทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับนวตั กรรมดิจทิ ัลเพอ่ื สง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ระยะท่ี 2 ผู้วิจัยดำเนินการพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อ ส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเน้อื หน้าท้อง โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้ 1. การนำผลการวิจยั จากระยะที่ 1 และการศึกษาข้อมลู เพ่ิมเติม ได้แก่ การศึกษาวรรณคดีที่ เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1) การฝึกสมรรถภาพทางกาย 2) นวัตกรรมดิจิทัลทางพลศึกษา 3) ความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหน้าท้อง มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง รว่ มกับนวตั กรรมดิจทิ ัลเพอ่ื ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 2. ผู้วิจัยจัดการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) ประกอบด้วย กลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน ซึ่งมีคุณสมบัติในด้านท่ีเก่ียวข้องไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยใช้แบบบันทึก การสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) มีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการสนทนากลุ่มย่อย การ รับรองจรยิ ธรรมในการเขา้ รว่ ม รวมท้งั การจดั ส่งเอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ งให้ผูท้ รงคณุ วุฒิพจิ ารณาลว่ งหนา้ 3. ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม โดยใช้การวิจัยเชิงพรรณนาเพ่ือสังเคราะห์ลักษณะ โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวตั กรรมดจิ ิทัลเพ่ือสง่ เสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง ระยะท่ี 3 การศึกษาผลการใชโ้ ปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนอ้ื หนา้ ทอ้ ง ประชากร / กลุม่ ตัวอย่าง ประชากร ไดแ้ ก่ ผูเ้ รยี นระดับปริญญาตรีทว่ั ประเทศ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพศชายและ เพศหญิงท่ีมีอายุตั้งแต่ 18 ปี – 23 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยท่ีควรทำกิจกรรมเพ่ือสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อใน ระดับความเข้มข้นปานกลางถึงมากที่สุดในกลุ่มกล้ามเน้ือทุกส่วน(WHO, 2020) จำนวน 60 คน โดยการเลือก แบบเจาะจง ซึ่งคำนวณจากค่า effect size ท่ี .059 (Ding, Sasa McDonald ,Frank Wei,Yingqi (2021))
73 ค่า a ท่ี .05 และค่า B ท่ี .09 โดยคำนวณจากโปรแกรมG*power 3.1.9.7 ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 27 คน จึง เก็บกลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 30 คน ซ่ึงกลุ่มทดลอง คือ กลุ่มท่ี ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัลกับโปรแกรมการฝึกฯ ส่วนกลุ่มควบคุม คือ กลุ่มที่ใช้โปรแกรมการฝึกฯ แต่ไม่ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัล แบ่งสัดส่วนของเพศชาย และหญิงในการฝึก คือ ผู้ชาย 20 คน ผู้หญิง 10 ต่อกลุ่ม ก่อนการทดลองผู้วิจัยได้สร้างแบบประเมินความ พร้อมก่อนการฝึกตามโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหนา้ ท้อง โดยในการปฏิบัติ จะใช้ Google forms ทั้งน้ีหากผู้สมคั รมีโรคประจำตัว ผู้วิจัยจะไม่คัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง ให้นิสิตท่ีสมัครเข้าร่วมกิจกรรมตอบแบบประเมินผ่าน Google Forms ผู้เข้าร่วมการวิจัยต้องเข้าร่วมให้ครบทุกครงั้ คือ สปั ดาห์ละ 3 คร้ัง รวมเป็น 18 คร้งั โดยผวู้ ิจยั จะแจ้งขอ้ ตกลง นี้ในเอกสารการรับสมัคร ตั้งแต่เริ่มการประชาสัมพันธ์รับสมัคร ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงที่มีคุณสมบัติ คือ มีความพร้อมในด้านการใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ทาง เทคโนโลยี และตอบรับในการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ สง่ เสริมความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง โดยกลมุ่ ตัวอย่างตอ้ งเข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมในระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 18 วัน (การทำกิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อควรทำกิจกรรม สปั ดาหล์ ะ 2 วนั ข้ึนไป (WHO, 2020)) เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั 1. โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ประกอบด้วย วตั ถปุ ระสงค์ กิจกรรม ระยะเวลา อปุ กรณ์ท่ใี ชป้ ระกอบโปรแกรม การประเมินผล 2. เกณฑก์ ารประเมินผลความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง 3. นวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วยอุปกรณ์ Sit-Up Sensor พร้อมสายรัดหน้าอก นาฬิกาดิจิทัล หรือ สมาร์ทโฟนทต่ี ดิ ต้งั แอปพลเิ คชันการทดลอง (Sit-Up Application) การสร้างและการตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมอื ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง และเกณฑ์การประเมินผล ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง และดำเนินการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา รวมทั้งสร้างนวัตกรรม ดิจิทลั และวเิ คราะหข์ อ้ มูลแล้วในระยะการวจิ ัยที่ 2 ขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลและดำเนนิ การทดลอง 1. ผู้วิจัยส่งจดหมายขอความอนุเคราะห์ไปยังคณะครุศาสตร์ และหอพกั นิสติ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพอ่ื ประชาสมั พันธ์ให้นสิ ิตมาเป็นกลุ่มตัวอยา่ ง ดว้ ยความสมัครใจ โดยการลงช่ือ พรอ้ มท้ังใส่เบอรโ์ ทรศัพทต์ ดิ ตอ่ 2. ให้นิสิตตอบแบบประเมินความพร้อมก่อนการฝึกตามโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองร่วมกับนวัตกรรมดจิ ิทัลเพอ่ื สง่ เสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง (Google forms)
74 3. ผู้วิจัยนัดหมายนิสิตกลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มควบคุม ท่ีผ่านเกณฑ์จากการตอบแบบประเมินความ พร้อม ทค่ี ณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย โดยมีรายละเอียด ดังน้ี 3.1 ซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตน ทั้งการเตรียมตัวก่อนเข้าร่วมกิจกรรม รูปแบบการ ฝึกซอ้ ม และรปู แบบการทดสอบกอ่ นและหลงั การทดลองตามโปรแกรมฯ ใชเ้ วลาประมาณ 1 ชั่วโมง 3.2 กลุ่มควบคุม จะทำการทดลองกับอุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัลท่ีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามแผนการจัดโปรแกรมฯ พร้อมบันทึกผลการปฏิบัติผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้เข้าร่วมจะเป็นผู้ลงข้อมูล ส่วนตัวเองในการฝึกปฏิบัติ เพื่อความถูกต้องของข้อมูลส่วนตัว อุปกรณ์ Sit-Up Sensor ผู้วิจัยจะเป็นผู้ดูแล ผู้เข้าร่วมจะมาใช้กับผู้วิจัย โดยผู้วิจัยเป็นผู้กำกับในขั้นตอนการใช้ และดูแลเรื่องการทำความสะอาดของ อปุ กรณ์หลังการใช้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 4. สำหรับกลุ่มควบคุม ใช้โปรแกรมการฝึกฯ แต่ไม่ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัล จะทำท่ีบ้าน ตาม ตารางนัดหมายผ่านโปรแกรม ZOOM โดยมีผู้วจิ ัยเป็นผู้ดำเนนิ การตลอดการฝึกปฏิบัติ และหลังจากฝึกปฏบิ ัติ ทกุ ครงั้ ให้สง่ ผลการปฏิบตั ิผ่านทางGoogle Forms ใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที 5. ข้ันตอนการดำเนนิ การทดลอง 5.1 กอ่ นการทดลองตามโปรแกรมฯ ผู้วิจยั จะนัดหมายนิสิตกลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มควบคุม ทค่ี ณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำการทดสอบการลุก-นั่ง กับอุปกรณ์ Sit-Up Sensor โดยจะนัด หมายเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน และจะนัดหมายในวันและเวลาเดียวกับข้อ 3 เพื่อลดภาระในการเดินทางของ นิสิตกลุ่มตัวอยา่ งและกลมุ่ ควบคมุ ซ่งึ ผวู้ ิจยั ได้มมี าตรการปอ้ งกนั การติดเช้อื COVID-19 ดงั น้ี 1) ผู้เขา้ รว่ มวิจัยจะตอ้ งแสดงหลกั ฐานการฉีดวัคซนี จากแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” โดยต้องฉีด วัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างน้อย 2 เข็ม ไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนถึงวันทดลอง (ยกเว้น Johnson & Johnson 1 เข็ม) หากฉดี ไม่ครบ หรอื นอ้ ยกว่า 14 วัน ผ้เู ขา้ ร่วมวิจัย จะต้องนำเอกสารมาแสดงในวันทดลอง คือ - ผลการตรวจ Antigen Test ที่เป็นลบ (Negative) จากสถานพยาบาลที่มีลายเซ็น แพทย์ผู้ตรวจรบั รองไมเ่ กนิ 3 วนั กอ่ นถงึ วันทดลอง หรือ - ใบรับรองแพทย์ที่แนบผลการตรวจ Antigen Test ท่ีเป็นลบ (Negative) จาก สถานพยาบาล ไม่เกนิ 3 วนั ก่อนถงึ วันทดลอง 5.2 ทดลองโดยใช้โปรแกรมการออกกำลังกายดว้ ยการลุกน่ัง (Sit up) 6 สัปดาห์ โดยแบง่ กลมุ่ ออกเป็น - กลุ่มตัวอย่าง ออกกำลังกายด้วยการลุก-น่ัง (Sit up) ตามโปรแกรม 6 สัปดาห์ และใช้ อปุ กรณ์ Sit-Up Sensor โดยผู้วิจัยจะนัดหมายนิสิตทมี่ หาวิทยาลัย โดยแบ่งเป็นกลมุ่ ละ 6 คน 5 กลุ่ม ใช้เวลา ประมาณ 30 นาทตี อ่ กลมุ่ - กลุ่มควบคุม ออกกำลังกายด้วยการลุก-นั่ง (Sit up) ตามโปรแกรม 6 สัปดาห์ แต่ไม่ใช้ อปุ กรณ์ Sit-Up Sensor โดยผู้วจิ ัยจะให้นสิ ิตกลุ่มควบคุมฝึกปฏิบัติทบ่ี ้าน โดยให้ฝกึ ปฏบิ ัติตาม“เอกสารขั้นตอน การทำลุก-นั่ง (Sit up) และจะฝึกปฏิบัติพร้อมกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือสมาร์ทโฟน ด้วย โปรแกรม ZOOM โดยมผี ู้วิจัยเป็นผดู้ ำเนินการ ฝึกพร้อมกนั ทุกคน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
75 5.3 หลังการทดลอง ผู้วิจัยจะนัดหมายนิสิตกลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มควบคุม เพ่ือมาทำการทดสอบ การลุก-น่ัง กับอุปกรณ์ Sit-Up Sensor หลังการออกกำลังกายตามโปรแกรมที่กำหนด โดยผู้วิจัยจะนัดหมาย นสิ ิตทีม่ หาวทิ ยาลัย โดยจะนดั หมายเป็นกลุ่ม กลุม่ ละ 20 คน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อ กลุ่ม การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ 1) สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 2) สถติ อิ นุมาน ได้แก่ การวเิ คราะห์คา่ เฉลี่ย T-test ระยะที่ 4 การรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริม ความแขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื หน้าทอ้ ง ประชากร / กลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน การวจิ ยั กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง ท่ีมคี ณุ สมบัติ คอื มีความเชี่ยวชาญในด้านที่เกีย่ วขอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 5 ปี เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย แบบรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Likert scale) โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิเลือก ระดับความคดิ เห็นที่คิดวา่ ตรงกับความเป็นจริง เพ่ือรับรองโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทลั เพอื่ สง่ เสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าทอ้ ง ซ่งึ แต่ละระดบั ความคดิ เห็น มีความหมายดงั นี้ 5 = เหน็ ดว้ ยอย่างยิ่ง หมายถึง เห็นด้วยกบั ข้อความรอ้ ยละ 81 - 100 4 = เห็นด้วย หมายถึง เห็นดว้ ยกบั ขอ้ ความร้อยละ 61 - 80 3 = เหน็ ด้วยและไมเ่ ห็นด้วยพอๆ กนั หมายถงึ เห็นด้วยกับข้อความรอ้ ยละ 41 - 60 2 = ไม่เห็นด้วย หมายถงึ เหน็ ด้วยกบั ขอ้ ความร้อยละ 21 - 40 1 = ไมเ่ ห็นด้วยอยา่ งยิ่ง หมายถงึ เหน็ ด้วยกบั ขอ้ ความร้อยละ 0 – 20 โดยผู้วิจัยแบ่งเกณฑ์ เพ่ือรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดจิ ทิ ลั เพอ่ื สง่ เสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องจากคา่ เฉล่ียของนำ้ หนักคะแนน ดังนี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237