125 4) ขัน้ สรปุ ผสู้ อนจะใหข้ ้อมูลป้อนกลับผูเ้ รยี น คาถามท้ายบท จงเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ 1 คาบ (60 นาที) เร่ือง “การกระโดดเชอื ก” แผนการจดั การเรยี นรู้รายคาบ สาขา / กลุ่มสาระ............................................................................ สาระวิชาพลศึกษา หน่วยการเรียนรทู้ ่ี........................................................... กจิ กรรม.................................................... เรอื่ ง...................................................................................สัปดาห์ท.่ี .............. ชว่ั โมงท.ี่ ...................... ชน้ั เรียน...........................................................................ภาค........ช่วงท.่ี ........ ปีการศกึ ษา.............. ผู้สอน.................................................................................จานวนคาบ................คาบ (...............นาที) สถานท่สี อน ...............................วนั ที่สอน...(หอ้ งเรยี น)..น. วันที่.............................. เวลา ...........................น. _________________________________________________________________________ .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................................................... .................................................................................................. ............................................................. .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................................................... .................................................................................................. ............................................................. .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................................................... .................................................................................................. ............................................................. .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................................................... .................................................................................................. .............................................................
126 .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................................................... .................................................................................................. ............................................................. .................................................................................................. ............................................................. รายการอ้างองิ ภาษาไทย กรมวิชาการ. (2545). คู่มอื การจดั การเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินและพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ชนาธิป พรกุล. (2552). การสอน กระบวนการคิด ทฤษฎี และการนาไปใช้. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัท วี. พริ น้ ท์ (1991) จากัด. ชวลติ ชูกาแพง. (2553). การวจิ ัยหลักสูตรและการสอน. (พมิ พค์ รั้งที่ 2). มหาสารคาม : สานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ญาณิศา บุญพิมพ์, นภัส ศรีเจริญประมง และวราลี ถนอมชาติ. (2562). รูปแบบ การจัดการเรียนรู้โดยการใชโ้ ครงการเป็นฐานเพอื่ พัฒนาคุณภาพของเด็กปฐมวัยใน ทอ้ งถิ่นเขตภาคตะวนั ออก. วารสารวิจัยราไพพรรณี 13(1), 107-118. ณัฐวฒุ ิ กิจรุ่งเรือง, วัชรินทร์ เสถยี รยานนท์ และ วัชนยี ์ เชาวด์ ารง. (2545). ผู้เรยี นเป็น สาคญั และการเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ของครูมืออาชพี . กรุงเทพฯ : สถาพรบคุ๊ ส์. ธวชั วนั ชูชาติ. (2542). พฤติกรรมการสอนทเี่ น้นผู้เรยี นเป็นศนู ย์กลาง. (พิมพค์ ร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช. วฒั นาพร ระงับทกุ ข์. (2542). แผนการสอนทเ่ี น้นผูเ้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง. (พิมพค์ รัง้ ที่ 2). กรงุ เทพฯ : วัฒนาพานิช. วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2553). การออกแบบการเรียนรู้ตามแนวคิด Backward Design. มหาสารคาม : สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ศศธิ ร เวยี งวะลยั . (2556). การจัดการเรยี นรู้. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย และมาเรียม นิลพันธ์ุ. (2553). การพัฒนารูปแบบการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้แบบผู้ปกครองมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม สาหรับนักเรยี นปฐมวยั . วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตรว์ ิจยั 1(2), 54-63.
127 สาลี รกั สทุ ธี. (2546). คมู่ ือการเขียนแผนการจัดการเรยี นรตู้ ามเกณฑใ์ หมข่ องกค. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศึกษา สุดใจ พรหมเสนา และไชยา ภาวะบตุ ร. (2556). การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ ม เพอ่ื พฒั นาผู้ดูแลเดก็ ดา้ นการจัดประสบการณ์การเรียนร้สู าหรบั ปฐมวัยศนู ย์พัฒนา เดก็ เล็กสงั กดั องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลโพธิ์ไทร อาเภอดอนตาล จงั หวัดมุกดาหาร. วารสารบัณฑติ ศกึ ษา 10(46), 99-110. สวุ ิทย์ มลู คา. (2551). การเขียนแผนการจดั การเรียนรู้ทีเ่ น้นการคดิ . (พิมพค์ ร้ังที่ 3). กรุงเทพฯ: อี. เค. บุ๊คส.์ สุวิมล สุรรณจันดี. (2551). การพัฒนาแผนการเรียนรู้ สาระพุทธศาสนาโดยใช้ กรณีศึกษาเพ่ือส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดอรัญญาราม อาเภอแม่ทา จังหวัดลาพูน. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบณั ฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ อาภรณ์ ใจเทีย่ ง. (2550). หลักการสอน. กรงุ เทพฯ : โฮเดียนสโตร.์ เอกรนิ ทร์ ส่มี หาศาล และคณะ. (2552). กระบวนการจัดทาหลักสูตรสถานศกึ ษา แนวคิดสู่ปฏิบัติ. กรงุ เทพฯ : บุ๊คพอยท์. ภาษาอังกฤษ Buschner, C.A. (1994). Teaching children movement concepts and skill: becoming a master teacher. United States of America: Human Kenetics.
บทท่ี 6 ทักษะการเคลื่อนไหวขัน้ พื้นฐานในกฬี าพื้นเมอื งไทย กีฬาพ้ืนเมืองไทย หรือการละเล่นพื้นบ้านไทยเป็นส่ิงที่มีมานานก่อนรัชสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ มีรากฐานมาจากความเป็นจริงแห่งวิถีชีวิตของชุมชนไทยที่มีการประพฤติ ปฏิบัติ สืบทอดกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน ในปัจจุบันเร่ิมลดน้อยลง คนรุ่นใหม่ไม่รู้จัก เพราะไม่มีการสอนอย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือเป็นวิชาหลักในหลักสูตรสุขศึกษาและ พลศึกษา ครูรุ่นใหม่จะนากีฬาพิ้นเมืองไทยไปสอนแบบบบูรณาการกับการสอนกีฬาอื่น ๆ หรือเปิดเป็นวิชาเลือกเสรี หรือเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้นักเรียนได้เล่นเป็นคร้ังเป็น คราวไป เม่ือไม่ได้มีการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม จึงทาให้นักเรียนไม่ได้เล่น ไมร่ ูจ้ ัก และอาจทาให้สิง่ ดงี ามซ่ึงเปน็ วฒั นธรรมไทยนหี้ ายไป การเล่นกีฬาพื้นเมืองไทยเป็นผลดีทางด้านร่างกาย ให้คุณค่าส่งเสริมทางด้าน ร่างกายกับผู้เล่นครบถ้วน กล่าวคือได้รับคุณค่าเก่ียวกับความอ่อนตัว ความแม่นยา การ ทรงตัวที่ดี การประสานงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ความแข็งแรง พลังของ กล้ามเนื้อ ความเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไว และความอดทนของระบบหายใจ รูปแบบ การฝึกหรือการออกกาลังกายนั้นก็มีหลายรูปแบบโดยเฉพาะรูปแบบการฝึกแบบสถานี นับวา่ เหมาะสมกับเด็กวัยประถมศกึ ษา (ชชั ชัย โกมารทตั , 2549) กีฬาพ้ืนเมืองไทยเป็นกิจกรรมที่ทาให้เด็กสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย ความเครียดและทาให้เด็กเรียนรู้เร่ืองราวเก่ียวกับตนเองและสิ่งแวดล้อม ช่วยพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. ดา้ นรา่ งกายเปน็ การเสรมิ สร้างพัฒนากลา้ มเน้ือให้แขง็ แรง ผเู้ ล่นจะมีความ คลอ่ งแคลว่ ว่องไว ต่ืนตัวตลอดเวลา 2. ด้านทกั ษะ ทาใหไ้ ดเ้ คลื่อนไหวร่างกาย บางกจิ กรรมเคล่อื นไหวตลอดเวลา จาก ช้าไปเร็ว จากเบาไปหนัก พรอ้ มกบั ไดใ้ นเรือ่ งสมรรรถภาพางกายไปด้วย
