รายงานการวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นารปู แบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิด การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ร่วมกับวีดิทัศนต์ น้ แบบเพ่อื สง่ เสรมิ ทักษะการสอน และความตระหนกั ในการสอนกีฬาพน้ื เมอื งไทยสาหรับนสิ ิตครู โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐพร สุดดี สนบั สนนุ โดย เงินทนุ เพ่ือการวิจยั กองทนุ คณะครศุ าสตร์ ปงี บประมาณ 2561 คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั พ.ศ. 2561
ค ชื่อโครงการวจิ ยั การพฒั นารปู แบบการจัดการเรียนการสอนพลศกึ ษาตามแนวคิดการเรียนร้เู ชิงรกุ ร่วมกับ วีดทิ ัศนต์ ้นแบบเพ่ือสง่ เสรมิ ทักษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพืน้ เมืองไทย สาหรบั นิสติ ครู ชื่อผู้วจิ ัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณฐั พร สุดดี ปที ท่ี างานวิจยั 2561 บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและสร้างรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษา ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอน กีฬาพื้นเมืองไทย 2) เพื่อศึกษาผลและนาเสนอการใช้รปู แบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรยี นรู้ เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย สาหรบั นิสิตครู กล่มุ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวจิ ัยคอื นิสิตคณะครุศาสตร์ทล่ี งเรยี นรายวิชา 2723319 วชิ ากิจกรรม การเคล่ือนไหวสาหรับเด็กเล็กของสาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จานวน 60 คน โดยสุ่มแบบจับสลากเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกล่มุ ละ 30 คน เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวิจัย มี 6 ชุดคือ 1) วีดิทัศน์ต้นแบบ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบประเมินทักษะการสอน 4) แบบวัดความ ตระหนัก 5) แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนในการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกบั วีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือสง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพน้ื เมืองไทยสาหรับนิสิต ครู 6) แบบสอบถามความคิดเห็นผู้เรียนท่ีมีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการ เรียนรู้เชิงรกุ รว่ มกบั วดี ิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย สาหรับนิสิตครู วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ค่าสถิติพ้ืนฐาน และการทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยสถิติ t-test โดยใช้โปรแกรม SPSS ผลการวิจยั สรุปได้ดงั นี้ (1) องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครู มีท้ังหมด 5 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบท่ี 1) ความรู้พื้นฐาน องค์ประกอบที่ 2) บทบาทผู้สอนและบทบาทนิสิตครู องค์ประกอบที่ 3) วิธีการจัดกิจกรรม องค์ประกอบที่ 4) วีดิทัศน์ต้นแบบ และองค์ประกอบที่ 5) การ ประเมนิ ผล (2) รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพื่อสง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกฬี าพื้นเมอื งไทยสาหรับนิสติ ครู มที ้ังหมด 7 ขั้นตอน ดังนี้ ข้ันตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม ขั้นตอนท่ี 2 กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ข้ันตอนท่ี 3 กิจกรรมการเคลื่อนไหวเชิงรุก ข้ันตอนที่ 4 การสอนแบบจุลภาค ขั้นตอนที่ 5 การชมวีดิทัศน์ต้นแบบ ข้ันตอน ที่ 6 การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ระหวา่ งผ้เู รียน และขัน้ ตอนที่ 7 การเผยแพรก่ ระบวนการส่สู าธารณะ (3) ผเู้ รียนท่เี รียนด้วยการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ มีทักษะการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับนิสิตครูหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิตทิ ร่ี ะดับ .05 (4) ผู้เรียนทเ่ี รียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบมีความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยแตกต่างจากผู้เรียนท่ีเรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .05
ง The Research Project Title : The Development of Physical Education Instructional Model Based on Active Learning with Video Model to Promote Teaching Skill and Personal Awareness of Teaching Thai Traditional Sport for Student Teachers. Name of the Researcher : Asst. Prof. Nuttaporn Suddee Year : 2018 Abstract The purposes of this research were (1) to study the teaching elements and creating a teaching model of Physical Education based on proactive learning with video model in order to promote teaching skill and personal awareness of Thai traditional sports. (2) to study the results and the presentation of teaching models based on proactive learning with video model in order to promote teaching skill and personal awareness of Thai traditional sports for student teachers. The research samples consisted of 60 students from the Faculty of Education, Chulalongkorn University, who enrolled in subject 2723319, Child Movement Activity of Health and Physical Education Curriculum. The researcher randomly draw 30 samples each in to a testing group and a controlled group. The research instruments were 6 tools 1) Video Modelling, 2) Lesson Plan, 3) Teaching Evaluation Form, 4) Awareness Form, 5) Learners Observation Form, and 6) Questionnaire for the learners. The data were analyzed by descriptive statistic and t-test using SPSS program. The finding of this search were as follows: (1) There were 5 teaching elements of Physical Education based on proactive learning with video model in order to promote teaching skill and personal awareness of Thai traditional sports for student teachers, which were 1) the basic knowledge, 2) instructor’s role and student teachers’ role, 3) activity method, 4) video clip, and 5) the evaluation. (2) There were 7 steps of teaching formats of Physical Education based on proactive learning with video model in order to promote teaching skill and personal awareness of Thai traditional sports for student teachers, which are 1) the preparation, 2) teaching procedure, 3) proactive activity on movement, 4) micro-teaching Method, 5) watching media prototype, 6) exchange knowledge among learners, and 7) broadcasting to the public. (3) The learners who have learned Physical Education based on proactive learning with video model in order to promote teaching skill and personal awareness of Thai traditional sports statistically have higher teaching Thai traditional sport skill than before at .05 level. (4) The learners who have learned Physical Education based on proactive learning with video model have become more aware in teaching Thai traditional sports than those who learn with normal method by .05 level.
จ กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาจากท่านรองศาสตราจารย์ ดร.เนาวนิตย์ สงคราม อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ผู้ถ่ายทอดความรู้ในเร่ืองเทคโนยีท่ีใช้ประกอบ ในการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาสาหรับนิสิต และองค์ความรู้ ประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดทาวิจัย รวมทั้งหม่ันสอบถาม ติดตามความคืบหน้า ให้คาแนะนา ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในหลายอย่างแบบพ่ีสอนน้อง ทาให้ผู้วิจัยรู้สึกซาบซ้ึงถึงความปรารถนาดี ผวู้ จิ ัยจงึ ใครข่ อกราบขอบพระคณุ ท่านอาจารย์เป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ที่จัดให้มีการอบรมเร่ืองการทาวิจัยสาหรับคณาจารย์โรงเรียน ขอบคุณอ.ทรัพย์สิดี เที่ยงพูนวงศ์ ผศ.พิมพ์พร อสัมภินพงศ์ อ.พิรุนเทพ เพชรบุรี และพ่ีๆ เพ่ือนๆ น้องๆ หลายท่าน ในโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ที่กรุณาช่วยเหลือ ให้คาแนะนา ให้คาปรึกษา ให้กาลังใจ ทาให้ผู้วิจัยมีกาลังใจที่จะทาวิจัยเพ่ือพัฒนาตนเอง และพัฒนาการเรียน การสอนนิสิต ในการนผ้ี ้วู ิจยั ขอขอบคณุ มา ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ผู้เช่ียวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิท่ีให้คาแนะนาในการ จัดทาเครื่องมือและตรวจสอบงานวิจัยทาให้มีคุณภาพ ถูกต้อง และมีคุณค่ามากขึ้น ขอขอบคุณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่ีเรียนวิชาการเคลื่อนไหวขั้น พืน้ ฐาน ปีการศกึ ษา 2560 อย่างมากที่ใหค้ วามรว่ มมือและชว่ ยเหลือในการเกบ็ ขอ้ มลู วิจัยในครั้งนี้ ขอขอบคุณ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสนับสนุนทุนวิจัย ทาให้ ผู้วิจัยได้มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานวิจัย และสร้างองค์ความรู้ใหม่ท่ีเป็นประโยชน์แก่การพัฒนา การเรยี นการสอน และวงการการศกึ ษาไทยตอ่ ไป ท้ายสุดน้ีขอกราบขอบพระคุณและราลึกถึงพระคุณของพ่อ พระคุณของแม่ ท่ีแม้จะไม่ได้ อยู่กับลูกแล้ว แต่เม่ือระลึกถึงท่านเม่ือใด จะมีกาลังใจและมีเรี่ยวแรงท่ีจะทางานและมี ความพยายามสรรค์สร้างงานใหเ้ กดิ และทาให้ดที ่สี ดุ ตลอดมาและจะตลอดไป
สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย....................................................................................................................................... ค บทคัดย่อภาษาองั กฤษ.................................................................................................................................. ง กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................................................ จ สารบัญ......................................................................................................................................................... ฉ บทท่ี 1 บทนา.................................................................................................................... ........................... 1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา.................................................................................................. 1 คาถามงานวิจยั ........................................................................................................................................ 3 วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั ............................................................................................................................... 3 สมมตุ ิฐานทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ........................................................................................................................ 3 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................................................... 3 คาจากดั ความทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย.................................................................................................................. 4 ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั ...................................................................................................................... 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง......................................................................................................... 6 ตอนที่ 1 ทักษะการสอน.......................................................................................................................... 7 ตอนที่ 2 วีดิทศั น์ตน้ แบบ......................................................................................................................... 21 ตอนที่ 3 การเรยี นร้เู ชงิ รุก....................................................................................................................... 31 ตอนที่ 4 ความตระหนัก........................................................................................................................... 43 ตอนท่ี 5 กีฬาพนื้ เมืองไทย การละเลน่ ไทย หรอื การละเล่นพน้ื บา้ นไทย.............................................. 47 ตอนที่ 6 งานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง................................................................................................................... 54 ตอนท่ี 7 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………………………………………………………….. 59 บทท่ี 3 วธิ กี ารดาเนินการวิจยั ........................................................................................................................ 61 ประชากรและตวั อยา่ ง............................................................................................................................. 61 เครอื่ งมอื ท่ีเกบ็ รวบรวมข้อมลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู ............................................................................. 61 ขนั้ ตอนการจัดเก็บขอ้ มลู และการทดลอง................................................................................................ 65 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล....................................................................................................................... 71 ตอนท่ี 1 ผลการศกึ ษาองคป์ ระกอบและสร้างรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรียนรู้ เชิงรกุ ร่วมกบั วีดทิ ศั น์ตน้ แบบเพ่ือสง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬา พ้นื เมืองไทย............................................................................................................................... 71
ช หนา้ ตอนที่ 2 ผลการศึกษาผลการใช้รปู แบบการเรียนการสอนพลศกึ ษาตามแนวคดิ การเรียนรู้เชิงรุกรว่ มกับ วดี ทิ ัศนต์ น้ แบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยสาหรับ นสิ ติ ครู…………………………………………………………………………………………………………………………….. 73 ตอนที่ 3 ผลการนาเสนอการใช้รูปแบบการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรยี นรู้เชิงรุกร่วมกบั วีดทิ ัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพนื้ เมืองไทยสาหรับ นิสติ ครู......................................................................................................................................................... 85 บทที่ 5 สรปุ ผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................. 90 สรปุ ผลการวิจัย......................................................................................................................................... 92 อภปิ รายผล............................................................................................................................................... 98 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................................................. 105 บรรณานุกรม.................................................................................................................................................. 106 ภาคผนวก ก รายนามผ้เู ชี่ยวชาญ................................................................................................................... 113 ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรยี นรู้รปู แบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรยี นรู้เชงิ รุก รว่ มกับวดี ิทศั นต์ น้ แบบเพอ่ื สง่ เสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกฬี าพืน้ เมืองไทย สาหรบั นสิ ิตครู.......................................................................................................................... 115 ภาคผนวก ค แบบประเมนิ ทักษะการสอนในการจัดการเรยี นการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชงิ รกุ รว่ มกับวดี ทิ ัศน์ตน้ แบบ เพือ่ ส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬา พ้ืนเมืองไทยสาหรบั นิสิตคร.ู ..................................................................................................... 126 ภาคผนวก ง แบบวดั ความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยของนิสิตครู................................................ 130 ภาคผนวก จ แบบสังเกตพฤติกรรมนสิ ติ ครูในการจดั การเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรียนรู้ เชิงรกุ ร่วมกบั วดี ทิ ศั น์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬา พื้นเมืองไทยสาหรับนสิ ิตครู ................................................................................................... 133 ภาคผนวก ฉ แบบสอบถามความคิดเหน็ นสิ ติ ครใู นการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การ 137 เรียนร้เู ชิงรกุ รว่ มกับวดี ิทศั นต์ น้ แบบเพือ่ ส่งเสริมทกั ษะการสอนและความตระหนักในการสอน กีฬาพืน้ เมืองไทยสาหรบั นิสติ ครู ............................................................................................ ภาคผนวก ช แบบรับรองรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนพลศกึ ษาตามแนวคิดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ รว่ มกบั วดี ิทศั น์ ต้นแบบเพือ่ สง่ เสรมิ ทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกฬี าพ้ืนเมืองไทยสาหรับนิสิตคร.ู .. 140 ภาคผนวก ซ ตวั อย่างวดี ิทศั น์ต้นแบบ ........................................................................................................... 147 ประวัติผู้เขียนวิจยั ........................................................................................................................................... 162
ซ สารบัญตาราง หนา้ 21 ตาราง 41 45 2.1 การสงั เคราะหท์ ักษะการสอนขัน้ พ้นื ฐาน.................................................................................................... 62 2.2 การสังเคราะห์องค์ประกอบการเรียนรู้เชงิ รุก.............................................................................................. 63 2.3 การสงั เคราะหป์ จั จยั ทมี่ ีผลต่อความตระหนัก………………………………………………………………………………….. 63 3.1 เกณฑ์การประเมนิ ทกั ษะการสอน............................................................................................................... 67 3.2 เกณฑก์ ารวัดความตระหนกั ........................................................................................................................ 3.3 เกณฑก์ ารประเมินพฤติกรรมนสิ ิตคร.ู ......................................................................................................... 73 3.4 ขัน้ ตอนการดาเนินการทดลอง.................................................................................................................... 4.1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการสอนก่อนเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่ม 74 ควบคมุ ........................................................................................................................................................ 75 4.2 ค่าเฉล่ยี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการสอนหลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่ม 76 ควบคมุ ........................................................................................................................................................ 78 4.3 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบนยั สาคัญของคะแนนทักษะการสอนกอ่ นและหลังการ ทดลองของกลุม่ ทดลอง.............................................................................................................................. 79 81 4.4 ค่าเฉลี่ย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบนยั สาคัญของคะแนนความตระหนกั กอ่ นเรียนของกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุม.............................................................................................................................. 83 4.5 ค่าเฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและการทดสอบนัยสาคญั ของคะแนนความตระหนักหลังเรยี นของกลุ่ม 85 ทดลองและกล่มุ ควบคุม.............................................................................................................................. 102 4.6 คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบนัยสาคัญของคะแนนความตระหนักกอ่ นและหลังเรยี น ของกลุ่มทดลอง.......................................................................................................................................... 4.7 ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนพฤติกรรมผูเ้ รยี น............................................................ 4.8 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความคิดเห็นของนิสิตครูท่ีได้เรียนด้วยรูปแบบการ จัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรกุ ร่วมกับวีดิทัศนต์ ้นแบบเพ่ือส่งเสริมทักษะการ สอนและความตระหนกั ในการสอนกฬี าพน้ื เมืองไทยสาหรับนิสติ ครู.......................................................... 4.9 คา่ เฉลีย่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของผลคะแนนรับรองต่อรปู แบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษา ตามแนวคดิ การเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ ร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการ สอนกฬี าพน้ื เมืองไทยสาหรับนิสิตครู.......................................................................................................... 5.1 ความสอดคล้องของข้ันตอนการสอนที่มตี ่อทักษะการสอนและแนวคิดการเรยี นรู้เชิงรกุ ............................
ฌ สารบัญภาพ หน้า 46 แผนภาพ 61 2.1 ขั้นตอนและกระบวนการเกดิ ความตระหนัก………………………………………………………………………………… 2.2 กรอบแนวคดิ การวิจัย……………………………………………………………………………………………………………….. 94 5.1 รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพ่ือส่งเสริม ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพน้ื เมืองไทยสาหรับนิสติ ครู......................................
บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ กีฬาพ้ืนเมืองไทย การละเล่นไทยหรือการละเล่นพื้นบ้านเป็นส่ิงท่ีมีมานาน ในอดีตมีกีฬาพ้ืนเมืองไทย ต่างๆ ให้เล่นมากมาย แต่ก็เริ่มลดน้อยลงเพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามามากทาให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้จัก ไม่ค่อยได้ เลน่ ทง้ั ท่ีกีฬาพื้นเมืองไทยเป็นกิจกรรมนันทนาการชนดิ หน่งึ ที่ไดร้ ับการยอมรับในสังคม โดยมีรากฐานมาจากความ เป็นจริงแห่งวิถีชีวิตของชุมชนไทยที่มีการประพฤติปฏิบัติ สืบทอดกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน ผู้เล่นจะได้แสดงออก ด้วยการเคลื่อนไหวกิริยาอาการต่างๆ อาจมีดนตรี การขับร้องหรือการฟ้อนราประกอบการเล่น กีฬาพ้ืนเมืองไทย เป็นกิจกรรมที่ทาให้เด็กสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความเครียดและทาให้เด็กเรียนรู้เร่ืองราวเกี่ยวกับตนเอง และสิง่ แวดล้อม เป็นกระบวนการพัฒนาการในด้านตา่ งๆ ได้แก่ ด้านร่างกายเป็นการเสรมิ สร้างพัฒนากล้ามเนื้อให้ แข็งแรง ผู้เล่นจะมีความคล่องแคล่วว่องไว ต่ืนตัวตลอดเวลา ด้านจิตใจ อารมณ์และสังคม การเล่นสอนให้เด็ก รู้จักเหตุผล ปรับตัวให้เข้ากับสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ รู้จักกติกาในสังคม รู้จักแบ่งปัน มีอารมณ์แจ่มใส รู้จัก ควบคุมอารมณ์ของตนเอง ทาให้เด็กมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอ่ืน นอกจากน้ันยังพัฒนาด้านสติปัญญา เพราะ การเล่นทาให้เด็กมีโอกาสแสดงความคิดตามสภาพแวดล้อม มีโอกาสแสดงออกเรียนรู้ที่จะใช้ความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ส่งเสริมให้เกิดจิตนาการ ฉะนั้นการเล่นจึงเป็นกิจกรรมท่ีสาคัญในวัยเด็กทาให้เด็กสามารถเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในสังคม โดยสรุปการเล่นกีฬาพ้ืนเมืองเป็นผลดีทางด้านร่างกาย ให้คุณค่า ส่งเสริมทางด้านร่างกายกบั ผู้เล่นครบถ้วน กล่าวคือไดร้ ับคุณคา่ เก่ียวกับความอ่อนตัว ความแม่นยา การทรงตัวที่ดี การประสานงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ความแข็งแรง พลังของกล้ามเน้ือ ความเร็ว ความคล่องแคล่ว ว่องไว และความอดทนของระบบหายใจ รูปแบบการฝึกหรือการออกกาลังกายน้ันก็มีหลายรูปแบบโดยเฉพาะ รูปแบบการฝกึ แบบสถานนี บั วา่ เหมาะสมกับเด็กวัยประถมศึกษา (ชชั ชยั โกมารทัต, 2549) การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนในปัจจุบนั ต้องเน้นให้ผู้เรยี นมีปฏิสัมพันธ์กับการเรยี นการสอนกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าไม่ เพียงแต่ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ถามคาถาม อภิปรายร่วมกันและลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคานึงถึงความรู้เดิม และความต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญ ทั้งนี้ผู้เรียนจะถูกเปล่ียนบทบาทจากผู้รับความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมใน การสร้างความรู้ (Prince, 2004) การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในระดับช้ันประถมศึกษามีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีสร้าง สุขภาพท่ีดีและการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหลากหลาย ซ่ึงเป็นการช่วยให้นักเรียนพัฒนาทัศนคติในทางที่ดีต่อ การออกกาลังกายและพัฒนานิสัยด้านการดูแลสุขภาพต่อไป วิชาพลศึกษาจึงไม่ได้สอนเพียงขอบเขตของทักษะ ด้านการเคล่ือนไหว หรือทักษะกีฬาเท่าน้ัน แต่ยังเก่ียวกับความคิดและอารมณ์อีกด้วย ในขณะเดียวกันครูผู้สอน พลศึกษาเป็นตัวจักรสาคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาวิชาพลศึกษาของนักเรียนทุกระดับ ครูผู้สอนพลศึกษา อาจมีอิทธิพลต่อจิตใจของนักเรียน สามารถที่จะหล่อหลอมและปลูกฝังลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามหลักสูตรได้เร็ว ครูผู้สอนพลศึกษานอกจากจะจัดกิจกรรมท่ีเสริมสร้างพัฒนาการท้ัง 5 ด้านให้เกิดแก่เด็ก อันได้แก่ ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาแล้ว ยังจะต้องจัดกิจกรรมเพ่ือเสริมสร้างและพัฒนาความคิดของนักเรียนให้
2 เป็นคนคิดอย่างมเี หตผุ ลและรูจ้ กั คิดอยา่ งเป็นระบบ มีนา้ ใจเป็นนกั กีฬา มีระเบียบวนิ ยั มีการตดั สินใจทแ่ี ม่นยาและ มัน่ คง มีจิตใจท่ีหนักแน่น มมี นษุ ยสมั พันธ์ และมคี วามสามคั คีในหมคู่ ณะอีกดว้ ย จากการจัดการเรียนการสอนนิสติ ครูในปัจจุบัน ผู้วิจัยได้จัดให้นิสิตครูสอนและจัดกิจกรรมให้แก่นักเรียน ในระดับช้ันอนุบาลและประถมศึกษาในหัวข้อเกี่ยวกับกีฬาพ้ืนเมืองไทย ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีนักเรียนอาจ มีความ คุ้นเคยน้อย หรือไม่รู้จักเลย เพราะกีฬาพื้นเมืองไทยหรือการละเล่นไทยเป็นการเล่นที่มีมาต้ังแต่ในอดีต แต่ด้วยปัจจุบันที่มีกิจกรรมท่ีมีความแปลกใหม่มากมาย จึงทาให้กีฬาพ้ืนเมืองไทยไม่อยู่ในความคิด ความทรงจา หรือการรับรู้ของเด็กรุ่นใหม่เลย ทั้งนี้ผู้วิจัยมีความสนใจจะให้ความรู้และปลูกฝังทัศนคติที่ดีเพ่ือให้นักเรียน มีความสนใจและรักในการเล่นกีฬาพื้นเมือง จึงมีแนวคิดท่ีจะให้นิสิตครูนากีฬาพ้ืนเมืองไทย การละเล่นไทยหรือ กีฬาพื้นบ้านไปทดลองจัดกิจกรรมให้กับเด็ก โดยมีวัสดุอุปกรณ์เคร่อื งมือให้ผู้เรียนได้ลงมอื ปฏิบัติจริง ที่ผา่ นมาจะ พบว่า การสอนหรือการออกแบบกิจกรรมของนิสิตครูจะเน้นให้นักเรียนใช้การจดจาวิธีการเล่น และอธิบาย การนาไปใช้ ซง่ึ อาจทาให้นักเรียนระดับชัน้ อนุบาลและประถมศึกษาที่สมาธิคอ่ นข้างสั้น มองไม่เห็นภาพรวมของ การเล่นได้หมดจากการอธิบาย ทาให้ไม่เกิดการเรียนรู้ในระยะยาว ผู้สอนจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเองจากการเรียนรู้แบบใฝ่รู้ สะท้อนให้ผู้เรียนได้เห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรม เห็นต้นแบบผู้สอน สามารถถา่ ยทอดความรู้เพ่อื นาไปสู่สถานการณ์จริง ซง่ึ เป็นสิง่ ท่ีสาคญั ท่สี ดุ ดังนั้นนิสิตครูผู้ท่ีจะเป็นครูผู้สอนและจัดกิจกรรมทางพลศึกษาสาหรับเด็กในอนาคตจึงควรท่ีจะต้องได้รับ การพัฒนาให้เป็นผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเก่ียวกับกิจกรรมทางกายหรือ วิชาพลศึกษา โดยเฉพาะในยุคแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีเน้นในเรื่องการให้เทคโนโลยีสารสนเทศ กระบวนการจัด การเรียนรู้ท่ีทันสมัยเข้าไปมีส่วนทาให้การจัดการเรียนการสอนหรือจัดกิจกรรมให้มีความสนใจมากขึ้น ผู้สอน จะต้องเพิ่มวิธีการสื่อสารถึงผู้เรียนให้เกิดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยผู้สอนเป็นเพียงผู้ร่วมเรียนรู้ไปกับ ผู้เรียนเท่านั้น ท้ังนี้อีกหน่ึงวิธีการในการพัฒนาการเรียนการสอนของครู คือ การเรียนรู้เชิงรุก ซ่ึงเป็นการเรียน การสอนท่ีใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้ ทกั ษะ และประสิทธิภาพผ่านสื่อประเภทเทคโนโลยี โดยใช้วดี ิทศั นเ์ ป็นสื่อการเรียน การสอนเพ่ือเป็นต้นแบบในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ให้ผู้เรยี นได้เห็นภาพต่างๆ ได้ชดั เจน ซ่ึงวีดิทัศนเ์ ป็น ส่อื การเรียนการสอนรูปแบบหน่ึงที่มีประสิทธิภาพมากในการช่วยเสริม และทดแทนภาระหน้าที่ในการสือ่ สารข้ันที่ หนึ่งของผู้สอน เพราะเมื่อเปรียบเทยี บกับผู้สอนแลว้ วดี ิทศั น์สามารถเพิ่มพูนประสบการณ์ของผูเ้ รียนให้กว้างขวาง กว่าใน 3 ด้านด้วยกัน คือ ประสบการณ์ในมิติแห่งความจริง (reality) ประสบการณ์ในมิติแห่งกาลเวลา (time) และประสบการณ์ในมิติของสถานท่ี (space) ทั้งน้ีเพราะครูในวีดิทัศน์สามารถทาการทดลองสิ่งต่างๆ ท่ีผู้สอนใน ห้องเรียนทาไม่ได้ ย่ิงกว่าน้ันการเล่นแสง เสียง และดนตรี อีกทั้งภาพยังช่วยให้วีดิทัศน์มีเสน่ห์ดึงดูดมากย่ิงข้ึน เม่ือผู้ดูบังเกิดความตรึงใจก็จะคิดค้นเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเองต่อไป (วิภา อุตมฉันท์ , 2538) ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกร่วมกับการใช้วีดิทัศน์ต้นแบบ จะทาให้ผู้เรียนได้เห็นแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนและ เป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมท้ังการเก็บร่องรอยหลักฐานพฤติกรรมต่างๆ ให้ผู้เรียนได้เห็นถึงข้อบกพร่องของตนเอง แลว้ นาข้อบกพรอ่ งทีพ่ บนาไปแก้ไขและพัฒนาตนใหด้ ยี งิ่ ขึ้น จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจและต้องการท่ีจะศึกษาองค์ประกอบและขั้นตอนการเรียนการ สอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนัก ในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทย เพ่ือสร้างรูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศน์ต้นแบบ ตลอดจนศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศนต์ ้นแบบสาหรับนสิ ิตครเู พอ่ื นาเสนอสสู่ าธารณะตอ่ ไป
3 คำถำมงำนวิจัย 1. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศ น์ต้นแบบ เพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยมีลักษณะอยา่ งไร 2. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ เพอ่ื สง่ เสรมิ ทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยเมือ่ นาผลไปใชจ้ ะเป็นอยา่ งไร วัตถุประสงคก์ ำรวิจัย 1. เพ่ือศึกษาองค์ประกอบและสร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้ เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยสาหรับ นสิ ิตครู 2. เพือ่ ศกึ ษาผลและนาเสนอการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคดิ การเรียนรู้เชิงรุก รว่ มกับวดี ิทัศน์ต้นแบบเพือ่ ส่งเสริมทักษะการสอนและความตระหนักในการสอนกีฬาพนื้ เมืองไทยสาหรบั นสิ ิตครู สมมติฐำนกำรวิจัย 1. ผู้เรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบมีคะแนนทักษะการสอนหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าหลังเรียนของกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ทิ รี่ ะดบั .05 2. ผู้เรียนกลุ่มทดลองท่ีเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก รว่ มกับวดี ทิ ัศนต์ ้นแบบมคี ะแนนทกั ษะการสอนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 3. ผู้เรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบมีคะแนนความตระหนักในการสอนกีฬาพื้นเมืองไทยหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าห ลังเรียนของกลุ่ม ควบคุมอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 4. ผู้เรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ต้นแบบมีคะแนนความตระหนักในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ตวั แปร ตัวแปรต้น ได้แก่ วิธีการจัดการเรียนการสอนพลศึกษา ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ ตน้ แบบ ตวั แปรตาม คอื ทักษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพืน้ เมืองไทย
4 2. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ได้แก่ นิสติ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นิสติ คณะครศุ าสตร์ท่ีลงเรียนรายวิชา 2723319 ชอื่ วิชากิจกรรมการเคลื่อนไหวสาหรับ เด็กเล็กของสาขาวิชาสุขศกึ ษาและพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จานวน 60 คน ซ่ึงผู้วจิ ัยใช้ การเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติท่ีกาหนดไว้ คือ 1) เป็นนิสิตนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ท่ีมีความรู้ พื้นฐานและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา และ 2) มีความสามารถในการใช้ แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน สาหรับใช้ในการดาเนินกิจกรรมได้ จากน้ันทาการสุ่มแบบจับสลากเพื่อเข้ากลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคมุ กลุ่มละ 30 คน คำจำกัดควำมในกำรวิจัย รูปแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอนพลศึกษำตำมแนวคิดกำรเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวีดิทัศน์ต้นแบบ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการใช้ วีดิทัศน์ต้นแบบเป็นสื่อที่แสดงถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับทักษะการสอน โดยนาเสนอต้นแบบท่ีแสดงพฤติกรรม เป้าหมายผ่านทางวิดีทัศน์ เมื่อผู้เรียนได้ชมวดี ิทัศน์ จะเกดิ กระบวนการเรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมเป้าหมายที่ ตัวแบบแสดง จนทาให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมในที่สุด อีกท้ังกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่เพียงแต่ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ถามคาถาม อภิปรายร่วมกันและลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคานึงถึงความรู้เดิมและความต้องการของผู้เรียนเป็น สาคัญ ทั้งนี้ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ โดยรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกฯ มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ความรู้พื้นฐาน องค์ประกอบท่ี 2 บทบาทผู้สอนและบทบาทนิสิตครู องค์ประกอบท่ี 3 วิธีการจัดกิจกรรมเชิงรุก องคป์ ระกอบท่ี 4 วีดิทัศนต์ ้นแบบ และ องค์ประกอบที่ 5 การประเมินผล ส่วนขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนมี ท้ังสิ้น 7 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การเตรียมความพร้อม 2) กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3) กิจกรรมการ เคลอ่ื นไหวเชิงรุก 4) การสอนแบบจุลภาค 5) การชมวีดิทศั น์ต้นแบบ 6) การแลกเปล่ียนเรียนรรู้ ะหว่างผู้เรียน และ 7) การเผยแพร่กระบวนการสู่สาธารณะ ทักษะกำรสอน กีฬ ำพื้ น เมืองไทย (Teaching Skill of Teaching Thai Traditional Sport) หมายถึง ความสามารถ ความชานาญ หรือวิธีการในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทย ใช้รูปแบบวิธีการเล่นท่ีเรียบง่าย ตามแบบวิถชี ีวิต และวัฒนธรรมท้องถน่ิ ของคนในสังคมน้ันๆ ตวั อย่างกีฬาพื้นเมืองไทย เช่น เตย ตี่จับ แยล้ งรู งูกิน หาง ขว้างลิง ขี่ม้า ตาบอด และอื่นๆ เป็นต้น โดยใช้แบบประเมินรูบริคประกอบด้วยทักษะการสอน 9 ด้าน ดังน้ี 1) ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียน (Set Induction) 2) ทักษะการอธิบาย (Presentation) 3) ทักษะการใช้คาถาม (Question) 4) ทักษะการเสริมกาลังใจ (Reinforcement) 5) ทักษะการสรุปบทเรียน (Set Closure) 6) ทักษะ การเร้าความสนใจ (Stimulation) 7) ทักษะการใช้กระดานชอล์ก (Chalk Board Writing Skill) 8) ทักษะการ กระตุน้ ใหค้ ดิ (Active Thinking) และ 9) ทักษะการใช้สอื่ การสอน (Media Presentation)