129 3. ด้านอารมณ์ จิตใจ ทาให้เด็กรู้จกั การมีเหตุผล มีอารมณ์แจ่มใส รู้จักควบคุมอารมณ์ ของตนเอง 4. ด้านสังคม รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ รู้จักกติกาในสังคม รูจ้ ักแบง่ ปนั ทาใหเ้ กดิ สัมพันธภาพทด่ี กี บั บคุ คลอืน่ 5. ด้านสติปัญญา การเล่นทาให้เด็กมีโอกาสแสดงความคิดเห็น มีโอกาสแสดงออก และเรยี นรู้ทจ่ี ะใชค้ วามคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์สง่ เสรมิ ให้เกิดจิตนาการ ผ้สู อนได้เล็งเห็นถึงความสาคัญต่อการอนรุ ักษ์วัฒนธรรมความเป็นไทย และต้องการ ให้คงอยู่กับเด็กไทย จึงได้บรรจุเนื้อหาการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยลงเป็นส่วนหนึ่งในวิชา กิจกรรมการเคล่ือนไหวขั้นพ้ืนฐาน ของคณะครุศาตร์ จุฬาฯ เพื่อให้นิสิตระดับปริญญาตรีที่ สนใจมาลงเรียน ได้มีความรู้ ความเข้าใจ และมีเจตคติท่ีดีนาไปสู่การมีความตระหนัก เห็น คณุ ค่าของกีฬาพ้ืนเมืองไทย นาไปใช้ได้อย่างมั่นใจในการไปสอนนักเรียนตามโรงเรียนต่าง ๆ โดยมจี ุดมุ่งหมายใหเ้ ปน็ ส่วนหน่ึงของวิชาเรียนการเคล่อื นไหวขน้ั พ้นื ฐานในระดับช้ันอนุบาล และประถมศึกษา ในข้ันตอนการนาไปใช้(เล่นเกม) เป้าหมายเพ่ือให้นักเรียน มีความรู้ มี ความสุข สนุกที่ได้เรียนและปลูกฝงั ทศั นคติท่ดี ี และรกั ในการเลน่ กีฬาพื้นเมืองไทย ประเภทของกฬี าพ้ืนเมืองไทย ชัชชัย โกมารทัต (2549) ได้แบ่งประเภทของกีฬาพื้นไทย ตามลักษณะของ วัฒนธรรม ท้องถน่ิ แหลง่ กาเนดิ โดยแบ่งออกเปน็ ดังนี้ 1. กีฬาพื้นเมืองไทยภาคกลาง ส่วนใหญ่อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นจะเป็นอุปกรณ์ท่ีมี อยู่ในครัวเรือน เน้นวิถีชีวิตของชาวบ้านท่ัวไป เช่น กีฬาแข่งกระทะ ของคนสิงห์บุรีและ อ่างทอง ท่ีมีการเล่นมาจากการที่ชาวบ้านมักจะเอากระทะใหญ่มาล้างทาความสะอาดที่ริม แม่น้า หรือการเล่น “แย้ลงรู” ซ่ึงแย้จะเป็นสัตว์ที่มีมากในภาคกลาง เป็นต้น กีฬาภาคกลาง จะมเี ป็นจานวนมากกว่ากีฬาภาคอ่ืน ๆ เพราะคนจากภาคต่าง ๆ จะย้ายมาพานักที่ภาคกลาง และนาเอาการเล่นกีฬาภาคต่างๆ เข้ามาเล่นในภาคกลาง จึงเป็นการได้เปรียบ เพราเป็น แหล่งรบั การถา่ ยทอดวฒั นธรรม เกม และกฬี าพนื้ เมืองไทยมากกว่าภาคอน่ื ๆ อยตู่ ลอดเวลา 2. กีฬาพื้นเมืองไทยภาคเหนือ การเล่นจะมีลักษณะเป็นความรู้ในด้านความเช่ือ ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวเหนือ ภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อจะมีลักษณะเฉพาะ
130 เชน่ “มะกอนไซ” ทเี่ ป็นกีฬาพ้ืนเมืองเก่าแกข่ องจังหวัดลาปาง “ซัก”เป็นกีฬาพื้นเมอื งของ จังงหวัดแพรแ่ ละอตุ รดิตถ์ เป็นตน้ 3. กีฬาพื้นเมืองไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการเล่นที่แสดงให้เห็น วัฒนธรรมทางด้านภาษา การใช้ชีวิตที่ต้องมีความอดทน ยากลาบาก มีประเพณี ความ เช่ือที่หลากหลายรูปแบบ มีพิธีกรรม การเล่นท่ีมีความเก่ียวพันกับสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ กีฬาพื้นเมืองไทยบางชนิดอาจจะถือได้ว่าเป็นกีฬานาของกีฬาใหญ่หลาย ประเภท เช่น ตีคลี ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีการเล่นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นกีฬานาของกีฬาฮอกกี้ ที่มีการแข่งขันในกีฬาซเี กมส์ เอเชีย่ นเกมส์ และโอลิมปคิ ส่วน ภาษาจะมีสาเนียงผิดเพ้ียนไปจากภาษากลางอยู่บ้าง เชน่ ข่ีม้าหลังโปก เป็นภาษาอีสาน เรยี กว่า รอยถลอก กีฬาพื้นเมืองหลายชนิดจะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวติ ท่ียากลาบากของคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เช่น กฬี าแข่งเกวยี น โคเกวียน เปน็ ตน้ 4, กีฬาพ้ืนเมืองไทยภาคใต้ การเล่นจะมีลักษณะวิธีเล่นท่ีเลียนแบบธรรมชาติ สอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถ่ินภาคใต้ เช่น กีฬา “ขว้างลิง” เป็นการเลียนแบบ ลักษณะท่าทางการขว้างลิงซ่ึงมีจานวนมากทางภาคใต้ กีฬา“มวยทะเล” เล่นกันบริเวณ ชายทะเลเหตุเพราะภาคใต้มีทะเลขนาบสองด้าน หรือ การเล่น “แย่งมะพร้าวทาน้ามัน” เพราะภาคใต้เป็นภาคที่มีการปลูกมะพร้าวมากท่ีสุด เป็นต้น ซ่ึงเม่ือศึกษากันอย่างลึกซึ้ง จะพบคาท่ีมีความหมายเดียวกันแต่เขียนและสาเนียงแตกต่างกัน เช่น คาว่า “เกม” ภาคใตใ้ ชค้ าวา่ “เก”้ คาวา่ “ขวา้ ง” ภาคใต้ใช้คาว่า “ซดั ” สรุป ประเภทของกีฬาพ้ืนเมืองไทย จะแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1) กีฬาพ้ืน เมืองไทยภาคกลาง 2) กีฬาพื้นเมืองไทยภาคเหนือ 3) กีฬาพ้ืนเมืองไทยภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และ 4) กีฬาพ้ืนเมืองไทยภาคใต้ โดยชื่อกีฬาพื้นเมือง วิธีและ ขัน้ ตอนการเลน่ ให้เป็นไปตามวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การดารงชีวติ ความเชือ่ และ พธิ ีกรรมตา่ งๆ ของแตล่ ะภาค ประเภทของการละเล่นพนื้ บ้านไทย ผะอบ โปษะกฤษณะ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ศิวะพร สุคนธ์พงเผ่า (2522) ได้ แบง่ การละเลน่ พืน้ บา้ นไทยของภาคกลางออกเป็น 6 ประเภท
131 1 การละเล่นกลางแจ้งประเภทที่มีบทร้องประกอบและไม่มีบทร้องประกอบการละเล่น กลางแจ้งที่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ โพงพาง เสือไล่หมู่ อ้ายเข้อ้ายโขง ซ่อนหาหรือโป้งแปะ เอา เถิด มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร การเล่นที่มีคาโต้ตอบ เช่น งูกันหาง แม่นาคพระโขนง มะล็อกก๊อก แก็ก เขย่งเก็งกอย การละเล่นกลางแจ้งที่ไม่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ล้อต๊อก บ้อหุ้น ลูกดิ่ง ลูกข่าง เตยหรือตาล่อง ข้าวหลามตัด วัวกระทิง ลูกช่วง เสือข้ามห้วยเคี่ยว เสือข้ามห้วยหมู่ ต่ี จับ ตาเขย่ง ยิงหนังสะติ๊ก ปลาหมอ ตกกะทะ ตีลูกล้อ การเล่นว่าว กระโดดเชือกเดี่ยว กระโดด เชือกคู่ กระโดดเชือกหมู่ หลุมเมือง หรือทอดกะทะ ขี่ม้าส่งเมือง กาฟักไข่ ตีโป่ง ชักคะเย่อ สะบา้ เสอื กันวัว ขม่ี ้าก้านกลว้ ย กระดานกระดก วิง่ สามขา วงิ่ สวมกระสอบ ยิงเป็นกา้ นกล้วย 2. การละเล่นในร่มประเภทท่ีมีบทร้องประกอบและไม่มีบทร้องประกอบ การละเล่นในร่มที่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ขี้ตู่กลางนา ซักส้าว โยกเยก แมงมุม จับปูดา ขยาปูนา จีจ่อเจ๊ียบ เด็กเอ๋ยพาย จ้าจี้ การละเล่นในร่มที่ไม่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ดีด เม็ดมะขามลงหลุม อีขีดอีเขียน อีตัก เสือตกถัง เสือกันวัว หมากกินอิ่ม สีซอ หมากเก็บ หมากตะเกียบ ปั่นแปะ หัวก้อย กาทาย ทายใบสน ตีไก่ เป่ากบ ตีตบแผละ กัดปลา นาฬกิ าทางมะพร้าว กงจักร ตอ่ บา้ น พับกระดาษ ฝนรปู จงู นางเจ้าหอ้ ง 3. การละเลน่ เลียนแบบผูใ้ หญ่ ผะอบ โปษะกฤษณะ และ สมุ น อมรววิ ัฒน์ (2547). กลา่ วไว้ว่า การละเลน่ ของผใู้ หญใ่ น ชีวิตประจาวัน มักจะเกี่ยวกับการประกอบอาชีพซ่ึงส่วนมากเป็นอาชีพเกษตรกร โดยเฉพาะใน ภาคกลางจะเก่ียวข้องกับการทานาเป็นส่วนใหญ่ ในขณะท่ีทางานเคร่งเครียดก็มีการเล่นไปด้วย เพ่ือผ่อนคลายอารมณ์และเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้หยอกล้อสนิทสนม ฉะน้ันการเล่นใน ชีวิตประจาวันจึงจะใช้เพลงพื้นเมืองเข้ามามีส่วน ซ่ึงมีลักษณะการโต้ตอบกันเป็นเพลงใช้ ปฏิภาณในทางภาษา เนื้อหาจะเก่ยี วกบั สภาพของงานน้ัน ๆ แมผ้ ู้ใหญท่ ี่มีอายุเกนิ วยั หนุ่มสาวก็ เล่นสนุกสนานไปด้วย การละเล่นประเภทนี้จะนาเสนอเฉพาะภาคกลาง รูปแบบของการ ประพันธ์เป็นรูปกลอนหัวเดียว คือ ลงสัมผัสท้ายคากลอนเป็นเสียงเดียวและมีการร้องซ้าคา เพื่อเผ่ือให้มีเวลาคิดโต้ตอบ และเพื่อให้ผ้อู ื่นร่วมสนุกร้องเป็นลูกคู่ด้วย ทุกคนมสี ่วนรว่ มในการ เล่น ผู้ที่มีความสามารถในการละเล่นแบบน้ี ถ้าเป็นชายเรียกว่า พ่อเพลง ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า แมเ่ พลง แตน่ า่ เสียดายที่ในปจั จบุ ันนี้ วถิ กี ารดาเนนิ ชีวิตเปล่ียนไป การละเลน่ เหล่าน้ีจึง หมดไป แต่ถ้าจะอนุรักษ์ และส่งเสริมให้ถูกทางโดยสร้างความเข้าใจในคุณค่าอันเป็นเอกลักษณ์ของ
132 การละเล่นบางอย่าง เลือกสรรนาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสังคมนั้น ๆ ก็จะเปน็ ประโยชน์ในการ สรา้ งความเปน็ ไทยให้อยใู่ นจติ ใจของคนไทยตลอดไป 4. การละเล่นบทล้อเลียน เป็นการเล่นสะท้อนสังคม เกิดจากการที่เด็กสังเกต สภาพแวดล้อม แล้วทาเลียนแบบ โดยสมมติตนเองให้เป็นเช่นน้ัน การละเล่นบท ลอ้ เลยี น นอกจากบทเลน่ แลว้ ยังมีบทรอ้ งที่แสดงถงึ การลอ้ เลียนอีกดว้ ย 5. กระละเล่นประเภทเบ็ดเตล็ดการเล่นเบ็ดเตล็ด เป็นการเล่นแบบง่าย แต่ทาให้ รา่ งกายแขง็ แรง ทาใหเ้ กดิ ความสนุกสนาน มรี ะเบียบวินัย และทางานร่วมกับผู้อ่นื ได้ 6. การละเล่นปริศนาคาทายเป็นการละเล่นฝึกสมอง เป็นส่ิงจูงใจอยากให้คนคิดได้ แก้ปัญหาได้ และจุดมุ่งหมายสาคัญเป็นการเล่นเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในยามที่ว่างเว้นจาก งานประจา ส่วนใหญ่เป็นการเล่นของเด็กและวัยรุ่น การเล่นชนิดน้ีเป็นท่ีนิยมมากมีเล่นกัน ทุกภาค เพราะให้ท้ังความสนุกสนาน และความรู้เกี่ยวกับส่ิงต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน ฝึกให้ เด็กรู้จักสังเกตและรู้จักใช้ความคิดในด้านภาษาจะเห็นได้ว่า ปริศนาคาทายเหล่านี้ มักจะมี การเล่นคาและสัมผัสใช้คาง่าย ๆ สัน้ ๆ และคล้องจองกันท้ังยังสะท้อนความเป็นอยู่ ความเชื่อ และวฒั นธรรมของคนในสังคมน้นั ซึง่ จะแตกตา่ งกันตามสภาพของท้องถิน่ อีกดว้ ย สรุปประเภทของการละเล่นพ้ืนบ้านไทย จะแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ 1) การละเล่นกลางแจ้ง 2) การละเล่นในร่ม 3) การละเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ 4) การละเล่นบทล้อเลียน และ 5) การละเล่นประเภทเบ็ดเตล็ด และ 6)การละเล่น ปริศนาคาทาย โดยการละเล่นน้ัน เพ่ือความสนุกสนาน ความสามัคคี เพิ่ม ความสัมพันธ์ระหว่างหมู่คณะ ทั้งน้ีต้องมีรูปแบบการเล่นท่ีเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การดารงชวี ติ ของชมุ ชนในพ้ืนทีท่ อ้ งถ่นิ นัน้ ๆ ด้วย ตวั อยา่ งการละเล่นพ้นื เมอื งไทย / กีฬาพ้ืนเมอื งไทยทีเ่ หมาะสมกบั เด็กเล็ก ระดับอนุบาล 1. กาฟักไข่ (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น ก่อนจะเล่นต้องหาอะไรมาทาไข่กา เป็นต้นว่ากาบมะพร้าวประมาณ 10 กาบ สมมตใิ หเ้ ป็นไขแ่ ก้วเสีย 1 กาบ แลว้ ขีดวงกลมลงบนดนิ เปน็ เขตรงั กา
133 เอากาบมะพร้าวท้ังหมดต่างไข่วางกลางวงท่ีขีดน้ัน แล้วผู้ใดผู้หน่ึงสมัคร เป็นตัวกาก็ลงฟักไข่ ส่วนผู้เล่นจะกี่คนก็ตามไม่จากัดเป็นคนชิงไข่กา ผู้เป็นกาต้อง ระวังไข่ของตน เมื่อมีใครล่วงล้าเข้าไปในวงก็คอยเอามือไล่ปัดให้ถูกผู้เข้าวงน้ัน ถ้าปัดถูกผู้ท่ีเป็นกาก็ออกมาเป็นคนชิงไข่บ้าง ผู้ท่ีถูกปัดต้องเข้าไปเป็นแม่กาแทน ถา้ ชิงไขแ่ กว้ ไดล้ ูกเดยี วก็เท่ากบั ไดท้ ั้งหมด ถ้าไม่ได้ไข่แก้วต้องชิงไข่ธรรมดาจนหมด ถ้ากาปัดไม่ถูกใครจนถูกชิงไข่ไป หมด ผู้เลน่ ก็ปิดตาผู้เป็นกาแลว้ ให้ผ้ใู ดผ้หู นึ่งเอาไข่ไปซอ่ นไวท้ ี่ต่าง ๆ แล้วถามผเู้ ป็น กาว่าไข่นั้นอยู่ท่ีไหน ผู้เป็นกาต้องตอบตามใจของตน ถ้าทายไม่ถูกที่ซ่อนไข่ ผู้ซ่อน ไข่ต้องบอกไปว่าซ่อนไข่ไว้ก่ีท่ี เป็นต้นว่าซ่อนไว้ 3 ท่ี แล้วผู้ชิงไข่ก็ดึงใบหูผู้เป็นกา ไปยังท่ีซ่อนไข่ไว้จนครบ 3 ท่ี ผู้ท่ีดึงหูต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปอยู่ในวงของกาโดยเร็ว แล้วกเ็ ริม่ เลน่ กันใหมอ่ ยา่ งเดิม ประโยชน์ การเล่นชนิดน้ีนิยมเล่นในเทศกาลปีใหม่และวันสงกรานต์ เพื่อความ สนุกร่นื เริง และเปน็ การออกกาลังกายกลางแจง้ สมานสามัคคใี นหมคู่ ณะ กับฝึกให้ เป็นคนมีความวอ่ งไว 2. งูกินหาง (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น ผู้เล่นแบ่งเป็น 2 พวก คือ หญิงพวกหน่ึง ชายพวกหน่ึง ยืนเรียงกันเข้า แถว ชายอยู่หน้า หญิงอยู่หลัง หรือจะเล่นพวกเดียวก็ได้ เม่ือยืนเรียงกันแล้วต่าง จับเอวกันต่อ ๆ ไป คนหน่ึงหน้าสุดเป็นงู เมื่อจับกันแล้วคนหน้าก็ออกเดินวนไป เวียนมาระหวา่ งวนจะตอ้ งร้องว่า “กินหวั กินหางกินกลางตลอดตัว” แลว้ โอบเลยี้ วไปจับ คนท้าย คนท้ายจะต้องคอยหนีแต่จะปล่อยจากเอวคนหน้าไม่ได้ ถ้าหนีไม่ทันถูกจับได้ เป็นผตู้ ายแลว้ แตจ่ ะปรบั กนั อยา่ งไร คอื จะถูกรา หรอื ทาอะไรกไ็ ด้ แล้วแตส่ ญั ญากนั ประโยชน์ เพอ่ื หัดให้เป็นผมู้ ีไหวพริบดี ร้จู กั ทีหนีทไี ล่ 3. มอญซ่อนผ้า (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น ผู้ที่จะเล่นน่ังล้อมเป็นวงประมาณ 15 หรือ 20 คน ก็ได้ แล้วอีกคน หน่ึงถือผ้าฟันอย่างสายตะพด วิ่งรอบๆ วงท่ีคนนั่งถ้าพอใจจะเฆ่ียนผู้ใด ก็ใช้ผ้านั้น วางหรือโยนไว้ข้างหลังผู้ที่นั่งคนน้ัน แล้วออกว่ิงไปรอบวงจนมาถึงผ้าที่วางไว้จึง
134 หยิบผ้ามาเฆี่ยนผู้ถูกซอ่ น ผถู้ ูกซ่อนเห็นผ้าในเวลาผู้ซ่อนยงั ว่งิ มาไม่ถึงผ้าผู้ถกู ซ่อนมี สิทธ์ิช่วยเหลือนาตัวผู้นั้นให้ลงน่ังจนได้ผู้ถือผ้าก็ปฏิบัติในการมีผ้าเช่นที่แล้วมา ผ้ถู กู ซอ่ นก็ปฏิบตั ิดงั กลา่ วมาแล้ว การเลน่ ชนดิ นี้นิยมเลน่ ในเทศกาลสงกรานต์ ประโยชน์ ทาให้เกิดความร่าเริงในหมู่คณะ เป็นการออกกาลังให้ร่างกายแข็งแรง โดยวิธวี ิง่ เกดิ ไหวพรบิ โดยผู้ถกู ซ่อนผา้ ร้จู กั ระเบียบโดยวธิ กี ารนง่ั ระดบั ประถมศกึ ษาตอนตน้ 1. กระโดดเชือก (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น การเล่นกระโดดเชือกนี้เป็นกีฬาสืบเนื่องมาแต่ครั้งโบราณ นิยมเล่น เวลามีงานนักขัตฤกษ์ และเวลาว่างงาน หัดให้ผู้เล่นใช้กาลังแขน กาลังเท้าเป็นคน ตาไว คล่องแคล่ว พอเห็นเชือกแกว่งดีแล้ว ก็ให้คนหนึ่งวิ่งเข้าไประวังอย่าให้ติด เชือกท้ังสอง คอยกระโดดขึน้ เมอ่ื เชือกฟาดลงพื้นเพ่ือให้เชือกลอดไป ต้องหมายตา คอยดูให้ดี พอกระโดดข้ึนได้สักสิบครั้งก็วิ่งออกไปด้านหน่ึง แล้วคนที่สองจึงว่ิงเข้า ไปกระโดดบ้างให้ผู้เล่นวิ่งทยอยเข้าไปกระโดดจนครบ ผู้เล่นทุกคนจะต้องผลัดกัน แกว่งเชือกและต้องแกว่งให้ดี คือให้เชือกตกลงเฉียดพ้ืนพอดี และเวลาเชือกแกว่ง ขน้ึ ก็ให้ขา้ มศีรษะคนกระโดดไปได้ อยา่ ใหผ้ ู้เล่นไปฟาดถูกตัวเข้า ผทู้ ่ีเล่นตอ้ งฝึกหัด แกว่งเชือกให้เปน็ เสยี ก่อนทุกคน และใหผ้ ู้เลน่ ผลัดกนั แกวง่ ในเวลาเลน่ เพือ่ มิให้คน แกว่งประจาเมื่อยแขนเกินไป เม่ือกระโดดได้ชานาญแล้ว จึงเปล่ียนวิธีการเล่นให้ ยากขนึ้ ตามลาดับ ดังน้ี 1. ให้ผเู้ ล่นวิง่ เขา้ ไปทางเชือกท่ีแกวง่ ข้ึน 2. ให้ยืนเท้าเดียวเวลากระโดดจะเปล่ียนเท้าบ้านก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้ เท้าถึงพน้ื ดินพรอ้ มกันท้งั สองเท้า 3. แกว่งเชือกอย่าให้ตกพื้น กะดูให้สูงกว่าพ้ืนหน่ึงคืบ เพ่ือให้ผู้กระโดด กะ โดดสงู ข้ึน และกะโดดได้ยากเข้า 4. แกว่งเชือกตามธรรมดา และใหผ้ เู้ ล่นวงิ่ เขา้ ไปกะโดดพรอ้ ม ๆ กัน ราว 10 คน ประโยชน์ เป็นการออกกาลงั กายให้รา่ งกายแขง็ แรง ชว่ ยใหม้ ีความว่องไง
135 2. ชกั เยอ่ (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น จัดให้มีผู้เล่นทีมละ 10 คน ยืนเรียงแถวตอนหลังเส้นกั้นเขตแดน ประจาฝั่งของตน จัดเตรียมเชือกสาหรับการแข่งขันความยามอย่างน้อย 21 ม. โดยมีเส้นรอบวงเชือกไม่ต่ากว่า 10 ซม. แต่ไม่เกิน 25 ซม. ตรงกึ่งกลางของเชือก ทาสีแดงหรือทาเป็นสัญลักษณ์ท่ีเห็นชัดเจนเอาไว้ โดยบริเวณสนามท่ีตรงกับจุดสี แดงของเชือกจะตีเส้นเป็นสัญลักษณ์ของจุดเร่ิมต้น และจากจุดสีแดงนับไป ทางซ้าย 2.50 ม. ทางขวา 2.50 ม. และทาสีขาวหรือทาสัญลักษณ์ท่ีเห็นชัดเจน เอาไว้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาถึงจุดเร่ิมต้นของการแข่งขันจะเป็นผู้ชนะ ในส่วนของ ตาแหน่งท่ีผู้เลน่ ใช้มือจับเชือก จะต้องมีระยะหา่ งจากจุดสีขาวอย่างน้อย 1 ม. และ ต้องทาเคร่ืองหมายสีน้าเงินเป็นสัญลักษณ์บอกถึงบริเวณท่ีเร่ิมจับเชือกได้ แข่งขัน จนกาหนดระยะเวลาการแข่งขันในแต่ละคู่ 3 นาที ในกรณีที่แข่งขันเกินเวลาท่ี กาหนดแล้วไม่มีผลแพ้-ชนะ ให้พิจารณาจากจุดกึ่งกลางของเชือกว่ากินเข้าไปใน ฝ่ายใดฝ่ายน้ันเป็นผู้ชนะการแข่งขนั ประโยชน์ เป็นการออกกาลังกาย สรา้ งความสามัคคีในหมู่คณะ 3. ตี่จับ (กรมพลศกึ ษา, 2557) วิธีการเล่น กาหนดเขตสนามให้กว้างพอกับจานวนเด็กที่เล่นซึ่งจะวิ่งไปมาได้ โดยสะดวก เขตสนามนีจ้ ะเป็นรปู วงกลมหรอื ส่ีเหล่ียมก็ได้ ต้องใช้ปนู โรยเสน้ ใหเ้ ห็น เขตแดนชัด ๆ แลว้ แบง่ เด็กออกเป็น 2 รุน่ คือ ใหม้ ีรุ่นใหญ่เป็นผ้จู ับและรนุ่ เล็กเป็น ผตู้ ี แต่เด็กรุ่นใหญ่น้นั ต้องใช้เดก็ โต ๆ ซ่งึ มีอายุตัง้ แต่ 13-14 ขวบขน้ึ ไป ส่วนเด็กรุ่น เล็กต้องใช้เด็กเล็ก ๆ ซ่ึงมีอายุต่ากว่า 11 ขวบลงมา ผู้เล่นท้ัง 2 รุ่นนี้จะมีจานวน เท่ากนั หรือจะใหร้ ่นุ เล็กมากกว่ารนุ่ ใหญ่ 2-3 คนกไ็ ด้ เมื่อแบง่ พวกกันเสร็จแล้ว ก็ให้เด็กรุน่ เล็กคือพวกตีเข้าไปอยู่ในเขตสนามจน หมด ส่วนเด็กรุ่นใหญ่คือพวกจับ ต้องกระจายกันอยู่รอบสนามเมื่อได้อาณัติ สัญญาณพวกจับก็กรูกันเข้าไปในสนาม เพื่อพยายามจับหรือปลุกปล้าและดึกเอา พวกตีออกจากเขตสนามให้หมด ส่วนพวกตีเมื่อเห็นพวกจับกรูกันเข้ามาจะจับ ก็รวมหมู่กันพยายามใช้ฝ่ามือตีหรือปัดพวกจับเบาๆ ป้องกันตัวไว้อย่าให้ถูกจับ ออกไปได้โดยง่าย การเล่นเช่นน้ีพวกจับต้องกาวิธีล่อจับเอาพวกตีออกไปโดย
136 ละม่อม จะเข้าประหัสประหารจับเอาทีเดียวไม่ได้ เพราะตนจะถูกพวกตี ๆ เอา อย่างไมเ่ ลอื กท่ี ซ่ึงตนมหี นา้ ทจี่ ับจะตีโตป้ ระการใดไมไ่ ด้ การตัดสิน ถ้าพวกจับ ๆ พวกตีออกจากเขตได้หมด ก็นับเป็นพวกจับชนะ แต่ถ้าจบั ออกไมห่ มดหรือไม่ได้เลยตลอดเวลา ก็เป็นพวกตีชนะ ประโยชน์ ผู้เล่นออกกาลังกายทุกส่วน เกิดความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ มีความอดทน ไมโ่ กรธง่าย รูปแบบการจดั กีฬาพ้ืนเมอื งไทย/การละเล่นพ้ืนบา้ นในกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวข้ันพื้นฐาน สิง่ หนง่ึ ทผี่ สู้ อนจะต้องคานึงถงึ เม่ือจะจัดกฬี าพื้นเมืองไทยเพ่อื ใหน้ ักเรยี นไดพ้ ฒั นา ทักษะการเคลื่อนไหวข้ันพื้นฐานและนาไปสู่การสร้างรปู แบบการจดั กีฬาพน้ื เมืองไทย/ การละเล่นพนื้ บ้านในกิจกรรมการเคลอ่ื นไหวขน้ั พนื้ ฐานไปดว้ ย คือ 1. ผู้สอนจะต้องศึกษาพัฒนาการ ความต้องการ ของนักเรียน เช่น สอนเด็กเล็กก็ ตอ้ งศึกษาลักษณะความตอ้ งการของเด็กระดบั ชน้ั อนบุ าลถึงระดบั ชั้นประถมศกึ ษาตอนต้น 2. ผู้สอนจะต้องศึกษาลักษณะกิจกรรมพลศึกษา การเคล่ือนไหวขั้นพื้นฐาน ใหเ้ ข้าใจ ก่อนนาไปสกู่ ารวางแผนการจัดกจิ กรรมกีฬาพืน้ เมืองไทยใหก้ บั เดก็ 3. ผู้สอนจะต้องดาเนินการทดลองสอนและพัฒนาการสอนจนนาไปสู่รูปแบบการ สอนที่เปน็ ตน้ แบบให้กับผู้อ่ืนได้
รูปแบบการจัดกีฬาพืน้ เมืองไทย/การละเ ทักษะการเคล ลาดับ กฬี าพนื้ เมอื งไทย เดิน-วิ่ง /การละเลน่ พ้ืนบ้าน สไล ์ด กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคกลาง / 1 กระโดดเชือกเดี่ยว / 2 กระโดดเชอื กหมู่ 3 กาฟกั ไข่ / 4 ขว้างตะกรอ้ // 5 งูกนิ หาง / 6 ช้อนมะนาว / 7 ชิงเชลย
เลน่ พื้นบ้านในกจิ กรรมการเคลือ่ นไหวข้ันพ้นื ฐาน ลื่อนไหวทเี่ กย่ี วข้อง เหมาะสาหรับผู้เลน่ อนุบาล ประถมต้น ประถม ดึง-ดัน ุมด-ลอด-ข้ามส่ิง ีกดขวาง ปลาย ขว้าง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคลื่อนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ 137 // // // // / // // / // / // //