5 ค วำม ต ระห นั ก ใน ก ำรส อ น กี ฬ ำพื้ น เมื อ งไท ย (Personal Awareness of Teaching Thai Traditional Sport) หมายถึง การรับรู้ คิดได้ และเข้าใจถึงความสาคัญในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยของนิสิตครู โดยเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่างๆ จากการที่ได้รับรู้ไว้และระลึกส่ิงนั้นได้เมื่อต้องการ ซึ่งเกิดจากความรู้สึก ความสนใจ และทัศนคติ ส่งผลให้เกิดความสามารถในการสอนกีฬาพ้ืนเมืองไทยได้อย่างคล่องแคล่วชานาญ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ 1) ด้านความรู้ความเข้าใจ 2) ด้านอารมณ์ความรู้สึก และ 3) ด้านพฤติกรรม วดั ประเมนิ ผลดว้ ยแบบวดั ความตระหนักกฬี าพ้ืนเมอื งไทยแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ประโยชนท์ ไี่ ด้รับจำกกำรวจิ ยั 1. ประโยชน์สาหรับนิสิตครู คือ ได้รู้จัก เรียนรู้ และตระหนักถึงคุณค่าความสาคัญของกีฬาพื้นเมืองไทย เพ่ือให้สามารถนาทักษะการเคล่ือนไหวหรือกติกาการเล่นของกีฬาพ้ืนเมืองไทยไปประยุกต์ในการจัดการเรียน การสอนในโรงเรียน ในสว่ นของทักษะการสอนนนั้ เน่ืองจากผเู้ รียนได้มโี อกาสฝึกปฏบิ ัติการสอนอย่บู ่อยคร้ัง ทาให้ เกิดการพฒั นาและความเชี่ยวชาญในการสอนมากขนึ้ 2. ประโยชน์สาหรับผู้สอน คือ มีแนวทางในการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกร่วมกับการใช้ส่อื มัลติมีเดียใน รายวิชาพลศึกษา เพื่อให้เกิดทักษะท้ังด้านการเคลื่อนไหวและการคิด พฤติกรรมท่ีต้องการได้ชัดเจนและมี ประสทิ ธภิ าพย่งิ ขึ้น 3. ประโยชน์ในด้านการอนุรกั ษ์วัฒนธรรม คือ คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสรู้จักและเรียนร้เู ก่ียวกับกีฬาพื้นบ้าน ไทยมากข้ึน เน่ืองจากได้สัมผัส เรียนรู้ และเล่นภายในโรงเรียนกับเพ่ือนๆ ทาให้กีฬาพื้นบ้านไทยได้เข้ามาเป็นส่วน หน่ึงและแทรกซึมเขา้ มาในชีวิตของคนรนุ่ หลังมากขึ้น อกี ทั้งยังเป็นการอนรุ ักษใ์ ห้กีฬาพ้ืนบ้านไทยทีเ่ ป็นวัฒนธรรม หนึ่งของไทยใหย้ งั คงอยู่และไม่เลือนหายไปจากสงั คมไทย
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง ในการศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับ วีดิทัศนต์ ้นแบบเพื่อส่งเสริมทกั ษะการสอนและความตระหนกั ในการสอนกีฬาพ้นื เมืองไทยสาหรบั นิสติ ครู ผู้วิจัยได้ สรปุ เน้ือหาสาระสาคญั จากเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง และแบ่งการนาเสนอเปน็ 7 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ทกั ษะการสอน (Teaching skills) 1.1 ความหมายของทักษะการสอน (Teaching Skills) 1.2 ทักษะการสอนข้ันพ้ืนฐาน ตอนท่ี 2 วีดทิ ัศนต์ ้นแบบ ( Video Modelling ) 2.1 ความหมายของวีดิทศั น์ตน้ แบบ 2.2 แนวคิดทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ งกบั วดี ิทัศน์ตน้ แบบ 2.3 วตั ถปุ ระสงค์ของการใชว้ ีดทิ ศั น์ตน้ แบบ 2.4 การสรา้ งวีดิทัศน์แสดงตน้ แบบ 2.5 ขน้ั ตอนการสอนโดยใช้วีดิทัศน์ตน้ แบบ 2.6 ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าของการสอนโดยใช้วดี ทิ ศั น์ต้นแบบ ตอนที่ 3 การเรยี นร้เู ชงิ รุก (Active Learning) 3.1 ความหมายของการเรยี นรู้เชงิ รกุ 3.2 ลกั ษณะของการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ 3.3 องค์ประกอบของการเรียนรูเ้ ชงิ รุก 3.4 รูปแบบการจดั การเรียนรู้เชงิ รุก 3.5 การเรยี นการสอนเชิงรกุ ท่เี นน้ กิจกรรม 3.5.1 การสอนแบบจลุ ภาค (Micro-Teaching Method) 3.5.2 การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) 3.5.3 การอภิปรายแบบโตะ๊ กลม (Round Table) ตอนที่ 4 ความตระหนัก (Personal Awareness) 4.1 ความหมายของความตระหนัก 4.2 องคป์ ระกอบที่ก่อใหเ้ กดิ ความตระหนัก 4.3 ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ ความตระหนกั
7 ตอนที่ 5 กีฬาพื้นเมืองไทย การละเล่นไทย หรือการละเล่นพ้ืนบ้านไทย (Thai Traditional Sports, Thai Traditional Games) 5.1 ความหมายของกีฬาพน้ื เมอื งไทย การละเลน่ ไทย หรอื การละเล่นพื้นบา้ นไทย 5.2 ประวัตคิ วามเปน็ มาของกีฬาพนื้ เมอื งไทย การละเลน่ ไทย หรือการละเลน่ พื้นบ้านไทย 5.3 ประเภทของกฬี าพนื้ เมอื งไทย การละเล่นไทย หรือการละเลน่ พ้นื บา้ นไทย 5.4 ประโยชนข์ องกีฬาพ้นื เมอื งไทย การละเลน่ ไทย หรือการละเลน่ พ้นื บ้านไทย 5.5 ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ของกีฬาพืน้ เมืองไทย การละเล่นไทยหรือการละเล่นพ้นื บา้ นไทย ตอนที่ 6 งานวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 6.1 งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั วดี ิทศั นต์ ้นแบบ 6.2 งานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การเรียนรูเ้ ชงิ รุก 6.3 งานวิจยั ที่เกีย่ วข้องกับความตระหนกั ตอนที่ 7 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ตอนที่ 1 ทักษะการสอน (Teaching skills) 1.1 ความหมายของทักษะการสอน ทักษะการสอน หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติการสอนด้านต่าง ๆ ได้อย่างชานาญ หรือความ ชานาญในการสอน (รังสินี สุคนธปฏิมา, 2553) ผู้สอนน้ันจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักการสอน รูปแบบการสอน วิธีสอน เทคนิคการสอน การลงมือปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจจนสามารถปฏิบัติได้ (ทิศนา แขมมณี, 2560) จนสามารถแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่คล่องแคล่วได้อย่างคล่องแคล่วชานาญและมีประสิทธิภาพ (กฤษณา ศักดิ์ศรี, 2530) การฝึกทักษะการสอนก็เพ่ือให้ผฝู้ กึ เกิดความคลอ่ งแคล่วม่ันใจในการแสดงพฤติกรรมน้นั ๆ และแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองก่อนที่จะได้มีการสอนในช้ันเรียนทักษะสาคัญ ๆ ท่ีผู้สอนทุกคนควรจะต้องฝึก ปฏิบัติและคานึงถึงในการสอนมี 9 ทักษะด้วยกัน คือ ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียน การอธิบาย การใช้คาถาม การเสรมิ กาลังใจ ทักษะการสรปุ บทเรียน ทักษะการเร้าความสนใจ ทักษะการใชก้ ระดานชอล์ก ทักษะการกระตุ้น ให้คิด ทักษะการใช้สื่อการสอน ซ่ึงพฤติกรรมการสอนของผู้สอนในการใช้ทักษะการสอนต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีผล ตอ่ การช่วยสนับสนนุ สง่ เสริมการเรียนรูข้ องผู้เรียนเป็นอนั มาก ทักษะแตล่ ะอยา่ งมคี วามสาคัญและสามารถเลอื กใช้ ให้เหมาะสมกับความพร้อมและความต้องการของเด็ก บทเรียน หรือวิธีสอนแต่ละอย่างได้ (วารีรัตน์ แก้วอุไร, 2549) จากการศึกษาความหมายของทักษะการสอน สามารถสรุปได้ว่า ทักษะการสอนนั้นแสดงให้เห็นถึง ความชานาญของการสอนหรือพฤติกรรมการสอนต่าง ๆ ของผู้สอนในขณะที่ปฏิบัติงาน เป็นผู้ท่ีสามารถ ดาเนินการสอนได้อย่างคล่องแคล่ว ราบรื่น และเรียบร้อย ส่งผลให้ผู้เรียนน้ันเกิดความเข้าใจในบทเรียนได้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
8 1.2 ทกั ษะการสอนขนั้ พนื้ ฐาน (Basic teaching skills) ชาญชยั อนิ ทรประวตั ิ (2522) ไดก้ ล่าวถึงทกั ษะการสอนประกอบดว้ ย 11 ทักษะดังนี้ 1. ทักษะในการใช้คาถาม การตั้งคาถามถือเป็นเรื่องท่ีสาคัญ ต้องต้ังคาถามให้สอดคล้องกบั จุดมุ่งหมาย ใช้ภาษาท่ีเรียบง่าย เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงการใช้คาถามที่สามารถใช้การเดา ที่สาคัญควรต้ังคาถามท่ีมีการอธิบายเหตุผล ให้สรุป ความคิด พยากรณห์ รอื ทานาย ถามใหส้ งั เกต และถามใหว้ พากษว์ ิจารณ์ 2. ทกั ษะการนาเข้าสูเ่ รือ่ ง เป็นทักษะท่ีมีความจาเป็นใช้ในการเริ่มเร่ือง เตรียมการอภิปราย ให้การบ้านนักเรียน การให้นักเรียนดู ภาพยนตร์ ภาพนิ่ง หรือให้นักเรียนเล่าประสบการณ์ให้เพ่ือนๆ ฟัง วิธีการนาเข้าสู่เร่ืองทาได้โดยการเสนอ อปุ กรณท์ ่ีสมั พันธก์ ับเนือ้ หา ใหน้ ักเรียนสาธติ กจิ กรรมที่สมั พันธก์ บั บทเรียน หรอื การสมมตเิ รอ่ื ง 3. ทกั ษะการสรปุ บทเรยี น การสรปุ สัมพันธผ์ ู้สอนอาจจะทาเมือ่ สอนจบบทเรียนแล้ว เพ่อื สรปุ เนือ้ หาใหน้ ักเรียน หรืออาจทา ตอนกลางๆ เพ่ือช่วยเน้นว่าตอนนี้กาลังเรียนถึงจุดไหน โดยวิธีการอาจใช้การเน้นความสัมพันธ์ของบทเรียน ให้ นักเรียนสาธิต หรอื ใช้คาถามในลักษณะถามสรุป 4. ทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์การสอน สื่อการสอนถือเป็นสิ่งสาคัญสาหรับการสอน ช่วยให้ผู้สอนสามารถสอนได้ตามวัตถุประสงค์และ นักเรยี นเกิดความคดิ รวบยอดง่ายกว่าการสอนโดยไม่มีสื่อ โดยวิธีการคือ เลือกเน้ือหาที่จะสอน ตั้งความคิดรวบ ยอด และจดุ มุ่งหมายที่จะสอนแลว้ พิจารณาดูว่าจะใช้ส่ืออย่างไรเพ่ือให้นักเรยี นเกิดความคิดรวบยอด ซ่งึ ลักษณะ ของสือ่ การสอนที่ดตี อ้ งมขี นาดใหญ่ แปลกใหม่ มคี วามทนั สมยั 5. ทกั ษะการใชก้ ระดานดา กระดานดาเป็นสิ่งสาคัญในการเรียนการสอนมาก เพราะถือเป็นจุดรวมของนักเรียนทุกคน ผ้สู อนตอ้ งมคี วามตระหนักถึงความสาคญั ของกระดานดาและพยายามใช้ให้เกิดประโยชนม์ ากทสี่ ดุ 6. ทักษะการเร้าความสนใจโดยการแปรเปล่ยี น การจูงใจและการเร้าใจมอี ิทธิพลและมีความสัมพันธ์ต่อการสอนเป็นอยา่ งมาก ผู้สอนตอ้ งหาวิธวี ่า จะทาอย่างไรให้นักเรียนมีความสนใจ มีความต้อการและมีความคิดตามท่ีผู้สอนต้องการ ถ้าหากผู้สอนทาได้จะ ช่วยให้การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนดาเนินไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ 7. ทกั ษะการเสริมแรงหรอื เสรมิ กาลงั ใจ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีหากได้รับคาชื่นชมจากผลของพฤติกรรมท่ีแสดง เมื่อนักเรียนแสดง พฤติกรรมทถี่ ูกต้องผู้สอนควรมกี ารใหร้ างวัลเพ่อื เป็นการเสริมกาลงั ใจ การเสริมแรงสามารถทาได้ทัง้ ทางวาจาเป็น การกลา่ วชมเชย การเสริมแรงโดยใชท้ ่าทางท้ังการพยกั หนา้ การยมิ้ หรือการแสดงทา่ ทีว่าสนใจ 8. ทกั ษะการเลา่ เรื่อง เป็นทักษะท่ีจาเป็นมากในการสอน เพราะการสอนบางเน้ือหาผู้สอนอาจไม่สามารถใช้แค่การ อธิบายแล้วนักเรียนจะเกิดความคิดรวบยอด อาจต้องมีการเล่าเร่ือง เล่านิทาน หรือยกตัวอย่างประกอบ เพื่อ เป็นการจูงใจหรือเปรียบเทียบให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ ซึ่งอาจจะนาเรื่องที่มีอยู่แล้ว เรื่องจริง เร่ืองท่ีแต่งขึ้น
9 เองทม่ี ีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกับเน้อื หาและความคิดรวบยอด ทสี่ าคัญผสู้ อนต้องเตรียมตวั ในการเลา่ เรือ่ งไม่ให้ เกดิ การตะกุกตะกกั 9. ทักษะการทาใหน้ ักเรยี นเอาใจใสใ่ นการเรียนการสอน ทกั ษะนี้ต้องมีการนาทักษะการเสริมแรง เสริมกาลังใจเข้ามาประกอบ รวมท้ังการไม่มองข้ามพฤติกรรม นักเรยี น ผสู้ อนต้องคอยสังเกตวา่ ผ้เู รียนมกี ริ ิยาอาการขณะเรียนเป็นอย่างไร เพื่อนาไปสู่การดาเนินกิจกรรม 10. การเสนอบทเรยี น การเสนอบทเรียนสามารถทาได้ท้ังการใช้วิธีการบรรยาย การใช้ตัวอย่างซึ่งถือเป็นพ้ืนฐานที่ดีของ การสอน โดยพยายามโยงตวั อยา่ งเข้าสูเ่ นือ้ หาทีก่ าลังสอนอยู่ 11. ทักษะการสร้างสรรคใ์ หน้ กั เรียนมีส่วนร่วมในการเรยี นการสอน ทกั ษะนี้ต้องเร่ิมจากการนาเข้าสู่เร่ือง ผู้สอนต้องสร้างบรรยากาศให้ผู้เรยี นมีอารมณ์ท่ีจะเรียน รวมท้ังมี การกระตุ้นผู้เรียนโดยใช้วิธีการต่างๆ อาจใช้ท่าทางประกอบการสอน ใช้ถ้อยคาน้าเสียง ท่ีชัดเจนมีน้าเสียงสูงต่าชวน ฟงั สว่ นในการสรุปผ้สู อนควรสรุปร่วมกับนักเรยี น เพ่ือใหน้ ักเรยี นเช่ือมโยงความรู้ในอดีตกับปัจจบุ ันเข้าด้วยกัน วารีรตั น์ แกว้ อุไร (2549) ได้กล่าวถึงทกั ษะการสอนประกอบดว้ ย 9 ทักษะดงั นี้ 1. ทกั ษะการนาเขา้ สู่บทเรียน (Set Induction Skill) เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนควรจะกระทาเมื่อจะเร่ิมกิจกรรมการสอนใดๆ เพ่ือเป็นการเร้าความสนใจและ สร้างความพร้อมในการเรียนรู้ส่ิงใหม่ถ้าจะเปรียบกับการเรียงความก็เสมือนเป็นคานาหรือบทนา การที่ผู้เรียนจะ สนใจติดตามเรื่องราวหรือการสอนท่ีผู้สอนนาเสนอหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สอนได้นาเสนอสิ่งท่ีน่าดึงดูดความ สนใจได้ดีหรือไม่ดี ส่วนวิธีการนาเข้าสู่บทเรียนได้ดีหรือไม่ ถือเป็นศิลปะของผู้สอนน้ันๆ ท่ีจะต้องฝึกฝนจนเกิด ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียนทาได้หลายวิธี เช่น ใช้การสนทนาซักถาม การทบทวนบทเรียนให้สัมพันธ์กับบทเรียน ใหม่ การใชเ้ กม การตัง้ ปัญหาให้ร่วมกนั อภิปราย การใช้สือ่ การสอน โดยให้ดภู าพ ของจริง หรอื ดูวิดที ศั น์ เป็นตน้ จุดม่งุ หมายของการนาเข้าสู่บทเรียน 1. เพื่อสร้างความพร้อมของความคดิ ดว้ ยการกลา่ วถงึ ส่งิ ทีผ่ ู้เรียนเคยพบเคยเห็นมากอ่ น 2. เพ่ือนาเอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาสัมพันธ์กับแนวคิดใหม่ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ อยา่ งมคี วามหมายตามหลกั จติ วิทยาของออซูเบล 3. เพ่ือสรา้ งบรรยากาศความอยากร้อู ยากเห็น และอยากรว่ มกิจกรรมกนั คุณลกั ษณะที่ประเมิน 1. สามารถนาเอาความรแู้ ละทักษะท่ผี เู้ รียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กบั บทเรียนใหม่ได้ 2. การใชค้ าถามนาเขา้ สูเ่ ร่ืองมปี ระสิทธิภาพ 3. การสร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างการนาเข้าสบู่ ทเรียนและเนอ้ื หาสาคญั ของบทเรียน 4. บทสนทนาในเร่ืองสนุกสนาน น่าสนใจ 5. สร้างบรรยากาศความอยากรอู้ ยากเหน็ ดว้ ยวิธกี ารตา่ ง ๆ 6. ความสาเรจ็ ในการเรา้ ความสนใจเมอื่ เรมิ่ ต้นเรยี น
10 2. ทกั ษะการอธบิ าย (Presentation Skill) ทักษะอธิบาย หมายถึง ความสามารถในการพูดแสดงรายละเอียดและให้ตัวอย่างให้ผู้เรียนเข้าใจหายจาก ข้อสงสัย เกิดความชัดเจนในส่ิงน้ัน หรือขยายความในลักษณะที่ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเร่ืองราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนข้ึน ซ่ึง อาจกระทาได้โดยการบอก การตีความ การสาธิต การยกตัวอย่าง ฯลฯ บางครั้งเพื่อให้การอธิบายเป็นที่เข้าใจได้ ง่าย อาจจะใช้วัสดุอุปกรณ์ตา่ งๆ ประกอบการอธิบายก็จะช่วยทาให้ผู้ฟังสนใจและเข้าใจความหมายได้ดขี ึ้น ทักษะ การอธิบายมีความสาคัญและจาเป็นต่อกระบวนการเรียนการสอนทุกระดับโดยเฉพาะปัจจุบันพบว่า วิธีสอนท่ีครู ส่วนมากนิยมคือการสอนแบบบรรยาย และการอธิบาย ซึ่งทักษะการอธิบายจัดว่าเป็นส่วนหน่ึงที่จาเป็นสาหรับ การสอนสองวิธีน้ี การมีทักษะในการอธิบายท่ีดีมีความหมายและสาคัญสาหรับครูมาก ทักษะการอธิบายควรจะ ได้รับการฝึกหัดและติดตามผลอยู่เสมอว่าช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเร่ืองราวที่อธิบายมากน้อยเพียงใด แล้วหาทา งแก้ไข ปรับปรงุ วิธีการอธบิ ายให้มปี ระสิทธภิ าพย่ิงขึ้น ลกั ษณะการอธิบายทด่ี ี 1. เวลาที่ใช้ในการอธิบายไม่ควรนานเกินไป โดยปกติใจความท่ีสาคัญอาจจะใช้เวลาในการอธิบายเพียง 1 นาที หรือนอ้ ยกว่านัน้ เวลาทใ่ี ชใ้ นการอธิบายเร่ืองใดเรื่องหน่ึงในแต่ละครงั้ ไม่ควรเกิน 10 นาที เพราะการใช้เวลาที่ ยาวนานเกนิ ไป จะทาใหผ้ ู้ฟงั ขาดความสนใจ และเกดิ การเบอื่ หนา่ ย ซึ่งจะทาใหย้ ากแกก่ ารทาความเขา้ ใจและจดจา 2. ภาษาทีใ่ ชค้ วรจะง่ายแก่การเขา้ ใจ ไม่ต้องแปล รดั กุม ไม่เยนิ่ เยอ้ น่าฟงั 3. ส่ือการสอนหรือตัวอย่างท่ีใช้ประกอบการอธิบายควรจะมีลกั ษณะน่าสนใจ และช่วยให้เข้าใจ เรอื่ งท่อี ธบิ ายได้งา่ ยขน้ึ 4. การอธิบายควรจะให้ครอบคลมุ ใจความสาคญั ได้ครบถว้ น 5. การอธบิ ายควรเร่มิ จากเรื่องทเ่ี ขา้ ใจงา่ ยไปหาเรื่องท่เี ข้าใจยาก 6. ควรใชท้ ่าทางประกอบเพอ่ื ใหก้ ารอธบิ ายน่าสนใจ 7. ควรใช้แนวความคิดหรือการอธิบายของนักเรียนท่ีครูให้อธิบายมาเป็นแนวทางในการอธิบาย ด้วย เพราะความเขา้ ใจตามแนวความคิดของนกั เรียน ถ้าไดร้ บั การอธิบายเพ่ิมเติมจะชว่ ยให้เขา้ ใจดขี ้นึ 8. ควรมกี ารสรุปประเดน็ ในการอธบิ ายดว้ ย 3. ทักษะการใชค้ าถาม (Question Skill) ทักษะการใช้คาถาม คือ ความสามารถในการใช้คาพูดหรือประโยคท่ีมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นหรือดึง การตอบสนองของผู้เรียนออกมา จุดมุ่งหมายที่ครูใช้คาถามถามนักเรียนมีหลายประการด้วยกัน เช่น ต้องการ ทราบวา่ นักเรียนเข้าใจหรือร้เู รอ่ื งทค่ี รสู อนแลว้ หรอื ไม่เพยี งไร นกั เรยี นอ่านหรือทาการบ้านท่ีกาหนดให้หรือไม่ หรือ อาจจะถามเพื่อเรา้ ความสนใจหรอื ทาความกระจา่ งในจดุ ใดจุดหน่ึงโดยตรงก็ได้ ลกั ษณะของคาถามทด่ี ี คาถามทดี่ จี ะช่วยใหก้ ารใชค้ าถามของผสู้ อนบรรลุวัตถปุ ระสงค์มากย่ิงขึน้ ลักษณะของคาถามท่ดี ี มีลกั ษณะดังน้ี
11 1. สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดท้ังในด้านเหตุผล การวิเคราะห์สร้างสรรค์และเป็นคาถามที่ ท้าทาย ย่ัวยผุ ตู้ อบ 2. สอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคข์ องการเรยี นแตล่ ะเน้ือหา 3. เหมาะสมกบั ระดับชนั้ ของผู้เรียนไมย่ ากหรอื งา่ ยเกนิ ไป 4. ใช้ภาษางา่ ย ๆ เฉพาะเจาะจง สนั้ กะทัดรดั ได้ความครบ 5. ข้ึนต้นประโยคโดยใช้คา ถามแทนที่จะบอกข้อความก่อนแล้วถามคาถามทีหลัง ตัวอย่างเช่น แทนทจ่ี ะถามโดยใช้ประโยควา่ “ไดโนเสาร์ครองโลกมาหลายร้อยล้านปี ในชว่ งยุคใด” ก็ใช้ว่าใน “ยุคใดท่ี ไดโนเสารค์ รองโลก” จะดีกว่า 6. ไม่ควรต้ังคาถามหลายคาถามในขณะเดียวกัน และไม่ตั้งคาถามนิเสธ พร้อมท้ังควรเป็นคาถาม แบบเปิด เพื่อใหผ้ ู้เรียนไดใ้ ช้ความคิดแบบอเนกนยั 7. ต้องมีระดบั ความยากง่ายพอเหมาะกบั ชั้นทีเ่ รียนและวุฒภิ าวะของผูเ้ รียน จุดประสงคใ์ นการใชค้ าถาม ไม่ว่าจะเป็นการสอนในวิชาใดกต็ าม การใช้คาถามจะสามารถตรวจสอบไดว้ ่านักเรยี นสามารถเรียนรู้ได้ดี เพียงใด และการใช้คาถามยงั เป็นเครื่องมอื ในการสอนไดด้ ว้ ย จดุ ประสงค์ของการใช้คาถามมดี งั นี้ 1. เพื่อประเมินผลการเรียนการสอนของครูและนกั เรียนที่เรียนผ่านมาแล้ว และเพอ่ื ประโยชน์ใน การท่จี ะสอนต่อไป 2. ช่วยให้ครทู ราบวา่ มีอะไรบ้างทีย่ ังไม่เข้าใจแจม่ แจ้ง ซึ่งถา้ หากยังสอนต่อไปก็จะเป็นการข้ามส่ิง ท่ีจาเป็นจะตอ้ งรู้เสียกอ่ นไป 3. คาถามท่ีครจู ัดเตรยี มใหด้ แี ลว้ จะชว่ ยให้บรรลุวัตถุประสงค์ทค่ี รูตอ้ งการให้ดียง่ิ ขน้ึ คาถามแบบ นี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคาถามเพ่ือสอนให้ผเู้ รียนได้คิดตอบปัญญาจนในท่ีสุดค้นพบความจริงด้วยตนเองท่ี เรยี กว่า การสอนแบบโซเครตสิ (Socratis Method) ประโยชนข์ องการใช้คาถาม คาถามทดี่ ีครูใช้ในการเรียนการสอนยอ่ มก่อให้เกิดประโยชน์ สรุปไดด้ ังน้ี 1. เพื่อเชอ่ื มโยงความร้เู กา่ ไปส่คู วามรใู้ หม่ 2. เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นมีแนวคิดอย่างมีเหตุผลในลักษณะตา่ ง ๆ 3. ใช้เป็นส่วนเร้าความสนใจ ครูอาจใช้คาถามเพื่อกระตุน้ ความสนใจของนักเรียนในทุกข้ันตอนท่ี สอน เช่น การถามให้สังเกต อาจใชเ้ ปน็ การเร่ิมต้นทด่ี ี การซกั ถามระหว่างการเรยี นรู้ กอ่ ให้เกิดความเข้าใจ 4. คาถามที่ดที าให้เกดิ การอภิปรายตอ่ เนือ่ ง เปน็ การขยายความคดิ และแนวทางการเรียนรู้ 5. ทาให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งน้ีมิได้หมายถึงเฉพาะแต่การถามอย่าง เดียวแต่ยงั หมายถงึ การมีส่วนร่วมเชิงพฤติกรรมอกี ด้วย 6. ก่อใหเ้ กดิ การคน้ คว้า และสารวจความรู้ใหม่ การใช้คาถามที่ดใี นบางครง้ั จะเปน็ ต้นเหตุให้ ผเู้ รยี นตอ้ งคน้ คว้าเพม่ิ เตมิ ซง่ึ เป็นการปลกู ฝงั นสิ ยั รกั การค้นคว้าให้เกดิ ขึ้น 7. ใช้คาถามเพ่อื ทบทวนหรือสรุปเรอ่ื งราวท่จี ะสอนให้กะทัดรัดยิ่งขน้ึ
12 8. ใชว้ ัดผลความเข้าใจและความสามารถของผู้เรยี น รวมท้ังวดั ผลการสอนวา่ เปน็ ไปตามจดุ มุ่งหมายเพยี งไร 4. ทักษะการเสรมิ กาลงั ใจ (Reinforcement) ทักษะการเสริมกาลังใจ หมายถึง ความสามารถในการใช้วิธีการที่ช่วยเพ่ิมความมั่นใจ ความกล้า แสดงออก ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยอาจเป็นการให้รางวัลหรือคาชมเชยหลังจากที่ บุคคลประพฤติปฏิบัติหรือมีพฤติกรรมตามท่ีเราต้องการ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ดีถ้าบุคคลมีความรู้สึกประสบ ความสาเร็จ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ดังนั้นในการสอนผู้สอนควรพยายามสร้างความรู้สึกประสบความสาเร็จให้ เกิดข้นึ ในตัวของผู้เรยี น ถา้ ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมทพ่ี ึงปรารถนา ผู้สอนก็ควรท่ีจะทาการเสริมกาลังใจให้แก่ผู้เรียน ได้ทราบโดยทันที ทกุ ครั้ง ซึง่ ตามหลักจิตวิทยาแลว้ การกระทาเช่นนีจ้ ะมีผลทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีพึงปรารถนาซ้าๆ ข้ึนเร่ือยๆ จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย วิธีการที่ผู้สอนจะนามาใช้มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การที่ผู้สอนแสดงท่าทาง ยอมรับ การกล่าวคาชมเชยโดยตรง การย้ิม แสดงสีหน้าพอใจ การพยักหน้า ให้ผู้เรียนเห็นความก้าวหน้าของ ตนเอง การใหร้ างวัล เป็นตน้ การเสริมกาลังใจ หมายถึง การให้รางวัลหรือใช้คาพูดชมเชยหลังจากที่ผู้เรียนประพฤติปฏิบัติหรือมี พฤติกรรมตามที่ต้องการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความม่ันใจ กล้าที่จะตอบคาถาม กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และ เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียน ส่ิงที่ควรพิจารณาเก่ียวกับการใช้วิธีการเสริมกาลังใจก็คือ ผลที่ ต้องการจากการเสริมกาลังใจ ตามความเป็นจริงแล้ว จะมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าด้วยตนเองมากกว่าจะหวังสิ่ง ตอบแทนจากภายนอก หมายถึง ผู้เรียนควรเห็นคุณค่าจากการร่วมกิจกรรมนั้นๆ ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม การท่ี จะให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าด้วยตนเองเป็นส่ิงที่เกิดข้ึนได้ยาก ผู้สอนจึงต้องอาศัยการเสริมกาลังใจจากภายนอกเข้ามา ชว่ ย แตต่ ้องเลือกใช้ให้เหมาะกบั บคุ คลและวาระ หลักของการเสริมกาลังใจ 1. ผู้เรยี นควรไดร้ ับการเสริมกาลังใจทันทีเม่ือแสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับเป้าหมายของการเรียน การสอน 2. ควรเลือกวิธเี สรมิ กาลงั ใจทเี่ หมาะแก่ผ้เู รยี นแต่ละคน 3. วิธเี สริมกาลังใจท่นี ามาใชค้ วรสอดคล้องกบั พฤติกรรมที่ผเู้ รยี นแสดงออก 4. วิธเี สรมิ กาลงั ใจบางประเภทไมค่ วรนามาใชบ้ อ่ ยจนเกนิ ไป เชน่ การให้รางวัลอย่างพร่าเพรอ่ื 5. ควรให้ผูเ้ รียนอื่นๆ ไดม้ สี ว่ นร่วมในการเสริมกาลังใจด้วย เช่น ปรบมอื หรอื ชว่ ยกันใหค้ ะแนน 6. การเสริมกาลังใจไม่ควรพูดเกินความเป็นจริง ควรพูดให้ตรงตามพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก เชน่ ถา้ ผู้เรียนตอบถูกหมดก็บอกวา่ ดมี าก ถา้ ตอบถกู เพียงบางสว่ นก็บอกว่าใช้ได้ 7. คาพูดท่ีใชเ้ สรมิ กาลังใจไม่ควรใช้คาซ้าบ่อยๆ เพราะผู้เรียนจะเกดิ ความรสู้ กึ เบื่อและไม่เห็นคุณค่า ของคาชม 8. การเสรมิ กาลงั ใจบางอย่างอาจมีผลตอ่ ผเู้ รยี นคนหนง่ึ แตใ่ นขณะเดยี วกันอาจจะไมม่ ผี ลกบั ผู้เรียน อกี คนหนง่ึ
13 วธิ ีเสริมกาลงั ใจ 1. การเสรมิ กาลังใจด้วยวาจา เช่น กลา่ วคาชมวา่ ดี ถกู ต้องใช้ได้ มีเหตุผลท่ีดี เก่งมากเปน็ ความคิดทด่ี ี 2. การเสริมกาลงั ใจดว้ ยท่าทาง เช่น พยักหน้า ย้มิ เขียนคาตอบบนกระดาน 3. การเสริมกาลังใจด้วยการให้รางวัลหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ให้สิ่งของ ให้ A B หรือให้ดาวใน สมดุ สง่ งาน 5. ทักษะการสรปุ บทเรียน (Set Closure) ทักษะในการสรุปบทเรียน หมายถึง ความสามารถในการรวบรวมใจความหรือเน้ือเรอ่ื งที่สาคัญ ๆ ท่ผี ู้สอน ต้องการจะให้ผู้เรียนทราบเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนตามลาดับข้ันตอนท่ีถูกต้องและสมบูรณ์ ขึ้น โดยทั่ว ๆ ไปการสรุปบทเรียนจะทาทุกครั้งหลังจากท่ีสอนจบบทเรียนแล้ว เพื่อผู้เรียนจะได้มองเห็น ความสัมพนั ธร์ ะหว่างของความรแู้ ละทกั ษะต่างๆ ทไี่ ดร้ บั หลกั ในการสรปุ บทเรยี น 1. ผ้สู อนจะต้องรวู้ า่ บทเรียนจะจบลงในลักษณะอย่างไร เพื่อจะไดส้ รุปบทเรยี นได้ถูกต้องด้วยวิธีการ ท่ีเหมาะสม 2. ผู้สอนจะต้องรู้ว่าใจความสาคัญของเรื่องนั้นมีอะไรบ้าง เพ่ือจะได้สรุปบทเรียนได้ถูกต้องและ ครอบคลมุ 3. ผู้สอนจะต้องคร่นุ คิดว่าจะสรุปเรื่องทีผ่ ู้เรียนได้เรียนมาแลว้ กับส่งิ ท่ีจะสอนใหใ้ หม่ให้เข้าด้วยกัน ได้อยา่ งไร 4. การสรปุ บทเรียนจะต้องน่าสนใจ เช่นการใช้ความรู้ทเ่ี รยี นมาคิดเก่ียวกบั การนาไปแก้ปญั หาทพ่ี บ 5. พยายามชี้ให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิม ส่ิงท่ีเพิ่งเรียนจบไป การนาไป ประยกุ ตใ์ ชแ้ ละสิ่งที่จะเรียนตอ่ ไปในอนาคต 6. ผู้สอนสรุปเร่ืองหรือใจความสาคัญเข้าด้วยกันเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างถูกต้องและ สมบรู ณข์ น้ึ (cognitive closure) ตลอดจนเป็นการเช่ือมความรเู้ กา่ กบั ใหม่เข้าด้วยกัน 7. สรปุ แนวความคดิ ของผเู้ รียนเก่ียวกับการเรียน (Social Closure) ในแง่ท่ีเกี่ยวกับความสาเร็จ ในการเรียน ตลอดจนปัญหาหรืออุปสรรคท่ีประสบในการเรียนเพ่ือจะได้เป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าต่อไป 8. ผูส้ อนอาจดึงส่งิ ต่างๆที่ดูจะไมเ่ กยี่ วขอ้ งกนั ให้มาสัมพันธก์ นั 9. ผู้สอนอาจจะให้ผู้เรียนแสดงหรือสาธิตสิ่งที่เรียนไปให้ดู เช่น ผู้สอนสอนเรื่องการต่อ เซลลไ์ ฟฟ้า แล้วให้เกดิ การสรุปในสิ่งทีเ่ รยี นโดยให้ผู้เรยี นตอ่ วงจรไฟฟ้าใหด้ ู 10. การสรุปบทเรียนไม่จาเป็นท่ีผู้สอนจะต้องรอจนสอนเสร็จท้ังหมดจึงค่อยสรุป แต่ผู้สอนอาจ พิจารณาตามความเหมาะสม เช่น ถ้ามีสาระต่าง ๆท่ีค่อนข้างมากและซับซ้อนยากต่อการทาความเข้าใจ ผู้สอนอาจค่อยๆ แยกสรปุ เป็นตอนๆ ไป แลว้ ตอนทา้ ยจึงนามาสรุปรวมอกี คร้งั หนึ่ง การสรปุ บทเรียนแบบ สบื เสาะหาความรู้ควรเป็นบทบาทรว่ มกนั ระหว่างผู้สอนและผเู้ รียนในการชว่ ยกนั อภปิ รายสรุป
14 ประโยชนข์ องการสรุปบทเรียน 1. ประมวลเรือ่ งราวทส่ี าคญั ที่ไดเ้ รยี นไปแลว้ เขา้ ด้วยกัน 2. เชื่อมโยงกจิ กรรมการเรียนการสอนเข้าดว้ ยกนั 3. รวบรวมความสนใจของผเู้ รียนเข้าด้วยกนั อกี คร้ังหน่ึงกอ่ นทีจ่ ะจบบทเรียน 4. สรา้ งความเขา้ ใจในบทเรยี นให้ดขี น้ึ 5. ช่วยส่งเสริมความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรคใ์ ห้กับผเู้ รียน ถ้าผสู้ อนรู้จักให้ผู้เรียนคิดตอ่ ไปว่าจะนาสงิ่ ที่ เรียนไปประยกุ ต์ใช้ หรือนาไปใช้แก้ปญั หาได้อย่างไรบา้ ง คณุ ลักษณะทป่ี ระเมนิ 1. ใช้วิธีการต่าง ๆ ในการสรปุ บทเรียน เช่น ยกตัวอย่าง ใช้การอธิบาย ใช้การถามคาถาม ใช้สื่อ ประกอบ 2. สรุปบทเรียนโดยการเน้นจุดสาคัญของเนื้อหา การใช้คาพูด ท่าทางที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ เรือ่ งราวต่าง ๆ ไดช้ ัดเจนขึ้น 3. วธิ ีการจบบทเรยี นนา่ สนใจ 4. วธิ ีการสรปุ บทเรียนชว่ ยกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นกลบั มาสนใจในบทเรียนอกี ครง้ั หนึ่ง 5. มีการเว้นระยะเพ่ือให้ผู้เรียนคดิ และสรุปบทเรียน 6. มีการส่งเสริมให้กาลังใจ การใช้วาจา ท่าทาง สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่าประสบ ความสาเรจ็ ในการสรุปบทเรยี น 7. การกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมสรุปเนื้อหา ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติมโดยการ สนับสนุนหรือขดั แย้ง 8. สรปุ รวบยอดได้ตรงตามจุดมงุ่ หมายของบทเรียน และได้ใจความสาคญั ของเนอ้ื หา 6. ทกั ษะการเรา้ ความสนใจ (Stimulation) ทักษะการเร้าความสนใจ หมายถึง ความสามารถในการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น สนใจท่ีจะเรียน หรือติดตามการเรียนการสอนตลอดเวลา ทักษะการเร้าความสนใจจึงจาเป็นและมีความสาคัญ อย่างย่ิงสาหรับผู้สอนในอันที่จะปรับปรุงกลวิธีในการสอนของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กล่าวคือช่วยให้ผู้เรียน ไม่เบื่อหน่ายในการเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนอยู่ตลอดเวลา ดังน้ันในช่วงเวลาของการสอน ผู้สอน ควรจะต้องพยายามใช้เทคนิคต่างๆ มากระตุ้นให้นักเรียนสนใจอยู่ตลอดเวลาคือต้ังแต่เร่ิมต้นจนกระทั่งการสอน สน้ิ สดุ ลง จดุ ประสงค์สาคัญในการใชท้ กั ษะเรา้ และแปรเปล่ียนความสนใจ 1. มุ่งใหผ้ เู้ รยี นเรยี นดว้ ยความสนุกสนาน และเกดิ การเรียนร้ตู ามจดุ ประสงค์ 2. ม่งุ กระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเรียนรู้วิธกี ารเรียนหลายๆแบบ เพือ่ จะได้เกดิ ประสบการณ์ต่างๆครบถ้วน 3. มงุ่ ใหน้ ักเรียนมีความพร้อมทจี่ ะเรยี น และเรยี นไดอ้ ย่างดี 4. มุง่ ให้ผ้เู รียนมีความสนใจในบทเรียนอยา่ งสม่าเสมอ ตง้ั แต่เรม่ิ ต้นจนส้ินสุดการเรยี นนนั้ ๆ
15 5. มุ่งใหผ้ ู้สอนมีความสมั พันธอ์ ันดีต่อกัน เข้าใจซึง่ กนั และกัน รู้จดุ มุ่งหมาย ความต้องการ วิธีการ เรียน และพรอ้ มท่ีจะให้ความร่วมมือกนั ประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอนใหบ้ รรลุผลดี 6. มุ่งช่วยให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีความหมาย เน่ืองจากทั้งผู้เรียนและผู้สอนความร่วมมือ กัน และเปน็ กระบวนการส่ือความหมาย 2 ทาง 7. มุ่งสร้างบรรยากาศท่ีดี ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการดาเนินกระบวนการเรียนการสอนและ การเรียนรู้ไดเ้ ปน็ อย่างดี 8. มงุ่ ชว่ ยใหผ้ สู้ อนสอนได้ตามแผนการสอนครบถว้ น และมีประสทิ ธิภาพ 9. มุ่งช่วยลดภาระในการใช้ความพยายามและพลังในการสอนและการควบคุมช้ันเรียนให้อยู่ใน สภาพทจี่ ะสอนเพื่อใหเ้ กิดผลดี 10. ช่วยสร้างและพัฒนาผู้เรียนใหม้ ีพฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ คอื มีนิสัยใฝ่เรยี นใฝ่รูเ้ พราะได้รับการ ฝึกฝนให้สนใจ และรักการเรียน ซึ่งนับได้ว่าเป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างดีและถูก ทางวิธหี นึง่ 11. เป็นเครอื่ งชี้นาให้เห็นความจริงที่ว่า “การสอน” (Teaching) เป็นท้ังศาสตร์และศิลปะ ผู้ที่มี ใบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นครู (Teaching License) จากสถาบันฝึกหัดครู หรือสถาบันประกอบ วิชาชีพทางศึกษาศาสตร์เท่านั้นท่ีจะสามารถเรียนรู้เทคนิควิธีการ และสามารถใช้อย่างผู้มีทักษะ ประกอบการสอนเพื่อให้เกดิ ผลดกี ว่า 12. เป็นเคร่ืองมือเทคนิควิธีการ หรือองค์ประกอบสาคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยผู้เรียนผู้สอนให้ ประสบความสาเร็จ (Achievement) ในการเรียนการสอนตามความม่งุ หมาย วิธกี ารเรา้ ความสนใจ 1. การใช้ท่าทางประกอบ ท่าทางของผู้สอนในขณะทาการสอน เป็นสิ่งหน่ึงท่ีจะช่วยเร้าความ สนใจในการเรียนและการตดิ ตามบทเรียนได้เป็นอย่างดี การใช้ท่าทางในการสอนได้แก่ การแสดงออกทาง สีหน้า หรืออวัยวะส่วนอ่ืนของร่างกาย เช่น แขน มือ เป็นต้น เพื่อใช้แทนการส่ือสารด้วยวาจา และการ เคลื่อนไหวของในขณะสอน ขณะสอนผู้สอนควรมีการเคล่อื นไหวบ้าง ไม่ควรยืนอยู่จดุ ใดจุดหน่งึ โดยไม่มี การเคลื่อนท่ี เพราะการท่ีผู้เรียนต้องเพ่งไปที่จุด ๆ เดียวตลอดย่อมจะทาให้เกิดความเบ่ือหน่าย แต่การ เคล่ือนท่กี ็ควรจะต้องมจี ุดม่งุ หมาย ไมใ่ ช่เดนิ ไปเดินมาโดยไมม่ ีจดุ หมาย 2. การใช้ถ้อยคาและน้าเสียงท่ีมีการปรับเปล่ียนระดับเสียงตามความเหมาะสม ผู้สอนควรฝึกพูด ให้ชัดเจน มจี ังหวะน่าฟัง ไมเ่ รว็ หรือช้าจนเกินไป รจู้ ักเน้นหนักเบา การพูดโดยใช้เสียงราบเรียบโดยตลอด ในขณะสอนยอ่ มทาให้ผูเ้ รยี นเบือ่ หน่ายไดง้ ่าย 3. การเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนมสี ่วนรว่ มในการเรียนการท่ีผู้สอนพดู อยู่คนเดยี วตลอดย่อมทาให้ผเู้ รียน เกิดความเบื่อหน่ายการเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นได้แสดงความคดิ เหน็ หรือมีส่วนรว่ มในการเรียนจะทาให้เกิดการ เรียนรู้ได้ดีข้นึ 4. การใช้ส่ือการสอนประกอบ การเรียนรู้ท่ีดีน้ันควรจะให้ผู้เรียนได้ใช้ประสาทสัมผัส หลายๆ อย่าง เช่น ฟัง พูด เขียน อ่าน การนาส่ือการเรียนเข้ามาใช้ก็เพื่อท่ีจะทาให้ผู้เรียนสนใจเรียนและเข้าใจ
16 บทเรียนดีขึ้น สอ่ื การเรียน หมายถึง ทกุ ส่งิ ทุกอย่างท่ผี ู้สอนนาเข้ามาชว่ ยในการเรียนเพอ่ื ให้เกิดการเรยี นรู้ ไดด้ ีขึ้น เช่น แผนภูมิ แผนภาพ ฯลฯ 5. การแสดงบทบาทหรอื สถานการณ์จาลอง 6. การใช้เกม เกมในท่ีน้ีเกมที่นามาใช้ควรเป็นเกมที่ช่วยในการเรียนรู้ มิใช่เกมท่ีเล่นเพ่ือความ สนกุ สนานเพลิดเพลนิ เท่านน้ั 7. การสาธิต การสาธิตคือการนาเอาวัสดอุ ุปกรณ์ประกอบการเรยี นการสอน ตลอดจนการแสดง ของครูหรือนกั เรียนมาประกอบการสอนหรอื การอธบิ าย เพื่อให้ผ้เู รียนสังเกตเหน็ ได้จริง ซง่ึ การสาธติ ก็เป็น วิธีการหนงึ่ ทจี่ ะช่วยเรา้ ความสนใจของผูเ้ รยี นไดเ้ ป็นอย่างดี 7. ทกั ษะการใชก้ ระดานดา หรอื กระดานชอล์ก (Chalk Board Writing Skill) เทคนิคการใช้กระดานดา หมายถึง กลวิธีในการเขียนหรือวาดตัวอักษร ตัวเลข ภาพ สัญลักษณ์หรือลายเส้น ตา่ งๆ บนกระดานทใี่ ชเ้ ปน็ อุปกรณก์ ารสอนไดอ้ ยา่ งมีระบบ สะอาดเรียบรอ้ ย ดูแลว้ สวยงามและเขา้ ใจงา่ ย วตั ถปุ ระสงคข์ องการใชก้ ระดานดา 1. เพื่อประกอบการอธิบาย สรปุ และทบทวนบทเรียน 2. ใชเ้ พ่ือเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความรู้ ความคิดเหน็ และศักยภาพดา้ นอน่ื ๆ 3. ใช้เพอ่ื เสริมการใชอ้ ปุ กรณ์อน่ื ๆ 4. ใชเ้ พ่ือประกอบการจดั กิจกรรมตา่ งๆ ในชั้นเรยี น ประโยชน์ของกระดานดา 1. ใช้บนั ทกึ ขอ้ ความในการเรยี นการสอน 2. ใชใ้ นการรวมตัง้ ขอ้ เสนอแนะ แนวคิดทัง้ ของผู้เรยี นและผู้สอน 3. ใช้สาหรบั การแข่งขนั หรอื เล่นเกมการศกึ ษา 4. ใชเ้ พอ่ื ประกอบการอธิบาย สรุปและทบทวนบทเรียน ความจาเป็นของกระดานดาสาหรบั การสอนของครู กระดานดาเป็นที่สาหรับบันทึกข้อความท่ีครูสอนรวมทั้งความรู้ของนักเรียนและเป็นจุดรวม ความสนใจของนักเรียนทั้งห้อง การเขียนกระดานดาให้ถูกต้องตามอักขรวิธีของการเขียนและการสะกด เขียนให้อยู่ในแนวระดับและเขียนให้เป็นไปโดยลาดับอย่างมีระเบียบแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทาได้ โดยง่าย แต่โดยความเป็นจริงครูไม่เคยฝึกเขียนกระดานดาและขาดทักษะในการเขียนกระดานดามักไม่ สามารถเขียนกระดานดาให้มีลักษณะดังกล่าวข้างต้นได้ ฉะน้ันครูต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะความชานาญ เพอื่ ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและเป็นแบบอย่างทด่ี ใี หก้ ับนกั เรยี นในเรอ่ื งการเขยี นตัวอักษรและการใช้ กระดานดา เทคนคิ การใชก้ ระดานดา 1.กอ่ นใชก้ ระดานดาควรคานึงถงึ ความสะอาด
17 2. เขยี นหนงั สอื ใหม้ ีขนาดพอเหมาะ อา่ นง่าย ชดั เจนเปน็ ระเบียบ 3. เนน้ จดุ สาคญั 4. เลอื กเขยี นเฉพาะใจความสาคญั 5. เมือ่ เขียนเสรจ็ แลว้ จะต้องตรวจดคู วามถูกอกี คร้ัง 6. ควรเขียนกระดานดาโดยเอียงตวั เข้าหา เพื่อไม่ใหบ้ ังข้อความที่เขียนไวแ้ ล้ว 7. เม่ือจะสอนเร่อื งใหมค่ วรลบขอ้ ความเดิมก่อน 8. ใชภ้ าพลายเสน้ หรือการ์ตูนประกอบการสอน 9. แบ่งกระดานดาเป็นสว่ นตามความยาว 10. เปิดโอกาสให้นักเรียนไดม้ ีส่วนรว่ มในการใช้กระดานดา 8. ทกั ษะการกระตุน้ ใหค้ ิด (Active Thinking) จุดมงุ่ หมายของทกั ษะกระตนุ้ ใหค้ ดิ 1. เพอ่ื ให้ผ้ฝู กึ รวู้ ิธใี นการสง่ เสริมความสามารถในการคดิ ของผู้เรยี น 2. เพ่อื กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นมีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระ 3. เพื่อใหผ้ ู้สอนตระหนักถงึ การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนคิดอย่างมเี หตผุ ล 4. เพื่อฝกึ ให้ผู้สอนและผู้เรยี นมใี จกวา้ ง ยอมรับฟงั ความคิดเห็นซึง่ กนั และกนั 5. เพื่อให้ผู้สอนรู้จักแบบของการคิดและพฤติกรรมของการคิดชนิดต่าง ๆ ท่ีจะสามารถนาไปฝึก ปฏิบัติรวมทั้งฝกึ ให้เกดิ ข้นึ กบั ผเู้ รียนได้ด้วย รปู แบบการสอนเพ่ือพัฒนาการคดิ 1. การสร้างความคิดรวบยอด (Concept Attainment) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนา ความคิดแบบอนุมาน มีเหตุผลสามารถพัฒนาความคิดรวบยอดของตนเองและความสามารถในการ วิเคราะห์ 2. การคิดเชิงอุปมาน (Inductive Thinking) มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนากระบวนการคิดของสมอง เพอ่ื ให้มีเหตุผลย่งิ ขึ้น 3. การฝึกการคิดค้นหาคาตอบ (Inquiry Training) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนากระบวนการใน การคิดคน้ ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. การพัฒนาความรู้ (The Developing Intellect) มีจดุ มุ่งหมายเพ่ือพัฒนาความรู้ความคิดของ ผู้เรียนให้เกิดข้ึนอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมท่ีกาลังเผชิญอยู่โดยให้ เป็นไปตามพัฒนาการของผเู้ รียนตามวัย 5. การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ จากการคิดค้น การตรวจสอบเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดหรือเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาและสามารถ ออกแบบการแก้ปัญหา
18 6 การคิดค้นทางสังคมศาสตร์ (Social Science Inquiry) จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนานักเรียน ให้ รจู้ ักคิด วเิ คราะห์ และหาทางแก้ไขปัญหาสังคมอยา่ งมีระบบตามวิธีการสืบเสาะหาความรู้ รวมท้งั ส่งเสริม ให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแกป้ ัญหาและพัฒนาสงั คม ทเ่ี ข้าใจตรงกัน 7. การคิดค้นทางชีววิทยา (Biological Science Inquiry model) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนา ผู้เรียนให้มีความรู้ในสาขาวิชาชีววิทยารวมท้ังมีทักษะและความสามารถในการแสวงหาความรู้ ค้นคว้า หาคา ตอบได้อยา่ งมรี ะบบตามระเบยี บวธิ ีวจิ ัยทางชีววิทยา 8. การใช้กลุ่มสืบเสาะหาความรู้ (Group Investigation Model) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพฒั นาผูเ้ รียน ท้ังในด้านเนื้อหาความรู้และด้านกระบวนการทางสังคม โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เป็นหลัก รวมทง้ั กระบวนการประชาธิปไตยและพลังกลุม่ เพ่ือให้ได้เรียนรู้และทางานรว่ มกัน 9. ทักษะการใช้สื่อการสอน (Media Presentation) ทักษะการใช้ส่ือการสอน เป็นความสามารถในการใช้เคร่ืองมือ อุปกรณ์ คน หรือวิธีการ ท่ีช่วยเป็น ตัวกลางในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เห็นภาพท่ีชัดเจน บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีผู้สอนตั้งไว้ ผู้สอนสามารถ นาสื่อการสอนไปใช้ในทุกขั้นตอนของการสอน เช่น ขั้นการนาเข้าสเู่ ร่ือง ข้นั สอนเนื้อหา ขนั้ สรุปบทเรยี น การใช้ส่ือ ประกอบการสอนจะประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับวิธีการเตรียม การเลือก และการใช้ของผู้สอนแต่ ละครั้งเปน็ สาคญั คณุ ค่าและประโยชนข์ องใช้สอื่ การสอน 1. สื่อการสอนช่วยให้เรียนรงู้ ่ายข้นึ 2. สอ่ื การสอนชว่ ยประหยัดเวลา 3 .สอ่ื การสอนช่วยถา่ ยทอดความคิดความเข้าใจในเร่อื งต่างๆ ระหว่างผู้สอนกับผู้เรยี นได้ดี 4. สื่อการสอนช่วยใหผ้ เู้ รยี นจาประสบการณ์ได้ดี คงทนถาวร และลมื ไดโ้ ดยยาก 5. สอื่ การสอนช่วยให้ผู้เรยี นเรียนได้ดขี ้ึน และมากข้ึน 6. สื่อการสอนชว่ ยกระตุน้ ผเู้ รยี นท่ีมีพื้นฐานประสบการณท์ ่ีแตกต่างกนั ใหส้ นใจในบทเรยี นได้ 7. สื่อการสอนชว่ ยให้ผู้เรยี นมคี วามกล้าแสดงออกทง้ั ในทางความคิด และการแสดงบทบาท 8. สอ่ื การสอนชว่ ยให้มีการเรยี นการสอนไดค้ ราวลละมากๆ 9 .ส่ือการสอนช่วยให้ผู้สอนจดั ประสบการณใ์ ห้แกผ่ ู้เรียนไดห้ ลายๆแบบ 10 สื่อการสอนช่วยให้ผูเ้ รยี นสามารถประกอบกิจกรรมต่างๆ ได้ตรงตามจุดประสงคแ์ ละลักษณะ ของเนื้อหาวิชา 11 ส่อื การสอนชว่ ยใหผ้ สู้ อนสอนไดง้ า่ ยขนึ้ และประหยดั เวลา 12. ส่ือการสอนช่วยให้ผู้สอนสอนได้ตรงตามจุดประสงค์ท่ีได้กาหนดไว้ ซ่ึงจะช่วยให้กระบวนการ เรยี นการสอนและการประเมินผลเปน็ ไปด้วยดีและมปี ระสทิ ธภิ าพ จดุ มุ่งหมายในการใช้ส่ือการสอน 1. มุ่งให้ประสบการณ์ตรง (Direct Experience) และเป็นจรงิ แกผ่ เู้ รียน