ทกั ษะการเคล ลาดบั กีฬาพืน้ เมอื งไทย เดิน-วิ่ง /การละเลน่ พ้นื บา้ น สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคกลาง 8 ซอ่ นหา / 9 ตังเตมอญ // 10 ตาเขยง่ // 11 ตจ่ี บั // 12 เตย // 13 ชักเยอ่ / 14 ปดิ ตาตหี ม้อ / ลาดบั กฬี าพ้นื เมืองไทย ทักษะการ
167 เหมาะสาหรบั ผู้เลน่ อนบุ าล ประถมตน้ ประถม ลอื่ นไหวทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ปลาย ึดง-ดัน มุด-ลอด-ข้ามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // / 138 // // / // / / // / // // / // รเคล่อื นไหวทีเ่ กย่ี วขอ้ ง เหมาะสาหรบั ผู้เล่น
/การละเลน่ พ้นื บ้าน เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคกลาง ปลาหมอตกกระทะ / / วิ่งสามขา / วิ่งเป้ยี วสวมกระสอบ / กระโดดยาง // โพงพาง / มอญซ่อนผา้ / แยง่ ของ / แย้ลงรู / ลาดับ กีฬาพน้ื เมอื งไทย ทกั ษะการ
168 อนุบาล ประถมตน้ ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด- ้ขามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // 139 // // / // / / // / / // / รเคล่ือนไหวทเี่ กยี่ วข้อง // / เหมาะสาหรับผ้เู ล่น
/การละเลน่ พ้นื บา้ น เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคกลาง ไอเ้ ขไ้ อ้โขง รรี ขี ้าวสาร ลงิ ชิงหลัก วิ่งเกบ็ ของ / วง่ิ วิบาก / เสือกินววั // เสือขา้ มหว้ ย // นา้ ขนึ้ น้าลง // ลาดับ กฬี าพน้ื เมืองไทย ทกั ษะการ
169 อนุบาล ประถมตน้ ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด- ้ขามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // / 140 // / // / / // / / รเคลื่อนไหวทีเ่ กยี่ วข้อง // // // เหมาะสาหรับผู้เลน่
/การละเลน่ พนื้ บ้าน เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคเหนือ / / กระต่ายขาเดียว / ทักษะการ กอ๊ บแกบ๊ (เดินกะลา) / ข่ีมา้ ชิงหมวก / ตีจ่ ับหรือจบั ควายออกวง ย่าเงา เรอื บก ลบั ลตี้ ีกระปอ๋ ง ลาดับ กฬี าพน้ื เมอื งไทย
170 อนุบาล ประถมต้น ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด- ้ขามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // 141 / // / / / / / / / / / รเคลื่อนไหวทีเ่ กย่ี วขอ้ ง / เหมาะสาหรบั ผเู้ ลน่
/การละเล่นพน้ื บา้ น เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคเหนอื ลิงชิงมะพรา้ ว / ลูกขา่ ง ภาคใต้ เก้วง / เกป้ ดิ ตา / ขวา้ งลงิ / คุลาตีผ้า / ซัดต้ม ลาดับ กีฬาพื้นเมอื งไทย ทกั ษะการ
171 อนบุ าล ประถมตน้ ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด- ้ขามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ / // 142 // / // // / / // / / // รเคลื่อนไหวทีเ่ กย่ี วขอ้ ง // เหมาะสาหรับผู้เลน่
/การละเลน่ พน้ื บ้าน เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคใต้ / / โยนพลอง / ลูกฉดุ / อ้ายโมง่ / ทกั ษะการ ตขี อบกระด้ง แย่งเมือง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตไี ก่ แมวกบั ปลายา่ ง ลาดับ กีฬาพ้นื เมอื งไทย
172 อนบุ าล ประถมตน้ ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด- ้ขามส่ิง ีกดขวาง ข ้วาง-ปา-โยน-ตี- ุ่ทม การเคล่ือนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // / 143 // // // / / / รเคล่อื นไหวที่เกย่ี วข้อง / // / เหมาะสาหรบั ผเู้ ล่น
/การละเลน่ พ้ืนบา้ น เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ / / หนอนเลขแปด ทักษะการ หมากดึง / กระเตงกระต้อย / ขม่ี า้ หลังโปก / ลงิ ชงิ หาง วา่ ว / งกู ินหาง / มา้ กา้ นกล้วย ลาดับ กีฬาพ้นื เมอื งไทย
173 อนบุ าล ประถมตน้ ประถม ปลาย ดึง-ดัน ุมด-ลอด-ข้ามสิ่งกีด ขวาง ขว้าง-ปา-โยน-ตี- ่ทุม การเคลื่อนไหวประกอบ ุอปกร ์ณ // 144 / / / / / / / รเคล่อื นไหวทเี่ กย่ี วข้อง / // / / // / // / เหมาะสาหรับผู้เลน่
/การละเลน่ พ้นื บา้ น เดิน-วิ่ง สไลด์ กระโดดขาเดียว-สองขา แขง่ เกวียน / ตคี ลี // วง่ิ สามขา / หมากเกบ็
/ ดงึ -ดนั 174 / มุด-ลอด-ขา้ มสิง่ กดี ขวาง อนบุ าล ประถมตน้ ประถม / ปลาย ขวา้ ง-ปา-โยน-ตี-ทุ่ม การเคล่อื นไหวประกอบ อปุ กรณ์ / / // // 145
146 งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้องกบั ทักษะการเคล่ือนไหวขนั้ พนื้ ฐานในกีฬาพน้ื เมืองไทย เดชนริศ หาญโรจนกุล (2553) ทาการวิจัยเร่ือง ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษา โดยใช้เกมการละเล่นพ้ืนบ้านไทยท่ีมีต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะของเด็ก อนุบาล มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่น พ้ืนบ้านไทยท่ีมีต่อสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะของเด็กอนุบาล ระหว่างกลุ่ม ทดลองที่ได้รับการจัดกจิ กรรมพลศกึ ษาโดยใช้เกมการละเล่นพืน้ บา้ นไทย กบั กลมุ่ ควบคุมท่ี ได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษาตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายและหญิงระดับชั้น อนุบาลปีที่ 3 จานวน 56 คน จาก 2 ห้องเรียน ซึ่งได้จากการที่ผู้วิจัยทาการสุ่มแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จานวน 28 คน และกลุ่มควบคุม จานวน 28 คน โดยมีค่าเฉล่ียของ คะแนนการทดสอบสมรรถภาพทางกายทีส่ มั พันธ์กบั ทักษะไม่แตกตา่ งกัน ใช้ระยะเวลาการ จัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ คาบละ 45 นาที ทาการทดสอบสมรรถภาพทาง กายท่ีสัมพันธ์กับทักษะ ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 4 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 8 สัปดาห์ แล้วนาผลท่ีได้มาวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ โดยการหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ทดสอบค่า “ที” (t-test) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวชนิดวัดซ้า (One way analysis of variance with repeated measures) เมื่อพบความแตกต่างจึงใช้การ ทดสอบความแตกต่างเปน็ รายคู่ด้วยวธิ ขี องแอล เอส ดี (LSD) โดยทดสอบความมนี ยั สาคัญ ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. หลังการทดลอง 4 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพ้ืนบ้านไทยมีการพัฒนา สมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะ ดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้ เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยมีการพัฒนาสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะ ดีกว่ากลุ่ม ควบคุมทีไ่ ด้รบั การจดั กิจกรรมพลศกึ ษาตามปกติ อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 ปนิษฐา เรืองปัญญาวุฒิ (2556) ทาการวิจัยเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้วิชา พลศกึ ษาโดยใชเ้ กมการละเล่นพื้นบา้ นไทยที่มีต่อสุขสมรรถนะของนักเรยี นประถมศึกษา มี วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของ การจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่น
14774 พ้นื บ้านไทยที่มีตอ่ สุขสมรรถนะของนักเรยี นประถมศึกษา ระหว่างกล่มุ ทดลองท่ีได้รับการ จัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพ้ืนบ้านไทย กับกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการ จดั การเรียนรู้พลศึกษาตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายและหญิงชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 47 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาจาก ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง กลุ่มทดลอง จานวน 23 คน กลุ่มควบคุม จานวน 24 คน ดาเนินการ ทดลองเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 คาบ คาบละ 60 นาที และทาการ เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบ สมรรถภาพทางกายเพื่อ สุขภาพโดยทดสอบค่าที (t-test) ก่อนเร่ิมทาการทดลอง กลุ่มทดลองได้รับการจัดการ เรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทย และกลุ่มควบคุมได้รับการจัดการ เรียนรู้วิชาพลศึกษาตามปกติ ทาการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพก่อนการ ทดลองและหลงั การทดลอง 8 สปั ดาห์ โดยทดสอบความมีนยั สาคญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกม การละเล่นพ้ืนบ้านไทย กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามปกติ สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ ด้านองค์ประกอบของร่างกาย ไม่แตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ ด้านความอ่อนตัว ด้านความทนทานของกล้ามเนื้อ ด้านความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อ ด้านความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ (เมื่อเปรียบเทียบ ระหวา่ งกลมุ่ ทดลองกบั กลุม่ ควบคุม) แตกต่างกันอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ.05 จักรี อย่าเสียสตั ย์ (2556) ทาการวจิ ัยเรื่อง ผลของการจัดโปรแกรมส่งเสริมสขุ ภาพ โดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยเพ่ือลดพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนประถมศึกษา มี วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาผลของการจัดโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพโดยใช้เกมการละเล่น พนื้ บ้านไทยเพื่อลดพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มตวั อย่างเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนพญาไท จานวน 50 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ นักเรียนกลุ่ม ทดลองทดลอง จานวน 25 คน ได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพโดยใช้เกมการละเล่น พ้ืนบ้านไทยเพื่อลดพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง และนักเรียนกลุ่มควบคุม จานวน 25 คนท่ีไม่ได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพ เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพโดยใช้เกมการละเล่น พน้ื บ้านไทยเพื่อลดพฤติกรรมก้าวรา้ ว มีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.84 และแบบวัด