19 2. มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเรยี นไดโ้ ดยง่าย และสะดวกขึน้ 3. มงุ่ เรา้ ผเู้ รียนใหม้ คี วามสนใจในบทเรยี นอยา่ งต่อเน่อื งตามข้ันตอน และตลอดเวลา 4. มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนร่วมในการทากจิ กรรมการเรียนการสอน 5. มงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดทกั ษะความสามารถ เน่ืองจากไดเ้ รียนรูด้ ้วยการลงมอื ทดลองและฝึกปฏิบตั ิ 6. มุ่งให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกทางความคิด และการแสดงบทบาทอย่างสมควรโดยสมเหตุสมผล ตามแนวทางท่ดี แี ละท่ีพึงประสงค์ของสงั คม 7. มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ 8. มงุ่ สรา้ งบรรยากาศท่ดี ใี นการเรียนการสอน 9. ม่งุ สรา้ งปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างผเู้ รยี นและผสู้ อน 10.ม่งุ ใหป้ ระหยัดเวลา วัสดุอปุ กรณ์ คา่ ใช้จ่าย และบคุ ลากรผสู้ อน ในขณะเดยี กนั ทาใหผ้ เู้ รยี น จานวนมากเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งคุ้มคา่ ภายใต้สถานการณ์ท่ีดีและได้มาตรฐานอย่างเดยี วกัน จากการศกึ ษาทักษะการสอนเบ้อื งต้นผู้วิจยั สรปุ ทกั ษะการสอนได้ 9 ขน้ั ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ทักษะการนาเข้าสู่บทเรียน ถือเป็นกิจกรรมเพื่อการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียน การท่ี ผู้เรียนจะมีความสนใจมากน้อยเพียงใดจะขึ้นอยู่กับทักษะการนาเข้าสู่บทเรียนของผู้สอนอีกด้วย การ นาเข้าสู่บทเรียนสามารถทาได้หลายวิธี เช่น การต้ังคาถาม การใช้เกม เป็นต้น ทุกวิธีล้วนส่งผลให้เกิ ด ความรว่ มมือกนั ระหวา่ งผู้สอนและผู้เรียน จึงเป็นการสร้างบรรยากาศทด่ี ใี ห้เกดิ ภายในช้ันเรยี นได้ 2. ทักษะการอธิบาย เป็นทักษะที่มีความหมายและมีความสาคัญสาหรับผู้สอนเพราะเป็นทกั ษะ ทีจ่ ะสามารถทาให้ผเู้ รียนนน้ั ไขข้อข้องใจจากข้อสงสัยที่เกิดจากการเรยี น ทาใหผ้ ู้เรียนเกิดความเข้าใจและ ความชัดเจนมากย่ิงขึ้น การอธิบายท่ีดีจึงไม่ควรนานเกินไป ควรใช้ภาษาที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และที่ สาคญั ตอ้ งครอบคลุมใจความสาคัญได้อย่างครบถว้ น และจาเปน็ ต้องมีการสรปุ ประเด็นในการอธบิ าย 3. ทกั ษะการใช้คาถาม ความสามารถในการใชค้ าถามเพือ่ กระตุ้นความสนใจของผ้เู รียน เพ่ือช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล และช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนการสอน และสามารถใช้คาถามวัดความเข้าใจของผู้เรียนและวัดผลการสอนของผู้สอนว่าบรรลุไป ตามจดุ มุ่งหมายมากนอ้ ยเพียงใด 4. ทักษะการเสริมกาลังใจ เป็นวิธีการท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความกล้าแสดงออกที่จะมีส่วน ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ภายในช้ันเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจอยากที่ตอบคาถาม กระตุ้นความ อยากเรียนให้กับผู้เรียนโดยตรง แต่ผู้สอนควรจะเลือกวิธีการเสริมกาลังใจให้เหมาะแก่ตัวบุคคล เช่น คาชมเชย การใหร้ างวลั แต่การเสริมกาลงั ใจน้ันก็ไมค่ วรทจี่ ะนามาใช้บอ่ ยเพราะจะส่งผลเสยี มากกวา่ ผลดีได้ 5. ทักษะการสรุปบทเรียน เป็นกระบวนการในการรวบรวมเนื้อหาใจความสาคัญท่ีจะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดความเข้าใจมากย่ิงข้ึน ผู้สอนน้ันต้องมีความสามารถอย่างมาก หลักของการสรุปบทเรียนน้ัน ผู้สอนจะต้องสรุปเนื้อหาให้มีความถูกต้องและครอบคลุมใจความสาคัญ เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับเนื้อหาท่ี ถูกต้องและสมบูรณม์ ากทีส่ ดุ
20 6. ทักษะการเร้าความสนใจนั้น เป็นวิธีการต่าง ๆ ที่ผู้สอนใช้ในการเรียนการสอน เพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดความสนใจมีความต้ังใจและมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเรียน การใช้เทคนิคหรือกลวิธีต่าง ๆ ของ ทกั ษะการเร้าความสนใจจะทาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรตู้ ลอดเวลาในขณะทเี่ รียน 7. ทักษะการใช้กระดานดา หรือกระดานชอล์ก ผู้สอนสามารถใช้กระดานดาเพ่ือประกอบการ เรียนการสอน ประกอบการบรรยาย อธิบาย การสรุปและการทบทวนบทเรียน และให้นักเรียนทุกคน แสดงความรู้หรือทักษะโดยการใช้กระดานดาเป็นสื่อในการแสดงออกของนักเรียน และผู้สอนสามารถนา กระดานดามาใชเ้ พื่อเสริมการใช้อุปกรณ์อ่ืน ๆ ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนภายในชน้ั เรียน 8. ทักษะการกระตุ้นให้คิด เป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะความสามารถทางความคิดท่ีดีขึ้น ให้ ผู้เรียนได้รู้จักทักษะของความคิดในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ทักษะการคิดรวบยอด การคิดค้นหา คาตอบ การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น แต่ทุกรูปแบบการสอนเพ่ือพัฒนาความคิดของผู้เรียนน้ันมี จุดมงุ่ หมายทีช่ ดั เจนเหมอื นกัน คือ เพอื่ พัฒนาผู้เรียนใหเ้ กดิ ความรใู้ นทุกๆ ด้านท่ีผ้เู รียนสนใจ 9. ทักษะการใช้ส่ือการสอน เป็นเทคนิคต่างๆ ที่ผู้สอนใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนอยู่ในรูปของ วัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีและเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่จะทาให้การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนบรรลุตามวัตถปุ ระสงคท์ ตี่ งั้ ไว้
21 ตารางท่ี 2.1 การสงั เคราะหท์ ักษะการสอนขัน้ พ้นื ฐาน ทกั ษะการสอนข้นั พ้ืนฐาน ชาญ ัชย ิอนทรประ ัวติ(2522) วารีรัตน์ แ ้กว ุอไร (2549) ทักษะท่ี ู้ผ ิว ัจยเ ืลอกใ ้ช 1. ทักษะในการใช้คาถาม ✓✓✓ 2. ทักษะการนาเขา้ สู่เรอื่ ง/บทเรยี น ✓✓✓ 3. ทักษะการสรปุ บทเรยี น ✓✓✓ 4. ทักษะการใช้อปุ กรณก์ ารสอน/ส่ือการสอน ✓✓✓ 5. ทักษะการใชก้ ระดานดา ✓✓✓ 6. ทกั ษะการเร้าความสนใจ ✓✓✓ 7. ทักษะการเสริมแรงหรอื เสริมกาลังใจ ✓✓✓ 8. ทกั ษะการเลา่ เรอ่ื ง/การอธิบาย ✓✓✓ 9. ทักษะการทาใหน้ กั เรยี นเอาใจใส่ในการเรียนการสอน ✓ 10. การเสนอบทเรียน ✓ 11. ทกั ษะการสรา้ งสรรค์ใหน้ ักเรยี นมีสว่ นร่วมในการเรยี นการสอน ✓ 12. ทกั ษะการกระตนุ้ ให้คิด ✓✓ ตอนท่ี 2 วีดทิ ัศน์ตน้ แบบ ( Video Modelling ) 2.1 ความหมายของวดี ทิ ัศนต์ ้นแบบ (Video Modelling) วีดิทัศน์ (Video) คือ มัลติมีเดียที่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงบรรยายได้ การนาเสนอวิดีโอ มีหลายรูปแบบ เช่น วิดีโอเพื่อการศึกษา วิดีโอเพ่ือความบันเทิง ประโยชน์ของวิดีโอมีมากมาย นอกจากให้ความรู้ ใหค้ วามบนั เทิงยังสามารถสร้างรายไดใ้ หก้ ับผใู้ ช้งาน เช่น วดิ โี อนาเสนอสนิ คา้ ผลติ ภัณฑ์ตา่ งๆ เปน็ ตน้ โดยการสรา้ ง แบบจาลองวิดีโอ (Video Modelling) กาลังเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและเป็นท่ีนิยมใช้ในการสอนทักษะ ต่างๆ ให้กับนักเรียนในสเปกตรัม การสร้างแบบจาลองวิดีโอเป็นเพียงแค่ส่ิงท่ีคุณต้องการ เช่นการถ่ายทาวีดิทัศน์ (อาจเป็นบุคคลท่ีเขาหรือเพื่อน) ทาภารกิจ / ทักษะท่ีคุณต้องการสอน จากน้ันพวกเขาก็ดูและทาตามแบบ โดย พนื้ ฐานแล้วก็เหมือนกบั การสร้างแบบจาลองทัว่ ไปยกเว้นวา่ วิดโี อบางชนดิ จะถกู บันทึกและดแู ล้ว มกี ารเพิ่มขน้ึ ของ การวิจยั เก่ียวกับ VM แสดงวา่ มีประสทิ ธิภาพสาหรับบุคคลท่ีหลากหลายรวมถึงบุคคลท่ีมี ASD ศูนย์พัฒนาวิชาชีพ
22 แห่งชาติเพื่อความผิดปกติของออทิสติกมีหลักฐานที่ดีเกี่ยวกับเรื่องน้ี ซึ่งสอดคล้องกับ Bellini and Akullian (2007) ท่ีได้ศึกษาถึงการสร้างแบบจาลองวิดีโอ เป็นวิธีการสอนภาพท่ีเกิดข้ึนโดยการเฝ้าดูวิดีโอของคนท่ีสร้าง แบบจาลองพฤตกิ รรมหรือทักษะและเลยี นแบบพฤตกิ รรม / ทกั ษะทไ่ี ดร้ ับชมสาหรับผใู้ ช้การสร้างแบบจาลองวิดโี อ เป็นเคร่ืองมือการสอนที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพซึ่งจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านส่ือภาพท่ีสนุกสนานและ ดึงดูดใจ การสร้างแบบจาลองวิดโี อเป็นกลยุทธ์การแทรกแซงท่ีมีประสทิ ธิภาพสาหรับการจัดการกับทกั ษะท่สี าคัญ ตอ่ การตัดสินใจดว้ ยตนเองสาหรับนักเรยี นท่ีมีอาการ ASD รวมถงึ การทางานด้านพฤติกรรม ทักษะการสื่อสารและ ทักษะการทางานตามท่ีคาดไว้ตามทฤษฎีการสร้างแบบจาลองของ Bandura นักเรียนทาผลงานได้ดีท่ีสุดเมื่อพวก เขา มีแรงจูงใจและใสใ่ จ มากเพราะชอบดวู ิดโี อนี้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า วีดิทัศน์ต้นแบบ เป็นทักษะการสอนทางสังคมโดยนาเสนอต้นแบบที่แสด ง พฤติกรรมเป้าหมายผ่านทางวิดีทัศน์ เม่ือนิสิตครูได้ชมวีดิทัศน์ จะเกิดกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต พฤตกิ รรมเปา้ หมายทีต่ ัวแบบแสดง จนทาให้เกิดการเลยี นแบบพฤตกิ รรมในทีส่ ุด 2.2 แนวคิดทฤษฎีท่เี ก่ยี วข้องกับวดี ทิ ัศนต์ ้นแบบ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการออกแบบมลั ตมิ ีเดีย ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นพื้นฐานที่จะนามาใช้ในการออกแบบบทเรียน ซึ่งทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับ การออกแบบมัลติมีเดียเพ่ือการเรียนรู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วย 3 ทฤษฎีหลัก คือ ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory) ทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism Theory) และ กลมุ่ คอนสตรคั ตวิ ิสม์ (Constructivism Theory) ทฤษฏที ี่ 1 ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism Theory) แนวความคิดพ้ืนฐานของนักทฤษฎีกลุ่มนี้จะมองมนุษย์เหมือนกับผ้าขาวที่ว่างเปล่า การเรียนรู้ ของมนุษย์เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ซึ่งต้องจัดเตรียมประสบการณ์หรือส่ิงแวดล้อม ภายนอกเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการ โดยประสบการณ์ดังกล่าวหากมีการกระทาซ้าแล้วซ้าอีกก็จะกลายเป็น พฤติกรรมอัตโนมัติท่ีแสดงแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งนักทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยมเช่ือว่า องคป์ ระกอบที่สาคญั ของการเรยี นรปู้ ระกอบด้วย 4 ประการ คอื 1. แรงขับ (Drive) หมายถึง ความต้องการของผู้เรียนในบางสิ่งบางอย่างที่จูงใจให้ผู้เรียนหาหนทาง ตอบสนองตามความตอ้ งการน้ัน 2. ส่ิงเรา้ (Stimulus) หมายถึง สิ่งท่ีเข้ามากระตุ้นให้ผู้เรียนมีปฏิกิริยาการตอบสนองเกิดเป็นพฤติกรรม ขึ้น ซึ่งไดแ้ ก่ การใหส้ าระความรู้ในรูปแบบตา่ งๆ รวมท้งั การชแ้ี นะ 3. การตอบสนอง (Response) หมายถึง การท่ีผู้เรียนแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าซ่ึงอธิบายได้ ด้วยพฤตกิ รรมที่ผ้เู รยี นแสดงออก 4. การเสริมแรง (Reinforcement) หมายถงึ สิ่งทเ่ี ปน็ ตัวแปรสาคญั ในการเปลย่ี นพฤตกิ รรม ของผูเ้ รยี น ประกอบด้วยการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบ โดยนิยมใช้รูปแบบการ เสริมแรงจากภายนอก เช่น การให้รางวลั หรอื การลงโทษ
23 การนาทฤษฎีการเรียนรู้กลมุ่ พฤติกรรมนิยมไปใชใ้ นการเรียนการสอน แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนยิ มจะกอ่ ให้เกดิ ประสิทธิภาพตอ่ การเรยี นรูม้ ากที่สุด เม่ือใช้ในกรณตี ่อไปน้ี 1. ผู้เรียนไม่มีพื้นฐานความรู้หรือไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่เก่ียวกับเน้ือหาวิชานั้นๆ เลยหรือมี แตน่ อ้ ยมาก 2. การเรยี นการสอนท่ตี ้องการให้เกิดผลสาเร็จในชว่ งระยะเวลาท่ีไมน่ านนัก เช่น การฝึกอบรมหลักสตู รส้นั ๆ 3. เน้ือหาวิชาพื้นฐานท่ีสามารถเขียนในรูปแบบวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีสามารถวัด หรือสังเกตได้ อย่างชดั เจน เช่น การบวกลบคูณหาร การสะกดคา เปน็ ต้น 4. การตอบสนองตอ้ งใชก้ ับทางเลือกที่มคี าตอบชัดเจนตายตัว ไม่ใช่มที างเลือกท่ีมากมายหรือยืดหยุ่นมาก เกินไป เช่น ควรใช้การทาข้อสอบแบบเลือกตอบถูกผดิ มากกว่าแบบบรรยายหรือเขยี นตอบ 5. การเรียนการสอนที่เน้นการประเมินผลลัพธ์สุดท้าย มากกว่าการประเมินระหว่างเรียนหรือ กระบวนการข้อจากัดของการเรียนการสอนตามแนวน้ีคือ ไม่เหมาะกับการส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิด ระดับสูง เช่น ทักษะการแก้ปัญหาความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น เนื่องจากรูปแบบการเรียนไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนคิดค้นหา หนทางดว้ ยตนเอง แตเ่ ปน็ การทาตามในสงิ่ ท่ีไดเ้ ห็นหรือฟังซึ่งครผู ู้สอนเปน็ ผู้จัดเตรยี มไวพ้ ร้อมแลว้ ทฤษฎที ี่ 2 ทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism Theory) แนวความคิดพื้นฐาน นักทฤษฎีกลุ่มนี้กล่าวว่าบุคคลแต่ละคนจะมีโครงสร้างความรู้หรือโครงสร้างทาง ปัญญาภายในท่ีมีลักษณะเป็นโหนดหรือกลุ่มที่มกี ารเชื่อมโยงกันอยู่การท่ีมนุษยจ์ ะรับรู้อะไรใหม่ๆน้ัน มนุษย์จะนา ความรู้ที่เพ่ิงได้รับซ่ึงอยู่ในรูปแบบความจาช่ัวคราวน้ันไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรู้ท่ีมีอยู่เดิมทาให้เกิดเป็นความรู้ หรือความจาถาวร ซ่ึงการผสมผสานระหว่างส่ิงที่ได้รับในปัจจุบันกับประสบการณ์ในอดีตจาเป็นต้องอาศัย กระบวนการทางปัญญาเข้ามามีอิทธิพลในการเรียนรู้ด้วย ทฤษฎีกลุ่มน้ีจึงเน้นกระบวนการทางปัญญา เช่น การรับรู้ การระลึกหรือจาได้ การคิดอย่างมีเหตุผล การตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการสร้างจินตนาการ เป็นต้น มากกวา่ การวางเงือ่ นไขเพ่ือให้เกิดพฤตกิ รรมรวมทง้ั ใหค้ วามสาคญั กับความแตกต่างระหว่างบคุ คล การนาทฤษฎีการเรยี นร้กู ลมุ่ ปญั ญานิยมไปใช้ในการเรียนการสอน กรณที ี่ 1 ผู้เรยี นมีพืน้ ฐานความรูห้ รือประสบการณ์เกี่ยวกบั เนือ้ หานนั้ ๆมาบา้ งแล้ว กรณที ่ี 2 มแี หล่งการเรยี นรจู้ านวนมากทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเช่ือมโยงองคค์ วามรใู้ หม่ไปยังองค์ความรู้เดมิ กรณีท่ี 3 มเี วลาในการเรียนการสอนพอสมควร มิได้จากัดเวลาอย่างเขม้ งวด กรณีท่ี 4 เน้ือหาท่ีฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิด ค้นคว้าหาคาตอบได้ด้วยตนเอง เช่น การแก้สมการ การทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ต้น เนื่องจากทฤษฎีกลุ่มน้ีให้ความสาคัญต่อกระบวนการทางจิตใจหรือความคิดของคนเรา ฉะน้ันแนวทาง การจัดการเรียนการสอนจึงเน้นที่ตัวผู้เรียน โดยครูผู้สอนต้องหากลยุทธ์การสอนและสภาพแวดล้อมที่จะช่วยให้ ผู้เรียนแต่ละคนได้คิด ได้รู้จักวิธีการและเกิดการค้นพบด้วยตนเอง สามารถเชื่อมโยงความรู้ท่ีได้รับให้กลายเป็น ความจาถาวร
24 ทฤษฎีท่ี 3 ทฤษฎกี ลุ่มคอนสตรัคติวสิ ม์ (Constructivism Theory) แนวความคิดพ้ืนฐานของกลุ่มน้ี คือ การท่ีบุคคลหน่ึงบุคคลใดได้ลงมือกระทาหรือ สร้างสรรค์ความหมาย จากประสบการณ์ของตน องค์ความรู้จะถูกสร้างข้ึนโดยคนผู้น้ันเอง ผ่านชุดของประสบการณ์ต่างๆ ท่ีมี ลักษณะเฉพาะของตนและมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคนการนาทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มคอนสตรัคติวิสม์ไปใช้ใน การเรียนการสอนแนวคิดกลุ่มคอนสตรัคติวิสม์ จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้มากที่สุดเมื่อใช้ในกรณี ดังต่อไปน้ี 1. ควรใช้ในลักษณะการบูรณาการเน้ือหาหลากหลายวิชาเข้าด้วยกันและผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้ หรือ ประสบการณ์ของเนือ้ หาเหลา่ นั้นแลว้ อยา่ งดี 2. มีเวลาในการเรยี นการสอนมาก อาจเป็นสปั ดาหห์ รือนานถงึ ภาคการศึกษา 3. เนื้อหาและกิจกรรมท่ีสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เช่น การประดิษฐ์คิดค้น การแก้ปัญหา แบบซับซอ้ นในสถานการณ์ตา่ งๆ เป็นตน้ นักทฤษฎีกลุ่มน้ีช่ือกว่ากระบวนการเรียนรู้สาคัญกว่ากระบวนการสอน แต่ละบุคคลสามารถสร้างความรู้ ได้ด้วยตนเอง ฉะนั้นการออกแบบการเรยี นการสอนจึงต้องมุ่งเน้นการวางแนวทางและสภาพแวดล้อมการเรียนให้ เอ้ือตอ่ การสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง กล่าวโดยสรุป จากการศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการออกแบบส่ือมัลติมีเดียแล้วผู้วิจัย สรปุ ไดว้ ่าทฤษฎีการจัดการเรยี นรูแ้ ตล่ ะกลุ่มมีเปา้ หมายให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจท้ังจากพฤติกรรมหรือ การใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเองซ่ึง การเรียนรู้อาจจะเกิดจาก การมีประสบการณ์เดิมอยู่หรือเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเองท้ังการฝึกหัดหรือการกระทาอยู่ตลอด (Prater, Carter, Hitchcock and Dowrick, 2012) 2.3 วตั ถปุ ระสงคข์ องการใชว้ ีดิทศั น์ต้นแบบ 1. สามารถนาสง่ิ ทอ่ี ย่ภู ายนอกห้องเรียนเข้ามาสู่นกั เรียนในห้องได้ 2. สามารถใช้เทคนิคในการถ่ายทาเพื่อให้นักเรียนได้เห็นส่ิงที่เล็กมากๆ ได้อย่างชัดเจนด้วย ตาเปล่า ท้ังน้ีก็ดว้ ยวธิ ีการถ่ายทา คอื การจับภาพระยะใกล้ (Close up /Extreme Close up) หรือให้ได้เห็นภาพ แบบกว้างไกล (Long Shot and Wide Angle) 3. สามารถใช้เทคนิคการถ่ายทาให้นักเรียนเห็น และ เกิดความเข้าใจในกระบวนการบางอย่าง ซ่ึงมนุษย์เราไมส่ ามารถเหน็ ได้ตามปกติ เช่น เทคนิคการถ่ายทาภาพอนิเมช่ัน (Animation) ช่วยทาใหส้ ิ่งที่ไม่มีชีวิต เคลือ่ นไหวไดเ้ หมือนกับสง่ิ มชี วี ิต 4. สามารถใช้เทคนิคการซ้อนภาพ (Superimposition) จากแหล่งสัญญาณภาพ 2 แหล่ง ให้ปรากฏอย่ใู นจอไดใ้ นเวลาเดียวกนั 5. สามารถเสนอภาพ และเสียงจากสื่ออ่ืนๆ ท่ีใช้กันในสถานการณ์การเรียนการสอนได้เกือบ ทกุ ชนดิ ซึ่งทาให้รายการสอนนั้นนา่ สนใจ และชวนใหน้ า่ ตดิ ตามมากขน้ึ 6. สามารถตัดต่อแก้ไข หรือเพิ่มเติมเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทาให้การเรียนการสอนเกิด ประโยชน์ตรงกบั ความต้องการของผ้สู อนโดยไม่สิน้ เปลืองเวลา และค่าใช้จ่ายมากข้ึน