114785 พฤติกรรมก้าวร้าว มีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.99 มีค่าความเท่ียง เท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลการ วิเคราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถิตทิ ดสอบคา่ ทีที่ระดบั นัยสาคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า1) ค่าเฉล่ียของคะแนนพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนกลุ่ม ทดลองหลังได้รับการจัดโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพลดลงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนกลุ่ม ทดลองหลังได้รับการจัดโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพลดลงกว่าของนักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริม สุขภาพโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยสามารถลดพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียน ประถมศึกษาได้ กติ ติพงษ์ ตรวุ รรณ์ (2558) ทาการวิจัยเรื่อง ผลของการจดั การเรียนรู้วชิ าพลศึกษา โดยใช้เกมการละเล่นพ้ืนบ้านไทยเพ่ือส่งเสริมสมรรถภาพทางกายที่จาเป็นต่อการป้องกัน อุบัติเหตุจากการหกล้มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาตอนต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผล ข อ ง ก า รจั ด ก าร เรี ย น รู้ วิ ช า พ ล ศึ ก ษ า โด ย ใช้ เก ม ก า ร ล ะ เล่ น พื้ น บ้ า น ไท ย เ พ่ื อ ส่ ง เส ริ ม สมรรถภาพทางกายท่ีจาเป็นต่อการป้องกันอุบัติเหตุจากการหกล้มของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาตอนต้น ระหว่างกลุ่มทดลองท่ีได้รับการจัดการเรียนรวู้ ิชาพลศึกษาโดยใชเ้ กม การละเล่นพื้นบ้านไทย และกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายและนักเรียนหญิงระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 45 คน จาก 1 ห้องเรียน ซึ่งได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ซ่ึงกาหนดการเข้ากลุ่ม โดยใช้เกณฑ์ในการจับคู่ (Matching) ระหว่างกลุ่ม ตัวอย่าง โดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะไม่แตกต่างกัน แบง่ เปน็ กลุม่ ทดลอง จานวน 23 คน และกลุม่ ควบคุม จานวน 22 คน ใช้ระยะเวลาการจัด กิจกรรม 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 คาบ คาบละ 50 นาที ทาการทดสอบสมรรถภาพทาง กายก่อนการทดลองในสัปดาห์แรก และหลังการทดลอง 8 สัปดาห์ แล้วนาผลท่ีได้มา วิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ โดยการหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t- test) โดยทดสอบความมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05
117469 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกม การละเล่นพ้ืนบ้านไทย กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามปกติ ด้านความอ่อนตัว ด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ด้านการทรงตัว (เม่ือเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม) ผลปรากฏว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ.05 กล่าวโดยสรุป จากการศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องกับทักษะการเคล่ือนไหว ข้ันพื้นฐานในกีฬาพ้ืนเมืองไทย พบว่า การนากีฬาพ้ืนเมืองไทยเข้ามาใช้ในการจัดการ เรียนการสอนวิชาพลศึกษา นอกจากจะส่งผลต่อพัฒนาการในการเคล่ือนไหว ข้ันพื้นฐานแล้วยังส่งผลต่อสมรรถภาพทางกายของนักเรียนที่สูงกว่าการจัดการเรียน การสอนวิชาพลศึกษาตามปกติ ท้ังด้านความอ่อนตัว ด้านความทนทานของกล้ามเน้ือ ดา้ นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ด้านความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ และดา้ นการทรงตัว นอกจากน้ียังลดพฤติกรรมความก้าวร้าวของนกั เรียนอกี ด้วย
115707 บทสรุป ทักษะการเคลื่อนไหวข้ันพ้ืนฐานเป็นทักษะเบื้องต้นท่ีนาไปสู่การทากิจกรรม พลศกึ ษา เกมหรอื กฬี าตา่ ง ๆ รวมถงึ กีฬาพื้นเมืองไทยและการละเล่นไทย ซึ่งหากผู้สอนจะ จัดการเรียนการสอนเน้นแต่ทักษะอย่างเดียวก็อาจจะทาให้นักเรียนไม่มีความสุขและเกิด ความเบื่อหน่ายได้ อันนามาซึ่งอุปสรรคในการพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหวเด็ก การจัด กิจกรรม กีฬ าพ้ื นเมืองไทยหรือการละเล่นไท ยเข้าไปอยู่ใน การเรียนการสอนพ ลศึกษ า ในเรื่องกิจกรรมการเคล่ือนไหวข้ันพื้นฐาน จะทาให้นักเรียนมีความสนใจตามวัย เพราะ กิจกรรมกีฬาพื้นเมอื งไทยหรือการละเล่นไทยจะไม่มีจัดให้เล่นท่ัวไป หาพื้นท่ีเล่นหรือหาดู ได้ยาก อีกท้ังเมื่อนักเรียนได้เล่นแล้วนอกจากเกิดความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติที่ดีแล้วยัง ไดพ้ ฒั นาทกั ษะการเคล่อื นไหวขั้นพ้ืนฐานโดยไมร่ ู้ตวั อกี ดว้ ย ทัง้ นีพ้ อจะสรุป การเคล่ือนไหวแบบอยูก่ บั ที่ ทรงตัว-ยืด-เหยยี ด-กม้ -เงย- แกวง่ –เหวยี่ ง การเคล่อื นไหวแบบเคล่อื นที่ กีฬาพ้ืนเมอื งไทย /การละเลน่ แบบไทย วิง่ -กระโดด-ดงึ -ดนั -ลอด- ขา้ ม-เดินทรงตัว ทศั นคตดิ ี การเคลอื่ นไหวประกอบ เดก็ มคี วามสขุ อปุ กรณ์ ขว้าง-ปา-เตะ-ตี
117581 คาถามทา้ ยบท จงเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ 1 คาบ (60 นาที) เรื่อง “กฬี าพืน้ เมืองไทย” มา 1 ชนดิ กีฬา แผนการจดั การเรยี นรู้รายคาบ สาขา / กล่มุ สาระ............................................................................ สาระวชิ าพลศึกษา หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่........................................................... กจิ กรรม.................................................... เร่อื ง...................................................................................สัปดาหท์ .ี่ .............. ชัว่ โมงที่....................... ช้ันเรยี น...........................................................................ภาค........ช่วงที่......... ปกี ารศกึ ษา.............. ผสู้ อน.................................................................................จานวนคาบ................คาบ (...............นาที) สถานท่ีสอน ...............................วนั ทีส่ อน...(ห้องเรียน)..น. วันท.ี่ ............................. เวลา ...........................น. _________________________________________________________________________ ........................................................................................................................................................ ....... ................................................................................................................... ............................................ ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................ ...................................................................
117592 ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. .............................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................................................................... ............ ...................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. .................................. .............................................................................................................................................................. . ......................................................................................................................... ...................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................... ................................ .................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................. .................................. .................................................................................................................................. ............................. ..................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. .................................. .......................................................................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. ..................................