25 7. สามารถเผยแพร่ความรู้ออกไปได้อย่างกว้างขวาง เคร่ืองมือที่ใช้ในการบันทึกภาพมีขนาดเล็ก จึงสามารถนาไปถ่ายทารายการได้สะดวกสามารถบันทึกเหตุการณ์ หรือเร่ืองราวที่เกิดข้ึนได้ในทันที และเก็บไว้ สอนตอ่ ไปไดไ้ มจ่ ากัดเวลา สถานที่ และเมื่อสอบไปแลว้ จะนามาสอนอีกก่ีครง้ั ก็ได้ 8. วีดิทัศน์เอื้ออานวยให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ เพราะสามารถดูซ้าได้หลาย ครัง้ จนกว่าจะเข้าใจหรอื จดจาได้ 9. วิดีทัศน์สามารถช่วยครูผู้สอนได้ด้วยการบันทึกภาพการสอนของครูแล้วนามาเปิดชม เพ่ือตรวจสอบความบกพร่อง และขอ้ ผิดพลาดนั้นๆ เพ่ือพฒั นาการสอนใหไ้ ดผ้ ลดยี งิ่ ข้นึ ได้ตลอดเวลา กล่าวโดยสรุป เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการใช้วีดิทัศน์ต้นแบบคือ การนาเทคนิคต่างๆ ที่มีความ เก่ียวข้องกับการถ่ายวิดีโอหรือความรู้เก่ียวกับการใช้วิดีทัศน์มาเป็นส่วนหน่ึงของการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้ การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้เพราะสามารถดูซ้าได้เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจย่ิงขึ้น ซ่ึงมี ความเกยี่ วข้องกับทฤษฎีพฤตกิ รรมนยิ ม 2.4 การสรา้ งวีดิทัศน์ตน้ แบบ การผลิตวีดิทัศน์น้ันหากผู้ผลิตปฏิบัติตามขั้นต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี ก็จะทาให้การผลิตรายการดาเนินการไป อยา่ งราบร่นื และสาเร็จตามจุดม่งุ หมายโดยมีข้ันตอนการผลิต (นพิ นธ์ ศขุ ปรดี ี, 2528) ดังน้ี 1. กาหนดจุดประสงค์และเป้าหมายท่ีชัดเจน ต้องรู้จุดประสงค์ที่ต้องการรู้ ประเภทผู้ชม และ วิธกี ารทจี่ ะใชส้ อนในหอ้ งเรียน 2. รวบรวมข้อมูลและเอกสารที่จาเป็นสาหรับการจัดรายการตรวจสอบความถูกต้องรวม ท้ังคุณภาพและปริมาณ ซงึ่ ขน้ั ตอนนี้มีความสาคญั มาก 3. คดั เลอื กขอ้ มลู ข่าวสารเอามาเฉพาะท่เี หมาะสมท่จี ะใชใ้ นการทารายงานเท่านั้น 4. เขียนบทรายการเป็นขั้นเรียบเรียงและจัดเนื้อหา 5. การเตรียมเทปไว้สาหรับการบันทึกจัดทาตารางในการบันทึกและจัดเจ้าหน้าท่ีประจา แต่ละ งานและต้องแน่ใจว่าเจ้าหน้าท่แี ตล่ ะคนเขา้ ในงานในหนา้ ท่ดี ี 6. งานศลิ ปเ์ ป็นงานด้านการเตรียมหวั เร่ือง แผ่นภาพพลกิ ฉาก อปุ กรณอ์ ่ืนๆ 7. จดั เตรียมเคร่ืองมอื และอปุ กรณใ์ นการสาธติ ก่อนการบันทกึ วดิ ิทัศนใ์ ห้พรอ้ ม 8. การบนั ทกึ ภาพก่อนการบันทกึ ภาพควรตรวจดูเครอ่ื งมอื อุปกรณต์ ่างๆใหเ้ รียบรอ้ ย 9. การตัดต่อ หลังจากการบันทึกภาพแล้วนามาเรียบเรียงตัดต่อเพ่ือให้ดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง เหมาะสมตามทก่ี าหนด 10. การสนทนา เพลง เสียงประกอบ การบันทึกเสียง เป็นขั้นการบันทึกเสียงเข้าไว้ในบทน้ันๆ เช่น คาบรรยาย การสนทนา เพลง เสียงประกอบ เป็นตน้ 11. ฉายทดลอง เป็นการฉายให้ผู้ร่วมงานฝ่ายต่างๆ ได้ชมพร้อมกัน เพ่ือเป็นการตรวจสอบและ วิจารณว์ ่ามสี ว่ นใดต้องปรบั ปรงุ และควรนาไปฉายทดลองให้กบั กลุ่มเปา้ หมายโดยการสุ่มตัวอยา่ งเพ่ือตรวจสอบก็ได้ 12. การนาไปใช้เม่ือมกี ารทดลองว่าวดี ทิ ัศนด์ ังกลา่ ว สามารถใช้ไดก้ จ็ ะนาไปใชจ้ ริงกับ กลมุ่ เป้าหมาย ซงึ่ อาจเปน็ การฉายในหอ้ งเรยี นหรือศึกษาเป็นรายบุคคลก็ได้
26 13. การประเมินผล เม่ือฉายวีดิทัศน์ดังกล่าวแล้วควรมีการประเมินรายการซ่ึงจะทาให้ทราบว่า กลุ่มเป้าหมายมีความเข้าใจในเรื่องน้ีหรือไม่ อย่างไร และมีความคิดเห็นอย่างไรจากการถ่ายทา การแสดง การสาธติ การดาเนินเนื้อหา การตดั ตอ่ และจดั ทาดนตรีประกอบ เป็นตน้ การดาเนินงานในการผลิตรายการโทรทัศน์ หรือออกแบบส่ือวีดิทัศน์แยกออกได้เป็น 2 ขั้นตอน (สรุ ชยั สกิ ขาบัณฑติ , 2528) ดังนคี้ ือ 1. การวางแผนการผลิตรายการ เป็นข้ันตอนท่ีมีความสาคัญมากเพราะการวางแผนท่ีดยี ่อมส่งผลถึง รายการหรือสิ่งทตี่ อ้ งการผลติ ออกมมาด้วย ขน้ั ตอนการผลติ รายการมดี งั นี้ 1.1 ศึกษาจุดมุ่งหมายและเป้าหมายจากเน้ือหา แล้วนาเนื้อหามาวิเคราะห์กาหนด กลุ่มเป้าหมาย (Target group) และจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม เพ่ือให้สามารถวัดได้และควรกาหนดวิธีการที่จะ นาไปใช้ดว้ ยวา่ จะนาไปใช้สอนในลกั ษณะใด เชน่ นาบทเรยี น อธิบายเนื้อหาหรือสรุปบทเรียน 1.2 รวบรวมทรัพยากรและศึกษาข้อขัดข้องในการผลิตว่ามีอะไรบ้าง เพียงพอหรือไม่ถ้าไม่มี จะได้หาจากแหล่งใด ถ้าหากไม่ไดจ้ ะทาอย่างไร เชน่ เครื่องมอื อุปกรณ์ บุคลากร งบประมาณ ปัญญาสิทธิบัตรทาง กฎหมาย ทรัพยากรและขอ้ ขดั ขอ้ งที่ต้องรวบรวมและศกึ ษา 1.3 การเขียนหัวขอ้ เนอื้ หา และการเลือกแบบนาเสนอ ผู้ผลิตรายการจะต้องนาเน้อื หามาเขียนเป็น แบบนาเสนอท่ีเหมาะสมกับลกั ษณะสอ่ื รูปแบบการนาเสนอทางโทรทัศน์ท่ีเป้นท่ีนิยม ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบอภิปราย แบบบรรยาย แบบนาฎการ และแบบบรรยายโดยไม่ให้เหน็ ตัวผู้บรรยาย 2. การเตรียมการผลติ รายการซงึ่ มขี ้นั ตอนดงั น้ี 2.1 เขียนบท (Script) เป็นการวางโครงสร้างของรายการ ควรเขียนเพื่อสนองจุดมุ่งหมาย ของการศึกษา มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รียนบรรลเุ ป้าหมาย 2.2 เตรียมบุคลากร ในขั้นนี้ผู้ผลิตรายการจะต้องติดต่อกับบุคคลผู้ทาหน้าที่ต่างๆ ได้แก่ ผเู้ ขยี นบท ผู้กากบั รายการ ฝา่ ยเทคนิคและผูแ้ สดง เพื่อนดั แนะซักซอ้ ม ความเข้าใจทีต่ รงกนั 2.3 เตรียมงานศิลปะ ที่จาเป็นจะต้องใช้ในการผลิตรายการ ซึ่งการเตรียมงานศิลปะจะต้อง อยู่ภายใต้คาแนะนาของผู้ผลิตรายการและผู้กากับ เพ่ือให้งานศิลปะสนองจุดมุ่งหมายของรายการ อีกท้ังมีความ เหมาะสมกับการสือ่ ความหมาย 2.4 เตรียมฉากและอุปกรณ์ 2.5 เตรียมสิ่งอ่นื เชน่ เสื้อผา้ เครื่องแตง่ กายผู้แสดง ดนตรี เสียงประกอบ 2.6 การซักซ้อมเป็นข้ันสุดท้าย ซ่ึงจะต้องฝึกซ้อมท้ังฝ่ายเทคนิคและผู้แสดงต่างๆ ดังที่กล่าว มาแล้วอย่างเคร่งครัด ความผิดพลาดของการผลิตรายการท่ีมีขึ้นในข้ันตอนนี้ หากมีน้อยย่อมหมายถึงรายการที่ได้ จะมีคุณภาพมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งความสาเร็จของรายการข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้กากับรายการและคณะ ผ้รู ่วมงานทกุ คน ในข้ันนี้ก็จะเร่ิมถ่ายทาตามบททีก่ าหนดไว้ จากนั้นจึงมาตดั ต่อเพ่ือเรียบเรียงภาพให้สมบรู ณ์ยงิ่ ข้ึน แล้วจึงบันทึกเสียงบรรยายเสียงดนตรี และเสียงประกอบตา่ งๆ กระบวนการผลิตบทเรียนวิดีทัศน์ตามหลักสูตรน้ันต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างฝ่ายผลิตด้าน เน้ือหาต้องกาหนด (วสนั ต์ อติศัพท์, 2533) คอื
27 1. กาหนดจุดมุง่ หมายทแ่ี นน่ อนของบทเรยี นให้ชดั เจนวา่ เมื่อเรยี นจบแลว้ ผ้เู รียนจะได้อะไร 2. กาหนดเน้ือหาวิชาของบทเรียนว่าครอบคลุมส่ิงใด จะสนองจุดมุ่งหมายของบทเรียนเพียงใด จะเรียบ เรียงเน้ือหาในลกั ษณะอย่างไรจงึ จะพรอ้ มทจ่ี ะถ่ายทอดออกเป็นภาพและเสียงหรอื รายการบนจอได้ 3. วเิ คราะหผ์ ู้แสดงในบทต้องเลือกอย่างพิถพี ิถัน โดยปกติจะเลือกผู้ท่สี อนเก่งแตค่ วรระวังบางครั้งอยู่หน้า กล้องทาอะไรไม่ได้ หรือไม่ดีเหมือนอยู่นอกชั้นเรียน ครูจะต้องมีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับของผู้เรียนว่าเหมาะสมกับ เนอื้ หาที่สอนหรอื ไม่ 4. วิเคราะห์ผู้เรียบเรียงด้านวัย ความสามารถ ความรู้พิเศษ และความสนใจ ฯลฯ ทั้งน้ีเพ่ือประโยชน์ใน การทาบทเรียนให้เหมาะสม กลา่ วโดยสรปุ การผลิตและการออกแบบวดี ทิ ัศนม์ ีความสาคญั มากเพราะจะช่วยให้ไดส้ ่ือทดี่ ีมคี ุณภาพ ดังนั้นการกาหนดวัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงทีมงานท่ีผลิตเทคนิคการถ่ายทารวมถึงกราฟฟิก ตา่ งๆ ท่ใี ช้จะชว่ ยเพิม่ ความนา่ สนใจของรายการวีดิทศั น์ไดเ้ ป็นอยา่ งดี จากการศึกษาลักษณะและองค์ประกอบของการเรยี นรเู้ ชงิ รุกผู้วิจัยสามารถสงั เคราะห์องคป์ ระกอบได้ดังนี้ การสรา้ งวีดทิ ัศน์ ก่อนการผลิตรายการวีดิทัศน์ ผู้ผลิตจาเป็นจะต้องคานึงถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผนการผลิต การเตรียมการผลิต การใชว้ สั ดุอปุ กรณ์ในการผลิต และการประเมินผลการผลิตรายการ (ประทนิ คล้ายนาค, 2541 และ วิภา อุตมฉันท์, 2544) โดยสามารถสรุปขั้นตอนของการผลิตรายการวีดิทัศน์ไว้ 3 ขั้นตอน (3P) (วชิระ อนิ ทร์อุดม, 2539) ดงั นี้ 1. ข้นั เตรียมการผลิตวดี ทิ ัศน์ (Pre-Production) ประกอบด้วย ดงั นี้ 1.1 การแสวงหาแนวคิด เป็นการหาแนวทางและเร่ืองราวที่จะนามาผลิตเป็นรายการวีดิทัศน์ ซ่ึงถือว่าสิ่ง สาคัญแรกผู้ผลิตรายการที่จะต้องคานึงถึง ผู้ผลิตจะต้องตั้งคาถามให้กับตัวเองว่า แนวคิดท่ไี ด้นั้นดีหรือไม่ อย่างไร และจะให้ประโยชน์อะไรต่อผู้ชม การหาแนวคิดหรือเรื่องราว จึงเป็นงานท่ีจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และ จินตนาการคอนขา้ งสูง 1.2 การกาหนดวัตถปุ ระสงค์ เม่ือไดเ้ รอ่ื งท่ีจะทาการผลิตรายการมาแล้ว ต้องคานึงถึงการคาดหวังถึงผลท่ี จะเกิดกับผู้ชมเม่ือได้รับชมรายการไปแล้ว ทุกเร่ืองท่ีนามาจัดและผลิตรายการโทรทัศน์ ผู้ผลิตจะต้องกาหนด วัตถุประสงค์ว่าจะมุ่งให้ผู้รับได้รับหรือเกิดการเปล่ียนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมในด้านใดบ้าง การกาหนด วัตถุประสงคอ์ าจต้งั หลายวตั ถุประสงคก์ ไ็ ด้ 1.3 การวิเคราะหก์ ลุ่มเป้าหมาย เม่ือได้กาหนดวัตถุประสงคแ์ ล้ว ขั้นต่อไปจะต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ชมว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นการวิเคราะห์ความรู้ของผู้ชมในแง่มุมต่าง เก่ียวกับเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ความสนใจ ความต้องการ และจานวนผูช้ ม เพ่อื ใหส้ ามารถผลติ รายการไดต้ รงความตอ้ งการมากทสี่ ุด 1.4 การวิเคราะห์เน้ือหา เป็นกระบวนการศึกษาเน้ือหา และข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะทาการผลิตแล้ว นามาวิเคราะห์ เพ่ือให้ได้เนื้อหาสาระ และข้อมูลที่ถูกตอ้ งทันสมัย น่าสนใจ และเพมิ่ ความน่าเช่ือถือ การวิเคราะห์
28 เนอื้ หาเป็นหน้าท่ีของผู้ผลิตที่จะต้องทาการศึกษาจาก ตารา เอกสาร ผู้เช่ียวชาญด้านเนอื้ หา และข้อมลู และข้อมูล จากแหล่งต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ทาการลาดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก เพ่ือการนาเสนอท่ีเหมาะสม และสร้างความรู้ ความเข้าใจใหก้ ับกลมุ่ เปา้ หมายเป็นอยา่ งดี 1.5 การเขียนบทวีดิทัศน์ เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการกาหนดแนวคิดจนถึงการวิเคราะห์เน้ือหา จนได้ ประเดน็ หลักและประเดน็ ยอ่ ยของรายการ แล้วนามาเขยี นเป็นบท ซ่งึ เปน็ การกาหนดลาดับกอ่ นหลังของการนาเสนอภาพ และเสียง เพ่ือให้ผู้ชมได้รับเน้ือหาสาระตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ โดยระบุลักษณะภาพ และเสียงไว้ชัดเจน นอกจากนัน้ บทรายการวีดิทัศน์ยังถ่ายทอดกระบวนการในการจัดรายการออกมาเป็นตัวอกั ษรและเคร่ืองหมายต่างๆ เพื่อ สื่อความหมายใหผ้ ู้ร่วมการผลติ รายการได้ทราบ และดาเนินการผลิตตามหน้าทข่ี องแต่ละคน 1.6 การกาหนดวัสดุ และอุปกรณ์ในการผลิตรายการ โดยที่ผู้ผลิตรายการจะต้องทราบว่าต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ใดบ้าง ซ่ึงต้องกาหนดรายละเอียดต่างๆ เก่ียวกับวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดหา และเตรยี มการตอ่ ไป 1.7 การกาหนดผู้แสดง หรือผู้ดาเนินรายการ ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมของเน้ือหาและรูปแบบ ของรายการทจี่ ะนาเสนอ 1.8 การจดั ทางบประมาณ โดยทั่วไปจะมีการต้งั งบประมาณไวก้ ่อนแล้ว แต่ในขั้นนี้จะเปน็ การกาหนดการ ใช้งบประมาณโดยละเอยี ด ซ่ึงจะเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดาเนินการผลติ เชน่ ค่าตอบแทนผู้รวมดาเนินการผลิต รายการ คา่ ผลิตงานกราฟิก คา่ วัสดรุ ายการ คา่ เบี้ยเล้ียงเดนิ ทาง ค่าทพี่ ัก และคา่ พาหนะ เปน็ ต้น 2. ข้นั การผลิตวดี ิทศั น์ (Production) คือ เป็นขั้นตอนการดาเนินการถ่ายทาตามเส้นเรื่องหรือบทตามสคริปต์ทีมงานผู้ผลิต ได้แก่ ผู้กากับ ชา่ งภาพ ชา่ งไฟ ช่างเทคนคิ เสียง ช่างศิลป์ และทีมงานจะทาการบันทึกเทปโทรทัศน์ รวมท้ังการบันทึกเสียง ตามที่ กาหนดไว้ในสครปิ ต์ อาจมีการเดินทางไปถา่ ยทายังสถานทตี่ ่างๆ ทงั้ ในร่มและกลางแจ้ง มกี ารสัมภาษณ์ จัดฉากจัด สถานที่ภายนอกหรือในสตูดิโอ ขั้นตอนนี้อาจมกี ารแกไ้ ขหลายครั้งจนกว่าจะเป็นท่ีพอใจ (Take) นอกจากน้ีอาจจะ เป็นตอ้ งเก็บภาพและเสียงบรรยากาศท่ัวไป ภาพเฉพาะมุมเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการขยายความ (Insert) เพ่ือให้ผชู้ มได้ เห็นและเข้าใจรายละเอียดมากยง่ิ ขึ้น โดยท่ัวไปจะมีการประชมุ เตรียมงาน และมอบหมายงานให้กับผู้เชี่ยวชาญใน แตล่ ะด้านและน้ันคอื การทางานของท่ีมา 3. ขัน้ การหลงั การผลิต (Post-Production) คือ การตัดต่อลาดับภาพ หรอื เปน็ ข้ันตอนการตดั ต่อเรียบเรียงภาพและเสียงเข้าไวด้ ้วยกันตามสคริปต์หรือ เนื้อหาของเร่ือง ขั้นตอนนี้จะมีการใส่กราฟิกทาเทคนิคพิเศษภาพ การแต่งภาพการย้อมสี การเช่ือมต่อภาพและ ฉาก อาจมีการบันทึกเสียงในห้องบันทึกเสียงใส่เสียงพูดซาวน์บรรยากาศต่าง ๆ เพิ่มเติม อาจมีการนาดนตรีมา ประกอบเร่ืองราวเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมยิ่งข้ึน ขั้นตอนน้ีส่วนใหญ่จะดาเนินการอยู่ในห้องตัดต่อแต่มี ข้อจากัดหลายอย่าง เช่น การเพ่ิมเทคนิคพิเศษต่างๆ ซึ่งต้องใช้เคร่อื งมืออปุ กรณ์ท่ีทันสมัยและซับซ้อนมากย่ิงข้ึนมี เฉพาะชา่ งเทคนิคทีเ่ กี่ยวขอ้ งและผู้กากับเท่านั้น องค์ประกอบของข้นั การหลังการผลิต (Post-Production) มีดงั นี้ 3.1 การลาดับภาพ หรอื การตัดต่อ (Editing) เปน็ การนาภาพมาตดั ตอ่ ให้เป็นเรอ่ื งราวตามบท
29 วดี ิทศั น์ โดยใชเ้ ครื่องตัดต่อ หรอื เครอื่ งคอมพิวเตอร์ โดยการตัดตอ่ น้มี ี 2 ลักษณะ คือ 1) Linear Editing เป็นการตัดต่อระหว่างเคร่ืองเล่น/บันทึกวีดิทัศน์ 2 เครื่อง โดยให้ เคร่ืองหน่ึงเป็นเคร่ืองต้นฉบับ (Master) และอีกเคร่ืองหนึ่งเป็นเครื่องบันทึก (Record) ใน ปัจจุบันไมนิยมใช้แล้ว เนื่องจากการตัดต่อลักษณะนี้ต้องใช้ผู้ที่มีความชานาญเฉพาะด้าน และใช้ เวลานานมาก 2) Non-Linear Editing เป็นการติดต่อโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะ ซ่ึงเป็นการ ตดั ตอ่ ท่รี วดเร็วและมีข้อผิดพลาดนอ้ ยท่ีสุด 3.2 การบันทกึ เสยี ง (Sound Recording) จะกระทาหลังจากได้ดาเนนิ การตัดต่อภาพตามบท วดี ิทัศน์เปน็ ท่ีเรยี บร้อยแล้ว จึงทาการบันทึกเสยี งดนตรี เสียงบรรยาย และเสยี งประกอบลงไป 3.3 การฉายเพ่ือตรวจสอบ (Preview) หลังจากตัดตอ่ ภาพ และบันทกึ เสยี งเรยี บรอ้ ยแลว้ จะต้อง นามาฉายเพอื่ ตรวจสอบกอ่ นวา่ มีอะไรทจ่ี ะต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ 3.4 ประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินรายการหลงั การผลติ ซงึ่ มี 2 ลักษณะ คือ 1) ประเมินผลกระบวนการผลิต โดยจะเป็นการประเมินด้านความถูกต้องของเนื้อหา คุณภาพของเทคนิคการนาเสนอ ความสมบูรณ์ของเทคนิคการผลิต โดยผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหา ผู้เขยี นบท ผู้กากับรายการ ทมี งานการผลติ และ 2) การประเมินผลผลิต ซ่ึงจะเป็นการประเมินโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก โดยจะ ประเมินในด้านของความน่าสนใจ ความเข้าใจในเนื้อหา และสาระทนี่ าเสนอ 3) การเผยแพร่ ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายให้ได้มากท่ีสุด เท่าที่ จะทาได้ และควรเก็บข้อมลู ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของผ้ใู ช้ เพ่อื นามาแกไ้ ขเร่อื งอนื่ ๆ ตอ่ ไป ดังนั้นก่อนการผลิตวีดิทัศน์ ผู้ผลิตจาเป็นต้องคานึงถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผน การเตรียมการผลิต การใชว้ สั ดุอปุ กรณใ์ นการผลิต และการประเมินผลการผลิตรายการ กล่าวโดยสรปุ การสร้างวีดิทัศน์ มี 3 ข้ันตอน คือ การวางแผนเตรียมการผลิต ซึ่งเป็นข้ันตอนที่สาคัญ ท่ีสุด ผู้ผลิตจะต้องวางแผนการจัดทา กาหนดวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย เขียนแผนหรือบทวีดิทัศน์ กาหนด ตัวผแู้ สดง จัดหางบประมาณ จดั ซ้ือวัสดุ เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตวีดทิ ัศน์ โดยจะ ถ่ายทาตามสคริปต์ที่เขียนไว้ และสุดท้ายจะเป็นขั้นตอนหลังการผลิต จะมีการดาเนินการลาดับภาพ ตัดต่อ ภาพ บันทึกเสียงบรรยาย และเสียงประกอบ หลังจากน้ันจะฉายเพื่อตรวจสอบว่ามีอะไรท่ีจะต้องปรับปรุง แกไ้ ขหรือไม่ เพื่อประเมนิ ผลกระบวนการผลิต และหลังการผลิต และนาวดี ที ศั น์ไปใชใ้ นลาดับต่อไป 2.5 ขน้ั ตอนการสอนโดยใช้วดี ิทัศน์ตน้ แบบ 1. ข้ันนา ครูเกรนิ่ นาถึงทกั ษะทจี่ ะสอนในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถอธบิ าย ถึงจุดมุ่งหมายของการชมวิดีทัศน์ต้นแบบ รวมทั้งยังกระตุ้นความสนใจเก่ียวกับเนื้อหาจากวิดีทัศน์ด้วยการต้ัง คาถามกอ่ นจะเขา้ สู่การรบั ชมวิดีทัศน์ต้นแบบ
30 2. ขั้นสอน ครูให้นกั เรยี นชมวีดิทศั น์ตน้ แบบโดยการเปดิ วิดีทศั นท์ ่ีแสดงถงึ เนื้อหาและส่ิงท่ตี ้องการจะ สอน 1-2 รอบ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร้แู ละจดจาพฤติกรรมท่ีชมจากวิดีทัศน์จากสามารถเลียนแบบพฤติกรรม นัน้ ไดอ้ ย่างถูกต้อง 3. ขนั้ สรุป ครูสรปู เนื้อหาท่ีได้ชมจากวดี ิทศั น์ร่วมกับผู้เรยี นพร้อมทัง้ ตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน ผา่ นการตั้งคาถามเก่ียวกับเนื้อหาที่ผู้เรียนได้สอนว่าเร่ืองดังกล่าวเก่ียวกับอะไร ทักษะที่ได้รับชมทาอย่างไร เปน็ ต้น ให้ผู้เรียนตอบคาถามพร้อมท้ังแสดงพฤติกรรมเลียนแบบหรือแสดงตามคาส่ังที่ครูกาหนด เพ่ือตรวจสอบ ความเขา้ ใจของผู้เรยี น กล่าวโดยสรุป ข้ันตอนการสอนโดยใช้วีดีทัศน์แสดงต้นแบบพฤติกรรม จะต้องเร่ิมด้วยการเกร่ินก่อน ในข้ันนาแล้วให้ผู้เรียนมีความสนใจจะชมวิดีทัศน์ในข้ันสอน และผู้เรียนจะได้เกิดการจา เข้าใจ และสามารถ นาไปสรุปร่วมกับผ้สู อนได้ 2.6 ประโยชน์และคณุ คา่ ของการสอนโดยใช้วดี ิทัศนต์ ้นแบบ วิดิทัศน์ (Video tape) เป็นส่ือท่ีเหมาะสมสาหรับใช้เพื่อการเรียนการสอน เพราะวีดิทัศน์เป็นส่ือที่ สามารถทาให้ผู้เรียนได้เห็นภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเปน็ ภาพนิ่ง การบันทึกภาพวีดิทัศน์สามารถกระทาได้ ทั้งในห้องถ่ายภาพ (Studio) และห้องปฏิบัตกิ าร เราสามารถตัดต่อส่วนที่ไม่ต้องการ หรือเพิ่มเติมสว่ นใหม่ลงไปได้ (ปยิ ดนยั ไหวอิน, 2555) ทาใหผ้ ู้ชมได้เห็นภาพ และได้ยินเสียงไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นการรบั รโู้ ดยประสาทสัมผัสท้ัง สองทาง ซ่ึงยอมดีกว่าการรับรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึงเพียงอย่างเดียวผู้ชมสามารถเข้าใน กระบวนการที่ซับซ้อนได้โดยอาศัยศักยภาพของเครื่องมือการผลิตวีดิทัศน์ท่ีสามารถย่อ ขยายภาพ ทาให้ภาพ เคลื่อนที่ช้า เร็ว หรือหยุดน่ิงได้ แสดง กระบวนการท่ีมีความต่อเนื่อง มีลาดับข้ันตอนได้ในเวลาที่ต้องการ โดยอาศัยเทคนิคการถ่ายทา และเทคนิคการตัดต่อบันทึกเหตุการณ์ในอดีต และหรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่าง สถานท่ี ต่างเวลา แล้วนามาเปิดชมได้ทันทีเป็นส่ือท่ีใช้ได้ทั้งเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่และใช้กับมวลชน ทกุ เพศ ทุกวัยและทุกระดับช้ันวีดทิ ัศนท์ ี่ได้รับการวางแผนการผลิตที่ดี และผลติ อย่างมคี ุณภาพ สามารถใชแ้ ทนครู ได้ ซึ่งจะเป็นการลดปัญหาการขาดแคลนครูได้เป็นอย่างดีใช้ได้กับทุกขัน้ ตอนของการสอน ไมว่าจะเป็นการนาเข้าสู่ บทเรียน ข้ันระหว่างการสอน หรือข้ันสรุปใชเ้ พื่อการสอนซ่อมเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพใช้เพ่ือบันทึกภาพที่เกิด จากอุปกรณ์การฉายได้หลายชนิด เช่น ภาพสไลด์ ภาพยนตร์ โดยไม่จาเป็นต้องใช้เคร่ืองฉายหลายประเภทใน ห้องเรียนใช้เป็นแหล่งสาหรับให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยการทาห้องสมุดวีดิทัศน์ ใช้ในการฝึกอบรม ผู้สอนด้วยการบันทึกการสาธิตวิธีการสอน การบันทึกรายการ หรือการจัดการศึกษาใหม่ๆ ช่วยปรับปรุงเทคนิค วิธีการสอนของครู โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบจุลภาค, การเรียนรู้แบบเปิด และการศึกษาทางไกล (วชิระ อนิ ทรอ์ ดุ ม, 2539) กล่าวโดยสรุป เก่ียวกับคุณค่าของวิดีทัศน์ต้นแบบว่าสามารถช่วยยกระดับการศึกษาแก่มวลชนช่วย แพร่กระจายความรู้ไปยังมวลชน ทาให้มวลชนมีความรู้ทันสมัยและช่วยให้ครูสามารถติดต่อกับผู้เรียน และ ตดิ ต่อกบั ครูดว้ ยกนั เองไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เพอ่ื ช่วยให้การเรยี นการสอนมีประสทิ ธิภาพ