118503 รายการอ้างอิง กรมพลศึกษา. (2557). การละเลน่ พื้นบา้ นไทย. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์เอส.ออฟเซท็ กราฟฟิคดไี ซน์. กิตติพงษ์ ตรุวรรณ์. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกม การละเล่นพ้ืนบ้านไทยเพ่ือส่งเสริมสมรรถภาพทางกายที่จาเป็นต่อการป้องกัน อุบัติเหตุจากการหกล้มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวชิ าสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควิชาหลักสูตร และการสอน คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . จักรี อย่าเสียสัตย์. (2556). ผลของการจัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพโดยใช้เกม การละเล่นพ้ืนบ้านไทยเพ่ือลดพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนประถมศึกษา . วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ชัชชยั โกมารทตั . (2549). กฬี าพื้นเมอื งไทยภาคกลาง : ศึกษา และวเิ คราะห์ความ เปน็ มา วิธีเล่น และคณุ ค่า. กรงุ เทพฯ : สถาพรบุ๊คส์. ชชั ชยั โกมารทัต. (2549). กฬี าพ้ืนเมอื งไทยภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ : ศกึ ษา และ วิเคราะหค์ วามเป็นมา วิธเี ลน่ และคุณค่า. กรงุ เทพฯ : สถาพรบุ๊คส์. ชชั ชยั โกมารทัต. (2549). กฬี าพน้ื เมอื งไทยภาคใต้ : ศกึ ษา และวิเคราะหค์ วามเป็นมา วิธเี ล่น และคุณคา่ . กรุงเทพฯ : สถาพรบคุ๊ ส์. ชัชชยั โกมารทตั . (2549). กฬี าพ้นื เมอื งไทยภาคเหนอื : ศกึ ษา และวเิ คราะหค์ วาม เปน็ มา วธิ เี ล่น และคณุ ค่า. กรุงเทพฯ : สถาพรบุค๊ ส์. เดชนรศิ หาญโรจนกุล. (2553). ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเลน่ พืน้ บ้านไทยท่ีมตี ่อสมรรถภาพทางกายทส่ี มั พันธก์ บั ทกั ษะของเด็กอนุบาล. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าสุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ภาควิชา หลักสตู รการสอนและเทคโนโลยกี ารศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
118514 ปนษิ ฐา เรืองปญั ญาวุฒ.ิ (2556). ผลของการจดั การเรียนรู้วชิ าพลศกึ ษาโดยใชเ้ กม การละเล่นพื้นบ้านไทยท่ีมีต่อสุขสมรรถนะของนักเรียนป ระถมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ผะอบ โปษะกฤษณะ. (2522). การละเล่นของเด็กภาคกลาง / คณะผู้วิจัย, ผะอบ โปษะกฤษณะ, ฐะปะนีย์ นาครทรรพ, ศิวะพร สุคนธพงเผ่า. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพรเ่ อกลกั ษณ์ของไทยฯ กระทรวงศกึ ษาธิการ. ผะอบ โปษะกฤษณะ และ สมุ น อมรวิวัฒน์. (2547). การละเล่นของไทย. สารานกุ รมไทย สาหรับเยาวชน เลม่ ที่ 13. สบื ค้นเมื่อ 6 มกราคม 2561, จาก: http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=13&chap= 7&page=chap7.htm
155 บทที่ 7 บทสรปุ การจัดกจิ กรรมการเคลือ่ นไหวสาหรับเด็กเล็ก การบรู ณาการแนวคดิ การเคล่อื นไหวจากทกั ษะการเคลอื่ นไหวนนั้ ทาให้นักเรียน สามารถมีประสบการณ์การเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย เทคนิคการสอนของครทู ่ีมีประสิทธิภาพ สาหรบั ระดบั นักเรียนประถมศกึ ษานั้นกค็ ือ ครผู สู้ อนสามารถท่ีจะส่งผา่ นการเรียนรู้จาก แนวคดิ แบบเก่าเพ่มิ เขา้ ไปในแนวคดิ อันใหมท่ ี่จะสอนได้ การพยายามสร้างแนวสอนที่สร้างสรรค์เพื่อให้นักเรียนมีความสนใจในบทเรียนน้ัน จะทาให้นักเรียนมีความผูกพันกับบทเรียนท่ีจะเรียน เช่น อุตสาหกรรมเกมท่ีสามารถ ออกแบบเกมใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคมีความสนใจในขณะท่ีผู้บริโภคยังมีประสาทสัมผัสมือและ ตาท่เี ทา่ เดมิ เป็นตน้ ส่ิงทที่ ้าทายสาหรับทกั ษะการเคลือ่ นไหวคือนกั เรยี นมีความม่นั ใจในตนเองในการ ควบคมุ ทักษะการเคล่ือนไหวของตนเองนั่นเอง ในการสอนทกั ษะการเคลอื่ นไหวจะต้อง ประกอบไปดว้ ย 10 หลักการในการพฒั นาที่เหมาะสมดังนี้ 1. สงั เกตการเคลอื่ นไหวไปทลี ะขน้ั ตอนเพื่อสามารถบง่ ชี้ไดว้ ่าการเคล่อื นไหว ข้นั ตอนใดที่ตอ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ข 2. วิเคราะหก์ ลไกการเคลื่อนไหวของแต่ละทกั ษะการเคลือ่ นไหวของนักเรียน เชน่ การกระโดดและการลงสู่พ้ืนวา่ นา้ หนักลงพนื้ ดว้ ยเท้าท้ัง 2 ขา้ งหรอื ไม่ สะโพกเข่าและขอ้ ขางอหรอื ไม่ศีรษะตามองตรงหรอื ไม่ สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายยดื หรือไม่ เปน็ ต้น 3. เขียนรายการอภิปรายและนามาบูรณาการกับทักษะการเคลื่อนไหวตาม เหตุการณ์ของนักเรียนที่ต้องปรับปรุงตามลาดับ เช่น การว่ิง การกระโดดลงพื้น การรับ การขวา้ ง ต้องอาศัยการบรู ณาการรวมกนั 4. ต้องจาไว้เสมอว่า ความพยายามในการเรียนทักษะการเคลื่อนไหวจะแตกต่าง จากการเรียนรู้ทักษะการเคล่ือนไหวที่เก่ียวข้องกับความสามารถรายบุคคลภายใต้เง่ือนไข ของแตล่ ะบคุ คลที่หลากหลาย 5. เสริมแรงใหน้ ักเรยี นต้งั ใจฟังและมีสตใิ นการเคล่อื นไหว ควรหยดุ การคุย การ กรดี ร้องหรอื ตะโกน เหลือแค่การสื่อสารเรือ่ งเทคนิควิธกี ารเพ่ือการเคล่ือนไหวเท่าน้ัน
156 6. พยายามหลีกเลยี่ งการใช้กาลังบงั คบั ในการสอนทักษะการเคล่ือนไหว และ พยายามเปดิ โอกาสการเรียนรู้ให้เปน็ อิสระแต่ปลอดภัย 7. ใหน้ กั เรียนไดเ้ หน็ ตัวอย่างการแสดงทกั ษะในระดับมอื อาชีพเพื่อสรา้ ง จินตนาการกอ่ นทีจ่ ะไดล้ งมอื ทาการเคลอ่ื นไหวดว้ ยตนเอง 8. พยายามส่งเสริมให้นักเรียนร่วมกันฝึกเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็กโดยจัดกลุ่มให้มี นักเรียนท่ีมีระดับการเคล่ือนไหวดีเป็นหัวหน้ากลุ่มเพ่ือเสริมการร่วมมือทางสังคมให้กับ นักเรียนและเพมิ่ โอกาสใหน้ กั เรียนรูส้ ึกตน่ื เตน้ เมือ่ ทักษะของตนเองมกี ารพัฒนา 9. การแข่งขันกับตัวเอง (self- competition) ควรมีการจัดการแข่งขันกับตัวเอง ในชั้นเรียนโดยเฉพาะอย่างย่งิ กับผู้เรยี นวยั เริ่มแรกแต่อาจจะไม่เหมาะสมกับเด็กบางบคุ คล ที่ต้องการพื้นท่ีสว่ นตวั หรือเวลาส่วนตัวเพิม่ เติม ผู้สอนจงึ ควรหาระดบั วธิ ีการทเี่ หมาะสม 10. ควรออกแบบให้นักเรียนท่ีมีประสบการณ์มากประสบความสาเร็จในระดับสูง แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนท่ีอยู่ในระดับความสามารถหรือประสบการณ์น้อยจะไม่ สามารถประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย ทุก ๆ ครั้งควรจัดระดับให้สมเหตุสมผลตาม เป้าหมายและความสามารถของนกั เรยี นท่ีควรจะเปน็ การเคลอ่ื นไหวแบบเคล่ือนท่ี มีหลกั การสอนนกั เรยี นอยู่ 11 ข้อด้วยกัน 1. การเน้นความสมดุลของร่างกายหลังจากการเคล่อื นไหว สาหรับการกระโดดเด็ก ควรจะลงพ้ืนด้วยเท้าไม่ใช่ส่วนอื่นของร่างกายโดยเฉพาะอย่างย่ิงร ะดับประถมศึกษ า นักเรียนหลายคน คิดว่าเป็นเร่ืองตลกท่ีวิ่งและกระโดดจะต้องลงพ้ืนด้วยปลายเท้าหรือ ฝ่าเท้า นักเรยี นควรจะต้องทราบว่าการเคล่ือนไหวท่ีมปี ระสิทธภิ าพจะต้องลงพ้ืนด้วยปลาย เท้าหรอื ฝ่าเท้าเทา่ น้นั 2. ครูไม่ควรใช้การลงโทษนักเรียนด้วยการว่ิงหรือการเดิน นักเรียนไม่ควรได้รับ การลงโทษผ่านการออกกาลงั กาย 3. ให้นักเรยี นกระโดดเหยาะ ๆ ไปด้านหน้าแทนที่จะกระโดดขึน้ ดา้ นบนเพราะการ กระโดดไปดา้ นหน้าทาไดง้ า่ ยกวา่ และตา้ นแรงดงึ ดดู ของโลกนอ้ ยกว่า 4. การฝึกหัดที่ไดเ้ คล่ือนไหวท้งั ขาและแขนในเวลาเดียวกนั เช่น การกระโดด การ เดาะลูกบอล การวงิ่ สไลด์
157 5. ในการสอนการกระโดดใหเ้ รม่ิ ต้นด้วยการกระโดดสองเท้าและการลงดว้ ยสอง เทา้ เพื่อใหก้ ารออกตัวและการลงสู่พื้นน้นั มคี วามแมน่ ยามากขึน้ 6. มีทกั ษะที่นักเรียนตอ้ งทาให้ได้กอ่ นการทาการเคลื่อนไหวแบบเคล่อื นที่ เช่น เด็ก ตอ้ งสามารถทรงตวั บนเทา้ ขา้ งเดยี วให้ไดก้ ่อนท่จี ะกระโดดเหยาะดว้ ยขาข้างเดียว 7. ออกแบบบทเรียนเพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดความเหน่ือยล้ามากเกินไปเช่นทั้งบทเรียน ใหน้ กั เรียนกระโดดอย่างเดยี วจะทาใหน้ กั เรียนเกดิ ความเหนอ่ื ยล้าจากขาท้ังสองข้าง 8. ให้นักเรียนในห้องเรียนฝึกวิ่งเหยาะ ๆ ทักษะเหล่าน้ีสามารถทาให้นักเรียนมีความ กระตือรอื รน้ และนักเรียนสามารถทางานกับคูข่ องนกั เรียนทีม่ คี วามคลา้ ยกนั ได้ 9. ใหค้ วามชว่ ยเหลือเด็กเพ่อื ใหเ้ ดก็ เป็นนกั วง่ิ ที่ดขี น้ึ ด้วยการเคล่อื นไหวท่ี หลากหลาย ไม่ใช่เพียงวิ่งตามล่วู ง่ิ เพยี งอย่างเดียว แต่สามารถจดั กจิ กรรมไดห้ ลากหลาย มากขนึ้ การฝกึ วิ่งสไลด์ตัวไปทางด้านหน้า ดา้ นหลงั ด้านข้าง กส็ ามารถทาไดเ้ ช่นกนั 10. เม่ือเด็กมีความพร้อมแล้วให้ฝึกร่างกายทั้งสองด้านสาหรับการกระโจน การ ก้าวกระโดดและการว่ิงควบม้า 11. เสรมิ แรงให้นักเรยี นไดฝ้ ึกการเปลี่ยนแปลงดา้ นความเร็ว ระยะทาง การเปลี่ยน ระดับให้สูงขึ้น การยืดตัว เพื่อพัฒนาการวิ่งไล่ การหนี การหลบ และการลวงคู่ต่อสู้ นกั เรยี นควรฝึกการหมนุ การเลี้ยวเพือ่ หลบวัตถุหรือหลบคู่ตอ่ สู้ ควรเตือนนักเรียนอยู่เสมอ ว่าหากศรี ษะนาตัวจะตามไป การเคล่ือนไหวประกอบอุปกรณ์มี 11 กลวิธี ท่ีมีประโยชน์ท่ีสามารถออกแบบเพื่อให้นักเรียนได้ ประสบการณท์ ่ีจะช่วยเสรมิ ใหม้ ีทักษะทางด้านการขว้าง การเตะ การตี หรือการควา้ ลูกได้ดีขนึ้ 1. ผู้ทตี่ ้องฝึกการขวา้ งลูกขั้นแรกให้ใช้อุปกรณ์ท่ีมีสีสันสดใสเบาและนิ่มสาหรับเด็ก เล็ก จากนั้นจึงให้อุปกรณ์ที่มีขนาดท่ีแตกต่างกัน รูปร่างที่แตกต่างกัน วัตถุท่ีมีขนาดเล็ก ควรใช้สาหรับขว้างดีที่สุด ส่วนวัตถุท่ีมีขนาดใหญ่ควรใช้สาหรับการคว้ามากท่ีสุด ลูกบอล เป็นอุปกรณ์ที่ดีท่ีสุดในการฝึกคว้าหรือจับ แรงลมจะสามารถทาให้ลูกบอลเปล่ียนทางได้ การควา้ หรือจบั บอลต้องใชส้ มาธิการมงุ่ ไปหาบอลและการวางมอื ในตาแหนง่ ที่เหมาะสม
158 2. การกาหนดพ้ืนท่ีบนกาแพงสาหรับการฝึกขว้าง การฝึกรับ การฝึกเตะ การฝึกตีใส่ กาแพงเป็นคู่ฝึกท่ีดีท่ีสุด ห่วงฮูลาฮูปสามารถวางต้ังไว้บนกาแพงเป็นเป้าหมายของการฝึก เคลอ่ื นไหวประกอบอุปกรณ์ 3. ให้นักเรียนสาธิตการเคล่ือนไหวประกอบอุปกรณ์โดยปราศจากอุปกรณ์ก่อน ทกั ษะการเคลื่อนไหวท่ีฝึกซ้าไปมาจะช่วยทาให้การเรียนรู้ในการขว้าง การรับ การตี การตี ลูกล่าง การเตะขึ้นผู้สอนควรจาไว้ว่าข้ันตอนการพัฒนาท่ีต่อเน่ืองนั้นสาคัญกว่าผลลัพธ์ ทิ ศ ท าง ที่ วั ต ถุ น้ั น เดิ น ท าง เป็ น กุ ญ แ จ ส าคั ญ ท่ี จ ะ ท าให้ เด็ ก มี ก าร เค ล่ื อ น ไห ว ท่ี ตื่ น ตั ว ตัวอย่างเช่น ให้นักเรียนโชว์มือที่จะจับลูกบอลท่ีอยู่ในระดับสูงที่สุดหรือให้นักเรียน พยายามหมุนหรือเหว่ียงวตั ถโุ ดยทีข่ าอยกู่ ับท่ี เป็นต้น 4. พยายามใหน้ กั เรียนมถี งุ ถ่วั หรอื ลูกบอลเป็นของตวั เองจานวนนอ้ ยที่สุดคือ นกั เรียน 2 คนตอ่ ลูกบอล 1 ลูก 5. การรับวัตถุจากผู้อ่ืนเป็นข้ันตอนที่ทาได้ง่ายมากกว่าการโยนแล้วรับด้วยตนเอง ควรพยายามจัดกลุ่มให้ผู้ขว้างที่มีทักษะดีอยู่กับผู้รับท่ียังต้องพัฒนาทักษะ จาไว้เสมอว่า การฝึกไม่ได้มุ่งเน้นการส่งผ่านแต่เป็นการเรียนผ่านกิจกรรมท่ีมีผู้เรียนท่ีหลากหลายและ อุปกรณ์ท่ีหลากหลายโดยใช้รูปแบบตีลูกมือบน (Overhand) เช่น การตีเหนือศีรษะ ลูก เซฟ ลูกโด่ง การตีจากข้างล่างข้ึนบน(Under hand) เชน่ การตีลกู งดั การตีจากข้างล่างข้ึน บน (sidearm) 6. เสริมแรงความเป็นอิสระการเคล่ือนไหวแบบเหว่ียงตัวสาหรับกิจกรรมท่ีต้องใช้ การเหว่ียงตัว การเคล่ือนไหวประเภทนี้ต้องอาศัยความเข้าใจของเด็กด้านแนวคิดของการ เคล่ือนไหวอยา่ งง่าย (easy flow) 7. ให้นักเรียนฝึกทักษะเหล่าน้ีด้วยมือข้างที่ถนัดแล้วให้ฝึกด้วยมือข้างท่ีไม่ถนัดต่อ จนคล่องข้นึ เช่น การขว้าง การเลี้ยง การเตะ การตี การรบั 8. ใหห้ าวธิ ีที่เหมาะสมทจี่ ะช่วยใหเ้ ดก็ ได้ยดื กล้ามเนื้อแขนและขา 9. ขวดพลาสติกลูกบอลท่ีแบนลมไดง้ ่ายเป็นวสั ดทุ ี่ดีในการเรยี นรู้การเตะ และ สามารถฝกึ ได้ในเวลาท่ีเหมาะสมหลายเวลา
159 10. การเลี้ยงลูกบอลดว้ ยเทา้ ใหน้ กั เรียนฝกึ การก้าวข้ามพร้อมกบั การเลี้ยงลกู บอล ด้วยเท้า สองขา้ งเพอื่ ท่ีจะฝึกการวิง่ และการเลี้ยงลกู ให้ดขี ้ึน บทสรุปของเด็กทมี่ ีทักษะการ เคลื่อนไหวท่ถี กู ต้องสามารถชว่ ยเหลือเพื่อนใหเ้ รียนรู้ได้ดี 11. การเลี้ยงลูกด้วยมอื นักเรียนควรฝึกการเล้ยี งหนักเบาท่ีหลากหลายและเลี้ยงลูก ผ่านกรวยหรืออุปกรณข์ วางกัน้ ต่าง ๆ เพือ่ เพม่ิ ความยากให้กับเดก็ ให้เหมาะสมกบั ระดบั ประถมศกึ ษาทักษะนีจ้ ะชว่ ยใหเ้ ด็กแตล่ ะบคุ คลสามารถพฒั นากอ่ นท่จี ะไปบูรณาการกับ ทกั ษะอื่น ๆ กจิ กรรมการเคล่ือนไหวข้ันพ้ืนฐาน เป็นกิจกรรมที่เหมาะสาหรับมนษุ ย์ต้ังแตว่ ัยเด็ก เพ่ือให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านร่างกาย 2) ด้านอารมณ์ จิตใจ 3) สังคม 4) สตปิ ญั ญา ทกั ษะการเคล่ือนไหวขั้นพื้นฐาน คือ การที่ตาแหน่งของร่างกายมีการเปล่ียนแปลง ต่อเนื่องกนั อันไดแ้ ก่ ระบบกล้ามเนือ้ และระบบประสาท ทกั ษะการเคลือ่ นไหวขน้ั พ้ืนฐานสาหรบั เดก็ เล็ก จะแบง่ เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การเคลอื่ นไหวแบบอยกู่ บั ที่ ได้แก่ การยดื เหยยี ด การบิด การเหวย่ี ง การเอยี ง ฯลฯ 2. การเคลื่อนไหวแบบเคลอ่ื นท่ี ไดแ้ ก่ การเดิน วิ่ง กระโดด เดินบนคานตา่ งระดับ ฯลฯ 3. การเคลื่อนไหวประกอบอปุ กรณ์ ได้แก่ การทุม่ กาขว้าง การปา ฯลฯ โดยการฝึกทักษะท้ัง 3 จะเน้นในเร่ืองของการทางานของอวัยวะให้มีความสัมพันธ์กัน ระหวา่ งระบบประสาทและกล้ามเนอ้ื ก่อนการจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ผู้สอนควรศึกษาพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย โดยใน วิชากิจกรรมการเคลื่อนไหวนี้จะแบ่งเด็กออกเป็น 1) วัยอนุบาล 2) วัยประถมศึกษา หลังจาก นั้นครูผู้สอนจะออกแบบการจัดการเรียนรู้สาหรับเด็ก โดยให้เขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพ่ือ กาหนดวัตถุปรสงค์ และเปา้ หมายในการพัฒนาเด็ก นาไปสู่การปฏบิ ัติ ในชั่วโมงเรียน สาหรับการจัดการเรียนการสอนให้กับนิสิต ในปีการศึกษา 2561 ได้มีการเน้นใน เร่ืองของ 1) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 2) ทกั ษะการสอน 9 ทักษะ เพ่ือให้นิสิตได้เห็น แนวทางการนาเทคนิคการสอนไปใช้กับนักเรียนได้อย่างหลากหลาย ผู้สอนต้องมีการ
160 เตรียมตัว ผู้เรียนต้องมีความกระตือรือร้นจึงจะทาให้แนวทางการจัดการเรียนการสอน ดังกลา่ วประสบความสาเร็จได้ เนาวนิตย์ สงคราม. (2555) ได้กล่าวถึง การเรียนรู้เชิงรุก ว่าเป็นกระบวนการ เรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ใน การนี้ครูจะลดบทบาทในการสอนและการให้ความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่ม กระบวนการและกจิ กรรมทีจ่ ะทาให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะทากิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น และอย่างหลากหลายไมว่ ่าจะเป็นการแลกเปล่ียนประสบการณ์โดยการพูด การ เขียน หรือการอภิปรายกับเพ่ือน ลักษณะของการเรียนรู้เชิงรุกจาเป็นต้องมีการจัดการ เรียนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ส่วนร่วมในการเรียนรู้ โดยผู้สอนต้อง จัดเตรียมสภาพแวดล้อมและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ และคอยเป็นคนจุดประเด็น ปัญหา ผู้แนะนาส่ิงต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน รูปแบบของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกนั้น จะเน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และจะมีการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลายให้เหมาะกับทั้งรายวิชาที่ ต้องการสอนและพื้นฐานทางตัวบุคคลของผู้เรียนโดยวิธีการที่นามานั้นจะเน้นความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เน้นปัญหา เน้นทักษะกระบวนการ หรือเป็นการบูรณาการ ซึ่งจะมีวิธีการต่าง ๆ หลายรูปแบบท่ีครูผู้สอนสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การวางแผนด้วยตนเอง และการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่พบเจอ ด้วยตนเอง สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกวิธี ผู้เรียนมีส่วนร่วมเพ่ือให้เกิด การเรียนรู้ได้ในกลวิธีต่าง ๆ ตามความเหมาะสม โดยผู้เรียนจะสร้างความเข้าใจและ ค้นคว้าหาความหมายของเนื้อหาสาระโดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีการแยกแยะ ความร้ใู หม่ท่ไี ดร้ บั กบั ความรเู้ ก่าทีม่ ี สามารถประเมนิ ต่อเติมและสรา้ งแนวคิดของตนเองซ่ึง เรียกว่า “มีการเรยี นรู้เกิดข้ึน” ผู้เรยี นที่เข้าใจในแนวทางการเรียนรู้เชิงรุกจะเป็นผู้เรียน ท่ีกระตือรือร้นและมีทักษะที่สามารถเลือกรับข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้ อย่างมีระบบตอ่ ไป วารีรัตน์ แก้วอุไร. (2549).ได้กล่าวถึง ทักษะการสอนข้ันพ้ืนฐาน 9 ทักษะ ว่าเป็น ทักษะทแี่ สดงให้เหน็ ถึงความชานาญของการสอนหรอื พฤตกิ รรมการสอนต่าง ๆ ของผสู้ อน