31 ตอนท่ี 3 การเรยี นรู้เชิงรุก(Active Learning) 3.1 ความหมายของการเรยี นร้เู ชงิ รกุ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนอย่างหน่ึง แปลตามตัวก็คือเป็น การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือ การลงมอื ทาซ่ึง“ความรู้”ท่ีเกิดขึน้ กเ็ ป็นความรทู้ ี่ได้จากประสบการณ์ กระบวนการ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทามากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว (Lorenzen, 2011) ดว้ ยแนวคิดการสร้างสรรคท์ างปัญญา (Constructivism) ท่ีเน้นกระบวนการเรยี นรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา โดย ครูผ้สู อนจะเป็นผู้แนะนา กระตนุ้ เป็นที่ปรึกษา หรืออานวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน(สถาพร พฤฑตกิ ุล, 2558) และต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้การเรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดข้ันสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ด้วยการท่ี ค่อยๆ เรยี นร้จู ากข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเรม่ิ ต้นเรยี นรจู้ ากกลมุ่ ตวั แทนขอ้ มลู ท่ีถูกเลอื ก แล้วเรียนรเู้ พ่ิมเติมจากข้อมูล ทีจ่ าแนกผิดพลาดในอดีตโดยแบบจาลอง จงึ ทาใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาการจาแนกข้อมูลขนาดใหญ่ได้ นอกจากนั้น ข้อมูลแบบหลายฉลากมักมีปัญหาเร่ืองความไม่สมดุลของข้อมูล (ไพโรจน์ ตันติวชิรฐากูร และ พีรพล เวทีกูล, 2559) เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ พัฒนาความคดิ และสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง (เยาวเรศ ภักดี จติ ร, 2557) กล่าวโดยสรุปว่าการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ในการน้ีครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ ความรู้แกผ่ ู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพ่ิมกระบวนการและกิจกรรมท่ีจะทาให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะ ทากิจกรรมต่าง ๆ มากข้ึน และอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการแลกเปล่ียนประสบการณ์โดยการพูด การเขยี น หรอื การอภปิ รายกบั เพ่ือน 3.2 ลักษณะของการเรยี นรูเ้ ชิงรุก Prince (2004) กล่าวถึง ลักษณะของการเรียนรู้เชิงรุกว่า การเรียนรู้เชิงรุกได้กาหนดไว้โดยทั่วไปว่าเป็น วิธีการสอนใดๆ ที่ดึงดูดนักเรียนในกระบวนการเรียนรู้ระยะสั้น ต้องการให้ผู้เรียนทากิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ความหมายและคิดถึงส่ิงท่ีผู้เรียนกาลังทา แม้ว่าคาจากัดความนี้อาจรวมถึงกิจกรรมแบบดั้งเดิม เช่น การเรียนรู้ท่ีใช้งานจริงหมายถึงกิจกรรมที่นามาใช้ในห้องเรียนหลัก องค์ประกอบของการเรียนรู้เชิงรุกคือ กิจกรรมของผู้เรียนและการมีส่วนร่วมซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีใช้งานตรงกันข้ามกับแบบเดิมที่เป็น การบรรยายทีผ่ เู้ รยี นได้รับข้อมูลอยา่ งอดทน ซึ่งการเรยี นร้เู ชงิ รุกมลี ักษณะดังนี้ 1. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning) ซ่ึงผู้เรียนเรียนทางานร่วมกันในกลุ่มเล็กๆ เพ่ือบรรลุเป้าหมายร่วมกัน วิธีการเรียนการสอนแบบกลุ่มซ่ึงรวมถึงการเรียนแบบมีส่วนร่วม และเน้นให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (ปรียา สมพืช, 2559) โดยองค์ประกอบหลักของการเรียน ร่วมกันคอื การเนน้ การปฏิสมั พนั ธ์ของผ้เู รยี นมากกว่าการเรียนรเู้ ป็นกิจกรรมโดดเด่ียว 2. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Cooperative learning) สามารถกาหนดเป็นรูปแบบโครงสร้างของกลุ่ม ทางานที่นักเรียนติดตามเป้าหมายร่วมกันในขณะที่ได้รับการประเมินเป็นรายบุคคล เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสวงหา
32 ความรู้ด้วยตนเองและสามารถบูรณาการความรู้ได้ (ปรียา สมพืช, 2559) การพ่ึงพาซ่ึงกันและกันซึ่งกันและกัน การมีปฏิสัมพันธ์กันส่งเสริมการปฏิบัติที่เหมาะสมของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล องค์ประกอบหลักการมีส่วน ร่วมกันคือ การมุ่งเน้นไปท่ีส่ิงจูงใจแบบมีส่วนร่วมมากกว่าการแข่งขันเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ โดยผู้สอนเป็นเพียง ผู้ดูแลกากับและอานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้รวมทั้งเป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรงใหผ้ ู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ดว้ ยตนเอง (ปรยี า สมพืช, 2559) 3. ควรใช้วิธีการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) ซ่ึงวิธีการสอนนี่จะใช้ปัญหา เป็นตัวจุดประเด็นเร่ิมต้นในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการคิดและเรียนรู้หาคาตอบด้วยตนเอง เกิด ประสบการณ์การคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ สร้างองค์ความรู้ตลอดจนประเมนิ ผลเปน็ (ปรียา สมพืช, 2559) โดยต้อง มีการจดั เตรียมสภาพแวดลอ้ มและสรา้ งแรงจูงใจในการเรียนรู้ก่อน สรุปได้ว่า ลักษณะการเรียนรู้เชิงรุก จาเป็นต้องมีการจัดการเรียนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มี ปฏสิ ัมพันธ์ส่วนรว่ มในการเรยี นรู้ โดยผู้สอนต้องจดั เตรียมสภาพแวดล้อมและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ และ คอยเปน็ คนจดุ ประเดน็ ปญั หา ผ้แู นะนาสิง่ ตา่ งๆ ให้แกผ่ ู้เรียน 3.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้เชงิ รุก มนี ักวิชาการศึกษาหลายท่านไดน้ าเสนอองคป์ ระกอบของการเรยี นรู้เชิงรุก ดังนี้ Meyers and Jones (1993) กลา่ ววา่ การเรียนรู้เชิงรุก มอี งค์ประกอบ 3 ประการหลัก ได้แก่ 1) ปจั จัยพืน้ ฐาน ได้แก่ การพูด การฟัง การเขียน การอ่าน และการสะท้อนความคดิ เหน็ 2) กลวิธใี นการเรยี นการสอน ได้แก่ การทางานแบบรว่ มมอื กรณีศกึ ษา สถานการณจ์ าลอง การอภปิ ราย การคดิ แกป้ ญั หา และการเขียนบทความ 3) ทรพั ยากรทางการสอน ไดแ้ ก่ การอา่ น การมอบหมายงาน วิทยากรความรจู้ ากภายนอก การใช้ เทคโนโลยีการเรยี นการสอน และ การเตรียมอปุ กรณก์ ารเรยี นการสอน Grabinger and Dunlap (1998) กลา่ ววา่ การเรยี นรู้เชงิ รุก มอี งคป์ ระกอบ 6 ประการ ดังน้ี 1 การเรียนรู้ทง้ั ในดา้ นทฤษฏีและด้านลงมือปฏบิ ตั ิ โดยผู้เรยี นตอ้ งมสี ่วนรว่ มในการคน้ หาข้อมูลของ เร่ืองท่ีจะเรียน แล้วนาข้อมูลนั้นมาแสดงความคิดเห็นร่วมกันในกลุ่ม และสามารถเช่ือมโยงความรู้จนเกิดเป็น ความรใู้ หม่ 2 การเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมจริง โดยผู้เรียนเรียนรู้ตามสภาพจริงบนประสบการณ์ท่ีเป็นจริง 3 ความรับผิดชอบและความคดิ ริเร่มิ ของผเู้ รยี น ผเู้ รียนต้องเปล่ียนจากการรอรบั ความรู้เป็นการเรยี นรู้ แบบร่วมกนั แสดงความคิเดห็นและสร้างความร้ดู ้วยตนเอง 4 การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ ผ้เู รยี นไดท้ างานร่วมกันเป็นกลุม่ และร่วมกันแลกเปล่ียนความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน 5 กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาความรู้ กระบวนการเรียนรู้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ผู้สอนจะเปลี่ยน บทบาทจากผ้ทู ีถ่ า่ ยทอดความรู้เปน็ การช่วยใหค้ าแนะนา
33 6 การประเมินตามสภาพจริง ต้องมีการประเมินในลักษณะท่ีหลากหลายและเห็นถึงความแตกต่างของ ผ้เู รยี น จรรยา ดาสา (2552) ได้เสนอถึงหลักการพ้นื ฐานในการจดั การเรยี นรู้เชิงรุกมี 4 องค์ประกอบดงั นี้ 1 การฟังและพูด ผู้สอนจะต้องฝึกให้ผู้เรียนฟังให้เป็น สามารถจับใจความสาคัญของเร่ืองที่ฟังได้ สามารถพูดสือ่ สารความคดิ เห็นของตนเอง 2 การอา่ น ถอื เปน็ ทกั ษะสาคัญผู้สอนตอ้ งม่ันใจวา่ ผเู้ รียนสามารถอ่านและจบั ประเด็นได้ 3 การเขียน องค์ประกอบน้ีจะเกิดขึ้นได้ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจในเนื้อหา สามารถเขียนแสดงความ คิดเหน็ และเรียบเรยี งความคดิ ของตนเองให้ตนเองและผูอ้ า่ นเขา้ ใจ 4 การสะท้อนความคิดเห็น การโต้ตอบและแสดงความคิดเห็นกันระหว่างผู้เรียน จะทาให้ผู้เรียนมี ปฏิสมั พันธก์ บั ผอู้ ืน่ ช่วยใหเ้ ชื่อมโยงความคิดได้กว้างขึ้นและเรียนรู้ไดม้ ากขน้ึ ไชยยศ เรืองสวุ รรณ (2553) ได้อธบิ ายถึงลกั ษณะสาคัญในการจัดการเรียนการสอนเชงิ รกุ ดังนี้ 1. เปน็ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาการคิด การแกป้ ัญหาและประยกุ ต์ใชค้ วามรขู้ องผเู้ รียน เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมในกจิ กรรมและสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผสู้ อนต้องจัดกจิ กรรมท่ีใหผ้ เู้ รยี นได้ใช้ ทกั ษะทุกดา้ นทั้งการอ่าน การฟัง การพูด การคิด และการเขยี น 2. ผเู้ รยี นมีปฏสิ ัมพนั ธใ์ นการทางานร่วมกนั แบ่งหน้าท่กี ารรับผดิ ชอบ ผสู้ อนต้องเป็นผู้คอยสนบั สนนุ และอานวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เนาวนิตย์ สงคราม (2555) ได้นาเสนอองค์ประกอบการเรยี นร้เู ชิงรุกดังนี้ 1. การเชอ่ื งโยงประสบการณ์เดมิ กับประสบการณ์ใหม่ ผ้สู อนจดั ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ หน็ ความแตกต่างระหวา่ ง ความคดิ ของตนเองกับผอู้ ื่น เมอ่ื ผเู้ รยี นได้ค้นหา แลกเปลีย่ น โดยสามารถสรา้ งความรู้ได้ดว้ ยตนเอง จะทาให้การ เรยี นรู้เกิดผลดี 2. การมสี ่วนรว่ มของผู้เรียน ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในช้นั เรยี นไมไ่ ด้เปน็ เพียงแต่ผู้ฟงั ผู้เรียนต้องมีความคิด ริเร่ิม สร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง ผูส้ อนอาจจดั กจิ กรรมเป็นการอภปิ รายเพ่ือให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วม ส่วนผูส้ อนมีหน้าท่ี ตั้งคาถาม สง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นมีปฏิสัมพันธ์กับผสู้ อนและเพ่ือน 3. วิธกี ารเรียนรู้ทห่ี ลากหลาย วธิ กี ารสอนต้องกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นได้ใชท้ ักษะการฟัง การพูด การอ่าน การคดิ และการเขยี น รวมทั้งใหผ้ ูเ้ รยี นไดฝ้ กึ แกป้ ัญหาและคน้ คว้าความรู้ด้วยตนเอง 4. ทรพั ยากรในการเรียนการสอน ทรัพยากรการเรียนรู้ถือเปน็ องค์ประกอบสาคัญในการเรียนรู้ เพราะ เป็นสง่ิ ท่เี สรมิ และกระตนุ้ การเรยี นรขู้ องผเู้ รียน เพื่อใหผ้ ู้เรียนเรยี นรู้จากประสบการณจ์ รงิ 5. กิจกรรมสะท้อนการเรียนรู้ของผเู้ รียน เป็นกจิ กรรมทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนได้ทบทวนความรู้และต้งั ข้อ สงสยั จากการปฏิบตั ิ รวมทั้งการทผ่ี เู้ รยี นได้แลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ซึ่งกันและกนั 6. การประเมินผล เปน็ การประเมินผเู้ รียนวา่ บรรลวุ ัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเพยี งใด ตอ้ งปรับปรุงหรือ พัฒนาดา้ นใดบ้าง รวมถึงการประเมนิ ความก้าวหน้าของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนต้องกาหนดเกณฑ์การประเมินให้ชัดเจน เพื่อให้การประเมนิ มีประสทิ ธิภาพ
34 3.4 รปู แบบการจัดการเรียนร้เู ชงิ รกุ McKinney (2009) ไดเ้ สนอเทคนคิ การจัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ ชิงรกุ ดงั น้ี 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนคิดเก่ียวกับประเด็นหรือคาถามท่ีตั้งไว้แต่ละคนก่อน จากน้ันให้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน แล้ว นาเสนอความคิดเห็นตอ่ ทกุ คน 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ ผเู้ รยี นไดท้ างานรว่ มกับผอู้ น่ื โดยจัดเปน็ กลมุ่ ๆ 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่างๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดย ผ้สู อน จะมีหนา้ ทใี่ ห้คาปรึกษาและแนะนาเมอื่ มปี ัญหา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนาเกมมาบูรณาการในการ จดั กจิ กรรม ซง่ึ สามารถนาไปใช้ได้ท้งั ในข้ันนาเข้าส่บู ทเรยี น ข้ันการสอน การมอบหมายงาน และขน้ั ประเมินผล 5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรทู้ ใี่ หผ้ ูเ้ รยี นได้ดูวดี โิ อ แล้วใหผ้ เู้ รียนแสดงความคิดเห็นหรอื สะทอ้ นความคดิ เกี่ยวกับส่งิ ท่ไี ด้ดู อาจใช้วธิ กี ารพูด โต้ตอบ การเขยี น หรือการรว่ มกันสรุปเปน็ รายกลมุ่ 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ นาเสนอข้อมลู หรือโตต้ อบกนั จากประสบการณแ์ ละการเรยี นรู้ทไ่ี ด้ เพ่อื ยนื ยนั แนวคดิ ของตนเองหรือกลมุ่ 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) เป็นการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ที่ใหผ้ ้เู รียนได้สร้างแบบทดสอบจากสิ่งท่เี รียนรูม้ าแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) เป็นการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีอิงข้ันตอนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกาหนดหัวข้อท่ีต้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคดิ ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ โดยอาจเป็นแบบโครงงาน 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ ศึกษากรณีตัวอยา่ ง จากน้นั ให้ผู้เรยี นวิเคราะห์และแลกเปล่ียนความคิดเหน็ หรือแนวทางแก้ปญั หาภายในกลุ่ม แล้ว นาเสนอความคิดเหน็ ต่อทกุ คน 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผู้เรียนได้จดบันทึกเร่ืองราวต่างๆ ท่ีพบเห็นหรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในแต่ละวัน รวมทั้งเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ บนั ทกึ ท่เี ขยี น 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือการจัดกิจกรรม การเรียนร้ทู ่ีให้ผเู้ รยี นร่วมกนั เขียน ประกอบด้วย บทความ ขอ้ มูลสารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตกุ ารณ์ที่เกดิ ขึ้น แล้ว แจกจ่ายไปยังบุคคลอ่ืนๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนาเสนอความคิดรวบยอดและความเชื่อมโยงกรอบความคิด ซ่ึงอาจจัดทาเป็น รายบุคคลหรือกลมุ่ แล้วนาเสนอผลงานต่อผู้เรียนอนื่ ๆ จากนั้นเปิดโอกาสใหไ้ ดซ้ กั ถามและแสดงความคดิ เห็น
35 ทรงศรี ตนุ่ ทอง (2545) ได้นาเสนอรปู แบบการเรยี นรู้เชิงรกุ ดังนี้ 1. การคดิ ระดับสูง เปน็ การจัดกจิ กรรมท่ีผเู้ รียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยสามารถ ตั้งสมมตฐิ าน วิเคราะห์ขอ้ มลู แปลความหมายและสรุปผลได้ 2. ความแม่นยาในความรทู้ ่ีได้รับ ผู้เรียนสามารถใช้เหตุผลในการอธบิ าย แสดงความคิดเห็นหรือ โต้แยง้ รวมท้ังสามารถนาความรู้ไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา 3. การเชื่อมโยงกบั ภายนอก ผเู้ รียนทากิจกรรมตามความสนใจหรอื นาความร้ทู ไ่ี ดร้ บั ไปใช้ในการปฏบิ ัติ 4. การสอ่ื สารขอ้ มูลได้ชดั เจน ผูเ้ รียนสามารถใช้เหตุผลอธิบายถงึ สาระสาคัญหรือสรา้ งบทที่มคี วาม เหมาะสมในการนาเสนอความคิด ปรีชาญ เดชศรี (2545) นาเสนอรปู แบบการจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รุกไว้ดงั นี้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกเป็นรายบุคคล ผู้สอนจัดกิจกรรมโดยการต้ังคาถาม สร้างปัญหา หรือสถานการณ์ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการคิดและประยุกต์ใช้จนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยให้ผู้เรียนได้ วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสม ซึ่งเร่ิมจากการให้ผู้เรียนได้ประเมินความรู้ตนเองก่อนเรียนและ เมื่อหลังเรียนให้ผู้เรียนประเมินตนเองอีกคร้งั ว่ามีความรู้เพ่ิมมากข้ึนหรือไม่ ซ่ึงกิจกรรมควรเน้นที่การให้ผู้เรียนได้ ตอบคาถาม 2. การจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ แบบคู่ เป็นการจัดกจิ กรรมท่สี ่งเสริมการคดิ และการสร้างความรูด้ ้วยตนเอง แต่มีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนความคิดซ่ึงกันและกัน กิจกรรมที่เหมาะสมอาจเป็นการอภิปราย หรือ การทผ่ี ู้สอนให้ผ้เู รยี นไดป้ ระเมินซ่งึ กันและกัน 3. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกรายกลุ่ม เป็นกิจกรรมท่ีมีการจัดเป็นกลุ่มให้ผู้เรียนได้คิดและสร้างความรู้ ด้วยตนเองเพอื่ แกป้ ญั หาโดยอาจจัดเปน็ แบบบทบาทสมมติ การทาแผนผังความคิด หรือเกมส์เปน็ ต้น เยาวเรศ ภักดจี ิตร (2557) รูปแบบการจัดการเรียนร้เู ชงิ รุกในศตวรรษที่ 21 มีลกั ษณะดังน้ี 1.การสอนแบบโครงการหรือโครงงาน (Project Based Learning) เป็นการศกึ ษาเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่และวิธีการใหม่ด้วยตัวของผู้เรียนเองโดย ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ให้ คาปรึกษาสามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนท้ังการคิดพื้นฐาน และการคิดขั้นสูง เป็นการพัฒนาสมอง ซกี ซ้ายและขวา พัฒนาพหุปัญญา สามารถจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมเดี่ยวก็ได้ และพิจารณาจากความยาก ง่ายและความเหมาะสมของ โจทย์งาน ให้ผู้เรียนนาเสนอแนวคิดการออกแบบช้ินงานพร้อม ให้เหตุผลประกอบ จากการค้นคว้า ผู้สอนพิจารณาร่วมกับการอภิปรายในชั้นเรียน จากน้ันผู้เรียนลงมือปฏิบัติทาช้ินงาน และส่ง ความคืบหน้าตามกาหนดการประเมินผลจะประเมินทั้งด้านผลผลิตคือช้ินงานจากการทาโครงการและเนื้อหา ความรทู้ ไ่ี ด้เรียนรู้กระบวนการและทักษะต่าง ๆ ทไ่ี ดพ้ ัฒนาและเจตคตทิ ีเ่ กิดขึน้ 2. การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเพ่ือนาไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรมเหมาะกับ รายวิชาท่ีเน้น ปฏิบัติหรือเน้นการฝึกทักษะ สามารถใช้การจัดการเรียนการสอนได้ทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล หลักการสอนคือ ผสู้ อนวางแผนจัดสถานการณใ์ ห้ผู้เรียนมีประสบการณ์ท่จี าเป็นกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นสะท้อนความคิดอภปิ รายส่ิงที่ไดร้ ับ
36 จากสถานการณ์ตัวอย่าง เทคนิคการสอนท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ ได้แก่ เทคนิค การสาธิต และเทคนิคเนน้ การฝึกปฏิบัตซิ ง่ึ วชิ าชีพ 3. การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning) เป็นการสอนท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด ด้วยการศึกษาปัญหาท่ีสมมุติข้ึนจากความจริงแล้วผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกัน วิเคราะห์ปัญหาเสนอวิธีแก้ปัญหาหลักของการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก คือ การเลือกปัญหาที่สอดคล้องกับ เนื้อหาการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคาถาม วิเคราะห์วางแผนกาหนดวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยผู้สอนมี บทบาทให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนขณะลงมือแก้ปัญหาสุดท้ายเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแก้ปัญหา ผู้สอนและผู้เรียน รว่ มกนั สรุปผลและแลกเปล่ยี นเรยี นรูถ้ งึ สิง่ ทไ่ี ดจ้ ากการลงมอื แกป้ ญั หาผลสะทอ้ นจากผเู้ รียน 4. การสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) เป็นกระบวนการสอนท่ีผู้สอนใช้ เทคนิค วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียน คิดเป็นลาดับขั้นแล้วขยายความคิดต่อ เน่ืองจากความคิดเดิม พิจารณาแยกแยะ อย่างรอบด้านให้เหตุผลและเช่ือมโยงกับความรู้เดิมท่ีมีจนสามารถสร้างส่ิงใหม่ หรือตัดสินประเมินหาข้อสรุปแล้ว นาไปแก้ปัญหาอย่างมีหลักการโดยฝึกให้มีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เทคนิคการสอนไดแ้ ก่ การอภิปรายกลุ่มย่อย การใช้กรณีตัวอย่างหรือการใชส้ ถานการณจ์ าลอง เป็นต้น 3.4.1 รูปแบบการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุกท่เี น้นกิจกรรม การเรยี นท่เี นน้ ให้ผู้เรยี นมีปฏสิ มั พันธก์ ับการเรียนการสอนกระต้นุ ให้ผู้เรยี นเกดิ กระบวนการคดิ ขั้นสูง (Higher-order thinking) ไม่เพยี งแตฟ่ ัง ผเู้ รียนจะต้องอา่ น เขยี น ถามคาถามอภปิ รายร่วมกนั และลงมอื ปฏิบัติจริง ท้งั นีต้ ้องคานึงถึงความร้เู ดมิ และความต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญกิจกรรมการเรียนการสอนหรืออาจจะกล่าวอีก นัยหนึ่ง คือ กิจกรรมการเรียนรู้เพราะต้องการเน้นตัวผู้เรียนเป็นสาคัญ หมายถึง เน้นท่ีบทบาทของผู้เรียน และ ถึงแม้ว่าจะเน้นบทบาทของผู้เรียน แต่ผู้สอนก็ยังมีบทบาทร่วมเช่นกัน คือเป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) ไดแ้ ก่ เปน็ ผู้ให้คาปรึกษา เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรยี นได้คดิ เป็นผู้จดั ระเบียบ ผแู้ นะนาและกากับไม่ให้ออกนอกทางหรือ หลงทาง เป็นต้น ดังน้ันการใช้คาการเรียนการสอนจึงมีความหมายที่ยังคงใช้ได้กับหลักสูตรฉบับปัจจุบันเพื่อให้ กิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุตามเป้าประสงค์การสอนของครกู ็เป็นไปอย่างมีความหมาย นักเรียนได้ท้ังความรู้ และความสนุกสนานเพลิดเพลินกิจกรรมการเรียนการสอน ตัวอย่างกิจกรรมและหัวข้อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องง่าย ท่ีสุดไล่ไปถึงยากท่ีสุดก็ได้และลักษณะกิจกรรมก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามผู้ที่วางแผนการสอนและผู้สอน (วัชรี เกษพิชยั ณรงค์ และ คณะ, 2555) 3.4.1.1 การสอนแบบจุลภาค (Micro-Teaching Method) ทิศนา แขมมณี (2560) ทักษะการสอนเปน็ ความสามารถในการดาเนินการสอนได้อยา่ งชานาญ ซ่งึ ครอบคลมุ การสอนท้ังหมด ซ่ึงหลักสูตรครศุ าสตร์ – ศึกษาศาสตร์ มกี ารจัดใหน้ ิสิต/ นกั ศึกษาครูฝึกทักษะการ สอนใน 2 ลักษณะคือ 1) การสอนแบบจุลภาค (micro teaching) เป็นการฝึกทักษะก่อนออกสู่สถานการณ์จริง ซ่ึงหลัก ของการฝึกทักษะการสอนมี 3 ประการคือ (1) การมีแบบอย่างท่ีดี โดยผู้ฝึกต้องได้เห็นแบบอย่างที่ดีซึ่งอาจเป็นตัว บุคคลหรือมาในรูปสื่ออื่น จะทาให้การฝึกทักษะได้ผลดี (2) การมีเกณฑ์ที่ดีและชัดเจน ทักษะการสอนท่ีจะฝึกควรมี
37 เกณฑ์ เป็นรูปธรรมท่ีระบุพฤติกรรมอย่างชัดเจน ซ่ึงจะช่วยให้การฝึกประสบความสาเร็จ (3) การได้รับข้อมูลปอ้ นกลับ ผูร้ ับการฝึกไดร้ ู้ถึงผลการกระทาของตนเองจะช่วยให้ผูฝ้ ึกยอมรับและวางแนวทางท่ีจะแก้ไขพฤติกรรมของตน ข้นั ตอนของการจัดการสอนแบบจุลภาค 1. ผู้ถูกฝึกทักษะควรเป็นผเู้ ลือกทักษะทีจ่ ะฝึก ทักษะที่เลอื กควรเป็นทักษะทีย่ งั ไม่ สามารถทาได้ดี ทักษะแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของแต่ละ คนผถู้ ูกฝึกควรได้รบั การประเมินและมีการประเมินตนเองวา่ ควรปรับปรุงหรือเพ่ิมเติมอยา่ งไร 2. การจัดทาเกณฑ์ท่ีมีความชัดเจน เพื่อให้การประเมินเป็นไปอย่างถูกต้อง ผู้ถูกฝึก ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะนั้น ผู้สอนควรให้คาแนะนาและหากเป็นไปได้ควรจัดทา เกณฑร์ ว่ มกบั ผู้ถูกฝกึ 3. การเห็นแบบอย่าง ผู้ถูกฝึกควรได้เห็นแบบอย่างในเร่ืองที่จะฝึก การได้เห็น แบบอยา่ งท่ดี ีจะชว่ ยให้ผูถ้ กู ฝกึ เกดิ ความเชา้ ใจมากขน้ึ 4. การจัดทาบทเรียนฝึกทักษะ ผู้ถูกฝึกควรเป็นผู้พัฒนาบทเรียนตามความเข้าใจของ ตนเอง ผู้สอนควรตรวจและให้ขอ้ เสนอแนะและคาแนะนาเพื่อให้บทเรียนสมบรู ณย์ ิง่ ขึน้ 5. การเตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์ในการบันทึกการสอน และติดตอ่ ผ้เู รียนสาหรับการสอนแบบจลุ ภาค 6. การลงมอื ปฏบิ ัตกิ ารสอนแบบจลุ ภาค 7. การประเมนิ การสอนแบบจุลภาค ผู้ถูกฝึกควรไดช้ มการสอนของตนเองจากวีดิทัศน์ท่ี บันทกึ ไว้ เพ่อื ให้ผถู้ กู ฝกึ ไดเ้ ห็นขอ้ บกพร่องของตนเอง 8. การปรับบทเรียนและสอนใหม่ หลังการได้รับข้อมูลป้อนกลับ อาจมีการปรับ บทเรียนและปรับปรุงการสอนใหด้ ีขนึ้ กว่าเดมิ 2) การฝึกสอน การให้ผู้ถูกฝึกได้ไปสอนนักเรียนในสถานการณ์จริง เป็นการเรียนรู้ จากการปฏิบัตงิ านจริง โดยผสู้ อนคอยให้คาแนะนาและคาปรกึ ษา 3.4.2 การจดั การเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) เป็นกระบวนการท่ีสง่ เสริมให้ผู้เรียนได้สืบค้น สืบเสาะ สารวจ ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวธิ ีการ ต่างๆ จนเกิดความเข้าใจและรับรู้ความรู้น้ันอย่างมีความหมายการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ว่า เป็นวิธี หนึ่งที่มุง่ ให้ผู้เรียนคิด วางแผนปฏบิ ัติกิจกรรม และค้นคว้าหาความร้ดู ว้ ยตนเอง สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นได้คดิ เป็น ทาเป็น และแก้ปัญหาไดอ้ ย่างมีระบบโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งครจู ะทาหน้าที่ใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรยี น ใฝ่รู้ใฝเ่ รยี น การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ประกอบดว้ ย 1. ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement) เปน็ การนาเข้าสู่บทเรียนโดยนาเร่ืองทีส่ นใจอาจ มาจากเหตกุ ารณ์ท่ีกาลังเกิดขึ้นอยูใ่ นช่วงเวลาน้ัน หรือเช่ือมโยงกับความรู้เดิมท่ีเรียนมาแลว้ เป็น ตัวกระตุ้นใหน้ กั เรียนสร้างคาถาม เปน็ แนวทางที่ใชใ้ นการสารวจตรวจสอบอยา่ งหลากหลาย
38 2. ขั้นสารวจและคน้ หา (Exploration) เม่ือทาความเข้าใจในประเด็นหรอื คาถามทส่ี นใจ มีการกาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบต้ังสมมติฐาน กาหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือ ปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่างๆ วิธีการตรวจสอบอาจทาได้ หลายวิธี เช่น ทาการทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม การศึกษาข้อมลู จากเอกสารตา่ ง ๆ 3. ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เมื่อไดข้ ้อมูลเพียงพอ จึงนาข้อมูลทไ่ี ดม้ าวิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผล นาเสนอผลทไี่ ดใ้ นรูปแบบต่างๆ เชน่ บรรยายสรปุ สรา้ งแบบจาลองหรอื รูปวาด 4. ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนาความรู้ท่ีสร้างข้ึนไปเช่ือมโยงกับความรู้ เดมิ แนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ะชว่ ยเชอื่ มโยงกบั เรื่องตา่ งๆ ทาให้เกดิ ความรกู้ วา้ งขน้ึ 5. ข้ันประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไรและมากน้อยเพียงใด จากนั้นจะนาไปสู่การนาความรู้ไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นเร่อื งอื่นๆ สรุปได้ว่า รูปแบบของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกนั้น จะเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และจะมี การจัดการเรียนรูท้ ่ีหลากหลายให้เหมาะกับท้ังรายวิชาที่ต้องการสอนและพื้นฐานทางตัวบุคคลของผู้เรียนโดย วิธกี ารที่นามานนั้ จะเน้นความร้คู วามสามารถประสบการณ์ เน้นปญั หาเน้นทักษะกระบวนการ หรือเป็นการบูร ณาการ ซ่ึงจะมีวิธีการต่างๆ หลายรูปแบบท่ีครูผู้สอนสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้การวางแผนด้วยตนเอง และการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่พบเจอด้วยตนเอง สามารถวางแผนและ แกไ้ ขปญั หาไดอ้ ย่างถกู วธิ ี กล่าวโดยสรุปการเรียนรู้เชงิ รุกเป็นการเรียนรูท้ ี่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ได้ใน กลวิธีตา่ งๆ ตามความเหมาะสม โดยผู้เรยี นจะสรา้ งความเข้าใจและคน้ ควา้ หาความหมายของเนอ้ื หาสาระโดย เช่ือมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีแยกแยะความรู้ใหม่ท่ีได้รับกับความรู้เก่าที่มี สามารถประเมินต่อเติมและ สร้างแนวคดิ ของตนเองซึ่งเรียกว่ามกี ารเรยี นรู้เกดิ ขึ้น ผู้เรยี นลกั ษณะน้ีจะเป็นผ้เู รยี นที่กระตือรือรน้ และมที กั ษะ ทส่ี ามารถเลือกรบั ขอ้ มลู วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีระบบ 3.4.1.2 การอภปิ รายแบบโตะ๊ กลม ((Round Table) ความหมายของการอภปิ ราย จักรกฤษณ์ โพดาพล (2556) ได้กล่าวถึง การอภิปรายผล หมายถึง การอธิบายว่าทาไม ผลการวิจัยถึงเป็นอย่างนี้และเขียนเพ่ือชี้ให้เห็นว่าผลการวิจัยของเราท่ีได้สอดคล้องหรือขัดแย้งกับ ผลการวิจัยของ ท่านอนื่ อย่างไร ถ้าสอดคล้องสอดคล้องอยา่ งไรในประเดน็ ใดแต่ถ้าขัดแย้งเราจะต้องหา ส าเห ตุ ห รือ เห ตุ ผ ล ม า อธิบายทท่ี าให้ผลการวิจัยออกมาอย่างนจี้ ากเอกสารต่างๆ หรอื เหตุผลของผูว้ ิจัยเอง
39 สมพงศ์ วทิ ยศักด์ิพันธุ์ (2553) ได้กล่าวถึง การอภิปราย หมายถึง การร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น ตอ่ เร่อื งใดเร่ืองหนงึ่ รวมไปถงึ การพดู ใหค้ วามรู้ขอ้ มูลใหม่ดว้ ย การอภิปรายท่ีได้ยินกันบ่อยปัจจุบัน เช่น การอภปิ รายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การอภิปรายเกีย่ วกับปญั หาเศรษฐกิจ การอภิปรายเรอ่ื งวกิ ฤตวิ ัฒนธรรม ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นต้น ปกติจะมีผู้มาร่วมอภิปรายต้ังแต่สองคนขึ้นไป หรืออาจเป็นกลุ่มคนที่สนใจเร่ืองเดียวกัน อาจเป็นการอภิปรายในที่ประชุม สานักงาน กลางแจ้ง หรือในสภาก็ได้ โดยมักเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้แสดง ความคิดเห็นของตนไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี แตใ่ นระยะเวลาจากดั ทั้งนเ้ี พือ่ ให้ทุกคนสามารถเขา้ มามีสว่ นร่วมได้ กล่าวโดยสรุปถึงความหมายของการอภิปราย คือ การร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดยมีจุดประสงค์คือการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นของตนเองได้อย่างเต็มท่ีและอิสระเพื่อให้เรื่องที่นามา อภปิ รายเกิดการแกไ้ ขปญั หาไดเ้ ปน็ ไปในทางที่ดขี ึ้น ประเภทของการอภปิ ราย สมพงศ์ วิทยศักดพ์ิ ันธุ์ (2553) ไดจ้ าแนกการอภิปรายว่ามลี ักษณะท่ัวไป 3 ลักษณะดังน้ี คือ การอภปิ ราย ในทีป่ ระชมุ การอภิปรายท่วั ไป การอภิปรายแบบมวี ิทยากรหรอื จากดั ผ้รู ่วมอภิปราย 1. การอภิปรายในท่ีประชุม หมายถึงการเปิดโอกาสให้สมาชิกของท่ีประชุมท่ีมีลักษณะปิด ได้แสดงความ คดิ เหน็ อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเดน็ ใดประเดน็ หนง่ึ เพ่ือนาไปสู่การตัดสินใจหรือการแก้ไขปัญหา หรือมติของท่ี ประชุม โดยมีประธานในท่ีประชุมทาหน้าท่ีควบคุมการอภิปราย หลังจากการอภิปรายอาจมีการให้ลงมติ หรือ สรุปผลการอภิปราย โดยท่ีประชุมอาจแบ่งออกได้เป็น สามฝ่าย คือฝ่ายเห็นด้วย ฝ่ายไม่เห็นด้วย และฝ่ายยังไม่ ตัดสินใจ การอภิปรายของทุกฝ่ายเป็นไปเพื่อให้เหตุผล ข้อมูล และความคิดเห็นเพื่อโน้มน้าวให้อีก 2 ฝ่ายมาเห็น ด้วยเพื่อให้ที่ประชุมมีความเห็นคล้อยตามหรือลงมติตามที่ฝ่ายตนต้องการ เช่น การอภิปรายในท่ีประชุมรัฐสภา เก่ียวกับเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง เช่น เรื่องงบประมาณ เร่ืองกระทู้เก่ียวกับอาชญากรรมและยาเสพติด ฯลฯ หรือ การอภิปรายในที่ประชุมขององค์กร หน่วยงาน เป็นต้น การอภิปรายในที่ประชุมมีลักษณะพิเศษคือเปิดโอกาสให้ ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น ให้ข้อมูลความรู้ได้โดยเท่าเทียมกัน โดยถือว่าสมาชิกแต่ละคนมีความรู้ มีสิทธิ์ และมี โอกาสอภิปรายได้ เน่ืองจากผู้เข้าประชุมมีความรู้ความเข้าใจงานและประเด็นท่ีกาลังถกเถียงอภิปรายกันอยู่ คอ่ นข้างดี ปกติมกั ใหม้ กี ารแจ้งวาระการประชุมเพื่อให้สมาชกิ เตรยี มตวั ล่วงหนา้ ได้ 2. การอภิปรายท่ัวไป เป็นลักษณะของการอภิปรายท่ีเปิดโอกาสให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกของท่ีประชุมหรือ ผูเ้ ข้ารว่ มประชุมท่ีสนใจปัญหาเดียวกนั แสดงความคิดเห็นได้ การอภิปรายทั่วไปทาได้สองลักษณะ คือ ลักษณะแรก ทาในหมู่สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมเท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นได้ ดังเช่นการอภิปรายในที่ ประชุมดังกล่าวข้างต้น หรือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังที่เป็นสาธารณชนเข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็นได้ ดว้ ย ปกติก่อนจะมีการอภิปรายทั่วไปมักเริ่มต้นให้มวี ิทยากร หรือผ้รู ่วมอภิปรายท่ีกาหนดบุคคลไวแ้ ล้วพูดอภปิ ราย เสนอความคดิ จนครบทกุ คนแลว้ กอ่ น จากน้ันกเ็ ปิดโอกาสใหผ้ ู้ฟังร่วมแสดงความคดิ เหน็ เพิ่มเตมิ ได้ 3. การอภิปรายแบบมีวทิ ยากร/ผรู้ ว่ มอภิปราย ลักษณะน้เี ป็นทนี่ ยิ มในปัจจบุ ันมาก การอภิปรายแบบนม้ี ัก มีวิทยากรหรือผู้ร่วมอภิปรายประมาณ 2-4 จนถึง มาร่วมแสดงความคิดเห็น อาจเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจใน เร่ืองเดียวกัน หรือเป็นการเสนอแนวทาง ทางออกของปัญหา หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเร่ืองหนึ่งที่กาลัง เป็นประเด็นสนใจของกลุม่ หรือสาธารณชน การอภิปรายลักษณะนี้ ผูอ้ ภิปรายมักได้รบั เชิญในฐานะเปน็ ผูเ้ ชย่ี วชาญ
40 เฉพาะด้าน เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับ เป็นบุคคลที่มีความคิดเห็นน่าสนใจ เป็นผู้มีช่ือเสียง และเป็นผู้ท่ีสังคมกาลัง ให้ความสนใจ เป็นต้น มีคาเรียก 2 คาสาหรับผู้อภิปราย คือ วิทยากร และผู้ร่วมอภิปราย ท้ังสองคามีความหมาย เดยี วกันในแง่ทว่ี า่ มบี ทบาทหน้าทใี่ ห้ความคดิ ความรู้ และข้อเสนอแนะตา่ งๆ แก่ผฟู้ ัง กล่าวโดยสรุปถึงหัวข้อประเภทของการอภิปรายน้ั นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การอภิปรายในที่ประชุม 2. การอภิปรายทั่วไป 3. การอภิปรายแบบมีวิทยากรหรือจากัดผู้ร่วมอภิปราย โดยแต่ละประเภทมีลักษณะดังน้ี 1. การอภิปรายในท่ีประชุม คือ การอภิปรายที่มีการกาหนดวัตถุประสงค์ ชัดเจน สมาชิกท่ีจะมาเข้าร่วมประชุมต้องร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อหาข้อยุติในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงในการ ประชุมอภิปรายลักษณะน้ีจะมีการแจ้งวาระการประชุมเพื่อให้สมาชิกได้เตรียมตัวล่วงหน้า 2. การอภิปราย ท่ัวไป คือ การเปิดโอกาสให้ทุกคนในที่ประชุมท่ีสนใจปัญหาเดียวกันนั้นได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นร่วมกัน และ 3. การอภิปรายแบบมีวิทยากรหรือจากัดผู้ร่วมอภิปราย คือ การอภิปรายที่ประกอบด้วยผู้เช่ียวชาญใน ด้านต่างๆ มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นในทัศนะของตนเองและยังเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมอภิปรายได้มีโอกาส ซกั ถามเพอ่ื ให้บรรยากาศไมเ่ กิดความเปน็ ทางการมากนกั อภิชยา นิเวศน์ (2557) ได้กล่าวถึง การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table) คือ การจัดอภิปรายแบบ น้ีเป็นการจัดให้สมาชิกทกุ คนเหน็ หน้ากันเปน็ การประชุมทเ่ี ปน็ กันเองมากๆ ประธานจะทาหน้าที่ในการดาเนินการ ประชมุ จะมีเลขาเป็นผู้จดบันทึกการประชุม ถ้าสมาชิกท่านใดต้องการแสดงความคิดเห็น สามารถยกมือขน้ึ ขอพูด ได้เลย การประชุมแบบน้ีแตกต่างจากแบบตอบกลับคือสมาชิกไม่ต้องเรียงลาดับจากขวามือของประธานและ การแสดงความคดิ เห็นสามารถแสดงได้อยา่ งกวา้ งขวางและใช้เวลาตามทีส่ มาชกิ ต้องการ วธิ ีการดาเนนิ การ 1. ประธานกล่าวเปิดการประชุมเสนอปัญหา 2. เม่ือสมาชกิ รับทราบปัญหาหรือหัวขอ้ ของการอภิปรายแล้วถ้าท่านใดตอ้ งการแสดงความคิดเห็นก็ให้ยก มอื เพื่อขอพูดโดยไมต่ อ้ งเรียงลาดบั 3. ถา้ หัวข้อเร่อื งหรอื ประเดน็ น้นั ยังหาข้อยตุ ไิ ม่ได้หรือสมาชิกตอ้ งการอภปิ ราย ตอ่ ที่ประชมุ กจ็ ะเปิดโอกาส ใหอ้ ภปิ รายต่อจนกวา่ จะหาข้อยุตไิ ด้ 4. สิ่งสาคญั ประธานต้องกระต้นุ ให้สมาชิกไดแ้ สดงความคดิ เหน็ และตอ้ งช่วยสรุปข้อยุติให้ได้ 5. สาหรับเลขาจะเป็นผู้บันทึกข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ของสมาชิกทุกคนและสรุปผลการประชุม เพ่อื นาเสนอต่อประธานและสมาชกิ ตอ่ ไป กล่าวโดยสรุป การอภิปรายแบบโต๊ะกลม คือการประชุมที่จัดให้สมาชิกน่ังหันหน้าเข้าหากัน มีความเป็นกันเองในขณะประชุม และหากสมาชิกท่านใดต้องการเสนอความคิดเห็น สามารถยกมือเพื่อแสดง ความคดิ เห็นไดท้ นั ที โดยมปี ระธาน เลขา และสมาชิกในที่ประชมุ ตามลาดบั จากการศึกษาลกั ษณะและองค์ประกอบของการเรียนรู้เชิงรุกผู้วิจยั สามารถสังเคราะห์องค์ประกอบได้ดงั นี้
4 ตารางท่ี 2.2 การสังเคราะห์องค์ประกอบการเรยี นรู้เชิงรุก Meyers and Jones (1993) Grabinger and Dunlap จรรยา ดาส (1998) องค์ประกอบ 3 ประการหลัก ได้แก่ องค์ประกอบ 6 ประการ ดังนี้ องคป์ ระกอบมดี ังน 1. ปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ การพูด 1. การเรียนรู้ท้ังในด้านทฤษฏี 1. การฟังและพูด การฟัง การเขียน การอ่าน และ และดา้ นลงมือปฏบิ ัติ โดยผู้เรียน ให้ผู้เรียนฟังให้เป การสะท้อนความคดิ เหน็ ต้องมีส่วนร่วมในการค้นหาข้อมูล ใจความสาคัญ ข 2. กลวิธีในการเรียนการสอน ของเรื่องท่ีจะเรียน แล้วนาขอ้ มูล สามารถพูดสื่อสาร ได้แก่ การทางานแบบร่วมมือ น้ันมาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ตนเอง กรณีศึกษา สถานการณ์จาลอง ในกลุ่ม และสามารถเช่ือมโยง 2. การอ่าน ถือเ การอภิปรายการคิดแก้ปัญหา ความรู้จนเกดิ เปน็ ความรู้ใหม่ ผู้สอนต้องม่ันใจว และการเขียนบทความ 2. การเรียนรูใ้ นสภาพแวดลอ้ ม อ่านและจับประเด็น 3. ทรัพยากรทางการสอน ได้แก่ จริง โดยผเู้ รียนเรียนรตู้ ามสภาพ 3. การเขียน อง การอ่าน การมอบหมายงาน จริงบนประสบการณท์ เ่ี ปน็ จริง เกิดข้ึนได้ผู้เรียนต้อ วทิ ยากรความรู้จากภายนอก การ 3. ความรับผิดชอบและความ คิด เนื้อหา สามารถเ ใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอน รเิ ริ่มของผเู้ รียน ผ้เู รยี นต้องเปลย่ี น คิดเห็นและเรียบเ และ การเตรียมอุปกรณ์การเรียน จากการรอรับความรู้เป็ นการ ตนเองให้ตนเองและ การสอน เรียนรู้แบบร่วมกันแสดงความคิ 4. การสะท้อนคว เดหน็ และสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง โต้ตอบและแสดง 4. การเรียนรู้แบบร่วมมอื ผูเ้ รียน ระหว่างผู้เรียน จ ได้ทางานร่วมกันเป็น กลุ่มและ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ร่วมกันแลกเปล่ียนความคิดเห็น ความคิดไดก้ ว้างข้ึน ซึ่งกันและกนั ขน้ึ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187