161 ในขณะที่ปฏิบัติงาน เป็นผู้ท่ีสามารถดาเนินการสอนได้อย่างคล่องแคล่ว ราบรื่น และ เรียบร้อย ส่งผลให้ผู้เรียนนั้นเกิดความเข้าใจในบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงพอจะ สรปุ ทกั ษะต่าง ๆ ไดด้ งั นี้ 1. ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียน ถือเป็นกิจกรรมเพ่ือการเตรียมความพร้อมให้แก่ ผู้เรียน การท่ีผู้เรียนจะมีความสนใจมากน้อยเพียงใดจะขึ้นอยู่กับทักษะการนาเข้าสู่ บทเรียนของผู้สอนอีกด้วย การนาเข้าสู่บทเรียนสามารถทาได้หลายวิธี เช่น การตั้งคาถาม การใช้เกม เป็นต้น ทุกวิธีล้วนส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน จึง เป็นการสรา้ งบรรยากาศทีด่ ใี ห้เกิดภายในชั้นเรยี นได้ 2. ทักษะการอธิบาย เป็นทักษะที่มีความหมายและมีความสาคัญสาหรับผู้สอน เพราะเป็นทักษะที่จะสามารถทาให้ผู้เรียนน้ันไขข้อข้องใจจากข้อสงสัยท่ีเกิดจากการเรียน ทาให้ผู้เรยี นเกิดความเข้าใจและความชัดเจนมากยงิ่ ขน้ึ การอธิบายท่ีดีจึงไมค่ วรนานเกินไป ควรใช้ภาษาที่ส้ัน กระชับ เข้าใจง่าย และท่ีสาคัญต้องครอบคลุมใจความสาคัญได้อย่าง ครบถว้ น และจาเปน็ ต้องมกี ารสรุปประเด็นในการอธบิ ายดว้ ย 3. ทักษะการใช้คาถาม คือ ความสามารถในการใช้คาถามเพื่อกระตุ้นความสนใจ ของผู้เรียน เพ่ือช่วยสง่ เสริมให้ผู้เรยี นเกิดกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล และช่วยให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน และสามารถใช้คาถามวัดความเข้าใจของผู้เรียน และวัดผลการสอนของผู้สอนวา่ บรรลุไปตามจุดมงุ่ หมายมากนอ้ ยเพยี งใด 4. ทักษะการเสริมกาลังใจ คือ วิธีการที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความกล้า แสดงออกที่จะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ภายในช้ันเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ ม่ันใจอยากที่ตอบคาถาม กระตุ้นความอยากเรียนให้กับผู้เรียนโดยตรง แต่ผู้สอนควรจะ เลือกวิธีการเสริมกาลังใจให้เหมาะแก่ตัวบุคคล เช่น คาชมเชย การให้รางวัล แต่การเสริม กาลงั ใจน้ันก็ไม่ควรท่ีจะนามาใช้บ่อยเพราะจะสง่ ผลเสยี มากกว่าผลดีได้ 5. ทักษะการสรุปบทเรียน คือ กระบวนการในการรวบรวมเน้ือหาใจความสาคญั ที่ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจมากย่ิงขึ้น ผู้สอนนั้นต้องมีความสามารถอย่างมาก หลัก ของการสรุปบทเรียนน้ันผู้สอนจะต้องสรุปเน้ือหาให้มีความถูกต้องและครอบคลุมใจความ สาคญั เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนได้รบั เน้ือหาท่ถี ูกต้องและสมบรู ณ์มากทส่ี ดุ
162 6. ทักษะการเร้าความสนใจ คือ วิธีการตา่ ง ๆ ทผ่ี สู้ อนใชใ้ นการเรียนการสอนเพ่ือ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมีความต้ังใจและมีความกระตือรือร้นท่ีอยากจะเรียน การ ใช้เทคนิคหรือกลวิธีต่าง ๆ ของทักษะการเร้าความสนใจจะทาให้ผู้เรียนเกิดความ สนกุ สนาน และเกดิ การเรียนร้ตู ลอดเวลาในขณะทเ่ี รยี น 7. ทักษะการใช้กระดานดา หรือกระดานชอล์ก คือ ผู้สอนสามารถใช้กระดานดา เพื่อประกอบการเรียนการสอน ประกอบการบรรยาย อธิบาย การสรุปและการทบทวน บทเรียน และให้นักเรียนทุกคนแสดงความรู้หรือทักษะโดยการใช้กระดานดาเป็นสื่อในการ แสดงออกของนกั เรยี น และผู้สอนสามารถนากระดานดามาใชเ้ พ่อื เสรมิ การใชอ้ ปุ กรณอ์ นื่ ๆ ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนภายในชั้นเรียน 8. ทักษะการกระตุ้นให้คิด คือ การฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะความสามารถทาง ความคิดทดี่ ีขนึ้ ให้ผูเ้ รยี นได้รู้จกั ทักษะของความคิดในรูปแบบตา่ งๆ ยกตัวอย่างเชน่ ทกั ษะ การคิดรวบยอด การคิดค้นหาคาตอบ การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น แต่ทุกรูปแบบ การสอนเพอ่ื พัฒนาความคดิ ของผเู้ รียนนน้ั มีจุดมุ่งหมายทีช่ ัดเจนเหมือนกนั คอื เพื่อพัฒนา ผ้เู รียนใหเ้ กิดความรใู้ นทุกๆ ดา้ นท่ผี ูเ้ รียนสนใจ 9. ทักษะการใช้ส่ือการสอน คือ เทคนิคต่าง ๆ ท่ีผู้สอนใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนอยู่ในรูปของ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการต่างๆ ท่ีจะทาให้การจัด กจิ กรรมการเรียนการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพมากย่งิ ขึน้ หากผู้สอนนาเทคนิคการเรียนรู้เชิงรุกและทักษะการสอน 9 ทักษะมาใช้ในการสอน นิสิตอย่างครบถ้วน นิสิตจะมีทักษะกระบวนการเรียนการสอนที่พัฒนาข้ึนมากกว่าการสอน เน้ือหาท่ีไม่ได้ใส่วิธีการหรือเทคนิคใด ๆ ลงไปในการสอน ซึ่งผลจากวิธีการดังกล่าวจะทาให้ นิสิตมีแนวทางและความคิดสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวสาหรับนักเรียนเพื่อ นาไปสู่การพัฒนาร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา รวมถึงพฤติกรรม และ บุคลกิ ภาพของนกั เรียนเองในอนาคตต่อไป
163 รายการอ้างอิง ภาษาไทย เนาวนิตย์ สงคราม. (2555). การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานดว้ ย การเรียนรู้เชงิ รุกเพ่อื การสร้างองคค์ วามรแู้ ละความสามารถในการแก้ปัญหาเชิง สร้างสรรค์สาหรับนิสิตนักศึกษาครุศาสตรบัณฑิตในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ. รายงานผลการวจิ ยั เงินอุดหนุนงบประมาณแผ่นดิน. วารรี ตั น์ แกว้ อไุ ร. (2549). ทกั ษะการสอนเบือ้ งตน้ . สืบคน้ เมื่อ 7 มกราคม 2561,จาก http://www.oocities.org/ ya_bah/instruction.pdf [21 ธนั วาคม 2560]
164 ภาคผนวก
165 ใบงานตรวจสอบความรู้ ชอ่ื ...................................................................................... เร่ือง กิจกรรมการเคลือ่ นไหวขั้นพน้ื ฐาน นามสกุล............................................................................. Movement Skill for Preschool Child เลขประจาตวั นสิ ิต.............................................................. รายวิชา2723319 วิชากจิ กรรมการเคลื่อนไวสาหรบั เดก็ เล็ก วันทเ่ี รยี น............................................................................ รูปแบบการเคล่อื นไหว กิจกรรม Walk 1. กา้ วเทา้ สลับ ซา้ ย – ขวา 2. เดนิ ลงด้วยฝ่าเท้า 3. หลงั ตรง ตามองข้างหน้า Run 1. วิ่งก้าวเท้าสลบั ซา้ ย – ขวา 2. ว่งิ ลงด้วยปลายเทา้ 3. เอนตัว แขนงอ แกวง่ ขนานกบั ลาตวั Hop 1. กา้ ว – กระโดดเขย่ง 2. เขย่งตัวขึน้ ดว้ ยปลายเท้า ตอนกระโดด 3. แขนแกวง่ สงู ขนานลาตัว Jump 1. กระโดด – กระโดด (กระโดด เท้าคู่ หรอื เท้าเดย่ี ว) 2. แกว่งแขน เพ่ือชว่ ยในการเคลอ่ื นท่ไี ปข้างหนา้ Locomotor Skills Leap 1. ก้าวกระโจนยาว ๆ ลอยตัวนาน 2. ไปทลี ะคร้งั หรือก้าวต่อเนอ่ื งสลบั เท้า ซา้ ย – ขวา Skip 1. กา้ ว – กระโดดเขยง่ ไม่ยกเขา่ 2. แขนงอ แกวง่ ขนานลาตวั Slide 1. ก้าว - ชดิ – ก้าว (ทางซา้ ย), ก้าว - ชดิ – ก้าว (ทางขวา) 2. เคลือ่ นท่ดี ว้ ยปลายเท้าแรก แล้วลากเท้าหลงั มาชิด Gallop 1. ก้าวเทา้ หนา้ นาด้วยเข่า(งอเข่าหน้า) – ก้าวเทา้ หลังชดิ ตามอยา่ งรวดเร็ว 2. ทาสลับกัน เทา้ ซา้ ยนา–ขวาตาม หรอื เทา้ ขวานา–ซ้ายตาม กิจกรรมการเคลือ่ นไหวขนั้ พนื้ ฐาน/ผศ.ณัฐพร สดุ ดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217